Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน 322-329

 DC บทที่ 322: กายที่ไม่อาจสงบ


 


หลังจากออกจากตระกูลซี ซูหยางก็กลับไปยังโรงเตี๊ยมผลึกหิมะที่ซึ่งโหลวหลานจีรอคอยเขาอย่างกระวนกระวาย


 


“ซูหยาง ในที่สุดเจ้าก็กลับมา”


 


“ท่านดูเหมือนเป็นกังวล หรือว่ามีอะไรเกิดขึ้นขณะที่ข้าไม่อยู่” เขาพลันถามขึ้น


 


“เราสบายดี มิมีอะไรเกิดขึ้น แต่แล้วเจ้าล่ะ เจ้ายังดีอยู่หรือไม่” โหลวหลานจีถามเขา


 


“อะไรที่ทำให้ท่านคิดว่าข้ามิได้เป็นเช่นนั้น”


 


“ปราชญ์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ดูค่อนข้างจะขุ่นเคืองยามที่เขาพาเจ้าไป… เขามิได้ทำสิ่งใดยุ่งยากให้กับเจ้าใช่ไหม”


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า” ซูหยางพลันเริ่มหัวเราะ ทำให้เธอตื่นตะลึง “ยุ่งยากรึ เขายังเร็วเกินไปอีกหลายพันปีที่จะสร้างปัญหาอะไรให้กับข้าได้”


 


“…”


 


โหลวหลานจีพลันกลับกลายเป็นไร้วาจาว่ากล่าว


 


“อย่างไรก็ตาม ข้าจักพาเจ้าและคนอื่นไปลงทะเบียนแข่งขันพรุ่งนี้ พักผ่อนกันก่อนที่จะถึงเวลานั้น” เธอกล่าวสักพักหนึ่งหลังจากนั้น


 


ซูหยางพยักหน้าและเข้าไปในห้องของตนเองซึ่งเขาก็เริ่มครุ่นคิดถึงขิงเลือดปีศาจ


 


“เป็นไปได้มากว่าขิงเลือดปีศาจจะยังคงมีปรากฏขึ้นในโลกนี้ ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าจักต้องสร้างขึ้นมาเองด้วยตนเอง”


 


ขิงเลือดปีศาจเป็นสมุนไพรพิเศษที่ไม่ต้องการดินหรือน้ำในการเติบโต กลับกันมันต้องการเลือดจำนวนมาก ปริมาณที่จะตรงกับเงื่อนไขก็ต่อเมื่อทำการสังเวยมนุษย์จำนวนมากเท่านั้น


 


อย่างไรก็ดีเป็นโชคดีสำหรับซูหยางและซีซิงฟาง รังลับของโจรภูผาแดงมีเลือดจำนวนมากพอ ตามจริงแล้วด้วยจำนวนของศพและปริมาณเลือด ขิงเลือดปีศาจควรจะเติบโตที่นั่นแล้ว


 


“ขิงเลือดปีศาจจักเติบโตตามธรรมชาติตราบเท่าที่มีเลือดเพียงพอในพื้นที่แถบนั้น ถ้ามิมีใครล้างเลือดในรังลับของโจรเหล่านั้น ในเมื่อมีเลือดมากมายปานนั้น ขิงเลือดปิศาจควรจะพร้อมเก็บเกี่ยวได้ภายในหนึ่งปี”


 


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซูหยางตัดสินใจที่จะไปเยี่ยมรังลับของโจรภูผาแดงอีกครั้งหลังจากการแข่งขันระดับภูมิภาค


 


ทันใดนั้นก็มีใครสักคนเคาะประตู


 


“เข้ามาด้านใน” ซูหยางกล่าว


 


ประตูเปิดออกและหญิงสาวสองคนก็เดินเข้ามาภายในห้อง


 


“ผู้นำนิกายพูดว่าเจ้าได้กลับมาแล้ว” ซุนจิงจิงซึ่งดูค่อนข้างกระวนกระวายกล่าว


 


ซูหยางมองดูซุนจิงจิงที่มีการเคลื่อนไหวไม่เป็นธรรมชาติแล้วยิ้มออกมา “ร่างของเจ้าดูไม่สงบ เจ้าสบายดีไหม”


 


“แน่นอนว่าไม่ นับตั้งแต่ข้ารับรู้ถึงกลเม็ดใหม่ของเจ้า ร่างของข้าก็ถูกแผดเผาด้วยความปรารถนา” ซุนจิงจิงบ่น


 


ซูหยางหันไปดูฟางซีหลานและถามว่า “เจ้าก็รู้สึกเช่นเดียวกันหรือไม่”


 


ฟางซีหลานพยักหน้าอย่างเงียบๆ แม้ว่าเธอไม่ได้งุ่นง่านไปทั่วเหมือนซุนจิงจิง ร่างของเธอก็ได้ปล่อยปราณหยินออกมานับตั้งแต่เธอเข้ามาในห้อง


 


“เช่นนั้นเจ้ามีคำแนะนำอะไรบ้างหรือไม่” ซูหยางพลันถาม


 


“หยุดหยอกเย้าพวกเราและรับผิดชอบเดี๋ยวนี้เลย” ซุนจิงจิงกล่าวขณะที่เธอปลดเปลื้องจนเปลือยเปล่าแล้วกระโดดดึ๋งเข้าใส่ซูหยางราวกับเสือหิว


 


ซูหยางได้แต่หัวเราะกับการกระทำของเธอ


 


“รีบเร่งอะไรกัน ข้าจักอยู่เป็นเพื่อนพวกเจ้าทั้งสองตลอดคืน”


 


จากนั้นพวกเขาทั้งสามคนก็เริ่มฝึกวิชา และหยุดยั้งก็ต่อเมื่อทั้งซุนจิงจิงและฟางซีหลานสลบไสลไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยหลังจากผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น


 


เช้าตรู่ของอีกวัน โหลวหลานจีรวบรวมซูหยางและศิษย์คนอื่นทั้งหมดที่จะต้องเข้าร่วมในการแข่งขันระดับภูมิภาค


 


“เราจักกลับมาภายในไม่กี่ชั่วโมง อย่าออกไปข้างนอกห้องของพวกเจ้าจนกว่าพวกเราจะกลับมา” โหลวหลานจีสั่งเหล่าศิษย์ที่จะต้องคอยอยู่เบื้องหลัง


 


ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น โหลวหลานจีนำซูหยางและศิษย์คนอื่นไปยังใจกลางเมืองที่ซึ่งศิษย์นับพันจากสำนักหลากหลายมารวมตัวกันเพื่อลงทะเบียน


 


“ค…คนที่มาเข้าร่วมช่างมากมาย” ซุนจิงจิงมีท่าทางประหลาดใจเมื่อเธอเห็นฝูงชนที่นั่น


 


“เจ้าคาดว่าจะได้อะไรจากเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของทั่วทั้งทวีป” โหลวหลานจีถาม


 


“ถ้าจะพูดไปแล้ว จำนวนของผู้เข้าร่วมในการแข่งขันระดับภูมิภาคในปีนี้อย่างน้อยสามเท่าของครั้งก่อนหน้านั้น… แน่นอนว่าเจ้าหญิงตระกูลซีเป็นที่นิยมอย่างมาก”


 


ซูหยางเพียงแค่ยิ้มและพึมพัมว่า “เธอเป็นแค่เด็กหญิงที่ไม่แม้จะกระทั่งทำตามคำแนะนำง่ายๆ…”


 


“เจ้าพูดว่าอะไรนะ”


 


เนื่องมาจากบรรยากาศอันอึกทึกครึกโครม โหลวหลานจีจึงไม่ได้ยินคำพูดของซูหยาง


 


“มิมีอะไร” เขายิ้ม


 


โหลวหลานจีหรี่ตาของเธอกับรอยยิ้มน่าสงสัยของเขา “อย่ามีความคิดแผลงๆอะไรกับเจ้าหญิง ซูหยาง เจ้าถือว่าโชคดีหากว่าได้เห็นเธอในชั่วชีวิตนี้ของเจ้า อย่าว่าแต่ได้หายใจร่วมกับเธอในที่เดียวกัน”


 


“อะไรที่ทำให้ท่านคิดว่าข้าจักทำอะไรเธอรึ” เขาถามด้วยเสียงงุนงง


 


“ฮึ่ม อย่าคิดว่าข้าละเลยไปอย่างสิ้นเชิงกับความคิดของเจ้า ลืมเรื่องเธอไปเสีย ไม่ว่าจะเป็นพรสวรรค์หรือเบื้องหลังของเธอ เธออยู่คนละโลกกับพวกเรา”


 


“อืมมม… เช่นนั้นท่านอยากจะเดิมพันกับข้าหรือไม่ ท่านผู้นำนิกาย” ซูหยางพลันกล่าวขึ้น


 


“เจ้าต้องการที่จะพนันรึ เรื่องอะไร” โหลวหลานจีพลันรู้สึกสนใจ


 


“จากคำพูดของท่านเมื่อกี้นี้ ข้าได้มีโชคดีพอที่ได้เห็นเธอจากการแข่งขันนี้และจักมิมีโอกาสได้ยืนอยู่ข้างเธอ ข้าพูดถูกไหม”


 


“เป็นเช่นนั้น”


 


เช่นนั้นเรามาพนันเรื่องนั้นกัน ข้าจักสามารถไปยืนอยู่ข้างเธอหรือไม่” เขากล่าว


 


“…เจ้าเอาจริงรึ” โหลวหลานจีหรี่ตาไปยังเขาด้วยท่าทางจริงจัง


 


“แน่นอน”


 


“…”


 


โหลวหลานจีกลับเงียบลง


 


“เจ้าเด็กซูหยางมีความสัมพันธ์กับปราชญ์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้พิทักษ์ แต่ต่อให้มีความสัมพันธ์อยู่บ้าง เจ้าหญิงตระกูลซีก็ยังคงเป็นคนละระดับ… แม้กระทั่งบุตรของปราชญ์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ยังมิอาจที่จะยืนเคียงข้างเจ้าหญิงได้ อย่าว่าแต่เจ้าเด็กลามกน้อยคนนี้…”


 


หลังจากที่ครุ่นคิดมากมาย โหลวหลานจีกล่าวว่า “เดิมพันด้วยอะไร”


 


“อืม… ถ้าข้าชนะ เช่นนั้นท่านจักต้องยอมให้ข้าควบคุมการทดสอบศิษย์เข้าสำนักใหม่ทั้งหมด”


 


“นี่… เจ้าต้องการที่จะควบคุมการทดสอบเข้าสำนักทั้งหมดงั้นรึ” โหลวหลานจีขมวดคิ้วกับคำขอที่แปลกประหลาดของเขา ในเมื่อเธอไม่อาจเข้าใจเจตนาของเขา


 


“ถูกต้องแล้ว และถ้าท่านชนะ ข้าจักตอบคำถามอะไรก็ได้สามข้อจากท่าน ไม่ว่าจะเป็นความลับหรือเป็นส่วนตัวแค่ไหน ข้าจักตอบคำถามนั้นอย่างซื่อสัตย์”


 


“บ้าอะไรกัน นี่จะยุติธรรมได้อย่างไรกัน เปรียบกับเงื่อนไขของข้า เจ้ามิสูญเสียอะไรทั้งสิ้น”


 


“ท่านแน่ใจรึว่ามีมีคำถามอะไรในตัวข้า ไม่ว่านั่นจะลับเพียงไหน ข้าจักตอบคำถามนั่น ท่ารู้ไหม” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มลึกลับ


 


ได้ยินเช่นนี้ โหลวหลานจีพลันเงียบลงทันที และบนใบหน้าของเธอพลันมีสีหน้าครุ่นคิดอย่างเคร่งเครียด


DC บทที่ 323: นั่นมิใช่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยหรอกรึ


 


หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ โหลวหลานจีก็พยักหน้า ตกลงเดิมพันกับซูหยาง “ทางที่ดีเจ้าอย่าคืนคำเมื่อเจ้าแพ้”


ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “มิต้องกังวล ท่านมิมีโอกาสได้ถามอะไรข้าแน่นอน”


 


“…”


 


ไม่เพียงแต่โหลวหลานจี แต่หญิงสาวคนอื่นๆต่างก็พากันเหม่อมองสีหน้ามั่นใจของเขาด้วยท่าทีสงสัยว่าเขากำลังจะทำอะไรบ้าบอหรือไม่


 


“ถ้าเจ้าทำให้เกิดปัญหากับตระกูลซี ถือว่าเจ้าแพ้” โหลวหลานจีเพิ่มเงื่อนไข


 


“มิมีปัญหา”


 


“ฮึ่ม”


 


หลังจากที่พวกเขาตกลงกันแล้ว นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ได้รอให้ถึงตาของตนเองที่จะลงทะเบียนการแข่งขัน


 


แน่นอน เพราะว่ากลุ่มของพวกเธอประกอบไปด้วยสาวสวยระดับสุดยอดที่ยากจะพบเห็นในทวีปนี้ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจึงเป็นที่เตะตาสายตามากมายจากรอบข้างดังปกติ


 


“สวรรค์ มีสาวสวยมากมายเช่นนี้รวมกันอยู่ในที่เดียว ศิษย์ชายในที่แห่งนี้ต้องยิ้มทุกวันกระทั่งในความฝัน”


 


หลังจากเวลาผ่านไปชั่วขณะ เมื่อพวกเขาไม่อาจยับยั้งความสงสัยได้อีก สุภาพบุรุษสองสามคนก็เข้าไปหานิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย


 


“เหล่านางฟ้าแสนสวย ทำไมเรามิสนทนากันสักหน่อยระหว่างที่พวกเรารอล่ะ”


 


“อย่าใส่ใจเขา นั่นเป็นเพียงแค่ศิษย์จากนิกายระดับสาม ข้าสิเป็นศิษย์หลักจากสำนักลึกเก้าชั้น


 


“สำนักหุ่นฟ้าคำรามของพวกเราอยู่แนวหน้าสุด ถ้าพวกเจ้าชอบ เราสามารถเว้นที่ให้พวกเจ้าได้ นางฟ้าทั้งหลาย”


 


เหล่าศิษย์จากนิกายมากมายพยายามที่จะสร้างความประทับใจให้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย กระทั่งโอ้อวดอำนาจเบื้องหลังของตนเอง


 


“…”


 


อย่างไรก็ตามเหล่าศิษย์จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยยังคงไม่ประทับใจกับคนเหล่านี้ กระทั่งดูเห็นเป็นสิ่งน่ารำคาญกับการมาของพวกเขา


 


“ศูนย์แต้ม” ศิษย์หญิงคนหนึ่งส่ายหน้า


 


“พวกฝูงคางคกที่ไร้ความสง่างาม ไปให้พ้น”


 


เมื่อผู้ที่เข้ามาเกี้ยวพาราณสีไม่ได้รับอะไรนอกจากการสาปแช่งจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย พวกเขาก็กลับไปยังสำนักของตนเองด้วยใบหน้าอับอาย อย่างไรก็ตามนี่ไม่ได้ทำให้คนอื่นเลิกพยายาม ยิ่งหญิงสาวจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยปฏิเสธที่จะร่วมคุยด้วย ก็ยิ่งมีคนต้องการที่จะพยายามดูว่าตนเองมีโอกาสหรือไม่มากยิ่งขึ้น


 


ในเวลานั้นผู้อาวุโสและพี่ที่นำกลุ่มของตนเองต่างพากันประทับใจกับพลังอำนาจโดยรวมของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย


 


“พวกเธอมาจากไหนกัน เกือบทุกคนในกลุ่มนั้นอยู่ในเขตสัมมาวิญญาณ สองคนในกลุ่มนั้นกระทั่งอยู่ในเขตปฐพีวิญญาณ ทำไมผู้ทรงอำนาจเช่นนั้นจึงมิมีใครรู้จัำ”


 


“เดี๋ยวก่อน นั่นมิใช่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยหรอกรึ เป็นไปไม่ได้ ข้าคิดว่าพวกเขาได้สลายไปแล้วหลังจากเกิดเหตุการณ์นั้น ทำไมพวกเขาจึงมาอยู่ที่นี่กัน”


 


“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ทำไมข้าจึงมิเคยได้ยินพวกเขาเลย”


 


“พวกเขาเป็นเพียงแค่สำนักระดับสามจากภาคตะวันออก ตามจริงศิษย์ของพวกเขาทุกคนได้ถูกขับไล่โดยนิกายล้านอสรพิษซึ่งพวกเขาได้ล่วงเกินไว้”


 


“สำนักระดับสามรึ เจ้าคิดจะหลอกใครกัน สำนักระดับสามประเภทไหนกันที่จะสามารถปลุกปั้นศิษยที่ยอดเยี่ยมเช่นนั้น”


 


“ข้าพูดความจริง พวกเขาเพียงมีแค่พลังการฝึกปรือที่สูงเพราะการฝึกวิชาพิเศษเฉพาะของพวกเขา ตามจริง สิ่งที่น่าประทับใจที่สุดของพวกเขาก็คือพลังการฝึกปรือของพวกเขาเท่านั้น ฝีมือการต่อสู้ของพวกเขานั้นน่าขัน กระทั่งศิษย์ในเขตคัมภีร์วิญญาณจากสำนักข้าก็สามารถล้มเขตสัมมาวิญญาณระดับสูงสุดของที่นั่นได้อย่างง่ายดาย”


 


“วิธีการฝึกวิชาพิเศษเฉพาะที่เจ้าพูดถึงนี่คืออะไรกัน” บางคนพลันถามขึ้น


 


“แน่นอนต้องเป็นการฝึกคู่ แม้ว่าหญิงสาวเหล่านี้อาจจะดูน่ารักบริสุทธิ์ แต่ศิษย์จากที่แห่งนั้นล้วนเป็นโสเภณี ใครจะรู้ว่ามีคู่ฝึกมากมายกี่คนที่พวกเธอมี”


 


ครั้นเมื่อผู้คนเริ่มรู้จักนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและพฤติกรรมปกติของพวกเธอ ก็มีคนน้อยลงไปเรื่อยๆที่ไปหาพวกเธอ และในเวลานับเป็นนาที ก็ไม่มีใครไปหาพวกเธออีก


 


จริงแล้วผู้คนก็เริ่มมองดูพวกเธออย่างเหยียดหยาม


 


“ไอ้ย่า ข้ามิอยากเชื่อว่าข้าได้พยายามที่จะเกี้ยวสิ่งสกปรกพวกนี้เมื่อกี้…”


 


“ช่อดอกไม้ที่สกปรก น่าสมเพช”


 


อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีการเหยียดหยามส่งไปหาพวกเธอ เหล่าศิษย์จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ยังคงไม่ได้รับผลกระทบ ยังคงเยือกเย็น ราวกับว่าพวกเธอไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น


 


โหลวหลานจียิ้มในใจเมื่อเธอเห็นความสงบเฉยของเหล่าศิษย์ ชื่นชมความสามารถในการอดทนต่อการถูกเหยียดหยามของพวกเธอ


 


แน่นอนว่าถ้าพวกเธอมิสามารถกระทั่งรับมือกับคำวิพากษ์วิจารณ์เช่นนั้น ก็ไม่มีใครในหมู่พวกเธอที่จะได้รับให้เข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย


 


“ครั้นเมื่อทั้งหมดนี้จบลงและเรากลับไปถึงโรงเตี๊ยม ทำไมพวกเราทั้งหมดมิมาร่วมสนุกด้วยกันล่ะ แน่นอนว่าภายในห้องเดียวกัน ข้ามีกลเม็ดใหม่ที่ข้าต้องการแบ่งปันกับพวกเจ้าทั้งหมด” ซูหยางพลันกล่าวขึ้นด้วยเสียงที่ดังพอที่จะได้ยินไปทั่วทุกคนที่อยู่รายรอบ


 


แม้ว่าเหล่าหญิงสาวค่อนข้างจะตะลึงกับคำพูดของเขา พวกเธอทั้งหมดต่างพากันพยักหน้า ก่อนที่จะหัวเราะอย่างงดงามสง่า


 


ส่วนคนที่อยู่รายรอบนั้น พวกเขาทุกคนต่างพากันมองดูซูหยางด้วยใบหน้ายับย่น สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความโกรธและอิจฉา


 


“ข้าสาบานว่าถ้าข้าโชคดีพอได้พบกับเจ้าเลวนี่บนเวที ข้าจักแม่งฆ่ามัน”


“พูดได้ดี ข้าจักสาบานที่จะฆ่ามันเช่นกันถ้าเราเจอกันบนเวที”


 


เมื่อรู้สึกว่าถูกยั่วยุจากเพียงแค่การปรากฏตัวของซูหยาง โดยเฉพาะหน้าตาที่สุดยอดของเขาที่เย้ยหยันชายทุกคนที่นั่นอย่างเงียบๆ คนหลายสิบคนที่นั่นต่างพากันสาบานที่จะฆ่าเขาถ้าพวกเขาขึ้นบนเวทีเดียวกันระหว่างการแข่งขัน


 


แน่นอนว่า การแข่งขันห้ามการฆ่ากันโดยเจตนา อย่างไรก็ตามบนเวทีซึ่งทุกคนจะต้องแสดงวิชาที่แข็งแกร่งที่สุดของตนเอง อุบัติเหตุย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้


 


หลังจากที่ยืนอยู่หลายชั่วโมงสุดท้ายก็เป็นตาของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่จะต้องลงทะเบียน


 


“ชื่อสำนักและจำนวนผู้เข้าร่วม” คนงานด้านหลังโต๊ะลงทะเบียนพูดกับพวกเขาทันทีที่พวกเขาเข้าไปหา “จำนวนของผู้เข้าร่วมในแต่ละสำนักสามารถมีได้ถึงยี่สิบคน และทุกคนต้องอยู่เหนือกว่าเขตปฐมวิญญาณ และมีอายุต่ำกว่าสามสิบจึงจะมีคุณสมบัติเป็นผู้เข้าร่วม”


 


“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ผู้เข้าร่วมสิบเอ็ดคน”


 


“จำไว้ พวกเจ้าควรเข้าไปในห้องโถงเพื่อประเมิน” คนงานยื่นป้ายให้กับโหลวหลานจีก่อนที่จะเปิดประตูสู่สนามการแข่งขันขนาดใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง


 


“เราเข้าไปทดสอบภายในนั้นกันเถอะ” โหลวหลานจีกล่าว


 


“เรายังต้องทดสอบอีกหรือ” ศิษย์คนหนึ่งถาม


 


“นั่นเป็นเพียงการทดสอบเพื่อที่จะดูว่าพวกเจ้ามีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมจริงหรือไม่” โหลวหลานจีกล่าวขณะที่นำพาพวกเขาไปยังสนามแข่งขัน “เจตนาที่แท้จริงก็เพื่อคัดทิ้งคนโกหก อย่ากังวลนั่นมิได้ใช้เวลาพวกเรามากกว่าหนึ่งนาทีต่อคน”


DC บทที่ 324: ผลลัพธ์ที่น่าตื่นตะลึง


 


ทันทีที่เข้าไปในสนามกีฬา เทวรูปสูงใหญ่ก็จ้องเขม็งลงมายังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยราวกับผู้พิทักษ์ที่แข็งกร้าวสององค์


 


“เทวรูปวิญญาณและเทวรูปอายุกระดูก หนึ่งใช้วัดอายุของพวกเจ้าผ่านกระดูกและอีกหนึ่งสำหรับวัดพลังการฝึกปรือของพวกเจ้า เป็นไปไม่ได้ที่จะโกหกต่อหน้าสมบัติวิญญาณทั้งสองนี้”


 


โหลวหลานจีอธิบายให้กับพวกเขา


 


“…”


 


ซูหยางมองดูเทวรูปวิญญาณด้วยสายตาครุ่นคิด


 


“ข้ามิต้องกังวลในการเปิดเผยอายุของข้า หรือว่าต้องพยายามพลังการฝึกปรืออย่างจริงจัง แต่การเปิดเผยพลังการฝึกปรือที่แท้จริงที่นี่ย่อมทำให้เกิดความปั่นป่วนมากเกินไป นี่ยังมิได้พูดถึงแผนการของข้า ข้าจักซ่อนมันไว้ก่อนตอนนี้”


 


แม้ว่าสมบัติวิญญาณเหล่านี้เป็นที่รู้กันว่าแม่นยำร้อยเปอร์เซ็นต์และไม่สามารถหลอกได้ แต่สมบัติวิญญาณด้อยค่าเหล่านี้ก็เปรียบเสมือนของเล่นต่อหน้าของเซียนดังเช่นซูหยาง ซึ่งมีวิชาการปกปิดมากมายที่จะหลอกของเล่นเหล่านี้


 


“ทีละคน พวกเจ้าจะต้องวางมือบนเทวรูปทั้งสองนี้เพื่อตรวจสอบ เราจักทดสอบอายุของเจ้าก่อนเป็นอันดับแรก ดังนั้นจงวางมือเจ้าบนเทวรูปอายุกระดูกที่อยู่ด้านซ้าย” ผู้ตรวจสอบพลันกล่าวกับพวกเขา


 


“ไปเลย” โหลวหลานจีเร่งเหล่าศิษย์


 


หนึ่งในเหล่าศิษย์พยักหน้าและเข้าไปหาเทวรูปอายุกระดูกและวางมือบนนั้น


 


ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ลูกกลมสีเขียวสว่างสิบแปดลูกก็ปรากฏรอบเทวรูปอายุกระดูก แน่นอนว่าลูกกลมสีเขียวแต่ละลูกหมายถึงหนึ่งปีสำหรับศิษย์


 


“สิบแปดปี เจ้าผ่านการทดสอบอายุ ต่อไปวางมือของเจ้าบนเทวรูปวิญญาณและถ่ายเทปราณไร้ลักษณ์ลงไปในนั้นเพื่อกระตุ้นการทำงานของมัน” ผู้ตรวจสอบกล่าว


 


ศิษย์ทำตามคำแนะนำและปลดปล่อยปราณไร้ลักษณ์เข้าไปในเทวรูปวิญญาณเพื่อที่จะกระตุ้นสมบัติวิญญาณ


 


ไม่นานหลังจากนั้นทั้งตัวเทวรูปก็เปล่งแสงสีเขียวเข้ม


 


“เขตสัมมาวิญญาณระดับห้า เจ้ามีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมในการแข่งขันนี้ ยื่นหลังมือมาให้ข้า” ผู้ตรวจสอบกล่าว


 


เมื่อศิษย์ยกมือของเธอขึ้น ผู้ตรวจสอบก็นำเอาตราประทับออกมาประทับไปบนหลังมือของศิษย์ รอยประทับสีเหลืองก็พลันปรากฏขึ้นบริเวณที่ถูกประทับในไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นก่อนที่จะหายเข้าไปในผิวของเธอเมื่อเวลาผ่านไป


 


“นี่คือ…” ศิษย์มองดูผู้ตรวจสอบด้วยสีหน้างุนงง


 


“รอยประทับนั้นเป็นสิ่งที่ใช้พิสูจน์ว่าเจ้าเป็นผู้เข้าร่วมการแข่งขันอย่างเป็นทางการ หากไม่มีมันเจ้าจักไม่สามารถที่จะขึ้นไปบนเวทีได้”


 


“ข้าเข้าใจแล้ว…”


 


หลังจากที่ศิษย์คนแรกผ่านการทดสอบซึ่งใช้เวลาไม่ถึงนาที ศิษย์คนต่อไปก็ก้าวไปข้างหน้า


 


“สิบแปดปี เขตสัมมาวิญญาณระดับหก ผ่าน”


 


“สิบเจ็ดปี เขตสัมมาวิญญาณระดับห้า ผ่าน”


 


“ยี่สิบปี เขตสัมมาวิญญาณระดับแปด ผ่าน”


 


“สิบเก้าปี เขตสัมมาวิญญาณระดับเก้า ผ่าน”


 


เมื่อการทดสอบดำเนินต่อไป ผู้ตรวจสอบก็ยิ่งประหลาดใจกับศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและผลลัพธ์ของการทดสอบของพวกเธอ


 


“แม้ว่าพวกเธอจะมีอายุน้อย พวกเธอทั้งหมดล้วนมีพลังการฝึกปรือที่สูง ซึ่งไม่มีทางด้อยไปกว่านิกายระดับสูง นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยรึ พวกเขาพบเหมืองแร่วิญญาณหรืออะไรบางอย่างและร่ำรวยขึ้นมาหรือเปล่า นั่นต้องใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลืองจำนวนมากในการที่จะฝึกศิษย์เหล่านี้ การแข่งขันระดับภูมิภาคปีนี้ต้องสนุกอย่างแน่นอน”


 


เพราะว่ามากกว่าครึ่งของเหล่าศิษย์ที่มาที่นี่ในวันนี้ล้วนเป็นศิษย์นอกเมื่อครึ่งปีก่อน ดังนั้นอายุของพวกเธอล้วนอยู่ในระดับต่ำ


 


“คนต่อไป”


 


“ในที่สุดก็ถึงตาข้า” ซุนจิงจิงก้าวไปข้างหน้าด้วยท่าทางตื่นเต้น


 


“ยี่สิบเอ็ดปี… ระดับสอง…. ข-ข-เขตปฐพีวิญญาณ”


 


ผู้ตรวจสอบเกือบกรีดร้องเมื่อเขาเห็นเทวรูปวิญญาณเปล่งแสงสีแดง ซึ่งเป็นสิ่งที่มีเพียงผู้ที่เข้าสู่เขตปฐพีวิญญาณสามารถทำให้เกิดขึ้นได้


 


“สามารถเข้าสู่เขตปฐพีวิญญาณตั้งแต่เยาว์วัย ช่างเป็นอันยิ่งใหญ่อะไรเช่นนี้ อนาคตของเธอจักต้องไร้ขีดจำกัด”


 


ผู้ตรวจสอบปาดเหงื่อออกจากหน้าผากของตนเองและคารวะไปยังโหลวหลานจี “ขอแสดงความยินดีกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่มีศิษย์ที่เฉลียวฉลาดเช่นนี้”


 


โหลวหลานจีอดที่จะยิ้มหลังจากที่ได้ยินคำชมจากผู้ตรวจสอบไม่ได้ รู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงที่มีศิษย์ดังเช่นซุนจิงจิง


 


แต่แน่นอนว่าทุกสิ่งนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้หากปราศจากซูหยาง


 


หลังจากที่ซุนจิงจิงไปแล้ว คนที่เหลือที่ยังไม่ได้ทดสอบก็คือฟางซีหลานและซูหยาง


 


“ศิษย์ฟาง เข้าไป” โหลวหลานจีมองดูเธอด้วยรอยยิ้มกว้าง


 


ฟางซีหลานพยักหน้าและเข้าไปที่เทวรูปอายุกระดูก


 


“ยี่สิบสี่ปี”


 


หลังจากผ่านการทดสอบอายุ ฟางซีหลานก็วางมือของเธอไปยังเทวรูปวิญญาณ


 


ไม่นานหลังจากนั้น เทวรูปก็เปล่งแสงสีแดงเข้ม ซึ่งเหนือกว่าซุนจิงจิงในด้านความแจ่มชัด


 


“ป-ป-เป็นไปไม่ได้” ผู้ตรวจสอบล้มลงก้นจ้ำเบ้าหลังจากที่เห็นพลังการฝึกปรือของฟางซีหลาน


 


“ร-ร-ระดับเจ็ดเขตปฐพีวิญญาณ” ผู้ตรวจสอบตะโกนลั่นด้วยเสียงที่ตื่นตระหนก


 


“ม…มิมีทาง..” กระทั่งโหลวหลานจีก็ยังไม่อาจเชื่อผลลัพธ์และจ้องมองฟางซีหลานด้วยท่าทางมึนงง ในที่สุดเธอก็เข้าใจว่าทำไมเธอจึงไม่สามารถเห็นพลังการฝึกปรือของฟางซีหลานได้ ไม่เหมือนศิษย์คนอื่นนอกจากซูหยาง


 


จริงแล้วโหลวหลานจีเองก็อยู่เพียงระดับห้าเขตปฐพีวิญญาณ


 


โหลวหลานจีจึงหันไปมองดูซูหยาง ซึ่งเป็นคนรับผิดชอบเรื่องนี้


 


ถ้าเขาสามารถช่วยฟางซีหลานได้รับพลังการฝึกปรือสูงเช่นนั้นในเวลาอันสั้น เขาต้องแข็งแกร่งกว่าฟางซีหลานใช่หรือไม่


 


“ดัง…ดังคาดสำหรับศิษย์พี่หญิง… พรสวรรค์ของเธอเพียงลำพังก็ดีกว่าพวกเราทุกคนรวมกัน…”


 


ศิษย์คนอื่นแอบถอนใจ


 


“ข้าต้องการได้รับการประทับตอนนี้” ฟางซีหลานกล่าวกับผู้ตรวจสอบที่นั่งอยู่บนพื้น


 


“อือ…”


 


อย่างไรก็ตาม ผู้ตรวจสอบไม่ได้ตอบสนองในทันทีและแสดงความลังเล แม้ว่าอายุของฟางซีหลานจะอยู่ในช่วงที่กำหนดไว้ แต่พลังการฝึกปรือของเธอผิดปกติจนเกินไป ถ้าเธอขึ้นไปบนเวที เธอจะไม่ข่มเหงทุกคนที่นั่นอย่างง่ายดายหรือ


 


บ้าแล้ว ถ้าให้ดีพวกเขาให้รางวัลที่หนึ่งเธอไปเลยก่อนที่การแข่งขันจะเริ่มขึ้น


 


“มีปัญหาอะไรหรือผู้ตรวจสอบ ทำไมท่านจึงยังไม่ประทับตรามือเธอ” โหลวหลานจีถามพร้อมขมวดคิ้ว


 


“เอ้อ.. มิมีอะไรผิดปกติกับอายุของเธอ แต่พลังการฝึกปรือของเธอค่อนข้างจะ..”


 


“อะไรกัน นั่นมิมีข้อกำหนดถึงขีดจำกัดของพลังการฝึกปรือของคนที่จะมีคุณสมบัติเป็นผู้เข้าร่วมการแข่งขัน ถ้าข้าจำไม่ผิด ต่อให้เธออยู่ที่เขตอัมพรวิญญาณ ศิษย์ข้าย่อมมีคุณสมบัติเข้าเป็นผู้ร่วมการแข่งขัน” โหลวหลานจีตอบโต้ทันที


 


ผู้ตรวจสอบพลันเงียบไปหลังจากที่ได้ยินคำตำหนิของโหลวหลานจี และหลังจากผ่านการครุ่นคิดไปหลายนาที ผู้ตรวจสอบสุดท้ายก็ยอมประทับตรามือของฟางซีหลาน


 


“ท่านพูดถูก มิมีกฏที่ห้ามคนที่อยู่ในระดับเจ็ดเขตปฐพีวิญญาณว่ามิผ่านคุณสมบัติ ตราบเท่าที่พวกเขาเหนือกว่าเขตปฐมวิญญาณ พวกเขาล้วนมีคุณสมบัติ ต้องขอโทษสำหรับความของข้าเมื่อกี้นี้”


 


โหลวหลานจีถอนใจโล่งอกหลังจากที่เห็นประทับสีเหลืองบนมือของฟางซีหลาน ตราบเท่าที่มีฟางซีหลานอยู่บนเวที เกือบเป็นไปไม่ได้สำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะได้ตำแหน่งอะไรที่ต่ำกว่าระดับสามในการแข่งขัน


 


“ศิษย์ฟาง.. เห็นได้ว่าเจ้าได้ก้าวข้ามผ่านข้าไปเรียบร้อยแล้ว ข้าเห็นควรเรียกเจ้าว่าผู้นำนิกายนับแต่ตอนนี้ไหม” โหลวหลานจียิ้มขื่นขม


 


อย่างไรก็ตามฟางซีหลานส่ายหน้าของเธออย่างสงบและกล่าวว่า “ในแง่ของประสบการณ์ ศิษย์คนนี้ยังทิ้งห่างจากท่านผู้นำนิกาย ข้ามิกล้าที่จะเป็นผู้นำนิกายแม้จะผ่านไปอีกนับสิบปีจากตอนนี้”


 


“เจ้าช่างถ่อมตัวเกินไป…” โหลวหลานจีถอนใจ “อย่างไรก็ตาม เราก็ยังสามารถพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกครั้งเมื่อเรากลับไปยังโรงเตี๊ยม ในเมื่อยังคงมีอีกคนที่นี่ที่ต้องการทดสอบ”


 


ในเวลานั้นทุกคนต่างหันไปมองดูซูหยาง ซึ่งได้ตรงไปยังเทวรูปทั้งสององค์แล้ว


DC บทที่ 325: ผลลัพธ์ที่น่าสงสัย


 


เมื่อเขาเข้าถึงเทวรูปอายุกระดูก ซูหยางก็ยกมือขึ้น


 


เวลาไม่นานหลังจากนั้นดวงแสงทั้งหมดสิบเจ็ดดวงก็ลอยออกมารอบเทวรูป


 


“สิบเจ็ดปี…”


 


ผู้ตรวจสอบอดที่จะเปรียบเทียบตนเองกับเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ได้ ซึ่งเปล่งกลิ่นอายอันลึกลับที่ดูเหมือนจะลึกล้ำกว่าฟางซีหลานด้วยซ้ำ


 


“เขาเพียงแค่สิบเจ็ดปีจริงหรือ…” ฟางซีหลานถึงกับสับสนกับผลลัพธ์ เดิมเธอเชื่อว่าเขาเป็นจอมยุทธที่ปลอมตัวมา


 


กล่าวเช่นนั้น เข้าถึงเขตอัมพรวิญญาณเมื่ออายุเพียงแค่นี้ทำให้เธอรู้สึกไร้ความหมายเหมือนเป็นแค่มดตัวหนึ่ง


 


“เจ้าคิดว่าพลังการฝึกปรือระดับไหนที่ศิษย์พี่ชายเข้าถึง” หนึ่งในบรรดาศิษย์ถาม


 


“เขาต้องอยู่ไม่ต่ำกว่าระดับสูงสุดของเขตปฐพีวิญญาณ ใช่ไหม”


 


“เป็นไปได้ว่าเขาน่าจะเข้าสู่เขตอัมพรวิญญาณไปแล้ว”


 


“แต่เขาอายุเพียงสิบเจ็ดปี เป็นยอดยุทธเขตอัมพรวิญญาณที่อายุเพียงเท่านี้ค่อนข้างจะเกินไปหน่อยถึงแม้ว่าจะเป็นศิษย์พี่ชายก็ตาม…”


 


“เช่นนั้นเจ้าจะอธิบายความก้าวหน้าของพวกเราอย่างไร”


 


“นั่นก็จริง แต่ในทำนองเดียวกัน เราก็จักมิสามารถที่จะฝึกโดยใช้ปราณหยางของเขาได้ ถ้าเขามีระดับมากกว่าพวกเราเกินไป พวกเราทุกคนคงต้องตายไปนานแล้ว”


 


ปกติแล้วผู้คนไม่สามารถที่จะฝึกปราณที่เกินกว่าเขตของตนเอง อย่างไรก็ตาม ซูหยางมีวิชาอันล้ำลึกที่สามารถหักล้างกับกฏสวรรค์ได้ถึงระดับหนึ่ง ยอมให้คู่ฝึกของเขาได้ฝึกฝนกับปราณหยางของเขาได้ทั้งที่มีพลังการฝึกปรือต่ำกว่าเขา


 


ถึงกระนั้นวิชาที่บิดเบือนกฏสวรรค์นี้สามารถใช้ได้กับคนที่อยู่ในขอบเขตมนุษย์ทั้งเจ็ดเท่านั้น


 


อีกนัยหนึ่ง ตราบเท่าที่ความแตกต่างนั้นไม่มากมายจนเกินไป ซูหยางสามารถที่จะฝึกฝนร่วมกับใครก็ตามที่เขาต้องการโดยไม่สนใจพลังการฝึกปรือของพวกเธอ แต่แน่นอนว่าวิชาประเภทนี้เพียงช่วยคนที่มีพลังการฝึกปรือต่ำกว่าซูหยางและจะใช้ไม่ได้ถ้าพวกเธอเหนือกว่าเขา


 


หลังจากที่เสร็จสิ้นกับเทวรูปอายุกระดูก ซูหยางก็ตรงเข้าไปยังเทวรูปวิญญาณ


 


“…”


 


สถานที่นั้นพลันเปลี่ยนเป็นเงิียบไปอย่างสิ้นเชิง ในเมื่อทุกคนที่นั่นต่างคาดหวังถึงการเปิดเผยพลังการฝึกปรือของเขา


 


ไม่นานหลังจากนั้น ผู้ตรวจสอบกล่าวด้วยเสียงสับสนว่า “ระดับเก้า… เขตคัมภีร์วิญญาณ..”


 


“อะไรกัน”


 


ทุกคนที่นั่นต่างพากันอุทานดังลั่น


 


“หรือว่าศิษย์พี่ชายพังเทวรูปวิญญาณ”


 


“เขตคัมภีร์วิญญาณ นั่นเป็นไปได้อย่าง เห็นชัดว่าเขาอยู่ที่เขตอัมพรวิญญาณ…” ฟางซีหลานซึ่งเป็นคนเดียวที่ตระหนักถึงพลังการฝึกปรือที่แท้จริงของเขาครุ่นคิด


 


“หรือว่าเขาเข้าไปยุ่งกับเทวรูปวิญญาณด้วย แล้วเทวรูปอายุกระดูกล่ะ หรือว่าเขาเข้าไปยุ่งกันมันด้วยเช่นกัน”


 


ไม่เพียงแต่ฟางซีหลาน แต่กระทั่งโหลวหลานจีก็สงสัยถึงผลลัพธ์ด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นว่าซูหยางสงบเยือกเย็นเพียงไรในตอนนี้


 


“ประทับ” ซูหยางพูดกับผู้ตรวจสอบอย่างไม่ใส่ใจ


 


“ด-ได้…”


 


ผู้ตรวจสอบประทับตราบนมือซูหยางโดยไม่ได้คิดอะไรมากเรื่องนั้น


 


ครั้นเมื่อทุกคนจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้รับตราประทับคุณสมบัติแล้วพวกเขาต่างก็ออกไปจากสนามกีฬาจากทางด้านหลัง


 


“ซูหยาง เจ้าอยู่เพียงแค่เขตคัมภีร์วิญญาณจริงรึ” โหลวหลานจีถามเขาหลังจากพวกเขาออกไป


 


“นั่นเป็นสิ่งที่เทวรูปวิญญาณวัดออกมา ไม่ใช่รึ”


 


“ถ้าเจ้าอยู่เพียงแค่เขตคัมภีร์วิญญาณ เจ้าสามารถช่วยคนอื่นๆบรรลุถึงพลังการฝึกปรือของพวกเธอได้อย่างไร นั่นไม่ใช่สิ่งที่ใครที่อยู่เพียงแค่เขตคัมภีร์วิญญาณจะสามารถช่วยได้”


 


“มีปัญหาอะไรกับพลังการฝึกปรือที่ข้ามีรึ หากว่าได้ผลลัพธ์เช่นนั้น…”


 


โหลวหลานจีถอนใจ “ก็ได้ ถ้าเจ้ามิต้องการที่จะพูดอะไรในตอนนี้ รอจนกว่าหลังจากที่ข้าชนะพนันของพวกเรา”


 


ซูหยางเพียงแค่พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม


 


อย่างไรก็ตามไม่นานหลังจากนั้น ฟางซีหลานก็ใช้สัมผัสวิญญาณของเธอพูดกับซูหยางในใจ “ไม่มีอะไรถ้าเจ้าต้องการที่จะเก็บไว้เป็นความลับ แต่เกิดอะไรขึ้นเมื่อกี้นี้ ในเมื่อเห็นชัดว่าเจ้าอยู่ในเขตอัมพรวิญญาณ”


 


“ข้าลวงมันนิดหน่อย เท่านั้นเอง” ซูหยางตอบอย่างเรียบเฉย


 


“เจ้าลวงมัน แต่สมบัติวิญญาณนั่นเป็นที่รู้จักว่า… ลืมมันไปเถอะ ไม่มีอะไรน่าประหลาดใจมากกว่าคนอายุสิบเจ็ดปีเข้าถึงเขตอันพรวิญญาณ”


 


“เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าศิษย์พี่ชายอยู่เพียงแค่เขตคัมภีร์วิญญาณ” ศิษย์คนอื่นกระซิบกระซาบกัน


 


“มิมีทาง… เขาบางทีใช้วิชาลึกลับบางอย่างอย่างซ่อนพลังการฝึกปรือของเขา”


 


“ใช่ ลำพังแค่คุณภาพของปราณหยางของเขาอย่างเดียวก็อย่างน้อยต้องในเขตปฐพีวิญญาณแล้ว”


 


ในเวลานั้นไม่กี่เมตรออกไปจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย คนกว่าโหลได้รายล้อมเด็กสาวคนหนึ่ง ต่างพากันกระตือรือล้น


 


“อย่างที่คาดไว้ถึงศิษย์น้องหญิง เข้าถึงระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณยามที่อายุยังน้อย อนาคตของเจ้าไร้ขอบเขต”


 


“น้องหญิงอะไรกัน เธอจักกลายเป็นศิษย์พี่หญิงของเราเพียงแค่กระพริบตา ทางที่ดีเราต้องเริ่มปฏิบัติต่อเธอเท่าเทียมกัน”


 


อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะได้รับการชื่นชมโดยเกือบทุกคนรอบตัวเธอ เด็กสาวคนนี้ก็ยังคงเงียบเฉย


 


“ศิษย์ซู แม้ว่าข้าต้องการชื่นชมความพยายามของเจ้า ข้าก็ยังคงมิอาจเพิกเฉยสุขภาพของเจ้า ตามจริงข้าห้ามเจ้าฝึกฝนในอีกสี่สิบแปดชั่วโมงข้างหน้า ใช้เวลานี้ในการพัก” ผู้อาวุโสสำนักของสำนักหงส์สวรรค์กล่าวกับเด็กสาว


 


“เจ้าค่ะ ผู้อาวุโส…” ซูหยินพยักหน้าอย่างเชื่องช้า


 


“มีอะไรเกิดขึ้นกับศิษย์น้องหญิงรึ เธอดูเศร้าก่อนที่พวกเราจะมาถึงที่นี่ด้วยซ้ำ”


 


“ข้าจะรู้เรื่องนั้นได้อย่างไรกัน คนที่ใกล้ชิดกับเธอก็คือศิษย์พี่หญิงเหยา..”


 


ศิษย์อื่นๆต่างพากันมองดูหญิงสาวสวยที่ยืนอยู่ข้างซูหยินด้วยสายตาเร่งเร้า


 


“…”


 


หญิงสาวตระกูลเหยากลอกนัยน์ตาไปยังเพื่อนศิษย์ของเธอก่อนที่จะพูดกับซูหยิน


 


“น้องหยิน ถ้ามีอะไรที่เจ้าต้องการจะระบาย พี่สาวอยู่ที่นี่สำหรับเจ้าเสมอ…”


 


“…”


 


“น้องหยิน เจ้ามองดูอะไรอยู่รึ นั่นเหมือนกับว่าเจ้ากำลังมองเห็นผีหรืออะไรทำนองนั้น” เมื่อสังเกตเห็นซูหยินจ้องมองไปยังทิศทางหนึ่งด้วยดวงตากลมโต เหยาหนิง เพื่อนที่ดีที่สุดของเธอจึงมองไปยังทิศทางนั้นเช่นกัน


 


อย่างไรก็ตามนอกจากจะเป็นกลุ่มของหญิงสาวที่สวยมากเป็นพิเศษแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่มีค่าควรแก่การสนใจในทิศทางนั้นอีก


 


“พ-พี่ชาย” ร่างของซูหยินทั้งร่างพลันสั่นสะท้านเมื่อเธอสังเกตเห็นใบหน้าหล่อเหลาของซูหยางในกลุ่มของสาวสวย


 


และโดยไม่ต้องคิดถึงอะไรอีก ซูหยินเริ่มวิ่งไปยังซูหยาง ผลักทุกคนออกไปด้านข้าง


DC บทที่ 326: ความเข้าใจผิด


 


“อา”


 


“เฮ้ ดูซิเจ้าจะไปไหนกัน”


 


“เชี่ย เจ้าเลวคนไหนกล้าผลักนายน้อยคนนี้”


 


โดยไม่สนใจสังคมหรือสิ่งรอบข้างตัวเธอ ตราบเท่าที่ระยะทางระหว่างพวกเขาขยับใกล้ขึ้น ซูหยินล้วนผลักทุกคนออกไปด้านข้าง ในสายตาของเธอมีเพียงซูหยางเท่านั้น


 


“พี่ชายใหญ”


 


ครั้นเมื่อเธอเข้าไปใกล้มากพอ ซูหยินก็กระโจนเข้าไปหาซูหยางด้วยมือที่อ้ากว้างราวกับเสือ จับเขาไว้ในอ้อมกอดของเธอ


 


“อะไรกัน”


 


การปรากฏตัวอย่างกระทันหันและการกระทำของซูหยินสร้างความสับสนให้กับหญิงสาวจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ทำให้พวกเธอมองดูอีกฝ่ายด้วยสีหน้าประหลาด


 


“ศิษย์พี่ชาย สาวน้อยคนนี้เป็นใครกัน” ซุนจิงจิงเป็นคนแรกที่ถามคำถามนี้


 


“เธอคงจะเป็นคู่คนหนึ่งของศิษย์พี่ชายในโลกภายนอก” ศิษย์คนหนึ่งล้อ


 


“มิเป็นเช่นนั้นแน่…เธออายุน้อยเกินไป…”


 


“นั่นคือ…” โหลวหลานจีมองดูซูหยิน ขมวดคิ้ว รู้สึกเหมือนกับว่าเธอเคยเห็นอีกฝ่ายที่ไหนสักแห่งก่อนหน้านี้


 


“เดี๋ยว เจ้า… เจ้าคือซูหยิน” สุดท้ายโหลวหลานจีก็นึกตัวตนของอีกฝ่ายออกในฐานะของลูกสาวตระกูลซูและน้องสาวของซูหยาง


 


“ธ-เธอมาทำอะไรที่นี่ จะเกิดอะไรขึ้นกับข้อตกลงของพวกเราตอนนี้” โหลวหลานจีครุ่นคิดในใจ


 


หนึ่งในข้อตกลงของเธอกับพ่อของซูหยาง ซูซุน ก็คือรักษาระยะห่างซูหยางออกจากตระกูลซู แต่ตอนนี้น้องสาวเข้ามาหาพวกเขาด้วยตัวเธอเอง นั่นจะถือว่าละเมิดข้อตกลงของพวกเขาหรือไม่


 


แน่นอนว่าโหลวหลานจีไม่รู้ว่าซูหยินไม่รู้ถึงข้อตกลงของเธอกับตระกูลซู


 


“ผู้นำนิกายรู้จักสาวน้อยคนนี้ด้วยรึ ซูหยินรึ หรือว่าเธอเป็นน้องสาวของศิษย์พี่ชาย” หนึ่งในบรรดาศิษย์ถาม


 


“เธอเรียกเขาว่า พี่ชายใหญ่ ด้วยเมื่อกี้นี้..”


 


ความสนใจของเหล่าศิษย์ในซูหยินคนนี้พลันเพิ่มขึ้นในทันใด ไม่มีใครในหมู่พวกเธอคาดว่าซูหยางจะมีพี่น้อง


 


“พี่ชายใหญ่ ข้าคิดถึงท่าน แงแงแงแงแง”


 


ซูหยินพลันเริ่มร้องไห้เสียงดัง สร้างความงงงันให้กับคนแถวนั้น


 


ซูหยางมองดูสาวน้อยที่เกาะเสื้อคลุมของเขาและร้องไห้ราวกับเด็กทารก อย่างไรก็ตามขณะที่เขากำลังอ้าปากจะพูด คนจากสำนักหงส์สวรรค์ก็ตามมาทันซูหยินในที่สุดและเริ่มชี้นิ้วไปที่ซูหยาง


 


“เจ้าเป็นตัวอะไร ออกไปให้พ้นจากศิษย์น้องหญิงของพวกเรา”


 


“เธอ… เธอกำลังร้องไห้ เจ้าเลวนี่ต้องทำให้เธอร้องไห้แน่นอน”


 


ศิษย์สำนักหงส์สวรรค์เข้าใจผิดกับสถานการณ์อย่างรวดเร็วและเริ่มกล่าวหาซูหยางว่าทำให้ซูหยินร้องไห้ ซึ่งก็ไม่ผิดไปจากความจริงมากนัก


 


“คนเหล่านี้เป็นใครกัน โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้และพูดจาว่าร้ายศิษย์พี่ชายของพวกเรา พวกเขาช่างกล้าจริง”


 


นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยดูคนเหล่านี้ด้วยสายตาไม่เป็นมิตร


 


“เกิดอะไรขึ้นที่นี่”


 


สุดท้ายผู้อาวุโสนิกายจากสำนักหงส์สวรรค์ก็มาถึง


 


“ผู้อาวุโส เจ้าเลวตรงนั้นทำให้ศิษย์น้องหญิงร้องไห้ เขากระทั่งยื้อยุดเธอไว้เหมือนคนลามก”


 


“อะไรกัน” ผู้อาวุโสโกรธขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ในเมื่อซูหยินเป็นหนึ่งในผู้ที่มีพรสวรรค์และเป็นศิษย์ที่หวงแหนมากที่สุดของพวกเขา


 


ทำให้เธอร้องไห้ก็เหมือนกับการล่วงเกินทั้งสำนักหงส์สวรรค์ ยิ่งไปกว่านั้นแตะต้องตัวเธออย่างไม่เหมาะสม


 


“เอามือสกปรกของเจ้าออกไปจากเธอเดี๋ยวนี้


 


โดยไม่มีคำเตือนอะไรทั้งสิ้น ผู้อาวุโสจากสำนักหงส์สวรรค์ก็เข้าโจมตีซูหยางด้วยฝ่ามือ


 


“เจ้ากล้าทำร้ายศิษย์ของข้าได้อย่างไรต่อหน้าข้า” โหลวหลานจีก็พลันโคจรพลังปราณไร้ลักษณ์ของเธอและโจมตีสวนกลับ ป้องกันซูหยางจากการโจมตีของผู้อาวุโสสำนัก และผลักผู้อาวุโสสำนักนั้นห่างออกไปหลายเมตร


 


ศิษย์นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยพลันพากันก่นด่าสำนักหงส์สวรรค์


 


“โจมตีผู้เยาว์โดยไม่มีวี่แวว เจ้ายังจะเรียกตัวเองว่าเป็นผู้อาวุโสสำนักได้รึ”


 


“นี่เป็นสาวน้อยคนนี้ที่ปรากฏตัวขึ้นโดยไร้วี่แววและกอดศิษย์พี่ชายของเรา มิใช่เป็นอย่างอื่น”


 


หลังจากที่ปะทะกันครั้งแรก ทั้งบริเวณนั้นก็พากันหลีกทางเปิดช่องว่างให้กับพวกเขา


 


“นั่นเป็นการต่อสู้”


 


“พวกเขาบ้าไปแล้วหรือเปล่า ต่อสู้ในเมืองหิมะร่วง หรือว่าพวกเขาลืมไปว่าพวกเขาอยู่ในเมืองไหนในตอนนี้”


 


“ออกไปให้พ้นทางถ้าเจ้ามิต้องการถูกลากเข้าไปพัวพัน ทหารลาดตระเวนกำลังมาแล้ว”


 


เห็นทหารลาดตระเวนสองสามคนตรงมาที่พวกเขาจากที่ไกล


 


“เกิดอะไรขึ้นที่นี่ ใครเริ่มการต่อสู้นี้”


 


ทหารลาดตระเวนถามพวกเขาเมื่อมาถึง


 


“พวกเขาเริ่ม”


 


นิกายกุสุมาลย์ชี้นิ้วไปโดยไม่เสียเวลา


 


ทหารลาดตระเวนมองดูสำนักหงส์สวรรค์


 


“ส-สำนักหงส์สวรรค์รึ”


 


ทหารลาดตระเวนประหลาดใจที่เห็นสำนักระดับสูงนี้ที่สร้างปัญหา


 


“ทหาร พวกเขาโกหก เขาเป็นคนที่เริ่มต้นสิ่งนี้ เจ้าเลวนี่ทำให้ศิษย์น้องหญิงของพวกเราร้องไห้ เขาถึงกับแตะต้องตัวเธอโดยไม่เหมาะสม”


 


ศิษย์สำนักหงส์สวรรค์ตำหนิ


 


“…”


 


ทหารลาดตระเวนมองดูนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย แต่พวกเขาไม่สามารถจดจำเสื้อผ้าอีกฝ่ายได้


 


“พวกเจ้าเป็นใครกัน” หนึ่งในทหารลาดตระเวนถาม เขาไม่ต้องการที่จะล่วงเกินสำนักหงส์สวรรค์ แต่เขาก็ไม่ต้องการที่จะล่วงเกินผู้ที่ไม่ทราบความเป็นมาเช่นกัน


 


“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ข้าคือผู้นำนิกาย” โหลวหลานจีก้าวออกมาด้านหน้า


 


ทหารลาดตระเวนมองหน้ากันเอง ไม่มีใครในหมู่พวกเขาเคยได้ยินชื่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมาก่อน


 


“ไม่สำคัญว่าพวกเขาเป็นใคร แต่พวกเขาทำให้ศิษย์ของพวกเราคนหนึ่งร้องไห้ ข้าจักต้องให้เจ้าสำนักรู้เรื่องนี้หลังจากนี้” ผู้อาวุโสสำนักที่โจมตีซูหยางพลันพูดขึ้น


 


โหลวหลานจีขมวดคิ้วและกล่าวว่า “เจ้าเป็นคนที่โจมตีก่อน เจ้ามิมียางอายหรืออย่างไรกัน”


 


“ข้าขอพูด…” ซูหยางซึ่งได้เงียบมาตลอดเวลานี้พลันกล่าวขึ้น “พวกเจ้าได้เห็นหรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเจ้ารู้ไหมว่าทำไมเธอจึงร้องไห้”


 


“ม-ม-ไม่..” ผู้อาวุโสสำนักพูดขึ้นอย่างลังเล


 


“เช่นนั้นเจ้าก็โจมตีข้าโดยไม่มีเหตุผลอะไร ข้าต้องพูดว่าสำนักหงส์สวรรค์นั้นช่างเอาแต่ใจตนมากมายทีเดียว” ซูหยางกล่าวด้วยสีหน้เรียบเฉย


 


“ระวังปากของเจ้า เจ้าเด็กเลว และรีบปล่อยศิษย์ข้ากลับมา”


 


ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวต่อว่า “เจ้าตาบอดหรือไร มองดูพวกเราและบอกซิว่าใครเป็นคนยื้อยุดอีกคนอยู่ พูดอีกครั้งซิ”


 


บรรดาศิษย์ของสำนักหงส์สวรรค์มองดูเขาและซูหยินอีกครั้ง แต่ครานี้มองอย่างใส่ใจมากกว่าเดิม


 


“น-นี่…”


 


พวกเขาต่างพากันตกตะลึงเมื่อตระหนักว่าเป็นซูหยินที่เกาะเขาไว้


 


“นี่เป็นสถานที่แบบไหนกันที่ดูแลน้องสาวของข้าอยู่ หือ น่าเป็นห่วงนัก” ซูหยางถอนใจ แสร้งทำตนเป็นพี่ชายที่เป็นห่วงเป็นไย


 


“จ-เจ้าพูดอะไรไป เธอเป็นน้องสาวของเจ้ารึ”


 


ไม่เพียงแค่สำนักหงส์สวรรค์ แต่กระทั่งโหลวหลานจีก็ยังมองดูเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง


 


“เขารู้ว่าซูหยินนั้นเป็นน้องของเขา แต่นั่นเป็นไปไม่ได้ เขามิควรจะมีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับตระกูลซู เช่นนั้นเขาคืนความทรงจำแล้วรึ ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” โหลวหลานจีครุ่นคิด


DC บทที่ 327: พวกเจ้าได้ข้ามเส้นที่ไม่ควรข้ามไปแล้ว


 


“พี่ชาย… ท่าน… หรือว่าความทรงจำของท่านในที่สุดก็กลับคืนมาแล้ว” ซูหยินมองดูเขาด้วยดวงตานองน้ำตา แขนของเธอยังคงโอบรอบซูหยางราวกับโคอาล่ากอดต้นไม้


 


“อื้อ” ซูหยางพยักหน้าอย่างเยือกเย็น


 


แม้ว่าเขาไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของตนเองก่อนที่เขาคืนความทรงจำของเซียน ดูเหมือนว่านั่นคงไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เมื่อมาถึงจุดนี้


 


“หวาาา พี่ชายใหญ่ ข้าคิดถึงท่านมาตลอด” ซูหยินเริ่มร้องไห้เสียงดังกว่าเดิม


 


ในขณะนั้นคนสำนักหงส์สวรรค์จ้องมองพวกเขาด้วยท่าทางงงงัน


 


“ไม่มีทาง… เขาเป็นพี่ชายใหญ่ของศิษย์น้องหญิงจริงๆด้วย…”


 


“แต่ข้าคิดว่าเขาตายไปแล้ว”


 


“ไม่ เขามิเคยได้รับการยืนยันว่าตาย เพียงสูญหายไป” เหยาหนิงกล่าว ซึ่งเธอได้ฟังซูหยินพูดถึงซูหยางบ่อยกว่าที่ต้องการ


 


“ข้าคิดว่าเธอเพียงแค่โม้เมื่อเธอเรียกพี่ชายของเธอว่าเป็น “ชายรูปหล่อที่สุดในโลก” …” เหยาหนิงอดที่จะชื่นชมหน้าตาซูหยางอย่างเงียบไม่ได้


 


“ขออภัย…”


 


ทหารยามพลันเรียกขานพวกเขา


 


“ข้าต้องขออภัย แต่ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความเข้าใจผิด ข้าจักประทับใจอย่างยิ่งถ้าพวกท่านสามารถทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับการกระทบกระทั่งเล็กๆน้อยๆนี้ นี่ก็มิมีใครได้รับบาดเจ็บด้วยเช่นกัน”


 


เหยาหนิงคำนับทหารลาดตระเวน


 


“เอ้อ…”


 


ทหารลาดตระเวนสบสายตากันและหลังจากนั้นพวกเขาก็กล่าวต่อว่า “ในเมื่อมิมีใครได้รับบาดเจ็บและนี่ก็เป็นถึงสำนักหงส์สวรรค์ เราจักมิไล่เลียงเรื่องนี้ต่อไปและจักไปในบัดดล”


 


สุดท้ายแล้ว พวกเขาก็ไม่ต้องการที่จะล่วงเกินสำนักระดับสูงในเรื่องบางอย่างที่เล็กน้อย


 


ครั้นเมื่อทหารลาดตระเวนจากไปแล้ว เหยาหนิงก็ก้าวไปข้างหน้าแลคำนับอีกครั้ง


 


“ข้าต้องขออภัยกับความเข้าใจผิดในพฤติกรรมของศิษย์ร่วมสำนักของข้านี้ ในเมื่อพวกเขากระทำหยาบคายและทำผิดพลาดล่วงเกินน้องชายท่านนี้มากเกินไป ข้าคือเหยาหนิง ศิษย์หลักของสำนักหงส์สวรรค์และเพื่อนรักของน้องสาวซู มีอะไรที่ข้าจะสามารถทำได้ในการชดเชยกับการกระทำของพวกเราในวันนี้ได้บ้างหรือไม่”


 


เหยาหนิงขอโทษด้วยความจริงใจต่อซูหยาง แม้ว่าเธอจะเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ไม่ได้ด่าว่าซูหยาง เธอก็ยังคงรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบกับผลที่เกิดขึ้น ในเมื่อเธอเป็นคนที่เกือบอาวุโสที่สุดรองมาจากผู้อาวุโสสำนัก


 


“ปกติแล้วข้าก็จักมักจะมองข้ามความเข้าใจผิดเล็กน้อยเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสาวสวยเช่นตัวเจ้าคำนับขออภัยต่อข้า อย่างไรก็ตามข้าเกือบสิ้นชีพเมื่อกี้เมื่อตาแก่นั่นพยายามที่จะลอบทำร้ายข้า บอกข้าสิว่าเจ้าจะชดเชยให้กับข้าอย่างไร”


 


“ไร้สาระ ข้าเพียงต้องการที่จะแยกเจ้าจากซูหยิน ต่อให้การโจมตีของข้าโดน นั่นก็มิถึงกับฆ่าเจ้า และถึงกับเรียกว่านี่เป็นการลอบทำร้าย เจ้าไร้ยางอายหรืออย่างไร”


 


ผู้อาวุโสสำนักที่พยายามจะโจมตีซูหยางพลันโต้ตอบ


 


“ยังจะกล่าวหาว่าข้าไร้ยางอายในขณะที่เจ้าซึ่งเป็นผู้ฝึกวิชาระดับสูงสุดของเขตปฐพีวิญญาณ เพียงแค่พยายามจะโจมตีคนรุ่นเยาว์ที่ไม่แม้จะถึงเขตสัมมาวิญญาณ หนังเจ้าต้องหนาเหมือนกับหนังวัวแน่”


 


ผู้อาวุโสสำนักใบหน้าแดงก่ำหลังจากที่ได้ยินคำพูดของซูหยาง


 


“เจ้าเด็กเลว เจ้ากล้าดูถูกข้าอย่างงั้นรึ–”


 


“ผู้อาวุโส ถ้าเจ้ามิหยุดในครั้งนี้ ข้าจักบอกอาจารย์ข้าว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่หลังจากนี้”


 


ซูหยินพลันขัดขึ้นด้วยเสียงเย็นเยียบ


 


“ซ-ซูหยิน… เจ้า…”


 


ผู้อาวุโสสำนักไม่อยากเชื่อ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้รับความเย็นชาจากซูหยินแบบนั้น ซึ่งปกติแล้วจะเป็นเด็กใจดีและนุ่มนวล


 


ซูหยินพลันกล่าวต่อว่า “พวกเจ้าทั้งหมดควรกลับไปที่โรงเตี๊ยมโดยมิมีข้า ข้าจักอยู่กับพี่ชายใหญ่ของข้าชั่วระยะเวลาหนึ่ง”


 


“อะไร ทำเช่นนั้นมิได้ อาจารย์ของเจ้า เจ้าสำนักคาดหวังให้เจ้ากลับไป” ผู้อาวุโสสำนักปฏิเสธทันที


 


“ข้ามิได้ขออนุญาต” ซูหยินตอบ


 


“น้องหญิง… อย่าทำให้เรื่องนี้ยุ่งยากกับพวกเรา…”


 


“เจ้าสำนักจักต้องโกรธแน่ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า..”


 


“ใช่แล้ว ชีวิตของพวกเราจักต้องเสี่ยงในเวลานั้น”


 


ศิษย์ของเธอต่างก็พากันกล่าวถึงความกังวลของตนเองออกมา


 


“ฮึ่ม” ซูหยินแค่นเสียงเย็นชา “แม้ว่าเราอาจจะเป็นศิษย์ร่วมสำนัก แต่เจ้าได้ข้ามเส้นที่เจ้ามิควรจะข้ามไปแล้วในวันนี้เมื่อเจ้าหยามพี่ชายใหญ่ของข้า ข้าจักจำเรื่องนี้ไว้”


 


“…”


 


ศิษย์ทุกคนที่นั่นที่ได้อ้าปากกล่าวหาซูหยางไม่นานก่อนหน้านั้นได้ก้มหน้าลงด้วยความละอาย จิตใจเต็มไปด้วยความเสียใจ


 


พวกเขาทั้งหมดล้วนรู้ว่าซูหยินรักพี่ชายของเธอสุดซึ้ง ในเมื่อนั่นเป็นทุกอย่างที่เธอจะพูดถึงในสำนัก แต่พวกเขาทุกคนไม่คาดว่าจะมากมายถึงเพียงนี้


 


“ถ้าเจ้าไปกับพวกเขา เช่นนั้นข้าจักร่วมทางกับเจ้าด้วย” เหยาหนิงพูดในขณะถัดไป “ถ้าข้าไปกับเจ้า เจ้าสำนักจักได้ไม่กังวล ข้ามั่นใจว่าเจ้าคงมิต้องการให้เจ้าสำนักขัดขวางการอยู่ร่วมของเจ้ากับพี่ชายของเจ้า ใช่ไหม”


 


ซูหยินครุ่นคิดอย่างเงียบๆชั่วขณะก่อนที่จะพยักหน้า


 


“ตกลง พี่หนิงไปกับข้าได้”


 


ซูหยินพลันหันไปหาซูหยาง


 


“พวกเราไปกันเถอะ พี่ชาย ข้ามีหลายเรื่องที่จะพูดกับท่าน” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้มสดใสบนใบหน้า


 


“อื้อ..”


 


ซูหยางหันไปมองดูโหลวหลานจี ซึ่งพยักหน้าด้วยรอยยิ้มขื่นขม “น้องสาวเจ้าสามารถตามพวกเราไปยังโรงเตี๊ยมได้”


 


หลังจากที่ทุกสิ่งได้จัดการเรียบร้อยแล้ว ซูหยินและเหยาหนิงก็ได้ตามนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยกลับไปยังที่พักของพวกเขา ปล่อยให้ผู้อาวุโสสำนักจากสำนักหงส์สวรรค์กรุ่นไปด้วยความโกรธ


 


“ข้าจักพูดกับเจ้าสำนักยามเมื่อเรากลับไป พวกเจ้าจักต้องมิพูดออกไปเกี่ยวกับเรื่องวันนี้ พวกเจ้าเข้าใจข้าหรือไม่”


 


“ได้ ผู้อาวุโส”


 


สำนักหงส์สวรรค์จากไปไม่นานหลังจากนั้น


 



 



 



 


“ฮี่ฮี่ฮี่…”


 


ซูหยินกอดแขนซูหยางแน่นขณะที่พวกเขาเดินกลับไปยังโรงเตี๊ยมขณะที่ส่งเสียงสนุกสนาน


 


“น้องสาวคนนี้.. ดูประหลาดอยู่บ้าง…”


 


ศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมองดูการกระทำของซูหยินด้วยหางตา


 


“เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว น้องสาว” ซุนจิงจิงตัดสินใจที่จะเริ่มการสนทนากับเธอ


 


“ข้าจักอายุสิบหกเดือนหน้า” เธอตอบกลับอย่างรวดเร็ว


 


“เช่นนั้นเธอก็เพียงอ่อนกว่าศิษย์พี่ชายปีเดียวเองนะสิ หือ”


 


เหล่าศิษย์เริ่มกระซิบกระซาบกัน


 


“สามารถเข้าถึงระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นนั้น ช่างเป็นสัตว์ประหลาดอะไรเช่นนั้น..” โหลวหลานจีถอนใจ


 


“สมกับเป็นน้องสาวของซูหยาง หน้าตาและพรสวรรค์ของทั้งคู่ล้วนไม่ธรรมดา” ซุนจิงจิงหัวเราะหึ


 


“…”


 


ซูหยินมองดูซุนจิงจิงและสาวสวยเหล่านี้ทั้งหมดด้วยสายตาครุ่นคิด


 


“พี่ชาย ข้าต้องการถาม เกิดอะไรขึ้นกับนังเลวนั่น” ซูหยินถามเขาด้วยท่าทางจริงจัง


 


“ใครกัน” ซูหยางเลิกคิ้ว


 


“คนที่อยู่กับท่านที่ประตูศักดิ์สิทธิ์ และที่บ้านของตระกูลซู”


 


เมื่อรู้ว่าซูหยินพูดถึงชิวเยว่ ซูหยางไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ในเมื่อเธอเพิ่งถูกเรียกว่านังเลวจากเด็กน้อย


 


“ข้าจักบอกเจ้าทุกอย่างที่โรงเตี๊ยม ส่วนสำหรับหญิงสาวคนนั้น นั่นไม่เหมือนกับที่เจ้าคิดนะ เธอมิมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับการสูญเสียความทรงจำของข้า”


 


“อะไรกัน เช่นนั้น..”


 


“ก็เหมือนกับวันนี้ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความเข้าใจผิด”


 


“ไม่มีทาง…” ซูหยินพลันเงียบไปและเริ่มรู้สึกผิดกับการกระทำและความคิดของเธอก่อนหน้านี้


DC บทที่ 328: ความลับของพี่น้อง


 


ครั้นเมื่อพวกเขากลับคืนไปยังโรงเตี๊ยม ซูหยางก็นำซูหยินไปยังห้องว่าง


 


“ผู้นำนิกาย ข้าต้องการให้ท่านอยู่ในห้องกับพวกเราด้วย” ซูหยางกล่าวกับเธอก่อนที่จะเข้าไปในห้อง


 


“…”


 


โหลวหลานจีไม่ได้พูดอะไรและติดตามเขาเข้าไปในห้อง


 


ครั้นเมื่อทุกคนอยู่ในห้องและนั่งลงแล้ว ซูหยินก็พูดขึ้นว่า “เช่นนั้น… พี่ชาย ท่านสามารถบอกข้าได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมท่านพลันสูญเสียความทรงจำ และท่านไปอยู่ไหนมาตลอดทั้งปี เกิดอะไรขึ้นที่ประตูศักดิ์สิทธิ์หลังจากที่ท่านเข้าไปในประตูมิติแล้ว ผู้หญิงที่ตามท่านคนนั้นเป็นใครกัน”


 


เมื่อถูกถล่มด้วยคำถามมากมาย ซูหยางก็ยกมือขึ้นกล่าวว่า “เดี๋ยวก่อน ก่อนที่ข้าจะตอบคำถามเจ้า… ท่านผู้นำนิกาย ท่านมีความสัมพันธ์อย่างไรกับตระกูลซู”


 


เขามองดูเธอด้วยสายตาที่เรียบเฉยแต่ทิ่มทะลวง ส่งความรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั่วทั้งหลังเธอ


 


“ฮาาา… ถึงจุดที่มิอาจปิดบังมันแล้วในตอนนี้ในเมื่อความทรงจำเจ้าได้กลับคืนมาแล้ว” เธอถอนหายใจ


 


“เมื่อหนึ่งปีก่อนพ่อของเจ้า ผู้นำตระกูลซูมาหาข้าพร้อมกับข้อเสนอ ข้อเสนอนั้นก็คือ ถ้าข้ารับเจ้าเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและป้องกันเจ้ามิให้กลับไปยังภาคตะวันออกหรือพบกับผู้คนจากตระกูลซู ตระกูลซูจักจัดหาทรัพยากรให้กับนิกายเราทุกเดือน แน่นอนว่าไม่มีเหตุผลสำหรับข้าที่จะปฏิเสธ ในเมื่อข้าเห็นว่าเป็นเพียงแค่พี่เลี้ยงในเวลานั้น” โหลวหลานจีเปิดเผยความจริงต่อเขา


 


“อะไรกัน นั่นเป็นไปมิได้ ทำไมพ่อของข้า…”


 


เต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ ซูหยินยืนขึ้น


 


“ใจเย็น” ซูหยางกล่าว


 


“มีแค่นั้นรึ” เขามองดูโหลวหลานจี ซึ่งพยักหน้าอย่างรวดเร็ว


 


“ความทรงจำของเจ้ามิคงอยู่แล้วในเวลาที่เจ้ามาถึงนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” เธอเสริม


 


ซูหยางพยักหน้าและหันไปมองซูหยิน ซึ่งยืนอยู่ที่นั่นด้วยใบหน้าสับสน


 


“เจ้าก็เห็นแล้วซูหยิน ข้ามิเคย “สูญหาย” ไป ทั้งหมดนั้นล้วนโกหก ซึ่งสร้างขึ้นมาโดยพ่อของพวกเราด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ตามจริงแล้วเขาเป็นคนคนที่ปิดกั้นความทรงจำของข้าตั้งแต่แรก”


 


“แต่… ทำไมเขาต้องทำเช่นนั้น ปกติเรานั้นใกล้ชิดกันมาก มิมีเหตุผลสำหรับเขาที่จะทำสิ่งเหล่านั้นกับท่าน”


 


“บางทีอาจจะมีเหตุผลบางอย่างที่ทำไมเขาจึงทิ้งข้า จากที่ข้าจำได้ ปกติเราจะอยู่ด้วยกันเสมอจนมีผลกระทบต่อการฝึกวิชาของเจ้า” ซูหยางยักไหล่อย่างปลอดโปร่ง “ข้าเป็นคนไร้พรสวรรค์ขณะที่เจ้าเป็นคนที่มีพรสวรรค์มากที่สุดที่ตระกูลเคยพบเจอ และเมื่อคนอย่างข้าต้องมีผลกระทบต่อการฝึกวิชาของเจ้า นั่นต้องทำให้เขาโกรธ โกรธจนกระทั่งปิดกั้นความทรงจำของข้าและโยนข้าออกจากประตู”


 


“มิมีทาง…”


 


“แน่นอนว่ายังมีเหตุผลอื่นที่ทำไมเขาจึงทำอะไรสุดโต่งเช่นนี้” ซูหยางพูดต่อ


 


“อะไรรึ”


 


“เขาพบเห็นความลับของเรา” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า


 


“!!!” ดวงตาซูหยินพลันเบิกกว้าง ใบหน้าของเธอเริ่มแดง


 


“ความลับรึ ความลับประเภทไหนกันจึงทำให้พ่อถึงกับละทิ้งลูกชายของตนเอง” โหลวหลานจีครุ่นคิดอยู่ในใจ


 


หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ซูหยินก็กล่าวขึ้น “ถ้าเขารับรู้เรื่องนี้จริงๆ… ทุกสิ่งย่อมสมเหตุผล… ฮ่า..” เธอถอนใจหลังจากนั้น


 


“ท่านผู้นำนิกาย ถ้าท่านมิถือข้าต้องการพูดกับน้องสาวของข้าแบบเป็นส่วนตัวในตอนนี้ ขอบคุณสำหรับข้อมูลเมื่อกี้นี้” ซูหยางพลันกล่าวขึ้น


 


“ข้าเข้าใจ ตามสบาย”


 


โหลวหลานจีออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว


 


“ตอนนี้พวกเราอยู่ตามลำพังแล้ว เจ้าสามารถพูดได้อิสระ” เขากล่าว


 


“พ่อของเรา… ท่านคิดจริงหรือว่าเขารู้ถึงความสัมพันธ์ของเรา” เธอถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล


 


“เป็นไปได้อย่างสูง แต่มิยืนยัน”


 


“…”


 


ซูหยินเงียบลง


 


“บอกเจ้าตามตรง ข้าบอกเจ้าทั้งหมดนี้เพราะว่าข้าเห็นว่าเจ้าควรรู้ความจริง ส่วนสำหรับตัวข้านั้น ข้ามิได้สนใจมากนักเกี่ยวกับอดีตของข้าหรือตระกูลอีกต่อไป พูดให้ถูกต้องข้ามิถือว่าตัวข้าเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลซูอีกต่อไป ดังเช่นที่ข้าบอกเจ้าไว้ก่อนนี้ ข้ามิได้เป็นพี่ชายที่เจ้ารู้จักอีกต่อไป ถึงแม้ว่าข้าได้ความทรงจำกลับคืนมาแล้วก็ตาม”


 


“เช่นนั้นความสัมพันธ์ของเราก่อนหน้านั้น…”


 


“เป็นธรรมดาที่มันจักต้องหยุดลงเช่นกัน”


 


หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา ซูหยินก็เริ่มร้องไห้


 


ซูหยางมองดูเธอร้องไห้อย่างเงียบๆ


 


เขาได้กลับมาเกิดในโลกนี้โดยไม่มีความทรงจำของเซียนเหลืออยู่ อย่างไรก็ตามธรรมชาติและสัญชาติญาณในฐานะนักรักระดับเทพในชีวิตก่อนของเขาฝังลึกลงไปในจิตสำนึก มีผลต่อบุคลิกของเขาโดยไม่รู้ตัว


 


และเพราะบุคลิกนักรักตามธรรมชาติของเขา เขาได้สร้างความสัมพันธ์อันใกล้ชิดซึ่งพี่น้องไม่กล้าที่จะจินตนาการกับซูหยิน น้องสาวของตนเอง


 


แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้ข้ามเส้นจนมีเพศสัมพันธ์ ในเมื่อนั่นเป็นข้อห้ามที่ร้ายแรงในสายตาของคนทั่วไปในโลกนี้ กล่าวไปแล้วพวกเขาได้ทำหลายสิ่งร่วมกันอย่างลับๆซึ่งย่อมทำให้โลกตื่นตระหนกถ้าถูกล่วงรู้


 


“เรา… เราควรทำอย่างไรดีตอนนี้ พี่ชาย” ซูหยินกล้ำกลืนน้ำตาถามเขา


 


“นั่นยังมิชัดเจนอีกรึ เราจักดำรงชีวิตของเราต่อไป เจ้าจักยังคงเป็นอัจฉริยะของตระกูลซู และข้าก็จักมีชีวิตต่อไปในฐานะคนที่มิมีความสัมพันธ์กับตระกูลซู จะเป็นการดีที่สุดถ้าเจ้าลืมข้าเสีย… ทุกสิ่งทุกอย่าง”


 


“ข้ามิอาจรับผลลัพธ์แบบนี้ได้ ต่อให้ท่านมิสนใจเรื่องตระกูลซู ข้าก็มิอาจลืมท่าน นั่นเป็นไปมิได้” ซูหยินปฏิเสธอย่างรวดเร็ว


 


“ข้าจักพยายามที่จะโน้มน้าวพ่อของเราให้ยอมให้ท่านกลับไป และถ้าเขายังคงปฏิเสธ ข้าจักออกจากตระกูลติดตามท่าน”


 


หลังจากที่เห็นความหลงไหลอย่างหัวปักหัวปำต่อตนเอง ซูหยางก็ต้องนึกถอนใจ เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดและรับผิดชอบต่อตัวเธอ ในเมื่อเขาอาจจะมีผลทำลายอนาคตของเด็กคนนี้


 


“ส่วนสำหรับความสัมพันธ์ของเรา… ข้ายังคงมิสามารถที่จะหยุดรักท่าน…”


 


ซูหยินพลันตรงเข้าไปหาซูหยางและกอดเขาไว้ในทันที


 


“ได้โปรด พี่ชาย… ต่อให้โลกนี้ปฏิเสธ ต่อให้พวกเขาเห็นว่านั่นเป็นสิ่งน่าสะอิดสะเอียน ข้าต้องการที่จะรักท่านต่อไป…”


 


“…”


 


ซูหยางจนคำพูด ต่อให้หลังจากผ่านชีวิตมาหลายพันปี เขาก็ไม่เคยพบกับสถานการณ์น่าสับสนงงงันเช่นนี้มาก่อน แม้ว่าเขาเคยอยู่ในสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกัน แต่ก็ไม่มีเหตุการณ์ไหนที่เป็นน้องที่แท้จริงของตนเอง


 


ขณะที่ซูหยางครุ่นคิดว่าหาคำตอบ ซูหยินก็พลันเคลื่อนไหว จูบปากซูหยางอย่างรวดเร็ว


 


แม้ว่าเขาจะประหลาดใจ ซูหยางก็ไม่ได้ผลักเธอออกไปในทันที


 


หลังจากนั้นชั่วขณะ หลังจากที่จูบซูหยางด้วยความเสน่หา ซูหยินก็ถามเขา


 


“พี่ชาย… ท่านคิดว่ายังไง เปรียบกับแต่ก่อนแล้ว ข้าพัฒนาขึ้นมาบ้างหรือไม่”


DC บทที่ 329: ถ้าท่านมิพอใจกับเพียงแค่จูบ ข้าสามารถ…


 


หลังจากที่รอคอยชั่วขณะและเห็นว่าไม่มีการตอบสนองจากซูหยาง ซูหยินตัดสินใจที่จะดำเนินการไปอีกระดับโดยการมุ่งไปยังเป้ากางเกง


 


“พี่ชาย ถ้าท่านมิพอใจกับเพียงแค่จูบ ข้าสามารถใช้ปากของข้าดูด…”


 


“ซูหยิน ควบคุมความต้องการของเจ้า” ซูหยางพลันกล่าว “น้องสาวของข้าจะแสดงท่าทีที่ไร้ความสง่าผ่าเผยได้อย่างไร เจ้ากำลังทำตัวมิต่างจากโสเภณีชั้นต่ำในตอนนี้”


 


“!!!” ร่างซูหยินพลันสั่นสะท้านเมื่อเธอได้ยินคำพูดเย็นชาของเขาและร่างของเธอก็ชะงักค้าง


 


“นั่งลง” เขากล่าวต่อ


 


“ข้าเสียใจ…” ซูหยินขอโทษก่อนที่จะกลับไปยังที่นั่งของเธอ


 


“เจ้าต้องการที่จะรู้ว่าข้าอยู่ที่ไหน ใช่ไหม ข้าจักบอกเจ้า”


 


ซูหยางจึงดำเนินการอธิบายว่าเขาได้กลายเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้อย่างไรนับตั้งแต่เขาสูญเสียความทรงจำ


 


แน่นอนว่า เขาไม่ได้พูดอะไรที่น่าตื่นตระหนกเกินไปให้เธอได้ยินอย่างเช่นการเดินทางไปยังทวีปศักดิ์สิทธิ์กลาง


 


ตามจริง เขาเพียงบอกเธอไปตามตรงว่าเขามีชีวิตอย่างเสรีเพียงไรในฐานะของศิษย์และไม่มีอย่างอื่นนอกไปจากข้อมูลที่เพียงพอที่จะลบล้างความกังวลและความสงสัยของซูหยินไปเท่านั้น


 


“ส่วนสำหรับหญิงที่เจ้าเห็นและพยายามจะโจมตีนั้น เธอเป็นจอมยุทธที่ทรงอำนาจที่มาจากดินแดนอันห่างไกล และเธอก็ยังช่วยข้าฟื้นคืนความทรงจำด้วย”


 


“…”


 


หลังจากที่รู้ว่าชิวเยว่ไม่เป็นดังที่เธอได้จินตนาการ ซูหยินก็รู้สึกผิดอย่างมหันต์ที่ทำกับอีกฝ่ายเหมือนกับว่าอีกฝ่ายเป็นปีศาจร้ายที่ได้ล่อลวงซูหยางและลบความทรงจำของเขา


 


“อืมมม… ผู้มีบุญคุณคนนี้อยู่ที่ไหนในตอนนี้ ข้าต้องการที่จะขอโทษเธอหลายอย่าง… รวมไปถึงขอบคุณเธอที่ช่วยฟื้นคืนความทรงจำของท่าน…”


 


“ตอนนี้เธอยุ่งอยู่ ดังนั้นเจ้าจึงมิได้เห็นเธอ แต่ข้าจักบอกกล่าวถึงความรู้สึกของเจ้าให้กับเธอในอนาคต” เขากล่าว


 


“ตอนนี้ในเมื่อข้าได้บอกเล่าสิ่งที่เจ้าต้องการทราบแล้ว เรากลับมาพูดคุยในเรื่องอื่นกัน ดีไหม”


 


ซูหยางมองดูซูหยินด้วยท่าทางเยือกเย็นแต่ก็จริงจังและถามเธอว่า “เจ้าจักมิลืมข้ามิว่าเช่นไรอย่างนั้นรึ”


 


“ใช่แล้ว ต่อให้ข้าต้องเผชิญกับทั้งโลก ข้าก็ยังต้องการที่จะอยู่กับท่าน” เธอตอบโดยไม่มีแววของความลังเลแม้แต่น้อย


 


หลังจากผ่านความเงียบมาชั่วขณะ ซูหยางก็พยักหน้า “ให้เวลาข้าบ้างที่จะคิดถึงเรื่องนี้ ข้าจักบอกคำตอบของข้าให้กับเจ้าหลังจากนี้”


 


แม้ว่าเขาไม่ได้แสดงออกมา แต่เขาก็ชื่นชมความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยวของซูหยิน


 


“ในที่สุดต่อให้นี่มิใช่ตัวข้า ข้าก็ยังต้องรับผิดชอบที่ทำให้เธอเป็นเช่นนี้” เขาคิด


 


“ข้าเข้าใจแล้ว…” แม้ว่าจะไม่พึงพอใจกับผลลัพธ์ ในเมื่อเธอต้องการที่จะรู้คำตอบจากเขาในตอนนี้ ซูหยินก็ยังคงรู้สึกโล่งอกในเวลาเดียวกันกับการที่เขาไม่ได้ปฏิเสธเธอในทันที


 


“ตราบเท่าที่ยังมีโอกาส ข้าจักไม่ยอมแพ้” เธอคิด


 


“อย่างไรก็ตาม พี่ชาย ข้าต้องการที่จะอยู่กับนิกายของท่านไปอีกสองสามวัน นั่นคงมิเป็นไร ใช่ไหม” เธอพลันถาม


 


“นั่นควรจะมิมีปัญหา” เขาพยักหน้า


 


“อีกอย่างหนึ่ง พี่ชาย นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยนี้ เป็นที่เช่นไรกันแน่ ข้ามิเคยได้ยินชื่อสถานที่เช่นนี้มาก่อน”


 


“เจ้าควรจะถามศิษย์คนอื่น” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มลึกลับ


 


ในเวลาเดียวกันในห้องข้างซูหยาง โหลวหลานจีและฟางซีหลานได้พูดคุยกัน


 


“เจ้ามั่นใจรึที่จะไม่ต้องการเป็นผู้นำนิกายคนต่อไป เจ้าได้ก้าวล้ำเหนือข้าในด้านการฝึกวิชาไปแล้ว” โหลวหลานจีกล่าว


 


“จะเกิดอะไรขึ้นกับท่านถ้าข้าดำรงตำแหน่งนั้น” ฟางซีหลานถาม


 


“แน่นอนว่าข้าก็จักเกษียณตัวเองและกลายเป็นผู้อาวุโสสูงสุดหรืออะไรที่คล้ายคลึงกันสำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” เธอกล่าว


 


เมื่อผู้นำนิกายสละตำแหน่งของตนเองไปให้คนรุ่นหลัง ผู้นำนิกายก็จะยังไม่ทิ้งนิกายไว้เบื้องหลังแต่จะกลายเป็นคนที่เหมือนกับบรรพชนหรืออีกชื่อหนึ่งก็คือผู้อาวุโสสูงสุด


 


ครั้นเมื่อเปลี่ยนเป็นผู้อาวุโสสูงสุดแล้ว พวกเขาก็จะไม่ยุ่งเกี่ยวกับธุระในนิกายอีก และพวกเขาก็จะใช้ช่วงชีวิตที่เหลือมุ่งเน้นในการฝึกวิชา คล้ายกับการเก็บตัวฝึกวิชา นอกจากว่านิกายเผชิญพบกับภัยพิบัติจนพวกเขาต้องถูกบีบให้ปรากฏตัวออกมา


 


หลังจากครุ่นคิดไปอีกชั่วขณะ ฟางซีหลานก็ส่ายหน้า “หลังจากคิดถึงเรื่องนี้ ข้าก็ยังคงมิสามารถที่จะรับตำแหน่งผู้นำนิกาย ถ้าจะมีใครที่ควรรับตำแหน่งนี้ นั่นควรจะเป็นซูหยาง…”


 


“ซูหยาง หึ แน่นอนว่าข้าก็มีความคิดนี้ในใจเช่นกัน แต่เจ้าลืมไปแล้วรึว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมีสองตำแหน่งสำหรับผู้นำนิกาย หนึ่งชายหนึ่งหญิง”


 


“ผู้นำนิกาย ข้าคิดว่าเราควรพูดถึงเรื่องนี้ยามเมื่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยสามารถได้รับการเรียกว่า “นิกาย” อีกครั้ง…” ฟางซีหลานถอนใจ


 


“อัยย่า… ซูหยางได้สัญญาว่าจะทำอะไรบางอย่างเรื่องนี้ไปแล้วด้วย เช่นนั้นมันจักต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน”


 


“ท่านผู้นำนิกายมีความเชื่อถือในตัวเขาเป็นอย่างมาก มิใช่ว่าข้ามิเข้าใจ” ฟางซีหลานยิ้ม


 


“ข้ามิเคยเห็นเจ้ายิ้มเช่นนี้มาหลายปีแล้ว” โหลวหลานจีก็ยิ้มขึ้นเช่นกัน “พูดเรื่องซูหยาง เจ้าเชื่อจริงหรือกับการทดสอบวันนี้ เป็นที่รู้กันดีว่าเขามักจะมีไพ่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อเสมอ ข้ามิประหลาดใจเลยถ้าเขาไปยุ่งกับเทวรูปวิญญาณ”


 


“เรื่องนั้น… ผู้นำนิกายจักต้องรู้ความจริงในเวลามินานนัก” ฟางซีหลานไม่ต้องการที่จะเปิดเผยความประหลาดใจให้กับอีกฝ่าย


 


“ฮึ่ม ซูหยางนั่นช่างมีอิทธิพลชั่วร้ายจริง ตอนนี้กระทั่งเจ้าก็ยังเก็บซ่อนความลับไว้จากข้า” โหลวหลานจีทำแก้มป่อง


 


ฟางซีหลานหัวเราะหึๆกับท่าทางเป็นเด็กของอีกฝ่าย เป็นเวลานานแล้วนับตั้งแต่ที่พวกเธอได้พูดกันครั้งสุดท้ายในแบบที่ผ่อนคลายและเสรีเช่นนี้ ว่าไปแล้วนับตั้งแต่เธอกลายเป็นศิษย์หลัก พวกเธอก็ยากที่จะได้พูดกับอีกฝ่าย


 


“อย่ากังวลไปเลยท่านผู้นำนิกาย มันคุ้มค่าที่จะรอคอย ข้าสัญญา”


 


ไม่นานหลังจากนั้น โหลวหลานจีก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย


 


“ดูเหมือนว่าสุดท้ายพี่น้องคู่นี้ก็ได้พูดคุยกันจบแล้ว” เธอกล่าว “พวกเราไปเจอพวกเขากัน”


 


“ตระกูลซู หึ… ข้ายังคงมิอาจเชื่อว่าเขาเป็นคนหนึ่งจากตระกูลใหญ่…” ฟางซีหลานคิดในใจ


 


สำหรับสมาชิกของตระกูลใหญ่มาอยู่ยังสถานที่ดังเช่นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย มีอะไรอยู่ในใจของซูหยางกันยามที่เขาตัดสินใจเช่นนั้น


ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม