Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน 276-282

 DC บทที่ 276: เทียนเสริมสุข


 


หลังจากรอเกือบตลอดวัน สุดท้ายฟางซีหลานก็ได้ยินเสียงเคาะประตูบ้านพัก และเธอก็รีบไปเปิด


 


“เจ้าต้องการพบข้ารึ”


 


แน่นอนว่าเป็นซูหยางที่อยู่เบื้องหลังประตูนั้น


 


“ช..ใช่”


 


แม้ว่าเธอคาดว่าจะเห็นเขา แต่ฟางซีหลานก็อดที่จะรู้สึกประหม่าไม่ได้เมื่อเขาปรากฏตัว เธอไม่เคยรู้สึกกระวนกระวายเช่นนี้มาก่อน


 


บางทีเป็นเพราะว่าเธอรู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา หรือบางทีเป็นเพราะว่ากระแสพลังที่อธิบายไม่ได้ที่รายล้อมซูหยางอยู่ในเวลานั้น แต่บางอย่างเกี่ยวกับซูหยางที่เป็นเหตุให้ตัวเธอรู้สึกกระวนกระวายคล้ายกลัวเกรง


 


“ข้ามาที่นี่สายเกินไปหรือไม่ ข้าควรจะมาพรุ่งนี้” ซูหยางกล่าว


 


“มิเป็นไร ยังไงข้าก็ยังมิหลับในเร็วๆนี้”


 


ซูหยางพยักหน้าและเข้าไปผ่านประตู


 


เมื่อเข้าไปในที่พักของฟางซีหลานแล้ว ลูกบอลขนฟูสีขาวก็ปรากฏตัวต่อหน้าซูหยาง


 


นั่นเป็นเซียวไป่ และเธอก็จ้องมองเขาด้วยดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยปัญญา


 


ฟางซีหลานค่อนข้างประหลาดใจที่เห็นเซียวไป่อยากทักทายใครสักคน


 


“บางทีเธออาจรู้ว่าซูหยางเป็นคนที่ช่วยเธอไว้” เธอคิดสงสัย


 


เป็นเช่นนั้นจริง เซียวไป่จำได้ว่าซูหยางเป็นเจ้าของตัวตนนั้นในระหว่างที่นิกายล้านอสรพิษรุกรานในทันทีที่เธอรับรู้ถึงอีกฝ่าย


 


“เจ้าดูเหมือนจะเติบโตได้ดี” ซูหยางกล่าวหลังจากที่มองดูเซียวไป่


 


หลังจากที่เกิดเหตุการณ์กับนิกายล้านอสรพิษ ซูหยางสร้างค่ายกลซ่อนเร้นไม่เพียงแต่รอบนิกายแต่มีอีกค่ายกลรอบบ้านฟางซีหลานด้วย และเพราะว่าเธอไม่ต้องกังวลว่าตัวตนของเซียวไป่จะถูกสังเกตพบหลังจากป้อนอาหาร ฟางซีหลานจึงได้ป้อนเซียวไป่ด้วยหญ้าเงินเจ็ดใบอย่างต่อเนื่องจนถึงอาทิตย์ที่ผ่านมา


 


นับถึงวันที่เธอจะต้องป้อนเซียวไป่อีกครั้งในวันพรุ่งนี้ เซียวไปก็จะต้องการหญ้าเงินอีกแค่สามใบ หรืออีกสิบสองวัน เพื่อที่จะเติบโตเต็มวัย


 


หลังจากที่ได้ยินคำพูดของซูหยาง เซียวไป่ก็เข้าไปหาซูหยางและถูหัวอันอ่อนนุ่มของเธอเข้ากับขาของเขาเหมือนกับเป็นแมว


 


“พอแล้วเซียวไป่ เจ้าหยุดได้แล้วตอนนี้”


 


ฟางซีหลานกล่าวหลังจากนั้นชั่วขณะเมื่อเซียวไป่ไม่ยอมหยุด


 


หลังจากนั้นไม่นานฟางซีหลานก็ย้ายเซียวไป่ไปยังอีกห้องก่อนที่จะนั่งลงที่ห้องนั่งเล่นพร้อมกับซูหยาง


 


“เจ้ามีคำถามอะไรอยากถามข้ารึ ข้าเห็นมันอยู่ทั่วหน้าของเจ้า”


 


หลังจากที่ได้ยินคำพูดของซูหยาง ฟางซีหลานเริ่มถามคำถามต่อเขา


 


“เจ้าเป็นคนที่เข้าไปแทรกแซงในวันนั้นตอนที่นิกายล้านอสรพิษโจมตีใช่ไหม” เธอตรงเข้าไปยังคำถามที่เธอต้องการคำตอบมากที่สุด


 


“เจ้าควรรู้คำตอบนั้นเรียบร้อยแล้ว”


 


ซูหยางตอบสนองอย่างไม่ใส่ใจ


 


“…”


 


ฟางซีหลานเงียบลง


 


แม้ว่าเธอได้คาดถึงคำตอบนี้อยู่แล้ว แต่ฟางซีหลานยังคงรู้สึกถึงคลื่นความตระหนกกระแทกเข้าไปท่วมท้นใจเธอ


 


ไม่นานหลังจากนั้นฟางซีหลานก็ลดตัวลงคำนับซูหยางในท่าคุกเข่า


 


“ขอบคุณที่ช่วยเซียวไป่และที่แห่งนี้…”


 


ฟางซีหลานขอบคุณเขาจากก้นบึ้งของหัวใจ


 


ถ้านั่นไม่ใช่เพราะเขา นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอาจจะไม่มีอยู่ที่นี่แล้วตอนนี้ แน่นอนว่าคนที่อยู่ด้านในนิกายด้วยเช่นกัน


 


ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ข้ามิได้ต้องการให้เจ้าสำนึกขอบคุณ ในเมื่อนั่นเป็นหน้าที่ของศิษย์ที่จะปกป้องบ้านของตนเอง”


 


ฟางซีหลานไม่ได้ยกหัวของเธอขึ้น กล่าวต่อว่า “ขณะที่ศิษย์ส่วนใหญ่ได้ละทิ้งหน้าที่และหนีเอาชีวิตรอด แต่เจ้า…เจ้าอยู่ อีกทั้งยังปกป้องนิกายด้วย ข้าเป็นเพียงศิษย์คนหนึ่ง ดังนั้นคำพูดของข้าอาจจะมิมีความหมายต่อเจ้า แต่นี่เป็นเพียงสถานที่เดียวที่ข้าสามารถเรียกได้ว่าบ้าน และเจ้าปกป้องมันไว้ให้ข้าและเซียวไป่”


 


แม้ว่าจะซุกซ่อนไว้พ้นจากสายตา แต่น้ำตาก็คลออยู่ในดวงตาของฟางซีหลานในเวลานั้น


 


“ข้าเข้าใจ เช่นนั้นทำไมเจ้ามิลุกขึ้นจากพื้นเสียก่อนล่ะ ข้ามิมีรสนิยมที่จะเห็นหญิงสาวคุกเข่าต่อหน้าข้า”


 


ฟางซีหลานรีบปาดน้ำตาและยืนขึ้น


 


“อย่างไรก็ตามเรามาเข้าสู่เรื่องหลักที่ว่าทำไมข้าจึงมาที่นี่กันเถอะ…”


 


ซูหยางพลันกล่าวขึ้น


 


ฟางซีหลานไม่จำเป็นต้องให้ซูหยางอธิบายเพิ่มเติม พยักหน้าก่อนที่จะกล่าวว่า “เราไปที่ห้องของข้ากันเถอะ”


 


ซูหยางตามฟางซีหลานเข้าไปในห้องของเธอ ยามเมื่อพวกเขาเข้าไปข้างในแล้ว ฟางซีหลานพลันเริ่มต้นถอดเสื้อผ้าโดยไม่พูดอะไร ดูเหมือนกระตือรือล้นต้องการฝึกวิชา


 


ซูหยางมองดูฟางซีหลานเผยร่างบางของเธออย่างช้าๆขณะที่จมูกของเขาก็ถูกรุกรานจากกลิ่นหอมหวานและสงบระงับที่เป็นธรรมชาติของห้องนี้


 


ตามจริงกลิ่นหอมเฉพาะนี้ทำให้น้องชายของซูหยางมีความปรารถนาที่จะฝึกวิชาเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม


 


“เทียนเสริมสุข หึ”


 


ซูหยางพลันรู้ถึงสาเหตุของปรากฏการณ์นี้


 


แม้ว่าเทียนเสริมสุขอาจจะเพิ่มความปรารถนาและความมีชีวิตชีวาให้แก่ผู้คน แต่ผลของมันไม่ได้รุนแรงพอที่จะทำให้กระทั่งคนธรรมดาทั่วไปส่วนใหญ่สูญเสียเหตุผลไปกับความต้องการทางเพศ ดังนั้นผู้คนจึงมักจะใช้มันทั่วไปเพื่อต้องการให้บรรยากาศดีขึ้นหรือเพื่อต้องการให้การร่วมรักมีระยะเวลายาวนานขึ้น


 


“เจ้ามิชอบเทียนเสริมสุขรึ” ฟางซีหลานไม่ได้แม้จะซ่อนความจริงนั้นและถามเขาหลังจากที่เห็นเขายืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางตื่นตะลึงเล็กน้อย


 


“เปล่า มิใช่เช่นนั้น”


 


เขาตอบกลับอย่างรวดเร็วและกล่าวต่อว่า “มันดึงเอาความทรงจำที่ข้าคิดถึงกลับมาเท่านั้นเอง”


 


หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งฟางซีหลานและซูหยางก็เปลือยเปล่าอยู่บนเตียง


 


ฟางซีหลานซึ่งเปียกแฉะไปเรียบร้อยและพร้อมแล้วได้กล่าวกับซูหยางด้วยดวงตาไฝ่ฝัน “มาเถอะ ตัวข้าพร้อมแล้ว…”


 


ซูหยางพยักหน้าและทำการอัดแท่งหยาบของเขาเข้าไปในถ้ำคับแน่นของฟางซีหลาน


 


“อาาาาา”


 


ฟางซีหลานซึ่งไม่เคยครางเร็วเช่นนี้มาก่อนรู้สึกตกตะลึงไปกับความแข็งแกร่งและมั่นคงของแก่นกายซูหยาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งปริมาณความสุขที่เธอได้รับจากเพียงแค่การแทงครั้งแรก


 


หลังจากที่เขาได้เริ่มต้นแทงแล้ว ซูหยางก็ไม่ได้หยุดชะงักไปแม้ชั่วขณะและทำการขยับสะโพกของเขาส่งคลื่นความสุขสันต์ไปทั่วร่างกายของฟางซีหลานด้วยการทิ่มแทงแต่ละครั้ง


 


“อาาา”


 


“อ๊าาาาาาา”


 


“น-นี่มันอะไรกัน ข้ามิเคยรู้สึกสุขสมเช่นนี้มาก่อน” ฟางซีหลานร่ำร้องในใจขณะที่เธอพบกับการเปิดโลกใหม่ของความสุข รู้สึกเหมือนกับคนธรรมดาที่เพิ่งลอยพ้นจากพิภพขึ้นสู่ดินแดนที่เหนือกว่า


DC บทที่ 277: ภารกิจช่วยเหลือ


 


หลังจากเข้าสู่เขตอัมพรวิญญาณ ปราณหยางที่เข้มข้นอยู่แล้วของซูหยางยิ่งทวีความเข้มข้นมากยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นเพราะว่าความแข็งแกร่งที่มากล้นของปราณหยางทำให้น้องชายของซูหยางปลดปล่อยกระแสพลังอันลึกล้ำที่จะเพิ่มความสุขให้กับคู่ของเขาระหว่างการฝึกวิชาคู่อย่างเป็นธรรมชาติ


 


กล่าวอีกนัยหนึ่ง แม้กระทั่งซูหยางไม่ทำอะไรเลย คู่ของเขาก็ยังจะรู้สึกมีความสุขเพียงแค่มีแก่นของเขาอยู่ในร่างกายของพวกเธอ


 


“อาาา”


 


“อาาาาาาา”


 


“อาาาาาาาาาาาา”


 


ทั้งร่างของฟางซีหลานสั่นสะท้านก่อนที่จะปล่อยปราณหยินจากร่างกายส่วนล่าง


 


“อีกแล้ว…เขาทำให้ข้าหลั่งอีกแล้ว…”


 


หลังจากที่ฝึกวิชาร่วมกับซูหยางได้ครึ่งชั่วโมง ฟางซีหลานก็จำไม่ได้แล้วว่าตนเองหลั่งปราณหยินออกไปแล้วกี่ครั้ง


 


นับตั้งแต่เธอเริ่มเส้นทางการฝึกฝนแบบนี้ ฟางซีหลานก็ไม่เคยรู้สึกถึงความพึงพอใจและสุขสมเช่นนี้มาก่อนจากการร่วมฝึกคู่


 


รู้สึกเหมือนกับกบในบ่อ ฟางซีหลานจึงอ้าแขนรับทุกสิ่งที่ซูหยางฝากไว้บนกายเธอ


 


หลังจากผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมงเมื่อร่างของฟางซีหลานไม่อาจรองรับสถานการณ์ได้อีกต่อไป ซูหยางก็หลั่งปราณหยางเข้าสู่ฟางซีหลาน


 


“อาาาาา”


 


ฟางซีหลานร้องครางเสียงยาวเมื่อเธอรู้สึกว่ามีบางสิ่งที่อบอุ่นพุ่งเข้าไปเติมเต็มในช่องของเธออย่างรวดเร็ว


 


ไม่นานหลังจากนั้นเมื่อฟางซีหลานรู้สึกถึงคุณภาพของปราณหยางในร่างเธอ เธอก็จ้องมองซูหยางด้วยดวงตาเบิกกว้าง


 


“น-น-นี่…เขตอัมพรวิญญาณ”


 


“เจ้าบอกได้ด้วยรึ” ซูหยางยิ้ม


 


แม้ว่าเธอจะตะลึง ฟางซีหลานก็ยังสามารถพยักหน้าตอบรับได้


 


“ตราบเท่าที่เจ้าร่วมฝึกคู่กับข้าอย่างต่อเนื่อง เจ้าก็จักเข้าถึงเขตปฐพีวิญญาณก่อนถึงการแข่งขันระดับภูมิภาค”


 


ฟางซีหลานไม่ได้สงสัยในคำพูดของเขาแม้แต่น้อย


 


ตามจริงเธอควรจะไปถึงระดับที่สี่เขตปฐพีวิญญาณได้เลยในเวลาที่การแข่งขันระดับภูมิภาคเริ่มต้นถ้าเธอฝึกร่วมกับซูหยางอย่างต่อเนื่อง


 


ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากผ่านไปเพียงแค่อาทิตย์เดียว ศิษย์นอกทั้งเจ็ดที่ต้องการเข้าร่วมการแข่งขันระดับภูมิภาคแต่ยังคงอยู่แค่ระดับปฐมวิญญาณก็ได้เข้าสู่เขตคัมภีร์วิญญาณไปนานแล้วหลังจากที่ฝึกร่วมกับซูหยางและพวกเธอทั้งหมดก็คาดหวังว่าจะเข้าสู่เขตสัมมาวิญญาณก่อนที่จะถึงการแข่งขันระดับภูมิภาค


 


หลังจากที่ฝึกร่วมกับฟางซีหลานแล้วซูหยางก็กลับไปยังที่พักของตนเองเพืี่อที่จะได้ฝึกฝนร่วมกับบรรดาศิษย์ในวันถัดไป


 



 



 



 


ระหว่างช่วงเวลานี้นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ยังคงเงียบเชียบและอยู่แต่ภายในพื้นที่ของตนเอง


 


ส่วนสำหรับนิกายดอกบัวเพลิง พวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยให้กับโลกภายนอกและเพียงพูดถึงประสบการณ์ของตนเองกับผู้นำนิกายเท่านั้น ในเมื่อนี่เป็นคำแนะนำของผู้นำนิกายด้วยตนเอง


 


“ซูหยาง”


 


ขณะที่เขาอยู่ในระหว่างการฝึกคู่ หยกสื่อสารของซูหยางพลันสั่นและเสียงของโหลวหลานจีก็ดังขึ้นในหัวของเขา


 


“มาที่ศาลาหยินหยางเดี๋ยวนี้ มีเรื่องด่วน”


 


“…”


 


“มีอะไรผิดไปรึ ศิษย์พี่ชาย”


 


คู่ฝึกของซูหยางถามเขาหลังจากที่เขาพลันหยุดเคลื่อนไหว


 


“ใช่ ผู้นำนิกายเพิ่งเรียกหาข้า และฟังดูเหมือนว่าเธอค่อนข้างรีบร้อน คงมีอะไรเกิดขึ้นบางอย่าง”


 


“ไปเถอะ ศิษย์พี่ชาย เราสามารถเสร็จเรื่องนี้ต่อวันหน้า”


 


ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวว่า “หนึ่งนาที”


 


หลังจากที่พูดคำพูดเหล่านั้นแล้ว ซูหยางก็ฝึกคู่ต่อไป


 


หนึ่งนาทีหลังจากนั้นซูหยางก็ปลดปล่อยปราณหยางของเขาเข้าสู่ร่างเธอและหญิงสาวก็พอใจมากกับกิจกรรมนี้


 


หลังจากนั้นไม่นาน ซูหยางก็เปลี่ยนเสื้อผ้าและตรงไปยังศาลาหยินหยาง


 


เมื่อไปถึงโหลวหลานจีและคนอีกสามคนที่นั่นก็หันไปมองดูเขา


 


“เจ้าใช้เวลานานพอสมควร” ผู้อาวุโสซุนแค่นเสียงเมื่อเห็นเขา


 


“ข้าอยู่ในระหว่างการฝึกวิชา” เขาตอบผ่านๆ


 


“อย่างไรก็ตามทำไมเราจึงมาที่นี่กัน”


 


ซูหยางหันไปมองดูโหลวหลานจีซึ่งมีท่าทางกระวนกระวายบนใบหน้า


 


โหลวหลานจีพยักหน้าและเริ่มอธิบายสถานการณ์ “ข้าได้ลืมเรื่องนี้ไปเพราะว่าสถานการณ์ของนิกายล้านอสรพิษ แต่ศิษย์น้องของเราได้ฝึกฝนอยู่ข้างนอกและข้าเพิ่งได้รับการเรียกหาด่วนจากผู้อาวุโสนิกายที่นำพวกเขาบอกว่าพวกเขาตอนนี้ตกอยู่ในอันตรายและต้องการกองหนุน อีกนัยหนึ่งมันเป็นภารกิจช่วยเหลือและข้าต้องการพวกท่านสี่คนไป”


 


“ศิษย์รุ่นเยาว์รึ”


 


ซูหยางเลิกคิ้ว แม้ว่าเขาจะยังไม่รู้จักคำนี้ได้ในทันที แต่เขาก็ค้นหาพบในความทรงจำอย่างรวดเร็ว


 


พูดง่ายๆศิษย์รุ่นเยาว์คือศิษย์ที่อายุต่ำกว่าเกณฑ์ และนี่ก็เป็นตำแหน่งพิเศษที่มีเฉพาะในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเนื่องมาจากวิธีการฝึกวิชาที่พิเศษเฉพาะ ยิ่งไปกว่านั้นศิษย์รุ่นเยาว์ก็จะถูกห้ามเข้าร่วมการฝึกคู่ก่อนที่จะมีอายุถึง 16 เมื่อพวกเขาจะได้เป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว ซึ่งใครๆก็สามารถจินตนาการถึงความชั่วร้ายของนิกายได้หากพวกเขาได้รับการยินยอมให้ร่วมฝึกคู่ก่อนนั้น


 


“พวกเขาอยู่ที่ไหนกัน” ฟางซีหลานซึ่งอยู่ที่นั่นได้ถามโหลวหลานจี


 


“พวกเขาตอนนี้อยู่ที่รอยต่อระหว่างเขตตะวันออกและเขตใต้”


 


“ท่านรู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา” ซุนจิงจิงสมาชิกคนสุดท้ายที่นั่นถาม


 


โหลวหลานจีส่ายหน้า “ข้ามิได้รับข้อความอะไรโดยตรง มีเพียงสัญญาณหลังจากที่พวกเขาทำลายยันต์ขอความช่วยเหลือที่ข้าให้ไว้ อย่างไรก็ตามเพราะว่าเรามิรู้สถานการณ์ดังนั้นอย่าประมาทในเมื่อมันเป็นสิ่งที่แม้กระทั่งผู้อาวุโสนิกายที่นั่นมิอาจรับมือได้”


 


“ไกลแค่ไหนจากรอยต่อกับที่นี่” ซูหยางถาม


 


“ถ้าพวกเจ้ารีบวิ่งไปตอนนี้ นั่นคงใช้เวลาเพียงแค่สองสามวัน”


 


“สามวัน นั่นไกลเกินไป…และเวลาที่พวกเราไปถึงที่นั่น…ข้าเกรงว่านั่นคงจะสายเกินไป…” ซุนจิงจิงขมวดคิ้ว


 


โหลวหลานจีถอนหายใจและกล่าวว่า “ถึงแม้ว่าเราอาจจะไปไม่ทันเวลา เรามิอาจทำเพียงเพิกเฉยพวกเขา ในเมื่อนั่นก็เหมือนทอดทิ้งพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันเกิดขึ้นกับพวกเราไม่นานเกินไป”


 


“เราเพียงแค่ไปช่วยเหลือพวกเขาใช่ไหม”


 


ซูหยางพลันนำเอาเรือลำน้อยออกมาและโยนมันไปกลางอากาศ


 


เวลาถัดไปเรือไม้ก็ขยายขนาดขึ้นจนมีขนาดเท่ากับเรือไม้ขนาดจริง


 


“น-นั่นอะไร มันสามารถลอยกลางอากาศได้ด้วย” ซุนจิงจิงถามเขาด้วยความสนใจที่พุ่งพรวด


 


“มันเป็นยานบิน ด้วยสิ่งนี้เราจะไปถึงเป้าหมายของเราได้เร็วยิ่งขึ้น”


 


“ยานบิน…”


 


ทั้งโหลวหลานจีและผู้อาวุโสซุนจ้องมองเรือไม้ด้วยดวงตาเบิกกว้างเต็มไปด้วยความตระหนก ซูหยางได้สมบัติเช่นนี้มาจากไหนกัน


 


ซูหยางกระโดดขึ้นไปบนเรือและหันไปมองคนอื่นและกล่าวว่า “พวกเจ้ารออะไรกัน เรากำลังรีบอยู่มิใช่รึ ขึ้นมาเร็ว”


DC บทที่ 278: พวกโง่นี่เป็นใครกัน


 


“อย่างไรก็ตามมีที่ว่างสำหรับเพียงสองคน ดังนั้นข้าจึงสามารถนำพวกเจ้าไปได้เพียงคนเดียว ข้าเองมิถือที่จะต้องไปด้วยตนเอง” ซูหยางกล่าวขณะที่เขายืนอยู่บนเรือไม้


 


“ข้าจักไป”


 


ก่อนที่ฟางซีหลานหรือผู้อาวุโสซุนจะทันได้มีปฏิกิริยา ซุนจิงจิงก็กระโดดขึ้นไปบนเรือและยืนข้างซูหยางด้วยท่าทางกระตือรือร้นบนใบหน้า และดูเหมือนว่าเธอจะสนใจในยานบินนี้มากกว่าภารกิจช่วยเหลือเสียอีก


 


“เพียงแค่พวกเจ้าสองคนรึ ข้ามิยอมให้เป็นเช่นนั้น นั่นมันอันตรายเกินไป” โหลวหลานจีพลันปฏิเสธ


 


เหตุผลที่เธอปฏิเสธนั้นง่ายๆ เธอกังวลว่าพวกเขาอาจจะสิ้นชีวิตไปในระหว่างภารกิจช่วยเหลือ และเธอก็ไม่อาจยอมให้สูญเสียใครสักคนในหมู่พวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งซูหยางซึ่งเป็นศิษย์ชายเพียงคนเดียว


 


ตามจริง ถ้าไม่ใช่เพราะว่าฟางซีหลานซึ่งดื้อดึงเรียกร้องให้ซูหยางมาด้วย โหลวหลานจีคงไม่เรียกเขามาที่นี่


 


“ยิ่งไปกว่านั้น พวกเจ้าทั้งสองจะทำอะไรเมื่อพวกเจ้าไปถึง นี่มิใช่อะไรที่พวกเจ้าสองคนจะสามารถรับมือได้เพียงลำพัง”


 


ซูหยางเพียงแค่ยักไหล่และกล่าวว่า “ข้าจักฟังคำบ่นของเจ้าทีหลัง ตอนนี้มีศิษย์รุ่นเยาว์ที่นั่นรอความช่วยเหลืออยู่”


 


หลังจากที่พูดคำเหล่านั้นแล้วซูหยางก็สั่งเรือไม้ทำงาน และภายในชั่วพริบตาพวกเขาก็หายไปจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย


 


โหลวหลานจีและคนอื่นต่างพากันยืนอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางตะลึงงันหลังจากที่พวกเขาจากไป ตระหนกกับความเร็วที่น่าเหลือเชื่อของยานบิน


 


ไม่นานหลังจากนั้นเมื่อเห็นร่างสั่นสะท้านของโหลวหลานจี ฟางซีหลานก็พูดขึ้น “ผู้นำนิกาย ท่านมิต้องกังวลเกี่ยวกับพวกเขา ต่อให้ซูหยางไปคนเดียวเขาก็จักมิตาย”


 


“ทำไมเจ้าจึงมั่นใจในเรื่องนั้น” ผู้อาวุโสซุนถามพร้อมขมวดคิ้ว


 


เขาเองก็อดไม่ได้ที่จะกังวลว่าสิ่งเลวร้ายอาจเกิดขึ้นได้กับซุนจิงจิง


 


สุดท้ายแล้วถ้าซุนจิงจิงตายไปภายใต้การดูแลของเขา เขาก็ไม่อาจที่จะเงยหน้าเผชิญกับตระกูลซุนได้


 


“ข้า…ข้าเพิ่งทำ…”


 


ผู้อาวุโสซุนจ้องมองฟางซีหลานด้วยดวงตาเบิกกว้าง เขามิเคยเห็นเธอเป็นเช่นนี้มาก่อน


 


โหลวหลานจีเองก็มองไปยังฟางซีหลานด้วยสายตาแสดงความสงสัย คิดในใจว่า “เธอต้องรู้อะไรบางอย่างที่พวกเรามิรู้เกี่ยวกับซูหยาง…”


 


“อย่างไรก็ตาม มิมีอะไรที่พวกเราสามารถทำได้ในตอนนี้ในเมื่อพวกเขาได้จากไปแล้ว”


 


โหลวหลานจีส่ายหน้า


 


ผู้อาวุโสซุนกัดฟันและพึมพัมว่า “ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเด็กของข้า ข้าจักแล่ร่างเจ้าและป้อนมันให้กับสุนัข ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นศพแล้วตอนนั้น ซูหยาง”


 


ผู้อาวุโสซุนจากไปไม่นานหลังจากนั้น แต่ในใจเขายังคงเต็มไปด้วยความกังวลเกี่ยวกับซุนจิงจิง


 


ส่วนสำหรับฟางซีหลาน โหลวหลานจีได้บอกเธอให้อยู่ ดังนั้นเธอจึงยังคงอยู่ที่นั่น


 


“มีอะไรรึ ท่านผู้นำนิกาย”


 


โหลวหลานจีหรี่ตาและถามเธอว่า “ศิษย์ฟาง…เจ้าซุกซ่อนอะไรไว้จากข้า”


 


“…”


 


ฟางซีหลานไม่ได้มีสีหน้าประหลาดใจจากคำถามของโหลวหลานจีในเมื่อเธอคาดคิดไว้แล้วหลังจากถูกบอกให้อยู่ต่อ


 


“ข้าคิดว่านั่นคงจะเป็นการดีที่สุดถ้าท่านมิรู้ ท่านผู้นำนิกาย…” สุดท้ายฟางซีหลานก็ส่ายหน้า


 


“ทำไมเจ้าจึงมั่นใจในเรื่องนั้น” โหลวหลานจีขมวดคิ้ว


 


“ข้าขออภัย ท่านผู้นำนิกาย แต่ข้ามิอาจพูดออกมา ว่าไปแล้วต่อให้ข้ามิพูดอะไร ท่านก็จักพบเห็นความจริงในเวลาไม่นานนัก..”


 


หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ โหลวหลานจีก็แค่นเสียง “ฮึ่ม จากที่รู้จักตัวตนของเจ้านั่น บางทีซูหยางคงจะบอกเจ้าให้เงียบไว้ใช่ไหม ก็ได้ เจ้ามิต้องบอกข้าอะไรก็ได้”


 


แม้ว่าฟางซีหลานตัดสินใจที่จะเก็บความลับของซูหยางไว้กับตัว เธอก็ไม่ได้แก้ไขความเข้าใจของโหลวหลานจีและเพียงแค่รับมันไว้ ดังนั้นเธอจึงเพียงพยักหน้ากับคำของโหลวหลานจี


 



 



 



 


ในเวลานั้นบนเรือไม้กลางท้องฟ้า ซุนจิงจิงได้เกาะติดซูหยางอย่างแน่นทั้งตัว ราวกับกระรอกเกาะต้นไม้


 


การออกเดินทางอย่างกระทันหันและความเร็วได้ทำให้เธอไม่ทันตั้งตัว หัวใจเธอแทบจะกระดอนออกมาจากปากในเวลานั้น


 


“วางใจได้ เจ้ามิตกไปหรอก…”


 


ซูหยางกล่าวกับเธอด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น


 


“จ-จ-เจ้ามั่นใจรึ”


 


ซุนจิงจิงถามด้วยเสียงสั่นสะท้าน


 


เมื่อเห็นซูหยางพยักหน้า ซุนจิงจิงก็ค่อยปล่อยมือจากเขา


 


“จ-เจ้าพูดถูก แม้ว่าจะเคลื่อนไปกลางอากาศด้วยความเร็วเช่นนี้ ก็ยังรู้สึกเหมือนกับว่าข้ายืนอยู่บนพื้นราบ ยานบินเป็นเช่นนี้เอง เหอ”


 


ความตื่นเต้นของซุนจิงจิงกลับมาอย่างรวดเร็วและเธอก็เริ่มมองไปรอบๆ


 


“เจ้าสนใจในยานบินรึ” ซูหยางถามเธอ


 


“ตอนนี้ใช่” ซุนจิงจิงพยักหน้า


 


“ข้ามักจะฝันเสมอที่จะทะยานข้ามขอบฟ้าด้วยความเร็วสูง และประสบการณ์นี้เพิ่งได้รับการเติมเต็ม”


 


หลังจากชื่นชมภาพที่พร่ามัวไปอีกชั่วขณะ ซุนจิงจิงก็พูดขึ้นว่า “อย่างไรก็ตามเราจะไปถึงที่รอยต่อได้เร็วแค่ไหนในตอนนี้ในเมื่อเราใช้ยานบินนี้”


 


“สองสามนาที”


 


ซูหยางตอบอย่างไม่ใส่ใจ


 


“สามวันเปลี่ยนเป็นสามนาที…สิ่งนี้ไปได้เร็วแค่ไหนกัน” ซุนจิงจิงไม่แม้จะจินตนาการได้ว่าจะมีสมบัติแบบนี้ปรากฏขึ้นในโลกนี้ มันเหมือนกับว่ายานบินนี้มาจากโลกอื่น


 



 



 



 


ในขณะนี้ที่ไหนสักแห่งระหว่างรอยต่อชายแดนตะวันออกและชายแดนใต้ในเขตภูเขา คนร่างสูงใหญ่และเต็มไปด้วยมัดกล้ามสิบคนยืนล้อมคนตัวเล็กๆกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่ง ดูเหมือนกับคนเลี้ยงแกะกับฝูงแกะของพวกเขา


 


บางคนในสิบคนนี้สวมเสื้อผ้าที่ดูแพงในขณะที่คนอื่นสวมชุดสกปรกและขาดหลุดลุ่ย


 


พวกเขาทั้งหมดดูเหมือนจะมีภูมิหลังที่แตกต่างกัน แต่พวกเขาล้วนมีกลิ่นอายร่วมที่เหมือนกันที่มีเพียงคนที่ละทิ้งศีลธรรมจะปล่อยออกมา


 


“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า พวกโง่นี่เป็นใครกัน ถึงก้าวเท้าเข้ามาในพื้นที่โจรภูเขาแดงของพวกเรา พวกเจ้าเพียงเรียกร้องหาที่ตายหรือไม่ก็ถูกพวกเราขาย”


 


หนึ่งในหมู่โจรหัวเราะเสียงดัง


 


“พี่ชาย ดูจากเสื้อผ้าของพวกเขา นี่น่าจะมาจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” หนึ่งในกลุ่มโจรจำเสื้อผ้าของพวกเขาได้


 


“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยรึ พวกนั้นยังมีอยู่รึ และพวกนี้ดูค่อนข้างจะเด็กเกินไปอยู่บ้างสำหรับอยู่ในสถานที่แบบนั้น”


 


“ไม่ว่าสถานการณ์ของพวกนั้นจะเป็นอย่างไร พวกเรารวยแล้ว มองดูเด็กผู้หญิงพวกนี้สิ แม้ว่าพวกเธอยังเด็ก พวกเธอทุกคนมีหน้าตาเหนือธรรมดาทุกคน ต่อให้พวกเรามิขายพวกเธอไปจนหมด พวกเธอยังคงมีประโยชน์กับพวกเราในอนาคต ในเมื่อพวกเธอจักต้องโตขึ้นเป็นสาวงามอย่างแน่นอน”


 


“ถ้าข้าจำได้มิผิด เรามีพี่น้องสองสามคนที่มีรสนิยมผิดปกติ พวกเขาจักต้องมีความสุขแน่เมื่อเห็นเด็กหญิงมากมายให้เลือก”


 


“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า เราพบกับทองคำแล้วในวันนี้ หรือข้าควรจะพูดว่าสวรรค์ได้ให้พรกับพวกเราด้วยการส่งทองมาถึงหน้าประตูบ้านในวันนี้”


 


โจรทั้งสิบคนหัวเราะอย่างป่าเถื่อน ดูเหมือนกับเป็นกลุ่มคนที่บ้าคลั่ง


 


ในเวลานั้นเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาเด็กหญิงหลังจากที่ได้ยินว่าพวกเธอจะถูกขายไป หรือที่เลวร้ายกว่านั้นคือตกเป็นทาสและถูกใช้โดยโจรจิตวิปริตไปตราบชั่วชีวิตของพวกเธอ


DC บทที่ 279: โจรภูผาแดง


 


“เจ้าโจรชั่ว ถ้าเจ้ารู้ถึงภูมิหลังของพวกเราแล้วนั่นจะเป็นประโยชน์แก่พวกเจ้าหากปล่อยพวกเราไป ข้าได้เรียกกำลังเสริมเรียบร้อยแล้ว”


 


หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายกล่าวเสียงดัง รู้สึกถึงแรงกดดันของสถานการณ์อยู่บ้าง


 


มีผู้อาวุโสนิกายอยู่ที่นี่สี่คน ทั้งหมดล้วนอยู่ในเขตสัมมาวิญญาณ อย่างไรก็ตามโจรเองก็ล้วนอยู่ระหว่างเขตคัมภีร์วิญญาณไปจนถึงเขตสัมมาวิญญาณ มีจำนวนเหนือกว่าพวกเขาถึงสิบต่อสี่


 


และเมื่อพวกเขาคิดเรื่องที่ว่าเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เป็นเพียงภาระในสถานการณ์นี้ ผู้อาวุโสนิกายรู้สึกเหมือนว่าพวกเขาถูกมัดมือ


 


แน่นอนว่าผู้อาวุโสนิกายสามารถละทิ้งเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ได้อย่างง่ายดายเพื่อปกป้องชีวิตของตนเอง แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกับจิตสำนึกของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาย่อมถูกโหลวหลานจีฆ่าทิ้งถ้าเธอพบความจริงซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน


 


เหล่าโจรพากันหยุดหัวเราะแล้วมองหน้ากัน ไม่นานหลังจากนั้นพวกเขาก็หัวเราะต่อแต่คราวนี้ยิ่งดังขึ้นกว่าเดิม


 


“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า อย่าบอกข้านะว่าพวกนี้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”


 


ผู้อาวุโสนิกายขมวดคิ้วเมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดของเหล่าโจร


 


“พวกเจ้าหมายความว่าอย่างไร”


 


“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า พวกนี้ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ”


 


เหล่าโจรพากันหัวเราะหนักกว่าเดิม


 


“ฟังให้ดีเจ้าพวกโง่ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้ล่วงเกินคนที่มิควรล่วงเกินและถูกทำลายไปแล้วในแค่เพียงวันเดียว”


 


“อะไรกัน”


 


ผู้อาวุโสนิกายและศิษย์รุ่นเยาว์ยืนตกตะลึง ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ


 


“เจ้า…เจ้าโกหก อย่าฟังพวกมันบรรดาศิษย์ทั้งหลาย การทำให้จิตใจเจ้าสับสนนี่คือเป้าหมายของพวกโจร”


 


“มิว่าพวกเราโกหกหรือไม่นั้น พวกเจ้าจักรับรู้ได้ในภายหลัง แน่นอนนั่นคงอีกนานหลังจากที่พวกเราทำอะไรก็ตามต้องการกับพวกเจ้าแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”


 


“ถ้าพวกเจ้ามิต้องการที่จะได้รับบาดเจ็บ เช่นนั้นข้าขอแนะนำเจ้าให้อยู่เฉยๆระหว่างที่พวกเรามัดมือเจ้า”


 


“พี่น้องจับเด็กพวกนี้”


 


โจรทั้งสิบเริ่มเข้าประชิดกลุ่มศิษย์พร้อมกับรอยยิ้มป่าเถื่อนบนใบหน้า ราวกับฝูงสุนัขป่าที่ตรงเข้าไปหาฝูงลูกไก่อ่อนแออย่างช้าๆ


 


ผู้อาวุโสนิกายจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยดึงอาวุธออกมา ต่อให้พวกเขาต้องเสี่ยงชีวิตพวกเขาก็ยังต้องการที่จะปกป้องศิษย์เยาว์วัยเหล่านี้สุดความสามารถ


 


“มาเลยดิ้นรนอย่างที่พวกเจ้าต้องการ เมื่อสุดท้ายแล้วความพยายามของพวกเจ้าทั้งมวลล้วนเสียเปล่า”


 


หลังจากนั้นไม่นาน ผู้อาวุโสนิกายทั้งสี่ก็ปะทะกับพวกโจร อย่างไรก็ตามเนื่องจากมีความแตกต่างกันทางด้านจำนวน ผู้อาวุโสนิกายจึงถูกกดดันไว้จากเหล่าโจรตามคาด


 


“ร-เราต้องช่วยผู้อาวุโสนิกาย”


 


หนึ่งในศิษย์รุ่นเยาว์เสนอ


 


“แล้วยังไง เข้าไปขวางทางพวกนั้นรึ พวกเราเพียงอยู่ในเขตปฐมวิญญาณ ตบเพียงครั้งเดียวจากโจรพวกนี้ก็จักทำให้พวกเราหัวหลุดจากบ่า”


 


“เช่นนั้นพวกเราควรทำอย่างไรดี เรามิสามารถเพียงแค่นั่งรอให้พวกนั้นจับพวกเรา ข้ามิต้องการถูกขาย”


 


ศิษย์รุ่นเยาว์สองสามคนในกลุ่มเริ่มร้องไห้จากความกลัวและกระวนกระวาย


 


“โอ อย่าทำให้ร่างกายพวกนี้บอบช้ำมากเกินไป โดยเฉพาะผู้หญิง นั่นจะทำให้ราคาพวกเธอลดลง”


 


“โอ โทษที..”


 


“เรามิต้องใช้ทุกคนจัดการกับจอมยุทธเขตสัมมาวิญญาณพวกนี้ พวกเจ้าสามคนไปเริ่มจัดการกับพวกเด็กนั่นซะ”


 


เมื่อศิษย์รุ่นเยาว์สังเกตเห็นโจรสามคนพลันหันมามอง ร่างกายของพวกเขาก็สั่นสะท้านไปด้วยความหวาดกลัว และพวกเขาบางคนก็กระทั่งไม่อาจควบคุมตนเองจนฉี่ราดกางเกง


 


“เจ้าพวกสารเลว”


 


ผู้อาวุโสนิกายต้องการหยุดยั้งเหล่าโจรแต่ก็ถูกขัดขวางไว้ด้วยโจรอีกเจ็ดคน บีบพวกเขาให้ห่างออกไปทีละน้อยจากเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าพวกเด็กตัวน้อย อย่ากังวลไป ข้าจักดูแลเจ้าอย่างดีและเล่นกับร่างของเจ้าอย่างทนุถนอมภายหลังเช่นเดียวกับตุ๊กตาราคาแพง”


 


เหล่าโจรหัวเราะ


 


หนึ่งในพวกนั้นกระทั่งทำท่าทางน่าขนลุกด้วยการเลียดาบ


 


“ม..ม..ม่าาย”


 


เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ต่างพากันวิ่งวุ่นไปทั่ว แต่อนิจจาสามโจรรายล้อมพวกเขาเป็นรูปสามเหลี่ยมได้อย่างรวดเร็ว


 


“พวกเจ้าเด็กน้อยคิดว่าจะหนีไปไหนกัน” ถ้าพวกเจ้ายังคงวิ่งวุ่น ข้าอาจจะเผลอแทงเจ้านะ”


 


กลิ่นอายกระหายเลือดจากเหล่าโจรเขตสัมมาวิญญาณไม่ใช่อะไรที่เพียงแค่เด็กๆในเขตปฐมวิญญาณอย่างพวกเขาจะทนได้ ดังนั้นพวกเขาหลายคนจึงชะงักค้างอยู่กับที่ด้วยความกลัว


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า ดูพวกเจ้านี่สั่นกลัว นั่นเพียงทำให้ข้าต้องการเล่นกับพวกนี้มากกว่าเดิม”


 


“หยุดเล่นได้แล้ว พวกเราเพียงแค่จับพวกเด็กนี่และทำเรื่องนี้ให้จบ”


 


หนึ่งในโจรอาวุโสพลันคำราม


 


โจรคนอื่นพากันพยักหน้าและหยุดหัวเราะ


 


“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจักมิให้อภัยพวกเจ้าถ้าเจ้าแตะแม้แต่เพียงผมเส้นเดียวของศิษย์ของเรา ถ้าพวกเจ้าปล่อยเราไปเดี๋ยวนี้ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจักต้องละเว้นพวกเจ้าเหล่าโจรจากการถูกกำจัด”


 


หนึ่งในผู้อาวุโสนกายกล่าวด้วยความพยายามเป็นครั้งสุดท้ายที่จะปกป้องพวกเขา


 


“เราจะคอยดูเรื่องนั้น” หนึ่งในหมู่โจรกล่าวขณะที่ยื่นมือไปจับหนึ่งในศิษย์รุ่นเยาว์ที่อยู่ใกล้


 


“อาาา”


 


ศิษย์รุ่นเยาว์ที่พลันถูกจับร้องลั่น


 


“ศิษย์ฝึกหัดหญิงฉี”


 


“ปล่อยเธอไป เจ้าโจรร้าย”


 


สองสามศิษย์รุ่นเยาว์ตะคอก


 


“ถ้าเจ้ามิหยุดดิ้นรน เจ้าเด็กน้อย ข้าจักตัดแขนขาเจ้าสักข้าง”


 


โจรพูดด้วยเสียงเย็นชา และศิษย์รุ่นเยาว์ก็พลันตัวแข็งทื่อ


 


อย่างไรก็ตามน้ำตาเธอก็ยังไหลหลั่ง


 


ในเวลานั้นเหนือเมฆที่ซึ่งพ้นการรับรู้ของเหล่าศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยหรือพวกโจร ร่างสองร่างยืนอยู่บนเรือไม้นิ่งดูสถานการณ์ทั้งหมดนี้บานปลาย


 


“โจรภูผาแดง…รู้กันว่าพวกมันชั่วช้าและไร้ศีลธรรม พวกมันเป็นโจรที่มีชื่อเสียงที่สุดในภาคใต้ ถ้าหากว่ามีใครสาธยายความผิดของพวกมัน ก็น่าจะบันทึกได้เต็มชั้นหนังสือ”


 


ซุนจิงจิงมองดูศิษย์รุ่นเยาว์และท่าทางหวาดหวั่นของพวกเขาจากเบื้องบน รู้สึกเหมือนไร้อำนาจ


 


แม้ว่าซุนจิงจิงต้องการกระโดดลงไปช่วยพวกเขามากเท่าไรก็ตามเธอก็รู้ว่าการกระทำเช่นนั้นย่อมไม่สามารถช่วยสถานการณ์นี้ได้แม้แต่น้อยในเมื่อเธอเป็นเพียงยอดยุทธเขตคัมภีร์วิญญาณ


 


“พวกมันหกคนอยู่ในเขตคัมภีร์วิญญาณในขณะที่เหลืออยู่ในเขตสัมมาวิญญาณ ถ้าเราลงไปในตอนนี้เราก็จักเพียงแค่ถูกพวกโจรจับเท่านั้น”


 


ซุนจิงจิงหันไปหาซูหยางและพูดต่อด้วยท่าทางกังวล “พวกเราควรทำอย่างไรดี สถานการณ์นี้เลวร้ายกว่าที่คิด ถ้าเพียงแต่ศิษย์พี่หญิงฟางที่อยู่ที่นี่ตอนนี้แทนที่จะเป็นข้า…ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความผิดของข้าที่มาที่นี่เอง…”


 


เธอเริ่มโทษตัวเองในสถานการณ์เช่นนี้


 


อย่างไรก็ตามซูหยางยังคงนิ่งเฉย


 


หลังจากนั้นไม่นาน ซูหยางก็หยิบดาบเหล็กออกมาจากถุงมิติและทำท่าปาทั้งตัวเหมือนกับว่าใครที่กำลังจะพุ่งหอก กระทั่งถือดาบกลับด้านเหมือนกับการถือหอก


 


“จ..เจ้ากำลังจะทำอะไรไ ซุนจิงจิงถามเขาด้วยสีหน้างุนงง


 


ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “เจ้าจักเข้าใจอย่างรวดเร็ว”


DC บทที่ 280: ซุ่มโจมตีจากท้องฟ้า


 


หลังจากนำดาบออกมาแล้ว ซูหยางก็หรี่ตาไปยังหนึ่งในพวกโจร


 


เวลาถัดไปเขาก็ปาออกไป


 


เกิดแสงกระพริบขึ้นในท้องฟ้าด้วยความเร็วเหลือเชื่อ ดาบในมือซูหยางพุ่งไปยังหนึ่งในหมู่โจร


 


อย่างไรก็ตามไม่มีใครจากเบื้องล่างสังเกตเห็นดาบนี้ที่พุ่งเข้าไปหาพวกเขาจากบนท้องฟ้า


 


ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ก่อนที่โจรที่กำลังจับหนึ่งในศิษย์รุ่นเยาว์จะทันได้มีปฏิกิริยาใด ดาบคมกริบก็เปิดรูที่ศีรษะของเขา ฆ่าเขาตายในทันที


 


ฝูงโจรไม่ได้รับรู้ในทันทีที่หนึ่งในพวกเขาได้ตายไป ยังคงไล่จับศิษย์รุ่นเยาว์


 


เพียงตอนที่เหล่าศิษย์รุ่นเยาว์เริ่มกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งนั่นแหละฝูงโจรจึงได้สังเกตเห็นศพบนพื้นที่ใบหน้าหายไป


 


“พ-พี่น้อง เกิดอะไรขึ้น”


 


ฝูงโจรต่างพากันมองไปรอบๆด้วยความหวาดหวั่น พยายามที่จะค้นหาว่าดาบมาจากไหน


 


ตามจริงพวกเขายังไม่เข้าใจสถานการณ์ได้เต็มที่นัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพลันมีคนในหมู่พวกเขาตายอย่างกระทันหัน


 


“ม-มันเป็นการซุ่มโจมตี ระวัง”


 


“เจ้าคนขี้ขลาด ออกมา เจ้าคนขี้ขลาด”


 


เมื่อฝูงโจรเริ่มยั่วยุซูหยางผู้ซึ่งขว้างดาบ ซุนจิงจิงก็เริ่มถามเขา “เจ้าจะทำอะไรต่อไปในตอนนี้”


 


“อะไรรึ นั่นง่ายดายยิ่ง”


 


ซูหยางพลันยกเท้าขึ้นหนึ่งข้างและก้าวออกไป อย่างไรก็ตามก้าวก้าวเดียวนี้อยู่ภายนอกเรือ ดังนั้นร่างของเขาจึงตกลงไปในวินาทีถัดไป


 


“ซ-ซูหยาง”


 


ซุนจิงจิงรู้สึกว่าหัวใจของเธอหยุดเต้นเมื่อซูหยางกระโดดออกไปจากเรือโดยไม่มีการเตือนอะไรทั้งสิ้น


 


ด้วยความสูงระดับนี้ ต่อให้จอมยุทธเขตอัมพรวิญญาณก็ต้องตายถ้าเขาตกลงสู่พื้น


 


อย่างไรก็ตามระหว่างที่เขาตกลงมา ซูหยางได้ใช้งานก้าวเก้าดาราซึ่งยอมให้เขาก้าวเดินไปบนอากาศและชี้นำเส้นทางเขาลงไปยังพื้นอย่างปลอดภัย


 


ในสายตาของซุนจิงจิงนั้นเหมือนกับว่าซูหยางเดินลงบนขั้นบันไดที่มองไม่เห็น


 


รู้สึกไม่อยากเชื่อ ซุนจิงจิงขยี้ตาโดยสัญชาตญาณ


 


“นี่เป็นวิชาการเคลื่อนไหวแบบไหนกัน” เธอจ้องมองไปยังซูหยางซึ่งเดินทางอยู่ในอากาศอันว่างเปล่าด้วยขาของตนเองอย่างแท้จริง ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความชื่นชม


 


“ข้างบนนั้น กลางอากาศ”


 


โจรที่มีพลังการฝึกปรือสูงสุดได้สังเกตเห็นซูหยางเป็นอันดับแรกและพลันเตือนพวกคนที่เหลือ


 


“เจ้านั่น…กำลังเดินบนอากาศ”


 


ทุกคนที่นั่นต่างพากันมองดูซูหยางตรงไปหาพวกเขาจากสรวงสวรรค์ด้วยดวงตาเบิกค้าง รู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขากำลังเห็นเทพเจ้าเสด็จลงมา


 


“เสื้อผ้าเขา เขาเป็นศิษย์ในของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของเรา”


 


ผู้อาวุโสนิการรู้สึกปิติยินดีที่มีกำลังเสริมมาถึง อย่างไรก็ตามในหมู่พวกเขาเองก็ไม่คาดว่าจะมาถึงเร็วปานนี้ ในเมื่อพวกเขาเพิ่งส่งสัญญาณไปเพียงไม่กี่นาทีก่อน ยิ่งไปกว่านั้นไม่มีใครในที่นั้นที่รู้จักใบหน้าของซูหยาง ไม่มีใครเลยยกเว้นคนหนึ่ง


 


“ศิษยพี่ชายซู…”


 


เด็กหญิงที่ถูกจับเป็นคนแรกมองดูซูหยางด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความประทับใจ ตามจริงนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอได้รับการช่วยเหลือจากเขาแต่เป็นครั้งที่สอง


 


เมื่อร่อนลงสู่พื้นแล้ว ซูหยางก็หยิบดาบที่อยู่ด้านข้างศพโจรขึ้นมา


 


“พี่น้อง เจ้านี่ก็เป็นคนจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”


 


“แต่ดูเหมือนเขาจะมีคนเดียว ต่อให้เขาฆ่าพี่น้องพวกเราไปหนึ่ง นั่นก็เป็นเพียงแค่การซุ่มโจมตี ถ้าพวกเราร่วมมือกัน พวกเราต้องสามารถล้มเขาลงได้ง่ายๆ”


 


ห้าคนจากที่เหลือในเก้าโจรรีบรวมกลุ่มและเข้าไปรายล้อมซูหยางซึ่งยืนอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางเฉยชา สายตาของเขาไม่แม้จะมองฝูงโจร


 


เมื่อเห็นซูหยางยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น หนึ่งในฝูงโจรก็ตะโกน “จัดการมัน”


 


ขณะที่ฝูงโจรพุ่งเข้าไปหาเขา ซูหยางก็ใช้ก้าวเก้าดาราหายไปต่อหน้าต่อตาของฝูงโจร


 


“มันไปไหน”


 


ด้วยความตระหนกฝูงโจรหยุดการเคลื่อนไหวของตนเองและเริ่มมองไปรอบๆอย่างกระวนกระวาย


 


๐แควก๐


 


ทันใดนั้นเสียงของเสื้อผ้าฉีกขาดก็ดังขึ้นและฝูงโจรต่างก็พากันหันหน้าไปยังทิศทางของเสียง


 


สิ่งที่พวกเขาประจักษ์หลังจากนั้นก็ไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าความน่าสะพรึงกลัว เมื่อการโจมตีหนึ่งครั้งของซูหยางได้ผ่าครึ่งคนหนึ่งในหมู่พวกโจรจากด้านบนลงด้านล่าง


 


หลังจากที่ฆ่าโจรไปหนึ่งและโดยไม่ยอมให้คนอื่นได้ทันมีปฏิกิริยา ซูหยางได้ใช้ก้าวเก้าดาราอีกครั้งเพื่อไปอยู่ด้านหลังของโจรอีกคน


 


วินาทีถัดไป โจรอีกคนก็ล้มลงสู่พื้นโดยไม่ทันแม้จะรับรู้ว่าตนเองได้ตายไป ลดจำนวนทั้งหมดของฝูงโจรเหลือแค่เจ็ดคน


 


อย่างไรก็ตามซูหยางก็ไม่ได้สิ้นสุดแค่นั้น เขาใช้ก้าวเก้าดาราต่อไปอีกหกครั้ง ฆ่าโจรไปอีกหกคนในช่วงเวลาไม่กี่วินาที


 


เพียงแค่กระพริบตาก่อนที่ใครในที่นั้นจะทันได้มีปฏิกิริยาหรือทำความเข้าใจกับสถานการณ์ ซูหยางก็ได้ฆ่าโจรไปเกือบทุกคนเหลือไว้เพียงแค่หนึ่งคน


 


ยิ่งไปกว่านั้น ซูหยางก็ไม่ได้พูดอะไรแม้สักคำตลอดเวลานี้ คล้ายกับว่าเขาไม่มีอะไรจะพูดกับฝูงโจรเหล่านี้


 


โจรคนเดียวที่เหลือล้มลงสู่พื้นด้วยความตื่นตระหนกเมื่อตระหนักได้ว่าเขาเป็นเพียงคนเดียวที่ยังมีชีวิต กระทั่งถึงกับฉี่ราดกางเกง


 


ผู้อาวุโสนิกายและศิษย์รุ่นเยาว์มองดูซูหยางด้วยดวงตาเบิกกว้าง ดูเหมือนไม่อยากจะเชื่อ


 


ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่พวกเขามีศิษย์ที่ทรงอำนาจเช่นนี้ในนิกาย และทำไมเขาจึงยังเป็นแค่ศิษย์ใน ความแข็งแกร่งที่เขาแสดงออกมาวันนี้ก้าวล้ำไปแม้กระทั่งศิษย์หลักทั้งหมด


 


หลังจากฆ่าโจรทั้งหมดยกเว้นเพียงหนึ่ง ซูหยางก็หันไปยังท้องฟ้าและทำท่าส่งสัญญาณมือ


 


ไม่นานหลังจากนั้น เรือไม้ก็ลดตัวลงจากท้องฟ้าพร้อมกับซุนจิงจิงที่ยืนอยู่บนนั้น


 


“ศิษย์ซุน”


 


แม้ว่าพวกเขาไม่รู้จักใบหน้าของซูหยาง ผู้อาวุโสนิกายก็พลันจำซุนจิงจิงได้ในทันที


 


ยามเมื่อเรือลดตัวลงมาจนถึงที่สุด ซุนจิงจิงก็ก้าวออกมาจากเรือไม้


 


อย่างไรก็ตามเธอรู้สึกทำตัวไม่ถูกว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างไรกับสถานการณ์นี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอตอนนี้ก็ตื่นตระหนกเช่นเดียวกับคนเหล่านี้กับความสามารถของซูหยาง


 


เธอหันไปมองดูซูหยางด้วยดวงตาที่ดูเหมือนจะร้องขอความช่วยเหลือ


 


ซูหยางยิ้มผ่านๆและกล่าวว่า “เจ้าสามารถกลับนิกายไปกับพวกเขาก่อนได้ ข้ายังคงมีธุระบางอย่างที่นี่”


DC บทที่ 281: ซ่องโจร


 


“อะไรนะ” ซุนจิงจิงมองดูเขาด้วยท่าทางสับสน “เจ้าจะทำอะไรในตอนนี้รึ”


 


ซูหยางหันไปมองโจรที่สั่นสะท้านอยู่บนพื้นและพูดด้วยท่าทางเย็นชาบนใบหน้าหล่อเหลา “ล่าโจร”


 


“…”


 


ซุนจิงจิงไร้คำพูด “ทำไมเจ้าจึงต้องไปไกลขนาดนี้ด้วย ในเมื่อศิษย์รุ่นเยาว์ล้วนปลอดภัยและภารกิจช่วยเหลือได้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีดังนั้นจึงมิจำเป็นที่เจ้าจะต้องทำทั้งหมดนั่น เราควรกลับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ในตอนนี้”


 


ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวว่า “ก็จริงการกระทำเช่นนั้นอาจจะไม่จำเป็น แต่ทว่าหลังจากที่ดูเจ้าพวกเหล่านี้มาสักพัก เจ้าพวกนี้ได้ทำให้ข้าเชื่อว่าโลกนี้จะดีขึ้นมากหากปราศจากพวกมัน”


 


จากนั้นเขาได้หันกลับไปมองยังโจรและกล่าวต่อว่า “เจ้าสามารถนำทางข้าไปยังที่ซ่องสุมของเจ้าและข้าจะไว้ชีวิตเจ้าหรือว่าให้ข้าฆ่าเจ้าเสียตรงนี้และค้นหามันด้วยตนเอง ซึ่งนั่นก็มิได้แตกต่างกันมากนัก”


 


“ข-ข้าจักนำท่านไป”


 


โจรไม่ลังเลที่จะทรยศเพื่อนโจรด้วยกันเพื่อรักษาชีวิตของตนเอง


 


“เมื่อพวกเจ้าพร้อมแล้ว ข้าจักไปก่อนนะ” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาตามโจรไป


 


“ร-รอก่อน ขอข้าไป–”


 


ก่อนที่ซุนจิงจิงจะทันได้พูดจบ ซูหยางก็หยุดเธอไว้ พูดว่า “เจ้าควรอยู่ที่นี่และอธิบายให้พวกเขารู้ถึงสถานการณ์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ข้าจักกลับมาภายในเวลาที่เจ้าพูดคุยเรียบร้อยแล้ว”


 


แม้ว่าเธอยังคงต้องการที่จะตามเขาไป ซุนจิงจิงก็ต้องอยู่กับศิษย์รุ่นเยาว์


 


หลังจากที่ซูหยางลับจากสายตาไปแล้วซุนจิงจิงก็อธิบายทุกอย่างให้พวกเขาฟัง


 


ซุนจิงจิงบอกพวกเขานับตั้งแต่นิกายล้านอสรพิษรุกรานไปจนกระทั่งถึงสถานะปัจจุบันของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย


 


“ไม่…ไม่มีทาง…สุดท้ายนี่หมายความว่าพวกโจรได้พูดความจริง”


 


ผู้อาวุโสนิกายสั่นสะท้านเมื่อรู้ความจริง ถ้าซูหยางไม่มาช่วยพวกเขา เช่นนั้นพวกโจรก็คงเปลี่ยนพวกเขาไปเป็นสินค้าและทาส และก็คงไม่มีใครมาช่วยพวกเขา


 


“ช-ชายหนุ่มรูปงามคนเมื่อกี้นี้เป็นใครกัน ทำไมข้ามิรู้จักคนที่เก่งกาจดังเช่นเขามาก่อน”


 


หนึ่งของผู้อาวุโสนิกายถาม


 


“นั่นคือ…”


 


“นั่นคือศิษย์พี่ชายซู เขาได้เคยช่วยข้าไว้มาก่อนครั้งหนึ่ง และเขาก็เป็นคนที่ใจดีมาก”


 


ก่อนที่ซุนจิงจิงจะทันตอบ หนึ่งในศิษย์รุ่นเยาว์ก็ก้าวออกมาพูดก่อน


 


ซุนจิงจิงมองดูเด็กหญิงตัวเล็กตรงหน้าเธอ


 


ชีเยว่เป็นชื่อของเด็กหญิงตัวเล็กคนนี้ และเธอก็เป็นลูกค้าคนแรกสุดของซูหยาง


 


“ปรากฏว่าเจ้ารู้เรื่องเขามากกว่าข้า” ซุนจิงจิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม


 


“ข้า…ข้ามิได้กล่าวเช่นนั้น…” ชีเยว่หน้าแดงเพราะอะไรสักอย่าง


 


“อืมม…เราควรทำอะไรกันตอนนี้”


 


หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายถาม


 


“ถ้าพวกท่านต้องการ พวกท่านสามารถกลับไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก่อน ข้าจักรอซูหยางกลับมาที่นี่” ซุนจิงจิงกล่าว


 


“ข้า…ข้าจักรอศิษย์พี่ชายซูเช่นกัน ข้ายังต้องขอบคุณเขาที่ช่วยเหลือพวกเรา”


 


ชีเยว่กล่าว


 


ผู้อาวุโสนิกายสบสายตากันก่อนที่พยักหนัากับคนอื่น


 


“เราก็จักรอเขากลับมาเช่นกัน”


 


“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้”


 



 



 



 


ในเวลานั้นที่ไหนสักแห่งในเขตภูเขา ซูหยางตามโจรไปอย่างสบายๆสู่ซ่องโจร


 


หลังจากไปตามเส้นทางผ่านต้นไม้มากมายทั้งกับดักสัตว์นับร้อยที่สร้างขึ้นโดยฝูงโจรเพื่อป้องกันผู้บุกรุก สุดท้ายพวกเขาก็ไปถึงถ้ำที่ดูเหมือนเป็นถ้ำธรรมดา


 


“เรามาถึงแล้ว นายท่าน”


 


โจรกล่าวขณะที่หยุดเดิน


 


“ค่ายกลอำพรางรึ”


 


แม้ว่าดูอ่อนด้อยและลวกๆ ซูหยางก็สามารถรู้สึกได้ถึงค่ายกลอำพรางรอบสถานที่นี้


 


“นายท่าน…ข้าได้ทรยศพวกข้าด้วยการนำทางมาถึงที่ซ่อนของพวกเรา…โปรดเมตตา…”


 


โจรคุกเข่าลงบนพื้นและขอร้องเขาขณะที่ร้องไห้ออกมา


 


อย่างไรก็ตามซูหยางไม่แม้จะชายตามองโจรก่อนที่จะตวัดดาบในมือฆ่าตัดคอโจรในทันที


 


หลังจากฆ่าโจรแล้ว ซูหยางก็เดินเข้าไปยังปากทางเข้าถ้ำอย่างเยือกเย็นทำเหมือนกับว่าทุกอย่างปกติ


 


ภายในซ่องโจรมืดและชื้น มีกลิ่นเหม็นรุนแรงของเลือดและแอลกอฮอล์


 


ซูหยางเดินเข้าไปไม่กี่นาทีในช่องทางยาวนี้ก่อนจะถึงประตู


 


“เจ้าเป็นใครกันวะ”


 


มียามเฝ้าตรงทางเข้าและเขาก็ยกอาวุธขึ้นมาทันทีที่เห็นหน้าตาที่ไม่คุ้นเคยของซูหยาง


 


แม้จะเห็นยามโจร ซูหยางก็ไม่ได้หยุดก้าวยังคงเดินตรงไปทางเข้า


 


“ข้าถามเจ้า เจ้าเป็นเชี่ยใครกันและมาทำอะไรที่นี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าที่นี่—”


 


ครั้นเมื่อซูหยางไปถึงระยะห่างระดับหนึ่งจากโจร เขาก็ตวัดแขนจนทำให้ดาบในมือหายไปในทันทีก่อนที่จะปรากฏขึ้นอีกครั้ง


 


ในเสี้ยวเวลานั้นโจรเฝ้าประตูก็ถูกฆ่าและเลือดก็ย้อมประตูเหล็ก


 


ด้วยการตวัดมืออีกข้าง ซูหยางก็ตัดประตูเหล็กนั้นออกเป็นหลายชิ้น ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปสู่รังโจรที่แท้จริงอย่างสบายๆ


 


การเข้าไปด้วยการใช้กำลังจนมีเสียงดังสนั่นของซูหยางพลันสร้างความตื่นตัวให้กับเหล่าโจรที่อยู่ภายใน


 


“มีผู้บุกรุก ทุกคนหยุดทุกอย่างที่ทำและมาช่วยกันฆ่าผู้บุกรุก”


 


โจรนับร้อยพากันฮือมายังตำแหน่งของซูหยางอย่างรวดเร็ว


 


เมื่อเห็นหมู่โจร ซูหยางก็ยิ้มในเมื่อเขาหวังให้เกิดสถานการณ์เช่นนี้


 


“พวกป่าเถื่อนที่ไม่รู้จักความงดงาม…”


 


ซูหยางยกดาบและชี้ไปยังพวกโจร


 


“ถึงแม้ขยะอย่างพวกเจ้าพลันหายไปชั่วนิรันดร์ก็ไม่มีใครในโลกนี้สนใจ…ตามจริงข้ายังหวังที่จะพนันว่าผู้คนกลับจะเฉลิมฉลองเสียด้วยซ้ำ”


 


“เจ้าเด็กบ้านี้ใครกัน เจ้านี้ถูกตีที่หัวมาหรืออย่างไร”


 


“เมื่อมาคิดว่าจะมีวันที่พวกเราโจรภูผาแดงจะถูกบุกรุกโดยเพียงแค่เด็ก….คนหนึ่ง ไม่มากไม่น้อย…ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…นี่ช่างน่าขันเหลือเกิน…”


 


ฝูงโจรไม่รู้สึกเร่งด่วนอีกต่อไปและเริ่มหัวเราะป่าเถื่อนครั้นเมื่อตระหนักว่ามีเพียงเด็กคนเดียวที่มาบุกรุกพวกเขา


 


“หัวเราะให้เต็มที่ตอนนี้เพราะว่าอีกไม่นานจักเป็นวาระสุดท้ายของพวกเจ้า”


 


พวกโจรพากันหยุดหัวเราะในทันทีและหรึ่ตาจ้องมองซูหยางด้วยกลิ่นอายกระหายเลือด


 


“อย่าฆ่าเจ้านี่ ข้าต้องการจับมันเป็นๆ” หนึ่งในหมู่โจรกล่าว


 


“พวกเราจะทรมานเจ้านี่กันรึ”


 


“แน่นอน”


 


“เราควรเริ่มจากใบหน้า” โจรอีกคนกล่าว


 


เมื่อได้ยินพวกโจรเหล่านี้ใช้ช่วงเวลาสุดท้ายของตนเองปรึกษาถึงอนาคตที่ไม่มีวันเกิดขึ้น ซูหยางได้แค่เพียงส่ายหน้า


 


ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นโดยไม่มีคำเตือนใดๆ ซูหยางก็เปิดใช้งานก้าวเก้าดาราประกาศถึงการนองเลือด


DC บทที่ 282: นองเลือด


 


เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่นาทีนับตั้งแต่ซูหยางเริ่มต้น และโจรมากกว่าร้อยคนก็ได้สิ้นชีวิตลงด้วยดาบในมือของเขา


 


“อาาาา”


 


“ทำไมจึงมีคนที่โหดร้ายและเก่งกาจเช่นนี้ นี่ไม่ใช่คนแล้ว”


 


“สัตว์ร้าย นี่ต้องเป็นสัตว์ร้ายแปลงกายมา”


 


ซ่องโจรดังก้องไปด้วยเสียงร้องที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวจากเหล่าโจรเมื่อซูหยางฆ่าพวกเขาได้โดยง่าย


 


ไม่ว่าจะเป็นโล่เหล็กหรือวิชาป้องกันตัว เพียงดาบเดียวจากซูหยางก็จะตัดพวกมันขาดราวกับมีดร้อนตัดเนย ก่อนที่จะฆ่าโจรที่อยู่ด้านหลังการปกป้องเหล่านี้


 


ยิ่งไปกว่านั้นเพราะว่าซูหยางใช้ก้าวเก้าดารา ฝูงโจรรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังต่อสู้อยู่กับวิญญาณในเมื่อพวกเขาแทบทั้งหมดไม่แม้จะเห็นเงาของอีกฝ่าย


 


และถึงแม้ว่าพวกเขาจะโชคดีมากพอที่จะทันเห็นเงาของซูหยาง พวกเขาก็จะถูกฆ่าเสียก่อนที่จะทันได้มีปฏิกิริยาใด


 


กลิ่นคาวเลือดภายในซ่องโจรเข้มข้นขึ้นภายในไม่กี่นาที เมื่อทั่วทั้งทุกที่กองสุมไปด้วยศพเจิ่งนองไปด้วยเลือด


 


ยิ่งไปกว่านั้นเพราะว่าส่วนใหญ่ของโจรเหล่านี้อยู่ที่เขตปฐมวิญญาณและสัมมาวิญญาณ พวกเขาล้วนยากที่จะหายใจในเมื่อพลังการฝึกปรือเขตอัมพรวิญญาณของซูหยางกดดันพวกเขาอยู่ ลดทอนการป้องกันของพวกเขาไปยิ่งกว่าเดิม


 


นั่นก็ยังมีบ้างบางคนที่เขตคัมภีร์วิญญาณและสองสามคนที่เขตปฐพีวิญญาณปะปนอยู่ในกลุ่มโจรพวกนี้ แต่น่าเสียดายต่อหน้าซูหยางที่อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณแล้วก็เหมือนกับมดที่ล้วนง่ายต่อการขยี้


 


“ว-วิ่งเร็ว เขามิอาจจับพวกเราทั้งหมดได้”


 


ฝูงโจรพากันวิ่งไปยังทางออกด้วยความพยายามคร้้งสุดท้าย แต่น่าเสียดายที่มีทางออกเพียงทางเดียว และซูหยางก็จะฆ่าพวกเขาก่อนที่จะมีใครในกลุ่มจะสามารถเข้าไปใกล้ทางออกได้


 


โจรภูผาแดงลดจำนวนลงอย่างรวดเร็ว และภายในครึ่งชั่วโมงจำนวนผู้แข็งแกร่งนับพันก็ได้ลดลงเหลือเพียงแค่ไม่กี่สิบคน


 


“ด-ได้โปรด โปรดเมตตา พวกเราทำอะไรล่วงเกินท่านรึจึงต้องขุ่นเคืองถึงขนาดนี้”


 


หมู่โจรที่เหลือทิ้งอาวุธและคุกเข่าลง ร้องขอชีวิตต่อซูหยาง


 


ซูหยางหยุดพักจากการฆ่าเป็นครั้งแรกนับจากตอนเริ่มต้นและพูดว่า “มีผู้เคราะห์ร้ายคนบริสุทธิ์ได้พูดคำพูดเช่นนี้ต่อพวกเจ้ากี่คนก่อนที่พวกเจ้าจะเปลี่ยนชีวิตของพวกเขาจนเลวร้ายถึงที่สุด”


 


“…”


 


ฝูงโจรพลันเงียบลงไป


 


“ข้ามิใช่วีรบุรุษทั้งมิได้คิดจะเป็นหนึ่งในนั้น ข้ามิได้ทำเช่นนี้เพราะต้องการล้างแค้นหรือถูกล่วงเกินโดยพวกเจ้าเหล่าขยะ”


 


หลังจากเงียบไปชั่วเสี้ยววินาที เขาก็พูดต่อว่า “กลับกันข้าทำเช่นนี้เพียงเพื่อความสะใจของตัวข้าเองเท่านั้น”


 


“ม-ไม่ ไม่มีทาง…”


 


ฝูงโจรมองดูซูหยางเหมือนกับว่าพวกเขากำลังดูปีศาจร้าย


 


หลังจากปล้นฆ่าคนบริสุทธิ์นับไม่ถ้วนมานานหลายปี ฝูงโจรเหล่านี้ได้ลืมไปนานแล้วถึงความรู้สึกสิ้นหวังและหวาดกลัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาปราศจากคู่แข่งในพื้นที่แห่งนี้ แต่หลังจากที่พบกับซูหยางวันนี้สุดท้ายพวกเขาก็รำลึกถึงความรู้สึกเช่นนั้นขึ้นมาได้


 


“ถ้าข้าเสียลมปากพูดกับพวกเจ้าเหล่าขยะอีกต่อไป ปากข้าจักต้องเปื้อนความโสโครกของพวกเจ้า ดังนั้นจงตายให้ข้าเสียเถอะ”


 


“ด-ด-เดี๋ยว ให้พวกเราพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้–”


 


ปราณล้ำลึกระดับอัมพรพลันระเบิดออกมาจากร่างของซูหยาง และด้วยการตวัดด้วยวิชาดาบเพียงครั้งเดียว ประกายดาบนับร้อยก็พลันพวยพุ่งออกมาจากดาบ ตัดฝูงโจรที่เหลือเป็นหลายชิ้นภายในชั่วกระพริบตา


 


“…”


 


ซ่องโจรพลันเปลี่ยนเป็นเงียบสงัด


 


ซูหยางมองดูไปยังพื้นที่ปกคลุมไปด้วยเลือด ต่อด้วยร่างของตัวเขาเองที่ไม่มีแม้สักหยดของเลือดเกาะ ทั้งที่อยู่ท่ามกลางฝนเลือด


 


“นานพอควรแล้วนับตั้งแต่ข้าได้ปลิดชีวิตมากมายปานนี้ในช่วงเวลาสั้นๆ…” เขานึกถอนใจ


 


แม้ว่าการกระทำของซูหยางในวันนี้อาจจะดูโหดร้ายและไม่จำเป็น แต่การเข่นฆ่าล้างบางแบบนี้ก็เกิดขึ้นเกือบทุกวันในยุทธภพ บางครั้งก็กินขอบเขตกว้างขวาง และเป็นเรื่องปกติที่มักจะเป็นผู้บริสุทธิ์ถูกเข่นฆ่า ไม่ใช่หมู่โจรที่ไม่ทำอะไรนอกไปจากทำร้ายทั้งคนธรรมดาและยุทธภพ


 


ตามจริงแล้วถึงแม้ว่าเขาจะฆ่าคนไปมากมาย ซูหยางไม่ได้รู้สึกสงสารหรือสำนึกผิดแม้แต่น้อยในเวลานี้


 


บางทีเขาอาจจะสงสารคนผู้บริสุทธิ์และถูกปลิดชีวิตโดยพวกโจรเหล่านี้ แต่ต่อให้มีอารมณ์ความรู้สึกต่อโจรเหล่านี้ นั่นก็ไม่อาจจะจับใจซูหยางได้


 


หลังจากที่ยืนอยู่ชั่วขณะ ซูหยางก็เริ่มเตร่เข้าไปในซ่องโจร


 


แม้ว่านั่นอาจจะดูไม่มีอะไรน่าประทับใจจากด้านนอก แต่ขนาดที่แท้จริงของที่ซ่อนแห่งนี้ก็มีขนาดใกล้เคียงกับปราสาทของราชาเพียงแต่สร้างไว้ใต้ดิน ไม่เช่นนั้นมันจะสามารถรองรับหมู่โจรนับพันได้ในทีเดียวได้อย่างไร


 


มีมากกว่าห้าชั้นที่อยู่ลึกลงไปและมีมากกว่าร้อยห้อง และที่น่าประทับใจที่สุดของที่ซ่องสุมแห่งนี้ก็คือมันชัดเจนว่าถูกจัดสร้างด้วยมือทั้งหมด


 


อย่างไรก็ตามการที่สิ่งเหล่านี้เกิดจากความพยายามของฝูงโจรหรือความพยายามของคนที่ถูกจับตัวมานั้นยังเป็นปริศนา


 


หลังจากที่เดินไปรอบๆชั่วขณะ ซูหยางก็หยุดอยู่ตรงหน้าห้องห้องหนึ่งที่ชั้นสองและเปิดมันออก


 


ครั้นเมื่อเขาเปิดห้องออกมา เขาก็พบกับฉากโหดร้ายที่ทำให้กระทั่งคนที่ใจแข็งที่สุดก็ยังใจสั่นสะท้าน


 


ภายในห้องนี้มีหญิงหลายคนถูกล่ามโซ่ไว้กับผนังและไม่มีใครในนั้นที่สวมเสื้อผ้า


 


ยิ่งไปกว่านั้นร่างกายของหญิงพวกนี้ล้วนมีรอยช้ำผ่ายผอมเห็นชัดว่าขาดสารอาหาร ดวงตาของพวกเธอขาดประกายราวกับตุ๊กตาที่ปราศจากจิตวิญญาณ แต่กระนั้นตุ๊กตาเองก็ยังมีอารมณ์บนใบหน้ามากกว่าคนที่อยู่ในห้องนี้ บางอย่างที่พวกเธอขาดไปอย่างสิ้นเชิง


 


ผู้คนสามารถคาดเดาจุดประสงค์ของห้องนี้และเหตุใดหญิงพวกนี้จึงมาอยู่ที่นี่ได้อย่างง่ายดายเพียงแค่เหลือบมอง แต่นั่นยิ่งทำให้สถานที่แห่งนี้น่ารังเกียจยิ่งกว่าเดิม


 


เมื่อซูหยางเห็นสภาพของหญิงพวกนี้และสีหน้าของพวกเธอ ถึงแม้ว่าเขาไม่รู้จักพวกเธอแม้สักคนในใจเขาก็เต็มไปด้วยความโกรธ


 


“ข้ามิควรฆ่าพวกมันเร็วจนเกินไปนัก…” เขานึกถอนใจ ค่อนข้างเสียใจในการตัดสินใจไม่ทรมานเหล่าโจรก่อนที่จะฆ่าพวกนั้นอย่างช้าๆ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม