Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน 301-307

 DC บทที่ 301: พบโดยไม่คาดคิด


 


เสียงครวญครางจากเกวียนของซูหยางแทรกผ่านผนังบางๆและยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆเมื่อเวลาผ่านไป ทุกคนนับตั้งแต่ผู้อาวุโสนิกายไปจนถึงศิษย์รุ่นเยาว์ต่างก็พากันฟังเสียงนั้นด้วยสีหน้าแดง รู้สึกอับอายจากเพียงแค่เสียงนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิษย์รุ่นเยาว์ในเมื่อสีหน้าของพวกเขาแดงเหมือนลูกมะเขือเทศ


 


“อาาาาา”


 


“เสียงนั้นดูเหมือนจะเป็นศิษย์พี่หญิงซุน…”


 


ศิษย์รุ่นเยาว์คนหนึ่งพูดหลังจากที่ได้ยินเสียงของเธอ


 


“อาาาาาาาา”


 


“อา นั่นต้องเป็นศิษย์พี่หญิงฟาง”


 


บรรดาศิษย์รุ่นเยาว์เริ่มเดาว่าใครที่เป็นคนร้องเพื่อรักษาบรรยากาศให้รู้สึกอึดอัดน้อยลง


 


“น่าอิจฉานัก…ข้าเองก็ต้องการฝึกร่วมกับศิษย์พี่ชาย…”


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า… เจ้ายังเหลือเวลาอีกตั้งปีผ่าน”


 


“ข้าจักเป็นผู้ใหญ่ในอีกสามเดือน ข้าอดรอมอบแก่นพลังหยินของข้าให้ศิษย์พี่ชายไม่ไหว”


 


ศิษย์รุ่นเยาว์ชายที่โชคร้ายพอที่จะได้ยินคำพูดเหล่านี้ต่างพากันถอนใจ ถ้าเพียงพวกเขาได้รับความชื่นชมสักครึ่งหนึ่งของซูหยาง พวกเขาคงรายล้อมไปด้วยเหล่าศิษย์หญิงเช่นเดียวกัน


 


ในเวลานั้น ภายในเกวียนคันแรก


 


“พอแล้ว ข้าจักมิยอมนั่งอยู่ที่นี่และทนทรมานต่อไปอีกเจ็ดวัน” ผู้อาวุโสซุนยืนขึ้นและเตรียมตัวที่จะเปิดประตูเกวียน


 


อย่างไรก็ตามเพียงแค่เขาเปิดประตู เสียงครวญครางทั้งหมดจากเกวียนของซูหยางที่ออกมาก็พลันหยุดชะงักไป


 


“ม-มันหยุดไปแล้วรึ”


 


ผู้อาวุโสซุนมีท่าทางชะงักค้าง รู้สึกกระอักกระอ่วน เมื่อเขาไม่รู้ว่าควรจะทำตามแผนต่อไปในเวลานี้หรือไม่


 


หลังจากที่รออยู่อีกชั่วขณะและมั่นใจว่าเสียงครวญครางได้หยุดชะงักไปแล้วอย่างแท้จริง ผู้อาวุโสซุนก็ปิดประตูและกลับลงไปนั่งด้วยสีหน้ามืดหม่น


 


“พวกเขาเสร็จกันแล้วรึ ไม่น่าเป็นไปได้… มันเร็วเกินไป…”


 


โหลวหลานจีครุ่นคิดในใจ นั่นยังไม่ถึงห้านาทีเสียด้วยซ้ำนับตั้งแต่การครวญครางได้เริ่มขึ้น และพวกเขาก็เสร็จสิ้นกันหมดแล้วหรือ นั่นเร็วเกินไปไม่ว่าเธอจะพิจารณาอย่างไร


 


อย่างไรก็ตามเธอจะรู้สักนิดก็หาไม่ว่าซูหยางเพียงหยอกล้อพวกเขาโดยเจตนาโดยการปล่อยให้พวกเขาได้ยินเสียงคราง เหตุผลเพียงอย่างเดียวที่พวกเขาไม่ได้ยินเสียงครางอีกต่อไปนั้นไม่มีอะไรมาก ก็เพราะว่าซูหยางได้ล้อมเกวียนไว้ด้วยค่ายกลกักเสียง


 


กล่าวอีกนัยหนึ่ง การกระทำภายในเกวียนของเขาไม่ได้หยุดยั้งและก็เพียงเงียบไปเท่านั้น


 


“เสียงครางหยุดแล้ว…”


 


เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างยังคงสงสัยว่าทำไมเสียงครางจึงพลันหยุดลงไป แต่ไม่มีใครสักคนในหมู่พวกเขากล้าที่จะออกจากเกวียนเพื่อไปพิสูจน์ว่าทำไม


 


การเดินทางไม่ถึงกับรู้สึกว่าทนไม่ได้อีกต่อไปเมื่อบรรยากาศเงียบสงบกลับคืนมา และเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว


 


สี่วันหลังจากนั้นประตูเกวียนซูหยางก็พลันเปิดออก


 


ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ซูหยางก็กระโดดออกมาจากเกวียนและร่อนลงบนเกวียนคันที่สามที่ซึ่งผู้เข้าร่วมแข่งขันที่เหลือนั่งอยู่ภายใน


 


“ศ-ศิษย์พี่ชาย”


 


เมื่อศิษย์จากเกวียนคันที่สามเห็นท่าทางของเขาดวงตาของพวกเธอก็เปิดกว้างขึ้นด้วยความประหลาดใจ


 


“ท-ท่านมาทำอะไรที่นี่” หนึ่งในนั้นถาม


 


ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “ข้าหวังว่าพวกเจ้ามิได้คิดว่าข้าลืมพวกสาวเจ้าไปเสียแล้ว”


 


เหล่าศิษย์พลันเข้าใจคำพูดของเขาและสถานการณ์ในทันที และพวกเธอก็เริ่มหน้าแดง


 


“เช่นนั้น พวกสาวเจ้าเห็นว่าอย่างไร”


 


บรรดาศิษย์ต่างสบสายตากันชั่วขณะก่อนที่จะพยักหน้า


 


“เช่นนั้นก็ดี…”


 


ซูหยางเข้าไปในเกวียนของพวกเธอและทำการถอดเสื้อผ้าของเขาอีกครั้ง


 


“อาาาา”


 


ไม่นานหลังจากนั้นเสียงครวญครางแว่วหวานของเหล่าศิษย์ก็แทรกผ่านผนังบางๆของเกวียนออกมา ทำลายบรรยากาศเงียบสงัดที่อยู่มานานถึงสี่วันในทันที


 


“ข-เขาทำทำแบบนั้นอีกแล้ว และกระทั่งยังเปลี่ยนเกวียนอีกด้วย”


 


“โอ้สวรรค์ ความทนทานของชายคนนี้มีมากแค่ไหนกัน เขาเป็นสัตว์ประหลาดสุดพิสดาร”


 


ผู้อาวุโสนิกายไม่ได้ตกใจไปกับการกระทำของเขาแต่กับความทนทานที่ดูเหมือนไม่หมดสิ้นของเขาแทน แม้ว่าพวกเขาไม่ได้ยินเสียงอะไรมาเป็นเวลาหลายวัน ผู้อาวุโสนิกายเหล่านี้ล้วนมั่นใจว่าซูหยางได้ร่วมฝึกกับเหล่าศิษย์อยู่ภายในนั้น ในเมื่อเกวียนเหวี่ยงไปมาด้วยท่าทางแปลกๆไม่เป็นธรรมชาติ


 


ไม่เพียงแต่ผู้อาวุโสนิกายแต่กระทั่งศิษย์รุ่นเยาว์ก็ยังคงหวาดหวั่นไปกับความปรารถนาในการฝึกฝนของซูหยาง เหมือนกับว่าเขาเป็นศูนย์รวมแห่งความสุขสันต์


 


“มิเพียงแต่เขามีพละกำลังแต่กลเม็ดของเขาก็ยังคงสุดยอด เขาเป็นศิษย์ในอุดมคติสำหรับนิกายที่เน้นด้านการฝึกวิชาคู่”


 


หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายชื่นชมเขาราวกับว่าเขาเป็นทรัพย์ล้ำค่า


 


“ใช่แล้ว… และในเมื่อเขาเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของเรา ข้าอดมิได้ที่จะรู้สึกมีโชคดี”


 


“โชคดีรึ เฮ้อ…” โหลวหลานจีแอบถอนใจ


 


หลังจากที่ถูกบีบให้ฟังเสียงครวญครางที่ดังไม่หยุดหย่อนจากเกวียนลำที่สามต่อไปอีกสองสามนาที มันก็หยุดชะงักไปอีกครั้ง


 


“มันหยุดไปอีกแล้ว…”


 


ศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันสงสัยกับเหตุการณ์ผิดปกตินี้ พวกเขาไม่มีใครเชื่อว่าซูหยางจะเสร็จสิ้นการฝึกคู่ของตนเองภายในไม่กี่นาที โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อที่นั่นมีหญิงมากกว่าหนึ่งในเกวียนคันนั้น แต่พวกเขาก็ไม่อาจอธิบายความเงียบที่เกิดขึ้นนี้ได้


 



 



 



 


สามวันหลังจากนั้นเมื่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเข้าไปใกล้กับเมืองหิมะร่วง พวกเขาก็เริ่มสังเกตเห็นเกวียนจากหลากหลายกองกำลังเคลื่อนที่ไปยังทิศทางเดียวกัน


 


“ดูทางนั้นสิ นั่นเป็นตำหนักอินทรีโลหิต”


 


หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายสังเกตเห็นธงสีดำที่มีรูปหัวอินทรีสีแดงอยู่ตั้งแต่ไกล


 


“น-นั่นเป็นสำนักหมัดใต้ใช่ไหมที่ตามมาด้านหลังพวกเขา”


 


โหลวหลานจีส่ายหน้าและกล่าวว่า “ถ้าเพียงแค่สถานที่ธรรมดาเหล่านี้เพียงพอให้พวกท่านตื่นเต้น ก็จงรอจนกระทั่งเห็นยักษ์ใหญ่ที่แท้จริงของยุทธภพ”


 


อย่างไรก็ตามนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไม่ได้แสดงสัญลักษณ์ของนิกายบนธงเช่นเดียวกับสำนักอื่นเพื่อถ่อมตัว ในเมื่อโหลวหลานจีกลัวที่จะดึงดูดความสนใจที่ไม่พึงประสงค์ก่อนที่กิจกรรมแข่งขันระดับภูมิภาคจะเริ่มขึ้น


 


“ด-ด-ด-ด-ดูนั่น ธ-ธงนั่น”


 


น่าประหลาดใจที่เป็นผู้อาวุโสซุนที่ส่งเสียงขึ้นมาในคราวนี้


 


ด้วยความประหลาดใจว่าอะไรที่สร้างความตระหนกให้กับผู้อาวุโสซุนมากมายเช่นนี้จนถึงกับส่งเสียงออกมา โหลวหลานจีและคนอื่นๆต่างหันไปมองยังทิศทางที่ผู้อาวุโสซุนได้ชี้ไป


 


“น-นั่น…”


 


กระทั่งโหลวหลานจีก็อดไม่ได้ที่จะลืมตากว้างเมื่อเธอสังเกตเห็นเหล่าเกวียนจากระยะไกลที่มีรูปงูที่น่ากลัวอยู่บนธงของพวกเขา


 


“นิกายล้านอสรพิษ”


 


โหลวหลานจีเริ่มหายใจหนัก สีหน้าเธอซีดเผือด แม้ว่าเธอได้เตรียมตัวที่จะประจันหน้ากับพวกเขาระหว่างการแข่งขันระดับภูมิภาค เธอก็ไม่คาดคิดที่จะพบกับพวกเขาเร็วปานนี้


DC บทที่ 302: ดึงดูดความสนใจที่ไม่พึงประสงค์


 


“น-นั่นเป็นนิกายล้านอสรพิษ พวกเราจักทำอย่างไรดีถ้าพวกนั้นเห็นเรา ท่านผู้นำนิกาย”


 


ผู้อาวุโสนิกายเริ่มตื่นกลัวเมื่อพวกเขาเห็นธงงูนั้น ร่างกายของพวกเขาสั่นสะท้านจากความกลัว


 


“ใจเย็น” โหลวหลานจีกล่าวเสียงดัง เสียงของเธอค่อนข้างจะเป็นกังวลเล็กน้อย


 


“พวกเขามิรู้ว่าพวกเราอยู่ที่นี เพียงแค่ขับเกวียนให้ช้าลงและทิ้งระยะห่างระหว่างพวกเรากับพวกเขา”


 


เวลาต่อมาเกวียนก็เริ่มช้าลง


 


ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ครั้นเมื่อนิกายล้านอสรพิษลับหายไปจากสายตา โหลวหลานจีและผู้อาวุโสนิกายต่างก็พากันหายใจโล่งอก โดยเฉพาะโหลวหลานจีซึ่งดีใจที่เธอไม่ได้แสดงธงของตนเองและทำตัวไม่เป็นที่ดึงดูดความสนใจ


 


“น-นั่นช่างน่ากลัวนัก… ใครจะคิดว่าเราจะพบกับพวกเขาเร็วเช่นนี้…”


 


“แม้ว่าเราจะหลีกพวกเขาได้ในตอนนี้ เรายังต้องพบเจอกับพวกเขาระหว่างการแข่งขันระดับภูมิภาคหรือไม่ก็เร็วกว่านั้น จงทำใจไว้เสียก่อนในเมื่อเรามิอาจที่จะหนีอย่างนี้ต่อไปได้…” ผู้อาวุโสซุนถอนใจ


 


โหลวหลานจีพยักหน้าและกล่าวเสริมว่า “ผู้อาวุโสซุนพูดถูก เราจักต้องเผชิญหน้ากับพวกเขาไม่ช้าก็เร็ว ถ้าเราแสดงความอ่อนแออะไรแม้เพียงนิดเดียวในระหว่างนั้น เราอาจจะมิมีชีวิตยืนยาวพอที่จะกลับไปนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย อย่าว่าแต่จะซ่อมแซมนิกายให้กลับสู่สภาพปกติ”


 


“โชคยังดีที่เมืองหิมะร่วงห้ามอย่างชัดเจนมิให้มีการเข่นฆ่ากันระหว่างองค์กร ดังนั้นพวกเราอย่างน้อยก็สามารถเปิดเผยหน้าตาของเราได้โดยไม่ต้องหวาดระแวง กล่าวไปแล้วเราก็ยังต้องคงความตื่นตัวไว้ ในเมื่อเรามิอาจมั่นใจได้อย่างเต็มที่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” โหลวหลานจีพูด


 


“ใช่แล้ว นิกายล้านอสรพิษมีอำนาจมหาศาลในทวีปตะวันออก ไม่น่าแปลกใจเลยถ้าพวกเขาจะเพียงแค่ถูกตีมือหลังจากที่ฝ่าฝืนกฏ…”


 


“พวกเขายังสามารถลบผู้คนทิ้งไปโดยไม่ทิ้งร่องรอยไว้..”


 


ผู้อาวุโสนิกายเพียงทำให้ตัวเองกังวลใจมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อเผยถึงสถานการณ์ที่เป็นไปได้เหล่านี้


 


“ใจเย็นๆ.. หลังจากที่เกิดสิ่งเหล่านั้นกับพวกเขา ข้าเดาว่าพวกเขาจักต้องพยายามหาเรื่องกับพวกเราในเร็วๆนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ผู้อาวุโสเตือน”


 


“ในเมื่อผู้นำนิกายพูดเช่นนั้น…”


 


ในเวลานั้น ศิษย์คนอื่นก็สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในการเดินทางของพวกเขา


 


“นั่นเป็นนิกายล้านอสรพิษ…” ฟางซีหลานขมวดคิ้วเมื่อเธอสังเกตเห็นพวกเขาจากหน้าต่าง


 


“พ-พวกเราควรทำยังไงดีถ้าพวกเขาเห็นเรา” หนึ่งในเหล่าศิษย์ถาม


 


“นั่นคงมิเป็นไร เรามิได้ปักตั้งธง ดังนั้นพวกเขาคงมิรู้ว่าเราคือใครจากเกวียนเพียงอย่างเดียว” ซุนจิงจิงพูด


 


“การพบกับนิกายล้านอสรพิษเสียก่อนที่เราจะถึงเมืองหิมะร่วง… นี่เป็นชะตาหรือสัญญาณ”


 


ครั้นเมื่อนิกายล้านอสรพิษลับไปจากเส้นทางเหล่าศิษย์ต่างพากันหายใจโล่งอก


 


ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ประตูเกวียนของพวกเธอก็เปิดออก และซูหยางก็ปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าพวกเธอ


 


“ศิษย์พี่ชาย…”


 


“เกิดอะไรขึ้นรึ” เขาถามหลังจากที่สังเกตเห็นท่าทางเป็นกังวลของพวกเธอ


 


“บางทีท่านมิได้เห็นพวกนั้นในเมื่อท่านวุ่นวายอยู่กับการฝึกวิชา แต่พวกเราเกือบจะพบกันนิกายล้านอสพิษเมื่อกี้นี้ เป็นเรื่องน่าหวาดหวั่นหากไปอยู่ต่อหน้าพวกเขา”


 


ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวว่า “ไม่ ข้าสังเกตเห็นพวกนั้นแล้ว”


 


ตามจริง เขาสังเกตเห็นพวกนั้นตามเส้นทางมาตั้งแต่ก่อนที่พวกนั้นจะเข้าสู่คลองจักษุ


 


“เช่นนั้นทำไมท่านจึงยังเยือกเย็นได้เพียงนี้ พวกนั้นเป็นคนที่เกือบทำลายนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของพวกเรา”


 


หนึ่งในเหล่าศิษย์พูดขึ้น


 


ซูหยางหัวเราะหึ “พวกนั้นไม่แม้จะใกล้เคียงกับการทำลายนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ในเมื่อพวกนั้นตายเสียตั้งแต่หน้าประตู ดังนั้นจึงมิมีอะไรต้องกังวลเกี่ยวกับพวกนั้น” เขาตอบอย่างง่ายๆ


 


“เอ้อ…นั่นก็เป็นความจริงที่ถูกต้อง… แต่ยัง…”


 


“ลืมเรื่องพวกนั้นไป พวกนั้นมิอาจที่จะทำร้ายพวกเรา เจ้าจักเข้าใจว่าพวกนั้นกระจ้อยร่อยเพียงใดยามเมื่อการแข่งขันระดับภูมิภาคนี้จบลง”


 


“ถ้าท่านพูดอย่างนั้นละก็นะ ศิษย์พี่ชาย”


 



 



 



 


หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นจำนวนของเกวียนที่สามารถเห็นได้ก็เพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้เมืองหิมะร่วงอย่างแท้จริง


 


“หยุดเกวียน พวกเราจักเดินทางระยะที่เหลือด้วยการเดินเท้า โหลวหลานจีสั่ง


 


ไม่นานหลังจากนั้น เกวียนก็พลันหยุดชะงักและทุกคนก็ออกมาข้างนอกด้วยสีหน้างุนงง


 


“เพื่อที่จะมิให้เกิดการสัญจรติดขัด เมืองหิมะร่วงห้ามเกวียนทุกคันเข้ามาในระยะสิบกิโลเมตรจากประตูทางเข้า ดังนั้นเราจักต้องเดินไปที่นั่นจากที่นี่” โหลวหลานจีอธิบายสถานการณ์ให้กับพวกเขา


 


เหล่าศิษย์ต่างพากันเข้าใจสถานการณ์อย่างรวดเร็ว ตามจริงแล้วเกวียนทุกคันในพื้นที่นั้นก็ทำแบบเดียวกัน


 


“เช่นนั้นเราจักเจอกับพวกเจ้าอีกครั้งสิ้นเดือนตรงจุดนี้” โหลวหลานจีพูดกับเหล่าคนขับเกวียนก่อนที่จะพาเหล่าศิษย์ไปจากสถานที่นั้น


 


ขณะที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยตรงเข้าไปยังเมืองหิมะร่วงอย่างช้าๆ เหล่าศิษย์ต่างก็พากันมองไปรอบๆอย่างตื่นเต้น สายตาของพวกเขาส่วนใหญ่อยู่กับผู้คนที่เดินทางไปยังทิศทางเดียวกับพวกเขา


 


“ทุกคนล้วนมีกลิ่นอายอันทรงพลังอยู่กับตัว…”


 


ศิษย์รุ่นเยาว์กระซิบกระซาบกันขณะที่เปรียบเทียบตัวเองกับเหล่าศิษย์จากองค์กรอื่น


 


ในเวลานั้นคนอื่นๆก็ให้ความสนใจไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเช่นกัน ส่วนใหญ่แล้วเป็นเพราะว่าจำนวนสาวสวยที่อยู่ในกลุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งโหลวหลานจี ฟางซีหลาน และซุนจิงจิง ซึ่งเป็นสาวสวยสุดยอดของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย


 


เหมือนกับว่าเป็นการประชันขันแข่งดอกไม้ที่สวยที่สุดในทวีปแห่งนี้ และนั่นย่อมดึงดูดความสนใจที่ไม่พึงประสงค์มากมาย


 


“ข้ามิเคยเห็นหญิงที่สวยงามเหมือนพวกเธอมาก่อนในชีวิต อย่าว่าแต่พวกเธอรวมตัวกันมากเช่นนี้ในที่เดียว”


 


บางคนอุทานออกมาอย่างชื่นชมจากระยะห่าง


 


“กระทั่งเด็กเล็กนั่นก็ยังเหมือนกับดอกไม้ นี่เป็นสำนักไหนกัน ทำไมข้ามิเคยได้ยินชื่อของสถานที่แบบนั้นมาก่อน”


 


เพราะว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเป็นที่รู้จักเพียงในภาคตะวันออก กลุ่มที่ห่างออกไปจึงไม่รู้จักพวกเขา


 


“ข้ามิรู้เช่นกัน แต่ข้ารู้สึกอยากไปทางนั้นเพื่อเริ่มการสนทนา”


 


“เจ้าโง่ มองดูใบหน้าตัวเองก่อนที่จะพูดคำพูดเหล่านั้น อย่าว่าแต่จะพูดกับเจ้าข้าจักยอมควักลูกตาทิ้งถ้าพวกนั้นยอมมองเจ้า”


 


“เจ้าพูดอะไรกัน ข้าขอท้าให้เจ้าพูดซ้ำอีกครั้ง”


 


“ข้าจักพูดซ้ำอีกหลายครั้งหากเจ้าต้องการที่จะได้ยิน เจ้าหน้าหมู”


 


ที่แห่งนั้นเปลี่ยนเป็นเอะอะเมื่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยกลายเป็นหัวข้อถกเถียงในที่แห่งนั้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นสิ่งที่โหลวหลานจีได้คาดคิดไว้แล้ว ในเมื่อได้เกิดภาพคล้ายกันนี้ระหว่างที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมาครั้งที่แล้ว


ภาค 7: การแข่งขันระดับภูมิภาค


บทที่ 303: เมืองหิมะร่วง


 


“ผ-ผู้นำนิกาย… พวกเรากำลังตกเป็นเป้าความสนใจอยู่ไม่น้อย… จะเป็นอะไรบ้างถ้านิกายล้านอสรพิษสังเกตเห็นพวกเรา”


 


หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายมีสีหน้าเป็นกังวล


 


ภายใต้สถานการณ์ปกติพวกเขาคงจะภาคภูมิใจกับสถานการณ์เช่นนี้ แต่อนิจจาพวกเขาไม่ต้องการเป็นจุดสนใจโดยไม่จำเป็นในวันนี้ อย่างน้อยก็จนกว่าพวกเขาเข้าไปในเมืองหิมะร่วง


 


อย่างไรก็ตามความปรารถนาเช่นนั้นอาจจะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อความสวยงามของพวกเธอเผยออกมาอย่างชัดแจ้งเหมือนกับนิ้วโป้งที่บวมเป่ง เหมือนกับสวนที่เต็มไปด้วยดอกไม้แสนสวยท่ามกลางทะเลทรายอันแห้งแล้ง


 


“ข้าเคยคิดว่าจะสวมหน้ากาก แต่นั่นยิ่งทำให้พวกเราดูน่าสงสัย” โหลวหลานจีส่ายหน้า “แต่ถึงแม้ว่าเรากลายเป็นจุดสนใจตอนนี้ นั่นก็ไม่มีความหมายอะไรเพราะว่านิกายล้านอสรพิษคงจะเข้าไปในเมืองหิมะร่วงแล้ว”


 


“สำนักที่มีชื่อเสียงอย่างพวกเขาแน่นอนว่าคงได้รับการยกเว้นจากการรอเข้าแถวมิเหมือนกับพวกเราเหล่านี้”


 


“นั่นฟังดูมีเหตุผล…”


 


เหล่าผู้อาวุโสนิกายจึงไม่กังวลเกี่ยวกับนิกายล้านอสรพิษอีกต่อไปและติดตามโหลวหลานจีตรงเข้าสู่เมืองหิมะร่วงอย่างช้าๆ


 


หลังจากนั้นฝูงชนจำนวนมหาศาลก็เข้ามาสู่สายตา จนทำให้เหล่าศิษย์จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยถึงกับงงงัน


 


“พระเจ้า ทำไมถึงมีคนมากมายที่นี่”


 


จำนวนมากมายของผู้คนที่นั่นสร้างความหวาดหวั่นต่อศิษย์รุ่นเยาว์ ตามจริงแล้วนั่นมีคนมากมายจนดูเหมือนกับทะเลสีดำจากที่พวกเขากำลังยืนอยู่


 


“เราต้องรอในแถวนี้รึ เป็นไปไม่ได้ นั่นมีคนนับหมื่นคนอยู่ที่นี่ และนั่นจักต้องใช้เวลาหลายวันหรือไม่ก็หลายสัปดาห์ก่อนที่เราจะสามารถเข้าไปในเมือง เราอาจจะลงทะเบียนไม่ทันเวลาด้วยซ้ำ”


 


หนึ่งในศิษย์รุ่นเยาว์เกิดความกังวล


 


“อย่ากังวล แถวนี้สำหรับเพียงผู้ชมและนักเดินทาง สำหรับคนที่วางแผนเข้าร่วมการแข่งขันแถวของพวกเราอยู่ตรงนั้น…”


 


โหลวหลานจีชี้ไปยังแถวหนึ่งใกล้กับฝูงชนซึ่งมีขนาดสั้นกว่ามาก อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะเป็นแถวที่สั้นกว่า นั่นก็ยังมีคนไม่ต่ำกว่าหลายร้อยคนในแถว


 


“พวกเราเร่งรีบไปเข้าแถวกันเถอะก่อนที่มันจะยาวกว่านี้” โหลวหลานจีพูดขณะที่เธอเริ่มเดินไปยังฝูงชน


 


ในเวลานั้นซูหยางได้ใช้ปราณไร้ลักษณ์ของตนเองมองไปยังเมืองจากมุมมองที่เหมาะสม


 


“นี่ค่อยดูเป็นเมืองอยู่บ้าง..” เขาคิดในใจเมื่อเขาตระหนักว่าเมืองหิมะร่วงนี้กว้างขวางพอที่จะบรรจุคนหลายแสนคนได้อย่างง่ายดาย


 


ยิ่งไปกว่านั้นนอกจากพื้นที่ด้านนอกที่เต็มไปด้วยร้านรวงสำหรับธุรกิจ ใจกลางของเมืองหิมะร่วงนั้นเป็นลานประลองขนาดใหญ่ยักษ์ ราวกับว่าเมืองแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพียงเพื่อสำหรับการแข่งขันระดับภูมิภาคเป็นหลัก


 


หลังจากที่มองไปยังภาพรวมของเมืองแล้ว ซูหยางก็เริ่มสำรวจผู้คนภายนอกและภายในเมือง


 


ไม่นานหลังจากนั้น เขาก็สามารถคำนวณได้ว่ามีอย่างน้อยสิบกว่าคนที่อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณและมีประมาณสองร้อยคนอยู่ในเขตปฐพีวิญญาณ ส่วนที่เหลือนั้นมีมากเกินไปที่จะนับ แต่ว่าตัวเลขเหล่านี้ต้องแตกต่างไปอย่างแน่นอนยามเมื่อถึงเวลาที่การแข่งขันระดับภูมิภาคมาถึง ในเมื่อยังมีคนอีกมากมายที่ยังมาไม่ถึง


 


“หืม นี่คือ…”


 


ซูหยางพลันสังเกตเห็นตัวตนอันลึกล้ำภายในเมืองที่เหนือล้ำไปยิ่งกว่าผู้ฝึกวิชาเขตอัมพรวิญญาณ


 


“ยังมีกระทั่งคนในเขตราชันวิญญาณในที่แห่งนี้ด้วยรึ ช่างน่าประหลาดใจจริง…”


 


ซูหยางยิ้มกับการค้นพบนี้


 


“…”


 


ในที่แห่งหนึ่งในเมืองหิมะร่วง ชายชราซึ่งได้ฝึกฝนอยู่อย่างเงียบๆพลันลืมตาขึ้น สายตาของเขาเปี่ยมไปด้วยแววอันลึกล้ำ


 


“หืม… รู้สึกเหมือนมีใครสักคนกำลังมองดูข้าอยู่เมื่อกี้… หรือเป็นเพียงเพราะว่าข้าชราแล้ว”


 


ชายชรานี้เป็นจอมยุทธเขตราชันวิญญาณ และถึงแม้จะเพียงบางเบา แต่เขาก็รู้สึกว่ามีดวงตาคู่หนึ่งมองมายังตัวเขา


 


แต่เพราะว่าสายตาที่มองมายังเขานั้นไม่ได้มีความรู้สึกเป็นอันตรายอะไร ชายชราจึงไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไหร่นักและกลับไปฝึกฝนอย่างรวดเร็วหลังจากนั้น


 



 



 



 


กลับไปยังแถวข้างนอกเมืองหิมะร่วง


 


“มองดูทางนั้นสิ นั่นเป็นสำนักหงส์สวรรค์”


 


มีคนในแถวอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นขณะที่เกวียนกลุ่มหนึ่งตรงมาทางพวกเขาจากที่ไกล


 


“เฮ้… ทำไมพวกเขาจึงสามารถนั่งเกวียนเข้ามาในเมื่อคนอื่นต้องเดิน”


 


มีคนถาม


 


“เจ้าโง่ เจ้าคิดว่าคนพวกนั้นเป็นใคร สำนักหงส์สวรรค์เป็นหนึ่งในสำนักที่ทรงอำนาจที่สุดในทวีปตะวันออก พวกเขาได้รับสิทธิพิเศษให้ใช้เกวียน”


 


“ป-เป็นอย่างนั้นเองรึ…”


 


เมื่อซูหยางเห็นเกวียนสีขาวแซมทอง เขาหรี่ตาลง


 


“เป็นว่าเจ้าก็อยู่ที่นี่ด้วยรึ หึ”


 


แน่นอน เขากำลังพูดถึงซูหยิน ซึ่งนั่งอยู่ในเกวียนหนึ่งในนั้น


 


“สำนักหงส์สวรรค์ง.. ถ้าข้านึกให้ดี เหมือนจะมีญาติคนหนึ่งของซูหยางเป็นศิษย์ของที่นั่นในตอนนี้” โหลวหลานจีมองดูพวกเขาด้วยสีหน้าครุ่นคิด


 


ไม่นานหลังจากนั้น ครั้นเมื่อสำนักหงส์สวรรค์เข้ามาใกล้แถว พวกเขาก็เคลื่อนที่ต่อกระโดดข้ามแถวทั้งหมดตรงไปยังทางเข้า


 


“คงจะดีถ้ามิต้องรอเข้าแถว…” ซุนจิงจิงถอนใจ รู้สึกค่อนข้างอิจฉาจนแทบหายใจไม่ออกกับการมีของพวกเขา


 


อย่างไรก็ตามขณะที่สำนักหงส์สวรรค์ผ่านนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ก็มีคนในเกวียนลำหนึ่งสังเกตเห็นซูหยาง


 


“จ-เจ้าเด็กเลวนั่น ทำไมเขาจึงอยู่มาอยู่ที่นี่เช่นกัน”


 


ซูซุนผู้นำตระกูลซุนร่ำร้องในใจเมื่อเขาสังเกตเห็นร่างสูงโปร่งใบหน้าหล่อเหลาของซูหยาง และเขาก็ได้ภาวนาไม่ให้ซูหยินสังเกตเห็นอีกฝ่าย


 


แน่นอนว่าซูหยางสังเกตเห็นซูซุนมองดูเขาจากหน้าต่างในเกวียนนั้น เขาจึงยกมือข้างหนึ่งและเริ่มโบกมือให้พร้อมกับรอยยิ้มสดใส ราวกับว่าเขาเพิ่งพบปะกับเพื่อนสนิทในสถานที่ที่ไม่คาดคิด


 


“ซวย เจ้านั่นสังเกตเห็นข้า”


 


ซูซุนรีบปิดม่านและซ่อนอยู่ภายในเกวียนเมื่อเขาเห็นซูหยางโบกมือให้ด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายนั้น หลังของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบ


 


“มีอะไรรึ ผู้อาวุโสซู” คนหนึ่งในเกวียนถามเขาเมื่อพวกเขาสังเกตเห็นพฤติกรรมผิดปกติของอีกฝ่าย


 


“ม-มิมีอะไร… ตะวันต้องตาข้า…” เขารีบหาข้ออ้าง


 


“อ-อย่างนั้นรึ…”


 


ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น สำนักหงส์สวรรค์ก็ทำการเข้าสู่เมืองโดยที่ซูหยินไม่ได้สังเกตเห็นซูหยาง


DC บทที่ 304: การดูแลเป็นพิเศษ


 


“มีอะไรรึ ศิษย์พี่ชาย ท่านโบกมือให้ใครรึ” ซุนจิงจิงถามเขา


 


“แค่เพื่อนคนหนึ่งท่ามกลางฝูงชน” เขาตอบด้วยรอยยิ้มลึกลับ


 


“…”


 


โหลวหลานจีมองดูซูหยางด้วยแววตาสงสัย เห็นได้ชัดว่าเขาโบกมือไปที่สำนักหงส์สวรรค์ แต่ทำไมเขาต้องโบกมือให้กับพวกนั้น


 


หลังจากที่สำนักหงส์สวรรค์ไปพ้นจากบริเวณนั้นแล้ว นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ตรงเข้าไปรอในแถว


 


หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น ความวุ่นวายก็มาอีกครั้ง


 


“ดูนั่น นิกายดอกบัวเพลิง”


 


ฝูงชนเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นซึ่งดูเหมือนจะมากยิ่งกว่าเมื่อตอนสำนักหงส์สวรรค์มาถึงก่อนหน้านี้


 


ช่วงเวลาสองสามเดือนไม่นานมานี้ นิกายดอกบัวเพลิงยิ่งมายิ่งมีความเกี่ยวพันกับทวีปมากยิ่งขึ้น กระทั่งได้รับการยอมรับว่าเป็นสำนักระดับสูงจากตระกูลซี


 


สำนักระดับสูงคือสำนักที่ได้พิสูจน์ว่าพวกเขามีคุณค่าอยู่ในระดับสูง ตัวอย่างเช่นสำนักหงส์สวรรค์และนิกายล้านอสรพิษ และมีเพียงตระกูลซีที่มีสิทธิ์ที่จะตัดสินว่าใครเป็นนิกายระดับสูง


 


แน่นอนว่าเหตุผลที่ใหญ่ที่สุดสำหรับนิกายดอกบัวเพลิงสำหรับการเติบโตด้วยความโดดเด่นเช่นนั้นในช่วงเวลาสั้นๆทั้งหมดก็เพราะหวังชูเหรินและโอสถดอกบัวเพลิงของเธอ


 


ไม่เพียงแต่เม็ดยาดอกบัวเพลิงเพิ่มพลังการฝึกปรือของศิษย์ของพวกเขาโดยรวม แต่มันยังทำให้พวกเขาร่ำรวยถึงที่สุดด้วย และด้วยความร่ำรวยและอำนาจอันมหาศาลของพวกเขา ตระกูลซีจึงตัดสินใจให้นิกายดอกบัวเพลิงเป็นสำนักระดับสูง


 


สำหรับหวังชูเหริน ต้นเหตุโดยตรงของเรื่องนี้ เธอก็กลายเป็นหนึ่งในคนสำคัญถึงที่สุดของทวีปตะวันออก สาเหตุหลักก็เพราะว่าความสามารถทางด้านการปรุงยาอันลึกล้ำของเธอและโอสถดอกบัวเพลิง


 


“นิกายดอกบัวเพลิงมีชื่อเสียงเช่นนี้ตลอดมารึ” หนึ่งในศิษย์รุ่นเยาว์ถาม


 


“ไม่ ข้ามิคิดเช่นนั้น…” อีกคนกล่าว


 


นิกายดอกบัวเพลิงและเกวียนสีแดงของพวกเขาขับเคลื่อนไปอย่างช้าๆมุ่งสู่ทางเข้า อย่างไรก็ตามขณะที่พวกเขามาถึงกลางทาง ขบวนเกวียนก็พลันหยุดชะงัก


 


“ทำไมพวกเขาจึงหยุดอยู่ตรงนั้น”


 


ผู้คนต่างพากันคิดสงสัย


 


ไม่นานหลังจากนั้นประตูของเกวียนคันแรกก็เปิดออก และหญิงสาวสวยพร้อมกับรูปร่างอันน่าจับใจก็ก้าวออกมาจากเกวียน


 


“นั่นผู้อาวุโสหวัง”


 


สายตานับไม่ถ้วนพลันตกลงไปบนหวังชูเหรินและร่างกายอันอวบอัดของเธอวินาทีที่เธอปรากฏตัวขึ้น


 


มีคนมากมายที่นั่นทีพลันหลงเสน่ห์กลิ่นอายสาวสะพรั่งของเธอ ทั้งถูกกระตุ้นด้วยรูปลักษณ์ที่เย้ายวนของเธอด้วย


 


“นั่นผู้อาวุโสหวังรึ เธอสวยและมีเสน่ห์ยิ่งกว่าคำร่ำลือ”


 


“มิเพียงแต่เธอมีรูปร่างของเทพธิดาแต่เธอก็ยังเป็นนักปรุงยาอัจฉริยะ เธอถือว่าเป็นหญิงที่สมบูรณ์แบบได้อย่างแท้จริง”


 


ในเวลานั้น หวังชูเหรินไม่สนใจสายตาผู้ใดและเดินตรงไปยังแถวที่ซึ่งนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยยืนอยู่


 


“เธอมาทางนี้”


 


ศิษย์รุ่นเยาว์ชายสามารถรู้สึกได้ว่าหัวใจของพวกเขาเต้นแรงราวกับตีกลอง ใบหน้าของพวกเขาแดงก่ำด้วยความอาย เมื่อการปรากฏตัวของหวังชูเหรินนั้นมากเกินสำหรับเด็กหนุ่มจะรับไหว


 


“ม-มิใช่แน่ เธอมองมาทางนี้”


 


บรรดาศิษย์ยิ่งเกิดความตื่นเต้นมากขึ้นขณะที่หวังชูเหรินตรงเข้ามาหาพวกเขาด้วยการเยื้องย่างอันยั่วเย้า


 


“พวกเจ้าก็อยู่ที่นี่กันรึ…”


 


หวังชูเหรินยืนอยู่ตรงหน้านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย


 


“สักพักหนึ่งแล้ว” ซูหยางพูด


 


“ซูหยาง…”


 


หวังชูเหรินไม่รู้ว่าควรตอบกับคำพูดของเขาอย่างไร ในเมื่อเธอเพิ่งจะเห็นเขาเพียงแค่สองสัปดาห์ก่อน… ในห้องของเขา…


 


แน่นอนว่านับตั้งแต่กิจกรรมร่วมฝึกคู่กับซูหยางครั้งแรก หวังชูเหรินได้กลับมาหลายครั้งระหว่างช่วงเดือนที่ผ่านมา และเพื่อที่จะไม่ทำให้เกิดความสงสัย เธอก็ทำเหมือนกับว่าเธอมาทำธุรกิจกับซูหยาง


 


ดังนั้นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจึงมีโอสถดอกบัวเพลิงเก็บไว้มากมายเป็นผล


 


“ว่าไปแล้ว ท่านต้องการอะไรจากพวกเรารึ” โหลวหลานจีก้าวออกไปข้างหน้าถามอีกฝ่าย ในเมื่อเธอไม่อาจระบุได้ว่าหวังชูเหรินวางแผนอะไรไว้


 


“มิมีอะไรมากนัก เพียงแต่ว่าถ้าท่านมิต้องการที่จะยืนอยู่ที่นี่ตลอดทั้งวัน ทำไมท่านมิติดตามพวกเราเข้าไปในเมืองล่ะ” หวังชูเหรินกล่าว


 


แม้ว่าเธอทำเหมือนกับว่าเธอต้องการช่วยนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย แต่เจตนาที่แท้จริงของเธอก็คือช่วยซูหยาง ซึ่งเป็นเหตุผลเดียวที่นิกายดอกบัวเพลิงและตัวเธอเองสามารถเสพสุขกับสิทธิพิเศษในฐานะสำนักระดับสูง


 


โหลวหลานจีหรี่ตา เห็นชัดว่าสงสัยหวังชูเหริน ถ้าจะพูดไปทำไมคนที่มีชื่อเสียงและได้รับความนับถืออย่างเช่นอีกฝ่ายจึงปฏิบัติต่อพวกเธออย่างสุภาพนัก ทำไมอีกฝ่ายจึงมาทำธุรกิจด้วยในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เพราะยังมีสถานที่อื่นอีกมากนักที่หวังทำธุรกิจกับอีกฝ่าย ดังนั้นทำไมจึงเป็นพวกเธอที่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษ


 


ทุกสิ่งที่หวังชูเหรินเสนอดูเหมือนจะมีความไม่ชอบมาพากลสำหรับโหลวหลานจี


 


หวังชูเหรินสังเกตเห็นความสงสัยของโหลวหลานจีเพียงแค่จากสายตาของอีกฝ่าย เธอจึงกล่าวว่า “ท่านสามารถยืนอยู่ที่นี่ต่อได้ถ้าต้องการ แต่ข้าหวังว่าท่านมีที่พักสำรองไว้ล่วงหน้าแล้ว มิง่ายนักที่จักพบสักที่หลังจากนี้”


 


“ขอบคุณสำหรับความห่วงไยเกี่ยวกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของข้า แต่ข้าได้เตรียมสถานที่พักสำหรับพวกเราเรียบร้อยแล้ว”


 


“ถ้าเช่นนั้นละก็”


 


หวังชูเหรินไม่รบกวนพวกเขาอีกต่อไปและเริ่มเดินกลับไปยังเกวียนไม่นานหลังจากนั้น


 


“ผู้นำนิกาย.. ทำไมท่านจึงมิรับข้อเสนอของเธอ ในเมื่อเธอได้เสนอเช่นนี้…”


 


ผู้อาวุโสนิกายมองดูโหลวหลานจีด้วยท่าทางงุนงง ในเมื่อพวกเขาไม่อาจหาสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผลในการปฏิเสธข้อเสนอของหวังชูเหริน


 


“ข้ามิรู้ เพียงแต่ว่ามีบางสิ่งในวิธีการที่เธอเข้ามาหาพวกเรานั้นค่อนข้างแปลก จับต้นชนปลายไม่ได้…”


 


ซูหยางหัวเราะในใจหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเธอ


 


เขาพลันพูดขึ้นว่า “ท่านผู้นำนิกาย ข้าคิดว่าเราควรตามพวกเขาไป”


 


“ซูหยาง เจ้า..”


 


โหลวหลานจีมองดูเขาด้วยดวงตาค่อนข้างโตเล็กน้อย บางทีเขาอาจจะเป็นเหตุผลที่แท้จริงที่ทำไมหวังชูเหรินมาหาพวกเขาตั้งแต่แรก ไม่ใช่สำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย มิน่าทำไมเธอจึงรู้สึกว่าจึงมีบางสิ่งเป็นที่น่าสงสัย


 


เมื่อหวังชูเหรินได้ยินคำพูดของซูหยาง เธอก็พลันชะงักการเคลื่อนที่และหันกลับมามองพวกเขา


 


“ข้ารู้แล้ว เธอมิได้ให้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย แต่เป็นซูหยางที่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษจากเธอ”


 


โหลวหลานจียืนยันเรื่องนี้ได้หลังจากที่เห็นปฏิกิริยาของหวังชูเหริน


 


“ฮ้าาา…” เธอถอนใจยอมแพ้หลังจากนั้น ก่อนที่จะพยักหน้าตกลงกับคำแนะนำของเขา


DC บทที่ 305: ห้ามเข้า


 


หลังจากที่นิกายกุสุมาลย์พ้นเริ่มติดตามด้านหลังนิกายดอกบัวเพลิง พวกเขาก็กลับมาเป็นศูนย์กลางความสนใจอีกครั้ง


 


“คนเหล่านี้ที่ตามหลังนิกายดอกบัวเพลิงเป็นใครกัน”


 


ผู้คนด้านนอกเมืองหิมะร่วงกระซิบกระซาบกัน


 


“ข้ามิเคยเห็นชุดของพวกเขามาก่อน…”


 


“ข้าก็มิเคยเช่นกัน…”


 


“ทำไมถึงมิมีใครในที่นี้จดจำกลุ่มคนที่โดดเด่นเช่นนั้นได้เช่นเดียวกับข้า…”


 


“มิว่าพวกนั้นเป็นใคร หากสามารถได้รับการสนับสนุนจากนิกายดอกบัวเพลิง พวกเขาต้องมีความสัมพันธ์พิเศษกันแน่”


 


ในเวลานั้นภายในเกวียนคันหนึ่งของนิกายดอกบัวเพลิง ผู้อาวุโสสูงสุดหานกำลังขมวดคิ้ว


 


“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมาทำอะไรที่นี่กัน พวกเขาคงมิเดินทางมาที่นี่เพียงเพื่อชมดูการแข่งขัน ใช่ไหม หรือว่าพวกเขาวางแผนที่จะเข้าร่วมเช่นกัน”


 


ผู้อาวุโสสูงสุดหานครุ่นคิดในใจ อย่างไรก็ตามเพราะว่าเขาไม่เชื่อว่าผู้ที่ทรงอำนาจอย่างเช่นซูหยางจะเป็นเพียงแค่ศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย อย่าว่าแต่มีอายุเข้าเกณฑ์ของการแข่งขัน เขาไม่กังวลว่านิกายดอกบัวเพลิงอาจจะต้องปะทะกับซูหยางระหว่างการแข่งขันแม้แต่น้อย


 


ถ้าจะกล่าวไปแล้วเขาพบว่าการปรากฏตัวของอีกฝ่ายที่นี่นั้นแปลกประหลาดมาก มองดูจำนวนคนในกลุ่มของอีกฝ่ายในปัจจุบัน นั่นควรจะถือได้ว่าเกือบทั้งหมดของประชากรของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยซึ่งเป็นจำนวนที่ไม่มีคุณสมบัติที่พอจะถือได้ว่าเป็นสำนัก


 


ยิ่งไปกว่านั้น เห็นได้ชัดว่าศิษย์สาวสวยเก้าที่ตรงหน้านั้นจะเป็นผู้ที่เข้าร่วม ในเมื่อพวกเธอเป็นเพียงพวกเดียวในกลุ่มที่เข้าเกณฑ์ อย่างไรก็ตามนี่ยิ่งทำให้สถานการณ์ยิ่งสับสนยิ่งขึ้นในเมื่อการแข่งขันระดับภูมิภาคต้องการสมาชิกสิบคน


 


“บางทีพวกเขามาที่นี่เพียงเพื่อดูการแข่งขันเช่นนั้นอย่างแน่นอน”


 


ผู้อาวุโสหานตัดสินใจที่จะไม่คิดมากเกินไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ ตราบเท่าที่นีิกายดอกบัวเพลิงไม่ต้องพบเจอกับซูหยาง ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจเกี่ยวกับแผนการของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย


 


“ข้าพอจะดูบัตรประจำตัวของท่านหน่อยได้ไหม”


 


ยามคนหนึ่งตรงทางเข้าถามเมื่อนิกายดอกบัวเพลิงเข้าไปถึง


 


ไม่นานนักนิกายดอกบัวเพลิงก็แสดงเหรียญทองที่มีชื่อสกุล “ซี” สลักติดตรงกลาง


 


“ขอบคุณท่านแขกผู้ทรงเกียรติ”


 


ยามไม่ถามคำถามอื่นอีกต่อไปเพียงเปิดประตูใหญ่ให้กับพวกเขา อย่างไรก็ตามก่อนที่พวกเขาจะเข้าไปในประตูใหญ่ คนจากนิกายดอกบัวเพลิงก็ออกจากเกวียนเมื่อพวกเขาไม่ได้วางแผนที่จะนั่งเกวียนเข้าไปในเมือง


 


“…”


 


เมื่อเหล่าศิษย์และผู้อาวุโสนิกายออกมาจากเกวียนและสังเกตเห็นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งซูหยาง สีหน้าของพวกเขาก็พลันเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น แย่ไปกว่านั้นความทรงจำของพวกเขาจากความปั่นป่วนที่อีกฝ่ายเป็นต้นเหตุในสถานที่ของพวกเขานั้นพลันปรากฏขึ้นมาอีก


 


เพราะว่าพวกเขาได้อยู่แต่ในเกวียนมาโดยตลอดและหวังชูเหรินไม่ได้อธิบายสถานการณ์ให้กับพวกเขา คนเหล่านี้จึงไม่รู้แม้แต่น้อยว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้ตามติดด้านหลังพวกเขามาโดยตลอด


 


“ใจเย็นๆ เขามิทำร้ายเจ้าหรอก…” ผู้อาวุโสสูงสุดหานพูดด้วยน้ำเสียงกระอักกระอ่วนหลังจากที่สังเกตเห็นท่าทางแข็งทื่อของพวกเขา “จริงแล้วเพียงแค่อย่าสนใจเขา…”


 


เหล่าศิษย์ไม่ได้ตอบสนองแม้ว่าหลังจากเวลาผ่านไปสักพัก ราวกับว่าพวกเขาไม่รู้ว่าจะสามารถเพิกเฉยตัวตนอันยิ่งใหญ่ของอีกฝ่ายที่ยังคงวนเวียนอยู่ในใจของพวกเขาได้หรือไม่


 


“พวกเจ้ายืนอยู่ที่นี่ทำอะไรกัน รีบเร็วเข้า เรายังต้องไปพบกับผู้นำนิกายและคนอื่นๆอีก”


 


หวังชูเหรินซึ่งอยู่ด้านในเมืองเรียบร้อยแล้วพูดด้วยเสียงอันดัง


 


“ด-เดี๋ยวนี้เลยขอรับ”


 


ทันทีที่นิกายดอกบัวเพลิงผ่านเข้าไปในประตู นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ตามพวกเขามาจากทางด้านหลัง


 


อย่างไรก็ตามดังที่คนคาดคิดไว้ พวกเขาพลันถูกหยุดยั้งลงด้วยยามในทันที


 


“ข้าพอจะดูบัตรประจำตัวของท่านหน่อยได้ไหม”


 


“พวกเขามากับข้า” หวังชูเหรินกล่าวเมื่อเธอเห็นเช่นนั้น


 


“ถ้าพวกเขามิมีบัตรประจำตัวอะไร ต่อให้เขาเป็นเพื่อนของท่าน ข้าก็เกรงว่าข้ามิอาจจะยอมให้พวกเขาผ่านเข้าไปเช่นนี้ได้ ในเมื่อนี่เป็นกฏที่ตั้งขึ้นไว้โดยท่านเจ้าเมืองของเมืองนี้”


 


หวังชูเหรินขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “เจ้าเมืองของที่แห่งนี้คือตระกูลซีใช่ไหม ถ้าตระกูลซีให้สิทธิพวกเราในการเข้า ทำไมพวกเขาซึ่งมากับข้าจึงเข้าไม่ได้ด้วย เรามาที่นี่ด้วยกัน เข้าใจไหม”


 


นี่ย่อมเป็นการตบหน้าหวังชูเหรินอย่างแรงถ้าพวกเขาไม่ยอมให้นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเข้าหลังจากที่เธอได้พูดกับพวกเขาไว้แล้ว อย่างไรก็ตามที่แย่ที่สุดสำหรับเรื่องนี้ทั้งหมดก็คือเธอจะต้องได้รับความอับอายต่อหน้าซูหยาง บางอย่างที่เธอพยายามหลีกเลี่ยงทุกวิถีทาง


 


“นอกจากว่าพวกเขามีบัตรแสดงตัว มิเช่นนั้นพวกเขาต้องจ่ายภาษีและรอในแถวเหมือนกับคนอื่นๆ”


 


ยามยังคงไม่หวั่นไหว


 


“…”


 


โหลวหลานจีย่อมไม่พอใจกับสถานการณ์นี้เช่นกัน ถ้าพวกเขาต้องกลับไปที่แถวในตอนนี้ พวกเขาต้องกลับไปที่ท้ายสุดของแถว เสียเวลาพวกเขาไปอีกหลายชั่วโมง


 


“ข้าน่าจะรู้ว่าเราควรจะเลิกสนใจข้อเสนอของเธอและอยู่ในแถว” เธอบ่นในใจ


 


ขณะที่หวังชูเหรินและยามเริ่มโต้เถียงกันและกันเกี่ยวกับสถานการณ์นั้นต่อไปอีกหลายนาที ความปั่นป่วนก็เกิดขึ้นอีกครั้งด้านหลังของพวกเขา


 


“นั่นอารามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์”


 


“โอพระเจ้าของข้า ข้ามิคิดว่าจะมีโอกาสได้เห็นพวกเขาใกล้ชิดเพียงนี้ในชีวิต”


 


ผู้คนต่างพากันโห่ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น บรรยากาศที่กระทั่งนิกายดอกบัวเพลิงไม่อาจทำให้เกิดขึ้นได้


 


“อารามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์รึ”


 


ซูหยางเลิกคิ้วเมื่อได้ยินชื่อนี้ เมื่อฟังดูรู้สึกคุ้นเคย


 


ไม่นานหลังจากนั้น เกวียนสีขาวสองคันที่มีกรอบเป็นสีทองก็มาถึงประตู


 


อย่างไรก็ตามเพราะว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยยังคงอยู่ที่ปากทางเข้า อารามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์จึงต้องหยุดชะงักอยู่เบื้องหลังพวกเขา


 


“มิว่าอย่างไร ข้าก็จักมิย้ายไปจากจุดนี้จนกว่าเจ้าจะปล่อยให้พวกเขาเข้าไป” หวังชูเหรินไม่สนใจเกี่ยวกับอารามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์และยังคงโต้เถียงกับยามซึ่งค่อนข้างจะรำคาญอยู่บ้างในตอนนี้


 


แต่ต่อให้พวกเขาต้องล่วงเกินสำนักระดับสูง พวกเขาก็ไม่อาจไม่เชื่อฟังคำพูดของตระกูลซีที่เปรียบเสมือนกับกฏสวรรค์


 


“เกิดอะไรขึ้นที่นี่รึ”


 


เสียงที่เป็นของผู้ชราพลันดังขึ้น


 


“ผ-ผู้อาวุโส”


 


ยามพลันจดจำเสียงนี้ได้ทันทีและตรงไปยังเกวียนของอารามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่สนใจหวังชูเหรินและนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย


 


“ท่านดูสิ คนเหล่านี้ที่นี่…”


 


ยามอธิบายสถานการณ์อย่างรวดเร็วให้กับคนที่อยู่ในเกวียนคันแรก


 


“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย..เจ้าว่างั้นรึ”


 


เสียงชรานั้นฟังดูค่อนข้างประหลาดใจเมื่อได้ยินชื่อนี้ ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นประตูเกวียนคันแรกก็เปิดออก และชายชราก็ออกมาจากเกวียนอย่างเร่งรีบ


 


“เป็นเจ้าจริงๆ”


 


ชายชราตาโตขึ้นมาด้วยความประหลาดใจเมื่อเขาสังเกตเห็นใบหน้าหล่อเหลาของซูหยาง


 


เมื่อซูหยางเห็นชายชรานี้ สุดท้ายเขาก็นึกขึ้นได้ว่าทำไมชื่อ “อารามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์” จึงฟังดูคุ้นเคย


 


“นั่นมิใช่ท่านผู้เฒ่าซึ่งอยู่กับนายหญิงน้อยวันนั้นรึ” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มสุภาพบนใบหน้าเรียบเฉย


 


ใช่แล้ว ชายชราคนนี้คือผู้อาวุโสจง คนที่ซูหยางพบระหว่างการเดินทางไปยังหุบเขาฟ้าคำราม และเป็นเวลานั้นที่เขาได้พบกับซีซิงฟาง หญิงสาวจากตระกูลซีที่มีร่างสวรรค์รู้จักกันในฐานะ “ร่างร้อยพิษมิกราย”


 


“จ-จ-เจ้า… เจ้ามาทำอะไรที่นี่” ผู้อาวุโสจงถามเขาโดยไม่ได้คิดเนื่องมาจากความประหลาดใจ


 


“แน่นอนว่ามาพบกับนายหญิงน้อยอีกครั้ง…” เขาตอบด้วยเสียงที่เหมือนล้อเลียนผู้อาวุโสจง


 


แต่ผู้อาวุโสจงจะรู้สักนิดก็หาไม่ว่า ซูหยางพูดจริงอย่างที่สุดแล้ว


DC บทที่ 306: ปรมาจารย์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์


 


“ล้อเลียนพอแล้ว…” ผู้อาวุโสจงกล่าวด้วยดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาเคารพในสำนึกกระบี่อันลึกล้ำของซูหยาง เขาคงตบไปที่ซูหยางเรียบร้อยแล้วที่พูดคำพูดแบบนั้น


 


“ผู้เฒ่าคนนี้เป็นใคร”


 


ไม่มีใครในที่นั้นจดจำผู้อาวุโสจงได้นอกจากคาดคิดไปยังภูมิหลังของเขา อารามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ สำนักระดับสูงที่อยู่เหนือสำนักระดับสูงอื่นๆ ตามจริงแล้วไม่ถือเป็นการพูดเกินจริงเลยที่จะเรียกอารามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ว่าเป็นหนึ่งในขุมกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดในทวีปแห่งนี้


 


อย่างไรก็ตามยังมีหนึ่งคนที่นั่นที่จดจำหน้าตาผู้อาวุโสจงได้ และคนนั้นก็คือผู้อาวุโสสูงสุดหาน ซึ่งยืนอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางไม่อยากเชื่อราวกับว่าเขาเพิ่งพบกับไอดอลของตนเอง


 


“ปรมาจารย์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ จงเชาหวง” ผู้อาวุโสสูงสุดหานพึมพัมชื่ออีกฝ่ายด้วยความตระหนก


 


“เจ้าพูดอะไร จงเชาหวงรึ”


 


ผู้คนตรงนั้นพลันนึกถึงชื่อนั้นและสุดท้ายก็จดจำได้ว่าใครที่พวกเขากำลังมองดู ตามจริงมีเพียงไม่กี่คนที่ไม่รู้จักปรมาจารย์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งในปรมาจารย์กระบี่สูงสุดในโลกนี้


 


“น-นั่นเป็นปรมาจารย์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ ใครจะคิดว่าประมุขของอารามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์จะอยู่ที่นี่”


 


“ป-ประมุขของอารามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์รึ”


 


ผู้คนของนิกายดอกบัวเพลิงมองไปยังผู้อาวุโสจงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม


 


“อย่างไรก็ตาม ถ้าเจ้ามิถือ ข้าขอตัวเข้าเมืองก่อนตอนนี้” ผู้อาวุโสจงกล่าวเมื่อฝูงชนเริ่มส่งเสียงอึกทึก


 


ยามพลันหันไปมองยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและกล่าวว่า “พวกเจ้าขวางทางอารามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์อยู่ หลีกไปก่อนที่ข้าจักช่วยเจ้า”


 


“…”


 


ผู้อาวุโสจงมองดูยามเหล่านี้ด้วยท่าทางงงงัน ก็เห็นชัดอยู่ว่าเขามีความคุ้นเคยกับซูหยาง แต่ยามเหล่านี้กลับกล้าที่จะพูดกับพวกเขาด้วยทัศนคติแบบนั้นนะรึ ยามพวกนี้กร่างหรือว่าโง่กันแน่


 


อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเขาไม่ต้องกรให้สถานการณ์บานปลายไปมากกว่านั้น ผู้อาวุโสจงก็พลันโยนเหรียญทองไปยังซูหยางและกล่าวว่า “เจ้ารับนี่ไว้…”


 


ซูหยางรับเหรียญไว้ด้วยการเคลื่อนไหวอันราบรื่นในขั้นตอนเดียว จากนั้นก็มองไปยังเหรียญที่มีชื่อสกุล “ซี” แกะสลักไว้


 


“ข้ามิเกรงใจแล้ว” ซูหยางกล่าว


 


เขาจึงแสดงให้ยามเห็นเหรียญและกล่าวว่า “ด้วยสิ่งนี้ เจ้าคงมิมีปัญหาในการปล่อยให้พวกเราผ่านในตอนนี้ ใช่ไหม”


 


“อื๋อ…”


 


บรรดายามต่างพากันงุนงงไปกับเหตุที่เกิดโดยไม่คาดคิด และยืนอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางตะลึงงัน


 


“ข้าจักถือว่านั่นเป็นการยอมรับ…”


 


ซูหยางเดินเข้าไปในเมืองโดยไม่รอให้ยามตอบสนอง “พวกเจ้ารออะไรอยู่” เขาหันตัวกลับไปและพูดกับศิษย์คนอื่น


 


“…”


 


แม้ว่าพวกเขาจะมีคำถามนับสิบสำหรับเขา แต่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ยังคงติดตามซูหยางเข้าไปในเมือง


 


ครั้นเมื่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเข้าไปในเมืองหิมะร่วงแล้ว ผู้อาวุโสสูงสุดหานก็ไม่อาจเก็บความสงสัยไว้ได้อีกและได้ถามซูหยางว่า “ท-ท่านมีความสัมพันธ์ใดกับปรมาจารย์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์”


 


ซูหยางตอบอย่างราบเรียบ “พวกเรามิได้มีความสัมพันธ์ใดกันอย่างแท้จริง ข้าเพียงพบกับเขาครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้ และนั่นก็เป็นเวลาเพียงชั่วขณะ”


 


ผู้อาวุโสสูงสุดหานไม่พบข้อผิดพลาดใดในคำของซูหยางแต่เขาก็ยังคงถามต่อ “ถ้าเช่นนั้นอะไรที่เป็นเหตุให้เขายกเหรียญทองให้ท่าน”


 


ซูหยางยักไหล่ “ข้ามิรู้เช่นกัน ถามเขาก็แล้วกันถ้าท่านสงสัย”


 


“…”


 


ผู้อาวุโสสูงสุดหานพลันไร้คำพูด เขาหรือจะมีความกล้าที่จะเดินไปหาคนอย่างปรมาจารย์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งกว่านั้นยังต้องพูดกับอีกฝ่ายด้วย


 


“ข้ายังคงสามารถเข้าไปได้หรือไม่ในเมื่อข้ามิมีสิ่งยืนยันตัวตนอะไรอีกต่อไปแล้ว” ผู้อาวุโสจงถามยามด้วยเสียงราบเรียบ


 


“น-น-แน่นอนขอรับ”


 


นั่นไม่ต้องใช้เวลาสำหรับยามในการตอบสนองอีกแม้สักวินาที ในเมื่อพวกเขาไม่มีทางที่ปฏิเสธประมุขของอารามกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นเพื่อนคนสำคัญของตระกูลซี


 


หลังจากที่ผู้อาวุโสจงเข้าไปในเมือง เขาก็พูดกับซูหยางว่า “แม้ว่าข้าต้องการที่จะอยู่ที่นี่พูดกับเจ้าให้นานอีกสักหน่อย แต่ข้ามีการประชุมที่จะต้องเข้าร่วม”


 


“ข้ามั่นใจว่าเราจักพบกันอีกครั้งในเมืองนี้เร็วๆนี้” ซูหยางพูดด้วยรอยยิ้มลึกลับ


 


ผู้อาวุโสจงหรี่ตามองซูหยาง แต่ว่าเขาตัดสินใจนิ่งเงียบไว้ก่อนที่จะจากไปในเวลาต่อมา


 


ครั้นเมื่อผู้อาวุโสจงจากไปแล้ว นิกายดอกบัวเพลิงก็แยกจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยในเวลาอีกไม่กี่นาทีต่อมาเช่นกัน


 


“พวกเจ้าพักอยู่ที่ไหนกัน ข้ามีธุระบางอย่างกับเจ้าหลังจากนั้น” หวังชูเหรินถามซูหยางก่อนจาก


 


“สถานที่ซึ่งเรียกว่าโรงเตี๊ยมเกล็ดหิมะ”


 


หวังชูเหรินพยักหน้า แถมด้วยขยิบตาให้กับเขา “ข้าจักไปพบกับเจ้าเร็วๆนี้..”


 


ซูหยางได้แต่ยิ้มให้กับเจตนาอันชัดเจนของเธอ


 


หลังจากที่นิกายดอกบัวเพลิงจากไปแล้ว โหลวหลานจีก็พูดขึ้นว่า “พวกเราก็รีบไปยังโรงเตี๊ยมของเราและเข้าพักกันเถอะ”


 


ขณะที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไปตามเส้นทางมุ่งสู่โรงเตี๊ยมของพวกเขา ศิษย์รุ่นเยาว์ต่างก็พากันชื่นชมซูหยางโดยไม่ระงับยับยั้ง


 


“ดังที่คาดไว้ที่ศิษย์พี่ชายเป็นเพื่อนกับคนผู้นั้นที่เป็นถึงปรมาจารย์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์”


 


“เจ้าเห็นถึงวิธีที่เขาดูแลศิษย์พี่ชายของพวกเราหรือไม่ นั่นเหมือนกับว่าเขาเห็นศิษย์พี่ชายมีศักดิ์เท่าเทียมกัน ทั้งที่เขาเป็นปรมาจารย์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์”


 


เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันพูดด้วยบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความรื่นเริง


 


“…”


 


โหลวหลานจีและผู้อาวุโสนิกายไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองอย่างไรกับคำพูดของเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้


 


“ซูหยางคนนี้… ไม่เพียงแต่เขารู้จักหวังชูเหริน หนึ่งในนักปรุงยาที่มีชื่อเสียงที่สุดในทวีปแต่เขายังมีความสัมพันธ์กับปรมาจารย์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ หนึ่งในจอมกระบี่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในทวีปแห่งนี้ด้วย จะมีคนที่มีชื่อเสียงคนไหนบ้างที่เขาไม่รู้จัก” โหลวหลานจีถอนใจ


 


ส่วนสำหรับศิษย์คนอื่น พวกเธอก็ประหลาดใจเช่นกันที่ซูหยางรู้จักกับคนสำคัญเช่นนี้ อย่างไรก็ตามไม่มีใครจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยตกใจมากนัก ราวกับว่าพวกเขาได้คุ้นเคยกับการทำให้ตระหนกจากซูหยางไปเรียบร้อยแล้ว


 


เวลาหลังจากนั้น พวกเขาก็ไปถึงหน้าของโรงเตี๊ยมขนาดใหญ่ที่มีขนาดเท่ากับคฤหาสน์


 


“เทพเจ้า… ข้ามิเคยเห็นโรงเตี๊ยมใหญ่เช่นนี้มาก่อน..”


 


ลืมเรื่องศิษย์รุ่นเยาว์ไปได้เลยเมื่อกระทั่งผู้อาวุโสนิกายก็ยังตะลึงงันไปกับขนาดของสถานที่นี้


 


อย่างไรก็ตามขนาดของโรงเตี๊ยมขนาดนี้เป็นเรื่องปกติภายในเมืองหิมะร่วง ตามจริงแล้วสถานที่นี้สามารถถึงได้ว่ามีขนาดปานกลางเมื่อเทียบกับโรงเตี๊ยมอื่นที่มีขนาดใหญ่กว่าและหรูหรากว่า


DC บทที่ 307: นิกายแท่นบูชาทอง


 


“ผู้นำนิกาย…โรงเตี๊ยมนี้…มันต้องมีค่าใช้จ่ายน่าดูแน่เลย…”


 


ผู้อาวุโสนิกายพากันตะลึงงันกับสถานที่หรูหราเช่นนี้ที่ยิ่งใหญ่กว่าโรงเตี๊ยมที่พวกเขาเคยเห็นมาก่อน


 


“เอ่อ มันมีราคาไม่กี่ร้อยเหรียญวิญญาณ…”


 


โหลวหลานจีเปิดเผยค่าใช้จ่ายให้กับพวกเขา เป็นเหตุให้ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้างด้วยความตระหนก เมื่อพวกเขาไม่คิดว่าจะเป็นตัวเลขมากเพียงนั้น


 


“ไม่กี่ร้อยเหรียญวิญญาณรึ เพียงแค่อาศัยอยู่ที่นี่ไม่กี่อาทิตย์ เงินขนาดนี้สามารถซื้อหินอาวุธวิญญาณได้หลายชิ้นเชียวนะ”


 


“น-นี่เป็นการปล้นกลางวันแสกๆ”


 


ผู้อาวุโสนิกายพบว่ามันเป็นเรื่องยากที่เชื่อว่าโหลวหลานจีจะใจกว้างมากกับการใช้จ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่นิกายไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะสามารถใช้ทรัพย์สินอย่างฟุ่มเฟือยได้


 


แน่นอนว่าเหตุผลเดียวที่โหลวหลานจีกล้าที่จะใช้เงินเช่นนั้นก็เพราะว่าความร่ำรวยที่ซูหยางได้ให้เธอไว้ ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็คงต้องตั้งเต็นท์อาศัยกลางแจ้งกันตลอดทั้งเดือน


 


“ข้ารู้ว่านั่นเป็นเงินเยอะอยู่ แต่อย่างน้อยพวกเราต้องมีสถานที่ที่จะอยู่ตลอดทั้งเดือน นอกจากว่าพวกท่านต้องการไปนอนกลางถนน ยิ่งไปกว่านั้นนี่ค่อนข้างถูกเมื่อเปรียบเทียบกับโรงเตี๊ยมอื่นในเมืองนี้ หากว่าพวกท่านเห็นราคาที่อื่นแล้ว ท่านจักต้องขอบคุณที่ข้าใช้เงินเพียงเท่านี้…”


 


“ถ้าท่านผู้นำนิกายพูดถึงขนาดนี้…”


 


ผู้อาวุโสนิกายยอมรับคำอธิบายของเธออย่างรวดเร็วในเมื่อไม่มีใครในหมู่พวกเขาต้องการหลับกลางถนนตลอดทั้งเดือน


 


“อย่างไรก็ตาม เราเข้าไปข้างในและปักหลักก่อนที่ข้าจักบรรยายสรุปให้แก่ทุกคน” โหลวหลานจีพูดขณะที่เธอเปิดประตูเข้าไปในโรงเตี๊ยม


 


“ข้าขออภัยสำหรับความไม่สะดวกต่อแขกผู้ทรงเกียรติ แต่โรงเตี๊ยมนี้ได้ถูกจองไว้เต็มแล้ว”


 


พนักงานต้อนรับกล่าวกับพวกเขาก่อนที่จะทันได้ไปถึงแผนกต้อนรับ


 


“พวกเรามาจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย และพวกเราได้สำรองที่นั่งไว้เรียบร้อยแล้ว” โหลวหลานจีแสดงใบเสร็จของเธอ


 


พนักงานต้อนรับรับใบเสร็จไปดูอย่างละเอียด


 


ครั้นเมื่อเขายืนยันสิทธิ์แล้ว พนักงานต้อนรับก็พยักหน้าและกล่าวว่า “ขอบคุณที่เลือกที่พักที่โรงเตี๊ยมเกล็ดหิมะของเรา ห้องของพวกท่านจักอยู่ที่ชั้นสี่ นี่คือกุญแจไปยังห้องของท่าน…”


 


ขณะที่พนักงานต้อนรับนำเอาพวงกุญแจออกมาจากใต้โต๊ะเตรียมส่งมอบให้กับโหลวหลานจี ประตูก็เปิดออกมาอีกครั้งและคนอีกกลุ่มก็เดินเข้ามาข้างใน


 


“ข้าต้องขออภัยสำหรับความไม่สะดวก ท่านแขกผู้ทรงเกียรติ แต่ห้องของเราทั้งหมดล้วนถูกจับจองแล้ว…”


 


พนักงานต้อนรับกล่าวกับผู้ที่มาใหม่


 


อย่างไรก็ตามแทนที่จะจากไปในทันที ผู้มาใหม่เหล่านี้กลับตรงมายังที่โต๊ะแทน


 


ครั้นเมื่อพวกเขามาถึงโต๊ะ ชายวัยกลางคนที่นำหน้าคนกลุ่มนี้ชี้มือไปยังกุญแจในมือของพนักงานต้อนรับและกล่าวว่า “ข้าจักจ่ายให้เจ้าสองเท่าของสิ่งที่คนกลุ่มนี้จ่ายให้สำหรับห้องเหล่านั้น”


 


“…”


 


สถานที่นั้นพลันเปลี่ยนเป็นอึดอัดและเงียบงัน


 


“ข-ข้าต้องขออภัย แต่ข้าคิดว่าสิ่งนั้น–”


 


ก่อนที่พนักงานต้อนรับจะทันได้พูดจบ ชายวัยกลางคนก็นำเอาถุงหนังออกมาจากเสื้อคลุมและโยนลงไปบนโต๊ะอย่างสบายๆ


 


“มีหินวิญญาณสองพันก้อนในถุงนั้น ข้าต้องการซื้อห้องจากเจ้า” เขากล่าว


 


อย่างไรก็ตามชายวัยกลางคนไม่ได้มองไปที่พนักงานต้อนรับเมื่อเขาพูดคำพูดเหล่านั้น แท้ที่จริงแล้วเขาเสนอหินวิญญาณให้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยสำหรับห้องของพวกเขา


 


“…”


 


โหลวหลานจีมองไปที่ชายวัยกลางคนที่ไม่รู้จักนี้พร้อมกับขมวดคิ้วเล็กน้อย


 


“ไม่ ขอบคุณ” เธอกล่าวกับเขาด้วยเสียงค่อนข้างเรียบเฉย


 


ทันทีที่โหลวหลานจีปฏิเสธข้อเสนอของพวกเขา ศิษย์ที่อยู่เบื้องหลังชายวัยกลางคนก็เริ่มพูดเสียงดัง


 


“พวกไร้ชื่อเสียงเรียงนามนี่เป็นใครกัน พวกเขามิรู้เลยรึว่าพวกเราเป็นใคร”


 


“พวกเขาต้องมาจากหลังเขาถึงไม่รู้จักพวกเรา”


 


ศิษย์เหล่านี้พูดโดยไม่เกรงใจ เห็นชัดว่าดูถูกพวกเขา


 


เมื่อได้ยินว่านิกายของพวกเขาถูกกล่าวร้าย บรรดาศิษย์รุ่นเยาว์จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็เริ่มพูดเสียงดังบ้าง “จริงด้วยพวกโง่นี่เป็นใครกัน ถึงแสดงท่าทีมิเคารพเช่นนั้นต่อพวกเราและศิษย์พี่ชาย พวกเขาต้องคิดหาที่ตายแน่ๆ…”


 


“ใช่แล้ว พวกนี้คิดว่าตนเองเป็นใครกัน”


 


เพราะว่าเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้มั่นใจในความปลอดภัยของตนเองเนื่องมาจากซูหยางมีความคุ้นเคยกับปรมาจารย์กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาจึงไม่ออมรั้งในการพูดถ้อยคำขยะ


 


และก็เป็นดังที่คาดไว้ คนกลุ่มนี้มองดูเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ด้วยดวงตาถลนเต็มไปด้วยความตระหนก พวกเขาไม่เคยคิดจินตนาการว่าพวกกลุ่มเด็กเลวนี่จะกล้าโต้กลับกับพวกเขา อย่าว่าแต่พูดด้วยถ้อยคำเยาะเย้ยเช่นนี้


 


“ท-ทำไมจึงมีคนจากสถานที่ไร้ชื่อกล้าไม่เคารพในนิกายแท่นบูชาทองของพวกเรา”


 


“พวกเจ้านั่นแหละที่หาที่ตาย”


 


“นิกายแท่นบูชาทองรึ…”


 


โหลวหลานจีขมวดคิ้วลึกเมื่อได้ยินชื่อคุ้นเคยนั้น หลังจากที่ใช้เวลาครุ่นคิดชั่วขณะ สุดท้ายเธอก็นึกชื่อนิกายแท่นบูชาทองออก นั่นเป็นสถานที่ที่แม้ว่าจะไม่ถือว่าเป็นสำนักระดับสูง พวกเขาก็เก่งกาจพอที่จะเทียบได้กับสถานที่ดังเช่นนิกายล้านอสรพิษ


 


แน่นอนว่าเพราะว่าพวกเขามักจะเก็บตัว ผู้คนจากภาคอื่นๆจึงปกติไม่คุ้นเคยกับพวกเขา


 


“ใจเย็นๆ ศิษย์ทั้งหลาย…”


 


ชายวัยกลางคนสุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะก้าวเข้ามา


 


“ข้าขออภัยสำหรับ “ความหยาบคาย” ของศิษย์ข้า” เขากล่าวกับโหลวหลานจีด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น


 


“ข้าก็ขออภัยสำหรับศิษย์ข้าเช่นกัน…”


 


แม้ว่าเธอไม่ได้กล่าวอะไร โหลวหลานจีก็สังเกตเห็นความรู้สึกรังเกียจเบื้องหลังใบหน้าสงบของชายวัยกลางคน เห็นชัดว่าเขาไม่ได้ยึดคำขอโทษของตนเองจริงจังนัก


 


“อย่างไรก็ตาม เรามิต้องการขายห้องของเรา” โหลวหลานจีกล่าวขณะที่เธอหยิบกุญแจจากมือของพนักงานต้อนรับ


 


“…อย่างนั้นรึ.. ช่างน่าเสียดาย…”


 


ชายวัยกลางคนส่ายหน้าและทำการเดินออกไปจากประตู


 


อย่างไรก็ตามมีบรรยากาศแปลกๆรอบกายของชายวัยกลางคน และไม่ใช่เพียงโหลวหลานจีที่รู้สึกเช่นนั้น กระทั่งศิษย์รุ่นเยาว์เองก็รู้สึกบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับชายวัยกลางคน


 


ครั้นเมื่อนิกายแท่นบูชาทองลับสายตาไปแล้ว ศิษย์รุ่นเยาว์ก็พูดขึ้นว่า “ข้ารู้สึกถึงอันตรายจากชายคนนั้น…”


 


“ข้าก็ด้วย…”


 


“ลืมพวกเขาไปเสีย พวกเรารีบไปยังชั้นสี่กัน ซึ่งข้าจักได้จัดห้องให้พวกเจ้า” โหลวหลานจีกล่าวก่อนที่จะพาเหล่าศิษย์ขึ้นไปยังชั้นบน

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม