Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน 262-268

 DC บทที่ 262: ฆ่ามันทั้งหมด


 


“ป-โปรดรอชั่วครู่”


 


โหลวหลานจีเพิ่มเสียงของเธอด้วยความตื่นกลัว


 


“ทำไมท่านจึงต้องทำเกินไป ท่านจักมิได้อะไรไปนอกจากทำลายสถานที่เช่นพวกเรา”


 


ผู้อาวุโสวันส่ายหน้าและกล่าวว่า “เจ้าพูดถูกเราจักมิได้อะไรถึงแม้กระทั่งเราปล้นที่นี่ทั้งหมด อย่างไรก็ตามในฐานะผู้นำนิกาย เจ้าควรจะรู้เป็นอย่างดีว่ายุทธภพเป็นอย่างไร ถ้าเราปล่อยพวกเจ้าทิ้งไว้เช่นนี้ นั่นจักทำให้นิกายล้านอสรพิษดูเหมือนเป็นสถานที่ที่มีแต่คนขี้ขลาด และที่อื่นๆก็จักถือโอกาสเอาเปรียบในเรื่องนั้น”


 


โหลวหลานจีไม่สามารถปฏิเสธคำพูดของเขา ในยุทธภพ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะแข็งแกร่งแค่ไหน ถ้ามีจุดอ่อนเพียงนิดเดียวให้เห็น นั่นก็จะถูกเอาเปรียบจากคนอื่น


 


โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานที่ที่มีความสำคัญอย่างมากเช่นนิกายล้านอสรพิษ ที่มีทั้งตำแหน่งและอำนาจ ซึ่งมีผู้คนนอกนั้นที่ค้นหาจุดอ่อนเหล่านั้นทุกวันเพื่อหาทางเอาเปรียบพวกเขา


 


“และแม้ว่านี่อาจจะดูเหมือนสถานการณ์ที่สามารถซุกซ่อนไว้ เจ้ามิรู้หรอกว่าใครอาจจะเฝ้าดูอยู่…”


 


โหลวหลานจีเลิกล้มความหวังทั้งมวลหลังจากได้ยินคำพูดสุดท้ายของผู้อาวุโสวัน


 


“อย่างน้อยยอมให้ข้าแบกรับการลงโทษทั้งหมด ท่านสามารถทรมานข้าตามที่ต้องการหรือกระทั่งเอาชีวิตข้า เพียงแค่ปล่อยให้ศิษย์ของข้าไปจากที่นี่”


 


ดวงตาของผู้อาวุโสวันมีประกายความเย็นชาวาบขึ้น เขาพูดว่า “ช่างโชคร้าย การแสดงความเห็นใจต่อคนแบบพวกเจ้าก็ถือว่าเป็นสัญญาณของความอ่อนแอเช่นกัน”


 


จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นและตวัดลงไปเหมือนธง


 


“ฆ่าทุกสิ่งมีชีวิตในที่แห่งนี้ ข้าต้องการให้แม้กระทั่งลูกไก่ยังต้องตาย”


 


ผู้อาวุโสวันสั่ง


 


“ม-ไม่มีทาง…” โหลวหลานจีล้มลงไปนั่งคุกเข่าขณะที่กว่าสามสิบจอมยุทธตรงเข้าไปหาเธอด้วยท่าทางกระหายเลือด สีหน้าของเธอซีดเผือด ดูเหมือนว่าเลือดทุกหยดในร่างของเธอถูกสูบไป


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า ข้ารอสิ่งนี้อยู่”


 


“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย พวกเจ้าได้แต่โทษตัวเองที่พยายามจะเก็บวิญญาณพิทักษ์ไว้เป็นของตนเอง”


 


“อย่างไรก็ตามสิ่งที่ถือเป็นการล่วงละเมิดมากที่สุดก็คือเจ้าโกหกต่อนิกายล้านอสรพิษ”


 


จอมยุทธต่างพากันหัวเราะขณะที่กลิ่นอายความต้องการฆ่าฟ้นระเบิดออก


 


ขณะที่โหลวหลานจีล้มลงไปบนพื้นจากความกดดัน คลื่นพลังกระแสหนึ่งพลันกวาดผ่านสถานที่นั้น นำพาเสียงอันลึกล้ำที่ดูเหมือนว่าเป็นของพระเจ้า


 


“ผู้ “แข็งแกร่ง” ใช้ข้ออ้างข่มเหงผู้อ่อนแอ กี่ครั้งแล้วที่ข้าได้ประจักษ์กับฉากแบบนี้มาก่อนหน้านี้…”


 


ผู้อาวุโสวันขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเสียงและเห็นริ้วคลื่น


 


“ใครอยู่ที่นั่น จงแสดงตนออกมา”


 


“แสดงตัวของข้ารึ เจ้าเป็นใครจึงมาสั่งข้า”


 


เสียงนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกของความมีอำนาจเหนือกว่าอย่างแท้จริงราวกับว่าเป็นเสียงของผู้ปกครองสถานที่


 


“เจ้ามิมีค่าพอที่จะมาอยู่ต่อหน้าข้า อย่าว่าแต่จะขอพบข้า เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกันวะ”


 


เสียงนั้นพลันระเบิดความโกรธออกมา ดุจดังฟ้าคำรามระหว่างพายุหนัก


 


ครั้นเมื่อเสียงนั้นเพิ่มความดัง ริ้วคลื่นก็เพิ่มขึ้นด้วย จนทำให้กลิ่นอายอันลึกล้ำน่าหวาดหวั่นปกคลุมไปทั่วนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย


 


เมื่อผู้อาวุโสวันและคนอื่นๆจากนิกายล้านอสรพิษรับรู้ถึงแรงกดดันนี้ ใบหน้าของพวกเขาพลันซีดเผือด เมื่อสุดท้ายพวกเขาตระหนักว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเสียงนี้เหนือกว่าที่ตนเองคาดคิดไว้มาก


 


สำหรับโหลวหลานจี เธอจ้องมองไปยังท้องฟ้าด้วยท่าทางตื่นตะลึง


 


“เสียงนี้…ผู้อาวุโสรึ”


 


ดวงตาของโหลวหลานจีเริ่มมีประกายความหวัง


 


“ก-เกิดอะไรขึ้น เสียงนี้เป็นใครกัน”


 


จอมยุทธนิกายล้านอสรพิษต่างพากันถอยกลับยังข้างตัวผู้อาวุโสวันทันที ท่าทางของพวกเขาเต็มไปด้วยความตระหนกและหวาดกลัว


 


“นรก ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่ามีตัวตนเช่นนี้ดำรงอยู่ในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยด้วย”


 


ผู้อาวุโสวันรู้สึกอยากจะตะโกนร้องเสียงดัง


 


ถ้าจะกล่าวไปแล้ว เขาไม่เชื่อว่าคนเพียงคนเดียวจะสามารถสั่นคลอนนิกายล้านอสรพิษทั้งนิกายได้ ดังนั้นเขาจึงพูดขึ้นว่า “ข้ามิรู้ว่าท่านผู้อาวุโสท่านใดที่พูดอยู่ แต่พวกเรามาจากนิกายล้านอสรพิษจากแดนตะวันตก”


 


ผู้อาวุโสวันเชื่อว่าไม่มีทางที่ตัวตนอันทรงพลังนั้นจะไม่รู้จักนิกายล้านอสรพิษ


 


อย่างไรก็ตามเสียงนั้นเพียงแค่เย้ยหยันอย่างเยือกเย็นกับชื่อนั้น “เจ้าพยายามที่จะทำให้ข้ากลัวหรืออะไรประเภทนั้นกับสถานที่ที่เต็มไปด้วยมดเช่นเจ้านะรึ”


 


“ม-ม-มด… ท่านกล้าสบถใส่นิกายล้านอสรพิษรึ”


 


ผู้อาวุโสวันพึมพัมด้วยเสียงงงงัน


 


ไม่กี่วินาทีถัดไป ผู้อาวุโสวันก็ระเบิดความโกรธออกมา เขาตะโกนขึ้นไปบนท้องฟ้า


 


“ข้ามิสนใจว่าเจ้าเป็นใคร ความจริงที่เจ้ามิกล้าเสนอหน้าหมายความว่าเจ้ากลัวที่จะเผยตัวตนให้กับพวกเรา”


 


เขาพลันหันไปยังจอมยุทธที่อยู่ข้างกายและตะโกนว่า “อย่าไปสนใจเขา เขามิสามารถทำอะไรพวกเราได้ถ้าเขามิสามารถกระทั่งแสดงตัว ฆ่าทุกคนที่นี่และบีบเขาออกมาจากรูอะไรที่เขาซ่อนอยู่”


 


จอมยุทธรู้สึกลังเลในตอนแรก แต่เมื่อครั้นพวกเขานึกขึ้นได้ว่าพวกเขามีมากถึงสามสิบคนขณะที่อีกฝ่ายมีเพียงคนเดียว ความกระหายเลือดของพวกเขาก็ฟื้นคืนและเข้มข้นยิ่งกว่าเดิม


 


“เช่นนั้นรึ…ช่างน่าเสียดาย”


 


เสียงนั้นก้องดังขึ้นมาอีกครั้ง แต่คราวนี้กลับเปี่ยมไปด้วยความสงบนิ่ง ก่อนที่จะเงียบไป


 


ไม่นานนักหลังจากความเงียบ เสียงนั้นก็กลับมาอีกอย่างราบเรียบไร้อารมณ์


 


“ฆ่ามันให้หมด”


 


เสียงนั้นพูดเพียงสี่คำ แต่ยามเมื่อเสียงนั้นดังขึ้น บรรยากาศทั้งหมดพลันเปลี่ยนแปลง


 


จิตสังหารพลันครอบคลุมไปทั้งทั่วทั้งบริเวณนั้นในทันที พร้อมกับแรงกดดันอันทรงพลังที่ไม่มีคนไหนจากนิกายล้านอสรพิษได้ประสบมาก่อน


 


แรงกดดันนี้พลันทำให้จอมยุทธจากนิกายล้านอสรพิษพากันหยุดชะงัก อีกทั้งยังบีบพวกเขาให้ล้มลงบนพื้นจากแรงกดดันอันบ้าคลั่งที่ทะลักทะลวงเข้าใส่พวกเขาดุจขุนเขา


 


ไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น ร่างเล็กๆก็ปรากฏให้เห็นจากเหนือเมฆบนฟ้า


 


นั่นเป็นเด็กหญิงที่สวยที่สุดด้วยรูปร่างกระทัดรัดและผมสีเงินดวงตาสีเงินประดุจเทพธิดาตัวจริงที่เสด็จลงมาจากสวรรค์


 


ความสวยของเธอพลันทำให้เหล่าจอมยุทธจากนิกายล้านอสรพิษพากันตะลึงงันจนทำให้พวกเขาลืมจุดประสงค์ของตนเอง เนื่องจากพวกเขาไม่เคยเห็นสิ่งมีชีวิตที่สวยงามไร้ที่ติเช่นนี้มาก่อน


 


“น-นั่นเป็นใคร”


 


กระทั่งโหลวหลานจีก็ยังตะลึงงันกับหน้าตาของเธอ


DC บทที่ 263: การตายอย่างฉับพลัน


 


ยามเมื่อเซียวลี่ลดตัวลงจากฟากฟ้าด้วยรูปร่างที่แท้จริง สายตาทั้งมวลที่จับจ้องยังตัวเธอล้วนเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นระคนความชื่นชม ในเมื่อไม่มีใครสักคนที่นั่นเคยเห็นเด็กหญิงที่สวยงามเช่นนั้นมาก่อน


 


แม้จะดูเหมือนว่าเธออายุประมาณสิบสามปี ความงามของเซียวลี่ก็เหนือเกินกว่าแม้กระทั่งโหลวหลานจีไปหลายเท่า และผู้คนก็ได้เพียงแต่จินตนาการว่าเธอจะโตขึ้นเป็นเทพธิดาอย่างไรเมื่อเป็นผู้ใหญ่เท่านั้น


 


อย่างไรก็ตามแม้ว่าจอมยุทธจากนิกายล้านอสรพิษต้องการที่จะยืนอยู่ที่นั่นตลอดวันเพื่อชื่นชมความงามของเซียวลี่แต่กลิ่นอายกระหายเลือดก็ปลุกให้พวกเขาแตกตื่นกลับคืนมาสู่ความเป็นจริงอย่างรวดเร็ว


 


“ธ-ธ-เธอกำลังเหาะ”


 


หนึ่งในจอมยุทธรีบตั้งข้อสังเกต


 


มีเพียงผู้ฝึกวิชาเขตราชันย์วิญญาณขึ้นไปเท่านั้นที่มีความสามารถในการบินบนท้องฟ้าด้วยปราณไร้ลักษณ์ของตนเอง แต่ในที่แห่งนี้ที่เขตอัมพรวิญญาณเป็นระดับสูงสุด มีน้อยคนนักที่จะรู้จักเขตการฝึกปรือระดับนั้น


 


กล่าวไปแล้วเพราะว่าเขามีความรู้กว้างขวาง ผู้อาวุโสวันจึงพลันนึกขึ้นได้ว่าเซียวลี่เป็นผู้ฝึกวิชาระดับราชันย์วิญญาณ


 


“ร-ร-ราชันย์ นั่นเป็นราชันย์จริงๆ เหตุใดจึงมีสิ่งมีชีวิตในตำนานปรากฏตัวอยู่ในที่แห่งนี้ อีกทั้งยังปกป้องนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่ไม่สำคัญนี้ได้อย่างไร”


 


เท่าที่เขารู้ ผู้ฝึกวิชาเขตราชันย์วิญญาณมีเพียงในตำนาน อย่างไรก็ตามหลังจากเห็นความสามารถในการบินของเซียวลี่และรับรู้ถึงพลังกดดันอันรุนแรงของเธอ เขาจึงได้แต่มีเพียงข้อสรุปเช่นนั้น


 


ขณะที่ผู้อาวุโสวันกำลังประสบกับความตื่นตระหนกของชีวิตตนเอง เท้าเล็กๆของเซียวลี่สุดท้ายก็สัมผัสพื้น


 


เธอมองดูเหล่าจอมยุทธจากนิกายล้านอสรพิษด้วยสีหน้าเรียบเฉย ที่ดูเหมือนเย็นชาถึงที่สุดในมุมมองของพวกเขา


 


“พวกเจ้าทำให้นายข้าอารมณ์เสีย ดังนั้นข้าจักต้องฆ่าพวกเจ้า”


 


หลังจากพูดคำพูดเหล่านั้นแล้ว โดยไม่จำเป็นต้องปล่อยให้บรรดาจอมยุทธได้มีปฏิกิริยา เซียวลี่สะบัดชายเสื้อ เกิดเป็นเสี้ยวปราณไร้ลักษณ์ที่คล้ายกับคมมีดที่มองไม่เห็นตวัดผ่านพื้นที่ตรงไปยังจอมยุทธทั้งสามสิบคน


 


คมปราณไร้ลักษณ์เคลื่อนด้วยความเร็วที่เร็วมากจนกระทั่งไม่มีใครจากนิกายล้านอสรพิษจะสามารถทันได้มีปฏิกิริยาใด ในเวลาไม่ถึงครึ่งวินาทีมันก็เฉือนเอาศีรษะเก้าหัวออกจากตัวในกลุ่มจอมยุทธที่กำลังหวาดกลัว


 


ผู้อาวุโสวันและคนอื่นรู้สึกหนาวเยือกไปทั่วไขสันหลัง ร่างกายของพวกเขาสั่นสะท้านอย่างไม่อาจควบคุมได้ด้วยความสยดสยอง


 


เพียงแค่กระพริบตา หนึ่งในสามของกลุ่มพวกเขาก็ถูกฆ่า


 


นี่เป็นพลังอำนาจอันไร้เหตุผลประเภทไหนกัน ต้องเป็นสัตว์ประหลาดประเภทไหนจึงสามารถฆ่าจอมยุทธเขตปฐพีวิญญาณเก้าคนด้วยเพียงแค่การสะบัดชายเสื้อของเธอและทำเหมือนกับว่าพวกเขาเป็นมดจริงๆ


 


“อาาาา”


 


จอมยุทธจากนิกายล้านอสรพิษบางคนพลันกรีดร้องด้วยเสียงหวาดกลัวหลังจากเห็นภาพนั้น กระทั่งล้มลงก้นจ้ำเบ้า บางคนก็ถึงกับฉี่ราดกางเกงหลังจากเห็นความแข็งแกร่งอันน่ากลัวของเซียวลี่


 


อย่างไรก็ตามความจริงก็คือเซียวลี่แทบจะไม่ได้ใช้ความแข็งแกร่งของเธอเลย เธอเพียงแค่เล่นสนุกกับคนเหล่านี้ ถ้าเธอต้องการฆ่าพวกเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้จริงๆ สิ่งที่เธอจำเป็นต้องทำก็คือจามออกมาด้วยเพียงไม่ต้องถึงครึ่งของพลังการฝึกปรือของเธอ และคนเหล่านี้ที่ได้ถูกขนานนามว่า “จอมยุทธ” ก็จะถูกลบออกไปจากพื้นผิวของโลกนี้


 


หลังจากฆ่าไปเก้าคน เซียวลี่ก็หันไปดูคนที่เหลืออีกยี่สิบ สายตาของเธอเต็มไปด้วยความบันเทิง


 


ถึงแม้ว่าแมวภูติเป็นสัตว์ที่เชื่องตามธรรมชาติและยากที่จะฆ่าใครสักคน แต่ยามเมื่อพวกเธอเริ่มฆ่า นั่นมักจะเป็นเหตุให้เกิดการนองเลือดในที่สุด และนี่ยิ่งเป็นจริงกับจอมแมวภูติ นี่เป็นเหตุว่าทำไมผู้คนส่วนใหญ่จึงอยู่ห่างไกลจากพวกเธอ ในเมื่อพวกเธอไม่เพียงยากที่หาแต่พวกเธอยังอันตรายมากถ้าถูกล่วงเกิน


 


“ร-ร-รอสักครู่…ร-เรามาพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้กันเถอะ”


 


ผู้อาวุโสวันตะโกนขึ้นไปบนท้องฟ้าแทนที่จะเป็นเซียวลี่ ในเมื่อเธอเพียงรับคำสั่งจากเสียงลึกลับ


 


“ร-เรามิเพียงปล่อยนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไปนับแต่บัดนี้เป็นต้นไปแต่เรายังจะลืมความจริงที่ว่าคนของเราทั้งเก้าได้ตายในวันนี้ที่นี่ ส่วนสำหรับวิญญาณพิทักษ์ ท่านสามารถสามารถเอามันกลับไปได้”


 


ผู้อาวุโสวันย่อมยอมละทิ้งวิญญาณพิทักษ์ดีกว่าไปล่วงเกินผู้ฝึกวิชาเขตราชันย์วิญญาณมากกว่านี้ ส่วนที่ว่าผู้นำนิกายล้านอสรพิษจะคิดอย่างไรเกี่ยวกับการกระทำของเขานั้น เขาจะต้องกลับไปรายงาน ถ้าเขาสามารถกลับไปอย่างมีชีวิต


 


อย่างไรก็ตามเสียงลึกล้ำนั้นเพียงแค่หัวเราะด้วยท่าทางเยาะหยัน


 


“ถ้าข้าฆ่าพวกเจ้าทั้งหมดวันนี้ที่นี่ ข้าก็จักได้ผลลัพธ์เดียวกัน”


 


ผู้อาวุโสวันสั่นสะท้านเมื่อได้ยินคำพูดเหี้ยมโหดนั้น ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสคนนี้อันตรายยิ่งกว่าที่เขาคาดคิดไว้


 


“ทำไมท่านต้องทำเกินไปเช่นนี้ จะมีประโยชน์อะไรที่ท่านจักได้รับจากการฆ่าพวกเรา นั่นเพียงทำให้นิกายล้านอสรพิษโกรธยิ่งขึ้น ตามจริงทั้งนิกายล้านอสรพิษจะมาที่นี่ภายในวันพรุ่งนี้ถ้าไม่มีพวกเราคนใดกลับไป”


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า…ช่างเป็นคำพูดที่คุ้นเคยที่ข้าเคยได้ยินมาจากที่ไหนมาก่อน โอ ใช่แล้ว…นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้ขอร้องเจ้าเช่นเดียวกันนี้เมื่อเก้านาทีก่อน…”


 


ความหวังที่จะรอดชีวิตของผู้อาวุโสวันเกือบทั้งหมดล้วนแตกสลายหลังจากได้ยินเสียงพูดนั้น มันชัดเจนสำหรับเขาที่ว่าพวกเขาได้ล่วงเกินเสียงนั้นจนถึงขั้นที่ว่าลำพังความเมตตาไม่ใช่ตัวเลือกสำหรับเขาอีกต่อไป


 


อย่างไรก็ตามขณะที่เขาคิดเช่นนั้น เสียงนั้นก็พูดต่อว่า


 


“อย่างไรก็ตามเจ้าพูดบางอย่างถูกต้อง ถ้ามิมีใครสักคนจากกลุ่มพวกเจ้ากลับไปเตือนพวกเขา ข้าจักต้องฆ่าทั้งนิกายล้านอสรพิษทิ้ง แต่ใช่ว่าข้าจะมีปัญหากับสิ่งนั้นแต่อย่างใด”


 


“เช่นนั้น..”


 


ขณะที่ผู้อาวุโสวันรู้สึกมีความหวังขึ้นมาบ้างนั้น เสียงนั้นพลันตบหน้าเขาด้วยถ้อยคำอันโหดร้าย


 


“เซียวลี่ฆ่าพวกมันทั้งหมดยกเว้นเขา”


 


ในวินาทีถัดไปก่อนที่ผู้อาวุโสวันจะทันได้มีปฏิกิริยาใด เซียวลี่พลันสะบัดชายเสื้ออีกครั้ง จนทำให้เกิดริ้วคลื่นแพร่กระจายออกไป เกือบคล้ายกับตอนที่ก้อนหินตกลงไปในน้ำนิ่ง


 


คลื่นเคลื่อนไปด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อและทันทีที่มันสัมผัสกับจอมยุทธจากนิกายล้านอสรพิษร่างของพวกเขาทั้งหมดก็ระเบิดออกเป็นเลือดเลอะเลือน เกิดเป็นละอองเลือดสดโปรยปรอย


 


ในแทบจะทันทีทุกคนยกเว้นเพียงหนึ่งจากนิกายล้านอสรพิษถูกลบตัวตนออกไปโดยไม่มีแม้โอกาสจะกรีดร้อง


 


ผู้อาวุโสวันรู้สึกว่าสภาพจิตใจของตนเองล้มเหลวเมื่อชุดสีเขียวเข้มของเขาย้อมไปด้วยเลือดสดของศิษย์ร่วมสำนัก และเขาได้แต่ยืนอยู่ที่นั่นนับเนิ่นนาน เงียบงันและแข็งทื่อราวกับรูปปั้นจริงๆ


DC บทที่ 264: จงฆ่าข้าเดี๋ยวนี้


 


ครั้นเมื่อฝนเลือดสลายตัวไปหมดแล้ว ผู้อาวุโสวันก็ล้มลงคุกเข่า รู้สึกเหมือนกับว่าตนเองได้ถูกโยนเข้าไปในโลกใหม่ที่มีตรรกะต่างไปจากที่เขาเคยรู้จักอย่างสมบูรณ์


 


“แขกจากนิกายล้านอสรพิษ เจ้าควรกลับไปยังที่ของเจ้าและเตือนพวกเขาว่าข้าจักมิมีเมตตาดังเช่นวันนี้อีกถ้าพวกเขาต้องการแก้แค้น”


 


เสียงนั้นดังขึ้นมาอีกครั้ง


 


อย่างไรก็ตามผู้อาวุโสวันยังคงไม่เคลื่อนไหว ดูเหมือนคนไร้สติ


 


หลังจากเงียบไปชั่วขณะ เขาก็พึมพัม “จงฆ่าข้าเดี๋ยวนี้ เพราะว่านิกายล้านอสรพิษจักมิยอมให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ ในบรรดาคนที่เจ้าฆ่าไปเมื่อกี้ หนึ่งในนั้นเป็นญาติกับผู้นำนิกาย ดังนั้นนั่นจึงมีผลกระทบกับนิกายล้านอสรพิษ ผู้นำนิกายแน่นอนว่าต้องพยายามแก้แค้นเขา”


 


ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้งหลังจากที่ผู้อาวุโสวันพูดจบ


 


อย่างไรก็ตามเสียงนั้นก็กลับมาหลังจากนั้นไม่นานนัก


 


“นั่นหมายความว่าเจ้ากำลังบอกข้าให้ไปลบนิกายล้านอสรพิษทิ้ง เช่นนั้นก็ดี…”


 


ผู้อาวุโสวันดวงตาเบิกกว้างขึ้น เขารีบตะโกนออกมา “ด-เดี๋ยวก่อน แม้ว่าข้ามิสามารถรับประกันผลลัพธ์ใดได้ ข้าจักพูดกับผู้นำนิกายและพยายามหว่านล้อมเขา ด้วยว่าข้ามิเชื่อว่าเขาปรารถนาที่จะสร้างภัยพิบัติให้แก่ทั้งนิกายถึงแม้ว่าจะเป็นญาติของเขา…”


 


ตามจริงแล้วผู้อาวุโสวันไม่ต้องการกลับไปสู่นิกายล้านอสรพิษแม้แต่น้อย ในเมื่อเขารู้สึกว่าเขาไม่มีหน้าเหลือที่จะไปพบกับผู้นำนิกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเหตุการณ์ในวันนี้ที่จบชีวิตของศิษย์สามสิบคนรวมญาติของผู้นำนิกายด้วย ดังนั้นจึงเป็นเหตุว่าเขายินดีที่จะตายมากกว่าที่จะกลับไป


 


กล่าวไปแล้วเพราะว่านิกายล้านอสรพิษทั้งหมดจะต้องตกอยู่ในความเสี่ยงถ้าเขาไม่เตือนผู้นำนิกาย ผู้อาวุโสวันจึงไม่มีทางเลือกนอกจากจะกล้ำกลืนฝืนความอายและกลับไปยังนิกายเพื่อพบกับความโกรธเกรี้ยวของผู้นำนิกาย


 


เสียงนั้นแค่นออกมาอย่างเย็นชา “เจ้าไสหัวไปได้แล้ว”


 


ยามเมื่อผู้อาวุโสวันได้ยินเสียงนั้น เขาก็ตะเกียกตะกายออกไปจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยในสภาพที่ราวกับว่าเขาเดินทางมาโดยไม่ได้อะไรเลยมาหลายครั้งก่อนที่จะจากที่นี่ไปอย่างแท้จริง


 


หลังจากนั้น เซียวลี่ก็ใช้ความเร็วอันไร้ผู้เปรียบของเธอและหายไปจากบริเวณนั้นก่อนที่โหลวหลานจีจะทันได้สังเกตเธอ


 


“ข-ขอบคุณสำหรับการปกป้องสถานที่ไร้ค่าแห่งนี้ ผู้อาวุโส”


 


โหลวหลานจีคุกเข่าต่อฟ้า แต่อนิจจา เสียงนั้นไม่คืนกลับมา


 


ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นเงาร่างคนประมาณร้อยคนก็ตรงเข้ามาหาโหลวหลานจีอย่างรวดเร็ว


 


“ผู้นำนิกาย ท่านเป็นไรหรือเปล่า”


 


เมื่อผู้อาวุโสจ้าวสังเกตเห็นโหลวหลานจีขดตัวอยู่บนพื้น ความคิดแรกของเขาก็คือเธอได้รับบาดเจ็บ


 


อย่างไรก็ตามเมื่อตรวจสอบอย่างใกล้ชิดผู้อาวุโสจ้าวก็ตระหนักว่าโหลวหลานจีเพียงคุกเข่าต่อท้องฟ้าว่างเปล่า


 


แม้ว่านั่นดูจะแปลกประหลาดอยู่บ้างผู้อาวุโสจ้าวตัดสินใจไม่สนใจและถามเกี่ยวกับสถานการณ์แทน “นิกายล้านอสรพิษไปไหน อีกทั้งแรงกดดันที่ยากจะหยั่งที่ข้าเพิ่งรู้สึกได้เมื่อไม่กี่นาทีก่อนคืออะไร”


 


โหลวหลานจีเงยหน้าขึ้นและชี้ไปยังแอ่งเลือดที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่เมตรและกล่าวว่า “นั่นเป็นสิ่งที่เหลือทิ้งไว้ของนิกายล้านอสรพิษ”


 


“ท่านว่ากระไร”


 


ทุกคนที่นั่นต่างพากันตื่นตระหนกถึงที่สุดเมื่อเห็นเลือดสดๆบนพื้น


 


ความโหดเหี้ยมประเภทไหนที่เกิดขึ้นที่นี่กัน นี่ไม่มีแม้กระทั่งแขนขาสักข้างในสายตา และนี่ดูเหมือนฉากฆาตกรรมที่ย้ายร่างคนตายออกไปแล้ว


 


“ข้าจักอธิบายทุกสิ่งทีหลัง แต่ตอนนี้ เราต้องเน้นในการทำให้เหล่าศิษย์สงบลงก่อนเป็นอันดับแรก” โหลวหลานจีกล่าว เธอไม่รู้แม้แต่น้อยถึงความจริงที่ว่าศิษย์แทบทุกคนของเธอได้ละทิ้งสถานที่แห่งนี้หลังจากรู้ว่าพวกเขาถูกโจมตีโดยนิกายล้านอสรพิษ


 


“เรื่องนั้น…”


 


ผู้อาวุโสจ้าวไม่มั่นใจเท่าไหร่นักว่าจะบอกให้เธอรู้ได้อย่างไรโดยไม่ทำให้เธอเสียใจมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาเพิ่งรอดชีวิตจากการโจมตีจากนิกายล้านอสรพิษ


 


โหลวหลานจีขมวดคิ้วหลังจากที่เห็นผู้อาวุโสจ้าวมีสายตาลังเลและเงียบไป ความรู้สึกที่เป็นลางร้ายก็ปรากฏขึ้นในใจเธอ


 


“ทำไมท่านจึงไม่พูด อย่าบอกข้าว่ามีบางสิ่งเกิดขึ้นกับเหล่าศิษย์”


 


โหลวหลานจีเพิ่มเสียง ฟังดูเหมือนจะตระหนกอยู่บ้าง


 


เมื่อเห็นว่าผู้อาวุโสจ้าวไม่อาจแจ้งข่าวร้ายให้กับเธอได้ ผู้อาวุโสซุนก็ก้าวออกมาและพูดว่า “แม้ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเหล่าศิษย์ แต่ข้าก็มีข่าวร้ายบางอย่าง…”


 


ผู้อาวุโสซุนได้จัดการอธิบายโหลวหลานจีว่าศิษย์ส่วนใหญ่ได้ตัดสินใจจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเพราะว่าเหตุการณ์นี้ ซึ่งทำให้หัวใจของโหลวหลานจีเต็มไปด้วยความเจ็บปวดสุดพรรณา


 


สุดท้ายศิษย์ทุกคนก็เหมือนกับสมาชิกครอบครัวของโหลวหลานจี และเมื่อเห็นพวกเขาทั้งหมดละทิ้งสถานที่นี้เพราะว่าพวกเขากลัวนิกายล้านอสรพิษ เธอก็ไม่รู้ควรจะหัวเราะเยาะกับการไร้ความสามารถของเธอในฐานะผู้นำนิกายหรือว่าร้องไห้เสียใจดี


 


กล่าวไปแล้วโหลวหลานจีไม่ได้กล่าวโทษเหล่าศิษย์ที่ต้องการจากไป ในเมื่อเธอเข้าใจความรู้สึกของพวกเขาในความต้องการที่จะรอดชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาต้องเผชิญกับชะตากรรมที่ดูเหมือนจะหลีกเลี่ยงไม่ได้นอกจากการจากไป


 


ในเวลานั้นเมื่อเซียวไป่ซึ่งได้ซ่อนตัวอยู่ในมุมหนึ่งหลังจากหนีออกมาจากการหน่วงเหนี่ยวของผู้อาวุโสวันมองเห็นฟางซีหลานอยู่ในกลุ่ม เธอพลันวิ่งไปหาอีกฝ่ายพร้อมกับร่ำร้องอย่างเป็นสุข


 


“เซียวไป่”


 


ฟางซีหลานพลันสังเกตเห็นเซียวไป่วิ่งไปหาและกอดเธอ ท่าทางเศร้าโศกที่เคยติดอยู่บนใบหน้าเธอพลันหายไปอย่างง่ายดาย


 


“นั่นเป็นวิญญาณพิทักษ์รึ”


 


ผู้อาวุโสซุนและคนอื่นๆต่างพากันมองไปยังเซียวไปด้วยความรู้สึกหลากหลายในดวงตา ในเมื่อเธอเป็นเหตุผลที่พวกเขาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ในตอนนี้


 


ไม่นานหลังจากนั้น หลังที่โหลวหลานจีเยือกเย็นลงบ้างแล้ว เธอก็มองดูยังศิษย์ที่ยังเหลืออยู่และถามว่า “ศิษย์ทั้งหมดได้จากไปแล้วรึ”


 


“ช่างโชคร้ายนัก…”


 


ผู้อาวุโสจ้าวพยักหน้า


 


โหลวหลานจีจ้องไปยังเหล่าศิษย์ที่เหลือด้วยสายตาเปี่ยมอารมณ์ที่เต็มไปด้วยความขอบคุณ


 


“ขอบคุณสำหรับศิษย์ที่ยังคงจงรักที่ยังเหลืออยู่ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยแม้ว่าจะถูกนิกายล้านอสรพิษคุกคาม อีกทั้งการไร้ความสามารถในฐานะผู้นำนิกายของข้าที่ปล่อยให้เหตุการณแบบนี้เกิดขึ้น…”


 


โหลวหลานจีพลันก้มศีรษะให้กับพวกเขา บางสิ่งที่ไม่มีศิษย์คนใดที่นั่นจะจินตนาการว่าจะได้รู้เห็นเป็นพยานในสิ่งนี้ในชีวิตของพวกเขา


 


หลังจากที่บรรดาศิษย์ได้ยอมรับคำขอโทษจากเธออย่างนอบน้อมแล้ว โหลวหลานจีพลันตระหนักว่าซูหยางไม่ได้อยู่ในกลุ่มศิษย์เหล่านี้ และเธอได้แต่แอบถอนใจ


 


“เป็นว่าเขาก็ตัดสินใจจากไปเช่นกัน เฮ้อ”


 


แม้ว่าเธอไม่ต้องการยอมรับ แต่การที่ซูหยางจากไปนั้นก็ทำให้เธอเจ็บปวดในใจมากกว่าศิษย์อื่นรวมกันทั้งหมด


 


“อย่างไรก็ตามเราไปพูดกันในที่ที่เหมาะสมกว่านี้” เธอกล่าวกับพวกเขาหลังจากเก็บซ่อนความคิดทั้งหมดเกี่ยวกับซูหยางไว้ในใจและปาดน้ำตาทิ้ง


DC บทที่ 265: เจ้ากำลังจะไปจากที่นี่ด้วยรึ


 


โหลวหลานจีและศิษย์ที่เหลือรวมตัวกันในห้องอบรม


 


“ก่อนที่ข้าจะพูด ข้าจักตอบคำถามที่พวกเจ้าอาจจะมีเกี่ยวกับข้า”


 


โหลวหลานจีกล่าวด้วยท่าทางตึงเครียด


 


ผู้อาวุโสจ้าวพลันยกมือพูดว่า “เกิดบ้าอะไรขึ้นกับนิกายล้านอสรพิษ มันเกี่ยวข้องกับพลังกดด้นอันลึกซึ้งที่ข้ารู้สึกหรือไม่”


 


โหลวหลานจีพยักหน้า


 


“แม้ว่าข้ามิรู้ว่าข้าจักอธิบายเรื่องนี้อย่างไร ข้าพูดได้เพียงว่าเราได้มีเจ้านิกายชั่วคราวหลังจากเจ้านิกายคนก่อนพลันสิ้นชีวิตลง และเขาก็เป็นคนที่มีเบื้องหลังลึกล้ำและพลังมหาศาล”


 


ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นมองดูเธอด้วยดวงตาเบิกค้าง พวกเขามีเจ้านิกายชั่วคราวโดยไม่มีใครรู้จนกระทั่งวันนี้ และเธอไปหาบุคคลที่ทรงอำนาจ “สุดขั้ว” นี้มาจากไหน


 


“บุคคลคนนี้ไปอยู่ที่ไหนแล้ว”


 


บางคนถาม


 


“ช่างโชคร้าย เขาจากไปแล้ว”


 


“และเขาเป็นคนที่จัดการกับนิกายล้านอสรพิษรึ”


 


ผู้อาวุโสซุนถาม เสียงของเขาเปี่ยมไปด้วยความสนใจ


 


“ใช่แล้ว”


 


หลังจากเงียบไปชั่วขณะ ผู้อาวุโสจ้าวก็พูดขึ้นว่า “ข้าสามารถยืนยันได้ว่าเขาจักจัดการกับนิกายล้านอสรพิษถ้าพวกนั้นกลับมาแก้แค้น ใช่หรือไม่”


 


โหลวหลานจีเตรียมตัวพยักหน้า แต่เธอลังเลในตอนสุดท้าย


 


“ข้าคิดว่าเช่นนั้น” สุดท้ายเธอก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ


 


บรรยากาศกลับมาเคร่งเครียดอีกครั้ง ถ้านิกายล้านอสรพิษโจมตีพวกเขาอีกครั้ง นั่นคงไม่สวยอย่างแน่นอน ตามจริงก็แทบจะมั่นใจได้ว่านิกายล้านอสรพิษจะเตรียมตัวเมื่อพวกเขากลับมาอีกครั้ง


 


ทุกคนในห้องอบรมกังวลว่านิกายล้านอสรพิษอาจจะกลับมาพร้อมทั้งกองกำลังทั้งหมด และโดยปราศจากจอมยุทธผู้เก่งกาจคนนี้คอยปกป้อง พวกเขาก็มีแต่เพียงถูกย่ำยี


 


“อ-อย่ากังวล ผู้อาวุโสเป็นบุคคลที่เชื่อถือได้มาก ก่อนที่พวกเจ้าจะมาถึง เขายังได้เตือนนิกายล้านอสรพิษว่าพวกเขาจักถูกกำจัดถ้าพวกเขายังกลับมาอีก”


 


เพราะว่าซูหยางพูดกับพวกเขาโดยใช้ปราณไร้ลักษณ์ มีเพียงคนที่อยู่ในพื้นที่เป้าหมายเท่านั้นที่สามารถได้ยินเสียงของเขา ดังนั้นจึงเป็นเหตุว่าทำไมผู้อาวุโสจ้าวและคนอื่นๆจึงไม่ได้ยินอะไรเลย


 


“อ-อีกทั้งยังมีเด็กหญิงตัวเล็กคนนั้น…”


 


โหลวหลานจีพลันรู้สึกหนาวเยือกไปทั่วไขสันหลังเมื่อเธอนึกถึงรูปร่างหน้าตาไร้คู่เปรียบของเซียวลี่และพลังอันล้นหลาม


 


“เด็กหญิงตัวเล็ก”


 


ผู้คนที่นั่นต่างพากันมองดูเธอด้วยสีหน้างุนงง


 


“เด็กหญิงตัวเล็กนั่น…เธอเป็นคนที่กำจัดจอมยุทธจากนิกายล้านอสรพิษอย่างแท้จริง และทั้งหมดนั่นเกิดขึ้นในชั่วพริบตา ถ้าให้ข้าเดา เธอเป็นจอมยุทธที่มีพลังการฝึกปรือเหนือกว่ากระทั่งเขตอัมพรวิญญาณ ตามจริงบางคนจากนิกายล้านอสรพิษได้เรียกเธอว่า “ราชันย์”


 


“ท่านคิดว่า “ผู้อาวุโส” คนนี้มาจากทวีปศักดิ์สิทธิ์กลางในตำนานหรือไม่”


 


ผู้อาวุโสจ้าวพลันถาม


 


เมื่อเห็นเหล่าศิษย์มีสีหน้างุนงง ผู้อาวุโสจ้าวจึงอธิบายต่อว่า “ทวีปศักดิ์สิทธิ์กลางกล่าวว่าเป็นดินแดนสำหรับผู้ฝึกวิชา ที่ซึ่งกระทั่งจอมยุทธเขตอัมพรวิญญาณเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไป แม้ว่าจะรู้ไม่มากเกี่ยวกับที่นั่นหรือมันมีตัวตนจริงหรือไม่ แต่จอมยุทธหลายคนที่ท่องเที่ยวไปทั่วโลกก็ได้คาดหวังว่าจะเจอมัน”


 


โหลวหลานจีครุ่นคิดด้วยท่าทางเคร่งเครียด ถ้าผู้อาวุโสคนนี้มาจากทวีปศักดิ์สิทธิ์กลาง นั่นก็เป็นเหตุผลที่ว่าตัวตนของเขาจึงให้ความรู้สึกเหนือโลก


 


“อย่างไรก็ตามเราก็เตรียมตัวปะทะกับนิกายล้านอสรพิษถ้าพวกเขากล้ากลับมาหลังจากพ่ายแพ้น่าอับอายในวันนี้ สิ่งที่ข้ามิเห็นว่าจักเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ สิ่งที่เราจำเป็นต้องเน้นในเวลานี้ก็คืออนาคตของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ในเมื่อพวกเราไม่แม้จะถือว่าเป็นนิกายได้ในสภาพปัจจุบันของเรา”


 


ตามจริงด้วยเพียงศิษย์ที่เหลือเพียงร้อยคน นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ไม่อาจเปรียบเทียบได้กับตระกูลขนาดกลางได้ในตอนนี้


 


“การคัดสรรศิษย์ประจำปีได้วางแผนไว้หลังจากการแข่งขันระดับภูมิภาค แต่อย่างที่พวกท่านเห็น เรามิได้อยู่ในสภาพที่จะเข้าร่วมในอะไรทั้งนั้น อย่าว่าแต่การแข่งขันระดับภูมิภาค”


 


“มันเป็นความโชคร้าย แต่พวกเราจักต้องเว้นการแข่งขันระดับภูมิภาพปีนี้”


 


ในขณะที่โหลวหลานจีพูดถ้อยคำเหล่านี้ เสียงอื่นก็ดังเข้ามา


 


“ช่างน่าเสียดาย ทั้งที่ข้ากำลังตั้งตารอคอยเรื่องนั้นอยู่”


 


ทุกคนที่นั่นต่างหันไปมองดูที่ประตู ที่ซึ่งมีชายหนุ่มรูปงามยืนอยู่ด้วยรอยยิ้มอันเยือกเย็นบนใบหน้า


 


“ซ-ซ-ซูหยาง”


 


ทั้งโหลวหลานจีและหลานลี่ชิงยืนขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน เห็นชัดว่าประหลาดใจกับการปรากฏตัวกระทันหันของเขา


 


กระทั่งผู้อาวุโสจ้าวและผู้อาวุโสซุนก็ยังมองไปที่เขาด้วยตาโต


 


“เจ้าไปไหนมา” หลานลี่ชิงถาม


 


“ข้ารึ ข้านอนหลับอยู่ในห้องจนถึงไม่กี่นาทีก่อน”


 


ซูหยางตอบด้วยรอยยิ้มไร้ความกังวล


 


“ฮึ่ม มิจำเป็นต้องโกหก ในเมื่อพวกเราสามารถจินตนาการได้ว่าคนขี้ขลาดอย่างเจ้าต้องทำหลังจากได้ยินชื่อของ “นิกายล้านอสรพิษ” เช่นเดียวกับทุกคน”


 


ผู้อาวุโสจ้าวพลันเย้ยหยันเขา


 


ซูหยางเพียงแค่ส่ายหน้าและกล่าวว่า “ถ้าการเชื่อเช่นนั้นช่วยทำให้ท่านหลับคืนนี้ เช่นนั้นข้าก็ยินดี”


 


“เจ้า”


 


ผู้อาวุโสจ้าวถึงกลับควันออกหูในทันที


 


อย่างไรก็ตามโหลวหลานจีพลันเข้ามาขัดจังหวะด้วยการพูดว่า “ซูหยางข้ามิสนใจว่าเจ้าไปอยู่ไหนมา เพียงตอบข้ามาว่า…เจ้ากำลังจะไปจากที่นี่ด้วยหรือไม่”


 


ซูหยางมองดูท่าทางเคร่งเครียดของโหลวหลานจีและมองทะลุเข้าไปถึงอารมณ์ที่ไม่มั่นคงของเธอ


 


“ซูหยาง…” หลานลี่ชิงก็แสดงให้เห็นถึงแววของความกังวลบนใบหน้าเธอ


 


ส่วนสำหรับผู้อาวุโสซุนและซุนจิงจิงนั้น พวกเขาเพียงจ้องมองเขาอย่างเงียบงัน


 


ในเวลานั้น สายตาที่ฟางซีหลานมองไปยังซูหยางนั้นแตกต่างจากทุกคนที่นั่นอย่างสิ้นเชิง เพราะว่าเธอได้รับรู้ถึงพลังการฝึกปรือที่แท้จริงของเขามาก่อน เธอได้สังเกตเห็นมันจากภายในระลอกคลื่นอันทรงพลังระหว่างการรุกรานของนิกายล้านอสรพิษ อีกนัยหนึ่งเธอเป็นคนเดียวในที่นั้นที่รู้ความจริง


 


อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะรู้ความจริงนี้ ฟางซีหลานก็ยังเก็บเงียบไว้


 


“นิกายล้านอสรพิษรึ ข้ากระทั่งมิเคยได้ยินมาก่อน ดังนั้นทำไมข้าต้องวิ่งหนีไปจากพวกนั้น ถ้าข้าต้องการไป ข้าจักเดินออกไปทางประตูหน้าอย่างเยือกเย็น ถ้าข้าต้องการอยู่ กระทั่งสวรรค์ก็มิอาจขยับข้า ส่วนสำหรับที่ว่าข้าจักอยู่หรือไปในวันนี้…ตัวตนของข้าที่นี่ควรจะตอบคำถามนี้ได้เป็นอย่างดี”


 


ซูหยางพูดอย่างเยือกเย็น อีกทั้งกลิ่นอายของเขาก็ปลดปล่อยออกมาอย่างอหังการ


 


เมื่อโหลวหลานจีและหลานลี่ชิงได้ยินคำพูดของเขา รอยยิ้มพลันปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่โล่งอกของพวกเธอ


DC บทที่ 266: ย้ายไปยังเขตกลาง


 


ซูหยางมองผ่านๆไปยังคนหลายร้อยคนในห้อง


 


“ทั้งหมดนี้เป็นคนที่เหลืออยู่รึ นี่มีมากกว่าที่ข้าคิดไว้”


 


ซูหยางได้เคยเห็นเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันแบบนี้มาก่อน และเมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่พวกเขาไม่อาจคิดว่าจะชนะได้ มันไม่แปลกถ้ามีเพียงแค่ศิษย์ไม่กี่คนหลงเหลือก่อนที่การศึกจะเริ่มขึ้น


 


นี่ถือว่าเป็นความจริงกระทั่งนิกายใหญ่ที่สุดข้างนอกนั้นที่มีศิษย์มากมายหลายแสนคน


 


ดังนั้นสำหรับศิษย์ร้อยคนที่หลงเหลือจากไม่กี่พันคน ซูหยางค่อนข้างจะประทับใจอยู่บ้าง


 


“ผู้นำนิกาย ข้ามีข้อเสนอ”


 


เขาพลันกล่าว


 


“พูดออกมาให้พวกเราฟัง”


 


“แผนการรับเป็นเจ้าภาพในการรับสมัครศิษย์หลังการแข่งขันระดับภูมิภาคควรจะคงไว้…เช่นเดียวกับการเข้าร่วมการแข่งขัน”


 


“ต่อให้ข้าต้องการเข้าร่วมการแข่งขันมากเท่าไหร่ก็ตาม โชคร้ายสำหรับพวกเรา มีคนเหลือไม่ถึงห้าคนในห้องนี้ที่มีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วม และเราต้องการผู้เข้าร่วมอย่างน้อยสิบคนในกรณีที่จะเข้าร่วม” โหลวหลานจีถอนหายใจ


 


“ความต้องการมีอะไรบ้าง ขออีกครั้ง” ซูหยางถาม


 


“ผู้นั้นต้องมีอายุต่ำกว่าสามสิบปีและถึงเขตคัมภีร์วิญญาณก่อนพวกเขาจึงจะมีคุณสมบัติ นอกจากนั้นจำนวนผู้เข้าร่วมที่แต่ละนิกายสามารถนำไปได้คือยี่สิบคน”


 


ซูหยางมองไปรอบๆห้องอีกครั้ง


 


นอกจากเขาแล้ว ก็มี ฟางซีหลาน ซุนจิงจิง และศิษย์ในอีกคนที่มีคุณสมบัติสำหรับเข้าร่วมการแข่งขันระดับภูมิภาค ทุกคนที่เหลือนอกนั้นล้วนเป็นศิษย์นอกที่มีพลังการฝึกปรือเพียงเขตปฐมวิญญาณและผู้อาวุโสนิกายที่มีอายุเกิน


 


หลังจากมองไปทั่วยังบรรดาศิษย์นอก ซูหยางก็พลันถาม “พวกเจ้าใครบ้างต้องการเข้าร่วมในการแข่งขันระดับภูมิภาค อย่าเพิ่งคิดว่าไม่มีคุณสมบัติในตอนนี้และเพียงแค่ยกมือเจ้าขึ้น”


 


เหล่าศิษย์นอกพากันสบสายตาซึ่งกันและกัน


 


หลังจากเวลาผ่านไป ไม่กี่คนในบรรดานั้นก็ยกมือขึ้น


 


ซูหยางปล่อยให้เวลาผ่านไปอีกชั่วขณะ ก่อนที่จะพูดว่า “ดีแล้ว ข้าจักช่วยพวกเจ้าในเรื่องนั้น”


 


โหลวหลานจีมองดูเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง


 


“เจ้าจักช่วยพวกเธอให้บรรลุจุดประสงค์ได้อย่างไร” เธอถาม


 


“อย่างไรรึที่ท่านถาม แน่นอนว่าก็ด้วยการร่วมฝึกคู่กับพวกเธอ”


 


ผู้อาวุโสจ้างพลันระเบิดเสียงหัวเราะ


 


“พวกเธอทั้งเจ็ดคนอยู่ระหว่างระดับที่สี่และห้าเขตปฐมวิญญาณ เจ้าบอกข้าว่าเจ้าสามารถช่วยทั้งเจ็ดคนไปให้ถึงเขตคัมภีร์วิญญาณก่อนการแข่งขันระดับภูมิภาคเช่นนั้นรึ”


 


“แน่นอน”


 


ซูหยางพยักหน้าด้วยความมั่นใจ


 


“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”


 


ผู้อาวุโสจ้าวเพิ่มเสียงหัวเราะ กระทั่งผู้อาวุโสซุนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะหึๆ


 


อย่างไรก็ตามทั้งโหลวหลานจีและหลานลี่ชิงไม่ได้หัวเราะ ตามจริงพวกเธอทั้งคู่กลับมีสีหน้าจริงจัง


 


ขณะที่ผู้อาวุโสจ้างอาจจะไม่รู้ ทั้งโหลวหลานจีและหลานลี่ชิงรู้เป็นอย่างดีว่าปราณหยางของซูหยางนั้นมีมากมายเพียงใด ในเมื่อพวกเธอได้มีประสบการณ์มาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลานลี่ชิง


 


ตามจริงหลานลี่ชิงได้เข้าสู่เขตปฐพีวิญญาณอย่างง่ายดายหลังจากที่ได้ร่วมฝึกคู่กับซูหยาง


 


ซูหยางไม่สนใจเสียงหัวเราะของผู้อาวุโสจ้าวแต่หันไปหาโหลวหลานจี


 


“เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็มีคนสิบเอ็ดคนที่สามารถเข้าร่วมในการแข่งขันระดับภูมิภาคแล้ว”


 


โหลวหลานจีไร้คำพูด แต่เธอก็พยักหน้า


 


“ส่วนสำหรับการคัดเลือกหลังจากการแข่งขันระดับภูมิภาค ท่านจักเข้าใจหลังจากที่เวลานั้นมาถึง” ซูหยางกล่าว


 


ซูหยางพลันหันไปหาศิษย์นอกและกล่าวว่า “ข้าจักร่วมฝึกคู่กับพวกสาวเจ้าไปจนถึงการแข่งขันระดับภูมิภาค แต่แน่นอนว่าเจ้าสามารถเลือกปฏิเสธได้”


 


“ศิษย์พี่ชาย ท่านได้ร่วมฝึกคู่กับพวกเรามาก่อนอยู่แล้ว…ทำไมเราจึงต้องมาปฏิเสธตอนนี้”


 


หนึ่งในเหล่าศิษย์นอกหัวเราะหึ รู้สึกว่าการเลือกที่จะอยู่เป็นสิ่งที่ถูกต้องจริงๆ


 


ศิษย์นอกคนอื่นก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ตอนนี้เมื่อศิษย์เกือบทั้งหมดจากไปแล้ว การแข่งขันและเข้าแถวเพื่อที่จะร่วมฝึกคู่กับเขาลดลงไปอย่างมหาศาล


 


“อืม…ศิษย์พี่ชาย…แล้วพวกเราล่ะ”


 


ศิษย์ที่ไม่ได้ยกมือถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล จะเป็นอย่างไรถ้าเขาปฏิเสธที่จะร่วมฝึกคู่กับพวกเธอเพราะว่าพวกเธอไม่ต้องการที่จะเข้าร่วมในการแข่งขัน


 


“มิมีอะไรเปลี่ยน ข้าจักรับพวกเจ้าตราบเท่าที่พวกเจ้าขอร้องและแขนข้าว่าง”


 


ซูหยางมั่นใจว่าเขาสามารถช่วยศิษย์นอกเจ็ดคนบรรลุถึงเขตคัมภีร์วิญญาณภายในหนึ่งอาทิตย์ ดังนั้นย่อมมีเวลาว่างมากมายนักสำหรับเขาสำหรับศิษย์คนอื่น


 


และช่างเป็นเหตุบังเอิญ นอกจากจะมีผู้อาวุโสนิกายไม่กี่คนแล้ว ก็ไม่มีศิษย์ชายเหลืออีก อีกนัยหนึ่งก็คือย่อมไม่มึใครที่จะมาบ่นเรื่องขาดคู่ฝึกไปพักหนึ่ง อย่างน้อยก็จนกว่าพวกเขาได้รับศิษย์นอกมามากกว่าเดิม


 


“ข-ขอบคุณศิษย์พี่ชาย”


 


ผู้อาวุโสจ้าวและผู้อาวุโสซุนมองไปยังสถานการณ์ด้วยสายตาริษยา นึกในใจอย่างเงียบๆว่า “เจ้าเด็กเลวนี่ช่างเก่งกาจนักในการทำให้คนอื่นอิจฉา…”


 


“ข้าจักปล่อยศิษย์เหล่านี้ไว้กับเจ้า ซูหยาง และข้าจักช่วยเหลือเจ้าด้วยทรัพยากรจำนวนมากเท่าที่ข้าสามารถหาได้ ศิษย์ฟาง เจ้าสามารถฝึกฝนเซียวไป่ต่อไป นิกายเราจักต้องพึ่งพาความแข็งแกร่งอันล้ำลึกของเธออย่างมากในอนาคต ส่วนสำหรับผู้อาวุโสนิกาย ข้ามีงานอื่นให้กับพวกท่าน”


 


โหลวหลานจีเริ่มให้คำแนะนำ


 


“ข้ารู้ว่าเกิดเหตุการณ์มากมายในวันนี้ แต่มิว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม อย่าปล่อยให้มันรบกวนจิตของผู้ฝึกยุทธของเจ้า ซึ่งเจ้าจักเพียงประสบกับความยากลำบากต่อไปเท่านั้น”


 


“ขอรับ ผู้นำนิกาย”


 


โหลวหลานจีพยักหน้าและกล่าวว่า “นอกจากผู้อาวุโสนิกายแล้ว พวกเจ้าทุกคนแยกย้ายกันไปได้”


 


อย่างไรก็ตามก่อนที่เหล่าศิษย์จะทันออกไปพ้นจากที่แห่งนั้น โหลวหลานจีพลันกล่าวขึ้นว่า “หยุดก่อน ข้าเกือบลืมไป ในเมื่อพวกเรามีเพียงไม่กี่คนตอนนี้ ข้าต้องการให้พวกเราอยู่ใกล้ชิดกันในกรณีที่จะมีบางอย่างเกิดขึ้น ดังนั้นพวกเราทั้งหมดจักอาศัยในเขตกลางในตอนนี้ ครั้นเมื่อพวกเจ้าเลือกบ้านพักแล้วจงบอกให้ผู้อาวุโสนิกายรู้”


 


เหล่าศิษย์นอกต่างพากันตื่นเต้นขึ้นมาในทันที ในเมื่อไม่มีพวกเธอคนใดได้คิดฝันว่าพวกเธอจะได้ย้ายมาอยู่ในเขตกลางในชีวิตนี้ อย่าว่าแต่ในเร็ววันนี้


 


เมื่อเหล่าศิษย์พากันจากไปทีละคนสองคน ฟางซีหลานก็เข้าไปหาซูหยางและพูดว่า “แม้ว่าข้าต้องการที่จะทำตามแผนของพวกเราตอนนี้ แต่ข้าต้องดูแลเซียวไป่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เธอได้ผ่านมาในวันนี้ อาทิตย์หน้า…ข้าจักไปหาเจ้าแน่นอน”


 


“ใช้เวลาของเจ้าให้ดี” ซูหยางพยักหน้า


DC บทที่ 267: นิกายที่ร่ำรวยที่สุดในภาคตะวันออก


 


ครั้นเมื่อศิษย์ทุกคนจากไปแล้ว โหลวหลานจีก็โค้งคำนับผู้อาวุโสนิกายในห้องและกล่าวว่า “อีกครั้ง ข้าจักต้องขออภัยสำหรับความไร้สามารถของข้า”


 


ผู้อาวุโสจ้าวส่ายหน้าและกล่าวว่า “ท่านมิต้องขอโทษกับความละโมบของผู้อื่น ถ้าจักต้องกล่าวโทษ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความผิดของนิกายล้านอสรพิษ”


 


“ผู้อาวุโสจ้าวกล่าวถูกต้อง ผู้นำนิกาย อย่ากล่าวโทษตัวเองสำหรับเรื่องเหล่านี้…”


 


“ถ้าท่านกล่าวโทษตัวเอง ท่านผู้นำนิกาย เช่นนั้นข้าเองก็จักต้องกล่าวโทษตัวเองด้วย ในเมื่อข้าเองก็มิมีความสามารถในการปกป้องเหล่าศิษย์ในเวลาเช่นนี้”


 


“พวกท่าน…” โหลวหลานจีเกือบน้ำตาตกเมื่อได้ยินคำพูดของพวกเขา


 


“บางทีสถานการณ์นี้อาจจะเป็นโชคดีที่แฝงตัวมา มิเพียงแต่เราประสบกับความโหดร้ายที่แท้จริงของโลกนี้แต่เรากลับยังคงรอดอยู่ และนั่นจักทำให้พวกเราทุกคนแข็งแกร่งขึ้น แม้ว่าพวกเราได้สูญเสียเหล่าศิษย์เกือบทั้งหมดแต่เราก็ยังสามารถรับเพิ่มขึ้นมาใหม่ได้แม้ว่ามันอาจจะต้องใช้เวลาสักพัก ยิ่งมิต้องพูดถึงว่าพวกเรายังคงมีศิษย์ที่มีพรสวรรค์เหลืออยู่เป็นจำนวนมาก และนี่รวมไปถึงทุกท่านที่นี่ด้วยเช่นกัน”


 


โหลวหลานจีพลันนำเอาแหวนมิติออกมาหนึ่งวงและกล่าวขึ้นว่า “นี่เป็นวิธีที่ข้าจักแสดงถึงความขอบคุณ ขอบคุณที่อยู่อย่างภักดีแม้กระทั่งในเวลาที่เหมือนกับจุดจบ ขอบคุณ…”


 


หลังจากที่พูดคำกล่าวเหล่านี้แล้ว โหลวหลานจีก็เททุกสิ่งที่อยู่ภายในแหวนมิติลงบนโต๊ะตรงหน้าพวกเขา


 


“น-น-นี่คือ…”


 


ทุกคนที่นั่นต่างพากันจ้องมองด้วยสีหน้าตื่นตะลึงกับสมบัติวิญญาณหลายสิบชิ้นและวิชายุทธที่กองอยู่บนโต๊ะ


 


“ส-สวรรค์ ท่านได้ส่ิ่งเหล่านี้ทั้งหมดมาจากไหน ท่านผู้นำนิกาย”


 


ผู้อาวุโสจ้างพลันตระหนักว่าสมบัติบนโต๊ะล้วนเป็นสมบัติวิญญาณทั้งสิ้น แต่ที่สร้างความตื่นตระหนกให้กับเขายิ่งกว่าเดิมก็เพราะว่าเขาไม่เคยเห็นวัตถุวิญญาณมากมายเช่นนี้รวมตัวกันอยู่ในที่เดียวมาก่อน


 


“นั่นเป็นของขวัญจากผู้อาวุโสคนเดียวกันที่ปกป้องพวกเราจากนิกายล้านอสรพิษ” เธอกล่าว


 


“อย่างไรก็ตาม พวกท่านสามารถเข้ามาหยิบหนึ่งในสมบัติวิญญาณเหล่านี้และวิชาฝีมือจากบนโต๊ะนี้ พวกท่านสามารถเก็บสมบัติวิญญาณไว้ แต่ข้าจำเป็นต้องขอคืนวิชาฝีมือหลังจากที่ท่านได้จำเนื้อหาทุกสิ่งที่อยู่ภายในนั้นเรียบร้อยแล้ว ในเมื่อมันจักได้ใช้แบ่งปันกับศิษย์ทุกคน”


 


ผู้อาวุโสนิกายมองดูโหลวหลานจีด้วยดวงตาเบิกกว้าง โดยหลักแล้วพวกเขาไม่อยากเชื่อว่าเธอเป็นคนใจกว้างกับสมบัติวิญญาณเหล่านี้เพียงใด


 


อย่างไรก็ตามครั้นเมื่อผู้อาวุโสนิกายหยิบม้วนวิชาฝีมือและเห็นเนื้อหาข้างในจริงๆของมัน ดวงตาของพวกเขาก็เกือบถลนออกมาด้วยความตระหนก


 


“น-น-นี่มันเป็นวิชาฝีมือระดับปฐพี”


 


ผู้อาวุโสซุนอ้าปากค้างเมื่อเขาตระหนักว่าอะไรที่เขาถืออยู่ในมือ


 


วิชาระดับปฐพีเพียงแค่ต่ำกว่าวิชาระดับสวรรค์ที่มีเพียงสถานที่เช่นนิกายล้านอสรพิษจึงจะมี พวกเขาไม่ควรจะมีมากกว่าหนึ่งหรือสองเท่านั้น


 


“นี่ก็เป็นวิชาระดับปฐพีเช่นกัน”


 


ผู้อาวุโสนิกายอีกคนอ้าปากค้างเมื่อเธออ่านเนื้อหา


 


“มีมากกว่าหนึ่งเหรอนี่”


 


“ข-ข้าก็มีอีกหนึ่ง”


 


ผู้อาวุโสนิกายอีกคนพูด


 


โหลวหลานจียิ้มเมื่อเห็นปฏิกิริยาตื่นเต้นของพวกเขา


 


“วิชาฝีมือทั้งหมดมีระดับปฐพีแปดเล่ม ระดับวิญญาณสิบห้าเล่ม ระดับมนุษย์ยี่สิบเจ็ดเล่มในกองนั้น”


 


โหลวหลานจีเผยให้พวกเขาเห็นถึงจำนวนที่แท้จริง


 


“ระดับปฐพีแปดเล่มเลยรึ”


 


ผู้อาวุโสจ้าวกรามตกลงไปถึงพื้นเมื่อได้ยินจำนวนนั้น


 


“นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด”


 


โหลวหลานจีดำเนินการพูดต่อไปด้วยเสียงโอ้อวด “ทั้งหมดนี้มาจากเพียงหนึ่งในจำนวนแหวนมิติ”


 


“นี่ช่างไม่น่าเชื่อ…ด้วยเพียงกองสมบัตินี้ เราก็ร่ำรวยเทียบเท่ากับนิกายล้านอสรพิษ และถ้าหากว่านี่เป็นเพียงแค่หนึ่งในแหวนมิติอีกหลายวง…ข้าคงมิประหลาดใจถ้าพวกเราตอนนี้เป็นผู้ร่ำรวยที่สุดในภาคตะวันออก”


 


ผู้อาวุโสจ้าวปาดเหงื่อที่เกิดขึ้นบนหน้าผากจากการคิดเกี่ยวกับความร่ำรวยที่เพิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขา


 


หลังจากผ่านไปหลายนาทีในการมองหาทั่วกองสมบัติ ผู้อาวุโสนิกายทั้งยี่สิบคนในห้องก็ได้หยิบสมบัติวิญญาณและวิชาฝีมือไปอย่างละหนึ่งต่อคน


 


“ตอนนี้เมื่อพวกท่านทั้งหมดได้เลือกวิชาฝีมือแล้ว ข้าต้องการให้ท่านฝึกฝนมันและเป็นกำลังอันแข็งแกร่งสำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย และเมื่อนิกายล้านอสรพิษกลับคืนมา ข้าต้องการให้พวกท่านทุกคนสามารถปกป้องเหล่าศิษย์ได้อย่างเหมาะสม”


 


“ขอรับ ผู้นำนิกาย”


 


หลังจากที่พูดกับผู้อาวุโสนิกายอีกสองสามนาทีจากนั้น โหลวหลานจีก็ให้พวกเขาแยกย้ายกันไป ปล่อยให้เธออยู่คนเดียวในห้องอบรม


 


“สุดท้ายข้าก็อยู่คนเดียว เฮ้อ”


 


โหลวหลานจีนั่งลงบนที่เก้าอี้ที่อยู่ใกล้ๆ รู้สึกอ่อนแอถึงที่สุด


 


แม้ว่าจะเห็นเหมือนว่าเธอยังสบายดีก่อนหน้านั้น โหลวหลานจีก็ยากที่จะประคองตัวจากการล้มลงเนื่องจากความเครียดและหมดเรี่ยวแรงตลอดช่วงเวลานี้ ในเมื่อเธอไม่ต้องการให้เหล่าศิษย์กังวลเกี่ยวกับเธอมากกว่าที่เธอเป็นอยู่ไปกว่านี้


 


ยิ่งไปกว่านั้น การที่พลันมีจำนวนศิษย์ลดลงอย่างมหาศาลเป็นเหตุให้เกิดความเสียใจต่อเธออย่างใหญ่หลวง


 


หลังจากนั่งลงไปไม่กี่วินาที โหลวหลานจีก็รู้สึกว่าสติสัมปชัญญะของเธอค่อยๆหลุดลอยไป


 


เวลาต่อมาโหลวหลานจีก็หล่นลงจากเก้าอี้สู่พื้นโดยที่ดวงตาของเธอยังคงหลับอยู่ เห็นชัดว่าเธอตกอยู่ในการหลับลึกจนกระทั่งเธอไม่รู้สึกว่าตัวเธอเองกระทบพื้น


 


ไม่กี่วินาทีหลังจากที่โหลวหลานจีล้มนอนกับพื้น ร่างผอมร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นภายในห้องอบรม


 


นั่นคือซูหยาง และเขาก็ได้รอถึงเวลานี้


 


แม้ว่าโหลวหลานจีสามารถที่จะหลอกลวงศิษย์ทั้งหมดและกระทั่งผู้อาวุโสนิกายด้วยการแสดงของเธอ ซูหยางกลับเห็นซึ้งทุกสิ่งอย่างง่ายดาย


 


ซูหยางตรงเข้าไปหาร่างของโหลวหลานจีอย่างเยือกเย็นและอุ้มเธอขึ้นในท่าอุ้มเจ้าหญิง และเขาได้ใช้ก้าวเก้าดาราโอบอุ้มร่างเธอไปตลอดทางจากห้องอบรมสู่ศาลาหยินหยางที่ซึ่งเขาได้วางร่างเธอลงอย่างนิ่มนวลบนเตียงของเธอ


 


ครั้นเมื่อเขาวางร่างโหลวหลานจีบนเตียงของเธอแล้ว เขาก็จ้องมองใบหน้าที่กำลังพักผ่อนของเธออยู่อย่างเงียบๆ ดูเหมือนว่าตกอยู่ในการครุ่นคิดอยู่อย่างลึกๆ


 


หลังจากยืนอยู่ที่นั่นอีกสองสามนาที ซูหยางก็ออกไปจากสถานที่นั้นอย่างเงียบๆกลับไปยังที่พักของเขาเองที่เขตศิษย์นอก ที่ซึ่งเซียวลี่ได้รอเขาอยู่


 


“ไปกันเถอ เซียวลี่ เราย้ายที่กัน”


 


เซียวลี่พยักหน้าและกลืนกินยาแปลงโฉม เปลี่ยนจากรูปโฉมอันไร้ที่ติไปเป็นแค่เด็กหญิงธรรมดา


 


หลังจากนั้นไม่กี่นาที พวกเขาทั้งคู่ก็ออกจากบ้านและตรงไปยังเขตกลางเพื่อหาบ้านใหม่


DC บทที่ 268: ควางกังวลของหวังชูเหริน


 


ขณะที่ซูหยางและศิษย์อื่นเดินไปรอบๆเขตกลางเพื่อหาบ้านใหม่นั้น โลกภายนอกนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็เริ่มรับรู้ถึงสถานการณ์ของพวกเขา


 


และภายในไม่กี่ชั่วโมง ข่าวของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยสูญเสียศิษย์ทั้งหมดก็ได้แพร่สะพัดไปทั่วภาคตะวันออก


 


ที่ยิ่งเหมือนตบหน้านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไปมากกว่านั้นก็คือบรรดาศิษย์ที่ได้ออกมาต่างก็พากันหาสำนักใหม่เข้าร่วมราวกับว่าพวกเขาไม่ได้รู้สึกอะไรกับการที่ทอดทิ้งนิกายเดิม


 


อย่างไรก็ตามเพราะเหตุนี้ ศิษย์เก่าต่างพากันปลอมชื่อเปลี่ยนแซ่เมื่อพยายามที่จะหาสำนักใหม่ เมื่อพวกเขาไม่ต้องการให้สำนักใหม่เห็นพวกเขาเป็นคนที่ไม่สามารถเชื่อถือได้ในเรื่องความซื่อสัตย์


 


ส่วนศิษย์เก่าที่พอมีชื่อเสียงอยู่บ้างนั้น พวกเขาก็ไม่ได้มีทางเลือกมากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิษย์หลักดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่พยายามที่จะเข้าร่วมด้วยตัวตนที่แท้จริง


 


กล่าวไปแล้วเพราะว่าพวกเขามีพลังการฝึกปรือสูงตั้งแต่อายุยังน้อย สำนักที่พวกเขาต้องการเข้าร่วมก็ไม่ได้ปฏิเสธพวกเขาแม้ว่าจะมีสถานภาพของผู้ทรยศ ตามจริงพวกเขากลับยิ่งยินดีต้อนรับอย่างอบอุ่น


 


แต่ก็ยังมีศิษย์เก่าบางคนที่ถูกปฏิเสธในตอนแรก แต่ครั้นเมื่อเสนอบริการทางเพศด้วยร่างกายสำหรับการยอมรับเข้าร่วมสำนัก ผู้อาวุโสสำนักที่ทำหน้าที่ลงทะเบียนต่างก็พากันยินดีรับสินบน อย่างไรก็ตามกลยุทธประเภทนี้แน่นอนว่าใช้ได้เฉพาะหญิงเท่านั้น ส่วนผู้ชายที่ไม่ได้มีเสน่ห์แบบนี้ พวกเขาได้แต่กัดฟันด้วยความหงุดหงิดเท่านั้น


 


ในเวลานั้นที่นิกายดอกบัวเพลิง เมื่อหวังชูเหรินได้ยินข่าวนี้ เธอก็เกือบไม่เชื่อ


 


“นิกายล้านอสรพิษโจมตีนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยรึ”


 


ถ้าเธอนึกให้ดี นั่นเป็นที่ที่ซูหยางอยู่


 


หลังจากที่รู้ข่าวนี้ หวังชูเหรินพลันแจ้งนิกายดอกบัวเพลิงว่าเธอจะไปเยี่ยมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย เธอกังวลว่าจะมีบางสิ่งเกิดขึ้นกับซูหยางและเธอต้องการเห็นสถานการณ์ด้วยตัวเธอเอง


 


ในสายตาของเธอแม้ว่าเขาจะท้าทายตรรกะใด นั่นก็ยังไม่มีทางที่เขาจะรับมือนิกายล้านอสรพิษที่มีทั้งพลังอำนาจและชื่อเสียงได้


 


ผู้นำนิกายดอกบัวเพลิงพยายามหว่านล้อมเธอให้ทิ้งความคิดโง่ๆนั้นในตอนแรก แต่หวังชูเหรินยืนยันว่าเธอจะไปไม่ว่าเขาจะพูดอะไรก็ตาม จนทำให้ผู้นำนิกายไม่มีทางเลือกอื่นได้แต่ให้คนอื่นตามไปปกป้องเธอ เพราะว่าพวกเขาไม่อาจที่จะเสี่ยงสูญเสียคนที่มีค่าดังเช่นหวังชูเหริน


 


“ก็ได้ เจ้าสามารถไปที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้ แต่นั่นจักต้องมีคนตามเจ้าไปด้วย ถ้าเจ้ามิอาจยอมรับเงื่อนไขนี้ เจ้าก็ต้องข้ามศพข้าไปก่อนออกจากที่แห่งนี้”


 


หวังชูเหรินถอนใจ “ถ้าพวกนั้นทำให้ข้าช้าลง ข้าก็จักทิ้งพวกเขาไว้ด้านหลัง”


 


ผู้นำนิกายพลันเรียกจอมยุทธที่มีพลังการฝึกปรือล้ำลึกกว่ายี่สิบคนตามเธอไป


 


หนึ่งในคนเหล่านี้ที่ตามหวังชูเหรินก็คือผู้อาวุโสสูงหาน แม้ว่าเขาไม่อยากตามเธอไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่ซึ่งซูหยางอาจจะอยู่ที่นั่น เขาก็ได้แต่กัดฟันทนในครั้งนี้


 


“ทำไมเจ้าจึงต้องการไปเยี่ยมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยในตอนนี้ในเมื่อพวกเรายังมิมีข่าวคราวเกี่ยวกับสถานการณ์ที่นั่นแม้สักอย่างเดียว สิ่งที่เรารู้ก็คือนิกายล้านอสรพิษอาจจะยังอยู่ที่นั่น จักเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาเข้าใจพวกเราผิดว่าเป็นกองหนุนของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย จักเหมือนเพียงเราขุดหลุมฝังศพตนเองในการไปที่นั่น และถึงแม้ว่านิกายล้านอสรพิษมิได้อยู่ที่นั่นต่อไปแล้ว นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็คงจะสิ้นไปนานแล้วกว่าเราจะไปถึงที่นั่น ผู้อาวุโสหวัง ข้าแนะนำว่าเจ้าควรคิดเรื่องนี้อีกครั้ง”


 


ผู้อาวุโสหานพยายามเกลี้ยกล่อมเธอให้อยู่ในนิกายดอกบัวเพลิงอย่างสิ้นหวัง


 


“มิมีปัญหาถ้าท่านมิต้องการไป ผู้อาวุโสหาน” หวังชูเหรินส่ายหน้า


 


และโดยไม่รอให้ผู้อาวุโสสูงหานตอบ เธอก็เริ่มมุ่งหน้าตรงไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย


 


ผู้อาวุโสสูงหานถอนใจและตามเธอไปหลังจากนั้นไม่นานโดยไม่ปริปากออกมาอีกตลอดการเดินทาง ในเมื่อเขารู้ว่านั่นเพียงทำให้เสียลมปากไปเปล่าๆ


 


อีกคนที่กังวลเกี่ยวกับซูหยางที่อยู่ในนิกายดอกบัวเพลิงก็คือจางซิวยิง ซึ่งแทบจะไม่ได้นั่งติดพื้นหลังจากที่รู้ว่ามีการโจมตี และถึงแม้ว่าเธอก็ต้องการที่จะไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเช่นเดียวกับหวังชูเหริน เธอก็รู้ว่าต่อให้เธอไป นั่นก็ไม่มีอะไรที่เธอจะสามารถทำให้เขาได้ ดังนั้นเธอได้แต่สวดภาวนาอย่างเงียบๆเพื่อให้เขาปลอดภัย


 



 



 



 


สามวันผ่านไปนับตั้งแต่ข่าวนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย “ล่มสลาย” ได้แพร่กระจายไปทั่วโลก และตอนนี้ตลอดทั่วทั้งภาคตะวันออกก็ได้ยินเรื่องนี้อย่างน้อยหนึ่งครั้ง อย่างไรก็ตามคนส่วนใหญ่ที่ได้ยินข่าวนี้ก็ยิ่งสนใจในวิญญาณพิทักษ์และนิกายล้านอสรพิษยิ่งกว่าการล่มสลายของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย


 


ตามจริงแล้วผู้คนต่างมองอย่างมั่นใจว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยต้องล้มตายโดยไม่จำเป็นต้องตรวจสอบ เพราะว่าไม่มีทางที่สถานที่เล็กๆเช่นนั้นจะรอดพ้นจากการโจมตีจากนิกายล้านอสรพิษได้ ต่อให้อีกล้านปีให้หลังก็ตาม


 


อีกมุมหนึ่งนอกจากนิกายดอกบัวเพลิงแล้วก็ไม่มีกลุ่มอำนาจใดจากภาคพื้นตะวันออกที่สนใจจะไปเยี่ยมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเพื่อดูว่าพวกเขาได้รอดพ้นจากการโจมตีของนิกายล้านอสรพิษหรือไม่


 


ครั้นเมื่อนิกายดอกบัวเพลิงไปถึงนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย พวกเขาก็ต้องมึนงงกับสภาพที่สงบเรียบร้อยอย่างสมบูรณ์ที่นั่น


 


อย่างไรก็ตามที่สร้างความประหลาดใจให้กับพวกเขามากที่สุดก็คือนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเอง ในเมื่อสถานที่นั่นดูไม่เหมือนกับว่าถูกโจมตีแม้แต่น้อย


 


“เกิดอะไรขึ้น หรือว่าข่าวทั้งหมดนั่นเป็นข่าวลวงมาโดยตลอด”


 


บางคนถาม


 


“นั่นมิน่าเป็นไปได้…ใช่ไหม นั่นจักต้องเป็นเหตุให้เกิดความโกรธแค้นอย่างหนักถ้าว่านั่นเป็นความจริง…”


 


อีกคนสงสัย


 


“เชอะ ลืมเรื่องนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมีวิญญาณพิทักษ์ไปก่อน ข้าควรรู้ว่านี่เป็นเรื่องงี่เง่าเมื่อพวกเขากล่าวถึงนิกายล้านอสรพิษ ว่าไปแล้วทำไมพวกเขาจะต้องมาที่นี่ตั้งแต่แรก”


 


“ทำไมพวกเขาจึงต้องหลอกลวงอะไรเช่นนี้ด้วย…” ผู้อาวุโสสูงหานขมวดคิ้ว “เช่นนั้นเจ้าจะอธิบายเหตุการณ์ที่บรรดาศิษย์หลบหนีจากที่แห่งนี้ไปได้อย่างไร เพราะว่านั่นเป็นสิ่งที่ได้เกิดขึ้นแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ข้ามิรู้สึกว่ามีผู้คนในสถานที่นี้เลยในตอนนี้…”


 


“ท่านพูดถูก…มันเงียบผิดปกติที่นี่…”


 


นิกายดอกบัวเพลิงไร้คำพูด เกิดอะไรขึ้นกันแน่ที่นี่ หรือว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยกล้าที่จะเล่นตลกไร้สาระแบบนี้กับภาคตะวันออกทั้งหมดจริง แต่นั่นพวกเขาจะได้อะไรจากความบ้าคลั่งนั้น

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม