Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน 269-275

 DC บทที่ 269: ดูเหมือนร้าง


 


“เราคงมิรู้อะไรหากยังคงยืนอยู่ที่นี่ ข้าจักเข้าไปข้างใน” หวังชูเหรินกล่าวขณะที่เธอตรงเข้าไปยังทางเข้าที่ยังขาดประตูเพราะว่าไม่มีใครจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยสนใจจะซ่อมมัน


 


“ร-รอพวกเราด้วย”


 


ผู้คนที่เหลือต่างพากันรีบตามไปขณะที่ยังคงตื่นตัวกับสภาพแวดล้อมรอบตัว ใครจะรู้ว่าอะไรจะโผล่ขึ้นมาจากสถานที่นี้


 


ยามเมื่อพวกเขาไปถึงทางเข้าก็สังเกตเห็นสภาพยับเยินของมัน พวกเขาไม่สงสัยอีกต่อไปแล้วว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นกับสถานที่นี้จริงๆ


 


“ดูเหมือนว่าข่าวจะเป็นความจริงตามนั้น แต่ว่านั่นจะเป็นนิกายล้านอสรพิษหรือไม่นั้นยังคงเป็นเรื่องน่าสงสัย”


 


หลังจากที่พวกเขาเข้าไปในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและเข้าไปถึงเขตศิษย์นอก พวกเขาก็สังเกตได้ในทันทีว่ามีเลือดแห้งจำนวนมากกระจายอยู่ทั่วบริเวณ เช่นเดียวกับทางเข้าไม่มีใครสนใจที่จะทำความสะอาดมัน หรือบางทีนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอาจจะต้องการใช้ฉากนี้เป็นคำเตือนสำหรับผู้อื่น


 


“โอ้ สวรรค์…”


 


หวังชูเหรินปิดปากด้วยความตระหนก เช่นเดียวกับอีกสองสามคนที่นั่น


 


“เอาหละสิ่งหนึ่งที่มั่นใจได้ก็คือมีคนหลายคนตายที่นี่ และนั่นต้องเป็นการสังหารหมู่”


 


ผู้อาวุโสหานถอนใจ เขาไม่อาจจินตนาการได้ว่าสิ่งโหดร้ายเพียงไหนที่เกิดกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย


 


“อย่างไรก็ตาม นี่แปลกมาก นอกจากจุดนี้แล้ว ที่เหลือจากนี้ไม่มีร่องรอยอะไรอีกเลย”


 


หนึ่งในพวกเขาพลันชี้ให้เห็น


 


“มันเหมือนกับว่ามีการประหารเกิดขึ้นที่นี่…”


 


คนนิกายดอกบัวเพลิงพากันสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวจากจินตนาการถึงการสังหาร


 


ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาพลันสันนิษฐานว่าเลือดในสถานที่นี้เป็นของคนจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย และพวกเขาก็ไม่แม้จะจินตนาการว่านิกายล้านอสรพิษจะถูกสังหารหมู่ที่นี่


 


หลังจากที่ยืนเตร่ไปอีกสองสามนาที หวังชูเหรินก็ทำการเดินลึกเข้าไปในนิกาย


 


ครั้นเมื่อพวกเขาผ่านเขตศิษย์นอกไปโดยไม่พบแม้กระทั่งศิษย์สักคนแล้ว คนนิกายดอกบัวเพลิงก็ตระหนักว่าสถานที่นี้ร้างไปแล้วจริงๆ


 


“ช่างเป็นโศกนาฏกรรม…”


 


“สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในยุทธภพบ่อยครั้งกว่าที่มันควรจะเป็น มีสำนักใหม่เกิดขึ้นเกือบทุกวัน แต่ก็ยังมีสำนักที่ต้องปิดประตูเกิดขึ้นบ่อยๆเช่นกัน”


 


สำนักที่โชคดีก็จะเฟื่องฟูขึ้นขณะที่สำนักที่ไม่มีใครสังเกตก็จะหายไปโดยไม่มีใครรู้ และนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ควรถือว่าค่อนข้างมีชื่อเสียงในเมื่อข่าวการล่มสลายของมันนั้นแพร่กระจายไปทั่วภาคตะวันออก


 


เวลาต่อมา ยามเมื่อหวังชูเหรินก้าวเข้าไปในเขตศิษย์ใน พวกเขาก็หยุดมองไปรอบๆ


 


“ข้าก็ยังคงมิรู้สึกว่าจะมีสิ่งมีชีวิตที่นี่เช่นกัน…” ผู้อาวุโสสูงหานส่ายหน้า


 


“ก็เหลือเพียงใจกลางของสถานที่นี้เท่านั้นตอนนี้ เฮ้อ”


 


หวังชูเหรินถอนใจ เธอรู้สึกหนักใจทุกก้าวย่างที่เธอก้าวเข้าไปในสถานที่แห่งนี้


 


“ซูหยาง…เจ้ายังคงมีชีวิตอยู่หรือไม่” เธอทอดถอนใจ


 


ในเมื่อไม่มีอะไรให้เห็นในเขตศิษย์ใน หวังชูเหรินและพวกก็ดำเนินการตรงเข้าไปยังเขตกลาง


 


อย่างไรก็ตามก่อนที่พวกเขาจะเห็นทางเข้า พวกเขาก็ถูกหยุดไว้ด้วยเสียงดัง


 


“หยุด ผู้มาเป็นใคร พวกเจ้ามีธุระอันใดกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”


 


ร่างหนึ่งพลันปรากฏขึ้นจากเขตกลางและมายืนอยู่ตรงหน้าคนของนิกายดอกบัวเพลิง


 


“พวกเรามาจากนิกายดอกบัวเพลิง และข้ามาที่นี่เพื่อสอบถามเกี่ยวกับคนคนหนึ่ง”


 


หวังชูเหรินพลันก้าวเท้าออกมาและกล่าวกับผู้อาวุโสนิกายที่หยุดพวกเธอไว้


 


“นิกายดอกบัวเพลิงรึ”


 


ผู้อาวุโสนิกายในที่สุดก็ได้สังเกตเห็นชุดสีแดงสดของพวกเขาจึงพยักหน้ารับ


 


“ใครที่พวกเจ้ามองหา”


 


“เป็นศิษย์ที่ชื่อซูหยาง…” หวังชูเหรินกล่าว


 


“ซูหยางรึ”


 


ผู้อาวุโสสูงสุดหานมองดูหวังชูเหรินด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ พวกเขามาที่นี่ตลอดทางเสี่ยงกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ก็เพื่อเจ้าเด็กเลวนั่นที่เกือบพลิกตลบนิกายดอกบัวเพลิงอย่างนั้นรึ


 


ไม่เพียงแต่ผู้อาวุโสสูงสุดหาน กระทั่งคนอื่นๆที่นั่นต่างก็พากันมองไปที่หวังชูเหรินด้วยดวงตาเบิกโพลง แม้ว่าสถานการณ์เกี่ยวกับซูหยางจะถูกเก็บซ่อนไว้โดยนิกายดอกบัวเพลิง ปกป้องไว้ไม่ให้คนภายนอกได้รู้ถึงความอับอายของพวกเขาก็ตาม แต่เกือบทุกคนในนิกายดอกบัวเพลิงรู้จักซูหยางและความวุ่นวายที่เขาก่อขึ้นยังที่แห่งนั้น


 


“พวกเจ้ามาที่นี่เพื่อซูหยางหรอกรึ”


 


ผู้อาวุโสนิกายไม่คาดว่าซูหยางจะมีความสัมพันธ์กับนิกายดอกบัวเพลิง หนึ่งในขุมกำลังไม่กี่แห่งที่ได้รับความนับถืออย่างสูงในภาคตะวันออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเม็ดยาดอกบัวเพลิงที่ได้ช่วยสำนักหลายแห่งให้มีพลังอำนาจเพิ่มมากขึ้น


 


“ซูหยางอยู่ที่นี่รึ ข้าสามารถพูดกับเขาได้หรือไม่”


 


เมื่อเห็นปฏิกิริยาของผู้อาวุโสนิกาย หวังชูเหรินพลันยิ้มขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น


 


“ช-ใช่…”


 


ผู้อาวุโสนิกายค่อนข้างตะลึงไปกับความกระตือรือล้นของหวังชูเหริน


 


“อย่างไรก็ตามตอนนี้เขาค่อนข้างจะยุ่งมาก…”


 


“สบายมาก ข้าจักรอเขาให้เสร็จธุระที่กำลังทำอยู่ได้”


 


ผู้อาวุโสนิกายพยักหน้าและกล่าวว่า “โปรดรอชั่วขณะขณะที่ข้าไปพูดกับผู้นำนิกาย”


 


“ฮึ่ม เจ้าไม่แม้กระทั่งเสนอที่ให้พวกเราได้นั่งพักขณะรอ ช่างคิดออกมาได้…”


 


ผู้อาวุโสสูงสุดหานแค่นเสียงเย็นชา


 


“ผู้อาวุโสหาน”


 


หวังชูเหรินขมวดคิ้วกับคำพูดของเขา


 


ผู้อาวุโสนิกายแสดงท่าทางขอโทษและกล่าวว่า “ข้าต้องขออภัย แต่อย่างที่พวกท่านเห็นสถานการณ์ของพวกเรา พวกเรามิได้อยู่ในเงื่อนไขที่จะสามารถรับรองแขกได้ และผู้นำนิกายก็ได้ให้คำสั่งเข้มงวดว่ามิให้ใครเข้าไปในเขตกลางโดยมิได้รับอนุญาตจากเธอก่อน”


 


“โอ…”


 


ผู้อาวุโสสูงสุดหานพลันตระหนักว่าเขาขาดสำนึกไปจากคำพูดก่อนหน้านั้น อย่างไรก็ตามนั่นก็เป็นเพียงเพราะว่าอารมณ์ของเขาย่ำแย่หลังจากที่ได้ยินชื่อซูหยาง จนเป็นเหตุให้เขาลืมสถานการณ์เบื้องหน้าไป


 


“ข-ข้าควรเป็นคนที่ขออภัย ในเมื่อข้ามิได้คิดไปเมื่อครู่…”


 


ผู้อาวุโสสูงสุดหานสามารถรู้สึกได้ว่าหน้าตนเองร้อนผ่าวจากความอาย


 


ผู้อาวุโสนิกายไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของผู้อาวุโสสูงสุดหานและรีบกลับเข้าไปแจ้งให้กับโหลวหลานจีถึงการมาของพวกเขา


 


“อะไรนะ นิกายดอกบัวเพลิงมาที่นี่เพื่อพูดกับซูหยาง พวกเขาได้กล่าวไหมว่าพวกเขาต้องการพูดเรื่องอะไร”


 


โหลวหลานจีก็ตกตะลึงที่รู้ว่าซูหยางได้มีความสัมพันธ์กับพวกเขา


 


“ไม่ พวกเขามิได้พูด”


 


“อืมมม…เอาละ ให้พวกเขาเข้ามา ข้าจักพูดกับพวกเขาสักครู่หลังจากที่ข้าได้เตรียมตัวแล้ว”


 


โหลวหลานจีพูดขณะที่เธอลุกขึ้นจากเตียง รู้สึกอืดอาดอยู่บ้างหลังจากนอนมาเป็นเวลานาน


DC บทที่ 270: จอมยุทธลึกลับ


 


หลังจากใช้เวลาในการหลับไปสองสามวัน โหลวหลานจีก็ตื่นขึ้นไม่นานหลังจากที่เธอล้มตัวลงนอน และแม้ว่าเธอจะจำไม่ได้ว่ากลับถึงศาลาหยินหยางได้อย่างไร หรือไปอยู่บนเตียงได้อย่างไร เธอก็ไม่ได้สนใจที่จะค้นหาว่าใครเป็นคนพาเธอมาที่นี่เพราะเธอคิดว่าคนคนนั้นคงไม่ต้องการเปิดเผยตัวตน ไม่เช่นนั้นคนนั้นคงพูดกับเธอเรื่องการสลบไสลของเธอแล้วตอนนี้


 


“นิกายดอกบัวเพลิง เฮ้อ…ข้าสงสัยว่าพวกเขาต้องการอะไรจากซูหยาง…”


 


โหลวหลานจีแต่งตัวอย่างรวดเร็วก่อนที่จะออกไปจากศาลาหยินหยาง


 


ก่อนที่โหลวหลานจีจะไปถึง หวังชูเหรินและพวกต่างพากันมองไปทั่วพื้นที่ด้วยท่าทางสับสนงงงัน


 


“ผู้อาวุโสสูงสุดหาน…เห็นชัดว่ามีคนอยู่ที่นี่ แต่ข้ายังมิอาจรับรู้ได้ว่ามีคนอยู่ในที่นี้ เกิดอะไรขึ้นกันแน่”


 


บางคนถามขึ้น


 


แม้ว่าจะเห็นผู้อาวุโสนิกายหนึ่งคนเมื่อกี้นี้ พวกเขาก็ไม่สามารถรับรู้อะไรได้อีกหลังจากที่เธอจากไป ราวกับว่าเธอเป็นปีศาจ


 


“นั่นอาจจะมีค่ายกลอำพรางรอบสถานที่นี้ อย่างไรก็ตามการที่มันมีขนาดใหญ่มากพอที่จะครอบคลุมไปทั่วทั้งเขตกลางนี่ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจทีเดียว…ข้าสงสัยว่าต้องสิ้นเปลืองทรัพยากรไปมากเท่าไหร่…”


 


ผู้อาวุโสสูงสุดหานเริ่มรู้สึกหวาดหวั่น แม้ว่าเขาไม่สามารถรับรู้ได้ถึงค่ายกลอำพราง แต่นั่นก็เพียงเป็นสิ่งพิสูจน์ถึงความสามารถของผู้เชี่ยวชาญค่ายกลนี้


 


หลังจากที่ยืนอยู่สองสามนาที คนนิกายดอกบัวเพลิงก็สังเกตเห็นร่างของโหลวหลานจีตรงมาหา


 


“ข้าต้องขออภัยที่ต้องให้รอ บรรดาแขกจากนิกายดอกบัวเพลิง ข้าเป็นผู้นำนิกายของที่แห่งนี้ โหลวหลานจี”


 


“เราควรจักเป็นคนที่ต้องขออภัยในการที่พวกเราพลันมาเยี่ยมทั้งที่สถานการณ์ของพวกท่านเป็นเช่นนี้…”


 


หวังชูเหรินค้อมศีรษะเล็กน้อย


 


“ข้าชื่อหวังชูเหริน และข้ามาที่นี่เพื่อพูดกับซูหยาง” เธอพลันแนะนำตัว


 


“หวังชูเหริน หวังชูเหรินคนนั้นรึ”


 


โหลวหลานจีตื่นตระหนกอยู่ในใจเมื่อรู้ถึงตัวตนของหวังชูเหริน ทำไมหนึ่งในนักปรุงยาที่มีชื่อเสียงที่สุดของนิกายดอกบัวเพลิงจึงมาที่นี่ อย่าว่าแต่ตามหาซูหยางอีกด้วย


 


“ตอนนี้เขากำลังยุ่งอยู่ แต่ถ้าท่านยินดีที่จะรอด้านใน ข้าจักเตรียมน้ำชาไว้”


 


“ท่านคิดว่าต้องใช้เวลานานเท่าไหร่”


 


โหลวหลานจีครุ่นคิดชั่วขณะก่อนที่จะพูดว่า “เขาควรจะเสร็จภายในไม่กี่นาทีหากข้าได้แจ้งให้เขาทราบถึงการมาของพวกท่าน”


 


หวังชูเหรินตกลงที่จะรอด้านใน


 


โหลวหลานจีพยักหน้าและพาพวกเขาเข้าไปข้างในเขตกลาง ไม่นานหลังจากนั้นจอมยุทธทั้งยี่สิบคนจากนิกายดอกบัวเพลิงก็ได้นั่งอยู่ในห้องขนาดใหญ่ที่ดูเหมือนจะใช้เป็นที่ประชุม


 


ครั้นเมื่อพวกเขาทั้งหมดนั่งลงแล้ว โหลวหลานจีก็ใช้หยกสื่อสารแจ้งให้ซูหยางว่าหวังชูเหรินมาเยี่ยม


 


“ข้าได้แจ้งซูหยางแล้ว และน้ำชาจักมาถึงที่นี่ในเวลาไม่นาน” โหลวหลานจีกล่าว


 


“ในเวลานี้ถ้าท่านมิถือข้าขอถามได้หรือไม่ว่าทำไมนิกายดอกบัวเพลิงจึงถามหาซูหยาง”


 


แม้ว่าโหลวหลานจีไม่รับรู้ถึงความเป็นศัตรูของพวกเขา เธอก็นึกไม่ออกว่าทำไมพวกเขาจึงต้องการพบซูหยาง


 


หวังชูเหรินโบกมือกล่าวว่า “นิกายดอกบัวเพลิงมิมีส่วนเกี่ยวข้องใดกับการมาเยี่ยมที่นี่ของข้าในวันนี้ คนพวกนี้เพียงร่วมทางเพื่อความปลอดภัยของข้าเท่านั้น และข้ามาที่นี่ด้วยความสมัครใจของข้าเอง”


 


“ถ้าท่านมิถือข้าพอจะถามได้ไหมว่า ท่านมีความสัมพันธ์ใดกับซูหยาง”


 


หวังชูเหรินครุ่นคิดชั่วขณะก่อนที่จะกล่าวว่า “พวกเราได้ทำธุรกิจร่วมกันมาก่อน ข้าคิดว่าเป็นเช่นนั้น”


 


โหลวหลานจียิ่งรู้สึกสับสนหลังจากที่ได้ยินคำพูดแบบนั้น


 


“ธุรกิจรึ”


 


หลังจากครุ่นคิดชั่วขณะโหลวหลานจีก็นึกขึ้นได้ว่าซูหยางมีหลายสิ่งที่หายากและพิเศษเฉพาะเก็บซ่อนไว้ดังเช่นน้ำมันรัญจวนและหญ้าเงินเจ็ดใบ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะคิดว่าเขาอาจจะมีบางอย่างที่กระตุ้นความสนใจของคนอย่างหวังชูเหริน


 


หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ หวังชูเหรินก็พูดขึ้นว่า “ซูหยาง…เขาสบายดีไหม”


 


โหลวหลานจีมองดูเธอด้วยท่าทางสับสนเห็นได้ชัดว่างงงันกับคำถามของเธอ


 


“หลังจากที่ได้ยินเกี่ยวกับนิกายล้านอสรพิษและสิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่…”


 


โหลวหลานจีพลันเข้าใจสถานการณ์หลังจากที่ได้ยินเกี่ยวกับนิกายล้านอสรพิษ


 


“ซูหยางสบายดีไร้ที่ติ ว่าตามจริงเขาเป็นคนที่ใจเย็นที่สุดในหมู่พวกเราในตอนนี้” โหลวหลานจีถอนหายใจรู้สึกละอายที่ศิษย์คนหนึ่งกลับเยือกเย็นยิ่งกว่าเธอในสถานการณ์คับขันเช่นนี้


 


“นั่นทำให้โล่งอก…” หวังชูเหรินยิ้ม


 


ทันใดนั้นเสียงอื่นก็ดังขึ้น


 


“หากท่านมิรังเกียจที่ข้าจะเข้าร่วม ข้าพอจะถามหน่อยได้หรือไม่เกี่ยวกับนิกายล้านอสรพิษ พวกเขาไปไหนกันตอนนี้”


 


ผู้อาวุโสสูงสุดหานพลันกล่าว เขารู้สึกสงสัยเกี่ยวกับสถานการณ์จนเกินไปจนอดถามไม่ได้


 


โหลวหลานจีไม่ได้ตอบคำถามในทันทีและครุ่นคิดว่าเธอควรเปิดเผยความจริงให้กับพวกเขาดีหรือไม่


 


หลังจากที่คิดไปชั่วขณะ โหลวหลานจีก็ตัดสินใจที่จะบอกความจริงกับอีกฝ่าย ในเมื่อไม่มีประโยชน์อะไรที่จะซ่อนสิ่งที่ไม่ช้าไม่นานก็จะต้องเปิดเผย ยิ่งไปกว่านั้นเธอสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อเปิดเผยให้โลกรู้ว่ามีจอมยุทธที่ทรงอำนาจจนเหลือเชื่อสนับสนุนนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอยู่เบื้องหลัง ใช้ตัวตนของเขาเป็นคำเตือนให้กับผู้ที่ต้องการที่จะทำร้ายพวกเขา


 


“คนจากนิกายล้านอสรพิษทั้งหมดล้วนถูกฆ่า”


 


โหลวหลานจีพูดอย่างเยือกเย็นขณะที่เธอจิบน้ำชาที่เพิ่งมาถึง


 


“ท่านเพิ่งพูดอะไรไปนะ”


 


ไม่เพียงแต่ผู้อาวุโสสูงสุดหานแต่ทุกคนที่นั่นต่างพากันอุทานเสียงดังลั่น ท่าทางของพวกเขาเต็มไปด้วยความตระหนกและไม่อยากเชื่อ


 


“ข้ารู้ว่ามันยากที่จะเชื่อ แต่พวกท่านควรจะเห็นเลือดที่อยู่ตรงทางเข้าม ทุกหยาดของเลือดนั้นเป็นของนิกายล้านอสรพิษทั้งสิ้น”


 


“เป็นไปมิได้…”


 


ครั้นเมื่อคนจากนิกายดอกบัวเพลิงรู้ความจริง พวกเขาก็ไม่สามารถแม้กระทั่งนั่งลงบนเก้าอี้เนื่องจากความตระหนก


 


ใครจะสามารถจินตนาการได้ว่าเลือดตรงทางเข้าเป็นของนิกายล้านอสรพิษและไม่ได้เป็นของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ไม่มีใครทำได้


 


ผู้อาวุโสสูงสุดหานจ้องมองโหลวหลานจีด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย สงสัยในถ้อยคำที่เพิ่งออกไปจากปากของเธอ


 


แม้ว่าเขาไม่คุ้นเคยกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอย่างมาก แต่เขาก็มั่นใจว่านั่นไม่อาจเปรียบเทียบได้กับนิกายล้านอสรพิษและพลังอำนาจมหาศาลของมัน


 


“เป็น—”


 


“เป็นไปได้อย่างไรกับสถานที่ที่เล็กและด้อยกว่าเช่นพวกเรา ใช่หรือไม่”


 


โหลวหลานจีเดาสิ่งที่ผู้อาวุโสสูงสุดหานต้องการถามและกล่าวว่า “บอกท่านตามความเป็นจริง นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมิได้แตะต้องนิกายล้านอสรพิษ ตามจริงพวกเรามิสามารถ–มิอาจด้วยความสามารถของพวกเรา โดยเฉพาะเป็นไปไม่ได้อย่างยิ่งเมื่อศิษย์ของพวกเราเกือบทั้งหมดตัดสินใจที่จะละทิ้งสถานที่นี้ก่อนที่พวกเขาจะมาถึง”


 


“ท่านพูดเช่นนั้นหมายถืงอะไร” ผู้อาวุโสสูงสุดหานถามด้วยคิ้วขมวดไม่เข้าใจ


 


“นิกายล้านอสรพิษถูกจัดการด้วยคนอื่น และคนคนนั้นเป็นคนที่มีพลังอำนาจสุดหยั่ง บางคนที่สามารถจัดการนิกายล้านอสรพิษได้ด้วยตนเอง”


 


“น่าขัน มิมีทางที่จะมีคนเช่นนั้นจะปรากฏตัวขึ้นได้”


 


ผู้อาวุโสสูงสุดหานปฏิเสธที่จะเชื่อว่ามีตัวตนที่เหลือเชื่อเช่นนั้นในโลกนี้ในเมื่อไม่มีใครเคยได้ยินเกี่ยวกับตัวเขา


 


“นั่นก็แล้วแต่ท่านว่าต้องการจะเชื่อหรือไม่ อย่างไรก็ตามความจริงที่สถานที่นี้ยังคงตั้งอยู่ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ที่ปฏิเสธมิได้” โหลวหลานจีกล่าว


 


“เช่นนั้นคนนั้นอยู่ที่ไหนแล้วตอนนี้” ผู้อาวุโสสูงสุดหานดำเนินการถามต่อ


 


“ข้ามิอาจที่จะบอกท่านได้ในเรื่องนั้นในเมื่อคนผู้นี้ขอให้ข้าเคารพความเป็นส่วนตัวของเขา”


 


โหลวหลานจีส่ายหน้าและสร้างข้อแก้ตัวขึ้นตรงนั้นหลกผู้อาวุโสสูงสุดหานและคนอื่นไปอย่างง่ายๆ


 


ผู้อาวุโสสูงสุดหานหรี่ตาและคิดสงสัย “หรือว่าค่ายกลอำพรางรอบสถานที่นี้จะมีความสัมพันธ์กับจอมยุทธลึกลับนี้”


DC บทที่ 271: เรือนร่างอันเร่าร้อน


 


“แม้ว่าข้ามิอาจบอกพวกท่านได้ว่าท่านผู้อาวุโสตอนนี้อยู่ที่ไหน ข้าสามารถบอกเจ้าได้ว่าเขาอาจะมาจากทวีปศักดิ์สิทธิ์กลาง”


 


เพื่อที่ต้องการจะสร้างความตระหนกให้กับนิกายดอกบัวเพลิงและเพิ่มความสนใจให้กับซูหยางมากยิ่งขึ้น โหลวหลานจีตัดสินใจที่จะอ้างถึงทวีปศักดิ์สิทธิ์กลาง


 


“ทวีปศักดิ์สิทธิ์กลาง”


 


ผู้อาวุโสสูงสุดหานหัวใจเต้นระรัวด้วยความตื่นเต้นหลังจากที่ได้ยินข่าวเช่นนั้น ในเมื่อเขาเป็นหนึ่งในผู้ฝึกยุทธที่ใช้เวลาหลายปีค้นคว้าเรื่องทวีปศักดิ์สิทธิ์กลางโดยหวังว่าจะพบวิธีไปที่นั่น


 


“ถ-ถ้ามิถือว่าถามมากเกินไป ท่านพอจะบอกผู้อาวุโสท่านนี้ได้หรือไม่ว่าข้าต้องการที่จะขอเข้าคารวะเขา”


 


ไม่มีทางที่ผู้อาวุโสสูงสุดหานจะไม่ถามคำถามนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้อาวุโสท่านนี้อาจจะถือได้ว่าเป็นกุญแจสำคัญในการไปถึงทวีปศักดิ์สิทธิ์กลาง


 


“อือ…ข้าเดาว่าข้าสามารถขอร้องเขาครั้งหน้าที่เราพบกันได้…”


 


โหลวหลานจีตอบตกลงอย่างผ่านๆ


 


“ขอบคุณท่านมาก”


 


ผู้อาวุโสสูงสุดหานกล่าวด้วยความตื่นเต้น


 


หลังจากเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง เมื่อพบว่าซูหยางก็ยังไม่แสดงตัว หวังชูเหรินก็ถอนหายใจ “ซูหยางคนนี้ อะไรที่ทำให้เขาต้องใช้เวลาตั้งนาน”


 


โหลวหลานจีพลันพูดด้วยน้ำเสียงขอโทษว่า “ห-เหล่าศิษย์ค่อนข้างจะหลงไหลในตัวเขา ดังนั้นเขาจึงปกติจะยุ่งมาก…”


 


“เอ๋ ท่านพูดอย่างนั้นหมายความว่าอย่างไร”


 


หวังชูเหรินถามด้วยท่าทางงุนงง


 


“อือออ…”


 


โหลวหลานจีมองดูเธอด้วยสายตาประหลาดและคิดในใจว่า “เธอคงมิหลงลืมไปว่าอะไรที่พวกเราทำกันในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ใช่ไหม”


 


ตามจริงเพราะว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หวังชูเหรินได้ลืมไปหมดสิ้นเกี่ยวกับเหตุผลที่ทำให้นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมีชื่อเสียงเป็นอันดับแรก


 


“ผู้อาวุโสหวัง หรือว่าท่านลืมไปแล้วว่าที่เราอยู่ตอนนี้เป็นสถานที่ประเภทไหน”


 


ผู้อาวุโสหานเตือนเธอ


 


หวังชูเหรินเลิกคิ้วและครุ่นคิดไปชั่วขณะ


 


ทันใดนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ถึงเหตุผลหลักเกี่ยวกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่ทำให้พวกเขาโด่งดัง


 


โหลวหลานจีสังเกตเห็นว่าหวังชูเหรินระลึกขึ้นได้จึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นั่นย่อมมีเหตุผลเดียวที่ทำไมผู้ชายจึงยุ่งมากในที่แบบนี้ถ้าเหล่าศิษย์หญิงต่างพากันหลงไหลในตัวเขา”


 


ใบหน้าของหวังชูเหรินเปลี่ยนไปเป็นสีแดงเล็กน้อยด้วยความอาย


 


“ข-ข้า..”


 


หวังชูเหรินไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองอย่างไรหลังจากนั้น ในเมื่อเธอไม่คุ้นเคยกับการสนทนาแบบนั้น


 


ทันใดนั้นเสียงประตูเปิดก็ดังขึ้นเป็นเหตุให้ทุกคนที่นั่นต่างพากันหันไปมองทางประตู


 


“ซูหยาง”


 


หวังชูเหรินตาเป็นประกายด้วยความดีใจหลังจากที่เห็นใบหน้าหล่อเหลาของซูหยาง รู้สึกโล่งอกที่เขายังมีชีวิตอยู่จริงๆ


 


ซูหยางมองไปยังผู้คนจากนิกายดอกบัวเพลิงขณะที่เขาเดินเข้าไปด้านในและพูดด้วยน้ำเสียงหยอกเย้า “อะไรกันนี่ พวกเจ้ามายังที่นี่เพื่อจะแก้แค้นสิ่งที่เกิดขึ้นวันนั้นรึ”


 


ผู้อาวุโสสูงสุดหานขบกรามแน่นหลังจากที่เห็นใบหน้าซูหยางและได้ยินเสียงของเขา ด้วยความกลัวต่อซูหยางยังคงอยู่


 


ส่วนสำหรับจอมยุทธคนอื่นจากนิกายดอกบัวเพลิง พวกเขาต่างพากันร่างสั่นสะท้านจากการที่ได้เห็นซูหยาง


 


โหลวหลานจีมองดูสถานการณ์ด้วยคิ้วขมวดงุนงง มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่กับสถานการณ์นี้


 


ซูหยางเลิกสนใจสายตาที่จ้องมาทั้งหมดและนั่งลงตรงหน้าหวังชูเหริน


 


“เจ้าต้องการพูดกับข้า ใช่หรือไม่”


 


เขาจ้องหน้าเธอ


 


“เอ้อ… เนื่องจากว่า…”


 


ตามจริง หวังชูเหรินไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เธอมาที่นี่เพียงเพราะว่าเธอกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับนิกายล้านอสรพิษ และจากที่รู้จักซูหยาง เขาต้องยืนอยู่ด้านหน้าพยายามปกป้องสถานที่ของตนเอง


 


แต่ตอนนี้เมื่อสุดท้ายเธอได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับนิกายล้านอสรพิษ กระทั้งเห็นซูหยางด้วยตนเอง เธอได้เติมเต็มเหตุผลที่ต้องการมาที่นี่แล้ว


 


อย่างไรก็ตามเธอรู้สึกว่าจะเป็นการหยาบคายต่อโหลวหลานจีและซูหยางถ้าเธอจากไปหลังจากที่เขาปรากฏตัว


 


เมื่อเห็นว่าหวังชูเหรินยังคงนิ่ง ซูหยางก็ถามเธอว่า “เจ้าต้องการพูดเป็นการส่วนตัวรึ”


 


หวังชูเหรินดวงตาเป็นประกายขึ้นเมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงพยักหน้ารับ


 


“เอาล่ะ…ตามข้ามา”


 


ซูหยางยืนขึ้น


 


“ข้าจักกลับมา” หวังชูเหรินกล่าวกับเพื่อนศิษย์ร่วมสำนักก่อนที่จะตามซูหยางออกไปจากที่นั้น


 


แม้ว่าผู้อาวุโสสูงสุดหานและคนอื่นถูกสั่งมาว่าห้ามปล่อยให้หวังชูเหรินคลาดสายตาและรู้สึกไม่ค่อยชอบสถานการณ์นี้นัก พวกเขาก็รู้สึกว่าเป็นสิ่งไม่ถูกต้องหากจะยับยั้งเธอไว้ ในเมื่อการมาเยี่ยมครั้งนี้ทั้งหมดคงไร้ความหมายหากพวกเขาไม่ยอมให้หวังชูเหรินได้พูดกับซูหยาง


 


“พวกท่านต้องการน้ำชาเพิ่มอีกไหม” โหลวหลานจีถามพวกเขา


 


“เป็นความกรุณา…”


 


ผู้อาวุโสสูงสุดหานพยักหน้า บางทีเขาอาจจะรู้เรื่องมากขึ้นเกี่ยวกับจอมยุทธลึกลับในช่วงเวลานี้


 


หลังจากปล่อยให้โหลวหลานจีและคนจากนิกายดอกบัวเพลิงอยู่กันตามลำพังแล้ว ซูหยางก็พาหวังชูเหรินตรงไปยังที่พักของตนเอง


 


ขณะที่พวกเขาเข้าไปใกล้ที่พัก หวังชูเหรินก็สังเกตเห็นกลุ่มศิษย์หญิงสาวสวยอยู่ด้านนอกที่พักของเขาพูดจาหยอกล้อกันหัวเราะคิกคักอย่างสนุกสนาน


 


“ศิษย์พี่ชาย ท่านกลับมาแล้วรึ”


 


เหล่าศิษย์หญิงพากันถามเขาหลังจากที่สังเกตเห็นร่างของเขาตรงเข้ามา


 


พวกเธอพลันสังเกตเห็นหวังชูเหรินเดินตามหลังเขาด้วยเรือนร่างอันสมบูรณ์แบบ


 


“ว้าว…ช่างเป็นเรือนร่างอันเร่าร้อน…”


 


เหล่าศิษย์หญิงต่างพากันค่อนข้างอิจฉาร่างอันเต็มสาวและเปี่ยมเสน่ห์ของหวังชูเหริน ถ้าพวกเธอมีเรือนร่างแบบนี้ชีวิตของเธอในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยคงเป็นไปได้ง่ายกว่านี้อย่างแน่นอน


 


“ข้าจักบอกให้พวกเจ้าสาวๆรู้เมื่อข้าว่างอีกครั้ง” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาตรงเข้าไปในบ้าน


 


“อย่าปล่อยให้พวกเรารอนานเกินไปนะศิษย์พี่ชาย ร่างกายของข้าร้อนเร่าไปหมดแล้วจากการที่ต้องยืนอยู่ที่นี่”


 


“ใช่แล้ว ข้าได้รอมาจนถึงวันนี้ตั้งสองวันแล้ว”


 


เหล่าศิษย์หญิงไม่ได้ซ่อนเจตนาของพวกเธอต่อซูหยางแม้ว่าจะอยู่ในที่สาธารณะ กระทั่งยังสัมผัสร่างกายของตนเองด้วยท่าทางกระสันรัญจวน และหวังชูเหรินรู้สึกตะลึงงันอย่างมากกับพฤติกรรมไร้ยางอายของพวกเธอ


 


“พวกเธอมิมียางอายบ้างเลยรึ หรือว่านี่เป็นพฤติกรรมที่เหล่าศิษย์หญิงในที่นี้ควรกระทำ”


 


หวังชูเหรินคิดในใจ


 


เหล่าศิษย์หญิงพลันหันไปมองหวังชูเหริน


 


“เจ้ามาจากนิกายดอกบัวเพลิงใช่หรือไม่ ถึงกับเดินทางมาที่นี่เพียงเพื่อที่จะเล่นสนุกกับศิษย์พี่ชาย ข้ายอมแพ้เจ้าจริงๆ”


 


“ว่ากระไร”


 


หวังชูเหรินไร้คำพูดไปชั่วขณะก่อนที่จะตะโกนออกไปด้วยความโกรธ “พวกเจ้าคิดว่าข้าเป็นใคร”


 


เหล่าศิษย์หญิงต่างสบสายตากันไปมา ไม่มีใครสักคนที่นั่นรู้จักหวังชูเหริน


 


“อย่าสนใจพวกเธอ…” เสียงเรียบเฉยของซูหยางดังมาขณะที่เขาเข้าไปในบ้าน


 


หวังชูเหรินแค่นเสียงเย็นชาก่อนที่จะตามซูหยางเข้าไปในบ้าน


 


“เธอเป็นใครกัน รู้ไหม”


 


เหล่าศิษย์หญิงต่างพากันถามอีกฝ่าย


 


“ใครจะรู้…แต่เธอมีกลิ่นหอมรุนแรงมาก…บางทีอาจจะเป็นคนสำคัญ”


 


เหล่าศิษย์ที่นั่นต่างพากันกลับคืนสู่การพูดจาของพวกเธออย่างรวดเร็วขณะที่รอให้ถึงตาของพวกเธออยู่กับซูหยาง


DC บทที่ 272: การลงโทษ


 


ยามเมื่อพวกเขาเข้าไปในบ้านแล้ว หวังชูเหรินก็กล่าวว่า “เจ้าเป็นคนอันตรายจริงๆ หึ”


 


ซูหยางยิ้ม


 


“เจ้ามาที่นี่เพื่อที่จะพูดเพียงคำนี้รึ”


 


“หรือเจ้าจะมีความสุขมากกว่าถ้าข้าพูดว่าข้ากังวลเรื่องเจ้าหลังจากที่ได้ยินว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่”


 


“อะไรที่เจ้าได้ยินมา นอกจากพวกศิษย์เหล่านั้นจากไป ก็เกือบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง”


 


หวังชูเหรินพลันเงียบลงไปชั่วขณะก่อนที่จะถามว่า “จอมยุทธลึกลับนั้นที่ช่วยนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย…เจ้ามีความสัมพันธ์กับเขาหรือไม่”


 


“อะไรที่ทำให้เจ้าคิดเช่นนั้น”


 


“ถ้าเจ้ามีอาจารย์จากทวีปศักดิ์สิทธิ์กลาง มันก็จะค่อนข้างสมเหตุผลว่าทำไมเจ้าจึงมีประสบการณ์มากเช่นนั้นแม้ว่าจะอยู่ในวัยเยาว์…บางที”


 


“นั่นเป็นสิ่งที่ผู้นำนิกายของข้าพูดรึ ว่าเขามาจากทวีปศักดิ์สิทธิ์กลาง”


 


แม้ว่าเขาไม่ได้คาดคิดว่าการปลอมแปลงจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับทวีปศักดิ์สิทธิ์กลาง เขาก็ไม่ประหลาดใจที่โหลวหลานจีได้ข้อสรุปเช่นนั้น


 


“เธอพูดผิดรึ” หวังชูเหรินเลิกคิ้ว


 


ซูหยางยักไหล่กล่าวว่า “ข้ามิทราบในเมื่อข้ามิได้มีความสัมพันธ์ใดกับเขา”


 


หวังชูเหรินจ้องมองเขาด้วยดวงตาแสดงความสงสัย


 


หลังจากเงียบไปชั่วขณะ ซูหยางก็พูดขึ้นว่า “มีอะไรที่เจ้าต้องการพูดก่อนที่ข้าจักกลับไปฝึกฝนวิชาหรือไม่ การแข่งขันระดับภูมิภาคเหลืออีกไม่กี่เดือนเท่านั้น ดังนั้นข้ามิอาจเสียเวลามาผ่อนคลาย”


 


ซูหยางพูดด้วยน้ำเสียงราวกับว่าเขาจะต้องพบกับหายนะระหว่างการแข่งขันระดับภูมิภาคหากเขาไม่ฝึกวิชา


 


“อะไรกัน นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจักเข้าร่วมการแข่งขันระดับภูมิภาครึ”


 


หวังชูเหรินมีท่าทางประหลาดใจ


 


“แน่นอน ทำไมเราจึงมิเข้าร่วมล่ะ”


 


“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมีศิษย์มากพอที่จะเข้าร่วมรึ ถ้าข้านึกดูแล้วเจ้าต้องการอย่างต่ำ 10 คนที่มีคุณสมบัติสำหรับกิจกรรมนี้”


 


“เรามี”


 


“…”


 


หวังชูเหรินจ้องมองซูหยางชั่วขณะก่อนที่จะถามว่า “และจากการฝึกคู่รึ เจ้าหมายถึงการเล่นกับเด็กสาวข้างนอกเหล่านั้นนะรึ”


 


เสียงของเธอฟังดูเหมือนแข็งกระด้าง ราวกับว่าเธอไม่เห็นด้วยกับวิธีเช่นนั้น


 


ซูหยางยิ้มและกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยปกติเป็นสถานที่แบบนั้นอยู่แล้ว”


 


“ช่างน่าด้านนัก..”


 


“มิใช่ว่าเจ้ารู้อยู่แล้วนับตั้งแต่เราพบกันครั้งแรกรึ เจ้าจำข้าว่าเป็นศิษย์จากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้ในทันที หลังจากนั้น”


 


“เอ้อ นั่นก็จริง…แต่…”


 


หวังชูเหรินเงียบไป และหลังจากนั้นชั่วขณะเธอก็ถามว่า “นานเท่าไหร่…ปกติแล้วมันใช้เวลานานเท่าไหร่”


 


“อะไรที่ใช้เวลานานเท่าไหร่” ซูหยางแสร้งทำเป็นว่าไม่เข้าใจคำถามของเธอ


 


“เจ้าก็รู้ ฝึกวิชาไง”


 


“หือ เจ้าสนใจรึ”


 


ใบหน้าหวังชูเหรินแดงขึ้นสามารถสังเกตเห็นได้


 


“เออ กิจกรรมแต่ละครั้งแตกต่างกันไปขึ้นกับคู่ฝึกของข้า กล่าวไปแล้วส่วนใหญ่คนที่นี่มิอาจอยู่ได้เกินครึ่งชั่วโมง”


 


ซูหยางส่ายหน้า อย่างไรก็ตามการขาดคุณภาพนั้นสามารถทดแทนได้ด้วยปริมาณ แม้ว่ากิจกรรมที่เขามีกับเหล่าศิษย์นั้นสั้น แต่ก็ปกติแล้วจะมีคนรอเขาด้านนอกอยู่แล้ว


 


“เจ้าโอ้อวดเกินไปหรือเปล่า” หวังชูเหรินมองดูเขาด้วยท่าทางแปลกประหลาด


 


“ข้าก็พูดไปตามความเป็นจริง ถ้าเจ้าต้องการ ข้าสามารถแสดงให้เจ้าเห็นได้” เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม


 


“เจ้าถามข้าเช่นนั้นอย่างจริงจังเลยรึ ถ้าเจ้ามิรู้ ข้ายังบริสุทธิ์อยู่นะ”


 


“จริงรึ ทั้งที่เจ้ามักจะสวมเสื้อผ้าทรงเสน่ห์แบบนั้นนะรึ ข้ามิคาดว่าเจ้ายังคงเป็นหญิงพรหมจรรย์อยู่”


 


ซูหยางทำท่าประหลาดใจราวกับว่าเขาไม่อยากเชื่อ


 


“เจ้าล้อเลียนข้ารึ” หวังชูเหรินขมวดคิ้ว “เพียงเพราะข้าต้องการดึงดูดสายตาคนอื่นมิได้หมายความว่าข้าพยายามจับพวกเขา”


 


“ข้าเพียงชื่นชมเจ้าว่ามีเสน่ห์ของหญิงสาว”


 


ซูหยางถอนใจ


 


“โอ…เป็นอย่างนั้นรึ”


 


หวังชูเหรินพลันหน้าแดง เธอไม่คิดว่าซูหยางจะชมเธอแบบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปกติแล้วเขามักจะวางเฉยต่อเธอ ราวกับว่าเขาไม่ได้มองเธอเป็นหญิงซึ่งสร้างความรู้สึกแปลกๆให้กับเธอ


 


หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะหวังชูเหรินถอนหายใจลึกก่อนที่จะพูดว่า “ซูหยางเจ้าจำสิ่งที่เจ้าพูดกับข้าก่อนที่เจ้าจะจากนิกายดอกบัวเพลิงได้หรือไม่”


 


ซูหยางเลิกคิ้วด้วยท่าทางสงสัย เขาได้กล่าวอะไรไว้กับเธอรึ เขาจำเหตุผลอันแปลกประหลาดนั้นไม่ได้


 


หวังชูเหรินกำมือทั้งสองข้างของเธอแน่น ขณะที่เธอพูดขึ้นว่า “ที่ว่าเจ้าจักลงโทษข้าถ้าข้าหย่อนยานการฝึกฝน เอ้อ…บอกเจ้าตามตรง ข้าได้หย่อนยาน…เป็นอย่างมาก…”


 


ซูหยางจ้องเธอด้วยดวงตาเบิกกว้าง เขาไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดีในเวลานี้ ในเมื่อเขาไม่ได้คาดคิดถึงสถานการณ์นี้


 


“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” ซูหยางพลันระเบิดเสียงหัวเราะในเมื่อเขาไม่อาจกลั้นหัวเราะต่อไปไหว


 


หวังชูเหรินใบหน้าพลันแดงก่ำ เช่นเดียวกับชุดของเธอที่บ่งบอกถึงเพลิงที่ลุกไหม้ แน่นอนว่าเธอได้ฝึกฝนอย่างขยันขันแข็งทุกวันและสิ่งที่เธอพูดนั้นเป็นคำโกหก อย่างไรก็ตามเธอต้องการใช้โอกาสนี้ชักนำความสัมพันธ์ของพวกเขาไปอีกขั้น บางสิ่งที่เธอได้คิดมานับตั้งแต่ซูหยางปรากฏตัวที่นิกายดอกบัวเพลิงและเธอคิดว่านี่เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการเร่งรัดความปรารถนาปัจจุบันของเธอ


 


และดูเหมือนว่าวิธีแปลกประหลาดของหวังชูเหรินอาจจะเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพชัดเจนในการส่งเจตนาของเธอไปยังซูหยาง


 


“หยุดหัวเราะแล้วพูดอะไรบางอย่างได้แล้ว ซูหยาง ข้าจักจากไปเดี๋ยวนี้ถ้าเจ้ายังมิหยุด”


 


หวังชูเหรินรู้สึกเหมือนอยากจะผลักประตูออกไปในเวลานี้เนื่องจากความอาย


 


ซูหยางปาดน้ำตาออกและพูดว่า “เจ้าต้องการข้าให้ลงโทษเจ้ารึ หึ ก็ได้…”


 


เขาพลันยืนขึ้นและตรงเข้าไปหาเธอ


 


“การลงโทษประเภทไหนที่เจ้าคิดว่าสมควรได้รับในสถานการณ์เช่นนี้” เขาถามเธอ


 


“ข-ข้ามิรู้—”


 


ซูหยางพลันขยับหน้าตรงไปและสัมผัสริมฝีปากเธอด้วยปากของเขา ขณะที่เธออ้าปากเพื่อจะพูด


 


หลังจากที่จูบแบบนิ่มนวลให้กับเธอแล้ว ซูหยางก็ก้าวถอยออกมาและพูดด้วยรอยยิ้มหล่อเหลาบนใบหน้าว่า “บางอย่างเช่นนี้”


 


หวังชูเหรินไม่ได้ตอบสนองทั้งที่เวลาผ่านไปแล้วหลายวินาที ด้วยว่าเธอตะลึงงันไปอย่างสมบูรณ์แบบกับการกระทำของซูหยางก่อนนี้


 


“หรือว่านั่นเป็นการลงโทษที่เบาเกินไป บางทีข้าควรทำบางอย่างที่น่าหวาดกลัวต่อเจ้า บางอย่างที่ไม่สามารถย้อนคืนได้ เจ้าคิดว่าอย่างไร” เขาถามเธออีกครั้ง มือของเขาค่อยลูบไล้อย่างนุ่มนวลไปบนใบหน้าเนียนเรียบของเธอ


 


หวังชูเหรินร่างกายสั่นสะท้านกับการสัมผัสของเขา


 


“อะไรก็ตามที่เจ้าตัดสินใจทำ…ข้าสมควรได้รับ…” หวังชูเหรินพูดหลังจากที่กล้ำกลืนน้ำลาย


 


ซูหยางพยักหน้าและเริ่มยื่นมือไปยังเสื้อผ้าของเธอ


DC บทที่ 273: ลงโทษหวังชูเหริน


 


ครั้นเมื่อมือของซูหยางไปถึงสายรัดเอวที่ผูกเสื้อคลุมของหวังชูเหรินไว้ เขาก็ค่อยดึงมันออกอย่างช้าๆจนทำให้เสื้อคลุมเปลวเพลิงร่วงหล่นลงสู่พื้น


 


หวังชูเหรินหน้าแดงเมื่อเธอเห็นสายตาของซูหยางจ้องไปยังร่างของเธออย่างตั้งใจ อย่างไรก็ตามน่าแปลกเป็นอย่างยิ่งที่เธอไม่รู้สึกอึดอัดแต่อย่างไร ไม่เหมือนกับสายตาสกปรกหื่นกระหายของผู้คนที่มองมายังเธอตามปกติ สายตาของซูหยางเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและรักใคร่ เป็นความรู้สึกสบายอย่างแท้จริงจนทำให้ร่างกายของเธอรู้สึกอบอุ่น


 


“ซ-ซูหยาง…”


 


หวังชูเหรินมองดูเขาด้วยสายตากระวนกระวายเล็กน้อย ดูเหมือนว่ากังวลเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น ในเมื่อเธอไม่ได้คาดว่าจะได้ผลลัพธ์เช่นนี้นับตั้งแต่แรก


 


“อย่ากังวล ข้าจักนำพาเจ้า..และร่างกายเจ้าเอง”


 


ซูหยางพูดขณะที่เขาดึงเธอไปสู่เตียง


 


หวังชูเหรินนอนลงบนเตียงพร้อมกับชุดชั้นในสีดำเรียบ เสริมความงามเต็มสาวของเธอมากยิ่งขึ้น


 


“ถ้านี่ใช้เวลานานเกินไป คนของข้าจักต้องมีข้อสงสัย…”


 


หวังชูเหรินพลันกล่าวกับเขา


 


ซูหยางพยักหน้าและทำการเอาเอี้ยมสีดำที่ปกปิดเต้าใหญ่ของเธอออก


 


ครั้นเมื่อนำออกแล้วถันสวยคู่ใหญ่สีอ่อนจางพร้อมกับปลายถันสีชมพูน่ารักก็เผยออกมาต่อหน้าซูหยาง ซึ่งใช้ดวงตาลิ้มลองมันในทันที


 


จากคู่รักทุกคนในโลกใบนี้ของเขา ไม่ว่าจะเป็นอกหรือตะโพก หวังชูเหรินถือว่าเป็นคนที่มีสัดส่วนใหญ่ที่สุด อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าจะมีขนาดใหญ่เช่นนั้น เธอก็ยังคงความสง่างามอีกทั้งร่างกายของเธอก็ยังแบบบางและสูง เกือบเหมือนกับนาฬิกาทราย


 


บ้าแล้วกระทั่งในสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ นั่นก็ยังมีไม่มากนักสำหรับคนที่เขารู้จักที่สามารถเบียดหวังชูเหรินในเรื่องของขนาดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสองแตงบนอกของเธอ


 


“ขอล่วงเกินแล้ว…”


 


ต้องการจะรู้รสแตงของเธอ ซูหยางวางปากของเขาไปบนเต้าของหวังชูเหรินอย่างรวดเร็วแต่นุ่มนวล ก่อนที่จะใช้ลิ้นของเขาหยอกล้อกับปลายถันที่แข็งตัว


 


“อา”


 


หวังชูเหรินส่งเสียงครวญครางขณะที่ความรู้สึกพ้นโลกโอบล้อมทั่วทั้งกายเธออย่างรวดเร็ว


 


หลังจากหยอกล้อกับอกของหวังชูเหรินต่อไปอีกชั่วขณะ ซูหยางพลันเลื่อนมือของเขาไปยังชั้นในที่ปกปิดห้องสมบัติของหวังชูเหรินไว้


 


เขาพลันใช้นิ้วของเขาโลมไล้กลีบดอกไม้ที่เปียกโชกในขณะที่ยังคงดูดดื่มกับอกของเธอ จนทำให้หวังชูเหรินร้องครวญครางดังยิ่งขึ้น


 


“อา…อาาา….อาาาาาาา”


 


หวังชูเหรินรู้สึกสุขสบายอย่างบอกไม่ถูกในเวลานี้ และทั้งหัวใจและจิตใจของเธอก็เติมเต็มไปด้วยความหื่นกระหาย


 


“ซ-ซูหยาง…”


 


หวังชูเหรินจ้องมองไปยังใบหน้าหล่อเหลาของซูหยางด้วยดวงตาเปี่ยมเสน่หา เธอไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับใครคนใดมาก่อน อย่าว่าแต่เด็กหนุ่มที่มีอายุเพียงครึ่งของเธอ ส่วนความกระวนกระวายของเธอนั้นมันหายไปนานแล้วโดยที่เธอไม่รู้สึกตัว


 


เวลาต่อจากนั้น ซูหยางก็ดึงมือของเขาออกจากชั้นในของหวังชูเหริน และปราณหยินของเธอก็หยดหยาดไปทั่วเตียงจากมือของเขา


 


คิดถึงสิ่งที่ซูหยางทำไป หวังชูเหรินก็ใช้โอกาสนี้พักหายใจจากการครวญครางทั้งหมด แต่ก่อนที่เธอจะทันได้พักนานอีกสองสามวินาที มือของซูหยางก็ได้ดึงเอาชั้นในชิ้นสุดท้ายที่ป้องกันเธอไม่ให้เปลือยอย่างสมบูรณ์ทิ้งไป


 


ยามเมื่อชั้นในชิ้นสุดท้ายถูกถอดออกไปจากร่างของหวังชูเหริน ซูหยางก็กางขาของเธอออกและเลื่อนปากของเขาไปยังน้องสาวตัวน้อยที่เปียกโชก


 


ซูหยางจูบลงไปบนร่องที่ชุ่มโชกก่อนที่จะรุกล้ำเข้าไปในถ้ำของหวังชูเหรินด้วยลิ้นที่คล้ายกับงู


 


“อาาาาาา”


 


น้ำหวานไหลหลั่งอย่างต่อเนื่องออกมาจากกายส่วนล่างของหวังชูเหรินขณะที่เธอกำลังร่ำร้องเสียงดัง และเธอก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีกระแสไฟฟ้าเต้นระริกอยู่ในเลือดเนื้อ ซึ่งเป็นเหตุให้ร่างกายของเธอสั่นสะท้านไปด้วยความสุข


 


หลังจากที่ซูหยางพึงพอใจกับรสชาติของปราณหยินของหวังชูเหรินแล้ว เขาก็เริ่มถอดเสื้อคลุมของตนเอง


 


หวังชูเหรินลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆเมื่อเธอได้ยินเสียงเสื้อผ้าของซูหยางตกลงสู่พื้น แม้ว่าใจเธอยังคงรู้สึกแปลกและยุ่งเหยิงหลังจากที่ได้ลิ้มลองลิ้นของซูหยาง เธอจำสิ่งที่อยู่ระหว่างขาของซูหยางที่คล้ายกับกระบี่ที่ชี้ตรงสู่สวรรค์ได้ในทันที


 


“ใหญ่จัง…”


 


หวังชูเหรินอ้าปากค้างด้วยความตระหนก


 


“ของที่ใหญ่เช่นนี้จักเข้าไปในร่างของข้างั้นรึ มันจักพอดีหรือไม่” เธออดที่จะครุ่นคิดอยู่ในใจไม่ได้ ทั้งรู้สึกหวาดกลัวอยู่เล็กน้อย


 


ซูหยางไม่ได้ทิ่มแทงหวังชูเหรินในทันที แต่กลับให้เวลาเธอได้พักชั่วขณะ


 


“เจ้ามั่นใจหรือไม่ว่าต้องการเช่นนี้” ซูหยางพลันถามเธอ “ยังมิสายเกินไปที่จะทบทวน”


 


“ทำไมเจ้าจึงมาพูดเอาป่านนี้เมื่อเจ้าได้ทำให้กายของข้าสกปรกจนถึงระดับนี้…”


 


“สกปรก… นั่นเป็นวิธีอธิบายที่รุนแรงมาก”


 


หวังชูเหรินหัวเราะคิกคักและกล่าวว่า “ในเมื่อเรามาถึงจุดนี้แล้ว ถ้าเรามิก้าวต่อไป นั่นเพียงทำให้ข้ายากจะเผชิญหน้าเจ้าในอนาคตยิ่งกว่าเดิม”


 


ซูหยางเงียบไปชั่วขณะก่อนที่จะพูดว่า “ข้าทำเช่นนี้เพราะ—”


 


“มิเป็นไร เจ้ามิต้องพูดอะไรอีก”


 


หวังชูเหรินพลันยับยั้งเขาไว้พร้อมกับส่ายหน้า


 


“ข้ารู้ดีว่าข้ามิอาจเก็บเจ้าไว้เป็นส่วนตัวได้แม้ว่าข้ายอมมอบกายให้กับเจ้า ทั้งมิได้คาดว่าจะได้อะไรจากสิ่งนี้ ในเมื่อนี่เป็นวิถีชีวิตของเจ้าและยุทธภพ”


 


หวังชูเหรินทำการกางขาของเธอออกและพูดต่อว่า “ข้าเพียงหวังว่าเจ้าจักไม่ลืมข้า…เพียงเท่านั้น”


 


หวังชูเหรินมั่นใจว่าซูหยางจะต้องมุ่งสู่โลกที่คนเช่นเธอไม่มีคุณสมบัติที่จะอยู่ในอนาคตไม่ไกลนัก และมีโอกาสสูงที่เขาอาจจะลืมว่าเคยมีเธออยู่ อย่างไรก็ตามถ้ามีวิธีสำหรับเธอในการที่จะคงอยู่ในความทรงจำของเขายามเมื่อเขากลายเป็นตัวตนที่สามารถมองดูได้จากที่ห่างไกล เช่นนั้นเธอก็ยินดีที่จะทำทุกสิ่ง กระทั่งยกแก่นพลังหยินให้กับเขา


 


“เช่นนั้นรึ…”


 


ซูหยางพยักหน้าเรียบเฉย และเขาก็ทำการตรงเข้าไปหาร่างเปี่ยมไฟเสน่หาของหวังชูเหรินพร้อมกับแท่งแกร่ง


 


“อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าเจ้ายังประเมินข้าต่ำไป…”


 


เขาพลันพูดขึ้น ทำให้หวังชูเหรินจ้องมองเขาด้วยท่าทางงงงัน


 


“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร ครั้นเมื่อร่างของเราได้เชื่อมโยงกันแล้ว เจ้าจักดำรงอยู่ในใจของข้าเสมอ ดังนั้นปกติการลืมเจ้านั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แม้ว่าข้ามิได้ยอมรับเจ้าอย่างเต็มที่ในตอนนี้เพราะว่าเหตุผลอันซับซ้อน ข้าก็จักมิทอดทิ้งเจ้า ถ้าเจ้ายินดีที่จะติดตามข้าเมื่อเวลามาถึง แม้ว่าข้าจะยังมีข้อบกพร่องแต่ข้าย่อมยินดีพาเจ้าไปด้วยทุกที่ที่ข้าไป”


 


ดวงตาของหวังชูเหรินกว้างขึ้นด้วยความตระหนกหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา เธอตกตะลึงจนไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองอย่างไรและเพียงได้แต่จ้องมองเขาอย่างเงียบงัน


 


“และจากคำกล่าวนั้น ก็ถึงเวลาลงโทษเจ้าอย่างแท้จริงจะได้เริ่มต้น…”


 


ซูหยางกล่าวขณะที่เขาดันปลายแท่งเข้าไปในถ้ำอันคับแน่นของหวังชูเหริน จนทำให้ความรู้สึกอันลึกล้ำรุกเร้าร่างของเธอ


 


เมื่อรู้สึกได้ว่ากลีบร่องช่วงล่างของเธอเริ่มแยกออกจากกันรวมถึงความเจ็บปวดที่มาพร้อมกัน หวังชูเหรินก็ลืมเรื่องที่พวกเขาได้สนทนากันไปก่อนหน้านี้อย่างรวดเร็วและได้เพียงใส่ใจกับสถานการณ์เบื้องหน้า


 


อย่างไรก็ตามใจเธอไม่อาจคิดเกี่ยวกับอะไรได้นอกจากความรู้สึกที่แท่งหยาบของซูหยางฉีกร่องพรหมจรรย์ของเธอออกขณะที่มันดิ่งลึกเข้าไปเรื่อยๆในร่างของเธอ


 


“อาาาา”


 


หวังชูเหรินกัดริมฝีปากพยายามที่จะต้านความเจ็บปวด


 


สองสามวินาทีหลังจากนั้น ครั้นเมื่อแก่นกายของซูหยางฝังมิดในร่องของเธอและความเจ็บปวดค่อยเลือนหายไปนั้น หวังชูเหรินก็ปาดเหงื่อออกจากหน้าผากและถอนหายใจโล่งอก


 


“มันยังเร็วเกินไปที่จะโล่งอก”


 


ซูหยางพลันกล่าวขึ้นพร้อมกับฉีกยิ้มบนใบหน้า


 


“เอ๋”


 


หวังชูเหรินมองดูเขาด้วยใบหน้ามึนงง


 


ในเวลานั้นที่ซูหยางเริ่มขยับตะโพก ดึงแก่นกายใหญ่ออกและดันเข้าไปในร่างของหวังชูเหริน


 


รู้สึกได้ถึงแท่งหยาบของซูหยางถูไถไปในรูของเธอทั้งความรู้สึกอันรุ่มร้อน หวังชูเหรินพลันร้องครวญครางอย่างบ้าคลั่ง


 


“อาา”


 


“อาาา”


 


“อาาาาาาาา”


 


จากนั้นกิจกรรมร่วมฝึกคู่อย่างแท้จริงของพวกเขาก็ได้เริ่มต้นขึ้น


DC บทที่ 274: บางสิ่งผิดปกติกับเธอ(18)


 


ยามเมื่อซูหยางทิ่มตำร่างของหวังซูเหริน อกโอฬารของเธอก็ส่ายไหวอย่างดุเดือดไปกับทุกการทิ่มแทง


 


“อาาาาา”


 


หวังชูเหรินร้องครวญครางเสียงดังขณะที่เธอกอดคอซูหยางแน่นด้วยแขนเรียวยาวของเธอ รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังบ้าคลั่งไปกับความสุขสมที่รุกรานร่างเร่าร้อนของเธอ


 


“อีก…ข้าต้องการรู้สึกถึงความอบอุ่นของเจ้ามากกว่านี้ ซูหยาง”


 


ซูหยางได้ยินคำอ้อนวอนของหวังชูเหรินจึงกอดร่างของเธอไว้ สัมผัสถึงความรู้สึกอันอ่อนนุ่มและอบอุ่นที่ทาบทับกับอกของเขา


 


มันเป็นความรู้สึกที่แปลกล้ำและเมื่อรวมกับความรู้สึกคับแน่นบีบรัดต่อน้องชายของเขา ทำให้ซูหยางรู้สึกเหมือนกับว่าเขาอยู่ในสวรรค์


 


อย่างไรก็ตามเพราะว่าเขาไม่ต้องการให้หวังชูเหรินสูญเสียความสามารถในการเดินเป็นปกติหลังจากนี้ เขาจึงยับยั้งกลเม็ดของเขาเอาไว้และร่วมฝึกคู่กับเธออย่าง “ปกติ”


 


ดังนั้นหลังจากที่ร่วมฝึกคู่กับหวังชูเหรินเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วซูหยางก็พูดว่า “ข้ากำลังจะปลดปล่อยแล้วนะ”


 


“ท-ทำข้างในเลย…”


 


หวังชูเหรินกล่าว


 


ถึงแม้ว่าเธอไม่ได้มีแผนที่จะตั้งท้องในวันนี้ แต่เธอก็ต้องการรองรับทุกสิ่งที่ซูหยางเสนอให้ และตราบเท่าที่เธอกลืนยาที่ป้องกันการตั้งครรภ์ภายในห้าวันหลังจากที่ได้รับปราณหยางของเขา เธอก็จะไม่ตั้งท้อง


 


ซูหยางพยักหน้าและเริ่มทิ่มตำเร็วขึ้นและแรงขึ้น


 


“อาาา”


 


“อาาาาาา”


 


ไม่นานหลังจากนั้น ซูหยางก็หยุดการอั้นน้องชายไว้และเติมเต็มช่องหลืบของหวังชูเหรินด้วยปราณหยาง


 


“อาาาาาาาาาาาา”


 


หวังชูเหรินก็ถึงจุดสุดยอดเช่นกัน แต่แน่นอนว่านี่ไม่ใช่การถึงครั้งแรกของเธอวันนี้


 


“ฮาา… ฮาาาา… ฮาาาาา…”


 


หวังชูเหรินใช้เวลานานพอควรในการปรับลมหายใจของเธอหลังจากนั้น


 


ซูหยางถอนแก่นกายออกจากร่องหลืบของหวังชูเหรินและคลุมร่างของเขาไว้ด้วยเสื้อคลุมอีกครั้ง


 


หลังจากที่พักผ่อนไปสองสามนาที หวังชูเหรินก็สวมชุดชั้นในและเสื้อคลุมของเธอเช่นกันเพื่อเตรียมตัวจากไป


 


“ซูหยาง…ข้ากลับมาอีกเพื่อที่จะ…เจ้าก็รู้” เธอถามเขาด้วยรอยยิ้มเอียงอาย


 


“ข้าจักมิออมมือให้ในคราวหน้าถ้าเจ้ามา” เขาตอบด้วยรอยยิ้ม


 


ถ้าเขาไม่ออมมือให้เธอ หวังชูเหรินคงจะไม่สามารถยืนขึ้นได้ในตอนนี้ อย่าว่าแต่จะมีความสามารถในการเดิน


 


“เช่นนั้น ข้าจักมาพบเจ้าอีกครั้ง”


 


หวังชูเหรินออกไปจากที่นั้นและกลับไปยังที่เหล่าศิษย์ร่วมสำนักของเธอได้รอหลังจากนั้นไม่กี่นาที


 



 



 



 


เมื่อผู้อาวุโสสูงสุดหานสังเกตเห็นร่างของหวังชูเหริน เขาพลันทักเธอทันที “ผู้อาวุโสหวัง ในที่สุดเจ้าก็กลับมา ข้าเบื่อที่จะรอแล้ว”


 


“หือออ”


 


ผู้อาวุโสสูงสุดหานพลันหรี่ตามองหวังชูเหริน เขารู้สึกว่ามีอะไรผิดแปลกไปจากเธอตอนนี้ บางอย่างที่ไม่เคยมีตอนก่อนจากไป


 


มันเหมือนกับว่าเธอได้เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นกว่าเดิมอีกเล็กน้อย แต่ความรู้สึกเช่นนั้นไม่สมเหตุผลสำหรับผู้อาวุโสสูงสุดหาน


 


คนอื่นๆก็สังเกตเห็นได้เช่นกัน แต่พวกเขาไม่มีใครสามารถชี้ชัดได้ว่าทำไมพวกเขาจึงรู้สึกเช่นนี้จากเธอ ไม่มีใครในนั้นยกเว้นโหลวหลานจี


 


เมื่อโหลวหลานจีเห็นหวังชูเหรินครั้งแรกหลังจากที่อีกฝ่ายกลับมา ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างอย่างไม่อยากเชื่อ


 


“ก่อนเธอไปเธอมีกลิ่นอายของสาวบริสุทธิ์ แต่ตอนนี้…มันหายไปแล้ว บ้าแล้ว ข้ายังกระทั่งรู้สึกถึงปราณหยางของซูหยางและได้กลิ่นตัวเขาจากร่างของเธอ” เธอคิดในใจ


 


แม้ว่ากระทั่งผู้ที่มีความเฉียบแหลมดังเช่นผู้อาวุโสสูงสุดหานก็ยังไม่สามารถสังเกตเห็นรายละเอียดเช่นนี้ แต่ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในเรื่องเหล่านี้ เหตุใดโหลวหลานจีจะพลาดไปได้ ตามจริงแล้วเธอสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในบรรยากาศรอบตัวของหวังชูเหรินเพียงแค่เหลือบมองเท่านั้น อย่างไรก็ตามการได้รับรู้เช่นนี้กลับเพียงยิ่งสร้างความตระหนกให้กับเธอยิ่งขึ้น


 


“ซูหยางคนนี้…ถึงกลับกล้าเด็ดแก่นพลังหยินของหวังชูเหริน”


 


ถ้าพูดถึงด้านฐานะ หวังชูเหรินค่อนข้างต่ำกว่าโหลวหลานจีซึ่งเป็นผู้นำนิกายของทั้งสำนักอยู่เล็กน้อย อย่างไรก็ตามในด้านของชื่อเสียงและความสำคัญ หวังชูเหรินจะเหนือกว่าโหลวหลานจีมากเพราะว่าตัวตนของเธออยู่ในฐานะนักปรุงยารวมถึงโอสถดอกบัวเพลิงของเธอด้วย


 


และการที่ซูหยางสามารถหว่านล้อมคนเช่นนั้นให้ร่วมฝึกคู่กับเขาได้ ยอมกระทั่งมอบครั้งแรกให้กับเขา นั่นไม่ใช่แค่ปาฏิหาริย์ ส่วนการที่ซูหยางสามารถประสบความสำเร็จเช่นนั้นได้นั้น โหลวหลานจีได้แต่นึกจินตนาการ


 


“ข้ามิมีธุระอะไรที่นี่แล้ว ดังนั้นข้าจักขอลาไปก่อนตอนนี้”


 


หวังชูเหรินกล่าวทันทีที่เธอมาถึง


 


“ด-เดี๋ยว…”


 


โหลวหลานจีพลันหยุดเธอไว้


 


อย่างไรก็ตามเพราะโหลวหลานจีได้หยุดหวังชูเหรินโดยไม่ทันได้คิด เธอจึงไม่รู้จริงๆว่าจะพูดอะไรต่อไปจึงได้แต่นิ่งเงียบหลังจากนั้น


 


“มีอะไรรึท่านเจ้านิกาย”


 


หวังชูเหรินหันกายกลับมาถามเธอ


 


“อืม…”


 


หวังชูเหรินหรี่ตาด้วยความสงสัย


 


“หรือว่าเธอจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”


 


หวังชูเหรินครุ่นคิดในใจ รู้สึกกระวนกระวายขึ้นมา


 


“ถ้ามิมากนักข้าอยากขอถามในเมื่อท่านอยู่ที่นี่แล้ว ข้าพอจะสั่งโอสถดอกบัวเพลิงให้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้บ้างหรือไม่”


 


โหลวหลานจีจัดการแต่งเรื่องขึ้นมาหาข้ออ้างที่ไปหยุดอีกฝ่ายไว้


 


กล่าวไปแล้ว การที่มีโอสถดอกบัวเพลิงย่อมให้ประโยชน์แก่พวกเธอย่างมากเช่นกัน


 


ได้ยินคำพูดของเธอหวังชูเหรินรู้สึกโล่งอกขึ้นมา


 


“มากเท่าไหร่ที่ท่านต้องการสั่ง” เธอถามโหลวหลานจี


 


“สักสิบเม็ดโอสถดอกบัวเพลิงจะถือว่ามากเกินไปที่จะขอหรือไม่”


 


“ไม่ นั่นมิมีปัญหาใด”


 


หวังชูเหรินพลันนำเอาถุงมิติของเธอออกมาและหยิบเอาขวดโอสถดอกบัวเพลิงออกมาจากภายในสามขวดและวางมันลงบนโต๊ะด้านข้างเธอ


 


“ทั้งหมดมี 30 เม็ดโอสถดอกบัวเพลิงที่นี่ ให้ท่านฟรี” หวังซูเหรินพูด


 


ไม่เพียงโหลวหลานจีเท่านั้นแต่กระทั่งคนของหวังชูเหรินเองต่างก็พากันตะลึงงันไปกับความใจกว้างของเธอ


 


ปกติแล้วจะไม่ยอมให้ทุกสำนักสั่งได้มากกว่าห้าเม็ดในแต่ละครั้ง แต่เธอกลับยกให้นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย 30 เม็ดโอสถดอกบัวเพลิงในครั้งเดียว และแถมยังฟรีอีกด้วย นั่นดูเหมือนกับว่ามันดีเกินไปที่จะเป็นจริงได้


 


“ข-ขอบคุณ” โหลวหลานจีขอบคุณเธออย่างเร่งรีบในเมื่อไม่คิดว่าจะได้รับผลลัพธ์เช่นนั้น


 


แต่หลังจากที่นึกถึงความสัมพันธ์ระหว่างหวังชูเหรินและซูหยาง การกระทำของเธอดูไม่เป็นการอุกอาจแม้แต่น้อย


 


ส่วนสำหรับคนจากนิกายดอกบัวเพลิง พวกเขาถือว่าหวังชูเหรินใจกว้างเนื่องมาจากความสงสารในสถานการณ์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและไม่ได้คิดมากมายเกินไปในเรื่องนี้ อย่าว่าแต่เม็ดยานี้เป็นของเธอ ดังนั้นพวกเขาไม่มีฐานะอะไรที่จะไปคัดค้านการตัดสินใจของเธอ


 


หลังจากให้โอสถดอกบัวเพลิงกับโหลวหลานจีแล้ว หวังชูเหรินก็ออกจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย


 


อย่างไรก็ตามก่อนที่จะจากไป หวังชูเหรินก็กล่าวกับโหลวหลานจีว่า “ข้าจักกลับมาในภายหลังกับคำสั่งซื้อโอสถดอกบัวเพลิงของท่าน”


 


“เอ๋”


 


โหลวหลานจีจ้องมองหวังชูเหรินด้วยใบหน้าตื่นตะลึงขณะที่อีกฝ่ายออกไปจากที่แห่งนั้น


 


จากนั้นเธอก็มองดูโอสถดอกบัวเพลิงสามสิบเม็ดบนโต๊ะไม่ห่างไปจากตัวเธอนัก


 


“เช่นนั้นแล้วสิ่งนี้เพื่ออะไร” เธอถามตัวเองในใจ


 


หลังจากที่คิดชั่วขณะ เธอก็ยิ้มขื่นขมและส่ายหน้า


 


“เช่นนี้เป็นว่าเจ้าติดกับดักของเจ้าคนอันตรายนั่นละสิ เฮ้อ”


 


แม้ว่าเธอไม่อาจเข้าใจว่าเหตุใดหวังชูเหรินจึงเลือกคนแบบซูหยางเป็นคู่เคียงคนแรก แต่เธอเข้าใจเป็นอย่างดีว่าทำไมหวังชูเหรินจึงต้องการกลับมาอีกครั้ง


 


สุดท้ายแล้วก็เป็นเพราะว่าลึงค์ของเขานั้นดีเกินกว่าที่จะไม่กลับมาอีกครั้ง


 


หลังจากที่หวังชูเหรินและกลุ่มของเธอจากไปแล้ว โหลวหลานจีก็เก็บรักษาโอสถดอกบัวเพลิงไว้ในที่ปลอดภัยก่อนที่จะกลับไปยังศาลาหยินหยาง


 


ส่วนสำหรับซูหยางนั้น เขาก็ง่วนอยู่กับบรรดาศิษย์หญิงที่รอเขาอยู่ด้านนอก


DC บทที่ 275: เขตอัมพรวิญญาณ


 


เวลาสองวันผ่านไปนับตั้งแต่นิกายดอกบัวเพลิงมาเยี่ยมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย


 


ไม่มีสิ่งน่าสนใจใดเกิดขึ้นในสองวันนี้และนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็เงียบดังเช่นปกติ


 


ในวันที่สามก็มีคนคนหนึ่งตรงเข้าไปยังที่พักของซูหยางแต่เช้าตรู่


 


หลังจากที่ใช้เวลาผ่านไปหนึ่งอาทิตย์ในการดูแลเซียวไป่และมั่นใจว่าเธอสบายดีแล้ว สุดท้ายฟางซีหลานก็สามารถปล่อยเซี่ยวไป่ไว้ตามลำพังในห้องได้


 


มีคำถามนับร้อยพันในใจเธอต่อซูหยาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวตนที่เธอรู้สึกได้ระหว่างการรุกรานของนิกายล้านอสรพิษ


 


ครั้นเมื่อเธอไปถึงหน้าประตูที่พักของซูหยาง ฟางซีหลานสูดลมหายใจลึกก่อนที่จะเคาะประตู


 


ไม่นานหลังจากนั้น ร่างหนึ่งก็เปิดประตูต้อนรับฟางซีหลาน


 


อย่างไรก็ตามนั่นไม่ใช่ซูหยางที่แสดงตนที่ประตู แต่กลับเป็นเด็กหญิงตัวเล็กๆในชุดเรียบๆสีขาว


 


ฟางซีหลานเลิกคิ้วเมื่อเห็นเด็กหญิงเล็กๆคนนี้ เธอจำไม่ได้ว่าเคยเห็นอีกฝ่ายมาก่อน


 


“เจ้าต้องการอะไร” เซียวลี่ถามเธอด้วยเสียงเรียบเฉย


 


“ซู…ซูหยางอยู่ข้างในหรือไม่”


 


เซียวลี่พยักหน้า


 


“ข้าขอพบเขาได้ไหม ข้ามาที่นี่เพื่อฝึกวิชา” เธอกล่าว


 


“ตอนนี้นายท่านปิดประตูฝึกฝน เจ้ามิอาจเจอเขาจนกว่าเขาจะฝึกเสร็จ”


 


“อย่างนั้นรึ…เจ้าพอจะบอกให้เขารู้ได้ไหมว่าฟางซีหลานมาที่นี่เพื่อพบกับเขา”


 


ฟางซีหลานหันกายและเริ่มเดินจากไป


 


ในเวลานั้นในใจของฟางซีหลานคิดสงสัยว่าเด็กหญิงตัวน้อยนี้เป็นใคร


 


ทันใดนั้นเธอพลันนึกถึงคำกล่าวของโหลวหลานจีเกี่ยวกับเด็กหญิงตัวน้อยผู้ที่ฆ่าล้างบางผู้คนจากนิกายล้านอสรพิษ


 


“เธอคงมิใช่เด็กหญิงตัวเล็กที่ผู้นำนิกายพูดถึงใช่ไหม”


 


ฟางซีหลานร่างสั่นสะท้านเมื่อเธอตระหนักว่าเป็นไปได้สูงมากที่เด็กหญิงตัวเล็กที่ฆ่าคนนิกายล้านอสรพิษอาจจะอยู่ในที่พักของซูหยางในเวลานี้


 


อย่างไรก็ตามเธอก็ยังคงรู้สึกโล่งใจที่มีจอมยุทธที่ทรงอำนาจมากอาศัยอยู่ในนิกายในตอนนี้ เพราะว่านั่นจะทำให้เธอรู้สึกปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาเช่นนี้


 


“เธอยังเรียกเขาว่านายท่านด้วย…”


 


ฟางซีหลานไม่สามารถจินตนาการได้ว่าซูหยางไปพบจอมยุทธที่ทรงอำนาจเช่นนี้ได้อย่างไร อย่าว่าแต่กลายเป็นนายท่านของเธอด้วย


 


กล่าวไปแล้วบางทีเด็กหญิงตัวเล็กคนนี้อาจจะเป็นเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้ซูหยางเข้าถึงเขตปฐพีวิญญาณขณะที่อายุยังเยาว์วัย


 


ในเวลานั้นซูหยางอยู่ในขั้นตอนของการก้าวข้ามไปสู่เขตอัมพรวิญญาณ


 


หลังจากที่ดูดซับแก่นพลังหยินของหวังชูเหรินแล้ว บางอย่างที่เขาไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นในเร็วนี้นั่นคือพลังการฝึกปรือของเขาพุ่งทะยานอย่างรวดเร็วยอมให้เขาเข้าสู่เขตอัมพรวิญญาณโดยไม่มีความยากลำบาก


 


ซูหยางนั่งอยู่ภายในห้องของตนเองและฝึกฝนอย่างเงียบๆมาทั้งวัน


 


แม้ว่าจะมั่นใจว่าเขาไม่ต้องใช้เวลาทั้งวันในการก้าวผ่านเข้าสู่เขตอัมพรวิญญาณ แต่เขาก็ต้องการทำมันไปช้าๆอย่างสมบูรณ์แบบเพื่อที่จะได้ไม่มีจุดด่างพร้อยในรากฐานของเขา


 


แม้ว่าเขตอัมพรวิญญาณไม่ได้มีอะไรพิเศษและก็ไม่ใช่ครึ่งทางสู่จุดสูงสุด แต่มันก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของผู้ฝึกยุทธที่มาถึงระดับนี้ ในเมื่อระดับนี้ผู้ฝึกยุทธจะถือว่าเป็นการเข้าสู่ยุทธภพอย่างแท้จริง กลายเป็นผู้ฝึกยุทธอย่างแท้จริง


 


ในสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ ถ้าเจ้าอยู่ต่ำกว่าเขตอัมพรวิญญาณ ก็จะไม่มีใครนับเจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธแต่เป็นเพียงแค่คนธรรมดาที่มีความแข็งแกร่งและความเร็วที่ค่อนข้างพิเศษเล็กน้อย ซึ่งหากอยู่ในเขตอัมพรวิญญาณคนคนนั้นก็จะตระหนักได้ว่าปราณไร้ลักษณ์ของตนได้ใช้ประโยชน์เต็มที่แล้ว


 


สิ้นสุดวันและการฝึกวิชา ซูหยางลืมตาขึ้นเผยให้เห็นถึงอัญมณีอันสุกสว่างลึกล้ำที่เป็นประกายไม่รู้จบราวกับบรรจุไว้ด้วยดวงดารานับไม่ถ้วน


 


ซูหยางถอนหายใจลึกและครุ่นคิดในใจ “สุดท้ายข้าก็เข้าสู่เขตอัมพรวิญญาณ แต่ถ้าข้ากลับไปสู่สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ในตอนนี้ ข้าต้องตายโดยมิทันได้รู้ตัวแน่นอน”


 


แม้ว่าเขาจะมีทางเลือกที่จะกลับไปสู่สวรรค์ศักดิ์ตอนนี้ และถึงแม้ว่าเขาอยากกลับไปมากเพียงใดก็ตาม ซูหยางก็ได้แต่ยับยั้งความคิดเช่นนั้นจนกว่าเขาจะมีความมั่นใจในความสามารถของตัวเองในการปกป้องตัวเอง


 


เพราะว่าถ้าเขากลับสู่สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ในสภาพปัจจุบัน มีโอกาสสูงที่เขาอาจตายจากเพียงแค่การเข้าไปใกล้การต่อสู้ระหว่างผู้ฝึกยุทธเขตศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังไม่ได้กล่าวถึงสิ่งมีชีวิตอันตรายนับไม่ถ้วนและธรรมชาติที่ไม่อาจคาดเดาได้ที่พบเห็นเป็นปกติในที่นั้น


 


“เขตราชันย์วิญญาณ…ไม่ ข้าควรจะรับไหวหากไปได้ถึงระดับสูงสุดของเขตอัมพรวิญญาณ”


 


ในขณะนี้ซูหยางตัดสินใจที่จะใช้ระดับสูงสุดของเขตอัมพรวิญญาณเป็นเป้าหมายก่อนที่จะกลับคืนสู่สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ ถ้าเขาพบวิธีกลับไปก่อนนั้น เขาก็จะยังคงอยู่ในโลกแห่งนี้และฝึกฝนจนกว่าเขาจะพร้อม


 


อย่างไรก็ตามสถานการณ์ตามอุดมคติแบบนั้นเป็นบางอย่างที่อาจจะใช้ได้เพียงถ้าพวกเขามีเวลามากมายพอที่จะนั่งลงรอคอย ถ้าวิธีกลับบ้านไม่อาจรอพวกเขาได้ เขาก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไปจากสถานที่แห่งนี้แม้ว่าเขายังเตรียมตัวไม่พร้อม


 


“จุดสูงสุดของเขตอัมพรวิญญาณ เฮ้อ…ถ้าข้ายังคงฝึกฝนต่ออยู่ในที่แห่งนี้ ข้าคงก้าวไปถึงระดับสองของเขตอัมพรวิญญาณในช่วงการแข่งขันระดับภูมิภาค หากงานนั้นเสร็จสิ้นแล้วข้าคงต้องจากที่แห่งนี้…”


 


ถ้าซูหยางต้องการจะไปให้ถึงระดับสูงสุดของเขตอัมพรวิญญาณก่อนชิวเยวี่ยพบวิธีกลับบ้าน เช่นนั้นการอยู่ที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็จะเป็นเพียงการขัดขวางความก้าวหน้าของเขา เพราะว่าด้วยอัตราก้าวหน้าเช่นนี้ ย่อมต้องใช้เวลาของเขาหลายปีกว่าจะถึงระดับสูงสุดของเขตอัมพรวิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ฝึกยุทธในที่แห่งนี้ก็เพียงแค่อยู่ในเขตปฐพีวิญญาณ


 


“ครึ่งปี… นี่คงจะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่ข้าใช้ในที่แห่งนี้ที่ยาวนานที่สุด…”


 


สองสามนาทีหลังจากนั้นซูหยางก็ออกจากห้อง


 


“นายท่าน”


 


เซียวลี่อยู่ด้านนอกรอคอยเขาอยู่


 


“มนุษย์ที่ชื่อฟางซีหลานมาเยี่ยมนายท่านระหว่างที่นายท่านกำลังฝึกยุทธ” เธอพลันเตือนเขาถึงการมาของอีกฝ่าย


 


“ขอบคุณ” ซูหยางพยักหน้า


 


“ข้าจักกลับมาไม่นานนัก”


 


หลังจากนั้นซูหยางก็ออกจากที่พักของเขาตรงไปยังที่พักของฟางซีหลาน

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม