Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน 287-292
DC บทที่ 287: เติบโตเต็มวัย
ทั้งห้องเงียบสงัดไปหลังจากที่เซียวไป่กลืนใบสุดท้ายของหญ้าเงินเจ็ดใบ และเพื่อไม่เป็นการรบกวนเธอ พวกเขาได้ย้ายไปอยู่มุมห้องมองดูการเปลี่ยนแปลงของเซียวไป่
“…”
“…”
“…”
อย่างไรก็ตามเมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้นหลังจากที่รอมานานหลายนาที โหลวหลานจีก็มีท่าทางสงสัย
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมจึงไม่มีอะไรเกิดขึ้น เราได้รออยู่ตั้งครึ่งชั่วโมงแล้วตอนนี้”
“ข-ข้ามิทราบ…”
ฟางซีหลานส่ายหน้า
พวกเขาหันไปมองดูซูหยาง หนึ่งเดียวที่อาจจะมีคำตอบให้กับพวกเธอ
“แม้ว่าพวกเจ้าอาจจะมิเห็นทางกายภาพ เธอตอนนี้ได้อยู่ในขั้นตอนการเติบโตเต็มวัยแล้ว”
ซูหยางพูด
“เธอได้อยู่ในขั้นตอนแล้วรึ”
พวกเธอหันไปมองดูเซียวไป ซึ่งยังนั่งอยู่ที่นั่นพร้อมกับหลับตาเหมือนกับรูปสลักหิน
หลังจากที่รอไปอีกสองสามนาที ซูหยางก็หรี่ตาและกล่าวว่า “มาแล้ว”
วินาทีที่ซูหยางพูดเช่นนั้น เซียวไปก็ลืมตาและอ้าปากปลดปล่อยเสียงคำรามน่าครั่นคร้าม ซึ่งเหนือกว่าการคำรามครั้งก่อน
แรงกดดันจากเสียงคำรามทรงพลังมากจนกระทั่งทั้งโหลวหลานจีและฟางซีหลานคุกเข่าลงบนพื้น รู้สึกเหมือนกับว่าพวกเธอพลันแบกหินก้อนใหญ่ไว้
อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นของเซียวไป่
เมื่อเวลาผ่านไป เสียงคำรามของเซียวไปก็ยิ่งทรงพลังมากขึ้นลึกล้ำขึ้น จนถึงขั้นที่ว่าฟางซีหลานกระอักเลือดออกมาคำใหญ่
เมื่อเห็นเช่นนั้นซูหยางก็คลุมฟางซีหลานไว้ด้วยปราณไร้ลักษณ์ไว้ชั้นหนึ่ง ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังสวมเสื้อคลุมบนร่าง
“ข-ขอบคุณ…” ฟางซีหลานเช็ดเลือดจากปาก
ซูหยางไม่ได้กล่าวอะไรและมองดูเซียวไป่ต่อไป
“วิญญาณพิทักษ์เป็นสัตว์อันตรายที่เป็นที่รักของสวรรค์จริงๆ กระทั่งเธอเป็นแค่วิญญาณพิทักษ์ระดับต่ำ พลังอำนาจของเธอก็สามารถสยบโลกนี้ได้อย่างง่ายดาย…”
หลังจากผ่านเวลาไปอีกสองสามนาทีจากการทนทุกข์ทรมานจากเสียงคำรามของเซียวไป่ สุดท้ายเธอก็สงบลง
ทั้งโหลวหลานจีและฟางซีหลานมองไปยังเซียวไป่ที่เปลี่ยนแปลง
อย่างไรก็ตามเมื่อพวกเธอสังเกตเห็นว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงให้เห็นเด่นชัด พวกเธอก็เกิดความกังวล
“เกิดอะไรขึ้น ซูหยาง นอกจากที่ตัวเธอจะเพิ่มขนาดขึ้นเล็กน้อย เธอก็เหมือนกับไม่เปลี่ยนแปลงอะไรไปแม้แต่น้อย หรือว่าการเติบโตล้มเหลว”
โหลวหลานจีถามเขาด้วยใบหน้ากังวล
“พวกเจ้าพูดอะไรกัน เสือหิมะตอนนี้เติบโตเต็มที่แล้ว”
เขาตอบ
“อะไรกัน เซียวไปโตเต็มวัยแล้วรึตอนนี้ แต่เธอยังดูเหมือนเดิม เพียงแค่โตขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย”
พวกเธอยังคงสงสัย
ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวว่า “รูปร่างหน้าตาของเธอจักเติบโตไปตามธรรมชาติ ดังนั้นเธอย่อมมิกลายเป็นเสือขนาดโตเต็มวัยได้ภายในไม่กี่นาที”
เขากล่าวต่อว่า “มองดูที่พลังการฝึกปรือของเธอสิแล้วพวกเจ้าก็จักเข้าใจ”
โหลวหลานจีและฟางซีหลานวางมือลงไปบนเซียวไปเพื่อรับรู้พลังการฝึกปรือของเธอ ในเมื่อนี่เป็นวิธีเดียวสำหรับคนทั่วไปในการวัดพลังการฝึกปรือของวิญญาณพิทักษ์ได้อย่างถูกต้องเนื่องมาจากพวกเธอมีความสามารถในการปิดบังตัวตนและพลังปราณไร้ลักษณ์ของพวกเธอได้ตามธรรมชาติ
“เขตปฐพีวิญญาณ”
พวกเธอทั้งคู่ต่างพากันอุทานออกมาโดยพร้อมเพรียงกันสองสามวินาทีถัดมา
“มิมีทาง… เซียวไป่เพียงแค่อยู่ในเขตสัมมาวิญญาณระดับสี่ก่อนที่จะกินหญ้าเงินใบสุดท้าย”
ฟางซีหลานมีสีหน้าไม่อยากเชื่อ
“พวกเจ้าพากันตกใจกับรายละเอียดเล็กน้อยแค่นี้ไปแล้วรึ หากเป็นเช่นนี้พวกเจ้าคงมิอาจรับได้กับการเติบโตขั้นต่อไป”
ซูหยางพลันกล่าวขึ้น
“จ-เจ้าหมายความว่ากระไรเช่นนั้น มิใช่เจ้าบอกว่าเซียวไป่เติบโตเต็มวัยแล้วรึ”
“นั่นก็เป็นไปตามที่ข้าพูด อย่างไรก็ตาม เสือหิมะมีการโตเต็มวัยสองขั้น และเซียวไปก็เพียงอยู่ในขั้นแรก”
“อะไรกัน”
ฟางซีหลานและโหลวหลานจีตากลมโตเหมือนกับจานรองแก้ว ทำไมเขาจึงเพิ่งมาบอกพวกเธอในข่าวสารเรื่องสำคัญเช่นนั้นตอนนี้
“พวกเจ้าคงต้องสงสัยว่าทำไมข้าจึงบอกพวกเจ้าเรื่องนั้นตอนนี้ นั่นง่ายดายมาก ก็เพราะว่าโอกาสที่เซียวไปจะก้าวไปถึงการเติบโตขั้นที่สองของเธอนั้นใกล้เคียงกับศูนย์”
“เจ้ารู้เรื่องนั้นได้อย่างไร”
โหลวหลานจีถาม
“เพราะว่าปริมาณปราณไร้ลักษณ์ที่เธอต้องการเพื่อที่จะไปให้ถึงจุดนั้นมีไม่เพียงพอ และที่แห่งนี้ธรรมดาก็ไม่สามารถที่จะเติมเต็มความต้องการนั้นได้”
เมื่อซูหยางพูดถึง “สถานที่” เขาไม่ได้หมายถึงนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยนี้ หรือหมายถึงทวีปตะวันออก
กลับกันนั่นหมายถึงโลกแห่งนี้ โลกนี้ที่มีไม่ถึงหนึ่งในพันของทรัพยากรในการฝึกปรือที่สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่จะสามารถจัดหามาให้ได้
อีกนัยหนึ่งก็เหมือนกับชิวเยว่กับการฝึกปรือของเธอ ไม่ว่าเซียวไปจะฝึกฝีมือมากมายแค่ไหน ตราบเท่าที่เธอยังคงอยู่ในโลกแห่งนี้ที่มีพลังปราณไร้ลักษณ์ต่ำต้อย เธอก็ไม่อาจที่จะบรรลุถึงความสามารถสูงสุดของเธอได้
และนี่ก็เป็นปัญหาที่ไม่อาจแก้ได้แม้กระทั่งความรู้อันกว้างขวางทั้งประสบการณ์ในฐานะเซียนของซูหยาง
“กล่าวไปแล้ว เธอจักมีพลังอำนาจมากเพียงพอที่จะปกป้องสถานที่แห่งนี้จากอันตรายทุกอย่างในอนาคต ที่เขตปฐพีวิญญาณเธอจักจัดการได้แม้กระทั่งจอมยุทธเขตอัมพรวิญญาณอย่างง่ายดาย”
“เซียวไปทรงพลังเช่นนั้นในตอนนี้เลยหรือ”
ใบหน้าโหลวหลานจีมีท่าทางดีใจ เมื่อมีเซียวไป่ก็เหมือนกับมีจอมยุทธเขตอัมพรวิญญาณอยู่ในนิกาย
“อย่างไรก็ตามไม่ใช่ในตอนนี้เสียทีเดียว หากปราศจากประสบการณ์การต่อสู้ กระทั่งตัวตนที่ทรงอำนาจก็มิมีค่าอะไรต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญ ถ้าเธอต้องสู้กับจอมยุทธเขตอัมพรวิญญาณในตอนนี้ เธอจักพบแต่ความพ่ายแพ้”
ซูหยางชี้ไปยังเซียวไปและพูดกับฟางซีหลาน “เจ้าต้องพาเธอออกไปในป่าเป็นบางครั้งเพื่อสู้กับสัตว์ร้าย เพื่อที่เธอจะได้สะสมประสบการณ์การต่อสู้ นั่นจะเป็นสิ่งสำคัญในการเติบโตต่อไปในภายภาคหน้าของเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตอนนี้เธอได้โตเต็มที่แล้ว”
“เจ้ามั่นใจรึว่านั่นเป็นความคิดที่ดี วิญญาณพิทักษ์จักดึงดูดความสนใจที่ไม่จำเป็น”
เป็นโหลวหลานจีที่มีแสดงท่าทีเป็นกังวลเป็นอันดับแรก
“มิมีปัญหาอะไร ตราบเท่าที่เจ้ามิได้ผ่านไปพบกับคนที่มีวิชาสายตาพิเศษเฉพาะหรือคนที่มีความรู้เชี่ยวชาญทางด้านเสือหิมะ มิมีใครจักจดจำมันได้ ตามจริงถ้ามีใครสักคนถามก็เพียงบอกว่าเธอเป็นเสือขนเงินในเมื่อพวกเธอค่อนข้างจะคล้ายคลึงกัน”
“อย่างนั้นรึ..”
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ โหลวหลานจีก็พยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าได้ตัดสินใจแล้ว ศิษย์ฟาง เจ้าคงต้องพาเซียวไป่ไปข้างนอกเพื่อฝึกฝนเมื่อไหร่ก็ตามที่เป็นไปได้ นี่จักเป็นประโยชน์มิเพียงต่อนิกายของเราแต่ทั้งต่อตัวเซียวไปเองด้วย ในเมื่อเธอจักสามามารถได้เรียนรู้ที่จะปกป้องตนเอง”
ฟางซีหลานไม่ได้มีปัญหาอะไรในเรื่องนี้ เธอพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้วท่านผู้นำนิกาย”
DC บทที่ 288: ลิ้มลองซุนจิงจิง
ซูหยางและโหลวหลานจีปล่อยให้ฟางซีหลานและเซียวไปอยู่ตามลำพังหลังจากนั้นไม่นาน
“ซูหยาง รอสักครู่”
โหลวหลานจีหยุดเขาไว้ก่อนที่เขาจะทันได้จากไป
“มีเรื่องอะไรรึ ผู้นำนิกาย หรือว่าเจ้าเปลี่ยนใจและตัดสินใจที่จะด่าข้าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสองสามวันก่อน”
ซูหยางถามพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
“ฮึ่ม แม้ว่าข้ามิลงโทษเจ้าเรื่องนั้น ข้ายังคงมิลืมสิ่งที่เจ้าได้ทำไว้กับหน้าข้า และข้าหวังว่าเจ้ายังคงมิลืมเรื่องนั้นเช่นกัน”
ซูหยางเลิกคิ้วคิดสงสัยว่าเธอพูดถึงเรื่องอะไร
หลังจากคิดอย่างรวดเร็วชั่วขณะ สุดท้ายเขาก็นึกได้ถึงเหตุการณ์ที่เขาได้ตบหน้าเธอเพื่อปลุกให้ตื่นขึ้นจากการหลับไหลอย่างยาวนานของเธอ
“โอ เรื่องนั้นรึ มีอะไรรึ” เขาตอบสนองแบบผ่านๆ
“ข้าจักให้บทลงโทษเจ้าในตอนนี้”
ซูหยางไม่ได้พูดอะไรและรอให้เธอพูดต่อ
“สำหรับการลงโทษที่ตบหน้าข้า ข้าจักให้เจ้าอบรมศิษย์รุ่นเยาว์สักหลายวัน”
ซูหยางเลิกคิ้วอีกครั้ง เขาจักฝึกอบรมศิษย์รุ่นเยาว์รึ
“ปกติแล้วมิใช่ว่าจะต้องเป็นผู้อาวุโสนิกายทำหน้าที่นี้รึ เจ้ามั่นใจว่าเจ้าต้องการให้ข้าที่เป็นศิษย์ไร้ประสบการณ์และการศึกษาให้ไปอบรมผู้ที่เป็นอนาคตของนิกายนี้”
ซูหยางถาม
เมื่อซูหยางพูดออกมาเช่นนี้ ทำให้โหลวหลานจีทบทวนการตัดสินใจของเธออีกครั้ง
อย่างไรก็ตามหลังจากที่นึกถึงชายกลอกกลิ้งซูหยาง เธอก็พูดขึ้น “แม้ว่าข้าจะเรียกมันว่าเป็นการอบรม เจ้ามิจำเป็นต้องเขียนหรืออ่านในเรื่องนี้ ดังนั้นจึงไม่มีปัญหา ตามจริงหัวข้อของการอบรมจักตัดสินใจโดยตัวเจ้าเอง ผู้ให้การอบรม”
“เช่นนั้นหมายความว่าข้าสามารถทำการอบรมอะไรก็ได้ที่ข้าต้องการให้มันเป็น”
“ใช่แล้ว”
โหลวหลานจีพยักหน้า
“อย่างไรก็ตามให้กล่าวไปแล้ว หัวข้อต้องอยู่ในขอบเขตความเชี่ยวชาญของพวกเรา นั่นก็คือการฝึกวิชาคู่”
“นั่นมิมีปัญหา ใช่ว่าข้าจักมิรู้อะไรเลย”
ซูหยางยักไหล่พร้อมรอยยิ้ม
“เช่นนั้นเมื่อไหร่ข้าจักเริ่ม และต้องอบรมมากน้อยกี่ครั้งที่ข้าต้องจัดให้”
“ข้ามิสนใจว่าเมื่อไหร่ที่เจ้าตัดสินใจที่จะให้การอบรมเหล่านี้ แต่นั่นต้องอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ส่วนสำหรับกี่ครั้งนั้น…”
หลังจากคิดไปชั่วขณะ เธอก็กล่าวต่อว่า “เจ็ด ข้าต้องการให้เจ้าอบรมให้เจ็ดครั้ง เจ้าสามารถทำทุกอย่างนี้ได้ภายในหนึ่งอาทิตย์ หรือเจ้าสามารถยืดเวลาออกเป็นเป็นเจ็ดอาทิตย์ก็ได้ ตราบเท่าที่เจ้าอบรมครบเจ็ดครั้ง ข้าจักยกโทษให้สำหรับการตบหน้าสวยของข้า”
ซูหยางไม่ได้ปฏิเสธแม้แต่น้อยและทำการพยักหน้า
“เช่นนั้นก็ดี ข้าจักให้การอบรมศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้”
ที่โหลวหลานจีไม่รู้ก็คือซูหยางได้พิจารณาที่จะสอนเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้ไปสองสามอย่างก่อนที่เธอจะมาหาเขาเรียบร้อยแล้ว ตามจริงกระทั่งแม้ไม่มีการลงโทษนี้ เขาก็จะไปหาเธอและขออนุญาตสอนเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์
เหตุผลที่เขาต้องการสอนเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้นั้นง่ายดาย เขารู้สึกว่าคุณภาพโดยรวมของการฝึกวิชาคู่ในสถานที่แห่งนี้ค่อนข้างแห้งแล้งน่าเบื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานที่ที่เชี่ยวชาญเฉพาะในด้านนี้ ดังนั้นเขาต้องการที่จะยกระดับมาตรฐานขึ้นหนึ่งถึงสองระดับ
“ในเมื่อเจ้าเข้าใจแล้ว ก็เพียงใช้ป้ายหยกนี้แจ้งพวกเขาถึงวันที่เจ้าจักให้การอบรม”
โหลวหลานจีทิ้งเขาไว้ตามลำพังหลังจากที่ให้ป้ายหยกแก่เขา
บนหนทางกลับบ้าน ซูหยางก็ครุ่นคิดว่าเขาควรจะอบรมศิษย์รุ่นเยาว์อย่างไร
“ประสบการณ์การใช้มือจักยังคงเป็นไปไม่ได้เมื่อพิจารณาถึงอายุของพวกเขา แต่นั่นยังมีวิธีอื่นๆอีกหลายวิธีในการสอนพวกเขา”
หลังจากที่กลับถึงบ้าน ซูหยางก็เริ่มเตรียมอุปกรณ์สำหรับการอบรม
–
–
–
วันถัดมาแขกที่ไม่คาดคิดก็มายังที่พักของซูหยาง
“ซูหยาง เจ้าว่างหรือเปล่าตอนนี้”
ซุนจิงจิงซึ่งยืนอยู่ด้านนอกประตูถามเขา
“ข้าว่าง”
“นั่นดีจริง”
ซุนจิงจิงพยักหน้า
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เธอก็กล่าวต่อว่า “เช่นนั้นเจ้าต้องการร่วมฝึกกับข้าไหม”
ซูหยางเลิกคิ้วรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับการตรงเข้ามาในทันทีของเธอ
“เจ้า… เจ้ามิต้องการข้าเป็นคู่ฝึกรึ”
ซุนจิงจิงถามหลังจากที่ไม่ได้รับคำตอบเป็นเวลาสองสามวินาที
ซูหยางหัวเราะเล็กน้อยและกล่าวว่า “ข้าเพียงแค่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยเนื่องมาจากมันเกิดขึ้นกระทันหัน เข้ามาข้างในสิ ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ร่วมฝึกกับเจ้า”
ครั้นเมื่อพวกเขาเข้าไปข้างใน ซุนจิงจิงก็นั่งลงไปบนเตียงของเขาด้วยท่าทางแข็งกระด้าง ดูเหมือนจะกังวลกับสถานการณ์
ความจริงแล้วนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของเธอที่รู้สึกกังวลมากเช่นนี้
“อืม… บอกเจ้าตามตรง ข้ายังคงบริสุทธิ์อยู่… ดังนั้นนี่จึงเป็นครั้งแรกของข้า…”
ซุนจิงจิงตัดสินใจที่จะบอกเขาตามความเป็นจริง สิ่งที่เขารู้อยู่แล้วตั้งแต่วันแรกที่เขาพบกับเธอ
“และเจ้าตัดสินใจที่จะเลือกข้าเป็นคู่ฝึกคนแรกของเจ้า ข้ารู้สึกเป็นเกียรติ”
“…”
ซุนจิงจิงหน้าแดงกับคำพูดของเขา
เวลาต่อจากนั้นครั้นเมื่อซุนจิงจิงได้เตรียมใจพร้อมแล้ว เธอก็เริ่มถอดชุด
หลังจากนั้นไม่นาน ครั้นเมื่อทั้งคู่เปลือยเปล่าแล้ว ซุนจิงจิงก็ตรงเข้าไปหาซูหยาง
“แม้ว่าข้าจะมีประสบการณ์เป็นศูนย์ในเรื่องนี้ ก็ใช่ว่าข้าจะมิรู้อะไรเลย…”
ซุนจิงจิงตรงเข้าไปจับน้องชายของซูหยางที่แข็งตัวเรียบร้อยแล้ว และเริ่มขยับมือเรียบเนียนของเธออย่างนุ่มนวล
ต่อจากนั้นเธอก็ขยับปากเข้าไปใกล้ปลายยอดและเริ่มเลีย
ครั้นเมื่อเธอคุ้นเคยกับความรู้สึกยั่วเย้านี้ ซุนจิงจิงก็อ้าปากกว้างและรับแก่นแกร่งของซูหยางเข้าไปในปาก
และไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ซุนจิงจิงก็ไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นอีกนอกจากแท่งแกร่งที่อยู่ในปากเธอ ราวกับว่าเธอได้เกิดความติดใจสิ่งนั้นเข้าแล้ว
“อืม..”
“อืมมมมม”
“อืมมมมมมมม”…”
ขณะที่ซุนจิงจิงลิ้มรสทุกซอกหลืบของน้องชายของเขา ซูหยางก็คิดในใจว่า “มิเลวสำหรับครั้งแรกของเธอ…”
แม้ว่าเธอจะแข็งกระด้างและใช้แรงไปบ้างในตอนแรก ซุนจิงจิงก็เรียนรู้การใช้ปากของเธอสร้างความเพลิดเพลินได้อย่างรวดเร็ว และภายในไม่กี่นาทีเธอก็ดูดด่ำกับแท่งของซูหยางราวกับว่าเธอเป็นผู้เชี่ยวชาญ
หลังจากไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ซูหยางก็กล่าวกับเธอว่า “ให้ข้าสร้างความสุขให้กับเจ้าบ้างตอนนี้”
ซุนจิงจิงพยักหน้าและนอนลงบนเตียง ไม่สนใจแม้จะปิดบังร่างกายงดงามแม้แต่น้อย
เธอมีอกขนาดกลาง ร่างกายที่เพรียวไร้ริ้วรอย และกลีบดอกไม้ที่ดูน่าลิ้มลองที่พร้อมที่จะถูกเชยชมได้ทุกขณะตอนนี้
อย่างไรก็ตามซูหยางไม่ได้ทิ่มแทงเธอในทันทีและตัดสินใจที่จะลิ้มลองถ้ำเล็กแฉะชื้นของเธอด้วยปากของเขาก่อน
“อาาาา”
ซุนจิงจิงอ้าปากค้างจากความตื่นเต้นขณะที่ลิ้นของซูหยางกดประทับลงไปบนถ้ำของเธออย่างอ่อนโยน และในชั่วขณะนั้นเธอก็รู้สึกราวกับว่าเธอได้เข้าสู่สรวงสวรรค์ ร่ำร้องครวญครางอย่างพึงพอใจ
DC บทที่ 289: ตระกูลซุนต้องมิยอมแน่
“อาาาา”
“อาาาาาาา”
ยังไม่ถึงห้านาทีนับตั้งแต่ซูหยางเริ่มใช้ลิ้นกับน้องสาวของเธอ ซุนจิงจิงก็หายใจไม่ออกเสียแล้วจากทั้งการร่ำร้องและครวญคราง
“เจ้าต้องการพักหรือไม่”
ซูหยางถามเธอหลังจากผ่านไปอีกไม่กี่นาที
ซุนจิงจิงปาดน้ำตาแห่งความสุขสมออกจากหางตาและส่ายหน้า
“ได้โปรด… ทำต่อ…”
ซูหยางพยักหน้าและยืนขึ้น
จากนั้นเขาก็กดส่วนปลายของแท่งแกร่งเข้าไปในร่องหลืบที่คับแน่นของซุนจิงจิง ก่อนจะฉีกผนึกที่รักษาความบริสุทธิ์ของเธอไว้ออกด้วยการดันอย่างแรงหนึ่งครั้ง
“อาาาาาาาาาา”
รู้สึกถึงซอกหลืบของเธอถูกแยกออกโดยสัตว์ร้ายของซูหยาง ซุนจิงจิงก็ร่ำร้องด้วยเสียงอันดัง
“นี่คือการฝึกวิชาคู่งั้นรึ”
ซุนจิงจิงหลับตาลงเพื่อรับรู้ถึงความรู้สึกอันลึกล้ำที่ไหลเวียนไปทั่วร่างกายเธอ
“อืม…”
“อาาา…”
“อาาาาา…”
ซูหยางทิ่มแทงร่องหลืบของซุนจิงจิงอย่างต่อเนื่องไปอีกครึ่งชั่วโมง และก็เหมือนกับว่าเขากำลังขุดบ่อน้ำเมื่อมีน้ำไหลและพุ่งออกมาจากช่องหลุมอย่างต่อเนื่อง
หลังจากนั้นอีกหลายนาทีของการฝึกวิชาคู่ เมื่อซุนจิงจิงดูเหมือนจะถึงขีดจำกัด ซูหยางก็ปลดปล่อยปราณหยางเข้าไปในตัวเธอ
ซุนจิงจิงร่างสั่นสะท้านทั้งยังปลดปล่อยปราณหยินหยาดสุดท้ายในตัวเธอออกมาด้วย
สองสามนาทีหลังจากเงียบไปชั่วขณะ ซุนจิงจิงก็ถามเขาว่า “ข้ามาอีกได้ไหม…”
“ทุกเวลาที่เจ้าต้องการ” คือคำตอบจากซูหยางพร้อมกับรอยยิ้ม
–
–
–
ต่อจากนั้นหลังจากที่ซุนจิงจิงออกไปจากที่พักของซูหยาง เธอก็เข้าไปพบกับผู้อาวุโสซุน
“เจ้า…. เจ้าทำมันจริงๆ เฮ้อ…”
ผู้อาวุโสซุนพลันรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงกลิ่นอายของเธอได้ทันทีและถอนหายใจลึก
“ใช่แล้ว ข้าฝึกวิชาคู่ร่วมกับเขา”
ซุนจิงจิงพยักหน้า ทั้งเสียงของเธอก็เต็มไปด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจ
“เจ้าเสียใจบ้างไหม” ผู้อาวุโสซุนถาม
“…”
หลังจากเงียบไปชั่วขณะ ซุนจิงจิงก็ยิ้มและกล่าวว่า “ข้าเสียใจ…. ที่ไม่ไปพบเขาในช่วงเวลาก่อนหน้านี้…”
ผู้อาวุโสซุนดวงตาเบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ
“ปู่ ข้าได้ตัดสินใจแล้ว”
ซุนจิงจิงพลันกล่าวขึ้น
“เอ๋ เจ้าหมายความว่าอย่างไรรึ” ผู้อาวุโสซุนถาม
“ข้าต้องการที่จะเชื่อมประสานสายเลือดของเรากับเขา ข้าต้องการตั้งท้องลูกของเขา”
“อะไรกัน นี่ช่างกระทันหันเกินไป” ผู้อาวุโสซุนพลันลุกยืนขึ้นจากที่นั่งและอุทานเสียงดังลั่น
“ฝึกวิชาร่วมกับเขาเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ตั้งท้องลูกของเขาด้วยนี่ เจ้ามิได้คิดบ้างรึว่าเจ้ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร ข้า-ตระกูลซุนต้องมิยอมแน่ อีกทั้งเจ้าก็ยังเด็กเกินไป”
ผู้อาวุโสซุนปฏิเสธความคิดของซุนจิงจิงเสียงแข็ง
อย่างไรก็ตามซุนจิงจิงยังคงเยือกเย็นและกล่าวว่า “ข้ามิได้กล่าวว่านั่นจักเป็นเวลาในเร็ววันนี้ ในเวลาที่ข้าต้องการตั้งท้องลูกของเขา ตระกูลซุนต้องสนับสนุนแน่นอน”
“อะไรที่ทำให้เจ้ามั่นใจปานนี้ว่าตระกูลจักยอมรับ” ผู้อาวุโสซุนขมวดคิ้ว
“ในยุทธภพ พลังอำนาจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด กระทั่งสำคัญยิ่งกว่าชื่อเสียงหรือตำแหน่งฐานะ และเมื่อรู้ว่าตระกูลซุนมักจะไล่ตามชื่อเสียงหรือพลังอำนาจอยู่เสมอมา หากเมื่อพวกเขาได้รู้ตัวตนของซูหยางนั่นเป็นเรื่องธรรมชาติสำหรับพวกเขาที่จะติดตามเขา”
“เจ้าเด็กนั่นทรงพลังมากรึ แม้ว่าข้าจะยอมรับว่าเขาเป็นคนที่มีความพิเศษเฉพาะ นั่นมิได้หมายความว่าต้องเกี่ยวพันกับการมีพลังอำนาจ”
ซุนจิงจิงส่ายหน้าและกล่าวว่า “ปูมิได้เห็นวิธีที่เขาจัดการกับโจรพวกนั้น… ความจริงแล้ว ข้าได้ตัดตอนรายละเอียดบางอย่างในวันนั้นโดยเจตนา…”
คิ้วที่ขมวดของผู้อาวุโสซุนยิ่งเป็นรอยลึกขึ้น
“เจ้าหมายความว่าอย่างไรรึ”
ผู้อาวุโสซุนนึกถึงคำอธิบายของซุนจิงจิงในวันที่มีปฏิบัติการช่วยเหลือ แต่เขาไม่อาจแยกแยะออกมาได้ว่าเธอเจตนาซ่อนอะไรไว้
“ระหว่างการอธิบายของข้า ข้าเพียงกล่าวถึงว่านั่นมีโจรเพียงสองสามคน… อย่างไรก็ตามถ้านั่นเป็นเพียงโจรสองสามคน ทำไมผู้อาวุโสนิกายสี่คนจึงมิสามารถที่จะจัดการพวกนั้นได้ นั่นง่ายดายยิ่งก็เพราะว่าพวกเหล่านั้นทั้งหมดล้วนอยู่ในเขตสัมมาวิญญาณและคัมภีร์วิญญาณ”
“เจ้าพูดว่ากระไรนะ”
ผู้อาวุโสซุนไม่อยากเชื่อว่าตนเองพลาดอะไรบางอย่างเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นกระทั่งผู้นำนิกายและผู้อาวุโสอื่นๆก็พลาดเรื่องนี้ไปเช่นกัน
“ซูหยางเพียงแค่อยู่ในเขตคัมภีร์วิญญาณ สามารถฆ่าโจรทั้งสิบคนด้วยตนเองอย่างง่ายดาย และครึ่งหนึ่งของพวกนั้นอยู่ในเขตสัมมาวิญญาณ มีพลังการฝึกปรือเหนือกว่าเขาถึงหนึ่งขอบเขต… นี่เป็นสิ่งที่กระทั่งปู่ซึ่งอยู่ในระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณก็ยังมิสามารถทำแบบนั้นได้โดยง่าย…”
“ส่วนสำหรับซ่องโจรนั้น… ข้าก็ิมิอาจคาดคิดได้ว่าเขาช่วยเหลือคนพวกนั้นออกมาจากสถานที่แบบนั้นได้อย่างไร…”
“…”
ผู้อาวุโสซุนพลันเงียบไป แต่นั่นไม่ใช่เป็นเพราะว่าเขาตื่นตระหนก กลับกัน เขากำลังครุ่นคิดถึงสิ่งที่ซุนจิงจิงได้กล่าวไว้ก่อนหน้านั้น
“ถ้าข้าจำได้มิผิด เจ้ากล่าวว่าพวกโจรมีชื่อว่า โจรภูผาแดง ใช่ไหม แม้ว่าข้าเพียงได้ยินชื่อพวกนั้นเพียงครั้งเดียวเพราะว่าการปฏิบัติการของพวกนั้นส่วนใหญ่แล้วอยู่ในภาคใต้ มันเป็นเรื่องราวที่พวกโจรเหล่านี้นับพันได้บุกโจมตีเมืองทั้งเมือง เก็บกวาดทุกสิ่งก่อนที่จะเผาเมืองจนกลายเป็นเถ้าถ่าน”
“พ…พันคน… ปู่มั่นใจในเรื่องตัวเลขหรือเปล่า ปู่” ซุนจิงจิงมีท่าทางสงสัย กระทั่งเธอเองก็ยังไม่เชื่อว่าซูหยางสามารถต่อกรกับโจรนับพันได้ในครั้งเดียว
ผู้อาวุโสซุนพยักหน้า “ข้าสามารถทำค้นคว้าเรื่องพวกนั้นได้ แต่ข้าก็ยังมั่นใจว่าพวกนั้นเป็นโจรกลุ่มใหญ่ ถึงแม้จะมิใช่หนึ่งในกลุ่มโจรที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ก็ตาม”
“แต่ถึงแม้ว่าจะมิสนใจกับจำนวนของพวกโจร แค่ความสำเร็จของเขาในการปราบโจรสิบคนนั้นเพียงลำพังก็นับว่ามีค่าควรชื่นชมแล้ว… ต่อให้เขามิได้อยู่ในเขตคัมภีร์วิญญาณก็ตาม”
“เอ๋ ปู่หมายความว่าซูหยางอาจจะก้าวข้ามเขตคัมภีร์วิญญาณเข้าสู่เขตสัมมาวิญญาณแล้วอย่างนั้นรึ” ซุนจิงจิงตั้งคำถาม
“ข้ามิอาจมั่นใจเพราะว่าเขามักจะซ่อนพลังปราณไร้ลักษณ์ของเขา แต่กลิ่นอายของเขามิใช่สิ่งที่เพียงแค่เขตคัมภีร์วิญญาณควรจะมี ข้าจักมิแปลกใจเลยแม้แต่น้อยถ้าเขาได้ก้าวไปถึงเขตสัมมาวิญญาณแล้ว”
อย่างไรก็ตามผู้อาวุโสซุนไม่รู้ว่า ซูหยางไม่ได้ปิดบังปราณไร้ลักษณ์ของเขาแม้แต่น้อย เหตุผลที่ผู้อาวุโสซุนไม่อาจมองเห็นปราณไร้ลักษณ์ของเขาจนคาดเดาว่าซูหยางได้ซ่อนปราณไร้ลักษณ์ของเขานั้น เป็นเพียงเพราะว่าความต่างระหว่างพลังการฝึกปรือของพวกเขานั้นมากเกินไป
“เดี๋ยวก่อน… เจ้าฝึกวิชาร่วมกับเขา มิใช่รึ เจ้ามิสามารถบอกถึงพลังการฝึกปรือของเขาได้รึจากปราณหยางของเขา” ผู้อาวุโสซุนถาม
ซุนจิงจิงยิ้มขื่นขมและกล่าวว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้สัมผัสกับปราณหยาง และปู่คาดจะให้ข้ารู้ถึงวิชาแบบนั้นงั้นรึ”
“อย่างไรก็ตามนั่นมิสำคัญว่าเขาจะอยู่เขตคัมภีร์วิญญาณหรือสัมมาวิญญาณ ข้าได้ตัดสินใจแล้วที่จะทุ่มเทชีวิตไว้กับเขา และมิว่าปู่หรือตระกูลซุนก็เปลี่ยนแปลงมันมิได้”
“ฮาาาา… ดูเหมือนว่าข้าจักต้องกลับไปเยี่ยมตระกูลซุนหลังจากนี้…” ผู้อาวุโสซุนคิดในใจขณะที่แอบถอนใจ
DC บทที่ 290: บรรยายให้แก่ศิษย์รุ่นเยาว์
ในวันเดียวกันสองสามชั่วโมงหลังจากที่ซูหยางร่วมฝึกคู่กับซุนจิงจิง คนที่ไม่คาดคิดอีกคนก็มาปรากฏตัวต่อหน้าซูหยาง
“ซูหยางข้าอยากจะขอบคุณเจ้าที่ช่วยเหลือศิษย์รุ่นเยาว์โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีเยว่ซึ่งข้ารู้จักเธอมาเป็นเวลานานแล้ว ข้ามิอาจคาดคิดได้ว่าจักเกิดอะไรขึ้นกับเธอถ้าเจ้ามิช่วยเหลือเธอไว้จากพวกโจร…”
หลานลี่ชิงน้อมคำนับซูหยางด้วยท่าทางจริงจัง
“ข้าก็เพียงแค่ทำงานในฐานะศิษย์ของที่แห่งนี้เท่านั้น”
“นั่นมิจำเป็นต้องถ่อมตัว” หลานลี่ชิงยิ้ม
เธอกล่าวต่อว่า “อย่างไรก็ตามเจ้าว่างหรือเปล่าตอนนี้ นี่ก็เป็นเวลาพักใหญ่แล้วที่เราได้ร่วมฝึกด้วยกันครั้งล่าสุด เจ้ารู้ไหม”
“แม้ว่าข้าปรารถนาในการร่วมฝึกกับเจ้าตอนนี้ ข้าก็ยังจำเป็นจะต้องไปที่ห้องอบรมในตอนนี้ เจ้าคงมิรังเกียจที่จะรออยู่หลังจากเวลานั้น”
“ห้องอบรมรึ ผู้อาวุโสนิกายคนไหนที่กำลังจะให้การอบรมในตอนนี้รึ” หลานลี่ชิงมั่นใจว่าไม่มีผู้อาวุโสนิกายคนไหนให้การอบรมในเวลานี้
“ข้าเป็นคนที่จักให้การอบรม”
“อะไรกัน ใครจักเป็นคนที่เจ้าให้การอบรม” หลานลี่ชิงมองดูเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“ศิษย์รุ่นเยาว์ ตามที่ผู้นำนิกายได้สั่งไว้”
“ผู้นำนิกายสั่งเจ้าให้อบรมศิษย์รุ่นเยาว์รึ ทำไมเธอจึงทำเช่นนั้น”
“นี่เป็นการลงโทษสำหรับความผิดเล็กน้อยที่ข้าก่อขึ้น” ซูหยางยิ้มออกมาสบายๆ
“อย่างไรก็ตามข้าได้แจ้งเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เรื่องการอบรมไปเรียบร้อยแล้วและข้าก็กำลังจะตรงไปที่นั่นในตอนนี้”
“เจ้าจะว่าอะไรไหมถ้าข้าไปด้วย”
หลานลี่ชิงถาม รู้สึกค่อนข้างสนใจในเรื่องที่ว่าซูหยางจะอบรมเด็กพวกนี้อย่างไร
“นั่นสบายมาก เพราะนี่เป็นการอบรมแบบเปิดเผยอยู่แล้ว”
หลานลี่ชิงพยักหน้าและตามซูหยางไปยังห้องอบรมในเขตศิษย์ใน ในเมื่อที่นั่นเป็นสถานที่ที่ศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งหมดมารวมตัวกัน
เวลาต่อมาเมื่อซูหยางมาถึงห้องฝึกอบรม ศิษย์รุ่นเยาว์ประมาณเจ็ดสิบคนก็พากันทักทายเขา
“สวัสดีตอนเช้า ศิษย์พี่ชาย”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์พากันประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นหลานลี่ชิงที่นั่นเช่นเดียวกัน หรือว่าเธอก็จะเข้าร่วมบรรยายในครั้งนี้ด้วย
“ศิษย์คำนับผู้อาวุโสหลาน”
“ข้ามาที่นี่เพียงแค่มาดูเท่านั้น” หลานลี่ชิงกล่าวขณะที่เธอเดินไปยังด้านหลังของห้องอบรม
หลังจากนั้นไม่นาน ครั้นเมื่อทุกคนนั่งลงแล้ว ซูหยางก็เดินไปยังเวทีและพูดขึ้นอย่างใจเย็นว่า “สวัสดีศิษย์ทั้งหลาย ข้าซูหยาง และข้าจักเป็นผู้อบรมในวันนี้”
“ก่อนที่ข้าจักเริ่มการอบรม ข้ามีคำถามต่อพวกเจ้าทุกคน อะไรคือจุดประสงค์ของการฝึกวิชาคู่”
ศิษย์รุ่นเยาว์สองสามคนพลันยกมือของพวกเขาขึ้นทันที
“เจ้า”
ซูหยางเลือกหนึ่งในนั้นแบบสุ่ม
“ขอรับ”
ศิษย์รุ่นเยาว์ยืนขึ้นและเริ่มอธิบาย “จุดประสงค์ของการฝึกวิชาคู่ก็คือการฝึกพลังยุทธ”
“คำตอบที่ถูกต้องและเรียบง่าย แต่การฝึกวิชาคู่นั้นเป็นมากกว่านั้น มันเป็นความผูกพันระหว่างคนสองคน เป็นสิ่งที่จักคงอยู่ชั่วนิรันดร์หากเจ้าปฏิบัติได้อย่างเหมาะสม”
“พวกเราจักปฏิบัติได้อย่างเหมาะสมได้อย่างไร”
บางคนถามขึ้น
“นั่นจักทำได้ผ่านทางความสุข ยิ่งเจ้าสามารถให้ความสุขแก่คู่ของเจ้ามากเท่าไหร่ ความผูกพันก็จักยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น และสุดท้ายหากเจ้ามิสามารถให้ความสุขแก่คู่ของเจ้า พวกเขาก็แค่จักหาคนอื่นที่สามารถทำได้มาแทน”
“ดังนั้น ความสุขจักเป็นหัวข้อหลักของการอบรมในวันนี้”
“…”
หลานลี่ชิงซึ่งดูการอบรมอย่างเงียบๆ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหลาดใจกับการบรรยายอย่างเยือกเย็นและราบรื่นของซูหยาง แม้ว่าจะเพิ่งเป็นการเริ่มต้น เธอก็สามารถบอกได้ว่าซูหยางมีประสบการณ์ลึกซึ้งในการอบรมผู้อื่น
“ความเยือกเย็นของเขา… บรรยากาศอันลึกล้ำที่อยู่รอบกายเขายามที่กำลังพูด… นั่นราวกับว่าเขาได้ทำเช่นนี้มาเป็นเวลาหลายปี…”
หลานลี่ชิงเริ่มรู้สึกสงสัยว่าซูหยางจะเป็นอาจารย์ที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตที่ผ่านมาหรือไม่
“มีความสุขมากมายหลายประเภทในโลกนี้ แต่ข้าจักเน้นไปยังความสุขประเภทที่มีผลกระทบต่อร่างกายของเจ้า”
ซูหยางพลันเลือกหนึ่งในศิษย์รุ่นเยาว์แบบสุ่ม ซึ่งเป็นผู้ชายและถามเขาว่า “เจ้าจะให้ความสุขกับคู่ของเจ้าได้อย่างไร”
“อืม… โดยการลูบไล้ร่างกายของเธออย่างนุ่มนวลใช่ไหม”
“โฮ่ และส่วนไหนของร่างกายเธอที่เจ้าจะสัมผัส”
“ส่วนล่างมั้ง…” ศิษย์รุ่นเยาว์ตอบด้วยเสียงลังเล
ซูหยางส่ายหน้า
“ถ้าเจ้าเพียงแค่สามารถให้ความสุขแก่หญิงสาวด้วยการสัมผัสพื้นที่ส่วนนั้น เจ้าก็ถือว่าเป็นเพียงคนธรรมดา”
ซูหยางจึงหันไปมองหลานลี่ชิงและกล่าวว่า “ผู้อาวุโสหลาน ถ้าท่านมิถือ ท่านมาบนนี้หน่อยได้ไหมเพื่อที่ข้าจักได้สาธิตอะไรบางอย่างให้กับศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้”
หลานลี่ชิงไม่ได้คิดอะไรมากจึงพยักหน้า
ไม่นานหลังจากนั้นเมื่อหลานลี่ชิงก้าวขึ้นไปบนเวที ซูหยางก็กระซิบไปที่หูของเธอว่า “นี่จักเป็นการปลุกเร้าอยู่บ้าง…”
“เอ๋ เจ้ากำลังจะทำอะไรกับข้าต่อหน้าศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งหมดนี้รึ” หลานลี่ชิงลังเล ในเมื่อเธอไม่ต้องการที่จะแสดงให้พวกเขาเห็นอะไรที่น่าอาย
“อย่ากังวลไป ข้ามิทำอะไรที่วิตถาร”
“ถ้าเจ้าพูดเช่นนั้น…”
ซูหยางไปยืนตรงด้านหลังหลานลี่ชิงและวางมือลงไปบนหลังเธอ
“…”
หลานลี่ชิงร่างสั่นสะท้านเมื่อเธอรู้สึกว่านิ้วของซูหยางลูบไล้ไปบนหลังเธอ แม้ว่าจะสวมชุดคลุมแต่ก็รู้สึกเหมือนกับว่าเธอร่างเปลือยเปล่าเมื่อถูกเขาสัมผัส
เวลาต่อมาซูหยางก็กดนิ้วหนึ่งของเขาในตำแหน่งพิเศษเฉพาะบนหลังหลานลี่ชิง กดนิ้วของเขาลึกลงไปในผิวของเธอ
“อาาาา”
หลานลี่ชิงส่งเสียงร้องครางอย่างควบคุมไม่ได้เมื่อพลันมีคลื่นแห่งความสุขรุกเร้าเข้าสู่ทุกอนูของร่างกาย เธอทรุดกายลงคุกเข่าในวินาทีต่อมา
บรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ดวงตาเบิกกว้างไปกับฉากนั้น เกิดอะไรขึ้นกัน ทำไมหลานลี่ชิงจึงมีปฏิกิริยาตอบโต้แบบนั้น สิ่งที่ซูหยางทำทั้งหมดคือการจิ้มนิ้วนิ้วหนึ่งไปบนหลังของเธอเท่านั้น
“ผู้อาวโสหลาน ถ้าท่านมิรังเกียจทำไมจึงมิบอกให้เหล่าศิษย์ที่อยู่ที่นี่ว่าความรู้สึกประเภทไหนกันที่ผ่านเข้ามาในร่างกายท่านเมื่อกี้นี้” ซูหยางกล่าวกับเธอ
“…”
หลังจากที่ใช้เวลาชั่วขณะในการสงบใจลง หลานลี่ชิงก็พึมพัมออกมาเป็นเสียงที่ฟังได้ค่อนข้างยาก “มันเป็นความรู้สึกที่ทำให้ทั่วร่างกายของข้ารู้สึกหมดแรงและเกียจคร้าน…แต่ก็เป็นความรู้สึกที่เป็นสุขอย่างมาก”
“ว้าว…”
ศิษย์รุ่นเยาว์มีท่าทางหวาดหวั่นเมื่อได้ประจักษ์ถึงวิชาของซูหยาง เขาสามารถที่จะบังคับให้ผู้อาวุโสนิกายคุกเข่าลงเพราะความสุขด้วยเพียงแค่นิ้วเดียว
DC บทที่ 291: ดรรชนีสมปรารถนา
“อย่างที่พวกเจ้าเพิ่งประจักษ์ ยังมีที่อื่นที่เจ้าสามารถใช้สร้างความสุขให้กับคู่ของเจ้าได้ ต่อให้มันเป็นจุดที่ดูเหมือนไม่มีอะไรเลยและดูผิดปกติ ตราบเท่าที่เจ้ามีความรู้เจ้าก็สามารถสร้างความสุขให้กับคู่ของเจ้าได้โดยไม่ต้องสัมผัสส่วนที่ไวต่อความรู้สึก”
ศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น รู้สึกถึงความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะเรียนรู้วิชานี้
“อย่างไรก็ตามเพื่อที่จะให้พวกเจ้าได้เข้าใจมันอย่างถ่องแท้ ข้าจักให้พวกเจ้าทั้งหมดนี้ได้มีประสบการณ์กับเทคนิคนี้ด้วยตัวเอง”
ซูหยางชี้ไปยังศิษย์รุ่นเยาว์ที่อยู่ใกล้กับเขามากที่สุดและกล่าวว่า “ข้าต้องการให้ทุกคนมายืนเข้าแถวต่อจากด้านหลังของเธอ และเมื่อถึงตาของเจ้าก็ขึ้นมาบนเวที”
ศิษย์รุ่นเยาว์ที่เป็นอันดับแรกของแถวขึ้นมาบนเวทีอย่างกระตือรือล้น
“และเพื่อที่จะทำให้เหตุการณ์นี้ยิ่งตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น ถ้าเจ้าสามารถที่จะยืนอยู่ได้หลังจากที่ได้รับประสบการณ์จากวิชาของข้า ข้าจักให้รางวัลพวกเจ้าด้วยหินวิญญาณร้อยก้อน”
“หินวิญญาณร้อยก้อน”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างตกตะลึงกับความใจกว้างของซูหยาง แม้ว่าหินวิญญาณร้อยก้อนอาจจะดูไม่มากนัก แต่มันก็เป็นทรัพยากรที่เพียงพอสำหรับพวกเขาในการฝึกวิชาโดยไม่หยุดพักได้ถึงปีหรือสองปี
“ข้าจักเริ่มแล้วตอนนี้”
ซูหยางเคลื่อนมือไปยังด้านหลังของศิษย์รุ่นเยาว์คนนี้อย่างช้าๆ ก่อนที่จะจิ้มนิ้วหนึ่งนิ้วไปยังจุดหนึ่งบนหลังของเธอ
“อาาา”
ศิษย์รุ่นเยาว์นี้พลันรู้สึกว่ามีความรู้สึกอันล้ำลึกเอ่อล้นไปทั่วร่างกาย จนทำให้ร่างของเธอล้มลงไปบนพื้นราวกับว่าเธอเพิ่งถูกไฟฟ้าช๊อต
“…”
ศิษย์รุ่นเยาว์คนอื่นที่ดูอยู่ต่างรู้สึกว่ากรามของตนเองกระทบพื้นหลังจากที่เห็นเหตุการณ์นี้ หนึ่งร้อยก้อนหินวิญญาณนี้อาจจะยากเกินเอื้อมกว่าที่พวกเขาคิดไว้ตอนแรก
“เจ้าเป็นไรไหม” ซูหยางถามศิษย์รุ่นเยาว์ขณะที่ช่วยเธอลุกขึ้นยืน
“ค-ค-ความรู้สึกนี้คืออะไร…”
ศิษย์รุ่นเยาว์นี้ไม่สามารถหยุดยั้งร่างกายจากการสั่นสะท้านได้ ในเมื่อผลตามหลังยังคง ความจริงแล้วความรู้สึกนั้นได้กระตุ้นร่างกายเธออย่างมากจนกระทั่งเธอได้ฉี่เล็ดออกมาเล็กน้อย
ครั้นเมื่อคนแรกได้รับประสบการณ์จากวิชาของซูหยางแล้ว คนถัดมาก็ขึ้นไปบนเวที
“อาาา”
ต่างจากศิษย์คนแรกที่สามารถควบคุมกระเพาะปัสสาวะของเธอได้อย่างยากลำบาก ศิษย์รุ่นเยาว์คนที่สองไม่เพียงแต่ล้มลงบนพื้นแต่ยังคงฉี่รดตัวเองอย่างเต็มที่หลังจากที่ประสบกับเทคนิคการใช้นิ้วเทพจิ้มของซูหยาง
“เจ้าสามารถกลับไปที่ห้องและชำระล้างร่างกายก่อนที่จะกลับมา” ซูหยางกล่าว
“เอ๋ แต่ข้ามิต้องการที่จะพลาดการอบรม…”
“เจ้ามิต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น เพราะว่าข้าจะยังมิเริ่มบทเรียนจนกว่าทุกคนจะกลับมาแล้ว”
คำพูดเช่นนั้นหมายความว่าซูหยางคาดว่าต้องมีศิษย์รุ่นเยาว์อีกมากมายที่จะฉี่รดตัวเอง
“ตกลง…”
ศิษย์รุ่นเยาว์นั้นพยักหน้าและออกไปจากห้องอบรมเพื่อชำระร่างกาย
ใช้เวลาอย่างมากที่สุดหนึ่งนาทีต่อศิษย์แต่ละคน ซูหยางสามารถจัดการให้ศิษย์ถึงเจ็ดสิบคนที่นั่นเข้ารับรู้ประสบการณ์จากวิชาของเขาได้ภายในครึ่งชั่วโมง
และหลังจากที่จบการสาธิต จำนวนของศิษย์ที่ยังคงยืนอยู่ได้หลังจากที่ถูกจิ้มที่หลังจากซูหยางเป็นศูนย์อย่างไม่น่าประหลาดใจแต่อย่างใด
ครั้นเมื่อศิษย์รุ่นเยาว์ทุกคนได้กลับมาหลังจากที่กลับไปทำการชำระล้างร่างกายแล้ว ซูหยางก็ถามพวกเขาว่า “บอกข้าซิว่าเจ้าได้เรียนรู้อะไรจากประสบการณ์ครั้งนี้”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างหันไปสบตากัน นอกจากที่ได้เรียนรู้ว่าความสุข “ที่แท้จริง” รู้สึกเช่นไร พวกเขาไม่ได้คิดถึงอะไรอย่างอื่นอีก
หลังจากที่นิ่งเงียบไปชั่วขณะ เด็กหญิงตัวเล็กก็ยกมือขึ้น
“นั่นเป็นน้องเล็กของข้า”
หลานลี่ชิงยิ้มในใจเมื่อเธอสังเกตเห็นชีเยว่ยกมือของเธอขึ้น
“ว่ามา”
“อืมม.. ข้าได้สังเกตเห็นว่าตำแหน่งที่ท่านได้จิ้มลงไปล้วนแตกต่างกันไปในแต่ละคน บางทีแต่ละคนจะมีจุดความสุขแตกต่างกันไป”
ซูหยางยิ้มและพยักหน้า “เป็นการสังเกตที่ยอดเยี่ยมมาก”
และในเมื่อเขาไม่ได้คาดคิดว่าจะมีใครในที่นี้สามารถสังเกตเห็นจุดนั้น ซูหยางตัดสินใจที่จะให้รางวัลชีเยว่สำหรับความสำเร็จของเธอ
“นี่เป็นหินวิญญาณหนึ่งร้อยก้อน”
ซูหยางโยนถุงบรรจุหินวิญญาณอย่างสบายๆไปยังชีเยว่ที่ตรงเข้าไปรับมันอย่างเร่งรีบ
ศิษย์รุ่นเยาว์คนอื่นมองดูเธอด้วยสายตาอิจฉา เสียใจที่พวกเขาไม่ได้เป็นคนที่สังเกตเห็น
“อย่ากังวลไป ยังมีโอกาสอีกมากมายสำหรับพวกเจ้าที่จะได้รับบางสิ่งระหว่างการอบรมของข้า”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันตื่นเต้น และความตั้งใจในการอบรมยิ่งจริงจังมากขึ้น
“ช่างเป็นแครอทที่แพงมากในการใช้ให้ศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้ตั้งใจในการอบรมของเขา…”
หลานลี่ชิงตาโตด้วยความตระหนกเมื่อซูหยางยื่นส่งหินวิญญาณร้อยก้อนให้กับศิษย์รุ่นเยาว์อย่างง่ายๆ นั่นมากกว่าเงินรายปีของเธอไปแล้ว และนั่นเพียงแค่จากการตอบคำถามง่ายๆได้ถูกต้อง
หลานลี่ชิงไม่อาจนึกออกว่าจะมีผู้อาวุโสนิกายคนใดที่ร่ำรวยและบ้าพอที่จะใช้เทคนิคนี้ อย่างไรก็ตามพฤติกรรมที่คาดเดาไม่ได้ประเภทนี้เป็นแค่เศษเสี้ยวของสิ่งที่เธอรักในตัวซูหยาง
“อย่างที่เธอพูดไว้เมื่อกี้นี้ ทุกคนมีจุดสำคัญแตกต่างกันออกไป แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด ในเมื่อปกติแล้วจะมีมากกว่าหนึ่งจุดเหล่านี้ในแต่ละคน”
ซูหยางดำเนินการบรรยายต่อไป
“ตอนนี้เมื่อพวกเจ้าทุกคนได้เห็นและได้รับประสบการณ์จากวิชาโดยตรงแล้ว ข้าจักให้ทุกคนที่นี่ได้มีโอกาสได้เรียนรู้มัน”
หลังจากที่พูดคำพูดเหล่านี้ ซูหยางก็สะบัดชายเสื้อ ทำให้กระดาษเจ็ดสิบชิ้นปรากฏขึ้นและบินตรงไปยังเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์
“บนกระดาษเหล่านั้นเป็นวิชาที่จักยอมให้พวกเจ้าได้รับรู้และปลุกเร้าจุดสำคัญเหล่านี้ ทำให้เกิดความสุขอย่างแรงกล้ากับผู้ที่ประสบ และชื่อของมันก็คือ ดรรชนีสมปรารถนา”
“มีคำกล่าวไว้ว่าวิชานี้ถูกสร้างขึ้นมาจากเทพแห่งความสุข และถ้าเจ้าดูแลมันอย่างไม่สนใจใยดีมันหรือหละหลวม เทพแห่งความสุขจักสาปแช่งเจ้าไปชั่วนิรันดร์ พรากความสุขไปจากชีวิตของเจ้า”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากเมื่อได้ยินที่มาแบบนั้นของวิชาที่ลึกล้ำเช่นนี้
“จากที่กล่าวมาแล้ว พวกเจ้าทุกคนจงศึกษาวิชานี้ไปจนถึงชั่วโมงหน้าก่อนที่ข้าจะทดสอบถึงทักษะในการทำความเข้าใจในทันทีหลังจากนั้น”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างไม่ยอมเสียเวลาและค้นคว้าลึกเข้าไปในวิชานั้นทันที
พวกเขาทุกคนต้องการที่จะสร้างความประทับใจให้กับซูหยาง แต่ยิ่งไปกว่านั้นคือเรียนรู้วิชานี้ที่บางทีอาจจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาไปตลอดกาล
DC บทที่ 292: รางวัลพิเศษ
“ดรรชนีสมปรารถนานี่… ใช่เป็นสิ่งที่เจ้าได้ใช้ระหว่างการนวดของเจ้าหรือไม่”
หลานลี่ชิงเดินไปยังข้างกายซูหยางและถามเขาในขณะที่ศิษย์รุ่นเยาว์กำลังศึกษา
“ประมาณนั้น…” ซูหยางยิ้ม
หลานลี่ชิงแอบส่ายหน้า วิชาที่สร้างขึ้นโดยเทพแห่งความสุข… ไม่น่าประหลาดใจเลยที่ทำไมการนวดของซูหยางจึงรู้สึกเหมือนอยู่เหนือโลก
หนึ่งชั่วโมงให้หลัง ซูหยางก็ปรบมือและกล่าวเสียงดังว่า “ครบหนึ่งชั่วโมงแล้วตอนนี้”
แม้ว่าพวกเขาได้ตั้งใจเต็มที่กับวิชาและไม่ต้องการที่จะหยุดชะงัก เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ก็ได้หยุดการศึกษาและเงยหน้าขึ้นมามองซูหยาง
“แต่ละคนที่นี่จักต้องจับคู่กับใครสักคนที่เป็นเพศตรงข้ามและใช้ดรรชนีสมปรารถนากับพวกเขา อย่างไรก็ตามเนื่องมาจากสัดส่วนที่ไม่เท่ากันระหว่างหญิงกับชาย ถ้าเจ้ามิมีคู่ก็เพียงทำกับใครก็ได้”
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นหลังจากที่ดิ้นรนไปทั่วหาเพื่อน เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ทั้งหมดก็ได้คู่
“ถ้าเจ้ายืนอยู่ด้านขวามือของข้าตอนนี้ เจ้าจักเริ่มต้นก่อนและอีกคนก็จักหันหลังให้”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ทำตามคำแนะนำของเขาและประจำตำแหน่งอย่างรวดเร็ว
“ดี ตอนนี้ข้าต้องการให้พวกเจ้าที่อยู่ด้านขวามือหาจุดสำคัญบนตัวคู่ฝึกและจิ้มจุดนั้น และเจ้ามีเวลาหนึ่งนาทีก่อนที่จะสลับข้างกับคู่ฝึกของเจ้า”
บรรดาศิษย์รุ่นเยาว์ไม่ยอมเสียเวลาและพลันเริ่มมองหาจุดสำคัญบนร่างคู่ฝึก
ศิษย์รุ่นเยาว์สองสามคนในกลุ่มที่ได้จับใจความสำคัญของดรรชนีสมปรารถนาถึงระดับหนึ่งภายในหนึ่งชั่วโมงนั้นได้ใช้เวลาเพียงสองสามวินาทีในการกำหนดตำแหน่งจุสำคัญของคู่ฝึก อย่างไรก็ตามศิษย์รุ่นเยาว์ที่เหลือไม่อาจที่จะหาตำแหน่งจุดสำคัญเหล่านี้แม้ว่าจะใช้เวลาไปตลอดทั้งนาที
ศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้บางคนก็จิ้มไปอย่างเดาสุ่มบนหลังของคู่ฝึกอย่างหมดหวังหวังว่าพวกเขาจะเดาได้ถูกต้อง อย่างไรก็ตามซูหยางมองทะลุความไม่เป็นจริงของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้พูดอะไรออกมาและยังคงดูศิษย์เหล่านี้ต่อไป
หนึ่งนาทีให้หลัง ซูหยางก็พูดขึ้นว่า “เอาล่ะ เปลี่ยนข้างได้แล้วตอนนี้”
หลังจากที่ศิษย์รุ่นเยาว์เปลี่ยนข้างแล้ว ซูหยางก็ให้สัญญาณเริ่ม และศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้ก็เริ่มหาจุดสำคัญของคู่ตนเองในทันที
เมื่อหนึ่งนาทีสั้นๆนี้จบลง ซูหยางก็ปรบมือและกล่าวว่า “หยุด”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์หันไปดูเขา
“พวกเจ้าส่วนใหญ่มิสามารถหาตำแหน่งจุดสำคัญของคู่ของเจ้าได้ แต่พวกเจ้าอย่าเพิ่งท้อถอยกับผลลัพธ์นี้”
“ส่วนสำหรับพวกเจ้าผู้ที่สามารถหาตำแหน่งจุดสำคัญของคู่ฝึกของเจ้าได้แล้ว ถ้าข้าเป็นเจ้า หากยังมิสามารถเห็นจุดสำคัญได้ในทันทีข้าก็จักยังมิฉลองความสำเร็จ ตามจริงแล้วแม้ว่าเจ้าจะสามารถหาตำแหน่งจุดสำคัญพวกเขาได้ เจ้าก็ยังไม่สามารถกระตุ้นนำพาความสุขให้กับพวกเขาได้ นอกจากว่าเจ้าสามารถทำได้ทั้งสองอย่างนี้ มิเช่นนั้นก็ยังถือว่าเจ้ายังมิได้เรียนรู้ดรรชนีสมปรารถนา”
ทันใดนั้นหนึ่งในเหล่าศิษย์ก็ยกมือของเธอขึ้น
“มีอะไรรึ”
“ศิษย์พี่ชาย เราสามารถบรรลุผลวิชานี้ได้มากเท่าไหร่”
ได้ยินคำถามนี้ รอยยิ้มลึกลับก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าซูหยาง
“แม้ว่าวิชานี้อาจจะดูง่ายดายและตรงไปตรงมา แต่วิชานี้มีความลึกล้ำสุดจะหยั่งจริงๆ ตามจริงแล้วหากเจ้าสามารถเชี่ยวชาญมันได้ เช่นนั้นเจ้าก็สามารถที่จะทำให้เทพเจ้าคุกเข่าลงได้ด้วยนิ้วเพียงนิ้วเดียว”
“…”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เชื่อว่าซูหยางยกยอวิชานี้เกินจริงเพื่อทำให้มันดูน่าประทับใจมากกว่าเดิม แต่ถ้าเพียงพวกเขารู้ว่าซูหยางพูดออกมาจากประสบการณ์…
“อย่างไรก็ตามนี่ก็ถึงเวลาสิ้นสุดการอบรมในวันนี้แล้ว พยายามฝึกฝนวิชาที่ข้าให้พวกเจ้าในวันนี้ และพวกเราจักพบกันอีกครั้งอาทิตย์หน้าเวลาเดิม ซึ่งตอนนั้นจะมีการทดสอบอีก”
“เอ๋”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์มีท่าทางประหลาดใจเมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดของเขา
อีกครั้งรึ เขาจักมาอบรมพวกเขาอีกครั้งงั้นรึ
“นี่มิใช่ครั้งเดียวหรอกรึ” บางคนถามขึ้น
“รวมกับการอบรมในวันนี้แล้ว ข้าจักอบรมพวกเจ้าเจ็ดครั้งตลอดทั้งหลักสูตรในอาทิตย์ถัดๆไป” ซูหยางกล่าว
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์พลันกระโดดด้วยความตื่นเต้นเมื่อได้ยินข่าวนี้ เห็นได้ชัดเจนแล้วในตอนนี้ว่าเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้ค่อนข้างจะหลงไหลซูหยางและเมื่อได้รับการสอนจากผู้ช่วยชีวิตและคนที่พวกเขาคลั่งไคล้ยิ่งทำให้บทเรียนยิ่งสนุกสนานยิ่งขึ้น
หากจะว่าไปแล้วพวกเขายังพบว่าการอบรมภายในวันนี้ให้ทั้งข้อมูลสำคัญและลึกซึ้งมาก ตามจริงนี่ถือว่าเป็นสิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้มากที่สุดนับตั้งแต่เป็นศิษย์รุ่นเยาว์มา
ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็ยังได้รับวิชาใหม่ที่ล้ำค่าที่เหมาะสมกับสถานที่นี้มากที่สุด
“โอ อีกอย่างหนึ่ง ระหว่างหลักสูตรการอบรมของข้าจนกระทั่งถึงวันสุดท้าย ถ้ามีใครที่นี่สามารถระบุและกระตุ้นจุดสำคัญของข้าได้ ข้าจักให้รางวัลพิเศษแก่พวกเขา”
“รางวัลพิเศษประเภทไหนกัน” บางคนอดยับยั้งความตื่นเต้นไม่ได้จึงถามออกมา
“นั่นก็ขึ้นกับเจ้าที่จักต้องค้นหา” เขาตอบพร้อมรอยยิ้ม
หลังจากที่ปล่อยเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ไปแล้ว ซูหยางก็กล่าวกับหลานลี่ชิงว่า “ทำไมเรามิกลับไปและสานต่อธุระของเราล่ะ”
หลานลี่ชิงยิ้มและกระซิบไปที่หูของเขาว่า “ดอกไม้เล็กๆของข้าได้เปียกแฉะไปหมดแล้วนับตั้งแต่เจ้ากระตุ้นความต้องการในร่างของข้า…”
ซูหยางหัวเราะเล็กน้อยและไม่ได้กล่าวอะไรอีกก่อนที่จะพาหลานลี่ชิงกลับไปยังห้องของเขาซึ่งพวกเขาได้ร่วมฝึกคู่อย่างเข้มข้นตลอดช่วงเวลาที่เหลือของวัน
“เขตปฐพีวิญญาณระดับเจ็ด หึ เจ้าเติบโตขึ้นมิใช่น้อย”
“นี่เป็นไปได้ก็เพียงเพราะว่าปราณหยางของเจ้า ซูหยาง”
หลานลี่ชิงยิ้ม
เพราะว่าปราณหยางที่ทั้งทรงพลังและมีคุณภาพของเขา พลังการฝึกปรือของหลานลี่ชิงจึงได้ประสบกับความก้าวหน้าอย่างมาก ที่จริงแล้วศิษย์ทุกคนที่ได้ร่วมฝึกกับเขาต่างรู้สึกราวกับว่าพวกเธอเป็นปลาคาร์พที่กระโจนผ่านประตูมังกรหลังจากนั้น
“ว่าไปแล้ว ปราณหยางของเจ้ารู้สึกว่ามีรสชาติต่างไปจากปกติ… มีอะไรเกิดขึ้นรึ” หลานลี่ชิงถามเขาหลังจากที่สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้
แม้ว่าเธอสามารถบอกได้ว่ามันมีคุณภาพสูงกว่าก่อนอย่างชัดเจน แต่ก็ยังต่างจากฟางซีหลานในเมื่อเธอไม่สามารถเห็นถึงพลังการฝึกปรือเขตอัมพรวิญญาณของซูหยางแม้กระทั่งหลังจากที่ได้ลิ้มลองแล้ว
“การก้าวข้ามผ่านเล็กน้อย” ซูหยางตอบเธออย่างง่ายๆด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น