Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน 308-314

 DC บทที่ 308: ไม่มีอะไรนอกจากกามในใจเขา


 


เมื่อไปถึงชั้นที่สี่ โหลวหลานจีก็ยื่นส่งกุญแจให้กับศิษย์


 


“ศิษย์รุ่นเยาว์หญิงจะใช้สี่ห้องสุดท้ายตรงสุดโถงทางเดิน ขณะที่ศิษย์ชายจะใช้สี่ห้องก่อนหน้านั้น ผู้เข้าร่วมแข่งขันจะใช้สองห้อง และผู้อาวุโสนิกายกับข้าจะใช้ห้องแรก ข้าจักให้พวกเจ้าทั้งหมดทำการเลือกห้องของเจ้ากันเอง เพียงแต่จำไว้ว่า มีที่ว่างสำหรับเจ็ดคนในแต่ละห้อง”


 


หลังจากที่ยื่นส่งกุญแจทั้งหมดแล้ว โหลวหลานจีก็พูดต่อว่า “ตอนนี้จากสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทาง ข้าจักพูดถึงกฏในการพักอาศัยอยู่ที่นี่จนกว่าเราจะกลับบ้าน”


 


“อันดับแรกและเป็นเพียงสิ่งเดียวก็คือ พวกเจ้าจักต้องไม่ออกจากโรงเตี๊ยมนี้ไปโดยมิได้รับอนุญาตจากผู้อาวุโสนิกายหรือตัวข้า และเมื่อออกจากสถานที่นี้ไปแล้ว พวกเจ้าจักต้องไปเป็นกลุ่มอย่างน้อยสี่คนพร้อมกับมีผู้อาวุโสนิกายด้วยหนึ่งคน เพิ่มเติมว่าเจ้าจักต้องไม่สวมอะไรที่สามารถบ่งบอกว่าพวกเจ้าเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย พวกเจ้ามีใครมีคำถามเกี่ยวกับกฏที่กล่าวมาหรือไม่”


 


เพราะว่าเธอไม่ต้องการเสี่ยงอะไรขณะที่พวกเขายังอยู่ในเมืองนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนิกายล้านอสรพิษก็ยังคงอยู่ที่นี่ โหลวหลานจีตัดสินใจที่จะใช้กฏอันเข้มงวดเหล่านี้ ในเมื่อเธอต้องการให้ทุกคนที่นี่กลับไปนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอย่างปลอดภัย


 


เหล่าศิษย์พากันส่ายหน้า


 


“ดีมาก ตอนนี้เข้าสู่เรื่องของเมืองนี้ ในเมื่อพวกเจ้าทั้งหมดควรรู้ไว้ว่าเมืองนี้ควบคุมโดยตรงจากตระกูลซี ผู้ครองทวีปตะวันออก นี่หมายความว่าพวกเจ้าต้องประพฤติตนให้ดีขณะที่เจ้ายังคงอยู่ที่เมืองนี้และหลีกเลี่ยงการล่วงเกินตระกูลซี ที่จริงให้ลืมตระกูลซีไปได้เลย ในเมื่อยังคงมีผู้ทรงอำนาจอื่นอีกหลายสิบในเมืองนี้ที่เรามิอาจจะล่วงเกินได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ของพวกเราในปัจจุบัน ความผิดพลาดบางอย่างอาจจะต้องจ่ายด้วยชีวิตของพวกเจ้า และยิ่งไปกว่านั้นอาจด้วยชีวิตของพวกเราทั้งหมด พวกเจ้าเข้าใจไหม”


 


เหล่าศิษย์ต่างพากันพยักหน้าด้วยท่าทางเป็นกังวล


 


“เมืองนี้เป็นสถานที่น่ากลัวจริง…ข้ากลัวว่าข้าจักกังวลเกินกว่าจักออกจากห้อง…”


 


“ใช่ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเราไปเจอะกับคนแบบชายวัยกลางคนชั้นล่างเมื่อกี้นั้นโดยบังเอิญและล่วงเกินพวกเขา พวกเราต้องตายคาที่แน่…”


 


“พวกเจ้ามิต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น ในเมื่อเมืองนี้ห้ามมีการฆ่าฟันกันอย่างเข้มงวด” โหลวหลานจีกล่าว


 


แม้ว่าโหลวหลานจีต้องการให้ศิษย์รุ่นเยาว์อยู่แต่ในห้องของพวกเขาจนกว่าจะถึงการแข่งขัน แต่เธอก็ไม่ต้องการให้พวกเขาพลาดโอกาสอันหายากในการสำรวจเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเมืองหนึ่งในทวีปตะวันออก


 


“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเราถูกลักพาตัว นั่นยิ่งน่ากลัวกว่าความตายในบางสถานการณ์ด้วยซ้ำ”


 


“ด้วยจำนวนของจอมยุทธในสถานที่นี้ การลักพาตัวเด็กเหมือนเช่นพวกเราจักง่ายเหมือนกับแย่งลูกอมจากเด็กด้วยซ้ำสำหรับพวกเขา”


 


ผู้อาวุโสนิกายและโหลวหลานจีมองดูศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้ที่สร้างความกลัวให้กับตัวเองด้วยสีหน้าประหลาดพิกล พวกเขาพากันกังวลมากเกินไปโดยใช่เหตุ


 


“อย่างไรก็ตาม ขอเพียงระมัดระวังรักษาตนเองให้ปลอดภัยจนกว่าเราจะกลับไปถึงนิกาย พวกเราจักอยู่ที่นี่เพียงแค่ถึงสิ้นเดือนและพวกเราก็บรรลุไปเกือบครึ่งแล้ว”


 


“ส่วนสำหรับคนที่จักต้องเข้าร่วมการแข่งขัน เราจักตรงไปยังพื้นที่ลงทะเบียนในวันพรุ่งนี้เพื่อลงทะเบียนชื่อของพวกเจ้าว่าเป็นผู้เข้าร่วมแข่งขันอย่างเป็นทางการ จนกว่าจะถึงเวลานั้น จงผ่อนคลาย” โหลวหลานจีกล่าวขณะที่เธอมองดูซูหยางและบรรดาหญิงสาว


 


หลังจากที่พูดอีกสองสามนาที โหลวหลานจีก็เลิกประชุมบรรดาศิษย์ เพื่อที่พวกเขาจะได้มีเวลาวุ่นวายชั่วขณะสำหรับการเลือกห้อง


 


ส่วนผู้เข้าร่วมการแข่งขันนั้นเพราะว่าฟางซีหลาน ซุนจิงจิง และซูหยาง เป็นกลุ่มเดียวกันและถึอว่าเป็นผู้อาวุโสที่สุดในกลุ่ม ศิษย์คนอื่นทั้งเจ็ดต่างพากันตกลงที่จะให้สามคนนี้ได้ใช้ห้องหนึ่งเป็นของตนเองในขณะที่พวกเธอใช้อีกห้อง


 


ครั้นเมื่อซูหยางเข้าไปในห้องพร้อมกับซุนจิงจิงและฟางซีหลาน เขาก็เริ่มถอดเสื้อคลุม


 


“เอ๋”


 


ทั้งฟางซีหลานและซุนจิงจิงมองดูเขาด้วยสายตาประหลาดใจ เขาต้องการเริ่มฝึกวิชาร่วมกับพวกเธอแล้วหรือยังไงกัน


 


อย่างไรก็ตาม คำพูดของซูหยางต่อจากนั้นยิ่งสร้างความตื่นตะลึงให้กับพวกเธอยิ่งกว่าเดิม


 


“ข้าจักออกไปข้างนอกสักครู่ จนกว่าข้าจะกลับมาให้ทำเหมือนกับว่าพวกเรากำลังร่วมฝึกวิชาอยู่เพื่อที่คนอื่นจะได้ไม่พบเห็น” เขากล่าวกับพวกเธอขณะที่เขาเปลี่ยนชุดสีเขียวของเขาเป็นชุดสีขาวเรียบ


 


“จ-เจ้าจะไปไหนรึ” ซุนจิงจิงถามเขา “ให้พวกเราสักคนไปด้วยไหม”


 


ซูหยางส่ายหน้า “ข้ากำลังจะไปพบ “เพื่อน” สักคนหนึ่ง ข้ามิไปนานนัก มิมีอะไรที่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้”


 


“ตกลง รักษาตัวให้ปลอดภัยนะ”


 


“แน่นอน”


 


ซูหยางยิ้มให้พวกเธอก่อนที่จะกระโดดออกไปจากหน้าต่างหายลับไปจากสายตาของพวกเธอ


 


ครั้นเมื่อซูหยางออกไปจากที่นั่นแล้ว เขาก็นำเอาหน้ากากออกมาจากแหวนมิติและสวมมันไปบนใบหน้า ปิดบังความหล่อเหลาเอาไว้ ในวินาทีถัดไปเขาก็นำเอาวัตถุอื่นออกมาจากแหวนมิติ กระบี่เหล็ก


 


ซูหยางมองดูกระบี่นี้ด้วยสายตาเย็นชาชั่วขณะหนึ่งก่อนที่จะใช้งานก้าวเก้าดาราลับหายไปในอากาศอันว่างเปล่า


 



 



 



 


หลังจากที่ซูหยางออกไปจากโรงเตี๊ยมแล้ว ก็มีคนเคาะประตูห้องเขา


 


“นี่ข้าเอง ข้าลืมบอกพวกเจ้าอะไรบางอย่าง…” เสียงโหลวหลานจีดังมาจากด้านหลังประตู


 


“ร-เราควรทำอย่างไรดี ซูหยางเพิ่งจากไปและผู้นำนิกายก็มาเคาะประตูห้องของพวกเราแล้ว” ซุนจิงจิงถามฟางซีหลานที่กำลังครุ่นคิด


 


“ศิษย์น้องหญิง เริ่มครางเถอ” ฟางซีหลานกล่าวหลังจากนั้นสองสามวินาทีด้วยท่าทางจริงจัง


 


“อ-อะไรนะ…” ซุนจิงจิงมองดูเธอด้วยใบหน้าตกตะลึง


 


“แสร้งทำเป็นว่าเจ้ากำลังฝึกวิชาร่วมกับซูหยางอยู่ และทำให้สมจริงมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”


 


ซุนจิงจิงพยักหน้าและเริ่มครางเสียงดัง


 


“อาาาา”


 


“อืม ทำตรงนั้นของข้าอีก ซูหยาง”


 


“อาาาาาาา”


 


เสียงเปี่ยมความสุขสันต์ของซุนจิงจิงทะลุผ่านห้องของพวกเธอออกไปสะท้อนก้องอยู่ในโถงทางเดินอย่างง่ายดาย


 


“…”


 


เมื่อโหลวหลานจีได้ยินเสียงซุนจิงจิงคราง คางของเธอก็ตกกระทบพื้น ในเมื่อเธอไม่อยากเชื่อ


 


“ซ-ซูหยางคนนี้ เป็นสัตว์ประหลาดที่มิมีอะไรนอกไปจากกามในใจเขาจริงๆ เราเพิ่งปักหลักแต่เขาก็เริ่มร่วมฝึกกับหญิงสาวไปเรียบร้อยแล้ว”


 


“ข-ข้าขออภัย ท่านผู้นำนิกาย แต่ท่านมาทีหลังได้หรือไม่…” เสียงฟางซีหลานดังมาไม่นานหลังจากที่ซุนจิงจิงเริ่มคราง


 


“ม-มิต้องกังวลเรื่องนั้น… มิมีอะไรสำคัญนัก… “ โหลวหลานจีกล่าวก่อนที่จะปล่อยให้พวกเธออยู่ตามลำพัง


 


ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ครั้นเมื่อพวกเธอมั่นใจว่าโหลวหลานจีได้จากไปแล้ว ซุนจิงจิงก็หยุดคราง รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อยหลังจากนั้น


DC บทที่ 309: ฆ่าฟันกลางวันแสกๆ


 


หลังจากที่ออกจากโรงเตี๊ยมเกล็ดหิมะ ซูหยางก็ตระเวนไปทั่วเมืองจนกระทั่งเขาพบกับกลุ่มคนที่ดูคุ้นเคยกำลังเตินเตร่อยู่


 


เมื่อยืนยันว่าคนเหล่านี้เป็นคนของนิกายแท่นบูชาทอง เขาก็พลันตรงเข้าไปหาพวกนั้นโดยไม่อำพรางตน ราวกับว่าเขาต้องการให้คนเหล่านั้นรู้ถึงการคงอยู่ของเขา


 


เมื่อชายวัยกลางคนจากนิกายแท่นบูชาทองสังเกตเห็นซูหยางซึ่งกำลังยืนอยู่ห่างไม่กี่เมตรด้านหน้าของเขาด้วยกระบี่ในมือ เขาก็เลิกคิ้วด้วยความสงสัย


 


ชายวัยกลางคนไม่ได้ตระหนักถึงเจตนาของซูหยางในตอนแรก ไม่แม้จะคิดว่าตนเองเป็นเป้าหมายในขณะนั้น


 


หลังจากเวลาผ่านไปชั่วขณะสุดท้ายเมื่อชายวัยกลางคนได้ตระหนักว่าซูหยางจ้องมองมาที่ตนเอง เขาก็กล่าวว่า “เจ้าเป็นใครกัน เจ้าต้องการอะไรจากข้า”


 


อย่างไรก็ตามซูหยางไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียวเพียงแค่ยกกระบี่ขึ้นชี้ไปยังชายวัยกลางคน ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับเขาเป็นอย่างมาก


 


ถ้าจะกล่าวไปแล้วนั่นไม่ใช่ว่าชายวัยกลางคนจะกลัวตายในเมื่อเขาตระหนักดีถึงกฏของเมืองนี้ที่ห้ามการฆ่า


 


อีกครั้งที่ซูหยางยังคงเงียบเฉย


 


“ข้ามิรู้ว่าเจ้าเป็นใครและเจ้าต้องการอะไรจากข้า แต่เจ้าหากมิเป็นคนโง่เขลาก็สติไม่สมประกอบถึงกับชี้กระบี่มาที่ข้าทั้งที่อยู่ภายในเมืองหิมะร่วงไม่มากก็น้อย”


 


ขณะนี้คนรอบข้างต่างพากันมองไปที่ซูหยางและชายวัยกลางคน สายตาของพวกเขาเปี่ยมไปด้วยความสนใจกับเรื่องเร้าใจที่เปิดฉากขึ้นต่อหน้า


 


“แม้ว่าข้ามิรู้ว่าเจ้ามีแผนอะไรในใจ…” สุดท้ายซูหยางก็พูดขึ้น แน่นอนว่าเขาดัดเสียง “ข้ามีประสบการณ์ความสูญเสียมากมายกับคนโฉดเช่นเจ้า…”


 


แม้ว่าเสียงเขาจะถูกดัด แต่ก็ยังมีแววความเศร้าเสียใจชัดเจนอยู่ภายในนั้น


 


ในชีวิตก่อนเขาได้สูญเสียเพื่อนคนสำคัญบางคนไปเพียงเพราะว่าเขาไม่ได้สนใจในสัญชาตญาณของตนเองและรอจนกระทั่งสายเกินไปที่จะรับมือกับสถานการณ์เมื่อต้องรับมืออย่างฉับพลันนั้น


 


เนื่องมาจากความผิดพลาดเหล่านั้น ซูหยางได้สาบานต่อตนเองว่าเขาจะไม่รอจนกระทั่งโชคร้ายนั้นเกิดขึ้นอีกต่อไป


 


กลิ่นอายกระหายเลือดพลันปรากฏขึ้นรอบกายซูหยาง สิ่งที่ชายวัยกลางคนและคนที่เฝ้าดูอยู่สังเกตพบได้ในทันที


 


“อย่าบอกนะว่าเขากำลังจะฆ่าคนกลางวันแสกๆ”


 


“หรือว่าเขาลืมไปว่าเมืองไหนที่เขากำลังอาศัยอยู่ เขากำลังหาที่ตายหรืออย่างไร”


 


“มิสนใจกฏที่ตั้งขึ้นโดยตระกูลซีช่างเป็นเรื่องที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตาย…”


 


ไม่เพียงแต่ชายวัยกลางคน แต่กระทั่งผู้ที่เฝ้าดูสถานการณ์ต่างก็ประหลาดใจกับจิตสังหารของซูหยาง


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าบ้าไปแล้ว ดี ถ้าข้าฆ่าเจ้าตอนนี้ นั่นยอมถือว่าเป็นการป้องกันตัว”


 


ชายวัยกลางคนนำเอาอาวุธของตนเองออกมา ซึ่งก็เป็นกระบี่เช่นกัน กระบี่ที่มีรัศมีของวิญญาณ เห็นชัดว่ามันเป็นอาวุธวิญญาณ


 


“เจ้าจะทำอะไรต่อไปตอนนี้ ข้าชักสงสัย” ชายวัยกลางคนพูดด้วยสีหน้าเย้ยหยัน


 


อย่างไรก็ตามไม่กี่วินาทีถัดไป เมื่อสำนึกกระบี่ครอบคลุมไปทั่วสถานที่นั้น ชายวัยกลางคนก็มีสีหน้าซีดลงอย่างรวดเร็วกว่าก้อนหินที่ร่วงสู่พื้น


 


“จ-จอมกระบี่”


 


ผู้คนต่างพากันมีสีหน้าตกตะลึง พวกเขาแทบทั้งหมดไม่เคยเห็นจอมกระบี่ด้วยตัวเองมาก่อน


 


“ป-ป-เป็นไปไม่ได้” ชายวัยกลางคนพลันพึมพัมด้วยใบหน้าซีดเผือด


 


มีคนไม่กี่คนที่ถือได้ว่าเป็นจอมกระบี่ในโลกนี้ และเขาก็มั่นใจว่าตนเองไม่เคยล่วงเกินหนึ่งในคนเหล่านั้น ดังนั้นจอมกระบี่คนนี้ที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขาตอนนี้ด้วยจิตสังหารเปี่ยมล้นนี้เป็นใครกัน เขาไปล่วงเกินอะไรกับอีกฝ่าย


 


“จ-จ-เจ้าเป็นใคร ถ้าเจ้าคิดว่าเจ้าสามารถหลบหนีจากการลงโทษเพียงเพราะว่าเจ้าเป็นจอมกระบี่คนหนึ่ง เช่นนั้นเจ้าก็เพียงหลงตนเอง ตระกูลซีจักต้องลงโทษเจ้ามิว่าเจ้าจะมีฐานะอะไร”


 


“ลงโทษรึ ถ้าพวกเขามีความสามารถในการตามหาภูติผี เช่นนั้นการลงโทษนั้นก็สมควรจะได้รับ” ซูหยางกล่าว ราวกับว่าเขาเป็นภูติผี


 


“อย่างน้อยก็บอกข้าว่าทำไมเจ้าจึงตั้งเป้าที่ตัวข้า ข้าไปทำอะไรล่วงเกินเจ้ารึ”


 


ชายวัยกลางคนพยายามพูดต่อไป เขาต้องการยื้อเวลาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ หวังว่าผู้ดูแลจะมาเร็วขึ้น


 


แน่นอนว่าซูหยางก็ตระหนักดีเช่นกันว่าชายวัยกลางคนพยายามที่จะยื้อเวลาโดยการพูดกับเขา อย่างไรก็ตาม เขามีความมั่นใจว่าฆ่าอีกฝ่ายที่อยู่เพียงแค่ระดับหนึ่งของเขตอัมพรวิญญาณนั้นใช้เวลาแค่ไม่ถึงวินาที


ในกรณีเลวร้ายที่สุด ต่อให้เขาไม่สามารถฆ่าชายวัยกลางคนนี้ทันเวลา เขาก็ยังมั่นใจว่าเขาสามารถที่จะหลบหนีไปได้โดยไม่ได้รับอันตรายอะไร


 


อย่างไรก็ตามเป็นโชคร้ายสำหรับชายวัยกลางคนเมื่อซูหยางไม่ได้วางแผนที่จะอ้อยอิ่งอยู่นานกว่านี้


 


ซูหยางเตรียมกระบี่พร้อมแล้วในวินาทีต่อไป สำนึกกระบี่ก็ครอบคลุมไปทั่วพื้นที่


 


สำนึกกระบี่ที่ถูกขับออกมาจากซูหยางตอนนี้เหนือกว่าเวลาก่อนหน้านั้นมากมายนัก จนทำให้ผู้เฝ้าชมถึงกับหายใจไม่ออกกับบรรยากาศเช่นนี้


 


ส่วนชายวัยกลางคน เพราะว่าสำนึกกระบี่นั้นมุ่งเป้าตรงไปยังเขา ทั่วร่างจึงสั่นสะท้านไปในเวลานั้น รู้สึกเหมือนกับว่ามีกระบี่นับพันกำลังทิ่มแทงตัวเขาอยู่


 


“ฆ..ฆ…ฆ..ฆ่าคนแล้ว ฆ่าคน มีคนพยายามจะฆ่าข้า”


 


ชายวัยกลางคนรู้สึกหวาดหวั่นไปกับสำนึกกระบี่มากจนกระทั่งเขากรีดร้องสุดชีวิต สร้างความงงงันให้กับเหล่าศิษย์ที่อยู่เบื้องหลังเขา ในเมื่อพวกเขาไม่เคยประจักษ์ว่าผู้อาวุโสนิกายที่แสนภาคภูมิจะมีท่าทีขี้ขลาดตาขาวหวาดกลัวเช่นนี้ ทั้งที่เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสระดับสูงในนิกายแท่นบูชาทอง


 


“ช่างน่าทุเรศ…” ซูหยางส่ายหน้า


 


ไม่อยากที่จะได้ยินชายวัยกลางคนกรีดร้องอีกต่อไป ซูหยางใช้งานก้าวเก้าดาราหายไปจากตำแหน่งที่ตนเองอยู่และปรากฏขึ้นต่อหน้าชายวัยกลางคนในชั่วพริบตา


 


“เรียนรู้ที่จะซ่อนจิตสังหารของเจ้าให้ดีกว่านี้ในชาติหน้า…”


 


หลังจากที่พึมพัมคำเหล่านี้แล้ว ซูหยางก็ตวัดกระบี่ด้วยความเร็วที่ไม่อาจมองเห็นด้วยตาของคนทั่วไป มันเด็ดชีวิตของชายวัยกลางคนไปด้วยการเด็ดหัว


 


ทันทีที่ฆ่าชายวัยกลางคนซูหยางก็ใช้ก้าวเก้าดาราอีกครั้งหายไปต่อหน้าสายตาก่อนที่ผู้คนจะทันได้เข้าใจว่าทำไมจึงมีศีรษะหมุนคว้างอยู่กลางอากาศ


DC บทที่ 310: จอมกระบี่ที่ไม่รู้จัก


 


กว่าผู้คนจะตระหนักว่าชายวัยกลางคนจากนิกายแท่นบูชาทองสิ้นชีพไปแล้ว ซูหยางก็อยู่ในระหว่างทางกลับไปยังที่พักของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย


 


“ผ-ผ-ผู้อาวุโสนิกาย”


 


ศิษย์เหล่านั้นสั่นสะท้านด้วยความแตกตื่นขณะที่พวกเขาก้าวถอยหลังไปอย่างช้าๆจากศพที่ไร้หัว สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ


 


พวกเขาไม่อยากเชื่อว่าผู้อาวุโสนิกายของพวกเขา ซึ่งอยู่ถึงเขตอัมพรวิญญาณ จะตายง่ายดายเพียงนี้ ถึงแม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นถึงจอมกระบี่ เขาก็ไม่ควรจะพ่ายแพ้ง่ายดายปานนี้ นี่เหมือนกับว่าเวลาที่เขาใช้ไปในการฝึกวิชาจนถึงเขตอัมพรวิญญาณนั้นใช้ไปโดยเปล่าประโยชน์


 


“จ-เจ้าคนบ้านั่นถึงกับกล้าฆ่าคนขณะที่อยู่ในเมืองหิมะร่วง”


 


“ยิ่งไปกว่านั้นระหว่างงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดด้วย”


 


“มีจอมกระบี่ไม่กี่คนในโลกนี้ และยิ่งน้อยไปกว่านั้นที่มีความสามารถระดับนั้น นั่นใช้เวลาไม่นานนักสำหรับตระกูลซีที่จะหาตัวเขา”


 


ประมาณหนึ่งนาทีหลังจากที่ซูหยางได้ฆ่าชายวัยกลางคนจากนิกายแท่นบูชาทอง กองลาดตระเวนก็เข้ามาในฉากนั้น


 


“เกิดอะไรขึ้นที่นี่”


 


กองลาดตระเวนพลันจำกัดการเคลื่อนไหวของทุกคนในที่นั่น ยอมให้พวกเขาจากไปได้หลังจากที่พวกเขาตอบคำถามสองสามคำเท่านั้น


 


“มีคนใส่หน้ากากมาจากไหนก็ไม่รู้และฆ่าชายวัยกลางคนนั่นตรงนั้น…”


 


“พวกเจ้าเป็นใครกัน” กองลาดตระเวนถามบรรดาศิษย์


 


“น-นิกายแท่นบูชาทอง ช-ชายที่ตายเป็นผู้อาวุโสนิกายของพวกเรา” หนึ่งในศิษย์กล่าว เสียงของเขายังคงสั่นสะท้าน


 


“นิกายแท่นบูชาทองรึ”


 


กองลาดตระเวนประหลาดใจ ในเมื่อพวกเขาไม่คาดว่ากองกำลังที่แข็งแกร่งขนาดนั้นจะมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ยิ่งกว่านั้นกลับตกเป็นเหยื่ออีกด้วย


 


“พวกเจ้ารู้ไหมว่าทำไมพวกเจ้าจึงถูกโจมตี คิดว่าชายสวมหน้ากากนั่นเป็นใคร”


 


เหล่าศิษย์พากันส่ายหน้าอย่างรวดเร็ว


 


“ชายสวมหน้ากากเป็นจอมกระบี่” หนึ่งในผู้ชมกล่าว


 


“อะไรกัน เช่นนี้สำนึกกระบี่เมื่อกี้นี้มิได้มาจากผู้อาวุโสนิกายแต่มาจากฆาตกรแทน”


 


กองลาดตระเวนตอนแรกคิดว่านั่นเป็นของผู้อาวุโสนิกายในตอนแรกเนื่องมาจากกระบี่ที่ยังคงอยู่ในมือของเขา แต่อนิจจาพวกเขาไม่อาจผิดพลาดต่อไปได้


 


หลังจากที่พูดกับทุกคนที่นั่นและได้รับข้อมูลเพียงพอแล้ว กองลาดตระเวนก็ปล่อยทุกคนที่นั่นและกลับสู่สำนักงานใหญ่เพื่อรายงานข้อมูลทั้งหมดให้กับผู้บังคับบัญชา


 


“จอมกระบี่ได้ฆ่าคนตายใจกลางเมืองงั้นรึ”


 


ผู้บังคับบัญชาเกือบไม่เชื่อข่าวนั้นเมื่อพวกเขาได้ยินมันในครั้งแรก ทำไมจอมกระบี่จึงเสี่ยงกับการล่วงเกินตระกูลซี ต่อให้เขาซ่อนตัวตนด้วยหน้ากาก นั่นก็เพียงชะลอการถูกลงโทษชั่วขณะก่อนที่ตระกูลซีจะพบตัวเขา


 



 



 



 


ในที่แห่งหนึ่งใจกลางเมืองหิมะร่วง หนึ่งในที่พักหลายแห่งของตระกูลซี จอมยุทธมากมายที่นั่นที่มีชื่อเสียงเลื่องลือและผู้หนุนหลังที่แข็งแกร่งจากทั่วทั้งทวีปตะวันออกมารวมตัวกันในห้องใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งได้จัดการประชุมด้วยตระกูลซี


 


“พวกท่านทั้งหลายได้รู้สึกถึงสำนึกกระบี่เมื่อกี้หรือไม่”


 


หนึ่งในจอมยุทธที่นั่นพลันถามขึ้นมาเสียงดัง


 


“มีเพียงคนโง่เง่าเต่าตุ่นที่จะมิรู้สึกถึงสำนึกกระบี่ที่ทรงอำนาจเช่นนั้น”


 


“ข้าได้ต่อสู้กับจอมกระบี่มาหลายคนในชีวิต แต่ข้ามิเคยรู้สึกได้ถึงสำนึกกระบี่ที่แหลมคมเช่นนั้นมาก่อน…”


 


“ข้าก็รู้จักกับจอมกระบี่มาหลายคนมาก่อนเช่นกัน อย่างไรก็ตามสำนึกกระบี่เมื่อกี้นั้นมิใช่ของพวกเขาแม้แต่คนเดียว…”


 


ในเมื่อการประชุมเพิ่งสิ้นสุด จอมยุทธในห้องจึงเริ่มพูดถึงเกี่ยวกับสำนึกกระบี่ที่เพิ่งปรากฏขึ้นไม่นานหลังจากนั้น


 


เมื่อหัวข้อเกี่ยวกับจอมกระบี่ลึกลับนี้กลายเป็นที่นิยมระหว่างจอมยุทธ ชายวัยกลางคนที่มีท่าทางเฉียบแหลมห่อหุ้มร่างกายด้วยผ้าคลุมสีดำก็พูดเสียงดังขึ้นว่า “ท่านคิดว่าหัวข้อนี้เป็นอย่างไร ผู้อาวุโสจง”


 


ปรมาจารย์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์จง ซึ่งนั่งอยู่อย่างสบายตรงนั้นหันไปมองชายวัยกลางคนที่เพิ่งพูดไป


 


“บอกท่านตามตรง ท่านเจ้าซี ข้ามิเคยรู้สึกถึงสำนึกกระบี่ที่ทรงอำนาจเช่นนี้มาก่อนจนกระทั่งถึงวันนี้เช่นกัน นั่นแหลมคมชัดเจนจนถึงที่สุด ทำให้ข้าเกือบรู้สึกเหมือนกับดาบจริงๆ” เขากล่าว


 


คนในห้องต่างพากันมองเขาด้วยท่าทางประหลาดใจแม้กระทั่งชายวัยกลางคนที่ถูกระบุว่าเป็นท่านเจ้าซี ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นผู้นำตระกูลซี


 


“ท่านกำลังจะบอกข้าว่ากระทั่งท่านเองที่เป็นที่รู้จักกันในนามปราชญ์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งในจอมกระบี่ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกนี้ ยังรู้สึกด้อยกว่าคนที่ใช้สำนึกกระบี่ภายในเมืองของข้าเมื่อกี้นี้งั้นรึ” เจ้าซีมองดูผู้อาวุโสจงด้วยดวงตาที่กว้างขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย


 


“ถ้าข้าสามารถพบกับจอมกระบี่นี้ตอนนี้ ข้าจักย่อมต้องขอคำชี้แนะเกี่ยวกับกระบี่อย่างแน่นอน” ผู้อาวุโสจงพูดด้วยเสียงจริงใจ


 


ทั้งห้องพลันเงียบลง และไม่มีใครคาดคิดว่าผู้อาวุโสจงจะเป็นคนตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ กระทั่งต้องการคำชี้แนะจากจอมกระบี่ที่ไม่รู้จักนี้


 


ความรู้สึกต้องการพบกับจอมกระบี่นี้พลันเกิดขึ้นในใจของเหล่าจอมยุทธเหล่านี้


 


ทันใดนั้นเอง คนที่นั่งข้างเจ้าซีก็พึมพัมว่า “สำนึกกระบี่นี้… ข้าเคยรู้สึกจากที่ไหนสักแห่งมาก่อน…”


 


“เจ้ามั่นใจในเรื่องนี้รึ ลูกสาวข้า เจ้าสามารถจำได้หรือไม่ว่าที่ไหนที่เจ้ารู้สึกถึงสำนึกกระบี่นี้มาก่อน” เจ้าซีหันไปถามลูกสาวของตนเอง ซีซิงฟาง


 


ซีซิงฟางพยักหน้าและหลับตาลง โคลงศีรษะพยายามจดจำว่าเธอเคยรู้สึกสำนึกกระบี่เช่นนี้มาจากที่ไหนมาก่อน


 


ไม่นานหลังจากนั้น ซีซิงฟางก็ลืมตาขึ้น และดวงตาของเธอก็เป็นประกายแวววาว


 


“พี่ชายเซียว”


 


เจ้าซีมองดูซีซิงฟางพร้อมกับขมวดคิ้ว


 


“พี่ชายเซียว ใครกัน” เขาไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่น้อยในการถามเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ตระหนักว่าเธอกำลังพูดถึงผู้ชายคนหนึ่ง


 


“เขา… เขาเป็นเหตุผลที่ทำให้ข้าเป็นดังเช่นทุกวันนี้…” สายตาซีซิงเป็นประกายด้วยอารมณ์อันล้ำลึกเมื่อเธอพูดถึงพี่ชายเซียวคนนี้


 


หลังจากที่แยกจากซูหยางที่หุบเขาฟ้าคำรณ ซีซิงฟางได้ฝึกวิชาระดับเซียนที่เขาได้ให้เธอไว้ด้วยความจริงใจ และนั่นมีผลต่อการฝึกฝีมือของเธอนับตั้งแต่นั้น


 


อย่างไรก็ตามนี่เป็นบางสิ่งที่มีเพียงซีซิงฟางรู้ ในเมื่อเธอไม่ได้บอกใครในเรื่องที่เธอพบปะกับซูหยางหรือเรื่องที่เธอได้รับวิชาระดับเซียนที่เขาให้เป็นของขวัญให้แก่เธอ ไม่บอกแม้กระทั่งกับครอบครัวของเธอเอง


 


“ข้ามิสามารถเข้าใจอะไรได้จากคำกล่าวนั้น เจ้าสามารถอธิบายเรื่องนั้นได้หรือไม่” เขาถามเธออีกครั้ง


 


“แม้ว่าข้ามิอาจพูดถึงรายละเอียดได้ แต่ว่าความก้าวหน้าของข้าในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาย่อมมิอาจเป็นไปได้ ถ้าข้ามิได้พบกับเขา…” เธอกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


“….” เจ้าซีหรี่ตากับรอยยิ้มลึกลับของเธอ สายตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัยพร้อมแววความประหลาดใจด้วยเล็กน้อย ในเมื่อเขาไม่เคยรู้เห็นว่าลูกสาวของตนเองจะมีท่าทีเช่นนี้มาก่อน


DC บทที่ 311: เซียวหยาง


 


“เซียวหยางรึ..” เมื่อผู้อาวุโสจงได้ยินซีซิงฟางอ้างถึงเขา ดวงตาของเขาก็เปิดกว้างขึ้นด้วยความตระหนกจากการรับรู้


 


เขาไม่อยากเชื่อว่าตัวเขาเองพลาดบางอย่างเช่นนี้ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาพบกับอีกฝ่ายก่อนหน้านี้ไม่นานนักในวันนี้ อย่างไรก็ตามสำนึกกระบี่นี้กลับรุนแรงยิ่งกว่าสำนึกกระบี่ที่เซียวหยางใช้ก่อนหน้านี้ มันแตกต่างกันเป็นคนละระดับ


 


“น-นายหญิงน้อย เมื่อกล่าวถึงเซียวหยางแล้ว… เขาก็อยู่ในเมืองหิมะร่วงแล้วจริงๆตอนนี้…”


 


ซีซิงฟางพลันหันไปมองดูผู้อาวุโสจงด้วยดวงตาโต


 


“ท่านมั่นใจในเรื่องนี้รึ” เธอถามเขาด้วยเสียงอันดัง กระทั่งยังตบโต๊ะด้วยความตื่นเต้น


 


“…”


 


การระเบิดออกในทันทีของซีซิงฟางพลันทำให้ทั้งห้องตะลึงงัน จนทำให้ทุกคนในนั้นต่างพากันมองดูเธอด้วยท่าทางตกตะลึง


 


“ผู้อาวุโสจง ท่านก็รู้จักเซียวหยางคนนี้รึ” เจ้าซีถามเขา


 


“รู้จักเล็กน้อย…”


 


เจ้าซียิ้มในใจเมื่อได้ยินเช่นนี้ แทนที่จะขอร้องลูกสาวตนเอง เขาก็แค่ถามผู้อาวุโสจงเกี่ยวกับเซียวหยางคนนี้ได้ในตอนนี้


 


“บอกข้าเกี่ยวกับเซียวหยางคนนี้ซิ” เขาถามโดยไม่เสียเวลาอีกต่อไป


 


ผู้อาวุโสจงพยักหน้าและเริ่มอธิบายให้เจ้าซีฟังถึงการพบปะกับเซียวหยาง อ้างไปถึงการที่อีกฝ่ายช่วยพวกเขาฆ่าคนของดาบเสี้ยวจันทร์


 


คำอธิบายเพียงใช้เวลาไม่กี่นาทีเป็นอย่างมาก ในเมื่อการพบปะของพวกเขาค่อนข้างสั้น


 


“เช่นนั้นรึ” เจ้าซีตะลึงงันไปกับเรื่องราวที่ไม่มีความสำคัญเช่นนั้น ถ้าการพบปะของพวกเขาเป็นอย่างเช่นที่ผู้อาวุโสจงอธิบาย ทำไมลูกสาวของเขาจึงทำท่าทางเหมือนกับว่าเขาเป็นชายชู้ของเธอ


 


“แต่ว่า… นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ท่านมั่นใจเกี่ยวกับเรื่องนี้รึ” เจ้าซีไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกอย่างไรดีกับข่าวนี้


 


ในฐานะของเจ้าผู้ปกครองทวีปตะวันออก เขาย่อมรู้จักชื่อเสียงของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและพฤติกรรมทางเพศของพวกเขา อย่างไรก็ตามนี่เพียงทำให้สถานการณ์ยิ่งสับสน ในเมื่อที่นั่นไม่ควรจะมีจอมยุทธแบบนี้ในสถานที่แบบนั้น


 


“แม้ว่าข้าเองก็ยังสงสัยเรื่องนั้นเมื่อข้าศึกษาสถานที่นั้น ข้ายังเห็นเขาที่ทางเข้าเมืองวันนี้ และเขาก็อยู่กับคนจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ทั้งยังสวมชุดศิษย์ของที่นั่นด้วย” ผู้อาวุโสจงกล่าว


 


หลังจากที่แยกทางกับเซียวหยางและกลับถึงที่พัก ผู้อาวุโสจงก็เริ่มศึกษานิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยทันที แต่ทว่าเมื่อเขาตระหนักว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเป็นสถานที่อย่างไร เขาก็คาดว่าเซียวหยางนั้นได้โกหกในเรื่องพื้นเพของตนเอง เพื่อปกป้องตัวตนของตัวเองในเมื่อไม่มีทางที่จอมกระบี่จะมีตัวตนในสถานที่ที่เน้นหนักทางด้านการฝึกวิชาคู่


 


“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย…”


 


ซีซิงฟางหน้าแดงเมื่อได้ยินชื่อสถานที่นี้ แน่นอนว่าเธอก็ทำการค้นคว้าด้วยตัวเองเช่นกัน ในเมื่อเธอค่อนข้างสงสัยเป็นอันมากเกี่ยวกับเซียวหยางเกินกว่าจะละเลยได้ อย่างไรก็ตามเธอไม่เชื่อแม้แต่น้อยว่าเซียวหยางจะมาจากสถานที่เช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขามีท่าทางที่สง่าผ่าเผยเช่นนั้น


 


“อย่างไรก็ตามนั่นค่อนข้างง่ายในการหาว่าเขามาจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจริงหรือไม่”


 


เจ้าซียืนขึ้นจากเก้าอี้ตนเองและกล่าวต่อว่า “ข้าจักไปพบกับพวกเขาด้วยตนเอง”


 


“ว่ากระไร”


 


ทุกคนที่นั่นต่างมีท่าทางตระหนกเมื่อได้ยินว่าเจ้าซีจะไปหาใครก่อน ด้วยฐานะที่สูงส่งของเขา ผู้คนล้วนคาดหมายว่าเขาจะส่งหนังสือเรียกตัวไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย เพื่อให้พวกนั้นมาหาเขา ไม่ใช่เป็นแบบนี้


 


“ข-ข้าต้องการไปกับท่านด้วย”


 


ซีซิงฟางก็ยืนขึ้นด้วยเช่นกัน นี่ควรจะเป็นโอกาสให้เธอได้พบกับเซียวหยางอีกครั้ง


 


“ไม่ เจ้าจักต้องอยู่ที่นี่”


 


อย่างไรก็ตามเจ้าซีปฏิเสธทันควัน


 


“ถ้าท่านพ่อไป ข้าก็ไปด้วยเช่นกัน” เธอจ้องมองเขาด้วยท่าทางมั่นคง เธอย่อมไม่ยอมให้โอกาสนี้พลาดไปง่ายๆ


 


“ท่านเจ้าซี นั่นค่อนข้างจะไม่เหมาะสมอยู่บ้างสำหรับท่านที่จะไป…”


 


“เขาพูดถูก ท่านเจ้าซี ถ้ายังไง พวกเราสักคนสามารถไปแทนท่าน”


 


ผู้คนในห้องเริ่มให้คำแนะนำของตน


 


เจ้าซีเงียบไป และหลังจากครุ่นคิดชั่วขณะเขาก็พยักหน้า


 


“เช่นนั้นก็ดี ผู้อาวุโสจงในเมื่อท่านเป็นคนที่คุ้นเคยกับเซียวหยางนี้ที่สุด ข้าจักขอร้องท่านไปพบกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเพื่อดูว่าเขาอยู่กับพวกนั้นจริงหรือไม่”


 


จากนั้นเขาก็หันไปมองดูลูกสาวของตนเองและกล่าวว่า “ถ้าข้าอยู่ เช่นนั้นเจ้าก็จักอยู่ด้วย ใช่ไหม”


 


“…”


 


ซีซิงฟางมองดูเขาด้วยท่าทางโกรธเล็กน้อยไปชั่วขณะหนึ่งก่อนที่จะกล่าวว่า “ข้าจักกลับห้องข้า”


 


เจ้าซียิ้มขื่นขมขณะที่มองดูลูกสาวของตนเองออกไปจากที่นั้นด้วยท่าทางไม่พอใจ เธอยังเป็นเด็กเมื่อครั้งสุดท้ายที่เขาเห็นเธอทำท่าทางแบบนั้น และในขณะที่มีคนมากมายอยู่ด้วย ไม่แตกต่างกันแม้แต่น้อย


 


“ข้าจักรับภารกิจนี้” ผู้อาวุโสจงกล่าว


 


ไม่นานหลังจากนั้นขณะที่เจ้าซีกลับไปยังที่นั่งของตนเอง หยกสื่อสารของเขาก็สั่น และข่าวที่ว่ามีคนสร้างความปั่นป่วนในเมืองสุดท้ายก็เข้าหูเขา


 


“จอมกระบี่คนหนึ่งไม่สนใจกฏของเมืองอย่างเปิดเผยและได้ฆ่าคนกลางวันแสกๆ”


 


เจ้าซีถึงกับตกตะลึงไปกับข่าวนี้


 


“เช่นนี้คือเหตุผลของสำนึกกระบี่เมื่อกี้นี้…” เจ้าซีนึกส่ายหน้า


 


“เห็นชัดว่ามีคนได้ฆ่าคนในเมืองหิมะร่วงของข้า เขาฆ่าผู้อาวุโสนิกายจากนิกายแท่นบูชาทอง”


 


เจ้าซีตัดสินใจที่จะแบ่งปันข้อมูลนี้ให้กับทุกคนในที่นั้น


 


“ใครกันกล้าทำเช่นนั้น”


 


“ผู้อาวุโสจากนิกายแทนบูชาทองรึ นักฆ่าคนนี้ต้องมีฝีมืออยู่ไม่ใช่น้อยจึงสามารถฆ่าผู้อาวุโสนิกายจากที่นั่นได้”


 


คนในห้องต่างพากันไม่เชื่อ มีเพียงแต่คนโง่ที่สุดเท่านั้นที่จะประกอบอาชญากรรมแบบนั้นระหว่างช่วงเวลาแบบนี้


 


“ผู้ต้องสงสัยปรากฏว่าเป็นจอมกระบี่คนหนึ่งเช่นกัน…”


 


“ว่ากระไร…”


 


ที่แห่งนั้นพลันเปลี่ยนเป็นเงียบงัน ทำให้เกิดบรรยากาศอันอึดอัด


 


“ไม่น่าเป็นไปได้…”


 


ในห้องนั้นผู้อาวุโสจงเป็นคนที่ตกตะลึงมากที่สุดกับข่าวนี้


 


“ถ้าท่านได้พบกับเซียวหยางคนนี้ พาเขากลับมาที่นี่เพื่อไต่สวนด้วย” เจ้าซีกล่าว


 


“ข้าน้อมรับ”


 


แม้ว่าผู้อาวุโสจงไม่ได้ตัดสินใจในทันทีว่าเซียวหยางกระทำผิด แต่เขาก็พบว่าสำนึกกระบี่ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันเมื่อกี้นี้ประหลาดและแปลกแยกอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นนั่นก็ยังไม่ชัดเจนว่าสำนึกกระบี่นั้นเป็นของเซียวหยางตั้งแต่แรก


DC บทที่ 312: เขาชื่อว่าซูหยาง


 


การประชุมสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็วหลังจากที่เจ้าซีสั่งให้ผู้อาวุโสจงนำเซียวหยางไปหาเขา อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะปล่อยทุกคนที่นั่นไป เจ้าซีได้กล่าวกับพวกเขาว่า “มิว่านี่จะเป็นเซียวหยางหรือไม่ที่เป็นผู้ร้ายให้ถือว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าพวกท่านพบเจอเขาให้พาเขามาหาข้า ข้ามีบางสิ่งที่ข้าต้องการถามเขา”


 


“ขอรับ ท่านเจ้า”


 


หลังจากที่ออกจากห้องประชุมแล้ว ผู้อาวุโสจงก็ไม่ได้ตามหานิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยในทันทีในเมื่อเขาถูกหยุดไว้ด้วยคนคนหนึ่งก่อนที่เขาจะทันได้ออกไปจากบ้าน


 


“มีเรื่องอะไรรึ นายหญิงน้อย” ผู้อาวุโสจงมองดูสาวงามล่มเมืองตรงหน้าเขาด้วยรอยยิ้มขื่นขม


 


“ข้าต้องการให้ท่านบอกข้าให้มากกว่านี้เรื่องที่ท่านพบเจอกับพี่ชายเซียว”


 


“ว่าแล้วว่าต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับเขา…” ผู้อาวุโสจงคิดและถอนใจ


 


“เล่าให้สั้นๆ ข้าพบกับเซียวหยางที่ประตูทางเข้าเมือง แต่เราก็แยกกันหลังจากที่เข้ามาในเมืองและได้พูดคุยกันเพียงเล็กน้อย มิมีอะไรที่สลักสำคัญ”


 


“ท่านพูดว่าเขามากับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย กระทั่งสวมชุดนิกายของพวกเขาด้วย พวกเขาคิดว่าเขาเกี่ยวข้องกับพวกเขาเช่นนั้นจริงๆรึ” เธอถาม


 


แม้ว่าซีซิงฟางไม่ได้มีความคิดรังเกียจใดต่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย แต่วิสัยทางเพศของพวกเขาก็ยังทำให้เธอ หญิงสาวบริสุทธิ์ซึ่งอ่อนด้อยต่อเรื่องเช่นนั้น รู้สึกอึดอัด


 


“ข้าจักพบกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยต่อจากนี้เพื่อยืนยันเรื่องนั้น” เขากล่าว


 


“หรือว่าท่านพ่อของข้าบอกท่านให้ทำเช่นนั้น”


 


ผู้อาวุโสจนเพียงพยักหน้า เขามีเจตนาที่จะละเลยส่วนที่ว่าเซียวหยางตอนนี้เป็นผู้ต้องสงสัยฆ่าคนขณะที่อยู่ในเมือง ในเมื่อนั่นย่อมจะทำให้เธอเสียใจ


 


“อืม… ถ้าผู้อาวุโสจงพบกับเขา ท่านพอจะให้สิ่งนี้กับพี่ชายเซียวแทนข้าได้หรือไม่” ซีซิงฟางนำเอาบางอย่างออกมาจากกระเป๋าของเธอและยื่นส่งให้กับเขา


 


“…”


 


ผู้อาวุโสจงมองดูหยกสื่อสารที่ซีซิงฟางให้กับเขาด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน ในเมื่อเขาไม่มั่นใจว่าเจ้าซีจะคิดว่าอย่างไรในเรื่องนี้


 


“นายหญิงน้อย ถ้าพ่อของท่านรู้เรื่องนี้…”


 


“เช่นนั้นก็อย่าให้เขารู้” ซีซิงฟางตอบกลับอย่างรวดเร็ว


 


ผู้อาวุโสจงยิ้มขื่นขม และหลังจากที่ครุ่นคิดชั่วขณะ เขาก็กล่าวว่า “ถ้านายหญิงน้อยสัญญาว่าเธอจักมิแอบหนีออกไปพบกับเซียวหยาง ผู้เฒ่าคนนี้จักย่อมยินดีส่งมอบหยกสื่อสารนี้ให้กับเขา”


 


ซีซิงฟางแอบขมวดคิ้ว ทำไมเขาจึงรู้ว่าเธอกำลังคิดเรื่องแบบนั้น ใช่ว่าเธอแอบออกไปหรือทำอะไรทำนองนั้นบ่อยๆเสียเมื่อไหร่ จริงแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่เธอคิดจะทำอย่างนั้นด้วยซ้ำ


 


“ได้ ข้าสัญญา” เธอกล่าวเมื่อเวลาผ่านไปสองสามวินาทีหลังจากนั้น


 


ผู้อาวุโสจงพยักหน้าและเริ่มเดินจากไป อย่างไรก็ตามเขาก็ได้ถามเธอก่อนที่จะไปลับตาว่า “อีกอย่าง นายหญิงน้อย ท่านคิดอย่างไรกับเซียวหยางคนนี้”


 


“ข้าชื่นชมเขา” เธอตอบอย่างง่ายๆ


 


“อย่างนั้นรึ..” ผู้อาวุโสจงไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไปและออกไปจากบ้านตระกูลซีเพื่อตามหานิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย


 


แน่นอนว่า ด้วยฐานะของเขาและเครือข่ายของตระกูลซี นั่นไม่ได้ใช้เวลาเขาถึงนาทีในการที่รู้ตำแหน่งที่แน่นอนของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย


 


หลังจากที่รู้ตำแหน่งของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ผู้อาวุโสจงก็ไปถึงโรงเตี๊ยมเกล็ดหิมะต่อจากนั้น


 


“ป-ปราชญ์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์”


 


พนักงานต้อนรับพลันจดจำรูปลักษณ์อันสูงส่งของเขาได้ในทันทีและเกือบหัวใจวาย


 


“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอยู่ที่ไหน” ผู้อาวุโสจงถามพนักงานต้อนรับโดยไม่ยอมเสียเวลา


 


“ช-ชั้นสี่ พวกเขาอยู่ที่ชั้นสี่”


 


แม้ว่าพวกเขาจะมีกฏที่เข้มงวด แต่พนักงานต้อนรับก็เปิดเผยชั้นที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอยูให้กับผู้อาวุโสจงในทันที


 


“ข้ารู้สึกซาบซึ้ง”


 


ผู้อาวุโสจงไม่ได้ชักช้าตรงไปยังชั้นสี่อย่างรวดเร็ว


 


เมื่อไปถึงชั้นสี่ ผู้อาวุโสจงก็สังเกตเห็นหญิงสาวสวยคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงกลางห้องโถงหลับตา ดูเหมือนว่ากำลังฝึกสมาธิ อย่างไรก็ตามทำไมเธอจึงมาฝึกสมาธิในที่เปิดโล่งเช่นนี้ในเมื่อมีห้องอยู่ทุกด้าน


 


เมื่อผู้อาวุโสจงปรากฏตัวขึ้นบนชั้นสี่ หญิงสาวสวยที่นั่งอยู่ตรงกลางห้องโถงนั้นก็ลืมตาขึ้นมองดูเขา


 


“ปราชญ์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์”


 


หญิงสาวสวยนั้นพลันยืนขึ้นและโค้งคำนับเล็กน้อยกล่าวว่า “คำนับผู้อาวุโสจง ข้าน้อยเรียกว่าโหลวหลานจี ผู้นำนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ข้าพอจะช่วยเหลือท่านได้อย่างไรบ้างในวันนี้”


 


“ข้าต้องขออภัยกับการมาอย่างกระทันหัน แต่ตอนนี้ข้ากำลังมองหาใครสักคนอยู่”


 


โหลวหลานจีพลันนึกถึงซูหยางเมื่อผู้อาวุโสจงกล่าวว่าเขากำลังมองหาคน แต่เธอยังคงรอให้เขาพูดให้จบก่อน


 


“เซียวหยาง ข้าขอพูดกับเขาได้ไหม”


 


“เซียวหยาง… ใครกัน” โหลวหลานจีเลิกคิ้วด้วยความสงสัย


 


“เอ๋”


 


ผู้อาวุโสจงสังเกตเห็นหน้าตาสงสัยของเธอจึงกล่าวว่า “เซียวหยาง… ชายหนุ่มคนนั้นที่อยู่ในกลุ่มของพวกเจ้าที่ทางเข้าเมืองนั่นไง… รึว่าเขามิได้มากับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”


 


หลังจากที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้น โหลวหลานจีพลันรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงถามว่า “ชายหนุ่มนั่น… รึว่าเขาบอกท่านว่าเขาชื่อเซียวหยาง”


 


ผู้อาวุโสจงก็เริ่มเข้าใจสถานการณ์เช่นกัน


 


“รึว่านั่นมิใช่ชื่อเขา” เขาตอบสนองด้วยน้ำเสียงเชิงคำถาม


 


“แม้ว่าข้ามิรู้เหตุผลที่เขาปกปิดตัวตน แต่เจ้าเด็กหนุ่มเกเรนั่นชื่อ ซูหยาง…” โหลวหลานจีเผยความจริงให้กับผู้อาวุโสจงซึ่งยืนอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางงุนงง


 


“ไม่น่าประหลาดใจเลยที่ทำไมข้าจึงมิพบชื่อเขาเมื่อข้าสืบนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย นั่นเป็นชื่อปลอมมาโดยตลอด” ผู้อาวุโสจงร่ำร้องในใจ


 


อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะถูกโกหก ผู้อาวุโสจงก็ไม่ถือโทษซูหยาง ในเมื่อนั่นเป็นเรื่องปกติสำหรับผู้ฝึกยุทธที่จะปกปิดตัวตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งยามเมื่อพวกเขาเดินทางตามลำพัง


 


หลังจากที่เงียบงันกระอักกระอ่วนไปชั่วขณะ ผู้อาวุโสจงก็พูดต่อราวกับว่าเขารู้เรื่องนี้มาโดยตลอด “ซูหยาง… ข้าสามารถพูดกับเขาได้ไหม”


 


โหลวหลานจีหันไปมองที่ห้องที่ซูหยางพักอยู่ภายในและหันกลับมายังผู้อาวุโสจง


 


“นั่น… อาจจะยากในตอนนี้” เธอตอบด้วยรอยยิ้มขออภัย


 


“เพราะเหตุอันใดรึ” ผู้อาวุโสจงถาม


 


“เขา…เอ้อ… ตอนนี้กำลังฝึกวิชาร่วมกับศิษย์คนอื่นอยู่…”


 


“ฝึกวิชา…กับคนอื่น”


 


แม้ว่านั่นจะทำให้เขาต้องใช้เวลาชั่วขณะหนึ่ง ครั้นเมื่อผู้อาวุโสจงตระหนักว่าอะไรคือสิ่งที่โหลวหลานจีพยายามจะพูด ดวงตาของเขาก็กว้างขึ้นด้วยความตระหนก และเขาก็ถึงกับยืนนิ่งอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางงงงัน


DC บทที่ 313: กลเม็ดใหม่


 


หลังจากที่ฆ่าผู้อาวุโสนิกายจากนิกายแท่นบูชาทองแล้ว ซูหยางก็ตรงกลับไปยังที่พักของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยโดยไม่มีใครสังเกตเห็นแม้กระทั่งเงาของเขา


 


ก่อนที่เขาจะเข้าไปในห้องทางหน้าต่าง ซูหยางก็เก็บซ่อนหน้ากากและกระบี่


 


“ศิษย์พี่ชาย” ซุนจิงจิงถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นเขากลับภายในไม่กี่นาที


 


“มีอะไรรึ หรือมีอะไรเกิดขึ้นขณะที่ข้าอยู่ข้างนอก” เขาถามหลังจากที่สังเกตเห็นปฏิกิริยาของพวกเธอ


 


“ผู้นำนิกายเคาะประตูตามหาท่านหลังจากที่ท่านจากไป ข้าเกือบหัวใจวายเพราะเรื่องนั้น”


 


“ผู้นำนิกายรึ เธอต้องการอะไรจากข้ากัน”


 


“ข้ามิรู้ แต่เธอพูดว่ามันไม่ได้สำคัญอะไรมากมายนักให้ลืมๆไปเสีย หลังจากที่เราโกหกเรื่องฝึกวิชาอยู่ในตอนนั้น อย่างไรก็ตามท่านได้กลับคืนมาเร็วกว่าที่ข้าคาดนัก”


 


ซูหยางพยักหน้า


 


อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เขาจะทันได้ผ่อนคลาย เขาก็สังเกตเห็นจอมยุทธในเขตอัมพรวิญญาณตรงมาทางพวกเขาจากหลายกิโลเมตรห่างออกไป


 


“ตาแก่นั่น… เขาต้องการอะไรจากข้าในตอนนี้” เขาครุ่นคิด


 


หลังจากที่ครุ่นคิดชั่วขณะ ซูหยางก็มองไปยังซุนจิงจิงและฟางซีหลานและพูดขึ้นว่า “เราได้ฝึกวิชาร่วมกันมาเกือบทุกวันเป็นเวลาหลายเดือนมาแล้วในตอนนี้ และข้าก็คิดจะแสดงให้พวกเจ้าเห็นกลเม็ดใหม่อย่างสองอย่าง พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร ถ้าพวกเจ้าสามารถทนได้นานถึงหนึ่งนาที ข้าจักทำทุกอย่างที่เจ้าขอให้ข้าทำ”


 


“จ-จริงรึ”


 


สองสาวสวยมองดูเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจ ในเมื่อพวกเธอไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้อย่างกระทันหัน


 


ซูหยางพยักหน้าและพูดต่อว่า “ร่างกายของพวกเจ้าอาจจะไม่สามารถรองรับมันได้ก่อนหน้านี้ แต่นั่นควรจะพอไหวแล้วในตอนนี้ พวกเจ้าจักได้รับรู้ถึงประสบการณ์อีกระดับหนึ่ง”


 


“ป..ประสบการณ์อีกระดับหนึ่งเลยรึ…”


 


หญิงสาวทั้งสองกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น ในเมื่อพวกเธอไม่สามารถจินตนาการได้ถึงความสุขที่ยิ่งกว่าสิ่งที่พวกเธอได้ประสบอยู่แล้วตอนนี้


 


“ข้าพร้อมสำหรับความท้าทาย”


 


น่าประหลาดใจยิ่ง เป็นฟางซีหลานซึ่งตอบสนองเป็นคนแรก


 


“ข้า เช่นกัน หนึ่งนาทีรึ ฮ่า ท่านประเมินพวกเราต่ำเกินไปนัก ศิษย์พี่ชาย” ซุนจิงจิงพลันยอมรับต่อจากฟางซีหลาน


 


หลังจากที่ฝึกวิชาร่วมกับเขาเป็นเวลานาน ร่างกายของพวกเธอก็คุ้นเคยกับความสุขที่ซูหยางได้นำมาให้กับร่างกายของพวกเธออย่างเต็มที่ ยอมให้พวกเธอร่วมฝึกกับเขาโดยไม่ต้องหยุดพักได้นานถึงครึ่งชั่วโมง กล่าวไปแล้วแม้ว่าพวกเธอจะคุ้นเคยกับกลเม็ดของเขา ก็ใช่ว่าพวกเธอจะเบื่อมันหรือว่ากลเม็ดของซูหยางหมดประสิทธิภาพ


 


ตามจริง เพราะว่าพวกเธอได้สร้างความสามารถในการฟื้นคืนสภาพ ทำให้พวกเธอตอนนี้สามารถสนุกไปกับกลเม็ดของเขานานขึ้นโดยไม่ต้องหยุดพัก ยอมให้พวกเธอดื่มด่ำอยู่ในการฝึกวิชา


 


“ข้าประเมินเจ้าต่ำไปรึ”


 


ซูหยางเผยให้เห็นรอยยิ้มลึกลับแล้วกล่าวต่อว่า “สามสิบวินาที ข้าจักเป็นทาสของพวกเจ้าตลอดทั้งวันถ้าเจ้าสามารถทนได้นานเพียงนี้โดยไม่ปลดปล่อยปราณหยิน”


 


หญิงสาวทั้งสองยิ่งตื่นเต้นเมื่อได้ยินคำพูดของเขา และพวกเธอได้จินตนาการไปเรียบร้อยแล้วว่าจะเป็นอย่างไรถ้ามีซูหยางคอยรับฟังคำสั่งของพวกเธอตลอดทั้งวัน


 


“ท่านพูดไปแล้วนะ มิมีการคืนคำ” ซุนจิงจิงกล่าวเสียงดัง


 


“ข้าเป็นคนรักษาคำพูด”


 


โดยไม่มีการเสียเวลาหรือลังเลใด ทั้งฟางซีหลานและซุนจิงจิงถอดเสื้อผ้าของพวกเธอออกทันที


 


“ใครต้องการเป็นคนแรก” ซูหยางดึงกางเกงของเขาลงและถามขณะที่มังกรของเขาได้ผงาดขึ้นแล้วและเงยเศียรขึ้นไปยังสวรรค์


 


“ข้า–”


 


“ข้าจักเป็นคนแรก”


 


ฟางซีหลานสามารถพูดได้จบก่อนซุนจิงจิงที่เป็นคนแรกที่อ้าปากพูด


 


ซูหยางพยักหน้าและเดินไปตรงหน้าฟางซีหลาน ซึ่งได้ไปอยู่ที่เตียงเรียบร้อยแล้วพร้อมกับแยกขากว้างอีกกลีบดอกไม้ที่เปียกแฉะ และเขาก็ได้ดันมังกรคลั่งเข้าไปในทางเข้าของเธอ


 


“มิมีการเล้าโลมแม้แต่น้อย เขาต้องค่อนข้างมั่นใจ” ซุนจิงจิงคิดในใจขณะที่มองดูซูหยางบุกทะลวงฟางซีหลาน


 


“อาาา”


 


ฟางซีหลานอ้าปากค้างด้วยความตระหนกในเวลาไม่ถึงวินาทีหลังจากที่ถูกบุกทะลวงจากซูหยาง สร้างความตื่นตะลึงให้กับซุนจิงจิง


 


“ค-ความรู้สึกนี้คืออะไรกัน อาาาาา ข้า… ข้ามิอาจ”


 


ยังไม่ถึงยี่สิบวินาทีหลังจากที่พวกเขาเริ่ม ฟางซีหลานก็ได้ปล่อยปราณหยินของเธอไปทั่วซูหยาง


 


“อะไรกัน” ซุนจิงจิงจ้องไปยังปราณหยินที่พวยพุ่งออกมาจากส่วนล่างของฟางซีหลานด้วยสีหน้าตกตะลึง


 


เหตุใดที่ฟางซีหลานซึ่งมีประสบการณ์มากที่สุดและฟื้นฟูได้รวดเร็วที่สุดในบรรดาศิษย์ทั้งหมดจึงปลดปล่อยปราณหยินของเธอออกมาได้หลังจากที่ผ่านไปเพียงไม่กี่วินาทีจากการร่วมฝึกวิชา อะไรที่เปลี่ยนไป ซุนจิงจิงไม่สามารถบอกได้


 


ตามจริง จากจุดยืนของเธอ ซูหยางไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ เพียงแค่ทิ่มแก่นกายเข้าไปในร่างของเธอตามปกติ


 


“สิบแปดวินาที… เหอ”


 


ซูหยางยิ้มและมองดูซุนจิงจิงด้วยดวงตาคล้ายกับหมาป่า


 


“…”


 


ซุนจิงจิงมองไปที่ใบหน้าเปี่ยมสุขของฟางซีหลานและรอยยิ้มล่าเหยื่อของซูหยางแล้วได้แต่ยิ้มขื่นขม ถ้าฟางซีหลานไม่อาจต้านได้แม้กระทั่งยี่สิบวินาที มั่นใจได้ว่าเธอต้องสูญเสียการควบคุมตัวเองภายในสิบวินาทีแน่นอน


 


“อะไรกัน ข้ามิเห็นความมั่นใจในดวงตาเจ้าอีกต่อไป เจ้ายังสามารถที่จะคืนคำได้ในตอนนี้”


 


ซุนจิงจิงเพียงแค่ถอนใจและกล่าวว่า “แม้ว่าข้าได้เลิกล้มความคิดเอาชนะการท้าทายนี้ไปแล้ว ข้าจักไม่ถอยกับการท้าทายนี้”


 


“พูดได้ดี”


 


ซูหยางดึงเอาแท่งหนาออกมาจากฟางซีหลานและตรงเข้าไปหาซุนจิงจิงซึ่งพยายามกล้ำกลืนความประหม่าไปให้พ้น


 


ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ซูหยางก็บุกโจมตีซุนจิงจิง และเสียงครวญครางแหลมก็กังวานไปทั่วโถงอีกครั้ง และที่แตกต่างจากการแกล้งครางของเธอ ครั้งนี้แหลมเล็กราวกับเสียงร้องของนกฟีนิกซ์เต็มไปด้วยอารมณ์และความพึงพอใจ


 


“อาาาาาาาาาาา ศิษย์พี่ชาย”


 


ในเวลานั้นเมื่อผู้อาวุโสจง ซึ่งเพิ่งพูดกับโหลวหลานจีจบก็พลันได้ยินเสียงครวญครางนี้ สีหน้าของเขาก็มืดหม่นลง ราวกับว่าเขาเพิ่งเห็นใครสักคนกำลังอาเจียนเศษอาหารออกมา


 


“จ-เจ้าเลวนี่ฝึกวิชาร่วมกับศิษย์สาวของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจริงๆ เขามิมีความอายเลยรึไง” ผู้อาวุโสจงสาปแช่งซูหยางในใจ ในเมื่อเขายังเชื่อว่าซูหยางเป็นใครสักคนที่แก่หรือไม่ก็แก่กว่าตัวเองเนื่องมาจากสำนึกกระบี่ที่น่ามหัศจรรย์นั้น ซึ่งควรมีอายุประมาณสามร้อยปี


 


และสำหรับคนที่มีอายุเท่ากับเขากลับมาเล่นกับศิษย์เหล่านี้ซึ่งควรถือว่าเป็นหลานสาวได้อย่างง่ายดายนั้นทำให้ผู้อาวุโสจงรู้สึกไม่พึงใจกับอีกฝ่าย


DC บทที่ 314: คุณธรรม


 


เพื่อให้สมกับความโกรธจากความผิดหวัง ผู้อาวุโสจงตรงเข้าไปยังประตูห้องของซูหยางและเตรียมที่จะเคาะ อย่างไรก็ตามเขาก็ได้ทำการยับยั้งความโกรธไว้ได้ในวินาทีสุดท้ายและยืนอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางที่ชะงักค้าง


 


“ท่านผู้อาวุโส…” โหลวหลานจีส่ายหน้าขณะถอนใจ


 


“ซูหยาง เจ้ามีแขก ปราชญ์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์มาที่นี่เพื่อพบกับเจ้า”


 


แม้ว่าเธอจะยอมให้ซูหยางฝึกวิชาของเขาจนจบ โหลวหลานจีก็ต้องตัดสินใจเริ่มเคาะประตูห้องของเขา ในเมื่อเธอไม่ต้องการที่จะล่วงเกินปราชญ์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์นี้ซึ่งเพียงลำพังตัวเขาคนเดียวก็น่ากลัวกว่านิกายล้านอสรพิษทั้งนิกาย


 


ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ประตูก็เปิดออก และหญิงสาวสวยสองคนก็เดินออกมาจากห้องของซูหยางด้วยเสื้อผ้าหลวมรุ่มร่ามและผิวที่เป็นประกาย


 


“…”


 


ผู้อาวุโสจงกรามตกค้างเมื่อเขาเห็นหญิงสาวทั้งสองคนนี้


 


“หญิงสาวพวกนี้เห็นอะไรในผู้ชายประเภทนี้กัน” เขาถอนใจ


 


“ผู้อาวุโสจง ข้ามิคิดว่าเราจักพบกันอีกครั้งเร็วปานนี้” ซูหยางปรากฏตัวขึ้นหลังจากนั้น


 


“เข้ามาข้างในสิ”


 


ผู้อาวุโสจงไม่ได้พูดอะไรและเดินตามเขาเข้าไปในห้องซึ่งอ้อยอิ่งไปด้วยปราณหยินและกลิ่นหอมหวานจากสองหญิงสาวเมื่อกี้นี้


 


ครั้นเมื่อประตูปิด ผู้อาวุโสจงก็พูดขึ้น “ข้าคิดว่าเจ้าพูดเล่นเมื่อพูดว่าเจ้ามาจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย แต่อนิจจาข้าหารู้สักนิด ช่างไร้ยางอายเสียจริง”


 


“ไร้ยางอายรึ ไร้ยางอายตรงไหนที่กกกอดสาวสวยในฐานะผู้ชาย” ซูหยางตอบด้วยเสียงเรียบเฉย


 


“ไม่มีสิ่งที่ต้องอับอายในการกระทำเช่นนั้น แต่เมื่อคิดว่าจอมกระบี่เช่นเจ้าถึงกับสัมผัสเด็กสาวเหล่านี้โดยมิสนใจสนใจโลกเลย อย่าให้ข้าพบว่าเจ้ากดขี่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยด้วยฐานะของเจ้าจริงเพื่อเติมเต็มสันดานที่เต็มไปด้วยตัณหาของเจ้า ข้าจักจัดการโดยเร็วต่อให้เด็กสาวพวกนั้นร้องขอข้าให้หยุดก็ตาม”


 


หลังจากที่ได้ยินคำพูดเหล่านั้นซูหยางก็หรี่ตามองไปยังผู้อาวุโสจงและกล่าวด้วยเสียงเย็นเยียบว่า “เจ้ากล้ากล่าวหาข้าว่ากดขี่เด็กสาวเหล่านี้ให้ร่วมฝึกวิชากับข้ารึ ถ้ามิใช่เพื่อหญิงสาวเหล่านี้ ข้าคงต้องฆ่าเจ้าไปสักสิบครั้งแล้วตอนนี้”


 


จิตสังหารพลันปกคลุมไปทั่วทั้งห้อง จนทำให้ผู้อาวุโสจงถึงกับหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ


 


ซูหยางพลันกล่าวต่อว่า “จะมีปัญหาอะไรถ้าพวกเธออายุยี่สิบปีหรือสองร้อยปี ช่วงอายุเล็กน้อยปานนี้ พวกเธอก็ยังคงมิมีอะไรไปมากกว่าเด็กเล็กๆในสายตาของข้า ตราบเท่าที่พวกเธอเป็นหญิงและพวกเธอยอมรับข้า ข้าจักโอบกอดเธอโดยมิเห็นต้องอับอาย”


 


แม้ว่านั่นอาจจะแตกต่างอยู่สำหรับผู้อาวุโสจงซึ่งมีชีวิตอยู่เพียงแค่สามร้อยปี เพราะว่าซูหยางได้มีชีวิตมานานกว่าหมื่นปีในฐานะเซียน จึงไม่มีความแตกต่างในช่วงอายุที่เล็กน้อยแค่นั้นในใจเขา ตามจริงถ้าเขาต้องพิจารณาอายุของพวกเธอสำหรับการฝึกฝีมือของเขา เช่นนั้นกระทั่งผู้ที่สูงอายุที่สุดในโลกนี้ก็เป็นเพียงแค่เด็กน้อยในสายตาของเขา


 


ในสถานการณ์เช่นนี้ เขาจะเพิ่มพลังการฝึกปรือของตัวเขาและกลับสู่สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร ดังนั้นหากว่าเขาไม่แตะต้องหญิงสาวเหล่านี้เขาก็จะไม่มีตัวเลือกอื่นอีก จึงเป็นเหตุที่ว่าทำไมเขาจึงลังเลที่จะร่วมฝึกกับศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเมื่อเขาได้รับความทรงจำคืนในครั้งแรก


 


“ตระกูลจง เราทั้งคู่เป็นผู้ฝึกวิชา บางสิ่งดังเช่นอายุเป็นเพียงแค่ตัวเลขวัดความฉลาดในโลกของเรา แน่นอนว่าข้ามิได้พูดว่าอายุของแต่ละคนไม่มีความสำคัญไปเสียทีเดียว แต่ตราบเท่าที่พวกเธอเป็นผู้ใหญ่แล้ว ใครจะสน จริงไหม”


 


ซูหยางโยนการกระทำแบบศิษย์อายุเยาว์ทิ้งไปและเริ่มทำเหมือนกับเป็นผู้อาวุโส สิ่งที่สร้างความงุนงงให้กับผู้อาวุโสจงเป็นอย่างมาก


 


“…”


 


ผู้อาวุโสจงนิ่งเงียบไปเป็นเวลาหลายนาที แม้ว่าเขาต้องการที่จะโต้แย้งการกล่าวอ้างของซูหยาง เขาก็ไม่อาจหาข้อผิดพลาดใดในคำพูดของซูหยางได้


 


แตกต่างจากสามัญชน ความสัมพันธ์กับอายุของแต่ละคนนั้นแตกต่างไปในสายตาของผู้ฝึกยุทธและนี่ยิ่งเป็นจริงมากยิ่งขึ้นกับผู้ที่มีชีวิตนานมากพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซียนที่มีชีวิตชั่วนิรันดร์


 


“อย่างไรก็ตามทำไมเจ้ามิเริ่มบอกข้าว่าทำไมเจ้าจึงมาที่นี่ อย่าบอกนะว่าที่เจ้ามาที่นี่ทั้งหมดนี้ก็เพียงแค่เพื่อเรียกข้าว่าไร้ยางอาย ใช่ไหม”


 


“เจ้า… เจ้าไปไหนมาหลังจากที่เราแยกทางกันที่ประตูทางเข้า” ผู้อาวุโสจงตัดสินใจที่จะเก็บความคิดเห็นของตนเองไว้และตั้งคำถามซูหยาง


 


“ข้าจะไปไหนได้ ข้าก็อยู่ในห้องนี้ตลอดเวลากับเด็กสาวทั้งสองนั่นอย่างแน่นอน” ซูหยางกล่าว


 


“เช่นนี้เขามิมีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนึกกระบี่นั่น” ผู้อาวุโสจงแอบขมวดคิ้ว


 


ถ้าสำนึกกระบี่นั่นไม่ใช่ของซูหยาง แล้วนั่นจะเป็นของใคร และทำไมเขาจึงรู้สึกคลับคล้ายกับสำนึกกระบี่ของซูหยาง


 


“เจ้ามั่นใจในเรื่องนี้รึ” ผู้อาวุโสจงกดดันเขาต่อ


 


“ถ้าเจ้ายังคงสงสัยข้า เช่นนั้นเจ้าสามารถถามสองสาวได้ว่าก่อนหน้านี้พวกเรากำลังทำอะไรกันนับตั้งแต่ที่พวกเรามาถึงที่แห่งนี้” ซูหยางกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


ผู้อาวุโสจงส่ายหน้า


 


“ลืมมันไปเถอะ”


 


ไม่นานนักหลังจากนั้น ผู้อาวุโสจงก็เอาบางอย่างออกมาจากชุดคลุมและโยนมันให้ซูหยาง


 


“แผ่นหยกสื่อสารรึ ของใครกัน” ซูหยางถาม


 


“นายหญิงน้อย” ผู้อาวุโสจงตอบ


 


“แต่ข้าต้องขอเตือนเจ้าว่าถ้าเจ้ากล้ามีความคิดสนุกอะไรกับนายหญิงน้อย ทั้งตระกูลซีจักต้องล่าหัวเจ้า และข้าจะเป็นคนแรกที่มองหาเจ้า”


 


“น่ากลัวจัง..” ซูหยางพูดอย่างไม่ใส่ใจ


 


“ถ้ามีทั้งหมดแค่นี้ เช่นนี้เจ้าก็ไปได้ ข้ายังมีธุระที่ไม่เสร็จกับสองสาวนั่นซึ่งเจ้ามาขัดจังหวะ” เขาพูดต่อ


 


ผู้อาวุโสจงยืนขึ้นจากเก้าอี้ของเขาและกล่าวว่า “เช่นนั้นข้าคงมีข่าวร้ายมาให้เจ้า เจ้าซีแห่งตระกูลซีได้เรียกตัวเจ้า ดังนั้นข้าจักต้องพาเจ้ากลับไปที่ตระกูลซีพร้อมกับข้าตอนนี้”


 


“เจ้าต้องการข้าให้ไปที่ตระกูลซีรึ หรือว่าเจ้ามิกลัวว่าข้าอาจจะทำอะไรกับนายหญิงน้อยขณะที่ข้าอยู่ที่นั่น” ซูหยางหัวเราะ


 


“ถ้าเจ้ากล้าแตะต้องนายหญิงน้อย เจ้าสามารถลืมเรื่องออกไปจากตระกูลซีได้เลยชั่วนิรันดร์” ผู้อาวุโสจงมองดูเขาด้วยสีหน้าเปี่ยมอันตราย


 


ซูหยางเพียงแค่ยักไหล่ แม้ว่าเขายังไม่มีเจตนาที่จะแตะต้องซีซิงฟางตอนนี้ แต่เขาก็อยากรู้ถึงความก้าวหน้าของเธอกับวิชาที่เขาได้ให้เธอไว้ ดังนั้นเขาจึงไม่ปฏิเสธที่จะไปยังตระกูลซี


 


“เช่นนั้นก็ดี นำทาง”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม