Eternal Reverence เทพบุตรฟ้าประทาน 169-182

 บทที่ 169


การกลับบ้าน


 


 


นอกจากการไถ่ถอนเทคนิคเพลิงโลกันต์แท้จริงแล้ว หลี่ฟู่เฉินยังได้ไถ่ถอนทักษะดาบระดับลึกลับขั้นต่ำมาอีกเล่มหนึ่ง – วิชาดาบเรืองรอง


 


ทักษะดาบนี้โดดเด่นอย่างแท้จริง หากวิชาดาบดาวตกเป็นอำนาจที่สามารถควบคุมได้ เช่นนั้นวิชาดาบเรืองรองก็เป็นอำนาจที่โดดเด่นยิ่งกว่า


 


หนึ่งเหมือนดาวตก ในขณะที่อีกหนึ่งเหมือนดวงอาทิตย์


 


ในลานหลังบ้านที่กว้างขวาง หลี่ฟู่เฉินกำลังฝึกวิชาดาบเรืองรอง


 


มันก็เหมือนแสงอาทิตย์ที่ยิงออกไป วิชาดาบเรืองรองนั้นไม่ได้ช้าไปกว่าวิชาดาบดาวตก ในแง่มุมมันอาจดูเร็วกว่าดาบดาวตก


 


“บูรพาตะวันเรืองรอง!”


 


ปล่อยแสงจ้าออกมา ดาบของหลี่ฟู่เฉินชนเข้ากับแร่เหล็กดำสูง 2 เมตร


 


เสียงดังกึกก้อง


 


สามารถเห็นหลุมขนาดใหญ่ได้บนแร่เหล็กดำ ขนาดของมันอย่างน้อยก็เป็นขนาดของอ่างล้างหน้า


 


หากมันเป็นวิชาดาบดาวตก มันจะเจาะแร่เหล็กดำในทันที ขนาดของรูก็จะไม่ต่างกับขนาดของหมัด


 


“หนึ่งโจมตีทำลายล้าง อีกหนึ่งคือพลังแห่งการเจาะทะลุทะลวงอันรุนแรง” หลี่ฟูเฉินวิเคราะห์ความแตกต่างระหว่างวิชาดาบทั้งสอง


 


ทักษะดาบ… ความเร็วไม่ได้หมายถึงพลังในการโจมตี


 


ความเร็วของวิชาดาบเรืองรองนั้นเร็วกว่าวิชาดาบดาวตก แต่ในแง่ของพลังโจมตี มันไม่สามารถเปรียบเทียบได้กับวิชาดาบดาวตก แต่มันก็มีรัศมีโจมตีที่กว้างขวางกว่า


 


เพื่อที่จะเพิ่มความเร็ว ก็จะต้องเสียสละพลังงานไป


 


ในบรรดาทักษะดาบระดับลึกลับขั้นต่ำทั้งหมด วิชาดาบดาวตกสมดุลทั้งความเร็วและพลังโจมตี


 


แน่นอน ทุกวิชาดาบย่อมมีความพิเศษ


 


วิชาดาบเรืองรองนั้นรวดเร็วมากและมีรัศมีการโจมตีที่กว้าง แถมยังป้องกันได้ยากอีกเช่นกัน หลังจากทั้งหมดแล้ว ไม่ใช่นักสู้ทุกคนที่มีพลังป้องกันสูงส่ง หากใครกำลังพูดถึงพลังป้องกันของนักสู้ตามค่าเฉลี่ยอยู่ วิชาดาบเรืองรองก็น่าจะมีประสิทธิภาพสูงกว่าวิชาดาบดาวตก


 


“วชาดาบเรืองรองมาถึงขั้นสมบรูณ์ย่อยแล้ว ถึงเวลาแล้วที่ข้าจะต้องกลับไป”


 


หลี่ฟูเฉินไม่รีบร้อนที่จะไปถึงขั้นภวังค์สำหรับวิชาดาบเรืองรอง ในช่วงเวลาที่เขาเอ่อระเหยอยู่ที่บ้าน เขาสามารถใช้เวลานั้นในการฝึกฝน


 


ก่อนที่จะมุ่งหน้ากลับ หลี่ฟู่เฉินวางแผนที่จะแลกทรัพยากรบางอย่าง


 


ระหว่างการเดินทางในเขตแดนร้อยพฤกษาเร้นลับ หลี่ฟู่เฉินได้รับสมุนไพรมากมาย เขาเก็บบางส่วนของพวกมันไว้ เช่นสมุนไพรต้นกำเนิด ผลตัดปฐพี องุ่นเจ็ดสีเคลือบเงา และสมุนไพรพิเศษอื่นๆ แต่นอกเหนือจากสมุนไพร หลี่ฟู่เฉินคิดว่าเขาควรแลกยาเม็ดด้วยเช่นกัน กลับไปที่เมืองหมอกเมฆา เม็ดยาระดับสีเหลืองขั้นสูก็งถือว่ามีค่าและหายากที่สุดเช่นกัน


 


ในครั้งเดียว หลี่ฟู่เฉินแลกคะแนนสะสม 500,000 คะแนนเพื่อยาเม็ด ยาเม็ดสีเหลืองขั้นสูงและขั้นสูงสุดก็รวมอยู่ในนี้เช่นกัน


 


หลังจากแลกยา หลี่ฟู่เฉินไปที่ห้องโถงศิษย์หลักเพื่อส่งใบสำหรับการกลับบ้าน


 


ศิษย์แต่ระดับยิ่งสูงก็ยิ่งมีระดับความอิสระต่างกันออกไป


 


ศิษย์นิกายั้นนอกไม่ได้รับอนุญาตให้กลับบ้าน


 


ศิษย์นิกายชั้นในมีอิสระมากขึ้น ระหว่างการปฏิบัติภารกิจ พวกเขาสามารถกลับบ้านได้ ดังนั้น พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องขออนุญาต


 


สำหรับศิษย์หลัก เพราะพวกเขาไม่ได้มีภารกิจมากมายที่จำเป็นต้องทำให้สำเร็จมากนัก พวกเขาจึงสามารถขอกลับบ้านได้นานถึงสามเดือนต่อปี


 


ที่เชิงเขา หลี่ฟูเฉินจับม้าเลือดปีศาจระดับ 2 ไว้อย่างแน่นหนาและพุ่งไปทิศทางที่เมืองหมอกเมฆาตั้งอยู่


 


***


 


เมืองหมอกเมฆา


 


ตระกูลหลี่


 


ผู้นำตระกูลหลี่ในปัจจุบันคือพ่อของหลี่หยุนไห่และหลี่หยุนเห่อ หลี่ไท่ซาน


 


ในฐานะผู้นำตระกูลหลี่ หลี่ไท่ซานทำตามที่เขาปรารถนา ในวันปกติเขาจะจัดการกองทุนของตระกูลและใช้ทรัพยากรเหล่านี้ เขาได้เข้าสู่ขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่ 7 ไปยังขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่ 8 ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เขาจะก้าวไปสู่ระดับที่ 9 หากเขาสามารถเข้าถึงขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่ 9 ได้ก่อนอายุ 50 ปี เขาจะมีโอกาสก้าวหน้าไปสู่ขอบเขตปฐพีในชีวิตนี้


 


ภายในเมืองหมอกเมฆา นักสู้ขอบเขตปฐพีถือเป็นพลังอำนาจสูงสุด แม้แต่กระทั้งเจ้าเมืองก็เป็นเพียงนักต่อสู้ขอบเขตปฐพีระดับที่ 5 เพียงเท่านั้น


 


“ท่านผู้นำ ท่านต้องช่วยเซี่ยวตี้ และช่วยให้พ่อของเซี่ยวตี้ค้นหาความไม่พอใจของเรา”


 


ในห้องโถง ใบหน้าที่ดูละเอียดลออของหลี่เซี่ยวตี้กำลังหม่นหมอง เธอกำลังคุกเข่าอย่างดื้อรั้นพร้อมๆ กับน้ำตาไหลที่กำลังไหลรินออกมาจากใบหน้าของเธอ


 


หลี่ไท่ซานเห็นหลี่เซี่ยวตี้ที่หน้าประตูอีกครั้ง เป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้วที่เธอมาที่นี่เพื่อคุกเข่าทุกวันและให้เขาช่วยเธอหาความยุติธรรม


 


“หลี่เซี่ยวตี้ พ่อของเจ้าเองที่ทำเรื่องนั้น เฉินตู่หลางมีสถานะอะไร? เจ้าและพ่อของเจ้ามีสถานะอย่างไร? มันเป็นพรของเจ้าที่เฉินตู่หลางเลือกให้เจ้าเป็นภรรยาของเขา แต่พ่อของเจ้าไม่สนใจสถานะของตัวเองและไปต่อสู้กับเฉินตู่หลางด้วยชีวิตของเขา ตอนนี้เขาถูกทำร้ายจนตายโดยเฉินตู่หลาง ใครกันที่สามารถไปตำหนิเขาได้? กลับไปและหยุดเรื่องไร้สาระของเจ้า หากไม่เช่นนั้น อย่าโทษข้าที่ใช้กฎของตระกูลเราเพื่อลงโทษเจ้า”


 


เขาได้รับยาเม็ดสีเหลืองขั้นสูง 5 เม็ดมากจากตระกูลเฉินตู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถค้นหาความยุติธรรมให้หลี่เซี่ยตี้ได้ และเขาก็ไม่ต้องการทำเช่นนั้นเช่นกัน


 


สองชั่วโมงต่อมา หลี่เซี่ยตี้ก็จากไปอย่างเงียบๆ ด้วยสีหน้าเศร้าสลด


 


‘สาวนางนี้เคราะห์ร้ายนัก ถึงคราวที่ข้าต้องให้นางออกไปโดยการแต่งงาน นางอาจสร้างปัญหาให้กับตระกูลหลี่’ หลี่ไท่ซานคิดกับตัวเอง


 


ในพื้นที่ๆ ห่างออกไปจากตระกูลหลี่


 


หลี่เทียนฮานและเฉินหยูหยานเห็นหลี่เซี่ยวตี้กลับมาอีกครั้งด้วยสีหน้าที่โศกเศร้า พวกเขาไม่สามารถทำอย่างไรได้ ได้แต่ถอนหายใจ


 


พวกเขาสงสารหลี่เซี่ยวตี้ แต่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้


 


“หลี่ไท่ซาน สารเลวตัวนี้! ไม่สามารถปกป้องสมาชิกตระกูลของตัวเองได้ ผู้นำตระกูลที่ดีเหมือนจะไม่ใช่มัน!” หลี่เทียนฮานเปล่งเสียงออกมาด้วยความโกรธ


 


เฉินหยูหยานกล่าว “เทียนฮาน ไม่ต้องกังวล ฟู่เฉินอยู่ในขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่ 7 แล้วตอนนี้ ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เขาจะต้องกลับมาแน่นอน และจัดการตระกูลหลี่ให้เป็นไปตามเดิม”


 


ข้อมูลของพวกเขาคือข่าวเมื่อหลายเดือนก่อน ข่าวล่าสุดยังไม่ได้รับการตอบกลับ


 


หลี่เทียนฮานกล่าวด้วยความกังวล “นั่นคือสิ่งที่ข้าเป็นห่วง เมื่อฟู่เฉินกลับมา ข้าก็ไม่รู้ว่าตระกูลหลี่ประเภทใดที่จะถูกทิ้งเหลือไว้”


 


“มันจะไม่เป็นเช่นนั้น เจ้าต้องมีความมั่นใจ ข้าจะไปเตรียมอาหารสำหรับเซี่ยวตี้” เฉินหยูหยานกล่าวและนำอาหารไปให้หลี่เซี่ยวตี้ที่ลาน


 


นิกายวารีครามอยู่ไม่ไกลจากเมืองหมอกเมฆา แต่ก็ไม่ได้ถือว่าใกล้เคียงเช่นกัน สองสัปดาห์ต่อมา หลี่ฟูเฉินกลับมาที่เมืองหมอกเมฆาได้ในที่สุด


 


ชมสถานที่และทิวทัศน์ที่คุ้นเคย หลี่ฟู่เฉินเต็มไปด้วยอารมณ์ เมื่อเขาจากไป เขาอายุ 15 ตอนนี้เขาอายุ 19 ปีแล้ว เกือบ 5 ปีผ่านไปทั้งๆ แบบนั้น ทำให้เขารู้สึกไม่สมจริง


 


เขาควบคุมม้าเลือดปีศาจให้วิ่งเข้าไปในตระกูลหลี่


 


“ม้าเลือดปีศาจระดับ 2 จิจิ”


 


ระหว่างทาง หน่วยลาดตระเวนหลายหน่วยในเมืองสังเกตเห็นหลี่ฟู่เฉิน โดยเฉพาะม้าเลือดปีศาจระดับ 2 ที่หลี่ฟู่เฉินขี่มา


 


“หัวหน้า ทำไมข้าเหมือนรู้สึกว่าเขาช่างดูคุ้นเคย” หนึ่งในเจ้าหน้าที่คนหนึ่งกล่าวกับหัวหน้าสายตรวจ


 


“เรามักจะลาดตระเวนรอบนอกของเมืองอยู่เสมอ มีใบหน้าที่คุ้นเคยมากมาย บางทีเขาอาจเป็นนายน้อยของหนึ่งในสี่ตระกูลที่กำลังจะกลับบ้าน” หัวหน้ากล่าว


 


“หัวหน้า ข้าคิดออกคิด เขาคือหลี่ฟูเฉินอดีตนายน้อย”


 


“เจ้าไม่ได้ล้อข้าเล่นใช่มั้ย?! ข้าได้รับข่าวว่าหลี่ฟู่เฉินทำได้ดีในนิกายวารีคราม ตอนนี้เขาอยู่ในระดับที่ 7 ของขอบเขตต้นกำเนิดแล้ว”


 


“ฮี่ฮี่ จะมีการเจรจาที่ตระกูลหลี่ในวันนี้ ตอนนี้ผู้นำตระกูลไม่ใช่หลี่เทียนฮานพ่อของหลี่ฟู่เฉินอีกต่อไป แต่เป็นหลี่ไท่ซาน อย่างไรก็ตามหลี่ไท่ซาน เป็นคนที่ค่อนข้างฉลาด เขาทำงานได้ดีภายใต้ตระกูลเฉินตู่เราที่เป็นหัวหน้า”


 


“จะไม่มีความวุ่นวายใดๆ เขาอยู่ที่ระดับ 7 ของขอบเขตต้นกำเนิดและเป็นโครงกระดูกปกติ มันไม่แน่ใจว่าเขาจะสามารถก้าวสู่ขอบเขตปฐพีในชีวิตนี้ได้หรือไม่ ในตระกูลหลี่ มีนักสู้ขอบเขตปฐพีอยู่ไม่กี่คน เขาไม่อาจพลิกโต๊ะได้”


 


***


 


“ใครคือผู้บุกรุก! นี่คือตระกูลหลี่เรา เอาม้าของเจ้าออกไป”


 


ที่หน้าประตูของตระกูลหลี่มีสิงโตสองตัวยืนอยู่คนละฝั่ง ด้านนอกของประตูมีนักสู้ของตระกูลหลี่อยู่สองคน ขณะนั้นเองที่ผู้นำหนึ่งในสองนั้นตะโกน


 


หลี่ฟู่เฉินยืนยันที่จะไม่ลงจากหลังม้า “เบิกตาของเจ้า และดูว่าข้าคือใคร”



บทที่ 170


ตำแหน่งผู้นำตระกูล


 


 


ได้ยินเสียง นักสู้ตระกูลหลี่หลายสำรวจหลี่ฟู่เฉิน


 


ใบหน้าที่คุ้นเคย ใบหน้าที่คุ้นเคยมาก


 


“นายน้อยหลี่ฟู่เฉิน?” นักสู้ตระกูลหลี่คนหนึ่งถามด้วยความสงสัย


 


หลี่ฟู่เฉินเปลี่ยนมากเกินไป ไม่กี่ปีก่อน เขาสูงเพียง 1.6 เมตร ตอนนี้เขาสูง 1.8 เมตรแล้ว เขาไม่ได้ดูคล้ายกับหลายปีก่อนตรงที่ไม่ค่อยจะมีกล้ามเนื้อ เขาไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าเขาอ่อนแออีกต่อไป ใบหน้าที่บอบบางและอ่อนโยนตอนนั้น กลายเป็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความองอาจและแหลมคม


 


“ทำไม เพียงแค่ไม่กี่ปี เจ้าถึงกับจำข้าไม่ได้?” หลี่ฟู่เฉินถาม


 


“ดังนั้นมันจึงเป็นนายน้อยหลี่ฟู่เฉิน ยินดีต้อนรับกลับ ข้าจะไปแจ้งผู้นำตระกูลและ… ท่านเทียนฮาน”ผู้นำของกลุ่มผู้พิทักษ์ตระกูลหลี่รีบวิ่งเข้าไปในที่พักของผู้นำตระกูลหลี่


 


ลงจากหลังม้า หลี่ฟู่เฉินเดินเข้าไปในบ้านพักของผู้นำตระกูลหลี่ภายใต้สายตาของผู้พิทักษ์ตระกูล


 


***


 


ตอนนี้เป็นเวลาอาหารกลางวัน หลี่ไท่ซานและภรรยาของเขาซูหมิ๋งซานกำลังทานอาหารอยู่


 


“ข้าสงสัยว่าหยุนไห่ที่ฝึกฝนอยู่ที่นิกายวารีครามเป็นอย่างไรบ้าง?” ซูหมิ๋งซานกล่าวถาม


 


หลี่ไท่ซานตอบกลับ “อย่าได้กังวล ตอนนี้หยุนไห่เป็นศิษย์ชั้นในของนิกายวารีคราม ไม่มีอะไรให้เรากังวล”


 


หลังจากทั้งหมดแล้วหลี่หยุนไห่ก็มีโครงกระดูกระดับ 2 ดาว เขาเปลี่ยนจากศิษย์แรงงานไปเป็นศิษย์นิกายชั้นนอกเมื่อสองปีก่อน ปีนี้เขาบุกทะลวงไปสู่ระดับที่ 1 ของขอบเขตต้นกำเนิดได้แล้ว แม้ว่าเขาจะประสบปัญหาในระหว่างการทดสอบเป็นศิษย์นิกายชั้นใน เขาก็ยังคงผ่านการทดสอบมาได้และได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นศิษย์ชั้นใน


 


“พูดก็พูดเถอะ ทำไมหลี่ฟู่เฉินถึงก้าวหน้าได้รวดเร็วเช่นนั้น? สามเดือนก่อน เขามาถึงระดับที่ 7 ของขอบเขตต้นกำเนิดเรียบร้อยแล้ว ด้วยความเร็วของเขา เขาจะไม่บุกเข้าสู่ขอบเขตปฐพีก่อนอายุ 25 ปี?” ซูหมิ๋งซานไม่สามารถทำอย่างไรได้ ได้แต่กล่าวถาม


 


หลี่ไท่ซานเปล่งเสียงทางจมูก “นำตาของเจ้ามองไปให้ไกลขึ้นเถอะ เขาเป็นเพียงโครงกระดูกปกติและจะติดอยู่ที่ระดับ 9 ของขอบเขตต้นกำเนิดเป็นเวลานาน บางทีหยุนไห่อาจจะตามทันก่อนที่หลี่ฟู่เฉินจะฝ่าด่านด้วยซ้ำ”


 


ไม่ว่าในกรณีใด เขาก็จะไม่เชื่อว่าหลี่ฟูเฉินสามารถก้าวไปสู่ขอบเขตปฐพีได้


 


โครงกระดูกระดับ 2 ดาวมีโอกาสก้าวหน้า 20% เท่านั้น  โอกาสของโครงกระดูกปกติในการก้าวหน้าเกือบจะใกล้เคียงกับศูนย์


 


“ข้าก็หวังเช่นนั้น!” ซูหมิ๋งซานพยักหน้า


 


“พ่อ แม่ ข้าพาไจ๋หยูมากับข้าด้วย” หลี่หยุนเห่อเดินเข้ามาในห้องอาหาร ข้างๆ เขาเป็นผู้หญิงที่ดูธรรมดาอายุราวๆ 20 ปี


 


หลี่ไท่ซานและซูหมิ๋งซานรีบวางตะเกียบของตนลงอย่างรวดเร็ว “หยุนเห่อ ไจ๋หยู ไปมาเป็นอย่างไร? ทิวทัศน์ของเมืองหมอกเมฆาเราเป็นอย่างไรบ้าง? แต่เจ้าเด็กน้อยคนนี้… ออกไปไม่นานแต่กลับมาแล้วตอนนี้ ไจ๋หยูต้องเหนื่อยแล้ว!”


 


พวกเขาสองคนมีความสุภาพต่อเซียงไจ๋หยูมาก แม้แต่กระทั้งแสดงคำเยินยอ


 


เซียงไจ๋หยูแสดงท่าทางเย่อหยิ่งและพยักหน้าชาญฉลาด


 


ซูหมิ๋งซานยิ้มและมองเซียงไจ๋หยู “ไจ๋หยู เจ้าอยากทานไรไหม? ข้าจะให้คนเตรียมให้” แม้ว่าอาหารบนโต๊ะจะยังไม่ได้ถูกบริโภคแบบจริงๆ จังๆ ซูหมิ๋งซานก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้แขกของพวกเขาทานของเหลือ


 


เซียงไจ๋หยูกล่าว “กลับไปที่ตระกูลเซียงของข้า อาหารมื้อหนึ่งมูลค่าหลายเหรียญทอง มันเป็นแค่เรื่องธรรมดา” เธอมาถึงที่ตระกูลหลี่เมื่อสองสามวันก่อน และได้รับการต้อนรับที่ดีจากตระกูลหลี่


 


“แม่ แม่ก็รู้อยู่แล้ว ไจ๋หยูไม่คุ้นเคยกับการกินอาหารตามค่าเฉลี่ย” หลี่หยุนเห่อกล่าว


 


อันที่จริงแล้ว เขาไม่ชอบเซียงไจ๋หยูเลยจริงๆ หลังจากทั้งหมดแล้ว เธอก็ดูธรรมดาเกินไป แต่ตระกูลเซียงเป็นตระกูลเจ้าเมืองของเมืองรวยเงิน(แร่เงิน) พวกเขามีภูมิหลังที่แข็งแกร่งและพี่ชายของลูกพี่ลูกน้องเซียงไจ๋หยูเป็นศิษย์หลักของนิกายวารีคราม สถานะที่น่านับถือของเขานั้นสูงกว่าของเจ้าเมืองทั่วไป ถ้าเขาสามารถแต่งงานกับเซียงไจ๋หยูได้ อนาคตของเขาจะดีขึ้นมาก บางทีเขาอาจได้รับพรจากสวรรค์ในการได้รับทรัพยากรที่เพียงพอเพื่อพัฒนาเข้าสู่ขอบเขตปฐพี


 


“เอาหล่ะ ข้าจะขอให้ใครสักคนทำอาหาร”  หลี่ไท่ซานไม่ได้มีศักดิ์ศรีหรือความกล้าหาญในฐานะผู้นำตระกูลใดๆ ตระกูลหลี่จะได้รับประโยชน์จากตระกูลเซียงหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าหลี่หยุนเห่อและเซียงไจ๋หยูจะพัฒนาความรู้สึกของพวกเขาต่อไปได้หรือไม่


 


“ท่านผู้นำ ท่านผู้นำ”


 


ขณะเดียวกับที่หลี่ไท่ซานกำลังจะสั่งคนรับใช้ให้ทำอาหาร นักสู้คนหนึ่งก็รีบเข้ามาจากด้านนอกของโถงอาหาร


 


ใบหน้าของหลี่ไท๋ซานมืดมนลง “มีแขกอยู่ที่นี่ เจ้าอย่าได้แสดงท่าทีให้แขกต้องหวาดกลัว”


 


ผู้นี้เป็นผู้รักษาประตูที่หน้าประตูของตระกูลหลี่แน่นอน เขากล่าว “ท่านผู้นำ นายน้อยหลี่ฟู่เฉินกลับมาแล้ว ตอนนี้เขากำลังรออยู่ที่ห้องโถง”


 


“หลี่ฟู่เฉิน!” ดวงตาของหลี่ไท๋ซานเบิกกว้าง ขณะที่เขาปล่อยประกายแสงอันยะเยือกเย็นออกมาจากดวงตา


 


“หลี่ฟู่เฉิน!” หลี่หยุนเห่อมึนงง


 


เขาและหลี่ฟู่เฉินไม่ได้พบกันมาตั้งแต่สี่ปีที่แล้ว ในช่วงสี่ปีนี้ เขาจะได้รับข่าวของหลี่ฟู่เฉินทุกสองสามเดือน เขารู้และรู้สึกอิจฉาที่หลี่ฟูเฉินทำได้ดีในนิกายวารีคราม นี่เป็นสาเหตุที่เขาต้องการไล่ตามหญิงสาวจากตระกูลเซียง เซียงไจ๋หยู


 


“หลี่ฟู่เฉินผู้นี้คือใคร?” ด้วยสัญชาตญาณของเซียงไจ๋หยู ทำให้รู้ว่าหลี่ฟู่เฉินผู้นี้ไม่ใช่บุคคลธรรมดา


 


หลี่หยุนเห่อตอบ “เขาเป็นหนึ่งในสมาชิกตระกูลหลี่เรา ตอนนี้เขาเป็นศิษย์ชั้นของนิกายวารีคราม”


 


“เพียงแค่ศิษย์นิกายชั้นใน จำเป็นต้องให้ความนับถือหรือไม่?” เซียงไจ๋หยูกล่าวด้วยความรังเกียจ


 


เธอไม่ได้เห็นศิษย์ชั้นในอยู่ในสายตา รากฐานตระกูลเซียงเธอล้ำลึกกว่าของตระกูลเฉินตู่ ลุงคนโตของเธอคือท่านเจ้าเมืองของเมืองรวยเงิน ลุงคนสุดท้องของเธอเป็นผู้ดูแลชั้นในของนิกานวารีคราม สำหรับศิษย์ชั้นใน ตระกูลเซียงเธอมีมากกว่ายี่สิบคน โดยสรุปแล้ว สัมพันธ์ที่เธอมีต่อคนใสตระกูลเซียงเธอเป็นสิ่งที่ไม่มีตระกูลใดในเมืองเล็กๆ เช่นเมืองหมอกเมฆาจะสามารถเปรียบเทียบได้


 


เมืองรวยเงินเป็นเมืองขนาดกลางที่มีประชากร 600,000 คน


 


ได้ยินคำกล่าวของเธอ หลี่หยุนเห่อเริ่มมีความมั่นใจและตอบกลับไป “ไม่มีอะไรที่จะน่ายกย่อง”


 


***


 


ในลานที่ถูกทิ้งรางของผู้นำตระกูลหลี่


 


“ท่านเทียนฮาน ท่านเทียนฮาน”


 


ขณะเดียวกัน นักสู้ของตระกูลหลี่อีกก็คนมาถึงลานเล็กๆ


 


“มีเรื่องอะไร?”


 


หลี่เทียนฮานและเฉินหยูหยานเดินออกมา พวกเขาพบว่ามันแปลกที่คนเฝ้าประตูของตระกูลหลี่ตามหาพวกเขา ก็ในเมื่อมันเกิดขึ้นน้อยมาก


 


“ท่านเทียนฮาน นายน้อยฟู่เฉินกลับมาแล้ว ตอนนี้เขากำลังรออยู่ที่ห้องโถง”


 


“พูดว่าอะไรนะ?” หลี่เทียนฮานคว้าแขนยามแล้วเขย่า


 


“นายน้อยฟู่เฉินกลับมาแล้ว เขาเพิ่งมาถึง” ทำอะไรไม่ถูก ยามไม่มีทางเลือกนอกจากต้องพูดย้ำกับตัวเอง


 


“ฮ่าฮ่า! ฟู่เฉินกลับมาแล้ว หยูหยาน มา ไปดูฟู่เฉินกันเถอะ” หลี่เทียนฮานสั่นด้วยความตื่นเต้น สี่ปีแล้วที่ทั้งคู่เห็นเขาครั้งสุดท้าย และพวกเขาคิดถึงเขามาก


 


เฉินหยูหยานเช็ดตาของเธอ “เด็กนี่ ในที่สุดก็พร้อมที่จะกลับมาหาแม่ของตัวเองแล้ว”


 


ทันใดนั้นเอง ตระกูลหลี่ทั้งหมดก็เกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ แม้แต่กระทั่งผู้อาวุโสตระกูลหลี่ทั้งหมดก็มุ่งหน้าไปยังห้องโถง สำหรับผู้ก่อตั้งตระกูลที่กำลังนั่งสมาธิอยู่อย่างเงียบๆ ก็ยังมีคนถูกส่งไปแจ้งให้เขาทราบ


 


ในห้องโถงรับรอง หลี่ฟู่เฉินค่อยๆ จิบชาของเขาอย่างช้าๆ ด้านขวาและซ้ายของเขามีสาวใช้สองคนยืนอย่างอยากรู้อยากเห็น


 


“ฟู่เฉิน!”


 


หลี่เทียนฮานและเฉินหยูหยานเป็นคู่แรกที่มาถึงห้องโถง พวกเขาเห็นชายหนุ่มที่ดูคุ้นเคย แต่ก็ไม่คุ้นเคย หลี่เทียนฮานและเฉินหยูหยานเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อนอยู่ชั่วครู่ แต่เฉินหยูหยานจู่ๆ ก็ร้องไห้ด้วยความดีใจ


“พ่อ แม่!” หลี่ฟู่เฉินยืนขึ้น ขณะที่ยิ้ม เขาเดินไปหาทั้งสองคน “ฟู่เฉินกลับมาแล้ว”


 


มายืนต่อหน้าร่างกายของพวกเขา เขากอดพวกเขาทั้งคู่


 


หลี่เทียนซานและเฉินหยูหยานแข็งค้างอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นไม่นานก็โผล่เข้ากอดหลี่ฟู่เฉินแน่นทันที


 


“พ่อ แม่ ข้าไม่ได้ไปที่ลานบ้านเพื่อตามหาพ่อกับแม่ก่อน จะไม่โกรธข้าใช่มั้ย?” หลี่ฟู่เฉินกล่าว


 


หลี่เทียนฮานตอบกลับ “ข้าจะต้องโกรธอะไร? ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเราอยู่ที่ไหน แค่นี้แม่เจ้ากับข้าก็มีความสุขมากแล้ว”


 


ฟู่เฉินก็ยังเป็นฟู่เฉิน สิ่งเดียวที่ไม่คุ้นเคยคือใบหน้าของเขา สภาวะพลังของเขาก็ยังดูคุ้นเคยอยู่เช่นกัน


 


“พ่อ แม่ พวกท่านนั่งลงก่อน”


 


ปล่อยทั้งคู่ออก หลี่ฟูเฉินชี้ไปยังตำแหน่งผู้นำตระกูลในห้องโถงรับรอง


 


“ฟู่เฉิน?” หลี่เทียนฮานกลายเป็นตกใจ


 


“พ่อ ในใจของข้า ท่านเป็นผู้นำตระกูลหลี่อยู่เสมอ”



บทที่ 171


การสะกดข่ม


 


 


“ฟู่เฉิน แม่ว่านี่ไม่ดีนัก หากเจ้าทำเช่นนี้ ตระกูลหลี่ทั้งหมดจะตกอยู่ในความสับสนวุ่นวาย เจ้าไม่รีบร้อนเกินไป?” เฉินหยูหยานถามด้วยความสงสัย


 


หลี่เทียนฮานเองก็กล่าวเช่นกัน “เจ้าอย่ารีบร้อนเกินไป ตอนนี้ข้าไม่เป็นไร ข้ายังมีอาหารและนอนหลับเพียงพอ เจ้าไม่ต้องกังวลกับมันมากเกินไป”


 


พวกเขาสองคนมีข้อกังวลมากมาย ความกังวลที่ใหญ่ที่สุดคือหลี่ฟู่เฉินยังไม่ได้พัฒนาไปสู่ขอบเขตปฐพี ตราบใดที่เขาไม่ได้ขอบเขตปฐพี พวกเขาจะไม่สามารถรู้สึกสบายใจได้ โครงกระดูกปกติมีตัวแปรที่คำนวณไม่ได้จำนวนมากเกินไป และอาจเกิดอะไรขึ้นก็ได้


 


น่าเสียดายที่พวกเขาสองคนไม่สามารถเห็นได้ว่าหลี่ฟูเฉินก้าวเข้าสู่ขอบเขตปฐพีไปแล้ว


 


“พ่อ แม่ ท่านคิดว่าฟู่เฉินจริงๆ แล้วโง่? ถ้าไม่มีความสามารถบางอย่างข้าจะทำสิ่งนี้? ตั้งแต่ข้ากล้าที่จะทำ มันก็หมายความว่าข้ามีความมั่นใจอย่างที่สุด และจะไม่กลัวใดๆ”


 


“ฟู่เฉิน จริงๆ แล้วเจ้า…”


 


หลี่เทียนฮานคิดถึงความเป็นไปได้ที่น้อยที่สุด จากการแสดงออกของหลี่ฟู่เฉิน ความเป็นไปได้ที่น้อยที่สุดดูเหมือนจะเป็นจริง


 


“พ่อ พวกเขากำลังมา นั่งลงตรงตำแหน่งผู้นำตระกูล หากเชื่อใจลูกชายของพ่อ” หลี่ฟู่เฉินรู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่าง


 


“ช่างเถอะ งั้นข้าจะนั่งลงบนมัน อย่างมากข้าก็แค่ถูกไล่ออกไปอีกครั้ง”


 


หลี่เทียนฮานรู้สึกกระอักกระอ่วน แต่ก็ค่อนข้างตื่นเต้นเช่นกัน เขาไม่ได้ตื่นเต้นที่จะได้เป็นผู้นำตระกูลอีกครั้ง แต่ตื่นเต้นสำหรับเมื่อตอนที่หลี่ฟู่เฉินจะเปิดเผยความสามารถที่แท้จริงของเขา


 


ได้ยินเสียงฝีเท้าดังขึ้นเป็นระยะๆ ผู้อาวุโสตระกูลหลี่เดินเข้ามาในห้องโถงรับรอง


 


เมื่อพวกเขาเห็นที่นั่งของผู้นำตระกูลเป็นหลี่เทียนฮานนั่ง ขากรรไกรของพวกเขาลดลงไปเอง ขณะที่มองมาอย่างเซื่องซึม


 


“กล้าอย่างแท้จริง หลี่เทียนฮาน อะไรที่ทำให้เจ้ากล้านั่งลงที่นั้น เจ้าพยายามที่จะกบฏ?”


 


“หลี่เทียนฮาน ลงมาซะตั้งแต่ตอนนี้ และเจ้าอาจมีโอกาสได้รับการอภัย อย่าได้สร้างความผิดทั้งๆ แบบนี้”


 


ผู้อาวุโสที่อยู่ด้านข้างตะโกนใส่หลี่เทียนฮาน


 


“หุบปาก”


 


หลี่ฟู่เฉินกวาดสายตาและจ้อง สภาวะพลังฉีที่ดูเกรี้ยวโกรธของเขาปรากฏขึ้นราวกับสายฟ้าฟาด ส่งผลให้ความเย็นของหลังเป้าหมายลดลง


 


เสียงฝีเท้าดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้มันเป็นหลี่ไท่ซานและกลุ่มที่มาถึง


 


เห็นหลี่เทียนฮานนั่งอยู่ที่ในที่นั่งของผู้นำตระกูล หลี่ไท่ซานเปลี่ยนจากความโกรธเป็นเสียงหัวเราะ “ทำได้ดีหลี่เทียนฮาน ดูเหมือนว่าเจ้ายังคงต้องการผู้นำตระกูล เจ้าคิดว่าการนั่งบนนั้นจะทำให้เจ้าอยู่ในผู้นำตระกูลหรือไม่? หยุดฝันและลงไป!”


 


หลี่ไท๋ซานตอนนี้กลายเป็นโกรธแล้วอย่างแท้จริง


 


เขาเป็นผู้นำตระกูลในปัจจุบันและการที่เขากล้าที่จะไม่สนใจเขา อย่าได้กล่าวถึงหลี่ฟู่เฉินที่อยู่ในขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่ 7 แม้แต่กระทั่งขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่ 9 ตระกูลหลี่ก็ยังคงไม่อนุญาตให้มีการต่อต้านหลี่ไท่ซานอยู่ดี


 


“หลี่ไท่ซาน ตำแหน่งผู้นำตระกูลมีไว้สำหรับคนที่มีศักดิ์ศรีและมีความกล้าหาญ เจ้าที่เป็นผู้นำตระกูลหลี่ ข้าจะไม่กล่าวถึงว่าเจ้าติดสินบนเฉินตู่หลางจากตระกูลเฉินตู่อย่างไร แต่หลี่เซี่ยวตี้ที่เป็นสมาชิกตระกูลหลี่เรา พ่อของเธอถูกฆ่าโดยเฉินตู่หลาง และเจ้าก็ไม่ฟังหรือแม้แต่ถาม เจ้ามีค่าพอที่จะผู้นำตระกูลหรือไม่?” นับตั้งแต่ที่เขานั่งอยู่บนที่นั่งของผู้นำตระกูล หลี่เทียนฮานไม่ตอบว่าเขาต้องการตำแหน่งผู้นำตระกูลหรือไม่ แต่กลับถามหลี่ไท่ซานแทน


 


หลี่ไท่ซานแย้ง “หลี่ต้าเจียงหาเรื่องใส่ตัว เขาไม่สามารถตำหนิใครได้ หลี่เทียนฮาน ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้งหนึ่ง ออกไป หากไม่เช่นนั้น ฉันจะจัดการกับเจ้าตามกฎนิกาย”


 


“ใช้กฎนิกาย? เหอะ น่าเสียดายที่เจ้าไม่ใช่ผู้นำตระกูลอีกต่อไปแล้ว” หลี่ฟูเฉินกล่าวอย่างไม่แยแส


 


หลี่ไท๋ซานมองไปที่หลี่ฟู่เฉินด้วยสายตาที่ดุร้าย “เมื่อไหร่กันที่เจ้าผู้เป็นเยาวชนสามารถขัดจังหวะขณะที่ผู้ใหญ่กำลังพูด? ข้าอยากจะถามเจ้า ทำไมข้าถึงจะไม่ได้เป็นผู้นำตระกูลอีกแล้ว?”


 


“เจ้าถูกไล่ลงตำแหน่งแล้ว”


 


“ฮ่าฮ่า ไล่ลง? ใครกันที่จะไล่ข้าลง?” หลี่ไท๋ซานหัวเราะเสียงดัง


 


“ข้า” หลี่ฟู่เฉินตอบกลับ


 


“เจ้าเป็นใครถึงกล่าวเช่นนั้น” สภาวะพลังฉีที่ชั่วร้ายพุ่งออกมาจากร่างกายของหลี่ไท๋ซาน มันไม่สำคัญว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต วันนี้ เขาต้องนำความกล้าหาญของเขาออกมาในฐานะผู้นำตระกูล หากไม่เช่นนั้น ใครกันที่จะยอมเชื่อฟังเขา


 


“หลี่ฟู่เฉิน สิ่งที่เจ้าทำคือการกบฏ  หากพ่อของเจ้าไม่ก้าวลงมา เช่นนั้นอย่าได้โทษพวกเราที่ทำตัวหยาบคาย” ผู้อาวุโสที่สนับสนุนหลี่ไท่ซานทุกคนปลดปล่อยสภาวะพลังฉีของพวกเขาและมันดูเหมือนจะไม่เป็นมิตรนัก


 


ผู้อาวุโสที่เหลือของตระกูลหลี่ลังเลและตัดสินใจที่จะสังเกตการณ์


 


ในทันที บรรยากาศทั้งหมดเริ่มรุนแรง


 


“ตระกูลหลี่ของเจ้าแน่แท้แล้วว่าเป็นสถานที่ที่ไร้กฎระเบียบ หากเป็นที่ตระกูลเซียงของข้า กลุ่มผู้ต่อต้านจะถูกสังหาร” เซียงไจ๋หยูมองดูราวกับว่าเธอกำลังดูการแสดงโชวอยู่


 


ใบหน้าของหลี่หยุนเห่อเปลี่ยนเป็นสีดำเข้มและกล่าวว่า “อย่าได้กังวล เรื่องนี้จะไม่จบลงอย่างง่ายดาย หลี่ฟูเฉินและครอบครัวของเขาจะถูกลงโทษอย่างหนัก”


 


“ฮะ ฮะ” หลี่ฟู่เฉินหัวเราะเบาๆ


 


“หลี่ฟู่เฉิน เจ้าหัวเราะอะไร?” หลี่ไท๋ซานกล่าวถามด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม


 


หลี่ฟู่เฉินตอบกลับ “ข้าหัวเราะที่เจ้าประเมินตัวเองสูงเกินไป กลุ่มของนักสู้ขอบเขตต้นกำเนิดแค่ระดับสูง ยังกล้าแสดงตัวตนต่อหน้าข้า? เจ้าคิดว่าข้าไปที่นิกายวารีครามเพื่อความสนุกเท่านั้น?”


 


ในขณะที่เขากล่าว หลี่ฟู่เฉินก้าวไปข้างหน้า และปลดปล่อยสภาวะพลังฉีออกจากตัวเขา


 


ทันที อุณหภูมิในห้องโถงสูงขึ้นเล็กน้อย


 


ภายใต้แรงกดดันจากสภาวะพลังฉีของหลี่ฟู่เฉิน หลี่ไท๋ซานและผู้ที่สนับสนุนเขาเปลี่ยนเป็นหน้าซีด ราวกับก้อนหินขนาดยักษ์กดลงบนร่างของพวกเขา ส่งผลทำให้หายใจไม่ออกและอึดอัดอย่างมาก


 


“พลังกดดันจากสภาวะพลังฉี สภาวะพลังฉีที่โดดเด่นอะไรเช่นนี้”


 


ผู้อาวุโสตระกูหลี่ที่สังเกตการณ์ตกใจยิ่ง


 


โดยทั่วไปแล้ว แม้แต่กระทั่งนักสู้ขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่ 9 ไม่สามารถใช้สภาวะพลังฉีเพื่อสกดข่มนักสู้ขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่ 1 ได้ เฉพาะหลังจากผ่านไปสู่ขอบเขตปฐพีแล้วเท่านั้นถึงจะสามารถใช้สภาวะพลังฉีเพื่อกดดันคู่ต่อสู้ได้


 


พวกเขายังไม่รู้ว่าหลี่ฟูเฉินอยู่ในขอบเขตปฐพีเรียบร้อยแล้ว พวกเขาคิดว่ามันเป็นเพราะหลี่ฟู่เฉินฝึกฝนเทคนิคระดับลึกลับ ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมสภาวะพลังฉีของเขาถึงดูน่ากลัว


 


แน่นอน หลี่ฟูเฉินใช้สภาวะพลังฉีของเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


 


หากเขาระเบิดสภาวะพลังฉีที่แท้จริงของเขา จะไม่มีใครในห้องโถงรับรองสามารถต้านทานมันได้ ถ้าตั้งใจ สภาวะพลังฉีของเขาสามารถทำให้ร่างกายของบุคคลพังทลายได้อย่างง่ายดาย


 


“หลี่ฟู่เฉิน เจ้าพยายามจะทำอะไร? กบฎ? ตระกูลหลี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าสามารถท้าทายได้”


 


ในเวลานี้ ความกล้าหาญและความแข็งแกร่งจากสภาวะพลังฉีปกคลุมลามไปถึงด้านนอกของห้องโถงรับรอง


 


สภาวะพลังฉีนี้กว้างใหญ่มาก ถ้าสภาวะพลังฉีของหลี่ไท่ซานเป็นเหมือนกับสายลมอ่อนโยน เช่นนั้นสภาวะพลังฉีนี้ก็เหมือนลมโหมกระโชกแรง


 


ด้วยสภาวะพลังฉีที่เข้าปกคลุม หลี่ไท่ซานและกลุ่มของเขาที่รู้สึกคล้ายกับแบกน้ำหนักมหาศาลไว้อยู่ จู่ๆ ก็ไม่รู้สึกใดๆ อีก แสงแห่งความประหลาดใจที่น่ายินดีเอาชนะใบหน้าซีดๆ ของพวกเขา


 


ท้องฟ้าของตระกูลหลี่ไม่ใช่ผู้นำตระกูล แต่สภาอาวุโสและผู้ก่อตั้งหลี่ซวนเฟิง


 


ตราบใดที่ผู้ก่อตั้งยังอยู่ที่นี่ หลี่ฟู่เฉินก็ไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก


 


“ข้ากำลังรอเจ้าอยู่”


 


หลี่ฟู่เฉินมองดูหลี่ซวนเฟิงที่เดินเข้ามาในห้องโถง


 


หลี่ซวนเฟิงพยักหน้าไปยังเซียงไจ๋หยูแล้วส่งสายตาของเขาไปที่หลี่ฟู่เฉินและหลี่เทียนฮานทันที สังเกตเห็นหลี่เทียนฮานนั่งอยู่ที่นั่งผู้นำตระกูล ดวงตาของเขาดูไม่พอใจเท่าใด “หลี่เทียนฮาน เจ้ากล้าดีอย่างไร เจ้าไม่ได้เรียนรู้จากบทเรียนก่อนหน้านี้?”


 


ก่อนที่หลี่เทียนฮานจะได้กล่าว หลี่ฟู่เฉินตอบ “หลี่ซวนเฟิง เจ้าสมควรจะเป็นญาติผู้ใหญ่ของข้า ตามหลักควรแล้วข้าควรเรียกเจ้าว่าปู่ แต่ในระหว่างการแข่งขันอัจฉริยะของเมืองหมอกเมฆา เจ้าขอให้ข้ายอมแพ้หลี่หยุนไห่ เพียงเพราะเจ้าชอบเขา หากเป็นเพียงแค่เหตุผลนี้ ข้ายังคงสามารถทักทายเจ้าในฐานะปู่ใหญ่หรือผู้ก่อตั้งได้อยู่ต่อ แต่เจ้าได้ทำสิ่งที่เจ้าไม่ควรทำลงไป นั่นคือความโกรธของเจ้าที่มีต่อพ่อและแม่ของข้า การถูกไล่ออกจากตำแหน่งผู้นำตระกูลของพ่อข้า และการลดตำแหน่งเขาให้กลายเป็นคนในตระกูลสาขา ใช่ ก็จริงที่เจ้าอาจสามารถทำเช่นนั้นได้ เพราะโลกนี้ในท้ายที่สุดแล้วก็เป็นกฎของผู้แข็งแกร่ง ในฐานะที่เจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญอันดับต้นๆ ของตระกูลหลี่ งั้นแล้วข้าก็คงไม่มีอะไรที่จะกล่าว…”


 


“เจ้ากล้าพูดกับข้าและยังเรียกชื่อของข้า ใครให้ความกล้าเจ้าถึงเช่นนี้!”


 


ก่อนที่หลี่ฟู่เฉินจะกล่าวจบ หลี่ซวนเฟิงกลายเป็นโกรธแล้ว สภาวะพลังฉีของเขาเข้าปกคลุมหลี่ฟู่เฉินโดยฉับพลัน โถงรับรองทั้งหมดคลายกับมีพายุก่อตัว ไม่มีใครกล้ากล่าวใดๆ เพราะผู้ก่อตั้งโกรธแล้วอย่างแท้จริง


 


“อวดดี!” หลี่หยุนเห่อตกใจ เขาไม่ได้คาดหวังว่าหลี่ฟู่เฉินจะเรียกชื่อผู้ก่อตั้งโดยตรง เขาท้าทายอย่างที่สุด


 


เซียงไจ๋หยูส่านหัวของเธอ กล้าที่จะต่อสู้กับนักสู้ขอบเขตปฐพี เธอสงสัยว่าเขาโง่หรือโง่



บทที่ 172


นี่คือสภาวะพลังฉี


 


 


“ฟู่เฉิน!”


 


ภายใต้สภาวะพลังฉีของหลี่ซวนเฟิง หลี่เทียนฮานและเฉินหยูหยานกลายเป็นหายใจลำบาก พวกเขาสองคนมองไปที่หลี่ฟูเฉินอย่างเป็นกังวล หลังจากทั้งหมดแล้ว หลี่ฟู่เฉินก็สกัดกั้นสภาวะพลังฉีของหลี่ซวนเฟิงเป็นส่วนใหญ่


 


“นี่คือสภาวะพลังของเจ้า? อ่อนแอเกินไป”


 


หลี่ฟู่เฉินแสดงออกอย่างมั่นใจ แม้จะถูกกดดันจากสภาวะพลังฉีของหลี่ซวนเฟิง มันก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อวิญญาณหรือร่างกายของเขาเลย เขาดูแล้วราวกับว่าเขากำลังเพลิดเพลินไปพร้อมสายลมอ่อนๆ อย่างน้อยที่สุดนั่นก็คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่คิดว่ามันดูเหมือน


 


ดวงตาของหลี่ซวนเฟิงเบิกกว้างและกำลังจะกล่าว


 


“สภาวะพลังฉีสมควรเป็นแบบนี้”


 


โดยไม่ต้องเปิดใช้งานเทคนิคลับมังกรเร้นลับ หลี่ฟู่เฉินปลดปล่อยสภาวะพลังฉีของเขาโดยการโคจรเทคนิคเพลิงโลกันต์แท้จริง


 


บูม!


 


ดูคล้ายกับคลื่นที่กำลังพลุ่งพล่าน คล้าบกับการระเบิดของภูเขาไฟ สภาวะพลังฉีเหนือจริงเกิดการระเบิดขึ้น ในสายตาของทุกคน ห้องโถงรับร้องทั้งหมดดูเหมือนจะบิดเบือน พื้นบิดเบี้ยว เสา ร่างกายรอบๆ พวกเขา หลังคา และอากาศดูเหมือนจะบิดเบือนไป แต่ผลกระทบทางกายภาพให้ความรู้สึกสมจริงยิ่งขึ้น ราวกับว่าพวกเขาตกอยู่ในนรกที่ลุกโหมกระหน่ำ ความร้อนอันท่วมท้นได้แยกสลายจิตใจของพวกเขาไปอย่างช้าๆ


 


เพียงครู่เดียว ในห้องโถงรับรองแห่งนี้ ยกเว้นเพียงหลี่เทียนฮานและเฉินหยูหยานที่ยืนอยู่ด้านหลังหลี่ฟู่เฉิน ทุกคนพบว่ามันยากแม้แต่กระทั่งการขยับนิ้ว ทุกคนตกลงไปในความหวาดกลัวและจิตใจกลายเป็ฯว่างเปล่า


 


สภาวะพลังฉีไม่เพียงแต่เป็นแรงกดดันที่ส่งผลต่อร่างกายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเจตจำนงของจิตวิญญาณด้วย


 


ภายใต้แรงกดดันของหลี่ฟู่เฉิน วิญญาณของทุกคนจะหยุดชะงักและความรู้สึกของพวกเขาทั้งหมดกลายเป็นยุ่งเหยิง


 


เมื่อย้อนดูจากสภาวะพลังฉีที่หลี่ฟู่เฉินปลดปล่อยออกมาก่อนหน้า แม้แต่กระทั้งอัจฉริยะจากทั้งสามนิกายก็ต้องหลบหนีอย่างเมามัน


 


ตอนนี้ สิ่งที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าของหลี่ซวนเฟิงก็คือความกลัวและความตกใจ


 


นี่เขายังเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่?


 


เพียงแค่สภาวะพลังฉีก็เพียงพอที่จะปราบปรามเขา


 


เขาไม่ได้เป็นนักสู้ตามค่าเฉลี่ย การฝึกฝนของเขาอยู่ในที่ระดับ 3 ของขอบเขคปฐพี


 


แม้แต่กระทั้งเจ้าเมืองหมอกเมฆา เฉินตู่เจียนเห่อก็ไม่สามารถใช้สภาวะพลังฉีเพื่อทำให้เขาหยุดชะงักได้


 


แต่หลี่ซวนเฟิงไม่ยอมรับชะตากรรมของตัวเอง เขาพยายามอย่างหนักเพื่อต่อต้าน และพยายามแยกตัวออกสภาวะพลังของหลีฟู่เฉิน


 


หลี่ฟู่เฉินหัวเราะอย่างเย็นชาและเพิ่มแรงกดดันจากสภาวะพลังของเขา ใบหน้าของหลี่ซวนเฟิงเปลี่ยนเป็นสีแดง แม้แต่กระทั้งร่างกายของเขาก็ยังสั่น


 


“หลี่ซวนเฟิง ย้อนกลับไปเมื่อตอนนั้น เจ้าบังคับให้พ่อสละตำแหน่งผู้นำตระกูลพ่อและลดระดับเขาลงไปตระกูลสาขา ข้าและครอบครัวของข้าหลี่ฟู่เฉินไม่สามารถกล่าวสิ่งใดได้ เพราะเราอ่อนแอ ตอนนี้เจ้าต้องการพูดอะไรหรือไม่?” หลี่ฟู่เฉินตะโกน


 


หลี่ซวนเฟิงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะอ้าปากพูด แต่ก็ไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาได้แม้แต่คำเดียว


 


อะไรที่เขาสามารถกล่าวได้? ใครจะคาดหวังว่าหลี่ฟู่เฉินจะรุดหน้าไปได้ไกลเช่นนี้ เพียงไม่กี่ปีและเขาได้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็วจากขอบเขตต้นกำเนิดสู่ขอบเขคปฐพี


 


และเขาก็ไม่ใช่แค่นักสู้ขอบเขตปฐพีธรรมดาๆ นักสู้ขอบเขตปฐพีธรรมดจะไม่สามารถปลดปล่อยสภาวะพลังฉีเกิน 10% ได้


 


หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความโกรธและเสียใจ ตอนนี้ความรู้สึกของหลี่ซวนเฟิงเต็มไปด้วยความซับซ้อน


 


“ฟู่เฉิน เจ้าก้าวเข้าสู่ขอบเขตปญพีแล้ว?” ในที่สุดหลี่เทียนฮานก็ถามคำถาม


 


หลี่ฟู่เฉินพยักหน้า “พ่อ แม่ ฟู่เฉินไม่ได้ทำให้พวกท่านผิดหวัง ครึ่งเดือนที่ผ่านมา ข้าก้าวขึ้นสู่ระดับที่ 1 ของขอบเขตปฐพีสำเร็จและได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นศิษย์หลักของนิกายวารีคราม”


 


“ศิษย์หลัก!”


 


ร่างกายของหลี่เทียนฮานสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เขาไม่สามารถทำอย่างไรได้ ได้แต่มองไปที่เฉินหยูหยานภรรยาของเขา


 


เขาตระหนักได้ว่าใบหน้าของเฉินหยูหยานนั้นเต็มไปด้วยน้ำตา


 


ศิษย์หลัก รู้ไหมว่าสิ่งนี้หมายความว่าอย่างไร?


 


ยกเว้นเจ้าเมืองของเมืองหลัก เจ้าเมืองเมืองอื่นๆ ทั้งหมดมีสถานะต่ำกว่าศิษย์หลักทั้งนั้น มันก็หมายความว่าศิษย์หลักเป็นรองเพียงผู้อาวุโสชั้นในเท่านั้น แม้แต่ผู้อาวุโสชั้นนอกก็ไม่สามารถเทียบได้


 


อย่างน้อยก็หนึ่งศตวรรษแล้ว นับตั้งแต่เมืองหมอกเมฆามีศิษย์หลักอยู่ในนิกายวารีคราม


 


ที่สำคัญที่สุดคือ หลี่ฟูเฉินอายุเพียง 19 ปีเท่านั้น ยังคงมี 16 ปีก่อนที่เขาจะอายุ 35 ปี


 


ศิษย์หลักอายุ 30 ปีขึ้นไปที่เพิ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตปฐพีสถานะจะต่ำกว่าหลี่ฟูเฉิน


 


“สวรรค์ได้ให้พรหลี่เทียนฮานแล้ว ตอนนี้หสกข้าตายไปก็ไม่เสียใจ”


 


หลี่เทียนฮานมองขึ้นไปบนท้องฟ้าและถอนหายใจอย่างหนัก เขาไม่สามารถควบคุมอารมณ์ที่พลุ่งพล่านไปมาของเขาได้


 


ตอนนี้ ผู้นำตระกูลหรือตระกูลหลี่ไม่ใช่สิ่งสำคัญอีกต่อไป


 


ได้ยินหลี่ฟู่เฉินยอมรับว่าเขาเป็นนักสู้ขอบเขตปฐพีระดับที่ 1 หลี่ไท่ซานและกลุ่มเกือบจะล้มลงไป


 


สิ่งนี้จะเป็นไปได้อย่างไร?


 


โครงกระดูกปกติก้าวหน้าไปถึงขอบเขตปฐพีได้ก่อนอายุ 19 ปีและกลายเป็นศิษย์หลักของนิกายวารีคราม ไม่มีเหตุผลใดๆ มารับรองเบื้องหลังนี้ได้


 


การแสดงออกของหลี่หยุนเห่อดูซีดเซียวมาก เขามองไปที่หลี่ฟู่เฉินอย่างงุนงง หัวใจของเขาเศร้าโศกเมื่อเขารู้ว่าเขาจะไม่สามารถตามหลี่ฟูเฉินทันได้ตลอดชีวิตของเขาอีกแล้ว พวกเขามีอายุเท่ากัน แต่ตอนนี้คู่แข่งของเขาอยู่ที่ขอบเขตปฐพี ในขณะที่เขาเป็นเพียงนักสู้ขอบเขตต้นกำเนิด เขาจะแข่งขันต่อไปได้อย่างไร?


 


“นายน้อยฟู่เฉิน เรารู้ความผิดพลาดของเราแล้ว โปรดยกโทษด้วย”


 


ผู้อาวุโสที่สนับสนุนหลี่ไท่ซานทุกคนกล่าวด้วยความหวาดกลัว


 


ถอนสภาวะพลังฉีกลับมา หลี่ฟูเฉินเพิกเฉยต่อการดำรงอยู่ของคนเหล่านี้และประกาศว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หลี่ไท่ซานจะถูกปลดออกจากตำแหน่งผู้นำตระกูล พ่อของข้าหลี่เทียนฮานจะทำหน้าที่นี้อีกครั้ง”


 


“พ่อ ท่านคงต้องจัดการกับเรื่องที่เหลือแล้ว!”


 


หลี่ฟู่เฉินไม่ได้เป็นผู้นำตระกูลหลี่ เขาได้ก้าวล้ำอำนาจของตัวเองในการยกเลิกตำแหน่งของหลี่ไท่ซาน กิจการของตระกูลจะดีที่สุดหากทิ้งให้หลี่เทียนฮานพ่อของเขาจัดการ


 


หายใจเข้าลึกๆ หลี่เทียนฮานพยักหน้าและกล่าว “หลี่ไท่ซาน ในขณะที่เป็นอดีตผู้นำตระกูล เจ้าไม่ได้ยึดถือความยุติธรรมสำหรับตระกูลของเจ้าเองและกลับกันเจ้าไปสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับฆาตกร เจ้าแม้แต่กระทั้งยอมรับเม็ดยาจากฆาตกร ข้าจะลงโทษเจ้าด้วย…”


 


หลี่เทียนฮานชัดเจนเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในตระกูลหลี่ ตราบใดที่มีข้อผิดพลาดเกิดขึ้น มันจะได้พบกับการลงโทษ


 


สำหรับหลี่ซวนเฟิง หลังจากทั้งหมดแล้วเขาก็ยังเป็นผู้ก่อตั้งตระกูลหลี่ แม้ว่าจะไม่ได้มีข้อดีใดๆ แต่เขาก็ยังคงมีความพยายาม ยิ่งไปกว่านั้น การลงโทษผู้ก่อตั้งในที่สาธารณะจะทำให้ผู้คนเสียศรัทธาเอาได้


 


ดังนั้น หลี่เทียนฮานจึงไม่สนใจหลี่ซวนเฟิง


 


เขาเชื่อว่าหลังจากเรื่องนี้ผ่านไป หลี่ซวนเฟิงจะไม่กล้าใช้อำนาจของผู้ก่อตั้งอีกต่อไป


 


ขณะที่หลี่เทียนฮานกำลังกำหนดบทลงโทษ เซียงไจ๋หยูกล่าว “ตำแหน่งผู้นำตระกูลของลุงหลี่ไท่ซานไม่ได้ถูกปลดออก หลี่ฟู่เฉิน เจ้าทำเกินขอบเขตของเจ้าแล้ว”


 


ตระกูลหลี่เป็นเพียงตระกูลเล็กๆ ในสายตาของเธอ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตำแหน่งผู้นำตระกูลก็ยังคงสำคัญ เธอ เซียงไจ๋หยูที่จะกลายเป็นภรรยาของตระกูลในอนาคตไม่สามารถมีสามีเป็นคนปกติได้ หากอนาคตได้ชื่อผู้นำตระกูลเล็กๆ มันจะฟังดูดีขึ้นมาก


 


“เจ้าเป็นคนนอก เจ้ามีสิทธิ์อะไรที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวกับกิจการของตระกูลหลี่เรา” หลี่เทียนฮานขมวดคิ้ว


 


เขารู้สถานะของเซียงไจ๋หยู ถ้าเป็นคนอื่น เขาจะขอให้ใครบางคนส่งเธอออกไป


 


“ข้า เซียงไจ๋หยูมักจะพูดในสิ่งที่ข้าต้องการจะพูด ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตจากผู้ใด” เซียงไจ๋หยูกล่าวเบาๆ


 


หลี่ฟู่เฉินหัวเราะเย็นชา “เจ้าเป็นใคร?”


 


“ตระกูลจากเมืองรวยเงิน เซียงไจ๋หยู หลี่ฟู่เฉิน แม้ว่าเจ้าจะเป็นศิษย์หลัก แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับข้า เซียงไจ๋หยู ฉะนั้นเจ้าสมควรถอยกลับออกไปหนึ่งก้าว” คนอื่นกลัวหลี่ฟูเฉิน แต่เธอไม่ พี่ชายของลูกพี่ลูกน้องเธอกลายเป็นศิษย์หลักเมื่อหลายปีก่อน


 


หลี่ฟู่เฉินตอบกลับ “ท้องฟ้าสูงและพื้นดินก็หนา ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเข้าใจ แต่ให้ข้าบอกความจริงกับเจ้า แม้แต่ผู้นำตระกูลของเมืองรวยเงิน ท่านเจ้าเมืองรวยเงินมาที่นี้ เขาก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะขอให้ข้าถอยกลับ ตอนนี้หายไปจากห้องโถงรับรองก่อนที่ข้าจะจับเจ้าและให้ตระกูลเซียงของเจ้ามาไถ่ตัวเจ้ากลับ”


 


“หลี่ฟู่เฉิน เจ้ากล้า? เซียงเทียนเชียงพี่ชายของลูกพี่ลูกน้องข้าได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นศิษย์หลักเมื่อหลายปีก่อน เจ้ากล้าแตะต้องข้าอยู่หรือไม่?!” เซียงไจ๋หยูกรีดร้อง


 


“เซียงเทียนเชียง ข้าเคยได้ยินชื่อนี้ ศิษย์ระดับเงินเพียงคนเดียวและเจ้ายังกล้าที่จะใช้เขามาทำให้ข้ากลัว? ไปให้พ้น” หลี่ฟู่เฉินโบกมือของเขา แรงลมแรงผลักเซียงไจ๋หยูออกจากห้องโถง


 


การแสดงออกของหลี่หยุนเห่อเปลี่ยนไป หลี่ฟู่เฉินไม่กลัวแม้แต่กระทั้งเจ้าเมืองรวยเงินและกล่าวว่าพี่ชายของลูกพี่ลูกน้องเซียงไจ๋หยูเป็นศิษย์หลักระดับเงิน สถานะของเขาน่ากลัวมากแค่ไหนกัน?


 


หลี่หยุนเห่อไม่กล้าพูดอะไรเลยและออกไปอย่างรวดเร็วหลังจากเซียงไจ๋หยูถูกส่งออก


 


ในโถงรับรอง ทุกคนอยู่ในสภาวะหยุดนิ่งอีกครั้ง


 


จากโทนเสียงของหลี่ฟู่เฉิน พวกเขารู้ได้อย่างคร่าวๆ ว่าสถานะของหลี่ฟู่เฉินนั้นน่ากลัวเกินกว่าที่พวกเขาจะจินตนาการได้



บทที่ 173


ไปสังหารคนตระกูลเฉินตู่


 


 


ขณะที่หลี่เทียนฮานกำลังส่งบทลงโทษ ห้องโถงรับรองดูเหมือนจะเงียบและวังเวงมาก


 


หลังจากได้รับการลงโทษแล้ว ไม่มีใครกล้าออกไป


 


โปรดอย่าได้ล้อเล่นใดๆ หลี่ฟู่เฉินยังอยู่ คงไม่มีผู้ที่กล้าลุกขึ้นและออกไป แม้แต่กระทั่งผู้ก่อตั้งเองก็ไม่กล้าทำ


 


หลี่ฟู่เฉินกวาดสายตามองทุกคน จากนั้นก็มองไปที่หลี่ท่ซานขณะที่เขาถาม “พ่อของหลี่เซี่ยวตี้ถูกฆ่าได้อย่างไร? หากเจ้ากล้าบิดเบือนความจริงแม้แต่เพียงนิด อย่าได้โทษข้าหากข้าดูไร้ความเมตตา”


 


หลี่ไท่ซานเป็นคนที่ขี้กลัวและขี้ขาดอยู่ก่อนแล้ว เขาจะปกปิดสิ่งต่างๆ ได้อย่างไร เขาอธิบายรายละเอียดทั้งหมดรวมถึงตัวเขาเองที่รับสินบนจากตระกูลเฉินตู่เป็นเม็ดยาสีเหลืองขั้นสูง 5 เม็ด ความคิดเพียงอย่างเดียวของเขาในตอนนี้คือการรับการลงโทษอย่างซื่อสัตย์และไม่กล้าคิดอะไรอีกเลย เขารู้สึกว่าโชคดีที่เขาไม่ปล่อยสิ่งต่างๆ ลงน้ำ หากไม่เช่นนั้นแล้ว ผลที่ตามมาจะไม่เป็นเช่นนี้ บางทีหลี่ฟู่เฉินอาจฆ่าเพื่อแสดงความกล้าหาญของเขา


 


“ขอหลี่เซี่ยวตี้ให้มา” หลี่ฟู่เฉินสั่งผู้อาวุโสคนหนึ่งของตระกูลหลี่


 


หลี่เซียวตี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าหลี่ฟู่เฉินจัดการทุกคนทุกระดับในตระกูลหลี่แล้ว เมื่อเห็นว่าสมาชิกสภาทุกคนอยู่ใกล้ๆ เธอไม่สามารถทำอย่างไรได้ ได้แต่คุกเข่าน้ำตาคลอ “ข้าขอให้ตระกูลหลี่ช่วยเซียวตี้หาความยุติธรรม”


 


“เซียวตี้ ยืนขึ้น” หลี่ฟู่เฉินกล่าว


 


หลี่เซียวตี้ มองไปที่กลุ่มผู้ก่อตั้งและหลี่ไท่ซานอย่างลังเล


 


หลี่ไท่ซานกล่าว “หัวหน้าตระกูลน้อยอนุญาตให้เจ้าลุกขึ้น ก็ทำมันให้เร็ว”


 


หลี่ฟู่เฉินจ้องไปที่หลี่ไท่ซาน “เมื่อไหร่กันที่ข้าให้เจ้าพูด? เซียวตี้ อย่ากลัวเลย อะไรก็ตามที่ทำให้เจ้าเสียใจ บอกกับข้าทุกสิ่ง ข้า หลี่ฟู่เฉินจะส่งความยุติธรรมคืนให้เจ้า ผู้ที่ควรถูกฆ่าตาย จะถูกฆ่า ผู้ที่ควรได้รับการลงโทษ จะถูกลงโทษ จะไม่มีใครรอดชีวิตไปได้”


 


การเดินทางปัจจุบันของเขาไม่ได้มาเพื่อพักอย่างสงบอยู่ในเมืองหมอกเมฆา เขาต้องการเปลี่ยนท้องฟ้าของเมืองหมอกเมฆา


 


หลี่เซียวตี้ไม่ได้โง่ เห็นหลี่ฟูเฉินตำหนิหลี่ไท่ซานและยังไม่มีใครกล้าพูดอะไร แสดงให้เห็นว่าวันนี้หลี่ฟู่เฉินไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว คิดถึงความทุกข์และความเจ็บปวดทั้งหมดที่เธอเผชิญในช่วงเดือนที่ผ่านมา เธอไม่สามารถทำอย่างไรได้ ได้แต่ร่ำไห้เสียงดังอย่างน่าสงสาร


 


หลี่ฟู่เฉินไม่ได้รีบบังคับให้หลี่เซี่ยวตี้กล่าวแต่อย่างใด กลับกันเขาเลือกที่จะมองเธออยู่อย่างเงียบๆ และปล่อยให้เธอร้องไห้จนพอใจ


 


หลังจากนั้นครู่หนึ่ง หลี่เซี่ยวตี้ก็หยุดลงในที่สุด


 


หลี่ฟู่เฉินกล่าวเบาๆ “อันดับแรกลุกขึ้นยืนก่อน บอกอะไรก็ตามที่เจ้าเสียใจกับฟู่เฉินเก่อของเจ้า”


 


“ฟู่เฉินเก่อ” หลี่เซี่ยวตี้ยืนขึ้น ดวงตาของเธอเปล่งประกายด้วยความอบอุ่น ในช่วงวันเหล่านั้น ครอบครัวของหลี่ฟู่เฉินเต็มใจมอบความอบอุ่นให้กับเธอ หากไม่เช่นนั้นแล้ว ตัวเธอก็คงจะพังทลายลงไปแล้ว


 


เช็ดน้ำตาของเธอ หลี่เซี่ยวตี้ให้รายละเอียดทั้งหมด ซึ่งแม่นยำกว่าคำอธิบายของหลี่ไท่ซาน


 


หลังจากหลี่เซี่ยวตี้กล่าวจบ ผู้คนหลากหลายระดับในห้องโถงรู้สึกอับอายและอยากที่จะฝังศีรษะลงดิน


 


ดวงตาของหลี่ฟู่เฉินเบิกขึ้นกว้างโต ร่องรอยของเจตนาสังหารลอยออกมาจากร่างกายของเขา


 


ตระกูลเฉินตู่สมควรตาย


 


***


 


สิ่งนี้เกิดขึ้นไม่กี่เดือนก่อน


 


เมื่อเธอโตขึ้น หลี่เซี่ยตี้กลายเป็นงดงามกว่าแต่ก่อนมาก ในขณะที่เธอเติบโต แม้ว่ามันจะไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับความงามของกั่วเซี่ย แต่ภายในเมืองหมอกเมฆา เธอถือว่าเป็นความงามที่มีชื่อเสียง


 


วันหนึ่งในเมืองหมอกเมฆา เฉินตู่หลางชนเข้ากับหลี่เซี่ยตี้และได้เพลิดเพลินกับความงามของหลี่เซี่ยวตี้ทันที


 


เฉินตู่หลางผู้นี้ใช้ประโยชน์จากความจริงที่ว่าเขาเป็นผู้อาวุโสของตระกูลเฉินตู่และมีสถานะที่น่านับถือ เขารังแกทั้งชายและหญิง เขาแม้แต่กระทั้งฉกภรรยาของผู้อาวุโสจากหลากหลายตระกูลมา การกำหนดกรอบและยุยงผู้คน ทำลายตระกูลเล็กตระกูลน้อยอย่างไม่หยุดหย่อน เขาทำมันทั้งหมด


 


เพราะเขาคุ้นเคยกับการเป็นเจ้านายอยู่ก่อนแล้ว เฉินตู่หลางจึงสั่งให้ลูกน้องของเขาพาตัวหลี่เซี่ยวตี้กลับไป


 


โดยบังเอิญ หลี่ไท่ซานและเฉินหยูหยานกำลังของซื้ออยู่รอบเมืองหมอกเมฆา และเห็นว่าคนของตระกูลตัวเองกำลังถูกทำร้าย โดยธรรมชาติแล้วพวกเขาจึงเขาไปหยุดเฉินตู่หลาง


 


อาจเป็นเพราะความผิดพลาดของเขาเอง เฉินตู่หลางจึงไม่กล้าแก้แค้นพวกเขา แต่เขาก็ยังต้องการที่จะได้รับหลี่เซี่ยวตี้ ดังนั้นเขาจึงถามผู้นำตระกูลหลี่ หลี่ไท่ซานเองก็เห็นด้วยที่จะให้หลี่เซี่ยวตี้ไปในฐานะผู้หญิงของเขา


 


โดยธรรมชาติแล้วหลี่เซี่ยวตี้ย่อมไม่เต็มใจ พ่อของเธอหลี่ต๋าเจียงปฏิเสธทันที


 


เดิมทีเรื่องนี้ได้รับการแก้ไขเช่นนี้เอง แต่เมื่อเดือนที่แล้ว หลี่ต๋าเจียงและหลี่เซี่ยวตี้เดินทางไปที่เมืองหมอกเมฆาอีกครั้งเพื่อซื้อสินค้าบางอย่าง แต่ก็ถูกขวางโดยเฉินตู่หลาง


 


เมื่อเห็นว่าลูกสาวของเขากำลังจะถูกลักพาตัว หลี่ต๋าเจียงจึงคลั่งและต่อสู้เอาชีวิตเข้าแลก


 


น่าเสียดายที่หลี่ต๋าเจียงเป็นเพียงนักสู้ขอบเขตต้นกำเนิดธรรมดๆ เขาจะต่อกรกับตระกูลเฉินตู่และกลุ่มของเขาได้อย่างไร พวกเขาทุบตีเขาหลายครั้งและทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส


 


บางทีคิดว่าความกล้าหาญของเขาอาจยังไม่ถูกทำลาย เฉินตู่หลางไม่หยุดแม้แต่กระทั่งหลังจากที่ทำร้ายหลี่ต๋าเจียงไปแล้วจริงจัง เขากระทืบซ้ำแล้วซ้ำอีกบนร่างกายของหลี่ต๋าเจียง กระทืบเขาจนตาย จากนั้นเขาก็กล่าวกับหลี่เซี่ยวตี้ เขาจะไม่ลักพาตัวเธอในวันนี้ แต่ไม่ช้าก็เร็ว เธอเต็มจะเต็มใจที่จะนอนบนเตียงของเขา หากไม่เช่นนั้น แม่เพียงคนเดียวของเธอก็จะได้พบกับชะตากรรมเดียวกัน


 


ในวันเดียวกัน แม่ของหลี่เซี่ยวตี้ก็ป่วยและไม่สามารถออกจากเตียงได้


 


ตั้งแต่นั้นมา ในช่วงเดือนนั้น ในทุกๆ วัน หลี่เซี่ยวตี้ก็ขอให้หลี่ไท่ซานช่วยเธอเพื่อหาความยุติธรรม


 


“ขยะ! ขยะทั้งกลุ่ม! ทำไมตระกูลหลี่ถึงต้องการคนเช่นเจ้า?”


 


พร้อมๆ กับเจตนาสังหาร หลี่ฟู่เฉินปลดปล่อยสภาวะพลังฉีอีกครั้ง ทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องถูกสภาวะพลังฉีของหลี่ฟู่เฉินเข้าครอบงำ ขณะที่พวกเขาอาเจียนออกมาเป็นเลือดเต็มปาก มันยังรวมถึงผู้ก่อตั้งตระกูลหลี่ หลี่ซวนเฟิง


 


“หลี่ซวนเฟิง เจ้าในฐานะผู้ก่อตั้งตระกูลหลี่มีประโยชน์อะไรบ้างในฐานะนักสู้ขอบเขตปฐพี? เจ้าไม่ได้ถามหรือสนใจเกี่ยวกับตระกูลหรือคนของเจ้า เจ้าไม่ได้มีหัวใจของที่ผู้แข็งแกร่งควรมี ไม่น่าแปลกใจที่ตระกูลหลี่ของเราตกต่ำลงไปมาก”


 


“หลี่ไท่ซาน ทำไมไม่ลองฉี่และใช้มันเป็นกระจกดูตัวเจ้าเองล่ะ? เจ้า? เจ้าเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำตระกูลหลี่หรือไม่? เจ้าเป็นแค่คนน่ารังเกียจ ข้ารู้สึกอยากจะสังหารเจ้า!”


 


“และผู้อาวุโสทั้งหมด พวกเจ้าทุกคนรู้แต่เพียงวิธีต่อสู้เพื่ออำนาจและผลกำไร เรื่องไหนที่พวกเจ้าทำได้ดี เจาก็จะเอาแต่ด้านนั้น เจ้ากับสุนัขต่างกันอย่างไร?”


 


คำพูดแหลมคมและชัดเจนของหลี่ฟู่เฉินทำให้ทุกคนที่ลอยลองออกไปโดยที่ไม่สามารถกล่าวสิ่งใดโต้คืนได้ โดยเฉพาะหลี่ไท่ซานที่สังเกตเห็นเจตนาสังหารของหลี่ฟู่เฉิน เขาคุกเข่าลงอย่างรวดเร็ว “ไท่ซานผิดไปแล้ว ข้าหวังว่าผู้นำตระกูลจะให้บทลงโทษอย่างหนักและไว้ชีวิตข้าไป”


 


จบคำพูดของเขา เขาอ้อนวอนให้หลี่เทียนฮาน


 


หลี่เทียนฮานกล่าวอย่างไร้อารมณ์ “มองหาความตาย แต่การลงโทษจะต้องดำเนินต่อไปอยู่แล้ว จับเขาไว้!”


 


หลี่เซี่ยวตี้รู้สึกงุงงง เขายังเป็นเยาวชนอยู่หรือไม่?


 


ในเพียงเวลาไม่กี่ปี ตอนนี้เขาเติบโตเป็นต้นไม้ยักษ์สูงตระหง่านและไม่ใช่เด็กหนุ่มที่ถูกทำร้ายตลอดเวลาแล้ว


 


“พ่อ ข้าต้องปล่อยให้ท่านแล้ว เซี่ยวตี้ ตามข้าไปที่ตระกูลเฉินตู่” หลี่ฟู่เฉินกล่าวกับหลี่เซี่ยวตี้


 


หลี่เทียนฮานไม่สามารถทำอย่างไรได้ ได้แต่กล่าวถาม “ฟู่เฉินทำไมเจ้าถึงไปที่ตระกูลเฉินตู่?”


 


สัญชาตญาณของเขาบอกเขาว่าหลี่ฟู่เฉินจะไม่ทำสิ่งต่างๆ อย่างสงบแน่


 


“เพื่อฆ่า”


 


จบคำตอบของเขา หลี่ฟู่เฉินคว้าไหล่หลี่เซียวตี้และพุ่งออกจากห้องโถงรับรอง


 


เมื่อหลี่ฟู่เฉินจากไป ร่างกายของผู้คนส่วนใหญ่ในห้องโถงก็อ่อนยวบลง แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าออกไป


 


***


 


เมืองหมอกเมฆา ที่อยู่ของท่านเจ้าเมือง


 


ตระกูลเฉินตู่เป็นตระกูลของขุนนางในเมือง ดังนั้นที่พักอาศัยของท่านเจ้าเมืองจึงตั้งอยู่ใจกลางเมือง


 


“ใครกัน?! หยุดอยู่ตรงนั้น! เจ้ากำลังถามหาความตายหรือไม่?”


 


ครืน!


 


ประตูที่ปิดอย่างแน่นหนาของที่พักอาศัยท่านเจ้าเมืองปลิวออกไปพร้อมนักสู้ที่เฝ้าประตู โดยหลี่ฟู่เฉินอยู่ด้านหน้าและหลี่เซี่ยวตี้ติดตามอยู่ด้านหลัง พวกเขาเดินผ่านประตูเข้าไป


 


ระหว่างทาง นักสู้ของเจ้าเมืองหลายคนถูกส่งตัวออกไปโดยสภาวะพลังของหลี่ฟู่เฉิน โดยที่ไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวร่างกายใดๆ


 


“เฉินตู่หลางอยู่ที่ไหน ออกมารับความตาย!”


 


เสียงของหลี่ฟู่เฉินดังก้องไปทั่วบ้านของท่านเจ้าเมือง


 


 


ติดตามข่าวสารได้ก่อนใครที่เพจ INDYNOVEL



บทที่ 174


เฉินตู่หลาง ตาย


 


 


“ใครกล้ามาซี้ซั่วที่จวนท่านเจ้าเมือง? ตาย!”


 


จวนของเจ้าเมือวนั้นเต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญ กลุ่มนักสู้ขอบเขตต้นกำเนิดรีบออกมา พวกเขาออกมาโดยมีนักสู้ขอบเขตปฐพีเป็นผู้นำ เขาคำราม วาบดาบของเขาและแทงไปยังหลี่ฟู่เฉิน


 


ดาบนั้นเร็วดุจสายฟ้าผ่า มันยิงออกไปคล้ายลูกศรที่หลุดออกจากหน้าไม้


 


ใช้สองนิ้ว หลี่ฟู่เฉินใช้ดาบของศัตรูไว้ได้อย่างง่ายดาย ในขณะที่เขากล่าวเบาๆ “ช่างเป็นท่าทีที่ดุร้ายนัก ข้าจะเริ่มที่เจ้า”


 


จบประโยคของเขา หลี่ฟูเฉินใช้กำลังของเขาหักดาบ ใบดาบยาวกว่าเมตรคล้ายกับอาวุธศักดิ์สิทธิ์เมื่ออยู่ในมือของเขา เจาะคอของฝ่ายตรงข้ามและล้มลงไปในคราเดียว


 


“ใครกล้าเข้ามาใกล้ข้าอีกครั้ง เช่นนั้นแล้วอย่าหาว่าข้าฆ่าอย่างไร้ปราณี” หลี่ฟู่เฉินกล่าวโดยไม่บ่งบอกถึงอารมณ์อะไร


 


ได้ยินคำประกาศ นักสู้ขอบเขตต้นกำเนิดจำนวนมากลังเล แม้แต่กระทั่งแขกของเจ้าเมืองก็ยังถูกสังหาร พวกเขาจะกล้าเข้าใกล้ได้อย่างไร ทุกคนรอให้เจ้าเมืองมาถึง


 


ท่านเจ้าเมืองเฉินตูเจียนเห่ออยู่ในระดับที่ 5 ของขอบเขตปฐพี หากเขาอยู่ที่นี่ เยาวชนผู้นี้จะต้องตายไปแล้วอย่างแน่นอน


 


ตระกูลเฉินตู่มีนักสู้ขอบเขตปฐพีอยู่มากมาย ยังมีแขกรับเชิญของตระกูลอื่นๆ อีกและคนจากตระกูลอื่นที่อยู่ในระดับที่สูงขึ้น


 


ในเวลาสั้นๆ นักสู้ขอบเขตปฐพีห้าคนก็รีบเข้ามา


 


เห็นร่างของแขกที่ถูกสังหารโดยหลี่ฟู่เฉิน พวกเขาทั้งหมดกลายเป็นเกรี้ยวโกรธ เป็นเวลากี่ปีแล้วที่มีคนกล้าสังหารคนในจวนเจ้าเมือง การดูหมิ่นเช่นนั้นสมควรได้รับความตาย


 


“เจ้าเป็นใคร? เจ้ากล้าสังหารผู้คนในจวนเจ้าเมือง? หันหัวเจ้ามา และให้พวกเขาทำให้พวกเจ้ากลายเป็นศพอย่างสมบรูณ์” หนึ่งในนักสู้ขอบเขตปฐพีตะโกน


 


“ท่านผู้ก่อสร้าง เขาคือหลี่ฟู่เฉิน ผู้นำตระกูลตัวน้อยเก่าของตระกูลหลี่” นักสู้ขอบเขตต้นกำเนิดกระซิบกับนักสู้ขอบเขตปฐพีที่เป็นอาวุโสกว่า


 


“ชายชราผู้นี้คือเฉินตู่ช่างเฟิง เจ้าคือหลี่ฟู่เฉินหรือไม่?” เฉินตู่ช่างเฟิงมีการเปลี่ยนแปลงในการแสดงออก เขารู้เกี่ยวกับความสำเร็จของหลี่ฟูเฉินในนิกายวารีครามอย่างคร่าวๆ เขารู้ว่าสถานะของหลี่ฟู่เฉินนั้นไม่ง่ายและยังสามารถฆ่าอาวุโสเหลาได้อย่างง่ายดาย สมมติว่าหลี่ฟู่เฉินอยู่ในระดับที่ 9 ของขอบเขตต้นกำเนิด หากเขาจะสามารถฆ่าผู้เชี่ยวชาญขอบเขตปฐพีระดับที่ 1 ได้ก็ไม่นับว่าน่าแปลกใจ ก็ในเมื่อหลี่ฟู่เฉินมีความสามารถที่พิเศษ


 


“บอกให้เฉินตู่หลางออกมาพบข้า ข้าไม่ได้สนใจที่จะจัดการกับคนต้อยต่ำเช่นเจ้า”


 


“หลี่ฟู่เฉิน เจ้าเป็นศิษย์ชั้นในนิกายวารีคราม? นี่คือที่อยู่อาศัยของท่านเจ้าเมือง แม้แต่กระทั่งผู้อาวุโสชั้นนอกก็ยังต้องแสดงความเคารพที่นี่ อย่าสร้างปัญหาให้กับตระกูลหลี่ของเจ้าและรีบยอมแพ้เพื่อรับโทษสถานเบา” เฉินตู่ช่างเฟิงจ้องมองไปยังหลี่ฟู่เฉิน ถ้าไม่ใช่เพราะสถานะศิษย์ชั้นในของเขา เขาจะฆ่าหลี่ฟูเฉินให้ตายในดาบเดียว


 


หลี่ฟู่เฉินหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “ตระกูลเฉินตู่ของเจ้าไม่มีคุณสมบัติขอให้ข้ายอมแพ้”


 


“โห? ใครกล้าบอกว่าตระกูลเฉินตู่ของข้าไม่มีคุณสมบัติ? หลี่ฟู่เฉิน ดูเหมือนว่าหลังจากที่เจ้าเป็นศิษย์ชั้นใน ความมั่นใจของเจ้าก็เติบโตขึ้นมาก และตอนนี้กระทั่งมีความกล้าที่จะมาสังหารผู้คนในบ้านของข้า ตอนนี้เจ้ากำลังกระตุ้นอำนาจของข้าอยู่ แม้ว่าข้าจะทำลายทักษะยุทธ์ของเจ้า นิกายวารีครามก็ไม่ทำอะไรกับข้าอยู่แล้วถูกไหม?”


 


เสียงที่เต็มไปด้วยพลังอำนาจสะท้อนออกมา


 


มันเป็นผู้นำตระกูลเฉินตู่ เจ้าเมืองของเมืองหมอกเมฆา เฉินตู่เจียนเห่อ


 


เฉินตู่เจียนเห่อผู้เป็นเจ้าเมืองมีสถานะคล้ายกับผู้อาวุโสชั้นนอกของนิกาย หากอยู่ภายใต้สถานการณ์ปกติ เขาในฐานะเจ้าเมืองของเมืองหมอกเมฆาจะไม่สามารถลงโทษหลี่ฟู่เฉินได้โดยตรง แต่ถ้าเป็นหลี่ฟู่เฉินที่เป็นฝ่ายยั่วยุเขา เช่นนั้นแล้วเขาก็มีสิทธิ์ที่จะลงโทษเขา


 


ตอนนี้หลี่ฟู่เฉินสังหารแขกของตระกูลเฉินตู่ไปแล้ว ก็ถือว่าเป็นการก่อความผิดร้ายแรงและถึงแม้ว่าเขาจะทำลายทักษะยุทธ์ของหลี่ฟู่เฉิน นิกายวารีครามก็จะลงโทษเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เนื่องจากเป็นฝ่ายหลี่ฟู่เฉินที่ทำให้ใครบางคนไม่พอใจก่อน นั่นก็ถือเป็นความผิดร้ายแรงสำหรับนิกายวารีคราม


 


หลี่ฟู่เฉินเงยหน้าขึ้นมอง ชายวัยกลางคนคนหนึ่งเดินมายังทิศทางของเขา


 


มันเป็นเฉินตู่เจียนเห่อ


 


เฉินตู่เจียนเห่อ อายุ 50 ปี เขามีไหล่ที่กว้างขวางและถือว่าดูดี แต่จมูกโค้งง้อคล้ายกับนกอินทรีและดวงตาที่ดูแหลมคมทำให้ภาพลักษณ์ตอนแรกของเขาถูกทำลาย มันให้ความประทับใจแก่ผู้คนเพียงแค่มองเห็นครั้งแรก


 


“หลี่ฟู่เฉิน เจ้ายอมรับความผิดของเจ้าหรือไม่?” เฉินตู่เจียนเห่อกล่าวด้วยน้ำเสียงที่รุนแรง


 


“ข้า? ข้าทำสิ่งใดผิด?”


 


“สิ่งใดผิด? การที่เจ้าก้าวเข้ามาในถิ่นที่อยู่ของเจ้าเมืองก็ถือเป็นความผิด การสังหารแขกของตระกูลเฉินตู่ของข้าก็ถือเป็นความผิด และการที่เจ้ายังไม่ยอมรับว่าตนเองผิด นั้นก็ถือเป็นความผิดอีกเช่นกัน การทำผิดต่อบุคคลที่อยู่ในระดับสูงกว่าก็คือความผิบาปที่ร้ายแรงยิ่งกว่าเดิม ด้วยความผิดบาปที่สะสมอยู่มากมายนี้ วันนี้ ข้า เฉินตู่เจียนเห่อจะเป็นคนบอกให้เจ้ารู้เองว่าความผิดใดที่ไม่สามารถกระทำได้”


 


“คิคิ นั้นคือความผิดบาปหรือไม่? จากสิ่งที่ข้าเห็น ไม่จำเป็นต้องมีตระกูลเฉินตู่ของเจ้าอยู่ และเจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องมีตัวตนในฐานะเจ้าเมืองเลยก็ยังได้”


 


“กล้าดียังไง” สภาวะพลังฉีของเฉินตู่เจียนเห่อถูกระเบิดออกมา สภาวะพลังฉีจากพลังฝึกฝนขอบเขตปฐพีระดับที่ 5 ของเขาทำให้ทุกคนอึดอัด


 


หลี่ฟู่เฉินกล่าว “ดวงตาของเจ้าช่างมืดบอด ข้าไม่ได้เป็นศิษย์ชั้นใน แต่ข้าเป็นศิษย์หลักของนิกายวารีคราม”


 


โคจรเทคนิคเพลิงโลกันต์ สภาวะพลังฉีของหลี่ฟู่เฉินก็ถูกระเบิดออกมาเช่นกัน


 


บูม!


 


ในขณะที่เป็นสภาวะพลังฉีทั้งสองเข้าปะทะกัน ใบหน้าของเฉินตู่เจียนเห่อเปลี่ยนเป็นซีดและตกใจ “ขอบเขตปฐพีระดับที่ 1 ?”


 


“ถูกแล้ว เจ้า เจ้าเมืองหมอกเมฆาไม่นับเป็นอะไรเลยในสายตาของข้า ตอนนี้เจ้าเรียกเฉินตู่หลางออกมาได้หรือยัง?!” หลี่ฟู่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็น


 


ทุกคนในที่อยู่ในจวนเมืองเมืองกลายเป็นประหลาดใจ


 


ศิษย์หลัก?


 


หลี่ฟูเฉินเป็นศิษย์หลัก


 


อาศัยอยู่ในแคว้นวารีคราม แน่นอนว่าพวกเขาย่อมเข้าใจสถานะของศิษย์หลัก มันเป็นสถานะที่สูงกว่าเจ้าเมืองและถ้าเฉินตู่เจียนเห่อเป็นท้องฟ้าของเมืองหมอกเมฆาเช่นนั้นหลี่ฟูเฉินก็เป็นท้องฟ้าที่เหนือท้องฟ้านี้ เหล่านักสู้ขอบเขตปฐพีที่กล่าวว่าหลี่ฟู่เฉินหยิ่งผยอง ตอนนี้กลายเป็นหวาดกลัวและไม่กล้าที่จะกล่าวอีกต่อไป


 


นี่คือความขัดแย้งระหว่างศิษย์หลักและเจ้าเมือง พวกเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าไปแทรกแซง


 


สูดหายใจเข้าลึกๆ ยังไงซะเฉินตู่เจียนเห่อก็ยังคงเป็นเจ้าเมืองของเมืองหมอกเมฆา เขาสั่งให้ใครบางคนไป “ไปนำเฉินตู่หลางมาที่นี่”


 


เขารู้อย่างคร่าวๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเฉินตู่หลาง แต่เขาไม่ได้สนใจ หลี่ต๋าเจียงไม่ได้เป็นบุคคลสำคัญในตระกูลหลี่ เขาตายไปแล้ว และเขาได้ส่งยาเม็ดสีเหลืองขั้นสูงไป 5  เม็ดเพื่อชดเชย


 


มันควรจะเพียงพอที่จะชดเชยสำหรับชีวิตของหลี่ต้าเจียง


 


เฉินตู่หลางยังไงซะก็เป็นลูกพี่ลูกน้องในสายเลือดและเขาก็ต้องการช่วยชีวิตเขาไว้


 


“หลี่ฟู่เฉิน ถือซะว่าข้าขอ เรื่องนี้จะถูกตัดสิน สำหรับเฉินตู่หลาง ฉันจะลงโทษเขาอย่างจริงจังและขังเขาไว้หนึ่งเดือน” เฉินตู่เจียนเห่อไม่เต็มใจอย่างยิ่ง เขาผู้ซึ่งเป็นเจ้าเมืองหมอกเมฆาไม่เคยต้องการพูดอย่างสุภาพกับใครคนไหน ในเมืองหมอกเมฆา ไม่มีใครกล้าท้าทายสิ่งที่เขาพูด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาต้องการจะก้มศีรษะลง เขาสาบานว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายเช่นกัน


 


หลี่ฟู่เฉินไม่ได้กล่าวสิ่งใด


 


ในเวลาสั้นๆ เฉินตู่หลางก็มาถึง


 


ด้วยเฉินตู่เจียนเห่อที่สนับสนุนเขา เฉินตู่หลางดูเหมือนจะไม่กลัวเลย และให้ความรู้สึกคลายกับเป็นผู้คนที่มีศีลธรรม


 


เมื่อเห็นเฉินตู่หลาง หลี่เซียวตี้รู้สึกปั่นป่วน และสายตาถูกย้อมไปด้วยเปลวแห่งความแค้น


 


“เจ้าคือเฉินตู่หลาง?” หลี่ฟู่เฉินกล่าวถาม


 


“ใช่ ข้ายอมรับผิด แต่มันไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ ยิ่งไปกว่านั้น นางเป็นคนที่ล่อลวงข้าและต้องการที่จะโกงข้าจากความมั่งคั่งที่ข้ามี มีพยานหลายคนในเมืองหมอกเมฆา เจ้าไม่สามารถเชื่อในเรื่องราวของนางได้”


 


เฉินตู่หลางพยายามอธิบาย


 


“ตาย!”


 


หลี่ฟู่เฉินไม่ต้องการเสียเวลาโต้เถียงกับเฉินตู่หลาง ดาบของเขาออกจากฝัก ขณะที่แสงดาบถูกส่งไปยังคอของเฉินตู่หลาง


 


ปิสส!


 


ศีรษะมนุษย์กระเด็นไปที่น เฉินตู่หลางตกตายลงไปทั่งที่สิ่งต่างๆ ยังไม่แน่นอน


 


เขาไม่สามารถเข้าใจได้แม้กระทั่งหลังความตาย ทำไมหลี่ฟู่เฉินถึงกล้าฆ่าลูกพี่ลูกน้องของเฉินตู่เจียนเห่อต่อหน้าเฉินตู่เจียนเห่อ นี่มันนอกกฎหรือไม่?


 


ทุกคนตกตะลึง


 


แม้แต่กระทั่งหลี่เซียวตี้ก็ตกใจ


 


หลี่ฟู่เฉินไม่ได้ฟังหรือถาม และก็ฆ่าเฉินตู่หลางเลย?


 


“การมาสังหารสมาชิกตระกูลหลี่ของข้า ย่อมสมควรตาย” หลี่ฟู่เฉินกล่าวอย่างเฉยเมย


บทที่ 175


การปลดเจ้าเมือง


 


 


ร่างกายของเฉินตู่เจียนเห่อสั่นเทา


 


มากเกินไป


 


นี่เป็นสิ่งที่ไม่สามารถทนได้อย่างแน่นอน


 


เขาได้ถอยหลังให้แก่หลี่ฟู่เฉินแล้วก้าวนึง แต่หลี่ฟู่เฉินก็ไม่ได้พยายามสอบถามเฉินตู่หลางและฆ่าเขาด้วยการการลงดาบเพียงครั้งเดียว


 


เขาเป็นศิษย์หลักแล้วอย่างไร ศิษย์หลักก็ไม่สามารถเหยียบความภาคภูมิใจและศักดิ์ศรีของเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้น เขามีสัมพันธ์บางอย่างในนิกายวารีครามเช่นกัน


 


“เจ้ากล้าสังหารสมาชิกตระกูลข้า?!” เฉินตู่เจียนเห่อคำรามและชักดาบของเขา


 


“หากข้าสังหารเขาไปแล้วยังไง? ตัววายร้ายเป็นเภทนี้สมควรถูกสังหารซ้ำแล้วซ้ำอีกกว่า 1,000 ครั้ง แน่นอน ตระกูลเฉินตู่ของเจ้าเองก็เช่นกัน” หลี่ฟู่เฉินไม่ได้ไว้หน้าเฉินตู่เจียนเห่อใดๆ


 


“สารเลว!”


 


โคจรเทคนิคเปลิวเพลิงลี้ลับระดับที่ 14 เพลิงพลังฉีสีแดงถูกปลดปล่อยออกมาจากร่าของเฉินตู่เจียนเห่อ


 


ด้วยการสั่นไหวของดาบ ชั้นของเพลิงดาบก็พุ่งตรงไปยังหลี่ฟู่เฉิน


 


ทักษะดาบลึกลับขั้นต่ำ –  วิชาดาบคลื่นภูผา


 


เฉินตู่เจียนเห่อฝึกฝนทักษะดาบนี้เป็นเวลากว่า 30 ปี และก็บรรลุขั้นดีเลิศมานานแล้ว ด้วยความสำเร็จนี้ นักสู้ขอบเขตปฐพีระดับสูงจะสังหารฆ่าโดยที่ไม่สามารถต่อต้านใดๆ


 


“ทำลาย!”


 


หลี่ฟู่เฉินแทงไปยังจุดศูนย์กลางของชั้นแสงดาบ


 


บูม!


 


เมื่อดาบพลังฉีของพวกเขาเข้าปะทะกัน พายุดาบพลังฉีก็ก่อตัวขึ้นในจัตุรัสอันกว้างขวางของจวนเจ้าเมืองแห่งนี้ แกะสลักร่องรอยนับพันไว้บนพื้นดิน


 


ท่ามกลางพายุ เงาบินออกไปข้างหลังและพุ่งชนเข้ากับต้นไม้ใหญ่ ทำลายมัน


 


“ไม่ต้องสงสัยใดๆ ที่เขาอยู่ในขอบเขตระดับปฐพีระดับที่ 5 ได้อย่างไร เขาแม้แต่กระทั่งฝึกฝนเทคนิคเปลวเพลิงลี้ลับ”


 


หลี่ฟู่เฉินไม่แปลกใจเลย หากเขาไม่ได้มีการผสานเทคนิคเพลิงโลกันต์แท้จริงอยู่ในระดับที่ 13 มีเจตจำนงเพลิงแดง และมีเจตจำนงดาบดาวตก เขาก็อาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฉินตู่เจียนเห่อ หลังจากทั้งหมดแล้ว เฉินตู่เจียนเห่อก็อยู่ในระดับที่ 5 ขอบเขตปฐพี ซึ่งห่างจากเขาถึง 4 ระดับ


 


“เขาถูกดันออกไป”


 


ผู้ที่สนับสนุนท่านเจ้าเมืองมีความสุข ขณะที่หลี่เซี่ยวตี้กลายเป็นหวาดกลัว


 


“หลี่ฟู่เฉิน วันนี้ข้าจะให้เจ้าได้รู้ว่าช่องว่างระหว่างระดับคือสิ่งใด!” เฉินตู่เจียนเห่อกระทืบเท้าลงบนพื้นดินและพุ่งตัวออกไปราวกับลูกศร พุ่งไปยังหลี่ฟู่เฉิน


 


“เฉินตู่เจียนเห่อ อย่าเพิ่งมีความสุขเกินไป ข้ายังไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดออกมาเสียหน่อย เปิดใช้งาน!”


 


เปิดใช้งานเทคนิคลับมังกรเร้นลับ พลังฉีเพลิงโลกันต์ในร่างกายของหลี่ฟู่เฉินถูกแปลงออกมาเป็นพลังฉีมังกรเร้นลับ


 


พลังฉีมังกรเร้นลับนั้นมีความหนานแน่นสูงมาก ดูคล้ายกับหินเหลว มันเดือดอยู่ในร่างกายของหลี่ฟู่เฉิน


 


ในขณะเดียวกัน สภาวะพลังฉีที่เสมือนจริงก็ถูกปลดปล่อยออกมาและเข้าไปห่อหุ้มเฉินตู่เจียนเห่อ


 


การแสดงออกของเฉินตู่เจียนเห่อกลายเป็นตกตะลึง ด้วยประสาทสัมผัสของเขา เขารู้สึกได้ถึงคลื่นความร้อนที่พลุ่งขึ้นมาจากแกนกลางร่างของหลี่ฟูเฉิน มันปะทะกับพลังฉีของเขาและเขาก็พ่ายแพ้มันขาดลอย ภายใต้ความร้อนที่เข้ามาห่อหุ้มไหล่ เฉินตู่เจียนเห่อรู้สึกว่าร่างกายของเขาหนักขึ้นมาถึง 2 เท่า เขาไม่มีรู้สึกใดๆ อีกต่อไป และผิวของเขาเริ่มรู้สึกถึงความร้อนขึ้นเรื่อยๆ


 


“สภาวะพลังฉีจะแข็งแกร่งเช่นนี้ได้อย่างไร?” เฉินตู่เจียนเห่อไม่สามารถค้นพบคำอธิบายใดๆ ได้


 


สภาวะพลังฉีถูกแยกออกเป็นสองประเภทคือ ออร่าพลังฉีและจิตวิญญาณพลังฉี


 


ออร่าพลังฉีของเกี่ยวข้องกับพลังฉีที่คนๆ หนึ่งมี ยิ่งระดับพลังสูงขึ้น เทคนิคบ่มเพาะแข็งแกร่งขึ้น ออร่าพลังฉีก็ยิ่งน่ากลัวมากขึ้น


 


จิตวิญญาณพลังฉีจะเกี่ยวข้องกับขอบเขตการฝึกฝน ยิ่งขอบเขตบ่มเพาะสูงขึ้น จิตวิญญาณก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้น แน่นอน บางคนเกิดมาพร้อมกับจิตวิญญาณที่แข็งแกร่ง


 


แต่เดิมจิตวิญญาณของหลี่ฟู่เฉินนั้นสามัญธรรมดา แต่ปีที่เขาสูญเสียความสามารถของเขาไป จิตวิญญาณของเขาจะรู้สึกเหมือนถูกฉีกออกเมื่อใดก็ตามที่เขาพยายามฝึกฝน นั้นจึงทำให้จิตวิญญาณของเขาแข็งแกร่งขึ้นราวกับเหล็ก ในภายหลัง ด้วยเครื่องรางทองคำที่เขามาเปลี่ยนแปลจิตวิญญาณของเขาด้วยแล้ว จากจิตวิญญาณที่คล้ายกับเหล็กธรรมดาก็ถูกเปลี่ยนไปคล้ายกับเหล็กกล้า ไม่เพียงแต่ทนทานและไม่สลายไปอย่างง่ายดาย มันยังคล้ายกับใบดาบที่รอเชือดเฉือนอีกด้วย มันเต็มไปด้วย ‘พลังแห่งการสังหาร’


 


นอกเหนือจากนั้น ภายในเทคนิคลับมังกรเร้นลับ มี ‘พลังแห่งมังกร’ ด้วยตัวแปรมากมายที่ทับซ้อนกัน สภาวะพลังฉีของหลี่ฟู่เฉินจึงยอดเยี่ยมยิ่งกว่าความสามารถทางกายภาพของเขา


 


“พ่ายแพ้ไปซะ!”


 


แสงดาบอันเยือกเย็นทำลายเกราะพลังฉีของเฉินตู่เจียนเห่อ และพุ่งทะลุร่างของเขาไป


 


เลือดพุ่งออกมา ขณะที่เฉินตู่เจียนเห่อถูกผลักออกไปด้านหลัง และจมลงไปในกำแพงหนา


 


สถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ทุกคนไม่สามารถตอบสนองได้ทันเวลา


 


เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาตอบสนอง เฉินตู่เจียนเห่อก็ได้รับบาดเจ็บสาหัญแล้วเรียบร้อย


 


ผู้ที่สนับสนุนท่านเจ้าเมืองตระหนักบางสิ่งได้ พวกเขารู้ว่าต่อจากนี้ไป เฉินตู่เจียนเห่อไม่ได้เป็นท้องฟ้าของเมืองหมอกเมฆาอีกต่อไป เป็นที่ผู้คนอยากทราบต่อไปว่าตระกูลเฉินตู่จะสามารถดำรงอยู่ต่อได้หรือต้องออกไป


 


ไม่มีใครกล้าพูดอะไร ไม่มีใครกล้าแม้แต่จะส่งสายตาแห่งความเกลียดชังไปยังหลี่ฟูเฉิน


 


ศิษย์หลักสามารถขัดคำสั่งได้ แต่การไม่เชื่อฟังศิษย์หลักก็คือการไม่เชื่อฟังนิกายวารีคราม และผลที่จะตามมาก็คือการกำจัด


 


“ฟู่เฉินเก่อ ขอบคุณท่าน” หลี่เซี่ยวตี้พึมพำกับตัวเอง


 


ในสายตาของคนอื่น หลี่ฟู่เฉินเป็นกำแพงที่ไม่สามารถวัดขนาดได้ แต่ในสายตาของเธอ หลี่ฟูเฉินเป็นเหมือนพระอาทิตย์ยามเช้า ให้ความอบอุ่นอันไร้ขอบเขตแก่เธอ มากจนกระทั่งความเศร้าโศกของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย


 


ดึงแผ่นป้ายศิษย์หลักระดับทองคำออกมา หลี่ฟูเฉินประกาศ “ข้า ศิษย์หลักระดับทองของนิกายวารีคราม ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เฉินตู่เจียนเห่อจะถูกปลดออกจากตำแหน่งเจ้าเมืองของเมืองหมอกเมฆา ภายในสามวัน ตระกูลเฉินตู่ทั้งหมดจะต้องย้ายออกจากจวนเจ้าเมือง ทุกคนที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งจะถูกสังหารโดยปราศจากความเมตตา”


 


สถานะของศิษย์หลักได้รับความเคารพอย่างแท้จริง แต่สถานะของศิษย์หลักระดับทองนั้นยอดเยี่ยมกว่ามาก


 


จากที่มีสมาชิกนิกายวารีครามหลายแสนคน มีเพียง 31 คนเท่านั้นที่เป็นศิษย์หลักระดับทอง


 


ในฐานะที่เป็นศิษย์หลักระดับทอง หลี่ฟูเฉินมีอำนาจในการระงับตำแหน่งเจ้าเมืองของเฉินตู่เจียนเห่อชั่วคราว นี่คืออำนาจที่เขาได้รับจากนิกาย


 


แน่นอน ผู้คนระดับบนๆ ของนิกายจะต้องส่งคนมาสอบสวน ถ้าหลี่ฟู่เฉินไร้เหตุผล เฉินตู่เจียนเห่อจะได้รับสถานะเป็นเจ้าเมืองต่อ และหลี่ฟู่เฉินจะได้รับโทษอย่างหนัก


 


“ศิษย์หลักระดับทอง?”


 


เฉินตู่เจียนเห่อผู้ที่ได้สติรู้สึกงุนงง


 


หลี่ฟู่เฉินไม่ได้เป็นศิษย์หลักระดับเงิน แต่เป็นศิษย์หลักระดับทอง


 


เพียงครู่เดียว เขารู้สึกว่าโลกหมุนรอบตัวเอง ขณะที่เขาเป็นลม


 


หลี่ฟู่เฉินยื่นมืออกไปและดูดหัวของเฉินตู่หลางมา หลี่ฟู่เฉินกล่าวกับหลี่เซี่ยวตี้ “เรามีหัวของเฉินตู่หลางเป็นเครื่องบรรณาการ ข้าคิดว่าลุงคงจะสามารถพักผ่อนได้อย่างสงบสุขอยู่ในสวรรค์แล้ว ไปกันเถอะ”


 


“อือ!” หลี่เซี่ยวตี้พยักหน้า


 


***


 


ในวันเดียว ข่าวของหลี่ฟูเฉินที่ยกเลิกตำแหน่งเจ้าเมืองของเฉินตู่เจียนเห่อแพร่กระจายออกไปราวกับพายุ มันถูกส่งไปในเมืองหมอกเมฆาทั้งหมดทันที ข่าวของหลี่ฟู่เฉินก็ถูกเผยแพร่ไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน


 


ศิษย์หลัก


 


ศิษย์หลักระดับทอง


 


ขับไล่หลี่ไท่ซานออกจากตำแหน่งผู้นำตระกูลและนำพ่อของเขา หลี่เทียนฮานกลับมายังตำแหน่งผู้นำตระกูลได้อีกครั้ง


 


เข้าไปสังหารผู้คนที่อยู่ในจวนเจ้าเมือง สังหารแขกประจำบ้านของตระกูลเฉินตู่และทำให้เฉินตู่เจียนเห่อได้รับบาดเจ็บสาหัส


 


ท้ายที่สุดก็ยกเลิกตำแหน่งเจ้าเมือง


 


ไม่ว่าข่าวอันไหร พวกมันทั้งหมดก็น่าตกตะลึงเท่าเทียมกัน


 


เช่นเดียวกับสายฟ้าทั้งเก้าจากสวรรค์ มันทำให้ผู้คนที่อยู่ในเมืองหมอกเมฆาทั้งหมดตกอยู่ในภาวะตื่นตะลึง


 


ผู้ที่ถูกทารุณจากตระกูลเฉินตู่ต่างก็ร้องไห้ด้วยความดีใจ


 


สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว พวกเขาเริ่มเทิดทูนหลี่ฟูเฉิน


 


หลี่ฟู่เฉินเป็นลูกผู้ชายอย่างแท้จริง แม้แต่กระทั่งเจ้าเมืองก็ยังถูกไล่ออก ความกล้าหาญและโดดเด่นดังกล่าว


 


สำหรับทุกคนที่ทำให้ตระกูลหลี่และหลี่ฟู่เฉินขุ่นเคือง พวกเขาทุกคนๆ กลายเป็นหวาดกลัว


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งตระกูลกั่วและตระกูลหยาน


 


สองตระกูลนี้มีความขัดแย้งมากมายกับตระกูลหลี่ และแต่ละครั้งก็ไม่ได้เป็นความขัดแย้งเล็กๆ


 


ตระกูลหยานตกอยู่ในสภาวะที่เงียบงันราวกับตายไปแล้ว


 


ตระกูลกั่วเองก็ตกอยู่ในสภาสะเงียบงันเช่นกัน


 


ตระกูลระดับบนๆ ของเมืองทั้งสองตกอยู่ในสภาวะที่น่าเป็นห่วง


 


ผู้นำตระกูลกั่ว กั่วเยี่ย ตอนนี้เสียใจอย่างมาก แม้แต่กระทั่งลำไส้ของเขาก็ฟกช้ำ


 


ผู้ก่อตั้งตระกูลกั่วรู้สึกกดดัน กั่วตงรู้สึกกดดัน ในช่วงวันของการแข่งขันอัจฉริยะ เขาขู่หลี่ฟู่เฉินโดยการส่งข้อความลับถึงเขา ตอนนี้เขาควรทำอะไร?


บทที่ 176


ตระกูลเซียงแสวงหาการอภัย


 


 


ขณะที่ตระกูลหลี่กำลังเพลิดเพลินกับช่วงเวลาที่ดี ตระกูลกั่ว หยาง และเฉินตู่ก็ไม่ได้มีวันวานที่ดีอีกต่อไป


 


ตอนนี้หัวหน้าตระกูลน้อยของพวกเขาเป็นถึงศิษย์หลักขอนิกายวารีคราม ในอานาคตใครจะกล้ายั่วยุตระกูลหลี่? ใครจะกล้ารุกรานพวกเขา?


 


ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา ตระกูลหลี่เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลหลักแต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากกว่านั้น


 


เมืองหมอกเมฆาเป็นเพียงเมืองเล็กๆ ที่มีประชากร 200,000 แสนคน ทั่วทั้งภูมิภาคมีจำนวนประมาณ 1 ล้านคน


 


สามตระกูลหลักได้เงินล้านในทุกๆ ปี


 


ตระกูลหยางส่วนแบ่งครึ่งหนึ่ง ก็มีทองคำประมาณ 500,000 เหรียญต่อปี


 


ตระกูลกั่วอยู่ในอันดับที่สองก็ได้ 400,000 เหรียญทอง


 


ตระกูลหลี่ได้น้อยกว่า 200,000 เหรียญทอง


 


เหตุผลที่มันแตกต่างกันมากถึงขนาดนี้ เป็นเพราะการกดขี่รวมกันของตระกูลหยางและตระกูลกั่ว และนอกจากนี้ก็ยังมีการกดขี่อย่างลับๆ จากตระกูลเฉินตู่อยู่เช่นกัน


 


สิบปีที่แล้ว ตระกูลหลี่มีร้านค้าเกือบ 80 ร้านในเมืองหมอกเมฆา แต่ตอนนี้ มันมีร้านค้าเพียง 30 ร้านเท่านั้น


 


ในฐานะที่ตระกูลเฉินตู่เป็นตระกูลเจ้าเมืองจึงเป็นไปตามกฎของนิกาย ตระกูลเจ้าเมืองจะไม่สามารถมีส่วนร่วมในธุรกิจใดๆ ได้ แต่ผู้ที่เริ่มต้นธุรกิจของตัวเองจะต้องจ่ายภาษี นอกจากนี้ ทุกตระกูลเองก็ต้องจ่ายภาษีด้วยเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม แต่ละตระกูลจะพยายามติดสินบนในที่มืด ดังนั้นรายได้ของตระกูลเฉินตู่จึงต้องสูงที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย และสำหรับว่าจำนวนเท่าไหร่นั้น มีเพียงเจ้าเมือง เฉินตู่เจียนเห่อผู้เดียวเท่านั้นที่จะรู้


 


ตอนนี้ตระกูลหลี่มีหลี่ฟู่เฉินแล้ว ไม่เพียงแต่พวกเขาจะสามารถกลับไปสู่สภาวะที่ดีเยี่ยมได้ พวกอาจทำได้ดีกว่ามีเคยเป็น


 


***


 


เมืองรวยเงิน ที่พำนักผู้นำตระกูล…


 


“ลุง หลี่ฟู่เฉินนั้นหยิ่งเกินไป ท่านต้องช่วยแก้แค้นให้ข้า” เซียงไจ๋หยูอ้อนวอนเจ้าเมืองรวยเงิน เซียงเทียนเฉียน


 


ตาของเซียงเทียนเฉียนสั่นไหว เมื่อนั้นเขาก็กล่าวอย่างช้าๆ “ข้าจะพาเจ้าไปรับโทษในวันพรุ่งนี้”


 


“ได้ค่ะ… อะไรนะ?”


 


เซียงไจ๋หยูพยักหน้าอย่างไม่รู้ตัว แต่ก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว


 


‘ลุงจะไม่แก้แค้นให้นาง แต่จะพานางไปรับโทษ?’


 


เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลี่หยุนเห่อก็ตกตะลึง


 


เขาเป็นห่วงว่าเซียงไจ๋หยูอาจพจะบปัญหาระหว่างทางกลับ ดังนั้นเขาจึงนำยามสองคนมาช่วยเธอ


 


“ท่านลุงทำไมถึง? ตระกูลเซียงของเราจำเป็นต้องกลัวศิษย์หลักหรือไม่? พี่ชายของลูกพี่ลูกน้องข้าก็เป็นศิษย์หลักและเป็นเช่นนั้นมาหลายปีแล้ว”


 


“ไจ๋หยู เจ้าผลีผลามเกินไป”


 


ด้านนอกของห้องโถง มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งเดินเข้ามา


 


เซียงไจ๋หยูและหลี่หยุนเห่อหันกลับไป เมื่อนั้นเองที่เซียงไจ๋หยูกล่าวถาม “เทียนเชียงเก่อ ทำไมท่านถึงกลับมา?”


 


“ที่ข้ากลับมาก็นับว่าโชคดีมากแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าศิษย์หลักถูกแยกออกเป็นสองประเภท? ข้าเป็นศิษย์หลักระดับเงินของนิกายวารีคราม แต่หลี่ฟู่เฉินเป็นศิษย์หลักระดับทอง” เซียงเทียนเชียงไม่เต็มใจ แต่ก็ต้องยอมรับมัน


 


“ศิษย์หลักระดับทอง” เซียงไจ๋หยูชะงัก


 


“ศิษย์หลักระดับทองมีอำนาจในการปลดเจ้าเมืองลงจากตำแหน่ง แต่ศิษย์หลักระดับเงินไม่ได้มีอำนาจเช่นนั้น อย่าได้กล่าวถึงตระกูลเซียงเรา แม้แต่เจ้าเมืองในเมืองใหญ่ก็ไม่กล้าที่จะสร้างปัญหาให้กับศิษย์หลักระดับทอง พวกเขาจะพยายามหาของดีๆ ให้แทน แต่เจ้ากลับทำให้ศิษย์ระดับทองขุ่นเคืองแล้วจริงๆ”


 


“ปลดเจ้าเมือง” เซียงไจ๋หยูและหลี่หยุนเห่ออ้าปากค้าง


 


ศิษย์หลักระดับทองไม่ใช่ว่ามีอำนาจมากเกินไปใช่หรือไม่? พวกเขาได้รับอนุญาตให้ยกเลิกการเป็นเจ้าเมืองจริงๆ?


 


เซียงเทียนเซียงกล่าว “อย่าได้กล่าวถึงหลี่ฟูเฉินที่อยู่ในฐานะศิษย์หลักระดับทอง แม้ว่าเขาจะเป็นศิษย์หลักระดับเงิน เราก็ไม่สามารถทำให้เขาขุ่นเคืองได้เช่นกัน ศิษย์หลักระดับเงินที่อายุ 19 ปีมีสถานะสูงกว่าข้ามาก เจ้าคิดว่าตระกูลเซียงของเราเป็นตระกูลระดับสูงที่เราสามารถทำให้ใครขุ่นเคืองก็ได้ใช่หรือไม่? ให้ข้าบอกเจ้า หากเราขุ่นเคืองคนที่เราไม่สามารถทำอะไรได้ ตระกูลเซียงอาจะจสูญเสียเกียรติภูมิทั้งหมดได้ในวันเดียว”


 


“เราทำอะไรได้บ้าง?” เซียงไจ๋หยูตื่นตระหนก


 


แน่นอนเธอเป็นเด็กเหลือขอใจแตก แต่มันไม่ได้หมายความว่าเธองี่เง่า หากตระกูลเซียงของเธอไม่สามารถเติบโตได้อีก เธอคงจะกลายเป็นคนไร้ค่าของตระกูลเซียง และนั่นไม่ใช่ชีวิตในแบบที่เธอต้องการ


 


“ขออภัย เราต้องขออภัยอย่างจริงใจ นอกเหนือจากนี้ แค่คำขออภัยยังไม่นับว่าเพียงพอ เราต้องปล่อยให้ตระกูลหลี่เปิดสาขาในเมืองรวยเงิน” เซียงเทียนเชียงต้องการตัดช่องว่างที่ไม่ดีออกไป


 


เขาเพิ่งกลับมาจากนิกายวารีครามเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสาเหตุที่เขารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเรื่องของหลี่ฟู่เฉิน


 


แม้ว่าหลี่ฟู่เฉินจะเป็นเพียงโครงกระดูกธรรมดา แต่เขาก็ยอดเยี่ยมกว่าศิษย์หลักระดับทองส่วนใหญ่ แม้ว่าเขาจะมีความกล้า แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะยั่วยุหลี่ฟู่เฉิน


 


เซียงเทียนเฉียงพยักหน้า “เทียนเชียงพูดถูกแล้ว แค่ขอโทษจะคงไม่เพียงพอ เราจำเป็นต้องสนับสนุนธุรกิจของตระกูลหลี่”


 


“ลุง ท่านพี่ ข้าผิดไปแล้ว”


 


หัวใจของเซียงไจ๋หยูเกิดร่องรอยแห่งความหวาดกลัว เธอกลัวว่าหลี่ฟูเฉินจะเกลียดเธอและเกลียดตระกูลเซียง


 


เซียงเทียนเชียงหัวเราะ “ไจ๋หยู แม้ว่าเรื่องนี้อาจนำมาซึ่งวิกฤตต่อตระกูลเซียงเรา แต่มันก็ไม่ใช่การสูญเสียทั้งหมด หากหลี่ฟู่เฉินผู้นี้มีหัวใจอันยิ่งใหญ่ ตระกูลเซียงเราจะสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อสร้างความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลหลี่ได้”


 


การสร้างความสัมพันธ์อันดีกับศิษย์หลักระดับทองในอนาคตจะช่วยได้มาก


 


“ท่านพี่ของเจ้ากล่าวถูกแล้ว นี่คือวิกฤต แต่ยังเป็นโอกาสได้เช่นกัน” เซียงเทียนเฉียงพยักหน้า นี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงไม่โกรธเคืองใดๆ หากไม่เป็นเช่นนั้น เขาคงจะตำหนิเซียงไจ๋หยูอย่างจริงจังแล้ว


 


เซียงไจ๋หยูรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเธอเองตกอยู่ในอาการงุนงง ชั่วขณะนี้เอง ทันใดนั้นเธอก็เข้าใจว่าเธอตัวเล็กแค่ไหน โลกนี้ซับซ้อนเกินไป เธออาศัยอยู่ภายใต้ศักดิ์ศรีของตระกูลเซียงและไม่รู้เรื่องราวของโลกใบนี้


 


***


 


ตระกูลหลี่


 


หลายคนมาเยี่ยมชมบ้านของพวกเขา


 


ผู้มีอิทธิพลทั้งหมดในเมืองหมอกเมฆามาทักทายพวกเขา


 


แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่า ถ้าพวกเขาให้ของขวัญในระหว่างการเยี่ยมชมไปแล้ว ตระกูลหลี่ก็คงจดจำพวกเขาไม่ได้อยู่ดี แต่พวกเขาก็ยังทำมัน ไม่งั้นตระกูลหลี่อาจสงสัยในการมาของพวกเขาได้


 


พวกเขาไม่ต้องการตำแหน่งที่ดีขึ้น ขอเพียงแค่ยังคงเหมือนเดิมกับสภาพปัจจุบันของพวกเขาก็เป็นพอ


 


“เทียนฮาน วันนี้มีคนมาเยี่ยมมากเกินไป” เฉินหยูหยานกล่าวอย่างไม่สามารถทำอย่างไรได้ทว่าในเวลาเดียวกันเธอก็ดูเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ


 


เมื่อบุคคลบรรลุสถานะดีบางอย่าง คนที่เกี่ยวข้องจะมารวมตัวกัน


 


เมื่อหลี่ฟู่เฉินลูกชายของพวกเขาทำได้ดี พวกเขาก็ได้แบ่งปันความสำเร็จนั้นด้วยกัน


 


มันคงจะเสแสร้งเกินไป หากพวกเขาบอกว่าพวกเขาไม่ได้มีความสุขหรือความภาคภูมิใจ


 


หลี่เทียนฮานกล่าว “โลกทำงานด้วยวิธีนี้ หากเจ้าเป็นบุคคลที่น่ายำเกรง ผู้คนจะพยายามทำทุกวิธีทางเพื่อประจบประแจงเจ้า แต่เราก็ไม่สามารถแยกตัวออกจากโลกนี้ได้ ทว่าหากพวกเขาต้องการเสนอของขวัญ และตอนนั้นเราก็ให้พวกเขากลับ มันจะเป็นการสิ้นเปลืองที่ไม่อาจยอมรับได้”


 


หลักจากที่เป็นผู้นำตระกูลมาหลายปี หลี่เทียนฮานรู้จักวิถีชีวิตในโลกนี้เป็นอย่างดี เนื่องจากไม่สามารถเปลี่ยนโลกได้ เราก็สามารถปรับให้เข้ากับมันเท่านั้น หากยังคงดื้อรั้น มันก็คล้ายกับการขุดหลุมฝังศพของตัวเอง


 


“อือ ข้าเข้าใจแล้ว”


 


เฉินหยูหนายพยักหน้า เธอจะไม่รู้ตรรกะเหตุผลนี้ได้อย่างไร


 


“ท่านผู้นำ เจ้าเมืองของเมืองรวยเงิน เซียงเทียนเฉียนขอพบ”


 


“เซียงเทียนเฉียง” หลี่เทียนฮานและเฉินหยูหยานมองหน้ากัน


 


ในอดีต เซียงเทียนเฉียนเป็นสิ่งที่อยู่สูงกว่าสถานะของพวกเขา แม้แต่กระทั่งตระกูลเฉินตู่ก็ไม่อยู่ในสายตาของเซียงเทียนเฉียน


 


พวกเขาไม่เคยคาดหวังว่าวันหนึ่งที่เซียงเทียนเฉียงจะมีความคิดริเริ่มในการมาเป็นฝ่ายเยี่ยมชม


 


“ไปต้อนรับพวกเขาเถอะ!” เฉินหยูหยานกล่าว


 


“ได้” หลี่เทียนฮานพบว่ามันก็สมควรอยู่แล้วเช่นกัน


 


ด้านนอกของห้องโถง เซียงเทียนเฉียน เซียงเทียนเชียง และเซียงไจ๋หยู อยู่ทั้งหมด เห็นหลี่เทียนฮานมาต้อนรับเขาเป็นการส่วนตัว เซียงเทียนเฉียนกล่าวขึ้นด้วยความหวาดกลัว “ท่านผู้นำหลี่ ข้าจะให้ท่านมาต้อนรับข้าเป็นการส่วนตัวเช่นนี้ได้อย่างไร ข้ามาที่นี่วันนี้เพื่อพาหลานสาวมาขอการอภัย”


 


หลี่เทียนฮานสำรวจเซียไจ๋หยูที่ดูขัดเขินและตอบกลับ “เจ้าเมืองเซียง โปรดเข้ามาด้านในก่อน”


 


ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาสามารถพูดคุยกันได้เมื่ออยู่ข้างใน



บทที่ 177


ครองท้องฟ้าเพียงลำพัง


 


 


“เฒ่าเซียงผู้นี้ไม่ได้สั่งสอนสมาชิกตระกูลของตัวเองให้ดี  ข้าได้รู้แล้วว่าหลานสาวของข้าได้ทำให้ตระกูลหลี่ต้องโกรธเคือง งั้นแล้วข้าจึงมาเพื่อขอการอภัย ไจ๋หยู เข้ามาและขออภัยให้เร็ว” เซียงเทียนเฉียนดุเซียงไจ๋หยู


 


เซียงไจ๋หยูตัวสั่นขณะที่ค่อยๆ เดินเข้าไป จากนั้นเธอก็โค้งคำนับ “ท่านผู้นำหลี่ ไจ๋หยูไม่รู้ และหวังว่าท่านจะยกโทษให้ข้าที่ไม่รู้ด้วย”


 


หลี่เทียนฮานจ้องมองไปยังเซียงไจ๋หยูและมองดูที่เซียงเทียนเฉียนทันที ฟังเสียงฝั่งฝ่ายตรงข้ามอย่างเงียบๆ


 


หากพวกเขาให้อภัยพวกเขาเพียงเพราะมีคนกล่าวคำขอโทษ นั้นก็ไม่ได้หมายความว่าตระกูลหลี่นั้นไม่มีค่าใดๆ?


 


เซียงเทียนเฉียนกล่าวอย่างงุ่มง่าม “ท่านผู้นำหลี่ เฒ่าเซียงผู้นี้อยู่ที่นี่ในวันนี้เพื่อขอรับความโปรดปรานอื่น ในเมืองรวยเงินของข้าช่วงสองสามปีนี้ไม่ได้ดีนัก ข้าอยากเชิญให้ตระกูลหลี่งทุนในเมืองรวยเงิน และเปิดแผงขายของเพื่อช่วยเมืองรวยเงินฟื้นคืนความมั่งคั่งกลับคืนมา ข้าไม่แน่ใจผู้นำหลี่ยินดีที่จะช่วยเหลือข้าหรือไม่? แน่นอน ข้าจะไม่ขอความช่วยเหลือจากท่านฟรีๆ ถ้าตระกูลหลี่เลือกที่จะปักหลัก พวกท่านทั้งหมดจะถูกยกเว้นภาษีเป็นเวลา 5 ปี”


 


การให้ของขวัญเพื่อแลกกับการให้อภัยเป็นทักษะอย่างนึง หากท่านเสนอของขวัญในทันทีหรือเข้าบทสนทนาในทันทีเพื่อขอให้ตระกูลหลี่ตั้งร้านค้าในเมืองรวยเงิน นั้นมันจะไร้มารยาทเกินไป และจะทำให้ผู้คนรู้สึกรังเกียจได้อย่างง่ายดาย


 


แต่เนื่องจากเซียงเทียนเฉียงใช้จิตวิทยาย้อนกลับ เพื่อเสนอให้ตระกูลหลี่ช่วยเหลือเมืองรวยเงิน มันจึงมีผลลัพธ์ที่ดีกว่ามาก


 


แม้ว่าสถานะทางการเงินของเมืองรวยเงินจะทำได้ไม่ดีนัก แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ตามบรรทัดฐาน มันไม่ได้หมายความว่าเมืองรวยเงินจำเป็นต้องการความช่วยเหลือจากภายนอก การอนุญาตให้ตระกูลหลี่เปิดร้านค้าในเมืองรวยเงินเป็นสิ่งที่ดีจริงๆ


 


หลี่เทียนฮานตอบอย่างเฉยเมย “หากเป็นเพียงหนึ่งหรือสองร้าน เช่นนั้นแล้วก็ลืมมันไป ความสนใจของตระกูลหลี่เรามีจำกัด”


 


เห็นหลี่เทียนฮานยอมเปิดปากของเขาออกมา ดวงตาของเซียงเทียนเฉียงปรากฏร่องรอยแห่งความสุข “ร้านหรือสองร้านจะช่วยเหลือเมืองรวยเงินเราได้อย่างไร? ความต้องการอย่างน้อยของมันก็คือร้านค้ามากกว่า 50 แห่ง แต่ข้าไม่แน่ใจเกี่ยวกับเงินทุนที่ตระกูลหลี่มี? หากไม่พอ ตระกูลเซียงเราสามารถให้เงินกู้บางส่วนให้กับตระกูลหลี่ของท่านก่อนได้”


 


เมื่อได้ยินข้อเสนอ หลี่เทียนฮานก็ถูกล่อลวง


 


ร้านค้า 50 แห่งไม่ได้เป็นจำนวนที่เล็กน้อย กลับกันมันเป็นปริมาณมหาศาล โดยปกติแล้วร้านค้าทั่วไปสามารถทำกำไรได้ประมาณ 5,000 เหรียญทองต่อปี หากมันปลอดภาษี การสร้างรายได้ 500,000 เหรียญทองจะไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด


 


“ใครก็ได้เข้ามาและเสริฟ์น้ำชาให้ท่านเจ้าเมืองและกลุ่มของเขา เจ้าเมืองเซียง เชิญนั่งก่อน” หลี่เทียนฮานทำท่าทางด้วยมือขวา


 


อันที่จริงแล้วหากไม่จำเป็นจริงๆ หลี่เทียนฮานก็ไม่ต้องการทำลายความสัมพันธ์กับตระกูลเซียง


 


มีคำกล่าวไว้ว่า ‘อย่าออกนอกทาง และอย่าหาทางที่ทำให้ตัวเจ้าเองล่าถอย’ ตระกูลหลี่ของเขาอาจได้รับการยกย่องมากมายในขณะนี้ แต่มันก็ยังมีศัตรูอยู่รอบตัว


 


“ฮ่าฮ่า ท่านผู้นำหลี่สุภาพเกินไปแล้ว”


 


เซียงเทียนเฉียงในที่สุดก็สามารถยกสิ่งที่หนักใจออกไปได้ สิ่งที่มากไปกว่านั้น พวกเขาได้สร้างความสัมพันธ์ผ่านข้อกำหนดในการร่วมกับตระกูลหลี่ ตราบใดที่ตระกูลเซียงยังคงรักษาความสัมพันธ์นี้ไว้ได้ดี ผลประโยชน์ก็มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น


 


หลี่เทียนฮานกล่าว “พวกเรารู้สึกเป็นเกียรติที่ท่านเจ้าเมืองเซียงมาเยี่ยมชมตระกูลหลี่ สำหรับปัญหาเล็กน้อยดังกล่าว แม้ว่าตระกูลหลี่เราจะถูกกดดันตลอดหลายปีที่ผ่านมา พวกเราก็ยังมีเงินทุนเพียงพอ เราหวังว่าเมืองรวยเงินจะดูแลเราในช่วงเวลาเหล่านั้น”


 


ตระกูลหลี่เป็นตระกูลที่มีประวัติยาวนานมากว่า 50 ปี การจัดสรรจำนวนเงินมากกว่าหนึ่งล้านเหรียญหรือเหรียญทองไม่ใช่ปัญหา


 


“ตามเรื่องราวแล้วย่อมเป็นเช่นนั้น” เซียงเทียงเฉียงพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง


 


ในขณะที่คนใช้เสิร์ฟชา บรรยากาศในห้องโถงรับรองก็กลายเป็นผ่อนคลายและทุกคนเริ่มแลกเปลี่ยนบทสนทนากันอย่างสุภาพ


 


หลังจากนั้นไม่นาน เซียงเทียงเชียงก็ป้องกำปั้นและกล่าว “ท่านผู้นำหลี่ ข้าเซียงเทียนเชียง ศิษย์หลักของนิกายวารีคราม ข้าเคยได้ยินเรื่องของหลี่ฟู่เฉินชิตี๋ผู้โด่งดัง แต่ก็ไม่เคยพบเขามาก่อน ข้าสงสัยว่าท่านผู้นำหลี่จัดให้พวกเราพบกันได้หรือไม่?”


 


หลี่เทียนฮานสังเกตเห็นเซียงเทียนเชียงเป็นเวลานานแล้ว หลังจากได้ยินเขากล่าววว่าเป็นศิษย์หลัก เขาตกใจ ‘ดูเหมือนว่าเยาวชนผู้นี้เป็นสิ่งยึดมั่นหรืออาวุธที่ดีที่สุดของตระกูลเซียง’


 


แต่ฟู่เฉินไม่ชอบพบปะผู้คน และในฐานะที่เขาเป็นพ่อ เขาย่อมไม่ต้องการบังคับเขา เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “ฟู่เฉินกำลังฝึกฝนทักษะดาบของตนอยู่ในขณะนี้ ข้าเกรงว่าเขาจะไม่มีเวลา”


 


เซียงเทียนเฉียงไม่ต้องการทำให้บรรยากาศกลายเป็นน่าอึดอัดใจ ดังนั้นเขาจึงหัวเราะและกล่าว “ตั้งแต่ที่เขาไม่มีเวลา เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร เทียนเชียง ยังมีโอกาสอื่นอีก ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ”


 


“ข้าเข้าใจแล้ว เทียนเชียงหุ่นหันเกินไป”


 


เซียงเทียนเชียงไม่ได้เปิดเผยความไม่พอใจใดๆ ศิษย์หลักระดับทองเป็นกลุ่มคนที่มีพลังบ่มเพาะราวกับสัตว์ประหลาดและทุกคนอาศัยอยู่ในโลกของตัวเอง จากสิ่งที่เขาเห็น หลี่ฟูเฉินเองก็เช่นกัน หากไม่งั้นแล้วเขาก็คงจะไม่สามารถบรรลุผลสำเร็จได้


 


***


 


ตระกูลกั่ว


 


“ท่านผู้นำ ข้าได้ข่าวมาว่าเจ้าเมืองของเมืองรวยเงิน เซียงเทียนเฉียงเดินทางไปที่ตระกูลหลี่เป็นการส่วนตัวเพื่อขออภัย”


 


ผู้ตรวจตราของตระกูลกั่วคุกเข่าข้างหนึ่งและรายงาน


 


กั่วเยี่ยดูไม่ยินดีนัก


 


เนื่องจากหลี่ฟูเฉินสามารถสร้างความโด่ดเด่นให้ตนเองได้ที่นิกายวารีคราม เขาจึงเกิดความเสียใจ


 


ไม่เพียงแต่ถอนการหมั่นเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นเขาจะปฏิบัติอย่างเหี้ยมโหดในช่วงหลายปีที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน


 


เขาเลือกเส้นทางแห่งการถดถอยให้ตนเองแล้ว


 


ตอนนี้เขาจะทำอะไรได้? หลี่ฟูเฉินปัจจุบันเป็นศิษย์หลักระดับทองของนิกายวารีคราม คำเดียวจากเขาสามารถเปลี่ยนตระกูลกั่วให้กลายเป็นซากปรักหักพังได้ ตระกูลกั่วมีเพียงแต่กั่วเซี่ยที่เป็นศิษย์ชั้นในที่อยู่ในนิกายวารีคราม ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่เธอสามารถทำได้เพื่อช่วย


 


“เจ้าออกไปได้แล้ว!” กั่วเยี่ยทำท่าทาง ร่างกายทั้งหมดของเขารู้สึกชราภาพขึ้นอย่างกระทันหัน


 


“หลี่ฟู่เฉิน เจ้าเป็นหายนะของตระกูลกั่วจริงๆ!” กั่วเยี่ยบ่นกับตัวเอง


 


ระหว่างการแข่งขันอัจฉริยะ หลี่ฟู่เฉินทำให้ตระกูลกั่วไม่ได้แม้แต่เมล็ดเดียว หากว่ามันไม่ได้มีไว้สำหรับกั่วเซี่ยอยู่แล้ว มันก็คงไม่มีคนจากตระกูลกั่วใดๆ ที่จะเข้าไปยังนิกายวารีคราม


 


ใครจะคิดว่านั่นเป็นลางของฝันร้าย และตอนนี้ ฝันร้ายนี้เกิดขึ้นแล้วอย่างแท้จริง


 


“กั่วเยี่ย ไปที่ตระกูลหลี่และขอโทษอย่างสุภาพ จากนั้นก็นำตระกูลย้ายออกไปจากเมืองหมอกเมฆา”


 


ชายชราเดินเข้ามา


 


มันเป็นผู้ก่อตั้งตระกูลกั่ว กั่วตง


 


“ท่านผู้ก่อตั้ง ข้าได้ยินผิดใช่หรือไม่?! ออกจากเมืองหมอกเมฆา? เราจะไปที่ไหน?” ทุกเมืองมีพลังอำนาจของตนเอง ด้วยการเป็นตระกูลจากภายนอก พวกเขาจะมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการหยั่งรากอยู่ที่นั่นๆ เมื่อตอนที่ตระกูลกั่วมายังเมืองหมอกเมฆาเป็นครั้งแรก พวกเขาพึ่งพาตระกูลหลี่ค่อนข้างมากจนกว่าจะมีสถานะอย่างในปัจจุบัน


 


กั่วตงตอบกลับ “เจ้าไม่เข้าใจ? ในอนาคตตระกูลกั่วจะไม่สามารถพัฒนาได้อีกต่อไปหากยังอยู่ในเมืองหมอกเมฆา เฉพาะการออกจากเมืองหมอกเมฆาเท่านั้นเราถึงจะพบโอกาสในการเริ่มต้นใหม่ สิ่งที่ต้องทำในตอนนี้เป็นข้อกำหนดเบื้องต้นที่คือตระกูลหลี่ต้องยอมให้ตระกูลกั่วของเราออกไป”


 


คำขอโทษคือการขอให้ตระกูลหลี่อย่ากำจัดพวกเขา หากไม่เช่นนั้น พวกเขาจะไม่มีโอกาสได้ออกจากเมืองหมอกเมฆา


 


***


 


ตระกูลหยาน


 


ผู้ก่อตั้งและผู้อาวุโสของตระกูลหยานต่างประสบปัญหา


 


หลังจากที่พวกเขาคุยกัน พวกเขาก็ออกมาพร้อมกับตัวเลือกที่ดีที่สุดที่จะต้องทำ


 


นั่นคือการนำตระกูลออกจากเมืองหมอกเมฆา


 


อิทธิพลของตระกูลหลี่ตอนนี้โดดเด่นเกินไป อย่าได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ในปัจจุบันของพวกเขากับตระกูลหลี่ แม้ว่ามันจะไม่ได้แย่เหมือนตอนนี้ แต่พวกเขาจะไม่มีโอกาสพัฒนาใดๆ ต่อไปในเมืองหมอกเมฆา มันทำได้แต่ปฏิเสธที่นี่และจากแต่เพียงเท่านั้น


 


แน่นอน สิ่งที่จำเป็นต้องมีก็คือพวกเขาต้องทำให้ตระหลี่ปล่อยให้ตระกูลหยานของพวกเขาออกไป


 


แต่ตระกูลของพวกเขาทั้งสองไม่รู้ว่าตระกูลหลี่จะตอบสนองอย่างไร ดังนั้นพวกเขาจึงต้องไปและทดสอบมัน


 


และเพื่อทดสอบ ทางเลือกที่ดีที่สุดของพวกเขาคือไปและเสนอคำขอโทษ


 


***


 


ในวันนี้ คนระดับบนๆ ของตระกูลกั่วและตระกูลหยางไปแสวงหาการอภัยจากตระกูลหลี่


 


ครึ่งวันต่อมา ตระกูลกั่วและตระกูลหยานก็ออกมาที่ละตระกูล


 


ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หลังจากสองตระกูลใหญ่ออกมา พวกเขาก็เริ่มนำตระกูลย้ายออกไปทั้งหมด มันเป็นสิ่งที่ไม่สามารถทำแบบลับๆ ได้ ไม่ช้าทุกคนในเมืองหมอกเมฆาก็ค่อยๆ รู้ข่าว


 


ทุกคนในเมืองหมอกเมฆากลายเป็นตกตะลึง บางคนมีความสุข บางคนเศร้า


 


ตระกูลกั่วย้าย ตระหยางย้าย


 


เมืองหมอกเมฆาถูกทิ้งให้เมืองแต่ตระกูลเฉินตู่และตระกูลหลี่ หากทุกอย่างดำเนินต่อไปเช่นนี้ ตระกูลเฉินตู่ก็น่าจะออกจากเมืองหมอกเมฆาด้วยเช่นกัน


 


นี่มันหมายความว่าเมื่อท้องฟ้ามีผู้ครอบครองเพียงหนึ่ง ตระกูลหลี่ก็จะเป็นท้องฟ้าของเมืองวารีครามและจะไม่มีกองกำลังใดที่สามารถต่อต้านพวกเขาได้


 


แน่นอน สิ่งนี้จะถูกรักษาไว้ได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าหลี่ฟูเฉินจะเติบโตต่อไปอย่างไร วันที่การเติบโตของเขาซบเซาลงจะเป็นวันที่ผู้มีอิทธิพลใหม่มาถึงเมืองหมอกเมฆา มาเพื่อต่อสู้กับตระกูลหลี่


 


ตั้งแต่สมัยโบราณ สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นมากมายนับไม่ถ้วน


 


ในขณะที่ทั้งสองตระกูลใหญ่เตรียมพร้อมที่จะออกไป ตระกูลรองก็คือกลุ่มที่พอใจกับผลลัพธ์มากที่สุด พวกเขาย่อมไม่สามารถได้รับประโยชน์เช่นเดียวกับตระกูลหลี่ แต่พวกเขาจะเจริญเติบโตได้ดีกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน หลังจากทั้งหมดแล้ว ตระกูลหลี่ก๋ไม่สามารถทำธุรกิจทั้งหมดได้ และธุรกิจขนาดเล็กเหล่านั้นจะยังคงได้รับการจัดการโดยพวกเขาต่อไป



บทที่ 178


ผู้อาวุโสนิกายมาเยี่ยมชม


 


 


สองสัปดาห์ต่อมา นิกายส่งคนมาสอบสวย


 


มันเป็นผู้อาวุโสนิกายชั้นใน อาวุโสคัง


 


อาวุโสคังมาตามคำสั่งของอาวุโสใหญ่ ก่อนที่เขาจะมาที่นี่ เขาได้รับข้อมูลเกี่ยวกับตระกูลเจ้าเมืองในเมืองหมอกเมฆา ตระกูลเฉินตู่ เขารู้ว่าตระกูลนี้ค่อนข้างดังในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รังแกทั้งชายและหญิง รับสินบนและนำผู้เยาว์มารับบาปของตนเอง สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พวกเขาทำเป็นประจำ


 


ภายใต้สถานการณ์ปกติ นิกายวารีครามจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของพวกเขา หลังจากทั้งหมดแล้ว ไม่ว่ามันจะเป็นตระกูลอะไร หลังจากกลายเป็นตระกูลเจ้าเมือง พวกเขาจะเปลี่ยนศีลธรรมในตัวไม่ช้าก็เร็ว ตราบใดที่มันไม่ชั่วร้ายหรือมากเกินไป นิกายวารีครามก็สามารถปิดตาข้างหนึ่งและส่งคำเตือนได้


 


แต่มันไม่ใช่กับครั้งนี้ ณ ขณะนี้ มันเป็นศิษย์หลักระดับทองที่เป็นคนระงับเจ้าเมือง


 


หากแม้แต่กระทั้งศิษย์หลักระดับทองก็ไม่สามารถทนได้ เช่นนั้นนิกายวารีครามก็ต้องพิจารณาปัญหานี้อย่างจริงจัง


 


หนึ่งคือเจ้าเมืองของเมืองหมอกเมฆา อีกหนึ่งเป็นศิษย์หลักระดับทอง เห็นได้ชัดว่าใครมีความสำคัญกว่ากัน


 


ในท้องฟ้าเหนือเมืองหมอกเมฆา เสียงของอาวุโสคังดังขึ้นและได้ยินทั่วทั้งเมือง “ในช่วงเวลาที่เฉินตู่เจียนเห่อเป็นเจ้าเมือง เขาลำเอียงสำหรับกลุ่มคนของเขาเองและอนุญาตให้พวกนั้นกดขี่ข่มเหง จนถึงจุดที่กระทำการปล้นและฆาตกรรม ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เขาจะถูกปลดออกจากตำแหน่งเจ้าเมือง ตำแหน่งนั้นจะถูกควบคุมโดยผู้นำตระกูลหลี่ชั่วคราว หลี่เทียนฮาน เจ้าเมืองคนใหม่จะได้รับการแต่งตั้งทันทีเมื่อมีความพร้อม”


 


มีอย่างน้อย 8,000 ไม่ก็ 10,000 นักสู้ขอบเขตปฐพีอยู่ในนิกายวารีคราม การหาเจ้าเมืองที่เหมาะสมนั้นเป็นงานที่ค่อนข้างง่าย


 


“วันที่ตระเฉินตู่ปกครองเมืองหมอกเมฆาสุดท้ายแล้วก็สิ้นสุดลง”


 


“หากข้าจำไม่ผิด เฉินตู่เจียนเห่ออยู่ในตำแหน่งนี้มาประมาณ 18 ปีแล้ว”


 


“ถูกแล้ว ตั้งแต่เฉินตู่เจียนเห่อได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ตระกูลเฉินตู่ก็ได้รับการสนับสนุนเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลหลักขณะที่เป็นผู้นำของตระกูลใหญ่ทั้งสี่นี้ หลังจาก 18 ปีผ่านไป ตระกูลเฉินตู่ได้ถูกฉีกออกจากม่านอย่างสมบูรณ์  เขาสำเร็จได้เพราะเขาเป็นเจ้าเมือง และก็ล้มเหลวเพราะการเป็นเจ้าเมืองด้วยเช่นกัน”


 


ผู้ที่อาศัยอยู่ในเมืองหมอกเมฆากว่า 200,000 คนกำลังสนทนากัน ในขณะที่พวกเขาได้ยินเสียงของผู้อาวุโสอย่างชัดเจน


 


***


 


ตระกูลหลี่


 


อาวุโสคังมาเยี่ยมหลี่ฟู่เฉินเป็นการพิเศษ


 


“อาวุโสคัง” หลี่ฟูเฉินอยู่ในสวนของเขา ทักทายอาวุโสคังที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หิน


 


อาวุโสคังหัวเราะ “ตอนนี้ ไม่มีใครสามารถท้าทายตระกูลหลี่ภายในเมืองหมอกเมฆาได้อีกต่อไป ขอแสดงความยินดี”


 


หลี่ฟู่เฉินตอบกลับ “มันคงจะเป็นเรื่องตลกสำหรับอาวุโสคัง แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย หลังจากชำระหนี้กับพวกเขา ข้าเพียงแต่ไล่ล่าเต๋ายุทธ์ต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งหลังจากก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด”


 


อาวุโสคังพยักหน้าและกล่าวว่า “เป็นการดีที่เจ้าสามารถละทิ้งความปรารถนาและการหยุดการล่อลวงของทางโลกทั้งหมดเหล่านี้ อัจฉริยะหลายคนสามารถบรรลุระดับที่สูงขึ้น แต่ก็หยุดชะงักต่อสิ่งต่างๆ มากเกินไป จากนั้นพวกเขาก็จะค่อยๆสูญเสียหัวใจที่ของเต๋าแห่งยุทธ์ ผู้ที่สามารถบรรลุศักยภาพอย่างเต็มที่คือผู้ที่สามารถต้านทานการล่อลวงและทนต่อความสันโดษได้”


 


หลี่ฟูเฉินสงบนิ่งกว่าที่คิด สงบสติอารมณ์ดีที่และไม่ได้ดูเหมือนเด็กอายุ 19 ปี มันราวกับว่าเขาเป็นชายชราผู้ที่มีสติปัญญาในการมองผ่านกฎเกณฑ์ของโลกนี้


 


จิบชาครั้งนึง อาวุโสคังกล่าว “จงฝึกฝนให้หนักต่อไป ความจริงที่ว่าเจ้าสามารถเป็นศิษย์หลักระดับทองได้นั้นย่อมหมายความว่าเจ้ามีศักยภาพที่สูงมาก แต่อย่าได้นิ่งนอนใจและหยิ่งผยอง ทวีปยูนิคอร์น(มันมาชื่อนี้เลย ค่อยเปลี่ยนทีหลัง)ตะวันออกนั้นกว้างใหญ่มากและสี่ภาคของทั้งสี่นิกายเป็นเพียงส่วนปลายของภูเขาน้ำแข็ง มันมีแคว้นมากมายหลายแคว้น เช่นเดียวกันภูมิภาคอื่นๆ ถูกควบคุมโดยนิกายอื่นๆ แคว้นร้อยเทพยุทธ์อันแสนวุ่นวาย หรือแม้แต่กระทั่งแคว้นสิบปีศาจที่ปีศาจวิ่งอยู่เต็มไปหมด”


 


“นักสู้ตามค่าเฉลี่ยสามารถสำรวจทั่วทั้งทวีปยูนิคอร์นตะวันออก 70% จากทั้งหมด บางแคว้นหรือภูมิภาคนั้นหวงห้าม เกี่ยวกับทวีปยูนิคอร์นตะวันออก แคว้นวารีครามของเราเป็นเพียงแคว้นธรรมดาๆ เพื่อป้องกันตัวเอง เจ้าจะต้องก้าวหน้าต่อไป”


 


“ในประวัติศาสตร์ที่บันทึกไว้ของทวีปยูนิคอร์นตะวันออก มีสงคราม 3 นิกาย กับทุกสงครามนิกาย นิกายจำนวนมากจะต้องเผชิญกับถูกจำกัดโดยไม่มีข้อยกเว้น พวกเขาอ่อนแอและจะเป็นนิกายที่เล็กกว่าเสมอ นิกายวารีครามของเราไม่เคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับสงครามนิกาย แต่เราต้องเตรียมการสำหรับสงครามสี่นิกาย”


 


“ข้าไม่ได้กล่าวทั้งหมดนี้เพื่อกดดันเจ้า ตอนนี้เจ้ายังเป็นเพียงนักสู้ขอบเขตปฐพีและเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับทวีปยังไม่เกี่ยวข้องสำหรับเจ้า ข้าแค่อยากให้เจ้ารู้ว่าขอบเขตปฐพีเป็นเพียงข้อกำหนดขั้นต่ำสำหรับการที่เจ้าจะได้ปกป้องความปลอดภัยของเจ้าเองในทวีปยูนิคอร์นตะวันออก หากเจ้าต้องเดินทางโดยปราศจากอุปสรรคในทวีปยูนิคอร์นตะวันออก ที่เป็นอยู่นี้ยังไม่เพียงพอ”


 


อาวุโสคังมาที่นี่โดยอาวุโสใหญ่ เขารับหน้าที่ในการเตือนหลี่ฟู่เฉินให้รักษาจิตวิญญาณต่อสู้อันแรงกล้านี้เอาไว้


 


หลี่ฟู่เฉินตอบกลับ “อาวุโสคัง อย่ากังวลไปเลย ข้าเข้าใจทุกสิ่งที่ท่านกล่าวถึง การเพลิดเพลินกับสิ่งเร้าและการหยิ่งยะโสเป็นสิ่งที่จะไม่เกิดขึ้นกับข้า”


 


มีเครื่องรางทองคำ วิสัยทัศน์ของเขากว้างกว่าคนอื่นมาก เขาสงสัยว่าเครื่องรางทองคำอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นของโลกนี้และอาจเป็นสมบัติล้ำค่าซึ่งอยู่ในที่อื่นไกล และเพื่อไม่ให้เครื่องรางทองคำด้อยค่าลง วิธีเดียวของหลี่ฟู่เฉินคือการรุดหน้าและก้าวข้ามตัวเองอยู่ตลอด จนกว่าเขาจะเข้าใจความลับของเครื่องรางทองคำได้อย่างเต็มที่


 


หลังจากคุยกันกว่าสองชั่วโมง อาวุโสคังก็นำตัวเฉินตู่เจียนเห่อและจากไป


 


เฉินตู่เจียนเห่อยังจัดเป็นบุคคลระดับกลางของนิกายวารีครามได้อยู่เช่นกัน การถูกไล่ออกจากตำแหน่งเจ้าเมืองเป็นการลงโทษที่ร้ายแรง แต่ยังมีงานอื่นที่สามารถจัดการให้เขาทำได้


 


***


 


“พ่อ แม่ กิจการของตระกูลสามารถมอบให้ผู้อื่นจัดการได้ ท่านมีสิ่งสำคัญที่ต้องทำตั้งแต่นี้”


 


ในวันนี้ หลี่ฟู่เฉินและครอบครัวของเขามารวมตัวกัน


 


หลี่เทียนฮันถามด้วยความสงสัย “สำคัญ อะไร?”


 


หลี่ฟู่เฉินดึงถุงเก็บออกมาสามใบแล้วกล่าวว่า “ในถุงเก็บทั้งสามนี้เป็นสมุนไพรและยาเม็ด”


 


“ถุงเก็บของ?” หลี่เทียนฮานและเฉินหยูหยานยืดหลังขึ้น


 


ถุงเก็บเป็นสิ่งที่พวกเขาเคยแต่ได้ยินเท่านั้น และไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตของพวกเขา


 


ได้มีการกล่าวกันว่าถุงเก็บหนึ่งใบมีมูลค่าหลายหมื่นเหรียญทอง หากสถานะของใครไม่สูงพอ เจ้ามีเงินแต่ก็จะไม่สามารถซื้อด้วยเหรียญทองได้ เจ้าจะไม่สามารถเอาสิ่งใดมาได้เลย


 


ยิ่งไปกว่านั้น หลี่ฟู่เฉินยังนำมันมาสามใบในครั้งเดียว มันเกินจริงเกินไป


 


เปิดถุงเก็บ หลี่เทียนฮานและเฉินหยูหยานตกตะลึงอีกครั้ง สมุนไพรทั้งหมดถูกเก็บไว้ในกล่องหยก หลังจากเปิดกล่องใดกล่องหนึ่ง ทุกอย่างภายในเป็นสมุนไพรสีเหลืองขั้นสูงหรือขั้นสูงสุดหมด มีแม้แต่กระทั่งสมุนไพรระดับลึกลับขั้นต่ำ


 


มันน่ากลัวยิ่งกว่าเมื่อพูดถึงเรื่องเม็ดยา ขวดยาถูกยกสูงขึ้นและเป็นเม็ดยาสีเหลืองขั้นสูงไม่ก็ขั้นสูงสุดทั้งหมด หากเม็ดยาเหล่านี้ถูกประมูลออกไป พวกเขาจะได้เหรียญทองอย่างน้อย 1 หรือ 2 ล้านเหรียญ ซึ่งเทียบเท่ากับการอดหอยรอมริดของตระกูลหลี่สิบปี


 


“ฟู่เฉิน เจ้าต้องการสิ่งเหล่านี้มากกว่าเรา เรายอมรับมันมาไม่ได้” หลี่เทียนฮานกล่าว


 


หลี่ฟู่เฉินส่ายหัว “ข้าได้รับคะแนนสะสม 10 ล้านคะแนนจากเขตแดนร้อยพฤกษาเร้นลับ ข้าหาทรัพยากรเหล่านี้ได้มากเท่าที่ต้องการ ดังนั้นพวกเท่านไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับข้า”


 


เมื่อเขาจบประโยค หลี่ฟู่เฉินดึงถุงเก็บอื่นขึ้นมา แต่ตอนนี้เขาเปิดถุงเก็บของส่วนตัว จากนั้นเขาก็หยิบกล่องหยกที่บรรจุสมุนไพรหวดคืนกำเนิดและผลตัดปฐพีออกมา


 


“พ่อ แม่ นี่คือสมุนไพรหวนคืนกำเนิด มันช่วยให้คท่านสามารถเลื่อนระดับนึงได้อย่างรวดเร็วและไม่มีผลข้างเคียงใดๆ พ่อ ตอนนี้ท่านอยู่ที่ระดับที่ 7 ของขอบเขตต้นกำเนิด ท่านต้องการสมุนไพรหวดคืนกำเนิดสองต้น เพื่อที่ท่านจะได้ไปถึงระดับที่ 9 ของขอบเขตต้นกำเนิด แม่ ท่านอยู่ในระดับที่ 2 ของขอบเขตต้นกำเนิด ท่านอาจไม่สามารถก้าวไปสู่ระดับที่ 9 ของขอบเขตต้นกำเนิดได้ในเวลาอันสั้น แต่มันไม่น่าจะมีปัญหาหากเป็นภายในสองสามปีนี้”


 


สมุนไพรหวนคืนกำเนิดอาจไม่มีผลข้างเคียงใดๆ แต่ก็มีข้อจำกัดอยู่


 


ระดับที่เพิ่มไปแล้วครั้งนึงจะสามารถใช้สมุนไพรหวนคืนต้นกำเนิดได้อีกครั้งจะขึ้นอยู่กับร่างกายของบุคคล


 


หลี่ฟู่เฉินไม่หยุดและเปิดกล่องที่บรรจุผลตัดปฐพีออกมา “นี่คือผลตัดปฐพี เมื่อวันที่ท่านมาถึงจุดสูงสุดของขอบเขตต้นกำเนิด ท่านสามารถทานผลตัดปฐพีนี้เพื่อไปยังขอบเขตปฐพีโดยตรงได้”


 


ด้วยข้อมูลที่น่าตื่นตะลึงถูกซัดมาทีละอย่างละอย่าง หลี่เทียนฮานและเฉินหยูหยานเกือบเป็นลมและแทบหายใจไม่ออก


 


แต่ตอนนี้ข้อมูลที่น่าตื่นตะลึงที่สุดก็มาถึง หลี่ฟูเฉินหยิบองุ่นเจ็ดสีเคลือบเงาและเทคนิคบ่มเพาะสีเหลืองขั้นสูงสุดขึ้นมา



บทที่ 179


จิตวิญญาณสีฟ้าอ่อน


 


 


“สมุนไพรนี้เป็นองุ่นเจ็ดสีเคลือบเงาระดับปฐพีขั้นต่ำ หากนักสู้ที่มีโครงกระดูกระดับ 3 ดาวหรือต่ำกว่าจะสามารถใช้มันได้ พวกท่านจะสามารถยกระดับโครงกระดูกได้ 1 ดาว พ่อ ท่านโครงกระดูกระดับ 1 ดาว ดังนั้นหลังจากที่ท่านทานเข้าไปแล้ว ท่านจะกลายเป็นโครงกระดูกระดับ 2 ดาว แม่ ท่านเองก็เช่นกัน โครงกระดูกปกติ ท่านสามารถยกระดับโครงกระดูกของท่านให้เป็นโครงกระดูกระดับ 1 ดาวได้หลังจากที่ทานองุ่นลงไปแล้ว”


 


หลี่ฟูเฉินกล่าวขณะที่ชี้ไปยังองุ่นเจ็ดสีเคลือบเงา


 


มองไปที่องุ่นเจ็ดสีซึ่งกำลังเปล่งประกาย หลี่เทียนฮานและเฉินหยูหยานมองหน้ากัน หลี่เทียนฮานกล่าวถาม “ฟู่เฉิน จะเป็นอย่างไรถ้าท่านกินองุ่นเจ็ดสีเข้าไปสองลูก?”


 


หลี่ฟู่เฉินหัวเราะและตอบว่า “ผลที่สองจะไร้ซึ่งผลลัพธ์ใดๆ หนึ่งคนจะทานได้เพียงแต่ผลเดียว”


 


“เป็นเช่นนั้น”


 


แม้ว่ามันจะน่าเสียดาย แต่หลี่เทียนฮานและเฉินหยูหยานก็อยู่ในสภาวะที่ตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง


 


โครงกระดูกเป็นรากฐานของคนๆ หนึ่ง ยาและทรัพยากรอื่นๆ เป็นเพียงผลลัพธ์ที่มาชั่วคราว แต่โครงกระดูกกับคงอยู่ด้วยชีวิตและสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด


 


การยกระดับโครงกระดูกเป็นสิ่งที่แม้แต่กระทั่งนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปยูนิคอร์นตะวันออกก็ไม่สามารถทำได้ มันมีความลึกลับของโลกซ่อนอยู่


 


“นี่คือองุ่นเจ็ดสีเคลือบเงาสามผล พ่อและแม่สามารถทานมันคนละหนึ่งอันได้ อีกอันหนึ่งข้าอยากจะให้หลี่เซี่ยวตี้” มันมีทั้งหมดเจ็ดอัน เขาใช้เพื่อตัวเขาเอง ในขณะที่ส่วนที่เหลือเป็นของหลี่เทียนชี หลี่จินซิ่ว และหลี่เซียนถู่ สามคนนี้เป็นคนที่มีศักยภาพมากที่สุดในตระกูลหลี่นอกเหนือจากตัวเขาเอง


 


สุดท้าย หลี่ฟู่เฉินชี้ไปที่เทคนิค “นี่เป็นเทคนิคระดับสีเหลืองขั้นสูงสุด ทั้งหมด 3 เทคนิค ข้าได้รับมันมาในระหว่างการปฏิบัติภารกิจนิกาย มันไม่ใช่เทคนิคของนิกาย”


 


“เทคนิคสีเหลืองขั้นสูงสุด?”


 


ปฏิกิริยาของหลี่เทียนฮานและเฉินหยูหยานไม่รุนแรงอีกต่อไป เพราะตอนนี้พวกเขาดูมึนงง


 


แต่เมื่อหลี่ฟู่เฉินบอกพวกเขาว่าเป็นเทคนิคสีเหลืองขั้นสูงสุด ดวงตาของพวกเขาก็ยังคงสว่างขึ้น


 


แม้ว่าจะเป็นโครงกระดูกระดับ 2 ดาวก็ตาม หากไม่มีเทคนิคบ่มเพาะที่ดี มันก็คงเป็นไปไม่ได้ที่จะก้าวไปสู่ขอบเขตปฐพีในชีวิตนี้ ความสำคัญของเทคนิคคือที่สองรองลงมาจากโครงกระดูก


 


คืนนี้ หลี่เทียนฮานและเฉินหยูหยานรู้สึกตื่นเต้นมาก กว่าจะหลับได้ก็ดึกแล้ว


 


สามวันต่อมา ด้วยความช่วยเหลือจากสมุนไพรหวนคืนกำเนิด หลี่เทียนฮานก้าวเข้าสู่ระดับที่ 9 ของขอบเขตต้นกำเนิด


 


เฉินหยูหยานก้าวเข้าสู่ระดับที่ 5 ของขอบเขตต้นกำเนิด


 


พวกเขาทั้งสองสามารถเห็นจิตวิญญาณต่อสู้ที่รุนแรงในสายตาของกันและกันได้


 


หากใครคนนึงได้เป็นนักสู้แล้ว พวกเขามักจะมีความปรารถนาที่จะแสวงหาขอบเขตที่สูงกว่าอยู่เสมอ ตราบใดที่มีร่องรอยแห่งความหวังพวกเขาก็จะไม่ยอมแพ้


 


ตอนนี้ ต่อหน้าพวกเขาไม่ใช่ร่องรอยแห่งความหวัง แต่มันคือสิ่งที่เป็นไปได้แน่นอน หากพวกเขายังไม่มีจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ งั้นแล้วพวกเขาก็คงเป็นเพียงแค่กองโคลนกันแล้ว


 


***


 


ตระกูลหลี่มีหลายเรื่องที่ต้องจัดการ มันเป็นไปไม่ได้ที่หลี่เทียนฮานจะถอนตัวออกห่างจากกิจการที่วุ่นวายโดยสิ้นเชิง เขายังคงเป็นผู้นำตระกูลหลี่และในเวลาเดียวกันก็เป็นเจ้าเมืองชั่วคราวของเมืองหมอกเมฆา หากเจ้าเมืองที่แท้จริงอยู่ที่นี่ หลี่เทียนฮานก็สามารถผ่อนคลายได้เล็กน้อย


 


2 สัปดาห์ต่อมา เจ้าเมืองคนใหม่ของเมืองก็มาถึง


 


เจ้าเมืองผู้นี้ชื่อเหลียนจินชุ่ย ผู้ดูแลชั้นในของนิกานวารีคราม เนื่องจากตำแหน่งเจ้าเมืองว่างในเมืองหมอกเมฆา เขาจึงได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากให้เป็นเจ้าเมือง ซึ่งเป็นสถานะเดียวกับผู้อาวุโสชั้นนอก


 


เมื่อเหลียนจินชุ่ยมาถึงเมืองหมอกเมฆา เขาไม่ได้มุ่งหน้าไปยังที่พักของเจ้าเมือง แต่ไปที่ตระกูลหลี่ก่อนอันดับแรก


 


มันชัดเจนอยู่ในใจของเขา แม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าเมืองของเมืองหมอกเมฆา ตระกูลหลี่ก็ยังคงเป็นผู้ปกครองเมืองหมอกเมฆาที่แท้จริงอยู่ดี


 


สำหรับการที่หลี่ฟู่เฉินได้สนับสนุนตระกูลหลี่ แม้แต่กระทั่งผู้อาวุโสชั้นนอกก็ต้องเคารพการดำรงอยู่ของเขา


 


ตระกูลหลี่บริการหลี่จินชุ่นอย่างกระตืนรือร้น หลี่ฟู่เฉินพร้อมที่จะทักทายเขาเช่นกัน


 


ไม่ว่าอะไรก็ตาม เหลียนจินชุ่ยก็ยังคงเป็นเจ้าเมืองของเมืองหมอกเมฆาและเป็นจุดเชื่อมโยงระหว่างตระกูลหลี่และนิกายวารีคราม เมื่อเขาไม่อยู่ใกล้ๆ ตระกูลหลี่ก็จะไม่สามารถติดต่อคนระดับสูงจากนิกายวารีครามผ่านเหลียนจินชุ่ยได้


 


เมื่อเห็นว่าตระกูลหลี่กำลังรุดหน้าไปอย่างรวดเร็วและเมืองหมอกเมฆาตอนนี้ก็มีเจ้าเมืองคนใหม่แล้ว หลี่ฟู่เฉินวางแผนที่จะกลับไปยังนิกาย


 


***


 


เมื่อกลับมาที่นิกายวารีคราม หลี่ฟู่เฉินก็เริ่มทำการบ่มเพาะทันที


 


ในช่วงสองเดือนที่เขาจากไป หลี่ฟู่เฉินไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่นิดเดียว วิชาดาบเรืองรองอยู่ในขั้นดีเลิศเรียบร้อยแล้ว และอยู่ห่างจากขั้นภวังค์ไปเพียงก้าวเดียว เขาก็จะสามารถเข้าใจเจตนจำนงแห่งดาบเรืองรองได้


 


ในเวลาเดียวกัน หลี่ฟู่เฉินรู้สึกว่าจิตวิญญาณของเขากำลังจะพัฒนาขึ้นอีกครั้ง


 


หนึ่งเดือนก่อน จิตวิญญาณของหลี่ฟู่เฉินนั้นเป็นสีฟ้าอ่อนแล้ว 99% มันยังขาดส่วนสุดท้ายที่จะพัฒนาอยู่


 


เพียงเพราะส่วนเล็กๆ นี้ มันจึงทำให้วิวัฒนาการทั้งหมดเป็นเรื่องยาก หากไม่มีการเคลื่อนไหวแม้แต่เพียงเล็กน้อยจากจิตวิญญาณของเขาในสองสามวัน หลี่ฟูเฉินจะคิดว่ามันจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปีก่อนที่มันจะพัฒนา


 


ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะรอให้จิตวิญญาณวิวัฒนาการ หลี่ฟูเฉินทำในสิ่งที่เขาต้องการจะทำ


 


เขาไปที่ห้องโถงทักษะเพื่อแลกวิชาดาบสีเหลืองขั้นกลางจำนวนมาก


 


หลังจากนั้น เขาก็เริ่มการฝึกฝน


 


สองสัปดาห์ผ่านไป


 


ในลานกว้าง แสงเปล่งออกมา


 


เนื่องจากรากฐานดาบแห่งเต๋าของเขามั่นคงแล้ว ทำยังมีความเข้าใจต่อเจตจำนงดาวตก และเพราะเจตจำนงดาบดาวตกและเจตจำนงเรืองรองมีความคล้ายคลึงกันเล็กน้อย หลี่ฟูเฉินจึงใช้เวลาน้อยกว่าสามเดือนในการทำความเข้าใจเจตจำนงดาบเรืองรอง


 


ด้วยความช่วยเหลือของเจตจำนงดาบเรืองรอง วิชาดาบเรืองรองจึงกลายเป็นรวดเร็วขึ้นมาก เร็วกว่าวิชาดาบดาวตกมาก ขณะที่เขากวัดแกว่งดาบของเขา เขาไม่รู้สึกถึงแรงต้านทานใดๆ


 


“มันเร็วเกินไป” หลี่ฟู่เฉินอ้าปากค้าง


 


ในฐานะที่เขาเพิ่งเข้าใจเจตจำนงดาบเรืองรอง เขาจึงไม่สามารถควบคุมมันได้ เมื่อเจตจำนงแห่งดาบถูกปลดปล่อยออกมา เขาจำเป็นต้องเคลื่อนไหวดาบออกไปก่อน หากไม่เช่นนั้น มันจะลำบากที่ใช้ออก


 


ความรู้สึกนี้ไม่เหมือนมนุษย์ที่ควบคุมพลังจากดาบ แต่ดาบนั้นควบคุมพลังของมนุษย์


 


‘ข้ายังไม่สามารถควบคุมได้เหมือนตามที่ข้าต้องการ ดูเหมือนว่าข้ายังจำเป็นต้องฝึกฝนมากกว่านี้’ หลี่ฟู่เฉินคิด


 


เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อหลี่ฟู่เฉินเตรียมพร้อมที่จะฝึกฝนทักษะดาบของเขา ทันใดนั้นเขาก็กลายเป็นชะงักงัน ทันใดนั้นดวงตาที่ไร้ชีวิตชีวาของเขาก็ปลดปล่อยแสงสีฟ้าอ่อนๆ ออกมา


 


ภายในจิตใต้สำนึกของเขา จิตวิญญาณของเขามีการพัฒนาเป็นสีฟ้าอ่อนอย่างสมบูรณ์


 


ขณะจิตวิญญาณสีน้ำฟ้าอ่อนกำลังก่อตัวขึ้น จิตใจของหลี่ฟู่เฉินถูกส่งเข้าสู่จิตใต้สำนึกของเขาทันที


 


จิตวิญญาณสีฟ้าอ่อนเป็นเหมือนลูกบอลคริสตัลสีฟ้าอ่อน วิเศษและงดงาม ไม่มีสิ่งสกปรกหรือตำหนิใดๆ


 


ตอนนี้จิตสำนึกที่ว่างเปล่าและไร้รูปร่างมีเส้นปรากฏสุ่มขึ้นมากมาย เส้นเหล่านี้ก่อตัวเป็นชุดๆ อยู่อย่างยุ่งเหยิง ไม่ทราบว่าเชื่อมต่อเส้นใดเป็นเส้นใด มีเพียงไม่กี่เส้นทางเท่านั้นที่เชื่อมต่อและสร้างเส้นทางที่สมบูรณ์ขึ้น


 


แคร๊ก! ปั๊ง!


 


กระแสสีฟ้าอ่อนระเบิดขึ้น และเส้นทั้งหมดนั้นถูกกระแสไหลผ่าน


 


กระแสนั้นดุร้ายและรุนแรง สร้างจุดเชื่อมต่อเพิ่มเติม เส้นทางถูกสร้างมากขึ้น


 


หลังจากเวลาผ่านไประยะหนึ่งกระแสก็กระจายตัวออกไป เส้นเริ่มจางหายไป ราวกับว่าพวกมันไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน


 


“ดังนั้นแล้วนี่คือจิตวิญญาณสีฟ้าอ่อน?” ขณะนั้นเองที่หลี่ฟู่เฉินมีสติขึ้นมา


 


มองไปยังลูกบอลจิตวิญญาณสีฟ้าอ่อนที่สมบูรณ์แบบ หลี่ฟู่เฉินไม่มีคำใดที่จะบรรยายความงดงามของมัน


 


ฮูว!


 


หายใจเข้าลึกๆ หลี่ฟู่เฉินได้สติคืนมาอย่างสมบรูณ์


 


“ข้าสงสัยว่าการรับรู้ของข้าตอนนี้เป็นเช่นไร?”


 


วาดดาบของเขา หลี่ฟู่เฉินดำเนินการใช้วิชาดาบเรืองรอง


 


เขาตกตะลึง


 


เจตจำนงดาบเรืองรองที่เขาไม่สามารถใช้ออกได้ตามต้องการ ตอนนี้อ่อนโยนราวกับสายน้ำ ระดับความเข้ากันได้มาถึงระดับเดียวกับเจตจำนงดาบดาวตกของเขาทันที


 


ดวงตาของเขาเปล่งประกายอย่างแรงกล้า ขณะที่หลี่ฟู่เฉินเริ่มทำความเข้าใจทักษะดาบระดับกลางที่เหลือ


 


ใน 1 ชั่วโมง ทักษะดาบสีเหลืองขั้นกลางอยู่ในขั้นภวังค์


 


ใน 2 ชั่วโมง ทักษะดาบสีเหลืองขั้นกลางสามเล่มอยู่ในขั้นภวังค์


 


ใน 4 ชั่วโมง ทักษะดาบสีเหลืองขั้นกลางเจ็ดเล่มอยู่ในขั้นภวังค์


 


การไหลของความคิดของหลี่ฟู่เฉินไม่เคยติดขัด ทันทีที่ความคิดพุ่งเข้ามา แรงบันดาลใจมากมายก็จะพรั่งพรูออกมา แม้แต่กระทั่งในสิ่งของในชีวิตประจำวันที่หลี่ฟู่เฉินเห็น ได้ยิน หรือสัมผัสก็จะกลายเป็นแรงบันดาลใจ มองขึ้นไปบนท้องฟ้า หลี่ฟู่เฉินยังสามารถค้นพบเต๋าแห่งดาบที่ลอยอยู่ในหมู่เมฆได้



บทที่ 180


การรับรู้อันรุนแรง


 


 


“จิตวิญญาณสีฟ้าอ่อนมีการรับรู้สูงกว่าจิตวิญญาณสีเขียวเพียงไม่กี่เท่า แต่มันก็สามารถช่วยให้ข้าเข้าใจเจตจำนงเงาวายุ เจตจำนงหลอมเหล็ก และเจตนจำลูกไร้เงา?”


 


เมื่อการรับรู้ของคนๆ หนึ่งก้าวขึ้นมาถึงระดับนึง มันอาจอนุญาตให้คนหนึ่งรับรู้ถึงเจตจำนงของทักษะยุทธ์ได้


 


อย่างแรกคือเจตจำนงเงาวายุ(ย่างก้าวเงาวายุ)และเจตจำนงลูกเตะไร้เงา


 


ทั้งสองเจตจำนงเกี่ยวข้องกับลมซึ่งสามารถเติมเต็มซึ่งกันและกันได้


 


บนรอบภูเขาที่กว้างขวาง ร่างกลายเป็นว่างเปล่าขณะที่เงาเคลื่อนตัวไปทั่วพื้นที่อย่างรวดเร็ว


 


เป็นไปไม่ได้ที่จะอธิบายความรวดเร็วนี้


 


ดูเหมือนว่าจะเร็วกว่าลม คล่องแคล้วว่องไวประดุจนก และในขณะที่เขาเคลื่อนที่ไปรอบๆ ก็ไม่มีแม้แต่เสียงหรือการคงอยู่ใดๆ เขาเร็วประดุจสายฟ้าฟาด


 


“เมื่อเจตจำนงเงาวายุรวมกับเจตจำนงลูกเตะไร้เงา ความเร็วของข้าก็เหนือกว่าท่าร่างศักดิ์สิทธิ์และความคล่องตัวก็เพิ่มขึ้นอีกสองสามเท่าเช่นกัน”


 


ท่าร่างศักดิ์สิทธิ์มีประโยชน์อย่างมากและรวดเร็วในตอนที่เขาใช้มันเพื่อสำรวจดินแดน แต่ความเร็วของมันสำหรับเส้นทางตรงเท่านั้น สำหรับเจตจำนงเงาวายุและเจตตำนงลูกเตะไร้เงาที่มารวมกัน ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางโค้ง มันก็ไปถึงจุดสุดยอดและเกินขีดความสามารถปกติของมนุษย์ปถุชนธรรมดา


 


ใบไม้ที่กำลังลอยอยู่


 


หลี่ฟูเฉินเหยียบใบไม้เบาๆ กลางอากาศ ในขณะที่เขาโลดเล่นไปพร้อมกับมัน


 


“แม้ว่าการยกระดับโคนงกระดูกจะช่วยเพิ่มคุณสมบัติทั้งหมดของข้า แต่เมื่อเปรียบเทียบกับการรับรู้ ดูเหมือนว่าจะมีประโยชน์ไม่มากนัก”


 


เมื่อการรับรู้ของคนๆ มีแค่ระดับดี มันก็ไม่น่ากลัวแต่อย่างใด แต่ถ้าการรับรู้ของใครเกินมากกว่านั้น มันจะกลายเป็นความน่าหวาดกลัว


 


เมื่อไม่มีปัญหาใดๆ ในการเข้าใจทักษะต่อสู้ มันเป็นความรู้สึกที่น่าอัศจรรย์ มันเหมือนกับว่าท่านสามารถสัมผัสถึงความลับของสวรรค์และโลกได้


 


หลังจากเข้าใจเจตจำนงเงาวายุและลูกเตะไร้เงา ตอนนี้มันก็ถึงเวลาของเจตจำนงหลอมเหล็กแล้ว


 


เจตจำนงหลอมเหล็กเกี่ยวข้องกับไฟ


 


ในขั้นสุดท้าย ฝ่ามือหลอมเหล็กสามารถหลอมเหล็กและแร่ที่เป็นโลหะได้ หลี่ฟูเฉินไม่ทราบว่าการเปลี่ยนแปลงชนิดจะเกิดขึ้นเมื่อมีเจตจำนงหลอมเหล็กเพิ่มเข้ามา


 


เพื่อทำความเข้าใจเจตจำนงหลอมเหล็ก หลี่ฟูเฉินจึงนำเตาหลอมมาที่นี่โดยเฉพาะ เขาโยนถ่านเข้าไปแล้วก็จุดไฟ


 


บิสส!


 


เมื่อไฟเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มันก็เริ่มแตกออกและเปลี่ยนตนเองเป็นประกาย


 


“ไฟ มันต้องการเชื้อเพลิงในการเผาไหม้ หากแหล่งเชื้อเพลิงเพียงพอ เปลวไฟก็สามารถรุนแรงขึ้นได้อีก ความรุนแรงของไฟสามารถเติบโตได้อย่างไร้ขีดจำกัด แต่ก็จำเป็นต้องมีแหล่งเชื้อเพลิงเพื่อที่จะรักษาความมั่นคงนั้นไว้ได้”


 


หลี่ฟู่เฉินแบมือขวาของเขาและถ่ายพลังฉีเพลิงโลกันต์แท้จริงลงบนฝ่ามือของเขา ในขณะที่เขาบีบอัดมันอย่างต่อเนื่อง


 


อากาศที่อยู่เหนือตัวหลี่ฟู่เฉินค่อยๆ บิดเบี้ยว


 


ช่วงเวลาต่อมา เปลวไฟสีเขียวก็ปรากฏออกมา ขณะที่มันปกคลุมฝ่ามือของหลี่ฟู่เฉิน


 


หาไม้สักชิ้น หลี่ฟู่เฉินใช้มือขวาจับมัน


 


ในพริบตา ไม้ถูกไฟเผาและกลายเป็นเถ้า


 


หลี่ฟู่เฉินหยิบชิ้นส่วนของโลหะสีเหลืองขั้นสูงสุดออกมาจากถุงเก็บของเขาและถือไว้


 


ในช่วงเวลาสั้นๆ โลหะเริ่มละลายและหยดเหลวของโลหะก็ตกลงมา


 


“พลังทำลายล้างมากมายอะไรเช่นนี้” หลี่ฟูเฉินประหลาดใจกับพลังทำลายล้างของเจตจำนงหลอมเหล็ก


 


เขาประหลาดใจกับพลังการทำลายล้างของเปลวเพลิง


 


เหตุผลที่เจตจำนงฝ่ามือหลอมเหล็กสามารถที่จะมีพลังเช่นนี้ได้ก็เนื่องจากพลังฉีเพลิงโลกันต์แท้จริง ก็ในเมื่อทักษะทั้งสองนี้มีทักษะวิชาประเภทความร้อนเช่นเดียวกัน


 


แสงเพลิงส่องเข้ามาในดวงตาของหลี่ฟู่เฉิน ขณะที่เขาเริ่มนำเจตจำนงเพลิงแดงรวมเข้ากับเจตจำนงหลอมเหล็ก


 


บิสส!


 


เปลวเพลิงสีเขียวเริ่มเปลี่ยนเป็นเปลวเพลิงสีเขียวเข้ม ชิ้นส่วนของไม้ที่สัมผัสกับเปลวเพลิงสว่างขึ้นทันทีและเพียงอึดใจเดียว มันก็กลายเป็นขี้เถ้า


 


ถือแร่ไว้ มันละลายเร็วมากแม้แต่กระทั่งดวงตาของมนุษย์ธรรมดาก็สามารถมองเห็นว่าหลอมเหลวคล้ายลาวาที่หลอมละลาย


 


“หลอมเหล็กด้วยมือปล่าว ข้าสงสัยว่าอาวุโสที่ทำอาวุธจะหลอมเหล็กด้วยวิธีเช่นนี้หรือไม่”


 


นิกายวารีครามเป็นนิกายที่ยึดมั่นในเต๋าแห่งดาบ และดาบเองก็ถูกสร้างขึ้นจากโถงทำอาวุธด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นดาบของเหล่าศิษย์หรือดาบของผู้ดูแลหรือผู้อาวุโส พวกมันทั้งหมดก็ถูกสร้างขึ้นที่โถงทำอาวุธ แน่นอน นอกเหนือจากผู้อาวุโสที่ทำอาวุธ ก็มีศิษย์หลายคนที่ทำอาวุธอยู่ด้วยเช่นกัน สำหรับดาบสมบัติทุกชิ้นที่พวกเขาปรับแต่งขึ้นมา พวกเขาจะได้รับการตอบแทนด้วยคะแนนสะสมตามคุณภาพของดาบ


 


ด้วยการรับรู้ที่แข็งแกร่งดังที่มี หลี่ฟูเฉินจึงไม่ต้องการให้มันถูกปล่อยร้างเอาไว้


 


***


 


หนึ่งเดือนต่อมา


 


จำนวนดาบทักษะดาบสีเหลืองที่หลี่ฟู่เฉินบรรลุถึงขั้นภวังค์ในตอนนี้มีทั้งหมด 350 เล่ม


 


เป็นทักษะดาบสีเหลืองขั้นต่ำ 100 เล่ม ขั้นกลาง 100 เล่ม ขั้นสูง 100 เล่ม ขั้นสูงสุด 50 เล่ม


 


ด้วยความเข้าใจต่อเต๋าแห่งดาบที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยะสำคัญของเขา มันจึงช่วยเสริมสร้างการรับรู้ต่อดาบของหลี่ฟู้ฉินอย่างมาก


 


ในเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ หลี่ฟู่เฉินบรรลุขั้นภวังค์ของทักษะดาบลึกลับขั้นต่ำวิชาดาบทยานนภาและเข้าใจเจตจำนงดาบทะยานนภา


 


อีก 5 วันต่อมา วิชาดาบทยานเมฆาลึกลับขั้นต่ำก็มาถึงขั้นภวังค์พร้อมๆ กับเจตจำนงแห่งดาบทะยานเมฆา


 


จากนั้นมันก็เป็นเจตจำนงดาบตะวัน เจตจำนงดาบเพลิงเด่น และเจตจำนงดาบปฐพีเหือดแห้ง


 


หลังจากกลับมาที่นิกายเป็นเวลาสองเดือน หลี่ฟู่เฉินได้เข้าใจเจตจำนงแห่งดาบทั้งหมดเจ็ดเจตจำนง


 


ในเวลาเดียวกัน เทคนิคเพลิงโลกันต์แท้จริงของหลี่ฟู่เฉินก็ก้าวหน้าจากระดับที่ 13 ขั้นไปยังระดับที่ 14 และมุ่งหน้าไปยังระดับที่ 15 อย่างต่อเนื่อง


 


“ถึงเวลาที่ต้องแลกทักษะดาบลึกลับขั้นกลาง”


 


ทักษะดาบลึกลับขั้นกลางนั้นยากที่จะเข้าใจ แม้แต่กระทั่งนักสู้ขอบเขตปฐพีระดับสูงเองก็ตาม และท่ามกลางศิษย์หลักของนิกายวารีครามเอง มีบุคคลน้อยกว่าสิบคนที่เข้าใจเจตจำนงแห่งดาบของทักษะดาบลึกลับขั้นกลาง ในหมู่พวกนั้นมีเพียงดาบคลั่ง ดาบพยัคฆ์ ดาบไร้อารมณ์ และอื่นๆ


 


***


 


มาถึงที่ห้องโถงทักษะ หลี่ฟู่เฉินเริ่มเลือกทักษะดาบลึกลับขั้นกลาง


 


“วิชาดาบธารภูผา สภาวะพลังแห่งดาบที่แข็งแกร่ง”


 


“วิชาดาบเมฆาขาว เคร่งขรึมและไร้สภาวะอารมณ์”


 


“วิชาดาบเก้าโคจร หมุนเก้าครั้งในแต่ละดาบ”


 


“วิชาดาบโคจรเลื่อนไหล สภาวะพลังดาบที่ชั่วร้าย”


 


“วิชาดาบเพลิงดาวตก หนึ่งดาบต่อหนึ่งเพลิงดาวตก”


 


……


 


ทักษะดาบลึกลับขั้นกลางมีมูลค่าคะแนนสะสมอย่างน้อย 30,000 คะแนนต่อเล่ม ครึ่งหนึ่งของราคานั้นหมายความว่าประมาณ 1 ถึง 2 หมื่นคะแนน หลี่ฟู่เฉินมีคะแนนสนับสนุน 10 ล้านคะแนน เขาจึงไม่ได้สนใจกับสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้


 


เขาตระหนักได้ว่าทักษะดาบสองสามเล่มนั้นค่อนข้างเหมาะสำหรับตัวเขาเอง ดังนั้นเขาจึงวางแผนที่จะแลกมันมาเพิ่มเติม


 


หลังจากนั้นไม่นาน หลี่ฟู่เฉินเลือกทักษะดาบสามเล่ม ทักษะดาบเก้าโคจร ทักษะดาบโคจรเลื่อนไหล และทักษะดาบเพลิงดาวตก


 


เมื่อผู้อาวุโสในห้องโถงสังเกตเห็นหลี่ฟู่เฉินเลือกสามทักษะดาบขั้นกลางมาถึงสามเล่ม เขาขมวดคิ้วเล็กน้อยและคิด ‘เด็กหนุ่มผู้นี้ใช่หยิ่งยะโสและโลภเกินไปหรือไม่?’


 


เขารู้ว่าหลี่ฟู่เฉินคือใคร แต่ในมุมมองของเขา มันก็ดี หากว่านักสู้ขอบเขตปฐพีสามารถฝึกฝนวิชาดาบลึกลับขั้นกลางไปจนถึงขั้นภวังค์ได้ แต่เพื่อฝึกฝนทั้งสามนี้ ไม่ได้หมายความว่าเวลาที่ต้องใช้จะเพิ่มขึ้นสามเท่า แต่ที่ต้องใช้อย่างน้อยๆ ก็สิบเท่า


 


ส่ายหัวของเขา ผู้อาวุโสไม่ได้แสดงความคิดเห็นใด


 


ศิษย์หลักระดับทองทุกคนนั้นดื้อรั้น เมื่อพวกเขาตั้งมั่นกับบางสิ่ง ก็ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนใจพวกเขาได้แล้ว


 


ถือวิชาดาบสามเล่ม หลี่ฟูเฉินกลับไปที่ลานบ้านของเขาเอง


 


หลังจากที่คิดไปมา เขาตัดสินใจที่จะศึกษาวิชาดาบเพลิงดาวตกเป็นอันแรก


 


วิชาดาบนี้เกี่ยวข้องกับไฟและน่าจะง่ายกว่าสำหรับการทำความเข้าใจ


 


ระหว่างการฝึกฝนของเขา หลี่ฟูเฉินคิดว่าทักษะดาบก็เป็นยังทักษะดาบอยู่ดี เกี่ยวกับความสามารถในการสังหาร เทคนิคบ่มเพาะย่อมไม่สามารถเปรียบเทียบได้


 


แม้ว่าเขาจะมาถึงระดับสูงสุดของเทคนิคเปลวเพลิงลี้ลับแล้ว และยังเข้าใจเจตจำนงเพลิงแดงอีก


 


แต่หลี่ฟูเฉินก็รู้สึกว่าหากเขาสามารถเข้าใจเจตจำนงแห่งดาบเพลิงดาวตกได้ พลังอำนาจของมันอาจมากกว่าเจตจำนงเพลิงแดงหลายเท่า


 


วิชาดาบเพลิงดาวตกเป็นวิชาดาบที่ดุดัน รุนแรง มากเสียยิ่งกว่าวิชาดาบดาวตก


 


วิชาดาบดาวตกพุ่งเข้าไปเพื่อเจาะทะลวง ในขณะที่วิชาดาบเพลิงดาวตกพุ่งเข้าไปเพื่อทำลายล้างสังหารในครั้งเดียว


 


เพลิงดาวตกหนึ่งดาบก็เพียงพอที่จะกำจัดศัตรู ไม่ว่าเกราะป้องกันพลังฉีหรือเทคนิคปรับแต่งร่างกาย มันจะกลายเป็นกระดาษเมื่ออยู่ต่อหน้าวิชาดาบเพลิงดาวตก


 


แต่เฉพาะผู้ที่ฝึกฝนเทคนิคประเภทความร้อนเท่านั้นถึงจะสามารถฝึกฝนวิชาดาบเพลิงดาวตกได้


บทที่ 181


สิบเจตจำนงแห่งดาบ


 


 


เมื่อฝึกฝนวิชาดาบลึกลับขั้นต่ำ หลี่ฟู่เฉินใช้เวลาเพียงไม่กี่วันในการเข้าใจเจตจำนงแห่งดาบ


 


แต่เมื่อฝึกฝนทักษะดาบลึกลับขั้นกลาง หลี่ฟู่เฉินใช้เวลาสิบวันในการเข้าถึงขั้นดีเลิศย่อย


 


หลี่ฟู่เฉินเข้าใจได้ว่าเพียงแค่พึ่งพาการรับรู้ของเขาคงจะไม่เข้าท่านัก


 


ระดับการฝึกฝนของเขาจะต้องก้าวหน้าต่อไป


 


ยิ่งระดับทักษะที่ฝึกฝนสูงขึ้น ความต้องการต่อระดับบ่มเพาะของใครคนหนึ่งก็มากขึ้นเช่นกัน


 


ยกตัวอย่างเช่นการเคลื่อนที่ของแม่น้ำ วังวนสามารถก่อตัวได้อย่างง่ายดายเมื่อเป็นน้ำลึก แต่สำหรับน้ำตื้นมันยากที่จะก่อตัวเป็นวังวน มันจะยากขั้นเป็นสิบเท่า


 


เว้นแต่กระแสน้ำนี้จะไหลเร็วมากกว่าสิบเท่าหรือร้อยเท่า


 


น่าเสียดายที่ปริมาณน้ำในลำธารมีจำกัดเกินไป เพื่อให้มันกลายเป็นกระแสน้ำที่ไหลอย่างรวดเร็ว จะต้องมีลำธารที่ลึกมากขึ้น


 


ในตัวอย่างนี้ แม่น้ำและลำธารก็เปลี่ยนเสมือนระดับการบ่มเพาะ วังวนก็เหมือนทักษะต่อสู้ ความเร็วของกระแสน้ำแสดงถึงระดับการรับรู้ของคนหนึ่ง และความลึกก็คือรากฐานเต๋าทักษะยุทธ์


 


การรับรู้และรากฐานเต๋าทักษะยุทธ์ค่อนข้างคล้ายกัน ระดับการรับรู้ขึ้นอยู่กับร่างกายของคนๆ หนึ่ง แต่ผูเคนก็สามารถเพิ่มระดับรากฐานเต๋าทักษะยุทธ์ได้ มันเป็นสิ่งที่เกื้อหนุนเสริมซึ่งกันและกัน อย่างใดอย่างนึงไม่สามารถขาดได้


 


หลังจากนั้นอีกสองสัปดาห์ หลี่ฟู่เฉินบรรลุขั้นดีเลิศย่อยสองวิชาดาบ ดาบเก้าโคจรและดาบโคจรเลื่อนไหล


 


ไม่ใช่เพราะหลี่ฟู่เฉินไม่ต้องการศึกษาวิชาดาบเพลิงดาวตกต่อไป แต่เป็นเพราะเขาไม่สามารถทำได้


 


ทักษะดาบลึกลับขั้นกลางความต้องการขั้นต่ำของมันคือนักสู้ขอบเขตปฐพีระดับสูงสุดเพื่อที่จะได้ใช้งานทักษะได้อย่างเต็มที่ ถ้าเขาจะใช้การรับรู้พิเศษของเขาเพื่อบังคับฝืนมัน มันจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองสามเดือน


 


“ดูเหมือนจะถึงเวลาแล้วที่ข้าจะต้องเยี่ยมชมอนุสาวรีย์แห่งดาบ”


 


ภายในอนุสาวรีย์แห่งดาบนั้นมีเจตจำนงแห่งดาบของนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในนิกายวารีครามอยู่ หากใครสามารถเข้าใจเจตจำนงแห่งดาบเหล่านี้ทั้งหมด มันก็จะหมายถึงการเข้าใจทักษะดาบของนิกายวารีครามทั้งหมด จากนั้นรากฐานเต๋าแห่งดาบของพวกเขาก็จะเทียบเท่ากับรากฐานเต๋านิกายแห่งดาบและนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะก่อกำเกิดนักสู้ที่แข็งแกร่งผิดปกติขึ้นมา


 


หลังจากส่งคืนวิชาดาบเพลิงดาวตก วิชาดาบเก้าโคจร และวิชาดาบโคจรเลื่อนไหล หลี่ฟูเฉินมุ่งหน้าไปที่อนุสาวรีย์แห่งดาบ


 


อนุสาวรีย์แห่งดาบตั้งอยู่ในหุบเขาลึก หุบเขานี้ได้รับการตั้งชื่อตามอนุสาวรีย์แห่งดาบและดังนั้นจึงเรียกว่าหุบเขาอนุสาวรีย์ดาบ


 


หุบเขากว้างใหญ่มาก แต่ก็มีคนจำนวนมากเช่นกัน ประมาณ 30 ถึง 40 คน หลี่ฟูเฉินเหลือบมองอย่างรวดเร็ว ส่วนใหญ่เป็นผู้อาวุโสชั้นในและส่วนน้อยเป็นผู้อาวุโสชั้นนอกกับศิษย์หลัก


 


ทุกคนคำนึงถึงสิ่งที่ตัวเองต้องทำและทำสมาธิอย่างเงียบๆ บางคนในนั้นจะเริ่มควบคุมทักษะดาบ


 


เมื่อหลี่ฟู่เฉินมาถึง มันไม่ได้ทำให้ใครสนใจเขา


 


“ไม่น่าแปลกใจเลยที่มันถูกเรียกว่าอนุสาวรีย์แห่งดาบ”


 


แม้ในระยะไกล หลี่ฟู่เฉินก็รู้สึกถึงเจตจำนงแห่งดาบที่ไหลผ่านออกมาจากอนุสาวรีย์แห่งดาบได้ เจตจำนงแห่งดาบบางเจตจำนงนั้นบอบบางดุจสายน้ำ ร้อนแรงดุจไฟ ดุร้ายราวกับสายฟ้า สะพรั้งเช่นดอกไม้ ร่องลอยคล้ายกับความว่างเปล่า หรือแม้แต่กระทั่งลอยออกมาคล้ายกับเสียงเพลง เข้ารบกวนจิตใจมนุษย์


 


มีเจตจำนงแห่งดาบมากเกินไป ขณะที่เจตจำนงแห่งดาบนั้นถักโยงกันเหมือนตาข่ายเล็กๆ มันจึงยากที่จะเข้าใจเจตจำนงแห่งดาบเหล่านั้นได้อย่างสมบูรณ์


 


หลี่ฟูเฉินเลือกพื้นที่ที่ค่อนข้างกว้างขณะที่นั่งลงและจ้องมองไปยังอนุสาวรีย์แห่งดาบ


 


บนอนุสาวรีย์แห่งดาบ มีรอยบากจากดาบนับไม่ถ้วน เมื่อลี่ฟู่เฉินจดจ่อไปยังมัน เขาก็คล้ายกับจะเห็นกระบวนดาบที่ใช้ออกกระพริบไปมาอยู่ข้างหน้าเขา กระบวนดาบแต่อย่างนั้นยอดเยี่ยมมาก เป็นสิ่งที่ไร้คำบรรยาย แต่ก็รู้สึกหน้ามืดได้ในเวลาเดียวกัน


 


เมื่อเทียบกับทักษะดาบเหล่านี้ ทักษะดาบของหลี่ฟู่เฉินดูคล้ายกับจะเป็นการละเล่นของเด็กไปเลย และยังอ่อนด้อยเกินไป


 


***


 


เมื่อเวลาผ่านไป


 


หัวใจของหลี่ฟู่เฉินได้รับแรงบันดาลใจขึ้นมา ขณะที่เขาลุกขึ้นและใช้ทักษะดาบ


 


กระบวนดาบนี้คือ ‘เร็วดุจเพลิงดารา’  ของวิชาเพลิงดาวตก


 


ประกายไฟเล็กๆ พุ่งออกมาจากกลางอากาศ มันมีขนาดเล็กและไม่สะดุดตา ในช่วงเวลาต่อไป ประกายไฟก็ระเบิดออกและแสดงพลังทำลายล้างของ ‘เร็วดุจเพลิงดารา’


 


เพลิงดาวตกแพร่กระจายไปทั่วท้องฟ้า


 


อย่างไม่รู้ตัว วิชาดาบเพลิงดาวตกของหลี่ฟู่เฉินบรรลุขั้นดีเลิศแล้ว


 


แม้ว่าระดับการฝึกฝนของหลี่ฟู่เฉินจะต่ำและก็ยังไม่ใกล้กับผู้ที่อยู่ในขอบเขตปฐพีระดับสูง แต่ทว่าการควบคุมของเขานั้นเหนือกว่าที่นักสู้ขอบเขตปฐพีระดับสูงมีเสียอีก ระดับการใช้ออกของกระบวนดาบจึงยอดเยี่ยมหาที่เปรียบมิได้


 


วิชาดาบเก้าโคจร หมุนเก้ารอบทุกๆ การลงดาบ


 


ก่อนหน้านี้หลี่ฟูเฉินทำได้แค่แปดรอบเท่านั้น


 


หลังจากนั่งสมาธิที่อนุสาวรีย์แห่งดาบเป็นเวลาหลายวัน หลี่ฟูเฉินจึงสามารถการหมุนเก้าครั้งต่อหนึ่งดาบได้


 


ด้วยการหมุนเก้าครั้งนี้ มันจึงอนุญาตให้เขาต้านทานพลังต่างๆ และส่งคืนกลับไปยังศัตรู หากกำลังของศัตรูแข็งแกร่งมากกว่า พลังที่ผู้ใช้จะจ่ายออกก็ยิ่งสูงขึ้น


 


ท้ายสุด วิชาดาบโคจรเลื่อนไหล


 


นี่เป็นทักษะดาบที่ดุร้ายอย่างยิ่ง มันสามารถใช้ได้กับพลังเย็นหยินหรือพลังร้อนหยางได้


 


กลางอากาศ เปลวไฟหมุนคล้าบกับกระแสน้ำ สร้างห่วงไฟขึ้นมา ดูดกลืนทุกสิ่งและทำลายล้างทุกอย่าง


 


“ไม่พอ มันยังไม่เพียงพอ”


 


แม้ว่าทักษะดาบลึกลับขั้นกลางจะอยู่ในขั้นดีเลิศทั้งสามทักษะแล้ว แต่หลี่ฟูเฉินยังไม่พอใจ


 


ขั้นดีเลิศของทักษะดาบลึกลับขั้นกลางแข็งแกร่งกว่าทักษะดาบลึกลับขั้นต่ำที่มีเจตจำนงแห่งดาบเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มันไม่สามารถเพิ่มความสามารถในการต่อสู้โดยรวมของเขาได้มากนัก


 


ด้วยตอนนี้ที่เพิ่มสมาธิมากขึ้น หลี่ฟูเฉินเข้าไปจ้องที่อนุสาวรีย์แห่งดาบอย่างใกล้ชิด และพยายามค้นหาเจตจำนงแห่งดาบที่สามารถคู่กับทักษะดาบทั้งสามของเขาได้


 


“ทักษะดาบนี้คือสิ่งใด?”


 


หลี่ฟูเฉินสังเกตเห็นรอยบากแปลกจากดาบได้โดยไม่ตั้งใจ


 


รอยบากนี้คล้ายกับกองขี้เถ้า ล่องลอยไปตามสายลมและมีร่องรอยของประกายไฟที่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า


 


“ทุกสิ่งในสวรรค์และโลกล้วนกลายเป็นเถ้าถ่าน”


 


เสียงสะท้อนออกมาจากความว่างเปล่า ขณะที่หลี่ฟู่เฉินเห็นกระบวนดาบที่กำลังเคลื่อนไหว


 


“กระบวนดาบนี้น่าหวาดกลัวยิ่ง ด้วยการกวัดแกว่งเพียงครั้งเดียว ทุกสิ่งในโลกล้วนกลายเป็นเถ้าถ่าน”


 


‘นี่อาจเป็นหนึ่งในสามทักษะดาบที่สำคัญของนิกายวารีคราม วิชาดาบเถ้าถ่าน?’ หลี่ฟู่เฉินคิดกับตัวเอง


 


นิกายวารีครามมีเทคนิคบ่มเพาะที่ดีที่สุดที่สองเทคนิค ทักษะดาบที่สำคัญสามทักษะ และหนึ่งเทคนิคลับที่เป็นความลับของนิกาย


 


เทคนิคบ่มเพาะดีที่สุดสองเทคนิคได้แก่ เทคนิควารีครามแท้จริงและเทคนิคเพลิงโลกันต์


 


หนึ่งในสามของทักษะที่สำคัญก็คือวิชาดาบเถ้าถ่าน


 


สำหรับเทคนิคลับที่เป็นความลับของนิกาย โดยธรรมแล้วมันย่อมเป็นนิกายต้นกำเนิดดาบ


 


หากใครสามารถฝึกฝนทักษะทั้ง 6 นี้ให้สมบูรณ์ได้ คนผู้นั้นก็สามารถปกครองเหนือสุดและดูถูกผู้อื่นได้ตามใจปราถนา


 


สัมผัสได้ว่าวิชาดาบเถ้าถ่านมีความคล้ายคลึงกับวิชาดาบเพลิงดาวตก หลี่ฟูเฉินเริ่มวิเคราะห์อย่างจริงจัง


 


วันแล้ววันเล่า…


 


หลี่ฟู่เฉินเริ่มดิ่งลึกและลึกลงไป เจตจำนงแห่งดาบที่ซ่อนอยู่ค่อยๆ ก่อเกิดอย่างช้าๆ ในส่วนลึกที่สุดของหัวใจเขา


 


นั่งอยู่บนพื้นดิน หลี่ฟู่เฉินดึงดาบทองดำของเขาออกมา และฟาดฟันอย่างบ้าคลั่ง


 


เจตจำนงอันเข้มข้นสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน บนพื้นผิวดาบทองดำของหลี่ฟู่เฉินนั้นมีร่องรอยของคลื่น ขณะที่จุดไฟเล็กๆ ลอยขึ้นมา


 


“ไป!”


 


เปิดตาของเขาออก หลี่ฟูเฉินเหวี่ยงดาบของเขา


 


ด้วยแสงดาบไม่สามารถมองเห็นได้ จึงมีเพียงแต่จุดไฟขนาดเล็กเท่านั้นที่เห็นมันถูกยิงออกไป มันร่อนลงบนก้อนหินยักษ์ด้านหน้า เห็นได้ชัดว่าเต็มไปด้วยแรงระเบิด แต่ก็ไร้ซึ่งเสียงใดๆ สิ่งที่คล้ายหลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นตรงก้อนหินทันที หินหนืดเหลวไหลออกมาจากข้างใน ขณะที่ของเหลวบางๆ นั้นกระจายออกไปทั่ว


 


จิตวิญญาณที่อยู่ในสายตาของเขาเหือดหายไปและหลี่ฟู่เฉินก็ฟื้นคืนสติ


 


“นี่คือเจตจำนงเพลิงดาวตกหรือไม่?”


 


ดูที่ส่วนตรงกลางของก้อนหินที่กลายเป็นหินหนืด ดวงตาของหลี่ฟู่เฉินเบิกกว้าง


 


ทักษะดาบนี้โดดเด่นเกินไป โดดเด่นเสียยิ่งเสียกว่าพลังของวิชาดาบดาวตกหรือพลังของวิชาดาบเรืองรองที่โจมตีแบบหมู่เสียอีก มันน่ากลัวกว่าอย่างน้อยก็สองสามเท่า หากกระบวนดาบนี้ไม่ถูกมองออกเสียก่อน เวลาดำเนินไร้สิ่งใดที่เกิดขึ้น แต่เมื่อดาบถูกเป้าหมาย ความตายจะเป็นผลผลลัพธ์สุดท้ายที่รออยู่


 


หลี่ฟู่เฉินมองนาฬิกาทรายที่เขาแลกมาจากถุงเก็บของเขา


 


15 วันผ่านไปแล้ว มันเร็วกว่าที่เขาคิดเอาไว้มาก


 


เขาคิดว่ามันเป็นเพียงไม่กี่วัน


 


“ยังมีอีก 15 วัน มาใช้มันเถอะ!”


 


ชั่วพริบตาอีก 13 วันผ่านไป หลี่ฟูเฉินเข้าใจเจตจำนงแห่งดาบเก้าโคจร


 


บางทีอาจเสพติดความรู้สึกนี่แล้ว หลี่ฟู่เฉินยอมใช้คะแนนสนับสนุนอีก 1 ล้านคะแนนเพื่อทำความเข้าใจเจตจำนงแห่งดาบโคจรเลื่อนไหล


 


ณ ตอนนี้ หลี่ฟู่เฉินมีเจตจำนงแห่งดาบทั้งหมด 10 เจตจำนง


 


เจตจำนงของทักษะดาบลึกลับขั้นต่ำ 7 และทักษะดาบลึกลับขั้นกลาง 3 เจตจำนง


บทที่ 182


ฝ่ายวายุศักดิ์สิทธิ์


 


 


นั่งที่โต๊ะหิน หลี่ฟู่เฉินจิบชาอย่างใจเย็น


 


ชานี้มีชื่อว่าชาใจเริง มีค่าใช้จ่าย 10,000 คะแนนสะสมต่อกิโลกรัม หลี่ฟู่เฉินแลกมาไม่กี่กิโลกรัมและสามารถต้มได้หนึ่งหม้อในทุกๆ วัน


 


“ตอนนี้ข้าเหลือ 9 ล้านคะแนนสะสมแล้ว ข้าต้องเหลือมันไว้สำหรับพวกอุปกรณ์และต้องไม่ใช้จ่ายอย่างประมาทอีก”


 


แม้ว่าเขาจะมีคะแนนจำนวนมาก แต่หลี่ฟูเฉินก็ไม่คิดว่าเขามีคะแนนไม่จำกัด


 


เขตแดนร้อยพฤกษาเร้นลับเป็นโอกาสครั้งหนึ่งในชีวิตและจะไม่มีโอกาสที่คล้ายกันเช่นนี้อีกในที่ใด


 


เมื่อความสามารถของเขาดีขึ้นและเขาจำเป็นต้องไปผ่ายชั้นของหอคอยศิษย์สายตรง เมื่อนั้นแล้วเขาจะมีคุณสมบัติในการแลกทักษะแท้จริงอีกหนึ่งชิ้น


 


ในบรรดาทักษะที่มีชื่อแท้จริง จะมีค่าอย่างน้อยหลายแสนคะแนนสะสม


 


โดยเฉพาะเทคนิคลับ


 


เทคนิคลับระดับ 3 ดาวต้องการคะแนนสะสม 500,000 คะแนน


 


เทคนิคลับระดับ 4 ดาวจะเพิ่มเป็นสิบเท่าก็เท่ากับ 5 ล้านคะแนนสะสม


 


เทคนิคลับระดับ 5 ดาวมีค่าใช้จ่าย 50 ล้านคะแนนสะสม


 


ผู้อาวุโสใหญ่ จ้าวหวูจิ๋นใช้เวลาหลายสิบปีในการเก็บคะแนนสะสมให้มากพอเพื่อที่จะแลกนิกายต้นกำเนิดดาบ แน่นอน เขายังคงต้องได้รับการอนุมัติจากผู้นำนิกายและหัวหน้าผู้อาวุโสก่อนเช่นกัน หากไม่เช่นนั้น แม้จะมีคะแนนสะสมเพียงพอมันก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี


 


ก๊อก ก๊อก ก็อก…


 


เสียงเคาะประตูดังมาจากด้านนอกลาน


 


“เข้ามาได้เลย”


 


หลี่ฟูเฉินค่อนข้างอยากรู้อยากเห็น ก็ในเมื่อลานของเขาไม่เคยมีผู้เยี่ยมชมมาก่อน


 


เมื่อประตูเปิดออก ชายหนุ่มก็เดินเข้ามา


 


“หลี่ฟู่เฉินชิตี๋หรือไม่? ข้าคือเซียงเทียนเชียง สมาชิกตระกูลเซียงจากเมืองรวยเงิน” เซียงเทียนเชียงมองหลี่ฟู่เฉินขณะที่ยิ้ม


 


“นั่งก่อน” หลี่ฟู่เฉินแสดงท่าทางด้วยมือขวา


 


“ขอบคุณ” เซียงเทียนเชียงนั่งตรงข้ามหลี่ฟู่เฉิน


 


หลี่ฟู่เฉินรินชาหนึ่งถ้วยสำหรับเซียงเทียนเชียง ชาเป็นสีอำพันและกระจ่างใส มันให้ความรู้สึกเข้มข้น


 


เซียงเทียนเชียงยกถ้วยชาขึ้นมาและจิบ “ควรค่าแก่การถูกเรียกว่าชาใจเริง มันฟื้นฟูจิตใจและดูเหมือนว่าจะคิดด้านลบทั้งหมดไป”


 


เขาไม่ได้เข้าเขตแดนร้อยพฤกษาเร้นลับ จึงมีคะแนนสะสมจำนวนที่จำกัด เขามีไม่เพียงพอที่จะแลกทรัพยากร งั้นแล้วเขาจะแลกชาเช่นนี้มาได้อย่างไร? แม้แต่กระทั่งชาใจเริงนี้ก็เป็นสิ่งที่เขาลองดูเพียงไม่กี่ครั้งในชีวิต


 


หลี่ฟู่เฉินจึงเติมลงถ้วยอีกครั้ง “ข้าสงสัยว่าทำไมเซียงชิเซียงถึงมาหาข้า?”


 


หลี่ฟู่เฉินรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลหลี่และตระกูลเซียง


 


เซียงเทียนเชียงตอบกลับ “ศิษย์นิกายชั้นในต้องทำให้หนึ่งภารกิจให้สำเร็จต่อหนึ่งปี แต่ศิษย์หลักไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น และสามารถอยู่ในนิกายวารีครามได้นานเท่าที่พวกเขาต้องการ แต่ข้าคิดว่ามันหายากที่จะไม่มีใครออกไปข้างนอกเลย ดังนั้นการเยี่ยมชมของข้าในวันนี้คือถามฟู่เฉินชิตี๋ ว่าเจ้าสนใจที่จะมุ่งหน้าไปยังฝ่ายสาขาวายุศักดิ์หรือฝ่ายสาขาโลหิตเหล็ก เพื่อที่จะตามล่านักสู้เต๋าปีศาจและกวาดล้างส่วนที่เหลือของนิกายหมัดปีศาจหรือไม่”


 


“นักสู้เต๋าปีศาจ และส่วนที่เหลือของนิกายหมัดปีศาจ?” หลี่ฟู่เฉินจมลึกไปในความคิด


 


นักสู้เต๋าปีศาจเป็นผู้ที่ฝึกฝนทักษะต่อสู้ที่เพ่งทำลายมนุษย์ชาติ


 


แม้ว่านิกายปีศาจสวรรค์จะไม่ชอบธรรมหรือชั่วร้าย แต่พวกเขาก็ไม่อาจถูกจัดว่าเป็นนักสู้ที่ฝึกฝนเต๋าปีศาจ ทักษะบ่มเพาะของพวกเขาอาจดูน่ากลัว แต่ก็ไม่ได้จงใจทำลายชีวิต


 


แต่นักสู้เต๋าปีศาจนั้นแตกต่างออกไป ทักษะที่พวกเขาฝึกฝนล้วนแล้วแต่โหดร้ายและไร้ความปราณีอย่างยิ่ง


 


เช่นเดียวกับเทคนิคดูดโลหิต ยิ่งมนุษย์บริโภคเลือดมากเท่าใด ความเร็วในการเลื่อนระดับของพวกเขาก็ยิ่งพัฒนาขึ้นได้เร็วเท่านั้น หากพวกเขาบริโภคเลือดของผู้เชี่ยวชาญ มันก็ยิ่งเร็วขึ้น มันเป็นเทคนิคที่ทำคนนึงสำเร็จโดยเร็ว


 


มีเทคนิคเต๋าปีศาจบางอย่างที่ใช้หยินเพื่อหล่อเลี้ยงหยาง ผู้หญิงนับไม่ถ้วนต้องตกตายลงเพราะพวกเธอถูกใช้เป็นสิ่งฝึกฝนโดยเหล่านักสู้เต๋าปีศาจ มีเทคนิคที่ต้องการเลือดของทารกแรกเกิดในปีหยิน เดือนหยิน และวันหยินเพื่อฝึกฝน สรุปแล้ว เทคนิคเต๋าปีศาจเหล่านี้ทั้งหมดเป็นเทคนิคซึ่งมุ่งทำลายมนุษย์ แม้แต่กระทั่งเทคนิคเต๋าปีศาจที่อ่อนด้อยที่สุดก็โหดเหี้ยมและไม่เป็นที่ยอมรับของคนทั่วไป


 


สำหรับนิกายหมัดปีศาจ


 


พวกเขาเป็นนิกายที่น่ากลัว


 


ระหว่างสงครามสามนิกายของทวีปยูนิคอร์นตะวันออก นิกายหมัดปีศาจได้เข้ามามีส่วนร่วม หลังจากสงครามสามนิกายของทวีปยูนิคอร์นตะวันออกสิ้นสุดลง นิกายหมัดปีศาจก็ล่มสลายและพังทลายลง แต่พวกเขาก็ไม่ได้ถูกกำจัดไปทั้งหมด พวกเขาเพียงแค่แยกออกจากกันเท่านั้นและเป็นเงาอยู่ภายใต้นิกายชั่วร้ายตามแคว้นต่างๆ


 


มีคนกังวลว่าถ้าสงครามสี่นิกายเกิดขึ้น มันอาจจะปลุกปั่นโดยคนจากนิกายหมัดปีศาจ


 


“เอาหล่ะเช่นนั้นแล้ว เราจะไปเยี่ยมเยือนฝ่ายสาขาวายุศักดิ์สิทธิ์”


 


นิกายวารีครามมีหลายฝักฝ่าย ในหมู่พวกนั้นมีวายุศักดิ์สิทธิ์และโลหิตเหล็ก พวกเขาปกป้องความสงบสุขและความเจริญรุ่งเรืองของแคว้นวารีคราม พวกเขามีความรับผิดชอบในการตามล่าศัตรูและกวาดล้างนักสู้เต๋าปีศาจอีกเช่นกัน


 


“แน่นอน เราไปที่ฝ่ายสาขาวายุศักดิ์สิทธ์กันเถอะ”


 


เซียงเทียนเชียงยิ้มและดื่มชาอีกครั้งหนึ่ง


 


สำนักงานใหญ่ของฝ่ายวายุศักดิ์สิทธิ์ตั้งอยู่ในนิกายวารีคราม พวกเขาจะต้องขออนุมัติจากสำนักงานใหญ่ก่อนไปที่ฝ่ายสาขา


 


คำขอที่มาจากศิษย์หลัก สำนักงานใหญ่จึงไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ งั้นเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาทั้งสองจึงได้ใบผ่านไปยังโถงวายุศักดิ์สิทธิ์สาขาที่เจ็ดและจะต้องมุ่งหน้าไปยังสาขาที่เจ็ดในวันถัดไป


 


สาขาที่เจ็ดอยู่ในพื้นที่ทางตอนเหนือของแคว้นวารีคราม พวกเขาทั้งสองขี่ม้าเลือดปีศาจระดับ 2 และมุ่งหน้าไปที่นั่นในวันรุ่งขึ้น


 


“บ้า บ้าไปแล้ว นี่มันไร้มนุษยธรรม หมู่บ้านทั้งหมดถูกสังหารอย่างสมบูรณ์!”


 


ยิ่งใกล้ทางเหนือมากเท่าไหร่ ความวุ่นวายก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น เมื่อเทียบกับภาคใต้ มันเหมือนสวรรค์และนรก


 


“ที่นี่โกลาหลเช่นนี้ได้อย่างไร?” หลี่ฟู่เฉินไม่เข้าใจ


 


เซียงเทียนเชียงอธิบาย “ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือของแคว้นวารีครามก็คือนิกายสวรรค์ปีศาจ ไปยังตะวันออกเฉียงเหนือก็คือนิกายเร้นวิญญาณ ซึ่งเป็นสาเหตุ ที่ว่าทำไมทิศเหนือนักสู้เต๋าปีศาจถึงได้มากมาย เมื่อพวกเขาถูกไล่ตอน พวกเขาก็สามารถหนีไปยังแคว้นสวรรค์ปีศาจหรือแคว้นเร้นวิญญาณได้อย่างง่ายดาย และคนจากนิกายวารีครามเราก็ไม่กล้าไล่ล่าพวกเขาอย่างโจ่งแจ้ง วิธีเดียวที่เราสามารถไล่ล่าพวกมันก็คือกระทำการอย่างลับๆ เท่านั้น ด้วยข้อจำกัดดังกล่าว ศัตรูก็สามารถหลบหนีได้ 8 จาก 10 ครั้ง”


 


“แน่นอน นักสู้เต๋าปีศาจในตอนนี้ก็กระตือรือร้นมากและเราเองก็เพิ่มมาถึง บ่อยครั้งที่เราอาจได้เห็นสถานการณ์แบบนี้”


 


เซียงเทียนเชียงรู้เกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ดี


 


หลี่ฟู่เฉินพยักหน้าและมองดูอย่างจริงจัง


 


ทั้งหมดเหล่านี้ล้วนแล้แต่เป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะพวกเขาไม่แข็งแกร่งพอที่จะปกป้องตัวเองได้ พวกเขาจึงทำได้เพียงแค่ปล่อยให้คนฆ่าและไม่ต่อต้านใดๆ เขาไม่กล้าที่จะจินตนาการถึงสถานการณ์ในตอนที่เมืองหมอกเมฆาที่ต้องมาพานพบกับสิ่งนี้ พวกเขาจะป้องกันตัวเองได้อย่างไร?


 


“เหล่านักสู้เต๋าปีศาจ! พวกมันสมควรตาย!”


 


ร่างกายของหลี่ฟู่เฉินปล่อยพลังฉีสังหารออกมาโดยไม่รู้ตัว


 


เซียงเทียนเชียงมองหลี่ฟู่เฉินและตรวจสอบเขา เขาคิด ‘ฟู่เฉินชีตี๋มีพลังฉีสังหารที่แข็งแกร่งจริงๆ แต่มันไม่ดีนักหากหุนหันพลันแล่นกับนักสู้เต๋าปีศาจ มีความจำเป็นต้องระมัดระวัง หากฝืนบังคับ เจ้าอาจเสียชีวิตได้’


 


***


 


ไม่กี่วันต่อมา พวกเขามาถึงสาขาที่เจ็ดของฝ่ายวายุศักดิ์สิทธิ์


 


สาขาที่เจ็ดเป็นคฤหาสน์ขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นจากหินขนาดยักษ์ ที่นอกของคฤหาสน์เป็นกลุ่มของเหล่าศิษย์และกลุ่มลาดตระเวน


 


ศิษย์ฝ่ายทั้งหมดล้วนแล้วแต่อยู่ที่ขอบเขตต้นกำเนิด ไม่มีใครอยู่ในขอบเขตพลังฉี แต่พวกเขาทั้งหมดค่อนข้างมีอายุ


 


นิกายวารีครามมีผู้ดูแลชั้นในฝึกหัดจำนวนนับไม่ถ้วน รู้ว่าพวกเขาไม่สามารถเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการได้ พวกเขาก็อาจจะเลือกที่จะเข้าร่วมกองทัพวารีครามและกลายเป็นหนึ่งในศิษย์ของฝ่ายต่างๆ หากพวกเขาสามารถมีส่วนร่วมต่อกลุ่มได้ จากนั้นพวกเขาจะขึ้นอันดับและได้รับคะแนนสนับสนุนเร็วขึ้นมาก


 


“ใครอยู่ตรงนั้น ที่นี่คือสาขาที่เจ็ดฝ่ายวายุศักดิ์สิทธิ์”


 


กลุ่มของศิษย์ฝ่ายเข้ามาขัดขวางทางเดินของพวกเขา


 


เซียงเทียนเชียงหยิบใบผ่านสาขาที่เจ็ดและแผ่นป้ายศิษย์หลักออกมา “เราเป็นศิษย์หลักจากนิกายวารีคราม เรากำลังมารายงานตัวที่นี่”


 


“โอ้ เป็นศิษย์หลักชิเซียงนี่เอง” ศิษย์ฝ่ายบางคนใบหน้าปรากฏความหวาดกลัว


 


ศิษย์หลักมีสถานะที่นับถือและไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้บัญชาการฝ่ายสาขา แน่นอน ตอนนี้พวกเขากำลังไปรายงานตัวที่สาขา พวกเขายังจำเป็นต้องฟังคำสั่งของผู้บัญชาการฝ่ายสาขาอยู่


 


ด้วยใบผ่านและแผ่นป้ายในมือ พวกเขาทั้งสองเดินหน้าไปโดยไม่มีใดกีดขวางและมาถึงฝ่ายสาขา


 


ระหว่างทางมุ่งไปยังห้องประชุมฝ่ายสาขา พวกเขาเห็นกระดานหินขนาดใหญ่ ในนั้นมันเป็นรายชื่อ ด้านหลังชื่อมีตัวเลข


 


“นี่คือกระดานนักล่า มีเพียงศิษย์หลักเท่านั้นที่ปรากฏอยู่ในรายการ โดยทั่วไปแล้วผู้ที่อยู่ในอันดับต้นๆ นั้นล้วนเป็นศิษย์หลักระดับทอง” เซียงเทียนเชียงอธิบาย


 


หลี่ฟู่เฉินพยักหน้าและไม่ได้สนใจอะไร

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม