Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน 330-339

 DC บทที่ 330: เมล็ดเพลิงนรก


 


“เจ้าสองคนเสร็จแล้วรึ” โหลวหลานจีถามซูหยางหลังจากที่เขาออกไปจากห้องพร้อมกับซูหยิน


 


“ช่าย และถ้าท่านมิถือ เธอต้องการอยู่กับพวกเราพักหนึ่ง ให้เธอใช้ห้องข้าได้”


 


“ตามสบาย” โหลวหลานจีพยักหน้า “อย่างไรก็ตาม เจ้าวางแผนที่จะทำอะไรในตอนนี้จนกว่าจะถึงการแข่งขันระดับภูมิภาค”


 


“จริงแล้ว นอกจากฝึกวิชา ก็มิมีอย่างอื่นอีก” ซูหยางยักไหล่


 


“เช่นนั้นเจ้ายินดีที่จะร่วมทางกับศิษย์รุ่นเยาว์หรือไม่ พวกเขาต้องการเข้าร่วมในการประมูลที่จะมาถึงนี้และได้ถามข้าว่าเจ้าจะไปกับพวกเขาได้ไหม”


 


“งานประมูลรึ” ซูหยางเลิกคิ้ว “ทำไมพวกเขาจึงต้องการเข้าร่วมงานประมูล”


 


“ดูเหมือนว่าโรงประมูลนี้มีเจ้าของเป็นนิกายดอกบัวเพลิง และพวกเขามีสมบัติหายากเป็นพิเศษมาประมูลในปีนี้ ก็เหมือนกับการแข่งขันระดับภูมิภาค มันไม่ค่อยได้เปิดทำธุรกิจ และศิษย์เหล่านี้ต้องการหาประสบการณ์กับเหตุการณ์หายากนี้ให้ตนเอง”


 


“นิกายดอกบัวเพลิงรึ พวกเขาก็มีโรงประมูลในเมืองนี้ด้วยรึ”


 


“มิได้มีเพียงแค่ไม่กี่เมือง พวกเขาเป็นเจ้าของโรงประมูลในเกือบทุกเมืองในทวีปแห่งนี้ แน่นอนว่าที่อยู่ในเมืองนี้เป็นโรงประมูลที่ใหญ่ที่สุด” โหลวหลานจีกล่าว “นี่คือรายการของสิ่งที่น่าสนใจที่สุดที่พวกเขาจักขายในปีนี้”


 


เธอยื่นกระดาษที่เปี่ยมสีสันให้กับเขา


 


“นี่คือบัตรเชื้อเชิญอย่างเป็นทางการสู่โรงประมูล ส่งมาโดยนักปรุงยาหวังชูเหรินด้วยตนเอง เธอมาที่นี่เมื่อตอนที่พวกเราไปทำการทดสอบ”


 


ซูหยางมองดูรายการอย่างรวดเร็ว


 


“เมล็ดเพลิงนรกรึ” ซูหยางค่อนข้างประหลาดใจเมื่อเห็นวัตถุสิ่งนี้ในโลกนี้


 


“มีอะไรที่กระตุ้นความสนใจของเจ้ารึ” โหลวหลานจีสังเกตเห็นแววปรารถนาจากสายตาของเขา


 


“ใช่..เล็กน้อย”


 


เขาพยักหน้า “ข้าจักเข้าร่วมในงานประมูลนี้กับศิษย์เหล่านั้น”


 


“ดี ข้าจักบอกพวกเขาทีหลัง ที่นั่นจะเปิดสามวันหลังจากนี้ ดังนั้นใช้เวลานี้เตรียมตัวให้พร้อม”


 


“พี่ชาย อะไรที่ทำให้ท่านสนใจ” ซูหยินถามเขาขณะที่แอบมองไปยังรายการจากด้านข้าง


 


“เมล็ดเพลิงนรก มันเป็นยาที่มีประสิทธิภาพสุดยอดสำหรับเพิ่มปราณหยางของผู้คน”


 


“เจ้าพูดว่าเมล็ดเพลิงนรกรึ ทำไมเจ้าจึงต้องการสิ่งอันตรายเช่นนั้น” โหลวหลานจีมีท่าทางตระหนกเมื่อได้ยินเช่นนั้น


 


“มันอันตรายขนาดนั้นเลยรึ” ซูหยินถาม


 


“แน่นอน เปรียบเทียบกับดอกหยางพิสุทธิ์ มันมีประสิทธิภาพและอันตรายมากกว่าอย่างน้อยสิบเท่า จริงแล้วมันอันตรายมากกระทั่งผู้ที่อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณก็ยังมิกล้าแตะต้องมัน”


 


“ถ้ามันเป็นสิ่งอันตรายเช่นนั้น ทำไมจึงมีคนต้องการที่จะซื้อมัน” ซูหยินเผยให้เห็นหน้าตาสงสัย


 


“แม้ว่ามันจะมิสามารถกลืนกินได้โดยตรง มันยังมีประโยชน์อื่น อย่างเช่นเพิ่มปราณไร้ลักษณ์ในบริเวณใกล้เคียง” โหลวหลานจีกล่าว “ถ้าเจ้าวางเมล็ดเพลิงนรกไว้ในห้องหนึ่งเปรียบเทียบกับอีกห้องที่ว่างเปล่า ปราณไร้ลักษณ์ในห้องที่มีเมล็ดเพลิงนรกก็จักมีความเข้มข้นมากกว่าห้องที่ว่างอย่างน้อยสองเท่า ทำให้เจ้าสามารถฝึกยุทธได้รวดเร็วมากกว่า”


 


“แต่แน่นอน เพราะว่าธาตุหยางอันรุนแรง มีเพียงผู้ที่ฝึกวิชาด้วยปราณหยางที่สามารถฝึกฝนได้ในสภาพแวดล้อมแบบนั้นโดยไม่มีผลข้างเคียง”


 


โหลวหลานจีจึงหันไปมองดูซูหยางและกล่าวต่อว่า “เป็นการดีกว่าถ้าเจ้าปล่อยวางเมล็ดเพลิงนรก ในเมื่อพวกมันล้วนแพงอย่างที่สุด เมล็ดสุดท้ายถูกขายที่ราคามากกว่าหนึ่งแสนก้อนหินวิญญาณ”


 


“หนึ่งแสนก้อนหินวิญญาณ” ซูหยินอ้าปากค้างกับจำนวนเงินมหาศาล ต่อให้เป็นตระกูลซูก็ยังไม่สามารถที่จะนำเอาเงินจำนวนนั้นออกมาโดยไม่กระทบต่อสถานะทางการเงินของตระกูลไปหลายปี


 


“หนึ่งแสนก้อนหินวิญญาณรึ” ซูหยางไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่น้อย ในเมื่อเงินจำนวนนั้นก็เหมือนกับหยดน้ำหยดหนึ่งในทะเลในสายตาของเขา


 


หลังจากที่ปล้นห้องสมบัติภายในคลังสมบัติเซียน นอกจากวิชายุทธและสมบัติวิญญาณ เขาก็ยังได้หินวิญญาณอีกหลายล้านก้อน ความร่ำรวยเช่นนี้ย่อมพอเพียงที่จะเป็นค่าใช้จ่ายให้กับสำนักขนาดใหญ่ทั้งหมดเป็นเวลาหลายปี


 


“ข้าจักจำไว้” ซูหยางตอบหลังจากผ่านไปชั่วขณะ


 


เวลาต่อไป เหยาหนิงและศิษย์คนอื่นก็ปรากฏตัวขึ้น


 


“น้องหญิง เจ้าเสร็จสิ้นการพูดกับพี่ชายของเจ้าแล้วหรือ” เหยาหนิงเข้าไปหาเธอ


 


“อื้อ และข้าต้องขอโทษที่ลากเจ้ามาที่นี่พร้อมกับข้า” ซูหยินกล่าว


 


“อย่ากังวลเรื่องนี้ ข้ามาที่นี่ด้วยตัวข้าเอง ทั้งข้าเองก็สนใจในตัวพี่ชายของเจ้าอยู่เล็กน้อย” เหยาหนิงหันไปมองดูซูหยางพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า “ซูหยางใช่หรือไม่ อีกครั้งที่ข้าต้องขอโทษกับความเข้าใจผิด”


 


“เป็นแค่เรื่องเล็กน้อย” เขาตอบสนองเธอด้วยท่าทีไม่สนใจ


 


“อย่างไรก็ตาม ข้าได้พูดกับเพื่อนศิษย์ของเจ้าได้สักพักหนึ่งแล้ว และข้าต้องขอพูดว่าเจ้ามิได้เป็นอะไรที่เหมือนกับน้องสาวเจ้าอธิบายเลยแม้แต่น้อย” เหยาหนิงพลันหัวเราะคิกคัก


 


“โฮ่ เจ้าหมายความว่าอะไรเช่นนั้น” ซูหยางเลิกคิ้ว


 


“ใช่แล้ว เจ้าหมายความว่าอะไร อธิบายมาให้ชัดเจน ข้าจักมิทนการถูกหมิ่นเหยียดหยามต่อพี่ชายต่อให้เป็นเจ้าก็ตามเถอะ” ซูหยินกล่าว


 


“นั่นมิใช่อะไรแบบนั้น” เธอโบกมือ “จริงแล้วข้าอดมิได้ที่จะชื่นชอบเขามากกว่าเดิมตอนนี้ ที่สามารถดูแลคนมากมายปานนี้ได้ในครั้งเดียวอีกทั้งบ่อยครั้ง ร่างกายของเจ้าต้องพิเศษเป็นอย่างมากจริงๆ”


 


“ข้ายังคงมิเข้าใจกับสิ่งที่เจ้าพยายามจะพูด พี่หนิง” ซูหยินขมวดคิ้ว


 


“ฮี่ฮี่… เจ้ายังคงเยาว์วัย” เหยาหนิงส่ายหน้า “รอจนกว่าผ่านพ้นวันเกิดของเจ้าเดือนหน้าก่อนที่จะถามคำถามข้ามากกว่านี้”


 


ได้ยินคำของอีกฝ่าย ศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยด้านหลังเธอต่างพากันหัวเราะคิกคัก


 


ระหว่างที่ซูหยินสนทนากับซูหยาง พวกเธอก็ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับซูหยางหลังจากที่เหยาหนิงร้องขอต้องการรู้จักซูหยางให้มากกว่านี้ แน่นอนว่าเนื่องจากธรรมชาติและประสบการณ์ของพวกเธอ สิ่งที่พวกเธอสามารถเปิดเผยได้ก็เป็นเพียงความสามารถของซูหยางบนเตียงและวิธีที่เขาระรานร่างกายของพวกเธอด้วยการใช้เพียงแค่มือ


 


เหยาหนิงถูกความตระหนกเข้าครอบงำกับข้อมูลแบบนั้นในตอนแรก ในเมื่อเธอยังเป็นสาวบริสุทธิ์ แต่หลังจากที่รู้มากขึ้นเกี่ยวกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและปกติวิสัยของพวกเธอ เธอก็เริ่มสนใจกับพวกเธอมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ และก่อนที่เธอจะทันรู้ตัว ใจเธอก็ประทับใจไปกับการสนทนาเสียแล้ว


 


“ได้ ถ้าเจ้ามิต้องการที่จะบอกข้า ข้าจักถามพวกเธอด้วยตนเอง” ซูหยินแค่นเสียงและตรงไปยังเหล่าศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย


 


“โปรดบอกข้าเรื่องราวเกี่ยวกับพี่ชายของข้าในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอย่างละเอียด เพราะสถานการณ์บางอย่างทำให้ข้ามิสามารถที่จะเจอเขาเป็นเวลานับปี และข้าจักปลาบปลื้มไปนานเท่านานถ้าพวกเจ้าสามารถเปิดเผยประสบการณ์ของพวกเจ้ากับเขาต่อข้า”


 


“…”


 


เมื่อเห็นความจริงใจของซูหยิน เหล่าศิษย์ก็อดไม่ได้ที่จะแสดงรอยยิ้มอบอุ่นบนใบหน้า


 


“มากับพวกเรา เราจักบอกเจ้าทุกอย่างที่เจ้าต้องการจะรู้” หนึ่งในเหล่าศิษย์กล่าว


 


“ตกลง” ซูหยินพลันเปี่ยมไปด้วยความสุขในทันใด


 


“พี่ชาย เดี๋ยวข้าค่อยกลับมา” เธอกล่าวกับเขาก่อนที่จะติดตามเหล่าศิษย์ไปยังห้องอื่น


 


“เจ้ามิไปหยุดยั้งพวกเธอรึ” เหยาหนิงถามเขา “น้องสาวไร้เดียงสาของเจ้าจักรู้ความจริงเกี่ยวกับเจ้าในไม่กี่นาที รู้ไหม ใครจะรู้ว่าเธอจักมีท่าทีเช่นไรยามเมื่อเธอรู้ว่าพี่ชายสุดที่รักของเธอได้กลายเป็นชายเต็มตัวไปแล้วทั้งยังกับหญิงสาวมากมาย”


 


“ทำไมข้าต้องทำเช่นนั้น เธอต้องรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้นไม่ช้าก็เร็วอยู่แล้ว” ซูหยางยักไหล่


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า ช่างน่ารัก ข้าชอบ” เหยาหนิงหัวเราะ


DC บทที่ 331: รู้ความจริง


 


หลังจากที่เหล่าศิษย์พาซูหยินไปยังห้องของพวกเธอและนั่งลงแล้ว เหล่าหญิงสาวก็ถามเธอว่า “เจ้าต้องการจะรู้อะไรเกี่ยวกับพี่ชายของเจ้ารึ น้องหญิง”


 


“อืมม… ตั้งแต่เริ่มต้น พวกท่านสามารถบอกข้าเกี่ยวกับชีวิตของพี่ชายข้าในนิกายในฐานะศิษย์ได้หรือไม่ ตำแหน่งของเขาเป็นอย่างไร มีใครรังแกเขาหรือไม่”


 


บรรดาศิษย์ต่างพากันสบสายตากันไปมาหลังจากที่ได้ยินคำถามของซูหยินก่อนที่จะหัวเราะเสียงดัง


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าคิดว่าพี่ชายเจ้าเป็นคนที่ถูกรังแกได้ง่ายๆงั้นรึ แม้ว่าเขาจะถูกล้อเลียนจากคนอื่นในตอนแรกยามที่เขาได้เข้าร่วมนิกายเนื่องมาจากคำร่ำลือบางอย่าง ศิษย์พี่ชายได้พิสูจน์ตัวเองต่อทุกคนอย่างรวดเร็วว่าเขามิใช่ชายที่จักล้อเล่นได้ สร้างความตื่นตระหนกให้กับเขตศิษย์นอกกับความแข็งแกร่งอันลึกล้ำในฝีมือกระบี่”


 


“ตอนนี้ในเมื่อเจ้าได้พูดถึง คำร่ำลือนั้นเรียกศิษย์พี่ชายว่าเป็นคนพิการ”


 


ซูหยินเลิกคิ้ว “คนพิการ แม้ว่าพี่ชายมักจะปฏิเสธที่จะฝึกวิชายามอยู่ที่บ้าน แต่เป็นที่แน่นอนว่าเขามิใช่คนพิการ”


 


เหล่าศิษย์มองดูเธอด้วยดวงตาโตขึ้นเล็กน้อย


 


“เราจักมิพูดถึง “พิการ” ประเภทนั้น หนึ่งในเหล่าศิษย์กล่าว ซึ่งได้ชี้ไปที่บริเวณที่ลับของตนเอง “นั่นเป็นเงื่อนไขที่สามารถเป็นได้สำหรับชายเท่านั้น ถ้าชายไม่สามารถกระทั่งยกน้องชายขึ้น เขาจะยังคงถือว่าเป็นชายอยู่อีกรึ”


 


“?!?!” ซูหยินทำตาโตด้วยความตระหนก “นั่นยิ่งไร้สาระ มิมีทางที่เขาจะพิการตรงนั้น อย่างไรก็ตามข้าได้เป็นเห็นมันด้วยตน–”


 


เมื่อรู้ตัวว่าเธอกำลังจะพูดอะไร ซูหยินรีบปิดปากตัวเอง สร้างความงุนงงให้กับเหล่าศิษย์ที่นั่น


 


“อืม… สิ่งที่ข้าพยายามจะพูดก็คือ… ข้าบังเอิญเห็นพี่ชายเปลือยครั้งหนึ่ง… และก็เห็นชัดว่ามันทรงพลังในเวลานั้น…“ ซูหยินใช้ไหวพริบหาข้อแก้ตัวออกมาได้


 


บรรดาศิษย์ต่างพากันสบสายตากันไปมาก่อนที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้ง


 


“เอาล่ะ พวกเรามาพูดถึงพี่ชายเจ้ากันต่อเถอะ”


 


พวกเธอกลับคืนสู่หัวข้อหลังจากที่หัวเราะกันชั่วขณะ


 


“กระทั่งในฐานะศิษย์นอก ศิษย์พี่ชายได้มีอิทธิพลอย่างมากภายในเหล่าศิษย์ โดยเฉพาะผู้หญิง เมื่อเขากลายเป็นศิษย์ใน เขาก็ยิ่งเป็นที่นิยมซึ่งมีศิษย์มากมายขอพบเขาทุกวัน”


 


“ว้าว.. พี่ชายของข้ามีอำนาจมากเช่นนั้นเลยรึ” ซูหยินอดที่จะแสดงความชื่นชมไม่ได้


 


“ทรงอิทธิพลรึ แม้ว่าเขาจะเป็นที่รู้จักว่ามีพรสวรรค์เชิงกระบี่ แต่นั่นมิใช่เหตุผลที่เขาเป็นที่นิยม” ศิษย์คนหนึ่งกล่าว


 


“เอ๋ พวกท่านหมยความว่าอะไรเช่นนั้น” ซูหยินเอียงคอของเธอ


 


“ศิษย์พี่ชายเป็นที่นิยมโดยหลักแล้วเพราะว่ากลเม็ดของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลเม็ดการใช้มือของเขา”


 


“ก-กลเม็ดการใช้มือรึ พี่ชายมีพรสวรรค์ในการต่อสู้ด้วยมือเปล่าด้วยเช่นนั้นรึ”


 


เพราะว่าซูหยินไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเป็นอะไร เธอจึงไม่สามารถเข้าใจคำพูดของเหล่าศิษย์เหล่านี้ กระทั่งเข้าใจพวกเธอผิดไป


 


“…”


 


ศิษย์นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมองดูซูหยินด้วยดวงตาสงสัย พวกเธอเริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไปกับสถานการณ์นี้


 


หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ หนึ่งในเหล่าศิษย์ก็กล่าวขึ้นว่า “อืมม.. น้องหญิง… เจ้ารู้จักไหมว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเป็นสถานที่เช่นไร เจ้าเคยได้ยินได้ฟังมาก่อนหรือไม่”


 


ซูหยินส่ายหน้าอย่างรวดเร็วและกล่าวว่า “ไม่ ข้ามิเคยได้ยินนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมาจนกระทั่งวันนี้ วิชาประเภทไหนกันที่พวกท่านเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ”


 


ครั้นเมื่อซูหยินเปิดเผยให้เหล่าศิษย์เห็นถึงความไม่รู้ของเธอ เหล่าศิษย์ต่างพากันกุมหน้าผาก


 


“ไอย่า เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”


 


“คิดว่าพวกเราคงต้องเริ่มจากตรงนั้น”


 


“มีอะไรหรือ พี่หญิง” ซูหยินมีท่าทางงุนงงกับปฏิกิริยาแปลกประหลาดของเหล่าศิษย์


 


“อย่าตระหนกเกินไปหากเจ้าได้ยินเรื่องนี้ แต่… นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยฝึกวิชาคู่…”


 


หลังจากที่พูดคำพูดเหล่านี้แล้ว ทั้งห้องพลันเงียบไป และเหล่าศิษย์ต่างก็พากันรอปฏิกิริยาของซูหยินอย่างกระวนกระวาย


 


“ฝึกวิชาคู่รึ เป็นการฝึกฝนประเภทไหนกัน”


 


ความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของซูหยินสร้างความตระหนกให้กับเหล่าศิษย์


 


“ธ-เธอบริสุทธิ์เกินไป… ข้ามิคิดว่าเราควรให้เธอรู้…” หนึ่งในเหล่าศิษย์พลันกระซิบกับคนอื่น


 


“ข้าคิดว่านั่นสายเกินไปแล้วสำหรับเรื่องนั้น ต่อให้พวกเรามิพูดอะไรในวันนี้ เธอก็จักรู้ความจริงไม่ช้าก็เร็ว”


 


“ข้าก็คิดว่าเราควรบอกเธอให้รู้ความจริงเช่นกัน อย่างไรก็ตามเธอก็ยังเป็นน้องสาวของศิษย์พี่ชาย”


 


“จริงด้วย ศิษย์พี่ชายคงจะยับยั้งพวกเราไว้แล้วตั้งแต่ตอนนั้นถ้าเขามิต้องการให้สิ่งนี้เกิดขึ้น”


 


หลังจากพูดคุยกันสั้นๆระหว่างพวกเธอ เหล่าศิษย์สุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะบอกซูหยินตามความเป็นจริง


 


“น้องหญิง อย่าตื่นตระหนกเกินไปเมื่อเจ้าได้ยินเรื่องนี้ แต่…การฝึกวิชาคู่นั้นก็คือการที่ชายและหญิงอยู่ร่วมกันและแลกเปลี่ยนหยินและหยาง.. อีกความหมายหนึ่งก็คือ พวกเขามีเพศสัมพันธ์กัน”


 


สถานที่นั้นพลันเงียบลงไป และซูหยินก็นิ่งค้าง ท่าทางของเธอแข็งทื่อดูราวกับรูปปั้น


 


“…”


 


“…”


 


“…”


 


หลังจากผ่านช่วงเวลาอันเงียบงันอึดอัดเป็นเวลานาน ร่างที่เกร็งค้างของซูหยินก็พลันสั่นสะท้านอย่างรุนแรง และในเวลาถัดไปเธอก็กระอักเลือดออกมาหนึ่งคำ


 


“น้องหญิง เจ้ายังดีอยู่ไหม”


 


เหล่าศิษย์ต่างพากันตกใจเป็นอันมากกับปฏิกิริยาของซูหยิน ไม่มีใครในหมู่พวกเธอได้คาดว่าอีกฝ่ายจะได้รับความตระหนกมากมายเพียงนั้น


 


“ท-ท-ท-ท่านโกหก พวกท่านโกหกข้า มิมีทางที่พี่ชายข้าจะทำสิ่งนั้น” ซูหยินไม่สนใจเลือดบนปลายลิ้นและปฏิเสธทุกอย่างที่พวกเธอเพิ่งพูดออกมา


 


เหล่าศิษย์ส่ายหน้า เมื่อเห็นซูหยินในสภาพที่ยังไม่อาจยอมรับได้


 


“ทำไมเราจึงต้องโกหกเจ้า พวกเรามิได้อะไรจากการกระทำเช่นนั้น เจ้าสามารถถามคนทั่วไปได้ถ้าเจ้าต้องการว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเป็นสถานที่ประเภทไหน”


 


เหล่าศิษย์พากันยักไหล่


 


“มิมีทาง… เช่นนั้นพวกท่านหญิงสาว… และพี่ชาย…” ซูหยินไม่อาจหยุดสั่น เมื่อตระหนักถึงความจริง


 


“ถูกต้องแล้ว พวกเราทุกคนได้ร่วมฝึกกับศิษย์พี่ชายเรียบร้อยแล้ว และไม่ใช่เพียงแค่ครั้งสองครั้ง”


 


เมื่อเหล่าศิษย์กล่าวถ้อยคำเหล่านี้ ต่างก็มีท่าทางพึงพอใจบนใบหน้าตนเอง ราวกับว่าพวกเธอภูมิใจกับการได้รับความสำเร็จเช่นนั้น


 


“แงๆๆๆๆๆๆๆ”


 


ซูหยิงพลันเริ่มร่ำไห้น้ำตาไหล


 


“กระทั่งข้ายังมิเคยก้าวไปไกลถึงเช่นนั้นกับพี่ชาย ข้าต้องการเป็นคนแรกของเขา เช่นกัน แงๆๆๆๆๆๆๆ”


 


ด้วยว่าหัวใจของเธอเปี่ยมไปด้วยความโศกเศร้า ซูหยินจึงไม่สนใจกับการซ่อนความรู้สึกของตนเองต่อซูหยางอีกต่อไป


 


“…”


 


เหล่าศิษย์ต่างพากันทำกรามร่วงลงสู่พื้นเมื่อเธอได้ยินคำพูดของซูหยิน


 


“จ-เจ้ารักพี่ชายของเจ้าจริงๆ หือ…”


 


“ผิดด้วยหรือที่ข้ารักเขา ข้ามิได้รับอนุญาตให้รักเขาเพราะว่าเราเป็นพี่น้องในสายเลือดกันหรือไร”


 


“เอ้อ…”


 


เหล่าศิษย์พากันสบสายตากันก่อนที่จะพูดว่า “เจ้าคิดว่าพวกเราเป็นใครกัน จะเป็นอะไรถ้าเจ้าจะมีความรู้สึกต่อพี่ชายของเจ้า ถ้าพวกเราสนใจกับสิ่งที่สังคมคิด เราก็คงมิได้มาเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยตั้งแต่แรก”


 


“เอ๋ พวกท่านมิได้รังเกียจข้ารึ” ซูหยินมองดูศิษย์เหล่านี้ตาโต


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าดูถูกพวกเราศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมากไปแล้ว เจ้าคิดบ้างไหมว่ามีพี่น้องกี่มากน้อยที่เคยอยู่ในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่เป็นคู่ฝึกกัน ความไร้ยางอายของพวกเราเป็นที่รู้กันว่าไร้ขอบเขต”


 


“เคยอยู่รึ… เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา” ซูหยินถามด้วยเสียงสั่นสะท้าน


 


“อา อย่ากังวล มิใช่ว่าพวกเราไล่พวกเขาหรืออะไรทำนองนั้น บางสิ่งได้เกิดขึ้นกับนิกายของพวกเราก่อนหน้านี้ จนทำให้ศิษย์ของพวกเราส่วนใหญ่ได้จากไป ดังนั้นพวกเราตอนนี้จึงอยู่ในฐานะที่ลำบาก”


 


“…”


 


หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ซูหยินก็ปาดน้ำตาออกไปจากใบหน้าและมองดูเหล่าศิษย์ด้วยท่าทางจริงจัง


 


“เช่นนั้นพวกท่านพูดว่าถ้าข้าเข้าร่วมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย เช่นนั้นข้าจักสามารถรักพี่ชายข้าได้อย่างเปิดเผยโดยมิถูกใครดูหมิ่นเหยียดหยามรึ” เธอถามอีกฝ่าย


 


เหล่าศิษย์ไม่คาดว่าเธอจะถามคำถามเช่นนั้นและได้แต่เพียงจับจ้องไปยังเธอด้วยสีหน้างงงัน


 


“อืออ… ข้าเดาว่าเช่นนั้น” สุดท้ายหนึ่งในพวกเธอก็ตอบ


 


“ดี เช่นนั้นข้าจักเข้าร่วมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” ซูหยินพลันประกาศออกมา


 


“เจ้าจะทำอะไรนะ”


 


ได้ยินคำพูดของซูหยิน เหล่าศิษย์ต่างอดที่จะตะโกนออกมาเสียงดังไม่ได้


DC บทที่ 332: ข้าต้องการเข้าร่วมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย


 


“เจ้ามิควรล้อเล่นเช่นนี้ น้องหญิง มิใช่ว่าเจ้าเป็นศิษย์ของสำนักหงส์สวรรค์ที่ทรงเกียรติแล้วรึ นั่นย่อมเป็นการดูหมิ่นพวกเขาอย่างแรง” หนึ่งในเหล่าศิษย์กล่าว


 


“เจ้าเพิ่งเป็นศิษย์ส่วนตัวของเจ้าสำนักไม่นานมานี้ด้วยเช่นกัน”


 


“เอ๋ พวกท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าเป็นศิษย์ของเจ้าสำนักด้วย” ซูหยินถาม


 


“พี่น้องคนนั้นบอกเราเกี่ยวกับเจ้าเล็กน้อยเมื่อเราถามก่อนหน้านี้”


 


“ข้าเข้าใจละ…อย่างไรก็ตามอะไรทำให้พวกท่านคิดว่าข้าพูดเล่น ข้าจริงจังที่สุดในตอนนี้ ถ้าข้าสามารถส่งความรักของข้าต่อพี่ชายได้อย่างอิสระ ข้าจักมิลังเลที่จะจากสำนักหงส์สวรรค์มาเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเลย” ซูหยินพูดด้วยสีหน้าท่าทางจริงจัง


 


เมื่อเห็นการตัดสินใจเข้าร่วมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของซูหยิน บรรดาศิษย์ต่างสบสายตากันอย่างงงวย


 


“สำหรับเรื่องนี้นั้นเกินความสามารถของพวกเรา ข้าคิดว่าเจ้าควรจะพูดกับท่านผู้นำนิกายของเราเกี่ยวกับเรื่องนี้แทน” หนึ่งในหมู่ศิษย์กล่าว


 


“ได้ ข้าจักพูดกับเธอตอนนี้เลย”


 


ซูหยินพลันมุ่งตรงไปยังประตูทิ้งให้เหล่าศิษย์อยู่อย่างงงงัน


 


“เธอวางแผนที่จะออกจากสำนักหงส์สวรรค์มาเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจริงหรือ แม้ว่าเธอจะเป็นน้องสาวของศิษย์พี่ชาย ข้าก็มิคิดว่านั่นจักเป็นความคิดที่ดีนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนิกายของเราอยู่ในสภาพเช่นนี้”


 


“ใช่ นั่นจักดูเหมือนว่าเรากำลังขโมยศิษย์ของพวกเขา และเราก็มิอาจจะพยายามล่วงเกินสำนักระดับสูงอื่นได้อีก…”


 


เหล่าศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยต่างพากันส่ายหน้า


 


หลังจากที่ออกจากห้อง ซูหยินก็ตรงไปหาโหลวหลานจี ซึ่งพูดอยู่กับเหยาหนิงในอีกห้องในเวลานั้น


 


“ว่าไง เจ้าได้รู้อะไรบ้าง” เหยาหนิงถามเธอด้วยรอยยิ้มที่มีเลศนัย


 


“ฮึ่ม” ซูหยินแค่นเสียงเย็นชา


 


“ข้าจักถือว่านี่เป็นคำตอบว่าใช่” เหยาหนิงพูดขณะหัวเราะคิกคัก


 


“ขออภัย ท่านคงเป็นผู้นำนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ใช่หรือไม่” ซูหยินตรงเข้าไปหาโหลวหลานจี


 


“นั่นถูกต้องแล้ว”


 


“ข้ามีคำขอร้องต่อท่าน ท่านผู้นำนิกาย”


 


“หือ ข้าจักทำอะไรเพื่อน้องสาวของซูหยางได้บ้าง”


 


“ข้าต้องการเข้าร่วมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” ซูหยินประกาศก้อง


 


“เจ้าต้องการอะไรนะ”


 


เหยาหนิงอุทานออกมาด้วยความตกใจ


 


“เจ้ามิควรเล่นตลกแบบนี้ เจ้าเป็นศิษย์เอกของสำนักหงส์สวรรค์อยู่แล้วนะ”


 


“ข้ามิได้เล่นตลก พี่หนิง ข้าจักออกจากสำนักหงส์สวรรค์เพื่อเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” ซูหยินยังยืนกรานอย่างมั่นคง


 


“เจ้า— หากว่าเจ้าสำนัก อาจารย์ของเจ้าได้ยินเรื่องนี้ เธอต้องบ้าแน่”


 


“เดี๋ยวก่อน” โหลวหลานจีพลันขัดขึ้น เธอยังคงรักษาความเยือกเย็นกับสถานการณ์เช่นนี้


 


“อะไรเป็นเหตุผลที่เจ้าต้องการเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของข้ารึ และสำนักหงส์สวรรค์จะว่าไงกับการที่ได้ฟูมฟักเจ้ามาจนเป็นอยู่อย่างเช่นทุกวันนี้ เจ้าจะละทิ้งพวกเขาได้จริงๆรึ”


 


ซูหยินยังคงมีสีหน้าจริงจังและกล่าวว่า “แม้ว่าข้าจักซาบซึ้งกับทุกสิ่งที่สำนักหงส์สวรรค์ได้ทำไว้เพื่อข้า ข้าก็ยังจักทำทุกสิ่งเพื่อที่จะให้ได้อยู่เคียงข้างพี่ชายของข้า”


 


“เช่นนั้นซูหยางก็เป็นเหตุผลสำหรับการตัดสินใจของเจ้า” โหลวหลานจีมองดูซูหยินตรงเข้าไปในดวงตา


 


“ใช่” ซูหยินตอบโดยไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย


 


เหยาหนิงอดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านหลังจากที่ได้เห็นสีหน้าเด็ดเดี่ยวของซูหยิน เธอไม่คาดคิดว่าความรักต่อซูหยางของอีกฝ่ายจะมากมายถึงปานนี้ ถึงขั้นที่เธอต้องการจะละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเขา หรือว่าการแยกจากเขาเป็นเวลานานนั้นทำให้ความคิดอ่านของเธอผิดไป


 


“พี่ชายของเจ้า ซูหยาง รู้เรื่องนี้หรือไม่” โหลวหลานจีถาม


 


ซูหยินส่ายหน้า “ไม่ นี่เป็นสิ่งที่ข้าเพิ่งตัดสินใจ”


 


“เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเป็นสถานที่เช่นไร”


 


“ข้ารู้ อย่างไรก็ตาม เจตนาของข้าเพียงอย่างเดียวก็คืออยู่ร่วมกับพี่ชายของข้า ข้ามิปรารถนาอย่างอื่นอีก”


 


โหลวหลานจีเงียบและหลับตาลงในเวลาต่อมา


 


ชั่วขณะหลังจากนั้น เธอก็กล่าวขึ้นว่า “ข้ายินดีอย่างมากที่จะมีอัจฉริยะเช่นเจ้าเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย แต่ทว่าข้ามิอาจตอบรับข้อเสนอของเจ้าได้”


 


ได้ยินคำกล่าวปฏิเสธของโหลวหลานจี ซูหยินกัดริมฝีปากและกล่าวว่า “นั่นเป็นเพราะว่าข้าเป็นพี่น้องกับเขาหรือไม่”


 


โหลวหลานจีส่ายหน้าและพูดต่อว่า “การตัดสินใจของข้ามิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของเจ้ากับซูหยาง ลองคิดในฐานะของข้า ถ้าข้ารับเจ้าไว้สำนักหงส์สวรรค์จักมีท่าทีอย่างไร พวกเขาจักต้องคิดว่าข้าได้ขโมยศิษย์ที่มีพรสวรรค์ที่สุดของเขาไป แม้ว่าข้าเกลียดที่จะพูดแต่ทว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็อยู่ในฐานะที่ยากลำบากในตอนนี้ เรามิอาจที่จะพยายามล่วงเกินพวกเขา ถ้ามิใช่เพราะซูหยางพวกเราก็คงมิได้อยู่ยังที่นี้เพื่อเข้าร่วมการแข่งขันระดับภูมิภาค”


 


ซูหยินพลันเงียบลงไปหลังจากที่ได้ยินเหตุผลตอบกลับมาจากโหลวหลานจี


 


ชั่วขณะหนึ่งหลังจากนั้น ซูหยินก็พูดขึ้นว่า “เช่นนั้นท่านก็หมายความว่าตราบเท่าที่สำนักหงส์สวรรค์มิได้สร้างปัญหาให้กันนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจากการตัดสินใจของข้า ท่านก็จักยอมให้ข้าเข้าร่วมใช่ไหม”


 


“ถูกต้องแล้ว” โหลวหลานจีพยักหน้าหลังจากครุ่นคิดชั่วขณะ


 


“ตกลง เช่นนั้นข้าจักไปโน้มน้าวอาจารย์ของข้ายอมให้ข้าจากมาโดยมิมีปัญหาใด” ซูหยินกล่าว


 


“นั่นเป็นไปมิได้” เหยาหนิงพลันกล่าวขึ้น


 


“น้องซู เจ้าเป็นหนึ่งในผู้ที่มีพรสวรรค์ที่สุดในบรรดาศิษย์ทั้งหมดในสำนักหงส์สวรรค์ของเราในรุ่นนี้ เจ้าสำนักจักมิยอมให้ท่านจากมาอย่างต่อให้ต้องฆ่าเธออย่างแน่นอน แล้วพ่อของท่านเจ้าซูล่ะ เขาจักต้องมิยอมให้ลูกสาวของเขาเข้าร่วมกับสถานที่ดังเช่นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยแน่นอน”


 


“พ่อข้ารึ” สีหน้าของซูหยินพลันมืดหม่นลง “เพราะว่าสิ่งที่เขาทำ ข้าจึงมีเรื่องที่จักต้องพูดคุยกับเขาให้รู้เรื่อง ถ้าเขาปฏิเสธ เช่นนั้นข้าจักเพียงแค่ออกจากตระกูลซู เช่นเดียวกับพี่ชายของข้า”


 


“เจ้า…”


 


เหยาหนิงจนคำพูด นี่เป็นความลึกซึ้งแค่ไหนกันกับความรู้สึกที่ซูหยินมีต่อพี่ชายของเธอ กับการที่เธอไปไกลถึงเพียงนี้นี่เหมือนกับว่าเธอกำลังไล่ตามหาคนรัก


 


กระทั่งโหลวหลานจีก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมกับความเด็ดเดี่ยวและความปรารถนาที่จะอยู่ร่วมกับซูหยางของซูหยิน


 


“อย่าลำบากพยายามคิดโน้มน้าวข้าเลยพี่สาวหนิง ข้าได้ตัดสินใจแล้ว หลังจากที่ข้าได้อยู่ร่วมกับพี่ชายที่นี่เพียงพอแล้ว ข้าจักพูดกับอาจารย์เกี่ยวกับการออกจากสำนัก”


 


“สวรรค์…” เหยาหนิงคุ้นเคยเป็นอย่างมากกับความดื้อรั้นของซูหยิน ดังนั้นจึงทำให้เธอไม่รู้สึกอะไรไปมากกว่าความกลัวในเวลานี้สำหรับกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ต่อจากนี้ “เจ้าสำนักจักต้องพลิกสำนักกลับด้านแน่ถ้าเธอได้ยินเรื่องนี้”


DC บทที่ 333: สนับสนุนการตัดสินใจของเธอ


 


หลังจากที่ซูหยินได้พูดคุยกับโหลวหลานจีแล้ว พวกเธอก็ตรงไปยังซูหยางเพื่อให้เขารู้ถึงสถานการณ์


 


“เช่นนั้นรึ” ซูหยางตอบสนองกับความปรารถนาที่จะเข้านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของซูหยินด้วยอาการสงบ


 


“เจ้ามิมีความเห็นแย้งเรื่องนี้รึ” โหลวหลานจีเลิกคิ้ว


 


“ทำไมข้าต้องทำเช่นนั้น ถ้าเธอต้องการจะเป็นศิษย์ของนิกาย เช่นนั้นก็ให้เธอเป็น” เขายักไหล่อย่างไม่แยแส


 


“แต่สำนักหงส์สวรรค์…”


 


“พวกเขาแข็งแกร่งแค่ไหนเชียวเมื่อเปรียบเทียบกับนิกายล้านอสรพิษ” เขาพลันถาม


 


“พวกเขาน่าจะมีพลังคู่คี่ก้ำกึ่งกับนิกายล้านอสรพิษ” โหลวหลานจีพูด


 


“เช่นนั้นต้องมีอะไรที่จะต้องกังวล ถ้านิกายล้านอสรพิษมิอาจทำอันตรายเราได้ พวกเขาจะทำอะไรได้”


 


“พี่ชาย ท่านมิถือกับการเข้าร่วมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของข้ารึ” ซูหยินค่อนข้างประหลาดใจเล็กน้อยกับการที่เขาสนับสนุนการตัดสินใจของเธอ ในเมื่อเธอคาดว่าเขาจะทำในสิ่งตรงกันข้าม


 


“ถ้านั่นเป็นการตัดสินใจของเจ้า แน่นอนว่าข้ามิถือ อย่างไรก็ตามกล่าวไปแล้ว เจ้าควรพูดกับอาจารย์ของเจ้าก่อนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถ้าเจ้าต้องการ ข้าสามารถไปกับเจ้าได้ มิว่าจะอย่างไร เจ้าก็มิได้เป็นเครื่องมือหรือทาสของพวกเขา”


 


“พี่ชาย…” ซูหยินรู้สึกเหมือนว่าน้ำตาเธอจะไหลหลังจากที่ได้ยินถ้อยคำของเขา


 


ในเวลานั้นในอีกโรงเตี๊ยม ที่ซึ่งนิกายหงส์สวรรค์อาศัยอยู่


 


“ซูหยินจากไปกับพี่ชายของเธอรึ” เจ้าสำนักหงส์สวรรค์มองดูผู้อาวุโสสำนักที่ยืนอยู่ตรงหน้าเธอด้วยใบหน้าเรียบเฉย


 


“มิเพียงเท่านั้น เธอยังกระทั่งตบหน้าข้าท่ามกลางสาธารณะชนด้วยการข่มขู่ข้า ท่านเจ้าสำนักควรจะบอกเธอให้กลับมาและลงโทษเธอสำหรับการไร้สัมมาคาวะผู้อาวุโสของเธอ” ผู้อาวุโสสำนักกล่าว


 


เจ้าสำนักครุ่นคิดอยู่อย่างเงียบๆชั่วขณะ


 


“ถ้าข้าจำได้มิผิด พี่ชายของเธอได้สูญหายไปเมื่อปีที่แล้ว เธอต้องเต็มไปด้วยความสุขที่ในที่สุดก็สามารถได้อยู่ร่วมกับเขาอีกครั้ง ยังมิได้พูดถึงความหดหู่ที่เธอมีไม่นานมานี้ ปล่อยให้เธอใช้เวลาชั่วขณะกับพี่ชายเธอ นั่นย่อมมิมีอันตรายใด”


 


เจ้าสำนักพูดหลังจากครุ่นคิด


 


“แต่ท่านเจ้าสำนัก ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นศิษย์ของท่าน เธอก็มิอาจจะไร้ซึ่งความเคารพต่อผู้อาวุโสของเธอ เราต้องสอนวินัยให้เธออย่างเข้มงวด มิเช่นนั้นพฤติกรรมของเธอมีแต่จักเลวร้ายลงในอนาคต”


 


ผู้อาวุโสสำนักปฏิเสธที่จะปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ ความอับอายที่เธอได้รับนั้นมากเกินไปเกินกว่าที่เธอจะปล่อยผ่าน


 


“เช่นนั้นเจ้าก็สามารถไปลากเธอกลับมาด้วยตัวเอง ข้าจักมิเข้าไปมีส่วนในเรื่องนี้ และถ้าเธอเปลี่ยนเป็นโกรธพวกเราในเรื่องนี้ ข้าจักให้เจ้าเป็นผู้รับผิดชอบ”


 


เจ้าสำนักรู้ดีว่าซูหยินหวงแหนพี่ชายของเธอมากเพียงใด ถ้าพวกเธอแยกพวกเขาในตอนนี้ แน่นอนว่าเธอต้องเกลียดสำนักหงส์สวรรค์แน่นอน


 


“ซูหยินมีอายุเพียงสิบห้าปี แต่เธอก็ได้ก้าวเข้าสู่ระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณแล้วตั้งแต่อายุยังน้อย ถ้าดูแลอย่างเหมาะสม เธอก็จักเข้าแทนที่ข้าในฐานะเจ้าสำนักอย่างแน่นอนภายในสิบปี เรามิอาจที่จะยอมสูญเสียศิษย์เช่นเธอ” เธอกล่าวต่อว่า “ส่วนสำหรับพฤติกรรมของเธอ แน่นอนว่าข้าย่อมสั่งสอนเธออย่างเหมาะสมยามเมื่อเธอกลับมาแล้ว”


 


หลังจากที่ฟังคำพูดของเจ้าสำนัก ผู้อาวุโสสำนักก็นึกถึงความรู้สึกอันตรายที่ซูหยินปลดปล่อยออกมาจากตอนนั้น


 


“ศิษย์คนนี้เข้าใจแล้ว…”


 



 



 



 


“พี่ชาย ห้องไหนที่เราจะได้ใช้ในคืนนี้” ซูหยินถามเขาหลังจากที่ท้องฟ้าเริ่มมืด


 


“เจ้าสามารถหลับในห้องข้ากับเพื่อนของเจ้า” เขาตอบ


 


“เจ้าต้องการให้ข้าใช้ห้องเดียวร่วมกับชายที่เพิ่งพบรึ” เหยาหนิงมองดูเข้าด้วยใบหน้าประหลาด


 


“เจ้ากังวลว่าข้าจักทำอะไรเจ้ารึ” ซูหยางถามด้วยรอยยิ้ม


 


“เจ้ามิทำรึ”


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าควรจะเป็นคนที่กังวลว่าจะถูกลวนลามขณะหลับ ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าจักไม่พ่ายแพ้ต่ออารมณ์หลังจากที่เห็นใบหน้ายามหลับของข้า” ซูหยางระเบิดเสียงหัวเราะ


 


“เจ้า… เจ้าตัวเลวน้อย แม้ว่าข้ายอมรับว่าเจ้าเป็นคนที่หน้าตาดีที่สุดคนหนึ่งที่ข้าเคยเห็น แต่ก็อย่าหลงตัวเองเกินไป” เหยาหนิงหน้าแดง


 


“อย่ากังวลไปพี่หนิง พี่ชายข้ามิได้เป็นคนประเภทที่ถือโอกาสคนอื่นเช่นนั้น ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน” ซูหยินประกันความปลอดภัยของเธอจากซูหยาง


 


“ข้าเพียงล้อเล่น น้องหญิง ข้าเชื่อพี่ชายเจ้า” เหยาหนิงถอนใจ


 


ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ซูหยางก็พาเด็กสาวทั้งสองไปที่ห้องของเขา ซึ่งมีหญิงสาวอีกสองคนได้รอคอยพวกเขาอยู่


 


“พวกเธอจักอยู่กับพวกเราในห้องนี้จนกว่าพวกเธอจะไป” เขากล่าวกับพวกเธอ ซึ่งดูค่อนข้างไม่พอใจหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา


 


“เอ๋…. แล้วการฝึกวิชาของพวกเราล่ะ เจ้าสัญญาจะฝึกกับพวกเราทั้งหมดเป็นกลุ่มเดียวคืนนี้” ซุนจิงจิงถามเขาโดยไม่อาย


 


“แน่นอน ข้าจักยังคงฝึกร่วมกับพวกเจ้าสาวๆคืนนี้ พวกเธอจักหลับในห้องนี้ขณะที่เราไปยังอีกห้อง” ซูหยางหัวเราะหึ


 


“ถ้าเช่นนั้น พวกเราก็ไปอีกห้องกันตอนนี้เถอะ” ซูหยางหันไปมองดูน้องสาวของตนเองที่ตกตะลึงอยู่และกล่าวว่า “ราตรีสวัสดิ์ ข้าจักกลับมาไม่นานนัก”


 


“อะแฮ่ม..”


 


แม้ว่าจะรู้สึกกระอักกระอ่วนอยู่เล็กน้อย แต่ทั้งซุนจิงจิงและฟางซีหลานก็ติดตามซูหยางไปยังอีกห้องที่ซึ่งศิษย์คนอื่นอาศัยอยู่ ทิ้งให้ซูหยินและเหยาหนิงงงงันอยู่เบื้องหลัง


 


“พี่ชายของเจ้าช่างหน้าด้านไร้ยางอายจริงๆ ถึงกล้าพูดถ้อยคำเหล่านั้นต่อหน้าน้องสาวของตนเอง เขามิสนใจความรู้สึกของเจ้าแม้แต่น้อย” เหยาหนิงเริ่มด่าเขาหลังจากที่พวกเขาไปแล้ว


 


อย่างไรก็ตาม ซูหยินยังคงเงียบเฉย


 


“ทำไมเจ้าถึงเงียบไปล่ะ พูดอะไรบ้างซิ…”


 


“ฮ่าาาาา..” ซูหยินถอนใจเสียงดังหลังจากนั้นชั่วขณะและพูดขึ้นว่า “แม้ว่าข้าเกลียดที่จะเห็นหญิงคนอื่นแตะต้องพี่ชายที่รักของข้า ข้าก็มิอาจหาเหตุผลบอกเขาให้หยุด ในเมื่อนี่เป็นเรื่องปกติของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ถ้าข้าก้าวเข้าเป็นศิษย์ของพวกเขา ข้าก็จักต้องคุ้นเคยกับความรู้สึกนี้ไม่ช้าก็เร็ว” แม้ว่าเธอจะเต็มไปด้วยความอิจฉา เธอก็ได้แต่ปลอบตัวเองด้วยการเชื่อว่าเธอก็จะสามารถทำเช่นนั้นกับซูหยางได้เช่นกันถ้าเธอเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย


 


“เจ้าจริงจังในเรื่องจากพวกเราไปเข้าร่วมกับพวกเขาอย่างแท้จริงเลยรึ” เหยาหนิงอดไม่ได้ที่จะแสดงความเสียใจต่อการตัดสินใจของอีกฝ่าย


 


“แน่นอน” อีกฝ่ายตอบกลับในทันที


 


“อย่างไรก็ตาม ข้าจักต้องปวดหัวถ้าข้าคิดเรื่องนี้ต่อไป ดังนั้นข้าจักปล่อยให้เจ้าสำนักจัดการเรื่องนี้…” เหยาหนิงส่ายหน้าและเลือกที่นอนที่หนึ่งสำหรับหลับนอน


 


“เจ้ามิหลับรึ” เธอถามซูหยินสองสามนาทีหลังจากนั้น


 


“ข้าจักรอคอยพี่ชายกลับมา อย่างไรก็ตามข้าต้องการหลับอยู่ข้างเขา”


 


“…”


 


เหยาหนิงไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองอย่างไรจึงได้แต่เงียบ และหลับลงไปในเวลาต่อมา


DC บทที่ 334: วันประมูล


 


สามชั่วโมงหลังจากที่ซูหยางออกไปจากห้องพร้อมกับซุนจิงจิงและฟางซีหลาน สุดท้ายซูหยางก็กลับมาที่ห้องซึ่งซูหยินได้ตื่นรอเขาอยู่ตลอดเวลา


 


“นอนมิหลับรึ” เขาถามเธอ


 


“ข้าต้องการหลับด้วยกัน” เธอตอบด้วยรอยยิ้ม


 


ซูหยางไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่พยักหน้าก่อนที่จะตรงไปยังที่นอนผืนหนึ่ง


 


ซูหยินติดตามไปนอนข้างเขาด้วยสีหน้าพึงพอใจ


 


“ว่าไปแล้วหญิงสาวสองคนนั้นไปไหนแล้ว นี่ก็เป็นห้องของพวกเธอด้วยเช่นกันมิใช่หรือ” เธอคิดสงสัยว่าทำไมเขาจึงกลับมาคนเดียว


 


“พวกเธอหลับที่อีกห้องไปเรียบร้อยแล้ว”


 


“อย่างนั้นรึ…”


 


ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นลมหายใจของซูหยินก็สงบลง นับตั้งแต่ซูหยาง “สูญหาย” ไปนี่เป็นครั้งแรกของเธอที่ได้หลับอย่างเป็นสุข


 


ยามเช้าตรู่ เหยาหนิงก็ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆและเห็นซูหยินหลับอยู่ข้างซูหยางด้วยรอยยิ้มเปี่ยมสุขบนใบหน้า


 


“เด็กคนนี้…” เธอก็ยิ้มตามไปด้วยเมื่อเห็นใบหน้าสงบสุขนั้น


 


หลังจากนั้นชั่วขณะซูหยางก็ตื่นขึ้นตามด้วยซูหยิน


 


“ท่านจะทำอะไรวันนี้พี่ชาย” เธอถามเขา


 


“นอกจากฝึกวิชาแล้วก็มิมีอะไรทำอีกก่อนที่การประมูลจะมาถึง” เขากล่าว


 


“เช่นนั้นปกติท่านทำอะไร”


 


“ข้าก็ฝึกวิชา”


 


“เจ้าหมายถึงมีเพศสัมพันธ์” เหยาหนิงพูดขำ


 


“ถ้านั่นเป็นสิ่งที่เจ้าต้องการจะเรียก” ซูหยางยิ้ม


 


“พวกเจ้าเหล่าหญิงจะทำอะไรก็ได้ตามที่ต้องการจนถึงตอนนั้น ข้าจะไปทำการฝึกฝนแล้ว”


 


หลังจากที่ซูหยางจากห้องไป เหยาหนิงก็ถอนหายใจเสียงดัง “ช่างเป็นพี่ชายที่ไร้หัวใจ น้องสาวสุดที่รักของตนเองอยู่ที่นี่ แต่เขายังกล้าที่จะทำสิ่งที่ไร้ยางอายกับหญิงคนอื่น พวกเราควรจะกลับไปสำนักกันเถอะ”


 


“นั่นช่วยไม่ได้” ซูหยินส่ายหน้า “นี่เป็นวิถีชีวิตของพวกเขา ต่อให้พวกเรามิได้อยู่ที่นี่ พวกเราก็ยังคงต้องฝึกฝนอย่างโดดเดี่ยวจนกว่าจะถึงการแข่งขัน”


 


ขณะที่ซูหยินดูเยือกเย็นภายนอกเธอกลับอิจฉาเหล่าศิษย์เหล่านั้นอยู่ภายในเมื่อพวกเธอเหล่านั้นสามารถที่จะกอดซูหยางได้อย่างง่ายดายไม่เหมือนเธอที่ผู้คนมากมายจะต้องเลิกคิ้วถ้ากระทำอย่างเปิดเผย


 


“อย่างไรก็ตามความอิจฉานี้ก็จักคงอยู่แค่ก่อนข้าเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ครั้นเมื่อข้าก็เป็นศิษย์ของนิกายของพวกเขาเช่นกันข้าก็จักสามารถที่จะกอดเขาตามที่ข้าต้องการ” ซูหยินคิดกับตนเองในเมื่อการคิดแบบนี้เป็นสิ่งเดียวที่สามารถควบคุมความอิจฉาของเธอให้อยู่ภายใต้การควบคุมได้


 


และสำหรับสองวันถัดไปซูหยางก็ได้ฝึกวิชาร่วมกับเหล่าศิษย์ขณะที่ซูหยินและเหยาหนิงก็ได้ฝึกวิชากันตามลำพังในห้องจนกระทั่งถึงเวลาหลับ


 


“เจ้าทำเช่นนี้ได้ทั้งวันทุกวันได้อย่างไร เจ้ามิหมดแรงบ้างรึ ต่อให้จิตใจเจ้าสามารถทนได้แต่ว่าร่างกายของเจ้าทำงานต่อเนื่องอย่างนี้ได้อย่างไร” เหยาหนิงอดที่จะถามเขาไม่ได้


 


ต่อให้ชายคนนั้นจะไม่ล้มป่วยลงเพราะว่าสนุกกับหญิงสาวมากมายทุกวัน ร่างกายของเชาก็ไม่ควรจะสามารถรับแรงกดดันไหวโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าปราณหยางของเขาถูกดูดออกไปจากร่างอย่างต่อเนื่อง


 


“หรือว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมีวิชาที่ทำให้ชายมีกำลังวังชามิสิ้นสุด”


 


“โฮ่ เจ้าสนใจในร่างกายของข้ารึ ต้องการให้ข้าแสดงให้ดูหรือไม่” ซูหยางถามด้วยรอยยิ้มยั่วเย้า


 


“มิมีทาง” เหยาหนิงแค่นเสียงเย็นชา


 


“พี่ชายข้าพร้อมไปแล้ว” ซูหยินกล่าวขณะที่เธอตรงไปที่ประตู


 


ซูหยางพยักหน้า “คนอื่นรออยู่ที่ชั้นล่างแล้ว เราไปกันเถอะ”


 


หลังจากนั้นซูหยาง ซูหยินและเหยาหนิงก็เดินลงไปยังชั้นล่างที่กลุ่มของศิษย์รุ่นเยาว์รวมตัวกัน


 


“พวกเขาก็ล้วนเป็นศิษย์จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยรึ” นี่เป็นครั้งแรกที่ซูหยินเห็นพวกเขานับตั้งแต่เธอมา “ทำไมข้าจึงมิเห็นพวกเขามาก่อน”


 


“เพราะว่ามีบางอย่างที่ผู้นำนิกายได้พูดกับพวกเขา ทำให้พวกเขามิกล้าที่จะออกจากห้องนอกจากจะเป็นเวลาเร่งด่วน…” ซูหยางส่ายหน้า


 


“แต่แน่นอนว่าพวกเขาก็เป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเช่นกัน”


 


“พวกเขาเห็นชัดว่าอายุยังไม่ถึงเกณฑ์ อย่าบอกข้าว่าพวกเขาก็…” เหยาหนิงปิดปากตนเองด้วยความตระหนกและรังเกียจ


 


“ใจเย็น แม้ว่าพวกเขาจะเป็นศิษย์แต่พวกเขาก็ถูกห้ามมิให้ฝึกวิชาจนกว่าพวกเขาจะเป็นผู้ใหญ่มีอายุถึงสิบหกปี ถ้าซูหยินเข้าร่วมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยในตอนนี้เธอก็จักเป็นหนึ่งในหมู่พวกเขาจนกว่าเธอจะกลายเป็นผู้ใหญ่”


 


“โอ… ข้าต้องขอโทษสำหรับเรื่องเมื่อกี้นี้” เหยาหนิงขอโทษกับความเข้าใจผิดของตัวเธอเอง


 


“ดูสิ ศิษย์พี่ชายอยู่ที่นี่”


 


เมื่อศิษย์รุ่นเยาว์สังเกตเห็นเขาพวกเขาก็พากันส่งเสียงเอะอะในทันที


 


“หญิงสองคนนี้เป็นใครกัน”


 


พวกเขาถามทันทีที่สังเกตเห็นซูหยิงและเหยาหนิงซึ่งไม่ได้อยู่ในนิกายของพวกเขา


 


“ข้าชื่อซูหยิน และนี่คือเหยาหนิง เราทั้งคู่เป็นศิษย์ของสำนักหงส์สวรรค์” ซูหยินพูด


 


“ซูหยินรึ”


 


บรรดาศิษย์รุ่นเยาว์มองไปยังซูหยางซึ่งมีนามสกุลเดียวกัน


 


“เขาเป็นพี่ชายของข้า เราทั้งคู่มาจากตระกูลซู” ซูหยินยืนยันความสงสัยของพวกเขา


 


“มิมีทาง ศิษย์พี่ชายมีน้องสาวด้วยรึ”


 


“สมกับเป็นน้องสาวของศิษย์พี่ชาย เธอช่างสวยจริง”


 


“น่าอิจฉาเหลือเกิน ข้าก็ต้องการมีพี่ชายเหมือนศิษย์พี่ชายเช่นกัน”


 


บรรยากาศยิ่งอึกทึกยิ่งกว่าเดิมเมื่อศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันรุมล้อมซูหยินซึ่งหน้าแดงจากการที่เหล่าศิษย์พากันชมเชย


 


“พวกเราทั้งหมดเตรียมพร้อมที่จะไปยังโรงประมูลดอกบัวเพลิงหรือยัง”


 


โหลวหลานจีปรากฏตัวขึ้นหลังจากนั้นเล็กน้อย


 


“ทุกคนอยู่ที่นี่ไหม” เธอถามซูหยาง


 


“ศิษย์คนอื่นวุ่นวายอยู่กับการฝึกฝน นั่นจะต้องใช้เวลาสองสามวันก่อนที่พวกเธอจะซึมซับปราณหยางของข้าอย่างสมบูรณ์ และนี่มีศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งหมดที่ต้องการไปโรงประมูล”


 


โหลวหลานจีพยักหน้า “ข้าทิ้งผู้อาวุโสนิกายไว้ข้างหลังในกรณีจำเป็น พวกเราจะไปยังโรงประมูลและนิกายดอกบัวเพลิงก็อยู่ที่นั่น ดังนั้นพวกเรามิต้องกังวลว่าจะมีปัญหาขณะที่พวกเราอยู่ที่นั่น”


 


“ก่อนที่พวกเราจะออกไปข้าต้องการที่จะตักเตือนพวกเจ้าทั้งหมดสองสามอย่าง อันดับแรกสุดอย่าเตร็ดเตร่ไปทั่วและอยู่กับกลุ่มเมื่อพวกเราอยู่ด้านนอก เราอาจจะมิสามารถช่วยเหลือเจ้าได้หากว่าเจ้าพลันสูญหายไป อันดับที่สองอย่าสร้างปัญหาอะไรเมื่อพวกเราอยู่ด้านนอกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรงประมูล ที่นั่นมีคนมากมายที่มีกำลังหนุนหลังเทียบได้กับนิกายล้านอสรพิษหรือไม่ก็ทรงพลังยิ่งกว่า และสุดท้ายทำตัวให้มีความสุขในวันนี้ นี่เป็นเหตุการณ์ที่พวกเจ้าอาจจะมิได้รับประสบการณ์เช่นนี้อีก พวกเจ้าเข้าใจไหม”


 


“ขอรับ/เจ้าค่ะผู้นำนิกาย” ศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันตะโกนออกมา


 


“ดีมาก” โหลวหลานจีพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม


 


ไม่นานนักนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็เริ่มเดินทางไปยังโรงประมูลดอกบัวเพลิง


DC บทที่ 335: บัตรเชิญปลอม


 


“หวาวว ช่างเป็นอาคารที่สวยจัง”


 


เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างแสดงท่าทางหวาดหวั่นอยู่ตรงหน้าโรงประมูลดอกบัวเพลิงที่ระบายลวดลายด้วยทองและสิ่งประดับราคาแพงอื่นๆ


 


“เอาล่ะ หยุดยืนนิ่งอยู่ที่นี่และเข้าไปข้างในกันก่อนที่เก้าอี้จะหมดไป” โหลวหลานจีปรบมือเพื่อเรียกความสนใจของพวกเขา


 


อย่างไรก็ตามขณะที่พวกเขาตรงเข้าไปยังทางเข้า หนึ่งในคนงานของที่นั่นก็ได้หยุดพวกเขาไว้ไม่ให้เข้า


 


“ขออภัย แต่พวกท่านมาจากสำนักไหน” เขาถาม


 


“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” โหลวหลานจีกล่าว “มีปัญหาอะไรรึ”


 


“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยรึ” คนงานชายคนนั้นมองทั่วรายการในมือแล้วส่ายหน้าหลังจากนั้น “ข้าขออภัยแต่ข้ามิพบเจอนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยในรายการแขกวันนี้ การประมูลปีนี้เพียงเปิดให้สำหรับผู้ที่ได้รับคำเชิญเท่านั้น”


 


“อะไรนะ เรามิได้รับเชิญรึ เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร เราก็ได้รับจดหมายเชิญนะ”


 


“รายการนี้ได้ถูกดูทั่วแล้วมิต่ำกว่าสิบครั้งจากคนจำนวนมากที่นั่น และย่อมมิมีปัญหากับมันแน่นอน” คนงานส่ายหน้า


 


“ยิ่งไปกว่านั้นจำนวนจำกัดของแขกแต่ละกลุ่มสามารถพามาได้อย่างมากก็เพียงห้าคน ขณะที่พวกท่านพามาไม่ต่ำกว่าสามสิบคน เช่นนั้นนั่นเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน”


 


“ผู้นำนิกาย ทำไมท่านต้องเสียเวลาพูดกับเขาในเมื่อเพียงแค่ท่านสามารถแสดงจดหมายเชิญให้กับเขาเท่านั้น” ซูหยางดูเธออย่างประหลาดใจ


 


“โอ จริงด้วย” โหลวหลานจีที่ไม่ได้คิดเช่นนั้นมาก่อน พยักหน้า


 


เธอนำบัตรเชิญที่ส่งตรงด้วยตัวหวังชูเหรินเองมาแสดงให้กับคนงาน


 


คนงานมองดูบัตรเชิญสีทองด้วยท่าทางประหลาด


 


“พวกเจ้าคิดว่าข้าโง่รึ” คนงานชายนั้นส่ายหน้าและโยนบัตรเชิญนั้นไปด้านข้างราวกับว่ามันเป็นขยะ


 


“เจ้าคิดว่าข้ามิสามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างบัตรเชิญจริงกับปลอมอย่างนั้นรึ มิเพียงแต่บัตรนั้นขาดสัญลักษณ์นิกายดอกบัวเพลิง แต่บัตรเชิญทั้งหมดที่ถูกส่งไปมิมีบัตรไหนที่ดูเป็นแบบนั้น”


 


“เป็นไปมิได้…หรือว่ามีใครสักคนเล่นตลกกับพวกเรา” โหลวหลานจีงุนงง แต่เธอจำได้อย่างชัดเจนว่าผู้อาวุโสอ้างว่าหวังชูเหรินได้จัดส่งบัตรเชิญด้วยตนเอง ทำไมเธอจึงต้องทำเช่นนี้กับพวกเขา


 


“เฮ้ เกิดอะไรขึ้นที่นี่รึ มีปัญหาอะไรรึ”


 


ทันใดนั้น ชายวัยกลางคนก็ตรงเข้ามาหาพวกเขา


 


“ผู้อาวุโส คนเหล่านี้พยายามที่จะแอบเข้าไปในงานประมูล พวกเขากล้ากระทั่งที่จะปลอมบัตร” คนงานชายกล่าวกับผู้อาวุโสที่เข้าไปหา


 


“บัตรเชิญปลอมรึ ข้าต้องการเห็นว่าใครกล้ามาวางท่า”


 


ชายวัยกลางคนนั้นที่ดูเหมือนจะเป็นผู้อาวุโสนิกายจากนิกายดอกบัวเพลิงมองดูนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร


 


“แสดงสถานะพวกเจ้าออกมา” เขาพูดด้วยเสียงกดดัน


 


“พวกเราเป็น–”


 


ขณะที่โหลวหลานจีอ้าปากขึ้น ซูหยางพลันก้าวเท้ามาข้างหน้าขัดจังหวะเธอ


 


“บอกให้หวังชูเหรินออกมาที่นี่ ข้ารู้ว่าเธออยู่ข้างใน” เขากล่าวด้วยเสียงเย็นชา


 


“พวกเจ้าคิดว่าพวกเจ้าเป็นใครกัน กล้าดียังไงจึงเรียกผู้อาวุโสหวังด้วยน้ำเสียงแบบนั้น”


 


ชายวัยกลางคนพลันเปลี่ยนเป็นก้าวร้าว


 


“เกิดอะไรขึ้นที่นั่น”


 


“ถึงกับล่วงเกินนิกายดอกบัวเพลิงที่นี่ พวกเขามาจากสำนักไหนกัน ช่างเป็นพวกโง่เง่า…”


 


คนอื่นๆที่นั่นต่างพากันสังเกตเห็นสถานการณ์นี้ พวกเขาบางคนกระทั่งตรงเข้ามาหาพวกเขาด้วยเจตนาที่จะสนับสนุนนิกายดอกบัวเพลิงหวังที่จะได้มีบุญคุญในภายหลัง


 


“ข้ามิรู้ว่าพวกเจ้ามุดออกมาจากรูไหนแต่ไสหัวไปซะ ที่นี่มิใช่สถานที่สำหรับเด็ก”


 


“ถ้าเจ้ามองหาสนามเด็กเล่น มีีที่หนึ่งห่างจากที่นี่ไปสิบนาที”


 


“อย่าสนใจพวกขอทานพวกนี้ ท่านผู้อาวุโสจากนิกายดอกบัวเพลิง ถ้าพวกเขากล้าสร้างปัญหามากกว่านี้ ข้าจักทุบตีพวกนี้ให้แก่ท่าน”


 


“พวกเจ้ากล้าหยามพี่ชายของข้าได้อย่างไร ข้าจักทุบตีเจ้าตอนนี้เลย” ซูหยินพลันก้าวออกมาข้างหน้าอย่างควันขึ้นหน้า


 


“ศิษย์ของสำนักหงส์สวรรค์”


 


คนที่นั่นต่างพากันจดจำลวดลายบนชุดของเธอได้ในทันที


 


“นี่หมายความว่าเจ้ามิยอมให้พวกเราเข้าไปข้างในมิว่าเหตุใดก็ตามรึ” ซูหยางถามด้วยท่าทางเรียบเฉย


 


“ถูกต้อง” ชายวัยกลางคนยืนยัน


 


“อืมม.. นั่นมีปัญหาอยู่ ข้าได้สัญญากับเด็กๆเหล่านี้ว่าข้าจักให้พวกเขาได้มีประสบการณ์การประมูลในวันนี้ ดังนั้นข้าจักต้องเติมเต็มสิ่งนั้นมิทางใดก็ทางหนึ่ง..” ซูหยางพูดด้วยดวงตาที่หรี่ลง


 


“โฮ่ เจ้ากำลังข่มขู่ข้า นิกายดอกบัวเพลิงรึ” ชายวัยกลางคนพลันระเบิดเสียงหัวเราะ “พวกท่านได้ยินนั่นหรือไม่เพื่อน เจ้าเด็กเหลือขอนี่เพิ่งข่มขู่ข้า ฮ่าฮ่าฮ่า”


 


“ข้าได้เหยียบนิกายดอกบัวเพลิงไปแล้วครั้งหนึ่ง นั่นย่อมมิแตกต่างถ้าข้าทำซ้ำอีกครั้ง…” ซูหยางส่ายหน้าและเตรียมตัวที่จะดึงกระบี่ออกมา


 


อย่างไรก็ตามเสียงอีกเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น


 


“เกิดอะไรขึ้นที่นี่ ทำไมจึงมีความวุ่นวายเช่นนี้ พวกเจ้าต้องการให้ข้ารายงานเรื่องนี้กับผู้อาวุโสหวังรึ”


 


นั่นเป็นเสียงของหญิงที่ค่อนข้างเยาว์


 


ไม่นานหลังจากนั้นหญิงสาวน่ารักเยาว์วัยสวมชุดศิษย์หลักของนิกายดอกบัวเพลิงก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าพวกเขา


 


ดวงตาซูหยางมีแสงแวววาวอย่างลึกลับเมื่อเขาเห็นหญิงสาวคนนี้


 


“ศิษย์จาง เจ้ามาได้ถูกเวลา คนพวกนี้จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้สร้างความวุ่นวายที่นี่ พวกเขาพยายามที่จะแอบเข้าไปด้านในด้วยบัตรเชิญปลอม” ชายวัยกลางคนกล่าวกับศิษย์จางคนนี้ด้วยน้ำเสียงนบนอบแม้ว่าจะอาวุโสกว่า


 


“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยรึ”


 


ศิษย์จางคนนี้เลิกคิ้วเมื่อเธอได้ยินชื่อนี้


 


“อย่ากีดขวางทางข้า” เธอตะโกนใส่พวกเขา


 


ไม่นานนักหลังจากที่ศิษย์จางเห็นใบหน้าหล่อเหลาของซูหยาง ดวงตาเธอก็เปิดกว้างขึ้นด้วยความประหลาดใจ


 


“ซูหยาง”


 


เธอพลันโถมตัวเข้าไปหาเขาและกอดเขาไว้แน่นสร้างความตระหนกให้กับคนแถวนั้น


 


“จางซิวยิง ไม่ได้พบกันสักพักแล้วนะ” ซูหยางยิ้ม


 


“ท่านมาทำอะไรที่นี่ซูหยาง ถ้าข้ารู้ว่าท่านจะมาข้าจักต้องมาต้อนรับท่านด้วยตัวเองแน่นอน” จางซิวยิงต้องการจูบเขาตรงนั้นแต่ว่ามีคนโดยรอบมากมายเกินไปทำให้การกระทำเช่นนั้นเป็นได้ยาก


 


“ข้าควรถามเจ้าคำถามนั้น ทำไมเจ้ามาที่นี่ อย่าบอกว่าเจ้าถูกเลือกให้เป็นผู้ช่วยอีกแล้ว” เขาหัวเราะหึ


 


“แม้ว่าข้าอยู่ที่นี่ในฐานะผู้ช่วย แต่ตำแหน่งของข้าตอนนี้เพียงต่ำกว่าผู้อาวุโสหวัง” เธอหัวเราะ


 


“โอ นี่ช่างน่าประหลาดใจ ในเมื่อเจ้ามีอำนาจมากมาย เจ้าควรสามารถจัดการปัญหานี้ได้อย่างง่ายดายใช่ไหม”


 


จางซิวยิงพยักหน้า “อย่ากังวล ในเมื่อข้าอยู่ที่นี่เรื่องนี้จะถูกจัดการโดยเร็ว”


DC บทที่ 336: คนหนุ่มสาวควรอยู่ร่วมกัน


 


เมื่อผู้อาวุโสของนิกายดอกบัวเพลิงเห็นจางซิวยิงโอบกอดซูหยางต่อหน้าทุกคน ดวงตาของเขาก็ถลนออกมาจากเบ้าเนื่องจากความตระหนก


 


แต่นั่นไม่ใช่แต่เพียงเขาเท่านั้น ทุกคนที่นั่นต่างก็งงงันไปกับความใกล้ชิดสนิทสนมของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งซูหยินซึ่งไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี


 


แม้ว่าเธอสามารถหาข้ออ้างให้กับศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่หลับนอนกับเขาเนื่องมาจากการฝึกฝนของนิกาย แล้วจะมีข้ออ้างไหนให้กับสาวคนใหม่นี้ที่ถือว่าเป็นคนนอก


 


“เกิดอะไรขึ้นที่นี่ผู้อาวุโสโจว” จางซิวยิงมองดูเขาด้วยดวงตาหรี่เรียว


 


หลังจากที่ใช้เวลาสงบใจลงชั่วขณะ ผู้อาวุโสโจวก็อธิบายสถานการณ์ให้กับเธอ


 


“ไม่เพียงแต่พวกเขามาที่นี่พร้อมกับคนกว่าสามสิบคน แต่พวกเขายังกระทั่งพยายามที่จะหลอกคนงานนี้ด้วยบัตรเชิญปลอม เขามิเคารพผู้อาวุโสหวัง หลังจากที่ข้าพยายามจะแก้ไขนิสัยเขา เขากลับข่มขู่ข้า-นิกายดอกบัวเพลิง ข้ามีพยาน”


 


“ผู้อาวุโสนี้มิได้โกหก ชายหนุ่มคนนั้นได้ข่มขู่ผู้อาวุโสว่าเขาจักเข้าไปในโรงประมูลไม่ว่าวิธีใดก็วิธีหนึ่ง”


 


พยานเลือกเข้าข้างด้านนี้


 


“บัตรเชิญปลอมนี่อยู่ที่ไหน ข้าต้องการดูมัน” จางซิวยิงออกคำสั่ง


 


“มันอยู่ตรงนี้” คนงานรีบไปเก็บบัตรเชิญที่เขาโยนทิ้งไปเหมือนขยะและยื่นส่งให้กับเธอ


 


จางซิวยิงใช้เวลาชั่วขณะในการดูบัตรเชิญ


 


“เจ้าเห็นหรือยังตอนนี้ ศิษย์จาง ต่อให้เขาเป็นหนึ่งในเพื่อนของเจ้า เราก็จะต้องลงโทษเขาที่–”


 


“หุบปาก” จางซิวยิงขัดเขาในทันที


 


“เจ้าตาบอดหรืออย่างไร ตาพวกเจ้าเพียงมองแต่บัตรหรูหราหรืออย่างไร ถ่านี่มิใช่ลายมือของผู้อาวุโสหวัง ข้ายินดีที่จะวิ่งเปลือยกายรอบเมือง” จางซิวยิงฟาดบัตรเชิญไปที่ใบหน้าผู้อาวุโสโจว


 


“อะไรกัน นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน” ในเมื่อเขาไม่ได้ดูบัตรเชิญ เขาจึงไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าใครเป็นคนเขียน


 


“ซิวยิง เขากระทั่งมองจดหมายเชิญก่อนที่จะกล่าวหาพวกเราว่านำบัตรเชิญปลอมมา ยังมิทำเลย” ซูหยางพลันฟ้องทำให้หน้าผู้อาวุโสโจวซีดเผือด


 


“อะไรกัน เจ้าทำสิ่งโง่เง่าเช่นนี้ทั้งที่เป็นผู้อาวุโสได้อย่างไรกัน” จางซิวยิงขมวดคิ้ว


 


“อา คนรับใช้ตรงนั้นถึงกระทั่งทิ้งจดหมายเชิญที่เขียนด้วยตัวหวังชูเหรินเองลงบนพื้น”


 


ในเมื่อเขาถูกผู้อื่นฟ้องนั่นย่อมจะเป็นการสูญเสียถ้าเขาไม่กระทำเช่นนี้กับคนอื่นบ้าง


 


“โอ วีรบุรุษผู้กล้าคนไหนกันที่กล้าโยนจดหมายเชิญของหญิงสาวคนนี้ลงบนพื้น”


 


เสียงอันคุ้นเคยอีกเสียงหนึ่งพลังส่งมาและหวังชูเหรินที่มีรูปร่างสง่างามพลันปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาจากความว่างเปล่า


 


“ผู้อาวุโสหวัง”


 


ทุกคนที่นั่นต่างพากันโค้งให้กับเธอทันทีที่เธอมาถึง


 


หวังชูเหรินไม่สนใจผู้ใดและรับบัตรเชิญจากจางซิวยิงและเหลือบดูมัน


 


“นี่เป็นจดหมายเชิญที่ข้าเขียนเอง…และได้นำไปส่งที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยด้วยตัวข้าเอง และเจ้าโยนมันทิ้งเหมือนกับว่ามันเป็นขยะรึ”


 


หวังชูเหรินตรงเข้าไปหาคนงานชายด้วยท่าทางโกรธ


 


คนงานที่เธอมองดูพลันเป็นลมไปจากความตระหนกหลังจากที่รับรู้ถึงจิตสังหารจากสายตาของเธอ


 


กระทั่งผู้อาวุโสโจวก็ยังสั่นสะท้านราวกับเป็นบ้า


 


“ชูเหริน ในเมื่อเจ้าอยู่ที่นี่ในตอนนี้ มิมีเหตุผลใดที่จะปล่อยให้พวกเรายืนรออีกต่อไป เจ้าสามารถจัดการพวกเขาทีหลัง” ซูหยางกล่าวกับเธอ


 


“เจ้าพูดถูก ข้ามิควรเสียเวลาอันมีค่าของข้ากับขยะเช่นพวกเขา ตามข้ามา”


 


“ข้าจักจัดการกับเจ้าทีหลังผู้อาวุโสโจว” เธอกล่าวกับเขาด้วยเสียงแผ่วเบาก่อนปล่อยอีกฝ่ายอยู่ตามลำพัง


 


“อย่างไรก็ตามข้าได้นำคนสามสิบคนมากับข้าด้วย ถ้าเจ้ามิถือ” ซูหยางชี้ไปยังศิษย์รุ่นเยาว์ด้านหลังเขา


 


“สามสิบคนรึ… ที่นั่งในห้องวีไอพีมีไม่พอสำหรับคนมากมายปานนี้ต่อให้ข้าเตะทุกคนออกไป” เธอกล่าวด้วยเสียงครุ่นคิด


 


“เรามิต้องการห้องวีไอพี เพียงแค่แบบธรรมดาก็ใช้ได้แล้ว”


 


“ได้ถ้าเจ้าว่าเช่นนั้น” ซูหยางพยักหน้า


 


เธอจึงนำนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเข้าไปในโรงประมูลและให้ที่นั่งพวกเขาเกือบทั้งหมดด้านหน้าซึ่งพวกเขาสามารถเห็นเวทีประมูลได้อย่างชัดเจนที่สุด ส่วนคนที่ได้นั่งอยู่ที่นั่นก่อนแล้วหวังชูเหรินได้ขอร้องพวกเขาอย่างสุภาพให้เปลี่ยนที่นั่ง และบอกว่าพวกเขาจะได้รับการชดเชยในภายหลัง


 


แน่นอนว่าต่อให้พวกเขาเป็นคนที่มีอำนาจหนุนหลัง ก็ไม่มีพวกเขาคนไหนกล้าที่จะโต้เถียงกับหวังชูเหรินที่กระทั่งบรรพบุรุษของพวกเขายังไม่กล้าล่วงเกิน


 


“คนพวกนั้นเป็นใครกัน ถึงกับต้องมีผู้อาวุโสหวังหาที่นั่งให้กับพวกเขาด้วยตนเองกระทั่งทำให้แขกคนอื่นเปลี่ยนที่นั่งให้กับพวกเขา พวกเขาต้องเป็นพวกมีอำนาจหนุนหลังแน่”


 


“พวกเขากระทั่งนำคนมาด้วยถึงสามสิบคนในขณะที่พวกเราทั้งหมดจำกัดไว้ที่ห้า”


 


หลังจากที่ได้รับที่นั่งของพวกเขาแล้ว โหลวหลานจีก็ได้ถามหวังชูเหรินด้วยสีหน้ากังวล “ท่านมั่นใจว่านี่ไม่เป็นไร พวกเรามิสร้างปัญหาให้กับท่านที่ยึดเอาที่นั่งคนอื่นรึ”


 


“อย่ากังวลเรื่องนั้น ถ้าพวกเขากล้าสร้างปัญหาข้าก็จักเพียงแค่ปฏิเสธที่จะขายยาให้พวกเขาเท่านั้นเอง ฮ่าฮ่าฮ่า” หวังชูเหรินเจตนาหัวเราะเสียงดังพอที่จะให้ทุกคนในห้องได้ยินคำพูดของเธอ


 


“ศิษย์จางทำไมเจ้ามิอยู่เป็นเพื่อนกับพวกเขาหน่อยในขณะที่ข้ากลับไปทำงาน” หวังชูเหรินพลันกล่าวกับเธอ


 


“เอ๋ แต่ว่างานของข้าล่ะ”


 


“คนอื่นจักจัดการมันแทน เจ้าได้ทำงานหนักมากระยะหลังนี้ ดังนั้นข้าจักให้เจ้าได้พักครั้งนี้”


 


“ขอบคุณผู้อาวุโสหวัง” จางซิวยิงคำนับเธอ


 


หลังจากที่หวังชูเหรินจากไป จางซิวยิงก็มองไปยังที่นั่งข้างตัวซูหยางแต่อนิจจานั่นถูกจับจองไปแล้วโดยโหลวหลานจีและซูหยิน


 


“ลืมมันไปซะ ข้ามิให้ที่นั่งของข้าแน่นอนต่อให้เจ้าขอร้องก็ตาม” ซูหยินรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรและกล่าวขึ้นก่อน


 


จางซิวยิงยิ้มขื่นขมและกล่าวว่า “อย่ากังวลไปข้ามิแย่งที่นั่งของเจ้าหรอก”


 


โหลวหลานจีสังเกตเห็นความขมขื่นในรอยยิ้มของจางซิวยิง จึงยิ้มในใจ


 


“คนหนุ่มสาวควรอยู่ร่วมกัน เจ้านั่งที่ของข้าเถอะ” เธอกล่าวขณะที่ยืนขึ้นและไปนั่งที่อื่น


 


“ข-ขอบคุณ” จางซิวยิงรีบคำนับให้กับเธอก่อนที่จะนั่งเก้าอี้นั้น


 


“ข้าคิดถึงท่านเหลือเกินซูหยาง” จางซิวยิงกล่าวกับเขาด้วยใบหน้าแดง


 


“ในเมื่อเจ้าคิดถึงข้าเจ้าก็ควรไปหาข้าที่โรงเตี๊ยมของข้าเมื่อเจ้ามีเวลาว่าง เราจักพูดคุยกันเป็นส่วนตัวเหมือนครั้งที่แล้วเป็นไง” ซูหยางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม


 


“อื้อ…” จางซิวยิงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง


DC บทที่ 337: นายน้อยตระกูลหวัง


 


หลังจากที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้ที่นั่งแล้ว คนก็ไหลหลั่งเข้าไปในโรงประมูล


 


ไม่เหมือนกับเมืองขนนกพริ้ว โรงประมูลดอกบัวเพลิงนี้มีที่นั่งเพียงพอสำหรับคนนับพัน แต่แม้ว่าจะมีที่นั่งมากมายเพียงนั้น ห้องก็ยังเต็มอย่ารวดเร็ว


 


และเพราะว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจับจองที่นั่งสำหรับตนเองเกินกว่าขีดจำกัดของแต่ละกลุ่มถึงยี่สิบห้าที่นั่งดังนั้นจึงมีคนที่ไม่มีที่นั่งในโรงประมูลด้วย


 


“เกิดบ้าอะไรกันวะ ทำไมจึงไม่มีที่นั่ง นิกายดอกบัวเพลิงได้ส่งบัตรเชิญเต็มพอดีห้องนี้แต่กลับไม่มีที่นั่งเหลือรึ พวกเขาคำนวณที่นั่งผิดหรือว่าให้บัตรเชิญมากเกินไป”


 


กลุ่มของชายหนุ่มหญิงสาวพลันเข้ามาในโรงประมูลและผู้ที่นำพวกเขามาก็มองดูไปรอบโรงประมูลด้วยรัศมีรอบกายเหมือนกับว่าเขาเป็นเจ้าของสถานที่


 


“นายน้อยหวังดูตรงนั้น ท่านรู้จักพวกเขาหรือไม่ พวกเขาจับจองสามสิบที่นั่งสำหรับตัวเอง” คนหนึ่งในกลุ่มสังเกตนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและชี้ไปยังพวกเขา


 


“พวกโง่เง่าตาบอดไหนกันที่ปล่อยให้คนมากมายที่เห็นชัดว่ามาจากกลุ่มเดียวกันมาที่นี่ ขีดจำกัดคือห้าคนต่อกลุ่ม ไม่มีแม้สำนักระดับสูงใดจะเป็นข้อยกเว้นของกฏนี้”


 


“ใช่ กระทั่งนายน้อยหวังที่เป็นญาติของผู้อาวุโสหวังก็พาคนไปได้แค่เจ็ดคนเท่านั้น”


 


“มิเพียงแต่พวกเขาจับจองที่นั่งถึงสามสิบที่แต่พวกเขายังอยู่ด้านหน้าสุดของโรงประมูล นั่นเป็นที่นั่งที่ดีที่สุด”


 


“ตอนนี้เมื่อข้าสังเกตอย่างใกล้ชิดมิใช่ว่าส่วนใหญ่ของพวกนั้นเป็นเด็กรึ เมื่อไหร่ที่สถานที่นี้กลายเป็นสนามเด็กเล่นไปแล้ว”


 


“นายน้อยหวังท่านต้องพูดอะไรกับพวกเขาก่อนที่ผู้อาวุโสหวังจะพบเห็น บางทีเธออาจจะให้รางวัลท่านด้วยยาล้ำค่าของเธอ”


 


นายน้อยหวังพยักหน้าด้วยใบหน้าภาคภูมิใจ “ดีมาก ให้นายน้อยคนนี้จัดการกับพวกเขาเอง”


 


ขณะที่กลุ่มนายน้อยหวังตรงเข้าไปหานิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยคนอื่นที่สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของพวกเขาก็สังเกตเห็นเจตนาของพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว


 


พวกเขาต่างเริ่มกระซิบกระซาบกัน


 


“เราควรหยุดพวกเขาดีหรือไม่ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาล่วงเกินผู้อาวุโสหวัง”


 


“เจ้ามิรู้จักชายหนุ่มที่นำหน้าพวกเขารึ เขาคือหวังชิชงลูกชายคนโตของตระกูลหวังและเป็นญาติคนหนึ่งของผู้อาวุโสหวัง”


 


“ต่อให้เขาเป็นญาติของเธอ คนหยิ่งยะโสแบบเขาซึ่งไม่สามารถเข้าใจสถานการณ์ได้ก็สมควรจะปล่อยให้อยู่ตามลำพัง”


 


“มีคนหลายคนที่นี่ที่มีอิทธิพลแต่ไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไปหากลุ่มนั้น ถ้าเขายังมิอาจที่จะแยกแยะสถานการณ์นั้นออกมาเช่นนั้นเขาก็สมควรเป็นทั้งคนโง่เง่าและตาบอดจากความหยิ่งยะโส”


 


“เจ้าพูดถูก ข้าก็ต้องการเห็นเช่นกันว่าเรื่องนี้จะดำเนินไปอย่างไร”


 


คนที่นั่นมองกลุ่มของหวังชิชงตรงเข้าไปหานิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอย่างเงียบๆด้วยรอยยิ้มเยียบบนใบหน้าและความคาดหวังในดวงตา


 


“เฮ้ นรกที่ไหนกันทำให้พวกเจ้าคิดว่าที่นี่เป็นบ้านของเจ้ากัน” หวังชิชงยืนต่อหน้านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและพูดเสียงดัง


 


“แต่ละกลุ่มเพียงได้รับอนุญาตให้พาคนมาห้าคนแต่พวกเจ้ากลับนำผู้คนมาถึงสามสิบคนกระทั่งยังยึดครองที่นั่งด้านหน้าเกือบทั้งหมด ต่อให้คนอื่นมิยุ่งเกี่ยวกับเจ้า แต่ข้าจักมิยอมปล่อยให้เจ้าทำตามใจปรารถนาในที่ของข้า”


 


จางซิวยิงพลันขมวดคิ้วกับสิ่งที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามก่อนที่เธอจะทันได้พูด ซูหยางก็ได้เปิดปากพูดขึ้นว่า “โอ เช่นนั้นเจ้าเป็นเจ้าของสถานที่นี้รึ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินเช่นนั้น”


 


“ระวังปากของเจ้าให้ดี เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเจ้ากำลังพูดกับใครอยู่ เขาคือนายน้อยหวังลูกชายคนโตของตระกูลหวังและเป็นญาติของผู้อาวุโสหวังด้วย”


 


“คนที่ดูแลโรงประมูลนี้เป็นผู้อาวุโสหวัง ดังนั้นเป็นเรื่องธรรมดาที่มันก็ต้องขึ้นกับตระกูลหวังด้วย”


 


คนที่ยืนอยู่เบื้องหลังหวังชิชงพูด


 


“เจ้ารู้แล้วนะ” หวังชิชงยิ้มเยาะ “ในเมื่อตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจฐานะของข้าแล้วพวกเจ้าก็จงไสหัวไปให้พ้นที่แห่งนี้ซะ”


 


“โฮ่ เช่นนั้นเจ้าก็เป็นญาติของชูเหรินเช่นกันรึ เจ้ารู้จักคนที่ชื่อว่าหวังหมิงหรือไม่” ซูหยางพลันถามด้วยรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้า


 


หวังชิชงรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีจากท่าทางของซูหยาง เขาขมวดคิ้ว “เจ้ารู้จักหวังหมิงน้องชายของข้าด้วยรึ” เขาถาม


 


“แน่นอน ข้าจะลืมคนอย่างเขาได้อย่างไร เราเป็นเพื่อนสนิทกัน”


 


“ซูหยาง…” จางซิวยิงมองดูเขาด้วยดวงตาโตขึ้นเล็กน้อย


 


“เช่นนั้นเจ้าเป็นเพื่อนของหวังหมิงรึ” หวังชิชงพยักหน้า “เช่นนั้นเพื่อรักษาหน้าเขาซึ่งได้เสียไปแล้ว ข้าจักอนุญาตให้เจ้า เจ้าเพียงผู้เดียว อยู่ได้ คนที่เหลือไสหัวไป”


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ซูหยางพลันหัวเราะลั่น


 


“มีอะไรขำกัน” หวังชิชงขมวดคิ้ว


 


“เจ้าต้องการที่จะรู้หรือไม่ว่าทำไมหวังหมิงน้องชายของเจ้าจึงตาย” ซูหยางถาม


 


“จ-เจ้าหมายความว่าอะไร เจ้ารู้จักบางอย่างเกี่ยวกับการตายของหวังหมิงรึ” คิ้วที่ขมวดบนใบหน้าของหวังชิชงยิ่งลึกยิ่งขึ้น


 


“ลืมมันเสียเถอะ” ซูหยางโบกมือของเขาไม่ใส่ใจ “ข้าเดาว่าเจ้าจักต้องสนใจ”


 


“พูด ข้าสั่งเจ้าให้บอกข้าทุกอย่าง” หวังชิชงคำราม


 


รอยยิ้มบนใบหน้าของซูหยางพลันหายวับไปและดวงตาของเขาพลันเพ่งตรงไปยังหวังชิชง


 


“สั่งข้ารึ… เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกันที่จะมาสั่งข้าได้” ซูหยางพลันยืนขึ้นจากที่นั่งและใช้มือตบหน้าของหวังชิชงอย่างไม่คาดคิด


 


เพี๊ยะ


 


หวังชิชงซึ่งไม่สามารถตอบโต้การตบได้ทันปลิวข้ามโรงประมูลราวกับตุ๊กตาผ้าก่อนที่จะปะทะกับผนังอีกฟากหนึ่งของห้อง


 


ในเวลานั้นทุกคนต่างจ้องมองซูหยางด้วยดวงตาที่แทบหลุดออกมาจากเบ้า ไม่มีใครในหมู่พวกเขาจะจินตนาการว่าอีกฝ่ายจะตบหวังชิชงโดยไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย


 


“โอพระเจ้า เขาตบหวังชิชงรึนั่น”


 


“เขามิได้มาที่นี่เพียงลำพังแน่ พ่อแม่ของเขาก็ต้องอยู่อยู่นี่เช่นกัน หากว่าพวกเขารู้เรื่องนี้ ชายหนุ่มคนนั้นจักตัองได้รับผลอย่างหนักกับการกระทำของตนเองแน่นอน”


 


“ต่อให้เขามีความสัมพันธ์บางอย่างกับผู้อาวุโสหวัง การตบญาติของเธอจักต้องทำลายความสัมพันธ์นั้นแน่นอน”


 


“เขาเด็กและหัวร้อนเกินไป”


 


ผู้คนพากันส่ายหน้ากับการกระทำของซูหยาง


 


“ซ-ซูหยาง เจ้าทำอะไรลงไป” โหลวหลานจีร้องเสียงดัง “ต่อให้เขาได้ล่วงเกินเจ้า ทำไมเจ้าจึงต้องตบเขาเสียแรงเช่นนั้น เราจักต้องอธิบายเรื่องนี้ให้กับหวังชูเหรินที่ใจกว้างกับเรามากกว่าที่เราควรจะได้รับได้อย่างไร


 


“อะฮะ” ซูหยางยังคงรักษาท่าทางเยือกเย็นบนใบหน้าและกล่าวว่า “อย่ากังวลไป ต่อให้ข้าฆ่าเขา เธอก็จักมิกล่าวโทษข้า”


 


โหลวหลานจีไร้คำพูดไปในทันที


DC บทที่ 338: แขกที่ไม่คาดหมายในโรงประมูล


 


หลังจากที่ซูหยางตบหวังชิชงแล้ว คนที่ติดตามหวังชิชงต่างพากันร่ำร้องด้วยความหวาดหวั่น


 


“จ-เจ้ากำลังหาที่ตาย ผู้นำตระกูลหวังต้องกำลังดูการกระทำของเจ้าเมื่อกี้จากห้องวีไอพีแน่ แค่ว่าเมื่อไหร่ก่อนที่เขาจะมาถึง”


 


พวกเขาชี้ไปที่แถบกระจกสีดำเหนือพวกเขาบนผนังที่ล้อมห้องซึ่งคนที่อยู่ด้านในสามารถเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้องธรรมดาได้


 


ในเวลานั้นในห้องวีไอพี ชายวัยกลางคนได้กำมือเป็นหมัดแน่นขณะที่สายตาของเขาจ้องเขม็งไปที่หน้าของซูหยาง


 


“จ-เจ้าเลวนั่นช่างกล้าตบตีลูกข้า” เขาพึมพัมขณะที่กัดฟันด้วยความโกรธ


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า ผู้นำตระกูลหวัง เจ้าจะทำอะไรกับเด็กนั่นรึ เขาตบหน้าตระกูลหวังของเจ้าโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย”


 


แขกวีไอพีคนอื่นในห้องเริ่มยุแหย่เขาให้ลงโทษซูหยาง


 


“ข้ามิจำเป็นต้องให้เจ้าเตือนหรอก” หวังเชิน ผู้นำตระกูลหวังและเป็นพ่อของหวังชิชงแค่นเสียงเย็นชา “แต่ข้ามิทำอะไรในตอนนี้ เขาสามารถตบได้สำเร็จเพราะว่าลูกข้ามิได้ระวัง ตอนนี้เมื่อเขาตบหน้าชิชง ลูกข้าย่อมจักจัดการกับเจ้าเด็กนั่นด้วยตนเอง”


 


ขณะที่เขาพูดคำพูดเหล่านั้น ก็เห็นว่าหวังชิชงลุกขึ้นจากพื้น


 


“เจ้าลูกสำส่อน เจ้ากล้าตบหน้าข้าได้อย่างไร ข้าจักถลกหนังเจ้าทั้งเป็นต่อให้เจ้าเป็นเพื่อนของหวังหมิง”


 


หวังชิชงคำรามลั่นขณะที่เขานำเอากระบี่ที่เปล่งกลิ่นอายของสมบัติระดับปฐพีออกมาจากแหวนมิติ


 


“เจ้าต้องการฆ่าข้ารึ หรือเจ้าลืมไปว่าพวกเราอยู่ที่ไหนกัน หากว่าเจ้าลืมไปก็ให้ข้าเตือนเจ้าว่านี่คือเมืองหิมะร่วง ที่ซึ่งห้ามการฆ่าฟัน ถ้ามิใช่เพราะกฏนี้เจ้าคงมิมีโอกาสได้ยืนขึ้นแล้วตอนนี้ อย่าว่าแต่จะมาเห่าหอนเช่นสุนัข” ซูหยางกล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า กฏแบบนั้นเป็นแค่อะไรที่คนปราศจากอำนาจหนุนหลังจักต้องปฏิบัติตาม ข้าเป็นใครกัน ข้าคือหวังชิชง ลูกชายคนโตของตระกูลหวังที่ยิ่งใหญ่ ญาติของข้าก็คือหวังชูเหริน นักปรุงยาที่ได้รับการยกย่องอย่างสูงกระทั่งตระกูลซี ต่อให้ข้าฆ่าใครสักคนแบบเจ้า ข้าก็จักมิถูกลงโทษ” หวังชิชงหัวเราะราวกับคนบ้า


 


ซูหยางส่ายหน้าและพึมพัม “สมกับเป็นพี่ชายของหวังหมิง”


 


ในเวลานั้นในห้องวีไอพี


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า เหมือนที่ข้าได้กล่าวไว้ก่อนนี้ ผู้นำตระกูลหวู ลูกข้าจักจัดการเรื่องนี้เองโดยมิต้องให้ข้าช่วย” หวังเชินประกาศอย่างภาคภูมิใจ


 


อย่างไรก็ตามทั้งห้องกลับเปลี่ยนเป็นเงียบสงัด ตามจริงนี่เป็นความเงียบที่ผิดปกติกระทั่งหวังเชินต้องหันหลังไปโดยไม่รู้ตัวเพื่อดูว่าทำไมจึงไม่มีใครตอบสนองกับคำพูดของเขา


 


หลังจากที่เขาหันกลับตัวไปแล้วนั้น หวังเชินก็ตระหนักว่าทำไมทั้งห้องจึงช่างเงียบนัก


 


นั่นเป็นเรื่องปกติพวกเขาต่างพากันเพ่งความสนใจไปกับบางสิ่ง


 


“โฮ่ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ตระกูลหวังจึงมีอำนาจมากมายเสียจนกระทั่งอยู่เหนือกฏที่บังคับใช้จากตระกูลซีของข้า”


 


ชายวัยกลางคนที่มีกลิ่นอายอันแหลมคมและกดดันกล่าวด้วยเสียงเยือกเย็นขณะที่เขาเดินเข้าไปในห้องวีไอพี


 


“ป-เป็นไปมิได้…ข-เขามาทำอะไรที่นี่” หวังเชินลืมตาโพลงด้วยความตระหนกและหวาดกลัวเมื่อเขาพบว่าใครที่เป็นคนพูดก่อนหน้านี้


 


“พวกเราขอคารวะท่านเจ้า”


 


ทุกคนในห้องวีไอพีพลันคุกเข่าข้างหนึ่งและทักทายการมาของเจ้าซี ซึ่งปรากฏตัวขึ้นโดยไม่ได้ประกาศ


 


ติดตามมาหลังเจ้าซีคือหวังชูเหริน สีหน้าเธอซีดเผือดและเต็มไปด้วยความกังวล


 


“เจ้าทำอะไรไป พี่ชายงี่เง่า” เธอร่ำร้องในใจ


 


“ท-ท่านเจ้า นั่นเป็นความเข้าใจผิด โปรดอย่าใส่ใจสิ่งที่ลูกชายโง่เขลาของข้าเพิ่งกล่าวไป ข้าจักอบรมเขาอย่างเหมาะสมหลังจากนี้” หวังเชิงคุกเข่าลงบนพื้นขอร้อง


 


อย่างไรก็ตามเจ้าซีเดินผ่านเขาและมองดูสถานการณ์ด้านหลังผนังกระจก หรือให้ชัดเจนกว่านั้น มองไปยังตัวซูหยาง


 


“เขามาทำอะไรที่นี่ ถึงกับมาหยอกล้อคนแบบหวังชิชง เขามิมีความละอายบ้างเลยรึ”


 


ในเมื่อเขารู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของซูหยางแล้ว เขาก็อดไม่ได้ที่จะดูสถานการณ์เช่นนี้เป็นเหมือนผู้แข็งแกร่งที่รังแกคนอ่อนแอขณะที่แสร้งทำตัวเป็นคนอ่อนแอ ทำให้เขาอดที่จะตั้งคำถามกับเจตนาของซูหยางไม่ได้


 


“ผู้นำตระกูลหวัง ถ้าเจ้ามิต้องการให้ลูกชายคนโตของเจ้าตายโดยไร้ความหมาย ข้าแนะนำให้เจ้าหยุดการกระทำอันโง่เง่าของเขาโดยเร็วในตอนนี้” เจ้าซีพลันกล่าว


 


“ตามประสงค์ของท่านเจ้า” หวังเชินพลันวิ่งออกไปนอกห้องทันที


 


“ท่านเจ้า เรื่องเจ้าคนไร้ค่าหวังชิชงนั่น ข้าขอร้องให้ท่านได้โปรดอภัยปากพล่อยๆของเขาเมื่อกี้นี้” หวังชูเหรินคำนับเขา


 


แม้ว่าเธออาจจะไม่สนใจมากนักเรื่องชีวิตของหวังชิชง แต่ว่าทั้งตระกูลหวังอาจจะถูกลงโทษเพราะว่าคำพูดของเขาที่อาจจะถือได้ว่าเป็นกบฏ


 


“เจ้ามิต้องกังวล นักปรุงยาหวัง ข้ามิใช่คนไร้เหตุผล ข้ามิลงโทษตระกูลเจ้าเพราะคำพูดเรื่อยเปื่อยของเด็กบางคน แต่นั่นคงเป็นการดีที่สุดถ้าเจ้าได้อบรมเขาให้ดีกว่านี้เพื่อที่เรื่องนี้จะได้มิเกิดขึ้นอีกในอนาคต”


 


“ตระกูลหวังจักมิทำให้ท่านเจ้าผิดหวัง นี่จักมิเกิดขึ้นอีกครั้ง” หวังชูเหรินกล่าวในขณะที่หัวของเธอยังคงก้มต่ำ


 


“ข้าจักถือว่าเจ้าได้รับปากแล้ว” เจ้าซีพยักหน้าและกล่าวต่อว่า “ระหว่างทางข้ารู้ว่าได้พูดว่าข้าจักจากไปหลังจากที่ได้เลือดงูสามฤดู แต่ข้าเพิ่งได้ตัดสินใจที่จะอยู่นานอีกหน่อย เจ้ามิต้องประกาศว่าข้าอยู่ที่นี่ ข้ามิต้องการให้มีผลกระทบต่อบรรยากาศข้างล่างนั้น”


 


เหตุผลเดียวที่เขามาที่นี่ตอนเริ่มต้นก็เพื่อเลือดงูสามฤดู หนึ่งในรายการพิษบนกระดาษที่ซูหยางได้ให้เขาไว้ เขาถึงต้องมาด้วยตัวเองเพราะว่าเขาไม่ต้องการที่จะเสี่ยงกับการสูญเสียสิ่งของที่ต้องการในการรักษาอาการของลูกสาวของตนเอง แต่เมื่อรู้ว่าซูหยางก็มาที่โรงประมูลเช่นกันเขาก็ไม่คิดกลับไปเร็วเกินไปนัก


 


“ตามความประสงค์ของท่านเจ้า” หวังชูเหรินพยักหน้า


 


แม้ว่านิกายดอกบัวเพลิงก็ได้ส่งบัตรเชิญไปยังตระกูลซีเกี่ยวกับการประมูล แต่ก็ไม่มีใครคาดว่าเจ้าซีจะมาด้วยตนเอง ในเมื่อพวกเขาเพียงแค่ส่งคนรับใช้มาร่วมการประมูลก่อนหน้านี้


 


“พวกเจ้าที่เหลือก็ควรผ่อนคลายตามสบาย ข้ามิได้มาที่นี่เพื่อทำให้พวกเจ้าทั้งหมดเกิดความเครียด” เจ้าซีพูดกับคนอื่นในห้อง


 


“ขอรับท่านเจ้า”


DC บทที่ 339: เจ้ากำลังพยายามลากทั้งตระกูลหวังให้ล่มจมไปกับเจ้ารึ


 


“เฮ้ ระวังด้วยว่าเจ้าแกว่งของเล่นนั่นที่ไหนกัน มีเด็กๆอยู่ที่นี่และเจ้ากำลังทำให้พวกเขากลัว” ซูหยางชี้ไปที่ศิษย์รุ่นเยาว์ที่ต่างพากันสั่นสะท้านอยู่บนเก้าอี้ของตนเอง


 


“ต่อให้ผู้อาวุโสหวังเป็นป้าของเขา ก็ควรจะมีขีดจำกัดกับนิสัยของเขาบ้าง เขากล้าสะเออะอ้างว่าตนเองจักฆ่าคนในเมืองนี้ต่อหน้าคนมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นตระกูลหวังก็มิได้มีอิทธิพลมากมายปานนั้น ถ้ามิใช่เพราะผู้อาวุโสหวัง พวกเขาคงมิได้รับการเชื้อเชิญให้เข้ามาในโรงประมูลนี้แต่แรกแล้ว”


 


ผู้คนพากันส่ายหน้าหลังจากที่ได้ยินคำพูดหวังชิชง มีจอมยุทธมากมายที่มีอำนาจล้ำลึกในที่นี้ก็ยังไม่มีใครกล้าพูดคำพูดโอหังเช่นนั้น แค่เป็นเพียงเด็กรุ่นหลังจากตระกูลเล็กๆกลับกล้าที่จะอวดอ้างว่าตระกูลหวังของเขาอยู่เหนือกฏหมาย


 


“ถ้ามีคนจากตระกูลซีได้ยินเช่นนี้ ตระกูลหวังต้องหาคำตอบให้กับพวกเขาหลังจากนี้”


 


อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะไม่เห็นด้วยกับเขา แต่ก็ไม่มีใครในที่นั้นเข้าไปยุ่งเกี่ยวหยุดยั้งหวังชิชงจากการพยายามฆ่าซูหยาง ในเมื่อไม่มีใครสักคนในหมู่พวกเขาต้องการที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับทั้งสองฝ่าย


 


“ตายเสียเถอะ เจ้าเลว” หวังชิชงคำรามลั่น


 


“หยุด”


 


ขณะที่หวังชิชงเตรียมตัวสะบัดกระบี่ เงาร่างหนึ่งก็ตรงเข้าไปในห้องและจับแขนเขาไว้หยุดยั้งการเคลื่อนไหวของเขา


 


“ท-ท่านพ่อ” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหวังชิชง ครั้นเมื่อเขาตระหนักว่าใครเพิ่งมาถึง


 


“ท่านมาได้ถูกเวลา ท่านพ่อ เจ้าเลวตรงนั้นกล้าที่จะตบหน้าข้าและหมิ่นเกียรติตระกูลหวังต่อหน้าคนจำนวนมาก ข้าต้องการให้เขาตาย” หวังชิชงชี้ไปทางซูหยางด้วยกระบี่


 


อย่างไรก็ตามหวังฟูจี พ่อของเขาพลันยกมือขึ้นและตบหน้าหวังชิชง ตะโกนด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธต่อจากนั้นว่า “คนที่หมิ่นเกียรติตระกูลหวังที่นี่มิใช่ใครอื่นนอกจากตัวเจ้าเอง เจ้ากล้าอ้างได้อย่างไรว่าเจ้าอยู่เหนือกฏหมาย เจ้ากำลังพยายามที่จะลากตระกูลหวังทั้งตระกูลลงไปกับเจ้ารี คอยก่อนเถอะ ยามเมื่อเรากลับบ้านข้าจักสั่งสอนเจ้าให้ดีเพื่อที่ว่าเจ้าจะมิได้เดินตามทางเดียวกับหวังหมิง”


 


“อะไรกัน” หวังชิชงเกือบหายใจไม่ออกจากความแตกตื่นหลังจากที่เห็นท่าทางควันขึ้นบนใบหน้าของพ่อของตนเอง “ต-แต่เขาตบข้าก่อน และเขาเองก็ยังรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับการตายของหวังหมิงด้วย”


 


หวังฟูจีขมวดคิ้วทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น และสายตาของเขาก็หันไปมองดูซูหยางซึ่งยืนอย่างสบายๆที่นั่นเหมือนกับว่าเขามิมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องราวใดๆทั้งสิ้น


 


“เราค่อยจัดการกับเขาทีหลัง ท่านเจ้าซี อยู่ที่นี่ เรามิอาจทำอะไรโง่เขลาต่อหน้าเขา” เขากล่าวกับหวังชิชงโดยผ่านปราณไร้ลักษณ์


 


“ท่านเจ้าอยู่นี่รึ” หวังชิชงตกใจเป็นอย่างมากกับข่าวนี้ สุดท้ายเขาก็ตระหนักว่าทำไมพ่อของเขาจึงหยุดเขาไว้ไม่ให้ฆ่าซูหยาง ถึงกับดุด่าเขาต่อหน้าผู้คน


 


“ข้าเสียใจ ท่านพ่อ ข้าจักทบทวนพฤติกรรมของข้า” หวังชิชงกล่าวก้มหน้าลง


 


“เจ้ากลับไปที่โรงเตี๊ยมก่อนในตอนนี้ ข้าจักจัดการเจ้าทีหลัง” หวังฟูจีกล่าวกับเขา


 


หวังชิชงพยักหน้าและรีบออกไปจากโรงประมูลติดตามไปด้วยเพื่อนของเขา


 


หลังจากที่หวังชิชงจากไปแล้ว หวังฟูจีก็เข้าไปหาซูหยางและจ้องมองเขาเขม็ง


 


“ข้าจักลงโทษลูกชายข้าจากการกระทำของเขาในวันนี้ แต่ข้าจักต้องให้เจ้ารับผิดชอบเช่นกันสำหรับการสร้างปัญหาให้กับตระกูลหวังของข้า อย่าคิดว่ามิมีผลใดในการล่วงเกินตระกูลหวัง สำหรับเรื่องที่เจ้ารู้เกี่ยวกับการตายของหวังหมิง ข้าจักให้เจ้าคายทุกสิ่งออกมา”


 


ซูหยางหัวเราะหึและกล่าวว่า “ตระกูลหวังรึ หากปราศจากหวังชูเหริน เจ้าจะมีฐานะอะไร เจ้ามิอาจแม้กระทั่งอบรมลูกของเจ้าให้ดี แต่เจ้ากลับคิดจัดการกับข้านะรึ นั่นช่างน่าขำ”


 


“จ-เจ้าเด็กโอหัง” หวังฟูจีไม่คาดว่าจะมีรุ่นเยาวที่ไหนก็ไม่รู้กล้าโต้เถียงกับเขาถึงขั้นด่าเขา ใบหน้าของเขาจึงแดงขึ้นทันที “แม้ว่าข้ามิอาจฆ่าเจ้า ข้าก็ยังสามารถทำให้เจ้าพิการได้ในตอนนี้”


 


“เจ้าต้องการทำให้ข้าพิการรึ ด้วยคุณสมบัติเช่นใดรึ พลังการฝึกปรือที่น่าขันของเจ้าที่อยู่แค่ระดับสามเขตปฐพีวิญญาณนะรึ” ซูหยางกล่าว


 


“…”


 


หวังฟูจีเบิกตากว้างขึ้นด้วยความตระหนก “เขาสามารถเห็นพลังการฝึกปรือของข้าด้วยรึ”


 


อย่างไรก็ตามเมื่อเขาพยายามที่จะดูพลังการฝึกปรือของซูหยางบ้าง เขากลับไม่สามารถที่จะตรวจพบอะไรทั้งสิ้น มันเหมือนกับว่ายืนอยู่ต่อหน้าคนธรรมดาที่ยังไม่เคยฝึกวิชา แต่คนที่ไม่เคยฝึกวิชาไม่ควรจะมีความสามารถหรือความแข็งแกร่งที่จะส่งหวังชิชงข้ามห้องไปด้วยการตบเพียงครั้งเดียว


 


“เด็กหนุ่มคนนี้… เขาเป็นคนน่ากลัวคนหนึ่ง”


 


ไม่เพียงแต่หวังฟูจีที่ตระหนักเช่นนี้ กระทั่งจอมยุทธคนอื่นในห้องก็สังเกตพบว่ามีบางอย่างเกี่ยวกับซูหยางผิดพลาดไป ราวกับว่าเขาซ่อนเร้นความลึกลับเอาไว้


 


“ในเมื่อคนคนนั้นกำลังจ้องดูอยู่ ข้าจักมิยกมือข้าในวันนี้ อย่างไรก็ตามครั้นเมื่อเจ้าจากเมืองนี้ไป อย่าได้แม้กระทั่งคิดจะหนีไปจากข้า ข้าจักให้เจ้าเผยความลับทุกอย่างของเจ้า”


 


หวังฟูจีแค่นเสียงเย็นชาและออกจากห้องไป


 


“เจ้ามิเป็นไรใช่ไหม ซูหยาง” โหลวหลานจีตรงเข้าไปหาเขาด้วยสีหน้าเป็นกังวล “ทำไมเจ้าต้องไปล่วงเกินตระกูลหวัง มิเพียงแต่เจ้าตบหน้าลูกชายคนโตของเขา แต่เจ้ายังด่าผู้นำตระกูลหวังต่อหน้าจอมยุทธมากมาย เราจะอธิบายเรื่องนี้กับหวังชูเหรินตอนนี้ได้อย่างไร”


 


เธอกังวลเกี่ยวกับหวังชูเหรินยิ่งกว่าตระกูลหวังทั้งหมด แม้ว่าโหลวหลานจีจะมั่นใจว่าเธอสามารถปกป้องซูหยางจากหวังฟูจี ถ้าหวังชูเหรินตัดสินใจเอาเรื่องเขา เธอคงไม่สามารถที่จะปกป้องเขาได้อีกต่อไป


 


“ศิษย์พี่ชาย ทั้งหมดนี้เป็นเพราะว่าพวกเราต้องการที่จะมาที่นี่และจับจองที่นั่งมากมาย…”


 


ศิษย์รุ่นเยาว์รู้สึกอยากจะร้องไห้ ในสายตาของพวกเขาซูหยางมีท่าทางเช่นนั้นเพราะว่าเขาต้องการรักษาที่นั่งของพวกเขาไว้


 


“พี่ชาย ท่านมิต้องกังวลเกี่ยวกับตระกูลหวัง ข้าจักพูดกับพ่อของเราและบีบให้เขาใช้เส้นสายบางอย่างไล่คนพวกนั้นไป” ซูหยินกล่าวกับเขาด้วยสีหน้ามั่นใจ


 


“ซูหยาง ข้าจักพูดกับผู้อาวุโสหวังเช่นกัน เจ้าเป็นแขกของเธอ และเธอเป็นคนให้ที่นั่งเหล่านี้แก่เจ้าด้วยตนเอง ในเมื่อหวังชิชงเป็นคนริเริ่มทั้งหมดนี้ ข้ามั่นใจว่าเธอจักเข้าใจ” จางซิวยิงก็พยายามที่จะลดทอนความกังวลของเขาเช่นกัน


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ซูหยางอดไม่ได้ที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ทำไมพวกเจ้าจึงกังวลมากกว่าข้าละนี่ มิมีสิ่งใดจักเกิดขึ้นกับข้าต่อให้พวกเจ้ามิได้ทำอะไรเลย”


 


ซูหยางกลับไปนั่งที่ของตนเองอย่างสบายและกล่าวต่อว่า “การประมูลควรจะเริ่มต้นเร็วนี้ ลืมเรื่องวุ่นวายเล็กน้อยเมื่อกี้ไปซะและสนุกไปกับโอกาสนี้ และมิต้องกล่าวโทษตัวเจ้าเองเด็กน้อย ในเมื่อมิได้มีอะไรผิดกับความต้องการที่จะมาที่นี่”


 


ศิษย์รุ่นเยาว์สบสายตากันไปมา ในเมื่อซูหยางดูไม่เหมือนจะมีความกังวลเลยแม้แต่น้อย พวกเขาก็จึงได้รับอิทธิพลกับทัศนคติที่ไร้กังวลของเขาเช่นกัน


 


“ถ้าศิษย์พี่ชายมิได้กังวล แล้วทำไมพวกเราจะต้องกังวลด้วยล่ะ”


 


“ใช่ กระทั่งศิษย์พี่ชายยังพูดเองว่าตระกูลหวังมิมีอะไรเลย พวกเขาจะทำอะไรได้กับพี่ชายที่มีพลังพอที่จะกำจัดโจรนับพันได้ด้วยตัวคนเดียว”


 


ด้วยศิษย์รุ่นเยาว์ตอนนี้ปราศจากความกังวล ทำให้โหลวหลานจีและคนอื่นได้แต่ส่ายหน้าและพยายามที่จะไม่คิดมากเกี่ยวกับพวกนั้น พวกเขาค่อยกังวลเกี่ยวกับตระกูลหวังหลังจากการประมูล

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม