Eternal Reverence เทพบุตรฟ้าประทาน 118-141

 บทที่ 118

คำติชมมากมาย


 


 


“หลี่ชิตี๋ แม้ข้าจะรู้ว่าเจ้ามีความมั่นใจและความเชื่อมั่นที่สูงมาก แต่ทว่านี่คือเวทีเฟิงหยุน ทุกสิ่งสามารถเกิดขึ้นได้ อย่าได้นิ่งนอนใจไป” เฉินฟางหัวเตือนหลี่ฟู่เฉิน


 


หลี่ฟู่เฉินพยักหน้า “แม้ตอนที่สิงโตกำลังล่ากระต่ายอยู่ มันก็จะใช้กำลังอย่างเต็มที่ เฉินชิเจี๋ย โปรดอย่ากังวล”

สิงโตล่ากระต่าย!


 


ไม่รู้ว่าทำไม หลังจากที่เฉินฟางหัวได้ยินคำกล่าวนี้ เธอรู้สึกโล่งใจ


 


‘เหลาเทียนจุน แน่นอนว่าเจ้าน่าสงสารยิ่ง เจ้าสามารถทำให้ใครคุ่นเคืองก็ได้ แต่กลับเป็นหลี่ชิตี๋ที่เจ้าสร้างความคุ่นเคืองให้’ เฉินฟางหัวคิด


 


เมื่อหลี่ฟู่เฉินมาถึง บรรยากาศของลานใต้เวทีทั้งหมดก็กลายเป็นหนักหน่วง


 


ทุกคนมองไปยังหลี่ฟู่เฉิน ขณะที่เพลิดเพลินไปกับความทุกข์ที่เขากำลังเผชิญอยู่


 


“หืม? ขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่หก? หลี่ฟู่เฉินผู้นี้มีความสามารถมากพอที่จะก้าวมายังระดับที่หกของขอบเขตต้นกำเนิดได้จริงๆ…” ศิษย์ชั้นในตรวจจับพลังฉีของหลี่ฟู่เฉินได้ และกล่าวความคิดของเขาออกไปโดยไม่ตั้งใจ


 


“อะไรนะ? ขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่หก?” ได้ยินศิษย์ชั้นในคนนั้นกล่าว พวกเขาทั้งหมดเริ่มส่งพลังฉีออกไปสัมผัส


 


“นี่เป็นขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่หกจริงๆ นี่เป็นไปไม่ได้… เขามีแค่โครงกระดูกปกติเท่านั้น แต่ทว่าการฝึกฝนของเขาเทียบได้กับโครงกระดูกระดับ 4 ดาว”


 


“เขาต้องกินยาต้องห้ามเข้าไปเพื่อการต่อสู้ครั้งนี้”


 


“ถูกแล้ว เขาต้องกินยาต้องห้ามเข้าไป ยาเช่นนี้มีผลข้างเคียงรุนแรง ในอีกสามถึงห้าปีข้างหน้า เขาจะไม่สามารถเลื่อนระดับได้อีกต่อไป”


 


“ฮึ่ม เขาอยู่ระดับที่หกของเขบเขตต้นกำเนิดแล้วไง? เหลาเทียนจุนชิเซียงอยู่ในระดับที่เก้าของขอบเขตต้นกำเนิด สูงกว่าเขาสามระดับ”


 


ข้อเท็จจริงที่ว่าหลี่ฟู่เฉินมาถึงระดับที่หกของขอบเขตต้นกำเนิดแล้ว ทำให้ทุกคนประหลาดใจ แต่พวกเขาก็ยังไม่เชื่อว่าหลี่ฟูเฉินจะสามารถเอาชนะเหลาเทียนจุนได้ พวกเขาเชื่อว่าหลี่ฟู่เฉินใช้ยาต้องห้ามล้ำค่าบางอย่าง


 


“ด้วยความสามารถระดับเท่าสุนัข และยังกล้าที่จะท้าทายเหลาเทียนจุน เป็นแน่แท้แล้วว่าเขาเป็นพวกที่ไม่รู้จัดขอบเขตตัวเอง” ภายในฝูงชน ฟางเหล่ยไห่หัวเราะออกมาอย่างเย็นชา


 


“หลี่ฟู่เฉินใจร้อนเกินไป”


 


เกาช่างเทียนและหวูชิงเหม่ยก็มาถึงที่เวทีเฟิงหยุนเช่นกัน เกาช่างเทียนไม่สามารถทำอย่างไรได้ได้ ได้แต่ถอนหายใจ

เขาเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเวทีหยุนหยุนเป็นอย่างไร เมื่อทั้งสองได้ขึ้นไปบนนั้น มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถเดินลงไปได้ ส่วนอีกคนต้องได้รับความช่วยเหลือเพื่อเอาตัวลงไป


 


“เขาจะตกอยู่ภายใต้กองเพลิงไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนก็ตาม ผู้ชายเช่นนี้แน่นอนว่าหาได้ยาก” ในหัวใจของหวูชิงเหม่ย เมล็ดพันธุ์บางอย่างดูเหมือนจะงอกออก


 


“หยูเหวินชิเซียง ตามการคาดการณ์ของท่าน ชิเซียงคิดว่าหลี่ฟู่เฉินจะรับได้มากสุดกี่กระบวนท่า?”


 


ทางด้านตะวันออกของเวทีเฟิงหยุนมีกลุ่มคนกลุ่มเล็กๆ อยู่หนึ่งกลุ่ม


 


ตรงกลางของกลุ่มนี้คือหยูเหวินเทียน


 


ไม่ว่าโครงกระดูกระดับ 5 ดาวจะอยู่ที่ไหน พวกเขาก็จะโดดเด่นกว่าคนก็อื่นๆ มันราวกับดวงอาทิตย์ที่ขึ้นในตอนเที่ยงวัน


 


ในความเป็นจริง หากหลี่ฟูเฉินมีโครงกระดูก 5 ดาว เขาอาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับปัญหามากมายเช่นนี้ ฟางเหล่ยไห่และเหลาไห่หลงเองก็อาจไม่กล้าที่จะรุกรานหลี่ฟู่เฉินเช่นกัน


 


มันเป็นความจริงที่รู้กันดีว่าศิษย์โครงกระดูกระดับ 5 ดาวเป็นสมบัติของนิกาย สร้างปัญหาให้กับโครงกระดูกระดับ 5 ดาวคือการก่อวินาศกรรมต่อรากฐานของนิกาย อย่าได้กล่าวถึงขุนนางในเมือง แม้แต่กระทั่งตระกูลเหลาก็ต้องตอบรับบาปของตัวเองกับสมาชิกระดับสูงกว่าที่จะไปหา


 


หยูเหวินเทียนตรวจสอบหลี่ฟู่เฉินและสังเกตว่าหลี่ฟู่เฉินอยู่ระดับที่หกของขอบเขตต้นกำเนิด จากนั้นก็กล่าวว่า “พ่ายแพ้ในหนึ่งร้อยกระบวนท่า”


 


แรกเริ่ม เขาคิดว่าหลี่ฟูเฉินคงจะไม่สามารถต้านทานได้แม้แต่กระทั่ง 20 กระบวนท่า และนั่นก็เป็นการประเมินเขามากเกินไปยิ่ง


 


แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าหลี่ฟู่เฉินอยู่ในระดับที่หกของขอบเขตต้นกำเนิด ซึ่งมันได้ทำให้เขาประหลาดใจ ในใจเขา กลับกลายเป็นไม่แน่ใจอีกต่อไป


 


“หนึ่งร้อยกระบวนท่า? หยูเหวินชิเซียงใช่ว่าประเมินเขาสูงเกินไป!?”


 


“ข้าคิดว่าอย่างมากสุดก็แค่ 10 กระบวนท่า”


 


“แต่ถ้าหยูเหวินชิเซียงกล่าวเช่นนั้น เขาก็ต้องมีเหตุผลเป็นของตัวเอง เจ้าอย่าได้ทำตัวโง่เง่า”

ขณะเดียวกับที่ผู้คนกำลังสนทนากันอยู่ ร่างหนึ่งก็ขึ้นมาบนเวทีเฟิงหยุนเช่นกัน


 


“หลี่ฟู่เฉิน ย้ายก้นของเจ้ามาตรงนี้!” เหลาเทียนจุนตะโกน


 


“เหลาเทียนจุน เจ้ากำลังรีบหาความตายใส่ตัวเองอยู่?” หลี่ฟู่เฉินโต้ตอบ ในพริบตา เขาก็เป็นภาพเบลอและไปโผล่อยู่บนเวทีเฟิงหยุน


 


“ปากดีนัก ข้าจะทำให้เจ้าร้องไม่ออกในภายหลัง” เหลาเทียนจุนยิ้งแดกดัน


 


“ข้ากำลังสงสัยว่าใครกันแน่ที่จะร้องไม่ออกในภายหลัง” หลี่ฟู่เฉินถากถาง


 


มันคงจะดีกว่านี้ถ้าหลี่ฟู่เฉินอยู่อย่างเงียบๆ เมื่อตอนที่เขาตอบโต้กลับ ทุกคนก็แยกแยะได้ว่าเขาเป็นคนที่หยิ่งยะโส ผู้คนที่รู้สึกสงสารเขา ก็เริ่มที่จะเกลียดเขาและไปยืนอยู่ฝั่งของเหลาเทียนจุน พวกเขาหวังว่าเหลาเทียนจุนจะทรมานหลี่ฟู่เฉิน เพื่อที่จะได้สอนบทเรียนให้เขาอย่างเหมาะสม ให้เขารู้ว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไร


 


บนเวทีเฟิงหยุน ผู้ดูแลชั้นในปรากฏตัวขึ้น เขาขมวดคิ้วและมองไปยังบนเวทีเหมือนที่คนอื่นๆ มอง

ถือม้วนกระดาษที่ทำจากหนังสัตว์ปีศาจ เขากล่าว “คู่ต่อสู้ทั้งสองจะลงนามในนี้หรือไม่ เมื่อลงนามแล้ว นอกเสียจากการเอาชีวิตของใครคนหนึ่ง ก็ไม่มีกฎอื่นๆ ใดอีก พวกเจ้าควรตรึกตรองอีกครั้งก่อนลงนาม”


 


“ไม่จำเป็นต้องตรึกตรอง ข้าจะลงนาม”


 


เหลาเทียนจุนใส่ชื่อของเขาลงไปทันที


 


“แล้วเจ้าล่ะ?”


 


ผู้ดูแลชั้นในมองไปยังหลี่ฟู่เฉินด้วยสายตาที่ดูรังเกียจ


 


“แน่นอว่าข้าจะลงนาม” ถือแปรง เขาเขียนชื่อของตัวเองลงไปด้วยความสง่างาม


 


เก็บม้วนหนังสัตว์ปีศาจ ผู้ดูแลชั้นในประกาศ “การต่อสู้เฟิงหยุนจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ ขอให้พวกเจ้าสองทำให้ดีที่สุด “


 


เสร็จสิ้นคำพูดของเขา เขาหันและกระโดดออกจากเวทีเฟิงหยุน


 


วูสสส!


 


ได้ยินสัญญาณเริ่มต้นการต่อสู้ ผู้ชมตื่นตัวขึ้นมาอีกครั้ง


 


“หมิ๋งเยวี่ย หลี่ฟู่เฉินผู้นี้คือคนที่เจ้ากล่าวถึง? การก้าวหน้าในด้านการบ่มเพาะของเขาไม่เลว แต่ช่างน่าเสียดายที่เขาทะนงตนมากเกินไป มีหลายสิ่งที่เขาต้องทำเพื่อเปลี่ยนความคิดของตัวเอง” บนเนินเขาเล็กๆ ไม่ไกลนักมีผู้มากประสบการณ์ยืนอยู่ และข้างๆ ของเขาคือศิษย์หญิงที่งดงาม


 


“ท่านปู่ ท่านไม่ควรตัดสินใจตั้งแต่ตอนนี้ ข้าแน่ใจว่าหลี่ฟูเฉินไม่ได้ด้อยไปกว่าโครงกระดูกระดับ 5 ดาวเลย” เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวที่งดงามคือจ้าวหมิ๋งเยวี่ย เธอไม่พอใจกับคำตัดสินของผู้มีประสบการณ์คนนี้และออกความคิดเห็น


 


“ช่างดีเหลือเกิน” ผู้มีประสบการณ์หัวเราะเบาๆ


 


“ฮึ่ม เพียงแค่รอ และชมดู!” จ้าวหมิ๋งเยวี่ยบุ๋ยปาก


 


“เป็นไปได้ไหมที่เจ้าชอบเด็กหนุ่มผู้นี้?” ทันใดนั้นก็มาถึงข้อสรุป ผู้มีประการณ์คนนี้ดูกระวนกระวายเล็กน้อย เขาไม่ต้องการให้หลานสาวของเขาไปอยู่ร่วมกับบุคคลที่มีโครงกระดูกปกติ


 


โครงกระดูกของบุคคลเพียงหนึ่งคนเกี่ยวข้องกับคนมรดกต่อไปของคนนับชั่วอายุคน


 


หากโครงกระดูกของพ่อและแม่ไม่ดี โครงกระดูกของลูกหลานพวกเขาก็คงจะไม่ไกลไปมากกว่านั้น


 


หากพ่อแม่มีโครงกระดูกปานกลาง ลูกหลานของพวกเขาก็มักจะมีโครงกระดูกปานกลางเช่นกัน


 


หลานสาวของเขาที่มีโครงกระดูกระดับ 4 ดาว ในบางปัจจัยไม่ได้ด้อยไปกว่าโครงกระดูกระดับ 5 ดาวเลย


 


“ปู่! ปู่กำลังพูดถึงอะไร!” จ้าวหมิ๋งเยวี่ยรู้สึกเคืองเล็กน้อย


 


“หมิ๋งเยวี่ย บอกความจริงกับข้า เจ้าชอบเขาไหม?” ผู้มีประสบการณ์คนนี้ใช้น้ำเสียงจริงจังและดูค่อนข้างเข้มงวด


 


จ้าวหมิ๋งเยวี่ยลังเลอยู่ชั่วครู่และก็ส่ายหัว


 


“หากรู้แล้วก็ดี”


 


ร่องรอยของการปล่อยพลังฉีปรากฏออกจากตัวของผู้มีประสบการณ์ เป็นเช่นนี้อีกครั้งก่อนที่จะถูกดึงกลับไปดังเดิม


 


บนเวทีเฟิงหยุน หลี่ฟู่เฉินและเหลาเทียนจุนอยู่ห่างกัน 20 เมตร


 


แสยะยิ้มที่มุมปาก เหลาเทียนจุนปล่อบพลังฉีที่ซ่อนอยู่ภายในร่างกายของเขาออกมาอย่างน่าหวาดกลัว มันราวกับพายุที่พยายามกลืนกินหลี่ฟู่เฉิน


 


ไม่รอให้หลี่ฟูเฉินโต้ตอบ เหลาเทียนจุนตะโกน “วิชาดาบปฐพีแห้งเหือด!”


 


วิชาดาบปฐพีแห้งเหือดเป็นวิชาดาบที่เหี้ยมโหด หากผู้ใช้สร้างบาดแผลให้ฝ่ายตรงข้ามได้ พลังฉีที่ชั่วร้ายจากดาบจะเข้าสู่ร่างกายของเหยื่อเพื่อทำลายเส้นชีพจรและหลอดเลือดทั้งหมดของเขา ก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานอย่างรุนแรง

ด้วยความคมของดาบ อากาศดูเหมือนจะเป็นเกลี้ยวและบิดเบี้ยว ราวกับระลอกคลื่นที่เกิดขึ้นเนื่องจากปลาขึ้นมาว่ายบนผิวน้ำ


 


“เป็นดาบปฐพีเหือดแห้งจริงๆ! เหลาเทียนจุนชิเซียงฝึกฝนวิชาดาบปฐพีเหือดแห้งไปถึงขั้นสมบรูณ์แล้ว!”


 


“ช่างเป็นความอัปยศ หลี่ฟู่เฉินอาจไม่สามารถต้านทานได้แม้แต่ดาบเดียว ความเย่อหยิ่งทั้งหมดก่อนการต่อสู้… ตอนนี้เขาคงต้องคุกเข่าและขอความเมตตา”


 


ดาบที่น่ากลัวนี้มีจุดประสงค์ไปที่ลำตัวส่วนล่างของหลี่ฟู่เฉินโดยตรง ดวงตาของเหลาเทียนจุนเต็มไปด้วยเจตนาชั่วร้ายและหวังที่จะช่วงชิงบางสิ่งมากจากหลี่ฟู่เฉิน


บทที่ 119

เม็ดยาปะทุพลังฉี


 


 


เพื่อที่จะบรรลุขั้นสมบรูณ์ของทักษะดาบลึกลับขึ้นต่ำได้ เหลาเทียนจุนต้องผ่านการฝึกฝนที่โหดร้ายมามากมาย เขาที่เป็นศิษย์ชั้นในขั้นสองและมีโครงกระดูกระดับ 3 ดาว ต้องใช้เวลาเกือบสิบปีเพื่อที่จะมาถึงขั้นที่เป็นอยู่ในปัจจุบันได้

แน่นอน ว่ามีศิษย์นิกายชั้นในขั้นสองที่ใช้เวลาไปมากกว่าสิบปี แต่ยังคงไม่สามารถบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์ของทักษะดาบลึกลับขั้นต่ำได้ พวกเขาส่วนใหญ่ติดอยู่ในสภาพครึ่งก้าวก่อนถึงขั้นสมบรูณ์


 


“วิชาดาบปฐพีเหือดแห้ง? อืม”


 


หลี่ฟูเฉินแปลกใจเล็กน้อย วิชาดาบปฐพีเหือดแห้งได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในทักษะดาบที่ฝึกฝนยากที่สุดในหมู่ทักษะดาบลึกลับขึ้นต่ำด้วยกัน ใครจะคิดว่าเหลาเทียนจุนจะสามารถฝึกฝนมันให้ไปถึงขั้นสมบูรณ์


 


“ช่างน่าเสียดาย…”


 


หลี่ฟู่เฉินส่ายหัว หากเขาไม่ได้บุกทะลวงเข้ามาสู่ขอบเขตตต้นกำเนิดระดับที่หก เมื่อนั้นเขาก็คงจะไม่ได้เป็นคู่ต่อสู้ของเหลาเทียนจุนแล้วอย่างแท้จริง


 


แต่ด้วยสถานะปัจจุบันของเขา แม้แต่กระทั่งสองเหลาเทียนจุนก็ไม่ได้เป็นคู่ต่อสู้ของเขา


 


“ดาบดาวตก!”


 


เมื่อตอนที่ดาบเหล็กดำออกจากปอก สายธารแห่งแสงก็ปรากฏ แสงยังคงอยู่ที่นั้นและไม่ได้เคลื่อนไหวไปไหน ทันใดนั้นเองประกายไฟก็บินออกไปราวกับว่าเหลาเทียนจุนโดนสายฟ้าพุ่งใส่ ดาบเหล็กสีดำในมือของเขาเกือบจะถูกกระแทกออกมาจากมือของตัวเอง ร่างกายของเขาเอนไปข้างหลังขณะที่เดินถอยหลังออกมาหลายก้าว


 


ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากเกินไป


 


ในช่วงก่อนที่จะได้กระพริบตา เหลาเทียนจุนก็ยังปล่อยพลังฉีที่น่าหวาดกลัวออกมาเพื่อขมขู่คู่ต่อสู้ของเขาอยู่เลย หลังจากกระพริบตา เขากลับถอยกลับออกไป ผู้ชมไม่ได้เห็นด้วยซ้ำว่าหลี่ฟู่เฉินชักดาบออกมาเมื่อไหร่ แต่มีเพียงแสงกับประกาบไฟเท่านั้นที่เห็นได้ทัน


 


“การลงดาบที่รวดเร็วและน่ากลัวอะไรเช่นนี้” ผู้ชมรู้สึกงุนงง


 


นี่มันเหลือเชื่อเกินไป!


 


เหลาเทียนจุนอยู่ระดับที่เก้าของขอบเขตต้นกำเนิดและเขาไม่สามารถต้านทานได้แม้แต่กระทั่งดาบเดียวจากหลี่ฟู่เฉิน มีบางคนเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าหลี่ฟู่เฉินอาจรับไม่ได้แม้แต่กระทั่งดาบเดียว ขณะนี้เองเขาผู้นั้นก็รู้สึกเจ็บปวดบนใบหน้า ราวกับกับว่าเขาถูกตบหน้ามานับร้อยครั้ง


 


“นี่!” เกาช่างเทียนมองด้วยปากที่อ้าค้าง


 


ด้านข้าง ดวงตาของหวูชิเหม่ยเบิกกว้างและลืมที่จะหายใจ ในใจของเธอ ดาบนั้นมันเล่นซ้ำไปซ้ำมาอย่างต่อเนื่องและรูปลักษณ์ที่มั่นใจของหลี่ฟู่เฉินเองก็ปรากฏอยู่ในนั้นเช่นกัน


 


ดังนั้นแล้วหลี่ฟู่เฉินก็ไม่ได้กล่าวคำเกินตัวแต่อย่างมด เมื่อตอนที่เขากล่าวว่าเหลาเทียนจุนแสวงหาความตายที่พยายามมาต่อสู้กับเขา


 


“นี่เป็นไปได้อย่างไร?” เสียงของโจวเสี่ยวเทียนหายไป


 


หวังลี่อยู่ข้างๆ เขารู้สึกราวกับว่าเธอเห็นผี


 


โจวเสี่ยวเทียนเป็นคนที่น่าเกรงขาม แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเหลาเทียนจุน เขายังคงอยู่ห่างไกล แต่เหลาเทียนจุนกลับไม่สามารถรับได้แม้แต่กระทั่งดาบเดียวจากหลี่ฟู่เฉินและถอยหลังกลับไป


 


“เป็นไปไม่ได้ จะเป็นไปได้อย่างไร? เขาต้องใช้เล่ห์กลบางอย่าง!”


 


นอกเวที เหลาไห่หลงมองอย่างหดหู่และไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าเขา


 


หนึ่งปีก่อน หลี่ฟู่เฉินเพียงเหนือกว่าเขาเล็กน้อย หนึ่งปีต่อมา แท้แต่กระทั้งลุงเหลาเทียนจุนของเขาก็ไม่สามารถหนึ่งดาบจากหลี่ฟู่เฉินได้


 


เมื่อเห็นว่าลูกชายของเขาถูกผลักออกไปโดบหลี่ฟู่เฉิน เหลาเทียนหยุนหรี่ตาแคบลงและมีการแสดงออกที่จริงจัง


 


‘บ้าเอ้ย! ทำไมเหลาเทียนจุนถึงไร้ประโยชน์เช่นนี้?’ ฟางเหล่ยไห่สถบอยู่ในใจของเขา


 


ในเวลาเดียวกัน ความเกลียดชังของเขาต่อหลี่ฟู่เฉินก็ยิ่งมากขึ้น


 


เขาผู้ซึ่งเป็นนายน้อยของเมืองซานไห่ ถูกหลี่ฟู่เฉินทำให้อับอายและรู้สึกว่าหากเขาไม่ได้แก้แค้นเขาก็คงจะไม่สามารถทนอยู่ได้ และตามมาเพื่อต้องการเห็นกรรมตามสนองเขาในตอนนี้


 


‘หลี่ชิตี๋ ทำได้ดี!’


 


เฉินฟางหัวรู้สึกตื่นเต้นและรู้สึกสับสนในเวลาเดียวกัน ในระยะเวลาอันสั้น หลี่ฟู่เฉินไม่เพียงแต่ก้าวข้ามเหนือเหลาเทียนจุน แม้แต่เธอเองก็ไม่รู้ว่าด้วยซ้ำว่าเธอจะเอาชนะหลี่ฟูเฉินได้ไหม


 


ความสามารถพิเศษที่น่าประหลาดใจและเด็ดขาดสมบรูณ์เช่นนี้นั้นหาได้แม้ว่าจะนับจากคนในนิกายคังหลุนทั้งหมด


 


“เป็นอย่างไรบ้างท่านปู่? ข้าบอกท่านแล้วว่าเขาไม่ได้เป็นศิษย์ธรรมดา” จ้าวหมิ๋งเยวี่ยเองก็รู้สึกประหลาดใจกับผลลัพธ์นี้เช่นกัน มันเกินความคาดหมายของเธอมาก ทิ้งความประหลาดใจไว้ เธอไม่สามารถทำอย่างไรได้ ได้แต่กล่าวกับผู้มีประสบการณ์คนนี้อย่างภาคภูมิใจ


 


ผู้มีประสบการณ์ถอนลมหายใจ “ขอบเขตต้นกำนเนิดระดับดับที่หก ความแข็งแรงทางกายภาพเกิน 20,000 กิโลกรัม เทคนิคเปลวเพลิงลี้ลับระดับที่สิบสี่ แม้แต่กระทั่งวิชาดาบดาวตกก็ยังอยู่ในขั้นดีเลิศ การรับรู้เช่นนี้แน่นอนว่าต้องผิดปกติ แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ เขารู้สึกถึงจังหวะเวลาที่จะโจมตี เขาเหนือกว่าศิษย์ชั้นในคนอื่นๆ มากมาย เขาสามารถตรวจจับข้อบกพร่องของวิชาดาบปฐพีเหือดแห้งได้ในทันที”


 


“อะไรนะ? เทคนิคเปลวเพลิงระดับที่สิบสี่? เจอกันครั้งก่อนเขายังอยู่ระดับที่สิบสามอยู่เลย”


 


ริมฝีปากสีแดงสดของจ้าวหมิ๋งเยวี่ยแยกจากกันเล็กน้อย เธอไม่ได้มีสายตาเหมือนนักสู้ขอบเขตสวรรค์ ดังนั้นเธอจึงมองเห็นรายละเอียดได้ไม่มากนัก


 


“การรับรู้ของชายหนุ่มผู้นี้อยู่ในระดับเดียวกับดาบคลั่ง แต่หากมองในมุมมองที่กว้างขึ้น ดาบคลั่งมีโครงกระดูกระดับ 4 ดาว แต่เขาไม่มีแม้แต่กระทั่งดาวเดียว”


 


หากผู้อาวุโสท่านนี้รู้ว่าวิชาดาบดาวตกของหลี่ฟู่เฉินไม่ได้อยู่ในขั้นดีเลิศ แต่อยู่ในขั้นภวังค์ เขาจะไม่พูดเช่นนี้ เมื่อตอนที่ดาบคลั่งอยู่ในระดับที่หกของขอบเขตต้นกำเนิด เขาก็ไม่สามารถไปถึงขั้นภวังค์ของทักษะดาบลึกลับขั้นต่ำได้ และก็ไม่ตระหนักรู้ถึงเจตจำนงแห่งดาบได้มากมายเท่าเขา


 


บนเวทีเฟิงหยุน หลี่ฟู่เฉินไม่ได้ติดตามเพื่อทำการโจมตีต่อ


 


ความสามารถของคู่ต่อสู้ของเขา ไม่เพียงพอที่จะทำให้เขาต้องใช้เจตจำนงแห่งดาบ เช่นนั้นเลยไม่จำเป็นต้องติดตามไปเพื่อโจมตี


 


ถูกแล้ว ดาบดาวตกก่อนหน้านี้ไม่ได้ใช้เจตจำนงแห่งดาบลงไป จากสายตาของคนดู ดูเหมือนว่าวิชาดาบดาวตกจะของเขาคงจะอยูในขั้นดีเลิศแต่เพียงเท่านั้น


 


หลี่ฟูเฉินมีเหตุผลที่ต้องยับยั้งความแข็งแกร่งของตัวเอง


 


ตอนนี้เขามีศัตรูมากมายและคงจะต้องเข้าไปพบกับแผนการของคนอื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว มันคงจะดีกว่าสำหรับการเก็บไพ่ลับเอาไว้


 


หากไพ่ลับของเขาถูกเผยออกไป มันจะยากที่จะเปลี่ยนสถานการณ์ถ้าเขาพบเข้ากับสถานการณ์ที่ร้ายแรงใดๆ


 


เขาไม่ต้องการให้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น


 


‘หากข้าใช้เจตจำนงแห่งดาบออกไป ข้าอาจสามารถฆ่าเหลาเทียนจุนสองคนได้ในทันที’ หลี่ฟู่เฉินคิดกับตัวเอง


 


ความแตกต่างของการไม่ได้ใช้เจตจำนงแห่งดาบนั้นมากเกินไป ด้วยเจตจำนงแห่งดาบที่ใช้ออก ความเร็วของดาบดาวตกจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ซึ่งเพิ่มพลังในการโจมตีโดยรวมได้มากถึงสามเท่า


 


ในการเผชิญกับความเร็วเบ็ดเสร็จเด็ดขาด มันไร้ประโยชน์หากจะพูดถึงทักษะหรือพลังโจมตีใดๆ ส่วนใหญ่มักตายในดาบเดียว


 


แต่เขาไม่สามารถมันได้และไม่จำเป็นต้องใช้มัน


 


“สาวเลร! แกทำอะไรลงไป?”


 


หลังจากถอยหลังไปหลายสิบก้าวเหลาเทียนจุนก็สามารถหยุดตัวเองลง


 


เขาเงยหน้าขึ้นขณะที่เต็มไปด้วยความสงสัย


 


“เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า เจ้ายังมีเวลาถอนตัวออก” เว้นแต่จะจำเป็นจริงๆ หลี่ฟู่เฉินไม่ต้องการเกิดความขัดแย้งกับตระกูลเหลา ซึ่งนั้นเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเขาถึงเปิดโอกาสให้คู่ต่อสู้ถอนตัวออกไปแบบไม่ต้องพบกับความสูญเสียใด

“ในฝันเจ้าเถอะ อย่าได้ใจมากเกินไปนัก ตอนนี้ข้าจะให้เจ้ารู้ว่าการร้องขอความตาย ในขณะที่ถูกทรมานคืออะไร”


 


เหลาเทียนจุนโกรธ ที่ซ่อนอยู่ในปากของเขาเป็นเม็ดยาที่ถูกบดละเอียด พลังงานรุนแรงที่ผิดปกติพุ่งออกมาจากภายใน พลังฉีในปัจจุบันของเขาเพิ่มขึ้นมาถึง 30%


 


“เกิดอะไรขึ้น? พลังฉีที่แพร่ออกมาจากตัวของเหลาเทียนจุนเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลัน ใช้ว่าเขาสามารถซ่อนความสามารถที่แท้จริงของเขาไว้หรือไม่?”


 


“ข้ารู้อยู่แล้ว หลี่ฟู่เฉินจะเป็นคู่ต่อสู้ของเหลาเทียนจุนชิเซียงได้อย่างไร เหลาเทียนจุนชิเซียงก่อนหน้านี้ต้องประมาทเป็นแน่”


 


ผู้ชมตระหนักได้ถึง ‘ความจริง’


 


“มีบางอย่างไม่ถูกต้อง!”


 


เฉินฟาวหัวขมวดคิ้วของเธอ


 


พลังฉีที่แพร่ออกมาจากร่างกายของเหลาเทียนจุนนั้นแข็งแกร่ง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้มาจากการฝึกฝนของเขาเอง


 


“เม็ดยาระดับครึ่งก้าวลึกลับ ยาปะทุพลังฉี กล้าหาญอะไรเช่นนี้”


 


ยืนอยู่ข้างจ้าวหมิ๋งเยวี่ย อาวุโสกล่าวด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด


 


“ท่านปู่ เขากำลังละเมิดกฎของเวทีเฟิงหยุน ทำไมท่านถึงไม่ไปหยุดเขา?” จ้าวหมิ๋งเยวี่ยถาม


 


บนเวทีเฟิงหยุน ห้ามใครพึ่งพาความแข็งแกร่งจากภายนอก หากฝ่าฝืน กฎยุติธรรมพื้นฐานที่มีก็คงไม่อาจใช้งานได้อีกต่อไป


 


ผู้มีประสบการณ์ส่ายหัว “มาดูกันต่อ ชายหนุ่มผู้นี้ไม่อ่อนเช่นั้นไม่ใช่หรือ?”


 


เขาเตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนไหวในช่วงเวลาที่สำคัญ หากว่าหลี่ฟู่เฉินไม่สามารถต้านทานการโจมตีของเหลาเทียนจุนได้ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น หลี่ฟูเฉินก็จะไม่ถูกการให้ความสนใจอีกต่อไป


 


“ไรหญ้าตัวน้อย จงล้มลงไปเพื่อข้า!”


 


เม็ดยาปะทุพลังฉีเป็นเม็ดยาระดับครึ่งก้าวลึกลับและมีราคา 70,000 เหรียญทอง ในตอนแรก เขาคิดว่าพ่อของเขาเอะอะใหญ่โตเกินไป แต่ตอนนี้เมื่อเขาคิดย้อนกลับไป มันเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาด มันไม่สำคัญว่าชัยชนะที่ได้มาจะเป็นรูปแบบไหน ขอเพียงแค่ชนะเป็นพอ


 


พลังฉีที่แพร่ออกมาอย่างน่ากลัว เหลาเทียนจุนฟันไปที่หลี่ฟู่เฉินอีกครั้ง ดาบที่พุ่งไปราวกับพายุลูกนึง เตรียมพร้อทที่จะแยกทุกอย่างออกจากกัน


บทที่ 120

หนึ่งดาบหนึ่งแขน


 


 


“เม็ดยาปะทุพลังฉี” หลี่ฟู่เฉินขมวดคิ้ว


 


สิ่งนี้ดูเหมือนจะเป็ฯการละเมิดกฎของเวทเฟิงหยุน ผู้ดูแลชั้นในเห็นแต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา ดูเหมือนว่าหากเขากล่าวคำบางอย่างไปดูเหมือนจะไม่ถูกต้อง


 


เมื่อตอนที่หลี่ฟู่เฉินอยู่ในระยะสิบเมตร ขณะนั้นเองที่ดาบปฐพีเหือดแห้งถูกส่งออกมา


 


ระเบิดพลังฉี


 


หลังจากบริโภคเม็ดยาปะทุพลังฉีเข้าไป เหลาเทียนจุนก็กลายเป็นมีความสามารถในการระเบิดพลังฉีที่รุนแรง สามารถสีงหารผู้คนจากอากาศได้


 


หลี่ฟู่เฉินหรี่ตาแคบลงและเปลี่ยนท่าเท้าของเขา จากนั้นก็หายไปในอากาศ


 


ทักษะลูกเตะลึกลับขั้นต่ำ – ลูกเตะไร้เงา


 


เช้ง! เช้ง! เช้ง!


 


รูปร่างดาบพลังฉีที่บิดเบี้ยวออกมาให้เห็นต่อเนื่อง สร้างชั้นของประกายสีขาวซีด


 


“เจ้าหลบนี้ได้หรือไม่?”


 


เหลาเทียนจุนยิ้มอย่างน่ากลัว ขณะที่เขาฟาดฟันลงไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า การกวัดแกว่งดาบปฐพีเหือดแห้ง สร้างสิ่งที่คล้ายกับปลาว่ายน้ำจากนวนมากขึ้นมาภายในรัศมีสิบเมตร


 


ภายในระยะสิบเมตรนี้เป็นเขตมรณะ


 


ใครก็ตามที่มีความสามารถด้อยกว่าเหลาเทียนจุน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะถูกฟันด้วยคมดาบไปแล้วหลายครั้ง


 


หลี่ฟู่เฉินมีท่าท้าวที่รวดเร็วมาก มันราวกับว่าเขาสูญเสียน้ำหนักของเขาไปและกลายเป็นภูตผี ถึงแม้ว่าจะพุ่งไปมาตัดผ่านเวทีเฟิงหยุน แต่ดาบปฐพีเหือดแห้งก็ยังไม่สามารถโดนเป้าหมายได้


 


ใบหน้าของเหลาเทียนจุนมืดมน “เจ้าใช่รู้แต่วิธีหนีอย่างเดียว? ขาดเขลา”


 


หลังจากที่เห็นท่าท้าวของหลี่ฟู่เฉินเขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่ามันไปถึงขั้นดีเลิศแล้ว หากไม่เป็นเช่นนั้น เขาก็คงจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงดาบปฐพีเหือดแห้งของเขาได้ตลอดเวลา


 


“หนี? เหใอนจะไม่ได้เป็นเช่นนั้น?”


 


หลี่ฟูเฉินตีลังกากลางอากาศ เหยียบพื้นพุ่งไปสามก้าวและราวกับว่าเขาเป็นควันสีเขียว เขาหลบดาบปฐพีเหือดแห้งและปรากฏขึ้นที่ด้านซ้ายของเหลาเทียนจุน


 


เหลาเทียนจุนตื่อตะลึงกับท่าท้าวของหลี่ฟู่เฉิน และตอบสนองได้ช้าเกินไป


 


ทว่าเหลาเทียนจุนมีจุดแข็งอยู่ที่พละกำลังของเขา ในช่วงเวลาสำคัญ เขาหมุนร่างกายของตัวเองด้วยความเร็วสูงสุด และใช้วิชาดาบปฐพีเหือดแห้งออกมา – สวรรค์คลั่งปฐพีเหือดแห้ง


 


วูสส วูสส…


 


ราวกับลูกค่างขนาดยักษ์ เขาหมุนตัวอย่างรวดเร็วแลพร้อมๆ กันนั้นพลังฉีจากดาบก็ถูกยิงออกไปทั่วทุกทิศทาง หลี่ฟู่เฉินไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนและไม่มีเวลาหลบเลี่ยง เขาทำได้แค่ใช้ดาบปัดพลังฉีจากดาบออกไปเท่านั้น


 


หลี่ฟูเฉินถูกบังคับให้ต้องล่าถอยมากกว่าสิบสองเมตรโดยไม่รู้ตัว


 


“มาดูกันว่าเจ้าจะหลบสิ่งนี้ได้อย่างไร ดาบพายุหะฉับพลัน!”


 


หยุดหมุน เหลาเทียนจุนตะโกนและเปลี่ยนท่าทางดาบของเขา วิชาดาบปฐพีเหือดแห้งกลายเป็นดาบพายุหะฉับพลัน


 


แม้ว่าดาบพายุหะฉับพลันเป็นเพียงแค่ระดับสีเหลือง แต่เป็นก็เป็นทักษะดาบสีเหลืองระดับสูงสุด และถึงแม้ว่าจะไม่ลึกซึ้งหรือทรงพลังเท่ากับดาบปฐพีเหือดแห้ง ความแข็งแกร่งของมันกลับอยู่ที่ความเร็ว ไม่เพียงแต่ความเร็วเท่านั้น มันเองก็ดุดันโหดเหี้ยมด้วยเช่นกัน มันราวกับพายุพัดผ่านที่ไม่มีทางหยุดยั้ง


 


“หลี่ฟู่เฉินกำลังจะแพ้” คนที่อยู่ด้านล่างเวทีไม่สามารถทำอย่างไรได้ ได้แต่กล่าวออกมา


 


ท่าท้าวของหลี่ฟู่เฉินนั้นยอดเยี่ยมมาก และสามารถหลบหลีกดาบปฐพีเหือดแห้งได้อย่างง่ายดาย


 


แต่เมื่อตอนที่เหลาเทียนจุนใช้ดาบพายุหะฉับพลันออกมาอย่างรวดเร็ว พื้นที่ที่หลี่ฟู่เฉินสามารถใช้หลบหลีกได้ก็จะ


 


น้อยลง อย่าได้กล่าวถึงมนุษย์ แม้แต่กระทั่งนกก็จะพบว่ามันยากที่จะหลบเลี่ยง


 


ขณะที่พลังฉีจากดาบส่งเสียงปะทุดัง ขณะนี้เองที่พลังสภาวะได้ครอบคลุมไปเกือบครึ่งเวทีเฟิงหยุน


 


‘ตั้งแตที่ข้าไม่สามารถใช้เจตจำนงแห่งดาบได้ สิ่งที่ข้าจะทำได้ก็คงมีเท่านี้’


 


หยุดโคจรเทคนิคเปลวเพลิงลี้ลับ หลี่ฟู่เฉินเริ่มโคจรย่างก้าวเงาวายุแทน หลี่ฟู่เฉินขยับเบาๆ และพุ่งตัวออกไปหลายสิบเมตรราวกับลูกศร ความเร็วเช่นนี้ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน และมันก็ไม่ใช่สิ่งที่นักสู้ขอบเขตต้นกำเนิดสามารถทำได้ด้วย


 


“เขาจะรวดเร็วขนาดนั้นได้อย่างไร?” ผู้ชมรู้สึกงุนงงกับความเร็วของหลี่ฟู่เฉิน


 


“ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะสามารถหลบการโจมตีทั้งหมดของข้าได้”


 


เหลาเทียนจุนกลายเป็นบ้าคลั่งและเทพลังฉีทั้งหมดในร่างกายของเขาลงไปบนดาบเหล็กดำ พลังฉีที่อยู่ในดาบกลายเป็นเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเท่า ในเวลาเดียวกัน มือซ้ายของเหลาเทียนจุนส่งหมัดออกไป แรงจากหมัดนี้หวังจะส่งให้หลี่ฟู่เฉินกระเด็นขึ้นไปกลางอากาศ


 


ขณะที่หมัดเข้ามาใกล้และพร้อมๆ กับตอนที่ดาบพลังฉีปรากฏ หากเป็นคนอื่น แม้ว่าจะเป็นศิษย์ชั้นในที่อยู่ระดับที่เก้าของขอบเขตต้นกำเนิดก็คงจะไม่สามารถหลบเลี่ยงได้


 


แต่หลี่ฟู่เฉินต่างออกไป


 


โดยไม่สนใจต่อแรงเฉื่อยที่ตามมาหลังจากเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง หลี่ฟู่เฉินค่อยๆ ก้าวลงไปเหยียบบนพื้นดินและบินกลับออกไปด้านหลัง เขาไม่เพียงแต่หลบแรงหมัดได้เท่านั้น เขายังสามารถหลบดาบพลังฉีที่ฟันเข้ามาด้านหลังของเขาได้ด้วย


 


เขาทำมันได้ราวกับเป็นเรื่องง่ายๆ … หลังจากที่กระโดดหลบดาบพลังฉีได้ หลี่ฟู่เฉินเคลื่อนที่จากกลางอากาศไปทางด้านซ้ายมือของตัวเอง เขาออกไปวงนอกได้ทันที แต่ทว่าอยู่ในลักษะณะที่หัวและขากลับด้านกัน


 


ด้วยดาบเหล็กดำที่ปักลงบนพื้น หลี่ฟู่เฉินแสดงกายกรรมและพลิกตัวไปยังพื้นที่ด้านหลังเหลาเทียนจุน


 


ตั้งแต่ต้นจนจบ หลี่ฟู่เฉินคล้ายกับบางสิ่งที่ท้าทายต่อกฎธรรมชาติและแรงโน้มถ่วง ดูเหมือนว่าแม้กฎของธรรมชาติจะไม่สามารถยับยั้งเขาได้


 


“เขายังคงเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่?”


 


“เขาเป็นสัตว์ประหลาดหรือไร?”


 


ผู้ชมทุกคนอุทาน


 


พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าร่างกายมนุษย์จะสามารถบรรลุระดับความเร็วได้สูงถึงเพียงนี้ นี้เป็นสิ่งที่ท้าทายต่อทัศนวิสัยของพวกเขายิ่ง


 


“ย่างก้าวเงาวายุและลูกเตะไร้เงาขั้นดีเลิศ! ชายหนุ่มผู้นี้ค่อนข้างน่าสนใจ” ผู้มีประสบการณ์กล่าว


 


เขาต้องยอมรับว่าการรับรู้ของหลี่ฟู่เฉินนั้นเป็นบางที่สิ่งที่อยู่ในระดับท้าทายสวรรค์


 


ไม่เพียงแต่วิชาดาบของเขาที่อยู่ในขั้นดีเลิศ แม้แต่กระทั้งเทคนิคตัวเบาและวิชาลูกเตะของเขาก็อยู่ในขั้นดีเลิศเช่นกัน หากศิษย์คนอื่นๆ ที่สามารถบรรลุขั้นดีเลิศได้แม้แต่เพียงทักษะเดียวจากที่เขามี มันก็เพียงพอแล้วที่จะภาคภูมิใจในตัวเอง


 


“มันเป็นเจ้าที่แพ้”


 


ก่อนที่เหลาเทียนจุนจะสามารถฟื้นคืนความรู้สึกได้อย่างเต็มกำลัง หลี่ฟู่เฉินก็วางดาบไว้ที่คอของเขาเรียบร้อยแล้ว


 


เหลาเทียนจุนดวงตาสีแดงก่ำ เขาคำราม “แพ้?! เมื่อใดกันที่ข้าแพ้?!”


 


บูม!


 


เหลาเทียนจุนต่อยไปที่หน้าอกของหลี่ฟู่เฉิน


 


แม้ว่าเขาจะมีพละกำลังกว่า 20,000 กิโลกรัมและมีการป้องกันทางกายภาพที่น่าทึ่ง แต่หลี่ฟู่เฉินก็ไม่สามารถทำอย่างไรได้ ได้แต่กระอักเลือดออกมาคำนึง ก่อนที่จะบินกลับออกไปด้านหลัง


 


“น่ารังเกียจ” เฉินฟางหัวหัวเสีย


 


“ไร้ยางอาย” จ้าวหมิ๋งเยวี่ยไม่สามารถระงับความโกรธของเธอลงได้


 


หลี่ฟู่เฉินตัดสินใจที่จะปล่อยคู่ต่อสู้ของเขาไปแล้ว แต่ใครจะรู้ว่าคู่ต่อสู้ของเขาไม่ยอมรับความพ่ายแพ้และดึงดันที่จะโจมตีต่อ


 


“หลี่ฟู่เฉิน หยุดเสแสร้ง เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถเอาชนะข้าได้จริงๆ? บนเวทีเฟิงหยุน ยกเว้นการฆาตกรรม ก็ไม่มีกฎอื่นๆ ใดอีก มันเป็นไปไม่ได้ที่จะชนะทั้งๆ ที่ไม่ได้โจมตีใดๆ ล้มลงไปเพื่อข้า! ผ่อนคลายเอาไว้ เพราะข้าจะตัดเฉพาะแขนขาของเจ้าและทำลายตันเถียนทิ้งไปซะ ฮ่าๆๆๆ!”


 


เหลาเทียนจุนติดตามมาหลังจากที่มีเปรียบ สภาวะพลังของวิชาดาบปฐพีเหือดแห้งห่อหุ้มตัวหลี่ฟู่เฉินเอาไว้


 


“การประมาทเป็นสิ่งที่ผิดพลาด” หลี่ฟู่เฉินถอนหายใจ


 


คู่ต่อสู้ของเขารู้ว่าหลี่ฟูเฉินไม่กล้าสร้างความเสียหายให้กับเขาและใช้มันเพื่อเป็นประโยชน์ต่อตัวเอง


 


เขาดูเบาฝ่ายตรงข้ามมากเกินไป ด้วยระยะใกล้ชิดเช่นนั้น เขาไม่มีเวลามากพอที่จะเปิดใช้งานท่าร่างของเขา ยิ่งไปกว่านั้น ตัวหมัดเองก็ห่อหุ้มด้วยพลังสภาวะขนาดใหญ่ซึ่ง ทำให้เขาไม่สามารถหลบมันได้ เว้นแต่เขาจะหลบออกไปในทันที


 


หลี่ฟู่เฉินหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพุ่งขึ้นไปบนฟ้า


 


“ตั้งแต่ที่เจ้าไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ ดังนั้นอย่าได้โทษข้าเลย” ดวงตาของหลี่ฟู่เฉินเปล่งประกายไปด้วยแสงเย็นชา


 


เมื่อย่างก้าวเงาวายุและลูกเตะไร้เงาของเขาถูกรวมเข้าด้วยกัน ขีดจำกัดของมันก็ไม่ได้มีอยู่อีกต่อไป


 


กับร่างกายที่คล้ายกับสายลม ลมเหมือนเงา และเงาก็ซึ่งไร้ร่องรอย


 


ขณะนี้เอง ที่หลี่ฟู่เฉินอนุญาตให้ทุกคนเห็นว่าเทคนิคตัวเบาที่แท้จริงของเขานั้นเป็นเช่นไรและนี่เป็รสิ่งที่เกินขอบเขตของสายตามนุษย์ไปแล้ว


 


ภายในพริบตา หลี่ฟู่เฉินมาถึงที่ด้านหลังของเหลาเทียนจุนอีกครั้ง ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นจากแต่เดิมมาถึงหนึ่งเท่า


 


เหลาเทียนจุนไม่คิดว่าหลี่ฟูเฉินที่บาดเจ็บอยู่จะสามารถเร็วขึ้นได้อีก


 


แต่ในใจของเขา เขาไม่ได้กังวล เพราะเขาไม่เชื่อว่าหลี่ฟูเฉินจะกล้ารุกรานเตระกูลเหลาและทำร้ายเขา


 


แต่เขาประเมิณความมุ่งมั่นของหลี่ฟู่เฉินผิดพลาดไป


 


สายธารแสงกระพริบ ดาบของหลี่ฟู่เฉินแทงเข้าไปที่แขนซ้ายของเหลาเทียนจุน บิดดาบของเขาแล้วสะบัดมันออก แขนลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมกับสายฝนแห่งเลือด


 


อ๊ากกกก!


 


เหลาเทียนจุนตะโกนออกมาอย่างน่าสังเวช


บทที่ 121

อาวุโสใหญ่ จ้าวหวูจิ๋น


 


 


เห็นว่าเหลาเทียนจุนกรีดร้องได้น่าเจ็บปวดเพียงใด รอบๆ เวทีเฟิงหยุนไม่หลงเหลืออะไรนอกจากความเงียบ ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าเหลาเทียนจุนจะพ่ายแพ้


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่รู้ว่าเหลาเทียนจุนใช้เม็ดยาพลังฉี พวกเขารู้สึกสับสนและตกใจมากกว่าใครๆ


 


หลี่ฟู่เฉินเพิ่งถึงขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่หกเท่านั้น หากรอจนให้เขาอยู่ระดับที่เก้าของขอบเขตต้นกำเนิด ใช่ว่าพลังของเขาจะเทียบเท่ากับคนที่อยู่ขอบเขตปฐพีหรือไม่?


 


“ชั่วร้ายจริงๆ เขาอาจหญ้ากล้าที่จะทำร้ายเหลาเทียนจุนชิเซียง”


 


“การเสียแขนข้างซ้ายไปจะลดความแข็งแกร่งของเหลาเทียนจุนชิเซียงไปมหาศาล เขาจะกลายเป็นเสียเปรียบ เมื่อตอนที่เขาสู้กับคนที่อยู่ในระดับเดียวกันในครั้งต่อไป”


 


“แขนซ้ายอาจจะดูไร้ประโยชน์ก็จริง แต่มันก็ช่วยให้ร่างกายมีความสมดุล เมื่อถึงเวลาสำคัญ มือทั้งคู่สามารถพลัดเปลี่ยนกันเพื่อเข้าโจมตีได้ ฮึ่ย ช่างน่าเสียดาย”


 


“ฮึ่ม ตัดแขนของเหลาเทียนจุนชิเซียง หลี่ฟู่เฉินผู้นี้ได้ล่วงเกินตระกูลเหลาอย่างสมบูรณ์แล้ว วันเวลาในอนาคตของเขาจะหมดไปกับความทุกข์ทรมานอย่างแน่นอน!”


 


นอกจากจะตกตะลึงกับความสามารถของหลี่ฟู่เฉินแล้ว ทุกคนก็ประหลาดใจกับความมุ่งมั่นและความโหดร้ายของเขาด้วยเช่นกัน เมื่อเทียบกับตระกูลที่มีชื่อเสียงอย่างตระกูลเหลา หนึ่งจะไม่เป็นไรหากพวกเขายอมพ่ายแพ้ แต่หากกล้าให้พวกเขาเหล่านั้นต้องทนทุกข์ทรมาน เช่นนั้นแล้วคงไม่มีอะไรมาหยุดยั้งที่พวกนั้นจะให้ท่านได้สัมผัสกับนรก


 


“โง่เง่า เขาคิดหรอว่าหลังจากที่ลงจากเวทีเฟิงหยุน ความคับข้องใจทั้งหมดจะถูกลืมไป?” หยูเหวินเทียนไม่ชอบสิ่งที่เขาเห็นและกล่าวออกมาเสียงดัง


 


“ขยะ แกกล้าตัดแขนลูกชายของข้า ข้าจะตัดแขนขาทั้งหมดของเจ้าออกซะ!”


 


พร้อมกับเสียงคำราม ในทันทีเงาดำปรากฏขึ้นบนเวทีเฟิงหยุน

มันเป็นเหลาเทียนหยุน


 


หลังจากช่วยเหลือเหลาเทียนจุนผู้ที่สูญเสียแขนและอยู่ในสภาพที่อ่อนแอเสร็จแล้ว สภาวะพลังฉีของเหลาเทียนหยุนก็ระเบิดออกและเคลือบคลานครอบคลุมเวทีเฟิงหยุน


 


ภายใต้สภาวะพลังฉีที่น่ากลัวเช่นนี้ หลี่ฟูเฉินรู้สึกราวกับว่าเขาได้รับแรงกดดันจากขุนเขา หัวเข่าของเขาดูไร้กำลังและกำลังที่จะคุกเข่าลง


 


มันต้องไม่เป็นเช่นนั้น!


 


หลี่ฟู่เฉินกัดริมฝีปากของตัวเองเพื่อต่อต้านสภาวะพลังฉีนี้


 


แต่เนื่องจากเขากัดแรงเกินไป หลี่ฟู่เฉินจึงไม่รู้ว่าเขากัดลึกลงไปในเนื้อหนัง ขณะที่เลือดสดไหลออกมาจากมัน


 


“ท่านพ่อ ข้าเสียแขนไปแล้ว ข้าจบสิ้นแล้ว” เหลาเทียนจุนรู้สึกโศกเศร้าและกล่าวด้วยสายตาที่ไร้ชีวิตชีวา


 


“เทียนจุน” เหลาเทียนหยุนกลายเป็นกังวลใจ


 


เขาไม่เคยคาดคิดว่าเหลาเทียนจุนที่ใช้เม็ดยาพลังฉีจะพ่ายแพ้ต่อหลี่ฟู่เฉิน มันอยู่นอกการคาดการณ์ของเขาทั้งหมด


 


“สารเลวน้อย มันเป็นแค่การแข่งขันและเจ้ากลับใช้ความรุนแรงเกินควรเช่นนี้? เจ้าตั้งใจจะทำอะไร?”


 


เหลาเทียนจุนจ้องไปที่หลี่ฟู่เฉินอย่างเย็นชา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเจตนาสังหาร


 


ภายใต้แรงกดดันจากสภาวะพลังฉี หลี่ฟูเฉินไม่สามารถกล่าวอะไรออกมาได้แม้แต่คำเดียว เขากัดฟันขณะที่จดจ่ออยู่กับประสาทสัมผัส


 


ตั้งแต่ต้น หลี่ฟูเฉินไม่ได้ส่งเสียงออกมาแต่อย่างใด ทว่าในสายตาของเขา มันมีการแสดงออกที่ไม่ยอมแพ้และไม่มีแม้แต่เจตนาที่จะขออภัย


 


เห็นการแสดงออกของหลี่ฟู่เฉิน ใบหน้าของเหลาเทียนจุนมืดมน ด้วยสภาวะพลังฉีของขอบเขตสวรรค์ เขาก็ยังไม่สามารถทำให้อีกฝ่ายคุกเข่าได้ พลังของศิษย์ผู้นี้แน่ว่าน่าสะพรึงกลัว


 


ผู้ที่มีความตั้งใจแน่วแน่ โดยทั่วไปจะมีความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต


 


ชายผู้นี้ต้องไม่สามารถอยู่ต่อไปได้


 


เหลาเทียนหยุนสามารถรู้สึกได้ถึงภัยคุกคาม เขาปล่อยเจตนาสังหารของตัวเองออกมา “สารเลวน้อย ทั้งที่ยังเยาว์วัยแต่ทว่ากลับโหดเหี้ยมได้ถึงเพียงนี้ สำหรับนิกายคังหลุน เจ้าเป็นได้เพียงแค่หายนะ ข้าจะเป็นตัวแทนของนิกาย ที่จะทำลายตันเทียนของเจ้าและตัดแขนขาออกไปซะ”


 


ขณะที่เขาประกาศสิ่งนี้ เหลาเทียนหยุนสะบัดมือและยิงพลังฉีห้าสายพุ่งไปยังตันเทียนของหลี่ฟู่เฉินและแขนขาทั้งสี่ตามลำดับ


 


‘นี้จะเป็นจุดจบทั้งหมดหรือไม่?!’ หลี่ฟู่เฉินมองดูพลังฉีและคำรามอยู่ในจิตใจ


 


นอกเวที ผู้ชมส่วนใหญ่เพลิดเพลินไปกับความทุกข์ทนของเขา และมีเพียงคนส่วนน้อยเท่านั้นที่จะไม่สามารถทนดูได้


 


ตระกูลเหลาช่างเอาแต่ใจเกินไป


 


บนเวทีเฟิงหยุน ตราบใดที่ไม่ฆ่า ก็ไม่มีกฎอื่นใด


 


ทำไมมีเพียงแต่ลูกชายของท่านเท่านั้นที่สามารถทำให้หลี่ฟู่เฉินพิการได้? แต่หลี่ฟู่เฉินกลับไม่ได้รับอนุญาตให้ทำร้ายลูกชายของท่าน? นี่เป็นตรรกะอะไร?


 


ยิ่งไปกว่านั้น หลี่ฟู่เฉินปล่อยโอกาสให้ลูกชายของท่านออกไปแล้ว จุดจบทั้งหมดนี้มาจากการกระทำของลูกชายท่านเอง


 


น่าเสียดายที่เหลาเทียนหยุนไม่ได้ยินความคิดของคนเหล่านี้ แต่ถึงแม้ว่าเขาจะได้ยิ่งเขาก็จะถือข้อความทั้งหมดเหล่านี้เป็นคำสบประมาส


 


ตระกูลเหลาของเขาเป็ยตระกูลเก่าแก่ที่อยู่ในนิกายคังหลุนมานาน ขยะอย่างหลี่ฟู่เฉินจะเปรียบเทียบกับลูกหลานของเขาได้อย่างไร?


 


หลี่ฟู่เฉินกำลังจะกลายเป็นคนพิการ …


 


“หยุดมันซะ เหลาเทียนหยุน”


 


เสียงที่แข็งแกร่งและเที่ยงธรรมสะท้อนมาจากด้านบน วินาทีถัดไป กำแพงพลังฉีก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าหลี่ฟู่เฉิน

พลังฉีห้าสายที่เหลาเทียนหยุนยิงออกไป หายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับวัวดินที่พุ่งเข้าสู่ทะเล


 


ไม่ดีแล้ว มันเป็นผู้อาวุโสชั้นใน!


 


เหลาเทียนหยุนดูเหมือนจะลังเล เขากัดฟันของเขาและเริ่มโจมตีอีกครั้ง ครั้งนี้ เขาใช้กำลังออกไปอย่างเต็มที่ พลังฉีที่น่ากลัวให้ความรู้สึกราวกับช่องว่างก็สามารถแยกออกจากกันได้ปรากฏขึ้น ระหว่างทางของมัน พลังฉีเปลี่ยนไปเป็นคมดาบสวรรค์ และเฉือนไปที่กำแพงพลังฉี


 


“กล้าดียังไง! นอนลงเดี๋ยวนี้!”


 


กำแพงพลังฉีสั่นและคมดาบสวรรค์ก็แตกออก ถัดต่อจากนั้น สภาวะพลังฉีที่น่ากลัวก็คืบคลานลงมาและสร้างแรงกดดันต่อเหลาเทียนหยุน


 


ฉากที่น่าตกใจเกิดขึ้น


 


เหลาเทียนหยุนผู้ซึ่งอยู่ในระดับที่สองของขอบเขตสวรรค์ กลับไม่สามารถทนต่อสภาวะพลังฉีที่ปรากฏออกมาและนอนราบลงกับพื้น ไม่สามารถขยับได้แม้แต่นิ้วเดียว


 


เมื่อตอนที่เหลาเทียนหยุนพยายามใช้สภาวะพลังฉีของเขาในการกดดันหลี่ฟู่เฉิน เขาไม่แม้แต่จะทำให้หลี่ฟู่เฉินคุกเข่าลงได้ ตอนนี้ผู้อาวุโสใหญ่บางท่านกลับใช้สภาวะพลังฉีเพื่อกดดันเหลาเทียนหยุนและทำให้เขานอนลงไปกับพื้น จะต้องแข็งแกร่งแค่ไหนเพื่อที่จะบรรลุระดับพลังเช่นนั้นได้


 


ทุกคนรอบๆ เวทีไม่กล่าวอะไรและไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้


 


การต่อสู้ระหว่างผู้อาวุโสนิกายชั้นในไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะกล่าวถึงได้ หรือการเข้าไปแทรกแซงเองก็ไม่มีวันทำได้เช่นกัน


 


บนท้องฟ้าเหนือเวทีเฟิงหยุน ผู้อาวุโสชุดคลุมสีเขียวค่อยๆ ลอยลงมา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ


 


ผู้อาวุโสชั้นใน จ้าวหวูจิ๋น ระดับสูงสุดของขอบเขตสวรรค์ หนึ่งในสมาชิกระดับสูงที่แท้จริงของนิกายคังหลุน นอกจากผู้นำนิกาย ผู้อาวุโสใหญ่ และผู้ป้องกันนิกาย สถานะของเขานั้นสูงที่สุดและน่านับถือที่สุด


 


“เหลาเทียนหยุน กล้าดียังไง เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวการต่อสู้บนเวทีเฟิงหยุนได้? เจ้าใช่ต้องการต่อต้าน?” จ้าวหวูจิ๋นไม่ลดสภาวะพลังฉีที่ปรากฏอยู่และยังคงกดกันเหลาเทียนจุนต่อไป


 


เหลาเทียนหยุนตะโกนทั้งๆ ที่ยังนอนอยู่บนพื้น “อาวุโสใหญ่! ศิษย์ผู้นี้โหดเหี้ยมและเลวทรามต่ำช้า เขาไม่แม้แต่จะคำนึงถึงศิษย์พี่ที่อยู่ร่วมนิกายเดียวกัน เขาตัดแขนลูกชายของข้า ข้าจะให้อภัยเขาได้อย่างไร!”


 


จ้าวหวูจิ๋นมองอย่างเหลือเชื่อ เขาไม่คิดว่าผู้อาวุโสคนนี้จะกล่าวสิ่งต่างๆ ออกมาอย่างไร้ยางอาย จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “เวทีเฟิงหยุนไม่ใช่สถานที่ที่จะประณีประนอมเพราะคำว่าศิษย์พี่หรือศิษย์น้อง และมันก็เป็นลูกชายของเจ้าที่บังคับมือให้ศัตรูของเขาเองต้องลงมือ เขาได้เก็บเกี่ยวสิ่งที่เขาหว่านไปแล้ว”


 


“ไม่ว่าอะไรก็ตาม ตระกูเหลาของข้าไม่ใช้สิ่งที่ตัวมันผู้นั้นจะเปรียบเทียบได้ อาวุโสใหญ่ โปรดให้ข้าลงโทษเขาด้วย”


 


“เล่นตลกอะไรอีก ไปซะ! หากข้ารู้ว่าตระกูลเหลาของเจ้าพยายามจัดการกับศิษย์ผู้นี้ ข้าจะไปรายงานกับผู้นำนิกายและไปจัดวินัยในตระกูลเหลาของเจ้า” จ้าวหวูจิ๋นมองอย่างน่ารังเกียจและใช้สภาวะพลังฉีของเขาบังคับทั้งเหลาเทียนหยุนและเหลาเทียนจุนออกไปจากเวที


 


ขณะเดียวกันกับที่จ้าวหวูจิ๋นกำลังหันมากล่าวกับหลี่ฟู่เฉิน อีกเสียงที่แข็งแกร่งและทรงพลังก็สะท้อนออกมา


 


“อาวุโสใหญ่! ท่านเอาแต่ใจเกินไป! ตระกูลเหลาของเราสร้างความสำเร็จไว้มากมาย นี่เป็นวิธีที่ท่านควรปฏิบัติต่อตระกูลเหลาของเราหรือไม่?”


 


จากระยะไกล ร่างเสื้อคลุมสีเขียวบินเข้ามา มันเป็นชายสูงอายุผู้มีผมสีขาว เขาแก่กว่าจ้าวหวูจิ๋นมาก สภาวะพลังฉีของเขาเหมือนกับมหาสมุทรที่ล้ำลึก ในพริบตา มันเหมือนกับว่ากำลังมองดูวังวนน้ำขนาดยักษ์ที่พลังทุกสิ่งถูกดูดกลืนเข้าไป


 


“เหลาไห่หวัง เป็นข้าที่เอาแต่ใจหรือตระกูลเหลาของข้ากันแน่? เจ้าคงรู้มันดี และข้าก็จะไม่ถกเถียงเรื่องนี้กับเจ้าเช่นกัน นำกลุ่มตระกูลเหลาของเจ้าออกไป!” จ้าวหวูจิ๋นกล่าวกับชายแก่ประสบการณ์ผู้มีผมสีขาว


 


อ้าปากค้าง!


 


คนส่วนใหญ่อ้าปากค้างรับอากาศ


 


วันนี้เกิดอะไรขึ้น? อันดับแรก มันเป็นผู้อาวุโสนิกายชั้นใน จ้าวหวูจิ๋นมาที่นี่เพื่อสังเกตการแข่งขัน ตอนนี้แม้แต่กระทั้งผู้นำตระกูลเหลา เหลาไห่หวังก็มาอยู่ที่นี่แล้วเช่นกัน


 


เหลาไห่หวัง ระดับเก้าของขอบเขตสวรรค์ เขาเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสชั้นในผู้ซึ่งอยู่หนึ่งในสิบอันดับแรก และสถานะของเขาก็ด้อยกว่าผู้อาวุโสใหญ่ชั้นในเพียงเล็กน้อย


 


เหลียวไห่หวังไม่ต้องการเพิ่มความอับอาย ดังนั้นเขาจึงจ้องไปที่หลี่ฟู่เฉิน ก่อนที่ทั้งสามคนจะแยกจากกัน


122

“เช่นนั้น นี้ก็คือนักสู้ขอบเขตสวรรค์?”


 


หลี่ฟู่เฉินชุ่มไปด้วยเหงื่อ มันราวกับว่าเขาเพิ่งออกมาจากสระน้ำ


 


นักสู้ขอบเขตสวรรค์นั้นมีอำนาจมากเกินไป ไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวแม้แต่นิดเดียว ทำเพียงแค่ปล่อยแรงกดดันจากสภาวะพลังฉีก็เพียงพอที่จะทำให้คู่ต่อสู้ล้มลง


 


เหตุผลที่หลี่ฟู่เฉินสามารถทนต่อสภาวะพลังฉีของเหลาเทียนหยุนได้ มันไม่ได้เป็นเพราะเขาแข็งแกร่ง ในความเป็นจริง แม้แต่กระทั่งขอบเขตต้นกำเนิดระดับเก้าที่เป็นศิษย์ชั้นหนึ่งก็คงไม่อาจสามารถทนต่อแรงกดดันของเหลาเทียนหยุนได้ มันไม่ใช่แค่เรื่องของระดับการบ่มเพาะ แต่สิ่งนี้ก็เกี่ยวข้องกับพลังจิตวิญญาณด้วยไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

พลังจิตวิญญาณเป็นสิ่งลึกลับ มันไม่อาจทราบได้ว่าจะมีผลกระทบกับร่างกายอย่างไรบ้าง


 


หากมนุษย์ที่มีค่าเฉลี่ยตามปกติเชื่อว่าร่างกายของพวกตนป่วย ไม่นานหลังจากนั้น ร่างกายของพวกเขาก็จะป่วยจริงๆ


 


บางคน หลังจากเข้าไปในสถานที่ที่มีผีสิง ก็จะทีอาการเหมือนถูกครอบงำและมีการแสดงออกแปลกๆ หรือแม้กระทั่งทำสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายได้ แต่แท้จริงแล้วนั้น มันเป็นเพราะพลังจิตวิญญาณของเหยื่อได้รับผลกระทบ ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มเกิดอาการภาพหลอน


 


พลังจิตวิญญาณเป็นคุณสมบัติของร่างกายที่อยู่ภายใน เมื่อคุณลักษณะนี้ถูกคุกคาม ร่างกายจะเกิดปฏิกิริยารุนแรง


 


ผู้ที่บ่มเพาะจิตวิญญาณ อาจใช้เพียงการจ้องตาหนึ่งครั้งเพื่อทำให้ศัตรูเกิดภาพหลอนและทำสิ่งต่างๆ ที่ขัดต่อเจตจำนงของเหยื่อ


 


มันเห็นได้ชัดว่าบุคคลที่ทำได้ดังกล่าวแทบจะเป็นสิ่งที่อยู่ในตำนาน จากหนึ่งพันล้านคนอาจไม่มีแม้แต่เพียงคนเดียวที่ทำเช่นนั้นได้ เฉพาะผู้ที่มีโครงกระดูกชนิดพิเศษเท่านั้นถึงสามารถบ่มเพาะฝกฝึนพลังจิตวิญญาณของตนเองได้


 


เหตุผลที่หลี่ฟู่เฉินสามารถทนต่อสภาวะพลังฉีของเหลาเทียนหยุนได้ก็เพราะพลังจิตวิญญาณของเขานั้นแข็งแกร่งกว่าคนอื่นหลายเท่า


 


“ไม่เลว การเอาชนะเหลาเทียนจุนที่กินเม็ดยาพลังฉีเข้าไปได้ สิ่งนี้ทำให้ข้าประหลาดใจ แต่ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะทนแรงกดดันจากสภาวะพลังฉีของเหลาเทียนหยุนได้ เจ้ารู้หรือไม่แม้แต่กระทั่งนักสู้ขอบเขตปฐพีตามค่าเฉลี่ยไม่สามารถทนมันได้?”


 


หันกลับมา จ้าวหวูจิ๋นมองไปที่หลี่ฟู่เฉินด้วยใบหน้าที่น่าชื่นชม


 


มันเป็นสิ่งที่ดีที่หลี่ฟู่เฉินมีการรับรู้ที่ยอดเยี่ยม แต่พลังจิตวิญญาณของเขาก็แข็งแกร่งเช่นกัน จ้าวหวูจิ๋นไม่สามารถทำอย่างไรได้ ได้แต่ชื่นชมความสามารถพิเศษเหล่านี้


 


บางทีโครงกระปกติอาจจะเป็นตัวกดความสำเร็จของหลี่ฟู่เฉินไว้ แต่จากศักยภาพในปัจจุบันของเขา การเข้าสู้ขอบเขตปฐพีนั้นคงจะไม่เป็นปัญหาใดๆ ด้วยการรับรู้ของเขา แม้หลังจากที่ก้าวขึ้นไปสู้ขอบเขตปฐพี เขาก็คงจะเป็นหนึ่งในนักสู้ที่น่าเกรงขามอยู่ดี


 


และหากได้เผชิญหน้ากับวาสนา โอกาสที่จะเข้าสู่ขอบเขตสวรรค์ก็อาจเป็นไปได้


 


“ขอบคุณมากสำหรับการช่วยเหลือจากอาวุโสใหญ่ ฟู่เฉินจะตอบแทนคุณในวันนึง” หลี่ฟู่เฉินกล่าวอย่างขอบคุณ

หากไม่ใช่เพราะจ้าวหวูจิ๋น เขาอาจจะกลายเป็นคนพิการไปแล้ว เช่นนั้นเรื่องจุดสูงสุดของเต๋านักสู้หรือเต๋าแห่งดาบก็คงจะไกลเกินตัวเขาแล้ว


 


“ฮึ่ม นี่คือนิกายคังหลุน หากเขาถูกอนุญาตให้สร้างความยุ่งยากได้ เช่นนั้นแล้วนิกายคังหลุนจะรักษาอำนาจไว้ได้อย่างไร” จ้าวหวูจิ๋นกล่าว


 


“ท่านปู่ ตระกูลเหลาช่างไร้เหตุผล ไม่ใช่ว่าท่านสมควรรายงานเรื่องนี้ไปยังผู้นำนิกาย?” จ้าวหมิ๋งเยวี่ยเองก็ขึ้นมาบนเวทีด้วยเช่นกัน


 


จ้าวหวูจิ๋นส่ายหัว “เจ้าคิดว่าเป็นง่ายที่จะล้มล้างตระกูลโบราณ? ความแข็งแกร่งของตระกูลเหลาโดยรวมอาจจะด้อยกว่าตระกูลจ้าวของเราก็จริง แต่ในแง่ของความสัมพันธ์ พวกเขาเหนือกว่าเรามาก ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลเหลาก็เป็นสมาชิกของนิกายคังหลุน การโค่นล้มพวกนั้นเท่ากับเป็นการทำให้กำลังทหารของนิกายคังหลุนอ่อนแอ่ลง มันจะทำให้เราเสียเปรียบนิกายอื่นมากขึ้น”


 


ที่สำคัญที่สุดก็คือ มันไม่มีเหตุผลที่จะกำจัดตระกูลเหลา เนื่องจากพวกเขาไม่ได้ทำให้ใครขุ่นเคือง


 


ล้างคอของตน จ้าวหวูจิ๋นมองไปที่หลี่ฟู่เฉินอีกครั้ง “ด้วยโครงกระดูกของเจ้า เจ้าไม่ควรมีคุณสมบัติที่จะเป็นหนึ่งในอัจฉริยะของนิกายคังหลุนเรา แต่หลังจากเห็นการรับรู้และความมุ่งมั่นจากจิตวิญญาณของเจ้า ข้าจึงตัดสินที่จะมอบสถานะอัจฉริยะให้เจ้า แต่สถานะนี้ไม่มั่นคงนัก หากการรับรู้ของเจ้าหายไปในอนาคต และความเร็วในการฝึกฝนลดลง สถานะอัจฉริยะนี้จะถูกถอดถอนออก”


 


ในฐานะผู้อาวุโสใหญ่ชั้นใน เขามีอำนาจในการมอบสถานะอัจฉริยะให้กับเหล่าศิษย์และไม่จำเป็นต้องขออนุมัติ แต่แน่นอนว่าสิ่งจำเป็นที่หลี่ฟู่เฉินต้องมีก็คือการพิสูจน์ความสามารถและจำเป็นต้องต้านทานกับคุณสมบัติที่ไม่เอื้ออำนวยนี้ มันไม่เหมือนกับว่าจ้าวหวูจิ๋นมอบสถานะอศจรรย์ให้กับคนที่เขาเลือกเลย มันยังมีข้อกำหนดบางอย่างอยู่


 


“ขอบคุณผู้อาวุโสใหญ่”


 


หลี่ฟูเฉินที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ของเขารู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยหลังจากได้ยินสิ่งนี้


 


อัจฉริยะชั้นในทั้งหมดเองก็เป็นศิษย์ชั้นหนึ่ง แต่ในระหว่างการซื้อของจากนิกาย พวกเขาได้รับส่วนลดมากกว่าศิษย์ชั้นหนึ่ง


 


ศิษย์ชั้นหนึ่งได้รับส่วนลด 30% ในขณะที่ศิษย์อัจฉริยะชั้นในได้รับส่วนลด 50% นั่นคือคะแนนสะสมที่ลดลง 20% ซึ่งเขาขาดมันไป


 


ถ้าเขาจะไปแก่นสารเลือดสัตว์ปีศาจระดับ 2 มันจะเป็น 100,000 เหรียญทองต่อขวดแทนที่จะเป็น 140,000 เหรียญทองแบบก่อนหน้า ประหยัดไปได้ถึง 40,000 เหรียญทอง


 


“วิธีที่ดีที่สุดในการทดแทนคุณของเจ้า คือการฝึกฝนให้หนักเข้าไว้ รักษามันไว้ให้ดี!”


 


จ้าวหวูจิ๋นตบไหล่หลี่ฟู่เฉิน


 


เขาเป็นคนที่ชื่นชอบในพรสวรรค์ ไม่ว่าจะเป็นจ้าวหมิ๋งเยวี่ยหรือหลี่ฟู่เฉิน ในสายตาของเขา พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นเมล็ดพันธ์ที่มีพรสวรรค์


แต่หลี่ฟู่เฉินนั้นแตกต่างจากจ้าวหมิ๋งเยวี่ย หลี่ฟู่เฉินมีปัจจัยที่ไม่รู้มากมาย เขาไม่กล้าทำนายว่าหลี่ฟู่เฉินจะลงเอยที่ใด หากไม่ใช่เพราะการรับรู้ที่ผิดปกติของเขา เขาคงจะทำเพียงแต่ให้คำสรรเสริญและไม่ได้ให้สถานะอัจฉริยะแก่หลี่ฟูเฉิน


 


“ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง อาวุโสใหญ่” หลี่ฟู่เฉินพยักหน้า


 


“ตอนนี้ข้าไม่มีธุระอื่นใดแล้ว ถึงเวลาที่ข้าต้องไป” จ้าวหวูจิ๋นยิ้ม ร่างกายของเขาส่องประกายและกลายเป็นสายธารแสง ขณะที่เขาหายไปจากวิสัยทัศน์ของทุกคน


 


“ข้าช่วยเหลือเจ้าครั้งใหญ่ ไม่ใช่ว่าเจ้าควรพาข้าและเฉินชิเซียงไปเลี้ยงอาหารซักมื้อ?” จ้าวหมิ๋งเยวี่ยหัวเราะ


 


“แน่นอน”


 


ในช่วงปีที่ผ่านมา เพื่อฝึกฝนเทคนิคร่างกายเร้นโลหิต เขาจึงต้องซื้อเลือดสัตว์ปีศาจระดับ 2 มาถึงสามขวด มันมีราคาทั้งหมด 420,000 เหรียญทอง และตอนนี้เขาเหลือเพียง 100,000 เหรียญทองเท่านั้น


 


แต่เมื่อถึงเวลที่ต้องเลี้ยง สิ่งที่ยิ่มหลีกเลี่ยงไม่ได้และไม่ควรบ่ายเบี่ยงด้วยเช่นกัน


 


นอกเวทีเฟิงหยุน คนส่วนใหญ่ไม่ได้จากไปในทันที แต่ละคนจ้องมองไปที่หลี่ฟู่เฉินด้วยสายตาที่อิจฉาและชื่นชม


 


“ผู้อาวุโสใหญ่ชั้นในมอบสถานะอัจฉริยะชั้นในให้กับศิษย์ผู้นี้จริงๆ มันจะดีแค่ไหนกันหากข้าได้มันมาแบบนั้น อย่างน้อยมันก็จะเพิ่มความเร็วในการฝึกฝนของข้าได้หลายเท่า”


 


“ถูกแล้ว! อัจฉริยะนิกายชั้นในสามารถแลกสินค้าจากนิกายได้ในราคาที่ลดลง 50% มันจะช่วยให้เจ้าประหยัดคะแนนสะสมได้มาก!”


 


“เจ้ายังไม่ควรชื่นชมยินดีตอนนี้ นิกายชั้นในทั้งหมดมีศิษย์อัจฉริยะทั้งหมดกว่า 30 คน แม้ว่าเจ้าจะได้รับสถานะอัจฉริยะมา แต่คุณสมบัติของเจ้าอาจไม่เหมาะสมกับมันก็ได้


 


ทุกคนเริ่มถกเถียงกัน


 


ได้ยินการสนทนา หยูเหวินเทียนส่งเสียงฮึ่มและออกจากเวทีเฟิงหยุน


 


“หลี่ฟู่เฉิน ตอนนี้ข้าจะอนุญาตให้เจ้าแผลงฤทธิ์ไปก่อน” ฟางเหล่ยไห่ระงับอารมณ์ของตัวเองและจากไป


 


“อัฉริยะชั้นใน? ฮี่ฮี่ หลี่ชิตี๋ได้กำไรจากภัยพิบัติครั้งนี้แล้ว” เฉินฟางหัวหัวเราะ


 


ก่อนที่ฝูงชนจะแยกย้ายกันไป ทั้งสามคนเดินทางไปยังศาลาละเอียดอ่อนเพื่อทานอาหารมื้อใหญ่อีกมื้อนึง


 


แม้ว่าหลี่ฟู่เฉินจะรู้สึกจุกนิดๆ เมื่อเขาต้องจ่ายเหรียญทองออกไปหลายพัน แต่เมื่อเทียบกับการได้รับสถานะอัจฉริยะชั้นใน เหรียญทองเหล่านี้ไม่นับเป็นอะไรเลย มันเป็นค่าใช้จ่ายจากการแอดออมเพื่อซื้อเลือดสัตว์ปีศาจระดับ 2


 


แต่เหนือสิ่งอื่นใด เขาจำเป็นต้องได้รับทองเพิ่มขึ้น


 


***


 


“ครึ่งแรกของปีผ่านไปแล้ว ถึงเวลาที่ต้องทำภารกิจนิกายอีกครั้ง”


 


ภารกิจหนึ่งครั้งต่อหนึ่งปีเป็นกฎขั้นพื้นฐานสำหรับศิษย์นิกายชั้นในที่ต้องปฏิบัติตาม


 


ครั้งนี้ หลี่ฟู่เฉินพร้อมที่จะเลือกภารกิจระดับสูงเพื่อที่จะได้รับคะแนนสะสมมากขึ้นและอาจได้รับเหรียญทองมากขึ้นด้วย


 


ทานมื้อเย็นเสร็จ หลี่ฟูเฉินเดินทางกลับ


 


ที่เชิงเขา หลี่ฟู่เฉินหยุดเดิน ขณะที่เขาเดินผ่านเข้าไปในลานบ้าน


 


แต่เดิมลานแห่งนี้เป็นของจือฮงซิ่ว


 


เมื่อปีก่อน จ้าวฮงซิ่วได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นศิษย์นิกายชั้นใน แต่หนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา จือฮงซิ่วหายตัวไปพร้อมกับลูกพี่ลูกน้องของเธอจือเซี่ยวหมิ๋ง สัญชาตญาณของเขาบอกเขาว่าตระกูลจือต้องมีปัญหาแน่ๆ


 


น่าเสียดายที่เขาเป็นเพียงแค่นักสู้ขอบเขตต้นกำเนิด เขาไม่แม้แต่จะป้องกันตัวเองได้ มันก็คงเป็นไปไม่ได้แล้วที่จะต้องปกป้องตระกูลๆ นึง ยิ่งไปกว่านั้น ที่จือฮงซิ่วออกจากนิกายคังหลุนไปอาจจะไม่ใช่เพราะเรื่องเลวร้าย ดังนั้น หลี่ฟู่เฉินจึงไม่ได้คิดมันต่ออีกต่อไป



ตอนที่ 123

เช้าวันถัดมา หลี่ฟู่เฉินมาถึงที่ห้องโถงภารกิจ


 


เพียงไม่นาน หลี่ฟู่เฉินก็หยิบภารกิจระดับสูงที่เหมาะสมกับตัวเองออกมา


 


ภารกิจ : ไล่ล่าและกำจัดพี่น้องหวังทั้งสามคน และเอาพระพุทธรูปหยกกลับคืนมา


 


พี่น้องสามหวังทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นนักสู้ขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่เก้าทั้งหมด


 


เทคนิคบ่มเพาะ : สีเหลืองขั้นสูงสุด พลังฉีโลหิต


 


ทักษะต่อสู้ : วิชากระบี่โลหิต วิชาฝ่ามือประทับโลหิต และเทคนิคลับแบบร่างโลหิต

(หมายเหตุ TL : เทคนิคลับจะมีการอธิบายในหลายบทถัดไป)


 


รางวัลภารกิจ : 20,000 คะแนนสะสม


 


“ภารกิจนี้น่าสนใจมาก!” หลี่ฟู่เฉินกลายเป็นคบคิด


 


พี่น้องหวังเป็นนักสู้ในเมืองหลินช๋าง ภายใต้วาสนาที่ได้ประสบพบเจอ ทั้งสามคนมีโอกาสได้เรียนรู้ทักษะต่อสู้จากนักสู้ขอบเขตปฐพี หลังจากที่ได้บ่มเพาะเทคนิคสีเหลืองขั้นสูงสุด เทคนิคบ่มเพาะพลังฉีโลหิตและอีกสามทักษะต่อสู้ที่น่ากลัว ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็ก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด แม้แต่กระทั้งนักสู้ขอบเขตต้นกำเนิดสิบคนก็ไม่สามารถต่อกรกับพี่น้องหวังได้


 


“ข้าอยากได้ภารกิจนี้”


 


ดึงเอกสารตอบรับออกมาอย่างเร่งรีบ หลี่ฟู่เฉินก้าวย่างก้าวใหญ่ออกจากห้องโถงภารกิจ


 


“เขาออกจากโถงภารกิจแล้ว เขาต้องออกไปทำภารกิจเป็นแน่”


 


นอกห้องโถงภารกิจ ผู้ดูแลชั้นในฝึกหัดหลายคนกำลังแสดงท่าทางแปลกๆ ออกมา


 


***


 


เมืองหลินช๋างเป็นหนึ่งในเมืองชายแดนของแคว้นคังหลุน มันอยู่ห่างไปไม่กี่ร้อยไมล์จากแคว้นเทียนช๋างที่ถูกควบคุมโดยนิกายเทียนช๋าง ซึ่งดูเหมือนจะโดดเด่นกว่านิกายคังหลุนเล็กน้อย


 


ครั้งนี่ หลี่ฟู่เฉินไม่ได้เลือกที่จะใช้เทคนิคตัวเบา กลับกันเขาขี่ม้าไปแทน


 


มันเป็นม้าเลือดสัตว์ปีศาจระดับ 2 ที่มีความเร็วอันยอดเยี่ยมและความอดทนที่น่าตื่นตกใจ


 


ย๊ะ!


 


ขาทั้งสองข้างแนบชิดท้องม้า ม้าเลือดปีศาจระดับ 2 ที่หลี่ฟูเฉินขี่อยู่ทันทีก็พุ่งออกไปเหมือนลูกธนูที่หลุดออกจากคัน ความเร็วของมันเร็วกว่าม้าเลือดปีศาจระดับ 1 อย่างน้อยสองเท่า


 


“ตามเขาไป!”


 


ไม่นานหลังจากที่หลี่ฟู่เฉินออกไป กลุ่มผู้ดูแลชั้นในฝึกหัดก็ควบม้าเลือดสัตว์ปีศาจระดับ 2 ตามไปด้วยเช่นกัน


 


“น่าสนใจ สารเลวน้อยนี้มีศัตรูมากมายนัก”


 


หลังจากที่ผู้ดูแลชั้นในฝึกหัดออกไปร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นด้วยเช่นกัน


 


หลังจากมองไปที่สภาวะพลังฉีของเขาแล้ว สามารถบ่งบอกได้ทันทีว่าบุคคลผู้นี้อยู่ขอบเขตปฐพี


 


“ไม่เป็นไร มันคงจะไม่สนุกเท่าไหร่หากให้สารเลวน้อยนี้ตายเร็วเกินไป ข้าจะรอจนกว่าการต่อสู้ของพวกมันจบลง ข้าจะแทรกแซงเพื่อทำลายขาสุนัขๆ ของมัน จากนั้นก็นำมันกลับไปที่ตระกูลเหลา” ร่างเงายิ้มก่อนที่จะพุ่งไปกลายเป็นเส้นๆ นึงและหายไป ร่างกายของเขาลอยไปราวกับควันสีเขียว


 


***


 


“ชายหนุ่มผู้นี้แน่นอนว่าสร้างปัญหาไว้มากมาย บางครั้งการที่ข้าออกจากนิกาย และใช้เวลาไปกับการเที่ยวชม นี้อาจจะไม่เลวร้ายเช่นกัน”


 


สูงขึ้นไปบนท้องฟ้า มันเป็นชายวัยกลางคนซึ่งยืนอยู่กลางอากาศและมองเห็นทุกๆ สิ่ง


 


หากหลี่ฟู่เฉินอยู่ที่นี่ เขาจะจำชายวัยกลางคนผู้นี้ได้ทันที เขาเป็นผู้ประเมินหลักในการทดสอบเข้าเป็นศิษย์ชั้นใน อาวุโสชิ่ว


 


ชื่อของผู้อาวุโสชิ่วคือชิ่วฮัว เขาเป็นผู้อาวุโสชั้นในที่มีสถานะน่านับถือ ปกติแล้วเขาจะใช้เวลาไปกับการฝึกฝนอย่างสันโดษ และจะทำภารกิจนิกายบางเป็นครั้งคราวเท่านั้น เหตุผลที่เขาออกจากการปลีกตัวไปอย่างสันโดษในครั้งนี้ มันเป็นเพราะการขอร้องจากอาวุโสใหญ่ชั้นในจ้าวหวูจิ๋น เขาขอร้องให้ชิ่วฮัวปกป้องหลี่ฟู่เฉินขณะที่ออกไปปฏิบัติภารกิจนิกาย


 


หากเป็นศิษย์คนอื่นๆ อาวุโสชิ่วคงจะปฎิเสธในทันที หลังจากทั้งหมดแล้ว เหตุใดเขาถึงควรต้องใส่ใจเกี่ยวกับความปลอดภัยของศิษย์ชั้นในผู้หนึ่ง?


 


แต่หลี่ฟู่เฉินต่างออกไป เขาคาดหวังกับหลี่ฟู่เฉินไว้สูงมาก หากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ เขาคงจะไม่เสนอให้หลี่ฟูเฉินได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นอัจฉริยะนิกายชั้นใน


 


เมื่อตอนที่ร่างกายของอาวุโสชิ่วทะยานขึ้นฟ้าไป ชิ่วฮัวก็คล้ายกับนกขนาดใหญ่ ร่อนอยู่บนท้องฟ้า


 


***


 


“นักสู้ระดับเก้าขอบเขตต้นกำเนิด 11 คน จำนวนเท่านี้ข้าน่าจัดการกับมันได้”


 


หลี่ฟู่เฉินรับรู้ได้นานแล้วว่าเขาถูกติดตาม


 


แต่เขาไม่ได้สังเกตการมีอยู่ของผู้เชี่ยวชาญขอบเขตปฐพี


 


หลี่ฟูเฉินปัจจุบันอยู่ข้างป่าเล็กๆ ผ่านป่าเป็นแม่น้ำขนาดใหญ่ ซึ่งมีทางคดเคี้ยวมากมายราวกับมังกรศักดิ์สิทธิ์สีขาวที่มุ่งหน้าไปยังจุดสิ้นสุดของสวรรค์และโลก


 


ถนนข้างป่า หลี่ฟู่เฉินค่อยๆ ชะลอตัวลง


 


“เขาสังเกตเห็นเรา?”


 


จากระยะไกล กลุ่มผู้ดูแลชั้นในฝึกหัดก็ชะลอตัวลงเช่นกัน


 


“เขาสังเกตเห็นเราแล้วไง? เขาคิดว่าเขาสามารถต้านทานพวกเราทั้งสิบเอ็ดคนได้หรือไร?”


 


“เขาอาจเอาชนะเหลาเทียนจุนได้ และแข็งแกร่งกว่าพวกเราที่นี่ทุกคน แต่ด้วยความแข็งแกร่งของพวกเราทั้งสิบเอ็ดคนรวดกัน แม้แต่กระทั้งเหลาเทียนจุนสามคนรวกันก็ไม่สามารถเอาชนะเราได้”


 


“หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ไปกัน! ฆ่าเขาและจบทุกอย่าง!”


 


ย๊า!


 


พวกเขาทั้งสิบเอ็ดคนเตะหน้าท้องม้าและควบมันเข้าไปหาหลี่ฟู่เฉิน


 


“เจ้าเป็นใคร?” หลี่ฟู่เฉินสำรวจพวกเขา


 


ในตอนแรกเขาสงสัยว่าศัตรูจะมาจากตระกูลเหลา แต่ด้วยความแข็งแกร่งของตระกูลเหลา พวกเขาคงจะไม่ส่งเพียงแค่นักสู้ขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่เก้ามา แต่กลับกันมันน่าจะเป็นนักสู้ขอบเขตปฐพี


 


เห็นได้ชัดว่าเขารู้ได้ตั้งแต่ตอนที่ออกจากนิกายมา เขารู้ว่าตนเองเป็ยเป้าหมาย แต่ก็ไม่มีหนทางอื่น ก็ในเมื่อเขาเองก็ต้องทำภารกิจนิกายให้เสร็จสิ้น สิ่งเดียวที่เขาทำได้ก็คือซื้อสิ่งของช่วยชีวิตตัวเอง และด้วยของเหล่านี้ แม้แต่กระทั่งนักต่อขอบเขตปฐพีก็พบว่ามันยากที่จะฆ่าเขาได้


 


“เราเป็นใครไม่สำคัญ เจ้าเพียงแค่ต้องรู้ว่าในวันนี้ปีหน้า มันจะเป็นวันครบรอบการตายของเจ้า ฆ่ามัน!” ผู้ดูแลชั้นในฝึกหัดทั้งสิบเอ็ดคนควบตบม้าของตนเข้ามาและมุ่งที่หลี่ฟู่เฉิน


 


“หากข้าเดาไม่ผิด พวกเจ้าน่าจะมาจากเฉินตู่ หยาง และตระกูลกั่วถูกไหม?”


 


หลี่ฟู่เฉินหรี่ตาและปลดปล่อยแววตาที่น่าขนลุก


 


“ฆ่ามัน!”


 


ได้ยินสิ่งที่หลี่ฟู่เฉินกล่าว ทั้งสิบเอ็ดคนกลายเป็นกังวล พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าหลี่ฟู่เฉินจะสามารถคาดเดาตัวตนของพวกเขาได้


 


ทั้งสิบเอ็ดคนเป็นเหมือนนกตัวโต แต่ละคนโจมตีหลี่ฟู่เฉินทั้งหมดสิบเอ็ดทิศ ในชั้วขณะนึง แสงดาบที่เปล่งออกมาก็พร้อมข่มขวัญผู้คนให้ตาย


 


หากมันเป็นเหลาเทียนจุน เขาจะกลายเป็นรังผึ้งในทันที


 


จ้องมองไปยังสิบเอ็ดคนนี้ราวกับได้ตายไปแล้ว หลี่ฟู่เฉินชักดาบของเขาออกมา


 


เมื่อดาบออกจากฝัก แสงดาบสามสายก็ปรากฏขึ้นพร้อมกัน


 


ปิส ปิส ปิส!


 


ผู้ดูแลชั้นในฝึกหัดทั้งสามคนหยุดลงกลางคัน ขณะที่มีบาดแผลถูกแทงตรงหน้าอก


 


ร่างกายล่วงลงไปกับพื้น ขณะที่ไถลไปตามมัน หลี่ฟู่เฉินปล่อยแสงดาบออกไปกลางอากาศอีกสามครั้ง


 


ปิส ปิส ปิส!


 


หนึ่งถูกเจาะจากร่างกายส่วนล่างขึ้นมา อีกหนึ่งถูกเจาะเอวทะลุอวัยวะภายใน และอีกหนึ่งถูกเจาะกระดูกสันหลัง


 


หลังจากทั้งหมดแล้วการโจมตีทั้งหมดเหล่านี้ก็เกิดขึ้นก่อนที่ร่างกายจะตกถึงพื้น มันเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ หลี่ฟู่เฉินสังหารไปแล้วหกคนจากสิบเอ็ดคน


 


“บ้าเอ้ย… ดาบของเขาเร็วกว่าเดิมถึงสองเท่า และมีพลังมากกว่าเดิมสามเท่าเมื่อเทียบกับตอนที่เขาสู้กับเหลาเทียนจุน”


 


ทั้งห้าคนถูกทิ้งไว้ท่ามกลางความลังเลเนื่องจากความกลัว


 


พวกเขาไม่เคยเห็นดาบที่รวดเร็วเช่นนี้มาก่อน ความเร็วเกินขีดจำกัดที่สายตาจะมองเห็นได้หรือจะสตอบได้


 


“หนี!”


 


ทั้งห้าสูญเสียเจตนาต่อสู้และกระจัดกระจายกันหนีออกมาไป


 


“พวกเจ้าคิดว่าสามารถหนีออกไปได้?”


 


กระทืบพื้นดิน หลี่ฟู่เฉินใช้ออกด้วยเทคนิคตัวเบาและทักษะลูกเตะจนถึงขีดสุด เขาราวกับปีศาจ ในขณะที่เขาเดินผ่านไปมาระหว่างพวกเขาทั้งห้าคน สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปคือพวกเขาทั้งห้าล้มลงกับพื้นด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง บางคนหันหน้าไปทางท้องฟ้า บางคนหันหน้าลงพื้นดิน คนอื่นๆ เองก็กระจัดกระจายออกไปและหันไปในทิศทางที่ต่างกัน


 


นำดาบเหล็กดำกลับลงฝัก หลี่ฟู่เฉินค่อยๆ หายใจออกมา


 


“ด้วยผู้ดูแลชั้นในฝึกหัดทั้งสิบเอ็ดคนนี้ แน่นอนแล้วว่ามันจะต้องเป็นตระกูลเฉินตู่ หยางและกั่วที่ส่งมาจัดการข้า!”


 


สามตระกูลใหญ่ของเมืองหยุนหวูนั้นไม่ใช่ตระกูลเหลา พวกนั้นมีผู้เชี่ยวชาญขอบเขตปฐพีเพียงหยิบมือเดียว และนักสู้ขอบเขตต้นกำเนิดระดับเก้าเป็นกองกำลังหลักของพวกเขา และด้วยนักสู้ขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่เก้าที่ตายไปเหล่านี้ หลี่ฟู่เฉินเชื่อว่าทั้งสามตระกูลอาจจะรู้สึกเจ็บปวดอยู่บ้าง


 


หลี่ฟู่เฉินตั้งใจที่จะค้นซากศพ ทันใดนั้นเองตัวเขาก็แข็งทื่อ ขณะที่เหงื่อเย็นหยดลงมาจากหน้าผากของเขา


 


“น่าสนใจ เจ้าซ่อนความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเจ้าไว้เมื่อตอนที่อยู่บนเวทีเฟิงหยุน ตั้งแต่ที่มันเป็นเช่นนั้น ข้าคงไม่สามารถปล่อยให้เจ้าอยู่ต่อไปได้”


 


ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ร่างที่ดูแก่ประสบการณ์อยู่ห่างออกไปหลายเมตร


 


ร่างที่ดูแก่ประวบการณ์นั้นสวมเสื้อคลุมสีเทาและสวมหน้ากาก มีสายตาอันแหลมคม


 


“นักสู้ขอบเขตปฐพี?”


 


หลี่ฟู่เฉินไม่ได้หันกลับไป แต่ก็รู้สึกได้จากสภาวะพลังฉีของเขา เขารู้ว่าภัยคุกคามที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้นั้นต้องมาจากนักสู้ขอบเขตปฐพีแน่นอน สำหรับเรื่องที่ว่าบุคคลทิ่อยู่ขอบเขตปฐพีผู้นี้เป็นใคร หลี่ฟู่เฉินเองก็ไม่สามารถระบุได้


 


“อย่าได้กังวล ข้าจะไม่ข้าเจ้าทันที นั่นจะง่ายเกินไปสำหรับเจ้า”


 


ร่างนั้นเดินเข้ามาอย่างช้าๆ การแสดงออกของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจ


 


ปั๊ง!


 


ขณะนั้นเอง หลี่ฟู่เฉินก็โยนของบางออกจากด้านหลังของเขา มันเป็นระเบิดสีขาวหลายลูก ควันสีขาวจำนวนมากมาพร้อมกับการระเบิด และแพร่กระจายออกไปหลายสิบเมตรในชั่วพริบตา


124

“สารเลวนั้น!”


 


ชายผู้ที่มีผมแซมสีขาวชุดเทากลายเป็นโกรธ ควันที่คล้ายกับเมฆหมอกแยกออกจากกัน จากนั้นเขาก็ปล่อยพลังฉีออกมาจากมือทั้งซ้ายและขวา


 


วูสส!


 


เมื่อตอนที่ควันหายไปทั้งหมด เงาของหลี่ฟู่เฉินก็ไม่ปรากฏให้เห็นอีกแล้ว


 


“สารเลวน้อย รอจนกว่าข้าจะจับเจ้าได้ ข้าจะให้เจ้าเข้าใจว่าความทรมานที่แท้จริงคืออะไร” ร่างของชายผมแซมขาววูบหายไป และถอยกลับเข้าไปในป่า


 


นอกเหนือจากป่า มันก็ไม่มีที่ใดอื่นให้หลบซ่อนเร้นตัวแล้ว ซึ่งเป็นเหตุผลที่ชายผู้มีผมแซมขาวถึงสันนิษฐานว่าหลี่ฟูเฉินกลับเข้าป่าไป


 


หลังจากนั้นไม่นาน…


 


ร่างสองร่างที่ทับซ้อนกันก็ถูกผลักออกไป ขณะที่หลี่ฟู่เฉินยืนขึ้นมา


 


“ช่างเป็นเด็กที่ฉลาด”


 


บนท้องฟ้า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นอยู่ในสายตาของชิ่วฮัว


 


ถึงแม้เขาจะหลอกตาด้วยวิธีเช่นนี้ แต่ถ้าเขาไม่ได้มองจากด้านบนและได้เห็นมุมมองโดยรวมเช่นนี้ เขาก็อาจเป็นเหมือนชายผมแซมขาวผู้นั้น ผู้ซึ่งคิดว่าหลี่ฟู่เฉินเข้าไปในป่า


 


อย่างไม่รีรอ หลี่ฟู่เฉินขี่ม้าเลือดสัตว์ปีศาจระดับ 2 แล้วหนีออกจากที่แห่งนี้


 


‘หากข้าไม่ได้มีความสามารถปกปิดสภาวะพลังฉี มันคงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสลัดหลุดนักสู้ขอบเขตปฐพีออกไป’ หลี่ฟู่เฉินคิดกับตัวเองขณะที่อยู่บนหลังม้า


 


หลี่ฟู่เฉินยังไม่ได้สัมผัสความแข็งแกร่งที่แท้จริงของนักสู้ขอบเขตปฐพี


 


แต่มันก็เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่ต้องกาสัมผัสกับมันเช่นกัน.


 


ถึงแม้ว่าเหลาเทียนจุนจะปล่อยพลังฉีออกมาได้ แต่ก็ปล่อยออกมาได้ขอบเขตปฐพีระดับหนึ่งเท่านั้น แต่ในเรื่องการตอบสนอง หรือความหนานแน่ของพลังฉี เขายังคงอยู่ห่างไกลจากขอบเขตปฐพีที่แท้จริงมากนัก


 


หากต้องเผชิญหน้ากับนักสู้ขอบเขตปฐพี มันเป็นที่แน่นอนแล้วว่าหลี่ฟู่เฉินจะต้องตายไปเก้าครั้งจากสิบครั้ง ถ้าได้เผชิญหน้าโดยตรง


 


***


 


ม้าเลือดปีศาจระดับ 2 วิ่งด้วยความเร็วสูงสุด ขณะมันหายไปในเส้นทางข้างหน้า


 


วืส!


 


มีร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากป่า เป็นชายผมแซมขาวชุดคลุมเทา


 


เขากวาดสายตา และตระหนักได้ว่ามีม้าเลือดปีศาจหายไปตัวนึง


 


“บ้าเอ้ย!”


 


ชายผมแซมขาวจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเขาถูกหลอก


 


ในขณะที่เขาเตรียมไล่ตามหลี่ฟูเฉินต่อ ทันใดนั้นเองเขาก็หยุดเดิน ร่างกายเริ่มมีเหงื่อออกมาอย่างมากมาย


 


กลางอากาศ ร่างที่โออ้าเริ่มลงมา


 


“อาวุโสชิ่ว…” ชายผมแซมขาวดูเหมือนจะหวาดกลัว


 


“ใครให้เจ้าฆ่าศิษย์นิกายชั้นใน?” อาวุโสชิ่วปลดปล่องสภาวะพลังฉีเพื่อหยุดชายผมแซมขาว ซึ่งนี้ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เขาไม่สามารถเคลื่อนที่ได้


 


ชายผมแซมขาวแก้ต่าง “อาวุโสชิ่ว โปรดอย่ากล่าวหาข้าอย่างผิดๆ ข้าเพียงต้องการจับตัวเขา ไม่ใช่ฆ่าเขา”


 


“เป็นเช่นนั้น? งั้นเจ้าก็ได้ยอมรับมันแล้ว”


 


แรงกดดันจากสภาวะพลังฉีทวีความรุนแรงขึ้น มันราวกับภูเขาทั้งลูกถูกกดลงชายผมแซมขาวชุดคลุมเทา


 


ชายผมแซมขาวเข้าใจได้ในทันทีว่าอาวุโสชิ่วกำลังฆ่าเขา เขาเปลี่ยนน้ำเสียงของตัวเองทันที “ชิ่วฮัว จะดีกว่าถ้าเจ้าปล่อยข้าไป หากไม่ทำเช่นนั้น ตระกูลเหลาของข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่…”


 


ปิส!


 


ก่อนที่เขาจะได้กล่าวจนจบประโยค ชายผมแซมขาวก็หยุดลง มันเป็นเพราะเขาได้กลายเป็นกองโคลนเปื้อนเลือดไปแล้ว


 


นักสู้ขอบเขตสวรรค์เหนือกว่าอย่างแท้จริง เพียงแค่สภาวะพลังฉีจากนักสู้ขอบเขตสวรรค์เพียงอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะจัดการนักสู้ขอบเขตปฐพีลง แต่อย่างไรก็ตามทั้งนี้ทั้งนั้นมันเป็นเพราะความมุ่งมั่นของชายผมแซมขาวนั้นอ่อนแอ่เกินไป


 


เมื่อจิตวิญญาณของใครคนนึงพังทลายลง ร่างกายก็จะกลายเป็นอ่อนแอ


 


“เจ้าจงฝึกฝนให้หนักขึ้น ข้าหวังว่าสักวันเจ้าจะสามารถควบคุมโชคชะตาของเจ้าเองได้อย่างแท้จริง” มองไปยังทิศทางที่หลี่ฟู่เฉินจากไป ชิ่วฮัวพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าและหายไป


 


***


 


หลายวันถัดไป หลี่ฟู่เฉินไม่กล้านิ่งนอนใจและเหน็บระเบิดพิษสีขาวสองลูกไว้อยู่ข้างตัวเสมอ


 


มันเป็นเพียงหลังจากวันที่สาม ที่หลี่ฟู่เฉินได้ลดทอนความระมัดระวังของเขาลง


 


หากศัตรูของเขาไม่ได้ไล่ล่าเขาจนกระทั่งตอนนี้ ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้ที่ศัตรูจะปรากฏตัวในภายหลัง


 


นิกายคังหลุนตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือจากแคว้นคังหลุน และต่อจากนั้นก็เมืองหลินช๋าง ระยะทางระหว่างสถานที่ทั้งสองนี้ไม่ไกลเท่าที่หลี่ฟู่เฉินจินตนาการเอาไว้ ภายในเวลาครึ่งเดือน หลี่ฟู่เฉินก็มาถึงเมืองหลินช๋าง


 


เมืองหลินช๋างเป็นเมืองเล็กๆ ที่มีประชากรน้อยกว่า 200,000 คน


 


มันมีการผสมผสานกันระหว่างนักสู้ที่มาจากแคว้นคังหลุนกับแคว้นเทียนช๋า


 


เจ้าเมือง ซี่ปิง เป็นถึงนักสู้ขอบเขตปฐพีระดับที่เก้า และแข็งแกร่งกว่าเหล่าขุนนางในเมืองใหญ่ส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามเวลาที่นั่งในตำแหน่งนี้มันเต็มไปด้วยความกลัวและความกังวลใจ เขากลัวว่าสักวันหนึ่ง ผู้เชี่ยวชาญแท้จริงที่มาจากนิกายคังหลุนจะมารบกวนการดำรงอยู่ของเขา


 


เขาไม่สามารถถูกรบกวนใจเพียงเพราะเรื่องที่พี่น้องหวังขโมยพระพุทธรูปหยกได้ เขาจึงออกคำร้องขอภารกิจไปที่นิกายคังหลุน และอนุญาตให้คนอื่นจัดการแทนเขา


 


***


 


ตระกูลเจิ้งเป็นตระกูลเล็กๆ แม้กระทั่งนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาก็เป็นเพียงนักสู้ขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่เก้า


 


เป็นวันนี้เอง ที่หลี่ฟู่เฉินมาถึงตระกูลเจิ้ง


 


ผู้นำตระกูลเจิ้งออกมาเพื่อตอนรับหลี่ฟู่เฉินเป็นการส่วนตัว


 


สัมผัสได้ว่าหลี่ฟู่เฉินเป็นเพียงนักสู้ขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่หก ใบหน้าของเขาจึงไม่สามารถเป็นอย่างไรได้ ได้แต่ดูไม่มีความสุข


 


นักสู้ขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่หกจะสามารถบรรลุผลเป้าหมายได้อย่างไร? เขาคิดว่านิกายคังหลุนจะส่งอัจฉริยะที่อยู่ในระดับที่เก้าของขอบเขตต้นกำเนิดมา


 


“ศิษย์ชั้นในนิกายคังหลุน หลี่ฟูเฉินทักทายผู้นำตระกูลเจิ้ง” หลี่ฟู่เฉินป้องกำปั้น


 


“วีรบุรุษหนุ่มหลี่ สุภาพเกินไปแล้ว” แม้ว่าเขาจะไม่มีความสุข แต่ผู้นำตระกูลเจิ้งก็ไม่กล้าเพิกเฉยต่อหลี่ฟูเฉินและเชิญเขาเข้าตระกูล


 


ในห้องโถงตระกูลเจิ้ง ผู้อาวุโสของตระกูลเจิ้งทั้งหมดอยู่รอบๆ


 


“ทำไมเขาถึงอยู่ขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่หก?”


 


“เป็นไปได้ไหมที่เราจะให้รางวัลน้อยเกินไป ศิษย์ชั้นในเก่งๆ ไม่เต็มใจที่จะทำภารกิจนี้หรือไม่?”


 


ผู้อาวุโสเจิ้งสทนากันอย่างดุเดือด


 


ภารกิจนี้ไม่ได้ริเริ่มโดยเจ้าเมือง แต่กลับกันมันถูกจ้างวานโดยตระกูลเจิ้ง รางวัล 30,000 เหรียญทองเป็นรางวัลและมันไม่ได้เป็นเงินก้อนเล็กๆ สำหรับตระกูลเจิ้ง


 


รายได้ต่อปีทั้งหมดของตระกูลเจิ้งมันเป็นเพียงไม่กี่หมื่นเหรียญทอง


 


ล้างคอของตนเอง ผู้นำตระกูลเจิ้งถามหลี่ฟู่เฉิน “วีรบุรุษหนุ่มหลี่ ภารกิจนี้ไม่ง่ายดายนัก เจ้าอยู่ที่นี่คนเดียวหรือ?”


 


โดยธรรมชาติแล้วหลี่ฟู่เฉินย่อมเข้าใจว่าผู้นำตระกูลเจิ้งคิดอะไรอยู่ เขาตอบ “ผู้นำตระกูลเจิ้ง มันมีเพียงแค่ข้า”


 


ผู้นำตระกูลเจิ้งถอนหายใจและกล่าว “หากเป็นเช่นนั้น ข้าจะมอบหมายให้เจ้าและคนบ้างส่วนไปนำพระพุทธรูปยกกลับมา”


 


ไม่ว่าหลี่ฟู่เฉินจะเก่งซักเพียงใด อย่างมากสุดเขาคงจัดการพี่น้องหวังได้แค่หนึ่งคนเท่านั้น อีกสองคนยังคงมีอิสระที่จะโจมตีใดๆ


 


หลี่ฟู่เฉินส่ายหัว “ข้าจะทำมันแค่คนเดียว”


 


“วีรบุรุษหนุ่มหลี่ พี่น้องหวังอยู่ขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่เก้า ฝึกฝนเทคนิคพลังฉีสีเหลืองขั้นสูงสุด เทคนิคพลังฉีโลหิต ฉันเกรงว่าท่านจะไม่สามารถจัดการได้ด้วยตัวเอง” อาวุโสตระกูลเจิ้งคนนึงยืนขึ้น


 


หลี่ฟู่เฉินหัวเราะเบาๆ “ในหมู่พวกท่านทุกคน ใครยอดเยี่ยมที่สุด?”


 


“เป็นชายชราไร้ฝีมือผู้นี้เอง” มันเป็นคนที่กล่าวออกมาก่อนหน้านี้


 


“หากท่านสามารถรับการโจมตีจากหนึ่งฝ่ามือข้าได้ ข้าจะไม่กล่าวอะไรและจากไปทันที แต่หากท่านไม่สามารถรับฝ่ามือของข้าได้ ทุกอย่างต้องยกให้ข้าตัดสินใจ” หลี่ฟูเฉินเสนอ


 


ผู้อาวุโสดูโกธรเล็กน้อยจากคำพูดเหล่านั้น เขาก้าวเข้าสู้ขอบเขตต้นกำเนิดได้ตั้งแต่หลายปีที่แล้ว พลังฉีหนาแน่น หากไม่ใช่เพราะว่าเทคนิคพลังฉีของเขานั้นเป็นระดับต่ำ เขาอาจจะผ่านเข้าไปสู้ขอบเขตปฐพีแล้ว ครั้งสุดท้ายตั้งแต่เมื่อใดกันที่เขาถูกดูแคลน


 


“ตั้งแต่ที่วีรบุรุษหนุ่มหลี่มั่นใจมาก เป็นเช่นนั้นอย่ากล่าวโทษชายชราผู้นี้”


 


อาวุโสตระกูลเจิ้งยืนอยู่ต่อหน้าหลี่ฟู่เฉินและเริ่มโคจรเทคนิคบ่มเพาะของเขา พลังฉีที่หนาแน่เริ่มกระจายตัวอออกมา


 


ย๊ะ!


 


ตะโกนเสียงต่ำ อาวุโสตระกูลเจิ้งส่งผ่ามือไปที่หลี่ฟู่เฉิน กลางฝ่ามือมีลูกบอลแสงซึ่งเต็มไปด้วยพลังงานซึ่งดูแล้วช่างน่าประหลาดใจ


 


“ไป”


 


หลี่ฟู่เฉินกล่าวเบาๆ ขณะที่เขาเองก็ส่งฝ่ามือไปที่อาวุโสตระกูลเจิ้งเช่นกัน


 


เจตจำนงเปลวเพลิงลุกโชดช่วงออกมาจากร่างกายของหลี่ฟู่เฉิน ขณะที่มันทำให้อากาศในห้องโถงตระกูลเจิ้งดูบิดเบี้ยวไปภายในบัดดล


 


อาวุโสเจิ้งบินออกไปข้างหลังและนั่งลงที่เก้าอี้ด้วยสีหน้าตกใจ


 


แข็งแกร่งเกินไป แข็งแกร่งอย่างไร้เหตุผล!


 


ดังนั้นนี่คือความสามารถของศิษย์ชั้นในนิกายคังหลุน?


 


ไม่… ค่าเฉลี่ยของศิษย์ชั้นในนิกายคังหลุนไม่ได้โดดเด่นนัก เด็กหนุ่มคนนี้ต้องเป็นหนึ่งในอัจฉริยะของนิกายคังหลุน


 


“วีรบุรุษหนุ่มหลี่ทักษะของท่านนั้นช่างน่างทึ่ง ชายชราผู้นี้ประทับใจยิ่ง”


 


ผู้อาวุโสเจิ้งมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยบนใบหน้าของเขา ก่อนที่เขาจะยิ้มออกมาในที่สุด


 


มองไปยังใบหน้าที่ดูนับถือของทุกคน หลี่ฟู่เฉินหัวเราะเบาๆ “หยุดการกล่าวที่ไม่สำคัญทั้งหมดเถิด บอกข้าเกี่ยวกับเรื่องพี่น้องหวังเพิ่มเติม!”



ตอนที่ 125

หลังจากได้รับข้อมูลจากผู้นำตระกูลเจิ้ง หลี่ฟู่เฉินก็ได้รู้ว่าพี่น้องหวังทั้งสามซ่อนตัวอยู่ในภูเขาเฟ่ยเซี่ย หลังจากที่ขโมยพระพุทธรูปหยกไปได้


 


บนภูเขาเฟ่ยเซี่ยหิมะจะตกโปรยปรายลงมาทุกวัน ผู้คนไม่ค่อยไปที่นั่น เพราะมันตั้งอยู่ก่ำกึ่งระหว่างชายแดนของแคว้นคงหลุนและเทียนช๋า


 


นอกจากนี้ก็เป็นเพราะหิมะตกอยู่ตลอดทุกวันเช่นกัน อย่าได้พูดถึงเกี่ยวกับการค้นหาบุคคลสามคน แม้ว่ากองทัพเข้าไปด้วยตัวพวกเขาเอง พวกเขาก็จะหายไป


 


“ผู้นำตระกูลเจิ้ง ข้าขอทราบว่าได้หรือไม่ ว่าพระพุทธรูปหยกนี้พิเศษอย่างไร?”


 


สัญชาตญาณของเขารู้สึกได้ว่าพระพุทธรูปหยกของตระกูลเจิ้งนี้ไม่ได้ง่ายดายนัก


 


ผู้นำตระกูลเจิ้งลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าควรบอกหลี่ฟู่เฉินหรือไม่


 


ผู้อาวุโอขัดจังหวะ “ไม่เป็นอันตรายใดๆ ที่จะบอกวีรบุรุษหนุ่มหลี่ ก็ในเมื่อเราไม่รู้ว่าพระพุทธรูปหยกจะได้กลับมาหรือไม่”


 


ล้างคอของเขา อาวุโสกล่าว “พระพุทธหยกนี้เป็นมรดกสืบทอดของตระกูลเจิ้งเรา ภายในนั้นมีวิชาลับที่เรียกว่า เทคนิคลับมังกรเร้นลับ เทคนิคลับนี้อ้างอิงว่าต้องใช้พระพุทธรูปหยกเพื่อให้การฝึกฝนของเทคนิคสมบูรณ์ พี่น้องหวังต้องได้ยินความลับนี้จากที่ไหนสักแห่ง และมาขโมยพระพุทธรูปหยกไป”


 


“เทคนิคลับมังกรเร้นลับ?” หลี่ฟู่เฉินขมวดคิ้ว


 


เทคนิคลับเป็นทักษะต่อสู้ชนิดพิเศษและหายากมาก


 


นิกายคังหลุนมีทักษะต่อสู้อยู่มากมายนับไม่ถ้วน แต่เทคนิคลับเพียงไม่อยู่ไม่กี่สิบอันเท่านั้น เฉพาะผู้ที่เป็นศิษย์หลักเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติในการแลกเปลี่ยนพวกมัน แต่ดูเหมือนว่าหยูเหวินเทียนจะฝึกเทคนิคลับ และมีคนกล่าวว่าพวกเขาได้เห็นเขาใช้มัน


 


เทคนิคลับที่แข็งแกร่งที่สุดของนิกายคังหลุนเรียกว่าดาบกำเนิดนิกาย เมื่อใช้มันออกไป ดาบพลังฉีจะปรากฏขึ้นมาจากสวรรค์และโลก มันไม่อนุญาตให้ศัตรูหลบหนีจากมัน


 


แม้แต่กระทั่งเขาเองก็จะไม่แน่ใจว่าเทคนิคลับมังกรเร้นลับอยู่ระดับใด


 


เทคนิคลับการจัดอันดับเองก็จะแตกต่างจากทักษะต่อสู้ทั่วไป เทคนิคลับมีทั้งหมด 9 ดาว 1 ดาวต่ำที่สุดและ 9 ดาวสูงที่สุด แม้แต่กระทั้งดาบกำเนิดนิกายก็มีแค่ 5 ดาวเท่านั้น เทคนิคลับที่อยู่เหนือระดับ 5 ดาวเหล่านั้นมักถูกกล่าวถึงในเพียงแค่ตำนาน


 


หลี่ฟู่เฉินประเมินว่าเทคนิคลับมังกรเร้นลับนี้มากสุดก็แค่ระดับ 1 หรือ 2 ดาว


 


ผู้อาวุโสยังกล่าวต่อไป “ตราบใดที่วีรบุรุษหนุ่มหลี่สามารถนำพระพุทธรูปหยกตระกูลเจิ้งของเรากลับมาได้ เทคนิคลับมังกรเร้นลับบนพระพุทธรูปหยกก็สามารถให้วีรบุรุษหนุ่มหลี่ฝึกฝนได้เช่นกัน ชายชราคนนี้ลืมกล่าวไป เทคนิคลับมังกรเร้นลับนี้ไม่ใช่เทคนิคลับระดับ 1 ดาวหรือ 2 ดาว แต่เป็นเทคนิคลับระดับ 3 ดาว”


 


“อะไรนะ? เทคนิคลับ 3 ดาว!” หลี่ฟู่เฉินตกใจมาก


 


เทคนิคลับระดับ 3 ดาวมีค่ามาก หากวัดจากดาบกำเนิดนิกายที่นิกายคังหลุนเป็นผู้จัดเก็บ เทคนิคลับระดับ 4 ดาวแน่นอนว่าเป็นเทคนิคที่ดูไร้ขอบเขต และเทคนิคลับระดับ 3 ดาวก็จะได้รับการพิจารณาว่าเป็นเทคนิคชั้นยอด


 


“ถูกแล้ว เทคนิคลับระดับ 3 ดาวของจริง”


 


สิ่งที่ผู้อาวุโสตระกูลเจิ้งต้องการในขณะนี้คือการนำพระพุทธรูปหยกกลับคืนมา เพื่อที่จะให้หลี่ฟู่เฉินได้ใช้กำลังออกอย่างเต็มที่ได้ เขาจึงไม่คิดที่จะปกปิดระดับของเทคนิคลับมังกรเร้นลับ


 


หลี่ฟู่เฉินพยักหน้า ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงบางสิ่ง “ข้าไม่แน่ใจว่าทุกคนที่นี่ก็ฝึกฝนเทคนิคลับเช่นกัน?”


 


พลังของเทคนิคลับระดับ 3 ดาวนั้นต้องน่าหวั่นเกรงอย่างไม่ต้องสงสัย แม้จะรับรู้จากมันได้น้อยมาก แต่มันก็คงจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับนักสู้ขอบเขตต้นกำเนิดได้มากทีเดียว และเมื่อเป็นเช่นนั้น นักสู้ขอบเขตต้นกำเนิดระดับสูงของตระกูลเจิ้งก็คงไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวพี่น้องหวังอีกต่อไป และสามารถนำพระพุทธรูปหยกกลับมาได้ด้วยตนเองอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด


 


ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลเจิ้งเองก็มีนักสู้ขอบเขตต้นกำเนิดระดับสูงอยู่หลายคน


 


อาวุโสตระกูลเจิ้งกล่าวอย่างเชื่องช้า “เทคนิคลับมังกรเร้นลับมีทั้งหมดสามระดับ มีเพียงชายชราคนนี้ที่เข้าถึงระดับแรกได้ ไม่มีใครสามารถฝึกฝนมันได้เลย”


 


“ข้าเข้าใจแล้ว…”


 


หลี่ฟูเฉินไตร่ตรองและคิดว่าวนไปมา ‘หากเทคนิคลับระดับ 3 ดาวนั้นง่ายต่อการฝึกฝน เช่นนั้นมันก็คงจะเป็นเทคนิคลับระดับ 3 ดาวไม่ได้อีกต่อไป’


 


นอกจากนั้น เทคนิคลับมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับโครงกระดูกของบุคคลๆ นึง


 


เทคนิคลับระดับ 3 ดาวเหมาะสำหรับโครงกระดูกระดับ 3 ดาว ซึ่งหมายความว่า นักสู้โครงกระดูกระดับ 3 3 ดาวน่าจะฝึกฝนเทคนิคลับระดับ 3 ดาวได้ง่ายกว่าโครงกระดูกระดับ 2 หรือ 1 ดาว


 


สำหรับเทคนิคลับของนิกายคังหลุน ดาบกำเนิดนิกาย มีเพียงโครงกระดูกระดับ 5 ดาวเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงขั้นสมบูรณ์ได้ ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าโครงกระดูกระดับ 5 ดาวสามารถบรรลุขั้นสมบรูณ์ย่อยก็นับว่าประสบความสำเร็จแล้ว


 


“ทุกคนอย่าได้กังวล ตั้งแต่ที่ข้าได้รับภารกิจนี้มาแล้ว ฉันจะทำให้ดีที่สุดเพื่อให้มันสำเร็จ” หลี่ฟู่เฉินประกาศกร้าว


 


“เช่นนั้นก็โปรดรับคำขอบคุณจากเรา” ผู้อาวุโสตระกูลเจิ้งและผู้นำตระกูลเจิ้งแสดงความขอบคุณและโค้งคำนับพร้อมกับผู้อาวุโสที่เหลือ


 


แม้ว่าเทคนิคลับมังกรเร้นลับบนพระพุทธรูปหยกนั้นยากต่อการฝึกฝนเพราะมันเป็นเทคนิคลับระดับ 3 ดาว แต่หากวันนึงในอนาคต ตระกูลเจิ้งมีคนที่มีโครงกระดูกระดับ 3 ดาวโผล่ออกมา มันจะช่วยให้สถานะของตระกูลของพวกเขาดีขึ้น และจะทำให้พวกเขาหลุดพ้นจากการเป็นตระกูลเล็กๆ


 


“ไม่จำเป็นต้องนำข้าไป”


 


ก้าวออกจากบ้านของตระกูลเจิ้ง หลี่ฟู่เฉินไม่ได้ขี่ม้าเลือดปีศาจ ร่างกายของเขากระพริบคล้ายเงาจางๆ เขาหายไปสถานที่นี้ทันที


 


“เทคนิคตัวเบาอันน่าทึ่ง หากตระกูลเจิ้งของเรามีความสามารถเช่นวีรบุรุษหนุ่มหลี่ ตระกูลของเราคงจะไม่ได้อยู่ในสถานะเชกเช่นทุกวันนี้” ผู้นำตระกูลเจิ้งถูกทับถมไปด้วยอารมณ์


 


***


 


ภูเขาเฟ่ยเซี่ยตั้งห่างอยู่สองถึงสามร้อยไมล์จากเมืองหลินช๋าง ก่อนที่จะถึงภูเขาเฟ่ยเซี่ย หลี่ฟู่เฉินรู้สึกถึงบรรยากาศที่หนาวเหน็บของภูเขา


 


“ภูเขาเฟ่ยเซี่ยไม่นับว่าใหญ่โต แต่มันก็ไม่เล็กเหมือนกัน การตามหาพี่น้องหวังนั้นไม่ต่างไปจากการค้นหาเข็มในกองหญ้า ข้าทำได้เพียงแต่พึ่งโชคแต่เพียงเท่านั้น”


 


เมื่อมาถึงที่เชิงเขาเฟ่ยเซี่ย หลี่ฟู่เฉินปล่อยลมหายใจอุ่นๆ และกระโดดขึ้นไปบนเขา


 


ด้านในภูเขา มีพายุหิมะปกคลุมท้องฟ้าและโลกแต่งแต้มไปด้วยแผ่นหิมะสีขาว


 


หากมีนักสู้ระดับสามัญเข้ามาที่นี้ พวกเขาจะแข็งตายแน่นอน หลังจากผ่านไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง


 


หลี่ฟู่เฉินตระหนักได้ว่าสภาพอากาศที่หนาวเย็นเช่นนี้แท้จริงแล้วส่งเสริมพลังฉีมหาศาล แม้ว่าเขาจะไม่ได้ฝึกฝน พลังฉีของเขาเติบโตขึ้นอย่างแข็งขัน


 


ขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของภูเขาหิมะ หลี่ฟู่เฉินเหลือบดูรอบๆ ตัวเขา


 


หลี่ฟูเฉินมีสายตาที่ดี หากมันไม่ใช่ว่าสภาพอากาศเต็มไปด้วยหิมะ เขาคงจะมองทอดออกไปไกลได้เป็นสิบๆ ไมล์ เครื่องรางทองคำเปลี่ยนจิตวิญญาณของเขาและจิตวิญญาณเปลี่ยนทักษะการสังเกตของเขา


 


หลายวันต่อมา หลี่ฟูเฉินมักจะปีนขึ้นยอดเขาหิมะและมองไปรอบๆ เมื่อเขากระหายน้ำ เขาจะละลายหิมะเพื่อดื่ม ถ้าเขาหิว เขาจะล่าสัตว์ปีศาจบางตัวเพื่อนำมาเป็นอาหาร วันเหล่านี้ไม่ได้ยุ่งยากลำบากสำหรับเขา


 


***


 


ภูเขาเฟ่ยเซี่ยเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นเทียนช๋า


 


ในวันนี้ บุปผางามที่สวมชุดคลุมดำมาที่ภูเขา


 


หญิงสาวสวมผ้าคลุมดำดูเหมือนจะคุ้นเคยกับภูเขาเฟ่ยเซี่ย เธอใช้เทคนิคตัวเบาของเธอและไม่ทิ้งรอยเท้าไว้ข้างหลังแม้แต่น้อย ภายในครึ่งวัน เธอก็มาถึงจุดที่จุดสูงสุดที่แทงขึ้นสู่ท้องฟ้า


 


ลอกหิมะที่สะสมอยู่ทางเข้าออก ถ้ำขนาดทางเข้าของมนุษย์ก็ปรากฏ


 


หญิงสาวที่สวมคลุมดำก็เข้าไปอย่างรวดเร็ว


 


อุโมงค์ในถ้ำนั้นเหยียดลึกและเอียงลงสู่ใต้ดิน หญิงสาวไม่ได้ออกนอกทางใดๆ และหลังจากนั้นไม่นาน เธอก็มาถึงถ้ำหินปูนขนาดใหญ่


 


ถ้ำใต้ดินนี้มีความสูงอย่างน้อยสิบฟุต ด้านบนของถ้ำมีหินงอกหินย้อยขนาดมหึมาซึ่งทำให้ทุกคนที่ยืนอยู่ข้างๆ มันดูคล้ายกับมด


 


ใต้หินย้อยเป็นสระเล็กๆ รัศมีไม่กี่เมตร


 


ติ๋ง! ติ๋ง!


 


หยดของเหลวสีขาวหยดลงจากหินย้อยและลงสู่สระน้ำ


 


หญิงสาวชุดคลุมดำถอดเสื้อผ้าของเธอออก เผยให้เห็นผิวที่ขาวราวกับหิมะและขาเรียวยาว เธอมีทรวดทรงและก้นที่ดูลามก มันมาพร้อมๆ กับเอวคอดที่ดูน่าพึ่งพอใจ


 


เธอเก็บเสื้อผ้าและรองเท้าของเธอไว้ในกระเป๋ากันน้ำและมัดมันไว้ที่แขน


 


ซุ๊ด!


 


หญิงสาวเป็นเหมือนนางเงือก ดำน้ำในสระราวกับว่าตัวเธอเองไม่ได้ดำมันอยู่ ไม่นานก็ผ่านไปเกือบครึ่งวัน


 


อุโมงค์ถ้ำเหล่านี้ทอดยาวไปไกล แต่หญิงสาวไม่ทราบว่าอุโมงค์แห่งนี้เชื่อมโยงกับถ้ำภายในยอดเขาอีกแห่งหนึ่ง


 


มีถ้ำใต้ดินอีกแห่งหนึ่งที่นี่ แต่ไม่มีหินย้อยขนาดใหญ่อยู่ ชายวัยกลางคนสามคนนั่งไขว่ห้าง พระพุทธรูปหยกขนาดเท่าฝ่ามือถูกวางไว้อยู่ด้านหน้า


 


“น้องสาม มันถึงคราวที่เจ้าต้องไปล่าแล้ว”


 


คนโตสุดในหมู่พวกเขากล่าวอย่างไม่ใส่ใจ


 


“จะเป็นข้าไปได้อย่างไร? นี่ไม่ใช่คราวของพี่สองหรือ?”


 


“ไร้สาระ! เมื่อวานข้าไปล่ามาแล้ว!”


 


พี่สองกลายเป็นโกรธ


 


“ดี ดี ข้าจะไป พวกเจ้ารอไปก่อน”


 


น้องคนสุดท้องยืนขึ้นและออกจากถ้ำใต้ดิน



บทที่ 126

นมศิลาอายุหนึ่งพันปี


 


 


บนภูเขาที่หิมะตกพอกพูน หลี่ฟูเฉินนั่งไขว่ห้าง ขณะที่ย่างเนื้อสัตว์ปีศาจด้วยมือขวา


 


เมื่อเนื้อสัตว์ปีศาจเริ่มที่จะสุก กลิ่นหอมถูกปล่อยออกมา


 


หลี่ฟู่เฉินเริ่มกินเนื้อเป็นอาหารมื้อใหญ่


 


“หืมม?”


 


มองไปตามทาง หลี่ฟู่เฉินเห็นร่างสีดำอยู่ห่างออกไปหลายไมล์


 


ผลักสายตาของเขาไปสู่ขีดจำกัด หลี่ฟู่เฉินมองเห็นใบหน้าของร่างดำ


 


“มันเป็นน้องคนสุดท้องของพี่น้องหวัง” สายตาของหลี่ฟู่เฉินเปล่งประกายด้วยความยินดี


 


มีคำกล่าวไว้ว่า “เมื่อท่านต้องการค้นหาบางสิ่ง ท่านจะไม่พบมันไม่ว่าท่านจะพยายามมากแค่ไหน แต่มันจะปรากฏเฉพาะที่ท่านคาดหวังเกี่ยวกับมันน้อยที่สุด”


 


กลืนส่วนที่เหลือของเนื้อสัตว์ไปสามอึก หลี่ฟู่เฉินใช้ออกเทคนิคเคลื่อนไหวและลงจากยอดเขา


 


พี่น้องหวังมีชื่อที่ถูกเรียก หวังต๋า หวังเอ้อ และหวังซาน

(หวังต๋าพี่ใหญ่ หวังเอ้อคนสอง หวังซานคนสาม)


 


หวังซานตระเวนไปอยู่สักพักและเจอเข้ากับหมูหิมะ


 


หมูหิมะเป็นสัตว์ปีศาจระดับ 1 ชั้นกลางที่มีเนื้อแน่นและรสชาติอร่อย


 


ไม่ได้ใช้กำลังออกอย่างเต็มที่ หวังซานใช้ฝ่ามือเดี่ยวสังหารหมูหิมะ จากนั้นเขาก็หยิบซากขึ้นมาแล้วรีบกลับ

หลี่ฟู่เฉินติดตามไปอย่างเงียบๆ โดยที่ไม่เผยตัวตน


 


ที่ด้านหลังของภูเขา พายุหิมะไม่สามารถไปถึงหน้าผาที่ดูแปลกๆ ได้


 


หวังซานคุ้นเคยกับเส้นทางและเข้าไปในถ้ำที่ราบเรียบ


 


“พี่ใหญ่ พี่สอง ข้ากลับมาแล้ว!”


 


หวังซานโดยธรรมชาติแล้วเขาเป็นคนที่มีเสียงดัง เขาตะโกนออกไป


 


“ตะโกนอยู่ได้ทุกวันทุกคืน เจ้านี้น่ารำคาญเสียจริง” หวังเอ้อกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่มีความสุข


 


หวังซานตะโกนว่า “ถ้าเจ้าแน่จริงก็อย่ากินมัน”


 


“แล้วจะแบ่งปันส่วนกับข้าอย่างไร” เสียงกระจ่างใสดังขึ้น


 


“ใคร?!”


 


ทั้งสามคนหันหัวไปในทิศทางที่เกิดเสียงทันที


 


หลี่ฟู่เฉินสวมเสื้อผ้าสีขาวเดินออกมาอย่างไม่สนใจใดๆ


 


“เจ้าเป็นใคร? เจ้าพบที่นี้ได้อย่างไร?” หวังเอ้อถามด้วยน้ำเสียงดุดัน


 


หลี่ฟูเฉินมองไปที่หวังซาน “ผลงานเขาเลย”


 


หวังซานดูโกรธเกรี้ยว “เจ้ากล้าแอบตามข้ามา?”


 


ขณะนี้เอง หวังต๋าที่เงียบอยู่ก็กล่าวขึ้น “ตั้งแต่ที่เจ้ามาที่นี่แล้ว เช่นนั้นก็อย่าได้หวังที่จะกลับไป พวกเราสามหวังได้ฆ่านักสู้ขอบเขตต้นกำเนิดมามากมาย แต่ถึงเป็นเช่นนั้นก็ยังไม่เคยฆ่าศิษย์ชั้นในของนิกายคังหลุนมาก่อน”


 


อยู่ในระดับที่หกของขอบเขตต้นกำเนิดตั้งแต่ยังหนุ่ม แม้แต่คนปัญญาอ่อนก็สามารถเข้าใจได้ว่าหลี่ฟู่เฉินเป็นศิษย์ชั้นในของนิกายคังหลุน


 


“ฮี่ ฮี่ ข้าสงสัยว่าศิษย์ชั้นในของนิกายคังหลุนจะกลายเป็นอย่างไรหลังจากถูกโจมตีด้วยเทคนิคโลหิตเร้นลับของข้า” หวังเอ้อเลียริมฝีปากของตัวเอง


 


เทคนิคลับรูปแบบโลหิต จะทำให้เหยือกลายเป็นกองเลือด มันโหดเหี้ยมและเหมาะสมกับบุคลิกของหวังเอ้อ


 


“จริงๆ แล้วข้าแค่จะทำให้พวกเจ้าสามคนพิการ แต่เมื่อพวกเจ้าไม่รู้ว่าอะไรดีที่สุดสำหรับพวกเจ้าเอง เช่นนั้นอย่าได้โทษดาบของข้า เพราะมันไม่มีความเมตตาใดๆ” หลี่ฟู่เฉินชักดาบเหล็กสีดำของเขาและเดินไปหาพี่น้องสามหวัง


 


“มาหาความตาย!”


 


มือของหวังซานเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือด ราวกับมันถูกย้อมสีเลือดใส่


 


ทักษะฝ่ามือลึกลับขั้นต่ำ วิชาฝ่ามือประทับโลหิต!


 


แต่แน่นอน หวังซานสามารถปลูกฝึกฝนวิชาฝ่ามือประทับโลหิตได้ถึงขั้นสมบรูณ์ย่อยแต่เพียงเท่านั้น


 


“เทคนิคลับรูปแบบโลหิต!”


 


ร่างกายของหวังเอ้อมีพลังฉีสีแดงคล้ายเลือดปรากฏ พลังฉีของเขาเดือดราวกับน้ำทะเลที่ระเหยกลายเป็นไอ


 


เทคนิคลับรูปแบบโลหิตเป็นเทคนิคลับระดับ 2 ดาวและสามารถอนุญาตให้ผู้ฝึกฝนทำให้พลังฉีเดือดได้ และหากโดนโจมตี แม้แต่กระทั้งนักสู้ขอบเขตต้นกำเนิดระดับเก้าตามค่าเฉลี่ย พลังฉีของพวกเขาก็จะระเหยไปในทันที และจะถูกกัดกร่อนโดยเทคนิคลับรูปแบบโลหิต จากนั้นไม่นานก็จะกลายเป็นกองเลือด


 


ในทันที เงาเลือดรูปฝ่ามือก็บินไปพร้อมกับพลังฉีสีแดงเลือด ห้อมล้อมหลี่ฟู่เฉินไว้


 


“ดาบดาวตก ตายในดาบเดียว!”


 


ภายใต้อิทธิพลของเจตจำนงแห่งดาบ ดาบของหลี่ฟู่เฉินก็คล้ายกับดาวหาง ข้ามผ่านทะยานไปด้วยความเร็ว

หวังซานจับคอของตัวเองและล้มลงไปกับพื้น ขณะที่เงยหน้าขึ้นไปในท้องฟ้า


 


เทคนิคลับรูปแบบโลหิตของพลังเอ้อถูกเจาะ หน้าอกของเขาถูกใบมีดพุ่งเข้าใส่ ขณะที่เลือดสดพุ่งออกมาและทำให้พลังฉีของเขาเหือดแห้งลงไป


 


“อะไร? เขาเจาะทะลุเทคนิคลับรูปแบบโลหิตของน้องสอง?”


 


หวังต๋าผู้ซึ่งกำลังจะเคลื่อนไหวรู้สึกว่าหนังศีรษะของเขาชาซ่า มึนงง


 


วิชาฝ่ามือประทับโลหิตของหวังซานนั้นน่าเกรงขาม แต่การฝึกฝนของเขาต่ำเกินไป


 


หวังเอ้อแตกต่างออกไป เทคนิคลับรูปโลหิตของเขานั้นถึงขั้นสมบรูณ์ย่อยแล้วเรียบร้อย


 


ขั้นสมบรูณ์ย่อยของเทคนิคลับระดับ 2 ดาวไม่สามารถประเมินค่าต่ำไปได้


 


มันเป็นความจริงที่รู้กันว่าเทคนิคลับระดับ 1 ดาวนั้นเพียงพอแล้วที่นักสู้ขอบเขตต้นกำเนิดจะต้องให้ความชื่นชม เทคนิคลับระดับ 2 ดาวนั้นเป็นสิ่งที่ผู้คนปรารถนา แม้แต่กระทั้งนักสู้ขอบเขตปฐพีเองก็เช่นกัน


 


“หนี!”


 


คว้าพระพุทธรูปหยก หวังต๋าเริ่มหนีอย่างบ้าคลั่ง


 


หลี่ฟู่เฉินยื่นมือออกมาและดูดคู่มือสองเล่มออกมาจากร่างของหวังเอ้และหวังซาน ไม่แม้แต่จะมองไปที่พวกเขา จากนั้นเขาก็ไล่ตามหวังต๋าไป


 


มีอุโมงค์แห่งหนึ่งที่ดูเหมือนจะขยายออกไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด


 


หวังต๋าอยู่ด้านหน้า ทุบหินสีเทาอย่างต่อเนื่อง เพื่อขัดขวางเส้นทางของหลี่ฟู่เฉิน


 


สังเกตว่าความเร็วนั้นไม่ได้มีความสำคัญอีกต่อไป หลี่ฟู่เฉินเปลี่ยนมาเปิดใช้งานเทคนิคเปลวเพลิงลี้ลับและใช้เกราะพลังฉีเพื่อบดหินสีเทา ถ้าเขาเจอหินขนาดใหญ่ เขาจะใช้ฝ่ามือทลายศิลาเพื่อเปลี่ยนให้เป็นผุ่ยผง


 


หนึ่งคนหลบหนีหนึ่งคนไล่ตาม ชั่วโมงผ่านไปก่อนที่พวกเขาจะมาถึงถ้ำใต้ดินที่มีขนาดใหญ่ผิดปกติ


 


เห็นได้ชัดว่านี่เป็นครั้งแรกที่หวังต๋ามาที่นี่ ก็ในเมื่อเขาดูเหมือนเขาจะตกใจ


 


แต่สิ่งสำคัญที่สุดของเขาก็คือการกำจัดหลี่ฟู่เฉิน


 


“พระพุทธหยกนี้เป็นของเจ้า!”


 


อาศัยแขนที่แข็งแกร่ง พระพุทธรูปหยกถูกขว้างออกไปคล้ายเส้นเส้นไปยังหลี่ฟู่เฉิน


 


หลี่ฟู่เฉินใช้มือซ้ายจับพระพุทธรูปหยกอย่างนุ่มนวล


 


“กระบี่โลหิตสับ!”


 


ชั่วขณะนี้เอง หวังต๋าวาดกระบี่ยาวสีเลือดขนาดมหึมาไปยังหลี่ฟู่เฉิน


 


กระบี่นี้ดูโหดเหี้ยม ด้วยการกวัดแกว่งกระบี่เพียงครั้ง มันก็พุ่งออกไปด้วยความสูงและดูเหมือนว่ามันจะสามารถสับและฆ่าอะไรก็ได้ สิ่งมีชีวิตใดๆ ก็ตามจะต้องตกดาบภายใต้คมดาบนี้


 


ทักษะกระบี่ลึกลับขั้นต่ำ วิชากระบี่โลหิต!


 


ด้วยเอาใจใส่กับกระบี่แหลมคมนี้ซึ่งเป็นสมบัติรักของตนเอง กระบี่ของหวังต๋าจึงยอดเยี่ยมยิ่งกว่าหวังเอ้อและกระบี่ของหวังซานมารวมกัน


 


เขาไม่เชื่อว่าหลี่ฟู่เฉินจะสามารถจับพระพุทธรูปหยกและปิดกั้นดาบของเขาได้ในเวลาเดียวกัน


 


กระบี่นี้ควรจะเพียงพอที่จะทำร้ายหลี่ฟูเฉินอย่างจริงจัง


 


หากเขาโชคดี กระบี่อาจจะฆ่าหลี่ฟู่เฉินได้ด้วย


 


หากเป็นเช่นนั้น พระพุทธรูปหยกก็ยังคงเป็นของเขา


 


คิดถึงข้อสรุปนี้ ดวงตาของหวังต๋าเบิกโตอย่างน่ากลัว


 


หลี่ฟู่เฉินส่ายหัว ศัตรูของเขาโลภมากเกินไป


 


คนโลภ โดยปกติแล้วไม่ได้มีชีวิตยืนนานนัก


 


ใช้มือซ้ายจับพระพุทธรูปหยก มือขวาของหลี่ฟู่เฉินเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว และแสงทั้งสองปรากฏขึ้น


 


ชิ๋ง!


 


ปิสส!


 


แสงแรกเบี่ยงกระบี่โลหิตออกไปและอีกแสงหนึ่งเจาะทะลุคอของหวังต๋า


 


“ทำไมถึงเร็วได้เช่นนั้น!”


 


แม้จะถึงแก่ความตาย หวังต๋าก็ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าดาบของหลี่ฟู่เฉินนั้นรวดเร็วขนาดไหน


 


สิ่งนี้ได้ทะลายขีดจำกัดของนักสู้ขอบเขตต้นกำเนิดไปแล้ว พึ่งพาเพียงแค่พลังฉีและกลไกของร่างกาย มันไม่สามารถทำสิ่งนี้ได้


 


“นี่คือเจตจำนงแห่งดาบ” หลี่ฟูเฉินกล่าวอย่างนุ่มนวล


 


การดำรงอยู่ของเจตจำนงแห่งดาบจะเปลี่ยนสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ ว่ากันว่าเจตจำนงแห่งดาบระดับสวรรค์สามารถเปลี่ยนเป็นความจริงและเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสวรรค์และโลก

ใช้ฝ่ามือของเขา หลี่ฟู่เฉินดูดอีกสองวิชาออกมาจากหวังต๋า


 


หากรวมทั้งวิชาที่หวังเอ้อและหวังซานใช้งาน หลี่ฟูเฉินก็มีวิชาทั้งหมดสี่เล่มแล้ว


 


พวกมันมี เทคนิคพลังฉีโลหิต ทักษะกระบี่โลหิต เทคนิคลับรูปแบบโลหิต และวิชาฝ่ามือประทับโลหิต


 


“ทั้งหมดนี้เกี่ยวกับเลือดและเป็นทักษะที่ไร้ความปราณีเกินไป มันไม่เหมาะสำหรับนักสู้ที่มีความชอบธรรม”


 


หลี่ฟู่เฉินขมวดคิ้ว เมื่อเขาตระหนักได้ว่าวิชาทั้งสี่นี้ไม่เหมาะสำหรับตัวเขาเองและตระกูลหลี่


 


ใครจะไปรู้ว่าพี่น้องตระกูลหวังได้รับวิชาทั้งสี่นี้จากที่ไหน


 


“หืมม? นี้ใช้นมศิลาหรือไม่?”


 


เก็บพระพุทธรูปหยกและวิชาลงไป หลี่ฟู่เฉินเริ่มมองไปรอบๆ ถ้ำใต้ดิน


 


ถ้าใต้ดินนี้ดูแล้วน่าหลงไหล มันสูงหลายสิบฟุต ทำให้มนุษย์ที่ยืนอยู่ที่นี่กลายเป็นตัวเล็กจ้อย


 


ด้านบนของถ้ำใต้ดินเป็นหินย้อยยาวหลายสิบฟุต ย้อยลงมาจากด้านบน ยิ่งเข้าใกล้ผิวน้ำ หินย้อยยิ่งมายิ่งเบาบาง ที่ปลายหินย้อย หยดของเหลวสีขาวหยดลงมา


 


“นมศิลาเป็นสมบัติที่มีแม่เป็นธรรมชาติ นมศิลาหนึ่งร้อยปีมีผลเท่ากับยาบรรเทาร่างกายสีเหลืองระดับกลาง นมศิลาอายุหนึ่งพันปีอยู่ในระดับเดียวยาบรรเทาร่างกายสีเหลืองระดับสูงสุด แม้ว่าสระนี้จะประกอบไปด้วยน้ำสะเป็นส่วนใหญ่ แต่มันก็ได้ผสมไปกับนมศิลาและเปลี่ยนเป็นน้ำนมศิลา ดูปริมาณของมันสิ!”


 


หัวใจของหลี่ฟู่เฉินเต้นแรงอย่างเร่งร้อน


 


เขากังวลว่าจะมีทรัพยากรไม่เพียงพอที่จะฝึกฝนเทคนิคร่างกายเร้นโลหิต เขาไม่คิดว่าจะมีนมศิลาอยู่ที่นี่ ดูขนาดของหินย้อย นมศิลาที่หยดมานั้นดูเหมือนจะเป็นนมศิลาที่มีอายุหนึ่งพันปี



บทที่ 127

ข้าจะฆ่าเจ้า


 


 


ใช้นิ้วชี้เพื่อรวบรวมหยดของนมศิลา หลี่ฟู่เฉินนำหยดนั้นเข้าปาก


 


“ผลลัพธ์ของมันมากกว่าบาบรรเทาร่างกายสีเหลืองระดับสูงสุด!”


 


ดวงตาของหลี่ฟู่เฉินเปล่งประกายหลังจากที่นำหยดนมศิลาเข้าไปในปาก บางอย่างเริ่มแพร่กระจายไปทั่วร่างกายของเขา ซึ่งเข้ามาบำรุงเนื้อและกระดูกของเขา


 


หลี่ฟู่เฉินเคยใช้เม็ดยาบรรเทาสีเหลืองซึ่งเป็นยาระดับสูงสุด มันเป็นเม็ดยาเลือดกระดูก มีค่าใช้จ่ายกว่า 10,000 คะแนนสะสม ยาเลือดกระดูกผลของมันนานกว่าหยดนมศิลาเพียงหยดเดียว แต่ฤทธิ์ของมันกลับต่ำกว่า


 


“ข้าสงสัยว่ามันนานเท่าไหร่แล้วตั้งแต่นมศิลานี้เกิดขึ้นมา?”


 


หลี่ฟู่เฉินรู้ถึงประสิทธิผลของนมศิลาอายุหนึ่งร้อยปี แต่ไม่ทราบถึงผลกระทบของนมศิลาที่เกินกว่าร้อยปี


 


มองไปที่สระน้ำ หลี่ฟู่เฉินไม่ลังเลและถอดเสื้อผ้าทั้งหมดออก เขาเปิดเผยร่างกายที่กระซับสัดส่วนและเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อของเขา


 


ซุ้ม! หลี่ฟู่เฉินกระโดดลงไปคล้ายปลา


 


“ผ่อนคลายสุดยอด!”


 


หลี่ฟู่เฉินรู้สึกสดชื่นราวกับได้แช่อยู่ในสายธารของพลังฉี กระแสพลังฉีหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของเขาในทุกรูปแบบและทุกท่วงท่าอากัปกิริยา มันค่อยๆ เปลี่ยนลักษณะร่างกายของเขาทีละเล็กละน้อย มันทำให้เขามีความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมสุด ๆ


 


ไม่เต็มใจที่จะเสียเวลา หลี่ฟูเฉินโคจรรอบเทคนิคร่างกายเร้นโลหิตของเขาทันที


 


เทคนิคร่างกายเร้นโลหิตเป็นหนึ่งในเทคนิคพลังฉีและเทคนิคการไหลเวียนโลหิต หากไม่ได้รับสนับสนุนจากทรัพยากรเช่นเม็ดยาบรรเทาร่างกายและการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง การบ่มเพาะของมันจะแห้งเหือดไป


 


ในอดีตที่ผ่านมา เทคนิคร่างกายเร้นโลหิตของหลี่ฟู่เฉินก้าวหน้าได้อย่างเชื่องช้า แต่ตอนนี้ด้วยการบำรุงของน้ำนมศิลา เขาจึงเริ่มฝึกฝนอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งทำให้กล้ามเนื้อของเขาค่อยๆ แข็งแรงและแข็งแกร่งขึ้น


 


โดยเฉพาะโครงกระดูกของเขา นี้เป็นส่วนที่ได้ประโยชน์มากที่สุด


 


ทั้งวิชารูปแบบการต่อสู้สีเลือด และวิชาสกัดกลั่นเต๋าไม่ได้ช่วยให้โครงกระดูกของเขาแข็งแกร่งเพียงพอ

โครงกระดูกเป็นรากฐานของความแข็งแกร่งทางกายภาพของคนๆ หนึ่ง ความแข็งแกร่งทางกายภาพของมนุษย์ไม่สามารถบรรลุถึงขีดจำกัดได้ มันเป็นเรื่องธรรมดาถ้าโครงกระดูกแตกหักเมื่อมีคนฝืนขีดจำกัดตัวเองมากเกินไป


 


มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า สารสีขาวในสระเริ่มรวมตัวกันที่หลี่ฟู่เฉิน พลังชีวิตของเขาเริ่มแข็งแกร่งขึ้น


 


สิ่งที่หลี่ฟู่เฉินไม่ทราบก็คือเบื้องล่าง ห่างออกไปสิบเมตร เป็นหญิงสาวที่นั่งอยู่


 


หญิงมีใบหน้าที่งดงามแต่กำเนิด และใบหน้านั้นเองก็ราวกับถูกแกะสลักมาจากหยกชั้นดี ใบหน้าที่งดงามของเธอนั้นเหนือกว่าคนงามชั้นนอกทั้งสี่ที่หลี่ฟู่เฉินพานพบในนิกายคังหลุน มีเพียงจ้าวหมิ๋งเยวี่ยเท่านั้นที่สามารถประชันความงามกับเธอได้


 


หญิงสาวปล่อยแสงสีดำออกมาจากร่างของเธอ ภายในแสงสีดำมีร่องรอยของแสงสีขาว ซึ่งทำให้เธอดูโดดเด่นยิ่งขึ้น


 


นมศิลาอายุหนึ่งพันปีมีผลเท่ากับเม็ดยาครึ่งขั้นระดับลึกลับ และก็เทียบเท่ากับเม็ดยานั้นหลายเม็ด


 


แม้แต่กระทั่งหยานชิงหวูผู้เป็นอัจฉริยะของนิกายเทียนช๋าอย่างเธอ ก็ไม่สามารถใช้จ่ายมากมายเท่านี้ได้


 


นิกายเชื่อมั่นในการพึ่งพาความแข็งแกร่งของตัวเอง สิ่งที่ท่านต้องการท่านก็ควรใฝ่หามันด้วยตัวเอง การพึ่งพาเพียงแต่ผู้อื่นจะไม่สามารถเป็นใหญ่ได้ สถานะของเธอในฐานะรุ่นอัจฉริยะช่วยให้เธอได้รับความสะดวกสบายในการได้รับทรัพยากร


 


ทักษะปรับแต่งร่างกายเทียนช๋า เทคนิคการปรับแต่งร่างกายที่แข็งแกร่งที่สุดของนิกายเทียนช๋า เทคนิคปรับแต่งร่างกายลึกลับระดับสูงสุด


 


หลังจากปลูกฝังไปถึงขึ้นสูงสุดแล้ว หนึ่งจะใช้ออกความแข็งแกร่งทางกายภาพได้ 100,000 กิโลกรัม


 


ด้วยการใช้ผลของนมศิลาอายุหนึ่งพันปีเช่นนี้ เทคนิคของหยานชิงหวูก็เข้าสู่ขั้นที่สอง และมีความแข็งแกร่งถึง 40,000 กิโลกรัม เมื่อมันอยู่ขั้นที่สองอย่างสมบรูณ์ เธอจะมีความแข็งแกร่งทางกายภาพกว่า 50,000 กิโลกรัม


 


เปิดดวงตาของเธอออก แสงไฟสว่างจ้าสองดวงกะพริบอยู่ในสระน้ำ


 


ดวงตาของหญิงสาวนั้นงดงามมาก แต่ก็ยังมีพลังฉีปีศาจอันชั่วร้ายอย่างน่าประหลาดใจ ขอบตาของเธอเหมือนคมใบมีดที่ไม่อนุญาตให้ใครมองเข้าไปในดวงตาของเธอตรงๆ


 


ขณะที่เธอกำลังฝึกฝน เธอจึงไม่ได้สังเกต แต่เมื่อเธอหยุดการฝึกฝน… หยานชิงหวูสัมผัสได้ทันทีว่ามีใครอยู่ข้างบนเธอ


 


“เจ้าสมควรตาย!” นัยน์ตาของหยานชิงหวูเต็มไปด้วยเจตนาสังหาร


 


ดึงดาบโค้งออกมา เธอว่ายขึ้นไปด้านบน


 


“น่ายินดีอะไรเช่นนี้!” หลี่ฟู่เฉินอยู่ระหว่างการฝึกฝน


 


หนึ่งปีที่ผ่านมา เทคนิคร่างกายเร้นโลหิตของเขาฝึกฝนได้แค่ขั้นที่สามและเขามีความแข็งแกร่งทางกายภาพเพียง 25,000 กิโลกรัม แต่ภายในหนึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา เทคนิคร่างกายเร้นโลหิตของเขาในที่สุดก็ไปถึงขั้นที่สามอย่างสมบรูณ์ ทำให้เขามีความแข็งแกร่งทางกายภาพ 30,000 กิโลกรัม


 


เหตุผลแรกที่เขาก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วนั้นเป็นเพราะการรับรู้และความมุ่งมั่นที่สูงผิดปกติของเขา ปัจจัยที่ขาดหายไปเพียงอย่างเดียวคือทรัพยากร


 


เมื่อตอนที่ฝึกฝนรูปแบบการต่อสู้สีเลือดและวิชาสกัดกลั่นเต๋า หลี่ฟู่เฉินถูกจำกัดด้วยทรัพยากรของเขาและไม่สามารถบรรลุความเร็วสูงสุดในการฝึกฝนของเขาได้


 


ประการที่สอง หลี่ฟูเฉินอยู่ในขั้นที่สามของเทคนิคร่างกายเร้นโลหิตอยู่แล้ว และเพื่อบรรลุระดับสมบูรณ์ของขั้นที่สาม อุปสรรค์เหล่านี้จึงไม่มีนัยสำคัญใดๆ


 


ประการที่สามและที่สำคัญที่สุด… นั้นคือผลกระทบอันรุนแรงของนมศิลาอายุหนึ่งพันปี ซึ่งได้ผลักดันให้เทคนิคร่างกายเร้นโลหิตโคจรได้เร็วยิ่งขึ้น


 


เม็ดยาครึ่งขั้นลึกลับมีมูลค่าอย่างน้อย 50,000 เหรียญทอง สระน้ำนมศิลาอายุพันปีนี้คุ้มค่ากว่าเม็ดครึ่งขั้นลึกลับเพียงเม็ดเดียว


 


หลังจากเข้าถึงระดับสมบูรณ์ขั้นที่สามของเทคนิคร่างกายเร้นโลหิต หลี่ฟู่เฉินต้องการเร่งขึ้นไปขั้นที่สี่


 


แต่ทว่า…


 


เจตนาสังหารพุ่งขึ้นมาจากใต้สระน้ำ


 


เปิดตาของเขา หลี่ฟูเฉินรีบถอยออกไปทันที


 


บูม!


 


น้ำในสระเกิดการระเบิด ขณะที่แสงของใบมีดกระจายตัวออกไปราวกับจันทร์เสี้ยวสีดำ


 


“เอ๊ะ!”


 


หยานชิงหวูตกตะลึง เธอใช้ทักษะร่างกายเว้นเมฆาเข้าหาหลี่ฟูเฉินและต่อมาก็ใช้วิชากระบี่จันทร์ทมิฬซึ่งเธอคิดว่าสามารถฆ่าศัตรูของเธอได้อย่างแน่นอน


 


วันนี้เธอล้มเหลว


 


ในอดีตที่ผ่านมา ใช้กระบี่นี้เพียงกระบี่เดียว เธอก็สามารถสังหารได้แม้แต่กระทั่งนักสู้ขอบเขตต้นกำเนิดที่น่ากลัวที่สุดด้วยกระบี่เดียว เธอไม่จำเป็นต้องใช้กระบี่ที่สองนอกเสียจากว่ามันจะเป็นนักสู้ขอบเขตปฐพี


 


เพราะเธอไม่คิดว่าเธอจะล้มเหลวในความพยายามของเธอ หยานชิงหวูจึงไม่ได้ปกปิดร่างกายของเธอแม้แต่ส่วนเดียว เธอเผยร่างกายที่เปลือยเปล่าของเธอให้แก่สายตาของหลี่ฟู่เฉิน


 


หลี่ฟู่เฉินคิดว่าเขาเห็นดอกไม้ ดอดไม้ที่ทำขึ้นมาจากหยกขาว


 


ช่างงดงาม


 


ความประทับใจแรกของหลี่ฟู่เฉินนั้นคือความงดงาม…


 


ใบหน้าที่งดงาม


 


ร่างกายที่งดงาม


 


ทุกๆ อย่างล้วนแล้วแต่งดงาม


 


หลี่ฟูเฉินยังเป็นชายหนุ่มที่กำลังเติบโตและเป็นคนซื่อตรงเสมอมา ทันทีที่เขาได้เห็นฉากที่งดงาม ร่างกายส่วนล่างของเขาก็มีปฏิกิริยาบางอย่างแบบไม่ได้ตั้งใจ


 


“ตาย!”


 


ถูกเห็นตอนเปลือยกาย เจตนาสังหารของหยานชิงหวูกลายเป็นรุนแรงขึ้น ใบมีดรูปจันทร์เสี้ยวสีดำถูกปล่อยออกมาอีกครั้ง แสงของใบมีดรวดเร็วราวกับสายฟ้าฟาด แหลมคมและโหดเหี้ยม


 


อันตราย!


 


หนังศีรษะของหลี่ฟู่เฉินด้านชา หญิงสาวคนนี้มีอายุไม่เกิน 17 ปี แต่มีการบ่มเพาะที่สูงผิดปกติ เธอกลับอยู่ในขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่แปดจริงๆ


 


หลี่ฟูเฉินเพิ่งก้าวเข้าสู่ขอบเขตต้นกำเนิดเมื่อตอนอายุ 16 ปี


 


หยูเหวินเทียนที่มีโครงกระดูกระดับ 5 ดาวนั้นเร็วกว่าหลี่ฟู่เฉินเพียงแค่ครึ่งปีเท่านั้น


 


แต่หญิงสาวอายุ 17 ปีนางนี้กลับอยู่ขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่แปดเรียบร้อยแล้ว บางทีก่อนปีนี้จะสิ้นสุดลง เธออาจจะพัฒนาไปสู่ระดับที่เก้าของขอบเขตต้นกำเนิด


 


เธอเป็นโครงกระดูกระดับ 6 ดาวในตำนานหรือไม่?


 


หลี่ฟู่เฉินสั่นไหวอยู่ภายในใจ


 


โครงกระดูกระดับ 5 ดาวเป็นผลผลิตที่เกิดขึ้นมาเป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ ขณะที่บุคคลซึ่งมีโครงกระดูกระดับ 6 ดาวจะเป็นตำนาน


 


ต่อหน้าอันตรายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ปฏิกิริยาตอบสนองของหลี่ฟู่เฉินพุ่งขึ้นมาจนถึงขีดจำกัด ใช้มือขวาดันน้ำ ร่างกายของหลี่ฟู่เฉินขยับออกไปครึ่งเมตรในแนวนอนเพื่อหลบใบมีดที่พุ่งมาราวกับฟ้าผ่านั้น


 


ระหว่างการหลบหลีก หลี่ฟูเฉินเอื้อมมือขวา ตั้งใจที่จะยึดอาวุธของฝ่ายตรงข้าม ก็ในเมื่อเขาไม่สามารถขึ้นบนเพื่อนำดาบเหล็กดำของเขามาได้


 


หยางชิงหวูไม่รู้ว่าการตอบสนองของหลี่ฟู่เฉินนั้นรวดเร็วขนาดไหน ทันทีเธอคว้าข้อมือของตัวเธอเองและต้องการสลัดแข็งดันที่ถูกส่งออกมาจากหลี่ฟู่เฉิน และกลับกัน หลี่ฟู่เฉินก็เข้ามาใกล้และเข้ามาพัวพันกับเธอ


 


เพียงครู่เดียว ร่างกายที่เปลือยเปล่าของพวกเขาทั้งคู่ได้สัมผัสกันและกัน ความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ทำให้ทั้งคู่ตัวแข็ง


 


“ข้าจะฆ่าเจ้า!”


 


พลังฉีที่น่าหวาดกลัวปะทุออกมา ขณะนั้นเองที่ร่างกายของหยานชิงหวูสั่นและระเบิดพลังฉีออกมา


 


พุ่ม!


 


กระอักเลือดออกมาเต็มปาก หลี่ฟู่เฉินบินไปข้างหลัง และรอนลงบนฝั่ง


 


ไม่สนใจอาการบาดเจ็บของเขา หลี่ฟูเฉินดูดดาบเหล็กดำมาหามือและยืนอยู่นั้นด้วยท่าทีเยือกเย็น


 


“ถ้าเจ้ากล้าออกไป ข้าจะตามล่าฆ่าเจ้าแน่นอน”


 


หยานชิงหวูไม่ได้ไล่ล่าออกนอกสระน้ำ และดำลงไปในสระ


 


หลี่ฟู่เฉินผู้มีไหวพริบ เขารู้ได้ทันทีว่าหญิงสาวตั้งใจที่จะสวมเสื้อผ้าของเธอในสระน้ำ



บทที่ 128

เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ


 


 


“หญิงสาวนางนี้แข็งแกร่งเกินไป ดูจากอายุของเธอ เธอน่าจะยังไม่เข้าใจเจตจำนงแห่งดาบ แต่ถ้าข้าออกไปและต่อสู้กับเธอ โอกาสในการชนะของข้าจะอยู่ที่ประมาณ 50% เท่านั้น”


 


จากการระเบิดฉีของหญิงสาวนางนี้เมื่อก่อนหน้า หลี่ฟู่เฉินรู้ว่าเทคนิคบ่มเพาะของเธอน่าจะเป็นเทคนิคลึกลับระดับกลางและฝึกฝนได้ถึงระดับที่สิบสามแล้ว ระดับการฝึกฝนของเธอนั้นสูงกว่าของเขาถึงสองระดับ ดังนั้น เขาจึงได้รับความเสียหายจากระเบิดพลังฉี


 


หลี่ฟู่เฉินไม่สามารถจินตนาการได้เลย ถ้าศัตรูของเขาได้รับเวลามากขึ้น ความสามารุในการต่อสู้ของเธอจะไปถึงระดับใด…


 


แน่นอน ถ้าเขาได้รับเวลามากขึ้นแบบเดียวกัน เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความแข็งแกร่งของเขาจะไปถึงระดับไหน


 


ตั้งแต่ปีที่แล้ว จิตวิญญาณของเขาตอนนี้เป็นสีฟ้าอ่อน 80% เมื่อจิตวิญญาณของเขาเปลี่ยนแปลงเป็นสีฟ้าอ่อนอย่างสมบรูณ์สมบูรณ์ การรับรู้ของเขาจะต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงในด้านเชิงคุณภาพอีกครั้ง

ออกจากความคิดของตัวเอง หลี่ฟู่เฉินแต่งตัวและเก็บพระพุทธรูปยกรวมถึงวิชาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มุ่งหน้ากลับไปที่ที่เขามาจาก


 


“คิดจะหนีไปหรือไม่?”


 


ความเร็วในการแต่งตัวของหยานชิงหวูนั้นรวดเร็วกว่าการคาดการณ์ของหลี่ฟู่เฉินมาก หลี่ฟู่เฉินพุ่งไปยังอุโมงค์จากที่ที่เขาเข้ามาทันที หยานชิงหวูกระโดดออกจากสระน้ำและไล่ตามเขาไป


 


หลี่ฟูเฉินพยายามหลบหนีขณะที่หยานชิงหวูไล่ตามเขา ภายในหนึ่งชั่วโมง พวกเขาก็มาถึงถ้ำใต้ดินที่พี่น้องหวังเคยหลบซ่อน


 


“เจ้าหนีไม่พ้นหรอก!”


 


เทคนิคตัวเบาของหยานชิงหวูนั้นไม่ได้ดีกว่าของหลี่ฟู่เฉิน แต่ระดับการฝึกฝนของเธอสูงกว่าสองระดับ ดังนั้นช่องว่างระหว่างทั้งสองจึงไม่ถูกดึงออกไป


 


“หากเจ้าต้องการต่อสู้ ข้าจะเล่นเป็นเพื่อนให้เอง” หลี่ฟู่เฉินหยุดหลบหนี


 


ถ้าเขาต้องการหนี มันเป็นไปได้แน่นอน ด้วยวิชาเทคนิคย่างก้าวเงาวายุและลูกเตะไร้เงารวมกัน มันก็เพียงพอแล้วสำหรับการที่เขาจะค่อยๆ เพิ่มช่องว่างระหว่างกัน


 


แต่เขาไม่ชอบความรู้สึกที่ถูกไล่ล่าโดยหญิงสาวที่อายุน้อยกว่าตัวเขาเอง


 


หยุดโคจรเทคนิคย่างก้าวเงาวายุและเปลี่ยนมาโคจรเทคนิคเปลวเพลิงลี้ลับแทน ดวงตาของหลี่ฟู่เฉินคมกริบและจดจ่อสายตาอยู่ที่ร่างกายของหยานชิงหวู


 


ดวงตาของหยานชิงหวูก็ดูเคร่งขรึมเช่นกัน เธอสัมผัสธ์ได้ถึงสภาวะพลังฉีที่มองไม่เห็น แต่ก็ปรากฏออกมาอย่างโดดเด่นจากหลี่ฟู่เฉินเช่นกัน


 


“ประกายจันทร์ทมิฬ!”


 


หยานชิงหวูถือกระบี่โค้งสีดำไว้ในมือของเธอ คล้ายกับสายฟ้าดำที่กำลังวิ่งผ่านอากาศ มันมาถึงหน้าหลี่ฟู่เฉินในทันที เส้นโค้งสีดำลอยอยู่ในอากาศคล้ายจันทร์เสี้ยวสีดำ


 


ชิ้ง!


 


หลี่ฟู่เฉินแทงออกไป แสงดาบนั้นเหมือนกับดาวตกที่ตกลงมา ไม่ทราบว่าปรากฏออกมาจากที่ใด ครู่หนึ่งจากนั้น การระเบิดความเร็วและแสงสว่างเพียงพอที่จะทำให้หนังศีรษะมึนงง ส่งความเยือกเย็นลงสู่กระดูกสันหลัง


 


ประกายไฟพุ่งออกมาและพวกเขาทั้งสองก็ถอยกลับไป


 


“เจตจำนงแห่งดาบ?” หยางชิงหวูขมวดคิ้ว


 


เจตจำนงของทักษะที่มีเต๋าเป็นสิ่งที่ชีวิตของเธอยังไม่เคยสัมผัสมาก่อน ไม่ใช่เพราะเธอขาดการรับรู้ แต่เพราะเธอไม่มีพื้นฐาน


 


เดิมทีเธอตั้งใจที่จะกลับไปและเรียนรู้ทักษะกระบี่หนึ่งร้อยทักษะเพื่อหนุนรากฐานเต๋ากระบี่ของเธอ ต่อจากนั้น เธอก็คงสามารถเข้าใจเจตจำนงกระบี่ของจันทร์ทมิฬได้


 


เมื่อเธอรับรู้ถึงเจตจำนงกระบี่จันทร์ทมิฬได้ ความสามารถของเธอจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสองเท่า เช่นนั้นจะไม่มีใครที่การฝึกฝนอยู่ใต้ขอบเขตปฐพีจะทนต่อกระบี่ของเธอได้ แม้แต่กระทั้งนักสู้ขอบเขตปฐพีระดับแรกก็จะถูกหักกระบี่โดยเธอ


 


“แน่นอน…”


 


ความสามารถของหญิงสาวนางนี้น่ากลัวยิ่ง เขาจะไม่เป็นคู่ต่อสู้ของเธอหากเขาไม่มีอาวุธ


 


ด้วยดาบในมือของเขา ความสามารถของเขาตอนนี้แข็งแกร่งขึ้นสองสามเท่า


 


มีการกล่าวว่า ‘เจ้าต้องการทักษะที่ไม่ซ้ำใครเพื่อครองโลก’ เจตจำนงแห่งดาบของเขาทำให้ดาบดาวตกกลายเป็นรวดเร็วและทรงพลังเท่ากับดาวตกที่ตกลงมา แม้แต่กระทั่งทักษะกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไม่สามารถเบนดาบของเขาออกไปได้


 


“เจ้าเป็นศิษย์ชั้นในของนิกายคังหลุน?” หยานชิหวูถาม


 


หลี่ฟู่เฉินถามเป็นคำตอบ “เจ้าเป็นศิษย์ชั้นในของนิกายเทียนช๋า?”


 


นิกายเทียนช๋าเป็นนิกายที่แข็งแกร่งที่สุดในรัศมี 100,000 ไมล์ ความแข็งแกร่งของนิกายโดยรวมของพวกเขานั้นแข็งแกร่งกว่านิกายคังหลุนเล็กน้อย พวกเขาไม่ใช่คนชั่วหรือบุคคลที่ชอบธรรม พวกเขามองว่าตัวเองแข็งแกร่งที่สุด ศิษย์แต่ละคนของพวกเขาทุกคนต่างอยู่เหนือการปกครองและเอาแต่ใจ


 


ตอนนี้เขาได้เห็นร่างของเธอโดยไม่ตั้งใจ เขาไม่แน่ใจว่าเธอจะมีความเกลียดชังต่อเขามากเพียงใด


 


“ควักตาทั้งสองของเจ้าออกมาและข้าจะไว้ชีวิตเจ้า” หยานชิงหวูเรียกร้อยอย่างเฉยเมย


 


หลี่ฟูเฉินหัวเราะเบาๆ “เจ้าคือคนที่ถอดเสื้อผ้าและมาเปลือยเปล่าให้ข้าดู ข้าจะทำอย่างไรได้? และทำไมข้าถึงต้องการให้เจ้าไว้ชีวิตข้าด้วย?”


 


“เจ้าชั่ว เจ้าคิดว่าข้าไม่สามารถจัดการเจ้าได้จริงๆ? ตาย!”


 


หยานชิงหวูเดือดดาล กระบี่โค้งสีดำในมือของเธอเกาะติดและเฉือนไปในทุกวิถีด้วยความรวดเร็วและแม่นยำ ความเร็วและกำลังของการลงกระบี่ทุกครั้งจะถูใช้ออกจนถึงขีดจำกัด ลายรุ้งสีดำคล้ายฝนตกพุ่งกระหน่ำไปที่หลี่ฟู่เฉิน


 


ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!….


 


ประกายไฟพุ่งออกมาขณะที่ใบดาบปะทะกัน


 


ทั้งคู่เคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง ไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์ ทักษะกระบี่ หรือทักษะดาบ ถ้านักสู้ขอบเขตต้นกำเนิดระดับสูงอยู่ที่นี่ เขาอาจจะไม่สามารถสร้างวิถีดาบและโคจรพลังของพวกเขาได้ มีเพียงครั้งเดียวที่ดาบจะหยุดนิ่งเมื่อตอนที่ดาบปะทะกัน


 


การต่อสู้ครั้งนี้กินเวลาสองชั่วโมงและทั้งสองฝ่ายไม่ได้มีเปรียบหรือเสียเปรียบแต่อย่างใด


 


หยานชิงหวูมีข้อได้เปรียบจากความแข็งแกร่งทางกายภาพและความหนาแน่นของพลังฉีของเธอ


 


หลี่ฟูเฉินใช้ประโยชน์จากเจตจำนงแห่งดาบที่โดดเด่นของเขา


 


“ตาย!”


 


ทันใดนั้นเอง หยานชิงหวูก็จับดาบของเธอด้วยมือทั้งสองข้าง และฟันลงมันไปด้วยแรงทั้งหมด


 


ฮูววว!


 


อากาศปั่นป่วนด้วยสายฟ้าสีดำ


 


มันเป็นกระบี่พลังฉี กระบี่พลังฉีสีดำ


 


ด้วยเทคนิคปฐพีอสูรลึกลับขั้นกลางระดับที่สิบสาม และระดับการบ่มเพาะอยู่ในระดับที่แปดของขอบเขตต้นกำเนิด หยานชิงหวูจึงความสามารถในการปลดปล่อยพลังฉีมาตั้งนานแล้ว เธอไม่ได้ใช้มันเพราะความภาคภูมิใจของเธอ เพราะเหตุนั้นเธอจึงต้องการเอาชนะหลี่ฟูเฉินด้วยทักษะดาบของเธอ


 


“กระบี่พลังฉีที่รวดเร็วอะไรเช่นนี้”


 


เมื่อเปรียบเทียบการปล่อยพลังฉีลงดาบของเหลาเทียนจุนและการปล่อยพลังฉีลงกระบี่ของหญิงสาวคนนี้ ความของเขานั้นช้าไปถึงสองสามช่วง


 


ลูกเตะไร้เงา มันทั้งไร้เงาและไร้ร่องลอย


 


ทันใดนั้นเอง ร่างของหลี่ฟู่เฉินก็กลายเป็นโปร่งใส่ กระบี่พลังฉีฟันร่างที่เกิดจากภาพติดตาขาดครึ่ง


 


“ทักษะขาที่ยอดเยี่ยม!”


 


แม้ว่าหยานชิงหวูจะเกลียดหลี่ฟู่เฉินลึกลงไปถึงแกนกลาง แต่เธอก็ต้องยอมรับว่าหลี่ฟูเฉินนั้นยอดเยี่ยมกว่าศิษย์ชายส่วนใหญ่ที่เธอเห็น


 


เธอได้ฝึกฝนเทคนิคตัวเบา ตะเวนเว้นเมฆาไปจนถึงขั้นดีเลิศแล้ว แต่เธอก็ไม่ได้ฝึกฝนทักษะขาและท่าร่าง แต่หลี่ฟู่เฉินมาถึงขั้นดีเลิศแล้วทั้งเทคนิคลำตัวและทักษะขา


 


เมื่อต้องต่อกรกับกระบี่พลังฉีของหยานชิงหวู หลี่ฟูเฉินจะหลบมันเท่าที่เป็นไปได้และเบี่ยงเบนความสนใจในเวลาอื่นๆ


 


ความสามารถในการปลดปล่อยพลังฉีไม่ได้ครอบคลุมทุกสิ่ง เจตจำนงแห่งดาบดาวตกของเขานั้นเพียงพอที่จะป้องกันการโจมตีเหล่านั้น


 


เว้นแต่ว่า พลังโจมตีของคู่ต่อสู้จะเหนือกว่าที่เขาจะป้องกันได้


 


“บ้าที่สุด! คงจะดีกว่านี้ถ้าวิชากระบี่จันทร์ทมิฬของข้าเป็นทักษะกระบี่แบบหมู่” หยานชิงหวูขมวดคิ้ว

วิชากระบี่แบบหมู่ ด้วยการเฉือนกระบี่ออกไปครั้งเดียว มันสามารถปลดปล่อยกระบี่พลังฉีออกไปได้หลายครั้ง สำหรับวิชากระบี่จันทร์ทมิฬ มันเน้นเรื่องพลังในการโจมตี


 


สี่ชั่วโมง … หกชั่วโมง …


 


ทั้งสองเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ


 


ด้วยเม็ดยาเติมพลังฉี พลังฉีของทั้งคู่จึงไม่ได้ว่างเปล่า


 


แต่การต่อสู้ที่เข้มข้นนี้เป็นสิ่งที่ท้าทายทั้งความอดทนและความแข็งแกร่ง


 


การต่อสู้ระหว่างสองผู้เชี่ยวชาญ อัตราการสิ้นเปลืองพลังงานจะเพิ่มขึ้นเป็นสิบหรือร้อยเท่า เมื่อการต่อสู้ยืดออกเป็นชั่วโมงๆ มันจะเทียบเท่ากับการที่พวกเขาต่อสู้กันนานถึงสองวัน หากไม่ใช่เพราะพวกเขามีทักษะต่าง พวกเขาคงจะเหนื่อยมานานแล้ว


 


“หากเจ้าสามารถป้องกันกระบี่นี้ได้ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าในวันนี้”


 


ร่างกายของหยานชิงหวูเปล่งประกายด้วยเหงื่อ ขณะที่ผมปกหน้าสีดำเรียบเนียนของเธอได้แนบติกกับหน้าผาก ซึ่งนั้นก็เป็นการส่งเสริมความงดงามของเธอ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอยังเด็กและขาดแคลนเสน่ห์บางส่วนไป เธอจะทำให้ผู้ชายหลายคนตกหลุมรักเธอด้วยภาพๆ นี้


 


“นำมันมา!” หลี่ฟูเฉินแสดงท่าทีมั่นคง


 


บูมม!


 


สภาวะพลังฉีของหยานชิงหวูระเบิดออก พลังฉีเข้มข้นถูกรวมไว้ที่ฝ่ามือของเธอ มันถูกบีบอัดอย่างต่อเนื่อง


 


“นี่คือเทคนิคลับหรือไม่?” ดวงตาของหลี่ฟู่เฉินเบิกกว้าง


 


เพื่อเพิ่มความสามารถของคนๆ นั้นได้ในทันที มันจะต้องเป็นยาหรือเทคนิคลับ ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้กินยาใดๆ เข้าไป ดังนั้นจะต้องเป็นเทคนิคลับ


 


ระดับดาวของเทคนิคความลับนี้คืออะไร?


 


“ประกายจันทร์ทมิฬ!”


 


มันเป็นกระบวนท่าทักษะกระบี่เดียวกัน แต่คราวนี้ พลังโจมตีที่แสดงออกมานั้นแข็งแกร่งกว่าอย่างน้อยสองสามเท่า การตวัดลงครั้งเดียวสร้างแสงสีดำซึ่งไม่สามารถเห็นได้เลยว่ามันครอบคลุมระยะสิบเมตรจากกระบี่ที่ถูกฟันลง กระบี่นี้อันตรายถึงตายและอยู่เหนือความคาดหมายทั้งหมด



บทที่ 129

ความน่ากลัวของเทคนิคลับ


 


 


“อันตราย!”


 


สัมผัสที่หกของหลี่ฟู่เฉินบอกเขาว่า หากเขาไม่สามารถป้องกันกระบี่นี้ได้ คงน่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัญแน่นอน


 


ด้วยเทคนิคเปลวเพลิงลี้ลับที่หมุนโคจรไปจนถึงขีดสุด กระแสพลังฉีเปลวเพลิงหลั่งไหลเข้าสู่ดาบเหล็กดำ ดาบสว่างจ้าขึ้นพร้อมกับแรงกดดันที่ปล่อยออกมา จากนั้นมันก็พุ่งไปที่แสงสีดำ


 


ฟึบ ฟึบ!


 


เมื่อตอนที่ดาบปะทะกับกระบี่ สัญลักษณ์เส้นแสงสองเส้นปรากฏขึ้นและลุกลามลงไปยังพื้นดิน มันผ่านออกไปทางด้านหลังของหลี่ฟู่เฉิน


 


หลี่ฟู่เฉินถูกผลักย้อนกลับไปด้านหลัง เขาหยุดลงหลังจากที่ถอยออกไปหลายก้าวและฝากรอยเท้าไว้ตามพื้นดิน


 


“กระบี่ที่ทรงพลัง” หลี่ฟู่เฉินไออกมา


 


พลังกระบี่ของศัตรูเหนือกว่าเขามาก หลังจากที่แยกมันออกเป็นสองส่วนด้วยเจตจำนงแห่งดาบแล้วนั้น เส้นสายทั้งสองก็ยังทิ้งรอยไว้ตามพื้นดินได้อยู่ดี เขาไม่สามารถจินตนาการถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นได้หาปฏิกิริยาของเขาไม่ดีพอ


 


“เจตจำนงแห่งดาบช่างน่าหวาดกลัว!” ดวงตาของหยานชิงหวูสว่างจ้าขึ้น


 


สิ่งที่เธอใช้ก่อนหน้านี้คือเทคนิคลับระดับ 2 ดาว ฝ่ามือรวบอาทิตย์ เทคนิคลับนี้ทำให้ผู้ใช้รวบรวมพลังฉีได้มากกว่าเดิมที่บนฝ่ามือและโอนไปยังกระบี่โค้งได้


 


นี้เป็นครั้งแรกที่เธอใช้ฝ่ามือรวบอาทิตย์ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถควบคุมมันได้อย่างเต็มที่ หากไม่เป็นเช่นนั้น กระบี่ก่อนหน้านี้จะมีพลังโจมตีที่มากกว่านี้


 


“รักษาชีวิตไว้ให้ดี ครั้งต่อไปข้าจะมาเอาชีวิตของเจ้า” เก็บกระบี่ลงฝัก หยานชิงหวูเปิดใช้งานเทคนิคตัวเบาของเธอและหายตัวไปภายในอุโมงค์เส้นนึง


 


อ๊อก!


 


กระอักเลือดออกมาหนึ่งคำเต็ม หลี่ฟูเฉินรู้สึกว่าการบาดเจ็บภายในร่างกายของเขาทวีความรุนแรงมากขึ้น


 


“ข้าสงสัยว่าเทคนิคลับมังกเร้นลับนี้จะเป็นแบบใด?”


 


หลี่ฟู่เฉินอยากรู้เกี่ยวกับเทคนิคลับมังกรเร้นลับที่บรรจุอยู่ในพระพุทธรูปหยก


 


เทคนิคลับที่หญิงสาวนางนั้นแสดงก่อนหน้านี้ ช่วยเพิ่มพลังการโจมตีของเธอได้สองเท่า หากไม่ใช่เพราะเขามีความตั้งมั่นมากพอ เขาคงจะตกตายลงไปภายใต้กระบี่นั้น


 


ถ้าเขาสามารถเชี่ยวชาญเทคนิคลับได้ กำลังการต่อสู้ของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะและเขาจะมีไพ่ตายอีกหนึ่งใบ


 


ศึกษาพระพุทธรูปหยกตอนนี้ยังไม่สมควรทำ สิ่งที่เขาทำเป็นอันดับแรกคือการพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บเสียก่อน


 


บริโภคเม็ดยาฟื้นคืนกำลัง หลี่ฟู่เฉินนั่งไขว่ห้างและเริ่มโคจรเทคนิคเปลวเพลิงลี้ลับ


 


ด้วยพลังฉีที่แพร่กระจายตัวออกไป อาการบาดเจ็บภายในของหลี่ฟู่เฉินจึงค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ


 


***


 


สองชั่วโมงต่อมา…


 


อาการบาดเจ็บของเขาหายไปแล้วกว่า 80%


 


หายใจเข้าลึกๆ หลี่ฟูเฉินนำพระพุทธรูปหยกออกมา


 


จากรูปลักษณ์ภายนอก พระพุทธรูปหยกดูเหมือนจะไม่มีลักษณะพิเศษใดๆ เมื่อเมื่อตอนที่นำพลังฉีเข้าไปยังมัน หลี่ฟู่เฉินจึงสามารถมองเห็นรูปลักษณ์ที่แท้จริงของมันได้ ภายในพระพุทธรูปหยกมีจุดเล็กๆ ที่ซับซ้อนซ้อนอยู่


 


“นี่ใช้เป็นตำแหน่งของเส้นชีพจร?” หลี่ฟู่เฉินเลิกคิ้ว


 


ภายในจุดเล็กๆ เหล่านี้ หลายจุดสว่างขึ้น พร้อมกับเส้นบางๆ ที่เชื่อมต่อพวกมันทั้งหมดไว้ด้วยกัน


 


“นี่สมควรเป็นวิธีการฝึกฝนเทคนิคลับมังกรเร้นลับขั้นแรก”


 


หลี่ฟู่เฉินทำตามมัน และเริ่มโคจรพลังฉีไปตามเส้นชีพจรแต่ละอันด้วยพลังฉีของเขา เมื่อเส้นชีพจรเส้นสุดท้ายถูกไหลผ่าน เส้นชีพจรสามัญหนึ่งเส้นกลับปรากฏขึ้นบนร่างกายของเขา


 


ไหลไปตามเส้นชีพจรนั้น หลี่ฟู่เฉินค้นพบเส้นชีพจรที่ดูสามัญธรรมดานี้เกิดจากผลกระทบของการบีบอัดพลังฉี


 


บูมม!


 


ด้วยการระเบิดสภาวะพลังฉี หลี่ฟูเฉินฟันลงไปยังพื้นดินที่อยู่ไม่ไกลจากตำแหน่งของเขา


 


แคร๊ก!


 


เศษหินบินว่อนอยู่รอบๆ ทั้งอากาศและพื้นดิน มันปรากฏรอบลากยาวกว่าสิบฟุตและกว้างไม่กี่นิ้ว


 


“ตอนนี้การปะทุของพลังฉีข้าแข็งแกร่งขึ้นอย่างน้อย 20% นี้ช่างน่ากลัวจริงๆ”


 


เพียงแค่ขั้นแรก มันก็เพิ่มความสามารถในการปะทุพลังฉีของเขาไปกว่า 20% หากฝึกถึงขั้นที่สาม ไม่ใช่ว่ามันจะเพิ่มความสามารถในการปะทุพลังฉีกว่า 50% เลยหรือ

(ปะทุพลังฉี = กับการนำพลังฉีออกมาใช้ สภาวะพลังฉี = คล้ายกับปะทุพลังฉี แต่คนที่อ่อนแอ่จะได้รับแรงกดดัน)


 


สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ เทคนิคลับของหญิงสาวนางนั้นทำได้แค่รวบรวมพลังฉีมาไว้ที่ฝ่ามือเท่านั้น แต่เทคนิคลับมังกรเร้นลับเพิ่มพลังฉีและปะทุพลังได้ทั้งร่างกาย


 


“ผู้อาวุโสของตระกูลเจิ้งกล่าวว่าตลอดทั้งตระกูลเจิ้ง มีเพียงเขาเท่านั้นที่สามารถฝึกฝนเทคนิคลับมังกรเร้นลับได้จนถึงขั้นแรก แต่ทำไมมันถึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับข้า?”


 


หลังจากฝึกฝนขั้นแรกของเทคนิคลับมังกรเร้นลับได้สำเร็จ หลี่ฟู่เฉินคล้ายแคลงใจบางอย่าง


 


หลี่ฟู่เฉินจะรู้ได้อย่างไรว่าเทคนิคลับนั้นง่ายกว่าการฝึกฝนทักษะต่อสู้อื่นๆ ในระดับเดียวกัน เทคนิคลับมังกรเร้นลับมีความต้องการในการควบคุมพลังฉีที่สูงมาก หากใครคนนั้นไม่ได้มีการควบคุมพลังฉีที่ดีมากพอ งั้นแล้วมันคงเป็นไปไม่ได้สำหรับเขาที่จะก้าวขึ้นมาสู่ขั้นแรก


 


มันเป็นเพราะจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งของหลี่ฟู่เฉิน การควบคุมพลังฉีของเขานั้นเหนือกว่านักสู้คนอื่นๆ ทั่วไป


 


ซึ่งนี้ก็เป็นสาเหตุที่ว่าทำไมเขาถึงเข้าสู่ขั้นแรกได้ด้วยความพยายามเพียงครั้งเดียว


 


ถ้าเป็นคนอื่น พวกเขาจะต้องฝึกการควบคุมพลังฉีอย่างช้าๆ


 


สำเร็จขั้นแรก หลี่ฟู่เฉินเริ่มเข้าฝึกฝนขั้นสองต่อ


 


ขั้นสองมีความยากลำบากมากกว่าขั้นแรก มันเชื่อมโยมกับเส้นชีพจรกว่าร้อยจุด หากมองแบบภาพรวมแล้ว เส้นทางไหลของชีพจรเหล่านั้นจะเป็นรูปร่างคล้ายมังกร


 


จากจุดนี้ไป มันคงไม่เพียงพอหากจะพึ่งการควบคุมพลังฉีเพียงอย่างเดียว ผู้ฝึกฝนเองจำเป็นต้องความรับรู้ที่มากเพียงพอต่อมันเช่นกัน ด้วยเส้นชีพจรมากมายที่มาเกี่ยวข้อง ตราบใดที่ส่วนใดส่วนหนึ่งไม่ราบรื่น มันจะส่งผลกระทบต่อการบีบอัดพลังฉีทั้งหมด


 


แม้ว่าจะเป็นหลี่ฟู่เฉิน เขาก็ต้องวิเคราะห์ทบทวนมันซ้ำแล้วซ้ำเล่า


 


หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป…


 


ในที่สุดหลี่ฟู่เฉินก็เข้าใจสาระสำคัญทั้งหมดได้


 


“ลำดับความสำคัญของเทคนิคลับมังกรเร้นลับคือการทำให้พลังทั้งหมดไหลเวียนสำเร็จได้ในครั้งเดียว มันจะต้องไม่มีสิ่งกีดขวางใดๆ ระหว่างนั้น ซึ่งนี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมที่เส้นชีพจรถึงได้ไหลอย่างรวดเร็วและราบรื่นเมื่อก่อนหน้านี้ มันไม่ได้เกี่ยวกับการพยายามบีบอัดพลังฉีเส้นหนึ่งให้ถึงขีดจำกัด นั้นจะทำให้เส้นทางทั้งหมดกลายเป็นยุ่งเหยิง”


 


ด้วยจุดสำคัญที่เข้าใจนี้ ความก้าวหน้าในด้านการฝึกฝนของเขากลายเป็นเร็วขึ้นทันที


 


สองสัปดาห์ต่อมา ในที่สุดหลี่ฟูเฉินก็บรรลุขั้นที่สองของเทคนิคลับมังกรเร้นลับ


 


เมื่อเทียบกับขั้นแรก ขั้นสองของเทคนิคลับมังกรเร้นลับทำให้ปะทุพลังฉีออกมาได้กว่า 50%


 


หลี่ฟู่เฉินคาดการณ์ว่า แม้เขาจะก้าวหน้าจากระดับที่หกของขอบเขตต้นกำเนิดไปสู่ระดับที่เจ็ดของขอบเขตต้นกำเนิด เขาก็จะปะทุพลังฉีได้แบบเดียวกัน


 


กล่าวอีกนัยนึง เมื่อเขาเปิดใช้งานเทคนิคลับมังกรเร้นลับขั้นที่สอง ความแข็งแกร่งในด้านพลังต่อสู้ของหลี่ฟู่เฉินนั้นจะใกล้เคียงกับนักสู้ขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่เจ็ด แทนที่จะเป็นนักสู้ขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่หก


 


“เทคนิคลับน่ากลัวเกินไป ความแตกต่างระหว่างผู้ที่ฝึกฝนและผู้ที่ไม่ได้ฝึกฝนนั้นมากมายเกินไป!”


 


หลี่ฟู่เฉินเต็มไปด้วยอารมณ์


 


เพื่อพัฒนาความสามารถในปัจจุบันของเขา เขาจำเป็นต้องฝึกฝนเทคนิคบ่มเพาะที่แข็งแกร่งขึ้น ทักษะดาบ หรือก้าวหน้าในด้านด่านพลังของเขา ใครจะคิดว่าเทคนิคลับมังกรเร้นลับนี้จะช่วยให้ความสามารถโดยรวมของเขาเพิ่มขึ้น 50%


 


“ที่ข้าได้ทำภารกิจนี้ก็คล้ายกับได้รับพร ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น มันคงเป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะได้รับเทคนิคลับเช่นนี้”


 


หลี่ฟู่เฉินดีใจที่พบพานกับโอกาส


 


ในนิกายวารีคราม ศิษย์ชั้นในของพวกเขาสามารถแลกเทคนิคลับได้ภายใต้สถานการณ์พิเศษ และมันก็เป็นเทคนิคลับระดับ 1 ดาวที่ดีที่สุด

(หมายเหตุ TL: จากนี้นิกายคังหลุนจะเปลี่ยนเป็นนิกายวารีคราม) (ทางอิ้งเขาเปลี่ยนเป็นวารีคราม ย้ำอีกครั้ง)


 


นิกายจะช่วยให้ท่านแลกเทคนิคลับระดับ 2 ดาวได้ หากพวกเขาต้องการความช่วยเหลือจากตัวเรา


 


***


 


“นางน่าจะออกไปแล้วใช่มั้ย?”


 


หลี่ฟู่เฉินไม่ได้มีแผนที่จะออกจากภูเขาหิมะร่องลอย เขายังคงตั้งใจที่จะแช่ตัวในสระนมศิลาพันปีอยู่

(หมายเหตุ TL: ภูเขาเฟ่ยเซี่ย = หิมะร่อยลอย)


 


กลับมาที่สระอีกครั้ง หลี่ฟูเฉินไม่กระโดดทันทีเหมือนครั้งที่แล้ว ตอนอื่นเขาโยนก้อนหินลงไปก่อน


 


หลังจากสองสามนาทีที่เห็นว่ายังไม่มีปฏิกิริยา หลี่ฟู่เฉินจึงถอดเสื้อผ้าของเขาและเข้าไปในสระ


 


ในแต่ละวันที่ผ่านไป หลี่ฟู่เฉินตระหนักได้ว่าความคืบหน้าของเขาไม่เร็วเท่ากับการลงสระครั้งแรก


 


31,000 กิโลกรัม… 32,000 กิโลกรัม…


 


33,000 กิโลกรัม… 35,000 กิโลกรัม…


 


หลายวันต่อมา ความแข็งแกร่งทางกายภาพของหลี่ฟู่เฉินก็มาถึง 35,000 กิโลกรัม


 


“ข้าเกือบจะถึงขีดจำกัดแล้ว พลังฉีและเลือดในร่างกายของข้าต่างก็เริ่มเปลี่ยนไป ข้าจำเป็นต้องทำให้มันบริสุทธิ์ก่อนที่จะลงแช่อีกครั้ง”


 


หลี่ฟูเฉินรู้สึกว่าพลังงานในร่างกายของเขากระจัดกระจายมากเกินไป ผลกระทบของนมศิลาจำนวนมากถูกซ่อนอยู่ภายในเนื้อและกระดูก ซึ่งมันยังไม่ได้แปลงเป็นพลังของเขาเอง


 


“ข้าควรกลับไปก่อน และมาที่นี้อีกครั้งเมื่อมีโอกาส”


 


ความรู้สึกล้นเหลือทำให้เขาไม่สบายใจ จากความแข็งแกร่งทางกายภาพ 35,000 กิโลกรัม 3,000 กิโลกรัมของมันไม่ใช่ความแข็งแกร่งที่แท้จริง แต่เป็นพลังงานจากน้ำนมศิลา มันก็เหมือนการที่คนธรรมดากินอาหารเสริมบางอย่างเข้าไปและเริ่มรู้สึกหมดแรง มันเป็นความแข็งแกร่งที่ไม่ได้เป็นของตัวเอง และจะกระจายไปตามกาลเวลา


 


ออกจากถ้ำใต้ดินและภูเขาหิมะร่องลอย หลี่ฟูเฉินมุ่งหน้าไปยังเมืองผนึกปีศาจ


 


 


สิ่งที่เปลี่ยน

(หมายเหตุ TL: เมืองผนึกปีศาจ = เมืองหลินช๋าง นอกจากนี้ยังอาจหมายถึงเมืองที่อยู่ใกล้กับปีศาจสวรรค์)

(หมายเหตุ TL: ปีศาจสวรรค์ = นิกายเทียนช๋า)

(นิกายคังหลุน = นิกายวารีคราม)


บทที่ 130

ตระกูลหม๋าผู้หยิ่งผยอง


 


 


ตระกลูเจิ้ง


 


หลังจากที่รอมากว่าหนึ่งเดือน ตระกูลเจิ้งกลับกลายเป็นกังวล


 


พระพุทธรูปหยกคือมรดกตกทอดของตระกูลเจิ้ง และเทคนิคลับมังกรเร้นลับก็คือเทคนิคลับที่ตระกูลเจิ้งต้องการให้คนรุ่นต่อไปของตระกูลสืบทอด ดังนั้น สิ่งนั้นจึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหายไปได้ หากหลี่ฟู่เฉินล้มเหลว พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรแล้ว


 


“ข้าสงสัยว่าวีรบุรุษหนุ่มหลี่ได้พบกับพี่น้องสามหวังแล้วหรือยัง?”


 


ในศาลาเจ็ดชั้นที่พำนักของผู้นำตระกูลเจิ้ง ผู้นำตระกูลและผู้อาวุโสเจิ้งมองไปยังพื้นที่ที่อยู่ห่างออกไป หวังอยากที่จะเห็นร่างของหลี่ฟู่เฉิน


 


“อ๊ะ!”


 


หลังจากจ้องมองบ้างบางครั้งหลายเวลา ผู้อาวุโสเริ่มส่ายหัวและเตรียมที่จะลงจากศาลาแห่งนี้


 


“ลุงสอง นั้น นั้นใช่วีรบุรุษหนุ่มหลี่หรือไม่?”


 


ผู้นำตระกูลตื่นเต้นขณะที่ชี้ไปยังที่แห่งนึง


 


“ให้ข้าดู”


 


ผู้อาวุโสรีบหันกลับไป


 


“มันเป็นวีรบุรุษหนุ่มหลี่! ฮ่าฮ่า! ให้เราได้ตอนรับเขา!” ผู้อาวุโสตระกูลเจิ้งหัวเต็มเสียง


 


ด้านนอกประตูบ้านของตระกูลเจิ้ง เหล่าอาวุโสของตระกูลเจิ้งยืนเรียงกันเป็นสองแถวเพื่อรอต้อนรับ


 


“วีรบุรุษหนุ่มหลี่ เกี่ยวกับพระพุทธรูปหยก…” ผู้นำตระกูลเจิ้งถามอย่างระมัดระวัง


 


หลี่ฟู่เฉินเดินเข้ามาและหัวเราะ “โชคยังดีที่ข้าไม่ได้ทำให้ตัวเองขายหน้า”


 


จบคำพูดของเขา เขาหยิบพระพุทธรูปหยกออกจากที่เก็บสัมภาระ


 


“ขอบคุณวีรบุรุษหนุ่มหลี่ ขอบคุณมาก!” ผู้นำตระกูลตื่นเต้นยิ่ง และรับพระพุทธรูปหยกมาพร้อมกับคำขอบคุณ


 


***


 


เพื่อที่จะฝึกฝนเทคนิคลับมังกรเร้นลับ จึงจำเป็นต้องมีพระพุทธรูปหยก ดังนั้น หลี่ฟูเฉินต้องอยู่ที่ตระกูลเจิ้งชั่วคราว


 


เขาตั้งใจที่จะเข้าถึงขั้นสามของเทคนิคลับมังกรเร้นลับให้ได้ก่อนจะกลับไปยังนิกาย


 


มันคงจะช่วยชีวิตเข้าได้หากต้องเดินทางไปยังที่ๆ แปลกประหลาด


 


“วีรบุรุษหนุ่มหลี่ อาหารกลางวันของท่าน”


 


ลานนอกบ้าน สาวใช้สองคนถือถาดอาหารมา


 


“วางไว้ที่โต๊ะหินด้านนอก ข้าจะทานมันทีหลัง” เสียงของหลี่ฟู่เฉินดังมาจากในบ้าน


 


“วีรบุรุษหนุ่มหลี่แน่แล้วว่าต้องขยันหมั่นเพียร เขาไม่ได้ออกจากบ้านตลอดทั้งสัปดาห์และฝึกฝนอย่างหนักเพื่อพัฒนาทักษะต่อสู้ของเขา ไม่น่าแปลกใจที่เขามีความสามารถในระดับนี้ได้”


 


“อ้าย… มันคงจะดีถ้าข้าได้วีรบุรุษหนุ่มหลี่เป็นสามี!”


 


“เลิกฝันได้แล้ว! แม้แต่นายหญิงตระกูลเจิ้งของเราก็ยังดีไม่พอสำหรับวีรบุรุษหนุ่มหลี่ มันคงจะดีกว่าหากเจ้านำมันไว้ในความฝันตลอดไป!”


 


“ข้าก็แค่ฝันถึงเท่านั้นเอง”


 


วางถาดลงไว้ แม่บ้านสองคนจากไปขณะที่หัวเราะคิกคัก


 


หลี่ฟู่เฉินหัวเราะอย่างขมขื่นและส่ายหัว


 


เทคนิคลับมังกรเร้นลับขั้นที่สามยากต่อการฝึกฝน ครึ่งเดือนผ่านไปแล้วแต่หลี่ฟู่เฉินก็ยังไม่พบจุดสำคัญสำหรับการพัฒนาต่อไป เขาคาดว่าเขาจะต้องใช้เวลาอีกหนึ่งหรือสองเดือนก่อนที่เขาจะเชี่ยวชาญ


 


วันนี้ หลี่ฟู่เฉินทำการฝึกฝนสืบต่อไป


 


ห่างออกไปหลายไมล์ กลุ่มคนที่ขี่ม้าเลือดปีศาจกำลังวิ่งตรงมาที่ตระกูลเจิ้ง


 


“นายน้อยชิงหยาง ผู้นำตระกูลผู้นี้ต้องการถูกบังคับมากกว่าถูกยื่นข้อเสนอ มันเป็นพรสำสำหรับพวกเขาแล้วที่นายน้อยชิงหยางต้องการแต่งงานกับหญิงสาวของตระกูลเจิ้ง เจิ้งเหว่ย แต่พวกเขายังกล้าที่จะปฏิเสธอยู่อีก?”


 


“นั้นถูกแล้ว ตอนนั้นคราแรกหญิงสาวจากตระกูลหลูไม่ต้องการที่จะปฏิบัติตาม แต่ท้ายที่สุดก็ต้องจบลงด้วยการเป็นผู้หญิงของนายน้อยชิงหยางอยู่ดี”


 


ผู้นำกลุ่มที่ขี่ม้าเลือดปีศาจระดับ 2 คือชายอายุ 30 ปี เขามีใบหน้ายาวและจมูกรูปกระเทียม เขาไม่ถือว่าน่าเกลียด แต่ให้ความรู้สึกที่ดูแล้วอึดอัด


 


ชายสองคนที่อยู่ข้างเขาไม่หยุดที่จะหาคำประจบ


 


ชายผู้นี้ชื่อหม๋าชิงหยาง ไม่นานจากนั้นเขาก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่โหดเหี้ยม “หญิงสาวจากตระกูลหลูไม่เชื่อฟังข้าฉะนั้นนางจึงถูกทรมานจากข้าเป็นเวลากว่าเดือน หญิงสาวจากตระกูลเจิ้งนางนี้เองก็ไม่เชื่อฟังข้าเช่นกัน หลังจากข้าพาเธอกลับไปได้แล้ว ข้าจะทรมานนางเป็นเวลาสามเดือน”


 


ตระกูลหม๋าของเขาเป็นหนึ่งในสามตระกูลหลักของเมืองจวนปีศาจ ตระกูลของเขามีนักสู้ขอบเขตปฐพีสามคนและสมาชิกของตระกูลจำนวนมาก็อยู่ในนิกายวารีคราม(คังหลุน) ทุกทิศของเมืองจวนปีศาจ ไม่มีใครกล้าที่จะรุกรานตระกูลหม๋าเว้นแต่ตระกูลหลีกอีกสองตระกูล


 


“นายน้อยชิงหยาง พวกเรามาถึงตระกูลเจิ้งแล้ว”


 


“เข้าไป!”


 


หม๋าชิงหยางไม่ได้ลดความเร็วของตนเองลง และนำพากลุ่มของเขาไปที่บ้านของผู้นำตระกูลเจิ้ง


 


ด้วยกลุ่มคนที่กำลังขี่ม้าเข้ามามากมาย สมาชิกตระกูลเจิ้งกลายมาเป็นหวาดกลัว


 


ผู้นำตระกูลเจิ้งพยายามยกยิ้มและเดินเข้าไปเบื้องหน้าของหม๋าชิงหยางขณะที่ป้องกำปั้น “ข้าสงสัยว่าทำไมนายน้อยชิงหยางถึงมาอยู่ที่นี่?


 


หม๋าชิงหยางไม่ได้กล่าวสิ่งใด ชายข้างเขาพูดแทน “พาลูกสาวของเจ้าออกมา นายน้อยชิงหยางของข้าได้มานำลูกสาวของเจ้ากลับไปที่ตระกูลหม๋า นอกจากนี้ ท่านยังได้เตรียมเหรียญทองอีก 100,000 เหรียญทองเพื่อมาเป็นของฝาก ทำมัน หากเจ้าไม่ต้องการเผชิญกับผลลัพธ์ที่จะตามมา”


 


ผู้นำตระกูลเจิ้งระงับความโกรธของตนเองและกล่าวด้วยน้ำเสียงเบาๆ “เป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับการที่นายน้อยชิงหยางชมชอบลูกสาวข้า ตามตรรกะ มันควรจะเป็นพรสำหรับลูกสาวของข้า แต่ลูกสาวของข้ามีคนที่นางเลือกอยู่แล้ว ดังนั้น….”


 


“กล้าดียังไง! เจ้ารู้หรือไม่ว่านายน้อยชิงหยางของเราเป็นหลานชายของผู้นำตระกูลหม๋า? หยุดเรื่องไร้สาระของเจ้าก่อนที่เราจะกำจัดตระกูลเจิ้งทิ้ง!” ชายอีกคนดึงดาบออกมาและตะโกนอย่างดุเดือด


 


ผู้นำตระกูลหลังจากทั้งหมดแล้วก็ยังเป็นผู้นำตระกูลอยู่ดี ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขาจำเป็นต้องทนทุกข์ทรมาณจากจากถูกปฏิบัติเช่นนี้ เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ท่านเจ้าเมืองรู้หรือไม่ว่าตระกูลของท่านกำลังมาสร้างความรำคาญให้กับที่นี่?”


 


ตระกูลลำดับที่ 1 ของเมืองจวนปีศาจแน่นอนว่าย่อมเป็นตระกูลของท่านเจ้าเมือง ตระกูลซู


 


ได้ยินคำถาม การแสดงออกทางสายตาของหม๋าชิงหยางกลายเป็นน่ากลัว “เจ้ากล้าใช้ชื่อของเจ้าเมืองเพื่อหยุดยั้งข้า? เจ้ากำลังมองหาความตายอยู่หรือไร?”


 


“ข้าไม่กล้า แต่อย่าได้บังคับข้าให้ทำ”


 


ผู้นำตระกูลเจิ่งไม่เชื่อว่าตระกูลหม๋ากล้าที่จะกำจัดตระกูลเจิ้งของเขา นิกายวารีครามเป็นนิกายที่ชอบธรรม และในแว่นแคว้นของพวกเขามักมีความสงบสุขอยู่เสมอ หากตระกูลหลักต้องการที่จะกำจัดตระกูลรอง พวกเขาจะต้องทำในที่มืดและไม่ให้ใครรู้ ถ้าเจ้าเมืองรู้เรื่องนี้เข้า เขาจะเข้ามายุ่งแน่นอน หากการกระทำดังกล่าวถูกทำภายในเมืองของเขา เช่นนั้นแล้วชื่อเสียงในฐานะผู้ปกครองเมืองย่อมได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน


 


“ฮี่ฮี่ ข้าจะโง่กำจัดตระกูลเจิ้งของเจ้าทั้งตระกูลไปทำไม? แต่ข้ามีอำนาจพอที่จะนำเจ้ากลับไปเพื่อทำการสอบสวน ข้าได้ยินมาว่าผู้นำตระกูลเจิ้งวางแผนที่จะสังหารบุคคลหนึ่งในผู้ที่อยู่ชั้นปกครองของข้า ตอนนี้ข้ามีหลักฐานแล้ว นำเขากลับไปสอบสวน ทุกคนที่ไม่เชื่อฟังจะต้องตาย!”


 


หม๋าชิงหยางโบกมือแล้วประกาศ


 


“กล้าดียังไง!”


 


ผู้อาวุโสเจิ้งเดินออกมาจากห้องโถงด้วยความโกรธ


 


“กล้าแล้วอย่าไร? ตระกูลหม๋าของข้าเป็นท้องฟ้าสำหรับเมืองจวนปีศาจ หากเจ้ากล้าขัดขืนเรา เจ้าควรวางแผนสำหรับสิ่งที่เลวร้ายที่สุด!”


 


ด้วยคำสั่งจากหม๋าชิงหยาง สี่การ์ดที่อยู่ในระดับเก้าของขอบเขตต้นกำเนิด ลงจากม้าของพวกเขาและล้อมรอบผู้นำตระกูลและผู้อาวุโสเจิ้ง


 


ใบหน้าของผู้นำตระกูลเจิ้งกลายเป็นขาวซีด หยิ่งเกินไป เป็นบุคคลที่ไร้กฏเกณฑ์อย่างแท้จริง


 


“พ่อ”


 


ขณะนี้เอง หญิงสาวที่บอบบางและสง่างามรีบออกไป


 


“เหว่ยเอ๋อ ทำไมเจ้าถึงออกมา? กลับเข้าไปเร็ว!”

(หมายเหตุ TL: บางครั้งพ่อแม่ก็พูดกับลูกของตนเองว่าเอ๋อ เช่นผู้นำตระกูลเจิ้งที่เรียก เจิ้งเหว่ยว่าเหว่ยเอ๋อ)


 


การแสดงออกของผู้นำตระกูลเจิ้งเปลี่ยนไปทันที


 


“ตั้งแต่ที่เจ้าได้ออกมาแล้ว ทำไมถึงต้องกลับเข้าไปอีก? เจิ้งเหว่ย พ่อของเจ้าเป็นผู้ที่มีความผิดร้ายแรงและต้องกลับไปตระกูลหม๋ากับข้า เจ้าเองก็ควรมาด้วยเช่นกัน บางทีพ่อของคุณอาจถูกทรมานน้อยลง หากเจ้าบริการข้าได้ดี ข้าอาจพิจารณาได้การปล่อยพ่อของเจ้าไป” หม๋าชิงหยางยกยิ้มอย่างน่ารังเกียจ


 


“ข้าจะไปกับเจ้า แต่เจ้าต้องปล่อยพ่อของข้าไป” เจิ้งเหว่ยยอมรับชะตากรรมของเธอ


 


“เหว่ยเอ๋อ ไม่!” ผู้นำตระกูลเจิ้งตื่นตระหนก


 


“พ่อของเจ้าเอ่ยปากของตนเองโดยไม่คิดและทำให้ข้าขุ่นเคือง แต่ข้าจะให้โอกาสเขา หากเขาคุกเข่าลงและขอร้องข้า” หม๋าชิงหยางไม่ได้จากลงม้าและกล่าวออกมาอย่างคนสูงศักดิ์และยิ่งใหญ่


 


“เวรเอ้ย” ผู้นำตระกูลเจิ้งคิดสละชีวิตและต่อสู้กับมัน


 


“เย่อหยิ่งเสียจริง อะไรที่ทำให้สุนัขกล้าแสดงความกล้าหาญที่นี่เช่นนี้?”


 


ร่างเดินออกมาที่ลานบ้านของผู้นำตระกูลเจิ้ง


 


“สารเลวน้อย กำลังมองหาความตายอยู่หรือไร? เจ้ากล้ากล่าวว่านายน้อยชิงหยางเป็นสุนัข?” ชายคนหนึ่งดึงดาบของเขาออกมาและฟันไปที่หลี่ฟู่เฉิน


 


ประกายความเย็นชาส่องผ่านออกมาจากดวงตาของหลี่ฟู่เฉิน ในขณะที่เขาส่งฝ่ามือออกไป


 


ด้วยแสงเจิดจ้าที่บังสายตา ชายคนนั้นถูกเผาทันที


 


เห็นฉากนี้ สมาชิกตระกูลหม๋ากลายเป็นโง่งม


 


มีคนกล้าฆ่าใครบางคนที่มาจากตระกูลหม๋าอย่างเช่นพวกเขา ผู้ชายคนนี้กระทำความผิดร้ายแรงและไม่มีใครสามารถช่วยเขาได้อีกต่อไป แม้ว่าเจ้าเมืองจะอยู่ที่นี่ พวกเขาก็จะมีข้อแก้ตัว


 


“สารเลวนี้มาจากไหน? ฆ่ามัน!” หม๋าชิงหยางตำราม


 


“ฆ่า!” สมาชิกตระกูลหม๋าส่วนใหญ่พุ่งไปที่หลี่ฟู่เฉิน


บทที่ 131

ความหมายของคำว่าเหนือกว่า


 


 


บูม บูม บูม…


 


หลังจากที่เกิดเสียงปะทะกันหลายครั้ง สมาชิกตระกูลหม๋าที่วิ่งไปยังหลี่ฟู่เฉิน ต่างก็ถูกส่งบินกลับมาพร้อมกับกระดูกที่หักหรือไม่ก็หน้าอกที่ไหม้เกรียม


 


“เจ้าเป็นคนตายแล้วอย่างแท้จริง แม้แต่สวรรค์ก็จะละทิ้งเจ้าเพราะการฆ่าตระกูลหม๋าของข้า คุกเข่าและขอการให้อภัยในขณะที่เจ้ามีโอกาส หากข้าจับเจ้าได้ ข้าจะให้เจ้าได้สัมผัสกับนรก” การแสดงออกของหม๋าชิงหยางกลายเป็นโหดเหี้ยม


 


“แม้แต่กระทั้งนิกายเอง ก็ย่อมไม่กล้าใช้คำเหล่านั้น ตระกูลหม๋าที่น่าสงสารของเจ้าถึงกับใช้ชื่อเดียวกับสวรรค์?”


 


หลี่ฟู่เฉินไม่สนใจเกี่ยวกับตระกูลหม๋าหรือไม่ว่าใครก็ตาม ด้วยสถานะและความสามารถในปัจจุบันของเขา ตระกูลที่อยู่ในเมืองเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในสายตาของเขา แม้แต่กระทั่งผู้เชี่ยวชาญขอบเขตปฐพีที่สนับสนุนพวกเขา ก็ยังสงผลกระทบต่อหลี่ฟู่เฉินเพียงเล็กน้อย


 


“ตั้งแต่ที่เจ้ามาถามหาความตายด้วยตนเอง ให้ข้าชายชราได้ทุบตีให้เจ้าสำนึก”

ชายชราที่มาจากตระกูลหฒ่าเองก็อยู่ในขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่เก้า ชักดาบของตนเองและหันปลายแหลมไปยังหลี่ฟู่เฉิน


 


บูม!


 


ชายชราพุ่งทยานไปอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็ถูกส่งบินออกไปด้วยฝ่ามือเดียวของหลี่ฟู่เฉิน


 


“พวกเจ้าทั้งสามออกไป! อย่าได้แสดงความเมตตาใดๆ” หม๋าชิงหยางสั่งด้วยน้ำเสียงที่น่ากลัว


 


ต่อหน้าคนทั้งหมดของเขา หม๋าชิงหยางไม่สามารถรับความอับอายนี้ได้


 


“ฆ่า!”


 


นักสู้ขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่เก้าทั้งสามคนร่วมโจมตีประสานใส่หลี่ฟู่เฉิน


 


ขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่เก้าในตระกูลหม๋าเป็นสิ่งหายาก พวกเขามีกันอย่างน้อยไม่กี่สิบคน และหม๋าชิงหยางก็พามาด้วยสี่คนเพื่อเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน(เหมือนลูกสมุนก่อนหน้านี้ทางอิงจะแปลระดับผิด)


 


คนที่โจมตีก่อนเป็นคนที่อ่อนแอที่สุดในพวกเขา


 


“ประเมินตัวเองสูงเกินไป!”


 


หลี่ฟูเฉินไม่เคลื่อนไหวใดๆ แต่กลับกันเขาโคจรเทคนิคเปลวเพลิงลี้ลับ ชั้นพลังฉีสีแดงชัดเจนปรากฏขึ้นจากร่างกายและก่อตัวเป็นเกราะพลังฉี


 


ทั้งสามคนหยุดกลางอากาศ ดาบยาวทั้งหมดของพวกเขาไม่สามารถเจาะทะลุเกราะพลังฉีของหลี่ฟู่เฉินได้


 


“นี่เป็นไปได้อย่างไร?” หนึ่งในสามคนนั้นไม่เชื่อสายตาตัวเอง


 


“เจ้าเป็นศิษย์ชั้นในของนิกายวารีครามหรือไม่?” ทันใดนั้นอีกคนหนึ่งก็รู้และกล่าวออกมาด้วยความกลัว


 


มีเพียงศิษย์นิกายวารีครามชั้นในเท่านั้นที่จะมีความแข็งแกร่งอย่างล้มหลามเช่นนี้ได้ ใช้เกราะพลังฉีเพื่อต่อต้านการโจมตีจากพวกเขาทั้งสาม ถ้ามันเป็นการต่อสู้ระหว่างขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่หกด้วยกัน พวกเขาคงจะตายไปแล้ว


 


“ไป!”


 


หลี่ฟูเฉินตะโกนออกมาคำหนึ่งและระเบิดพลังฉี เพลิงสีแดงที่ลุกโชติช่วงและปลดปล่อยสภาวะพลังฉีออกมาอย่างรุนแรงได้สร้างคลื่นกระแทกต่อทั้งสามคน ทำให้พวกเขาอาเจียนเป็นเลือด


 


“แข็งแกร่งอย่างแท้จริง!”


 


ตระกูลเจิ้งถูกสั่นคลอนจากเหตุการณ์นี้ และทุกคนก็อ้าปากค้าง


 


ในเวลาเดียวกัน หัวใจของพวกเขาก็เต็มไปด้วยความชื่นชม


 


ถ้าพวกเขาแข็งแกร่ง ตระกูลหม๋าจะกล้ามาทำให้พวกเขาขายหน้าหรือไม่?


 


“เจ้า เจ้า…”


 


หม๋าชิงหยางชี้ไปที่หลี่ฟู่เฉิน แต่ก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้แม้แต่คำเดียว


 


“หยุดพูดคำว่า ‘เจ้า’ และลงมาจากหลังม้าเดี๋ยวนี้!”


 


ด้วยคลื่นฝ่ามือ หลี่ฟู่เฉินทำให้หม๋าชิงหยางต้องกลิ้งลงจากม้าเลือดปีศาจในลักษณะที่น่าสมเพช


 


เขาเกลียดคนหยิ่งยโสและไร้เหตุผลเช่นหม๋าชิงหยาง ย้อนกลับไปที่เมืองหมอกเมฆา ทุกคนจากเฉินตู่ หยาง และตระกูลกั่วเองก็เป็นเชกเช่นเดียวกัน แต่หม๋าชิงหยางแย่กว่านั้นมาก

(TL หมายเหตุ: เมืองหยุนหวู = เมืองหมอกเมฆา)


 


“เจ้ากล้าโจมตีข้า? เจ้ารู้หรือไม่ว่าปู่ของข้าเป็นผู้นำตระกูลหม๋า และอยู่ในระดับที่สองของขอบเขตปฐพี ลูกพี่ลูกน้องของข้าผู้ดูแลชั้นในฝึกหัดของนิกายวารีคราม และลุงของข้าก็เป็นผู้ดูแลชั้นใน เจ้าตายแน่นอน”


 


หม๋าชิงหยางเคยเป็นคนที่สูงส่งและยิ่งใหญ่ ตั้งแต่เมื่อใดกันที่เขาต้องทนทุกข์เช่นนี้? เขาโกรธมากจนจิตใจของเขาพร่เลือนและดวงตาของเขาแดงก่ำ


 


บูม!


 


หลี่ฟู่เฉินส่งลูกเตะเข้าไปที่ท้องของหม๋าชิงหยาง และทำให้เขาบินขึ้นไปในอากาศ เพลิงพลังฉีสีแดงบินตามเข้ามา และทำลายเส้นชีพจรส่วนล่างของหม๋าชิงหยาง


 


จะไม่มียาวิเศษหรือผู้เชี่ยวชาญที่รักษาสิ่งนี้ให้หายขาดได้ เขาจะใช้ชีวิตที่เหลือแบบไร้ความใคร่และไร้ความสนใจต่อผู้หญิง


 


“หากเจ้ายังไม่รีบออกไป ต่อไปข้าจะเอาหัวของเจ้า” หลี่ฟู่เฉินกล่าวเสียงเย็นชา


 


“นายน้อยชิงหยาง ไปกันเถอะ!”


 


นักสู้ขอบเขตต้นกำเนิดระดับเก้าที่ได้รับบาดเจ็บจากหลี่ฟู่เฉินก่อนหน้านี้ ช่วยหม๋าชิงหยางขึ้นมาแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนก


 


ผู้ชายควรต่อสู้บนความได้เปรียบ ด้วยความสามารถในปัจจุบันของพวกเขา มันเป็นไปไม่ได้ที่จะจัดการกับหลี่ฟูเฉิน


 


พวกเขากลัวว่าหม๋าชิงหยางจะกระทำบางอย่างที่รุนแรงขึ้นและทำให้หลี่ฟู่เฉินเข้ามาฆ่าพวกเขา


 


ตราบใดที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ พวกเขาจะมีโอกาสแก้แค้น กลับไปที่ตระกูลหม๋าคือความสำคัญอย่างแรกที่พวกเขาต้องทำ


 


“เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อนเถอะ”


 


หม๋าชิงหยางรู้สึกเจ็บปวดที่ส่วนล่างของเขาและคำรามออกมาอย่างเดือดดาล จากนั้นเขาก็ควบม้าและหายไป


 


โดยไม่ต้องใช้ความพยายามากนัก ตระกูลหม๋าทั้งหมดก็ออกไป ทิ้งศพที่ไหม้เกรี้ยมไว้ข้างหลัง


 


“ขอบคุณมากสำหรับความช่วยเหลือของวีรบุรุษหมุ่นหลี่”


 


ผู้นำตระกูลและผู้อาวุโสเจิ้งคำนับด้วยความซาบซึ้ง หญิงสาวของตระกูลเจิ้ง เจิ้งเหว่ยยังโค้งคำนับ ใบหน้าที่สวยงามของเธอเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นและการชื่นชม


 


ความงามย่อมชมชอบวีรบุรุษ


 


นี่เป็นความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่สมัยโบราณ


 


ในโลกที่ผู้มีอำนาจสูงสุดปกครอง ใครจะไม่อยากให้สามีเป็นวีรบุรุษที่ไร้ใดเปรียบบ้าง ใครผู้ซึ่งสามารถปกป้องพวกเขาให้มีชีวิตรอดอยู่ได้


 


หลี่ฟู่เฉินป้องมือของเขากลับ “ข้าจะยังคงอยู่เป็นระยะเวลาหนึ่ง แค่ให้ไวน์และอาหารอร่อยๆ แก่ข้าก็พอ”


 


จบคำพูดของเขา เขาก็หันกลับไปที่ลานบ้าน


 


***


 


“เส้นชีพจรของเทคนิคลับมังกรเร้นลับขั้นสาม นั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นรูปร่างมังกร มันจะมีความลึกลับของมังกรซ่อนอยู่หรือไม่?”


 


เมื่อมองไปยังเส้นชีพจรหลายร้อยจุดที่สว่างขึ้นภายในพระพุทธรูปหยก หลี่ฟู่เฉินตกอยู่ในห้วงลึกของความคิด


 


มังกร มันเป็นสัตว์ปีศาจที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดภายใต้ฟ้าสวรรค์ สามารถเรียกลมและเรียกฝน มันสามารถรังสรรค์สิ่งต่างๆและสำรวจไปในทุกๆ ที่ได้ มันเป็นสิ่งที่เหนือกว่าจักรวรรดิ และสามารถเข้าไปในนรกสื่อสารกับเหล่าเทพเจ้าและปีศาจได้ มันเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับพระเจ้า


 


การเรียกมังกรว่าสัตว์ปีศาจนั้นจริงๆ แล้วไม่ถูกวรมากนัก ควรรู้จักกันว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์


 


แต่ ไม่มีใครเคยเห็นมังกรของจริงมาก่อน จึงไม่ทราบว่ามังกรมีอยู่จริงหรือไม่ มันมีอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็นตำนานหรือนิทานปรัมปรา


 


หลี่ฟูเฉินมีช่วงเวลาที่ยากลำบากในการพยายามประติดประต่อสัมพันธ์ระหว่างเทคนิคลับมังกรเร้นลับระดับ 3 ดาว กับมังกร


 


หลังจากทั้งหมดแล้ว ทั้งสองก็มีความแตกต่างกันอย่างมาก แนวคิดดังกล่าวควรใช้สำหรับเทคนิคลับระดับ 9 ดาว คงจะเหมาะสมกว่า


 


***


 


สามวันต่อมา หลี่ฟูเฉินยังไม่เข้าใจขั้นที่สามของเทคนิคลับมังกรเร้นลับ


 


ในขณะเดียวกัน หม๋าชิงหยางและคนของเขาก็กลับไปถึงตระกูลหม๋าแล้วในที่สุด


 


“ปู่ ท่านต้องช่วยข้า”


 


หม่าชิงหยางคุกเข่าและร้องไห้ต่อหน้าชายชราที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่ดูหรูหราสง่างาม


 


ชายชราพยุ่งหม๋าชิงหยางขึ้นมาและกล่าวว่า “จะกล้าได้อย่างไร! แล้วถ้าเขาเป็นศิษย์ชั้นในของนิกายวารีครามล่ะ? ตระกูลหม๋าของข้ามีความสัมพันธ์มากมายอยู่ภายในนิกายวารีคราม”


 


ชายชราผู้นี้เป็นผู้ก่อตั้งตระกูลหม๋า หม๋าไท่ชง ระดับที่สองของขอบเขตปฐพี


 


“ปู่ ข้าถูกเตะโดยเขา ร่างกายส่วนล่างของข้ารู้สึกชาด้านและบวมเป่ง” หม๋าชิงหยางเล่าเรื่องนี้และเล่าเรื่องทุกอย่างให้หม๋าไท่ชงฟัง


 


“มาดูกันเถอะ” หม๋าไท่ชงเอื้อมมือออกไปที่หน้าท้องของหม๋าชิงหยาง


 


หลังจากนั้นไม่นาน ดวงตาของหม๋าไท่ชงก็ปรากฏเจตนาสังหารขึ้น “สารเลวนั้นช่างเลวร้าย! เขากล้าทำลายการสืบพันธ์ของหลานชายคนเดียวของข้าจริงๆ ตัดวงศ์ตระกูลของข้าทิ้ง! หากข้าไม่ได้รับการชำระแค้น ข้าไม่ขอเป็นชายอีกต่อไป!”


 


ใช้พลังฉีของเขาเพื่อสัมผัสสิ่งที่ผิดปกติภายในร่างกายของหม๋าชิงหยาง หม๋าไท่ชงรู้สึกได้ว่าเส้นชีพจรบริเวณท้องของหลานชายเขาถูกเผาและเหือดแห้ง ถูกพลังฉีทำลายอวัยวะภายใน การรักษาให้เป็นเหมือนเดิมทั้งหมดจะไม่ง่าย ก็ในเมื่อล่างกายส่วนร่างเส้นชีพจรได้เหือดแห้งลงไปแล้ว


 


“ปู่ ข้าเสียหน้าที่พื้นฐานในฐานะผู้ชายไปแล้วใช่หรือไม่?”


 


ได้ยินคำกล่าวของปู่ ความคิดของหม๋าชิงหยางจางหายไปหมด


 


“อย่าตกใจไป ยังมีความหวังในการรักษาอยู่ ตามข้าไปที่ตระกูลเจิ้ง ข้าต้องการชำระหนี้นี้กับสารเลวน้อยนั้น!” หม๋าไท่ชงขบฟัน สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับตระกูลคือความสามารถในการสืบทอดสายเลือด ถ้าคนในยุคนี้ไม่ดีพอ มันย่อมมีคนรุ่นต่อไปเสมอ แต่เมื่อสายเลือดถูกทำลาย ความบาดหมางนี้ก็พอๆ กับการแก้แค้นให้กับบุคคลที่ฆ่าพ่อแม่ของพวกเขา


 


***


 


สามวันต่อมา…


 


ตึ๋ง!


 


พื้นที่ประตูหลักของของผู้นำตระกูลเจิ้งถูกบดขยี้ เมื่อตอนที่หม๋าไท่ชงพาคนของเขาเข้ามา ชายหลายสิบคนเข้ามาที่บ้านของผู้นำตระกูลเจิ้ง “สารเลวนั้นอยู่ไหน? ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้!”


 


ด้วยเสียงที่คล้ายกับฟ้าร้องดังสะท้อนไปทั่วทั้งตระกูลเจิ้ง เสียงได้เดินทางไปที่ลานบ้านของหลี่ฟู่เฉิน


 


“ทำไมถึงมีคนโง่เง่ามากมายในโลกนี้?” หลี่ฟู่เฉินเดินออกจากบ้านอย่างช้าๆ


บทที่ 132

ขั้นที่สามของเทคนิคลับมังกรเร้นลับ


 


 


ตระกูลเจิ้งต่างสั่นสะท้านเมื่อตกอยู่ภายใต้สภาวะพลังฉีของหม๋าไท่ชง แม้แต่กระทั้งผู้นำตระกูลและผู้อาวุโสเจิ้งเองก็มีใบหน้าที่ซีดเซียว ไม่กล้ากล่าวอะไรออกมาแม้แต่เพียวครึ่งคำ


 


ในโลกของนักสู้ ความแตกต่างระหว่างขอบเขตบ่มเพาะนั้น เปรียบเหมือนคนที่ถูกแยกออกจากกันด้วยคลองกว้างขวาง


 


ผู้ซึ่งอยู่ขอบเขตปฐพี สามารถใช้พลังฉีของพวกเขาออกมา


 


แรงกดดันจากสภาวะพลังฉีคือการรวมกันของสภาวะพลังฉีและความมุ่งมั่นทางจิตวิญญาณ แรงกดดันเกิดจากคุณสมบัติทั้งสอง


 


มันไม่ใช่เรื่องเกินจริงที่จะพูดว่าภายใต้สถานการณ์ปกติ แม้กระทั่งนักสู้ขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่แปดก็ไม่สามารถเอาชนะนักสู้ขอบเขตปฐพีได้ ไม่ใช่เพราะความสามารถไม่เพียงพอ แต่เป็นเพราะเจตจำนงแห่งการสู้รบ ภายใต้แรงกด


 


ดันพลังฉี บุคคลนั้นถือว่ามีความสามารถมากล้ว หากสามารถใช้ความแข็งเดิมของเขา / เธอได้ 60% จากปกติ


 


แต่หากมีนักสู้ขอบเขตต้นกำเนิดระดับเก้ามากกว่านี้ เมื่อนั้นสถานการณ์อาจแตกต่างกัน ด้วยตัวเลขที่มากขึ้น แรงกดดันพลังฉีของกลุ่มก็จะแข็งแกร่งมากขึ้น นักสู้ขอบเขตสวรรค์ไม่กล้าใช้แรงกดดันพลังฉีของพวกเขาในการต่อสู้กับกองทหารหนึ่งพันนาย


 


“สารเลวน้อยตัวนั้นอยู่ไหน!”


 


หม๋าไท่ชงถามผู้นำตระกูลและผู้อาวุโสเจิ้ง


 


“เจ้าอยู่ในวัยชราแล้ว และเจ้ามาที่นี่เพื่อเรื่องไร้สาระทั้งหมดนี้ทำไมกัน? ไม่ดีกว่าหรือที่จะใช้เวลาไปแล้วเพลิดเพลินอยู่ที่บ้าน?”


 


“สารเลวน้อย ไม่คิดว่าเจ้าจะมีปากดุจสุกรเช่นนี้ ข้าจะสั่งสอนเจ้าแทนบุพการีของเจ้าเอง”


 


หม๋าไท่ชงใช้แรงกดดันของสภาวะพลังฉีใส่หลี่ฟู่เฉิน


 


ต่อต้านแรงกดดันจากหม๋าไท่ชง หลี่ฟูเฉินก็ยังอยู่ลักษณะที่ไม่แยแสเช่นเดิม “แรงกดดันจากสภาวะพลังฉีของเจ้าอ่อนแอ่เกินไป ระดับนี้และเจ้ายีงกล้ามาที่นี่เพื่อสร้างความอับอายหรือไม่?”


 


ประสบกับแรงกดดันพลังฉีของหม๋าไท่ชง หลี่ฟูเฉินประเมินว่าเทคนิคบ่มเพาะของเขาอยู่ในสีเหลืองระดับสูงสุด


 


บางทีหม๋าไท่ชงอาจอยู่ในนิกายวารีครามในช่วงวัยหนุ่มของตัวเขาเอง


 


เห็นได้ชัดว่าเมื่อตอนที่เขายังหนุ่มเขาอาจเป็นแค่ศิษย์แรงงานหรือเป็นผู้ดูแลชั้นนอก ซึ่งเป็นสาเหตุที่เขาไม่ได้มีโอกาสสัมผัสกับเทคนิคการบ่มเพาะระดับลึกลับขั้นต่ำ


 


เพื่อเข้าถึงเทคนิคบ่มเพาะระดับลึกลับขั้นต่ำ หนึ่งจะต้องเป็นศิษย์ชั้นใน หรือเข้าร่วมกองทัพวารีคราม ช่วงเวลาสั้นๆ ตอนนั้นมีตัวเลือกมากมาย


 


หม๋าไท่ชงไม่ได้คาดหวังว่าแรงกดดันจากสภาวะพลังฉีของเขาจะไม่สามารถกดดันหลี่ฟู่เฉินได้ และกลับกันเขายังเป็นฝ่ายถูกทดสอบเอง เมื่อเห็นว่าแรงกดดันพลังฉีของเขาใช้การไม่ได้ เขาดึงพลังฉีออกมาและเริ่มเคลื่อนไหว


 


“สุนัขเฒ่า ข้าอยากลองใช้พลังของเทคนิคลับของข้า ฉะนั้นข้าจะใช้เจ้าเป็นหนูทดลอง!”


 


โคจรเทคนิคเปลวเพลิงลี้ลับระดับที่สิบสี่


 


เปิดใช้งานเทคนิคลับมังกรเร้นลับขั้นสอง


 


บูม!


 


สภาวะพลังฉีของหลี่ฟู่เฉินพุ่งทะยานทะลุหลังคา และไม่ได้ด้อยไปกว่าของหม๋าไท่ชง คุณภาพของสภาวะพลังฉีที่ปรากฏของเขานั้นดีกว่าของหม๋าไท่ชง มันมีออร่าที่น่าประทับใจ


 


“อะไร? เขาฝึกฝนเทคนิคลับมังกรเร้นลับถึงขั้นที่สองแล้วหรือไม่?”


 


ผู้นำตระกูลเจิ้งกลายเป็นโง่งม หัวใจของเขารู้สึกช็อค


 


หลังจากฝึกฝนเทคนิคลับมังกรเร้นลับ สภาวะพลังฉีของคนๆ นั้นจะมีออร่าพิเศษที่สามารถเพิ่มพลังฉีได้


 


เขามาถึงเพียงขั้นแรกของเทคนิคลับมังกรเร้นลับ ดังนั้นผลลัพธ์ของออร่าพิเศษคือหนึ่งนาที


 


แต่จากสภาวะพลังฉีที่ปรากฏจากตัวของหลี่ฟู่เฉินแข็งแกร่งกว่าของเขาอย่างน้อยสิบเท่า


 


มันเห็นได้ชัดว่าเทคนิคลับมังกรเร้นลับของหลี่ฟู่เฉินอยู่ขั้นที่สอง


 


“อัจฉริยะรุ่น!”


 


ผู้อาวุโสเจิ้งสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามระงับอาการวิงเวียนศีรษะที่มีอย่างท่วมท้น


 


ดวงตาของหม๋าไท่ชงหดแคบลงในขณะที่หัวใจของเขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ


 


แต่เมื่อเริ่มเรื่องแล้ว จะไม่มีจุดให้เสียใจ การกำจัดความบาดหมางต้องเป็นสิ่งแรก


 


วาดดาบของเขา หม๋าไท่ชงใช้วิชาดาบวายุเร่งเร้าใส่หลี่ฟู่เฉิน


 


“ดาบดาวตก” หลี่ฟู่เฉินดำเนินการ


 


บูม!


 


สนามหญ้าหน้าบ้านซึ่งเป็นที่พำนักของผู้นำตระกูลเจิ้ง พายุรุนแรงก่อตัวขึ้น ทำให้เสื้อผ้าของทุกคนสั่นไหวไปกับสายลม


 


“เขาทนดาบของข้าได้จริงๆ สารเลวน้อยนี้เป็นสัตว์ประหลาดประเภทใด?” หนังศีรษะของหม๋าไท่ชงชาด้าน

เขาผู้ซึ่งเป็นนักสู้ขอบเขตปฐพีระดับที่สอง แท้จริงแล้วไม่ควรต้องใช้กระบวนดาบกับนักสู้ขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่หกด้วยซ้ำ เพียงคลื่นฝ่ามืออันเรียบง่ายของเขาก็น่าจะเพียงพอที่จะส่งฝ่ายตรงข้ามบินออกไปแล้ว


 


“สมควรแล้วที่เป็นนักสู้ขอบเขตปฐพีระดับที่สอง”


 


นอกเหนือจากด้านพลังบ่มเพาะ หลี่ฟูเฉินเหนือกว่าคู่แข่งของเขาไม่ว่าจะด้านใดๆ


 


เทคนิคบ่มเพาะสีเหลืองระดับสูงสุดเทียบเท่ากับเทคนิคบ่มเพาะลึกลับขั้นกลางระดับที่เจ็ด หลี่ฟูเฉินสูงกว่าคู่ต่อสู้ของเขาถึงเจ็ดระดับ


 


ในแง่ของความแข็งแรงทางกายภาพ ฝ่ายตรงข้ามอย่างดีที่สุดก็น่าจะอยู่ที่ 12,000 กิโลกรัม แต่เขามี 35,000 กิโลกรัม


 


สำหรับทักษะดาบ ฝ่ายตรงข้ามใช้ทักษะดาบสีเหลืองขั้นสูงสุด ในขณะที่เขาใช้ทักษะลึกลับขั้นต่ำและยังอยู่ขั้นภวังค์ที่แฝงไปด้วยเจตจำนงแห่งดาบ


 


แต่ถึงแม้จะมีข้อได้เปรียบมากมาย พวกมันก็สามารถชดเชยความสมดุลได้ด้วยระดับการบ่มเพาะ


 


หลังจากทั้งหมดแล้ว ช่องว่างระหว่างคนทั้งสองก็คือห้าระดับ ในระหว่างนั้นยังมีอุปสรรคจากขอบเขตต้นกำเนิดไปยังขอบเขตปฐพีอยู่ด้วย


 


เคร้ง เคร้ง!


 


ร่างสองร่างพุ่งเข้าหากันและดาบของพวกเขาปะทะกันไปมา ทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยความเร็วสูงที่ไม่มีใครสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน


 


“ระบำวายุเร่งเร้า!”


 


ทันใดนั้นเอง หม๋าไท่ชงบิดดาบยาวของเขา สภาวะพลังจากดาบราวกับเกิดมาจากพายุหมุน เมื่อนั้นเองที่มันพุ่งเข้าใส่หลี่ฟู่เฉิน


 


“ มาดูกันว่าเจ้าจะป้องกันสิ่งนี้ได้อย่างไร!”


 


หลังจากที่ใช้กระบวนดาบ หม๋าไท่ชงก็หัวเราะอย่างเย็นชา


 


เขาไม่ได้ใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมด และรู้ได้จากระหว่างการต่อสู้ หนึ่งจำเป็นต้องพึ่งพาข้อดีของตนเองและหลีกเลี่ยงข้อเสีย หลี่ฟูเฉินอาจมีความสามารถสูง่าง แต่ไม่สามารถปลดปล่อยพลังฉีได้ และนั่นคือข้อได้เปรียบที่โดดเด่นที่สุดของหม๋าไท่ชง


 


‘แม้ว่าข้าจะปลดปล่อยพลังฉีได้ แต่มันก็ไม่ดีเท่าของคู่ต่อสู้ของข้า ข้าไม่ควรเสียพลังฉีไปทั้งแบบนั้น’


 


เปิดใช้งานขั้นที่สองของเทคนิคลับมังกรเร้นลับ หลี่ฟู่เฉินจึงสามารถปลดปล่อยพลังฉีได้แล้ว แต่เขาไม่ต้องการใช้มัน


 


ใช้ย่างก้าวไร้เงา หลี่ฟู่เฉินกลายเป็นเหมือนเงาและหลบดาบพลังฉี


 


หลังจากการแลกกันมาหลายสิบกระบวนท่า ก็ยังไม่มีใครสามารถได้เปรียบใคร


 


ในฝูงชนที่มาจากตระกูลหม๋า หม๋าชิงหยางรู้สึกอัศจรรย์ใจ


 


“เป็นไปได้อย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้!”


 


เขาไม่สามารถเข้าใจโลกของอัจฉริยะได้ และไม่สามารถเข้าใจโลกของอัจฉริยะที่ท้าทายสวรรค์


 


การต่อสู้ทั้งรุนแรงและสงบ หลี่ฟูเฉินตกอยู่ในสภาพจิตใจที่ผิดปกติ


 


เขารู้สึกราวกับมีบางสิ่งบางอย่างกำลังฟูมฟักอยู่ภายในร่างกายของเขา


 


เมื่อการต่อสู้ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ความรู้สึกก็จะทวีความรุนแรงขึ้นเช่นกัน


 


“มันเป็นเทคนิคลับมังกรเร้นลับหรือไม่?” ไม่นานจากนั้นหลี่ฟูเฉินก็พบต้นเหตุของปัญหา


 


เทคนิคลับมังกรเร้นลับเป็นเทคนิคลับประเภทการต่อสู้ ระหว่างการต่อสู้เท่านั้นที่จะทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะจากขั้นที่สองไปยังขั้นที่สาม จะต้องมีประสบการณ์การต่อสู้หลายร้อยครั้ง


 


แยกความคิดของเขาออกเป็นสอง หลี่ฟูเฉินจดจ่ออยู่กับการต่อสู้ของเขากับหม๋าไท่ชง และยังกดจิตสำนึกของเขาให้ไปอยู่ใต้ร่าง


 


เส้นชีพจรหลายร้อยเส้นเปล่งประกายในร่างกายของเขา


 


เทคนิคลับมังกรเร้นลับนั้นแตกต่างจากเทคนิคบ่มเพาะ มันไม่จำเป็นต้องโคจรพลัง มันเพียงต้องการให้พลังฉีไหลผ่านเส้นชีพจรเพื่อเปิดใช้งาน ซึ่งนี้ก็จะช่วยให้พลังฉีสามารถหมุนได้โดยอัตโนมัติ และเพิ่มพลังสภาวะการระเบิดพลังฉีได้ตามธรรมชาติ


 


แต่แน่นอน การกระทำเช่นนั้นจะช่วยเพิ่มความเร็วในการใช้ออกพลังของผู้ใช้งานเป็นสองเท่าหรือมากกว่า


 


“เมื่อมังกรต่อสู้ในป่า เลือดของมันฉาบท้องฟ้าให้เป็นสีเหลือง”

(หมายเหตุ TL: นี่คือคำพูดที่อธิบายว่า เมื่อคนใดคนหนึ่งเป็นปฏิปักษ์กับศัตรูคนของตนเอง คนๆ นั้นจะยอมสละชีวิตเพื่อกำจัดความชิงชังให้เสร็จสิ้น)


 


โดยไม่รู้ตัว หัวใจของหลี่ฟู่เฉินได้กล่าวคำโบราณเช่นออกมานี้


 


 


“เจ้าตัวอวดดี ข้าไม่รู้ว่าเจ้าใช้เทคนิคอันใดเพื่อเพิ่มความสามารถของเจ้า แต่เทคนิคนั้นคงจะบริโภคพลังฉีออกไปจำนวนมาก มาดูกันว่าเจ้าจะทนได้นานแค่ไหน”


 


หม๋าไท่ชงไม่รู้สึกกังวลอีกต่อไป


 


ไม่จำเป็นต้องกังวล สิ่งที่สำคัญที่สุดคือผลลัพธ์สุดท้าย


 


“เป็นเช่นนั้น?” หลี่ฟู่เฉินยิ้มอย่างลึกลับ


 


เขาที่มีการรับรู้อันพิเศษ ใช้การต่อสู้เพียงครั้งเดียวเพื่อทำความเข้าใจประเด็นสำคัญของเทคนิคลับมังกรเร้นลับขั้นสาม


 


แน่นอนว่าเวลาที่เขาใช้ไปก่อนหน้านี้ก็เป็นปัจจัยใหญ่ที่สำคัญเช่นกัน


 


ฮึ่ม!


 


ได้ยินสิ่งที่ไม่อยากได้ยิน เสียงคำรามที่น่าประทับใจสะท้อนออกมา


 


“เสียงนั่นคืออะไร” หม๋าไท่ชงตกใจ


 


“มันเป็นเสียงความพ่ายแพ้ของเจ้า”


 


หลี่ฟู่เฉินหัวเราะเสียงดัง ขณะนั้นเองสภาวะพลังฉีที่น่ากลัวก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า สถานที่ปกคลุมไปด้วยสภาวะพลังฉี ทุกคนคิดว่าพวกเขาเห็นมังกรยักษ์กำลังทะยานขึ้นไป วิญญาณของพวกเขากลายเป็นตื่นตระหนกภายในไม่ช้า และพวกเขาก็ไม่กล้าขยับเขยื้อนใดๆ


 


“เทคนิคลับมังกรเร้นลับ ขั้นที่สาม?!”


 


ปากของผู้อาวุโสเจิ้งอ้ากว้างและไม่สามารถปิดลงได้


 


“เตรียมรับความพ่ายแพ้!”


 


หลี่ฟู่เฉินรู้สึกราวกับว่าร่างกายของเขาเป็นเปลวเพลิงที่ลุกไหม้ และเป็นลาวาที่พร้อมจะหลอมละลายสิ่งต่างๆ


 


เมื่อดาบดาวตกถูกใช้ออก สิ่งที่คลายกับดาวก็พุ่งไปในอากาศ


 


แสงเจิดจ้าและความเร็วทำให้ลานหน้าบ้านของผู้นำตระกูลเจิ้งทั้งหมดดูเยือกเย็นลงทันตา


บทที่ 133

พลังฉีมังกรเร้นลับ


 


 


ปิสส!


 


เมื่อดาบดาวตกทะลุผ่านร่างกาย หม๋าไท่ชงกลายเป็นแข็งค้างทันที


 


มันไร้ประโยชน์แม้ว่าท่านจะมีเกราะพลังฉีหรือแม้แต่กระทั้งเกราะหนังสัตว์ปีศาจก็ตามที


 


ด้วยการโจมตีครั้งนี้เพียงครั้งเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างคล้ายกับจะถูกเจาะทะลุ


 


ด้วยการกวัดแกว่งดาบเหล็กดำ ดาบพลังฉีจึงถูกตวัดให้กระเด็นออกไป ขณะที่มันพุ่งเข้าไปตัดแขนหม๋าไท่ชงต่อ หลี่ฟู่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่แยแส “นับแต่นี้เป็นต้นไป หากสมาชิกตระกูลหม๋าคนใดที่กล้าที่จะก้าวเข้ามาในบ้านของผู้นำตระกูลเจิ้งอีก มันผู้นั้นจะต้องตาย”


 


เขาไม่ได้ฆ่าหม๋าไท่ชง อย่างไรก็ตามดาบพลังฉีเจาะทะลุร่างกายของเขา แม้ว่าเขาจะไม่ตาย แต่น้อยที่สุดเขาก็จะต้องพิการ


 


ในทำนองเดียวกัน เขาเองก็ไม่ได้ฆ่าหม๋าชิงหยาง การตัดแขนเป็นการเตือน


 


“หนี หนีเร็ว”


 


ตระกูลหม๋าจะกล้าแสดงความยโสโอหังอยู่ต่อได้อย่างไร พวกเขาช่วยหม๋าไท่ชงและหม๋าชิงหยางขึ้นมา จากนั้นรีบวิ่งออกไปราวกับสุนัข


 


สมาชิกตระกูลเจิ้งยังคงตกใจและราวกับว่าพวกเขาได้ฝันไป สองครั้งตระกูลหม๋ามาที่ตระกูลของพวกเขาสองครั้ง สองครั้งที่ว่านั้นพวกเขาถูกไล่ออกไปราวกับสุนัขที่หนีตายอย่างไม่คิดชีวิต


 


และต้นตอของสิ่งทั้งหมดก็เป็นเพราะชายหนุ่มผู้นี้ที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขา


 


แต่ละคนใช้เพียงดาบเดียว กำจัดตระกูลหม๋า และให้พวกเขาปฏิญาณว่าจะไม่กลับมาที่บ้านของผู้นำตระกูลเจิ้งอีกครั้ง


 


ความกล้าหาญที่แท้จริง


 


ความสามารถที่แท้จริง


 


ไม่ว่าจะเป็นเพศใดหรืออายุเท่าไหร่ ทุกคนมองไปยังหลี่ฟู่เฉินด้วยความเคารพ


 


“วีรบุรุษหนุ่มหลี่ เราไม่สามารถขอบคุณท่านโดยใช้เพียงแค่คำพูดของเราแล้ว ตระกูลเจิ้งของเราอาจเป็นตระกูลเล็กๆ และไม่สามารถช่วยวีรบุรุษหนุ่มหลี่ได้มากนัก แต่ในอนาคต ตราบใดที่วีรบุรุษหนุ่มหลี่เป็นคนเอ่ย เราจะสละชีวิต หากมันจำเป็น!”


 


ผู้นำตระกูลและผู้อาวุโสเจิ้งเดินเข้ามาและโค้งคำนับด้วยการป้องหมัด ร่างกายส่วนบนของพวกเขางออยู่ในตำแหน่งที่ต่ำมาก แทบจะถึงพื้นดิน


 


ตระกูลเจิ้งเป็นหนี้ต่อหลี่ฟู่เฉินมากเกินไป


 


ช่วยนำพระพุทธรูปหยกกลับมาถือเป็นหนี้ครั้งที่หนึ่ง


 


ช่วยแก้ไขบาดหมางตระกูลหม๋าถือเป็นหนี้ที่สอง


 


หากปราศจากหลี่ฟูเฉิน ตอนนี้ตระกูลเจิ้งอาจไม่สามารถดำรงอยู่ได้อีกต่อไปและจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย


 


หลี่ฟู่เฉินตอบกลับ “พวกท่านทุกคนไม่ได้ติดหนี้บุญคุณข้า ฉันเพียงแค่คืนความช่วยเหลือ อย่าได้พูดถึงสิ่งนี้อีกต่อไป”

เทคนิคลับระดับ 3 ดาวเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะชำระหนี้ทั้งหมด ในใจกลางของหลี่ฟู่เฉินคือความตั้งมั่นที่แข็งกล้าราวกับเหล็ก เขาไม่ต้องการใช้ประโยชน์จากตระกูลเจิ้ง


 


ได้ยินคำตอบของเขา มุมมองความเคารพของสมาชิกตระกูลเจิ้งที่มีต่อหลี่ฟู่เฉินกลับกลายเป็ฯเพิ่มมากขึ้น


 


นี่คือบุคคลที่สมควรเรียกว่าวีรบุรุษอย่างแท้จริง อ่อนน้อมถ่อมตน จิตใจกว้างขวาง และซื่อสัตย์


 


***


 


ด้วยเทคนิคลับมังกรเร้นลับขั้นที่สาม หลี่ฟู่เฉินจึงวางแผนที่จะออกจากบ้านของตระกูลเจิ้ง


 


แต่เขาไม่ได้กลับไปที่นิกาย เขากลับไปที่ภูเขาหิมะทะยาน


 


ตอนนี้ผลกระทบจากนมศิลาในร่างกายของเขาได้รับการกลั่นอย่างสมบูรณ์แล้ว เขามุ่งมั่นที่จะบรรลถึงขั้นสมบูรณ์ของเทคนิคร่างกายเร้นโลหิตในครั้งนี้


 


ถ้ำใต้ดินแห่งหนึ่งในยอดเขาหิมะทยาน


 


ในถ้ำใต้ดินที่สูงหนึ่งร้อยฟุต เป็นหินย้อยขนาดมหึมาที่ย้อยลงมาราวกับค้อนของพระเจ้าที่กำลังจะทุบพื้นดิน

ยืนอยู่ข้างสระน้ำ หลี่ฟู่เฉินโยนก้อนหินลงไป


 


ไม่เห็นปฏิกิริยาใดๆ ในเวลาต่อมา หลี่ฟู่เฉินถอดเสื้อผ้าแล้วกระโดดลงสระ


 


***


 


อีกสองสัปดาห์ที่หลี่ฟูเฉินจะได้กลายเป็นศิษย์นิกายชั้นในมาแล้วสามปีอย่างเป็นทางการ ในที่สุดหลี่ฟูเฉินก็บรรลุขั้นสมบูรณ์ของเทคนิคร่างกายเร้นโลหิต


 


“ถึงเวลาที่ข้าต้องกลับนิกายแล้ว”


 


หากเขาไม่ส่งภารกิจภายในหนึ่งปีหรือไม่สามารถจัดการมันให้สำเร็จได้ เขาจะถูกลงโทษ แม้ว่ามันจะเป็นเพียงการหักคะแนนสนับสนุนบางส่วน หลี่ฟูเฉินก็ไม่ต้องการอยู่ดี


 


หลังจากที่หลี่ฟู่เฉินออกไปได้ซักสองสามวัน หยานชิงหวูก็กลับมาที่ภูเขาหิมะทะยาน


 


“เขากล้าดียังไงถึงกลับมา” ใบหน้าของหยานชิงหวูเย็นชาราวกับน้ำแข็ง


 


ผลลัพธ์จากนมศิลาในสระมีจำกัด และเมื่อเทียบกับกาลก่อน ผลลัพธ์ของมันลดลงไปอย่างน้อย 30%


 


“อย่าให้ข้าได้เจอเจ้าอีกครั้ง”


 


ถอดเสื้อผ้าของเธอ ผิวขาวที่เปล่งประกายนั้นก็กระโจนลงสู่สระน้ำ และจมดิ่งลงไปที่ด้านล่าง


 


***


 


“เทคนิคลับมังกรเร้นลับนั้นเต็มไปด้วยความลึกลับ ขั้นที่หนึ่งและสองทั้งหมดเกี่ยวกับการบีบอัดพลังฉี แต่ขั้นที่สามคือวิธีการเปลี่ยนรูปแบบของพลังฉี ไม่น่าแปลกใจที่ข้าไม่สามารถเข้าใจมันได้จนกว่าจะได้ต่อสู้กับหฒ่าไท่ชง ซึ่งนั้นได้ก่อให้เกิดความก้าวหน้าอย่างฉับพลัน”


 


ระหว่างทางกลับ หลี่ฟู่เฉินไม่สามารถทำอย่างไรได้ ได้แต่ระลึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น


 


การได้รับเทคนิคลับมังกรเร้นลับมานั้นต้องเป็นโชคชะตาของเขาอย่างแน่นอน


 


เทคนิคลับระดับ 3 ดาวนี้มีความแข็งแกร่งอย่างท่วมท้น


 


เมื่อมาถึงขั้นที่สอง การระเบิดสภาวะพลังฉีของเขานั้นเทียบได้กับร่างที่พัฒนาไปสู่ระดับที่เจ็ดของขอบเขตต้นกำเนิดแล้ว เมื่อมาถึงขั้นที่สาม การระเบิดสภาะพลังฉีของเขาราวกับได้อยู่ในระดับที่แปดของขอบเขตต้นกำเนิด


 


มันเป็นความจริงที่รู้จักกันว่าเมื่อทักษะต่อสู้อ่อนแอ่ก้าวหน้า ก็จะด้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับทักษะแข็งแกร่งก้าวหน้า


 


เมื่อบุคคลที่อ่อนแอ่ก้าวหน้าสู้ระดับที่สูงกว่า เขาก็จะมีข้อจำกัดว่าความสามารถของพวกเขาจะเพิ่มขึ้นได้มากสุดเท่าใด


 


แต่เมื่อหลี่ฟู่เฉินเลื่อนระดับ ความสามารถของเขาก็จะพุ่งทะยานขึ้น


 


ไม่น่าเชื่อเลยว่าเทคนิคลับเพียงอย่างเดียวจะช่วยให้พลังต่อสู้ของเขาบรรลุถึงระดับชั้นเดียวกับนักสู้ขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่แปด


 


แต่หลังจากคิดบางอย่างได้ มันไม่น่าแปลกใจเลย ขั้นที่หนึ่งและสองของเทคนิคลับมังกรเร้นลับนั้นเกี่ยวกับการบีบอัดพลังฉี ขั้นที่สามแปรสภาพเพลิงพลังฉีสีแดงให้น่ากลัวยิ่งขึ้น


 


หลี่ฟู่เฉินตั้งชื่อพลังฉีที่ดูน่าเกรงขามนั้นว่า พลังฉีมังกรเร้นลับ


 


หรืออาจเป็นพลังฉีเพลิงมังกร


 


เพลิงมังกรเข้าสกดข่มผู้คนอย่างสุดแสน มันคล้ายกับลาวาที่หลอมละลายและไม่ได้เป็นรูปแบบของพลังฉีอีกต่อไป มันอาจถูกพิจราณาได้ว่าเป็นพลังฉีครึ่งนึง และเป็นของหลอมเหลวอีกครึ่งนึง


 


“ด้วยเทคนิคลับมังกรเร้นลับ ข้าเลยได้รับความพยายามของตนกลับมาอย่างน้อยหนึ่งปี โชคชะตาและชะตากรรมที่แปลกประหลาดคือการมีอยู่อย่างลึกลับ”


 


ยิ้มขณะที่ส่ายหัว หลี่ฟู่เฉินกระทุ่งไปที่หน้าท้องของม้าเลือดปีศาจระดับ 2 และเพิ่มความเร็วในการเดินทางของเขา


 


***


 


ในวันสุดท้ายก่อนปีที่สามอย่างเป็นทางการของเขา หลี่ฟูเฉินกลับไปที่นิกายวารีคราม


 


ส่งภารกิจ หลี่ฟู่เฉินโล่งใจ ก็ในเมื่อเขาเกือบจะพลาดกำหนดเวลา


 


เดินออกจากห้องโถงภารกิจและผ่านเส้นทางด้านข้าง หลี่ฟู่เฉินเห็นกั่วหยี่หลง หยางโอ๋ และหลี่เทียนชี หลี่เทียนชีถามทั้งสองคน


 


“กั่วหยี่หลง! หยางโอ๋! หลี่ฟูเฉินยังไม่กลับมา… เจ้าสองคนใช่ลงมือกระทำใด?”


 


หลี่เทียนชีตะโกนออกไปด้วยความโกรธ


 


หยางโอ๋และกั่วหยี่หลงเพียงแค่เปล่งเสียงทางจมูก “หลี่เทียนชี จิตใจเจ้ามันตายด้านไปแล้วหรือ? เจ้ากล้าพูดคุยกับเราด้วยน้ำเสียงที่ดุดันเช่นนั้นได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้น สารเลวน้อยนั้นก็แค่โครงกระดูกระดับปกติ มันจะเป็นการดีกว่าถ้าเขาจะตายอยู่ที่นั่น และช่วยชำระล้างสายเลือดที่น่าสมเพชของตระกูลหลี่เจ้า”


 


พวกเขาสองคนแน่ใจว่าหลี่ฟู่เฉินตายแล้ว


 


แต่พวกเขาไม่คิดว่าหลี่ฟู่เฉินจะตายเพราะผู้ดูแลชั้นในฝึกหัดที่ถูกส่งไปโดยพวกเขา ผู้ดูแลชั้นในฝึกหัดจากทั้งสามตระกูลของพวกเขายังไม่กลับมาและอาจจะตายไปแล้ว


 


พวกเขาสันนิษฐานว่าตระกูลเหลาต้องส่งคนไปสังหารหลี่ฟู่เฉิน หลังจากทั้งหมดแล้ว หลี่ฟูเฉินก็ยังไม่กลับมา


 


พวกเขาจึงรู้สึกโล่งใจที่หลี่ฟู่เฉินตายลงไป


 


พวกเขาค่อนข้างกังวลและกลัวการเติบโตของหลี่ฟู่เฉิน


 


หลี่ฟูเฉินผู้ซึ่งเป็นคนที่ทำให้เหลาเทียนจุนพ่ายแพ้และได้สร้างฝันร้ายให้แก่เขา ทำให้เขาต้องพักผ่อนและอยู่กินอย่างสงบสุขตลอดไป


 


“เจ้ามันน่ารังเกียจ” หลี่เทียนชีเสียใจ หลังจากทั้งหมดแล้ว เขาก็เป็นลูกหลานของตระกูลหลี่ และต้องการให้ตระกูลมั่งคั่งรุ่งเรืองสืบต่อไป ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลี่ฟู่เฉินต้องมีศักยภาพที่จะศิษย์หลักของนิกายวารีคราม และเป็นเกียรติยศแด่คนทั้งตระกูล


 


กั่วหยี่หลงเยาะเย้ย “หลี่เทียนชี เจ้าควรกังวลเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของเจ้าจะดีกว่า ใครจะรู้ว่าเมื่อไหร่วันไหนจะเป็นวันที่เจ้าตาย”


 


“ถูกแล้ว เจ้าควรระวังเมื่อตอนที่เจ้าเดินไปไหนมาไหน ไม่เช่นนั้นเจ้าอาจตกลงไปสู่ความตายได้!” หยางโอ๋ถากถาง


 


“พวกเจ้าทั้งสองดูเหมือนจะกล้าหาญเทียมฟ้า!”


 


เสียงที่คุ้นเคยสะท้อนออกมา


 


หยางโอ๋และกั่วหยี่หลงตกใจเมื่อหันหลังกลับ


 


ทันทีที่พวกเขาหัน ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความกลัว


 


“ฟู่เฉิน! เจ้ากลับมาแล้ว!” หลี่เทียนชีพึงพอใจมาก


 


หลี่ฟู่เฉินมองไปที่หลี่เทียนชีและพยักหน้า จากนั้นเขาก็ดูเยือกเย็นลงเมื่อมองไปที่หยางโอ๋และกั่วหยี่หลง “พวกเจ้าผิดหวังที่ข้ายังไม่ตายหรือไร?”


 


“หลี่ฟู่เฉิน เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไร? ข้าไม่เข้าใจ”


 


กั่วหยี่หลงกำชายเสื้อไว้แน่น ขณะที่เขากลืนน้ำลาย


 


“ข้ากล่าวว่า พวกเจ้าไม่ได้ผิดหวังใช่ไหมที่ข้ายังไม่ตาย!” หลี่ฟู่เฉินเปล่งเสียงของเขา เสียงอันดังนี้ทำให้กั่วหยี่หลงและหยางโอ๋สั่นสะท้านไปด้วยความกลัว


 


“หลี่ฟู่เฉิน สงบใจลงจะดีกว่า ที่นี่คือนิกาย”


 


หยางโอ๋หันหลังกลับและตั้งใจที่จะล่าถอย


 


“คุกเข่า!”


 


สภาวะพลังฉีของหลี่ฟู่เฉินทะยานขึ้นฟ้า มือขวาของเขากวาดไปที่พื้นต่ำกว่าที่ทั้งสองยืนอยู่


 


พึบ! พึบ!


 


ทั้งคู่ถูกบังคับให้คุกเข่าลง


บทที่ 134

เป็นตระกูลเฉินตู่แล้วไง


 


 


“หลี่ฟู่เฉิน เจ้ากล้าทำให้ข้าต้องอับอาย?!”


 


หลอดเลือดดำผุดขึ้นมาบนใบหน้าของกั่วยี่หลงด้วยความร้อนรน ขณะที่เขาคำราม


 


“หลี่ฟู่เฉิน เจ้ารู้หรือไม่ ผลกระทบที่ตามมา จากสิ่งที่เจ้าทำนั้นจะเป็นเช่นไร?!”


 


หยางโอ๋แทบคลั่ง ตั้งแต่ยังเด็ก เมื่อใดกันที่เขาคุ้นเคยกับการคุกเข่าต่อหน้าผู้คน เขาไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะคุกเข่าต่อหน้าหลี่ฟูเฉินในวันนี้


 


พวกเขาสองคนไม่ได้คาดหวังว่าความสามารถของหลี่ฟู่เฉินจะมากล้นถึงเพียงนี้ มันแม้แต่กระทั่งแข็งแกร่งกว่าตอนที่สู้กับเหลาเทียนจุนหลายเท่า ทั้งคู่นึกถึงความภาคภูมิใจที่เขามีออกได้


 


“ฟู่เฉินความแข็งแกร่งเจ้า?” หลี่เทียนชีตระหนักได้ว่าเขาไม่สามารถทำความเข้าใจหลี่ฟู่เฉินได้เลย ความแข็งแกร่งที่หลี่ฟู่เฉินมีมันเพิ่มขึ้นมากเกินไป ก่อนหน้านี้หลังจากผ่านช่วงเวลาสั้นๆ ไป เขาก็มีความก้าวหน้าอย่างมาก หลังจากนี้หากผ่านไปอีกช่วงหนึ่ง ความสามารถของเขาอาจจะเหนือกว่าความสามารถที่เป็นอยู่ ณ ขณะนี้


 


“ข้าทำให้เจ้าขายหน้าแล้วไง?” หลี่ฟู่เฉินกล่าวออกมาเบาๆ


 


“หลี่ฟู่เฉิน เจ้ากำลังจะทำอะไร?”


 


ขณะนี้เอง น้ำเสียงเย็นชาดังกึกก้องกังวานมาจากระยะไกล


 


หลี่ฟู่เฉินและหลี่เทียนชีมองไปยังที่นั้น มันเป็นผู้นำของคนรุ่นใหม่ตระกูลเฉินตู่ เฉินตู่เจียนหมิ๋ง


 


“เฉินตู่เจียนหมิ๋ง เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเจ้าจริงๆ” ความรู้สึกของหลี่เทียนชีรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม ขณะที่เขากล่าวออกมาอย่างห้วนๆ


 


เฉินตู่เจียนหมิ๋งจ้องเขม็งไปที่หลี่เทียนชี “หลี่เทียนชี ความกล้าของเจ้าเติบโตมากพอถึงกับพูดกับข้าในลักษณะนี้?”


 


ภายในนิกายวารีคราม ตระกูลเฉินตู่ของเขาไม่สามารถครอบครองพลังใดๆ แต่ต่อหน้า 3 ตระกูลหลักหรือตระกูลอื่นๆ ในเมืองหมอกเมฆา เขา เฉินตู่เจียนหมิ๋งคล้ายกับบุตรแห่งสวรรค์ ตราบเท่าที่เฉินตู่เจียนเห่ออยู่ใกล้ๆ ตำแหน่งของเขาจะเหนือกว่าตระกูลใหญ่ทั้งสาม


 


“เฉินตู่เจียนหมิ๋ง หากเจ้าสนใจชื่อเสียงของเจ้าเอง เจ้าควรออกไปซะตั้งแต่ตอนนี้”


 


หลี่ฟูเฉินเกียจคร้านที่จะให้ความเคารพต่อเฉินตู่เจียนหมิ๋ง


 


ไม่ว่าจะเป็นตระกูลของเจ้าเมืองหรือตระกูลเฉินตู่ เขาไม่ได้เห็นพวกนั้นอยู่ในสายตา


 


ย้อนกลับไปที่เมืองหมอกเมฆา เขาเคยใฝ่ฝันที่จะต่อสู้กับอีกสามตระกูลหลักเพื่อไคว้คว้าอำนาจ หลังจากที่เข้าสู่นิกายและเกิดความสำเร็จ


 


แต่ตอนนี้ เขาได้ละทิ้งความฝันนั้นไปแล้ว เขาเพียงแค่ต้องการข่มขู่ทั้งสามตระกูลเท่านั้นเพียงพอ เพราะ 3 ตระกูลใหญ่นั้นไม่มีค่าพอที่จะต่อสู้เขา


 


เมื่อเขากลับไปที่เมืองหมอกเมฆา เมื่อนั้นคือเวลาที่ทั้งสามตระกูลใหญ่จะถูกโค้นล้ม


 


“เจ้ากล่าวว่าอะไรนะ?!” เฉินตู่เจียนหมิ๋งชี้ไปที่หลี่ฟู่เฉิน ขณะที่ตัวสั่นไปด้วยความโกรธ


 


“ข้ากล่าวว่าให้เจ้าออกไปซะ!” หลี่ฟู่เฉินตะโกน


 


“หลี่ฟู่เฉิน เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้ากำลังพูดกับใครอยู่? เจ้าพยายามที่จะต่อต้าน? เจ้าไม่กลัวว่าตระกูลเฉินตู่ของข้าจะลงโทษตระกูลหลี่ของเจ้าหรือไม่?”


 


ใบหน้าของเฉินตู่เจียนหมิ๋งกลายเป็นมืดมน ขณะที่เขาเผยเจตนาสังหารออกมา


 


หลี่ฟู่เฉินโบกมือของเขา พลังฉีที่มองไม่เห็นกดดันให้เฉินตู่เจียนหมิ๋งคุกเข่าลง


 


“หลี่ฟู่เฉิน เจ้าสารเลว ข้าจะทำให้เจ้าต้องตาย!” ดวงตาของเฉินตู่เจียนหมิ๋งเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ


 


เพยี๊ะ เพยี๊ะ เพยี๊ะ เพยี๊ะ เพยี๊ะ……


 


หลี่ฟู่เฉินส่งลูกตบออกไปยังฝ่ายตรงข้ามหลายครั้ง ซึ่งนั้นก็ทำให้ใบหน้าของเฉินตู่เจียนหมิ๋งบวมคล้ายกับหัวหมู


 


“ฟู่เฉิน นี่ไม่มากเกินไป?” หลี่เทียนชียังคงกังวลเกี่ยวกับตระกูลเฉินตู่ ในขณะที่เขาถามออกไปด้วยความลังเล


 


หลี่ฟู่เฉินไม่ทุกข์ร้อน “ไม่เป็นไร ข้ารู้ขีดจำกัดตัวเองดี”


 


สามตระกูลนี้กดขี่พวกเขามาเป็นเวลาหลายปี ถึงเวลาแล้วที่พวกเขาจะต้องจ่ายราคาตามกำหนดแล้ว แต่น่าเสียดายที่เวลานั้นยังไม่มาถึง


 


เนื่องจากความปั่นป่วนที่นี่ มันจึงรวบรวมความสนใจของศิษย์นิกายชั้นในหลายสิบคน พวกเขาทุกคนชี้ไปที่เฉินตู่เจียนหมิ๋ง กั่วหยี่หลง หยางโอ๋และทำท่าทาง


 


“ไม่ใช่ว่าเขาคือหลี่ฟู่เฉิน? ทำไมต้องมีอะไรเกิดขึ้นทุกครั้งที่ข้าเห็นเขา?”


 


“ทั้งสามคนนี้ทำอะไรหลี่ฟู่เฉินขุ่นเคือง เขาถึงต้องให้คนเหล่านั้นคุกเข่า? ความอัปยศเช่นนี้!”


 


“ใครขอให้หลี่ฟู่เฉินเหนือกว่าเช่นนั้น แม้กระทั่งเหลาเทียนจุนชิเซียงก็ยังเต้นอยู่บนฝ่ามือเขา และท้ายที่สุดก็เสียแขนไป”


 


“มารอดูกัน! การแก้แค้นของตระกูลเหลาจะมาถึงในไม่ช้าก็เร็ว!”


 


เป็นเรื่องปกติที่จะมีความสงสารต่อผู้อ่อนแอ ทุกคนไม่ดีใจที่ได้เห็นการสกดข่มของหลี่ฟู่เฉิน


 


“จักรพรรดิดาบชิเก่อ ดูเหมือนจะมีเกิดอะไรขึ้น? ไปดูกันดีกว่า” ห่างออกไปหลายร้อยเมตร กลุ่มศิษย์สาวกชั้นในกล่าวขึ้น หัวหน้ากลุ่มคือจักรพรรดิดาบ หลิวหวูหวง


 


จักรพรรดิดาบ หลิวหวูหวง ขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่เก้า ชื่อเสียงของเขานั้นสูงที่สุดในนิกายชั้นใน แม้แต่กระทั้งหยูเหวินเทียนก็ไม่สามารถเทียบกับเขาได้


 


หลังจากทั้งหมดแล้ว หยูเหวินเทียนก็มีโครงกระดูกระดับ 5 ดาว หลิวหวูหวงก็มีโครงกระดูกระดับ 5 ดาวเช่นกัน


 


ที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาแก่กว่าหยูเหวินเทียนมาก หลังจากช่วงเวลาสั้นๆ เขาก็จะสามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตปฐพีได้และได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นศิษย์หลัก


 


โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากมายนัก กลุ่มก็มาถึงที่ที่ฝูงชนอยู่ และเห็นบุคคลสามคนคุกเข่าอยู่ที่พื้น พวกเขาเห็นหลี่ฟูเฉินในเวลาเดียวกันนั้นเอง


 


“มันเป็นหลี่ฟู่เฉิน!” ศิษย์ที่อยู่ข้างหลิวหวูหวงรู้สึกตกใจ


 


“หลี่ฟูเฉินผู้นี้มั่นใจเกินไป เขาคิดว่าสามารถทำให้ใครคุกเข่าให้เขาก็ได้?”


 


“โครงกระดูกธรรมดาทั่วไปที่พยายามทำให้ตัวเองดูเหมือนโครงกระดูกระดับ 5 ดาว ข้าไม่สามารถทำความเข้าใจสิ่งนี้ได้”


 


“จักรพรรดิดาบชิเก่อ ไม่ใช่ว่าท่านควรไปขัดจังหวะและลบความหาญกล้าของหลี่ฟู่เฉิน?”


 


อันที่จริง หลิวหวูหวงก็ไม่ชอบหลี่ฟู่เฉินเช่นกัน


 


เขาผู้ซึ่งเป็นจักรพรรดิดาบ ย่อมมีความภาคภูมิใจเป็นของตนเอง


 


เขาอนุญาตให้ตัวเองโดดเด่น แต่ไม่ใช่กับคนอื่น


 


เดินออกจากฝูงชน หลิวหวูหวงไม่สนใจหลี่ฟู่เฉินและมาที่ด้านหน้าของเฉินตู่เจียนหมิ๋ง ที่อยู่กันสามคน “พวกเจ้าทั้งสามออกไป! มันไม่สายเกินไปที่จะแก้แค้น แม้ว่าจะผ่านไปเป็นสิบปีก็ตาม มันมักจะมีโอกาสอยู่เสมอ”


 


ในขณะที่เขากล่าว เขาปลดปล่อยสภาวะพลังฉี เพื่อลบล้างสภาวะพลังของหลี่ฟู่เฉิน


 


หลี่ฟู่เฉินหัวเราะ “ชิเซียงผู้นี้… ท่านไม่ควรเข้าไปยุ่งกับอะไรที่อยู่นอกขอบเขตตัวเองหรือไม่?”


 


ถ้ามีคนอื่นที่ทำให้เขาขุ่นเคือง เขาจะไม่ทำให้พวกเขาคุกเข่า หลังจากทั้งหมดแล้วการคุกเข่าเป็นความอัปยศอดสูที่มากเกินไป แต่คนเหล่านี้เป็นคนที่พยายามจะฆ่าเขา ทำไมเขาถึงต้องสนใจว่าพวกเขาจะรู้สึกอย่างไร?


 


ถ้าหลี่ฟู่เฉินอยู่ในโลกภายนอก เขาคงจะฆ่าทั้งสามคนไปแล้ว


 


หลิวหวูหวงหันหลังกลับและตอบกลับ “เจ้าชอบให้คนคุกเข่าหรือไร?”


 


หลี่ฟู่เฉินไม่ได้แสดงความคิดเห็นของเขา


 


“ความสามารถของเจ้านั้นแข็งแกร่ง ดังนั้นเจ้าจึงสามารถทำให้พวกเขาคุกเข่าลงได้ แต่ความสามารถของข้าเองก็แข็งแกร่งเช่นกัน ข้าควรทำให้เจ้าคุกเข่าด้วยหรือไม่?” หลิวหวูหวงมีดวงตาคล้ายกับคมดาบที่ค่อยเฉือดเฉือนวิญญาณของผู้คน และส่งแรงกดดันได้อย่างมหาศาล


 


“ข้าเกรงว่าเจ้าจะไม่ดีพอ” หลี่ฟู่เฉินตอบ


 


“โหหห… เป็นเช่นนั้น? ข้าอยากจะลองดู”


 


สภาวะพลังฉีที่ออกมาจากร่างของหลิวหวูหวงกลายเป็นรุนแรงขึ้น การสภาวะพลังฉีที่มีอำนาจสกดข่มผู้คนคล้ายความโอ่อ่าของกษัตริย์ มันเข้าห้อมล้อมหลี่ฟู่เฉิน


 


เมื่อเปิดใช้เทคนิคลับมังกรเร้นลับ สภาวะพลังฉีของหลี่ฟู่เฉินก็พุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า สภาวะพลังฉีที่ให้ความรู้สึกหาญกล้าปะดุจราชาแห่งสัตว์ร้ายที่ทรงพลัง


 


สภาวะพลังฉีของหลี่ฟู่เฉินเข้าปะทะกับหลิวหวูหวง แม้กระทั่งการปราบปรามหลิวหวูหวง


 


ปุ! ปุ! ปุ!


 


เฉินตู่เจียนหมิ๋งและอีกสองที่พึ่งลุกขึ้นมา ถูกกดดันให้คุกเข่าลงอีกครั้งและถูกกระแทกกลับจากสภาวะพลังฉีของทั้งสอง จิตใจของพวกเขายุ่งเหยิงและหดหู่ชั่วครู่


 


“เวรเอ่ย!”


 


เฉินตู่เจียนหมิ๋งกำหมัดของตนเองแน่น รู้สึกอยากที่จะกลับไปที่เมืองหมอกเมฆาในทันที เพื่อสังหารตระกูลหลี่ทั้งหมด


 


“เจ้ารู้ผลที่ตามมาของการยั่วยุข้าหรือไม่?” หลิวหวูหวงกล่าวอย่างเย็นชา


 


หลี่ฟู่เฉินตอบกลับ “เจ้าคือคนที่ยั่วยุข้าก่อน”


 


“ดูเหมือนว่าถ้าข้าไม่สอนบทเรียนให้แก่เจ้า เจาก็จะไม่เรียนรู้ เจ้าเองก็ต้องคุกเข่าเช่นกัน!”


 


หลิวหวูหวงมีดวงตาที่เฉียบแหลมและฉลาดมากพอ ซึ่งเขาก็ตระหนักได้ทันทีว่าสภาวะพลังฉีของหลี่ฟู่เฉินนั้นถูกยกระดับ และความสามารถดั้งเดิมของเขาก็ไม่แข็งแกร่งเท่าที่ควร


 


ด้วยการรวบรวมพลังฉีไว้ในมือ หลิวหวูหวงกำลังจะลงมือ


 


“หยุดเรื่องไร้สาระทั้งหมดนี้!”


 


ขณะนี้เอง ผู้อาวุโสชั้นในที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นคำรามออกมาอย่างเย็นยะเยือก เสียงของเขาทำให้สภาวะพลังฉีของหลี่ฟู่เฉินและหลิวหวูหวงนั้นแตกซ่านสลายไป


 


“ผู้อาวุโส!”


 


ทุกคนประหลาดใจและโค้งคำนับด้วยความเคารพ


 


ผู้อาวุโสชั้นในนั้นต่างจากผู้อาวุโสชั้นนอก ไม่มีใครกล้าท้ามายพวกเขา


 


“ออกไปจากที่นี่ให้หมด ไม่ว่าจะทำอะไรก็ออกไปให้หมด อย่าได้ก่อความเสียหายขึ้นที่นี่” ผู้อาวุโสชั้นในอยู่ในระหว่างที่คุมโถงภารกิจ ดังนั้นเขาจึงให้เหตุผลง่ายๆ ก่อนที่จะออกไป


 


“วันนี้เจ้าโชคดี แต่เจ้าจะไม่โชคดีในครั้งต่อไป”


 


หลิวหวูหวงจ้องไปที่หลี่ฟู่เฉินก่อนที่จะจากไป


 


“ข้าจะรอเจ้า”


 


หลี่ฟู่เฉินไม่ได้สนใจที่จะดูเฉินตู่เจียนหมิ๋งและทั้งสาม ก่อนจะจากไปพร้อมกับหลี่เทียนชี

“ช่างเป็นเรื่องน่าเสียดาย ที่ไม่สามารถเห็นจักรพรรดิดาบสอนบทเรียนแก่หลี่ฟู่เฉิน”


 


“นั้นก็จริง แต่ไม่จำเป็นต้องกังวล นิกายชั้นในไม่ได้ใหญ่มากนัก หลี่ฟูเฉินคงหนีไปไหนไม่ได้”


 


“ข้าสงสัยว่าฉากที่หลี่ฟู่เฉินคุกเข่าจะเป็นแบบไหนกัน”


 


เมื่อเห็นว่าตัวละครหลักหายไป ทุกคนก็จากไป ทิ้งเฉินตู่เจียนหมิ๋งและอีกสองคนไว้ด้านหลัง


 


พวกเขาทั้งสามกัดฟัน แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ อย่างไรก็ตาม เป็นเฉินตู่เจียนหมิ๋งที่กระซิบบางอย่างแก่กั่วหยี่หลงและหยางโอ๋


บทที่ 135

เขตแดนร้อยพฤกษาเร้นลับ


 


“ฟู่เฉิน ด้วยความสามารถของเจ้าในปัจจุบัน เจ้าบรรลุถึงระดับชั้นใดแล้ว?” ระหว่างทาง หลี่เทียนชีประหลาดใจและยินดีไปพร้อมกัน


 


ความสามารถของหลี่ฟู่เฉินนั้นโด่ดเด่นเกินไป หากไม่นับกั่วหยี่หลงและหยางโอ๋ เฉินตู่เจียนหมิ๋งอยู่ในระดับที่เก้าของขอบเขตต้นกำเนิดและหลี่ฟู่เฉินก็ทำให้เขาคุกเข่าลงได้ นี่เป็นสิ่งที่เหนือกว่าการเอาชนะศัตรู


 


หลี่ฟู่เฉินหัวเราะ แต่ก็ไม่ได้ตอบคำถามแต่อย่างใด เขาถาม “เทียนชิเก่อ ท่านใกล้จะ 36 ปีแล้ว แผนของท่านต่อไปคืออะไร?”


 


กฎของนิกายวารีครามระบุไว้ว่าศิษย์ที่ตัดผ่านเข้าสู่ขอบเขตปฐพีหลังจากอายุ 35 ปีไม่ได้ จะไม่สามารถเลื่อนขั้นเป็นศิษย์หลักได้ แต่จะถูกลดระดับเป็นผู้ดูแลชั้นในฝึกหัดแทน หรือพวกเขาสามารถเลือกที่จะอุทธรณ์(ร้องขอ)ออกจากนิกาย(ไม่แน่ใจว่าออกขาดหรือออกไปชั่วคราว)และกลับไปที่ตระกูลของพวกเขาได้ หลี่เทียนชีอายุ 35 ปี ในอีกไม่กี่เดือน เขาจะอายุ 36 แต่การฝึกฝนของเขานั้นอยู่ที่ระดับที่แปดของขอบเขตต้นกำเนิดเท่านั้น


 


หลี่เทียนชีหัวเราะอย่างขมขื่น “การก้าวเข้าสู่การเป็นศิษย์หลักนั้นยากเกินไป 80% ของศิษย์กระดูกระดับ 3 ดาวก็ยังไม่ได้คิดถึงเป้าหมาย ดังนั้นอย่าได้กล่าวถึงข้า ข้ายังไม่ได้คิดถึงอนาคตใดๆ”


 


ความรู้สึกของเขาเต็มไปด้วยความซับซ้อน หลังจากหลายปี เขาก็คุ้นเคยกับชีวิตในนิกายแล้ว ถ้าเขาจะออกจากนิกาย แน่นอนว่าเขาจะไม่สามารถปรับตัวได้ แต่ผู้ดูแลชั้นในนั้นมีภาระมากมายที่ต้องทำ และเขาก็ไม่รู้ว่าเขาจะสามารถปรับตัวเข้ากับเรื่องนั้นได้หรือไม่


 


ตบไหล่ของหลี่เทียนชีเบาๆ หลี่ฟู่เฉินกล่าว “เทียนชีเก่อ ลองคิดมันดู หากท่านมีปัญหาใดๆ บอกให้ข้ารู้ บางทีข้าอาจช่วยได้”


 


“ขอบคุณเจ้ามาก” หลี่เทียนชีรู้สึกอิ่มเอมกับช่วยเหลือนี้


 


เขาผู้ที่ควรเป็นผู้นำของคนรุ่นใหม่ในตระกูลหลี่ ควรเป็นผู้โหมทะยานไปในฐานะศิษย์พี่ แต่ตอนนี้ เขารู้สึกเหมือนเป็นรุ่นน้องและหลี่ฟู่เฉินเป็นรุ่นพี่


 


***


 


ขณะที่จิตวิญญาณของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินอ่อน หลี่ฟู่เฉินสังเกตเห็นได้ว่าการรับรู้ของเขาเองก็ค่อยๆ ดีขึ้นเช่นกัน


 


จากการสังเกตของเขา ระหว่างกระบวนการวิวัฒนาการ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงสี 10% การรับรู้ที่เพิ่มขึ้นจะไม่ชัดเจนมากนัก เมื่อมีการเปลี่ยนสี 20% การรับรู้ของเขาจะเพิ่มขึ้น 10% ตอนนี้มีการเปลี่ยนแปลงสี 90% การรับรู้ของเขาตอนนี้สูงขึ้นกว่าเดิม 40%


 


แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดการของเขา การรับรู้คือการดำรงอย่างที่ไม่สามารถใช้กฏเกณฑ์ใดๆ มาตัดสิน อาจมีช่วงเวลาหนึ่งที่การรับรู้ของท่านแข็งแกร่ง แต่หลังจากนั้นมันอาจจะอ่อนแอ


 


การรับรู้ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมโดยรอบ และเป็นเรื่องปกติที่จะมีความผันผวน


 


“มันเปลี่ยนแปลงไปแล้วกว่า 90% ตั้งแต่ที่จิตวิญญาณเปลี่ยนแปลงเป็น 90% ความเร็วในการวิวัฒนาการก็ลดลงอย่างน้อยสองเท่า”


 


“บางที อาจเป็นเพราะการเปลี่ยนสีจากสีเขียวเป็นสีน้ำเงินอ่อน?”


 


จากสีเขียวอ่อนถึงสีเขียวเป็นเพียงโทนสีที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นสาเหตุที่มันวิวัฒนาการและเปลี่ยนแปลงได้เร็วขึ้น


 


แต่จากสีเขียวเป็นสีฟ้าอ่อน สีที่แตกต่างกัน ซึ่งเป็นสาเหตุที่มีความยากสูงกว่าสำหรับการพัฒนาและเปลี่ยนแปลง


 


“ข้ามักจะใช้ยาเพื่อสนับสนุนการบ่มเพาะของตนเอง และข้าก็คิดว่าถึงเวลาแล้วที่ต้องใช้ยาเพื่อเพิ่มการบ่มเพาะดั่งเดิม”


 


หลี่ฟูเฉินมีลางสังหรณ์ว่าสิ่งสำคัญกำลังจะเกิดขึ้น ความสามารถของเขานั้นแข็งแกร่ง แต่ไม่ควรใช้เวลากับความแข็งแกร่งที่ได้มามากเกินไป


 


***


 


มาถึงที่ห้องโถงทรัพยากร หลี่ฟู่เฉินใช้คะแนนสะสม 20,000 คะแนนเพื่อแลกยาเม็ดครึ่งก้าวลึกลับ ยาจิตวิญญาณเพลิง


 


ยาจิตวิญญาณเพลิงแต่เดิมมีค่าใช้จ่าย 40,000 คะแนนสะสม แต่สำหรับหลี่ฟู่เฉินผู้ซึ่งเป็นอัจฉริยะชั้นในตอนนี้ เขาต้องจ่ายแค่ครึ่งราคาแต่เพียงเท่านั้น


 


ในลานบ้านของเขา หลี่ฟู่เฉินใช้เม็ดยาจิตวิญญาณเพลิงสีแดงสดและเริ่มโคจรเทคนิคเปลวเพลิงลี้ลับ


 


เม็ดยาครึ่งก้าวลึกลับนั้นควรค่าควรแก่ระดับของมัน สรรพคุณในเม็ดยาหนาแน่นราวกับของเหลวหนืดร้อนที่ไหลได้ดี มันแพร่กระจายไปทั่วร่างของหลี่ฟู่เฉิน


 


ระยะครึ่งหลัง ขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่หก


 


ขั้นสูงสุด ขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่หก


 


ขั้นตอนเตรียมเข้า ขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่เจ็ด


 


กลางดึก แสงสีแดงที่รุนแรงกระพริบวาบ ในห้อง อุณหภูมิของสภาพแวดล้อมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่วัตถุชิ้นเล็กชิ้นน้อยเริ่มติดไฟ


 


“ในที่สุดข้าก็บรรลุขอเขตต้นกำเนิดระดับที่เจ็ด”


 


ยกเว้นความรู้สึกของพลังฉีที่ว่างเปล่า หลี่ฟูเฉินก็ไม่รู้สึกผิดปกติอะไร


 


ใช้เวลาไม่นานในการแก้ไขปัญหาพลังที่เหือดแห้ง ก็ในเมื่อเทคนิคเปลวเพลิงลี้ลับของเขานั้นอยู่ในระดับที่สิบสี่ ทุกครั้งที่เขาโคจรเทคนิคเปลวเพลิงลี้ลับ พลังฉีของเขาจะถูกทำให้บริสุทธิ์ยิ่งขึ้นไปอีก


 


***


 


ลางสังหรณ์ฉับพลันของหลี่ฟู่เฉินนั้นถูกเป้า


 


ในบ่ายวันที่สามของการกลับมาของเขา …


 


ก้อง ก้อง ก้อง ก้อง ก้อง ก้อง ก้อง ก้อง…


 


นิกายชั้นใน เสียงก้องอันไพเราะดังขึ้น


 


ตีรวมแล้วทั้งหมดเจ็ดครั้ง


 


เสียงก้องถูกจำกัดการตีไว้แค่เก้าครั้ง ถ้าได้ยินเสียงก้องเก้าครั้ง นั่นหมายความว่านิกายวารีครามกำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดและทุกคนต้องรวมตัว


 


แน่นอน เมื่อเวลานั้นมาถึง มันจะไม่ใช่แค่ระฆังที่ถูกตีอยู่ในนิกายชั้นใน แต่มันจะรวมไปถึงสมบัติของนิกายวารีคราม ระฆังวารีครามที่จะถูกตี


 


เจ็ดก้องก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ซึ่งเป็นสาเหตุให้ศิษย์ชั้นในทั้งหมดต้องมารวมตัวกัน


 


ศิษย์ชั้นในทั้งหมดที่ได้ยินเสียงก้องมุ่งหน้าไปยังลานโถงกลางชั้นใน


 


หลังจากสองชั่วโมงผ่านไป ศิษย์ชั้นในเกือบ 20,000 คนก็มาถึง


 


ที่ทางเข้าหลักของห้องโถงชั้นใน ผู้อาวุโสใหญ่ชั้นใน จ้าวหวูจิน ได้ยกมือขึ้น ทั้งสองข้างของเขาเป็นผู้อาวุโสนิกายชั้นในทั้งหมด


 


เมื่อเห็นว่าเหล่าศิษย์อยู่ที่นี่อย่างไม่เป็นระเบียบ จ้าวหวูจินก็กล่าวด้วยน้ำเสียงอันดัง “เหตุผลที่ทุกคนต้องมารวมตัวกันที่นี่เป็นเพราะเขตแดนร้อยพฤกษาเร้นลับ เขตแดนร้อยพฤกษาเร้นลับเปิดทุกๆ ห้าปีแต่เพียงเท่านั้น มันกำลังเปิดอีกครั้งในอีกสามเดือนข้างหน้า ทุกครั้งที่เปิด มีเพียงศิษย์ขอบเขตต้นกำเนิดเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป และจำนวนที่เข้าได้ก็มีอยู่อย่างจำกัด นิกายวารีครามของเรามีเพียงสิบที่และเนื่องจากเป็นเช่นนี้ เฉพาะศิษย์ชั้นในขอบเขตต้นกำเนิดเพียงสิบคนเท่านั้น ที่จะสามารถเข้าไปในเขตแดนร้อยพฤกษาเร้นลับได้”


 


ขณะที่จ้าวหวูจินกล่าวจบ ความปั่นป่วนขนาดใหญ่ปะทุขึ้นในหมู่ศิษย์


 


“เขตแดนร้อยพฤกษาเร้นลับเปิดขึ้นอีกครั้ง ข้ารอมานานแล้ว”


 


“เขตแดนร้อยพฤกษาเร้นลับมีสมุนไพรนับไม่ถ้วนอยู่ภายใน สมุนไพรระดับลึกลับที่หายากในโลกภายนอกอยู่เกลื่อนทั่วทุกที่ ตำนานบอกว่าสมุนไพรระดับปฐพีก็มีอยู่ภายในด้วยเช่นกัน”


 


“ช่วงที่มันเปิดขึ้นก่อนหน้านี้ ดาบคลั่งชิเซียงค้นพบสมุนไพรระดับลึกลับขั้นสูงสุด พฤกษาเก้าธาตุ หลังจากที่เขาทานมันลงไป เขาก็ตัดผ่านจากระดับที่เก้าของขอบเขตต้นกำเนิดได้ และไปจนถึงระดับที่สองของขอบเขตปฐพี ต่อจากนั้นเขาก็ฆ่าศิษย์ที่มาจากนิกายอื่นๆ มากมาย”


 


“ดาบพยัคฆ์ชิเซียงเองก็ได้รับสมุนไพรระดับลึกลับขั้นสูงสุด พฤกษาพยัคฆ์แดง และใช้มันเพื่อทำให้เทคนิคลับเข้าสู่ขั้นสมบรูณ์ เทคนิคลับแปลงพยัคฆ์เร้นลับ”


 


“นอกจากสมุนไพรแล้ว เขตแดนร้อยพฤกษาเร้นลับก็มีแร่หายากมากมาย มีแร่ระดับสีเหลืองอยู่ทุกที่และมีแร่ระดับลึกลับอยู่ด้วยเช่นกัน หากแร่เหล่านั้นสามารถนำกลับมาได้ ใครจะรู้ว่ามีส่วนร่วมในการให้คะแนนเท่าไร”


 


ทุกคนอยู่ระหว่างการสนทนาที่ร้อนแรง


 


“เขตแดนเร้นลับของสวรรค์และโลก เขตแดนร้อยพฤกษาเร้นลับ!”


 


ดวงตาของหลี่ฟู่เฉินส่องประกายระยิบระยับ


 


เขตแดนที่ซ่อนอยู่ในช่องว่างลึกลับถูกสร้างขึ้นพร้อมกับสวรรค์และโลก พลังงานทางจิตวิญญาณภายในเขตแดนเหล่านี้มีความหนาแน่นกว่าโลกภายนอกถึงสิบเท่าหรือกว่าร้อยเท่า ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำไมสมุนไพรถึงมีอยู่ในระดับสูง มันเป็นสิ่งที่ต้องการพลังงานจากสวรรค์และโลก มันสามารถเติบโตได้ง่ายขึ้นในเขตแดน


 


เขตแดนเร้นลับก็มีแยกระดับด้วยเช่นกัน พวกมันถูกแยกออกเป็นระดับปฐพีและระดับสวรรค์


 


เขตแดนเร้นลับระดับปฐพีมีขนาดใหญ่พอดีๆ ขนาดของมันอาจมีความกว้างถึงหนึ่งร้อยไมล์ หรือแม้แต่กระทั่งหลายร้อยไมล์


 


เขตแดนเร้นลับระดับสวรรค์ ได้มีการกล่าวกันว่าเขตเร้นลับกระดับสวรรค์ที่อยู่ในนั้น ใหญ่พอๆ กับเขตแดนของนิกาย


 


“ในที่สุดโอกาสของข้าก็มาถึงแล้ว”


 


จักรพรรดิดาบ หลิวหวูหลงหัวเราะ


 


อันที่จริงแล้ว เขาสามารถตัดผ่านเข้าสู่ขอบเขคปฐพีได้ทันที แต่เพื่อที่จะเข้าสู่เขตแดนร้อยพฤษาเร้นลับ เขาระงับการบ่มเพาะและไม่อนุญาตให้ตัวเองก้าวหน้า


 


รอให้ทุกคนเงียบสงบอีกครั้ง จ้าวหวูจินกล่าว “เขตแดนร้อยพฤกษาเร้นลับจะเปิดขั้นในอีกสามเดือน ก่อนหน้านั้น นิกายชั้นในจะตัดสินศิษย์สาวกสิบอันดับแรกขึ้นมา ศิษย์ทุกคนที่อยู่ในระดับที่เจ็ดของขอบเขตต้นกำเนิดหรือสูงกว่าสามารถเข้าร่วมได้ หากเจ้าสามารถได้อันดับหนึ่งจากสิบอันดับแรก เจ้าสามารถเลือกเทคนิคลับระดับ 2 ดาวตามที่เจ้าต้องการ”


 


บูม!


 


ลานแห่งนี้ระเบิดขึ้นอีกครั้ง


 


เทคนิคลับระดับ 1 ดาวก็เพียงพอแล้วที่พวกเขาจะถูกล่อลวง เทคนิคลับระดับ 2 ทำให้พวกเขากลายเป็นบ้า


บทที่ 136

ข้าโดดเด่นเกินไป


 


 


“เขาจะต้องเข้าไปในเขตแดนร้อยพฤกษาเร้นลับให้ได้”


 


หลี่ฟู่เฉินจ้องมองอย่างตั้งมั่น


 


ระหว่างการบ่มเพาะ ทั้งความสามารถและทรัพยากรมีความสำคัญเท่ากัน


 


ภายในเขตแดนร้อยพฤกษาเร้นลับ มีสมุนไพรระดับลึกลับอยู่นับไม่ถ้วน หนึ่งในบรรดาสมุนไพรระดับลึกลับเหล่านี้สามารถทำให้เขาก้าวหน้าได้ง่ายดายในเส้นทางของการบ่มเพาะ


 


ในโลกภายนอก สมุนไพรระดับลึกลับขั้นต่ำเพียงต้นเดียวมีมูลค่า 10,000 ถึง 30,000 เหรียญทอง สมุนไพรระดับลึกลับขั้นกลางเหรียญทองประมาณ 100,000 เหรียญ สมุนไพรระดับลึกลับขั้นสูงสามารถไปได้สูงสุดถึง 500,000 เหรียญทอง สมุนไพรระดับลึกลับขั้นสูงสุดมีมูลค่า 1.5 ล้านเหรียญทองและอาจไปถึง 3 ล้านเหรียญทอง


 


หากสมุนไพรสามารถนำไปกลั่นเป็นเม็ดยาต่อไปได้ มูลค่าของพวกมันจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสิบเท่า


 


อย่าได้กล่าวถึงนักสู้ขอบเขตต้นกำเนิด แม้กระทั่งนักต่อสู้ขอบเขตปฐพีและสวรรค์ก็ยังต้องการสมุนไพรระดับลึกลับ ก้านสมุนไพรระดับลึกลับขั้นสูงสุดเพียงก้านเดียวอาจทำให้ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสวรรค์สองคนเกิดความขัดแย้งกันได้


 


“หากมีใครขัดขวางข้าจากการเข้าสู่เขตแดนร้อยพฤกษาเร้นลับ ข้าจะทำลายความสัมพันธ์ที่มีก่อนหน้าทั้งหมด”


 


ดวงตาของหยูเหวินเทียนเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน


 


เขาผู้ซึ่งมีโครงกระดูกระดับ 5 ดาว มีความเร็วในการบ่มเพาะที่สูงส่ง และอยู่ในระดับที่แปดของขอบเขตต้นกำเนิด


 


แต่เขาต้องการความรวดเร็วที่มากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ และเม็ดยาสีเหลืองทั่วไปก็ไม่สามารถเพิ่มระดับการฝึกฝนของเขาได้อีกต่อไปแล้ว แต่สมุนไพรระดับลึกลับนั้นมีความสามารถในการทำเช่นนั้นได้


 


“หือ เขตแดนร้อยพฤกษาเร้นลับ? น่าสนใจ!”


 


เฉินฟางหัวมาถึงระดับที่เก้าของขอบเขตต้นกำเนิดเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว โดยธรรมชาติแล้วเธอเองก็ปรารถนาที่จะเข้าสู่เขตแดนร้อยพฤกษาเร้นลับเช่นกัน


 


เธอเข้าใจว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ สำหรับการรับอันดับหนึ่งในสิบของศิษย์นิกายชั้นในมา


 


มีศิษย์นิกายชั้นในมากมายที่ระงับพลังบ่มเพาะของตนเองเพียงเพื่อต้องการเข้าสู่เขตแดนร้อยพฤกษาเร้นลับ ศิษย์โครงกระดูกระดับ 3 ดาวไม่ใช่ภัยคุกคาม แต่โครงกระดูกระดับ 4 ดาวเหล่านั้นเป็นบางสิ่งที่น่ากลัวอย่างแท้จริง

ตามความรู้ของเฉินฟางหัว ศิษย์โครงกระดูกระดับ 4 ดาวอย่างน้องหนึ่งโหลที่ยับยั้งพลังบ่มเพาะของตนเองเป็นเวลาหลายเดือน หรือแม้กระทั่งตลอดทั้งปีเพื่อที่จะได้ไปยังเขตแดนร้อยพฤกษาเร้นลับ พวกเขามีประสบการณ์สั่งสมมากมายในช่วงระยะเวลานี้


 


“ดังเช่นก่อนหน้านี้ ศิษย์สิบอันดับแรกจะถูกตัดสินจากการแข่งขัน มันจะถูกจัดขึ้นในอีก 3 วันต่อไป พวกเจ้าควรเตรียมตัวของเจ้าให้ดี และอย่าตำหนิสวรรค์หรือใครอื่น เมื่อตอนที่เจ้าแพ้” จ้าวหวูจินเสริม


 


“ผู้อาวุโส เหตุใดศิษย์ขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่เจ็ดและแปดเองก็สามารถเข้าร่วมได้เช่นกัน? ไม่ใช่ว่ามันเป็นการเสียเวลา?”


 


หนึ่งในศิษย์นิกายชั้นที่อยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตต้นกำเนิดตั้งคำถาม


 


จ้าวหวูจินหัวเราะ “แน่แท้แล้วว่าเจ้ามีความมั่นใจ เช่นนั้นทำไมเจ้าต้องใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ด้วย? แน่นอน ก่อนการแข่งขัน จะมีการทดสอบเพื่อคัดกรองผู้อื่น และมันก็จะเริ่มขึ้นหลังจากผ่านการคัดกรองนี้แล้วเท่านั้น เจ้าจะสามารถเข้าร่วมการแข่งขันนี้ได้หรือไม่ก็เท่านั้น”


 


ได้ยินคำอธิบาย เหล่าศิษย์นิกายชั้นในที่ต้องการแสดงความคิดเห็น ทุกคนเงียบลงไป


 


“เอาหล่ะ ไปได้! สองสามวันนี้ทุกคนจนทำงานให้หนักและต่อสู้เพื่อตำแหน่งสิบอันดับแรก”


 


หลังจากการบรรยายถูกสรุปแล้ว จ้าวหวูจินและผู้อาวุโสชั้นในอื่นๆ ก็จากไป ทิ้งให้ศิษย์ชั้นในทั้งหมดอยู่ในสถานะที่ความตื่นเต้นพุ่งขึ้นถึงขีดสุด


 


“พวกเจ้าคิดอย่างไร? ใครมีโอกาสเข้าสู่สิบอันดับแรก?”


 


“ข้าไม่แน่ใจเกี่ยวกับส่วนที่เหลือ แต่ข้ามั่นใจว่าจักรพรรดิดาบชิเซียงจะอยู่ในสิบอันดับแรก”


 


“นั้นแน่นอน จักรพรรดิดาบชิเซียงอย่างน้อยๆ ก็คงสามารถเข้าสู่ห้าอันดับแรกได้ สามอันดับแรก หรือแม้แต่กระทั้งลำดับที่ 1 มีเพียงชิเซียงอื่นๆ ที่ระงับพลังบ่มเพาะของตนเองเป็นเวลานานเท่านั้น ที่จะต่อกรกับเขาได้”


 


“ถูกแล้ว ข้าได้ยินมาว่าเซี่ยวชิเซียงสามารถก้าวไปสู่ขอบเขตปฐพีได้ตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่เพื่อที่จะเข้าสู่เขตแดนร้อย


 


พฤกษาเร้นลับ เขาบังคับตัวเองให้อยู่ในสถานะปัจจุบันของเขา”


 


“ไบ๋ชิเซียงเองก็เช่นกัน”


 


“หยูเหวินชิเซียงเองก็มีโอกาสอยู่มากเช่นกัน หลังจากทั้งหมดแล้วเขาก็มีโครงกระดูกระดับ 5 ดาว”


 


“หลี่ฟู่เฉิน? เขาควรลืมมันไป! ชิเซียงที่อยู่ในลำดับต้นๆ นั้นไม่อาจนำเหลาเทียนจุนชิเซียงมาเทียบเท่าได้ คนใดคนหนึ่งในนั้นสามารถเอาชนะเหลาเทียนจุนชิเซียงได้อย่างง่ายดาย”


 


“หลี่ฟูเฉินไม่มีความหวังเลย ทำไมต้องพูดถึงเขา?”


 


ในลาน ทุกคนกำลังคุยกันและไม่สามารถทำอย่างไรได้ ได้แต่มองไปยังบุคคลที่มีชื่อเสียงบางคน


 


หลี่ฟูเฉินไม่ได้ให้ความสนใจกับความคิดเห็นเหล่านั้น ความสามารถที่แท้จริงจะไม่ถูกเห็นหากไม่มีคำพูด ทุกอย่างจะชัดเจนในสามวัน


 


ทันทีที่เขากำลังจะจากไป ทันใดนั้นเองเขาก็หยุดชะงักลงในเส้นทางของเขา


 


จักรพรรดิดาบ หลิวหวูหลงขวางเส้นทางของเขา


 


“ดูเหมือนว่าเจ้าต้องการของที่อยู่ในเขตแดนร้อยพฤกษาเร้นลับอยู่เหมือนกัน เจ้าก้าวหน้าจากระดับที่หกไปยังระดับที่เจ็ดของขอบเขตต้นกำเนิดได้รวดเร็วจริงๆ ” หลิวหวูหวงกล่าวอย่างเย็นชา


 


หลี่ฟู่เฉินไม่ได้ตอบกลับ แต่ยืนฟังอยู่อย่างเงียบๆ


 


“ข้าแนะนำให้เจ้าล้มเลิกมัน! หากเจ้ากล้าขึ้นไปบนเวที ข้าจะเป็นคนไล่เจ้าออกไป” เมื่อใดกันที่เขา ผู้ซึ่งเป็นจักรพรรดิดาบ หลิวหวูหวง ถูกดูหมิ่นโดยคนบางคน เขายังคงมีความค้างคาใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้


 


หลี่ฟูเฉินหัวเราะเบาๆ “ข้าสงสัยว่าเจ้าเคยได้ยินคำกล่าวนี้หรือไม่ ‘ปล่อยบางสัมพันธ์เพื่อรักษาบางสัมพันธ์ ก็ในเมื่อไม่ว่าเมื่อไหร่เราจะได้พบกันอีก’ แต่เดิมเราไม่มีความแค้นใดๆ ต่อกัน แต่เจ้าได้เลือกบางอย่างที่ผิดพลาดอย่างเช่นการมารุกรานข้า”


 


“ข้าเลือกผิดพลาดแล้วเช่นไร? เจ้าทำอะไรได้บ้าง?” หลิวหวูหวงตอบด้วยความรังเกียจ


 


“ข้าจะส่งคำพูดของเจ้ากลับไปที่เจ้าเอง หากเจ้ากล้าขึ้นไปบนเวที ข้าจะขับไล่เจ้าออก”


 


“นี่เป็นเรื่องตลกร้ายที่สุดเท่าที่ข้าเคยได้ยิน สามวันต่อจากนี้ ข้าจะดูว่าเจ้าจะไล่ข้าออกจากเวทีเช่นไร”


 


สามวันเป็นช่วงเวลาสั้นๆ และหลิวหวูหวงสามารถรอได้


 


“หลี่ชิตี๋ เจ้าสร้างศัตรูอย่างเช่นหลิวหวูหวงไว้ตั้งแต่เมื่อใด?” เฉินฟางหัวไม่อยากจะเชื่อโชคของหลี่ฟู่เฉิน ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน ก็มักจะมีศัตรูเกิดขึ้น เขามีศัตรูอยู่ทุกหนทุกแห่ง


 


หลี่ฟู่เฉินตอบอย่างไม่สามารถทำอย่างไร้ได้ “ข้าอาจจะโดดเด่นเกินไป?”


 


พรืด!


 


เฉินฟางหัวไม่สามารถทำอย่างไรได้ ได้แต่หัวเราะ


 


“เฉินชิเจี๋ย หลี่ฟู่เฉินกล่าวถูกแล้ว เขาโดดเด่นเกินไปจริงๆ แต่ถึงเป็นเช่นนั้นเขาก็ไม่ได้มีโครงกระดูกที่ดีนัก คนที่โดดเด่นเช่นเดียวกันจะพบว่าเขาค่อนข้างน่ารำคาญ” จ้าวหมิ๋งเยวี่ยเดินเข้ามา


 


“ฟังขึ้นและค่อนข้างสมเหตุสมผล” เฉินฟางหัวพยักหน้า


 


จ้าวหมิ๋งเยวี่ยแนะนำหลี่ฟู่เฉิน “เจ้าควรระวัง หลิวหวูหวงอาจเป็นผู้ที่มั่นใจในตนเองมากเกินไป แต่ความสามารถของเขานั้นมีมากอย่างล้นหลาม แม้แต่กระทั่งปู่ของข้าเองก็ยังกล่าวว่าเขาอาจมีโอกาสสร้างเต๋าแห่งดาบของตัวเองขึ้นมาได้”


 


“อย่าได้กังวลไป ข้าไม่เคยประมาทใคร และข้าก็จะไม่ประมาทใครเช่นกัน”


 


หลี่ฟู่เฉินภูมิใจในตัวเขาเอง ตอนนี้หลิวหวูหวงจงใจยั่วยุเขา หลี่ฟูเฉินตัดและสลัดประสบการณ์ที่ขมขื่นในความทรงจำของเขา


 


***


 


หลี่ฟูเฉินอยู่ท่ามกลางการฝึกทักษะดาบในลานบ้านของเขา


 


ยิ่งเขาฝึกฝนวิชาดาบดาวตกมากเท่าไหร่ หลี่ฟูเฉินยิ่งรู้สึกถึงขอบเขตที่ไร้ขีดจำกัดของดาบดาวตกมากเท่านั้น


 


ตามเหตุผล เมื่อวิชาดาบดาวตกอยู่ขั้นภวังค์และได้พัฒนาเป็นเจตจำนงแห่งดาบ มันก็ควรถึงขีดจำกัดแล้ว


 


แต่กลับกันหลี่ฟู่เฉินรู้สึกได้ด้วยตัวเจตจำนงแห่งดาบเอง จริงๆ แล้วมันกลับมีประตูอีกบานนึง


 


หลังจากที่หลี่ฟูเฉินก้าวเข้ามายังประตูบานนี้ เขาค่อยๆ ตระหนักได้ว่าดาบดาวตกนั้นกว้าขวางและลึกล้ำเพียงใด เขาเข้าใจถึงพลังอำนาจและความโหดร้ายของดาบดาวตกได้เช่นเดียวกัน


 


จากตัวเจตจำนงดาบดาวตกเอง หลี่ฟู่เฉินรู้สึกถึงความสำคัญที่อยู่เหนือกว่าวิชาดาบดาวตกได้


 


อุกกาบาตบนท้องฟ้าจะถูกจำกัดเพียงแค่วิชาดาบดาวตกเพียงวิชาเดียวได้อย่างไร?


 


ด้วยการวาดดาบของเขาออกไป มีแร่ก้อนใหญ่ถูกเจาะราวกับรังผึ้ง


 


“ไม่เลว การโจมตีเพิ่มขึ้นเป็นสามครั้งเมื่อเปรียบเทียบกับกาใช้อออกครั้งก่น” หลี่ฟู่เฉินพยักหน้าอย่างพึงพอใจ


 


สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว


 


การทดสอบเพื่อคัดกรองกำลังจะเริ่มขึ้น


 


การทดสอบเพื่อคัดกรองนั้นตรงไปตรงมาอย่างมาก ผู้ถูกทดสอบจำเป็นต้องทิ้งรอยลึกลงไปบนแร่โลหะระดับสีเหลืองชั้นสูงสุด


 


มันอาจฟังดูง่าย แต่มันยากกว่าที่คิดไว้มาก


 


เหล็กดำเป็นแร่โลหะสีเหลืองขั้นสูงสุด แร่เหล็กนี้อาจไม่แข็งแรงมากนัก ก็ในเมื่อมันมีส่วนผสมอื่นๆ มากมาย แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่นักสู้ขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่เก้าจะสามารถทำให้มันแตกหักได้ เพื่อที่จะทำสิ่งนั้นหนึ่งจะต้องมีทักษะดาบที่น่าหวาดกลัว ซึ่งสามารถบรรลุถึงขั้นรอบรู้ของมันได้


บทที่ 137

เจตจำนงแห่งดาบทะยานเมฆา


 


 


เวทีนี้เต็มไปด้วยผู้คน แต่ศิษย์ชั้นในที่มาที่นี่ส่วนใหญ่เพียงแค่มาชมดู มีเพียง 20% เท่านั้นที่ผ่านการรับรองเพื่อเข้าร่วมการแข่งขัน


 


“ให้ข้าลองดู”


 


ศิษย์ชั้นในขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่แปดออกมาจากกลุ่มคน


 


เขากำดาบด้วยมือทั้งสองข้างและเล็งไปที่แร่เหล็กสีดำ


 


เคร้ง!


 


ประกายไฟพุ่งพวยออกมา แต่ทว่าทำได้เพียงแค่ทิ้งรอยสีขาวไว้ส่วนผิวนอกของแร่เหล็กแต่เพียงเท่านั้น


 


“ตัดสิทธิ์ คนต่อไป”


 


ผู้ดูแลชั้นในที่รับผิดชอบการคัดกรองประกาศ


 


มันเป็นสิ่งที่ยากลำบากยิ่ง สำหรับการสร้างรอยลึกกว่าหนึ่งนิ้วบนแร่เหล็กดำ ศิษย์นิกายชั้นในหลายคนอยู่ขอบเขตต้นกำเนิดขั้นสูง แต่อย่างมากสุดคนเหล่านั้นก็ทิ้งไว้ได้เพียงแค่ครึ่งนิ้ว


 


“ยากเกินไป! ข้าคิดว่ามีเพียงศิษย์ชั้นในไม่กี่คนเท่านั้นที่ทำสิ่งนี้ได้?”


 


“ตัวเลขโดยประมาณของข้าคือ 200”


 


“200? จิ๊! ข้ามากที่สุดเพียง 100”


 


ท่ามกลางศิษย์ชั้นในด้วยกันเอง ไม่มีใครเลยที่ใช้แร่ในการฝึกฝนทักษะดาบของพวกเขา ยกเว้นศิษย์ชั้นในชั้นหนึ่ง


 


แม้แต่กระทั่งศิษย์ชั้นในชั้นหนึ่งเอง พวกเขาก็มักจะใช้แร่ส่วนใหญ่เป็นสีเหลืองขั้นสูง


 


ไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะมีความยากลำบากเช่นนี้ สำหรับการทิ้งรอยลึกหนึ่งนิ้วลงไปบนแร่เหล็กดำสีเหลืองขั้นสูงสุด


 


“ให้ข้าไป”


 


คนที่กล่าวคือจ้าวหมิ๋งเยวี่ย


 


เพื่อเข้าร่วมในการทดสอบคัดกรอง จ้าวหมิ๋งเยวี่ยใช้เม็ดยาครึ่งก้าลึกลับเมื่อเดือนที่แล้วและยกระดับพลังบ่มเพาะของเธอขึ้นมาสู่ระดับที่เจ็ดของขอบเขตต้นกำเนิด


 


เคร้ง!


 


ประกายไฟพุ่งพ้นออกมา แต่ทว่ามีเพียงรอยตื้นๆ ที่เหลืออยู่บนแร่เหล็กดำ


 


จ้าวหมิ๋งเยวี่ยส่ายหัวของเธอแล้วก้าวลงจากเวที


 


ผลลัพธ์เองก็คือถูกตัดสิทธิ์


 


ศิษย์ชั้นในที่เข้ารับข้อกำหนดของการทดสอบคัดกรองเพิ่มขึ้นทีละคน แต่ละคนๆ ออกจากเวทีพร้อมด้วยสีหน้าที่เศร้าซึม มันดำเนินไปเช่นนี้


 


เพียงไม่นาน บุคคลกว่า 2000 คนก็ล้มเหลว


 


ก่อนหน้านี้ 10 อัจฉริยะของนิกายชั้นนอกถูกตัดสิทธิ์ทั้งหมด เหลือเพียงหยูเหวินเทียน


 


“มันถึงตาของหยูเหวินเทียนแล้ว ข้าสงสัยว่าเขาจะมีคุณสมบัติหรือไม่?”


 


“เขาน่าจะทำได้ หลังจากทั้งหมดแล้วเขาก็มีโครงกระดูกระดับ 5 ดาวและการฝึกฝนของเขาเองก็ไม่ต่ำต้อยเช่นกัน เขาอยู่ในระดับที่แปดของขอบเขตต้นกำเนิดแล้ว”


 


ในขณะที่ผู้ชมพูดคุยกัน หยูเหวินเทียนก็มาถึงหน้าแร่เหล็กดำแล้ว


 


ด้วยการชักดาบออกจากฝัก หยูเหวินเทียนออกแรงให้มากที่สุดเพื่อหวังแยกแร่เหล็กดำออกจากกัน


 


เคร้ง!


 


เศษชิ้นส่วนบินกระจายและสัญลักษณ์มากกว่าหนึ่งนิ้วปรากฏขึ้น


 


“หยูเหวินเทียน มีคุณสมบัติ”


 


ผู้ดูแลชั้นในที่รับผิดชอบพยักหน้าด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย


 


ณ ตอนนี้ หยูเหวินเทียนเป็นเพียงคนเดียวที่ระดับต่ำกว่าขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่เก้าและมีคุณสมบัติ มันเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมาก


 


“นี่คือสิ่งที่โครงกระดูกระดับ 5 ดาวทำได้? ข้าไม่สามารถเปรียบเทียบกับมันได้เลย” เก่าช่างเทียนถอยหายใจ


 


จาก 10 อัจฉริยะชั้นนอกเมื่อก่อนหน้านี้ เฉพาะหยูเหวินเทียนเท่านั้นที่ผ่านไปได้ ที่เหลือเหล่านั้นจึงไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่ดีนัก


 


“ฮ่าฮ่า ข้าจะยอมได้อย่าไร” ร่างนึงร่อนขึ้นไปบนเวที


 


“มันเป็นเซี่ยวหลี่ไบ๋ เซี่ยวชิเซียง”


 


“เซี่ยวชิเซียงมีคุณสมบัติอย่างแน่นอน แต่ข้าสงสัยว่าเขาจะทิ้งรอยไว้บนแร่เหล็กดำได้ลึกเพียงใด”


 


ชื่อเสียงของเซียวหลี่ไบ๋ไม่ด้อยไปกว่าจักรพรรดิดาบ หลิวหวูหวง มีบางคนกล่าวว่าเขาอาจเป็นศิษย์ชั้นในอันดับหนึ่งของนิกาย


 


แน่นอน นี้เป็นเพียงแค่ความคิดของบุคคลหนึ่ง


 


ความแข็งแกร่งของเซี่ยวหลี่ไบ๋สะสมมากขึ้นตามกาลเวลา โครงกระดูกระดับ 4 ดาวของเขานั้นไม่ได้ด้อยไปกว่าโครงกระดูกระดับ 5 ดาวของหลิวหวูหวงหรือหยูเหวินเทียน


 


เคร้ง!


 


เซี่ยวหลี่ไบ๋เป็นบุคคลที่ควรค่าแก่ตำแหน่งศิษย์ชั้นในลำดับที่ 1 ใบมีดของเขาทิ้งรอยลึกสองนิ้วและลึกมากที่สุด


 


“ถึงตาข้าแล้ว”


 


นิ้วเท้าของเฉินฟางหัวแตะพื้น ขณะที่เธอพุ่งลอยไปบนเวทีราวกับก้อนเมฆที่ร่องลอยไปมา


 


“ทำลาย!”


 


เฉินฟางหัวฝึกฝนทักษะดาบลึกลับขั้นต่ำที่แตกต่างกันถึงสองทักษะ หนึ่งในนั้นคือทักษะโจมตีแบบหมู่ วิชาดาบสะพรั้งอนันย์ อีกวิชานึงคือวิชาดาบสะพรั้งเหินหาว


 


วิชาดาบสะพรั้งเหินหาวที่พลังโจมตีสูง เพียงดาบเดียวก็สลักรอยลึกที่มากกว่าหนึ่งนิ้วลงไป


 


“เฉินฟางหัว มีคุณสมบัติ”


 


ได้ยินคำตัดสินจากผู้ดูแลชั้นใน เฉินฟางหัวปล่อยลมหายใจอย่างโล่งอก


 


“เฉินชิเจี๋ย ยินดีด้วย” เมื่อเฉินฟางหัวกลับมา หลี่ฟู่เฉินแสดงความยินดี


 


เฉินฟางหัวกล่าว “มันก็แค่โชคดี”


 


ณ ตอนนี้ มีศิษย์เพียง 30+ เท่านั้นที่มีคุณสมบัติ ตัวเลขต่ำกว่าที่คาดไว้มาก ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอค่อนข้างกังวลเกี่ยวกับผลลัพธ์


 


“ไบ๋ชิเซียง กำลังขึ้นไป”


 


“ลั่วชิเซียง ก็กำลังขึ้นไปเช่นกัน”


 


“แข็งแกร่งมาก พวกเขาหยุดอยู่ที่ขอบเขตต้นกำเนิดได้อย่างไร?”


 


ไบ๋ชิเซียงและลั่วชิเซียงที่ถูกกล่าวถึงโดยผู้ชม แต่ละคนทิ้งรอยที่มีความลึกเกือบสองนิ้วไว้


 


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาอยู่ระดับที่เหนือกว่า


 


“นิกายชั้นในเสือซ่อนมังกรหมอบอยู่จำนวนมาก!” หลี่ฟู่เฉินเลิกคิ้ว


 


เขารู้สึกได้ว่าเซี่ยวหลี่ไบ๋เข้าใจเจตจำนงแห่งดาบ ในช่วงเวลาปกติจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เมื่อเซี่ยวหลี่ไบ๋ลงมือใช้ดาบของเขา หลี่ฟู่เฉินขึงรู้สึกถึงเจตจำนงแห่งดาบได้อย่างชัดเจน


 


นั่นหมายความว่าเซี่ยวหลี่ไบ๋ซ่อนความสามารถที่แท้จริงของเขาเอาไว้ได้มากที่สุด


 


ไบ๋และลั่วชิเซียงที่ทุกคนกล่าวถึงอาจจะไม่ได้เข้าใจเขตจำนงแห่งดาบ แต่พวกเขาก็อยู่ในขอบเขตที่ใกล้คียง


 


ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น มันก็ไม่มีความเป็นไปได้สำหรับการที่จะทิ้งรอยไว้บนแร่เหล็กดำกว่าสองนิ้ว


 


หลังจากทั้งหมดแล้ว นี้ไม่ใช่สิ่งที่ง่ายดาย มันจะถูกเพิ่มความยากลำบากอย่างน้อยสองสามเท่า สำหรับการทิ้งรอยลึกไว้สองนิ้วแทนที่จะเป็นหนึ่งนิ้ว


 


“อ่อนแอ เหล่าคนที่อ่อนแอ่” จักรพรรดิดาบ หลิวหวูหวงเดินออกมาจากฝูงชน


 


“จักรพรรดิดาบหลิวหวูหวงในที่สุดก็ก้าวออกมาแล้ว”


 


“ดาบแดนร้าง จักรพรรดิดาบ ดาบวารีขาว และดาบห้วงขุนเขา สี่ชิเซียงเหล่านี้ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็น 4 ผู้เชี่ยวชาญสูงสุด”


 


การแสดงออกของทุกคนดูตื่นเต้น


 


สี่ชื่อนี้แสดงถึง :


 


ดาบแดนร้าง เซี่ยวหลี่ไบ๋


 


จักรพรรดิดาบ หลิวหวูหวง


 


ดาบวารีขาว ไบ๋เต๋า


 


ดาบห้วงขุนเขา ลั่วหยี่ซาน


 


ความสามารถของพวกเขาทั้งสี่อยู่ที่จุดสูงสุดของขอบเขตต้นกำเนิด ชื่อของพวกเขาค่อนข้างโด่งดังแม้กระทั่งในโลกภายนอกเองก็ตาม


 


พวกเขาทั้งสี่ต่างสังหารบุคคลที่อยู่ขอบเขตปฐพีมาแล้ว


 


“ข้าสงสัยว่าความสามารถของหลิวชิตี๋จะประสบความสำเร็จในระดับใด”


 


เซี่ยวหลี่ไบ๋สำรวจหลิวหวูหวงด้วยความอยากรู้อยากเห็น


 


อยู่ห่างจากแร่เหล็กดำสามก้าว หลิวหวูหวงดึงดาบเหล็กสีดำของเขาออกมา


 


“ทุกคนมองสิ่งนี้ให้ดี”


 


หลิวหวูหวงคำรามอยู่ในใจของเขาและฟันลงอไปที่แร่เหล็กดำ


 


ปึก!


 


เสียงแตกต่างจากที่ผ่านมาเกินขึ้น เจตจำนงแห่งดาบของหลิวหวูหวงทำให้เกิดเสียงซึ่งดูเหมือนว่าจะมีจุดประสงค์เพื่อทำลายแร่


 


“เจตจำนงแห่งดาบ!”


 


ตาของเซี่ยวหลี่ไบ๋เบิกกว้าง


 


มันเป็นเพราะเขาเข้าใจเจตจำนงแห่งดาบเป็นอย่างดี เห็นได้ชัดว่าเขารู้สึกได้ทันที เมื่อตอนที่หลิวหวูหวงใช้เจตจำนงแห่งดาบเมื่อก่อนหน้านี้ มันเป็นเจตจำนงแห่งดาบที่มีอำนาจเหนือชั้นกว่ามาก สามารถเอาชนะอุปสรรคใดๆ ก็ตาม


 


เจตจำนงแห่งดาบทะยานเมฆา


 


วิชาดาบสบั้นเมฆานั้นคล้ายคลึงกับวิชาดาบดาวตก ซึ่งทั้งสองเดินอยู่บนปลายสุดของทักษะดาบ เจตจำนงแห่งดาบ ซึ่งมาจากวิชาดาบสบั้นเมฆานั้นเข้าสกดข่มและให้ความรู้สึกที่ว่ามันสามารถแยกสิ่งใดๆ ภายใต้สวรรค์ออกจากกันได้


 


“2.8 นิ้ว มีคุณสมบัติ”


 


ผู้ดูแลชั้นในที่รับผิดชอบการทดสอบคัดกรองก็ตกใจเช่นกัน เขาผู้ซึ่งเป็นนักสู้ขอบเขตปฐพีก็ยังไม่สามารถเข้าใจเจตจำนงแห่งดาบได้ เขาไม่คาดหวังว่าศิษย์นิกายชั้นในจะเข้าใจเจตจำนงแห่งดาบได้จริงๆ


 


ไม่น่าเชื่ออย่างแท้จริง


 


“ข้าได้ยินผิดไปใช่ไหม! 2.8 นิ้ว?”


 


“น่ากลัว ข้าต้องการถามเสียเหลือเกินว่าใครคือคู่แข่งของจักรพรรดิชิเซียงจะเป็นใคร? ข้าเกรงว่าแม้แต่กระทั้งเซี่ยวชิเซียงก็ไม่สามารถชนะได้”


 


รวมไปถึงเฉินฟางหัวและจ้าวหมิ๋งเยวี่ย ทุกคนสูดหายใจเข้าลึกๆ


 


มีความแตกต่างอย่างมากระหว่างการใช้เจตจำนงแห่งดาบกับไม่ใช่


 


ด้วยการเข้าใจในเจตจำนงแห่งดาบ ทักษะดาบที่ใช้ออกในช่วงเวลาเป็นตายพลังก็จะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสองเท่า มันจะเอาชนะคู่ต่อสู้แบะทำให้พวกนั้นไม่มีที่ว่างพอที่จะป้องกันได้


 


“หลี่ชิตี๋ เจ้ากระตุ้นบุคคลที่ไม่ควรยุ่งเข้าให้แล้ว!” เฉินฟางหัวพูดกับหลี่ฟูเฉิน


 


“ตอนนี้เป็นตาของข้าแล้ว” หลี่ฟู่เฉินยิ้มและก้าวขึ้นไปบนเวที


 


ถ้าเจ้าเข้าใจเจตจำนงแห่งดาบแล้วอย่างไร?


 


มันความความแตกต่างระหว่างการเข้าใจเจตจำนงแห่งดาบแบบลึกซึ้งกับไม่ลึกซึ้งอยู่เหมือนกัน


บทที่ 138

เจตจำนงแห่งดาบอีกครั้ง


 


 


“เพียงขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่เจ็ด และยังอยากมาทำให้ตัวเองขายหน้าที่บนเวทีอีก เขาไม่มีคุณสมบัติแน่นอน”


 


“ข้าได้ยินมาว่าเขามีเรื่องขัดแย้งกับจักรพรรดิดาบชิเซียง”


 


“เขาอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายแล้วอย่างแน่นอน เพียงดาบเดียวจากจักรพรรดิดาบชิเซียงก็เพียงพอที่จะเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นสุนัขที่กำลังวิ่งหนีตาย”


 


“ข้าอยากจะเห็นมัน! ข้าอยากจะเห็นจริงๆ ว่าเขาจะทิ้งรอยไว้ที่แร่เหล็กดำได้ลึกเพียงใด”

ขณะนี้ ทุกสายตาจ้องไปที่หลี่ฟู่เฉิน แต่ทว่าก็ยังเป็นข้อครหาของทุกคนอีกด้วย


 


แม้แต่กระทั่งเฉินฟางหัวก็ไม่ได้คาดหวังกับหลี่ฟู่เฉินมากนัก


 


มันไม่ใช่ความคาดหวังว่าหลี่ฟู่เฉินจะสร้างรอยลงไปในแร่เหล็กดำได้ลึกเพียงใด เธอคาดหวังว่าผลลัพธ์ที่ดีที่สุดคือการที่หลี่ฟู่เฉินไม่ต้องต่อสู้กับจักรพรรดิดาบ หลิวหวูหวง


 


หลังจากการทดสอบคัดกรองก็มาถึงการแข่งขันจัดอันดับ ด้วยพลังที่เหนือกว่าของหลิวหวูหวง เขาจะต้องขัดขวางหลี่ฟู่เฉินอย่างแน่นอน


 


ยืนอยู่หน้าแร่เหล็กดำ หลี่ฟู่เฉินวิเคราะห์พื้นผิวของแร่


 


หลังจากถูกโจมตีจากผู้สมัครกว่า 3,000 คน แร่เหล็กดำก็ถูกปกคลุมด้วยร่องรอยและคมบาด


 


‘ข้ายังไม่เคยทดสอบดาบของตนเองกับแร่เหล็กดำมาก่อน ข้าสงสัยว่าข้าจะสามารถสร้างรอยได้ลึกเพียงใด หากข้าไม่ได้ใช้เทคนิคลับมังกรเร้นลับ’


 


หลี่ฟูเฉินไม่แน่ใจเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่รู้จัก เขาทำได้แต่เพียงออกแรงเต็มที่เท่านั้น


 


ถอยหลังครึ่งก้าวและจับหาระยะการโจมตีที่สมบูรณ์แบบ หลี่ฟู่เฉินใช้ออกกระบวนท่า


 


ไม่มีใครเห็นการดำเนินการของหลี่ฟู่เฉิน


 


พวกเขาเห็นเพียงมือขวาของหลี่ฟู่เฉินเท่านั้น เส้นแสงที่คล้ายกับดาวที่กำลังตกลงมา มันเจาะลงไปในแร่เหล็กดำ มันปลดปล่อยเจตจำนงอันแรงกล้าออกมาซึ่งเพียงพริบตาเดียวก็สลักลึกลงไปในหัวใจผู้คน


 


กรึบ!


 


บนแร่เหล็กดำ เป็นรูขนาดสองนิ้ว ผงละเอียดเล็ดลอดออกมาจากภายใน


 


“นี่คือ… เจตจำนงแห่งดาบ!”


 


ปากของเฉินฟางหัวอ้ากว้างและแทบไม่สามารถปิดได้ชั่วคราว


 


“เจตจำนงแห่งดาบที่น่าสะพรึงกลัวอะไรเช่นนี้” รูม่านตาของเซี่ยวหลี่ไบ๋หดแคบลง


 


หากเจตจำนงแห่งดาบทะยานเมฆาของหลิวหวูหวงเป็นตัวแทนของอำนาจและพลังที่อไม่าจก้าวข้ามไปได้ เช่นนั้นแล้วเจตจำนงแห่งดาบดาวตกของหลี่ฟู่เฉินก็แสดงถึงความรวดเร็วและความรุนแรงสูงสุด หนึ่งคือก้าวข้ามผ่านไปไม่ได้ อีกหนึ่งคือไม่สามารถปิดกั้นจากมันได้


 


ไบ๋เต๋าและลั่วหยี่ซานมองหน้ากัน พวกเขาต่างก็รู้สึกหมดหนทางที่คนรุ่นใหม่เข้ายึดสถานที่ที่เป็นของคนรุ่นเก่า


 


“เขายังเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่?”


 


ทุกคนตกใจและรู้สึกแสบร้อนบนใบหน้า


 


“เข้าใจเขตจำนงแห่งดาบได้ตั้งแต่ที่อยู่ขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่เจ็ด เขาอยู่ในตำแหน่งเดียวกับดาบคลั่งชิเซียงในช่วงหลายปีก่อนหน้า”


 


“ถูกแล้ว ดาบคลั่งชิเซียงเข้าใจเจตจำนงแห่งดาบได้ตั้งแต่ขอบเขตต้นกำเนิดระดับที่เจ็ด”


 


“การรับรู้ในเต๋าแห่งดาบของเขานั้นเหมือนกันกับดาบคลั่งชิเซียง เขาเป็นสิ่งที่คล้ายกับปีศาจ!”


 


หลังจากหลี่ฟู่เฉินแสดงเจตจำนงแห่งดาบของเขาแล้ว ไม่มีใครดูแคลนหลี่ฟู่เฉินอีกต่อไป


 


พวกเขาไม่มีคุณสมบัติที่จะทำเช่นนั้น


 


ไม่มีใครสามารถแคลนถูกหลี่ฟู่เฉินได้


 


หากต้องการที่จะดูถูกหลี่ฟู่เฉิน อย่างน้อยท่านจะต้องเข้าใจเจตจำนงแห่งดาบ ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว ท่าจะสามารถวิจารณ์หลี่ฟู่เฉินบนพื้นฐานใดได้บ้าง?


 


“น่าสนใจ ไม่น่าแปลกใจที่เขากล้าต่อต้านข้า มันเป็นเพราะเขาเข้าใจเจตจำนงแห่งดาบ ข้าอาจประเมินเจ้าต่ำไป แม้ว่าเจ้าจะมีเจตจำนงแห่งดาบ แต่ข้าเองก็มีเจตจำนงแห่งดาบเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น พลังฝึกฝนของข้าก็มากกว่าเจ้าถึงสองระดับ”


 


ใบหน้าของหลิวหวูหวงซีดลงในขณะที่เขาพูดกับตัวเอง


 


“บ้าเอ้ย!”


 


ใบหน้าของหยูเหวินเทียนดูหงุดหงิดยิ่งกว่าหลิวหวูหวง Liu Wuhuang


 


ทักษะดาบลึกลับขั้นต่ำของเขาได้บรรลุถึงขั้นดีเลิศแล้ว แต่เขาก็ยังห่างไกลจากขั้นภวังค์


 


หลี่ฟู่เฉินแซงหน้าเขาอีกครั้ง


 


ผู้ดูแลชั้นในตกใจและรีบจับไม้บรรทัดยาวเข้าไปในหลุมอย่างรวดเร็ว


 


“2 นิ้ว… 2.9 นิ้ว” เสียงของผู้ดูแลชั้นในขาดห้วง


 


2.8 นิ้วแต่เดิมคือสูงสุดแล้ว ใครจะรู้ว่าหลี่ฟู่เฉินจะทำลายขีดจำกัดและบรรลุผลได้ถึง 2.9 นิ้ว


 


ในเวที เป็นคลื่นของอากาศที่แปรปรวน


 


หลี่ฟูเฉินเพิ่งอยู่ในระดับที่เจ็ดของขอบเขตต้นกำเนิดเท่านั้น เมื่อเขาอยู่ในระดับที่เก้าของขอบเขตต้นกำเนิด เขาจะไม่เป็นบางอย่างที่ท้าทายสวรรค์?


 


“หลี่ชิตี๋ เจ้าทำได้อย่างไร?” เฉินฟาวหัวรีบถามเมื่อหลี่ฟู่เฉินเดินออกจากเวที จ้าวหมิ๋งเยวี่ยเองก็เผชิญกับความอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน


 


แม้ว่าหลี่ฟู่เฉินจะเข้าใจเจตจำนงแห่งดาบและมีเทคนิคบ่มเพาะอยู่ในระดับสูง แต่มันก็คงไม่ได้เป็นเหตุผลที่เขาจะจะทำได้ดีกว่าหลิวหวูหวง


 


จากสิ่งที่เฉินฟางหัวรู้ เทคนิคบ่มเพาะของหลิวหวูหวงนั้นอยู่ในระดับที่สิบสาม ซึ่งต่ำกว่าหลี่ฟู่เฉินเพียงระดับเดียวเท่านั้น


 


หลี่ฟู่เฉินตอบกลับ “รอจนกระทั่งเจ้าเข้าใจเจตจำนงแห่งดาบ แล้วเจ้าจะเข้าใจ”


 


หากไม่เข้าใจเจตจำนงแห่งดาบ ก็จะไม่มีใครเข้าใจความแตกต่างระหว่างการมีเจตจำนงแห่งดาบกับไม่มี


 


หากระดับเจตจำนงแห่งดาบของหลี่ฟู่เฉินเท่ากับหลิวหวูหวง เขาจะสามารถทิ้งรอบที่มีขนาดมากกว่า 2 นิ้วและไม่ใช่เพียง 2.9 นิ้วที่เป็นเพียงรูเล็กน้อย


 


แต่เจตจำนงแห่งดาบดาวตกของหลี่ฟู่เฉินนั้นลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม และเหนือกว่าเจตจำนงแห่งดายทยานเมฆาของหลิวหวูหวงมาก


 


ในสายตาของหลี่ฟู่เฉิน เจตจำนงแห่งดาบของหลิวหวูหวงอยู่ในระดับที่สามารถปลดปล่อยออกมาได้ แต่ไม่สามารถถอนกลับออกได้ เขายังไม่ได้อยู่ในระดับที่สามารถใช้ได้ตามที่เขาต้องการ


 


แน่นอนว่านอกเหนือจากนี้ ความแข็งแกร่งทางกายภาพของหลี่ฟู่เฉินก็แข็งแกร่งกว่าหลิวหวูหวงมาก


 


ความแข็งแกร่งทางกายภาพ 40,000 กิโลกรัมถือเป็นระดับสูงสุดในนิกายวารีคราม


 


หลี่ฟู่เฉินรู้ดีว่าเทคนิคฝึกฝนร่างกายในระดับสูงที่สุดในนิกายวารีครามนั้นมีเฉพาะในระดับลึกลับขั้นสูงเท่านั้น ภายในรัศมี 100,000 ไมล์ เฉพาะนิกายปีศาจสวรรค์เท่านั้นที่มีเทคลึกปรับแต่งร่างกายระดับลึกลับขั้นสูงสุด ทั้งนิกายวารีคราม นิกายโหมกระบี่ หรือนิกายอื่นๆ ก็ไม่ได้ครอบครองมัน

(หมายเหตุ TL: ส่วนนิกายควงเต๋า = นิกายโหมกระบี่)


 


“เจตจำนงแห่งดาบไม่ใช่สิ่งที่สามารถทำได้เพียงแค่กล่าวถึงมัน” เฉินฟางหัวส่ายหัวของเธอ


 


โดยทั่วไป โครงกระดูกระดับ 4 ดาวจะต้องอยู่ที่ขอบเขตปฐพีก่อนถึงจะสามารถเข้าใจเจตจำนงแห่งดาบได้ มีเพียงคนกลุ่มน้อยที่หาได้ยากเท่านั้น ถึงจะสามารถเข้าใจเจตจำนงแห่งดาบได้ตอนขอบเขตต้นกำเนิด


 


“เจ้ามันปีศาจจริงๆ!” จ้าวหมิ๋งเยวี่ยพูดไม่ออก


 


 


***


 


เมื่อเวลาผ่านไป การตรวจคัดกรองก็สิ้นสุดลง


 


มีเพียง 52 คนที่ผ่านการคัดเลือกจากผู้สมัครกว่า 4,000 คน


 


นั่นคือค่าเฉลี่ย 1 จาก 80


 


นัดการแข่งขันอยู่ในช่วงบ่าย ดังนั้นทุกคนจึงไปทานอาหารกลางวันกัน


 


บ่ายสามโมง


 


รอบเวทีก็กลายเป็นครื่นเครงอีกครั้ง


 


ผู้อาวุโสใหญ่ชั้นในประกาศ “สำหรับการแข่งขันการจัดอันดับ มันอยู่ในรูปแบบของผู้อยู่รอด มีทั้งหมดสิบขั้นตอน ใครก็ตามที่คิดว่าตนเองมีความสามารถ สามารถยืนบนมันและเผชิญหน้ากับผู้ท้าทาย”


 


“กฎของการแข่งขันผู้อยู่รอดก็คือ : ทุกคนมีโอกาสที่จะท้าทาย 3 ครั้งเท่านั้น เมื่อพวกเขาล้มเหลวในการพยายามทั้งสาม พวกเขาจะถูกคัดออก”


 


“ถ้าบุคคลผู้เป็นเจ้าของเวทีสามารถเอาชนะการแข่งขันได้สิบนัดติดต่อกัน พวกเขาจะถูกจัดอยู่ในสิบอันดับแรกของศิษ์ชั้นใน จากนั้นพวกเขาก็ไม่จำเป็นที่จะยอมรับการท้าทายอีกต่อไป”


 


“เอาล่ะ ให้ผู้อยู่รอดเริ่มการแข่งขัน”


 


จบการประกาศของเขา จ้าวหวูจินนั่งลง


 


“ให้ข้าได้เป็นผู้ครองเวทีที่ 1!”


 


 


เซี่ยวหลี่ไบ๋ยืนอยู่บนเวที 1


 


“ข้าจะขึ้นเวที 2”


 


“ข้าจะขึ้นเวที 3”


 


จาก 52 คน สิบคนยืนอยู่ในแต่ละเวที


 


หลิวหวูหวงและหลี่ฟู่เฉินไม่ได้ขึ้นเวที


 


พวกเขาทั้งสองคนต่างจ้องไปที่กันและกันขณะที่เจตนาของการต่อสู้เริ่มก่อตัวขึ้น


 


“เซี่ยวหลี่ไบ๋ ให้ข้า โจวกวงได้สู้กับเจ้า”


 


เงากระโดดขึ้นไปบนเวที 1


 


โจวกวงอยู่จุดสูงสุดของขอบเขตต้นกำเนิดและมีโครงกระดูกระดับ 4 ดาวเช่นกัน


 


ในการทดสอบแบบคัดกรอง เขาทิ้งรอยที่มีความลึกกว่า 1.9 นิ้วและไม่ด้อยไปกว่าไบ๋เต๋าหรือลั่วหยี่ซาน


 


“โจวกวง… เจ้าไม่ได้เป็นคู่ต่อสู้ของข้า อย่าได้เสียโอกาสเช่นนี้” เซี่ยวหลี่ไบ๋แจง


 


โจวกวงตอบกลับ “นั่นอาจไม่เป็นความจริง รับดาบของข้าไป!”


 


“เนื่องจากเป็นเช่นนี้แล้ว โจวกวง ข้าจะให้เจ้าเป็นผู้ชมเจตจำนงแห่งดาบทยานนภาของข้า”


 


ด้วยดาบที่ออกมาจากฝัก มันทำให้คนรอบเวทีกลายเป็นตกใจ


 


วิชาดาบทยานนภาคลายกับมีชีวิตมีอยู่ในมือของเซี่ยวหลี่ไบ๋ เจตจำนงแห่งดาบที่คลุมเครือและรุนแรงทะลุดผ่านดาบของโจวกวงไปในทันที ปิสส!


 


โจวกวงถูกถอดถอนออกจากเวที ขณะที่พ่นเลือดออกมาเต็มปาก ใบหน้าเต็มไปด้วยหวาดกลัว “เจ้าเข้าใจเจตจำนงแห่งดาบหรือไม่?”


 


เซี่ยวหลี่ไบ๋หัวเราะ


 


“สวรรค์! เซี่ยวหลี่ไบ๋เองก็เข้าใจเจตจำนงแห่งดาบด้วยเช่นกัน”


 


“ดั่งคำกล่าวที่ว่า ‘มีภูเขาที่สูงกว่าเสมอ’ เดิมทีคิดว่ามีเพียงแต่จักรพรรดิดาบชิเซียงและหลี่ฟู่เฉินที่เข้าใจเจตจำนงแห่งดาบ ใครจะรู้ว่าเซี่ยวชิเซียงก็เข้าใจเจตจำนงแห่งดาบด้วยเช่นกัน มันถูกแสดงออกมาแล้ว ณ ตอนนี้”


 


ผู้ชมตกใจยิ่งยวด


 


“อย่างที่คาดไว้”


 


หลี่ฟู่เฉินพยักหน้า เซี่ยวหลี่ไบ๋เข้าใจเจตจำนงแห่งดาบจริงๆ


 


เจตจำนงแห่งดาบทยานนภา คลุมเครือและก้าวร้าว มันเป็นหนึ่งในสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับการป้องกัน


 


“ไม่เลว เด็กคนนี้ควรค่าแก่การสั่งสอน”


 


จ้าวหวูจินพยักหน้าด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย


บทที่ 139

เทคนิคลับสู้กับเทคนิคลับ


 


 


ระเบิดเจตจำนงแห่งดาบออกมา ก็ไม่มีใครกล้าท้าทายเซี่ยวหลี่ไบ๋อีกต่อไป


 


ท้าทายเซี่ยวหลี่ไบ๋ผู้ที่เข้าใจเจตจำนงแห่งดาบก็เหมือนกับการแส่หาเรื่องตลกให้กับตัวเอง


 


ในโลกนี้ เฉพาะหลังจากที่เข้าใจเจตจำนงแห่งดาบแล้วเท่านั้น ถึงจะสามารถเรียกว่าเป็นนักดาบที่แท้จริงได้ หากไม่เป็นเช่นนั้น ท่านก็ไม่คู่ควรกับตำแหน่งนักดาบ และสามารถเรียกได้ว่าเป็นผู้ใช้ดาบแต่เพียงเท่านั้น


 


“เซี่ยวหลี่ไบ๋ ให้ข้าได้ลองทักษะของเจ้า”


 


ร่างของหลิวหวูหวงร่อนลงที่เวที 1


 


เซี่ยวหลี่ไบ๋มองไปยังหลิวหวูหวงและรู้สึกแปลกๆ “หลิวหวูหวง ไม่มีความหมายที่เราสองคนจะสู้กัน”


 


ตราบใดที่เจ้าติดอันดับหนึ่งในสิบอันดับแรก เจ้าก็สามารถเข้าสู่เขตแดนร้อยพฤกษาเร้นลับได้ ไม่จำเป็นต้องต่อสู้หรือถามหาความตาย


 


หลิวหวูหวงตอบกลับ “ข้าคิดว่ามันมีความหมาย และอย่างที่ข้าได้กล่าวไป ศิลปะมันไม่มีผลงานอันดับ 1 แต่ทว่ามันมักมีหมายเลย 1 อยู่ในหมู่นักสู้เสมอ ข้าปรารถนาที่จะต่อสู้กับเจ้า เพื่อดูว่าใครเป็นอันดับ 1 ในนิกายชั้นในที่แท้จริง”


 


“ข้าเข้าใจแล้ว มาต่อสู้กัน!”


 


เซี่ยวหลี่ไบ๋ไม่ได้กลัวการต่อสู้ เขาแค่ไม่ชอบการต่อสู้ที่ไร้ความหมาย


 


“เซี่ยวหลี่ไบ๋ชิเซียงและจักรพรรดิดาบชิเซียงกำลังจะสู้กัน”


 


“ข้าสงสัยว่าใครที่จะเก่งกว่ากัน?”


 


“ชวววู หยุดกล่าวได้แล้ว สังเกตการต่อสู้ครั้งนี้อย่างจริงจัง”


 


ความสนใจของทุกคนถูกดึงดูดไปยังเวทีที่ 1 ทันที จดจ่อโดยการไม่กะพริบตาแม้แต่ครั้งเดียว


 


“หลิวหวูหวงผูนี้โหยหาคำว่า ‘เหนือกว่า’ โดยฝังลงไปในกระดูกของตนเอง”


 


หลี่ฟูเฉินชื่นชมหลิวหวูหวง เขาแตกต่างจากคนอื่นๆ ทัศนคติที่ดูเหนือกว่าของหลิวหวูหวงไม่ใช่เพื่อการแสดงเท่านั้น มันเป็นธรรมชาติของเขา ไม่ว่าเขาจะเผชิญหน้ากับใคร เขาจะดูถูกพวกเขา แม้ว่าจะไม่มีใครสามารถทนมันได้ นี่ก็คือเต๋าแห่งดาบของเขา


 


แต่เต๋าแห่งดาบประเภทนี้ควบคุมได้ยาก เหมือนกับสิ่งที่เขาพูด ‘ศิลปะมันไม่มีผลงานอันดับ 1 แต่ทว่ามันมีหมายเลย 1 อยู่ในหมู่นักสู้เสมอ’ เจ้าอาจมีเต๋าแห่งดาบของเจ้าเอง แต่คนอื่นก็เช่นกัน เมื่อเต๋าแห่งดาบของเจ้าทำให้เต๋าแห่งดาบของผู้อื่นคุ่นเคือง มันก็ย่อมมีการต่อต้ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


 


เต๋าดาบแห่งการปกครองเป็นหนึ่งในสิ่งที่ไม่สามารถแพ้ได้และจะต้องประสบความสำเร็จอยู่เสมอ


 


เคร้ง!


 


บนเวที 1 ดาบของเซี่ยวหลี่ไบ๋และหลิวหวูหวงปะทะกัน


 


รูปแบบดาบของเซี่ยวหลี่ไบ๋ คลุมเครือและรุนแรง มันคล้ายกับลมรุนแรงพัดมาจากฟ้าสวรรค์ทั้งเก้า อิสระและงดงาม


 


วิชาดาบของหลิวหวูหวง ปกครองเบ็ดเสร็จ ดุจดั่งทะเลอันกว้างใหญ่ที่ถูกกดขี่เมฆที่อยู่เบื้องบน เอาชนะทุกอย่างในทางของมัน


 


การต่อสู้ระหว่างสองคนนั้นเป็นเหมือนการต่อสู้ระหว่างสองนักดาบ และนอกจากนี้ก็เป็นการต่อสู้ระหว่างเจตจำนงแห่งดาบ


 


ผลลัพธ์จะถูกเปิดเผยในไม่ช้าและพิจารณาว่าใครคือผู้ที่มีเจตจำนงแห่งดาบที่ดีที่สุด


 


“หลี่ฟู่เฉิน เจ้าคิดว่าใครจะเป็นผู้ชนะ?” จ้าวหมิ๋งเยวี่ยถาม


 


หลี่ฟู่เฉินตอบกลับ “ข้าเกรงว่าน่าจะเป็นหลิวหวูหวง”


 


“นั่นอาจไม่เป็นเช่นนั้น! เจตจำนงแห่งดาบของเซี่ยวหลี่ไบ๋เองก็ค่อนข้างน่ากลัวเช่นกัน” เฉินฟางหัวแย้ง


 


หลี่ฟู่เฉินอธิบาย “การทำความเข้าใจต่อเจตจำนงแห่งดาบนั้นเกี่ยวข้องกับพลังของจิตใจ แต่หลังจากเข้าใจเจตจำนงแห่งดาบได้แล้ว มันก็จะค่อยๆ กลมกลืนไปกับความมุ่งมั่นในจิตใจของแต่ละคน หลิวหวูหวงมีความมุ่งมั่นที่เหนือกว่า ซึ่งมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับเจตจำนงแห่งดาบทะยานเมฆาของเขา ด้วยทั้งมนุษย์และดาบที่คล้ายกัน มันจะช่วยดึงศักยภาพออกมาอย่างเต็มที่”


 


เช่นเดียวกับที่หลี่ฟู่เฉินทำนายไว้ เซี่ยวหลี่ไบ๋ตกอยู่ในความเสียเปรียบหลังจากผ่านไปหนึ่งร้อยกระบวนท่า


 


“เซี่ยวหลี่ไบ๋ รับดาบทะยานเมฆาของข้าไป!”


 


ดาบเหล็กดำในมือของหลิวหวูวหวงกลายเป็นสายฟ้าที่สามารถทำลายหมู่เมฆที่ขวางกั้นได้ มันมีอำนาจแห่งการปกครองที่ไม่สามารถอธิบายได้ ขณะที่มันมุ่งตรงไปยังเซี่ยวหลี่ไบ๋


 


“ดาบทรงพลังอะไรเช่นนี้” เซี่ยวหลี่ไบ๋พยายามอย่างดีที่สุดเพื่อต่อต้านทานมัน


 


เช้ง!


 


เซี่ยวหลี่ไบ๋ถูกโจมตีและเกือบจะล้มลงตกออกจากเวที


 


ไม่โต้กลับอีก เซี่ยวหลี่ไบ๋กล่าว “หลิวชิตี๋ เจ้าชนะแล้ว ข้ายอม”


 


ท้ายที่สุดแล้วเจตจำนงแห่งดาบทะยานนภาของเขาก็ด้อยกว่าเจตจำนงแห่งดาบทะยานเมฆาของหลิวหวู่หวงในท้ายสุด


 


หลิวหวูหวงไม่ได้ตอบกลับ และหันไปมองฝูงชน มองไปที่หลี่ฟู่เฉิน


 


หลี่ฟู่เฉินกล่าว “เจ้าเพิ่งเสร็จสิ้นการต่อสู้ หากข้าท้าทายเจ้าในตอนนี้ มันคงจะไม่ถูกต้องเท่าใด”


 


“เลือดของข้ายังคงอุ่นอยู่ มาสู้กับข้า! หากเจ้าไม่กลัวละก็นะ”


 


“ถ้าเจ้าต้องการจะสู้ งั้นแล้วก็ตามนั้น!”


 


ใช้ท่าร่างของตนเอง หลี่ฟู่เฉินกระโดดขึ้นไปบนเวที 1


 


“100 กระบวนท่า” หลิวหวูหวงยกนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว


 


“1,000 กระบวนท่าเจ้าก็ไม่สามารถทำได้” หลี่ฟู่เฉินส่ายหัว


 


เขารู้ว่าหลิวหวูวหวงหมายถึงอะไร


 


คู่ต่อสู้ของเขาต้องการเอาชนะเขาภายใน 100 กระบวนท่า


 


“เจ้าประเมินตนเองสูงเกินไป ภายใน 100 กระบวนท่า ข้าจะทำให้เจ้าออกจากเวที”


 


หลิวหวูหวงดึงดาบของเขาออกมาและระเบิดสัมผัสอำนาจที่สกดข่มปกครองที่ไม่เหมือนใครออกมา มันเหมือนเป็นสิ่งที่ไม่อาจก้าวข้ามผ่านไปได้และก็ดูรวดเร็วมากเช่นกัน สิ่งนั้นมันไม่ได้ให้ความรู้เชื่องช้าและทื่อด้านอย่างที่คาดคิดไว้


 


“เนื่องจากเซี่ยวชิเซียงไม่สามารถต่อต้านเจตจำนงแห่งดาบทะยานเมฆาของเจ้าได้ งั้นข้าจะให้เกียรติเจ้า!”


 


ด้วยดาบเหล็กดำที่หลุดออกมาจากฝัก หลี่ฟู่เฉินก็พุ่งขึ้นไปกลางอากาศ แสงดาบเรืองรองประดุจดาวตกที่กำลังส่องประกาย


 


เคร้ง เคร้ง เคร้ง เคร้ง…


 


ดาบของพวกเขาทั้งสองมีความรวดเร็วเป็นอย่างมาก ในเวลาสั้นๆ พวกเขาก็แลกเปลี่ยนกระบวท่าไปมากมายและทำให้ผู้คนที่มองดูกลายเป็นโง่งม


 


“ดาบที่รวดเร็วอะไรเช่นนี้ มันคงทำให้ข้าล้มลงได้ด้วยเวลาเพียงเสี้ยววินาที”


 


“จักรพรรดิดาบ หลิวหวูวหง ดาบปีศาจ หลี่ฟู่เฉิน นี่คือการต่อสู้ที่แท้จริงระหว่างสองสุดยอด หัวใจของข้าเต้นแรงมากเนื่องจากความตื่นเต้น”


 


ทุกคนกลั้นหายใจ ไม่อยากพลาดรายละเอียดใดๆ


 


ชื่อดาบปีศาจของหลี่ฟู่เฉินถูกสร้างขึ้นโดยเหล่าศิษย์นิกายชั้นใน


 


การเข้าใจเจตจำนงแห่งดาบได้ตั้งแต่ระดับที่เจ็ดของขอบเขตต้นกำเนิดนั้นเทียบเท่ากับดาบคลั่ง หากต้องการใช้ปีศาจเป็นคำอธิบายก็ไม่ได้กล่าวเกินจริงแต่อย่างใด เนื่องจากชื่อดาบปีศาจนั้นถูกกล่าวต่อกันมา หลายคนจึงพยักหน้าเห็นด้วย


 


แน่นอนว่ามีคนที่ไม่เห็นด้วยเช่นกัน


 


การได้รับสมยานาม มันไม่ได้เกิดขึ้นจากใครคนใดคนหนึ่ง


 


หากหลี่ฟู่เฉินต้องการได้รับสมยานามดาบปีศาจ เขาต้องแสดงให้เห็นว่าเขามีความสามารถราวกับปีศาจจริงๆ หากเขาไม่สามารถเอาชนะหลิวหวูหวง จักรพรรดิดาบได้ อย่างน้อยเขาก็ต้องทนแลกเปลี่ยนกระบวนท่าเกินหลายร้อยครั้ง


 


“มีภูเขาที่สูงกว่าอยู่เสมอและมีศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าอยู่เสมอ เปรียบเทียบกับพวกเขา ข้า เฉินฟางหัวเป็นแค่ใครสักคนที่ดูธรรมดาๆ” เฉินฟางหัวหัวเราะอย่างขมขื่น


 


เธอเห็นหลี่ฟู่เฉินที่เติบโตจากระยะหนึ่งไปเป็นอีกระยะหนึ่ง


 


เมื่อตอนที่ต้านทานคลื่นสัตว์ปีศาจที่เมืองโลหิตปีศาจ ความสามารถของหลี่ฟู่เฉินยังไม่สามารถต่อสู้กับสัตว์ปีศาจระดับ 2 ขั้นสูง กอริลลาหลังเหล็กได้ หลังจากช่วงเวลานึง หลี่ฟู่เฉินก็เหนือกว่าเธอไปแล้วอย่างสมบรูณ์แบบ

(TL หมายเหตุ: เมืองชวูเซี่ย = เมืองโลหิตปีศาจ)


 


ความจริงนี้ทำให้เธอรู้สึกเหมือนฝัน


 


จ้าวหมิ๋งเยวี่ยกล่าว “เฉินชิเจี๋ย ปู่ของข้าเคยกล่าวไว้ว่า โลกนี้มีอัจฉริยะนับไม่ถ้วน มีอัจฉริยะบางคนที่เจ้าไม่สามารถเปรียบเทียบได้ และจะทำได้แต่หวังว่าจะมีความสามารถอย่างพวกเขา และเมื่อตอนที่พวกอัจฉริยะเหล่านั้นยังเยาว์วัย เขาก็มีประสบการณ์ทั้งหมดนี้ด้วยเช่นกัน แต่เขาจะค่อยๆ ได้รับมันเมื่อเริ่มเติบโตขึ้น ดังนั้นท่านจึงไม่ควรท้อแท้ไป”


 


เฉินฟาวหัวหัวเราะ “ทำไมข้าถึงต้องหมดกำลังใจกัน จ้าวชิเหม๋ย เจ้าคิดมากเกินไป ข้าถอนหายใจเพราะการมีชีวิตอยู่ในนาทีของข้า นิกายวารีครามของเรามีอัจฉริยะมากมาย แต่เมื่อเทียบกับโลก ศิษย์สำนักวารีครามของเราเป็นเพียงแค่ค่าเฉลี่ย หากใครอยากจะไปสู่จุดสูงสุดของโลกการต่อสู้ เขาจะต้องแข่งขันกับอัจฉริยะนับไม่ถ้วน ฉันไม่สามารถรับความกดดันเช่นนี้ได้ ดังนั้นข้าจึงให้หลี่ชิตี๋รับความกดดันแทนที่จะเป็นข้า!”


 


ขณะที่ทั้งสองอยู่ในการสนทนา การต่อสู้ที่เวที 1 ได้เข้าสู่ช่วงที่รุนแรงที่สุด


 


ความสามารถของหลิวหวูหวงนั้นน่ากลัวอย่างแน่นอน


 


หากหลี่ฟู่เฉินไม่ได้ใช้เทคนิคลับมังกรเร้นลับ มันคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ของเขา


 


หลังจากทั้งหมดแล้ว หลิวหวูหวงก็ระดับมากกว่าเขาถึงสองระดับ


 


“หลี่ฟู่เฉินหากเจ้ามีความแข็งแกร่งเพียงเล็กน้อยเท่านี้ เช่นนั้นเจ้าจะต้องพ่ายแพ้! ดับเทพยุทธ์!”


 


ร่างกายของหลิวหวูหวงพร่ามัวไปครู่หนึ่ง พลังฉีของเขาสั่นสะเทือนขณะที่สภาวะพลังฉีของเขาทยานขึ้นไปบนท้องฟ้า จากนั้นหลิวหวูหวงก็โจมตีหลี่ฟู่เฉินด้วยพลังที่น่าตกใจ แสงดาบเจิดจ้า มันราวกับว่าสิบดาบถูกรวมเป็นหนึ่งเดียว


 


“นี่เป็นเทคนิคลับระดับ 2 ดาว ดับเทพยุทธ์”


 


“ในนิกายชั้นใน เฉพาะโครงกระดูกระดับ 5 ดาวเท่านั้นที่สามารถแลกเทคนิคลับล่วงหน้าได้ หลี่ฟูเฉินตกอยู่ในอันตราย”


 


ในหมู่ศิษย์ชั้นใน หลายคนรู้จักดับเทพยุทธ์ พวกเขารู้ว่าเทคนิคลับนี้น่ากลัวขนาดไหน มันอาจทำให้พลังฉีสั่นไหวด้วยความเร็วสูงและเพิ่มพลังอำนาจอย่างมาก


 


“หลี่ชิตี๋กำลังจะพ่ายแพ้” เซี่ยวหลี่ไบ๋ส่ายหัว


 


“หลิวหวูหวง เจ้าคิดว่ามีเพียงเจ้าเท่านั้นที่รู้เทคนิคลับ? ข้าก็รู้เช่นกัน”


 


ด้วยเทคนิคลับมังกรเร้นลับ สภาวะพลังฉีของหลี่ฟู่เฉินก็ทยานขึ้นฟ้าด้วยเช่นกัน การปรากฏตัวของสภาวะพลังฉีที่น่าเกรงขามสกดขมสภาวะพลังฉีของหลิวหวูหวงทันที


บทที่ 140

ดาบปีศาจ


 


 


“นี่คือ… เทคนิคลับระดับ 3 ดาว?” จ้าวหวูจินลัดูไม่แน่ใจเท่าใด


 


เมื่อเปิดใช้เทคนิคลับมังกรเร้นลับ เพลิงพลังฉีสีแดงจำนวนมหาศาลถูกแปรสภาพเป็นพลังฉีมังกรเร้นลับ พลังฉีทั้พุ่งไปนั้นมีพลังของมังกรที่ทำให้เกิดความรู้สึกกลัวในจิตใจของผู้คน


 


ภายใต้อิทธิพลสภาวะพลังฉีของหลี่ฟู่เฉิน การแสดงออกของหลิวหวูหวงเปลี่ยนไปมากจนกระทั่งส่งผลต่อวิชาดาบของเขา


 


“เหอะ มันจะต้องเป็นเพียงแค่ผิวเผิน ความสามารถที่แท้จริงของเขาไม่ควรเกินกว่าของข้า”


 


เทคนิคลับบางอย่างนั้นช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับสภาวะพลังฉี แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรกับความสามารถโดยรวม


 


“เจ้าจะพ่ายแพ้!”


 


ใช้เทคนิคลับให้เป็นประโยชน์มากขึ้น พลังของหลิวหวูหวงจึงเพิ่มขึ้นอีกขั้น เขาเฉือนหลี่ฟูเฉินด้วยการปรากฏตัวของสภาวะพลังฉีที่โดดเด่นและรุนแรง


 


“เจ้าคือคนที่จะพ่ายแพ้”


 


หลี่ฟู่เฉินรู้สึกเหมือนตนเองเป็นลาวาขณะที่พลังฉีไหลออกมาอีกครั้ง และราวกับว่าร่างกายของเขากำลังฝังอยู่ใต้ภูเขาไฟที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายตัว หากไม่ได้ปะทุออกมา


 


ใช้ดาบดาวตก ดาบของหลี่ฟู่เฉินก็เกินขอบเขตจำกัดของวิสัยทัศน์และปฏิกิริยาของผู้ชม แม้แต่กระทั่งผู้ดูแลชั้นในที่อยู่ในขอบเขตปฐพีก็ไม่สามารถมองเห็นวิถีของดาบได้ สิ่งที่พวกเขาเห็นก็คือดาวตกที่เปล่งประกายด้วยความสดใส เมื่อมันระเบิดออกมา มันนำมาซึ่งฉากที่สวยงามและตระกรานตา


 


ดาบพลังฉีเจาะทะลุร่างกาย ร่างของหลิวหวูหวงยืนนิ่งอยู่กับที่


 


เขาพ่ายแพ้!


 


เต๋าดาบปกครองของเขาพ่ายแพ้ และเขายังพ่ายแพ้คนๆ นึงที่เขาไม่ต้องการอีกด้วย


 


“มันผิดพลาดที่ใดกัน?” ดวงตาของหลิวหวูหวงดูไร้ชีวิตชีวา


 


เห็นสถานการณ์เป็นแบบนี้ หลี่ฟู่เฉินส่ายหัว เต๋าดาบปกครองก็เป็นเช่นนี้ เมื่อมันพ่ายแพ้ จิตวิญญาณที่อยู่ในจิตใจจะเกิดรอยร้าวและเจตจำนงแห่งดาบก็จะอ่อนแอลงด้วยเช่นกัน


 


“เต๋าดาบปกครองของเจ้าแข็งกร้าวมากเกินไป เจ้จะพ่ายแพ้ในไม่ช้าก็เร็ว” หลี่ฟู่เฉินกล่าวเบาๆ


 


ผู้ดูแลชั้นในสองคนช่วยหลิวหวูหวงออกจากเวที และเวทีทั้งหมดก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น


 


“แม้แต่กระทั่งจักรพรรดิดาบชิเซียงก็ยังพ่ายแพ้ ข้ากำลังฝันไป?”


 


“ทุกอย่างมันช่างยอดเยี่ยมเกินไป มีอะไรที่น่าทึ่งมากกว่านี้ไหม? คำวิจารณ์ที่รุนแรงของเราเมื่อก่อนเป็นเหมือนการตบหน้าตัวเราตอนนี้ ประเด็นสำคัญคือเราไม่สมควรที่จะแสดงความคิดเห็นใดๆ”


 


“ทุกคนจะสามารถทำนายความสามารถของปีศาจจากโครงกระดูกปกติได้อย่างไร ข้าสงสัยว่ากระดูกของเขาเป็นโครงกระดูกกลายพันธุ์หรือไม่ นั้นอาจเป็นเหตุผลที่ไม่สามารถตรวจจับได้ในระหว่างการทดสอบโครงกระดูก”


 


“ดาบปีศาจหลี่ฟู่เฉิน สมยานามนี่จะเป็นชื่อเรียกของเขา”


 


“ดาบปีศาจ ดาบปีศาจ ข้าสงสัยว่าดาบปีศาจผู้นี้จะสามารถสร้างปาฏิหาริย์อะไรได้ในเขตแดนร้อยพฤกษาเร้นลับกันแน่ ซึ่งนั้นก็จะเกิดขึ้นในอีกสามเดือนต่อไป เขาจะสามารถฆ่าศิษย์ของนิกายอื่นทั้งหมดและนำเกียรติมาสู่นิกายวารีครามของเราได้หรือไม่?”


 


ในขณะนี้ ทุกคนมั่นใจในชื่อดาบปีศาจของหลี่ฟู่เฉิน


 


หลี่ฟู่เฉินแสดงความสามารถอันน่าทึ่งของเขาเพื่อพิสูจน์ตัวเอง คงไม่มีใครกล้าวิจารณ์เขาอีกในอนาคต


 


เพราะชื่อดาบปีศาจนี้ไม่ใช่ชื่อที่สามารถถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ง่ายดายอีกต่อไป


 


***


 


“อาวุโสใหญ่ หลี่ฟู่เฉินผู้นี้ได้รับเทคนิคลับระดับ 3 ดาวจากที่ไหนกัน เราจะถามเขาหรือเปล่า?” หนึ่งในผู้อาวุโสชั้นในถามจ้าวหวูจิน


 


จ้าวหวูจินชำเลืองมองไปในทันที “ทุกคนมีโอกาสเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลง ถึงเขาจะได้เทคนิคลับระดับ 5 ดาวมาแล้วอย่างไร?”


 


“เทคนิคลับระดับ 3 ดาวนั้นหาได้ยากแม้แต่กระทั่งในนิกายวารีครามของเรา มันจะไม่เป็นการเสียของหรือถ้าอยู่ในมือของศิษย์นิกายชั้นใน?”


 


“ข้าจะหาเวลาคุยกับเขา เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องนี้”


 


จ้าวหวูจินทราบดีว่าหลายคนกำลังจ้องมองตำแหน่งผู้อาวุโสใหญ่ของเขา ตอนนี้หลี่ฟู่เฉินเป็นหนึ่งในศิษย์ที่ได้รับการพิจารณาไว้สูงโดยเขา ทุกคนจึงเห็นว่าหลี่ฟู่เฉินเป็นสิ่งที่ดูขัดหูขัดตานัยน์ตา


 


แต่แล้วอีกครั้ง หลี่ฟูเฉินโดดเด่นเกินไปจริงๆ มากจนกระทั่งคล้ายกับไม่เป็นความจริง


 


เขายังถือว่าเป็นโครงกระดูกปกติอยู่หรือไม่?


 


บางที อนาคตของเขาอาจไม่ใช่สิ่งที่ใครสามารถทำนายได้


 


***


 


ด้วยหลี่ฟู่เฉินที่เป็นเจ้าของเวทีที่ 1 ในตอนนี้ ความคิดของทุกคนจึงกลายเป็นว่าเวทีที่ 1 เป็นเขตแดนที่ไม่อาจก้าวผ่านไปได้ อย่าแม้แต่จะกล่าวว่าท้าทาย พวกเขาไม่มีแม้แต่เจตนาในการต่อสู้


 


“แน่นอนว่าดาบปีศาจเป็นชื่อที่เหมาะสมสำหรับเขา” จ้าวหมิ๋งเยวี่ยกล่าว


 


เฉินฟางหัวหัวเราะ “ไม่ดีหรือไร? ความสามารถของปีศาจดังกล่าวมาจากโครงกระดูกปกติของเขา เขาทำให้คนที่เหลืออย่างพวกเรากลายเป็นอะไร?”


 


ทั้งสิบเวที เวทีที่ 1 นั้นไร้กำลังที่จะต่อกร แต่ก็ยังมีเวทีอื่นที่จะให้ท้าทายอยู่


 


สามครั้ง แต่ละครั้งมีค่ายิ่ง นี่คือเหตุผลที่ทุกคนเลือกสรรคู่ต่อสู้อย่างพิถีพิถันและจะต้องไม่พยายามอย่างไร้ประโยชน์


 


ความสามารถพื้นฐานของหยูเหวินเทียนได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะ เนื่องจากโครงกระดูกของเขา เขาผู้ที่คล้ายกับหลิวหวูหวง ฝึกฝนเทคนิคลับระดับ 2 ดาวเช่นกัน ด้วยการเปิดใช้งานเทคนิคลับระดับ 2 ดาว ความสามารถของเขาจะถูกยกขึ้นอยู่ในระดับสูงสุดได้เป็นช่วงเวลาหนึ่ง


 


รากฐานของเฉินฟางหัวนั้นเหนือกว่าหยูเหวินเทียนเล็กน้อย เธอพยายามอยู่สองครั้งและประสบความสำเร็จหนึ่งครั้ง และก็พ่ายแพ้อย่างรวดเร็วไปอีกหนึ่ง ตอนนี้เธอถูกทิ้งให้อยู่กับโอกาสสุดท้ายของเธอ


 


สำหรับหลิวหวูหวง ผู้อาวุโสชั้นในช่วยให้เขาฟื้นตัว


 


ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น หลิวหวูหวงก็เป็นศิษย์ชั้นในซึ่งเป็นรองจากหลี่ฟู่เฉินเพียงเท่านั้น พวกเขาไม่สามารถริบโอกาสของเขาในการเข้าสู่เขตแดนร้อยพฤกษาเร้นลับเนื่องจากการบาดเจ็บได้


 


พักฟื้นไปได้เพียงครึ่งทาง ตาของหลิวหวูหวงเปิดออก ร่องรอยพลังฉีปกครองก็ค่อยๆ กลับมารวมตัวกัน


 


“ผู้อาวุโส นั่นก็เพียงพอแล้ว”


 


“เจ้าเพิ่งฟื้นสภาพกลับมาได้เพียง 30% อย่าฝืนตัวเองจะดีกว่า”


 


“30% นั้นก็มากเกินพอแล้ว”


 


หลิวหวูหวงยืนขึ้นและเดินกลับยังเวทีหนึ่งในนั้น


 


“เจ้าจะก้าวลงหรือจะให้ข้าส่งเจ้าลงเอง?” หลิวหวูหวงเดินไปที่เวทีและประกาศ


 


เจ้าของบนเวทีคือไบ๋เต๋า “เจ้าได้รับบาดเจ็บและอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า มันอาจเป็นไปได้ที่ข้าจะชนะเจ้าโดยที่ไม่ต้องออกแรงใดๆ”


 


“เจ้าสามารถลองดูได้” หลิวหวูหวงเริ่มเคลื่อนไหว


 


เพียงแค่สิบกระบวนท่า ไบ๋เต๋าก็พ่ายแพ้


 


“สมยานามจักรพรรดิดาบชิเซียงไม่ได้มีไว้เพื่อแสดงเท่านั้น เขายอดเยี่ยมกว่าไบ๋เต๋าชิเซียงมาก แม้แต่กระทั่งในช่วงเวลาที่บาดเจ็บเช่นนี้ก็ยังแข็งแกร่งกว่า”


 


“น่าเสียดายที่มีดาบปีศาจหลี่ฟู่เฉินจัดการเขาไป หากไม่เช่นนั้นแล้ว เขาอาจเป็นศิษย์นิกายชั้นในที่โดดเด่นที่สุดในปีนี้ได้อย่างแน่นอน”


 


ทุกคนพูดคุยกันด้วยเสียงเบาๆ


 


หลังจากที่ไบ๋เต๋าลงไปแล้ว หลิวหวูหวงจ้องไปที่หลี่ฟู่เฉิน “หากเจ้าคิดว่าเจ้าสามารถทำลายอนุภาพจิตของข้าได้อย่างง่ายดาย เช่นนั้นเจ้าคิดผิดแล้ว! นอกเจ้าเต๋าดาบปกครองจะเป็นเต๋าของข้าแล้ว เต๋านี้ก็จะไม่มีวันตกตายไปเช่นกัน ไม่มีใครสามารถหยุดเต๋าแห่งดาบของข้าได้ ไม่แม้แต่เจ้า”


 


“กำลังพยายามไล่ตามข้าอยู่? ข้าเกรงว่าเจ้าไม่แม้แต่จะกินฝุ่นของข้าได้” หลี่ฟู่เฉินกล่าวแจกแจงชัดเจน

“เจ้า…!” ใบหน้าของหลิวหวูหวงสั่น


 


กล้ามากเสียจริง


 


เหตุใดการสกดข่มของดาบปีศาจหลี่ฟู่เฉินถึงยิ่งใหญ่กว่าการสกดของหลิวหวูหวง


 


นี่คือสิ่งที่ทุกคนกำลังคิด


 


มีคนแสดงความคิดเห็น “การปกครองของหลิวหวูหวงเป็นลักษณะที่ตั้งมั่นและมีลักษณะเด่นชัดเพียงแค่ภายนอกเท่านั้น ในขณะที่การปกครองของหลี่ฟู่เฉินเป็นประเภทที่อ่อนน้อมถ่อมตนและเกิดจากข้างใน”


 


“เด็กคนนี้แน่นอนว่าน่าสนใจ” จ้าวหวูจินหัวเราะ


 


ในที่สุดสิบอันดับของศิษย์นิกายชั้นในได้รับการพิจารณาแล้ว


 


เฉินฟางหัวโชคดีพอที่จะประสบความสำเร็จในความพยายามครั้งที่สามของเธอและจากนั้นก็อยู่รอดชีวิตได้จนจบ หนึ่งในเหตุผลสำคัญคือพวกเขาส่วนใหญ่ใช้เวลาทั้งหมดไปสามครั้ง


 


ดังนั้นอันดับหนึ่งในสิบของศิษย์นิกายชั้นในจึงเป็นเช่นนี้ : หลี่ฟูเฉิน หลิวหวูหวง เซี่ยวหลี่ไบ๋ ลั่วหยี่ซาน ไบ๋เต๋า โจวกวง หยูเหวินเทียน เฉินฟางหัว และศิษย์โครงกระดูก 4 ดาวอีกสองคนซึ่งอยู่ในจุดสูงสุดของขอบเขตต้นกำเนิด


 


รวมแล้วชายแปดและหญิงสองคน


 


จ้าวหวูจินยืนขึ้นแล้วสบัดแขนของเขา แผ่นจารึกพิเศษสิบชิ้นอยู่ในมือของเขา “นี่เป็นตราไถ่ถอนเทคนิคลับระดับ 2 ดาวที่สามารถใช้ได้ครั้งเดียวเท่านั้น ภายในสามเดือนนี้ นอกเหนือจากการทำงานให้หนักกับการฝึกฝนของเจ้า มันก็เป็นการดีที่สุดที่จะฝึกฝนเทคนิคลับระดับ 2 ดาวด้วยเช่นกัน ภายในเขตแดนรเอยพฤกษาเร้นลับ ศัตรูของคุณจะเป็นอัจฉริยะจากนิกายอื่น หากเจ้าประมาท เจ้าอาจจะตายภายใต้เงื้อมมือของพวกเขา หากใครต้องการยอมแพ้ในตอนนี้ เจ้าก็ยังมีโอกาสที่จะทำเช่นนั้น ข้าสามารถหาสิ่งทดแทนใหม่ให้ได้อย่างง่ายดาย”


 


หลังจากได้ยินคำกล่าว ไม่มีใครที่อยากจะถอยออกไป


 


เรื่องตลกอะไร การเผชิญหน้ากับโอกาสมักจะอยู่ด้วยกันกับการสี่ยงตาย อันตรายเล็กๆ น้อยๆ สามารถนับได้ว่าเป็นอันตราย?


 


“หลี่ฟู่เฉิน เจ้ามากับข้าซักพัก”


 


เมื่อการแข่งขันผู้รอดชีวิตสิ้นสุดลง จ้าวหวูจินส่งข้อความลับไปยังหลี่ฟู่เฉิน


บทที่ 141


การเลือกเทคนิคลับ


 


 


“เทคนิคลับที่เจ้าใช้ มันคือเทคนิคลับระดับ 3 ดาว?”


 


จ้าวหวูจินกล่าวถามขึ้นในพื้นที่ที่เงียบสงบ


 


หลี่ฟู่เฉินพยักหน้า “ใช่”


 


จ้าวหวูจินไม่ได้ถามว่าได้เทคนิคลับจากไหน แต่เขากล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ตอนนี้เจ้ามีสองทางเลือก หนึ่ง ปฏิเสธที่จะส่งมอบเทคนิคลับ สอง มอบเทคนิคลับและรับคะแนนสนับสนุนจำนวนมาก เจ้าจะเลือกอันไหน?”


 


“ตัวเลือกที่สอง” หลี่ฟู่เฉินไร้ความลังเล


 


ตระกูลเจิ้งต้องการพระพุทธรูปหยกเพื่อฝึกฝนเทคนิคลับมังกรเร้นลับ หลี่ฟูเฉินผู้ซึ่งเชี่ยวชาญเทคนิคลับมังกรเร้นลับสามารถเขียนวิธีการบ่มเพาะได้โดยตรง และสามารถอนุญาตให้ผู้อื่นฝึกฝนได้


 


“ฉลาดเลือก” จ้าวหวูจินมองอย่างชื่นชม จากนั้นเขาก็กล่าวว่า “จำนวนคะแนนสำหรับการเสนอเทคนิคลับ และการแลกเทคนิคลับนั้นแตกต่างกัน เพื่อแลกใช้เทคนิคลับระดับ 1 ดาวคือ 5,000 คะแนน เทคนิคลับระดับ 2 ดาวคือ 50,000 คะแนน และเทคนิคลับระดับ 3 ดาวคือ 500,000 คะแนน แต่การนำเสนอเทคนิคลับคะแนนจะเพิ่มเป็นสองเท่า ซึ่งนั้นหมายความว่าถ้าเจ้ามีส่วนร่วมในการมอบเทคนิคลับมังกรเร้นลับ เจ้าก็จะได้รับคะแนนสะสม 1 ล้านคะแนน”


 


“หือ 1 ล้านคะแนนสะสม?” หลี่ฟู่เฉินเลิกคิ้วขึ้น


 


1 ล้านคะแนนเกินความคาดหมายทั้งหมดของเขา แท้จริงแล้ว เขากำลังหยิบฉวยผลประโยชน์จากตระกูลเจิ้ง


 


ในนิกายวารีคราม ยิ่งระดับการบ่มเพาะของท่านสูงขึ้น ความต้องการต่อคะแนนสะสมก็จะมากขึ้นเท่านั้น


 


ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเทคนิคเปลวเพลิงลี้ลับของเขาถึงระดับสูงสุด เขาจะต้องแลกเทคนิคบ่มเพาะที่สูงขึ้น


 


ในนิกายวารีคราม เทคนิคระดับลึกลับขั้นสูงประมาณ 200,000 คะแนนสะสม ขณะที่เทคนิคระดับลึกลับขั้นสูงสุดอย่างน้อยๆ ก็ 1 ล้านคะแนนสะสม ถ้ามันเป็นหนึ่งในสองเทคนิคที่มีอยู่อย่างจำกัด อย่างเช่นเทคนิควารีครามแท้จริง หรือเทคนิคเพลิงโลกันต์แท้จริง อย่างน้อยจะต้องมี 1.5 ล้านคะแนนขึ้นไป


(TL หมายเหตุ: เทคนิคคังหลุนสัตย์จริง = เทคนิควารีครามแท้จริง เทคนิคเพลิงโลกันต์สัตย์จริง = เพลิงโลกันต์แท้จริง)


 


นอกจากนั้น มันก็ยังต้องใช้คะแนนสะสมจำนวนมากเพื่อแลกเทคนิคต่อสู้เช่นกัน


 


ในขั้นปัจจุบันของเขา ทักษะดาบสีเหลืองขั้นต่ำไม่สามารถพัฒนารากฐานเต๋าแห่งดาบของเขาได้อีกต่อไป 100 ทักษะดาบสีเหลืองขั้นต่ำที่แตกต่างกัน ได้ครอบคลุมวิชาดาบขั้นต่ำทั้งหมดไว้แล้ว


 


เขาวางแผนที่จะแลกทักษะดาบสีเหลืองขั้นกลางจำนวนมากมา เพื่อสร้างรากฐานดาบแห่งเต๋าของเขา หลังจากนั้น มันก็จะเป็นทักษะดาบสีเหลืองขั้นสูงและสีเหลืองขั้นสูงสุด


 


นี้ยังไม่นับเม็ดยา เกราะ และสิ่งของช่วยชีวิตบางอย่างซึ่งจำเป็นต้องใช้คะแนนสะสมทั้งหมด


 


คะแนนสะสมคือสกุลเงินในนิกายชั้นใน หากไม่มีสกุลเงินเหล่านี้ มันก็จะยากที่จะคืบหน้าใดๆ


 


เขาไม่ต้องการตกปลาอีกต่อไปเพราะต้องใช้เวลาและพลังงานอย่างมาก


 


“ตระกูลเจิ้ง… หากมีโอกาสข้าจะช่วยเหลือพวกเขาอีกครั้ง” หลี่ฟู่เฉินคิดอยู่ในใจของเขา


 


***


 


วันต่อมา หลี่ฟูเฉินมาถึงที่ห้องโถงทักษะต่อสู้แล้ว


 


เทคนิคลับถูกบรรจุไว้ในโถงทักษะด้วยเช่นกัน แต่อยู่ภายในห้องลับ


 


เมื่อหลี่ฟู่เฉินมาถึงที่ห้องลับ เซี่ยวหลี่ไบ๋ หลิวหวูหวง และคนอื่นๆ ก็อยู่ที่นั่นแล้ว


 


ทุกคนเลือกเทคนิคลับระดับ 2 ดาวตามที่พวกเขาต้องการ


 


สังเกตเห็นหลี่ฟู่เฉิน หลิวหวูหวงส่งเสียงฮึ่ม


 


หลี่ฟู่เฉินไม่ได้สนใจเขา และหยิบเทคนิคลับระดับ 2 ดาวขึ้นมาเพื่อดู


 


‘ท่าร่างศักดิ์สิทธิ์ เมื่อถึงขั้นสมบูรณ์จะช่วยเพิ่มความเร็วในการเคลื่อนไหวขึ้นอย่างมาก อ่อร่าของลมจะเกิดขึ้นข้างๆ ขา’


 


“เทคนิคลับนี่ไม่เลว มันยอดเยี่ยมที่สุดในช่วงขับขัน!” ดวงตาของหลี่ฟู่เฉินสว่างขึ้น


 


ลูกเตะไร้เงาเองก็ไม่ได้แย่เช่นกัน แต่มันเป็นทักษะลูกเตะ มันไม่สามารถเปรียบเทียบกับท่าร่างศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมุ่งเน้นไปในยังการเคลื่อนไหวได้


 


‘เทคนิคหลอมโลหิต ช่วยให้ผู้ใช้เพิ่มอุณภูมิของเลือดและพลังฉีได้เพื่อเพิ่มคุณสมบัติโดยรวม โดยเฉพาะปฏิกิริยาในด้านความรวดเร็ว’


 


‘เทคนิคประทับเร้นลับ ร่างกายของผู้ใช้จะต้องถูกประทับด้วยเครื่องหมายลึกลับ เปิดใช้งานเครื่องหมายลับจะเพิ่มพลังการระเบิดสภาวะพลังฉีและพลังป้องกันทางกายภาพได้’


 


‘พลังฉีดาบทานตะวัน เมล็ดพันธ์พลังฉีดาบทานตะวันจะถูกปลูกอยู่ภายในผู้ใช้ เมล็ดพันธุ์จะหล่อเลี้ยงดาบพลังฉีของผู้ใช้และสามารถเปิดใช้งานเพื่อทำร้ายศัตรูในช่วงเวลาสำคัญได้’


 


……


 


หลี่ฟู่เฉินได้ทำการอ่านเทคนิคลับระดับ 2 ดาวทั้งหมดยี่สิบสองเล่ม


 


หลี่ฟู่เฉินจบลงด้วยการเลือกท่าร่างศักดิ์สิทธิ์


 


แต่มันก็ไม่ใช่เพราะเขาอยากได้ความสามารถในการหลบหนีที่มีประสิทธิภาพ


 


โลกเป็นสถานที่ที่กว้างใหญ่และการมีความเร็วโดยรวมแล้วดีเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นด้านการหลบหนี การเดินทาง หรือการทำภารกิจนิกายได้รวดเร็วขึ้น ท่าร่างศักดิ์สิทธิ์สามารถใช้ร่วมกันได้ทั้งหมด


 


เนื่องจากเขามีเทคนิคลับมังกรเร้นลับแล้ว เขาก็ไม่ต้องการเทคนิคลับใดๆ ที่เพิ่มความสามารถโดยรวมของเขาอีก


 


หลังจากเลือกเทคนิคลับของเขา หลี่ฟู่เฉินแลกทักษะดาบสีเหลืองขั้นกลางมาเพิ่มอีก 30 ทักษะ


 


***


 


กลับไปที่ลานบ้านของเขา หลี่ฟูเฉินเริ่มทำการค้นคว้าเทคนิคลับท่าร่างศักดิ์สิทธิ์ทันที


 


เทคนิคการลับท่าร่างศักดิ์สิทธิ์นั้นคล้ายกับเทคนิคลับมังกรเร้นลับซึ่งต้องใช้การโคจรจุดชีพจรจำนวนมากเพื่อปลดล็อค แตกต่างกันเพียงแค่ว่าสิ่งนี้ทำที่ขา


 


แต่ท่าร่างศักดิ์สิทธิ์มีเพียงแค่สองขั้นเท่านั้น


 


ขั้นแรกคือการที่ขาจะสร้างแรงลมออกมา


 


ขั้นที่สองคือการใช้ลมศักดิ์สิทธิ์เพื่อเปลี่ยนเป็นเงา


 


ด้วยประสบการณ์ของเขาจากการฝึกฝนเทคนิคลับมังกรเร้นลับ หลี่ฟูเฉินจึงฝึกฝนท่าร่างศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างรวดเร็ว ในเวลาเพียงสามวัน ท่าร่างศักดิ์สิทธิ์ก็มาถึงขั้นสุดท้ายของขั้นแรก


 


ในพื้นที่ว่างเปล่าด้านนอกลานบ้านของเขา ร่างกายของหลี่ฟู่เฉินเอนไปข้างหน้า


 


เงียบและไร้ตัวตน


 


ในช่วงเวลาต่อไป หลี่ฟู่เฉินก็บินออกไปราวกับพายุ ความเร็วนั้นรวดเร็วมาก ซึ่งแม้แต่กระทั่งหลี่ฟู่เฉินก็พบว่ามันยากที่จะเปลี่ยนแปลงทิศทาง


 


“เร็วมาก เพียงแค่ขั้นแรกก็พิสูจน์ได้แล้วว่ารวดเร็วกว่าลูกเตะไร้เงามากเพียงใด ขั้นสองน่าจะเป็นความเร็วสองเท่าของลูกเตะไร้เงา”


 


ในที่สุดหลี่ฟูเฉินก็ได้เห็นเทคนิคลับที่เชี่ยวชาญในการออกสำรวจ


 


เมื่อท่าร่างศักดิ์สิทธิ์ถูกเปิดใช้งาน พลังฉีจากขาทั้งสองข้างเริ่มตอบสนองกับการไหลของพลังฉีโดยรอบ จากนั้นมันก็สร้างชั้นของกระแสลมเพื่อรับการสนับสนุนจากพลังฉี ตอนนี้หลี่ฟู่เฉินรู้สึกเหมือนเขากำลังบินอยู่และไม่รู้สึกถึงแรงต้าน มันราวกบว่าเขากำลังร่อนอยู่บนอากาศ


 


จุดอ่อนเดียวของท่าร่างศักดิ์สิทธิ์คือความแข็งแกร่งด้านการเปลี่ยนทิศทาง ซึ่งไม่เหมือนลูกเตะไร้เงาที่ผู้ฝึกฝนสามารถเป็นเหมือนภูติผีที่เปลี่ยนทิศทางได้ตลอดเวลา ทำให้ฝ่ายตรงข้ามสับสน


 


เมื่อเขาฝึกขั้นแรกของท่าร่างศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างสมบรูณ์ หลี่ฟูเฉินเริ่มฝึกฝนขั้นที่สองทันที


 


ขั้นที่สองไม่ต้องสงสัยเลยว่ายากกว่าขั้นแรก


 


ไม่เพียงแต่ต้องใช้หมุนวนพลังฉีด้วยขาข้างหนึ่งเพื่อตอบโต้กับกระแสลมรอบๆ มันยังต้องการเสริมสร้างลมที่ด้านข้างของขาอีกด้วย


 


เมื่อสร้างอ่อร่าลมขึ้นได้ หลี่ฟู่เฉินก็จะสามารถเวลาบินได้เป็นเวลานานโดยไม่จำเป็นต้องเหยียบพื้น


 


หลี่ฟูเฉินใช้เวลาเพียงครึ่งเดือนเพื่อเชี่ยวชาญขั้นที่สองของท่าร่างศักดิ์สิทธิ์


 


***


 


บนเส้นทางตามภูเขา มีร่างที่กำลังบินอยู่เหนือพื้นดินเล็กน้อย ความเร็วที่ปรากฏมันรวดเร็วมาก สามารถมองเห็นได้เฉพาะขาของเงาเท่านั้น มันคล้ายกับเงาที่กำลังขี่ลม มันเป็นภาพที่ไม่น่าเชื่อ


 


“เร็วเกินไปแล้ว!”


 


หลี่ฟูเฉินมองไปรอบๆ ตัวเอง ในอดีตที่ผ่านมา ไม่ว่าเขาจะเร็วแค่ไหนก็ตาม เขาก็ยังสามารถรับรู้ทุกสิ่งรอบตัวได้อย่างชัดเจน แต่ตอนนี้ ภาพบางอย่างเริ่มที่จะเบลอ


 


ด้วยสายตาของเขามันมีความสามารถพอที่จะเข้าใจทุกอย่างได้อย่างชัดเจนแม้ในขณะที่เขากำลังใช้ลูกเตะเงาวายุ…


 


แต่เมื่อเขาใช้ท่าร่างศักสิทธิ์ ความรู้สึกของเขาลงลึกละเอียดไม่ได้อีกต่อไป


 


ก่อนที่เขาจะรู้สึกถึงทุกสิ่งทุกอย่างอย่างละเอียดได้นั้น ร่างของเขาก็จะอยู่ที่อื่นแล้ว


 


“ความเร็วนี้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่ากับอีกนิดเมื่อเทียบกับลูกเตะไร้เงา”


 


สูดหายใจเข้าลึกๆ หลี่ฟู่เฉินโคจรย่างก้าวเงาวายุ เขาอยากรู้ ถ้าเขารวมย่างก้าวเงาวายุและท่าร่างศักดิ์สิทธิ์เข้าด้วยกัน เขาจะเร็วได้เท่าใด


 


ความปลอดโปร่งและสุ้มกระแสเสียงที่อ่อนโยนเกิดขึ้นตามมา ขณะที่หลี่ฟู่เฉินหายตัวไปอย่างไร้ร่องลอย เหลือเพียงแค่ร่างที่โปร่งใสเล็กน้อยเท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้ในอากาศ


 


“สามารถได้ยินเสียงได้อยู่ ความเร็วเองก็เหมือนจะรวดเร็วเกินไป เมื่ออย่างก้าวเงาวายุและท่าร่างศักดิ์สิทธิ์รวมกันจะไม่สามารถจำกัดความต้านทานอากาศได้ทั้งหมด” หลี่ฟู่เฉินกล่าวกับตัวเอง


 


ขณะที่เขามองไปที่ด้านข้างของตัวเอง เขาสามารถเห็นได้เพียงแต่ทิวทัศน์ที่บิดเบี้ยวเท่านั้น และตอนนี้เอง ทุกสิ่งก็คล้ายจะกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียว มันคล้ายกับหม้อที่ถูกแปะติดขึ้นมา ทำให้ยากที่จะทราบว่าอันไหนเป็นอันไหน


 


ปิดตาของเขาและเปิดอีกครั้ง สีฟ้าเรืองแสงซึ่งมีร่องรอยของสีเขียวอยู่ภายใน ส่องเรืองแสงออกมาจากตาของเขา


 


ด้วยการส่องสว่างของแสง หลี่ฟูเฉินก็เห็นสภาพแวดล้อมของเขาได้ในที่สุด


ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม