Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน 340-349

 DC บทที่ 340: งูเจ้าเล่ห์


 


หลังจากที่กลับไปยังห้องวีไอพี หวังฟูจีก็ตรงไปที่หวังชูเหรินซึ่งขมวดคิ้วแนบแน่น


 


“น-น้องสาว ข้ารู้ว่าเจ้าโกรธเรื่องหวังชิชงแต่–”


 


“เจ้าคิดว่าข้ามิพอใจกับลูกชายไร้ประโยชน์ของเจ้ารึ” หวังชูเหรินตัดบทเขาทันควัน


 


“นี่เพราะว่าเจ้าเป็นพี่ชายในสายเลือดของข้า ข้าจึงจักขอเตือนเจ้าไว้ตอนนี้ว่าถ้าเจ้าล่วงเกินซูหยาง ต่อให้เป็นข้าก็มิอาจจะช่วยเหลือเจ้าได้”


 


“ซ-ซูหยางรึ เจ้ากำลังพูดถึงเจ้าเด็กโอหังข้างล่างนั้นรึ เขาจะสามารถทำ…”


 


เผี๊ยะ


 


หวังชูเหรินสะบัดมือฟาดไปบนใบหน้าหวังฟูจีโดยไม่ยั้งมือ จนทำให้เกิดเสียงดังฟาดดังไปทั่วห้อง


 


คนอื่นๆต่างพากันมองดูพวกเขาด้วยท่าทางงงงันกันอยู่บ้าง ในเมื่อไม่มีใครในหมู่พวกเขาคาดว่าหวังชูเหรินจะไร้ความปรานีแม้กระทั่งกับคนในตระกูลของตนเอง


 


“ข้าจักมิเตือนเจ้าอีก”


 


หวังชูเหรินหันกายตรงไปหาเจ้าซี ซึ่งมองดูเธอด้วยสายตาสนอกสนใจ


 


“ท่านเจ้า ข้าขออภัยที่จักต้องขอตัวไปก่อนตอนนี้”


 


“ก่อนเจ้าไป ข้าใคร่ถามว่าเจ้ารู้เด็กหนุ่มข้างล่างนั่นด้วยรึ” เจ้าซีกล่าว “ดูเหมือนว่าเจ้ารู้จักเขาเป็นอย่างดี”


 


“…”


 


หลังจากเงียบไปชั่วขณะ หวังชูเหรินก็กล่าวว่า “ใช่ ท่านเจ้า”


 


“เจ้าคงมิถือที่จะบอกข้าเกี่ยวกับเรื่องเขาสักเล็กน้อย”


 


“เราได้ทำธุรกิจกันในอดีตและตอนนี้ และตอนนี้พวกเราได้สนับสนุนนิกายของพวกเขาด้วยเม็ดยาของพวกเรา” เธอกล่าว


 


เจ้าซีสังเกตเห็นว่าหวังชูเหรินตอบมาอย่างคลุมเครือ แต่เขาไม่ต้องการที่จะตรวจสอบเพิ่มเติมจึงแค่พยักหน้า


 


“เจ้าไปเถอะ” เขากล่าวหลังจากนั้น


 


หวังชูเหรินคำนับก่อนจากไป


 


ในเวลานั้นในมุมอื่นของห้องวีไอพี สองคนได้จ้องเขม็งมองไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย


 


“พวกนั้นคือนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยรึ”


 


“ถูกต้องแล้วผู้นำนิกาย”


 


“ฮึ่ม เจ้าพวกที่ดูอ่อนแอเช่นนั้นเหตุใดจึงได้รับการปกป้องจากคนที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่เช่นนั้น ผู้อาวุโสท่านนั้นได้เห็นอะไรที่มีค่าในตัวพวกนั้นรึ”


 


ผู้นำนิกายของนิกายล้านอสรพิษ ฟูกวาน แค่นหายใจเย็นชาขณะที่เขาจ้องมองไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยด้วยแววตาฆ่าฟัน


 


“ท่านผู้นำนิกาย แม้ว่าเรามิอาจจะทำอะไรก่อนหน้านี้เนื่องจากเซียนคนนั้นที่ผู้อาวุโสวานพูดถึง เราก็ยังสามารถจัดการกับพวกเขาก่อนที่จะกลับไปยังที่นั่น ว่าไปแล้วข้ายังคิดสงสัยว่าเซียนคนนั้นจะตามพวกเขามาตลอดทางถึงที่นี่หรือไม่” คนคนหนึ่งข้างฟูกวานกล่าว “ยิ่งไปกว่านั้น ผู้นำนิกายของพวกเขาก็อยู่ที่นี่ ถ้าเราจัดการกับเธอ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจักต้องล่มลงด้วยตนเอง”


 


“นั่นเป็นความคิดที่ไม่เลว แต่จะเป็นอย่างไรถ้าเซียนนั่นตัดสินใจล้างแค้นและสร้างปัญหาให้กับเรา” ฟูกวานถาม


 


“เราเพียงแค่ผลักความรับผิดชอบไปที่คนอื่น หากปราศจากหลักฐานต่อให้เป็นเซียนก็มิอาจแตะต้องพวกเราโดยไม่เสื่อมเสียชื่อเสียง และในเวลาที่เหมาะสมที่เจ้าหนุ่มคนนั้นเพิ่งล่วงเกินตระกูลหวัง พวกเราสามารถใช้พวกเขาเป็นเครื่องปกปิดได้”


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ฟูกวานหัวเราะด้วยเสียงต่ำ “เจ้าช่างเป็นงูเจ้าเล่ห์ ผู้อาวุโสเหริน”


 


“ขอบคุณที่ชมเชย ท่านผู้นำนิกาย”


 


“ข้าจักปล่อยให้เจ้าจัดการเรื่องนี้ ผู้อาวุโสสูงสุด อย่าทำพลาดล่ะ” ฟูกวานกล่าวกับเขา


 


“มันใจได้เลย ท่านผู้นำนิกาย พวกเขาจักต้องสาบสูญไปจากโลกนี้และมิมีใครจักได้เบาะแส…”


 


ขณะที่นิกายล้านอสรพิษมองล่วงหน้าไปถึงการตายของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ในมุมอื่นภายในห้องวีไอพี หญิงสาวสวยสี่คนก็สนทนากันเกี่ยวกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเช่นกัน


 


“นั่นรึ ซูหยาง พี่ชายของซูหยิน…”


 


เจ้าสำนักของสำนักหงส์สวรรค์ ไป่ลี่ฮัว มองไปที่ซูหยางด้วยความสนใจเป็นที่สุด


 


“ซูหยินมิได้โอ้อวดแต่อย่างไรเมื่อเธอพูดว่าเขาเป็นชายที่รูปหล่อที่สุดในโลกนี้… อย่างน้อยข้ามิเคยเห็นใครที่ดูดีกว่าเขา”


 


ผู้อาวุโสข้างกายไป่ลี่ฮัวหัวเราะคิกคัก


 


“จริงแล้วถ้าสำนักหงส์สวรรค์มิได้เป็นสำนักที่มีแต่หญิงเท่านั้น ข้าคงจะยินดีเป็นอย่างยิ่งในการเชิญเขามาเข้าร่วมกับพวกเรา” ไป่ลี่ฮัวกล่าว


 


“นั่นใช่ผู้นำนิกายของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยด้านหลังเขา ข้าต้องชื่นชมในพรสวรรค์ของเธอ  ไม่ง่ายนักที่จะยังรักษาตนให้ดูอ่อนเยาว์และสวยในวัยนั้น เธอดูมิแตกต่างจากคนที่ยังอยู่ในวัยยี่สิบ”


 


“เจ้าอิจฉาละสิ”


 


“หรือว่าเจ้าไม่”


 


“บางทีเราควรจะขอคำแนะนำจากเธอหลังจากงานประมูลและจะได้นำซูหยินกลับคืนมาข้างกาย”


 


“เอาล่ะ เงียบได้ละ การประมูลกำลังจะเริ่มแล้ว”


 


ในเวลานี้หวังชูเหรินได้ปรากฏตัวขึ้นบนเวทีโดยมีคนนับร้อยที่หลงไหลไปกับรูปร่างอันทรงเสน่ห์และใบหน้าสวยงามของเธอ


 


“ข้าต้องขออภัยสำหรับความล่าช้า เพื่อมิให้ยุ่งยาก พวกเรามาเริ่มการประมูลในเมืองหิมะร่วงสำหรับปีนี้กันเถอะ”


 


ทั้งห้องพากันกระหึ่มไปด้วยความตื่นเต้นจากผู้คน


 


“ข้าเฝ้ารอการนี้มานาน”


 


“ท่านช่างดูสวยงามมากในวันนี้ ผู้อาวุโสหวัง”


 


“ข้ารักเจ้า นางฟ้าหวัง”


 


ผู้คนดูเหมือนจะตื่นเต้นกับการได้เห็นหวังชูเหรินเสียยิ่งกว่าการประมูล


 


หวังชูเหรินคงรอยยิ้มอันสดใสบนใบหน้าเธอไว้และให้สัญญาณสาวสวยคนอื่นอีกสองคนขึ้นมาบนเวที


 


ผู้ช่วยสาวสวยสองคนพากันผลักโต๊ะเลื่อนสีแดงคลุมด้วยผ้าคลุมหนาขึ้นมาบนเวที


 


“ก่อนที่ข้าจะประกาศวัตถุชิ้นแรก ข้าจักขออธิบายกฏพื้นฐานสำหรับการประมูลในวันนี้ก่อน”


 


หวังชูเหรินยกนิ้วสามนิ้วและเริ่มนับพวกมัน


 


“อันดับแรกถ้าท่านต้องการจะประมูลวัตถุชิ้นใด ท่านต้องประมูลอย่างต่ำหนึ่งร้อยหินวิญญาณของราคาปัจจุบันของสินค้าชิ้นนั้น ถ้าวัตถุชิ้นนั้นมีราคามากกว่าหนึ่งแสนหินวิญญาณเช่นนั้นราคาประมูลต่ำสุดจะเพิ่มเป็นหนึ่งพันก้อนหินวิญญาณ ถ้ามันราคาเกินหนึ่งล้านหินวิญญาณเช่นนั้นมันจักเพิ่มเป็นหนึ่งหมื่นก้อนหินวิญญาณ”


 


“อันดับที่สอง เงินจักต้องจ่ายเต็มหลังจากที่ชนะประมูลและสิ่งของจะส่งให้ท่านทันทีหลังจากที่จ่ายแล้ว แต่ถ้าท่านต้องการรับของหลังจากการประมูล ก็สามารถทำเช่นนั้นได้”


 


“และสุดท้าย ท่านสามารถใช้สมบัติอื่นแทนหินวิญญาณได้ และนิกายดอกบัวเพลิงก็จักประมูลมันตรงนั้นเพื่อเปลี่ยนเป็นหินวิญญาณ และมูลค่าของมันก็จักขึ้นกับผลลัพธ์สุดท้าย และสำหรับผู้ที่ประมูลกับสมบัติชิ้นนั้นท่านสามารถใช้ได้เพียงแค่หินวิญญาณ”


 


“จากที่กล่าวไปแล้วนั้น ต่อไปนี้ข้าจักขอนำเสนอวัตถุชิ้นแรกในการประมูลในวันนี้ สมบัติวิญญาณระดับปฐพีที่มีคุณสมบัติในการปกป้อง ระฆังพิษม่วง”


DC บทที่ 341: ระฆังพิษม่วง


 


หลังจากประกาศชื่อของชิ้นแรกที่จะประมูล หวังชูเหรินก็เปิดผ้าคลุมที่ปิดโต๊ะเลื่อนสีแดง เผยให้แขกเห็นระฆังสีม่วงเล็กๆ


 


“ระฆังพิษม่วงนี้ถือได้ว่าเป็นสมบัติป้องกันตัวที่ยอดเยี่ยมสำหรับคนที่ท่านรัก ครั้นเมื่อได้รับการกระตุ้น มันก็จักสร้างเกราะรอบร่างท่านที่มิเพียงลบล้างความเสียหายเท่านั้น แต่ยังแพร่พิษใส่คนที่โจมตีอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากว่าคนนั้นจะอยู่ในเขตอัมพรวิญญาณเป็นอย่างต่ำ มิเช่นนั้นพวกเขาก็อย่าคิดหมายที่จะทำลายเกราะป้องกันของมัน”


 


“ข้าจักสาธิตให้ดู”


 


หวังชูเหรินหยิบระฆังม่วงขึ้นมาอย่างระมัดระวังและสั่นอย่างนุ่มนวล


 


วินาทีถัดไปเกราะสีม่วงก็เกิดขึ้นล้อมร่างของหวังชูเหรินพร้อมกับหนามที่ดูอันตรายครอบคลุมไปทั่วเกราะนั้น


 


“ช่างเป็นสมบัติที่ดี”


 


“ข้าต้องได้สมบัติวิญญาณนี้ มีวัตถุนี้ก็เหมือนกับมีอีกชีวิต”


 


“ข้าจักต้องได้สมบัติชิ้นนี้แน่นอนสำหรับลูกสาวข้า ต่อให้ข้าต้องกู้หนี้ยืมสิน”


 


บรรดาแขกในห้องต่างพากันส่งเสียงอื้ออึงกันทันที ในเมื่อพวกเขาหลายคนต้องการวัตถุป้องกันตัวชิ้นนี้ที่สามารถป้องกันการโจมตีต่างๆจากผู้ที่ต่ำกว่าเขตอัมพรวิญญาณ


 


“ระฆังพิษม่วงนี้ นิกายล้านอสรพิษของเราต้องได้มันมา” ฟูกวานตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น


 


หลังจากที่วางระฆังพิษม่วงกลับลงไปบนโต๊ะ หวังชูเหรินก็ยกนิ้วทั้งสิบของเธอขึ้นและกล่าวว่า “ราคาประมูลเริ่มต้นสำหรับระฆังพิษม่วงนี้ก็คือ หนึ่งหมื่นก้อนหินวิญญาณ”


 


“หนึ่งหมื่นก้อนหินวิญญาณเหรอ”


 


ศิษย์รุ่นเยาวต่างพากันตื่นตระหนกกับราคาที่สูงเทียมฟ้า นี่เป็นครั้งแรกของพวกเขาที่ได้อยู่ใกล้กับสิ่งที่มีราคาสูงมากเช่นนั้น


 


“ตระกูลเจียงประมูลที่ หนึ่งหมื่นหนึ่งพันหินวิญญาณ”


 


“ตระกูลวูประมูลหนึ่งหมื่นหนึ่งพันห้าร้อยหินวิญญาณ”


 


“สำนักไม้เท้าสายฟ้าประมูลหนึ่งหมื่นสามพันหินวิญญาณ”


 


บรรดาแขกต่างพากันประมูลอย่างเผ็ดร้อนและภายในไม่กี่วินาทีราคาประมูลก็กลายเป็นสองหมื่นหินวิญญาณ


 


“นิกายล้านอสรพิษประมูลสามหมื่นหินวิญญาณ”


 


ฟูกวางใช้ปราณไร้ลักษณ์ของตนเองส่งเสียงจากห้องวีไอพีไปยังห้องประมูล


 


“นิกายล้านอสรพิษก็อยู่ที่นี่รึ” โหลวหลานจีขมวดคิ้ว เธอน่าจะรู้ว่าพวกเขาก็มาที่นี่เช่นกัน


 


“โอเทพเจ้า… นั่นนิกายล้านอสรพิษ พวกเขาต้องจำพวกเราได้แล้วแน่นอน”


 


เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เริ่มสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว


 


“พี่ชาย ถ้าข้าจำมิผิด นิกายล้านอสรพิษได้ไล่ศิษย์ส่วนใหญ่ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไป ท่านกังวลเกี่ยวกับพวกเขาหรือไม่” ซูหยินถาม


 


“ในสายตาของข้า นิกายล้านอสรพิษมิมีอะไรต่างไปจากตระกูลหวัง” ซูหยางยิ้ม


 


จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นและพูดเสียงดัง “สี่หมื่นก้อนหินวิญญาณ”


 


“อะไรกัน”


 


โหลวหลานจีและศิษย์รุ่นเยาว์พากันสะบัดหน้าหันไปมองดูซูหยางด้วยท่าทางตกใจบนใบหน้า เมื่อไหร่กันที่เขากลายเป็นคนร่ำรวยเช่นนั้น


 


“เป็นเจ้าเด็กนั่นอีกแล้ว… เขากล้ากระทั่งที่จะประมูลแข่งกับนิกายล้านอสรพิษ”


 


ในเวลานั้นภายในห้องวีไอพี ฟูกวางจ้องมองซูหยางด้วยใบหน้าค่อนข้างแดงและกำหมัดแน่น


 


“เช่นนั้นเจ้าต้องการที่จะสู้กับนิกายล้านอสรพิษของข้าจนถึงที่สุดรึ ดี ผู้อาวุโสคนนี้จักเล่นกับเจ้า ดูซิว่าทรัพย์สินของนิกายที่เกือบจะล้มนั้นมีมากมายพอจะเสียได้เท่าไหร่”


 


“ห้าหมื่นก้อนหินวิญญาณ” ฟูกวานส่งเสียงออกมาอีกครั้งภายในห้องประมูล


 


“หกหมื่นก้อนหินวิญญาณ” เสียงของซูหยางพลันตามติดมาชั่ววินาทีที่เสียงของฟูกวางจบลง


 


“จ-เจ้าเด็กชั่วร้ายนี้” ฟูกวางร่างสั่นสะท้านไปด้วยความโกรธ


 


อาวุธวิญญาณระดับปฐพีทั่วไปนั้นปกติจะมีราคาประมาณสองหมื่นห้าพันก้อนหินวิญญาณ แต่ในเมื่อมันเป็นสมบัติวิญญาณสำหรับการป้องกัน ราคาของมันก็จะผันผวนไปตามประสิทธิภาพ ในกรณีนี้ สมบัติป้องกันที่สามารถป้องกันการโจมตีใดๆที่ต่ำกว่าเขตอัมพรวิญญาณ จ่ายสี่หมื่นก้อนหินวิญญาณสำหรับมันก็ไม่ถือว่ามากเกินไป


 


อย่างไรก็ตามหากจ่ายมากกว่าหกหมื่นก้อนหินวิญญาณนั้นถือว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ปกติจะถือว่าเป็นความสูญเสียมากเกินจำเป็นถึงแม้ว่าจะเป็นสถานที่ดังเช่นนิกายล้านอสรพิษ


 


“หกหมื่นก้อนหินวิญญาณ ครั้งที่หนึ่ง…”


 


“ครั้งที่สอง…”


 


“และมันขายให้กับชายหนุ่มคนนี้จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”


 


“ศิษย์พี่ชาย ท่านช่างร่ำรวยจริง…” เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันจ้องมองเขาด้วยปากที่อ้ากว้าง


 


หลังจากที่การประมูลครั้งแรกจบลง หวังชูเหรินเองก็ได้ยื่นส่งระฆังพิษม่วงให้กับซูหยางด้วยตนเอง


 


“นี่คือหินวิญญาณหกหมื่นก้อน” ซูหยางยื่นส่งถุงเก็บเงินให้เธออย่างสบาย


 


หวังชูเหรินใช้เวลาวินาทีหนึ่งในการยืนยันจำนวนและถ่ายเทหินวิญญาณหกหมื่นก้อนไปยังถุงเก็บเงินของเธอเองก่อนที่จะคืนถุงเปล่าให้กับซูหยาง


 


หลังจากที่รับระฆังพิษม่วงแล้ว ซูหยางก็หันไปดูโหลวหลานจีแล้วกล่าวว่า “ผู้นำนิกายเก็บสิ่งนี้ไว้ให้นิกาย ท่านสามารถให้มันกับศิษย์คนใดในอนาคตหรือจะใช้มันเองก็ได้”


 


จากนั้นเขาก็โยนระฆังพิษม่วงเข้าไปที่มือของเธอโดยไม่ลังเล ทำเหมือนกับว่ามันเป็นระฆังธรรมดา


 


“?!?!?!”


 


โหลวหลานจีรับระฆังม่วงด้วยมือสั่นสะท้านและจ้องมองเขาด้วยใบหน้างงงันหลังจากนั้น “เจ้า…เจ้ามั่นใจรี แต่นั่นเจ้าใช้เงินเจ้าเอง…”


 


“ถ้าท่านไม่ต้องการมัน ข้าก็สามารถให้มันกับคนอื่นก็ได้” ซูหยางตอบในฉับพลัน


 


“ร-ไร้สาระ ใครว่ากันว่าข้ามิต้องการมัน” ด้วยกลัวว่าเขาอาจจะเปลี่ยนใจในทันใด โหลวหลานจีโยนระฆังพิษม่วงเข้าไปในแหวนมิติของเธออย่างรวดเร็ว


 


“ขอบคุณมาก ซูหยาง…” เธอขอบคุณเขาหลังจากนั้น “ข้าจักให้รางวัลเจ้าสำหรับบุญคุณหลังจากนี้…”


 


ซูหยางไม่ได้กล่าวอะไรเพียงแค่ยิ้ม


 


ในเวลานั้นสายตาเกือบทุกคู่ในห้องนั้นต่างพากันมองดูโหลวหลานจีด้วยสายตาอิจฉา


 


“ถึงกับมีศิษย์ที่ใจกว้างเช่นนั้น เธอต้องหัวเราะแม้กระทั่งตอนหลับแน่…”


 


“เฮ้อออ.. ทำไมข้ามิมีศิษย์ร่ำรวยเหมือนเขาบ้าง ถึงแม้ว่าข้ามีแต่ก็ไม่มีใครในพวกเขาใจกว้างถึงหนึ่งในสิบของเขา”


 


“พวกเจ้าควรจะเรียนรู้จากเขา มิใช่ว่าข้าคาดหวังให้พวกเจ้าใช้หินวิญญาณนับหมื่นก้อน…”


 


หลังจากหวังชูเหรินกลับไปยังเวที เธอก็พลันประกาศวัตถุชิ้นที่สองสำหรับการประมูล


 


“สินค้าชิ้นที่สองสำหรับวันนี้เป็นสมบัติวิญญาณอีกชิ้น อย่างไรก็ตามแทนที่จะใช้ป้องกัน มันเต็มไปด้วยพลังอำนาจ ขอให้ข้าแนะนำสมบัติวิญญาณระดับปฐพีนี้ กระบี่เทพธิดาเพลิง”


 


“มันเป็นสมบัติวิญญาณระดับปฐพีอีกชิ้น”


 


“การประมูลปีนี้ยอดเยี่ยมกว่าที่ผ่านมาทั้งหมด และเราเพิ่งอยู่ที่สินค้าชิ้นที่สอง”


 


ผู้คนต่างพากันส่งเสียงเชียร์กระหึ่ม


DC บทที่ 342: ท้าทายนิกายล้านอสรพิษอย่างเปิดเผย


 


หวังชูเหรินถือกระบี่ยาวที่มีตัวกระบี่เป็นสีแดงไว้ในมือ แสดงให้เห็นถึงความสง่างามของกระบี่เทพธิดาเพลิง


 


“สิ่งสวยงามในมือของข้านี้มิเพียงแต่แหลมคม แต่มันยังบรรจุทักษะที่เปรียบเทียบได้กับการโจมตีจากคนในระดับสูงสุดของเขตปฐพีวิญญาณไว้ภายใน แม้ว่าข้าอยากที่จะแสดงทักษะให้เห็น แต่เมื่อมันจะระเบิดโรงประมูลแห่งนี้ไป เช่นนั้นข้าจำต้องงดเว้นไว้”


 


“โอ้เทพเจ้า มันเป็นสมบัติวิญญญาณที่มีทักษะอยู่ภายใน”


 


บรรดาแขกต่างพากันตระหนก


 


อาวุธวิญญาณที่มีทักษะเป็นสิ่งที่หาได้ยากมากและเป็นที่ต้องการของผู้ฝึกยุทธเกือบทุกคน ในเมื่อมันยอมให้พวกเขาใช้ความแข็งแกร่งที่เหนือกว่าความสามารถปกติของพวกเขาเข้าจัดการกับศัตรูที่เหนือกว่าเขตของพวกเขา


 


ยกตัวอย่างเช่นถ้าผู้ฝึกยุทธในเขตสัมมาวิญญาณได้ถือกระบี่เทพธิดาเพลิง คนผู้นั้นย่อมมีโอกาสที่จะเอาชนะคนในเขตปฐพีวิญญาณเพราะว่าพลังที่เก็บไว้ในอาวุธ


 


ในแง่ของความสูงค่า กระบี่เทพธิดาเพลิงย่อมมีค่ามากกว่าระฆังพิษม่วงในสายตาของคนบางคน


 


“ราคาประมูลเริ่มต้นสำหรับกระบี่เทพธิดาเพลิงจักเป็น หนึ่งหมื่นห้าพันก้อนหินวิญญาณ” หวังชูเหรินกล่าว


 


“ตระกูลกังประมูลที่ หนึ่งหมื่นเจ็ดพันก้อนหินวิญญาณ”


 


“สำนักหงส์สวรรค์ประมูลที่ สามหมื่นก้อนหินวิญญาณ”


 


โรงประมูลเงียบไปชั่วขณะหลังจากที่สำนักหงส์สวรรค์พลันเพิ่มราคาไปเท่าตัวในทันที


 


“สาม…สามหมื่นหนึ่งพันก้อนหินวิญาณ”


 


“ตระกูลเยว่ประมูล สามหมื่นสองพันก้อนหินวิญญาณ”


 


“นิกายล้านอสรพิษประมูล สี่หมื่นก้อนหินวิญญาณ”


 


“ห้าหมื่นก้อนหินวิญญาณ”


 


แม้ว่าเขาจะเงียบมาตั้งแต่แรก แต่ทันทีที่นิกายล้านอสรพิษได้ทำการประมูล ซูหยางก็จะยกมือและประมูลทับพวกเขาทันที


 


ตอนนี้แขกทุกคนเห็นได้ชัดว่าเขาจงใจประมูลทับนิกายล้านอสรพิษและตบหน้าอีกฝ่ายต่อหน้าธารกำนัล


 


“ทำไมเขาจึงจงใจพยายามล่วงเกินนิกายล้านอสรพิษโดยเจตนา”


 


“อา ถ้าข้าจำมิผิด นิกายล้านอสรพิษได้ไล่ศิษย์จำนวนมากออกไปจากสำนักพวกเขา ทำให้พวกเขาเสี่ยงต่อการแตกสลาย แต่อย่างไรก็ตามนั่นยิ่งทำให้ความพยายามที่จะตบหน้าอีกฝ่ายของเขานั้นยิ่งโง่เขลา พวกเขาจะทำอะไรถ้านิกายล้านอสรพิษตัดสินใจที่จะจู่โจมสำนักของพวกเขา”


 


“พวกเขามีความสัมพันธ์กับอย่างนั้นรึ หือ… แต่นิกายที่อ่อนแอแบบนั้นทำไมจึงมีทรัพย์สินมากมาย ชายหนุ่มนั่นเพียงคนเดียวได้ประมูลเกินกว่าแสนก้อนหินวิญญาณไปแล้วในตอนนี้ และนี่เพิ่งจะเป็นของชิ้นที่สอง”


 


“บางทีเงินทั้งหมดนั่นอาจจะมอบให้กับศิษย์ที่ยังคงอยู่ ใครจะรู้”


 


ในเวลานั้นภายในห้องวีไอพี ฟูกวานได้กัดฟันของเขาด้วยความโกรธ


 


“ศิษย์เพียงคนเดียวจากสำนักอ่อนแอกล้าที่จะท้าทายนิกายล้านอสรพิษของข้ารึ ถ้ามิใช่เพราะว่าเซียนนั่น ข้าคงจะทำลายสำนักนั่นได้อย่าง่ายๆเพียงแค่ปลายนิ้วของข้า”


 


“ห้าหมื่นห้าพันก้อนหินวิญญาณ” ฟูกวานประมูลต่อ


 


“หกหมื่นก้อนหินวิญญาณ” ซูหยางประมูลทับเขาอย่างสบายๆอีกครั้ง


 


“ผู้อาวุโสใหญ่ ข้าต้องการให้เขาตายอย่างช้าๆและเจ็บปวด” ฟูกวานคำรามด้วยเสียงอาฆาต


 


ไม่นานจากนั้น ฟูกวานก็หัวเราะในใจ “ไปเลย ซื้อทุกสิ่งทุกอย่างจากโรงประมูลให้ข้า เจ้าเด็กชั่ว ครั้นเมื่อเราจัดการเจ้า ข้าก็จักได้มันจากศพของเจ้า”


 


เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ฟูกวานก็ไม่ได้ประมูลของนั้นอีกต่อไป


 


ในอีกมุมหนึ่งภายในห้องวีไอพี เจ้าซีเหลือบมองฟูกวานด้วยหางตา หลังจากตรวจสอบซูหยาง เขาก็รู้ถึงความบาดหมางของพวกเขา


 


“ข้าควรหยุดพวกเขาดีหรือไม่ หรือว่าข้าควรปล่อยให้เขาจัดการมันเอง” เขาครุ่นคิดอยู่อย่างเงียบๆ


 


“กระบี่เทพธิดาเพลิงจะถูกขายที่หกหมื่นก้อนหินวิญญาณ”


 


อีกครั้ง หวังชูเหรินได้นำของไปส่งให้กับซูหยางหลังจากที่เขาจ่ายหินวิญญาณ


 


“ผู้นำนิกาย กระบี่นี้ค่อนข้างจะสวยงามเกินไปสำหรับข้า ท่านเอามันไปเถอะ” ซูหยางยื่นส่งกระบี่เทพธิดาเพลิงให้กับเธออย่างไม่ใส่ใจ


 


โหลวหลานจีอ้าปากจนกรามตกถึงพื้นเมื่อได้ยินคำพูดของเขา “จ-เจ้ากำลังพยายามทำอะไรอยู่ ซูหยาง”


 


เธอพลันรู้สึกสงสัยการกระทำของเขา


 


“มีบุญคุณต่อนิกาย” เขาตอบอย่างสบายๆ


 


“เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อเช่นนั้นรึ”


 


ซูหยางส่ายหน้าและหันไปมองดูซูหยิน ซึ่งจ้องมองดูเขาด้วยหน้าตางงงัน


 


“เอ้านี่ เจ้ารับมันไปเถอะ”


 


ในเมื่อเธอนั่งอยู่ติดกับเขา ซูหยางจึงยื่นส่งกระบี่เทพธิดาเพลิงให้กับเธอ พูดให้ถูกก็คือเขาจับมันยัดใส่เข้าไปในมือเธอ


 


“ข-ขอบคุณ พี่ชาย ข้าจักดูแลมันอย่างดีตลอดไป” ซูหยินรู้สึกอยากจะร้องไห้ขณะที่ความร้อนตามธรรมชาติของกระบี่เทพธิดาเพลิงถ่ายทอดความอบอุ่นเข้าสู่ร่างของเธอ


 


“อะไรกันวะ เจ้านี่ร่ำรวยมากเท่าไหร่กัน เขามาจากตระกูลไหน”


 


“หญิงสาวข้างกายเขาคือเจ้าหญิงตระกูลซู ซูหยิน และเธอเพิ่งเรียกเขาว่าพี่ชาย บางทีเขาอาจจะมาจากตระกูลซูหรือเปล่า”


 


“ต่อให้เป็นตระกูลซูก็มิอาจจะใช้จ่ายเงินเช่นนี้”


 


ผู้คนที่นั่นพลันเพิ่มความสนใจในเบื้องหลังของซูหยาง ถ้าพวกเขาสามารถเป็นเพื่อนกับคนที่ทั้งร่ำรวยและใจกว้างเหมือนเช่นเขา…


 


“ข้าอยากจะเป็นเพื่อนเขา ต่อให้ต้องยกลูกสาวให้กับเขา แต่น่าเสียดาย เขาได้ล่วงเกินนิกายล้านอสรพิษแล้ว มิมีค่าที่จะลากตระกูลของข้าไปสู่ปัญหา”


 


“เจ้าพูดถูกจุด มันเป็นเรื่องน่าเสียดายจริงๆ…”


 


ครั้นเมื่อหวังชูเหรินกลับคืนไปสู่เวที เธอก็พลันแนะนำของชิ้นต่อไป


 


“มีนักปรุงยาในที่นี้หรือไม่ ของชิ้นต่อไปไม่ควรพลาด” หวังชูเหรินเปิดเผยให้แขกเห็นเตาปรุงยาสีดำที่มีความสูงครึ่งหนึ่งของความสูงของเธอและกว้างเท่ากับผู้ใหญ่สองคน


 


เมื่อนักปรุงยาเห็นเตาปรุงยาสีดำ ดวงตาของพวกเขาก็พลันเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น


 


“นั่นคือเตาปรุงยาไร้รูป”


 


คนบางคนในห้องจดจำเตาปรุงยาได้


 


“ใช่แล้ว นี่เป็นเตาปรุงยาไร้รูปจริงๆ ถ้าท่านปรุงยาใช้เตาอันลึกล้ำนี้ คุณสมบัติของยาก็จะเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ สิบเปอร์เซ็นต์ ยิ่งไปกว่านั้น ท่านสามารถเปลี่ยนขนาดของมันตามใจปรารถนาและนำมันไปกับท่านได้ทุกที่ที่ท่านไป”


 


หลังจากที่กล่าวคำพูดเหล่านั้นแล้ว หวังชูเหรินก็ใช้ปราณไร้ลักษณ์ของเธอลดขนาดของเตาปรุงยาไร้รูปจนมันมีขนาดเท่ากับถ้วยชา ก่อนที่จะคืนขนาดของมันมาเป็นขนาดปกติ


 


“ข้าต้องได้เตาปรุงยาไร้รูปนี้ ต่อให้ข้าจะต้องหมดตัว”


 


“สมบัติเช่นนั้นจักสูญเปล่าเมื่ออยู่ในมือท่าน ผู้เฒ่า ให้ผู้มีเกียรติคนนี้ถือมันแทนท่านเถอะ”


 


บรรดานักปรุงยาที่นั่นต่างพากันจ้องมองแต่ละฝ่ายด้วยสายตาดุร้าย


DC บทที่ 343: แฟนหนุ่มใจกว้าง


 


“ราคาประมูลเริ่มต้นสำหรับเตาปรุงยาไร้รูปนี้เริ่มต้นที่ 70,000 ก้อนหินวิญญาณ” หวังชูเหรินประกาศต่อหน้านักปรุงยาในห้องที่แย่งชิงกัน


 


“ตระกูลหัวประมูลหมื่นก้อนหินวิญญาณ”


 


“ผู้เฒ่าเล่ยคนนี้ประมูล 15,000 ก้อนหินวิญญาณ”


 


ราคาเพิ่มขึ้นด้วยอัตราเร็วที่มากกว่าสมบัติวิญญาณ แม้ว่าเตาปรุงยาวิญญาณจะไม่มีค่ามากเท่ากับสมบัติวิญญาณโดยทั่วไป แต่นักปรุงยาส่วนใหญ่ต้องการมีเตาปรุงยาที่ดีมากกว่าสมบัติวิญญาณที่ดีและไม่ลังเลที่จะใช้เงินสำหรับเตาปรุงยาที่ดี ในเมื่อนักปรุงยาที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ล้วนนั่งอยู่บนความร่ำรวยจากการขายยาหรือการให้บริการ


 


ในเวลาเป็นนาทีราคาของเตาปรุงยาไร้รูปเพิ่มขึ้นไปถึง 40,000 ก้อนหินวิญญาณ


 


“ตระกูลหัวประมูล 40,000 ก้อนหินวิญญาณมีใครต้องการประมูลมากกว่านี้หรือไม่” หวังชูเหรินถาม


 


“ครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2”


 


“50,000 ก้อนหินวิญญาณ” ซูหยางพลันยกมือขึ้น สร้างความงๆให้กับทุกคนที่นั่น


 


เพราะว่าคนส่วนใหญ่ที่ได้ประมูลคือนักปรุงยา ไม่มีใครในหมู่พวกเขาคาดคิดว่าซูหยางจะเข้าร่วมประมูลด้วยเช่นกัน


 


“ทำไมเขาถึงมาร่วมประมูล ทั้งที่นิกายล้านอสรพิษไม่ได้เข้าร่วมประมูลครั้งนี้…”


 


ผู้คนที่นั่นต่างพากันสงสัย


 


“เจ้าหนุ่ม เจ้ากำลังพยายามที่จะซื้อทุกอย่างในการประมูลวันนี้หรือ เตาปรุงยาไร้รูปไม่มีประโยชน์ต่อเจ้า ต่อให้เจ้าเป็นนักปรุงยาคนหนึ่งใครจะรู้ว่าเจ้าจะสามารถใช้เตาปรุงยาวิญญาณได้อย่างถูกต้อง” หนึ่งในนักปรุงยาที่นั่นกล่าวขึ้น


 


หลังจากที่คนแรกพูดขึ้นคนอื่นก็เสนอความคิดของตัวเองบ้าง


 


“เตาปรุงยาวิญญาณไม่ใช่เตาปรุงยาปกติและไม่สามารถใช้ด้วยนักปรุงยาทั่วไป เจ้ายังเด็กดังนั้นควรปล่อยให้ผู้อาวุโสที่นี่หยิบฉวยจากมือของเจ้า”


 


“เจ้าได้ยินเหล่าผู้อาวุโสพูดแล้ว เจ้าหนุ่มควรยึดถือคำแนะนำของพวกเราและนั่งลง  ตระกูลหัวประมูล 51,000 ก้อนหินวิญญาณ”


 


อย่างไรก็ตามซูหยางยกมือขึ้นและเพิ่มราคาไปอีก 9,000 ก้อนหินวิญญาณทำทีเหมือนกับว่าเขาไม่ได้ยินคำพูดของคนอื่น


 


“จ-เจ้า”


 


คนจากตระกูลหัวกัดฟันหลังจากที่ซูหยางไม่เชื่อฟัง


 


“เจ้าได้ล่วงเกินตระกูลหวังและนิกายล้านอสรพิษไปแล้ว เจ้าแน่ใจว่าเจ้าต้องการที่จะล่วงเกินคนมากกว่าเดิมรึ” ตระกูลหัวพูดเสียงดังลั่น


 


เพื่อตอบสนองกับการข่มขู่ของตระกูลหัว ซูหยางเพียงแค่ส่ายหัว “นี่เป็นโรงประมูลไม่ใช่บ้านของพวกเจ้า ถ้าข้าต้องการอะไรทำไมข้าถึงซื้อมันไม่ได้ล่ะ ข่มขู่ข้าด้วยกลเม็ดเด็กๆ เจ้ายังกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นผู้อาวุโสอยู่อีกรึ”


 


หวังชูเหรินอดไม่ได้ ได้แต่หัวเราะหลังจากได้ยินคำพูดของเขา


 


“เด็กหนุ่มคนนี้พูดถูก นี่เป็นโรงประมูลซึ่งผู้คนสามารถได้รับสิ่งต่างๆตราบเท่าที่เขามีเงิน ข้าไม่สมควรพูดเช่นนี้แต่ได้โปรดยั้งตัวเองจากการกดดันผู้อื่นด้วยอำนาจของพวกท่านหรือข่มขู่ผู้อื่นขณะที่ยังอยู่ที่นี่”


 


ที่แห่งนั้นเงียบลงไปหลังจากที่หวังชูเหรินพูดขึ้นเป็นครั้งแรก


 


“ยังมีใครต้องการประมูลอีกหรือไม่ ราคาประมูลตอนนี้คือ 60,000 ก้อนหินวิญญาณ”


 


“80,000 ก้อนหินวิญญาณ”


 


มีคนตะโกนขึ้นมาอย่างรวดเร็ว สร้างความงุนงงให้กับผู้คนที่นั่น


 


ใครกันช่างร่ำรวยจริงที่จะเสนอถึง 80,000 ก้อนหินวิญญาณสำหรับเตาปรุงยาวิญญาณ ต่อให้เป็นนักปรุงยาผู้ร่ำรวยก็ไม่ฟุ่มเฟือยปานนั้น ว่าไปแล้วยังมีเตาปรุงยาวิญญาณที่ดีกว่านั้นข้างนอกนั่นที่สามารถซื้อได้ด้วยราคาใกล้เคียงกัน


 


“นั่นคือตระกูลเฉิน พวกเขาเป็นตระกูลนักปรุงยาอันดับ 1 ของภาคใต้”


 


ผู้คนรู้จักเบื้องหลังของพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว


 


“เป็นอย่างไรเจ้าเด็กเย่อหยิ่งที่นั่งอยู่ด้านหน้าทำไมเจ้าจึงไม่ประมูลอีกละ มิใช่ว่าเจ้าเพิ่งอหังการเมื่อกี้เพราะความร่ำรวยของเจ้ารึ” หญิงสาวจากตระกูลเฉินยืนขึ้นและชี้ไปยังซูหยางขณะที่พูดจายั่วยุ


 


ซูหยางยิ้มไปกับความพยายามของเธอและตอบกลับว่า มันแค่ 80,000 ก้อนหินวิญญาณเอง”


 


เขาพลันยกมือขึ้นและด้วยท่าทีที่สงบเฉยเขาพูดต่อว่า “ข้าประมูล 100,000 ก้อนหินวิญญาณ”


 


“100,000 ก้อนหินวิญญาณ”


 


ผู้คนที่นั่นต่างพากันงงงัน เขาได้รับความร่ำรวยเช่นนั้นมาจากที่ไหนกัน


 


“นี่มันอะไรกัน เจ้าเด็กนั่นร่ำรวยขนาดนั้นได้อย่างไร”


 


“เขาต้องปล้นทั้งสำนักหรืออะไรทำนองนั้นแน่…”


 


“ซูหยาง… เจ้า…”


 


โหลหลานจีและศิษย์รุ่นเยาว์จ้องมองเขาดวงตาเบิกกว้าง ในเมื่อไม่มีใครในหมู่พวกเขาได้จินตนาการว่าเขาร่ำรวยมากเช่นนี้


 


หญิงสาวจากตระกูลเฉินสั่นสะท้านขณะที่กัดฟัน


 


“เช่นนั้นข้าประมูล 110–”


 


“เจ้ากำลังจะทำอะไร ต่อให้เป็นเราก็ไม่สามารถพยายามที่จะใช้จ่ายมากมายเช่นนั้นไปกับเพียงแค่เตาปรุงยาวิญญาณธรรมดา”


 


หนึ่งในผู้อาวุโสจากตระกูลเฉินจับแขนของเธอไว้และพาเธอกลับไปยังที่นั่งของเธอ


 


“แต่เขาช่างโอหัง ถ้าข้าไม่ผลักเขาให้อยู่ถูกที่ ใครกันเล่าที่จะทำ”


 


“เห็นชัดว่าเขามีความสามารถที่จะโอหังเช่นนั้น จงนั่งลงและเงียบซะ หรือเจ้าลืมว่าพวกเรามาที่นี่วันนี้เพื่ออะไร ถ้าเจ้าใช้เงินทั้งหมดของเจ้าก่อนนั้นและพลาดในการปกป้องมัน เจ้าจะไปเผชิญหน้าพ่อของเจ้าหลังจากนั้นได้อย่างไร”


 


ไม่นานหลังจากนั้น หญิงสาวจากตระกูลเฉินก็พยักหน้าอย่างไม่เต็มใจ


 


“ปล่อยให้เจ้าหนุ่มคนนั้นประมูลทุกอย่างที่เขาต้องการกับของชิ้นแรกๆพวกนี้และสูญเสียเงินไป การต่อสู้ที่แท้จริงยังมิได้เริ่มต้นเลย คนอื่นๆต่างมีความอดทนรอให้สิ่งที่มีค่ามากกว่านี้ปรากฏขึ้นก่อนที่จะทุ่มสุดตัว”


 


เพราะว่าของที่มีค่ามากกว่านี้ไม่เคยแสดงขึ้นมาแต่เนิ่นๆและมักจะเผยในตอนท้ายของการประมูล เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องไม่เสียเงินมากเกินไปก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น ยิ่งไปกว่านี้ สมบัติที่มีค่ามากที่สุดบ่อยครั้งที่มักจะเก็บไว้เป็นความลับจนกว่าจะได้เวลาเปิดเผย ดังนั้นจึงอาจจะมีสิ่งของมาประมูลที่ไม่ได้ระบุไว้สำหรับแขกทั่วไป


 


“100,000 ก้อนหินวิญญาณ ครั้งที่ 1 … ครั้งที่ 2 … และขาย”


 


หลังจากที่ได้รับเตาปรุงยาไร้รูป ทุกคนในห้องต่างพากันมองดูการกระทำของเขาอย่างเงียบๆ พวกเขาต่างสงสัยว่าเขาจะแจกมันไปด้วยหรือไม่


และดังเช่นคนส่วนใหญ่ได้คาดหมายไว้ ซูหยางหันไปมองที่จางซิวยิงในทันทีด้วยรอยยิ้มลึกลับหลังจากที่รับเตาปรุงยาไร้รูป


 


“ซ-ซูหยาง…ท่านมิอาจ…” จางซิวยิงปิดปากของเธอ ไม่กล้าเชื่อจินตนาการของเธอเอง


 


“เช่ากำลังศึกษาการปรุงยาภายใต้หวังชูเหรินใช่ไหม ข้าสามารถได้กลิ่นของยาจากตัวเจ้า เตาปรุงยาไร้รูปนี้จักเป็นประโยชน์ต่อเจ้าอย่างมาก อย่าพูดอะไรเพียงแค่เอามันไปก็พอ” ซูหยางยื่นเตาปรุงยาสีดำไปตรงหน้าเธอ


 


“ข้า..ข้า..”


 


จางซิวยิงจนคำพูดถึงกับร้องไห้ออกมาขณะที่เธอรับเตาปรุงยาไร้รูปด้วยมือที่สั่นสะท้าน


 


“ขอ..ขอบคุณ..”


 


จางซิวยิงรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นสำหรับเธอที่จะพูดไปมากกว่า 2 คำนี้


 


ในเวลานั้นนักปรุงยาทั้งหมดพากันจ้องมองไปที่จางซิวยิงและเตาปรุงยาไร้รูปในมือของเธอด้วยสายตาอิจฉา


 


“เขาล่วงเกินตระกูลเฉินและนักปรุงยามากมายอย่างแท้จริง ถึงกับใช้หินวิญญาณถึง 100,000 ก้อนเพียงเพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับหญิงสาว ช่างสมชายจริงๆ ข้ามิอาจเกลียดเขาในเรื่องนั้นต่อให้พยายามก็ตาม”


 


“หญิงสาวคนนั้นเป็นคนรักของเขาหรือเปล่า เธอเป็นศิษย์หลักของนิกายดอกบัวเพลิงใช่ไหม ช่างเป็นหญิงสาวที่โชคดี…”


 


อย่างไรก็ตามไม่ใช่แค่เพียงนักปรุงยาที่อิจฉาจางซิวยิง หญิงสาวหลายคนในห้องต่างก็พากันอิจฉาเธอเช่นกัน ไม่เพียงแต่เธอมีแฟนหนุ่มที่ใจกว้างเช่นนั้นแต่เขายังหล่อเหลาและร่ำรวยอย่างไม่น่าเชื่อ ถ้าพวกเธอมีผู้ชายเช่นนั้นเป็นสามีพวกเธอเช่นกันหรืออาจเป็นเพียงแค่แฟนหนุ่ม จะมีอะไรอีกที่พวกเธอต้องการในชีวิตนี้


DC บทที่ 344: ป้ายสิทธิ์ขาด


 


หลังจากที่ชนะการประมูลสำหรับเตาปรุงยาไร้รูป ซูหยางก็ทำการประมูลทุกสิ่งที่มาต่อจากนั้นสร้างความตระหนกให้กับทั่วทั้งโรงประมูลซึ่งดูเหมือนกับว่าเขามีความร่ำรวยไม่สิ้นสุด กระทั่งหวังชูเหรินก็อดที่จะจ้องมองเขาด้วยสีหน้ามึนงงไม่ได้


 


ของมากกว่า 20 ชิ้นและหนึ่งล้านก้อนหินวิญญาณหลังจากนั้น


 


“…พี่ชาย.. หรือว่าท่านได้หินวิญญาณมาจากประตูศักดิ์สิทธิ์” ซูหยินพลันนึกถึงสถานที่นั้นและถามเขา เธอนึกไม่ออกว่าที่ไหนที่เขาจะได้ความร่ำรวยเช่นนั้นนอกจากประตูศักดิ์สิทธิ์สุสานของเซียน


 


ซูหยางเพียงแค่หัวเราะหึ “อาจจะ”


 


หลังจากประมูลสินค้าชิ้นที่ 25 หวังชูเหรินก็ประกาศว่า “เราจักพัก 10 นาทีก่อนที่เราจะกลับมาประมูลกันใหม่อีกครั้ง”


 


คร้้นเมื่อหวังชูเหรินลงจากเวที ทุกคนในห้องนั้นก็เริ่มกระซิบกระซาบกันขณะที่ตาของพวกเขาต่างพากันจ้องไปที่ซูหยาง


 


“เจ้าคนโคตรรวยนี้มาจากไหนกัน เขาซื้อของทุกอย่างที่นำมาประมูลวันนี้”


 


“พระเจ้าช่วย ครอบครัวของเขาต้องมีหินวิญญาณเติบโตได้เหมือนข้าวในหลังบ้านหรืออะไรทำนองนั้น”


 


“ต่อให้ปล้นสำนักหลายสิบสำนักก็ยังไม่สามารถที่จะให้ความร่ำรวยได้มากเพียงนี้”


 


“เขาใช้เงินมากกว่า 1 ล้านก้อนหินวิญญาณไปแล้วตอนนี้ ข้าไม่คิดว่ากระเป๋าเงินของเขาจักไม่ว่างเปล่า”


 


ในเวลานั้นหลังจากที่เขาวางของทุกอย่างที่เขาชนะเข้าไปในแหวนมิติ ซูหยางหันไปมองโหลวหลานจีและพูดว่า “ผู้นำนิกาย นี่ให้ท่าน”


 


โดยไม่รอให้เธอตอบ ซูหยางโยนแหวนมิติพร้อมกับของที่มีค่านับล้านก้อนหินวิญญาณไปให้เธออย่างสบายๆ


 


โหลวหลานจีรับมิติด้วยมือที่สั่นสะท้านและจ้องมองไปที่เขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง


 


กระทั่งคนอื่นๆในห้องก็หยุดกระซิบกระซาบเพื่อมองไปที่พวกเขาด้วยท่าทีที่ตื่นตะลึงบนใบหน้า


 


“น-นี่หมายความว่าอะไร ซูหยาง” โหลวหลานจีขมวดคิ้ว “เจ้ากำลังพยายามที่จะซื้อทั้งนิกายด้วยสิ่งนี้รึ”


 


ซูหยางหัวเราะหึหึกับจินตนาการของเธอและพูดว่า “ผู้นำนิกายหรือท่านลืมไปแล้วว่าข้าได้สัญญาที่จะดูแลนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย สมบัติเหล่านี้ก็เพื่อสำหรับศิษย์รุ่นต่อไปเหมือนที่พวกที่นั่งอยู่ตรงนั้น”


 


ซูหยางชี้มือไปยังศิษย์รุ่นเยาว์ด้วยรอยยิ้ม


 


“ศิษย์พี่ชาย…” ศิษย์รุ่นเยาว์พากันอับจนถ้อยคำ


 


“แม้ว่าเจ้ามีเจตนาเช่นนี้นี่ไม่มากเกินไปหน่อยรึ” โหลวหลานจีแสดงยิ้มขมขื่นออกมา นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะตอบแทนบุณคุณเช่นนี้ได้อย่างไร กระทั่งให้เขาเป็นผู้นำนิกายก็ยังไม่พอเพียง


 


“มากเกินไปรึ นี่เพียงแค่ 1 ล้านก้อนหินวิญญาณ ถ้าท่านไม่สามารถรับของขวัญเล็กน้อยเช่นนี้ ข้าจะทำการให้ของที่แพงมากกว่านี้ภายหลังได้อย่างไร”


 


“จ-เจ้ามีแผนที่จะให้ข้ามากกว่านี้รึ” โหลวหลานจีอ้าปากค้างด้วยความตระหนก


 


“นี่ไม่ใช่สำหรับท่าน ผู้นำนิกาย นี่สำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”


 


หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะโหลวหลานจีก็กระซิบเขาว่า “ข้าเข้าใจ แต่มันก็ไม่เหมาะสมที่จะให้ของมากมายปานนี้ต่อหน้าสายตามากมาย จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาสร้างปัญหาให้กับเราในภายหลัง เจ้าควรให้มันกับข้าหลังจากที่เรากลับไปที่โรงเตี๊ยมแล้ว”


 


ซูหยางกวาดสายตาไปยังผู้คนที่จ้องมองเขาด้วยสายตาดุร้ายและพูดเสียงดังว่า “จะมีอะไรที่ต้องกังวล ต่อให้พวกเขากล้าพยายามปล้นเรา พวกเขาก็ไม่มีความสามารถที่จะทำเช่นนั้น”


 


โหลวหลานจีจ้องมองเขาด้วยสีหน้าตื่นตระหนกและหันไปมองรอบห้อง ไม่มีข้อสงสัยเลยว่ามีคนมากมายหลายคนจ้องมองพวกเขาด้วยสายตาเกลียดชัง


 


“ทำไมเจ้าถึงพูดเสียงดังเช่นนี้ นี่เหมือนกับว่าเจ้ากำลังพยายามที่จะยั่วยุพวกเขา” โหลวหลานจีรู้สึกอยากจะร้องไห้


 


ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวว่า “ผู้นำนิกายถ้าท่านทำตัวต่ำต้อยและขี้ขลาดอย่างนี้ต่อไป โลกก็จักเหยียดหยามเราเมื่อเรายืนอยู่บนจุดสูงสุด”


 


“จ-เจ้าหมายความว่าอย่างไรเช่นนี้ และเจ้ากล้าเรียกข้าว่าคนขี้ขลาดได้อย่างไร” เธอมองดูเขาด้วยท่าทางตื่นตะลึง


 


“ท่านเชื่อจริงๆรึว่าจุดมุ่งหมายของข้าก็คือการฟื้นฟูนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยกลับไปยังจุดเดิม นอกจากว่าเราก้าวข้ามตัวตนเดิมของเราและยืนอยู่เหนือสำนักอื่นทุกสำนักในทวีปแห่งนี้ มิเช่นนั้นข้าย่อมยังไม่พอใจ ครั้นเมื่อข้า ซูหยาง ได้ตัดสินใจที่จะทำอะไรสักอย่างมันจะต้องไม่เป็นอะไรที่ธรรมดา” ซูหยางพูดด้วยน้ำเสียงทรงอำนาจ


 


“ตลกอะไรเช่นนี้ ถ้าเจ้าคิดว่าเจ้าสามารถยืนอยู่บนจุดสูงสุดด้วยเพียงสมบัติพื้นๆไม่กี่ชิ้น เช่นนั้นทุกขั้วอำนาจในห้องนี้คงเป็นสำนักระดับสูงกันทั้งหมด”


 


“เจ้าเป็นเพียงกบธรรมดาที่ยังคงอาศัยอยู่ในบ่อ เจ้ากล้าทำตัวเย่อหยิ่งจองหองต่อหน้าคนมากมายที่มีอำนาจเหนือกว่าเจ้าได้อย่างไร”


 


ผู้คนในห้องต่างพากันเริ่มเยาะเย้ยในความทะเยอทะยานของซูหยางทันที


 


“แม้ว่าข้าชื่นชมในความกล้าของเจ้า เจ้ายังคงเด็กเกินไปและไร้เดียงสาที่จะมีความทะเยอทะยานอันสูงส่งเช่นนั้น”


 


“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอยู่บนขอบเหวของการสูญสลายในเวลานี้ เพียงแค่หนึ่งในหมู่พวกเราก็มีความสามารถที่จะเหยียบย่ำไปบนสำนักของเจ้าและทำลายความทะเยอทะยานของเจ้าได้อย่างง่ายดาย แต่เจ้ายังกล้าที่จะแสดงความโอหังต่อหน้าพวกเราเช่นนี้ เจ้ากำลังมองหาที่ตายอย่างนั้นรึ”


 


หลังจากที่ฟังคำข่มขู่มากมายที่ส่งมายังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยต่อหน้าพวกเขา โหลวหลานจีและศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันมีใบหน้าซีดเผือด


 


“ซู-ซูหยาง เจ้ากำลังพยายามที่จะฟื้นฟูนิกายหรือว่าทำลายมัน รีบขอโทษทุกคนที่นี่เร็ว” โหลวหลานจีพลันโกรธ


 


ซูหยางส่ายหน้าและถอนใจ “นี่คือสิ่งที่ข้าพูดถึงที่ว่าเป็นคนขี้ขลาด ผู้นำนิกาย ทำไมท่านจึงก้มหัวหลังจากที่ได้ยินหมา 2-3 ตัวเห่าเช่นนี้”


 


เขาพลันหันไปมองดูผู้คนที่ข่มขู่นิกายกุสุมาลพ้นพิสัยและกล่าวต่อว่า “ไม่ว่าพวกเจ้าจะชอบมันหรือไม่ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็จักเติบโตต่อไปและเจ้าจักเห็นจากด้านข้าง ถ้าพวกเจ้าเชื่อว่าเจ้ามีความสามารถที่จะหยุดพวกเรา ข้ายินดีให้เจ้าได้ลอง”


 


ซูหยางเผชิญหน้ากับทั้งห้องด้วยรัศมีของผู้ที่อยู่เหนือกว่า นี่คือเจตนาที่แท้จริงในการมาที่โรงประมูลนี้ที่ซึ่งผู้ทรงอำนาจจากรอบโลกมารวมตัวกัน ถ้าหากว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยพลันมีอำนาจขึ้นมาในทันใด ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วโดยที่ไม่มีใครรู้ ผู้อื่นก็จะเพียงเหยียดหยามพวกเขาราวกับว่าพวกเขาเป็นคนอ่อนแอซึ่งไม่สมควรที่จะอยู่ในตำแหน่งสูงสุด


 


ในตอนนี้ซูหยางได้ทำให้พวกเขาเป็นที่รู้จักทั้งล่วงเกินคนจำนวนมากมาย ผู้ทรงอำนาจเหล่านี้ย่อมมองดูพวกเขาต่อให้พวกเขาไม่มีค่าที่จะให้มองดูในตอนนี้และเฝ้ามองพวกเขาเติบโต ถ้าคนเหล่านี้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเติบโตของพวกเขา เช่นนั้นซูหยางก็จะกำจัดคนเหล่านี้ทิ้ง


 


ซูหยางมองดูโหลวหลานจีและพูดด้วยใบหน้าที่จริงจังว่า “ผู้นำนิกาย ข้าจักทำให้นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเป็นสำนักที่จักทำให้กระทั่งสำนักระดับสูงดูเหมือนเป็นบ้านเรือนคนทั่วไป ท่านเชื่อข้าหรือไม่”


 


โหลวหลานจีนิ่งเงียบไปชั่วขณะขณะที่เธอจ้องมองเขาด้วยสีหน้าสับสน


 


“ทำไมกลิ่นอายของเขาจึงรู้สึกช่างคุ้นเคยนัก ที่ไหนที่ข้า…”


 


ร่างของโหลวหลานจีพลันสั่นสะท่านเล็กน้อย เมื่อเธอพลันตระหนัก


 


“ความรู้สึกนี้… นี่มันเหมือนกับผู้อาวุโส…”


 


หลังจากเงียบไปชั่วขณะ โหลวหลานจีก็ถอนใจ “ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าใครจะรู้ว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจักเป็นอย่างไรในตอนนี้ และถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าศิษย์รุ่นเยาว์ก็คงไม่ได้อยู่ที่นี่ในตอนนี้ ส่วนสำหรับบุญคุณที่มีต่อนิกายและเหล่าศิษย์ในช่วงปีที่ผ่านมาข้าจักมิพูดถึงในเมื่อนั้นจะต้องพูดกันทั้งวัน”


 


โหลวหลานจีทำการล้วงเข้าไปในแหวนมิติ ไม่กี่วินาทีต่อมาเธอก็นำเอาป้ายที่จัดสร้างจากหยกที่สวยงามจากแหวนมิติและยื่นส่งให้ซูหยางเหมือนกับว่าเธอต้องการให้เขาเก็บมันไว้


 


“ข้าได้คิดเกี่ยวกับการที่จะให้ป้ายนี้แก่เจ้านับตั้งแต่ศิษย์ส่วนใหญ่จากไปแล้ว ถ้ารู้ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมแต่นี่คือคำตอบของข้าที่ว่าข้าเชื่อถือเจ้าหรือไม่”


 


ซูหยางมองไปที่ป้ายที่อยู่บนมือของโหลวหลานจีให้ความรู้สึกอันลึกลับในสายตาของเขา


 


สลักไว้บนป้ายเป็นคำสองคำซึ่งอ่านได้ว่า “ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” และ “สิทธิ์ขาด”


 


ศิษย์รุ่นเยาว์อ้าปากหวอมือปิดปากเมื่อพวกเขาเห็นป้ายหยก


 


“นั่นคือป้ายสิทธิ์ขาด มีเพียงคนสองคนในนิกายที่ได้รับอนุญาตให้ถือมันไว้ และนั่นก็คือผู้นำนิกาย”


 


“ศิษย์พี่ชายกำลังจะเป็นผู้นำนิกายคนที่ 2 ของเรางั้นรึ”


 


อันที่จริงโหลวหลานจีต้องการให้ซูหยางเป็นผู้นำนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยคนที่สองด้วยการยื่นส่งป้ายสิทธิ์ขาดให้แก่เขาในเวลานั้น นับตั้งแต่หลีเชียงผู้นำนิกายคนก่อนได้ตายไป นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ได้ดำเนินการเพียงผู้นำนิกายคนเดียวในขณะที่พวกเขาควรจะมี 2 คน


 


อย่างไรก็ตามซูหยางไม่ได้รับป้ายไว้ในทันที


 


“ข้าไม่สามารถอยู่ที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไปได้ตลอดฉันก็รู้ ใครจะรู้ว่าเมื่อไหร่ที่ข้าต้องไป”


 


“ตั้งแต่รู้เบื้องหลังของเจ้าข้าก็มิเคยคิดที่จะเก็บเจ้าไว้กับเราตลอดไป อย่างไรก็ตามจนกว่าจะถึงวันที่เจ้าต้องไปเจ้าสามารถถือป้ายนี้ไว้ได้หรือไม่” โหลวหลานจีเสนอ


 


ซูหยางยิ้มและกล่าวต่อว่า “ข้ายังคงจักสร้างปัญหาให้กับนิกายต่อไปอีก”


 


“นั่นมิมีอะไรใหม่” โหลวหลานจีหัวเราะคิกคัก


 


“ท่านจักไม่สามารถหลับได้เต็มอิ่มไปตอนกลางคืนอีกต่อไปถ้าข้าเป็น” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มลามก


 


โหลวหลานจีพยักหน้าด้วยใบหน้าแดงเล็กน้อย


 


หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะซูหยางก็เริ่มขยับแขนและรับป้ายบนมือของโหลวหลานจี


 


“ตกลงข้าจักถือสิ่งนี้เพื่อท่านนับแต่นี้ต่อไป”


 


“เราจักจัดงานฉลองอย่างเป็นทางการให้แก่เจ้าเมื่อเรากลับไป” เธอยิ้ม


 


โหลวหลานจีพลันหันไปมองศิษย์รุ่นเยาว์และพูดเสียงดังว่า “ทักทายผู้นำนิกายคนใหม่ของพวกเจ้าสิ”


 


ศิษย์รุ่นเยาว์ทุกคนพลันโค้งคำนับอย่างพร้อมเพรียงกัน “ขอคำนับผู้นำนิกายคนใหม่ของพวกเรา”


 


ในเวลานั้นบุคคลที่ได้ดูพวกเขาต่างพากันงงงันไปกับสถานการณ์ที่แปลกประหลาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกของพวกเขาที่ได้พบเห็นบางคนได้ถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้นำนิกายภายในโรงประมูลและอย่างไม่เป็นทางการเช่นนี้ด้วย


DC บทที่ 345: พิจารณาหมั้นหมาย


 


“หรือว่าเธอบ้าไปแล้ว เธอให้ตำแหน่งที่น่ายกย่องให้แก่คนที่ทั้งอ่อนเยาว์และหยิ่งยะโสได้อย่างไร ว่าแต่นิสัยใช้เงินอย่างบ้าคลั่งเช่นนั้น เขาต้องเป็นตะปูดอกสุดท้ายสำหรับโลงของพวกเขาแน่นอน”


 


“ถึงแม้ว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะเป็นสำนักขนาดเล็ก เขาก็ยังเป็นคนที่อายุน้อยที่สุดที่เคยเป็นผู้นำนิกาย….”


 


ผู้คนที่นั่นส่วนใหญ่แล้วพากันตกตะลึงในการตัดสินใจของโหลวหลานจีในการที่ทำให้บางคนที่ทั้งอายุน้อยและหยิ่งยะโสดังเช่นซูหยางเป็นผู้นำนิกายในเมื่อพวกเขาเชื่อว่าเขาจะต้องนำสำนักเข้าไปสู่การล่มสลายด้วยอัตราที่เร็วกว่าเดิม


 


ความจริงแล้วพวกเขาทั้งหมดต่างพากันเดาว่าเขาจะทำลายสำนักได้เร็วแค่ไหน


 


“สมกับเป็นพี่ชายของข้า…. ที่กลายเป็นเจ้าสำนักไปแล้ว….” ซูหยินหัวเราะคิกคัก


 


“อืม… ข้าควรเรียกท่านอย่างไรในเมื่อท่านกลายเป็นเจ้าสำนักไปแล้ว” จางซิวยิงถามด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน


 


“ก็ใช้เหมือนดังที่เจ้ารู้สึกว่าสบายใจ” ซูหยางกล่าว “นี่ก็ใช้สำหรับพวกเจ้าตัวเล็กด้วยเช่นกัน ถ้านั่นทำให้เจ้ารู้สึกสบายใจมากยิ่งขึ้น ก็เพียงเรียกข้าว่า ศิษย์พี่ชายเหมือนปกติ”


 


ในเวลานั้นภายในห้องวีไอพี เจ้าซีกำลังตกอยู่ในภวังค์ลึก


 


“เขาวางแผนที่จะทำให้นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเป็นสำนักที่ทรงอำนาจที่สุดในทวีปตะวันออกจริงรึ หากเป็นเช่นนั้น โดยมิต้องสงสัยเลยว่านั่นจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสมดุลในโลกนี้ไปทั่วทุกที่”


 


เจ้าซีไม่คิดสงสัยว่าซูหยางจะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่ทะเยอทะยานดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ ตามจริงแล้วเขาเชื่อว่าต่อให้ซูหยางไม่กระตือรือล้นทำอะไรเลย ตราบเท่าที่อีกฝ่ายยังอยู่ในที่แห่งนั้น นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ถูกกำหนดให้กลายเป็นปลาหลีฮื้อที่ทะยานเข้าสู่ประตูมังกรอยู่แล้ว


 


“เขาได้รับความแข็งแกร่งแบบนั้นในช่วงเวลาสั้นๆมาจากไหน ตามรายงานเขาเพิ่งอายุสิบเจ็ดปี โลกนี้จะเป็นอย่างไรในอีกสิบปีต่อจากนี้ เขามีเซียนเป็นอาจารย์ของเขาจริงหรือ”


 


เจ้าซีก็ไม่อาจที่จะจินตนาการถึงอนาคตของซูหยางในหนึ่งปีนับจากนี้ ในเมื่อเขาได้อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณในขณะที่อายุยังเยาว์เช่นนี้ อย่าเพิ่งคิดถึงสิบปีข้างหน้า


 


“ศิษย์จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยต่างก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงที่ท้าทายสวรรค์ในปีนี้ เมื่อมาคิดว่าพวกเขาก็มีศิษย์ถึงสองคนที่ได้เข้าสู่เขตปฐพีวิญญาณ ถ้าทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับซูหยางเกี่ยวพันไปถึงเซียนลึกลับนั้นที่ปกป้องนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจากนิกายล้านอสรพิษอยู่ บางทีข้าควรจะไปเยี่ยมเขาหลังจากการแข่งขันระดับภูมิภาค”


 


เจ้าซีเริ่มเชื่อว่าให้ลูกสาวเขาแก่ซูหยางที่มีพรสวรรค์หาใดเทียบและมีอนาคตไม่สิ้นสุดอย่างแท้จริงนั้น ว่าไปแล้วอาจจะเป็นความคิดที่ไม่เลวเสียทีเดียว


 


“ถ้าเขาสามารถช่วยรักษาอาการของลูกสาวข้าและยังคงมีชีวิตรอดหลังจากที่ล่วงเกินคนมากมายปานนี้ เช่นนั้นข้าจักพิจารณาการหมั้นหมายของพวกเขาอย่างจริงจัง…” เจ้าซีพยักเพยิดกับตัวเองอย่างเงียบๆ


 


ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นหวังชูเหรินก็กลับขึ้นไปบนเวทีพร้อมกับผู้ช่วยสาวสวย 2 คน


 


“ขอบคุณทุกท่านที่รอคอยเราตอนนี้จักเริ่มส่วนที่ 2 และเป็นส่วนสุดท้ายของการประมูล” เธอกล่าวเสียงดังพร้อมกับกล่าวต่อว่า “ถ้าพวกท่านได้ประหลาดใจกับการประมูลสมบัติในครึ่งแรกแล้ว เช่นนั้นพวกท่านต้องเตรียมตัวสำหรับสิ่งที่เรามีในคลังสำหรับพวกท่านในเวลาถัดไปนี้”


 


ก่อนที่เราจะเริ่มข้ามีสิ่งที่ต้องประกาศ เลือดงูสามฤดูที่คาดว่าจักนำมาประมูลในช่วงหลังจะไม่มีอีกต่อไป ในเมื่อท่านเจ้าได้ร้องขอเป็นการส่วนตัว ข้าต้องขออภัยในความไม่สะดวกที่ได้เกิดขึ้นนี้”


 


คนบางคนส่ายหน้าด้วยความเสียใจหลังจากที่ได้ยินข่าวนี้ในเมื่อพวกเขาได้เฝ้ามองที่จะซื้อเลือดงูสามฤดูที่สามารถใช้ปรุงเป็นยาที่ทรงพลัง อย่างไรก็ตามในเมื่อท่านเจ้าซีได้เพ่งเล็งมัน นั่นย่อมไร้ค่าที่จะประมูลในเมื่อไม่มีใครกล้าที่จะท้าทายเขาเพื่อสิ่งนั้น


 


“ในเมื่อเป็นท่านเจ้าย่อมไม่มีเหตุผลที่เทพธิดาหวังจักต้องขอโทษ”


 


“อย่ากังวลผู้อาวุโสหวัง พวกเรามิใช่คนไร้เหตุผล ท่านไม่ควรถูกตำหนิ”


 


บรรดาแขกต่างพากันเข้าใจสถานการณ์และไม่ได้ทำเรื่องยุ่งยากให้แก่เธอ


 


หวังชูเหรินพยักหน้าและกล่าวต่อว่า “เช่นนั้นในเมื่อมิมีอะไรแล้วขอให้ข้าประกาศสมบัติชิ้นต่อไป”


 


ผู้ช่วยทั้ง 2 เปิดผ้าคลุมบนโต๊ะเลื่อนและเผยให้เห็นกล่องไม้ที่ค่อนข้างใหญ่กว่าแขนผู้ใหญ่เล็กน้อย”


 


“ภายในกล่องไม้นี้ก็คือเมล็ดเพลิงนรกที่ไหลเวียนไปด้วยปราณหยาง ตำนานกล่าวว่าถ้าหากกลืนมันเข้าไปต่อให้เป็นคนในเขตอัมพรวิญญาณก็สามารถข้ามระดับไปถึง 3 ระดับได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตามเพราะว่าปราณหยางรุนแรงเกินไปและไม่สามารถควบคุมได้ กระทั่งคนที่อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณก็ไม่สามารถกลืนมันเข้าไปได้โดยไม่ระเบิดตาย แทนที่จะกลืนมัน เมล็ดเพลิงนรกส่วนใหญ่แล้วมักใช้เพิ่มพลังปราณไร้ลักษณ์ในห้องปิด ถ้าวางมันภายในห้อง ปราณไร้ลักษณ์ภายในห้องก็จะเพิ่มขึ้น 2 เท่าทั้งปริมาณและคุณภาพเพิ่มความเร็วในการฝึกปรืออย่างมากขณะที่อยู่ในห้องนั้น”


 


“ในที่สุดก็ได้เวลาประมูลเมล็ดเพลิงนรก”


 


“ข้าได้รอคอยสิ่งนี้อยู่”


 


ทุกคนในห้องต่างพากันตื่นเต้นกับเมล็ดเพลิงนรก ในเมื่อมันสามารถเปลี่ยนห้องธรรมดาให้กลายเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์เต็มไปด้วยปราณสำหรับฝึกฝีมือ


 


อีกนัยหนึ่งเมล็ดเพลิงนรกจะเพิ่มความแข็งแกร่งของตระกูลหรือสำนักใดๆได้อย่างมหาศาล ดังนั้นจึงเป็นเหตุที่ว่าทำไมทุกคนที่นั่นต่างพากันเพ่งเล็งมัน


 


“ราคาเริ่มต้นสำหรับเมล็ดเพลิงนรกจักเป็น 100,000 ก้อนหินวิญญาณ”


 


ทันทีหลังจากที่หวังชูเหรินได้ประกาศราคา มือนับสิบก็ได้ยกขึ้นไปบนอากาศและราคาสำหรับเมล็ดเพลิงนรกก็พุ่งสูงเสียดฟ้าขึ้นไปในทันที


 


“ตระกูลหวูประมูล 150,000 ก้อนหินวิญญาณ”


 


“ตระกูลหัวประมูล 180,000 ก้อนหินวิญญาณ”


 


“สำนักหงส์สวรรค์ประมูล 250,000 ก้อนหินวิญญาณ”


 


“ตระกูลหวังประมูล 255,000 ก้อนหินวิญญาณ”


 


“สำนักหมัดมังกรประมูล 270,000 ก้อนหินวิญญาณ”


 


“…300,000 ก้อนหินวิญญาณ”


 


“…375,000 ก้อนหินวิญญาณ”


 


“…390,000 ก้อนหินวิญญาณ”


 


“สำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ประมูล 500,000 ก้อนหินวิญญาณ”


 


สำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นสำนักระดับสูงที่แข็งแกร่งที่สุดพลันเข้าร่วมการต่อสู้เป็นครั้งแรกในวันนี้สร้างความประหลาดใจให้กับผู้คนหลายคนที่นั่น


DC บทที่ 346: แหวนกัมปนาท


 


“สุดท้ายสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ก็เข้าร่วมการประมูล มันยากที่จะเอาชนะพวกเขา”


 


ผู้คนที่นั่นต่างพากันส่ายหัวด้วยความเสียใจ นอกจากว่าพวกเขาร่ำรวยเหมือนสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์


 


“550,000 ก้อนหินวิญญาณ” ซูหยางยกมือขึ้นอย่างสบายๆสร้างความมึนงงให้กับทุกคนที่นั่น


 


“เขาพยายามที่จะล่วงเกินสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ด้วยเช่นกันรึ”


 


“ยิ่งไปกว่านั้นเขายังคงมีเงินที่จะประมูลได้อย่างไร ทรัพย์สมบัติของเขามาจากไหนกัน”


 


บรรดาแขกต่างพากันถอนหายใจกับความร่ำรวยที่ไม่สิ้นสุดของเขา


 


“600,000 ก้อนหินวิญญาณ”


 


สำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ประมูลต่อ


 


“650,000” ซูหยางยกมือเขาขึ้นอีกครั้ง


 


“700,000 ก้อนหินวิญญาณ”


 


ถึงตอนนี้มีแต่พวกเขาเท่านั้นที่ประมูลเพื่อเมล็ดเพลิงนรก


 


“…”


 


สำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ประมูลเพิ่มขึ้นในทันทีและนิ่งเงียบไปชั่วขณะ


 


“เจ้าหนู ทำไมเจ้าไม่รักษาหน้าของชายชราคนนี้บ้าง เมล็ดเพลิงนรกนี้เป็นทรัพยากรที่สำคัญของศิษย์ของเรา 710,000 ก้อนหินวิญญาณ”


 


เสียงของชายชราดังขึ้นในหูของซูหยางและนั่นนำพลังการฝึกปรือของคนที่อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณมาถึงด้วย


 


“ช่างเป็นเหตุบังเอิญ เมล็ดเพลิงนรกก็เป็นทรัพยากรที่สำคัญของข้าเช่นกัน” ซูหยาง กล่าวโดยไม่เหลือบมองไปที่ห้องวีไอพี “72 0,000 ก้อนหินวิญญาณ”


 


“เช่นนั้นเจ้าปฏิเสธที่จะรักษาหน้าข้าแม้ว่าจะขอร้องอย่างเคารพ หือ เอาละเจ้าเอาเมล็ดเพลิงนรกนี้ไปข้าหวังว่ามันจะคุ้มค่า”


 


“มันจบสิ้นสำหรับเขาแล้วจริงๆ เขาล่วงเกินกระทั่งสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์”


 


ผู้คนต่างพากันมองดูและสวดมนต์ให้กับซูหยางอย่าเงียบๆ ไม่มีปาฏิหาริย์สำหรับเขาที่ทำให้รอดแม้แต่เพียงวันเดียวหลังจากออกจากเมืองนี้ไปแล้ว


 


ซูหยางยื่นส่งหินวิญญาณให้กับหวังชูเหรินและรับเมล็ดเพลิงนรก


 


เขามองดูมันด้วยรอยยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้า


 


“เมล็ดเพลิงนรกนี้มีคุณสมบัติดีกว่าที่ข้าคาดหวังไว้ มันจักต้องเพิ่มพลังการฝึกปรือของข้าอย่างต่ำ3 ระดับอย่างแน่นอนถ้าข้ากลืนมัน อย่างไรก็ตามข้าต้องการที่จะหาคู่ฝึกมากกว่านี้ก่อนที่จะกลืนมัน ลำพังเพียงแค่ศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยยังคงไม่เพียงพอที่จะจัดการกับข้าหลังจากที่ข้ากลืนมันแล้ว”


 


ครั้นที่เขากลืนเมล็ดเพลิงนรก เขาจะอยู่ในสถานการณ์ที่จำเป็นต้องปลดปล่อยปราณหยางในร่างเหมือนกับตอนที่เขาต้องการหลานลี่ขิงช่วยสำหรับดอกหยางพิสุทธิ์ อย่างไรก็ตามเมล็ดเพลิงนรกมีความแข็งแกร่งอย่างต่ำไม่น้อยกว่าร้อยเท่าดอกหยางพิสุทธิ์ ขอให้เขามีศิษย์ทุกคนในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยช่วยเขา พวกเธอต้องหมดแรงไปก่อนตัวเขาอย่างแน่นอน


 


ดังนั้น เขาจำเป็นต้องหาคนจำนวนมากกว่านี้ที่ปรารถนาที่จะร่วมฝึกกับเขาก่อนที่จะกลืนเมล็ดเพลิงนรก


 


“เดาว่าข้าต้องกลืนเมล็ดเพลิงนรกหลังจากการแข่งขันระดับภูมิภาคและหลังจากที่ข้าหาคู่ฝึกได้มากกว่านี้” เขาครุ่นคิดในใจขณะที่โยนเมล็ดเพลิงนรกเข้าไปในแหวนมิติ


 


“ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ให้สิ่งนี้ไปในครานี้…” ผู้คนที่มองดูเขาคิดในใจ


 


ยามเมื่อหวังชูเหรินกลับขึ้นไปบนเวทีเธอก็ประกาศของชิ้นที่ 2 สำหรับการประมูลครึ่งหลัง


 


“ของชิ้นที่ 2 จะเป็นสมบัติวิญญาณระดับสวรรค์ แหวนกัมปนาท ซึ่งมีความสามารถที่จะเรียกสายฟ้าฟาดจากสวรรค์เข้าโจมตีศัตรู สายฟ้าฟาดแต่ละครั้งจะมีพลังการทำลายล้างสูงพอที่จะฆ่าใครก็ตามกระทั่งในเขตอัมพรวิญญาณ ถ้าเขาไม่ระวัง อย่างไรก็ตามท่านสามารถใช้ความสามารถนี้ได้เพียงครั้งเดียวก่อนที่จะต้องประจุพลังช่วงฝนฟ้าคะนองก่อนที่จะใช้มันได้อีกครั้ง”


 


“สมบัติวิญญาณระดับสวรรค์ และมันสามารถฆ่าใครสักคนในระดับในเขตอัมพรวิญญาณ ช่างเป็นสิ่งที่น่ากลัวจริงๆ”


 


แม้ว่ามันจะมีข้อกำหนดและข้อจำกัด ทุกคนในห้องก็ต้องการที่จะได้รับแหวนกัมปนาท


 


ต่อให้แหวนกัมปนาทสามารถใช้ได้เพียงครั้งเดียวตลอดชั่วอายุการใช้งานของมันและแตกสลายไปหลังจากนั้น ก็ยังมีคนที่ปรารถนาที่จะจ่ายหมดตัวสำหรับความสามารถที่จะตัดสินความเป็นตายกับคนในเขตอัมพรวิญญาณ


 


มีคนในเขตอัมพรวิญญาณมากมายเท่าไหร่ในโลกนี้ เราสามารถนับพวกเขาทั้งหมดได้ด้วยการใช้เพียงมือสองข้าง ยิ่งไปกว่านั้นผู้ฝึกยุทธในเขตพรวิญญาณทุกคนมีอิทธิพลเป็นอย่างมากในโลกไม่ว่าเขาจะไปที่ไหนก็ตาม การที่มีสิ่งของที่มีความสามารถที่จะฆ่าคนที่ทั้งล้ำลึกและทรงอำนาจนี้ย่อมประเมินค่าไม่ได้


 


หวังชูเหรินเผยให้เห็นแหวนกัมปนาทให้กับผู้คน มันมีหน้าตาเหมือนกับแหวนเงินธรรมดาแต่ปกคลุมไปด้วยเส้นสีม่วงที่ดูคล้ายสายฟ้าฟาด


 


“นอกจากความสามารถที่ทรงพลังแล้วแหวนคำขนาดนี้ก็ยังคงมีเบื้องหลังที่น่าประทับใจ ในเมื่อมันถูกค้นพบภายในประตูศักดิ์สิทธิ์ที่หายไปนับตั้งแต่เกือบปีที่ผ่านมา มีความเป็นไปได้สูงที่มันจะเป็นของเซียน “


 


“ราคาเริ่มต้นของแหวนกัมปนาทนี้จักเริ่มต้นที่ 500,000 ก้อนหินวิญญาณ” หวังชูเหรินพลันประกาศ


 


“ข้าดีใจที่มิจ่ายเงินไปก่อนเห็นแหวนกัมปนาทนี้ ข้าจักซื้อมันต่อให้ข้าต้องใช้เงินหมดกระเป๋าในวันนี้ก็ตาม ตระกูลหลีประมูล 600,000 ก้อนหินวิญญาณ”


 


“แหวนกัมปนาทนี่ของข้า ตระกูลหัวประมูล 1 ล้านก้อนหินวิญญาณ”


 


“สำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ประมูล 1,200,000 ก้อนหินวิญญาณ”


 


“1,500,000 ก้อนหินวิญญาณจากสำนักหงษ์สวรรค์”


 


ซูหยางก็ยกมือเขาขึ้นเช่นกันและพูดว่า2 ล้านก้อนหินวิญญาณ“


 


ภายในห้องวีไอพี ฟูกวานจ้องมองแหวนกัมปนาทพร้อมกับขมวดคิ้ว


 


“ข้าวางแผนที่จะปล่อยให้เจ้าเด็กเลวจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยนั่นซื้อทุกอย่างและขโมยมันหลังจากนั้น อย่างไรก็ตามถ้าเขาได้แหวนกัมปนาทนี้มันก็จักคุกคามกระทั่งชีวิตของข้า ข้ามิอาจยอมให้เขาได้มันไป”


 


คิดเช่นนี้แล้วฟูกวานก็เริ่มประมูลอีกครั้ง “นิกายอสรพิษประมูล3 ล้านก้อนหินวิญญาณ”


 


ราคาที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างกะทันหันสร้างความตระหนกให้กับผู้คนที่ประมูลมัน เมื่อนึกถึงว่ามันเพิ่มราคาขึ้นถึง 1 ล้านก้อนวิญญาณภายในชั่วพริบตา


DC บทที่ 347: วิชาการต่อสู้ระดับเซียน


 


เมื่อนิกายล้านอสรพิษประมูลสามล้านก้อนหินวิญญาณ รอยยิ้มลึกลับก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าซูหยาง และเขาก็พูดขึ้นว่า “สามล้านห้าแสนก้อนหินวิญญาณ”


 


“เจ้าเด็กโคตรเลวนี่ ถ้าข้ามิฆ่าเจ้า มิต้องถือว่าข้าเป็นผู้ฝึกยุทธ” ฟูกว่างกัดฟัน


 


“สี่ล้านก้อนหินวิญญาณ”


 


ซูหยางยกมือเขาขึ้นอีกครั้ง “สี่ล้านห้าแสนก้อนหินวิญญาณ”


 


เขาพลันหันไปมองดูห้องวีไอพี ซึ่งแน่นอนว่าเป็นตรงที่ฟูกวางนั่งอยู่ คล้ายกับว่าเขาสามารถเห็นทะลุกระจกดำและเผยให้อีกฝ่ายเห็นถึงรอยยิ้มปีศาจร้าย


 


“!!!”


 


รอยยิ้มชั่วร้ายของซูหยางที่มองดูเหมือนกับว่าเต็มไปด้วยแผนการณ์ทำให้ฟูกวางรู้สึกหนาวเยือกไปทั่วไขสันหลัง


 


“เจ้าเด็กเลวนี่พยายามที่จะใช้แหวนกัมปนาทกับข้าจริงๆด้วย คิดหรือว่าข้าจักยอมให้เกิดขึ้น”


 


ฟูกวางกำมือเป็นกำปั้นแน่น เล็บมือของเขาจิกเข้าไปในเนื้อจนทำให้เลือดไหล


 


“นิกายล้านอสรพิษประมูล หกล้านก้อนหินวิญญาณ” เขากล่าวเสียงดัง สร้างความแตกตื่นให้ไม่เพียงแต่คนในห้องธรรมดาแต่ก็ยังไปถึงคนในห้องวีไอพีด้วย


 


กระทั่งผู้อาวุโสที่ยืนข้างเขาก็ยังมีสีหน้าตกใจ


 


“จ-เจ้านิกาย นั่นมากเกินกว่าวงเงินค่าใช้จ่ายที่เราตัดสินใจไว้ เรามีเพียงแค่ห้าล้านก้อนหินวิญญาณสำหรับการประมูลในวันนี้ และนั่นก็ถือเป็นเงินฉุกเฉิน”


 


ฟูกวางคำราม “ข้ารู้ ข้าได้นำมาเพิ่มอีกหนึ่งล้านจากกระเป๋าเงินส่วนตัวของข้าในกรณีพิเศษก่อนที่เราออกจากนิกาย ดังนั้นควรจะถือได้ว่าไม่มีปัญหา”


 


“แต่นี่เราพูดถึง หกล้านก้อนหินวิญญาณเชียวนะท่านเจ้านิกาย มันจักส่งผลกระทบต่อนิกายและศิษย์ของเราไปอีกหลายปี”


 


“ได้โปรดพิจารณาเช่นนี้ท่านเจ้านิกาย”


 


“ต่อให้นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้แหวนกัมปนาทไป พวกเขาก็มีจอมยุทธอย่างมากเพียงสองสามคนในเขตปฐพีวิญญาณ แหวนกัมปนาทวงเดียวมิได้ทำร้ายพวกเราได้มากนัก หกล้านก้อนหินวิญญาณจักมีผลกระทบต่อพวกเรามากกว่านั้น”


 


หลังจากครุ่นคิดชั่วขณะ ฟูกวางก็พยักหน้า “แต่ทว่าข้าได้ประมูลสินค้าไปแล้ว ท่านเจ้าก็อยู่ที่นี่เช่นกัน ดังนั้นข้ามิอาจทำตัวโง่งมด้วยการยกเลิกข้อเสนอของข้าได้ มิเช่นนั้นพวกเราก็จักกลายเป็นตัวตลก”


 


“อย่ากังวลท่านเจ้านิกาย เจ้าเด็กเลวนั่นต้องพยายามที่จะซื้อแหวนกัมปนาทแน่นอน เขาเป็นคนที่เกลีดความพ่ายแพ้”


 


“ใช่แล้ว เขามิพลาดการประมูลแม้แต่รายการเดียวในวันนี้ ข้าสงสัยว่าเขาจะปล่อยให้ของชิ้นนี้ไปด้วยงั้นหรือ”


 


อย่างไรก็ตามซูหยางก็ได้สร้างความผิดหวังให้กับความคาดหวังของนิกายล้านอสรพิษ ในเมื่อเขาเจตนาเพิ่มราคาก็เพียงแค่ให้นิกายล้านอสรพิษเสียเงินทั้งหมด กระทั่งยังส่งสายตาข่มขู่ไปยังฟูกวางเพียงแค่ทำให้อีกฝ่ายหวาดกลัว


 


“หกล้านก้อนหินวิญญาณครั้งที่หนึ่ง” หวังชูเหรินเริ่มนับถอยหลัง


 


“เกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาจึงยังไม่ประมูล”


 


“เขาจะปล่อยให้พวกเราได้ของชิ้นนี้จริงๆรึ”


 


“เป็นไปได้ไหมที่เขามีเงินไม่พอ”


 


“แย่แล้ว นี่พวกเรากำลังพูดถึงเงินหกล้านก้อนหินวิญญาณ”


 


“หกล้านครั้งที่สอง…”


 


“ซวย ซวย ซวย เขากำลังปล่อยให้เราได้มันไปจริงๆ”


 


“เจ้าเด็กเลวนั่น มันทำให้พวกเราเสียหกล้านก้อนหินวิญญาณ”


 


“และขาย แหวนกัมปนาทตกเป็นของนิกายล้านอสรพิษ” หวังชูเหรินยื่นส่งแหวนกัมปนาทให้ผู้ช่วยคนหนึ่งของเธอให้นำไปส่งให้กับพวกเขาในห้องวีไอพี


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า ขอแสดงความยินดี สำนักที่แข็งแกร่งอย่างเช่นนิกายล้านอสรพิษสมควรได้รับสมบัติที่ดีจริงๆ ดูแลมันให้ดี แน่นอนว่าพวกท่านจำเป็นต้องฝากโชคชะตาไว้กับมัน” ซูหยางแสดงความยินดีกับพวกเขาพร้อมกับปรบมือสร้างความมึนงงให้กับทุกคนที่นั่น


 


หลังจากที่ได้ยินคำพูดของซูหยาง คนจากนิกายล้านอสรพิษทุกคนต่างพากันรู้สึกว่าเลือดเดือดพล่านไปด้วยความโกรธแค้น


 


“ท่านเจ้านิกาย ให้ข้าไปแก้แค้นเถอะ ข้าต้องการสับเขาเป็นชิ้นและป้อนให้หมากินด้วยตนเอง”


 


“ไม่ ให้ข้าจัดการเรื่องนี้ ข้าจักฉีกแขนขาและดื่มเลือดของเขา”


 


“เงียบ ผู้อาวุโสใหญ่เหรินจักจัดการเรื่องนี้เอง” ฟูกวางคำรามเสียงต่ำ


 


เขาพลันหันไปมองดูผู้อาวุโสเหรินและกล่าวว่า “ท่านสามารถฆ่าทุกคนได้ยกเว้นเขา ข้าต้องการทรมานเขาด้วยตนเอง”


 


“ขอรับท่านเจ้านิกาย…”


 


ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ยามเมื่อนิกายล้านอสรพิษจ่ายหกล้านก้อนหินวิญญาณอย่างไม่เต็มใจ พร้อมกับทำให้กระเป๋าเงินว่างเปล่าไปในเวลาเดียวกัน หวังชูเหรินก็ทำการประมูลต่อ


 


“ยังมีของอีกสองอย่างเหลืออยู่ในการประมูลวันนี้ ขอให้ข้าได้แนะนำของชิ้นถัดไป”


 


หวังชูเหรินได้นำม้วนคัมภีร์บอกมาและแสดงมันให้กับผู้คน


 


“นี่คือวิชาการต่อสู้ระดับเซียน  มันมีชื่อเรียกว่าคัมภีร์เข็มพันสวรรค์ คัมภีร์นี้มี 9 ระดับและแต่ละระดับจะเพิ่มจำนวนเข็มที่ท่านสามารถเรียกมาใช้ได้ระดับละ 1,000 เข็ม สำหรับพลังของเข็มแต่ละเล่มนั้น…  มันสามารถเทียบได้กับคนที่อยู่ในระดับต้นของเขตปฐพีวิญญาณ สำเร็จวิชานี้ก็เปรียบเหมือนได้รับความแข็งแกร่งของจอมยุทธในเขตปฐพีวิญญาณนับหมื่น


 


“ช่างเป็นวิชาที่น่ากลัวมาก”


 


“ในที่สุดโลกนี้ก็มีวิชาระดับเซียนอื่น นานกว่าร้อยปีแล้วนับตั้งแต่ชิ้นสุดท้ายปรากฏขึ้น”


 


“ต่อให้มันเป็นวิชาที่ทรงพลังอย่างเหลือเชื่อ คงจะเป็นเรื่องยากในการฝึกเกินบรรยายเช่นกัน”


 


“ต่อให้ข้าต้องการเก็บมันไว้ให้สำนัก ข้าก็ยังสงสัยว่าจักมีใครที่สามารถฝึกมันได้อย่างแท้จริง”


 


“หวาว… นี่เป็นวิชาระดับเซียน นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็น ศิษย์พี่ชายท่านยังคงจะซื้อมันหรือไม่


 


เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ถามซูหยาง กระทั่งหวังชูเหรินก็อดไม่ได้ที่จะมองดูเขา


 


ซูหยางเพียงแค่สายหน้าและกล่าวว่า “มันเป็นเพียงแค่วิชาระดับเซียน”


 


ถ้าเขาต้องการ เขาสามารถนำวิชาระดับเซียนออกมาได้มากกว่าโหลสำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”


 


“ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้เราได้มันไปเราก็ไม่สามารถที่จะฝึกมันได้ ไม่เหมือนวิชาฝีมือ วิชาการต่อสู้ต้องการพลังมหาศาลในการฝึกมันให้ได้ดี เจ้าจำเป็นต้องอยู่ในเขตอัมพรวิญญาณเป็นอย่างน้อยในการที่จะเรียนวิชาเข็มพันสวรรค์”


 


“เขตอัมพรวิญญาณรึ… กระทั่งผู้นำนิกายก็ยังอยู่เพียงแค่ปฐพีวิญญาณเท่านั้นเอง” ศิษย์รุ่นเยาว์ถอนหายใจ


 


“ราคาเริ่มต้นสำหรับเข็มพันสวรรค์จะอยู่ที่ 2 ล้านก้อนหินวิญญาณ” หวังชูเหรินประกาศ


DC บทที่ 348: นักปรุงยาลึกลับ


 


หลังจากที่ประกาศราคาของวิชาการต่อสู้ระดับเซียน ผู้คนก็เริ่มประมูลมันทันที


 


อย่างไรก็ตามไม่มีคนเข้าร่วมประมูลมากเท่าที่ได้คาดหมายกันไว้ นั่นเป็นเพราะผู้คนส่วนใหญ่ในห้องไม่สามารถที่จะฝึกมันได้ต่อให้พวกเขาได้ซื้อมันไป


 


ตามจริงแล้วมีเพียงสำนักระดับสูงที่เข้าร่วมประมูลวิชาการต่อสู้


 


“สำนักหงส์สวรรค์ประมูล 2,050,000 ก้อนหินวิญญาณ”


 


“สำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ประมูล 2,300,000 ก้อนหินวิญญาณ”


 


“…2,400,000 ก้อนหินวิญญาณ”


 


“…2,500,000 ก้อนหินวิญญาณ


 


หลังจากนั้นไม่นานเจ้าซีก็พูดขึ้น “5,000,000 ก้อนหินวิญญาณ”


 


“ท่านเจ้าประมูลแล้ว ดูเหมือนว่าตระกูลซีจักได้รับวิชาระดับเซียนอีกวิชานับจากวันนี้เป็นต้นไป”


 


คนอื่นไม่กล้าที่จะประมูลหลังจากที่เจ้าซีพูดอีกต่อไป


 


“นั่นมิจำเป็นที่จักต้องลังเล ถ้าเจ้าต้องการมันก็ประมูล อย่ารู้สึกเหมือนกับว่าเจ้ามิอาจประมูลเพียงเพราะว่าข้าเข้าร่วมประมูลด้วย” เจ้าซีกล่าวหลังจากที่ไม่มีใครประมูลต่อ


 


“นั่นมิมีอะไรเกี่ยวข้องกับการที่ท่านเจ้าได้เข้าร่วม แม้ว่านี่จะเป็นวิชาการต่อสู้ที่ดีแต่มันก็ไม่เข้ากับรูปแบบของข้า ข้าเพียงแค่ต้องการที่จะทดสอบโชคของข้า เพื่อที่จะดูว่าข้าสามารถได้รับมันมาอย่างถูกๆหรือไม่” เจ้าสำนักหงส์สวรรค์พูด


 


“ช่างเป็นเหตุบังเอิญ ผู้เฒ่าคนนี้ก็มีความคิดเช่นนั้นเหมือนกัน” เจ้าสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์พูด


 


“ในเมื่อไม่มีใครที่นี่ต้องการมันเช่นนั้นข้าก็จักรับมันไปเอง” เจ้าซีพยักหน้า


 


“วิชาเข็มหมื่นสวรรค์ขายที่ห้าล้านก้อนหินวิญญาณให้กับตระกูลซี ขอแสดงความยินดี หวังซูเหรินประกาศขึ้นหลังจากนั้นชั่วขณะ


 


“ตระกูลซีก็อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกันปีนี้…”


 


“พวกเขาค่อนข้างจะเงียบในวันนี้จนข้าคิดว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ที่นี่”


 


“ใช่ ปกติพวกเขาค่อนข้างจะก้าวร้าวมากในการประมูลและมักจะซื้อไม่ต่ำกว่า 10 ชิ้นทุกครั้ง”


 


หลังจากที่ตระกูลซีได้รับวิชาการต่อสู้ระดับเซียน หวังซูเหรินก็พลันประกาศของชิ้นต่อไป ซึ่งก็ปรากฏว่าเป็นสิ่งสุดท้ายสำหรับการประมูลในวันนี้


 


“ตอนนี้ข้าจะเปิดเผยสินค้าชิ้นสุดท้ายสำหรับการประมูลในวันนี้


 


หวังชูเหรินปรบมือและผู้ช่วยของเธอก็นำเอาโต๊ะเลื่อนตัวใหม่ที่บรรทุกขวดยา 10 ขวดที่มีเม็ดยา 1 เม็ดในแต่ละขวดออกมา


 


“นั่นเป็นยาประเภทไหนกัน ข้ามิเคยเห็นยาแบบนี้มาก่อน”


 


นักปรุงยาพลันตื่นเต้นเมื่อพวกเขาเห็นยาที่ไม่คุ้นเคย กระทั่งรู้สึกอยากจะกระโจนขึ้นไปบนเวทีเพื่อที่จะได้มองใกล้ๆ


 


“ก่อนที่ข้าจะบอกว่ายานี้เป็นยาประเภทไหน อนุญาตให้ข้าได้บอกพวกท่านก่อนว่านี่เป็นยาที่ค้นพบใหม่ซึ่งปรุงขึ้นมาโดยเพื่อนที่สนิทมากกับข้า พูดตามจริงยานี้ลึกล้ำมากจนกระทั่งข้ามิอาจหวังที่จะปรุงมันออกมาได้ในระยะเวลาใกล้ๆนี้” หวังชูเหรินกล่าว


 


“อะไรกัน กระทั่งผู้เชี่ยวชาญเช่นผู้อาวุโสหวังก็ยังมิอาจหวังที่จะปรุงยานี้เลยรึ ใครเป็นเพื่อนของเธอกัน ข้านึกไม่ออกว่าจะมีนักปรุงยาคนอื่นที่ยิ่งใหญ่เหมือนเช่นผู้อาวุโสหวัง อย่าว่าแต่เก่งกว่าเธอ”


 


นักปรุงยาที่นั่นต่างมีท่าทางประหลาดใจ


 


หวังชูเหรินพูดต่อว่า “ยาเมื่อข้าเปิดเผยตัวยาเหล่านี้ในวันนี้ ยุทธภพทั้งหมดจักเข้าสู่ยุคใหม่อย่างแน่นอน และเพื่อที่จะรักษาสมดุลของพลังข้าจักจำกัดจำนวนของยาที่แต่ละฝ่ายจะสามารถซื้อได้เพียง 1”


 


“ยาเหล่านี้ทรงพลังขนาดนั้นเชียวหรือ ข้าทนรอฟังประสิทธิภาพของมันไม่ไหวแล้ว”


 


“ยุคสมัยของการฝึกวิชาใหม่รึ นั่นต้องเป็นการคุยโม้โอ้อวดใช่ไหม


 


เจ้าซีเพ่งสายตาไปที่เม็ดยาบนโต๊ะเลื่อนขณะที่ครุ่นคิด “กระทั่งข้ายังไม่รู้ว่านี่เป็นยาประเภทไหน…. ส่วนเพื่อนของเธอนั้น คนผู้นี้เก่งกาจยิ่งกว่าเธอในด้านการปรุงยาจริงหรือ ทำไมข้าจึงไม่รู้ตัวตนของคนคนนี้


 


“อย่างที่ท่านทุกคนทราบแล้ว นิทานดอกบัวเพลิงของข้ามีเม็ดยาดอกบัวเพลิง ซึ่งจะเพิ่มโอกาสของผู้คนในการเข้าสู่เขตคัมภีร์วิญญาณจากเขตปฐมวิญญาณได้แม่นยำร้อยเปอร์เซ็นต์” หวังชูเหรินกล่าวและต่ออีกว่า “ยาเหล่านี้โดยพื้นฐานแล้วเหมือนกับเม็ดยาดอกบัวเพลิง ยกเว้นว่ามันจะช่วยคนที่อยู่ในระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณก้าวผ่านไปยังเขตปฐพีวิญญาณโดยไม่มีการล้มเหลว”


 


“ว่ากระไร”


 


ครั้นเมื่อหวังชูเหรินเปิดเผยถึงประสิทธิภาพ ทุกคนในห้องต่างพากันยืนขึ้นจากเก้าอี้ของตัวเองด้วยความตื่นตระหนก


 


ต่อให้เจ้าซีเองก็อดไม่ได้ที่จะยืนขึ้นและจ้องมองไปยังเม็ดยาด้วยความตระหนก


 


“เป็นไปไม่ได้ เม็ดยาเหล่านี้จะช่วยคนที่อยู่ในเขตสัมมาวิญญาณก้าวข้ามไปยังเขตปฐพีวิญญาณโดยไม่ล้มเหลวงั้นรึ ท่านได้ทดลองมันหรือยัง”


 


“ถ้าเม็ดยาเหล่านี้เป็นของจริงและสามารถทำงานได้เหมือนดังที่อธิบาย ยุทธภพย่อมต้องก้าวเข้าสู่ยุคใหม่อย่างไม่ต้องสงสัย โดยมีผู้ฝึกตนในเขตปฐพีวิญญาณมากมายเป็นเรื่องธรรมดา”


 


“ผู้อาวุโสหวัง ท่านตอบคำถามของพวกเราหน่อยได้หรือไม่ ท่านได้ทดสอบเม็ดยาเหล่านี้หรือยัง”


 


ถูกถล่มด้วยคำถาม หวังชูเหรินกระแอมไอเสียงดังเพื่อทำให้พวกเขาเงียบ


 


“ข้าเข้าใจความสงสัยของพวกท่าน ในเมื่อเม็ดยาเหล่านี้ค่อนข้างจะท้าทายสวรรค์ อย่างไรก็ตามข้าได้ทดสอบวิชาเหล่านี้เรียบร้อยแล้วกับศิษย์ของพวกเรา และจากศิษย์สิบคนที่อยู่ในระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณที่กลืนเม็ดยาเหล่านี้เข้าไป พวกเขาทั้งสิบคนได้ประสบความสำเร็จในการเข้าสู่ระดับปฐพีวิญญาณ”


 


“โอ้ เทพเจ้า ถ้าสิ่งที่เธอพูดเป็นจริงนิกายดอกบัวเพลิงจะมีผู้เชี่ยวชาญในเขตคัมภีร์วิญญาณเกลื่อนไปทั่วในเร็วๆนี้”


 


หวังชูเหรินยิ้มและกล่าวว่า ข้าจักเดิมพันชื่อเสียงของข้าในฐานะนักปรุงยาไปกับเม็ดยาเหล่านี้ ถ้าพวกมันใช้งานไม่ได้ข้าก็จักมิปรุงยาอื่นอีกตลอดชั่วชีวิต


 


“!!!”


 


ในตอนนี้ผู้คนในห้องต่างตื่นตระหนกอย่างแท้จริง


 


“ถ้าเธอมั่นใจในเม็ดยาเหล่านี้ถึงปานนี้ นั่นต้องเป็นของจริงแน่”


 


“เฉพาะชื่อเสียงของผู้อาวุโสหวังอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะรับประกันเม็ดยาเหล่านี้


 


“ด้วยเม็ดยาเหล่านี้นิกายดอกบัวเพลิงจักต้องกลายเป็นสำนักอันดับหนึ่งในเวลาไม่นาน”


 


“ผู้อาวุโสหวัง ท่านคงไม่ถือที่จะตอบคำถาม นักปรุงยาผู้ทรงเกียรติท่านใดที่ปรุงเม็ดยาเหล่านี้และพวกเราจะมีโอกาสได้ทักทายคนผู้นี้หรือไม่” นักปรุงยาคนหนึ่งในนั้นถาม


 


หวังชูเหรินส่ายหน้า “ข้าต้องขอโทษที่ว่าเพื่อนของข้าไม่ต้องการที่จะเปิดเผยตัวตนในตอนนี้ ถ้าพวกท่านต้องการที่จะทักทายเขานั่นก็ยังมีโอกาสเป็นไปได้ อย่างไรก็ตามแน่นอนว่านั่นต้องมีค่าใช้จ่าย”


“ถ้ามีโอกาสแม้แต่เพียงเล็กน้อยที่จะให้ข้าได้เข้าไปแสดงความเคารพต่อท่านผู้นี้ ข้าก็ยินดีที่จะทำได้ทุกอย่าง”


 


“ในเมื่อทุกท่านต่างจริงใจและกระตือรือล้นที่จะพบกับเขา ข้าก็จักพูดกับเขาในเรื่องการจัดการพบปะในอนาคต ถ้าเขาตกลงข้าจะส่งจดหมายไปหาทุกๆคนที่ปรารถนาจะเข้าร่วม หวังชูเหรินกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า


 


“ขอบคุณผู้อาวุโสหวัง”


 


ผู้คนที่ตรงนั้นโค้งคำนับเธอ


DC บทที่ 349: โอสถเขตปฐพี

“ผู้อาวุโสหวัง แล้วเม็ดยาพวกนี้เรียกว่าอะไรรึ” บางคนถามเธอ


 


หวังชูเหรินครุ่นคิดชั่วขณะและกล่าวว่า “เพื่อนของข้ามิได้บอกชื่อให้ข้าว่าเม็ดยาพวกนี้เรียกว่าอะไรตอนที่ข้าได้รับพวกมัน ดังนั้นข้าจักขอเรียกพวกมันว่า โอสถเขตปฐพีนับแต่นี้ไป”


 


และเธอก็กล่าวต่อว่า “ในเมื่อตอนนี้ข้าได้แนะนำโอสถเขตปฐพีเหล่านี้แล้ว ในที่สุดพวกเราก็สามารถเริ่มการประมูลสุดท้ายสำหรับวันนี้ได้ ราคาเริ่มต้นของเม็ดยาแรกควรจะเป็น 100,000 ก้อนหินวิญญาณ”


 


แม้ว่า 100,000 ก้อนหินวิญญาณอาจจะดูเหมือนกับว่ามากมายนักสำหรับเม็ดยาเม็ดหนึ่ง แต่เพราะเม็ดยาเหล่านี้จะช่วยผู้ฝึกวิชาใดก็ตามเข้าถึงเขตปฐพีวิญญาณและกลายเป็นผู้มีอำนาจในยุทธภพ


 


ในยุทธภพปัจจุบัน เหตุผลที่มันขาดผู้ฝึกวิชาในเขตปฐพีวิญญาณนั้นง่ายดายยิ่ง นั่นก็เพราะว่าไม่มีปราณไร้ลักษณ์มากเพียงพอในโลกนี้ ไม่ใช่เป็นเพราะว่าพวกเขาขาดพรสวรรค์ คนที่มีพรสวรรค์หลายคนมักจะไม่อาจก้าวต่อไปได้อีกหลังจากที่พวกเขาเข้าถึงจุดสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณเพราะว่าคอขวดตรงนี้ ที่เพียงสามารถผ่านไปได้ด้วยยาวิญญาณจำนวนมาก แต่ถึงแม้ว่าจะใช้วิธีนั้นโอกาสที่จะประสบความสำเร็จก็ยังค่อนข้างต่ำ


 


อย่างไรก็ตามโอสถเขตปฐพีมีความสามารถในการช่วยผู้ฝึกวิชาเหล่านี้ข้ามผ่านคอขวดและเข้าถึงเขตปฐพีวิญญาณด้วยการรับประกันความสำเร็จ ถ้าโอสถเขตปฐพีสามารถสร้างได้เป็นจำนวนมากต่อให้เพียงแค่สิบเม็ดทุกปีโลกก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงของขั้วอำนาจและผู้ฝึกวิชาทุกคนก็จะมีขีดจำกัดใหม่ในยุทธภพ


 


“ถ้านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมีเม็ดยาเหล่านี้ ผู้อาวุโสนิกายที่หยุดยั้งอยู่ที่จุดสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณก็จักสามารถบรรลุเขตปฐพีวิญญาณได้ในที่สุด แต่น่าเสียดายต่อให้เราต้องการที่จะซื้อมัน เราก็ไม่สามารถที่จะเอาชนะขั้วอำนาจในที่นี้ได้ และต่อให้ซูหยางยินดีที่จะซื้อพวกมันให้นิกายเราก็เพียงสามารถซื้อได้เพียงแค่หนึ่งเท่านั้น” โหลวหลานจีทอดถอนใจ


 


แม้ว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะเปลี่ยนไปเป็นร่ำรวยมหาศาลหลังจากที่ได้รับทรัพย์สมบัติและคัมภีร์การฝึกฝนจากซูหยางที่ปลอมแปลงตัวแต่ก็ยังไม่ถือว่าเป็นเงินจนกว่าจะได้ขายพวกมัน ยิ่งไปกว่านั้นคัมภีร์การฝึกฝนนั้นจะมีประโยชน์ต่อนิกายมากกว่าในระยะยาว


 


“ผู้นำนิกาย ท่านต้องการโอสถเขตปฐพีพวกนี้บ้างรึ” ซูหยางอ่านสีหน้าเธอเหมือนกับเปิดหนังสือแล้วก็ถามขึ้น


 


“นั่นมิจำเป็นต้องพูดอย่างเป็นทางการเช่นนั้นในตอนนี้ ในเมื่อเจ้าเองก็เป็นผู้นำนิกายเช่นกัน ซูหยาง เพียงแค่เรียกข้าว่าพี่สาว หรือผู้อาวุโสหลานจีก็พอ” เธอกล่าว


 


“เช่นนั้นข้าจักเรียกท่านเป็น หลานจี”


 


“เป็นทางการอีกสักนิดได้ไหม แต่ถ้านั่นทำให้เจ้าสบายใจมากกว่าเดิม…” เธอส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ว่าอย่างไร เจ้าจะซื้อให้นิกายสักเม็ดได้หรือไม่ นั่นจะเป็นการสนับสนุนนิกายครั้งแรกของเจ้าในฐานะผู้นำนิกาย”


 


ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “นั่นมิจำเป็นต้องเสียเงินซื้ออะไรที่ข้าสามารได้มันมาฟรี”


 


โหลวหลานจีเลิกคิ้วและกล่าวว่า “ฟรีรึ ต่อให้เจ้าใกล้ชิดกับหวังชูเหรินมาก นั่นก็มิใช่อะไรที่เจ้าสามารถได้มาจากการขอ เจ้ารู้ไหม ใครจะรู้ว่าเมื่อไหร่เธอจักได้รับยาชุดใหม่จากเพื่อนของเธอ”


 


“หรือว่าท่านลืมเรื่องคนหนึ่งหรือสองคนจากนิกายของเรา ท่านคิดว่าพวกเธอก้าวเข้าสู่เขตปฐพีวิญญาณด้วยความเร็วระดับนั้นได้อย่างไร”


 


หลังจากที่ได้ยินคำพูดของซูหยางเธอก็พลันรู้สึกตัว ดวงตาของโหลวหลานจีกลมโตด้วยความตระหนก


 


“ฟางซีหลานกับซุนจิงจิง นั่นหมายความว่าเจ้าช่วยพวกเธอก้าวเข้าสู่เขตปฐพีวิญญาณ”


 


“ถ้าเด็กสาวคนอื่นๆก้าวเข้าถึงระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณ พวกเธอก็จักเข้าสู่เขตปฐพีวิญญาณได้ทันทีเช่นกัน” ซูหยางกล่าว


 


“เจ้า…เจ้า…เจ้า.. เจ้ามีโอสถเขตปฐพีมากเท่าไหร่กัน”


 


“ประมาณสิบกว่าเม็ดประมาณนั้น” เขาหัวเราะหึ


 


นั่นก็เพราะว่าเขาเป็นถึงตัวตนที่แท้จริงของนักปรุงลึกลับคนนี้และเป็น “เพื่อน” สนิทของหวังชูเหรินเช่นกัน


 


ปากของโหลวหลานจีอ้าตกลงไปถึงพื้น “ถ้าเจ้ามีมากมายปานนั้นทำไมเจ้ามิแบ่งปันพวกมันให้กับผู้อาวุโสนิกายล่ะ นอกจากผู้อาวุโสเจ้าแล้วพวกเขาทั้งหมดต่างติดอยู่ที่ระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณมาเป็นเวลาหลายปี ถ้าพวกเขาเข้าถึงเขตปฐพีวิญญาณนั่นย่อมเป็นประโยชน์ต่อนิกายของเราอย่างมาก”


 


“ใจเย็นๆ” ซูหยางกล่าวอย่างสบายๆ “ต้องให้อยู่แล้วถ้าพวกเขาต้องการรับไปสักเม็ดเช่นกัน แต่ว่ามันจะดีกว่าถ้าพวกเขาได้รับเม็ดยาหลังจากที่มันปรากฏขึ้นมาในโลกนี้เป็นครั้งแรกแล้ว ซึ่งแตกต่างจากเหล่าศิษย์ พวกเขาจักต้องถามถึงสิ่งที่น่าสงสัยนี้อย่างแน่นอน และข้ามิต้องการที่จะไปยุ่งกับเรื่องเหล่านั้น”


 


“ข้าคิดว่าเป็นเรื่องสมเหตุผลที่เจ้าพูดแบบนั้น…” โหลวหลานจีพยักหน้า


 


ถ้าเธอพลันให้ยาลึกลับที่มีผลอันน่ามหัศจรรย์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในโลก เธอก็ย่อมมีคำถามมากมายเกี่ยวกับมันอย่างแน่นอน


 


“ขอแสดงความยินดีกับตระกูลซีที่ได้รับโอสถเขตปฐพีเม็ดแรก” หวังชูเหรินประกาศหลังจากที่ผ่านการประมูลอย่างรุนแรงเป็นเวลาหลายนาที


 


“500,000 ก้อนหินวิญญาณสำหรับเม็ดยาเม็ดเดียว… นี่ถือว่าเป็นเม็ดยาที่แพงที่สุดในโลกนี้ที่สามารถซื้อได้ในขณะนี้” โหลวหลานจีสั่นสะท้านเพียงแค่เมื่อคิดพยายามจะซื้อมัน


 


ต่อให้ซูหยางพลันเปลี่ยนใจและปฏิเสธที่จะแบ่งปันโอสถเขตปฐพีให้กับผู้อาวุโสนิกาย เธอก็ไม่อาจจะบ่นได้อีกทั้งยังจะเข้าใจความรู้สึกของเขา


 


หลังจากนั้นสามสิบนาทีถัดไป ทั้งห้องประมูลก็ยิ่งปั่นป่วนในเมื่อผู้คนต่างพยายามแย่งชิงโอสถเขตปฐพีที่เหลืออีกเก้าเม็ด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเหลือเพียงเม็ดเดียว


 


“อย่างไรก็ตาม ข้าก็มิรู้ว่าเมื่อไหร่จะมีโอสถเขตปฐพีเพิ่มขึ้น และถึงแม้ว่าข้าจะขอเขามากขึ้น นั่นก็จักขึ้นกับเขาว่าจะมีเพิ่มมากขึ้นอีกหรือไม่”


 


เมื่อหวังชูเหรินพูดคำพูดเหล่านี้ นั่นก็ยิ่งจุดประกายบางอย่างในผู้คนที่ยังไม่ได้รับโอสถเขตปฐพีเก้าเม็ดแรก จนเป็นเหตุให้พวกเขาพากันประมูลราวกับว่าพวกเขาถูกครอบงำ


 


สุดท้าย โอสถเขตปฐพีเม็ดสุดท้ายก็ขายออกไปด้วยเงินจำนวนมหันต์ 2,000,000 ก้อนหินวิญญาณ และสำนักระดับสูงทุกสำนักที่นั่นก็ได้รับโอสถเขตปฐพีสำนักละหนึ่งเม็ด

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม