Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน 283-286
DC บทที่ 283: มองทางนี้…ข้ายังคงบริสุทธิ์อยู่…
ซูหยางเข้าไปหาหญิงเหล่านั้นอย่างช้าๆ
“พวกโจรในสถานที่นี้ทั้งหมดล้วนตายแล้ว ดังนั้นพวกเจ้าจักมิต้องทนทรมานเช่นนี้อีกต่อไป…”
ซูหยางนำเอาห่วงที่คล้องรัดบรรดาหญิงเหล่านั้นติดไว้กับผนังออก
อย่างไรก็ตามไม่มีใครสักคนเคลื่อนไหวหลังจากที่ถูกปล่อยตัวเป็นอิสระ
“โปรด…ฆ่าข้า..”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะหนึ่งในบรรดาหญิงเหล่านั้นพึมพัมออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง
“ฆ่าข้าด้วย…”
ทีละคนสองคนหญิงสาวเหล่านั้นต่างพากันร้องขอให้ซูหยางฆ่าพวกเธอ ราวกับว่าพวกเธอควรจะตายแทนที่จะมีชีวิตอยู่จากความทรงจำที่พวกเธอได้รับในที่แห่งนี้
“…”
ซูหยางหรี่ตาไปยังหญิงสาวเหล่านี้
ไม่มีแม้แต่น้อยกับความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ในดวงตาของหญิงสาวเหล่านี้ ราวกับว่าพวกเธอได้ตัดสินใจที่จะเลือกความตายไปเรียบร้อยแล้ว
“ก่อนที่ข้าจะได้ก้าวเข้ามาในห้องนี้ ข้าได้ตัดสินใจไปแล้วว่าจะนำพวกเจ้าทั้งหมดออกไปจากสถานที่แห่งนี้ และนี่เป็นสิ่งที่ข้าจักทำ ถ้าเจ้ายังปรารถนาที่จะตายก็จงทำเช่นนั้นหลังจากที่พวกเราออกไปจากสถานที่นี้แล้วเพราะว่าข้าจักมิหยุดยั้งพวกเจ้าอีก”
บรรดาหญิงสาวพากันนิ่งเงียบไปหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา
“พาพวกเราออกไป… อย่างไรรึ พวกเราแทบไม่มีแรงที่จะพูด… อย่าว่าแต่ยืน… และเดิน…”
ซูหยางไม่ได้พูดอะไรอีกเพียงนำเอาแหวนมิติออกมาก่อนที่นำเอาเม็ดยาออกมาจากภายใน
“นี่คือยาฟื้นฟู มันช่วยได้”
ซูหยางยื่นส่งเม็ดยาฟื้นฟูระดับไร้ตำหนิให้กับหญิงสาวแต่ละคน
“…”
แต่เหล่าหญิงสาวได้แต่เพียงจ้องมองมัน
ซูหยางส่ายหน้าและนำเอาน้ำออกมาจากแหวนมิติ
เขาพลันดื่มน้ำและป้อนยาให้กับหญิงสาวเหล่านี้ด้วยปาก
อารมณ์บางอย่างเริ่มปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของหญิงสาวเหล่านี้หลังจากที่รู้สึกถึงความอบอุ่นที่มากับริมฝีปากของซูหยางและความอ่อนโยนจากการป้อนของเขา
ไม่นานหลังจากที่กลืนยาฟื้นฟู บรรดาหญิงสาวก็สามารถเคลื่อนไหวได้เป็นอย่างดี
หลังจากผ่านไปอีกไม่กี่นาที พวกเธอทั้งหมดก็สามารถที่จะยืนและเดินราวกับว่าร่างกายของเธอมีสุขภาพดี
“พวกเจ้าสามารถสวมเสื้อผ้าเหล่านี้” ซูหยางกล่าวและเขาได้ยื่นเสื้อผ้าจำนวนหนึ่งให้กับพวกเธอซึ่งเขาได้หยิบมาระหว่างทางก่อนถึงห้องนี้
ต่อจากนั้นซูหยางและหญิงสาวทั้งหมดหกคนก็ออกจากห้องนั้น
“ยังมีคนอื่นอีกในที่แห่งนี้ และข้าได้วางแผนที่จะนำทุกคนไปพร้อมกับข้า เพราะข้ามิต้องการให้พวกเธอต้องเน่าเปื่อยอยู่ในสถานที่แห่งนี้” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาไปยังชั้นต่อไป
เหล่าหญิงสาวที่นั่นไม่ได้กล่าวคำพูดแม้คำเดียวและเพียงเดินตามหลังเขาไปไม่ห่างอย่างเงียบเชียบ
ในชั้นถัดไปซูหยางก็เข้าไปในอีกห้องและอย่างที่ทุกคนคาดเอาไว้ ที่นั่นมีผู้หญิงเปลือยถูกล่ามโซ่กับผนังในห้องนี้เช่นกัน
และก็เหมือนก่อนหน้านั้น หญิงเหล่านี้ร้องขอให้ซูหยางฆ่าพวกเธอ แต่อนิจจาพวกเธอล้วนจบลงด้วยการกลืนกินยาฟื้นฟูและตามซูหยางไปด้านนอกห้องไม่กี่นาทีหลังจากนั้น
เหตุการณ์เช่นนี้ได้ซ้ำรอยเดิมไปอีกหลายครั้งจนกระทั่งซูหยางไปถึงชั้นที่ลึกที่สุด ซึ่งได้ใช้เวลาเขาไปกว่าครึ่งชั่วโมงในการไปให้ถึง
และในเวลานั้นก็มีหญิงสาวกว่าห้าสิบคนที่ตามอยู่ด้านหลังเขา
เมื่อไปถึงชั้นสุดท้ายซูหยางก็พลันตรงไปยังประตูที่ใหญ่ที่สุดในโถงทางเดินโดยไม่สนใจห้องอื่น
ภายในห้องใหญ่แห่งนี้ มีกรงที่ดูเหมือนสร้างไว้สำหรับขังสัตว์ใหญ่มากกว่าสิบวางเรียงอยู่เคียงข้างกัน อย่างไรก็ตามแทนที่จะขังสัตว์ร้ายไว้ภายในกรงขังเหล่านี้กลับมีแต่มนุษย์อยู่ในนั้น
แต่เมื่อเปรียบเทียบกับหญิงสาวที่ยืนอยู่ด้านหลังซูหยางแล้ว คนเหล่านี้ล้วนได้รับการปฏิบัติอย่างดีจากเหล่าโจร
เหตุผลที่พวกเธอได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่านั้นเห็นได้ชัด ในเมื่อเหล่าโจรได้วางแผนที่จะขายคนเหล่านี้ไปยังตลาดมืดดังนั้นการทำลายผลผลิตของตนเองย่อมมีเพียงแต่ลดราคาของพวกมันลง
“…”
เมื่อคนเหล่านี้เห็นซูหยางในครั้งแรก พวกเธอก็เริ่มคิดว่าเขาเป็นลูกค้าคนหนึ่งของฝูงโจร และเมื่อหญิงเหล่านั้นสังเกตเห็นว่าเขานั้นหล่อเหลาเพียงใด พวกเธอก็พลันต้องการให้เขาซื้อพวกเธอไป
ในความคิดของพวกเธอในเมื่อพวกเธอกำลังจะถูกขายไปอย่างไม่ไยดี พวกเธอควรจะให้ชายรูปหล่ออย่างเช่นซูหยางเป็นเจ้าของพวกเธอแทนที่จะเป็นคนที่น่าเกลียดหรือน่ารังเกียจ ด้วยวิธีนี้ชีวิตของพวกเธอย่อมจะไม่ถึงกับน่าสังเวชเมื่อพวกเธอต้องปรนนิบัติพวกเขาเหล่านั้นบนเตียง
ตามจริงหญิงส่วนใหญ่ที่ถูกขายด้วยวิธีนี้มักจะกลายเป็นคนอุ่นเตียงหลังจากที่พวกเธอถูกขายหรือไม่ก็ถูกบังคับให้ค้าประเวณีจากนายของตนเอง
“หนุ่มน้อยรูปหล่อ เจ้าพอที่จะใจดีซื้อพี่สาวคนนี้ไหม ข้าจักทำทุกอย่างที่เจ้าต้องการ…”
“น้องชาย พวกเราล้วนรู้ว่าทำไมเจ้ามาที่นี่… ถ้าเจ้านำข้าออกไปจากที่หนาวเย็นแห่งนี้ ข้าจักให้เจ้าทุกอย่างที่เจ้าเคยต้องการ…”
“สุดหล่อ มองทางนี้… ข้ายังคงบริสุทธิ์อยู่…”
หญิงสาวสองสามคนที่นั่นยังกระทั่งทำท่ายั่วยวนด้วยหวังว่าซูหยางจะหลงเสน่ห์กับร่างกายของพวกเธอ
ซูหยางยังคงนิ่งเฉยกับภาพเหล่านี้ และหลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เขาก็พูดขึ้นว่า “พวกโจรในที่แห่งนี้มิมีอีกต่อไปแล้ว และข้ามาที่นี่เพื่อช่วยเหลือพวกเจ้าให้เป็นอิสระ”
ซูหยางดึงเอาดาบออกมาและเริ่มตัดกรงเหล็กเหล่านี้ราวกับว่าพวกมันเป็นกล่องกระดาษ และผู้คนที่อยู่ในกรงเหล่านี้ต่างพากันจ้องมองเขาด้วยท่าทางตกตะลึง
หลังจากที่ปล่อยคนอีกกว่าสี่สิบคนในห้องนี้ โดยไม่ต้องอธิบายอะไรอีก ซูหยางก็หันกายและเริ่มเดินกลับไปยังเส้นทางที่เขามา
หญิงสาวกว่าห้าสิบคนที่ได้ตามหลังเขามานับตั้งแต่ต้นก็ติดตามเขาต่อไปอย่างเงียบๆ
“ก-เกิดอะไรขึ้น เจ้าสามารถอธิบายสถานการณ์ใหักับพวกเราหรือไม่ เกิดอะไรขึ้นกับพวกโจร”
ใครบางคนในนั้นถาม
โดยไม่ต้องหยุดเดิน ซูหยางก็พูดขึ้นว่า “พวกมันล้วนตกตาย และพวกเจ้าตอนนี้เป็นอิสระแล้ว”
“มิมีทาง…”
พวกเธอมองดูเขาด้วยท่าทางโง่งม
โจรภูผมแดงที่มีชื่อเสียงโด่งดังได้ตกตายสิ้นแล้วรึ แม้ว่านี่จะเป็นผลลัพธ์ที่ไม่ถึงกับเหนือความคาดหมายอย่างสิ้นเชิงก็เพราะเนื่องมาจากความเลวทรามของพวกนั้น แต่ความจริงที่ว่าใช้เวลาเพียงวันเดียวในการทำลายพื้นฐานที่ใช้เวลากว่าครึ่งศตวรรษในการสร้างขึ้น ย่อมสั่นสะท้านใจผู้คนเหล่านี้
หลังจากที่ยืนนิ่งอยู่ชั่วขณะเพื่อฟื้นคืนจากความตกตะลึง คนทั้งสี่สิบคนในห้องก็ติดตามซูหยางไปเช่นกัน
DC บทที่ 284: ซื่อตรงต่อหัวใจของตนเอง
สุดท้ายเมื่อกลุ่มคนได้ติดตามซูหยางมาถึงชั้นแรก กลิ่นเหม็นรุนแรงของเลือดเนื้อก็ชอนไชเข้าไปในจมูกของพวกเธอ ต่างพากันตกตะลึงกับฉากนองเลือดซึ่งดูเหมือนกับโรงฆ่าสัตว์
จริงแล้วสถานที่นี้ก็ช่างน่าสยดสยองจนกระทั่งมีบางคนถึงกับอาเจียนออกมา และมีกระทั่งบางคนที่ถึงกับเป็นลมกันตรงนั้น
“นี่ช่างโหดร้ายนัก..”
แม้ว่าพวกนี้จะเป็นโจรและทำสิ่งโหดร้ายกับพวกเธอ คนเหล่านี้ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วกับฉากนี้ที่มีเพียงซากศพไม่สมบูรณ์นับไม่ถ้วนกระจัดกระจายไปทุกตารางนิ้วบนพื้น
อย่างไรก็ตามซูหยางไม่ได้สนใจฉากนี้และตรงไปยังทางออกทั้งยังเหยียบย่ำไปบนซากศพขณะที่เขาเดินออกไป
พวกเธอมองดูซูหยางด้วยสายตาครุ่นคิด เขาฆ่าโจรเหล่านี้ด้วยตัวคนเดียวทั้งหมดหรือ อย่างไรก็ตามพวกเธอได้เดินไปมาที่นี่ระยะเวลาหนึ่งแล้วโดยไม่พบเห็นคนอื่นอีก
หากว่าไปแล้วพวกเธอก็พบว่าเป็นการยากที่จะเชื่อว่าคนที่มีอายุน้อยอย่างเช่นซูหยางจะโหดร้ายได้ถึงเพียงนี้ อย่าว่าแต่ฆ่าพวกโจรทั้งหมดนี้ด้วยตัวคนเดียว
ในเวลานี้ ศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้รออยู่ด้านนอกนานกว่าหนึ่งชั่วโมงแล้ว
“เจ้าคิดว่าจักเกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือไม่ ในเมื่อเขาได้เข้าไปในซ่องโจรตามลำพัง…”
หนึ่งในศิษย์รุ่นเยาว์ถาม
“อย่าพูดอะไรที่น่ารังเกียจแบบนั้น ศิษย์พี่ชายจักต้องมิเป็นไรแน่นอน” ชีเยว่กล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
เพียงแค่ขณะที่เธอกล่าวคำพูดเหล่านั้นจบ ก็เห็นเงาร่างหนึ่งตรงไปหาพวกเธอจากระยะห่าง และไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ผู้คนกลุ่มใหญ่ก็ตามติดมาด้านหลัง
“ศิษย์พี่ชาย”
ชีเยว่พลันวิ่งเข้าไปหาเขาพร้อมรอยยิ้มสดใสบนใบหน้าเธอ
ซูหยางสังเกตเห็นร่างเล็กๆวิ่งเข้าไปหาเขาอย่างรวดเร็วและได้ยิ้มขึ้น
“นี่ไม่ใช่คนตัวเล็กนั่นรึ” เขากล่าว “ขาของเจ้าดีขึ้นหรือยัง”
ชีเยว่พยักหน้า
“อื้อ และทั้งหมดนี้ก็ต้องขอบคุณศิษย์พี่ชาย”
ไม่นานหลังจากนั้น ซุนจิงจิงและผู้อาวุโสนิกายก็ได้ตรงเข้ามาหาซูหยาง
“คนที่ตามหลังเจ้ามานี่เป็นใครกัน” ซุนจิงจิงถาม
“พวกเธอล้วนถูกโจรจับตัวไว้ ข้าได้ปล่อยพวกเธอ เท่านั้นเอง”
ซูหยางจึงหันไปมองดูกลุ่มคนเบื้องหลังและกล่าวว่า “ตอนนี้พวกเจ้าล้วนเป็นอิสระ พวกเจ้าสามารถทำทุกอย่างได้ตามที่เจ้าต้องการ อา…ถ้าพวกเจ้าคิดจะทดแทนข้าในการช่วยพวกเจ้าในวันนี้ นั่นมิจำเป็น…”
จากนั้นเขาก็มองไปยังหญิงสาวที่ต้องการตกตายมากกว่าที่จะมีชีวิตอยู่และกล่าวว่า “ข้าจักรักษาคำพูด ถ้าพวกเจ้าอยากจะตายมากกว่าที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพราะว่าความทรงจำที่เจ็บปวด ข้าจักมิหยุดยั้งพวกเจ้าแม้ว่าพวกเจ้าจะฆ่าตัวตายเดี๋ยวนี้”
“…”
สถานที่นั้นเงียบสงัดลง และหลังจากที่เงียบไปอีกชั่วขณะ ซูหยางก็พูดขึ้นต่อว่า “ถ้าจะว่าไปแล้ว ถ้าพวกเจ้าต้องการ ข้าสามารถลบความทรงจำที่เจ็บปวดของพวกเจ้าได้…”
บรรดาหญิงสาวมองดูเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง
“ท่าน… ท่านสามารถทำเช่นนั้นด้วยรึ”
“แน่นอน”
“ได้โปรด… ได้โปรดช่วยข้าให้ลืมมันไป…”
หนึ่งในหญิงสาวพลันร้องขอเขาพร้อมกับร้องไห้ และคนอื่นๆก็ทำตามอย่างรวดเร็ว
ถ้าพวกเธอสามารถอยู่ต่อได้โดยปราศจากความทรงจำในเวลาที่อยู่ในซ่องโจร มีชีวิตอยู่เหมือนกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เช่นนั้นหญิงสาวเหล่านี้ย่อมเลือกทำเช่นนี้แทนการตาย
แม้ว่าใบหน้าของเขาจะยังเรียบเฉย ซูหยางได้ยิ้มอยู่ภายในใจ
“เช่นนั้นก็ดี” เขาพยักหน้า
“ยืนเข้าแถวตรงหน้าข้าและข้าจักลบความทรงจำให้กับเจ้า อย่างไรก็ตามในการที่ข้าจักทำเช่นนั้น ข้าจำเป็นต้องเห็นความทรงจำของเจ้าบางอย่าง หวังว่าพวกเจ้าไม่ถือ”
หญิงสาวต่างพากันเข้าแถวตรงหน้าซูหยางที่วางมือลงบนหน้าผากของหญิงสาวเหล่านั้นและหลับตาลง
และหลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง ซูหยางก็ได้ใช้วิชาอันลึกล้ำอ่านทะลุความทรงจำของหญิงสาวเหล่านี้ก่อนที่จะปิดกั้นพวกมันไว้
ตามความเป็นจริงสิ่งที่ซูหยางทำอาจจะไม่ใช่เป็นการ “ลบ” ความทรงจำเสียทีเดียวแต่เป็นแค่เพียงการ “ปิดกั้น” ซึ่งมันสามารถเรียกคืนกลับมาได้ในอนาคต สิ่งเดียวกับที่ตระกูลซูได้ทำไว้กับเขา
กล่าวไปแล้วตราบเท่าที่หญิงสาวเหล่านี้ไม่ได้ฝึกฝนวิชาจนถึงขั้นที่พวกเธอสามารถลบการปิดกั้นความทรงจำออกไปได้ พวกเธอก็จะมีชีวิตอยู่โดยปราศจากความทรงจำเหล่านี้ไปจนตาย
หลังจากนั้นอีกครึ่งชั่วโมงเกือบทุกคนที่นั่นที่ถูกจับโดยโจรภูผาแดงก็ได้ถูกปิดกั้นความทรงจำจากซูหยาง
“ข..ข้ามิสามารถจำอะไรได้ในช่วงสามเดือนหลังนี้…”
“ข-ข้าก็เช่นกัน ข้ามิสามารถนึกขึ้นมาได้ไม่ว่าข้าจะพยายามมากมายเพียงใด”
ผู้คนในที่นั้นต่างพากันมีสีหน้าประหลาดใจก่อนที่จะมองไปยังซูหยาง
แม้ว่าความทรงจำของพวกเธอได้ถูกปิดกั้นไว้ พวกเธอก็ยังคงจดจำซูหยางได้ แม้ว่าพวกเธอจะไม่สามารถจำได้ว่าเขาทำอะไรไปกับพวกเธอบ้าง พวกเธอก็ไม่รู้สึกอะไรไปมากกว่าความสำนึกบุญคุณต่อเขา
หลังจากที่มั่นใจแล้วว่าความทรงจำของพวกเธอได้ถูกปิดกั้นอย่างดีแล้ว ซูหยางก็ได้กล่าวกับศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยว่า “ตอนนี้พวกเราสามารถกลับนิกายได้แล้ว”
“หือ แล้วคนพวกนี้ล่ะ”
ผู้อาวุโสนิกายคนหนึ่งถาม
“ข้าได้ให้อิสระกลับคืนแก่พวกเธอแล้ว สิ่งที่พวกเธอทำจากนี้ไปมิใช่เรื่องของข้าอีก”
“…”
อย่างไรก็ตามก่อนที่จะจากพวกเธอ ซูหยางได้ทำให้มั่นใจว่าให้ทองแก่พวกเธอไปบ้างแล้วพอเพียงที่จะมีชีวิตอยู่ตราบจนวันตายโดยไม่ต้องทำงาน
“ซูหยาง พวกเราจะกลับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอย่างไร ถ้าเรามิใช้ยานบิน นั่นพวกเราต้องใช้เวลาสองสามวัน…” ซุนจิงจิงถามเขา
“แม้ว่ามันจะยุ่งยากในการเดินทางกลับไปกลับมาหลายครั้งด้วยยานบิน มันต้องเร็วกว่าการเดินเท้าแน่นอน
ซูหยางมองดูซุนจิงจิงชั่วขณะก่อนที่จะพูดขึ้นว่า “เจ้าพูดถึงอะไรกัน ในเมื่อตอนนี้พวกเขามิได้ตกอยู่ในอันตรายแล้ว เรามิจำเป็นต้องอยู่ที่นี่อีกต่อไป”
ซูหยางพลันนำเอาเรือไม้ออกมาและกระโดดขึ้นไป
ไม่นานนักซูหยางก็พูดกับซุนจิงจิงที่ยังคงยืนอยู่ที่ตรงนั้นอย่างุนงงว่า “เจ้ารออะไรอยู่ ถ้าเจ้ามิขึ้นมา ข้าจักกลับไปเพียงลำพัง…”
“ข-ข-ข้ามาแล้ว”
ซุนจิงจิงไม่ได้มัวแต่ครุ่นคิดเรื่องนั้นอีกต่อไป เธอกระโดดขึ้นไปบนเรือไม้กับเขา
“เช่นนั้น…พวกเราจักพบกันอีกครั้งที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย…” ซุนจิงจิงกล่าวกับบรรดาศิษย์ที่ยังคงตะลึงงันด้วยเสียงอับอายเล็กน้อยก่อนที่เรือไม้จะหายลับไปจากสถานที่นั้น
ครั้นเมื่อพวกเขาจากสถานที่นั้น ซุนจิงจิงได้ถามซูหยางว่า “เจ้าสามารถบอกเหตุผลที่ไม่พาพวกเขามากับพวกเราได้หรือไม่ ข้ามิเชื่อว่าคนอย่างเจ้าจักปล่อยให้พวกเขาอยู่ตรงนั้นเช่นนั้นโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร”
ซูหยางมีท่าทางเรียบเฉยและถามเธอว่า “เจ้าได้อธิบายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยหรือยัง”
“ข้าอธิบายแล้ว…”
“ทุกสิ่งรึ”
“ใช่…”
“เช่นนั้นเจ้าได้หยุดคิดบ้างไหมว่าบางทีพวกเขาบางคนอาจจะไม่ต้องการกลับไปนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยหลังจากที่รู้ว่าสถานที่ที่พวกเขาเคยรู้จักนั้นไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว”
ดวงตาของซุนจิงจิงโตขึ้นด้วยความตระหนกเมื่อได้ตระหนักถึงความเป็นไปได้นี้
ในเมื่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้ถูกทอดทิ้งจนถึงขั้นนี้ ผู้อาวุโสนิกายและศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้จะยังคงเป็นศิษย์ของสถานที่แบบนี้อีกต่อไปหรือไม่ ว่าไปแล้วแม้ว่าศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้ถือว่าเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอย่างแท้จริง แต่พวกเขาก็ไม่ได้เป็นอย่างเป็นทางการ
ส่วนสำหรับผู้อาวุโสนิกาย บางทีพวกเขาอาจจะไม่ต้องการที่จะอยู่ในสถานที่ที่เกือบไม่มีศิษย์อีกต่อไปก็ได้
“ข้าปล่อยพวกเขาไว้ที่นั้นก็เพื่อให้พวกเขาได้สามารถตัดสินใจว่าพวกเขาต้องการที่จะกลับนิกายหรือไม่ ส่วนที่ว่าทำไมข้ามิได้พวกเขาเช่นนี้…พวกเขาตอนนี้จักสามารถตัดสินใจให้ตนเองได้อย่างจริงจังโดยปราศจากการแทรกแซง อีกนัยหนึ่งพวกเขาจะได้ซื่อตรงต่อหัวใจของตนเอง”
“…”
ซุนจิงจิงเงียบลงไป แต่สายตาของเธอที่จ้องมองไปยังซูหยางนั้นเต็มไปด้วยความประทับใจ เมื่อคิดว่าความคิดของเขาก้าวไปไกล…ช่างน่าประทับใจอย่างแท้จริง
PS: จากที่ผมได้เคยกล่าวไว้แล้วว่า ผมแปลตามต้นฉบับทันแล้ว และต้นฉบับก็ไม่ได้ลงทุกวัน ทำให้การติดตามของพวกเรานั้นกระท่อนกระแท่น ผมจึงเห็นว่าต่อไป ผมจะแปลและลงทุกตอนที่ต้นฉบับได้ออกมาให้ในวันเสาร์ทุกเสาร์แทน เพื่อที่พวกเราจะได้ไม่ต้องมาไล่คลิกดูว่าเมื่อไหร่กันที่เรื่องนี้จะออกตอนใหม่มา ดังนั้นนัดของพวกเราก็คือเสาร์หน้า และเสาร์ถัดๆไปในเวลาเดิม 18:00 น หากมีข้อคิดเห็นเสนอแนะ ติดต่อกันที่ asuwannarat@gmail.com นะครับ เสียดายที่ทางเวปไซต์ไม่มีให้คอมเมนต์ ขอบคุณที่ติดตามมากนะครับ
DC บทที่ 285: ข้าได้ตัดสินใจเลือกคู่
ณ ที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย หลังจากได้รับข่าวจากซุนจิงจิง โหลวหลานจีและผู้อาวุโสนิกายหลายคนได้มารอพวกเขากลับที่ศาลาหยินหยาง
“พวกเขาอยู่ที่ไหน ศิษย์ซุนได้ส่งข่าวบอกว่าพวกเขาจะมาถึงที่นี่เร็วๆนี้เมื่อชั่วโมงก่อน แต่พวกเขายังมาไม่ถึงที่นี่”
หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายที่นั่นกังวลว่าจะเกิดข่าวร้ายกับพวกเขา
“อย่ากังวล ข้าได้รับข้อความก่อนหน้านี้ว่าพวกเขาอาจจะมาถึงช้าเล็กน้อย”
โหลวหลานจีพูดกับเธอ
และขณะที่เธอพูดถ้อยคำเหล่านั้นจบ เรือไม้ก็ปรากฏตัวขึ้นเหนือพวกเธอโดยปราศจากเสียงแม้แต่น้อย สร้างความตกใจให้กับเหล่าผู้อาวุโสนิกายที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
“ใจเย็นๆ..”
โหลวหลานจียิ้มเมื่อเธอเห็นเรือไม้อยู่เหนือพวกเธอ
ไม่กี่วินาทีถัดไป ร่างสองร่างก็กระโดดจากเรือไม้ลงมายืนต่อหน้าพวกเธอ
“เจ้าสองคนได้ทำการช่วยเหลือศิษย์รุ่นเยาว์ได้อย่างยอดเยี่ยม แม้ว่ามิอาจกล่าวได้ว่าข้ามิได้สงสัยในความสามารถของพวกเจ้าแม้แต่น้อย ข้าก็ดีใจที่พวกเจ้าทั้งสองสามารถกลับมาหาพวกเราได้ครบสามสิบสอง”
โหลวหลานจีพูดกับพวกเขา
“ว่าไปแล้ว ศิษย์รุ่นเยาว์อยู่ไหนกัน”
โหลวหลานจีมองไปรอบๆแต่ก็ไม่พบร่องรอยของพวกเขา รู้สึกสงสัยอยู่บ้าง
“เรามิได้กลับมาพร้อมกับพวกเขา”
ซุนจิงจิงบอกเธอตามตรง
“อะไรนะ”
ทั้งโหลวหลานจีและผู้อาวุโสนิกายมองดูซุนจิงจิงด้วยดวงตาโต
“ศิษย์รุ่นเยาว์ยังคงอยู่ที่ชายแดน…”
ซุนจิงจิงทำการอธิบายสถานการณ์ให้กับโหลวหลานจีและผู้อาวุโสนิกาย
“ข้าเข้าใจ…”
โหลวหลานจีถอนหายใจพร้อมกับหลับตาหลังจากที่ได้ฟังคำอธิบายของซุนจิงจิง เข้าใจถึงสถานการณ์ได้อย่างแท้จริง
ถ้าศิษย์รุ่นเยาว์ต้องการที่จะจากไป เธอสัญญาว่าจะไม่กล่าวโทษพวกเขา
โหลวหลานจีหันไปมองดูซูหยางพร้อมขมวดคิ้ว
หลังจากที่นิ่งเงียบไปชั่วขณะ เธอก็พูดขึ้นว่า “แม้ว่าจริงแล้วข้าต้องการที่จะดุด่าเจ้ากับการกระทำในวันนี้ ข้าก็มิอาจทำเช่นนั้นได้ในเมื่อเจ้ามิเพียงช่วยเหลือศิษย์รุ่นเยาว์เท่านั้นแต่ยังคงช่วยเหลือผู้บริสุทธ์เคราะห์ร้ายเหล่านั้นจากภายในซ่องโจรด้วย และสำหรับเหตุการณ์นี้ ข้าต้องขอบใจเจ้ามาก”
“นั่นมิได้มีอะไรมาก” ซูหยางกล่าวผ่านๆ
“ตอนนี้พวกเราก็ได้แต่รอและหวังว่าอย่างน้อยพวกเขาบางคนจะกลับมา…” โหลวหลานจีถอนหายใจ
ต่อจากนั้นโหลวหลานจีก็สั่งให้ทุกคนแยกย้ายกันไป
หลังจากที่แยกย้ายจากกันไปแล้ว ซูหยางก็กลับไปยังที่พักของเขาและฝึกฝนวิชาต่อไป
–
–
–
ชั่วพริบตาเวลาสี่วันก็ผ่านไปนับตั้งแต่ภารกิจช่วยเหลือ และก็ยังไม่มีศิษย์รุ่นเยาว์แม้สักคนเดียวได้กลับมาหลังจากนั้น
“บางทีพวกเขาทั้งหมดได้ละทิ้งพวกเราไปแล้ว…”
ซุนจิงจิงถอนหายใจขณะที่เธอฝึกวิชากระบี่ในลานบ้าน
“ใครจะรู้…”
ผู้อาวุโสซุนพูดขณะที่เขามองดูม้วนคัมภีร์ในมือ
“ในขณะที่มันเป็นคราวเคราะห์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ถ้าเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ได้ตัดสินใจมิกลับมาอีก จากใจแล้วนั่นก็ไม่เลวนัก ในเมื่อพวกเขามีมากกว่าหนึ่งร้อยคน มิใช่ว่าจะมีเพิ่มอีกหนึ่งร้อยคนจักช่วยนิกายมีชื่อเสียงกลับคืนมาเช่นอดีตได้”
“นั่นก็ใช่ แต่คนหนึ่งร้อยคนย่อมเพิ่มจำนวนประชากรของพวกเรา ดังนั้นปู่ย่อมมิอาจพูดได้ว่านั่นมิมีอะไรเลย”
ซุนจิงจิงพลันหยุดการกวัดแกว่งกระบี่และถามผู้อาวุโสซุน “ปู่คิดว่าจักเกิดอะไรขึ้นกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไหม พวกเราจักอยู่รอดจากสถานการณ์นี้หรือไม่ หรือว่าเราจักต้องตาย”
ผู้อาวุโสซุนหลับตาลงครุ่นคิด
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เขาก็พูดขึ้นว่า “ถ้าให้ข้ากล่าวจากใจจริงกับเจ้า ข้ามิอาจคาดเดาได้… และข้ามั่นใจว่าผู้อาวุโสนิกายคนอื่นก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน”
ขณะที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอาจจะร่ำรวยด้วยวิชาและทรัพยากร หากปราศจากศิษย์ความร่ำรวยเหล่านั้นย่อมไม่มีค่าอะไร
ยิ่งไปกว่านั้นเพราะว่าวิธีการสำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยใช้ในการฝึกวิชา นั่นย่อมยากที่จะหาศิษย์เมื่อเปรียบเทียบกับนิกายขนาดกลางทั่วไป ในเมื่อวิธีการฝึกฝีมือนี้ย่อมผลักดันคนส่วนใหญ่ออกห่างโดยไม่แม้จะคิดอีกเป็นครั้งที่สอง
“เช่นนั้นทำไมปู่จึงตัดสินใจที่จะอยู่ที่นี่ในเมื่อปู่สามารถจากไปได้ ปู่อาจจะตายได้รู้ไหม อย่างไรก็ตามที่ข้าตัดสินใจที่จะอยู่ที่นี่นั้นก็เป็นเพราะว่าปู่นั่นแหละ”
“ที่นี่เป็นที่ข้าเติบโตมา… โดยพื้นฐานแล้วข้ามิอาจทอดทิ้งมันไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะที่มีอันตราย”
“อืม… อย่างนั้นรึ…”
“แล้วเจ้าล่ะ เจ้ามั่นใจรึว่าเจ้าต้องการอยู่ที่นี่ แทนที่จะอยู่ที่นี่ เจ้าควรจะไปที่อื่นในตอนนี้ สถานที่ที่สามารถช่วยเจ้าเติบโตได้อย่างเหมาะสม หากปราศจากการร่วมฝึกคู่ก็มิมีความหมายใดที่จะต้องอยู่ที่นี่…”
ผู้อาวุโสซุนถอนหายใจและกล่าวต่อว่า “ตระกูลซุนได้เจ้ากี้เจ้าการบอกข้าให้โน้มน้าวเจ้าให้หยุดติดตามข้าตั้งแต่เดือนก่อน เจ้ารู้ไหม พวกเขายังกระทั่งอ้างว่าศักยภาพของเจ้าจักสูญเปล่าหากยังอยู่ที่นี่”
“…”
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ ซุนจิงจิงก็ยิ้มขึ้นและกล่าวว่า “เช่นนั้นพวกเขาย่อมหยุดบ่นปู่ถ้าข้าพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นว่าข้าได้เลือกเส้นทางที่ถูกต้องหากอยู่ที่นี่ ใช่ไหม”
“แล้วเจ้าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรรึ นอกจากวิชากระบี่ของเจ้าแล้ว เจ้าแทบจะไม่ได้พัฒนาอะไรนับตั้งแต่มาที่นี่”
“ข….ข้าได้ตัดสินใจเลือกคนที่จะร่วมฝึกไว้แล้ว”
ซุนจิงจิงพลันเปิดเผยออกมา เป็นเหตุให้ผู้อาวุโสซุนดวงตาเบิกโพลงราวกับไข่
“เจ้า…แต่นั่นมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถ…”
เมื่อผู้อาวุโสซุนตระหนักได้ในเรื่องนี้ เขาพลันขมวดคิ้ว “ไม่ ข้ามิเห็นด้วยในเรื่องนี้ เจ้าสามารถเลือกคนอื่นได้นอกจากเจ้าเด็กเลวซูหยางนั่น เขาเป็นคนประเภทที่จักมินำสิ่งอื่นมานอกจากปัญหา ถ้าเจ้าพาตัวไปเกี่ยวข้องกับเขา”
“ข้าต้องขอโทษ ปู่ แต่ข้าได้ตัดสินใจไปแล้ว”
ซุนจิงจิงไม่ได้เถียงเขา เพียงแสดงถึงรอยยิ้มมั่นใจ
“เจ้า…. เฮ้อ”
ผู้อาวุโสซุนถอนหายใจเสียงดัง
เขาไม่อาจจะมีแม้เรี่ยวแรงใดไปชักจูงเธอ ในเมื่อไม่มีใครในโลกนี้ที่เข้าใจความดื้อดึงของเธอได้ดีกว่าเขา ครั้นเมื่อเธอได้ตัดสินใจสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอยิ้มแบบนั้นแม้แต่บุพการีก็ไม่อาจจะเปลี่ยนใจเธอได้
“ถ้านั่นเป็นการตัดสินใจของเจ้า เช่นนั้นก็ให้เป็นไปตามนั้นเถอะ อย่างไรก็ตามอย่ามาร้องไห้หาข้าในอนาคตเมื่อสิ่งต่างๆมิเป็นไปตามที่หวัง ต่อให้เจ้าเป็นหลานรักของข้าก็ตาม”
“อย่ากังวลเลยปู่ ปู่ก็ควรรู้ในตอนนี้ว่าข้ามีสายตาเฉียบคมในเรื่องคน มิใช่ว่าตัดสินใจอย่างหยาบๆ”
“ถ้าเจ้าพูดเช่นนั้นละก็…”
แม้ว่าผู้อาวุโสซุนได้ผลักสถานการณ์นี้ออกจากความรับผิดชอบ เขาก็อดที่จะกังวลในใจไม่ได้
DC บทที่ 286: แบบอย่างที่เลวร้าย
วันนั้นในภายหลังผู้อาวุโสซุนก็ได้รับข่าวจากโหลวหลานจีว่าศิษย์รุ่นเยาว์ได้กลับมาแล้ว
เมื่อได้ยินข่าวนี้ซุนจิงจิงก็พลันพุ่งตรงไปยังทางเข้าเพื่อพบกับศิษย์รุ่นเยาว์
“ว้าว… นี่มีมากกว่าที่ข้าได้คาดเอาไว้…”
ซุนจิงจิงค่อนข้างประหลาดใจเมื่อมากกว่าครึ่งของศิษย์รุ่นเยาว์ได้กลับมา
ส่วนสำหรับผู้อาวุโสนิกายนั้น มีเพียงคนเดียวที่ได้ตัดสินใจอยู่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยต่อไป ในขณะที่คนที่เหลืออีกสามไปที่อื่น
“ข้าพอที่จะถามได้ไหมว่าทำไมพวกเจ้าจึงตัดสินใจกลับมา พวกเจ้าอายุยังน้อยดังนั้นย่อมมีทางเลือกมากมายที่เจ้าสามารถไปได้นอกจากที่แห่งนี้…โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์เช่นนี้”
โหลวหลานจีถามพวกเธอในเมื่อเธออยากรู้จริงๆว่าพวกเธอมีเหตุผลอะไรในการตัดสินใจเช่นนี้
เด็กหญิงตัวเล็กคนหนึ่งออกมาด้านหน้าและกล่าวว่า “เพราะว่าศิษย์พี่ชายซูได้เป็นแรงบันดาลใจให้พวกเรา และเราต้องการที่จะเป็นเหมือนเช่นเขา”
“ข-เขาเป็นแรงบันดาลใจให้พวกเจ้ารึ…”
แม้ว่าโหลวหลานจีต้องการเตือนเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ว่าซูหยางอาจจะเป็นแบบอย่างที่เลวร้าย เธอก็ได้แต่ยิ้มและกล่าวว่า “ถ้าพวกเจ้าต้องการเป็นเหมือนเขา เจ้าจำเป็นต้องฝึกฝนยาวนานและยากลำบาก…”
“พวกเราจักทำเช่นนั้น”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันพยักหน้า
อย่างไรก็ตามหลังจากนั้น หนึ่งในศิษย์รุ่นเยาว์ก็กล่าวว่า “ข้าอดใจรอที่จะฝึกร่วมกับศิษย์พี่ชายในปีหน้าไม่ได้ตอนที่ข้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว”
“ข้าก็ด้วย”
“ข้ายังคงเหลืออีกตั้งห้าปีที่จะต้องผ่าน…”
เมื่อโหลวหลานจีได้ยินข้อคิดเห็นเหล่านี้ ท่าทางของเธอก็แข็งทื่อ
สุดท้ายแล้วศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้ก็ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอย่างแท้จริง…
“อย่างไรก็ตามเพราะว่าสถานการณ์นี้ ข้าจักให้พวกเจ้าเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ย้ายเข้ามาอยู่ในเขตศิษย์ในเพื่อให้ได้รับการปกป้องจนกว่าจำนวนประชากรของพวกเราเพิ่มขึ้นอีกครั้ง”
“พวกเราได้อยู่ในเขตศิษย์นอกเหรอ”
เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันโห่ร้องอย่างยินดี เมื่อคิดว่าพวกเธอไม่เพียงแค่ก้าวเท้าเข้าไปในเขตศิษย์นอก แต่ได้อาศัยอยู่ที่นั่นก่อนที่พวกเธอจะได้เป็นศิษย์นอกเสียอีก นี่เป็นความฝันที่เป็นจริง
โหลวหลานจีหันไปมองยังผู้อาวุโสนิกายที่ยังคงเหลือและกล่าวว่า “มากับข้าหลังจากนี้ ข้ามีบางอย่างให้กับท่าน”
“ขอรับ ผู้นำนิกาย”
“ว่าไปแล้ว ศิษย์พี่ชายซูไปไหน”
ชีเยว่ถามเมื่อเธอไม่เห็นเขา
“เขาวุ่นวายกับการฝึกฝนสำหรับการแข่งขันระดับภูมิภาค” ซุนจิงจิงกล่าว
“ท่านผู้นำนิกาย ตอนนี้พวกเราควรทำอะไร”
หนึ่งในศิษย์รุ่นเยาว์พลันถามขึ้น
“เจ้าหมายความว่าอะไร”
“อืม…ในเมื่อศิษย์ทั้งหมดและผู้อาวุโสนิกายล้วนจากไปแล้ว ใครจักให้การอบรมแก่พวกเรานับแต่นี้ต่อไป”
“อืม…”
โหลวหลานจีหลับตาลงครุ่นคิดในเมื่อเธอยังไม่ได้คิดมาถึงจุดนี้
การที่จะมาเป็นผู้อบรม คนนั้นจะต้องมีความรู้และฝีมือในเรื่องของการฝึกวิชาคู่เพื่อที่ว่าเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้จะมีความรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรยามเมื่อเวลานั้นมาถึง
แน่นอนว่าบทบาทนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะเพียงผู้อาวุโสนิกายซึ่งจะเป็นใครก็ได้ที่มีความสามารถในการอบรมก็สามารถเข้าร่วมได้ ตามจริงแล้วก่อนนี้จะมีศิษย์หลักและศิษย์ในมาให้การอบรม
“ข้ารู้แล้ว”
ประกายของความรู้วาบผ่านในใจของโหลวหลานจี
“ข้ายังมิได้ลงโทษซูหยางที่ตบหน้าข้า ข้าจักให้เขาอบรมพวกเธอเป็นเวลาชั่วขณะและดูว่าจะเป็นอย่างไร ด้วยความรู้ความสามารถที่เหนือล้ำของเขา ผลลัพธ์ที่ออกมาน่าจะตื่นตะลึง”
“ในเมื่อพวกเจ้าล้วนมองหาศิษย์ซู ทำไมข้ามิให้เขามาเป็นผู้อบรมพวกเจ้าสักพักหนึ่งไหม” เธอถามพวกเธอ
เมื่อเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เหล่านี้ได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของพวกเธอก็พลันเบิกกว้างอย่างยินดี
“พวกเราจะได้รับการอบรมจากศิษย์พี่ชาย”
ชีเยว่ค่อนข้างตื่นตะลึงกับข่าวนี้
“ตอนนี้ก็ตกลงตามนี้ เราจักต้องจัดหาที่พักให้พวกเจ้าอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ สำหรับตอนนี้พวกเจ้าก็เตร็ดเตร่อยู่แถวนี้ก่อน”
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นโหลวหลานจีก็จากสถานที่นั้นไปพร้อมกับผู้อาวุโสนิกาย ทิ้งให้ศิษย์รุ่นเยาว์อยู่เบื้องหลังพูดคุยกันจนกระทั่งพวกเธอได้รับที่พักใหม่
ในเวลานั้นเมื่อหลานลี่ชิงได้ยินข่าวการกลับมาของบรรดาศิษย์ เธอก็พลันตรงไปยังตำแหน่งของพวกเธอ
เมื่อได้เห็นชีเยว่ หลานลี่ชิงก็ตรงเข้าไปกอดอีกฝ่ายทันที
“ข้ารู้ว่าเจ้าต้องอยู่”
ชีเยว่หัวเราะและกล่าวว่า “เพราะว่าข้ารู้ว่าพี่สาวหลานต้องยังคงอยู่ที่นี่”
“อย่างไรก็ตามข้าได้ยินข่าวว่าเจ้าถูกจับโดยพวกโจร… เจ้าสบายดีไหม” หลานลี่ชิงถามถึงกรณีนั้น
“แน่นอน ศิษย์พี่ชายซูมาถึงในเวลาที่เหมาะสมและฆ่าพวกโจรทั้งหมดก่อนที่พวกเราจะได้มีปฏิกิริยาใด ข้าทนรอที่จะโตขึ้นมาและฝึกร่วมกับเขาไม่ได้เช่นกัน”
“อย-อย่างงั้นรึ…”
หลานลี่ชิงไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดีกับความไร้เดียงสาของอีกฝ่าย
“เช่นนั้นทางที่ดีเจ้าต้องทำงานหนักสำหรับสี่ปีข้างหน้านี้”
“อือ”
ชีเยว่พยักหน้า
–
–
–
สามวันผ่านไปนับตั้งแต่ศิษย์รุ่นเยาว์กลับมา
“เซียวไป่จักกลืนหญ้าเงินเจ็ดใบใบสุดท้ายหลังจากนี้ เจ้าไปอยู่ที่นั่นกับข้าได้ไหมตอนที่เกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น ผู้นำนิกายก็จักไปอยู่ที่นั่นเช่นกัน”
ฟางซีหลานถามเขาขณะที่ปกปิดร่างเปลือยเปล่าของเธอด้วยเสื้อผ้าหลังจากที่พวกเขามีกิจกรรมฝึกคู่
“นั่นย่อมแน่นอน”
ซูหยางเห็นด้วยในทันทีแต่ยังไงก็ตามเขาก็ต้องไปที่นั่นไม่ว่าเธอจะขอร้องหรือไม่ ในกรณีที่เกิดบางอย่างผิดพลาด
ไม่นานหลังจากนั้นซูหยางก็ตามฟางซีหลานไปยังที่พักของเธอที่ซึ่งโหลวหลานจีได้รออยู่แล้ว
“เป็นว่าเจ้าได้พาเขามาด้วยจริงๆ หือ”
โหลวหลานจีมองดูซูหยางด้วยท่าทางเรียบเฉย เพราะใช่ว่าเธอจะไม่ได้คาดคิดว่าเขาอยู่ที่นี่
ครั้นเมื่อพวกเขาเข้าไปในบ้าน ฟางซีหลานก็เรียกหาเซียวไป่ซึ่งก็ได้ตอบรับการเรียกหาของเธอในทันที
“เซียวไป่ นี่คือชิ้นสุดท้ายที่ข้ามีให้กับเจ้า”
ฟางซีหลานนำเอากระถางที่มีหญ้าเงินเหลืออยู่เพียงใบเดียวในนั้นออกมา
อย่างไรก็ตามตรงกันข้ามกับปฏิกิริยาตื่นเต้นตามปกติของมัน เซียวไปมีสีหน้าท่าทางโศกเศร้ากระทั่งแสดงออกถึงความลังเลในการที่จะกินหญ้าเงิน เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการให้นี่เป็นอาหารมื้อสุดท้ายของเธอ
“เจ้ารออะไรอยู่รึเซียวไป่ เจ้าจักมิโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ถ้าเจ้ามิกินสิ่งนี้…”
ฟางซีหลานยื่นหญ้าเงินไปตรงใบหน้าของเซียวไป
เมื่อเห็นสถานการณ์ตามที่ได้คาดคิดไว้ ซูหยางก็ยิ้มและกล่าวว่า “เจ้าอาจจะคิดว่าหญ้าเงินเจ็ดใบจักเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เจ้าเคยได้กิน แต่นั่นยังมีวัตถุที่อร่อยกว่านี้ด้านนอกนั้นที่เจ้าจะสามารถกินได้ก็ต่อเมื่อเจ้าเติบโตเป็นผู้ใหญ่”
ดวงตาของเซียวไป่เป็นประกายด้วยความตื่นเต้นหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขาและโดยปราศจากความกังวลต่อไปเซียวไป่ก็ได้กลืนกินหญ้าเงินเจ็ดใบใบสุดท้ายจากมือฟางซีหลานในคำเดียว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น