Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน 293-300
DC บทที่ 293: โกง
เวลาหนึ่งอาทิตย์ผ่านไปนับตั้งแต่การอบรมครั้งแรกของซูหยาง เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างก็พากันกลับมาเพื่ออบรมครั้งที่สองโดยไม่มีใครแม้สักคนในหมู่พวกเขาที่ขาดหายไป
“ข้าต้องการให้ทุกคนมีคู่ฝึกที่ต่างออกไปในครั้งนี้” ซูหยางกล่าว
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันมองหาคู่คนใหม่ในทันที
ต่อจากนั้นครั้นเมื่อทุกคนมีคู่แล้ว ซูหยางก็พูดขึ้นว่า “ดี ตอนนี้มาทำซ้ำสิ่งที่เราทำเมื่ออาทิตย์ที่แล้วและพิสูจน์ให้ข้าเห็นว่าพวกเจ้าได้ศึกษากันมาอย่างดี”
หนึ่งนาทีหลังจากนั้นยามเมื่อซูหยางเห็นว่าทุกคนที่นั่นได้ชี้นิ้วไปยังจุดเฉพาะบนหลังของคู่ฝึก เขาก็พยักหน้าเป็นการยอมรับ
“แม้ว่าครึ่งหนึ่งของพวกเจ้าใช้เวลานานกว่าครึ่งนาทีในการหาจุดสำคัญของคู่ฝึก ข้าก็ยังดีใจที่เห็นการพัฒนาอย่างมากจากพวกเจ้าทุกคน ถ้าให้กล่าวไปแล้วพวกเจ้าทุกคนก็ยังไม่สามารถที่จะกระตุ้นจุดสำคัญได้ ดังนั้นพวกเจ้ายังคงมีอีกหลายสิ่งที่จะต้องเรียนรู้”
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ก็มีการเปลี่ยนข้าง และผู้ที่ได้จี้ตอนนี้ก็กลับมาเป็นผู้ถูกจี้ด้วยคู่ของตน
และก็เช่นเดียวกับกลุ่มแรก ทุกคนในที่นั้นสามารถที่จะหาจุดสำคัญของคู่ฝึกได้
ยิ่งไปกว่านั้นก็ยังมีบางคนที่กระทั่งสามารถกระตุ้นจุดสำคัญของคู่ฝึกได้ เป็นเหตุให้ศิษย์รุ่นเยาว์คนนั้นล้มลงคุกเข่า
“ศิษย์พี่ชาย ข้าต้องการลองหาจุดสำคัญของท่านในตอนนี้”
ศิษย์รุ่นเยาว์ที่กระตุ้นจุดสำคัญของคู่ของเธอพลันยกมือขึ้นหลังจากที่การทดสอบจบลง
“เอาสิ” ซูหยางยิ้มเมื่อเขาเห็นท่าทางมั่นใจบนใบหน้าชีเยว่
เขาทำการนั่งลงและกล่าวต่อว่า “ข้าจักให้เวลาเจ้าสามนาทีเพื่อที่จะหาจุดสำคัญของข้า ถ้าเจ้าสามารถที่จะหาได้ภายในเวลาสามนาทีนี้ ข้าจักให้เวลาเพิ่มอีกห้านาทีในการที่จะลองกระตุ้นมัน”
“เวลาเยอะจัง”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์อ้าปากค้าง
อย่างไรก็ตามชีเยว่รู้ว่าซูหยางให้เวลาเธอมากมายเช่นนี้ก็เพียงเพราะว่าเขามั่นใจว่าเธอจะไม่สามารถได้รับรางวัลพิเศษของเขาในวันนี้
ไม่นานนักชีเยว่ก็ยืนอยู่ด้านหลังซูหยางและเพ่งสายตาไปยังหลังของเขา
ดรรชนีสมปรารถนาประกอบด้วยสองเคล็ดวิชา หนึ่งก็คือใช้ดูจุดสำคัญเหล่านี้ และอีกอย่างก็เพื่อใช้กระตุ้นมัน
“…”
“…”
“…”
เวลาที่จำกัดไว้สามนาทีได้ผ่านไปแล้ว แต่ชีเยว่ยังยืนอยู่ที่นั่นตลอดชั่วเวลานั้นโดยไม่ได้ขยับตัวแม้แต่น้อย
“ทำไมข้าจึงมิเห็นมัน แม้กระทั่งข้าสามารถมองเห็นจุดสำคัญทุกจดของคู่ของข้าได้อย่างง่ายดาย…” ชีเยว่ถามเขาด้วยเสียงพึมพัม ลิ้มลองรสชาติของความพ่ายแพ้ที่อยู่ในปาก
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “เช่นเดียวกับพลังการฝึกปรือและปราณไร้ลักษณ์ ผู้คนสามารถซ่อนมันไว้จากสายตาของคนอื่นได้ถ้าพวกเขาต้องการ”
คางของชีเยว่ตกลงหลังจากที่ได้ยินคำอธิบายของเขา
“ต-แต่นั่นเป็นการโกงนี่ ข้าจักสามารถหาจุดสำคัญของท่านได้อย่างไรถ้าท่านมีเจตนาซ่อนมันไว้จากข้า” ชีเยว่มีท่าทางเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม
ซูหยางระเบิดเสียงหัวเราะและกล่าวว่า “เจ้าคิดหรือว่าข้าจักยอมให้เจ้าหาจุดสำคัญของข้าและได้รับรางวัลพิเศษของข้าได้โดยง่าย เจ้าไร้เดียงสาเกินไปแล้ว”
“…”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ซูหยางก็กล่าวต่อว่า “อย่างไรก็ตามถ้าจักกล่าวไปแล้ว มิใช่ว่าข้าทุ่มเทเต็มที่ในการพยายามซ่อนจุดสำคัญของข้า ตราบเท่าที่เจ้ามีความเชี่ยวชาญในวิชามากพอถึงจุดหนึ่ง เจ้าก็จักเห็นมัน”
ว่าไปแล้วถ้าเขาต้องการที่จะซ่อนจุดสำคัญของเขาอย่างแท้จริง เช่นนั้นก็จะไม่มีใครในโลกนี้ที่จะสามารถหามันพบได้
“อ-อย่างนั้นรึ…”
ชีเยว่ไม่ได้รู้สึกหดหู่อีกต่อไปหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา ในเมื่อยังคงมีโอกาสสำหรับพวกเธอที่จะหาจุดสำคัญของเขา
ซูหยางหันไปดูผู้เข้าอบรมและกล่าวว่า “ถ้าเจ้าต้องการที่จะท้าทายข้า เจ้าจักต้องอย่างน้อยสามารถที่จะหาจุดสำคัญของคู่ของเจ้าได้ภายในการมองผ่านๆครั้นแรก”
“อย่างไรก็ตาม นี่มิมีสิ่งใดใหม่สำหรับการอบรมในวันนี้ ดังนั้นเพียงแค่พยายามฝึกฝนกับคนอื่น ถ้าเจ้าต้องการที่จะท้าทายข้าในเวลาใด ก็เพียงแต่พูดขึ้น”
ซูหยางนั่งลงบนเวทีและหลับตา ลบตัวตนออกไปจากห้องเรียน และเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันดำเนินการฝึกฝนดรรชนีสมปรารถนากับคนอื่นทั้งยังเปลี่ยนคู่ในชั่วโมงถัดไป
ระหว่างช่วงเวลาหนึ่งชั่วโมงนี้ มีศิษย์รุ่นเยาว์สองสามคนได้ท้าทายซูหยาง แต่อนิจจาไม่มีใครสักคนสามารถที่จะเห็นจุดสำคัญของเขาได้จนถึงที่สุด
หลังจากไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ซูหยางก็ลืมตาขึ้นและปล่อยชั้นเรียนไปจนถึงอาทิตย์หน้า
–
–
–
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และก่อนที่พวกเขาจะได้ตระหนัก ก็ถึงเวลาที่ซูหยางจะเริ่มการอบรมครั้งที่สาม
“ศิษย์พี่ชาย ข้าต้องการที่จะลองหาจุดสำคัญของท่านอีกครั้ง” ชีเยว่ขอลองเขาทันทีที่เขามาถึงที่ห้องอบรม
ซูหยางไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้นเพียงแค่พยักหน้าก่อนจะนั่งลง
ชีเยว่ทำการยืนอยู่ด้านหลังของเขาและเพ่งมองสายตาไปบนหลังเขาอีกครั้ง
หนึ่งวินาที สองวินาที สิบวินาที…
สามสิบวินาที… หนึ่งนาที… สองนาที…
ในช่วงไม่กี่วินาทีสุดท้าย ก่อนที่จะหมดเวลาสามนาที ชีเยว่ก็ตาเป็นประกายอย่างล้ำลึก และวินาทีถัดไปเธอก็ยกนิ้วของเธอชี้ไปยังจุดหนึ่งบนหลังของซูหยางที่ใกล้กับศูนย์กลางของหลังส่วนล่าง
“ข้าพบแล้ว ข้าพบจุดสำคัญของท่านแล้ว ศิษย์พี่ชาย” ชีเยว่ประกาศด้วยความตื่นเต้นและรอยยิ้มอันสดใสเต็มไปด้วยความสุข
“หวาาา”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เริ่มส่งเสียงโห่ร้องด้วยความตื่นเต้นให้กับเธอหลังจากที่ประจักษ์ว่าชิวเยว่ได้มีวิชาก้าวหน้าอย่างมหาศาล
ซูหยางก็ยิ้มและกล่าวว่า “ดีมาก ตอนนี้เจ้ามีเวลาห้านาทีที่จะปลุกมัน”
ชีเยว่พยักหน้าและกลับคืนสู่สีหน้าจริงจังอีกครั้ง
เธอจึงมุ่งมั่นสะสมพลังปราณไร้ลักษณ์บางส่วนของเธอไว้บนปลายนิ้วก่อนที่จะจิ้มลงไปบนจุดสำคัญของซูหยางด้วยนิ้วเล็กๆของเธอ
หนึ่งนาที… สองนาที… สามนาที….
ห้านาทีให้หลัง ชีเยว่ยืนอยู่ที่นั่นด้วยใบหน้าและร่างกายที่เต็มไปด้วยเหงื่อขณะที่หายใจลึก
“ฮาาาา…. ฮาาา… ฮาาาา…”
ไม่ว่าเธอจะพยายามมากเท่าไหร่ในการกระตุ้นจุดสำคัญของซูหยาง มันก็ยังคงไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย และให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเธอพยายามที่จะเปิดประตูนิรภัยเหล็กด้วยขวานไม้
“ความพยายามที่ดี”
ซูหยางกล่าวกับเธอก่อนที่จะยืนขึ้นมองดูเธอด้วยรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้าหล่อเหลา
DC บทที่ 294: วิมานคนธรรพ์
แม้ว่าชีเยว่จะไม่สามารถกระตุ้นจุดสำคัญของเขาได้ ซูหยางก็ยังค่อนข้างประทับใจกับความก้าวหน้าของเธอกับวิชาดรรชนีสมปรารถนา ถ้าให้ต้องเปรียบเทียบเธอกับเพื่อนศิษย์ เธอก้าวล้ำนำหน้าคนอื่นกว่าสิบเท่า
“เจ้ารู้สึกอย่างไร” เขาถามเธอ
“ห-หมดแรง…” ชีเยว่พูดเสียงเบา
“นั่นเป็นเพราะว่าเจ้าพยายามที่จะใช้เรี่ยวแรงกระตุ้นจุดสำคัญของข้าด้วยปราณไร้ลักษณ์ของเจ้า” ซูหยางส่ายหน้า “นั่นจักเพียงทำให้แรงของเจ้าสิ้นเปลืองไปโดยไร้ประโยชน์”
“เอาล่ะใครต้องการลองอีก” ซูหยางหันไปยังเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์และถามด้วยรอยยิ้มยั่วเย้า
“ข-ข้า ข้าต้องการลอง”
ศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านั้นต่างพากันยกมือขึ้นทีละคนสองคน
ซูหยางพยักหน้าและยอมให้ศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้ได้ลองสู้เขา
อย่างไรก็ตามครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นก็ไม่มีใครอีกนอกจากชีเยว่ที่สามารถหาตำแหน่งจุดสำคัญของเขาได้ยิ่งอย่าคิดถึงการที่จะกระตุ้นจุด
กล่าวไปแล้ว ใช่ว่าพวกเขาจะไม่รู้ตำแหน่ง ในเมื่อชีเยว่ได้ชี้ให้เห็นก่อนหน้านั้น อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะรู้ว่าตำแหน่งที่แน่นอนมันอยู่ที่ไหน พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะเห็นจุดสำคัญนั้น
“ต่อให้เจ้ารู้ว่ามันอยู่ที่ไหนก็ตามถ้าเจ้ามิได้เห็นด้วยตัวเอง เช่นนั้นโอกาสที่พวกเจ้าจะปลุกจุดสำคัญนั้นก็เป็นได้แค่ศูนย์”
ซูหยางกล่าวกับพวกเขาหลังจากนั้น
“อย่างไรก็ตามในเมื่อตอนนี้ทุกคนที่นี่สามารถจับพื้นฐานได้แล้ว ข้ามีคำถามต่อพวกเจ้า ใครในที่นี้ที่เห็นมากกว่าหนึ่งจุดสำคัญบนคนหนึ่งคน ยกมือขึ้น”
ไม่นานหลังจากนั้น กว่าครึ่งของศิษย์รุ่นเยาว์ก็ยกมือขึ้น
“ดี ตอนนี้ยกมือของเจ้าไว้ ถ้าเจ้าเห็นมากกว่าสองจุดในแต่ละครั้ง”
หลังจากที่เขาพูดคำพูดเหล่านั้น กว่าครึ่งของที่ยกมือขึ้นก็ได้ลดมือลง
“แล้วสามล่ะ”
ถึงตอนนี้ มีเพียงศิษย์รุ่นเยาว์สามคนที่ยังคงยกมือขึ้นกลางอากาศ
“สี่”
เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ สองในสามของศิษย์รุ่นเยาว์ก็ลดมือของพวกเขาลงและมีเพียงชีเยว่ที่ยังคงยกมือขึ้น เป็นสิ่งที่ซูหยางได้คาดคิดไว้แล้วก่อนที่เหตุการณ์นี้จะได้เริ่มขึ้น
“มากที่สุดเท่าไหร่ที่เจ้าได้เห็นจุดสำคัญบนคนคนหนึ่ง” เขาถามเธอ
“เจ็ด” ชีเยว่ตอบด้วยเสียงภูมิใจ
“ดีมาก เช่นนั้นพวกเจ้าเข้าใจแล้วใช่ไหมว่าทำไมข้าจึงถามเจ้าเช่นนี้”
ชีเยว่พยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าตระหนักว่ายิ่งข้าเข้าใจวิชานี้มากขึ้นเท่าไหร่ จุดสำคัญที่ข้าสามารถเห็นจากคู่ของข้าก็มากขึ้นเท่านั้น”
ซูหยางพยักหน้าและกล่าวว่า “มนุษย์ทุกคนมีอย่างน้อยหนึ่งจุดสำคัญ แต่บางคนก็มีเพียงแค่จุดเดียว อย่างไรก็ตามมีความลับหนึ่งที่วิชานี้ได้รับมาด้วยก็คือเจ้าสามารถ “สร้าง” จุดสำคัญเหล่านี้ขึ้นมาได้มากกว่านั้น”
“ตามจริงถ้าเจ้าเชี่ยวชาญวิชานี้ เจ้าจักสามารถที่จะกระตุ้นคู่ฝึกของเจ้าจากการสัมผัสที่ไหนก็ตามบนร่างของพวกเขาได้ กระทั่งจุดที่ไม่ใช่จุดสำคัญของพวกเขาก็ตาม”
แม้ว่าจะได้กล่าวคำพูดเหล่านี้ ซูหยางก็ไม่ได้มีความคิดว่าจะมีพวกเขาคนไหนที่จะเข้าถึงระดับเชี่ยวชาญกับวิชาดรรชนีสมปรารถนาของเขา
“อย่างไรก็ตาม เราจักทำสิ่งที่แตกต่างไปในวันนี้”
ซูหยางนำเอาม้วนกระดาษขึ้นมาจากแหวนมิติและกล่าวต่อว่า “แม้ว่าพวกเจ้าทั้งหมดได้คุ้นเคยกับดรรชนีสมปรารถนาแล้ว ตามจริงแล้วนั่นเป็นเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของวิชาทั้งหมด”
“อะไรกัน”
ศิษย์รุ่นเยาว์มีสีหน้าตระหนกเมื่อได้ยินคำพูดของเขา พวกเขาได้ฝึกฝนวิชาที่ไม่สมบูรณ์มานานถึงสามสัปดาห์
“เหตุผลที่ข้าให้พวกเจ้าเพียงครึ่งหนึ่งของวิชานี้นั้นไม่ยาก ครึ่งหลังนั้นลึกล้ำมากเกินไปสำหรับพวกเจ้าในการที่จะตีความด้วยตัวพวกเจ้าเอง และนั่นจักทำให้พวกเจ้าถูกครอบงำ บางทีอาจจะทำให้เกิดความสับสนวุ่นวายในใจพวกเจ้า”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์พากันสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว พวกเขาไม่คาดว่าวิชานี้จะน่าหวาดกลัวและลึกล้ำเช่นนั้น ทั้งที่มันไม่ได้เป็นทั้งวิชาการต่อสู้หรืออะไรที่ซับซ้อน
“อย่างไรก็ตามหลังจากที่เห็นพวเจ้าเติบโตในหนึ่งเดือนนี้ ข้าสามารถบอกได้แน่นอนว่าพวกเจ้าพร้อมสำหรับส่วนที่สองของวิชานี้ วิมานคนธรรพ์”
“วิมานคนธรรพ์…”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์พากันพึมพัมชื่อวิชาที่ให้ความรู้สึกลึกลับอย่างไม่รู้ตัว
“ส่วนแรก ดรรชนีสมปรารถนา จักทำให้เจ้าสามารถที่จะให้ความสุขสมกับคู่ของเจ้าได้อย่างง่ายดาย ส่วนที่สอง วิมานคนธรรพ์ จักทำให้เจ้าได้รับประสบการณ์โลกใบใหม่ไปกับคู่ของเจ้า อย่างไรก็ตามพวกเจ้ายังคงเด็กเกินไปที่จะใช้วิชานี้ในการฝึก ดังนั้นข้าจักเพียงให้พวกเจ้าได้ลิ้มลองวิชานี้ในใจของพวกเจ้า”
ซูหยางคลายผนึกของม้วนวิชาและเปิดมันออก
“พวกเจ้าทุกคนนั่งลงในท่าสมาธิดอกบัวและเริ่มฝึกวิชาเดี๋ยวนี้” ซูหยางกล่าว
ศิษย์รุ่นเยาว์พลันนั่งลงและหลับตาเพื่อฝึกวิชา
ไม่นานหลังจากนั้น ซูหยางก็เริ่มอ่านม้วนวิชาในมือและบรรยากาศอันลึกลับก็เกิดขึ้นรอบห้องอบรม
ขณะที่ซูหยางอ่านม้วนคัมภีร์อย่างต่อเนื่องก็เกิดภาพขึ้นภายในใจของเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้
ภาพเหล่านี้มีความสมจริงขึ้นตามเวลาที่ผ่านไป และก่อนที่พวกเขาจะทันได้รู้ตัว มันก็กลายเป็นความเป็นจริงของศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้แล้ว สิ่งที่เหมือนกับความฝันที่สมจริง
สำหรับความฝันประเภทไหนที่พวกเขามีนั้น มีเพียงแต่คนที่ฝันอยู่เท่านั้นที่จะรู้ ในเมื่อทุกคนที่นั่นต่างมีความฝันที่เฉพาะตัวสำหรับพวกเขา
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วและเมื่อถึงเวลาที่เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้เริ่มลืมตาขึ้นนั่นก็ถึงเวลาที่ดวงดาวพราวระยับไปทั่วฟ้าคราค่ำคืนเรียบร้อยแล้ว
“ศ-ศิษย์พี่ชาย… นี่คือ…”
ศิษย์รุ่นเยาว์ทุกคนมองดูเขาด้วยใบหน้าแดงก่ำ เหมือนกับว่าพวกเขาเพิ่งประสบกับบางอย่างที่เหนือพ้นโลกและหมดเรี่ยวแรงไปในเวลาเดียวกัน
“เจ้าสนุกไปกับมันไหม” ซูหยางถามพวกเขาด้วยรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้า”
พวกเขาพากันพยักหน้ากันช้าๆด้วยสีหน้าแปลกประหลาด
“นั่นเป็นโลกที่เจ้าจักได้อาศัยอยู่ยามเมื่อพวกเจ้ากลายเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นก่อนจะถึงตอนนั้นเรียนรู้ให้หนักเพื่อที่ว่าเจ้าจักได้มิสร้างความผิดหวังให้กับคู่ของเจ้า”
“อีกอย่างหนึ่ง…” ซูหยางพลันหรี่ตาเปล่งกลิ่นอายที่น่าหวาดหวั่น
“ข้าขอห้าพวกเจ้าทุกคนในการใช้วิมานคนธรรพ์ก่อนที่จะเป็นผู้ใหญ่ ถ้าเจ้ามิเชื่อฟังกฏนี้ ข้าจักสาปแช่งให้ชีวิตของพวกเจ้าจักมิสามารถพบกับความสุขได้อีกครั้ง พวกเจ้าเข้าใจไหม”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์พลันพยักหน้าด้วยเหงื่อที่ไหลออกมาจากใบหน้า ในเมื่อพวกเขาหวาดกลัวกับท่าทางของซูหยาง
หลังจากที่เห็นพวกเขาตกลงแล้ว ซูหยางก็มีท่าทางกลับคืนเป็นปกติและเขาก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “เช่นนั้นข้าจักพบกับพวกเจ้าทั้งหมดอีกครั้งในอีกหนึ่งอาทิตย์”
PS: ผมตอนแรกได้ตกลงกับเพื่อนสมาชิกว่าจะลองแปลเรื่อง The Sinful Life of The Emperor อีกครั้ง แต่ก็พบว่าเพราะว่าผมเริ่มโครงการอื่นทำให้ไม่มีเวลาเหลือที่จะแปลนิยายเรื่องThe Sinful Life of The Emperor จึงต้องขออภัยเพื่อนสมาชิกมาด้วยในที่นี้
และก็ Happy Valentine Day กับทุกๆ ท่านนะครับ ขอให้มีความสุขสมหวังในความรักกันทุกคน
NOS+
DC บทที่ 295: ผู้นำนิกายสังเกตการณ์
ครั้นเมื่อศิษย์รุ่นเยาว์ออกไปจากห้องอบรมแล้วพวกเขาก็เริ่มพูดคุยกันเกี่ยวกับประสบการณ์ของพวกเขาระหว่างการอบรม
“เฮ้… น้องชี เจ้าก็ได้รับประสบการณ์ “นั่น” ระหว่างการอบรมเช่นกันใช่ไหม”
“อื้อ…”
ชีเยว่หน้าแดงเมื่อเพื่อนศิษย์ถาม
“ใครเป็นคู่ของเจ้า หรือว่าเป็นศิษย์พี่ชายเหมือนกัน”
ชีเยว่มองดูอีกฝ่ายทำตาโตและกล่าวว่า “เจ้าหมายความว่าเจ้าก็ทำ “สิ่งนั้น” กับศิษย์พี่ชายเช่นกันในความฝันของเจ้า”
ศิษย์คนนั้นพยักหน้า “นั่นช่างมหัศจรรย์ ข้ามิอาจทนรอให้โตขึ้นและอยากประสบกับสิ่งที่เป็นจริงในตอนนี้เลย”
ชีเยว่หันมองไปยังศิษย์ชายคนหนึ่งและถามพวกเขาว่า “เฮ้ ใครเป็นคู่ของเจ้าในความฝัน”
ศิษย์ชายหน้าแดงและไม่พูดอะไรออกมาเป็นเวลาชั่วขณะ
ชีเยว่ขมวดคิ้วและถามศิษย์ชายคนอื่น
อย่างไรก็ตามก็ได้รับผลเช่นเดียวกัน ในเมื่อเหล่าศิษย์ชายปฏิเสธที่จะตอบคำถามของเธอ
นี่ทำให้ชีเยว่งงงัน ทำไมพวกเขาจึงปฏิเสธที่จะตอบคำถามที่ง่ายเช่นนั้น หรือว่านี่ทำให้พวกเขาอายในการที่จะยอมให้คนอื่นรู้
หลังจากที่ส่งคำถามเดียวกันนั้นไปยังศิษย์ชายอีกสองสามคน สุดท้ายชีเยว่ก็ได้รับคำตอบ
“คู่ของข้าคือเพื่อนในวัยเด็กของข้าสมัยยังอยู่ที่บ้าน…. ข้าประหลาดใจจริงที่เห็นเธอในความฝันของข้า กระทั่งยังทำ “เรื่องนั้น” กับข้าด้วย…”
ชีเยว่ตัดสินใจที่จะถามศิษย์ชายมากขึ้นอีกสองสามคนในคำถามเดียวกับและก็ได้รับคำตอบเช่นเดียวกัน
“บางทีคู่ในความฝันของพวกเราจะเป็นคนที่เราชื่นชม…” ชีเยว่มาถึงข้อสรุปหลังจากที่พูดกับศิษย์หลายคน
ศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันกลับบ้านและฝึกดรรชนีสมปรารถนาต่อ ในเมื่อพวกเขาถูกห้ามไม่ให้ฝึกวิมานคนธรรพ์
–
–
–
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งสัปดาห์ และนับว่าเป็นเวลานับเดือนแล้วนับตั้งแต่ซูหยางกลายเป็นผู้สอนให้กับศิษย์รุ่นเยาว์
“เป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้วตั้งแต่ตอนนั้น เฮ้อ… ข้าสงสัยว่าพวกเขาทำอะไรกัน”
โหลวหลานจีมองออกไปนอกหน้าต่างและพึมพัมกับตัวเอง
ไม่นานหลังจากนั้น เธอตัดสินใจที่จะไปเยี่ยมซูหยางในระหว่างที่เขาอบรม
แม้ว่าเธอไม่รู้ว่าเขาสอนอะไรให้กับศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้ แต่เธอก็รู้ว่าเขาอบรมอาทิตย์ละครั้ง และวันนี้ก็จะเป็นการอบรมครั้งที่สี่ของเขา
หลังจากนั้นโหลวหลานจีก็ออกจากศาลาหยินหยางและตรงไปยังห้องอบรมที่อยู่ในเขตศิษย์ใน
เมื่อเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์สังเกตเห็นโหลวหลานจีปรากฏกาย พวกเขาก็ทักทายเธอในทันที
“ผู้สอนของพวกเจ้ายังไม่มาที่นี่รึ” โหลวหลานจีถามพวกเขา
“ศิษย์พี่ชายควรจะมาที่นี่ในไม่กี่นาทีนี้”
“อืมมม…” โหลวหลานจีครุ่นคิดชั่วขณะก่อนที่จะถามพวกเขา “พวกเจ้าคิดอย่างไรกับเขาในฐานะผู้สอน”
ศิษย์รุ่นเยาว์พากันสบสายตากันก่อนที่จะพูดประสานเสียงกันว่า “พวกเรารักเขา”
โหลวหลานจีประหลาดใจอยู่บ้างกับคำพูดของพวกเขาและกล่าวว่า “เจ้ามิต้องโกหกเรื่องนั้นก็ได้ พวกเจ้ารู้ไหม ถ้าพวกเจ้ากลัวหากจะพูดไม่ดีเกี่ยวกับเขา ข้าสามารถรับประกันได้ว่าพวกเจ้าจักมิเกิดปัญหาใดๆ”
ศิษย์รุ่นเยาว์พากันสบสายตากันอีกครั้ง ดูค่อนข้างงุนงง หรือว่าผู้นำนิกายคาดหวังให้ซูหยางเป็นผู้ฝึกสอนที่ไม่ดี
“พวกเรามิได้โกหก ผู้นำนิกาย” ชีเยว่ก้าวออกมาแล้วกล่าว “พวกเรารักศิษย์พี่ชายในฐานะผู้สอนจริงๆ ตามจริงแล้วเขาเป็นคนที่ดีกว่าผู้สอนคนใดที่มีมาก่อนนั้น”
“ข้าก็ด้วย ข้าได้เรียนจากศิษย์พี่ชายมากกว่าผู้สอนคนใดก่อนหน้าเขา”
โหลวหลานจีเปลี่ยนเป็นพูดไม่ออก ในเมื่อเธอไม่คาดคิดว่าศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้จะยึดเอาซูหยางไว้เป็นที่เทิดทูนอย่างสูงเช่นนี้ ถ้าผู้สอนคนก่อนหน้านี้ได้มาที่นี่และได้ยินคำพูดของพวกเขา คนเหล่านั้นต้องร้องไห้แน่นอน
“ข้า… ข้าเข้าใจแล้ว”
โหลวหลานจียอมแพ้ในการที่จะพยายามที่จะหาบางสิ่งมาวิจารณ์ซูหยางและเดินไปยังด้านหลังของห้องอบรม
“มิต้องสนใจข้า ข้ามาที่นี่เพียวเพื่อที่จะสังเกตการณ์” เธอกล่าวกับศิษย์รุ่นเยาว์
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ซูหยางก็ปรากฏตัวขึ้นในห้องอบรม
“ผู้นำนิกาย”
ซูหยางทักทายเธอทันทีที่เขาเห็นร่างแบบบางของเธอยืนพิงกับผนังด้านหลังห้องอบรม
“มิต้องสนใจข้า ข้ามาที่นี่เพียงเพื่อดูเท่านั้น เพียงดำเนินการต่อไปเช่นที่เจ้าทำดังปกติ”
ซูหยางพยักหน้าและกล่าวต่อว่า “ก่อนที่จะเริ่มการเรียนการสอน มีคนต้องการลองหรือไม่”
โหลวหลานจีพลันเลิกคิ้ว เขาพูดถึงอะไรกัน
“ข้าต้องการลองอีกครั้ง”
ชีเยว่และศิษยรุ่นเยาว์อีกสองสามคนพลันยกมือขึ้น
ไม่นานหลังจากนั้น ชีเยว่ก็ไปยืนอยู่ด้านหลังซูหยางและเพ่งมองหลังของเขา ซึ่งสร้างความสับสนให้กับโหลวหลานจี ซึ่งไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสถานการณ์นี้แม้แต่น้อย
ไม่นานหลังจากนั้น ชีเยว่ก็ยกมือของเธอขึ้นจิ้มไปบนหลังส่วนล่างของซูหยาง
โหลวหลานจีซึ่งสนใจมากกับสิ่งที่พวกเขาทำกัน เดินไปยังด้านหลังพวกเขาและพิจารณาพวกเขาอย่างใกล้ชิดทุกการกระทำ
อย่างไรก็ตามแม้ว่าหลังจากที่ดูเป็นเวลาหลายนาที โหลวหลานจีก็ไม่อาจเรียนรู้อะไรเลยแม้แต่น้อยและเพียงยิ่งเพิ่มความสับสน
“พวกเขาทำอะไรกันในโลกนี้”
โหลวหลานจีเพียงเห็นว่าชีเยว่รวบรวมพลังปราณไร้ลักษณ์บนนิ้วที่ใช้ทิ่มไปบนหลัง แต่ไม่รู้ว่าเจตนาอะไรสำหรับการกระทำเช่นนั้น เธอไม่สามารถเข้าใจได้
ห้านาทีหลังจากนั้น ชีเยว่ก็ขยับนิ้วออกจากหลังของซูหยางและถอนหายใจด้วยท่าทางยอมแพ้
“ข้ายอมแพ้…”
หลังจากที่ชีเยว่ลงไปจากเวที ศิษย์คนต่อไปก็เริ่มจ้องไปที่หลังของซูหยาง เกือบเช่นเดียวกับที่เธอได้เพ่งพิจารณาหลังของเขา
อย่างไรก็ตามไม่เหมือนกับชีเยว่เสียทีเดียว ศิษย์รุ่นเยาว์คนนี้ไม่ได้จิ้มหลังซูหยางด้วยนิ้วของเธอและลงจากเวทีสามนาทีหลังจากนั้น
สถานการณ์นี้วนเวียนไปจนกระทั่งศิษย์รุ่นเยาว์ทุกคนบนเวทีจากไปด้วยท่าทางพ่ายแพ้
หลังจากที่ศิษย์รุ่นเยาว์ทุกคนออกจากเวที โหลวหลานจีก็ถามซูหยาง “พวกเจ้าทำอะไรกันเมื่อกี้นี้”
ซูหยางยิ้มและตอบว่า “ถ้าท่านมิสามารถบ่งบอกออกมาได้ยามเมื่อจบการอบรม ข้าจักบอกให้”
โหลวหลานจีขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ดี ข้าจักยอมรับคำท้าทายของเจ้า”
โหลวหลานจีพลันกลับไปยืนยังด้านหลังของห้องอบรม อย่างไรก็ตามสายตาของเธอยิ่งคมกล้ากว่าเดิม ราวกับว่าเธอกำลังจ้องมองไปทั่วทั้งห้องเรียน ซึ่งทำให้เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์รู้สึกไม่สบายใจอะไรบางอย่าง
DC บทที่ 296: ความมั่นใจ
“แม้ว่าผลลัพธ์จะเหมือนกับอาทิตย์ที่แล้ว ข้าก็สังเกตเห็นพัฒนาการบางอย่าง ดังนั้นจงมุ่งมั่นต่อไป”
“อย่างไรก็ตาม ข้ามิมีอะไรใหม่สำหรับวันนี้ ดังนั้นพวกเจ้าสามารถเริ่มฝึกฝนด้วยกันเอง ถ้าให้กล่าวก็คือถ้าพวกเจ้าฝึกหนักมากพอ ข้าอาจจะแสดงความฝันแสนงามให้กับพวกเจ้าอีก พวกเจ้าคงรู้ว่าข้าหมายความว่าอย่างไร…”
เมื่อศิษย์รุ่นเยาว์ได้ยินคำพูดเหล่านี้ ดวงตาของพวกเขาก็เป็นประกายด้วยความตื่นเต้นและมุ่งหวัง
หลังจากที่พวกเขาได้รับประสบการณ์อะไรบางอย่างระหว่างการอบรมครั้งที่แล้ว มันก็ฝังติดอยู่ในใจพวกเขาราวกับว่าเป็นคำสาป และพวกเขาต่างพากันสงสัยว่าซูหยางจะทำอะไรเช่นนั้นอีกครั้งหรือไม่หลังจากนั้น
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างไม่ยอมเสียเวลาและรีบหาคู่อย่างรวดเร็วก่อนที่จะฝึกดรรชนีสมปรารถนากับอีกฝ่าย
ได้มาเห็นภาพแปลกประหลาดนี้ โหลวหลานจีก็มีท่าทางประหลาด
“การกระทำของพวกเขาก็คือการจ้องมองหลังของแต่ละคนก่อนที่จะใช้นิ้วจิ้มลงไปบนตำแหน่งพิเศษ ข้ามิอาจเข้าใจสถานการณ์นี้ได้จากสิ่งที่เกิดขึ้น…”
อย่างไรก็ตามเมื่อโหลวหลานจีสังเกตเห็นสีหน้าพึงพอใจบนใบหน้าของศิษย์เหล่านี้บางคนหลังจากถูกจิ้มจากคู่ฝึก ความคิดหนึ่งก็พลันปรากฏขึ้นในใจเธอ
“พวกเขา… พวกเขากำลังได้รับความสุขสมงั้นรึ แต่พวกเขาเพียงแค่ถูกจิ้มไปบนหลัง… มันเกือบเหมือนกับ…”
โหลวหลานจีดวงตากลมโตขึ้นเมื่อเธอมาได้รับรู้
เธอจึงเข้าไปหาซูหยางและถามเขาว่า “เจ้าสอนวิชาการนวดให้พวกเขางั้นรึ”
ซูหยางแค่ยิ้มและกล่าวว่า “แม้ว่าข้ามิได้บอกพวกเขา แต่วิชานี้ก็สามารถนำไปใช้แบบนั้นได้จริงๆ”
โหลวหลานจีมองดูเขาด้วยท่าทางมึนงง
เธอไม่อาจจะจินตนาการได้ว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะเป็นอย่างไรในอนาคตถ้าศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งเจ็ดสิบคนเติบโตขึ้นมาด้วยวิชาแบบนี้ ในเมื่อนั่นคล้ายกับมีซูหยางขนาดย่ออีกเจ็ดสิบคน
“อ-อะไรที่เจ้าสอนพวกเขา” โหลวหลานจีถาม
“เพราะว่าข้อจำกัดเนื่องจากอายุของพวกเขา ข้าสามารถสอนพวกเขาไม่ได้มากนัก ดังนั้นข้าจึงสอนวิชานี้แก่พวกเขาเพื่อไว้ใช้ในอนาคต เมื่อตอนนั้นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจักต้องเจริญรุ่งเรืองอย่างแน่นอน”
“ซูหยาง…” โหลวหลานจีมองดูเขาด้วยสีหน้าลึกล้ำ
“เหตุใดเจ้าจึงสามารถมั่นใจเสียเหลือเกินในที่แห่งนี้ในเมื่อมันมีผู้นำนิกายที่ไร้ความสามารถเช่นนี้”
ซูหยางยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “ข้าคิดว่าท่านเข้าใจผิดอะไรไปบางอย่าง ความมั่นใจของข้ามิได้มาจากสถานที่นี้แต่มาจากตัวข้า”
โหลวหลานจีทำตาโตด้วยความตกใจ
“จ-เจ้าหมายความว่าอย่างไรเช่นนั้น” เธอถาม
“นั่นง่ายดายยิ่ง ตราบเท่าที่ข้ายังอยู่ที่นี่ ข้ามั่นใจว่าที่แห่งนี้จักเจริญรุ่งเรือง”
“…”
โหลวหลานจีกลายเป็นพูดไม่ออก แต่สีหน้าของเธอในปัจจุบันบอกเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับความรู้สึกของเธอต่อคำพูดของซูหยาง
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เธอก็กล่าวว่า “ช่างยะโสโอหังนัก ซูหยาง เจ้าหมายถึงว่าตราบที่เท่าเจ้ายังคงอยู่ที่นี่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะต้องประสบความสำเร็จใช่หรือไม่”
“นั่นมิจำเป็นต้องให้เป็นนัย ในเมื่อนั่นเป็นคำกล่าวที่ชัดแจ้งจากข้า”
เขากล่าวต่อว่า “ท่านอาจจะหัวเราะเยาะข้าในใจตอนนี้ แต่ข้าจักแสดงให้ท่านเห็น งานแข่งระหว่างภูมิภาคก็เหลืออีกแค่ไม่กี่เดือน และท่านยังคงหัวเราะเยาะข้าได้หลังจากนั้น ข้าจักก้มหัวให้และทำทุกอย่างเท่าที่ท่านต้องการ”
“ข้ามิมีเหตุผลที่จะหัวเราะเยาะ ถ้าเจ้าเชื่อเช่นนั้น ข้าเองก็จักเชื่อไปเช่นนั้นกับเจ้าด้วย ในเมื่อเจ้าได้พิสูจน์ตัวเจ้านับครั้งไม่ถ้วนมาจนถึงตอนนี้ ข้ามีแต่ความคาดหวังอย่างสูงในตัวเจ้า ซูหยาง”
“เยินยอไปแล้ว” ซูหยางหัวเราะหึๆ
สองชั่วโมงหลังจากนั้น ซูหยางก็ปรบมือและพูดว่า “นี่คือทั้งหมดของวันนี้ อย่างไรก็ตามถ้าเจ้าต้องการที่จะอยู่นานอีกสักหน่อยสำหรับการอบรมพิเศษ ข้าจักยินดีที่จะยืดเวลาการอบรมวันนี้เพิ่มไปอีกสองสามชั่วโมงสำหรับคนเหล่านั้น”
“ข้าจะอยู่”
“ข้าด้วย”
ศิษย์รุ่นเยาว์ทุกคนตัดสินใจที่จะอยู่ที่นั่นโดยไม่จำเป็นต้องใช้เวลาในการคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น
“อย่างนั้นก็ได้….”
จากนั้นซูหยางก็ดึงเอาม้วนคัมภีร์จากแหวนมิติ
เมื่อศิษย์รุ่นเยาว์เห็นม้วนคัมภีร์ สีหน้าของพวกเขาก็แจ่มใสขึ้น และหลายคนก็เริ่มฉีกยิ้มทันที
“ก-เกิดอะไรขึ้น”
โหลวหลานจีมองดูท่าทางแปลกประหลาดของศิษย์เหล่านี้มีต่อม้วนคัมภีร์
“ไปเริ่มต้นด้วยท่าสมาธิดอกบัว”
ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น เมื่อศิษย์ทุกคนหลับตาลงแล้ว ซูหยางก็เปิดม้วนคัมภีร์และเริ่มอ่านมัน
“น-นี่คือ…”
โหลวหลานจีตื่นตกใจเป็นอย่างมากเมื่อบรรยากาศพลันเปลี่ยนไป เกิดอะไรขึ้นในโลกใบนี้กันกับที่ซูหยางทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงนี้
อย่างไรก็ตามในเมื่อโหลวหลานจีไม่ได้ฝึกส่วนแรกของวิชาดรรชนีสมปรารถนา เธอจึงไม่ได้รับประสบการณ์กับสิ่งที่ศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้ได้ประสบ
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นยามเมื่อศิษย์เหล่านี้เริ่มฝัน โหลหลานจีก็ถึงกับงุนงงกับท่าทางมีความสุขของพวกเขา ราวกับว่าพวกเขามีความสุขกับช่วงเวลาในตอนนี้เป็นอย่างมาก
โหลวหลานจีมองดูซูหยางซึ่งเดินกลับไปมาบนเวทีขณะที่อ่านม้วนคัมภีร์ ถึงแม้ว่าเธอต้องการที่จะถามเขา เธอก็กลัวว่าจะไปรบกวนเขาและเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ ดังนั้นเธอจึงหักห้ามความต้องการและคงความนิ่งเฉย มองดูเหล่าศิษย์อย่างเงียบๆอยู่ด้านหลัง
สองสามชั่วโมงหลังจากนั้น เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้ก็ลืมตาขึ้นในที่สุด ไม่เหมือนกับครั้งแรกของพวกเขา กิจกรรมนี้ไม่ได้ยาวนานตลอดทั้งวัน
“อย่างที่ข้าคาดไว้… เป็นศิษย์พี่ชายที่อยู่ในความฝันของข้า…” ชีเยว่กล่าวกับตัวเองขณะที่เธอจ้องมองไปยังซูหยางด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชมและหน้าแดงก่ำ
ตามจริงแล้วก็คือศิษย์หญิงทุกคนที่มองดูซูหยางในเวลานี้พร้อมกับสีหน้าคล้ายคลึงกับชีเยว่ ในเมื่อพวกเธอทั้งหมดมีซูหยางเป็นคู่ในความฝัน
“พวกเจ้ามีเวลาในการอบรมเหลืออีกสามครั้ง และสำหรับวันนี้ข้ามีเพียงเท่านี้” ซูหยางกล่าวก่อนที่เขาจะสั่งเลิกชั้นเรียน
ครั้นเมื่อศิษย์รุ่นเยาว์จากไปหมดแล้ว โหลวหลานจีก็เข้าไปหาซูหยางและถามว่า “เกิดอะไรขึ้นระหว่างช่วงเวลาสองสามชั่วโมงนี้”
“มิมีอะไรมาก ข้าเพียงแสดงให้พวกเธอเห็น “ความฝัน””
โหลวหลานจีกลับยิ่งงงงันและถามต่อว่า “เจ้าสามารถอธิบายให้มีรายละเอียดมากกว่านี้สักเล็กน้อยหรือไม่”
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “แม้ว่าพวกเขายังคงเด็กเกินไปที่จะร่วมฝึกคู่ แต่นั่นมิได้หมายความว่าข้ามิอาจสอนพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ดังนั้นข้าจึงแสดงให้พวกเขาเห็น “ภาพ” ในใจเกี่ยกับสิ่งที่คล้ายกันในความฝัน”
โหลวหลานจีพลันกลายเป็นไร้คำพูด
“เจ้าหมายถึง… ไม่น่าเชื่อ…” เธอพึมพัมหลังจากที่เงียบไปเป็นเวลานาน
DC บทที่ 297: การอบรมครั้งสุดท้าย
อีกสองสัปดาห์ผ่านไปนับตั้งแต่โหลวหลานจีได้มาสังเกตการณ์การอบรมของซูหยางกับศิษย์รุ่นเยาว์
อย่างไรก็ตามแม้กระทั่งถึงตอนจบการอบรมครั้งที่หก ก็ไม่มีศิษย์รุ่นเยาว์คนไหนที่สามารถปลุกจุดสำคัญของซูหยางได้
“เหลือเพียงแค่อาทิตย์เดียว เฮ้อ…”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาวต่างรู้สึกว่าการบรรลุเป้าหมายเช่นนั้นเป็นไปไม่ได้
“เจ้าคิดว่าอย่างไรน้องชี เจ้าเป็นคนที่มีประสบการณ์มากที่สุดกับวิชานี้จากพวกเราทั้งหมด เจ้าคิดว่าเจ้ามีโอกาสที่จะกระตุ้นจุดสำคัญของศิษย์พี่ชายหรือไม่”
ศิษย์รุ่นเยาว์หันไปมองชีเยว่ ความหวังเดียวของพวกเขาในการล้มซูหยาง
ชีเยว่ไม่ได้ตอบรับในทันทีแต่คิดชั่วขณะก่อนที่จะพูดว่า “แม้ว่าข้าจะมิมั่นใจนักแต่ข้าก็รู้สึกว่าข้าเกือบกระตุ้นจุดสำคัญของศิษย์พี่ชายได้ในวันนี้ กั้นไว้เพียงเส้นผม”
“เช่นนั้นเจ้าคงมั่นใจว่าจักกระตุ้นมันได้ในอาทิตย์หน้าและได้รับรางวัลพิเศษนี้”
“ข้าหวังไว้เช่นนั้น…” ชีเยว่ถอนหายใจ คิดถึงตนเองว่าถ้าเธอมีเวลาอีกเดือนหนึ่งในการฝึก เช่นนั้นเธอย่อมมั่นใจว่าสามารถกระตุ้นจุดสำคัญของซูหยางได้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามเวลามีจำกัดและเธอก็มีเวลาเหลือเพียงอาทิตย์เดียวก่อนที่การอบรมของซูหยางจะจบสิ้น
ว่าไปแล้วแม้ว่าจะมีโอกาสเพียงเล็กน้อย ชีเยว่ก็ฝึกฝนตลอดเวลาตลอดทั้งอาทิตย์จนกระทั่งถึงเวลาสำหรับการอบรมครั้งที่เจ็ดและเป็นการอบรมครั้งสุดท้าย
หนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น
“การอบรมวันนี้จักเป็นครั้งสุดท้าย” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาปรากฏตัวขึ้นในห้องอบรม
“…”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ในวันนี้ดูเหมือนไม่ค่อยตื่นเต้นกับการอบรมครั้งนี้ ในเมื่อนี่จะเป็นครั้งสุดท้ายของพวกเขา
“ศิษย์พี่ชาย ท่านต้องหยุดหลังจากวันนี้เหรอ ข้าต้องการให้ท่านเป็นผู้อบรมพวกเราต่อไป”
หนึ่งในเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์แสดงความปรารถนาของเธอออกมา และศิษย์รุ่นเยาว์คนอื่นต่างก็เห็นด้วยกับเธอ
ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “บอกเจ้าตามตรง เหตุผลเดียวที่ข้ากลายมาเป็นผู้สอนให้กับพวกเจ้าตั้งแต่แรกก็เพราะว่าผู้นำนิกายได้ตัดสินใจที่จะลงโทษข้าสำหรับความผิดพลาดที่ข้าได้ทำไว้ อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่ก่อนที่จะได้รับการลงโทษ ข้าก็ต้องการที่จะทิ้งความรู้ของข้าบางอย่างไว้เบื้องหลังให้กับพวกเจ้า ศิษย์รุ่นเยาว์ ซึ่งจักเป็นอนาคตของที่แห่งนี้ต่อไป”
ซูหยางเปิดเผยความจริงต่อพวกเขา
อย่างไรก็ตามบรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ดูเหมือนไม่สนใจในเรื่องที่ว่าเขากลายเป็นผู้อบรมได้อย่างไร ที่พวกเขาต้องการตอนนี้ก็คือให้เขายังคงอยู่
“แม้ว่าข้าจักมิได้เป็นผู้สอนพวกเจ้าหลังจากวันนี้เป็นต้นไป ถ้าเจ้ามีคำถามอะไร อย่าลังเลที่จะไปหาข้า ตราบเท่าที่ข้ายังคงอยู่ในที่นี้ ข้าจักช่วยเจ้า”
ซูหยางทำเหมือนกับว่าเขาจะไม่ได้อยู่ที่นี่ไปตลอด และเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ก็สังเกตพบ อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่ได้ถามคำถามอะไรเพียงแค่พยักหน้า
“ในเมื่อวันนี้เป็นครั้งสุดท้าย ข้าจักมิรับการท้าทายใดๆไปจนกว่าจะจบการอบรม และต่อให้พวกเจ้ามีความมั่นใจว่าเจ้ามิสามารถที่จะกระตุ้นจุดสำคัญของข้า แต่ข้าก็ต้องการให้ทุกคนได้ลองกับตัวข้า”
ซูหยางเริ่มการอบรมหลังจากนั้นไม่นาน
และต่อจากนั้นสองสามชั่วโมงถัดไป ซูหยางก็ได้ให้คำแนะนำกับศิษย์รุ่นเยาว์ทุกคนเป็นรายบุคคล หลังจากที่ดูพวกเขามาเกือบสองเดือน เขาก็ได้จับจุดแข็งและจุดอ่อนของพวกเขาเป็นรายคนในวิชานี้ ดังนั้นเขาจึงรู้วิธีช่วยพวกเขาปรับปรุงวิชาตลอดไปจนถึงสิ่งอื่นๆที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการฝึกฝนวิชายุทธ
หลังจากที่ให้คำแนะนำกับศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งเจ็ดสิบคน ด้วยคำแนะนำเฉพาะแต่ละคนแล้ว ซูหยางก็ปรบมือและกล่าวว่า “ข้าต้องการให้ทุกคนยืนเข้าแถวและมาลองท้าข้า”
ไม่นานหลังจากนั้นเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ก็เข้าแถวและเริ่มใช้ดรรชนีสมปรารถนากับซูหยาง อย่างไรก็ตามเพราะรู้ว่าการอบรมจะจบลงหลังจากเหตุการณ์ในวันนี้ จึงไม่มีศิษย์รุ่นเยาว์คนไหนมีความสุข
หลายชั่วโมงหลังจากนั้น ครั้นเมื่อทุกคนยกเว้นศิษย์รุ่นเยาว์คนหนึ่งได้ท้าทายซูหยางหมดแล้ว ศิษย์คนสุดท้ายก็ได้ท้าทายเขา ชีเยว่ก้าวขึ้นไปบนเวที
แน่นอนว่าไม่มีศิษย์รุ่นเยาว์คนไหนที่ขึ้นไปก่อนชีเยว่สามารถที่จะกระตุ้นจุดสำคัญของซูหยางได้ อย่างไรก็ตามหลังจากที่ฝึกมานานกว่าเจ็ดสัปดาห์ พวกเขาทุกคนอย่างน้อยสามารถเห็นจุดสำคัญของซูหยางได้
“เจ้าพร้อมหรือยัง”
ซูหยางถามชีเยว่ซึ่งยืนอยู่ด้านหลังเขาด้วยท่าทางจริงจัง
“อื้อ”
ซูหยางเริ่มจับเวลาหลังจากที่เห็นชีเยว่พยักหน้า
“เจ้าเริ่มได้แล้ว”
เพียงวินาทีเดียวหลังจากที่ซูหยางพูดคำพูดเหล่านั้น ชีเยว่ก็พบจุดสำคัญเขาเรียบร้อยแล้วและเตรียมตัวที่จะกระตุ้นมัน
อย่างไรก็ตามชีเยว่ไม่ได้พยายามที่จะกระตุ้นจุดสำคัญของเขาในทันทีและยังคงยืนนิ่งอยู่ที่นั่นอย่างเงียบเชียบเตรียมตัว
หลังจากที่ยืนนิ่งอยู่หลายนาที จนกระทั่งห้านาทีนั้นเกือบจะหมดไป ดวงตาชีเยว่ก็เป็นประกายลึกล้ำ และเธอก็จิ้มไปยังจุดสำคัญของซูหยางด้วยการเคลื่อนนิ้วอย่างปราดเปรียวและแม่นยำ
“…”
ทั้งสถานที่เงียบสงัด ทุกคนต่างพากันมองดูปฏิกิริยาของซูหยางด้วยดวงตากลมโตในเวลานั้น
อย่างไรก็ตามในเมื่อซูหยางไม่ได้แสดงปฏิกิริยาใดแม้จะผ่านไปหลายอึดใจหลังจากนั้น ศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันถอนหายใจยอมแพ้
“นี่หมายความว่าพวกเรามิสามารถที่จะกระตุ้นจุดสำคัญของศิษย์พี่ชายได้จนถึงท้ายสุด…”
“ช่างน่าสมเพช…”
“มิมีอะไรที่พวกเราสามารถทำได้อีกแล้ว”
ชีเยว่ย้ายนิ้วของเธอออกจากหลังของซูหยางในเวลาถัดมา ใบหน้าของเธอเปี่ยมไปด้วยความผิดหวัง
เธอคิดว่าเธอสามารถกระตุ้นจุดสำคัญของซูหยางได้แน่นอนหลังจากที่เธอได้ฝึกฝนมาจนหมด แต่อนิจจา ดูเหมือนว่าเธอได้ประเมินซูหยางต่ำไป
ขณะที่ชีเยว่เริ่มเดินออกไปจากเวทีด้วยสายตาเศร้าสลด ซูหยางก็ได้ยิ้มขึ้นและกล่าวว่า “แม้ว่ามันจะเพียงเล็กน้อย แต่ข้าก็ได้รู้สึกเสียวซ่านในร่างข้า”
“!?”
ชีเยว่พลันหันกลับไปและจ้องมองไปยังเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“ขอแสดงความยินดีในการกระตุ้นจุดสำคัญของข้า”
ซูหยางกล่าวกับเธอและพูดต่อว่า “สำหรับรางวัลของเจ้า ตราบเท่าที่ข้าสามารถทำได้ เจ้าสามารถขออะไรก็ได้จากข้า”
ค่อนข้างตื่นตะลึงกับผลลัพธ์ที่ไม่คาดหมาย ชีเยว่ยืนนิ่งอยู่ที่นั่นเป็นเวลาชั่วขณะ
“อืมม… เช่นนั้น ถ้ามิเป็นการขอร้องมากเกินไป ข้าพอจะขอให้ศิษย์พี่ชายอบรมพวกเราต่อไปได้หรือไม่ มิจำเป็นจะต้องสัปดาห์ละครั้งก็ได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นเดือนละครั้ง ข้าก็ยังดีใจ”
ซูหยางหัวเราะหึๆและกล่าวว่า “แน่นอนว่าเจ้าสามารถขออะไรแบบนั้นได้ อย่างไรนั่นก็มิใช่สิ่งที่ข้าจะมิได้คาดคิดไว้เช่นกัน เอาล่ะ ข้าจักให้การอบรมพวกเจ้าต่อไปทุกสัปดาห์”
เมื่อได้ยินข่าวนี้ ศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันพลุ่งพล่านไปด้วยความตื่นเต้นเป็นสุข
DC บทที่ 298: เตรียมการแข่งขันระดับภูมิภาค
หลังจากที่เขาให้ศิษย์รุ่นเยาว์เลิกเรียน ซูหยางก็กลับไปยังที่พักของเขา ซึ่งเขาก็ได้ใช้เวลาเวลาอีกสองสามสัปดาห์ต่อจากนั้นในการฝึกวิชาจนกระทั่งเหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งเดือนก่อนจะถึงพิธีเปิดการแข่งขันระดับภูมิภาค
วันหนึ่งโหลวหลานจีก็เรียกซูหยางและศิษย์ทุกคนที่จะเข้าร่วมในการแข่งขันระดับภูมิภาค
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ศิษย์สิบคนรวมถึงซูหยางก็มารวมตัวกันที่หน้าศาลาหยินหยาง ซึ่งโหลหลานจีและผู้อาวุโสนิกายอีกสองสามคนได้รอพวกเขาอยู่แล้ว
“เหตุผลที่ข้าเรียกพวกเจ้าทุกคนมารวมตัวกันที่นี่ไม่มีอะไรมาก การแข่งขันระดับภูมิภาคอยู่ห่างไปเพียงหนึ่งเดือน และพวกเราต้องลงทะเบียนนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของเราในฐานะผู้เข้าร่วมแข่งขัน” โหลวหลานจีพูดหลังจากที่พวกเขาทั้งหมดมาถึงแล้ว
“อย่างไรก็ตามก่อนที่เราจะสามารถลงทะเบียนชื่อของพวกเราได้ เราต้องมั่นใจว่าพวกเรามีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมจริงๆ มิเช่นนั้นเราก็จะเหมือนคนโง่เมื่อเราไปถึงที่นั่น ดังนั้นข้าต้องการดูว่าพวกเจ้ามีคุณสมบัติพอหรือไม่”
โหลวหลานจีจึงหันไปมองดูซูหยางและพูดว่า “แม้ว่าข้ามิได้ตรวจสอบพวกเธอก่อนนี้ก็เพราะว่าข้าเชื่อมั่นในตัวเจ้า เจ้ามีอะไรที่จะพูดไหมก่อนที่เราจะเริ่ม”
ซูหยางส่ายหน้าอย่างเยือกเย็น
“เช่นนั้นก็ดี… แสดงให้ข้าเห็นถึงพลังการฝึกปรือของพวกเจ้า”
เมื่อได้ยินคำพูดของเธอ ศิษย์นอกเจ็ดคนที่อยู่ในการดูแลของซูหยางก็ปลดปล่อยพลังการฝึกปรือของตนเองออกมา จนเกิดกลิ่นอายอันล้ำลึกรายล้อมพวกเธอ
“ส-ส-สัมมาวิญญาณ”
ไม่เพียงแต่โหลวหลานจีแต่กระทั่งผู้อาวุโสเจ้าและผู้อาวุโสซุนก็ยังคงตกตะลึงไร้คำกล่าวกับการเติบโตอย่างรวดเร็วของพวกเธอ
“ในเวลามิถึงครึ่งปี พวกเธอทั้งเจ็ดสามารถเข้าถึงเขตสัมมาวิญญาณได้จากเขตปฐมวิญญาณ นี่ไปไกลเกินกว่าความคาดคิดของข้านัก”
โหลวหลานจีสั่นสะท้านไปด้วยความตื่นเต้นเมื่อเธอเห็นการเติบโตของศิษย์ของตนเอง โดยไม่มีวี่แววนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้รับเจ็ดคนที่มีคุณสมบัติมากพอที่จะเป็นศิษย์หลัก
“ก-เกิดอะไรขึ้นบนโลกใบนี้กันที่เจ้าทำให้พวกเธอก้าวหน้ารวดเร็วปานนี้ ซูหยาง” ผู้อาวุโสซุนถามเขาด้วยสายตาตกตะลึง
“อะไรกัน ข้าก็แค่ฝึกฝนร่วมกับพวกเธอตามปกติ” ซูหยางยักไหล่
“ร-ไร้สาระ ต่อให้เจ้าป้อนพวกเธอด้วยสมบัติล้ำค่าอย่างต่อเนื่องทุกวันเป็นเวลาสองสามเดือน พวกเธอก็มิควรเติบโตรวดเร็วปานนี้” ผู้อาวุโสเจ้าสับสน กระทั่งเขาเองก็ไม่อาจจะเชื่อ
“ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่นั่นมิได้มีปัญหาใด ในเมื่อสิ่งที่สำคัญทั้งหมดก็คือผลลัพธ์ และผลลัพธ์เป็นยังไงล่ะ พวกเธอตอนนี้มีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมในการแข่งขันระดับภูมิภาคแล้ว”
“ซูหยางพูดถูก…”
แม้ว่าเธอไม่ต้องการที่จะยอมรับ โหลวหลานจีก็ได้เห็นด้วยกับซูหยางในกรณีนี้ ไม่ว่าเขาจะจัดการให้เกิดปาฏิหาริย์เช่นนั้นได้อย่างไร สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือผลลัพธ์
ทันใดนั้น ขณะที่โหลวหลานจีและผู้อาวุโสนิกายยังคงงุนงงกับการเติบโตของศิษย์ทั้งเจ็ด ซุนจิงจิงก็ปลดปล่อยพลังการฝึกปรือของเธอออกมา แสดงตัวตนอันทรงอำนาจให้ปรากฏ
“ข-ข-เขตปฐพีวิญญาณ”
ผู้อาวุโสซุนกรามตกร่วงลงสู่พื้นเมื่อซุนจิงจิงเผยพลังการฝึกปรือของเธอเอง
“เกิดสิ่งเช่นนี้ได้อย่างไร เธอเพียงอยู่ในเขตสัมมาวิญญาณระดับสองเมื่อเพียงสองสามอาทิตย์ก่อน”
ผู้อาวุโสซุนคิดในใจ
เมื่อคิดว่าหลานสาวได้ก้าวล้ำนำหน้าเขาเรื่องพลังการฝึกปรือไปแล้วอย่างง่ายดาย… อนาคตของเธอนั้นไร้ขีดจำกัด
เมื่อซุนจิงจิงเห็นสายตาตกตะลึงจ้องมองมายังตัวเธอ เธอก็แสดงรอยยิ้มภูมิใจออกมาเห็นได้ชัดว่าเธอภูมิใจในความสำเร็จของตัวเอง
ความจริงแล้วหลังจากที่ซุนจิงจิงมอบความบริสุทธิ์ให้กับซูหยาง ซุนจิงจิงได้ฝึกวิชาร่วมกับซูหยางเกือบทุกวันและด้วยความช่วยเหลือจากน้ำมันรัญจวนและทรัพยากรการฝึกฝนอื่นๆที่จัดหาให้จากซูหยาง ซุนจิงจิงจึงผ่านเข้าสู่เขตปฐพีวิญญาณได้อย่างฉิวเฉียดเมื่อไม่กี่วันก่อน
โหลวหลานจียืนอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าว่างเปล่าในเวลานั้น ในเมื่อเธอไม่มั่นใจว่าเธอควรมีปฏิกิริยาเช่นไรในสถานการณ์นี้
ศิษย์ทั้งหกคนก่อนหน้านี้เติบโตก้าวหน้ามากพอที่จะทำให้เธอตกตะลึงพูดไม่ออกเรียบร้อยแล้ว แต่ซุนจิงจิงยังสามารถเข้าถึงเขตปฐพีวิญญาณได้ในขณะที่อายุยังน้อยเพียงนี้ หากเป็นเช่นนี้ซุนจิงจิงจะต้องก้าวล้ำนำหน้าเธอไปภายในไม่กี่เดือนอย่างแน่นอน
โหลวหลานจีทำการหันไปมองดูฟางซีหลานซึ่งยืนอยู่ที่นั่นด้วยสีหน้าเรียบเฉย ดูเหมือนกับว่าเธอไม่แปลกใจแม้แต่น้อยกับความก้าวหน้าของพวกเธอ
“พลังการฝึกปรือของเธอไปถึงไหนแล้วตอนนี้ ในเมื่อเธอได้อยู่ที่ระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณก่อนหน้านี้… บางทีเธอได้เหนือข้า ผู้นำนิกาย ไปแล้วในด้านการฝึกวิชา”
โหลวหลานจีครุ่นคิดในใจ
อย่างไรก็ตามเพราะว่าเธอไม่ต้องการที่จะยืนยันผลลัพธ์ ทั้งยังรู้สึกกลัวอยู่บ้างเล็กน้อยกับผลลัพธ์ โหลวหลานจีตัดสินใจที่จะหยุดการตรวจสอบไว้ก่อน จึงกล่าวว่า “อ-เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว… พวกเจ้าทุกคนมีคุณสมบัติพอสำหรับการแข่งขันระดับภูมิภาค…”
“ตอนนี้เรายังต้องไปลงทะเบียนการแข่งขัน ดังนั้นพวกเราจักตรงไปยังสถานที่ซึ่งการแข่งขันจักจัดขึ้น เมืองหิมะร่วง”
“เอ๋ เราจะไปที่นั่นตอนนี้เลยเหรอ”
เมื่อพบว่านี่ค่อนข้างจะกระทันหัน ซุนจิงจิงจึงถามขึ้น
“ไม่ เราจะจากไปในอีกสามวัน ดังนั้นจงใช้เวลานี้ในการเตรียมตัว” โหลวหลานจีตอบ
ผู้อาวุโสเจ้ากระตือรือล้นเข้ามาร่วมในวงสนทนาและอธิบายรายละเอียดเพิ่มเติม
“การลงทะเบียนสำหรับการแข่งขันระดับภูมิภาคได้เริ่มต้นเรียบร้อยแล้ว และมันจักสิ้นสุดสองสัปดาห์ก่อนที่การแข่งขันจักเริ่มต้น ซึ่งนั่นจักต้องใช้เวลาพวกเราประมาณเจ็ดวันในการไปถึงเมืองหิมะร่วงทำให้เรามีเวลาเหลือไม่กี่วันในการลงทะเบียน”
“ยิ่งไปกว่านั้นยามเมื่อเราไปถึงเมืองหิมะร่วงแล้วเราจักต้องอยู่ที่นั่นจนกว่าทุกสิ่งจะจบสิ้น ดังนั้นจงเตรียมตัวให้พร้อม”
“พวกเจ้ามีคำถามอะไรกับพวกเราอีกไหม”
“ใครจักไปกับพวกเรายังเมืองหิมะร่วง” ฟางซีหลานถาม
“ทุกคนจักอยู่ที่นี่ยกเว้นผู้อาวุโสเจ้าที่จักไปเมืองหิมะร่วง นอกจากนั้นถ้ามีศิษย์คนไหนต้องการที่จะติดตามพวกเราไปเพื่อที่พวกเขาจักสามารถชมการแข่งขัน หากเป็นเช่นนั้นเราก็จักพาพวกเขาไปด้วย” โหลวหลานจีพูด
นอกจากโหลวหลานจีและผู้อาวุโสซุน ก็ยังมีผู้อาวุโสคนอื่นอีกสามคนยังอยู่ เพราะว่าเหตุผลด้านความปลอดภัยและเนื่องมาจากพวกเขาขาดคน โหลวหลานจีจึงมีทางเลือกน้อยในการที่จะพาใครไป ในเมื่อเธอไม่ต้องการที่จะปล่อยนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยให้อ่อนแอในระหว่างที่พวกเขากำลังเดินทาง
“เอาล่ะเราจักพบกันในที่แห่งนี้สามวันให้หลังจากนี้”
โหลวหลานจีปล่อยพวกเขาจากไปก่อนที่จะไปเตรียมตัวสำหรับการแข่งขันระดับภูมิภาค
DC บทที่ 299: สำนักหงส์สวรรค์
หลังจากที่เหล่าศิษย์จากไปหมดแล้ว แรงขาของโหลวหลานจีก็หมดสิ้นจนทำให้เธอล้มนั่งลง
“ผ-ผู้นำนิกาย”
ผู้อาวุโสนิกายต่างพากันตะลึงกับการล้มลงอย่างกระทันหันของเธอ
“ข-ข้าสบายดี…” โหลวหลานจีโบกมือ “ข้าเพียงแค่ตกใจมากไปเล็กน้อย…”
ผู้อาวุโสนิกายพากันสบตากันเอง พวกเขาเองก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกันนี้เช่นกัน แม้ว่าจะไม่ลึกซึ้งเท่ากับโหลวหลานจี
“ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่าน ผู้นำนิกาย ในเมื่อข้าเองก็ยังมิอาจจะเชื่อเช่นกัน…”
ผู้อาวุโสเจ้าถอนใจ
พวกเขาปล่อยให้ศิษย์เหล่านี้อยู่ตามลำพังสองสามเดือนท้ายนี้ด้วยหวังว่าจะได้รับความประหลาดใจ แต่ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะได้รับความตระหนกมากถึงระดับนี้
“เพียงแต่ว่าซูหยางทำให้เกิดปาฏิหาริย์เช่นนี้ได้อย่างไร ถึงแม้ว่าการฝึกวิชาคู่จะรวดเร็วในความก้าวหน้ากว่าการฝึกวิชาปกติ แต่ความก้าวหน้าแบบนี้นี่มันเหลือเชื่อ ข้ามิอาจจินตนาการได้ว่าเขาทำได้อย่างไร…” ผู้อาวุโสซุนก็ถอนหายใจเช่นกัน
“ข้ามีความรู้สึกว่าจะเป็นการดีกว่าถ้าพวกเรามิขุดคุ้ย” โหลวหลานจีกล่าวขณะที่เธอลุกขึ้นยืน
“ท่านหมายความว่าอย่างไรเช่นนั้น ท่านผู้นำนิกาย ถ้าเราสามารถหาพบว่าซูหยางช่วยศิษย์เหล่านี้ให้มีพลังการฝึกปรือพุ่งทะยานได้อย่างไร เราก็สามารถใช้มันสำหรับความก้าวหน้าของพวกเราในอนาคตสำหรับศิษย์ทุกคน ในเวลานั้นย่อมมิใช่ความฝันที่จะอยู่ในระดับสูงสุด” ผู้อาวุโสเจ้ากล่าว
โหลวหลานจีส่ายหน้า
“ถ้าท่านคิดว่าเป็นการง่ายที่จะทำให้ซูหยางพูด ท่านสามารถเข้าไปลองพยายามได้ แต่ทว่าถ้าท่านล่วงเกินเขาและบีบให้เขาไปจากที่แห่งนี้ ท่านจะรับผิดชอบได้อย่างไร แม้ว่าข้ามิได้ต้องการที่จะทำให้มันดูเกินจริง แต่อนาคตของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยทั้งหมดตกอยู่บนบ่าของเขาแล้วในเวลานี้”
ผู้อาวุโสเจ้าพลันเงียบลงไปในเมื่อเขาไม่ได้คิดถึงลึกถึงเพียงนี้ ซูหยางเป็นศิษย์ชายเพียงคนเดียวที่สามารถฝึกวิชาร่วมกับศิษย์หญิงในเวลานี้ และถ้าเขาต้องจากไป ใครเล่าจะมาเป็นคู่ของศิษย์หญิงเหล่านี้ และนี่ยังไม่ได้พูดถึงบุญคุณที่ซูหยางได้ให้ไว้กับนิกาย
“การที่ซูหยางช่วยศิษยเหล่านี้อย่างไรนั้นมิใช่ธุระหรือกงการอะไรของเรา ตามจริงก็มิควรแม้แต่จะคิด สิ่งที่เราต้องรู้ก็คือบุญคุณที่เขาได้ให้ไว้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“ขอรับ ผู้นำนิกาย…”
ผู้อาวุโสนิกายพากันพยักหน้ารับ
“…”
แม้ว่าจะพูดคำพูดเหล่านี้ออกมา โหลวหลานจีก็อดไม่ได้ที่จะถอนใจในเมื่อเธอรู้ว่าซูหยางจะต้องจากไปสักวันหนึ่งเมื่อสุดท้ายตระกูลซูตัดสินใจที่จะพาเขากลับไป
ในเวลานั้นภายในที่พักของซูหยาง
“เซียวลี่ ข้าจักออกไปสักหนึ่งเดือน ข้าต้องการให้เจ้าอยู่ที่นี่ในกรณีที่มีอะไรเกิดขึ้น”
ซูหยางพูดกับเซียวลี่ ซึ่งหลับอยู่อย่างสบายบนเตียง
“ถ้ามีผู้บุกรุกหรือคนที่มีเจตนาร้ายต่อสถานที่นี้ เจ้าสามารถฆ่าพวกนั้นได้”
“เจ้าค่ะเจ้านาย”
สำหรับสัตว์เซียนดังเช่นเซียวลี่ เวลาที่มีค่าหนึ่งเดือนนั้นคล้ายกับไม่กี่นาที ดังนั้นเธอจึงไม่มีปัญหาอะไรในการที่จะอยู่ที่นี่นานแค่นั้น
หลังจากที่ข่าวการแข่งขันระดับภูมิภาคได้แพร่กระจายไปทั่วนิกาย ศิษย์รุ่นเยาว์ทุกคนและศิษย์ทั่วไปหลายคนก็ขออนุญาตติดตามไปเพื่อที่พวกเขาจะได้ชมดู
และเพราะว่าศิษย์เหล่านี้ไม่ได้มีผลกระทบต่อความปลอดภัยของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยต่อให้พวกเขาทั้งหมดจากไปก็ตาม ในเมื่อพลังการฝึกปรือของพวกเขาต่ำมากและไม่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงใดไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่นี่หรือไม่ โหลวหลานจีจึงตกลงที่จะพาพวกเขาไปด้วย
เพื่อสามวันถัดไป ศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยต่างก็เตรียมตัวการเดินทาง
อย่างไรก็ตามนี่ไม่เพียงนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่เตรียมตัวสำหรับการแข่งขันระดับภูมิภาค ในเมื่อนิกายหลายสิบทั่วทั้งทวีปตะวันออกต่างก็เตรียมตัวสำหรับกิจกรรมอันยิ่งใหญ่ที่อาจจะส่งผลกระทบต่ออนาคตของนิกายของพวกเขาอยู่ในขณะนี้
ในเวลานั้น ที่ตระกูลซู
“ซูหยิน ออกมาหน่อยลูก สำนักหงส์สวรรค์ได้ส่งคนมาที่นี่เพื่อที่จะรับเจ้าไปเพื่อการแข่งขันระดับภูมิภาค”
ซูซุนยืนอยู่นอกห้องซูหยินตะโกนเรียกเธอให้ออกมา
นับตั้งแต่ซูหยางมาเยี่ยม ซูหยินได้เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง และใช้ความโกรธต่อชิวเยว่ซึ่งเธอเชื่อว่าเป็นต้นเหตุให้ซูหยางเปลี่ยนเป็นคนละคนเป็นเชื้อเพลิงฝึกฝนตนเองราวกับคนบ้าหวังที่จะได้รับพลังอำนาจที่จะช่วยพี่ชายที่รักจากอีกฝ่าย
เวลาต่อจากนั้นสุดท้ายประตูก็เปิดออก และซูหยินก็เดินออกมาจากห้องอย่างช้าๆ
“ซูหยิน..”
ซูซุนตกใจที่เห็นซูหยินซึ่งดูเหมือนกับว่าเธออดนอนมาเป็นเวลาหลายวันปรากฏตัวขึ้น
“จ-เจ้ายังดีอยู่หรือไม่” เขาถามเธอโดยไม่รู้ตัว
อย่างไรก็ตามเมื่อซูซุนพลันสังเกตเห็นกลิ่นอายอันล้ำลึกของเธอ ดวงตาเขาก็เบิกโพลงด้วยความตระหนก
“ระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณ”
ซูซุนเกือบล้มลงก้นจ้ำเบ้า
หลังจากเก็บตัวฝึกฝนเกือบหกเดือน พลังการฝึกปรือของซูหยินก็พุ่งทะยานจากระดับสามเขตสัมมาวิญญาณไปยังระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณ ความเร็วที่ซึ่งเธอได้ก้าวหน้าไปนั้นน่าตกใจ กล่าวแล้วยังน้อยไป
อย่างไรก็ตามถึงจะมีความสุขเพียงใดที่เห็นลูกสาวของเขาก้าวหน้าขึ้น ซูซุนก็อดไม่ได้ที่จะกังวลว่าซูหยินอาจจะกดดันตนเองมากเกินไป
“ซ-ซูหยิน…ผู้อาวุโสเฉินรอคอยเจ้าอยู่ในห้องนั่งเล่น การแข่งขันระดับภูมิภาคเหลือไม่ถึงเดือนแล้ว และเธอมาที่นี่เพื่อที่จะพาเจ้าไปยังเมืองหิมะร่วงเพื่อลงทะเบียน”
ซูหยินพยักหน้าและไปพบกับผู้อาวุโสเฉิน
“ระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณ”
เมื่อผู้อาวุโสเฉินเห็นพลังการฝึกปรือของซูหยิน เธอก็เหมือนกับซูซุน ดวงตาของเธอเบิกกว้างด้วยความตระหนก
ซูหยินอายุเพียงสิบห้าปี แต่เธอกลับสามารถเข้าถึงระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณได้ พรสวรรค์เช่นนี้หายากเป็นอย่างยิ่งแม้กระทั่งในนิกายที่ใหญ่ที่สุดในทวีปนี้ และถ้าส่งเสริมอย่างดีอนาคตของเธอนั้นไม่มีขีดจำกัด
“พวกเรารออะไรกันอยู่ ท่านผู้อาวุโสเฉิน รีบไปเมืองหิมะร่วงกันเถอะ” ซูหยินกล่าวกับอีกฝ่ายที่ยังคงตื่นตะลึง
“ช-ใช่ๆ”
“ด-เดี๋ยวก่อน ข้าไปด้วย”
ขณะที่พวกเธอกำลังจะจากไป ซูซุนและคนรับใช้อีกสองสามคนก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังพวกเธอ ซึ่งพวกเขาได้วางแผนที่จะไปยังการแข่งขันระดับภูมิภาคเพื่อให้กำลังใจซูหยิน
DC บทที่ 300: ยังมีที่และเวลาสำหรับเรื่องนี้ (ฟรีตอนถัดไป)
สามวันหลังจากนั้นที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย คนประมาณแปดสิบคนก็มารวมตัวกันหน้านิกาย
“ข้าจักพูดเช่นนี้ก่อนที่การแข่งขันระดับภูมิภาคจะเริ่มขึ้น มิว่าผลลัพธ์ของพวกเจ้าจะเป็นเช่นไร ข้าย่อมภาคภูมิใจกับพวกเจ้า แน่นอนว่ามันคงดีต่อสำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยถ้าพวกเจ้าชนะสักสองสามรอบ ซึ่งถ้าให้กล่าวไปก็คืออย่ากดดันตัวเองมากจนเกินไป ในเมื่อข้ามิอาจยอมสูญเสียพวกเจ้าสักคนในที่นี้” โหลวหลานจีกล่าว
แม้ว่าการแข่งขันระดับภูมิภาคห้ามการเข่นฆ่า แต่อุบัติเหตุย่อมเกิดขึ้นได้ ดังนั้นจึงยังคงมีความเสี่ยงอยู่
“ขอรับ ผู้นำนิกาย”
เหล่าศิษย์ต่างพากันรับคำด้วยความตื่นเต้น
“เอาล่ะ ตอนนี้เป็นการตระเตรียม…”
โหลวหลานจีชี้ไปยังเกวียนสิบกว่าคันด้านนอกทางออก แต่ละคันใหญ่มากพอที่จะบรรจุคนได้ห้าถึงหกคน
“ผู้อาวุโสนิกายและข้าจักอยู่ในเกวียนคันแรก ผู้เข้าร่วมการแข่งขันจักนั่งอยู่เกวียนคันที่สองและสามจากข้างหน้า ส่วนคนที่เหลือจักอยู่ในเกวียนคันที่เหลือ”
ก่อนที่เกวียนจะออกเดินทาง ผู้คนที่จะต้องอยู่ด้านหลังในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยต่างก็กล่าวคำอำลา
“โชคดี ศิษย์ทั้งหลาย” หลานลี่ชิงยิ้มให้กับพวกเขาด้วยท่าทางสะสวย สายตาของเธอส่วนใหญ่แล้วตกอยู่บนเกวียนคันที่บรรทุกซูหยาง
สองสามนาทีหลังจากนั้น เกวียนที่บรรทุกเหล่าศิษย์ก็ออกจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
ในเวลานั้น ภายในเกวียนที่บรรทุกซูหยางและศิษย์คนอื่นอีกห้าคน ซุนจิงจิงก็พูดขึ้น “พวกเจ้าคิดว่าโอกาสที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะชนะการแข่งขันระดับภูมิภาคครั้งนี้มีมากน้อยเพียงใด นี่เป็นครั้งแรกที่ข้ามีส่วนร่วมกิจกรรมที่ใหญ่มากเช่นนี้”
“แม้ว่าที่นั่นจะมีผู้ฝึกวิชามากมายในเขตสัมมาวิญญาณและกระทั่งอัจฉริยะในเขตปฐพีวิญญาณ ข้าก็มิเห็นว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะพ่ายแพ้ในการแข่งขันระดับภูมิภาคนี้…ไม่ว่าอะไรก็ตาม”
ฟางซีหลานให้ความเห็น หางตาของเธอเหลือบไปมองยังซูหยางที่นั่งหลับตาอยู่ตรงกลางอย่างสบายๆ
“โอ ใช่ ศิษย์พี่หญิงฟางได้อันดับสุดท้าย หึ”
ฟางซีหลานพยักหน้า ถ้าจะกล่าวไปแล้วนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยรั้งอันดับสุดท้าย… และนั่นไม่ใช่เป็นการสูญเสียเล็กน้อย ความจริงแล้วจากทั้งหมดหลายสิบสำนักที่เข้าร่วม นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยติดอันดับสุดท้าย
“อะไรที่ทำให้ศิษย์พี่หญิงฟางคิดว่าพวกเราจักชนะการแข่งขันระดับภูมิภาคครั้งนี้ ความมั่นใจเช่นนี้ต้องมีเหตุผล”
ซุนจิงจิงถาม
“เจ้าจักเข้าใจเมื่อเวลานั้นมาถึง…” ฟางซีหลานตอบด้วยท่าทางเรียบเฉย
นอกจากว่าจะมีสัตว์ประหลาดคนอื่นที่มีพลังการฝึกปรือเขตอัมพรวิญญาณปรากฏขึ้นในการแข่งขันระดับภูมิภาคอย่างสมน้ำสมเนื้อกับตัวตนของซูหยาง นอกจากชัยชนะแล้วไม่มีความเป็นไปได้อื่นอีกสำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย
“อย่างนั้นรึ…”
“ว่าไปแล้ว พวกเรามีเวลาถึงเจ็ดวันก่อนที่พวกเราจะไปถึงเมืองหิมะร่วง พวกเราควรทำอะไรดีจนกว่าจะถึงตอนนั้น” ซุนจิงจิงซึ่งไม่ใช่คนประเภทที่จะนั่งอยู่เฉยๆโดยไม่ทำอะไรถามพวกเขา
ศิษย์คนอื่นในเกวียนต่างสบสายตากัน พวกเธอจะสามารถทำอะไรได้ในที่แคบๆแบบนี้
เมื่อถึงตอนนี้ซูหยางก็ลืมตาขึ้นและกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าว่า “ข้ามีข้อเสนอ”
“อืม อะไรรึ”
“ทำไมพวกเรามิร่วมฝึกฝีมือกันจนกระทั่งเราไปถึงจุดหมาย นั่นยังมีเวลาเหลืออีกนับเดือนก่อนที่การแข่งขันระดับภูมิภาคจะเริ่มขึ้น เราสามารถใช้เวลานี้เพิ่มพลังการฝึกปรือของพวกเราให้มากขึ้นเท่าที่จะเป็นไปได้”
“…”
พวกเธอที่อยู่ตรงนั้นต่างพากันมองเขาด้วยสีหน้าตกตะลึง
“จ-เจ้าต้องการฝึกคู่รึ…. แม้ว่าข้าจะเห็นด้วยกับความคิดนี้ พวกเราจะไปหาสถานที่สำหรับเรื่องนี้จากที่ไหน” ซุนจิงจิงถาม
“สถานที่ เกวียนคันนี้มีที่ว่างมากมาย” ซูหยางตอบกลับอย่างเยือกเย็น
“…”
ทั้งเกวียนพลันเงียบสงัด
“เจ้าต้องการฝึกวิชาคู่ที่นี่… แต่นี่ย่อมหมายความว่า…”
บรรดาหญิงสาวในเกวียนต่างพากันสบตากันด้วยความกระอักกระอ่วน แม้ว่าทุกคนที่นั่นต่างก็ร่วมฝึกวิชากับซูหยางมาก่อน แต่พวกเธอก็ไม่เคยทำสิ่งนี้โดยมีคนอื่นอยู่ด้วย อย่าว่าแต่มีคนมากมายเพียงนี้
หลังจากเงียบไปชั่วขณะ หนึ่งในศิษย์เหล่านั้นก็พูดขึ้นว่า “ข-ข้ามิถือ”
เมื่อคนแรกเห็นด้วยก็เหมือนกับปรากฏการณ์ของคลื่น ที่เหลือล้วนตกลงอย่างรวดเร็วหลังจากนั้น
“นี่ค่อนข้างน่าตื่นเต้น อือ…”
“ข้ามิเคยคิดมาก่อนว่าข้าจักร่วมฝึกวิชาในห้องเดียวกันกับศิษย์พี่หญิงฟาง…” ซุนจิงจิงหัวเราะหึ
“…”
แม้ว่าเธอจะดูเยือกเย็นในภายนอก ฟางซีหลานก็ยังคงตื่นเต้นอยู่เล็กน้อยกับสถานการณ์นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนี่เป็นครั้งแรกที่เธอจะต้องร่วมแบ่งปันคู่ฝึกของเธอกับคนอื่นระหว่างกิจกรรมการฝึกของเธอ
“เช่นนั้นเพื่อมิให้เป็นเรื่องยุ่งยาก…”
โดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า ซูหยางก็เริ่มถอดชุดของเขาออก
“ใครจะเป็นคนแรก” เขาถามด้วยรอยยิ้ม
–
–
–
ในเวลานั้นภายในเกวียนของผู้นำนิกาย ผู้อาวุโสคนหนึ่งก็ถามขึ้น
“ท่านผู้นำนิกาย โอกาสที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะชนะการแข่งขันระดับภูมิภาคในปีนี้เป็นอย่างไร”
“แม้ว่าศิษย์ของพวกเราจะก้าวหน้าอย่างน่ากลัวแต่โอกาสที่พวกเราจะชนะในการแข่งขันระดับภูมิภาคค่อนข้างต่ำ ศิษย์ของเราจักต้องต่อสู้กับอัจฉริยะจากสำนักที่ใหญ่และทรงอำนาจกว่า พวกที่ฝึกฝนศิษย์มาสำหรับการต่อสู้ สิ่งที่พวกเรานิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยขาดเป็นอย่างมาก”
จุดอ่อนหลักอย่างหนึ่งของศิษย์จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็คือพวกเขาใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกฝนโดยไม่สนใจกับความสามารถในการต่อสู้ ดังนั้นจึงเป็นเหตุที่ทำไมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจึงพ่ายแพ้หมดรูปในครั้งที่แล้วแม้ว่าพลังการฝึกปรือของพวกเขาจะสูง
“ในอนาคต ถ้าเราสามารถฟื้นคืนนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของเราไปถึงสภาพเดิมได้จริงๆ ข้าจักต้องให้มั่นใจว่าศิษย์ของเราจักได้รับการฝึกฝนอย่างเหมาะสม…” โหลวหลานจีนึกถอนใจ
“พูดถึงการแข่งขันระดับภูมิภาค เจ้าหญิงของตระกูลเซียก็จักไปที่นั่นด้วย ใช่ไหม” หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายถาม
“นั่นถูกต้องแล้ว อย่างไรก็ตามนี่จักเป็นปัญหากับพวกเราในเมื่อการปรากฏตัวของเธอจักทำให้ผู้เข้าร่วมการแข่งขันคนอื่นยิ่งจริงจังยิ่งขึ้นและยิ่งอันตรายยิ่งขึ้น”
“เพียงเพื่อให้เธอประทับใจเท่านั้น หึ ศิษย์ของพวกเราจักต้องประสบความยากลำบากในครั้งนี้… บางทีอาจจะยิ่งกว่าการแข่งขันครั้งที่แล้ว”
“อาาาาาา”
ทันใดนั้นเสียงของใครสักคนครวญครางก็เข้ามาในเกวียนของพวกเขา
“อะไรกันวะ สั–”
ผู้อาวุโสนิกายสบสายตากันเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคยแต่ชวนงุนงงนั้น
โหลวหลานจีขมวดคิ้วและใช้ปราณไร้ลักษณ์เพื่อประเมินสถานการณ์ และทันทีที่เธอมองเข้าไปในเกวียนที่บรรทุกซูหยางและตระหนักถึงสถานการณ์สีหน้าของเธอก็มีแต่ความงงงวย
ผู้อาวุโสนิกายคนอื่นต่างก็ตระหนักถึงสถานการณ์ในเวลาไม่นานหลังจากนั้น
“ซ-ซูหยางคนนี้เป็นบ้าไปแล้ว เขากระทั่งร่วมฝึกคู่กับเหล่าศิษย์ภายในเกวียน”
หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายอุทานออกมา เสียงของเธอมีแต่ความไม่อยากเชื่อและชื่นชมกับความกล้าของเขา
“ยังมีที่และเวลาสำหรับเรื่องนี้อีก นี่ช่างไร้ยางอายเกินไปแล้วถึงแม้จะเป็นศิษย์ของพวกเราก็ตาม”
“จ-เจ้าเลวนั่น…ทำให้หลานสาวของข้าทำเรื่องแบบนี้ เขาไร้ความละอาย” ผู้อาวุโสซุนสั่นสะท้านไปด้วยความโกรธ อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเขาต้องการที่จะระเบิดเข้าไปในเกวียนของพวกัน้นและหยุดยั้งการกระทำนี้ แต่เขาก็ต้องต้านแรงกระตุ้นนั้นไว้ ในเมื่อเขาไม่ต้องการที่จะถูกซุนจิงจิงเกลียดกับการกระทำเช่นนี้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น