Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน 340-349
DC บทที่ 340: งูเจ้าเล่ห์
หลังจากที่กลับไปยังห้องวีไอพี หวังฟูจีก็ตรงไปที่หวังชูเหรินซึ่งขมวดคิ้วแนบแน่น
“น-น้องสาว ข้ารู้ว่าเจ้าโกรธเรื่องหวังชิชงแต่–”
“เจ้าคิดว่าข้ามิพอใจกับลูกชายไร้ประโยชน์ของเจ้ารึ” หวังชูเหรินตัดบทเขาทันควัน
“นี่เพราะว่าเจ้าเป็นพี่ชายในสายเลือดของข้า ข้าจึงจักขอเตือนเจ้าไว้ตอนนี้ว่าถ้าเจ้าล่วงเกินซูหยาง ต่อให้เป็นข้าก็มิอาจจะช่วยเหลือเจ้าได้”
“ซ-ซูหยางรึ เจ้ากำลังพูดถึงเจ้าเด็กโอหังข้างล่างนั้นรึ เขาจะสามารถทำ…”
เผี๊ยะ
หวังชูเหรินสะบัดมือฟาดไปบนใบหน้าหวังฟูจีโดยไม่ยั้งมือ จนทำให้เกิดเสียงดังฟาดดังไปทั่วห้อง
คนอื่นๆต่างพากันมองดูพวกเขาด้วยท่าทางงงงันกันอยู่บ้าง ในเมื่อไม่มีใครในหมู่พวกเขาคาดว่าหวังชูเหรินจะไร้ความปรานีแม้กระทั่งกับคนในตระกูลของตนเอง
“ข้าจักมิเตือนเจ้าอีก”
หวังชูเหรินหันกายตรงไปหาเจ้าซี ซึ่งมองดูเธอด้วยสายตาสนอกสนใจ
“ท่านเจ้า ข้าขออภัยที่จักต้องขอตัวไปก่อนตอนนี้”
“ก่อนเจ้าไป ข้าใคร่ถามว่าเจ้ารู้เด็กหนุ่มข้างล่างนั่นด้วยรึ” เจ้าซีกล่าว “ดูเหมือนว่าเจ้ารู้จักเขาเป็นอย่างดี”
“…”
หลังจากเงียบไปชั่วขณะ หวังชูเหรินก็กล่าวว่า “ใช่ ท่านเจ้า”
“เจ้าคงมิถือที่จะบอกข้าเกี่ยวกับเรื่องเขาสักเล็กน้อย”
“เราได้ทำธุรกิจกันในอดีตและตอนนี้ และตอนนี้พวกเราได้สนับสนุนนิกายของพวกเขาด้วยเม็ดยาของพวกเรา” เธอกล่าว
เจ้าซีสังเกตเห็นว่าหวังชูเหรินตอบมาอย่างคลุมเครือ แต่เขาไม่ต้องการที่จะตรวจสอบเพิ่มเติมจึงแค่พยักหน้า
“เจ้าไปเถอะ” เขากล่าวหลังจากนั้น
หวังชูเหรินคำนับก่อนจากไป
ในเวลานั้นในมุมอื่นของห้องวีไอพี สองคนได้จ้องเขม็งมองไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“พวกนั้นคือนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยรึ”
“ถูกต้องแล้วผู้นำนิกาย”
“ฮึ่ม เจ้าพวกที่ดูอ่อนแอเช่นนั้นเหตุใดจึงได้รับการปกป้องจากคนที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่เช่นนั้น ผู้อาวุโสท่านนั้นได้เห็นอะไรที่มีค่าในตัวพวกนั้นรึ”
ผู้นำนิกายของนิกายล้านอสรพิษ ฟูกวาน แค่นหายใจเย็นชาขณะที่เขาจ้องมองไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยด้วยแววตาฆ่าฟัน
“ท่านผู้นำนิกาย แม้ว่าเรามิอาจจะทำอะไรก่อนหน้านี้เนื่องจากเซียนคนนั้นที่ผู้อาวุโสวานพูดถึง เราก็ยังสามารถจัดการกับพวกเขาก่อนที่จะกลับไปยังที่นั่น ว่าไปแล้วข้ายังคิดสงสัยว่าเซียนคนนั้นจะตามพวกเขามาตลอดทางถึงที่นี่หรือไม่” คนคนหนึ่งข้างฟูกวานกล่าว “ยิ่งไปกว่านั้น ผู้นำนิกายของพวกเขาก็อยู่ที่นี่ ถ้าเราจัดการกับเธอ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจักต้องล่มลงด้วยตนเอง”
“นั่นเป็นความคิดที่ไม่เลว แต่จะเป็นอย่างไรถ้าเซียนนั่นตัดสินใจล้างแค้นและสร้างปัญหาให้กับเรา” ฟูกวานถาม
“เราเพียงแค่ผลักความรับผิดชอบไปที่คนอื่น หากปราศจากหลักฐานต่อให้เป็นเซียนก็มิอาจแตะต้องพวกเราโดยไม่เสื่อมเสียชื่อเสียง และในเวลาที่เหมาะสมที่เจ้าหนุ่มคนนั้นเพิ่งล่วงเกินตระกูลหวัง พวกเราสามารถใช้พวกเขาเป็นเครื่องปกปิดได้”
“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ฟูกวานหัวเราะด้วยเสียงต่ำ “เจ้าช่างเป็นงูเจ้าเล่ห์ ผู้อาวุโสเหริน”
“ขอบคุณที่ชมเชย ท่านผู้นำนิกาย”
“ข้าจักปล่อยให้เจ้าจัดการเรื่องนี้ ผู้อาวุโสสูงสุด อย่าทำพลาดล่ะ” ฟูกวานกล่าวกับเขา
“มันใจได้เลย ท่านผู้นำนิกาย พวกเขาจักต้องสาบสูญไปจากโลกนี้และมิมีใครจักได้เบาะแส…”
ขณะที่นิกายล้านอสรพิษมองล่วงหน้าไปถึงการตายของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ในมุมอื่นภายในห้องวีไอพี หญิงสาวสวยสี่คนก็สนทนากันเกี่ยวกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเช่นกัน
“นั่นรึ ซูหยาง พี่ชายของซูหยิน…”
เจ้าสำนักของสำนักหงส์สวรรค์ ไป่ลี่ฮัว มองไปที่ซูหยางด้วยความสนใจเป็นที่สุด
“ซูหยินมิได้โอ้อวดแต่อย่างไรเมื่อเธอพูดว่าเขาเป็นชายที่รูปหล่อที่สุดในโลกนี้… อย่างน้อยข้ามิเคยเห็นใครที่ดูดีกว่าเขา”
ผู้อาวุโสข้างกายไป่ลี่ฮัวหัวเราะคิกคัก
“จริงแล้วถ้าสำนักหงส์สวรรค์มิได้เป็นสำนักที่มีแต่หญิงเท่านั้น ข้าคงจะยินดีเป็นอย่างยิ่งในการเชิญเขามาเข้าร่วมกับพวกเรา” ไป่ลี่ฮัวกล่าว
“นั่นใช่ผู้นำนิกายของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยด้านหลังเขา ข้าต้องชื่นชมในพรสวรรค์ของเธอ ไม่ง่ายนักที่จะยังรักษาตนให้ดูอ่อนเยาว์และสวยในวัยนั้น เธอดูมิแตกต่างจากคนที่ยังอยู่ในวัยยี่สิบ”
“เจ้าอิจฉาละสิ”
“หรือว่าเจ้าไม่”
“บางทีเราควรจะขอคำแนะนำจากเธอหลังจากงานประมูลและจะได้นำซูหยินกลับคืนมาข้างกาย”
“เอาล่ะ เงียบได้ละ การประมูลกำลังจะเริ่มแล้ว”
ในเวลานี้หวังชูเหรินได้ปรากฏตัวขึ้นบนเวทีโดยมีคนนับร้อยที่หลงไหลไปกับรูปร่างอันทรงเสน่ห์และใบหน้าสวยงามของเธอ
“ข้าต้องขออภัยสำหรับความล่าช้า เพื่อมิให้ยุ่งยาก พวกเรามาเริ่มการประมูลในเมืองหิมะร่วงสำหรับปีนี้กันเถอะ”
ทั้งห้องพากันกระหึ่มไปด้วยความตื่นเต้นจากผู้คน
“ข้าเฝ้ารอการนี้มานาน”
“ท่านช่างดูสวยงามมากในวันนี้ ผู้อาวุโสหวัง”
“ข้ารักเจ้า นางฟ้าหวัง”
ผู้คนดูเหมือนจะตื่นเต้นกับการได้เห็นหวังชูเหรินเสียยิ่งกว่าการประมูล
หวังชูเหรินคงรอยยิ้มอันสดใสบนใบหน้าเธอไว้และให้สัญญาณสาวสวยคนอื่นอีกสองคนขึ้นมาบนเวที
ผู้ช่วยสาวสวยสองคนพากันผลักโต๊ะเลื่อนสีแดงคลุมด้วยผ้าคลุมหนาขึ้นมาบนเวที
“ก่อนที่ข้าจะประกาศวัตถุชิ้นแรก ข้าจักขออธิบายกฏพื้นฐานสำหรับการประมูลในวันนี้ก่อน”
หวังชูเหรินยกนิ้วสามนิ้วและเริ่มนับพวกมัน
“อันดับแรกถ้าท่านต้องการจะประมูลวัตถุชิ้นใด ท่านต้องประมูลอย่างต่ำหนึ่งร้อยหินวิญญาณของราคาปัจจุบันของสินค้าชิ้นนั้น ถ้าวัตถุชิ้นนั้นมีราคามากกว่าหนึ่งแสนหินวิญญาณเช่นนั้นราคาประมูลต่ำสุดจะเพิ่มเป็นหนึ่งพันก้อนหินวิญญาณ ถ้ามันราคาเกินหนึ่งล้านหินวิญญาณเช่นนั้นมันจักเพิ่มเป็นหนึ่งหมื่นก้อนหินวิญญาณ”
“อันดับที่สอง เงินจักต้องจ่ายเต็มหลังจากที่ชนะประมูลและสิ่งของจะส่งให้ท่านทันทีหลังจากที่จ่ายแล้ว แต่ถ้าท่านต้องการรับของหลังจากการประมูล ก็สามารถทำเช่นนั้นได้”
“และสุดท้าย ท่านสามารถใช้สมบัติอื่นแทนหินวิญญาณได้ และนิกายดอกบัวเพลิงก็จักประมูลมันตรงนั้นเพื่อเปลี่ยนเป็นหินวิญญาณ และมูลค่าของมันก็จักขึ้นกับผลลัพธ์สุดท้าย และสำหรับผู้ที่ประมูลกับสมบัติชิ้นนั้นท่านสามารถใช้ได้เพียงแค่หินวิญญาณ”
“จากที่กล่าวไปแล้วนั้น ต่อไปนี้ข้าจักขอนำเสนอวัตถุชิ้นแรกในการประมูลในวันนี้ สมบัติวิญญาณระดับปฐพีที่มีคุณสมบัติในการปกป้อง ระฆังพิษม่วง”
DC บทที่ 341: ระฆังพิษม่วง
หลังจากประกาศชื่อของชิ้นแรกที่จะประมูล หวังชูเหรินก็เปิดผ้าคลุมที่ปิดโต๊ะเลื่อนสีแดง เผยให้แขกเห็นระฆังสีม่วงเล็กๆ
“ระฆังพิษม่วงนี้ถือได้ว่าเป็นสมบัติป้องกันตัวที่ยอดเยี่ยมสำหรับคนที่ท่านรัก ครั้นเมื่อได้รับการกระตุ้น มันก็จักสร้างเกราะรอบร่างท่านที่มิเพียงลบล้างความเสียหายเท่านั้น แต่ยังแพร่พิษใส่คนที่โจมตีอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากว่าคนนั้นจะอยู่ในเขตอัมพรวิญญาณเป็นอย่างต่ำ มิเช่นนั้นพวกเขาก็อย่าคิดหมายที่จะทำลายเกราะป้องกันของมัน”
“ข้าจักสาธิตให้ดู”
หวังชูเหรินหยิบระฆังม่วงขึ้นมาอย่างระมัดระวังและสั่นอย่างนุ่มนวล
วินาทีถัดไปเกราะสีม่วงก็เกิดขึ้นล้อมร่างของหวังชูเหรินพร้อมกับหนามที่ดูอันตรายครอบคลุมไปทั่วเกราะนั้น
“ช่างเป็นสมบัติที่ดี”
“ข้าต้องได้สมบัติวิญญาณนี้ มีวัตถุนี้ก็เหมือนกับมีอีกชีวิต”
“ข้าจักต้องได้สมบัติชิ้นนี้แน่นอนสำหรับลูกสาวข้า ต่อให้ข้าต้องกู้หนี้ยืมสิน”
บรรดาแขกในห้องต่างพากันส่งเสียงอื้ออึงกันทันที ในเมื่อพวกเขาหลายคนต้องการวัตถุป้องกันตัวชิ้นนี้ที่สามารถป้องกันการโจมตีต่างๆจากผู้ที่ต่ำกว่าเขตอัมพรวิญญาณ
“ระฆังพิษม่วงนี้ นิกายล้านอสรพิษของเราต้องได้มันมา” ฟูกวานตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น
หลังจากที่วางระฆังพิษม่วงกลับลงไปบนโต๊ะ หวังชูเหรินก็ยกนิ้วทั้งสิบของเธอขึ้นและกล่าวว่า “ราคาประมูลเริ่มต้นสำหรับระฆังพิษม่วงนี้ก็คือ หนึ่งหมื่นก้อนหินวิญญาณ”
“หนึ่งหมื่นก้อนหินวิญญาณเหรอ”
ศิษย์รุ่นเยาวต่างพากันตื่นตระหนกกับราคาที่สูงเทียมฟ้า นี่เป็นครั้งแรกของพวกเขาที่ได้อยู่ใกล้กับสิ่งที่มีราคาสูงมากเช่นนั้น
“ตระกูลเจียงประมูลที่ หนึ่งหมื่นหนึ่งพันหินวิญญาณ”
“ตระกูลวูประมูลหนึ่งหมื่นหนึ่งพันห้าร้อยหินวิญญาณ”
“สำนักไม้เท้าสายฟ้าประมูลหนึ่งหมื่นสามพันหินวิญญาณ”
บรรดาแขกต่างพากันประมูลอย่างเผ็ดร้อนและภายในไม่กี่วินาทีราคาประมูลก็กลายเป็นสองหมื่นหินวิญญาณ
“นิกายล้านอสรพิษประมูลสามหมื่นหินวิญญาณ”
ฟูกวางใช้ปราณไร้ลักษณ์ของตนเองส่งเสียงจากห้องวีไอพีไปยังห้องประมูล
“นิกายล้านอสรพิษก็อยู่ที่นี่รึ” โหลวหลานจีขมวดคิ้ว เธอน่าจะรู้ว่าพวกเขาก็มาที่นี่เช่นกัน
“โอเทพเจ้า… นั่นนิกายล้านอสรพิษ พวกเขาต้องจำพวกเราได้แล้วแน่นอน”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เริ่มสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว
“พี่ชาย ถ้าข้าจำมิผิด นิกายล้านอสรพิษได้ไล่ศิษย์ส่วนใหญ่ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไป ท่านกังวลเกี่ยวกับพวกเขาหรือไม่” ซูหยินถาม
“ในสายตาของข้า นิกายล้านอสรพิษมิมีอะไรต่างไปจากตระกูลหวัง” ซูหยางยิ้ม
จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นและพูดเสียงดัง “สี่หมื่นก้อนหินวิญญาณ”
“อะไรกัน”
โหลวหลานจีและศิษย์รุ่นเยาว์พากันสะบัดหน้าหันไปมองดูซูหยางด้วยท่าทางตกใจบนใบหน้า เมื่อไหร่กันที่เขากลายเป็นคนร่ำรวยเช่นนั้น
“เป็นเจ้าเด็กนั่นอีกแล้ว… เขากล้ากระทั่งที่จะประมูลแข่งกับนิกายล้านอสรพิษ”
ในเวลานั้นภายในห้องวีไอพี ฟูกวางจ้องมองซูหยางด้วยใบหน้าค่อนข้างแดงและกำหมัดแน่น
“เช่นนั้นเจ้าต้องการที่จะสู้กับนิกายล้านอสรพิษของข้าจนถึงที่สุดรึ ดี ผู้อาวุโสคนนี้จักเล่นกับเจ้า ดูซิว่าทรัพย์สินของนิกายที่เกือบจะล้มนั้นมีมากมายพอจะเสียได้เท่าไหร่”
“ห้าหมื่นก้อนหินวิญญาณ” ฟูกวานส่งเสียงออกมาอีกครั้งภายในห้องประมูล
“หกหมื่นก้อนหินวิญญาณ” เสียงของซูหยางพลันตามติดมาชั่ววินาทีที่เสียงของฟูกวางจบลง
“จ-เจ้าเด็กชั่วร้ายนี้” ฟูกวางร่างสั่นสะท้านไปด้วยความโกรธ
อาวุธวิญญาณระดับปฐพีทั่วไปนั้นปกติจะมีราคาประมาณสองหมื่นห้าพันก้อนหินวิญญาณ แต่ในเมื่อมันเป็นสมบัติวิญญาณสำหรับการป้องกัน ราคาของมันก็จะผันผวนไปตามประสิทธิภาพ ในกรณีนี้ สมบัติป้องกันที่สามารถป้องกันการโจมตีใดๆที่ต่ำกว่าเขตอัมพรวิญญาณ จ่ายสี่หมื่นก้อนหินวิญญาณสำหรับมันก็ไม่ถือว่ามากเกินไป
อย่างไรก็ตามหากจ่ายมากกว่าหกหมื่นก้อนหินวิญญาณนั้นถือว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ปกติจะถือว่าเป็นความสูญเสียมากเกินจำเป็นถึงแม้ว่าจะเป็นสถานที่ดังเช่นนิกายล้านอสรพิษ
“หกหมื่นก้อนหินวิญญาณ ครั้งที่หนึ่ง…”
“ครั้งที่สอง…”
“และมันขายให้กับชายหนุ่มคนนี้จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”
“ศิษย์พี่ชาย ท่านช่างร่ำรวยจริง…” เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันจ้องมองเขาด้วยปากที่อ้ากว้าง
หลังจากที่การประมูลครั้งแรกจบลง หวังชูเหรินเองก็ได้ยื่นส่งระฆังพิษม่วงให้กับซูหยางด้วยตนเอง
“นี่คือหินวิญญาณหกหมื่นก้อน” ซูหยางยื่นส่งถุงเก็บเงินให้เธออย่างสบาย
หวังชูเหรินใช้เวลาวินาทีหนึ่งในการยืนยันจำนวนและถ่ายเทหินวิญญาณหกหมื่นก้อนไปยังถุงเก็บเงินของเธอเองก่อนที่จะคืนถุงเปล่าให้กับซูหยาง
หลังจากที่รับระฆังพิษม่วงแล้ว ซูหยางก็หันไปดูโหลวหลานจีแล้วกล่าวว่า “ผู้นำนิกายเก็บสิ่งนี้ไว้ให้นิกาย ท่านสามารถให้มันกับศิษย์คนใดในอนาคตหรือจะใช้มันเองก็ได้”
จากนั้นเขาก็โยนระฆังพิษม่วงเข้าไปที่มือของเธอโดยไม่ลังเล ทำเหมือนกับว่ามันเป็นระฆังธรรมดา
“?!?!?!”
โหลวหลานจีรับระฆังม่วงด้วยมือสั่นสะท้านและจ้องมองเขาด้วยใบหน้างงงันหลังจากนั้น “เจ้า…เจ้ามั่นใจรี แต่นั่นเจ้าใช้เงินเจ้าเอง…”
“ถ้าท่านไม่ต้องการมัน ข้าก็สามารถให้มันกับคนอื่นก็ได้” ซูหยางตอบในฉับพลัน
“ร-ไร้สาระ ใครว่ากันว่าข้ามิต้องการมัน” ด้วยกลัวว่าเขาอาจจะเปลี่ยนใจในทันใด โหลวหลานจีโยนระฆังพิษม่วงเข้าไปในแหวนมิติของเธออย่างรวดเร็ว
“ขอบคุณมาก ซูหยาง…” เธอขอบคุณเขาหลังจากนั้น “ข้าจักให้รางวัลเจ้าสำหรับบุญคุณหลังจากนี้…”
ซูหยางไม่ได้กล่าวอะไรเพียงแค่ยิ้ม
ในเวลานั้นสายตาเกือบทุกคู่ในห้องนั้นต่างพากันมองดูโหลวหลานจีด้วยสายตาอิจฉา
“ถึงกับมีศิษย์ที่ใจกว้างเช่นนั้น เธอต้องหัวเราะแม้กระทั่งตอนหลับแน่…”
“เฮ้อออ.. ทำไมข้ามิมีศิษย์ร่ำรวยเหมือนเขาบ้าง ถึงแม้ว่าข้ามีแต่ก็ไม่มีใครในพวกเขาใจกว้างถึงหนึ่งในสิบของเขา”
“พวกเจ้าควรจะเรียนรู้จากเขา มิใช่ว่าข้าคาดหวังให้พวกเจ้าใช้หินวิญญาณนับหมื่นก้อน…”
หลังจากหวังชูเหรินกลับไปยังเวที เธอก็พลันประกาศวัตถุชิ้นที่สองสำหรับการประมูล
“สินค้าชิ้นที่สองสำหรับวันนี้เป็นสมบัติวิญญาณอีกชิ้น อย่างไรก็ตามแทนที่จะใช้ป้องกัน มันเต็มไปด้วยพลังอำนาจ ขอให้ข้าแนะนำสมบัติวิญญาณระดับปฐพีนี้ กระบี่เทพธิดาเพลิง”
“มันเป็นสมบัติวิญญาณระดับปฐพีอีกชิ้น”
“การประมูลปีนี้ยอดเยี่ยมกว่าที่ผ่านมาทั้งหมด และเราเพิ่งอยู่ที่สินค้าชิ้นที่สอง”
ผู้คนต่างพากันส่งเสียงเชียร์กระหึ่ม
DC บทที่ 342: ท้าทายนิกายล้านอสรพิษอย่างเปิดเผย
หวังชูเหรินถือกระบี่ยาวที่มีตัวกระบี่เป็นสีแดงไว้ในมือ แสดงให้เห็นถึงความสง่างามของกระบี่เทพธิดาเพลิง
“สิ่งสวยงามในมือของข้านี้มิเพียงแต่แหลมคม แต่มันยังบรรจุทักษะที่เปรียบเทียบได้กับการโจมตีจากคนในระดับสูงสุดของเขตปฐพีวิญญาณไว้ภายใน แม้ว่าข้าอยากที่จะแสดงทักษะให้เห็น แต่เมื่อมันจะระเบิดโรงประมูลแห่งนี้ไป เช่นนั้นข้าจำต้องงดเว้นไว้”
“โอ้เทพเจ้า มันเป็นสมบัติวิญญญาณที่มีทักษะอยู่ภายใน”
บรรดาแขกต่างพากันตระหนก
อาวุธวิญญาณที่มีทักษะเป็นสิ่งที่หาได้ยากมากและเป็นที่ต้องการของผู้ฝึกยุทธเกือบทุกคน ในเมื่อมันยอมให้พวกเขาใช้ความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าความสามารถปกติของพวกเขาเข้าจัดการกับศัตรูที่เหนือกว่าเขตของพวกเขา
ยกตัวอย่างเช่นถ้าผู้ฝึกยุทธในเขตสัมมาวิญญาณได้ถือกระบี่เทพธิดาเพลิง คนผู้นั้นย่อมมีโอกาสที่จะเอาชนะคนในเขตปฐพีวิญญาณเพราะว่าพลังที่เก็บไว้ในอาวุธ
ในแง่ของความสูงค่า กระบี่เทพธิดาเพลิงย่อมมีค่ามากกว่าระฆังพิษม่วงในสายตาของคนบางคน
“ราคาประมูลเริ่มต้นสำหรับกระบี่เทพธิดาเพลิงจักเป็น หนึ่งหมื่นห้าพันก้อนหินวิญญาณ” หวังชูเหรินกล่าว
“ตระกูลกังประมูลที่ หนึ่งหมื่นเจ็ดพันก้อนหินวิญญาณ”
“สำนักหงส์สวรรค์ประมูลที่ สามหมื่นก้อนหินวิญญาณ”
โรงประมูลเงียบไปชั่วขณะหลังจากที่สำนักหงส์สวรรค์พลันเพิ่มราคาไปเท่าตัวในทันที
“สาม…สามหมื่นหนึ่งพันก้อนหินวิญาณ”
“ตระกูลเยว่ประมูล สามหมื่นสองพันก้อนหินวิญญาณ”
“นิกายล้านอสรพิษประมูล สี่หมื่นก้อนหินวิญญาณ”
“ห้าหมื่นก้อนหินวิญญาณ”
แม้ว่าเขาจะเงียบมาตั้งแต่แรก แต่ทันทีที่นิกายล้านอสรพิษได้ทำการประมูล ซูหยางก็จะยกมือและประมูลทับพวกเขาทันที
ตอนนี้แขกทุกคนเห็นได้ชัดว่าเขาจงใจประมูลทับนิกายล้านอสรพิษและตบหน้าอีกฝ่ายต่อหน้าธารกำนัล
“ทำไมเขาจึงจงใจพยายามล่วงเกินนิกายล้านอสรพิษโดยเจตนา”
“อา ถ้าข้าจำมิผิด นิกายล้านอสรพิษได้ไล่ศิษย์จำนวนมากออกไปจากสำนักพวกเขา ทำให้พวกเขาเสี่ยงต่อการแตกสลาย แต่อย่างไรก็ตามนั่นยิ่งทำให้ความพยายามที่จะตบหน้าอีกฝ่ายของเขานั้นยิ่งโง่เขลา พวกเขาจะทำอะไรถ้านิกายล้านอสรพิษตัดสินใจที่จะจู่โจมสำนักของพวกเขา”
“พวกเขามีความสัมพันธ์กับอย่างนั้นรึ หือ… แต่นิกายที่อ่อนแอแบบนั้นทำไมจึงมีทรัพย์สินมากมาย ชายหนุ่มนั่นเพียงคนเดียวได้ประมูลเกินกว่าแสนก้อนหินวิญญาณไปแล้วในตอนนี้ และนี่เพิ่งจะเป็นของชิ้นที่สอง”
“บางทีเงินทั้งหมดนั่นอาจจะมอบให้กับศิษย์ที่ยังคงอยู่ ใครจะรู้”
ในเวลานั้นภายในห้องวีไอพี ฟูกวานได้กัดฟันของเขาด้วยความโกรธ
“ศิษย์เพียงคนเดียวจากสำนักอ่อนแอกล้าที่จะท้าทายนิกายล้านอสรพิษของข้ารึ ถ้ามิใช่เพราะว่าเซียนนั่น ข้าคงจะทำลายสำนักนั่นได้อย่าง่ายๆเพียงแค่ปลายนิ้วของข้า”
“ห้าหมื่นห้าพันก้อนหินวิญญาณ” ฟูกวานประมูลต่อ
“หกหมื่นก้อนหินวิญญาณ” ซูหยางประมูลทับเขาอย่างสบายๆอีกครั้ง
“ผู้อาวุโสใหญ่ ข้าต้องการให้เขาตายอย่างช้าๆและเจ็บปวด” ฟูกวานคำรามด้วยเสียงอาฆาต
ไม่นานจากนั้น ฟูกวานก็หัวเราะในใจ “ไปเลย ซื้อทุกสิ่งทุกอย่างจากโรงประมูลให้ข้า เจ้าเด็กชั่ว ครั้นเมื่อเราจัดการเจ้า ข้าก็จักได้มันจากศพของเจ้า”
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ฟูกวานก็ไม่ได้ประมูลของนั้นอีกต่อไป
ในอีกมุมหนึ่งภายในห้องวีไอพี เจ้าซีเหลือบมองฟูกวานด้วยหางตา หลังจากตรวจสอบซูหยาง เขาก็รู้ถึงความบาดหมางของพวกเขา
“ข้าควรหยุดพวกเขาดีหรือไม่ หรือว่าข้าควรปล่อยให้เขาจัดการมันเอง” เขาครุ่นคิดอยู่อย่างเงียบๆ
“กระบี่เทพธิดาเพลิงจะถูกขายที่หกหมื่นก้อนหินวิญญาณ”
อีกครั้ง หวังชูเหรินได้นำของไปส่งให้กับซูหยางหลังจากที่เขาจ่ายหินวิญญาณ
“ผู้นำนิกาย กระบี่นี้ค่อนข้างจะสวยงามเกินไปสำหรับข้า ท่านเอามันไปเถอะ” ซูหยางยื่นส่งกระบี่เทพธิดาเพลิงให้กับเธออย่างไม่ใส่ใจ
โหลวหลานจีอ้าปากจนกรามตกถึงพื้นเมื่อได้ยินคำพูดของเขา “จ-เจ้ากำลังพยายามทำอะไรอยู่ ซูหยาง”
เธอพลันรู้สึกสงสัยการกระทำของเขา
“มีบุญคุณต่อนิกาย” เขาตอบอย่างสบายๆ
“เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อเช่นนั้นรึ”
ซูหยางส่ายหน้าและหันไปมองดูซูหยิน ซึ่งจ้องมองดูเขาด้วยหน้าตางงงัน
“เอ้านี่ เจ้ารับมันไปเถอะ”
ในเมื่อเธอนั่งอยู่ติดกับเขา ซูหยางจึงยื่นส่งกระบี่เทพธิดาเพลิงให้กับเธอ พูดให้ถูกก็คือเขาจับมันยัดใส่เข้าไปในมือเธอ
“ข-ขอบคุณ พี่ชาย ข้าจักดูแลมันอย่างดีตลอดไป” ซูหยินรู้สึกอยากจะร้องไห้ขณะที่ความร้อนตามธรรมชาติของกระบี่เทพธิดาเพลิงถ่ายทอดความอบอุ่นเข้าสู่ร่างของเธอ
“อะไรกันวะ เจ้านี่ร่ำรวยมากเท่าไหร่กัน เขามาจากตระกูลไหน”
“หญิงสาวข้างกายเขาคือเจ้าหญิงตระกูลซู ซูหยิน และเธอเพิ่งเรียกเขาว่าพี่ชาย บางทีเขาอาจจะมาจากตระกูลซูหรือเปล่า”
“ต่อให้เป็นตระกูลซูก็มิอาจจะใช้จ่ายเงินเช่นนี้”
ผู้คนที่นั่นพลันเพิ่มความสนใจในเบื้องหลังของซูหยาง ถ้าพวกเขาสามารถเป็นเพื่อนกับคนที่ทั้งร่ำรวยและใจกว้างเหมือนเช่นเขา…
“ข้าอยากจะเป็นเพื่อนเขา ต่อให้ต้องยกลูกสาวให้กับเขา แต่น่าเสียดาย เขาได้ล่วงเกินนิกายล้านอสรพิษแล้ว มิมีค่าที่จะลากตระกูลของข้าไปสู่ปัญหา”
“เจ้าพูดถูกจุด มันเป็นเรื่องน่าเสียดายจริงๆ…”
ครั้นเมื่อหวังชูเหรินกลับคืนไปสู่เวที เธอก็พลันแนะนำของชิ้นต่อไป
“มีนักปรุงยาในที่นี้หรือไม่ ของชิ้นต่อไปไม่ควรพลาด” หวังชูเหรินเปิดเผยให้แขกเห็นเตาปรุงยาสีดำที่มีความสูงครึ่งหนึ่งของความสูงของเธอและกว้างเท่ากับผู้ใหญ่สองคน
เมื่อนักปรุงยาเห็นเตาปรุงยาสีดำ ดวงตาของพวกเขาก็พลันเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น
“นั่นคือเตาปรุงยาไร้รูป”
คนบางคนในห้องจดจำเตาปรุงยาได้
“ใช่แล้ว นี่เป็นเตาปรุงยาไร้รูปจริงๆ ถ้าท่านปรุงยาใช้เตาอันลึกล้ำนี้ คุณสมบัติของยาก็จะเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ สิบเปอร์เซ็นต์ ยิ่งไปกว่านั้น ท่านสามารถเปลี่ยนขนาดของมันตามใจปรารถนาและนำมันไปกับท่านได้ทุกที่ที่ท่านไป”
หลังจากที่กล่าวคำพูดเหล่านั้นแล้ว หวังชูเหรินก็ใช้ปราณไร้ลักษณ์ของเธอลดขนาดของเตาปรุงยาไร้รูปจนมันมีขนาดเท่ากับถ้วยชา ก่อนที่จะคืนขนาดของมันมาเป็นขนาดปกติ
“ข้าต้องได้เตาปรุงยาไร้รูปนี้ ต่อให้ข้าจะต้องหมดตัว”
“สมบัติเช่นนั้นจักสูญเปล่าเมื่ออยู่ในมือท่าน ผู้เฒ่า ให้ผู้มีเกียรติคนนี้ถือมันแทนท่านเถอะ”
บรรดานักปรุงยาที่นั่นต่างพากันจ้องมองแต่ละฝ่ายด้วยสายตาดุร้าย
DC บทที่ 343: แฟนหนุ่มใจกว้าง
“ราคาประมูลเริ่มต้นสำหรับเตาปรุงยาไร้รูปนี้เริ่มต้นที่ 70,000 ก้อนหินวิญญาณ” หวังชูเหรินประกาศต่อหน้านักปรุงยาในห้องที่แย่งชิงกัน
“ตระกูลหัวประมูลหมื่นก้อนหินวิญญาณ”
“ผู้เฒ่าเล่ยคนนี้ประมูล 15,000 ก้อนหินวิญญาณ”
ราคาเพิ่มขึ้นด้วยอัตราเร็วที่มากกว่าสมบัติวิญญาณ แม้ว่าเตาปรุงยาวิญญาณจะไม่มีค่ามากเท่ากับสมบัติวิญญาณโดยทั่วไป แต่นักปรุงยาส่วนใหญ่ต้องการมีเตาปรุงยาที่ดีมากกว่าสมบัติวิญญาณที่ดีและไม่ลังเลที่จะใช้เงินสำหรับเตาปรุงยาที่ดี ในเมื่อนักปรุงยาที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ล้วนนั่งอยู่บนความร่ำรวยจากการขายยาหรือการให้บริการ
ในเวลาเป็นนาทีราคาของเตาปรุงยาไร้รูปเพิ่มขึ้นไปถึง 40,000 ก้อนหินวิญญาณ
“ตระกูลหัวประมูล 40,000 ก้อนหินวิญญาณมีใครต้องการประมูลมากกว่านี้หรือไม่” หวังชูเหรินถาม
“ครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2”
“50,000 ก้อนหินวิญญาณ” ซูหยางพลันยกมือขึ้น สร้างความงๆให้กับทุกคนที่นั่น
เพราะว่าคนส่วนใหญ่ที่ได้ประมูลคือนักปรุงยา ไม่มีใครในหมู่พวกเขาคาดคิดว่าซูหยางจะเข้าร่วมประมูลด้วยเช่นกัน
“ทำไมเขาถึงมาร่วมประมูล ทั้งที่นิกายล้านอสรพิษไม่ได้เข้าร่วมประมูลครั้งนี้…”
ผู้คนที่นั่นต่างพากันสงสัย
“เจ้าหนุ่ม เจ้ากำลังพยายามที่จะซื้อทุกอย่างในการประมูลวันนี้หรือ เตาปรุงยาไร้รูปไม่มีประโยชน์ต่อเจ้า ต่อให้เจ้าเป็นนักปรุงยาคนหนึ่งใครจะรู้ว่าเจ้าจะสามารถใช้เตาปรุงยาวิญญาณได้อย่างถูกต้อง” หนึ่งในนักปรุงยาที่นั่นกล่าวขึ้น
หลังจากที่คนแรกพูดขึ้นคนอื่นก็เสนอความคิดของตัวเองบ้าง
“เตาปรุงยาวิญญาณไม่ใช่เตาปรุงยาปกติและไม่สามารถใช้ด้วยนักปรุงยาทั่วไป เจ้ายังเด็กดังนั้นควรปล่อยให้ผู้อาวุโสที่นี่หยิบฉวยจากมือของเจ้า”
“เจ้าได้ยินเหล่าผู้อาวุโสพูดแล้ว เจ้าหนุ่มควรยึดถือคำแนะนำของพวกเราและนั่งลง ตระกูลหัวประมูล 51,000 ก้อนหินวิญญาณ”
อย่างไรก็ตามซูหยางยกมือขึ้นและเพิ่มราคาไปอีก 9,000 ก้อนหินวิญญาณทำทีเหมือนกับว่าเขาไม่ได้ยินคำพูดของคนอื่น
“จ-เจ้า”
คนจากตระกูลหัวกัดฟันหลังจากที่ซูหยางไม่เชื่อฟัง
“เจ้าได้ล่วงเกินตระกูลหวังและนิกายล้านอสรพิษไปแล้ว เจ้าแน่ใจว่าเจ้าต้องการที่จะล่วงเกินคนมากกว่าเดิมรึ” ตระกูลหัวพูดเสียงดังลั่น
เพื่อตอบสนองกับการข่มขู่ของตระกูลหัว ซูหยางเพียงแค่ส่ายหัว “นี่เป็นโรงประมูลไม่ใช่บ้านของพวกเจ้า ถ้าข้าต้องการอะไรทำไมข้าถึงซื้อมันไม่ได้ล่ะ ข่มขู่ข้าด้วยกลเม็ดเด็กๆ เจ้ายังกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นผู้อาวุโสอยู่อีกรึ”
หวังชูเหรินอดไม่ได้ ได้แต่หัวเราะหลังจากได้ยินคำพูดของเขา
“เด็กหนุ่มคนนี้พูดถูก นี่เป็นโรงประมูลซึ่งผู้คนสามารถได้รับสิ่งต่างๆตราบเท่าที่เขามีเงิน ข้าไม่สมควรพูดเช่นนี้แต่ได้โปรดยั้งตัวเองจากการกดดันผู้อื่นด้วยอำนาจของพวกท่านหรือข่มขู่ผู้อื่นขณะที่ยังอยู่ที่นี่”
ที่แห่งนั้นเงียบลงไปหลังจากที่หวังชูเหรินพูดขึ้นเป็นครั้งแรก
“ยังมีใครต้องการประมูลอีกหรือไม่ ราคาประมูลตอนนี้คือ 60,000 ก้อนหินวิญญาณ”
“80,000 ก้อนหินวิญญาณ”
มีคนตะโกนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว สร้างความงุนงงให้กับผู้คนที่นั่น
ใครกันช่างร่ำรวยจริงที่จะเสนอถึง 80,000 ก้อนหินวิญญาณสำหรับเตาปรุงยาวิญญาณ ต่อให้เป็นนักปรุงยาผู้ร่ำรวยก็ไม่ฟุ่มเฟือยปานนั้น ว่าไปแล้วยังมีเตาปรุงยาวิญญาณที่ดีกว่านั้นข้างนอกนั่นที่สามารถซื้อได้ด้วยราคาใกล้เคียงกัน
“นั่นคือตระกูลเฉิน พวกเขาเป็นตระกูลนักปรุงยาอันดับ 1 ของภาคใต้”
ผู้คนรู้จักเบื้องหลังของพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว
“เป็นอย่างไรเจ้าเด็กเย่อหยิ่งที่นั่งอยู่ด้านหน้าทำไมเจ้าจึงไม่ประมูลอีกละ มิใช่ว่าเจ้าเพิ่งอหังการเมื่อกี้เพราะความร่ำรวยของเจ้ารึ” หญิงสาวจากตระกูลเฉินยืนขึ้นและชี้ไปยังซูหยางขณะที่พูดจายั่วยุ
ซูหยางยิ้มไปกับความพยายามของเธอและตอบกลับว่า มันแค่ 80,000 ก้อนหินวิญญาณเอง”
เขาพลันยกมือขึ้นและด้วยท่าทีที่สงบเฉยเขาพูดต่อว่า “ข้าประมูล 100,000 ก้อนหินวิญญาณ”
“100,000 ก้อนหินวิญญาณ”
ผู้คนที่นั่นต่างพากันงงงัน เขาได้รับความร่ำรวยเช่นนั้นมาจากที่ไหนกัน
“นี่มันอะไรกัน เจ้าเด็กนั่นร่ำรวยขนาดนั้นได้อย่างไร”
“เขาต้องปล้นทั้งสำนักหรืออะไรทำนองนั้นแน่…”
“ซูหยาง… เจ้า…”
โหลหลานจีและศิษย์รุ่นเยาว์จ้องมองเขาดวงตาเบิกกว้าง ในเมื่อไม่มีใครในหมู่พวกเขาได้จินตนาการว่าเขาร่ำรวยมากเช่นนี้
หญิงสาวจากตระกูลเฉินสั่นสะท้านขณะที่กัดฟัน
“เช่นนั้นข้าประมูล 110–”
“เจ้ากำลังจะทำอะไร ต่อให้เป็นเราก็ไม่สามารถพยายามที่จะใช้จ่ายมากมายเช่นนั้นไปกับเพียงแค่เตาปรุงยาวิญญาณธรรมดา”
หนึ่งในผู้อาวุโสจากตระกูลเฉินจับแขนของเธอไว้และพาเธอกลับไปยังที่นั่งของเธอ
“แต่เขาช่างโอหัง ถ้าข้าไม่ผลักเขาให้อยู่ถูกที่ ใครกันเล่าที่จะทำ”
“เห็นชัดว่าเขามีความสามารถที่จะโอหังเช่นนั้น จงนั่งลงและเงียบซะ หรือเจ้าลืมว่าพวกเรามาที่นี่วันนี้เพื่ออะไร ถ้าเจ้าใช้เงินทั้งหมดของเจ้าก่อนนั้นและพลาดในการปกป้องมัน เจ้าจะไปเผชิญหน้าพ่อของเจ้าหลังจากนั้นได้อย่างไร”
ไม่นานหลังจากนั้น หญิงสาวจากตระกูลเฉินก็พยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ
“ปล่อยให้เจ้าหนุ่มคนนั้นประมูลทุกอย่างที่เขาต้องการกับของชิ้นแรกๆพวกนี้และสูญเสียเงินไป การต่อสู้ที่แท้จริงยังมิได้เริ่มต้นเลย คนอื่นๆต่างมีความอดทนรอให้สิ่งที่มีค่ามากกว่านี้ปรากฏขึ้นก่อนที่จะทุ่มสุดตัว”
เพราะว่าของที่มีค่ามากกว่านี้ไม่เคยแสดงขึ้นมาแต่เนิ่นๆและมักจะเผยในตอนท้ายของการประมูล เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องไม่เสียเงินมากเกินไปก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น ยิ่งไปกว่านี้ สมบัติที่มีค่ามากที่สุดบ่อยครั้งที่มักจะเก็บไว้เป็นความลับจนกว่าจะได้เวลาเปิดเผย ดังนั้นจึงอาจจะมีสิ่งของมาประมูลที่ไม่ได้ระบุไว้สำหรับแขกทั่วไป
“100,000 ก้อนหินวิญญาณ ครั้งที่ 1 … ครั้งที่ 2 … และขาย”
หลังจากที่ได้รับเตาปรุงยาไร้รูป ทุกคนในห้องต่างพากันมองดูการกระทำของเขาอย่างเงียบๆ พวกเขาต่างสงสัยว่าเขาจะแจกมันไปด้วยหรือไม่
และดังเช่นคนส่วนใหญ่ได้คาดหมายไว้ ซูหยางหันไปมองที่จางซิวยิงในทันทีด้วยรอยยิ้มลึกลับหลังจากที่รับเตาปรุงยาไร้รูป
“ซ-ซูหยาง…ท่านมิอาจ…” จางซิวยิงปิดปากของเธอ ไม่กล้าเชื่อจินตนาการของเธอเอง
“เช่ากำลังศึกษาการปรุงยาภายใต้หวังชูเหรินใช่ไหม ข้าสามารถได้กลิ่นของยาจากตัวเจ้า เตาปรุงยาไร้รูปนี้จักเป็นประโยชน์ต่อเจ้าอย่างมาก อย่าพูดอะไรเพียงแค่เอามันไปก็พอ” ซูหยางยื่นเตาปรุงยาสีดำไปตรงหน้าเธอ
“ข้า..ข้า..”
จางซิวยิงจนคำพูดถึงกับร้องไห้ออกมาขณะที่เธอรับเตาปรุงยาไร้รูปด้วยมือที่สั่นสะท้าน
“ขอ..ขอบคุณ..”
จางซิวยิงรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นสำหรับเธอที่จะพูดไปมากกว่า 2 คำนี้
ในเวลานั้นนักปรุงยาทั้งหมดพากันจ้องมองไปที่จางซิวยิงและเตาปรุงยาไร้รูปในมือของเธอด้วยสายตาอิจฉา
“เขาล่วงเกินตระกูลเฉินและนักปรุงยามากมายอย่างแท้จริง ถึงกับใช้หินวิญญาณถึง 100,000 ก้อนเพียงเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับหญิงสาว ช่างสมชายจริงๆ ข้ามิอาจเกลียดเขาในเรื่องนั้นต่อให้พยายามก็ตาม”
“หญิงสาวคนนั้นเป็นคนรักของเขาหรือเปล่า เธอเป็นศิษย์หลักของนิกายดอกบัวเพลิงใช่ไหม ช่างเป็นหญิงสาวที่โชคดี…”
อย่างไรก็ตามไม่ใช่แค่เพียงนักปรุงยาที่อิจฉาจางซิวยิง หญิงสาวหลายคนในห้องต่างก็พากันอิจฉาเธอเช่นกัน ไม่เพียงแต่เธอมีแฟนหนุ่มที่ใจกว้างเช่นนั้นแต่เขายังหล่อเหลาและร่ำรวยอย่างไม่น่าเชื่อ ถ้าพวกเธอมีผู้ชายเช่นนั้นเป็นสามีพวกเธอเช่นกันหรืออาจเป็นเพียงแค่แฟนหนุ่ม จะมีอะไรอีกที่พวกเธอต้องการในชีวิตนี้
DC บทที่ 344: ป้ายสิทธิ์ขาด
หลังจากที่ชนะการประมูลสำหรับเตาปรุงยาไร้รูป ซูหยางก็ทำการประมูลทุกสิ่งที่มาต่อจากนั้นสร้างความตระหนกให้กับทั่วทั้งโรงประมูลซึ่งดูเหมือนกับว่าเขามีความร่ำรวยไม่สิ้นสุด กระทั่งหวังชูเหรินก็อดที่จะจ้องมองเขาด้วยสีหน้ามึนงงไม่ได้
ของมากกว่า 20 ชิ้นและหนึ่งล้านก้อนหินวิญญาณหลังจากนั้น
“…พี่ชาย.. หรือว่าท่านได้หินวิญญาณมาจากประตูศักดิ์สิทธิ์” ซูหยินพลันนึกถึงสถานที่นั้นและถามเขา เธอนึกไม่ออกว่าที่ไหนที่เขาจะได้ความร่ำรวยเช่นนั้นนอกจากประตูศักดิ์สิทธิ์สุสานของเซียน
ซูหยางเพียงแค่หัวเราะหึ “อาจจะ”
หลังจากประมูลสินค้าชิ้นที่ 25 หวังชูเหรินก็ประกาศว่า “เราจักพัก 10 นาทีก่อนที่เราจะกลับมาประมูลกันใหม่อีกครั้ง”
คร้้นเมื่อหวังชูเหรินลงจากเวที ทุกคนในห้องนั้นก็เริ่มกระซิบกระซาบกันขณะที่ตาของพวกเขาต่างพากันจ้องไปที่ซูหยาง
“เจ้าคนโคตรรวยนี้มาจากไหนกัน เขาซื้อของทุกอย่างที่นำมาประมูลวันนี้”
“พระเจ้าช่วย ครอบครัวของเขาต้องมีหินวิญญาณเติบโตได้เหมือนข้าวในหลังบ้านหรืออะไรทำนองนั้น”
“ต่อให้ปล้นสำนักหลายสิบสำนักก็ยังไม่สามารถที่จะให้ความร่ำรวยได้มากเพียงนี้”
“เขาใช้เงินมากกว่า 1 ล้านก้อนหินวิญญาณไปแล้วตอนนี้ ข้าไม่คิดว่ากระเป๋าเงินของเขาจักไม่ว่างเปล่า”
ในเวลานั้นหลังจากที่เขาวางของทุกอย่างที่เขาชนะเข้าไปในแหวนมิติ ซูหยางหันไปมองโหลวหลานจีและพูดว่า “ผู้นำนิกาย นี่ให้ท่าน”
โดยไม่รอให้เธอตอบ ซูหยางโยนแหวนมิติพร้อมกับของที่มีค่านับล้านก้อนหินวิญญาณไปให้เธออย่างสบายๆ
โหลวหลานจีรับมิติด้วยมือที่สั่นสะท้านและจ้องมองไปที่เขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง
กระทั่งคนอื่นๆในห้องก็หยุดกระซิบกระซาบเพื่อมองไปที่พวกเขาด้วยท่าทีที่ตื่นตะลึงบนใบหน้า
“น-นี่หมายความว่าอะไร ซูหยาง” โหลวหลานจีขมวดคิ้ว “เจ้ากำลังพยายามที่จะซื้อทั้งนิกายด้วยสิ่งนี้รึ”
ซูหยางหัวเราะหึหึกับจินตนาการของเธอและพูดว่า “ผู้นำนิกายหรือท่านลืมไปแล้วว่าข้าได้สัญญาที่จะดูแลนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย สมบัติเหล่านี้ก็เพื่อสำหรับศิษย์รุ่นต่อไปเหมือนที่พวกที่นั่งอยู่ตรงนั้น”
ซูหยางชี้มือไปยังศิษย์รุ่นเยาว์ด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์พี่ชาย…” ศิษย์รุ่นเยาว์พากันอับจนถ้อยคำ
“แม้ว่าเจ้ามีเจตนาเช่นนี้นี่ไม่มากเกินไปหน่อยรึ” โหลวหลานจีแสดงยิ้มขมขื่นออกมา นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะตอบแทนบุณคุณเช่นนี้ได้อย่างไร กระทั่งให้เขาเป็นผู้นำนิกายก็ยังไม่พอเพียง
“มากเกินไปรึ นี่เพียงแค่ 1 ล้านก้อนหินวิญญาณ ถ้าท่านไม่สามารถรับของขวัญเล็กน้อยเช่นนี้ ข้าจะทำการให้ของที่แพงมากกว่านี้ภายหลังได้อย่างไร”
“จ-เจ้ามีแผนที่จะให้ข้ามากกว่านี้รึ” โหลวหลานจีอ้าปากค้างด้วยความตระหนก
“นี่ไม่ใช่สำหรับท่าน ผู้นำนิกาย นี่สำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะโหลวหลานจีก็กระซิบเขาว่า “ข้าเข้าใจ แต่มันก็ไม่เหมาะสมที่จะให้ของมากมายปานนี้ต่อหน้าสายตามากมาย จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาสร้างปัญหาให้กับเราในภายหลัง เจ้าควรให้มันกับข้าหลังจากที่เรากลับไปที่โรงเตี๊ยมแล้ว”
ซูหยางกวาดสายตาไปยังผู้คนที่จ้องมองเขาด้วยสายตาดุร้ายและพูดเสียงดังว่า “จะมีอะไรที่ต้องกังวล ต่อให้พวกเขากล้าพยายามปล้นเรา พวกเขาก็ไม่มีความสามารถที่จะทำเช่นนั้น”
โหลวหลานจีจ้องมองเขาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกและหันไปมองรอบห้อง ไม่มีข้อสงสัยเลยว่ามีคนมากมายหลายคนจ้องมองพวกเขาด้วยสายตาเกลียดชัง
“ทำไมเจ้าถึงพูดเสียงดังเช่นนี้ นี่เหมือนกับว่าเจ้ากำลังพยายามที่จะยั่วยุพวกเขา” โหลวหลานจีรู้สึกอยากจะร้องไห้
ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวว่า “ผู้นำนิกายถ้าท่านทำตัวต่ำต้อยและขี้ขลาดอย่างนี้ต่อไป โลกก็จักเหยียดหยามเราเมื่อเรายืนอยู่บนจุดสูงสุด”
“จ-เจ้าหมายความว่าอย่างไรเช่นนี้ และเจ้ากล้าเรียกข้าว่าคนขี้ขลาดได้อย่างไร” เธอมองดูเขาด้วยท่าทางตื่นตะลึง
“ท่านเชื่อจริงๆรึว่าจุดมุ่งหมายของข้าก็คือการฟื้นฟูนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยกลับไปยังจุดเดิม นอกจากว่าเราก้าวข้ามตัวตนเดิมของเราและยืนอยู่เหนือสำนักอื่นทุกสำนักในทวีปแห่งนี้ มิเช่นนั้นข้าย่อมยังไม่พอใจ ครั้นเมื่อข้า ซูหยาง ได้ตัดสินใจที่จะทำอะไรสักอย่างมันจะต้องไม่เป็นอะไรที่ธรรมดา” ซูหยางพูดด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ
“ตลกอะไรเช่นนี้ ถ้าเจ้าคิดว่าเจ้าสามารถยืนอยู่บนจุดสูงสุดด้วยเพียงสมบัติพื้นๆไม่กี่ชิ้น เช่นนั้นทุกขั้วอำนาจในห้องนี้คงเป็นสำนักระดับสูงกันทั้งหมด”
“เจ้าเป็นเพียงกบธรรมดาที่ยังคงอาศัยอยู่ในบ่อ เจ้ากล้าทำตัวเย่อหยิ่งจองหองต่อหน้าคนมากมายที่มีอำนาจเหนือกว่าเจ้าได้อย่างไร”
ผู้คนในห้องต่างพากันเริ่มเยาะเย้ยในความทะเยอทะยานของซูหยางทันที
“แม้ว่าข้าชื่นชมในความกล้าของเจ้า เจ้ายังคงเด็กเกินไปและไร้เดียงสาที่จะมีความทะเยอทะยานอันสูงส่งเช่นนั้น”
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอยู่บนขอบเหวของการสูญสลายในเวลานี้ เพียงแค่หนึ่งในหมู่พวกเราก็มีความสามารถที่จะเหยียบย่ำไปบนสำนักของเจ้าและทำลายความทะเยอทะยานของเจ้าได้อย่างง่ายดาย แต่เจ้ายังกล้าที่จะแสดงความโอหังต่อหน้าพวกเราเช่นนี้ เจ้ากำลังมองหาที่ตายอย่างนั้นรึ”
หลังจากที่ฟังคำข่มขู่มากมายที่ส่งมายังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยต่อหน้าพวกเขา โหลวหลานจีและศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันมีใบหน้าซีดเผือด
“ซู-ซูหยาง เจ้ากำลังพยายามที่จะฟื้นฟูนิกายหรือว่าทำลายมัน รีบขอโทษทุกคนที่นี่เร็ว” โหลวหลานจีพลันโกรธ
ซูหยางส่ายหน้าและถอนใจ “นี่คือสิ่งที่ข้าพูดถึงที่ว่าเป็นคนขี้ขลาด ผู้นำนิกาย ทำไมท่านจึงก้มหัวหลังจากที่ได้ยินหมา 2-3 ตัวเห่าเช่นนี้”
เขาพลันหันไปมองดูผู้คนที่ข่มขู่นิกายกุสุมาลพ้นพิสัยและกล่าวต่อว่า “ไม่ว่าพวกเจ้าจะชอบมันหรือไม่ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็จักเติบโตต่อไปและเจ้าจักเห็นจากด้านข้าง ถ้าพวกเจ้าเชื่อว่าเจ้ามีความสามารถที่จะหยุดพวกเรา ข้ายินดีให้เจ้าได้ลอง”
ซูหยางเผชิญหน้ากับทั้งห้องด้วยรัศมีของผู้ที่อยู่เหนือกว่า นี่คือเจตนาที่แท้จริงในการมาที่โรงประมูลนี้ที่ซึ่งผู้ทรงอำนาจจากรอบโลกมารวมตัวกัน ถ้าหากว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยพลันมีอำนาจขึ้นมาในทันใด ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วโดยที่ไม่มีใครรู้ ผู้อื่นก็จะเพียงเหยียดหยามพวกเขาราวกับว่าพวกเขาเป็นคนอ่อนแอซึ่งไม่สมควรที่จะอยู่ในตำแหน่งสูงสุด
ในตอนนี้ซูหยางได้ทำให้พวกเขาเป็นที่รู้จักทั้งล่วงเกินคนจำนวนมากมาย ผู้ทรงอำนาจเหล่านี้ย่อมมองดูพวกเขาต่อให้พวกเขาไม่มีค่าที่จะให้มองดูในตอนนี้และเฝ้ามองพวกเขาเติบโต ถ้าคนเหล่านี้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเติบโตของพวกเขา เช่นนั้นซูหยางก็จะกำจัดคนเหล่านี้ทิ้ง
ซูหยางมองดูโหลวหลานจีและพูดด้วยใบหน้าที่จริงจังว่า “ผู้นำนิกาย ข้าจักทำให้นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเป็นสำนักที่จักทำให้กระทั่งสำนักระดับสูงดูเหมือนเป็นบ้านเรือนคนทั่วไป ท่านเชื่อข้าหรือไม่”
โหลวหลานจีนิ่งเงียบไปชั่วขณะขณะที่เธอจ้องมองเขาด้วยสีหน้าสับสน
“ทำไมกลิ่นอายของเขาจึงรู้สึกช่างคุ้นเคยนัก ที่ไหนที่ข้า…”
ร่างของโหลวหลานจีพลันสั่นสะท่านเล็กน้อย เมื่อเธอพลันตระหนัก
“ความรู้สึกนี้… นี่มันเหมือนกับผู้อาวุโส…”
หลังจากเงียบไปชั่วขณะ โหลวหลานจีก็ถอนใจ “ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าใครจะรู้ว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจักเป็นอย่างไรในตอนนี้ และถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าศิษย์รุ่นเยาว์ก็คงไม่ได้อยู่ที่นี่ในตอนนี้ ส่วนสำหรับบุญคุณที่มีต่อนิกายและเหล่าศิษย์ในช่วงปีที่ผ่านมาข้าจักมิพูดถึงในเมื่อนั้นจะต้องพูดกันทั้งวัน”
โหลวหลานจีทำการล้วงเข้าไปในแหวนมิติ ไม่กี่วินาทีต่อมาเธอก็นำเอาป้ายที่จัดสร้างจากหยกที่สวยงามจากแหวนมิติและยื่นส่งให้ซูหยางเหมือนกับว่าเธอต้องการให้เขาเก็บมันไว้
“ข้าได้คิดเกี่ยวกับการที่จะให้ป้ายนี้แก่เจ้านับตั้งแต่ศิษย์ส่วนใหญ่จากไปแล้ว ถ้ารู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมแต่นี่คือคำตอบของข้าที่ว่าข้าเชื่อถือเจ้าหรือไม่”
ซูหยางมองไปที่ป้ายที่อยู่บนมือของโหลวหลานจีให้ความรู้สึกอันลึกลับในสายตาของเขา
สลักไว้บนป้ายเป็นคำสองคำซึ่งอ่านได้ว่า “ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” และ “สิทธิ์ขาด”
ศิษย์รุ่นเยาว์อ้าปากหวอมือปิดปากเมื่อพวกเขาเห็นป้ายหยก
“นั่นคือป้ายสิทธิ์ขาด มีเพียงคนสองคนในนิกายที่ได้รับอนุญาตให้ถือมันไว้ และนั่นก็คือผู้นำนิกาย”
“ศิษย์พี่ชายกำลังจะเป็นผู้นำนิกายคนที่ 2 ของเรางั้นรึ”
อันที่จริงโหลวหลานจีต้องการให้ซูหยางเป็นผู้นำนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยคนที่สองด้วยการยื่นส่งป้ายสิทธิ์ขาดให้แก่เขาในเวลานั้น นับตั้งแต่หลีเชียงผู้นำนิกายคนก่อนได้ตายไป นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ได้ดำเนินการเพียงผู้นำนิกายคนเดียวในขณะที่พวกเขาควรจะมี 2 คน
อย่างไรก็ตามซูหยางไม่ได้รับป้ายไว้ในทันที
“ข้าไม่สามารถอยู่ที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไปได้ตลอดฉันก็รู้ ใครจะรู้ว่าเมื่อไหร่ที่ข้าต้องไป”
“ตั้งแต่รู้เบื้องหลังของเจ้าข้าก็มิเคยคิดที่จะเก็บเจ้าไว้กับเราตลอดไป อย่างไรก็ตามจนกว่าจะถึงวันที่เจ้าต้องไปเจ้าสามารถถือป้ายนี้ไว้ได้หรือไม่” โหลวหลานจีเสนอ
ซูหยางยิ้มและกล่าวต่อว่า “ข้ายังคงจักสร้างปัญหาให้กับนิกายต่อไปอีก”
“นั่นมิมีอะไรใหม่” โหลวหลานจีหัวเราะคิกคัก
“ท่านจักไม่สามารถหลับได้เต็มอิ่มไปตอนกลางคืนอีกต่อไปถ้าข้าเป็น” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มลามก
โหลวหลานจีพยักหน้าด้วยใบหน้าแดงเล็กน้อย
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะซูหยางก็เริ่มขยับแขนและรับป้ายบนมือของโหลวหลานจี
“ตกลงข้าจักถือสิ่งนี้เพื่อท่านนับแต่นี้ต่อไป”
“เราจักจัดงานฉลองอย่างเป็นทางการให้แก่เจ้าเมื่อเรากลับไป” เธอยิ้ม
โหลวหลานจีพลันหันไปมองศิษย์รุ่นเยาว์และพูดเสียงดังว่า “ทักทายผู้นำนิกายคนใหม่ของพวกเจ้าสิ”
ศิษย์รุ่นเยาว์ทุกคนพลันโค้งคำนับอย่างพร้อมเพรียงกัน “ขอคำนับผู้นำนิกายคนใหม่ของพวกเรา”
ในเวลานั้นบุคคลที่ได้ดูพวกเขาต่างพากันงงงันไปกับสถานการณ์ที่แปลกประหลาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกของพวกเขาที่ได้พบเห็นบางคนได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้นำนิกายภายในโรงประมูลและอย่างไม่เป็นทางการเช่นนี้ด้วย
DC บทที่ 345: พิจารณาหมั้นหมาย
“หรือว่าเธอบ้าไปแล้ว เธอให้ตำแหน่งที่น่ายกย่องให้แก่คนที่ทั้งอ่อนเยาว์และหยิ่งยะโสได้อย่างไร ว่าแต่นิสัยใช้เงินอย่างบ้าคลั่งเช่นนั้น เขาต้องเป็นตะปูดอกสุดท้ายสำหรับโลงของพวกเขาแน่นอน”
“ถึงแม้ว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะเป็นสำนักขนาดเล็ก เขาก็ยังเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดที่เคยเป็นผู้นำนิกาย….”
ผู้คนที่นั่นส่วนใหญ่แล้วพากันตกตะลึงในการตัดสินใจของโหลวหลานจีในการที่ทำให้บางคนที่ทั้งอายุน้อยและหยิ่งยะโสดังเช่นซูหยางเป็นผู้นำนิกายในเมื่อพวกเขาเชื่อว่าเขาจะต้องนำสำนักเข้าไปสู่การล่มสลายด้วยอัตราที่เร็วกว่าเดิม
ความจริงแล้วพวกเขาทั้งหมดต่างพากันเดาว่าเขาจะทำลายสำนักได้เร็วแค่ไหน
“สมกับเป็นพี่ชายของข้า…. ที่กลายเป็นเจ้าสำนักไปแล้ว….” ซูหยินหัวเราะคิกคัก
“อืม… ข้าควรเรียกท่านอย่างไรในเมื่อท่านกลายเป็นเจ้าสำนักไปแล้ว” จางซิวยิงถามด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
“ก็ใช้เหมือนดังที่เจ้ารู้สึกว่าสบายใจ” ซูหยางกล่าว “นี่ก็ใช้สำหรับพวกเจ้าตัวเล็กด้วยเช่นกัน ถ้านั่นทำให้เจ้ารู้สึกสบายใจมากยิ่งขึ้น ก็เพียงเรียกข้าว่า ศิษย์พี่ชายเหมือนปกติ”
ในเวลานั้นภายในห้องวีไอพี เจ้าซีกำลังตกอยู่ในภวังค์ลึก
“เขาวางแผนที่จะทำให้นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเป็นสำนักที่ทรงอำนาจที่สุดในทวีปตะวันออกจริงรึ หากเป็นเช่นนั้น โดยมิต้องสงสัยเลยว่านั่นจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสมดุลในโลกนี้ไปทั่วทุกที่”
เจ้าซีไม่คิดสงสัยว่าซูหยางจะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่ทะเยอทะยานดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ ตามจริงแล้วเขาเชื่อว่าต่อให้ซูหยางไม่กระตือรือล้นทำอะไรเลย ตราบเท่าที่อีกฝ่ายยังอยู่ในที่แห่งนั้น นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ถูกกำหนดให้กลายเป็นปลาหลีฮื้อที่ทะยานเข้าสู่ประตูมังกรอยู่แล้ว
“เขาได้รับความแข็งแกร่งแบบนั้นในช่วงเวลาสั้นๆมาจากไหน ตามรายงานเขาเพิ่งอายุสิบเจ็ดปี โลกนี้จะเป็นอย่างไรในอีกสิบปีต่อจากนี้ เขามีเซียนเป็นอาจารย์ของเขาจริงหรือ”
เจ้าซีก็ไม่อาจที่จะจินตนาการถึงอนาคตของซูหยางในหนึ่งปีนับจากนี้ ในเมื่อเขาได้อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณในขณะที่อายุยังเยาว์เช่นนี้ อย่าเพิ่งคิดถึงสิบปีข้างหน้า
“ศิษย์จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยต่างก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงที่ท้าทายสวรรค์ในปีนี้ เมื่อมาคิดว่าพวกเขาก็มีศิษย์ถึงสองคนที่ได้เข้าสู่เขตปฐพีวิญญาณ ถ้าทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับซูหยางเกี่ยวพันไปถึงเซียนลึกลับนั้นที่ปกป้องนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจากนิกายล้านอสรพิษอยู่ บางทีข้าควรจะไปเยี่ยมเขาหลังจากการแข่งขันระดับภูมิภาค”
เจ้าซีเริ่มเชื่อว่าให้ลูกสาวเขาแก่ซูหยางที่มีพรสวรรค์หาใดเทียบและมีอนาคตไม่สิ้นสุดอย่างแท้จริงนั้น ว่าไปแล้วอาจจะเป็นความคิดที่ไม่เลวเสียทีเดียว
“ถ้าเขาสามารถช่วยรักษาอาการของลูกสาวข้าและยังคงมีชีวิตรอดหลังจากที่ล่วงเกินคนมากมายปานนี้ เช่นนั้นข้าจักพิจารณาการหมั้นหมายของพวกเขาอย่างจริงจัง…” เจ้าซีพยักเพยิดกับตัวเองอย่างเงียบๆ
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นหวังชูเหรินก็กลับขึ้นไปบนเวทีพร้อมกับผู้ช่วยสาวสวย 2 คน
“ขอบคุณทุกท่านที่รอคอยเราตอนนี้จักเริ่มส่วนที่ 2 และเป็นส่วนสุดท้ายของการประมูล” เธอกล่าวเสียงดังพร้อมกับกล่าวต่อว่า “ถ้าพวกท่านได้ประหลาดใจกับการประมูลสมบัติในครึ่งแรกแล้ว เช่นนั้นพวกท่านต้องเตรียมตัวสำหรับสิ่งที่เรามีในคลังสำหรับพวกท่านในเวลาถัดไปนี้”
ก่อนที่เราจะเริ่มข้ามีสิ่งที่ต้องประกาศ เลือดงูสามฤดูที่คาดว่าจักนำมาประมูลในช่วงหลังจะไม่มีอีกต่อไป ในเมื่อท่านเจ้าได้ร้องขอเป็นการส่วนตัว ข้าต้องขออภัยในความไม่สะดวกที่ได้เกิดขึ้นนี้”
คนบางคนส่ายหน้าด้วยความเสียใจหลังจากที่ได้ยินข่าวนี้ในเมื่อพวกเขาได้เฝ้ามองที่จะซื้อเลือดงูสามฤดูที่สามารถใช้ปรุงเป็นยาที่ทรงพลัง อย่างไรก็ตามในเมื่อท่านเจ้าซีได้เพ่งเล็งมัน นั่นย่อมไร้ค่าที่จะประมูลในเมื่อไม่มีใครกล้าที่จะท้าทายเขาเพื่อสิ่งนั้น
“ในเมื่อเป็นท่านเจ้าย่อมไม่มีเหตุผลที่เทพธิดาหวังจักต้องขอโทษ”
“อย่ากังวลผู้อาวุโสหวัง พวกเรามิใช่คนไร้เหตุผล ท่านไม่ควรถูกตำหนิ”
บรรดาแขกต่างพากันเข้าใจสถานการณ์และไม่ได้ทำเรื่องยุ่งยากให้แก่เธอ
หวังชูเหรินพยักหน้าและกล่าวต่อว่า “เช่นนั้นในเมื่อมิมีอะไรแล้วขอให้ข้าประกาศสมบัติชิ้นต่อไป”
ผู้ช่วยทั้ง 2 เปิดผ้าคลุมบนโต๊ะเลื่อนและเผยให้เห็นกล่องไม้ที่ค่อนข้างใหญ่กว่าแขนผู้ใหญ่เล็กน้อย”
“ภายในกล่องไม้นี้ก็คือเมล็ดเพลิงนรกที่ไหลเวียนไปด้วยปราณหยาง ตำนานกล่าวว่าถ้าหากกลืนมันเข้าไปต่อให้เป็นคนในเขตอัมพรวิญญาณก็สามารถข้ามระดับไปถึง 3 ระดับได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตามเพราะว่าปราณหยางรุนแรงเกินไปและไม่สามารถควบคุมได้ กระทั่งคนที่อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณก็ไม่สามารถกลืนมันเข้าไปได้โดยไม่ระเบิดตาย แทนที่จะกลืนมัน เมล็ดเพลิงนรกส่วนใหญ่แล้วมักใช้เพิ่มพลังปราณไร้ลักษณ์ในห้องปิด ถ้าวางมันภายในห้อง ปราณไร้ลักษณ์ภายในห้องก็จะเพิ่มขึ้น 2 เท่าทั้งปริมาณและคุณภาพเพิ่มความเร็วในการฝึกปรืออย่างมากขณะที่อยู่ในห้องนั้น”
“ในที่สุดก็ได้เวลาประมูลเมล็ดเพลิงนรก”
“ข้าได้รอคอยสิ่งนี้อยู่”
ทุกคนในห้องต่างพากันตื่นเต้นกับเมล็ดเพลิงนรก ในเมื่อมันสามารถเปลี่ยนห้องธรรมดาให้กลายเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์เต็มไปด้วยปราณสำหรับฝึกฝีมือ
อีกนัยหนึ่งเมล็ดเพลิงนรกจะเพิ่มความแข็งแกร่งของตระกูลหรือสำนักใดๆได้อย่างมหาศาล ดังนั้นจึงเป็นเหตุที่ว่าทำไมทุกคนที่นั่นต่างพากันเพ่งเล็งมัน
“ราคาเริ่มต้นสำหรับเมล็ดเพลิงนรกจักเป็น 100,000 ก้อนหินวิญญาณ”
ทันทีหลังจากที่หวังชูเหรินได้ประกาศราคา มือนับสิบก็ได้ยกขึ้นไปบนอากาศและราคาสำหรับเมล็ดเพลิงนรกก็พุ่งสูงเสียดฟ้าขึ้นไปในทันที
“ตระกูลหวูประมูล 150,000 ก้อนหินวิญญาณ”
“ตระกูลหัวประมูล 180,000 ก้อนหินวิญญาณ”
“สำนักหงส์สวรรค์ประมูล 250,000 ก้อนหินวิญญาณ”
“ตระกูลหวังประมูล 255,000 ก้อนหินวิญญาณ”
“สำนักหมัดมังกรประมูล 270,000 ก้อนหินวิญญาณ”
“…300,000 ก้อนหินวิญญาณ”
“…375,000 ก้อนหินวิญญาณ”
“…390,000 ก้อนหินวิญญาณ”
“สำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ประมูล 500,000 ก้อนหินวิญญาณ”
สำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นสำนักระดับสูงที่แข็งแกร่งที่สุดพลันเข้าร่วมการต่อสู้เป็นครั้งแรกในวันนี้สร้างความประหลาดใจให้กับผู้คนหลายคนที่นั่น
DC บทที่ 346: แหวนกัมปนาท
“สุดท้ายสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ก็เข้าร่วมการประมูล มันยากที่จะเอาชนะพวกเขา”
ผู้คนที่นั่นต่างพากันส่ายหัวด้วยความเสียใจ นอกจากว่าพวกเขาร่ำรวยเหมือนสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์
“550,000 ก้อนหินวิญญาณ” ซูหยางยกมือขึ้นอย่างสบายๆสร้างความมึนงงให้กับทุกคนที่นั่น
“เขาพยายามที่จะล่วงเกินสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ด้วยเช่นกันรึ”
“ยิ่งไปกว่านั้นเขายังคงมีเงินที่จะประมูลได้อย่างไร ทรัพย์สมบัติของเขามาจากไหนกัน”
บรรดาแขกต่างพากันถอนหายใจกับความร่ำรวยที่ไม่สิ้นสุดของเขา
“600,000 ก้อนหินวิญญาณ”
สำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ประมูลต่อ
“650,000” ซูหยางยกมือเขาขึ้นอีกครั้ง
“700,000 ก้อนหินวิญญาณ”
ถึงตอนนี้มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่ประมูลเพื่อเมล็ดเพลิงนรก
“…”
สำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ประมูลเพิ่มขึ้นในทันทีและนิ่งเงียบไปชั่วขณะ
“เจ้าหนู ทำไมเจ้าไม่รักษาหน้าของชายชราคนนี้บ้าง เมล็ดเพลิงนรกนี้เป็นทรัพยากรที่สำคัญของศิษย์ของเรา 710,000 ก้อนหินวิญญาณ”
เสียงของชายชราดังขึ้นในหูของซูหยางและนั่นนำพลังการฝึกปรือของคนที่อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณมาถึงด้วย
“ช่างเป็นเหตุบังเอิญ เมล็ดเพลิงนรกก็เป็นทรัพยากรที่สำคัญของข้าเช่นกัน” ซูหยาง กล่าวโดยไม่เหลือบมองไปที่ห้องวีไอพี “72 0,000 ก้อนหินวิญญาณ”
“เช่นนั้นเจ้าปฏิเสธที่จะรักษาหน้าข้าแม้ว่าจะขอร้องอย่างเคารพ หือ เอาละเจ้าเอาเมล็ดเพลิงนรกนี้ไปข้าหวังว่ามันจะคุ้มค่า”
“มันจบสิ้นสำหรับเขาแล้วจริงๆ เขาล่วงเกินกระทั่งสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์”
ผู้คนต่างพากันมองดูและสวดมนต์ให้กับซูหยางอย่าเงียบๆ ไม่มีปาฏิหาริย์สำหรับเขาที่ทำให้รอดแม้แต่เพียงวันเดียวหลังจากออกจากเมืองนี้ไปแล้ว
ซูหยางยื่นส่งหินวิญญาณให้กับหวังชูเหรินและรับเมล็ดเพลิงนรก
เขามองดูมันด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้า
“เมล็ดเพลิงนรกนี้มีคุณสมบัติดีกว่าที่ข้าคาดหวังไว้ มันจักต้องเพิ่มพลังการฝึกปรือของข้าอย่างต่ำ3 ระดับอย่างแน่นอนถ้าข้ากลืนมัน อย่างไรก็ตามข้าต้องการที่จะหาคู่ฝึกมากกว่านี้ก่อนที่จะกลืนมัน ลำพังเพียงแค่ศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยยังคงไม่เพียงพอที่จะจัดการกับข้าหลังจากที่ข้ากลืนมันแล้ว”
ครั้นที่เขากลืนเมล็ดเพลิงนรก เขาจะอยู่ในสถานการณ์ที่จำเป็นต้องปลดปล่อยปราณหยางในร่างเหมือนกับตอนที่เขาต้องการหลานลี่ขิงช่วยสำหรับดอกหยางพิสุทธิ์ อย่างไรก็ตามเมล็ดเพลิงนรกมีความแข็งแกร่งอย่างต่ำไม่น้อยกว่าร้อยเท่าดอกหยางพิสุทธิ์ ขอให้เขามีศิษย์ทุกคนในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยช่วยเขา พวกเธอต้องหมดแรงไปก่อนตัวเขาอย่างแน่นอน
ดังนั้น เขาจำเป็นต้องหาคนจำนวนมากกว่านี้ที่ปรารถนาที่จะร่วมฝึกกับเขาก่อนที่จะกลืนเมล็ดเพลิงนรก
“เดาว่าข้าต้องกลืนเมล็ดเพลิงนรกหลังจากการแข่งขันระดับภูมิภาคและหลังจากที่ข้าหาคู่ฝึกได้มากกว่านี้” เขาครุ่นคิดในใจขณะที่โยนเมล็ดเพลิงนรกเข้าไปในแหวนมิติ
“ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ให้สิ่งนี้ไปในครานี้…” ผู้คนที่มองดูเขาคิดในใจ
ยามเมื่อหวังชูเหรินกลับขึ้นไปบนเวทีเธอก็ประกาศของชิ้นที่ 2 สำหรับการประมูลครึ่งหลัง
“ของชิ้นที่ 2 จะเป็นสมบัติวิญญาณระดับสวรรค์ แหวนกัมปนาท ซึ่งมีความสามารถที่จะเรียกสายฟ้าฟาดจากสวรรค์เข้าโจมตีศัตรู สายฟ้าฟาดแต่ละครั้งจะมีพลังการทำลายล้างสูงพอที่จะฆ่าใครก็ตามกระทั่งในเขตอัมพรวิญญาณ ถ้าเขาไม่ระวัง อย่างไรก็ตามท่านสามารถใช้ความสามารถนี้ได้เพียงครั้งเดียวก่อนที่จะต้องประจุพลังช่วงฝนฟ้าคะนองก่อนที่จะใช้มันได้อีกครั้ง”
“สมบัติวิญญาณระดับสวรรค์ และมันสามารถฆ่าใครสักคนในระดับในเขตอัมพรวิญญาณ ช่างเป็นสิ่งที่น่ากลัวจริงๆ”
แม้ว่ามันจะมีข้อกำหนดและข้อจำกัด ทุกคนในห้องก็ต้องการที่จะได้รับแหวนกัมปนาท
ต่อให้แหวนกัมปนาทสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวตลอดชั่วอายุการใช้งานของมันและแตกสลายไปหลังจากนั้น ก็ยังมีคนที่ปรารถนาที่จะจ่ายหมดตัวสำหรับความสามารถที่จะตัดสินความเป็นตายกับคนในเขตอัมพรวิญญาณ
มีคนในเขตอัมพรวิญญาณมากมายเท่าไหร่ในโลกนี้ เราสามารถนับพวกเขาทั้งหมดได้ด้วยการใช้เพียงมือสองข้าง ยิ่งไปกว่านั้นผู้ฝึกยุทธในเขตพรวิญญาณทุกคนมีอิทธิพลเป็นอย่างมากในโลกไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนก็ตาม การที่มีสิ่งของที่มีความสามารถที่จะฆ่าคนที่ทั้งล้ำลึกและทรงอำนาจนี้ย่อมประเมินค่าไม่ได้
หวังชูเหรินเผยให้เห็นแหวนกัมปนาทให้กับผู้คน มันมีหน้าตาเหมือนกับแหวนเงินธรรมดาแต่ปกคลุมไปด้วยเส้นสีม่วงที่ดูคล้ายสายฟ้าฟาด
“นอกจากความสามารถที่ทรงพลังแล้วแหวนคำขนาดนี้ก็ยังคงมีเบื้องหลังที่น่าประทับใจ ในเมื่อมันถูกค้นพบภายในประตูศักดิ์สิทธิ์ที่หายไปนับตั้งแต่เกือบปีที่ผ่านมา มีความเป็นไปได้สูงที่มันจะเป็นของเซียน “
“ราคาเริ่มต้นของแหวนกัมปนาทนี้จักเริ่มต้นที่ 500,000 ก้อนหินวิญญาณ” หวังชูเหรินพลันประกาศ
“ข้าดีใจที่มิจ่ายเงินไปก่อนเห็นแหวนกัมปนาทนี้ ข้าจักซื้อมันต่อให้ข้าต้องใช้เงินหมดกระเป๋าในวันนี้ก็ตาม ตระกูลหลีประมูล 600,000 ก้อนหินวิญญาณ”
“แหวนกัมปนาทนี่ของข้า ตระกูลหัวประมูล 1 ล้านก้อนหินวิญญาณ”
“สำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ประมูล 1,200,000 ก้อนหินวิญญาณ”
“1,500,000 ก้อนหินวิญญาณจากสำนักหงษ์สวรรค์”
ซูหยางก็ยกมือเขาขึ้นเช่นกันและพูดว่า2 ล้านก้อนหินวิญญาณ“
ภายในห้องวีไอพี ฟูกวานจ้องมองแหวนกัมปนาทพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ข้าวางแผนที่จะปล่อยให้เจ้าเด็กเลวจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยนั่นซื้อทุกอย่างและขโมยมันหลังจากนั้น อย่างไรก็ตามถ้าเขาได้แหวนกัมปนาทนี้มันก็จักคุกคามกระทั่งชีวิตของข้า ข้ามิอาจยอมให้เขาได้มันไป”
คิดเช่นนี้แล้วฟูกวานก็เริ่มประมูลอีกครั้ง “นิกายอสรพิษประมูล3 ล้านก้อนหินวิญญาณ”
ราคาที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างกะทันหันสร้างความตระหนกให้กับผู้คนที่ประมูลมัน เมื่อนึกถึงว่ามันเพิ่มราคาขึ้นถึง 1 ล้านก้อนวิญญาณภายในชั่วพริบตา
DC บทที่ 347: วิชาการต่อสู้ระดับเซียน
เมื่อนิกายล้านอสรพิษประมูลสามล้านก้อนหินวิญญาณ รอยยิ้มลึกลับก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าซูหยาง และเขาก็พูดขึ้นว่า “สามล้านห้าแสนก้อนหินวิญญาณ”
“เจ้าเด็กโคตรเลวนี่ ถ้าข้ามิฆ่าเจ้า มิต้องถือว่าข้าเป็นผู้ฝึกยุทธ” ฟูกว่างกัดฟัน
“สี่ล้านก้อนหินวิญญาณ”
ซูหยางยกมือเขาขึ้นอีกครั้ง “สี่ล้านห้าแสนก้อนหินวิญญาณ”
เขาพลันหันไปมองดูห้องวีไอพี ซึ่งแน่นอนว่าเป็นตรงที่ฟูกวางนั่งอยู่ คล้ายกับว่าเขาสามารถเห็นทะลุกระจกดำและเผยให้อีกฝ่ายเห็นถึงรอยยิ้มปีศาจร้าย
“!!!”
รอยยิ้มชั่วร้ายของซูหยางที่มองดูเหมือนกับว่าเต็มไปด้วยแผนการณ์ทำให้ฟูกวางรู้สึกหนาวเยือกไปทั่วไขสันหลัง
“เจ้าเด็กเลวนี่พยายามที่จะใช้แหวนกัมปนาทกับข้าจริงๆด้วย คิดหรือว่าข้าจักยอมให้เกิดขึ้น”
ฟูกวางกำมือเป็นกำปั้นแน่น เล็บมือของเขาจิกเข้าไปในเนื้อจนทำให้เลือดไหล
“นิกายล้านอสรพิษประมูล หกล้านก้อนหินวิญญาณ” เขากล่าวเสียงดัง สร้างความแตกตื่นให้ไม่เพียงแต่คนในห้องธรรมดาแต่ก็ยังไปถึงคนในห้องวีไอพีด้วย
กระทั่งผู้อาวุโสที่ยืนข้างเขาก็ยังมีสีหน้าตกใจ
“จ-เจ้านิกาย นั่นมากเกินกว่าวงเงินค่าใช้จ่ายที่เราตัดสินใจไว้ เรามีเพียงแค่ห้าล้านก้อนหินวิญญาณสำหรับการประมูลในวันนี้ และนั่นก็ถือเป็นเงินฉุกเฉิน”
ฟูกวางคำราม “ข้ารู้ ข้าได้นำมาเพิ่มอีกหนึ่งล้านจากกระเป๋าเงินส่วนตัวของข้าในกรณีพิเศษก่อนที่เราออกจากนิกาย ดังนั้นควรจะถือได้ว่าไม่มีปัญหา”
“แต่นี่เราพูดถึง หกล้านก้อนหินวิญญาณเชียวนะท่านเจ้านิกาย มันจักส่งผลกระทบต่อนิกายและศิษย์ของเราไปอีกหลายปี”
“ได้โปรดพิจารณาเช่นนี้ท่านเจ้านิกาย”
“ต่อให้นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้แหวนกัมปนาทไป พวกเขาก็มีจอมยุทธอย่างมากเพียงสองสามคนในเขตปฐพีวิญญาณ แหวนกัมปนาทวงเดียวมิได้ทำร้ายพวกเราได้มากนัก หกล้านก้อนหินวิญญาณจักมีผลกระทบต่อพวกเรามากกว่านั้น”
หลังจากครุ่นคิดชั่วขณะ ฟูกวางก็พยักหน้า “แต่ทว่าข้าได้ประมูลสินค้าไปแล้ว ท่านเจ้าก็อยู่ที่นี่เช่นกัน ดังนั้นข้ามิอาจทำตัวโง่งมด้วยการยกเลิกข้อเสนอของข้าได้ มิเช่นนั้นพวกเราก็จักกลายเป็นตัวตลก”
“อย่ากังวลท่านเจ้านิกาย เจ้าเด็กเลวนั่นต้องพยายามที่จะซื้อแหวนกัมปนาทแน่นอน เขาเป็นคนที่เกลีดความพ่ายแพ้”
“ใช่แล้ว เขามิพลาดการประมูลแม้แต่รายการเดียวในวันนี้ ข้าสงสัยว่าเขาจะปล่อยให้ของชิ้นนี้ไปด้วยงั้นหรือ”
อย่างไรก็ตามซูหยางก็ได้สร้างความผิดหวังให้กับความคาดหวังของนิกายล้านอสรพิษ ในเมื่อเขาเจตนาเพิ่มราคาก็เพียงแค่ให้นิกายล้านอสรพิษเสียเงินทั้งหมด กระทั่งยังส่งสายตาข่มขู่ไปยังฟูกวางเพียงแค่ทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัว
“หกล้านก้อนหินวิญญาณครั้งที่หนึ่ง” หวังชูเหรินเริ่มนับถอยหลัง
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาจึงยังไม่ประมูล”
“เขาจะปล่อยให้พวกเราได้ของชิ้นนี้จริงๆรึ”
“เป็นไปได้ไหมที่เขามีเงินไม่พอ”
“แย่แล้ว นี่พวกเรากำลังพูดถึงเงินหกล้านก้อนหินวิญญาณ”
“หกล้านครั้งที่สอง…”
“ซวย ซวย ซวย เขากำลังปล่อยให้เราได้มันไปจริงๆ”
“เจ้าเด็กเลวนั่น มันทำให้พวกเราเสียหกล้านก้อนหินวิญญาณ”
“และขาย แหวนกัมปนาทตกเป็นของนิกายล้านอสรพิษ” หวังชูเหรินยื่นส่งแหวนกัมปนาทให้ผู้ช่วยคนหนึ่งของเธอให้นำไปส่งให้กับพวกเขาในห้องวีไอพี
“ฮ่าฮ่าฮ่า ขอแสดงความยินดี สำนักที่แข็งแกร่งอย่างเช่นนิกายล้านอสรพิษสมควรได้รับสมบัติที่ดีจริงๆ ดูแลมันให้ดี แน่นอนว่าพวกท่านจำเป็นต้องฝากโชคชะตาไว้กับมัน” ซูหยางแสดงความยินดีกับพวกเขาพร้อมกับปรบมือสร้างความมึนงงให้กับทุกคนที่นั่น
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของซูหยาง คนจากนิกายล้านอสรพิษทุกคนต่างพากันรู้สึกว่าเลือดเดือดพล่านไปด้วยความโกรธแค้น
“ท่านเจ้านิกาย ให้ข้าไปแก้แค้นเถอะ ข้าต้องการสับเขาเป็นชิ้นและป้อนให้หมากินด้วยตนเอง”
“ไม่ ให้ข้าจัดการเรื่องนี้ ข้าจักฉีกแขนขาและดื่มเลือดของเขา”
“เงียบ ผู้อาวุโสใหญ่เหรินจักจัดการเรื่องนี้เอง” ฟูกวางคำรามเสียงต่ำ
เขาพลันหันไปมองดูผู้อาวุโสเหรินและกล่าวว่า “ท่านสามารถฆ่าทุกคนได้ยกเว้นเขา ข้าต้องการทรมานเขาด้วยตนเอง”
“ขอรับท่านเจ้านิกาย…”
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ยามเมื่อนิกายล้านอสรพิษจ่ายหกล้านก้อนหินวิญญาณอย่างไม่เต็มใจ พร้อมกับทำให้กระเป๋าเงินว่างเปล่าไปในเวลาเดียวกัน หวังชูเหรินก็ทำการประมูลต่อ
“ยังมีของอีกสองอย่างเหลืออยู่ในการประมูลวันนี้ ขอให้ข้าได้แนะนำของชิ้นถัดไป”
หวังชูเหรินได้นำม้วนคัมภีร์บอกมาและแสดงมันให้กับผู้คน
“นี่คือวิชาการต่อสู้ระดับเซียน มันมีชื่อเรียกว่าคัมภีร์เข็มพันสวรรค์ คัมภีร์นี้มี 9 ระดับและแต่ละระดับจะเพิ่มจำนวนเข็มที่ท่านสามารถเรียกมาใช้ได้ระดับละ 1,000 เข็ม สำหรับพลังของเข็มแต่ละเล่มนั้น… มันสามารถเทียบได้กับคนที่อยู่ในระดับต้นของเขตปฐพีวิญญาณ สำเร็จวิชานี้ก็เปรียบเหมือนได้รับความแข็งแกร่งของจอมยุทธในเขตปฐพีวิญญาณนับหมื่น
“ช่างเป็นวิชาที่น่ากลัวมาก”
“ในที่สุดโลกนี้ก็มีวิชาระดับเซียนอื่น นานกว่าร้อยปีแล้วนับตั้งแต่ชิ้นสุดท้ายปรากฏขึ้น”
“ต่อให้มันเป็นวิชาที่ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ คงจะเป็นเรื่องยากในการฝึกเกินบรรยายเช่นกัน”
“ต่อให้ข้าต้องการเก็บมันไว้ให้สำนัก ข้าก็ยังสงสัยว่าจักมีใครที่สามารถฝึกมันได้อย่างแท้จริง”
“หวาว… นี่เป็นวิชาระดับเซียน นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็น ศิษย์พี่ชายท่านยังคงจะซื้อมันหรือไม่
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ถามซูหยาง กระทั่งหวังชูเหรินก็อดไม่ได้ที่จะมองดูเขา
ซูหยางเพียงแค่สายหน้าและกล่าวว่า “มันเป็นเพียงแค่วิชาระดับเซียน”
ถ้าเขาต้องการ เขาสามารถนำวิชาระดับเซียนออกมาได้มากกว่าโหลสำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”
“ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้เราได้มันไปเราก็ไม่สามารถที่จะฝึกมันได้ ไม่เหมือนวิชาฝีมือ วิชาการต่อสู้ต้องการพลังมหาศาลในการฝึกมันให้ได้ดี เจ้าจำเป็นต้องอยู่ในเขตอัมพรวิญญาณเป็นอย่างน้อยในการที่จะเรียนวิชาเข็มพันสวรรค์”
“เขตอัมพรวิญญาณรึ… กระทั่งผู้นำนิกายก็ยังอยู่เพียงแค่ปฐพีวิญญาณเท่านั้นเอง” ศิษย์รุ่นเยาว์ถอนหายใจ
“ราคาเริ่มต้นสำหรับเข็มพันสวรรค์จะอยู่ที่ 2 ล้านก้อนหินวิญญาณ” หวังชูเหรินประกาศ
DC บทที่ 348: นักปรุงยาลึกลับ
หลังจากที่ประกาศราคาของวิชาการต่อสู้ระดับเซียน ผู้คนก็เริ่มประมูลมันทันที
อย่างไรก็ตามไม่มีคนเข้าร่วมประมูลมากเท่าที่ได้คาดหมายกันไว้ นั่นเป็นเพราะผู้คนส่วนใหญ่ในห้องไม่สามารถที่จะฝึกมันได้ต่อให้พวกเขาได้ซื้อมันไป
ตามจริงแล้วมีเพียงสำนักระดับสูงที่เข้าร่วมประมูลวิชาการต่อสู้
“สำนักหงส์สวรรค์ประมูล 2,050,000 ก้อนหินวิญญาณ”
“สำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ประมูล 2,300,000 ก้อนหินวิญญาณ”
“…2,400,000 ก้อนหินวิญญาณ”
“…2,500,000 ก้อนหินวิญญาณ
หลังจากนั้นไม่นานเจ้าซีก็พูดขึ้น “5,000,000 ก้อนหินวิญญาณ”
“ท่านเจ้าประมูลแล้ว ดูเหมือนว่าตระกูลซีจักได้รับวิชาระดับเซียนอีกวิชานับจากวันนี้เป็นต้นไป”
คนอื่นไม่กล้าที่จะประมูลหลังจากที่เจ้าซีพูดอีกต่อไป
“นั่นมิจำเป็นที่จักต้องลังเล ถ้าเจ้าต้องการมันก็ประมูล อย่ารู้สึกเหมือนกับว่าเจ้ามิอาจประมูลเพียงเพราะว่าข้าเข้าร่วมประมูลด้วย” เจ้าซีกล่าวหลังจากที่ไม่มีใครประมูลต่อ
“นั่นมิมีอะไรเกี่ยวข้องกับการที่ท่านเจ้าได้เข้าร่วม แม้ว่านี่จะเป็นวิชาการต่อสู้ที่ดีแต่มันก็ไม่เข้ากับรูปแบบของข้า ข้าเพียงแค่ต้องการที่จะทดสอบโชคของข้า เพื่อที่จะดูว่าข้าสามารถได้รับมันมาอย่างถูกๆหรือไม่” เจ้าสำนักหงส์สวรรค์พูด
“ช่างเป็นเหตุบังเอิญ ผู้เฒ่าคนนี้ก็มีความคิดเช่นนั้นเหมือนกัน” เจ้าสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์พูด
“ในเมื่อไม่มีใครที่นี่ต้องการมันเช่นนั้นข้าก็จักรับมันไปเอง” เจ้าซีพยักหน้า
“วิชาเข็มหมื่นสวรรค์ขายที่ห้าล้านก้อนหินวิญญาณให้กับตระกูลซี ขอแสดงความยินดี หวังซูเหรินประกาศขึ้นหลังจากนั้นชั่วขณะ
“ตระกูลซีก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกันปีนี้…”
“พวกเขาค่อนข้างจะเงียบในวันนี้จนข้าคิดว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่”
“ใช่ ปกติพวกเขาค่อนข้างจะก้าวร้าวมากในการประมูลและมักจะซื้อไม่ต่ำกว่า 10 ชิ้นทุกครั้ง”
หลังจากที่ตระกูลซีได้รับวิชาการต่อสู้ระดับเซียน หวังซูเหรินก็พลันประกาศของชิ้นต่อไป ซึ่งก็ปรากฏว่าเป็นสิ่งสุดท้ายสำหรับการประมูลในวันนี้
“ตอนนี้ข้าจะเปิดเผยสินค้าชิ้นสุดท้ายสำหรับการประมูลในวันนี้
หวังชูเหรินปรบมือและผู้ช่วยของเธอก็นำเอาโต๊ะเลื่อนตัวใหม่ที่บรรทุกขวดยา 10 ขวดที่มีเม็ดยา 1 เม็ดในแต่ละขวดออกมา
“นั่นเป็นยาประเภทไหนกัน ข้ามิเคยเห็นยาแบบนี้มาก่อน”
นักปรุงยาพลันตื่นเต้นเมื่อพวกเขาเห็นยาที่ไม่คุ้นเคย กระทั่งรู้สึกอยากจะกระโจนขึ้นไปบนเวทีเพื่อที่จะได้มองใกล้ๆ
“ก่อนที่ข้าจะบอกว่ายานี้เป็นยาประเภทไหน อนุญาตให้ข้าได้บอกพวกท่านก่อนว่านี่เป็นยาที่ค้นพบใหม่ซึ่งปรุงขึ้นมาโดยเพื่อนที่สนิทมากกับข้า พูดตามจริงยานี้ลึกล้ำมากจนกระทั่งข้ามิอาจหวังที่จะปรุงมันออกมาได้ในระยะเวลาใกล้ๆนี้” หวังชูเหรินกล่าว
“อะไรกัน กระทั่งผู้เชี่ยวชาญเช่นผู้อาวุโสหวังก็ยังมิอาจหวังที่จะปรุงยานี้เลยรึ ใครเป็นเพื่อนของเธอกัน ข้านึกไม่ออกว่าจะมีนักปรุงยาคนอื่นที่ยิ่งใหญ่เหมือนเช่นผู้อาวุโสหวัง อย่าว่าแต่เก่งกว่าเธอ”
นักปรุงยาที่นั่นต่างมีท่าทางประหลาดใจ
หวังชูเหรินพูดต่อว่า “ยาเมื่อข้าเปิดเผยตัวยาเหล่านี้ในวันนี้ ยุทธภพทั้งหมดจักเข้าสู่ยุคใหม่อย่างแน่นอน และเพื่อที่จะรักษาสมดุลของพลังข้าจักจำกัดจำนวนของยาที่แต่ละฝ่ายจะสามารถซื้อได้เพียง 1”
“ยาเหล่านี้ทรงพลังขนาดนั้นเชียวหรือ ข้าทนรอฟังประสิทธิภาพของมันไม่ไหวแล้ว”
“ยุคสมัยของการฝึกวิชาใหม่รึ นั่นต้องเป็นการคุยโม้โอ้อวดใช่ไหม
เจ้าซีเพ่งสายตาไปที่เม็ดยาบนโต๊ะเลื่อนขณะที่ครุ่นคิด “กระทั่งข้ายังไม่รู้ว่านี่เป็นยาประเภทไหน…. ส่วนเพื่อนของเธอนั้น คนผู้นี้เก่งกาจยิ่งกว่าเธอในด้านการปรุงยาจริงหรือ ทำไมข้าจึงไม่รู้ตัวตนของคนคนนี้
“อย่างที่ท่านทุกคนทราบแล้ว นิทานดอกบัวเพลิงของข้ามีเม็ดยาดอกบัวเพลิง ซึ่งจะเพิ่มโอกาสของผู้คนในการเข้าสู่เขตคัมภีร์วิญญาณจากเขตปฐมวิญญาณได้แม่นยำร้อยเปอร์เซ็นต์” หวังชูเหรินกล่าวและต่ออีกว่า “ยาเหล่านี้โดยพื้นฐานแล้วเหมือนกับเม็ดยาดอกบัวเพลิง ยกเว้นว่ามันจะช่วยคนที่อยู่ในระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณก้าวผ่านไปยังเขตปฐพีวิญญาณโดยไม่มีการล้มเหลว”
“ว่ากระไร”
ครั้นเมื่อหวังชูเหรินเปิดเผยถึงประสิทธิภาพ ทุกคนในห้องต่างพากันยืนขึ้นจากเก้าอี้ของตัวเองด้วยความตื่นตระหนก
ต่อให้เจ้าซีเองก็อดไม่ได้ที่จะยืนขึ้นและจ้องมองไปยังเม็ดยาด้วยความตระหนก
“เป็นไปไม่ได้ เม็ดยาเหล่านี้จะช่วยคนที่อยู่ในเขตสัมมาวิญญาณก้าวข้ามไปยังเขตปฐพีวิญญาณโดยไม่ล้มเหลวงั้นรึ ท่านได้ทดลองมันหรือยัง”
“ถ้าเม็ดยาเหล่านี้เป็นของจริงและสามารถทำงานได้เหมือนดังที่อธิบาย ยุทธภพย่อมต้องก้าวเข้าสู่ยุคใหม่อย่างไม่ต้องสงสัย โดยมีผู้ฝึกตนในเขตปฐพีวิญญาณมากมายเป็นเรื่องธรรมดา”
“ผู้อาวุโสหวัง ท่านตอบคำถามของพวกเราหน่อยได้หรือไม่ ท่านได้ทดสอบเม็ดยาเหล่านี้หรือยัง”
ถูกถล่มด้วยคำถาม หวังชูเหรินกระแอมไอเสียงดังเพื่อทำให้พวกเขาเงียบ
“ข้าเข้าใจความสงสัยของพวกท่าน ในเมื่อเม็ดยาเหล่านี้ค่อนข้างจะท้าทายสวรรค์ อย่างไรก็ตามข้าได้ทดสอบวิชาเหล่านี้เรียบร้อยแล้วกับศิษย์ของพวกเรา และจากศิษย์สิบคนที่อยู่ในระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณที่กลืนเม็ดยาเหล่านี้เข้าไป พวกเขาทั้งสิบคนได้ประสบความสำเร็จในการเข้าสู่ระดับปฐพีวิญญาณ”
“โอ้ เทพเจ้า ถ้าสิ่งที่เธอพูดเป็นจริงนิกายดอกบัวเพลิงจะมีผู้เชี่ยวชาญในเขตคัมภีร์วิญญาณเกลื่อนไปทั่วในเร็วๆนี้”
หวังชูเหรินยิ้มและกล่าวว่า ข้าจักเดิมพันชื่อเสียงของข้าในฐานะนักปรุงยาไปกับเม็ดยาเหล่านี้ ถ้าพวกมันใช้งานไม่ได้ข้าก็จักมิปรุงยาอื่นอีกตลอดชั่วชีวิต
“!!!”
ในตอนนี้ผู้คนในห้องต่างตื่นตระหนกอย่างแท้จริง
“ถ้าเธอมั่นใจในเม็ดยาเหล่านี้ถึงปานนี้ นั่นต้องเป็นของจริงแน่”
“เฉพาะชื่อเสียงของผู้อาวุโสหวังอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะรับประกันเม็ดยาเหล่านี้
“ด้วยเม็ดยาเหล่านี้นิกายดอกบัวเพลิงจักต้องกลายเป็นสำนักอันดับหนึ่งในเวลาไม่นาน”
“ผู้อาวุโสหวัง ท่านคงไม่ถือที่จะตอบคำถาม นักปรุงยาผู้ทรงเกียรติท่านใดที่ปรุงเม็ดยาเหล่านี้และพวกเราจะมีโอกาสได้ทักทายคนผู้นี้หรือไม่” นักปรุงยาคนหนึ่งในนั้นถาม
หวังชูเหรินส่ายหน้า “ข้าต้องขอโทษที่ว่าเพื่อนของข้าไม่ต้องการที่จะเปิดเผยตัวตนในตอนนี้ ถ้าพวกท่านต้องการที่จะทักทายเขานั่นก็ยังมีโอกาสเป็นไปได้ อย่างไรก็ตามแน่นอนว่านั่นต้องมีค่าใช้จ่าย”
“ถ้ามีโอกาสแม้แต่เพียงเล็กน้อยที่จะให้ข้าได้เข้าไปแสดงความเคารพต่อท่านผู้นี้ ข้าก็ยินดีที่จะทำได้ทุกอย่าง”
“ในเมื่อทุกท่านต่างจริงใจและกระตือรือล้นที่จะพบกับเขา ข้าก็จักพูดกับเขาในเรื่องการจัดการพบปะในอนาคต ถ้าเขาตกลงข้าจะส่งจดหมายไปหาทุกๆคนที่ปรารถนาจะเข้าร่วม หวังชูเหรินกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
“ขอบคุณผู้อาวุโสหวัง”
ผู้คนที่ตรงนั้นโค้งคำนับเธอ
DC บทที่ 349: โอสถเขตปฐพี
“ผู้อาวุโสหวัง แล้วเม็ดยาพวกนี้เรียกว่าอะไรรึ” บางคนถามเธอ
หวังชูเหรินครุ่นคิดชั่วขณะและกล่าวว่า “เพื่อนของข้ามิได้บอกชื่อให้ข้าว่าเม็ดยาพวกนี้เรียกว่าอะไรตอนที่ข้าได้รับพวกมัน ดังนั้นข้าจักขอเรียกพวกมันว่า โอสถเขตปฐพีนับแต่นี้ไป”
และเธอก็กล่าวต่อว่า “ในเมื่อตอนนี้ข้าได้แนะนำโอสถเขตปฐพีเหล่านี้แล้ว ในที่สุดพวกเราก็สามารถเริ่มการประมูลสุดท้ายสำหรับวันนี้ได้ ราคาเริ่มต้นของเม็ดยาแรกควรจะเป็น 100,000 ก้อนหินวิญญาณ”
แม้ว่า 100,000 ก้อนหินวิญญาณอาจจะดูเหมือนกับว่ามากมายนักสำหรับเม็ดยาเม็ดหนึ่ง แต่เพราะเม็ดยาเหล่านี้จะช่วยผู้ฝึกวิชาใดก็ตามเข้าถึงเขตปฐพีวิญญาณและกลายเป็นผู้มีอำนาจในยุทธภพ
ในยุทธภพปัจจุบัน เหตุผลที่มันขาดผู้ฝึกวิชาในเขตปฐพีวิญญาณนั้นง่ายดายยิ่ง นั่นก็เพราะว่าไม่มีปราณไร้ลักษณ์มากเพียงพอในโลกนี้ ไม่ใช่เป็นเพราะว่าพวกเขาขาดพรสวรรค์ คนที่มีพรสวรรค์หลายคนมักจะไม่อาจก้าวต่อไปได้อีกหลังจากที่พวกเขาเข้าถึงจุดสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณเพราะว่าคอขวดตรงนี้ ที่เพียงสามารถผ่านไปได้ด้วยยาวิญญาณจำนวนมาก แต่ถึงแม้ว่าจะใช้วิธีนั้นโอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็ยังค่อนข้างต่ำ
อย่างไรก็ตามโอสถเขตปฐพีมีความสามารถในการช่วยผู้ฝึกวิชาเหล่านี้ข้ามผ่านคอขวดและเข้าถึงเขตปฐพีวิญญาณด้วยการรับประกันความสำเร็จ ถ้าโอสถเขตปฐพีสามารถสร้างได้เป็นจำนวนมากต่อให้เพียงแค่สิบเม็ดทุกปีโลกก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงของขั้วอำนาจและผู้ฝึกวิชาทุกคนก็จะมีขีดจำกัดใหม่ในยุทธภพ
“ถ้านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมีเม็ดยาเหล่านี้ ผู้อาวุโสนิกายที่หยุดยั้งอยู่ที่จุดสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณก็จักสามารถบรรลุเขตปฐพีวิญญาณได้ในที่สุด แต่น่าเสียดายต่อให้เราต้องการที่จะซื้อมัน เราก็ไม่สามารถที่จะเอาชนะขั้วอำนาจในที่นี้ได้ และต่อให้ซูหยางยินดีที่จะซื้อพวกมันให้นิกายเราก็เพียงสามารถซื้อได้เพียงแค่หนึ่งเท่านั้น” โหลวหลานจีทอดถอนใจ
แม้ว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะเปลี่ยนไปเป็นร่ำรวยมหาศาลหลังจากที่ได้รับทรัพย์สมบัติและคัมภีร์การฝึกฝนจากซูหยางที่ปลอมแปลงตัวแต่ก็ยังไม่ถือว่าเป็นเงินจนกว่าจะได้ขายพวกมัน ยิ่งไปกว่านั้นคัมภีร์การฝึกฝนนั้นจะมีประโยชน์ต่อนิกายมากกว่าในระยะยาว
“ผู้นำนิกาย ท่านต้องการโอสถเขตปฐพีพวกนี้บ้างรึ” ซูหยางอ่านสีหน้าเธอเหมือนกับเปิดหนังสือแล้วก็ถามขึ้น
“นั่นมิจำเป็นต้องพูดอย่างเป็นทางการเช่นนั้นในตอนนี้ ในเมื่อเจ้าเองก็เป็นผู้นำนิกายเช่นกัน ซูหยาง เพียงแค่เรียกข้าว่าพี่สาว หรือผู้อาวุโสหลานจีก็พอ” เธอกล่าว
“เช่นนั้นข้าจักเรียกท่านเป็น หลานจี”
“เป็นทางการอีกสักนิดได้ไหม แต่ถ้านั่นทำให้เจ้าสบายใจมากกว่าเดิม…” เธอส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ว่าอย่างไร เจ้าจะซื้อให้นิกายสักเม็ดได้หรือไม่ นั่นจะเป็นการสนับสนุนนิกายครั้งแรกของเจ้าในฐานะผู้นำนิกาย”
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “นั่นมิจำเป็นต้องเสียเงินซื้ออะไรที่ข้าสามารได้มันมาฟรี”
โหลวหลานจีเลิกคิ้วและกล่าวว่า “ฟรีรึ ต่อให้เจ้าใกล้ชิดกับหวังชูเหรินมาก นั่นก็มิใช่อะไรที่เจ้าสามารถได้มาจากการขอ เจ้ารู้ไหม ใครจะรู้ว่าเมื่อไหร่เธอจักได้รับยาชุดใหม่จากเพื่อนของเธอ”
“หรือว่าท่านลืมเรื่องคนหนึ่งหรือสองคนจากนิกายของเรา ท่านคิดว่าพวกเธอก้าวเข้าสู่เขตปฐพีวิญญาณด้วยความเร็วระดับนั้นได้อย่างไร”
หลังจากที่ได้ยินคำพูดของซูหยางเธอก็พลันรู้สึกตัว ดวงตาของโหลวหลานจีกลมโตด้วยความตระหนก
“ฟางซีหลานกับซุนจิงจิง นั่นหมายความว่าเจ้าช่วยพวกเธอก้าวเข้าสู่เขตปฐพีวิญญาณ”
“ถ้าเด็กสาวคนอื่นๆก้าวเข้าถึงระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณ พวกเธอก็จักเข้าสู่เขตปฐพีวิญญาณได้ทันทีเช่นกัน” ซูหยางกล่าว
“เจ้า…เจ้า…เจ้า.. เจ้ามีโอสถเขตปฐพีมากเท่าไหร่กัน”
“ประมาณสิบกว่าเม็ดประมาณนั้น” เขาหัวเราะหึ
นั่นก็เพราะว่าเขาเป็นถึงตัวตนที่แท้จริงของนักปรุงลึกลับคนนี้และเป็น “เพื่อน” สนิทของหวังชูเหรินเช่นกัน
ปากของโหลวหลานจีอ้าตกลงไปถึงพื้น “ถ้าเจ้ามีมากมายปานนั้นทำไมเจ้ามิแบ่งปันพวกมันให้กับผู้อาวุโสนิกายล่ะ นอกจากผู้อาวุโสเจ้าแล้วพวกเขาทั้งหมดต่างติดอยู่ที่ระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณมาเป็นเวลาหลายปี ถ้าพวกเขาเข้าถึงเขตปฐพีวิญญาณนั่นย่อมเป็นประโยชน์ต่อนิกายของเราอย่างมาก”
“ใจเย็นๆ” ซูหยางกล่าวอย่างสบายๆ “ต้องให้อยู่แล้วถ้าพวกเขาต้องการรับไปสักเม็ดเช่นกัน แต่ว่ามันจะดีกว่าถ้าพวกเขาได้รับเม็ดยาหลังจากที่มันปรากฏขึ้นมาในโลกนี้เป็นครั้งแรกแล้ว ซึ่งแตกต่างจากเหล่าศิษย์ พวกเขาจักต้องถามถึงสิ่งที่น่าสงสัยนี้อย่างแน่นอน และข้ามิต้องการที่จะไปยุ่งกับเรื่องเหล่านั้น”
“ข้าคิดว่าเป็นเรื่องสมเหตุผลที่เจ้าพูดแบบนั้น…” โหลวหลานจีพยักหน้า
ถ้าเธอพลันให้ยาลึกลับที่มีผลอันน่ามหัศจรรย์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในโลก เธอก็ย่อมมีคำถามมากมายเกี่ยวกับมันอย่างแน่นอน
“ขอแสดงความยินดีกับตระกูลซีที่ได้รับโอสถเขตปฐพีเม็ดแรก” หวังชูเหรินประกาศหลังจากที่ผ่านการประมูลอย่างรุนแรงเป็นเวลาหลายนาที
“500,000 ก้อนหินวิญญาณสำหรับเม็ดยาเม็ดเดียว… นี่ถือว่าเป็นเม็ดยาที่แพงที่สุดในโลกนี้ที่สามารถซื้อได้ในขณะนี้” โหลวหลานจีสั่นสะท้านเพียงแค่เมื่อคิดพยายามจะซื้อมัน
ต่อให้ซูหยางพลันเปลี่ยนใจและปฏิเสธที่จะแบ่งปันโอสถเขตปฐพีให้กับผู้อาวุโสนิกาย เธอก็ไม่อาจจะบ่นได้อีกทั้งยังจะเข้าใจความรู้สึกของเขา
หลังจากนั้นสามสิบนาทีถัดไป ทั้งห้องประมูลก็ยิ่งปั่นป่วนในเมื่อผู้คนต่างพยายามแย่งชิงโอสถเขตปฐพีที่เหลืออีกเก้าเม็ด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเหลือเพียงเม็ดเดียว
“อย่างไรก็ตาม ข้าก็มิรู้ว่าเมื่อไหร่จะมีโอสถเขตปฐพีเพิ่มขึ้น และถึงแม้ว่าข้าจะขอเขามากขึ้น นั่นก็จักขึ้นกับเขาว่าจะมีเพิ่มมากขึ้นอีกหรือไม่”
เมื่อหวังชูเหรินพูดคำพูดเหล่านี้ นั่นก็ยิ่งจุดประกายบางอย่างในผู้คนที่ยังไม่ได้รับโอสถเขตปฐพีเก้าเม็ดแรก จนเป็นเหตุให้พวกเขาพากันประมูลราวกับว่าพวกเขาถูกครอบงำ
สุดท้าย โอสถเขตปฐพีเม็ดสุดท้ายก็ขายออกไปด้วยเงินจำนวนมหันต์ 2,000,000 ก้อนหินวิญญาณ และสำนักระดับสูงทุกสำนักที่นั่นก็ได้รับโอสถเขตปฐพีสำนักละหนึ่งเม็ด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น