Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน 255-261

 DC บทที่ 255: ประสิทธิภาพของหญ้าเงินเจ็ดใบ


 


ทั้งโหลวหลานจีและฟางซีหลานปิดหูเมื่อเซียวไป่คำราม รู้สึกเหมือนกับว่าโลกทั้งโลกสั่นสะเทือนในเวลานั้น


 


“เซียวไป่ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า” ฟางซีหลานร้องตะโกน รู้สึกค่อนข้างกลัวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อบรรยากาศในที่นั้นพลันเปลี่ยนเป็นน่าหวาดกลัว รู้สึกเหมือนกับว่ามันเป็นช่วงเวลาตัดสินความเป็นตาย


 


อย่างไรก็ตามเซียวไป่ไม่สนใจฟางซีหลานและยังคงคำรามอย่างต่อเนื่อง ดวงตาของเธอเปล่งแสงสีเงิน ขนสีขาวของเธอตั้งตรงราวกับแมวที่กำลังหวาดกลัว


 


ในเวลานั้นซูหยางหันไปมองยังทิศทางบ้านของฟางซีหลานและคิดในใจ “ข้าลืมเตือนเธอว่าเสือหิมะจะเกิดความเร่าร้อนขึ้นเล็กน้อยหลังจากกินหญ้าเงินเจ็ดใบ…โอ ช่างเถอะ”


 


หลังจากยักไหล่แล้วซูหยางก็เดินกลับไปยังที่พักของตนเองต่อไป สิ่งที่เกิดขึ้นกับเซียวไป่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาอีกต่อไปแต่เป็นปัญหาของฟางซีหลานที่ต้องจัดการ


 


ภายในที่พักของฟางซีหลาน เซียวไป่ค่อยคืนกลับสู่สภาพปกติหลังจากคำรามอีกสองสามครั้ง หลังจากกินหญ้าเงิน เธอก็แค่รู้สึกอยากปลดปล่อยพลังส่วนเกินออกจากร่างเพราะว่าพลังปราณไร้ลักษณ์ในหญ้าเงินเจ็ดใบทำให้ร่างกายของเธอรู้สึกเร่าร้อนมากขึ้นเล็กน้อย


 


“ซ-เซียวไป่…เจ้าใจเย็นลงแล้วหรือยัง” ฟางซีหลานพูดด้วยหัวกระเซิง รู้สึกเหมือนว่าเธอเพิ่งลุกออกมาจากเตียงหลังจากค่ำคืนอันเลวร้าย


 


เซียงไป่พยักหน้าด้วยสีหน้าสดชื่น


 


“เกิดอะไรขึ้นเมื่อกี้นี้” โหลวหลานจีอดที่มองดูเซียวไป่ด้วยสีหน้าประหลาดใจไม่ได้


 


การที่มันมีพลังการฝึกปรืออยู่เพียงอยู่ในเขตปฐมวิญญาณและสามารถเป็นเหตุให้ผู้กล้าเขตปฐพีวิญญาณเช่นเธอรู้สึกกดดันได้ พลังอำนาจของวิญญาณพิทักษ์ช่างลึกล้ำและยากต่อกรด้วยอย่างแท้จริง


 


อย่างไรก็ตามนี่ยิ่งทำให้โหลวหลานจีตื่นเต้นไปกับอนาคตของเซียวไป่ยามเมื่อมันเติบโตเต็มที่


 


“ข้ามิรู้ นี่ก็เป็นครั้งแรกของข้าที่เห็นเธอเป็นเช่นนี้” ฟางซีหลานกล่าว


 


หลังจากครุ่นคิดไปชั่ววินาที เธอก็พูดต่อว่า “บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าเธอกินหญ้าเงิน ปริมาณปราณไร้ลักษณ์ที่เธอปล่อยออกมาเมื่อกี้มากกว่าตอนที่เธอเคยปลดปล่อยตามปกติ”


 


โหลวหลานจีกลืนน้ำลาย เธอพึมพัมออกมาโดยไม่รู้ตัว “จะเป็นอย่างไรถ้ามนุษย์เรากินหญ้าเงินเจ็ดใบบ้าง”


 


ฟางซีหลานได้ยินเสียงกระซิบของอีกฝ่ายและตอบว่า “ข้าได้ถามคำถามเดียวกัน แต่ซูหยางเตือนข้าว่ามนุษย์เราไม่สามารถกินมันได้นอกจากว่าพวกเขาอยากตาย”


 


“ย-อย่างนั้นรึ…”


 


ครั้งเมื่อสถานที่นั้นเงียบลงแล้ว ฟางซีหลานก็เข้าไปตรวจสภาพร่างกายของเซียวไป่


 


“เจ้านิกาย พลังการฝึกปรือของเซียวไป่ได้ถึงเขตคัมภีร์วิญญาณแล้ว เธอได้ก้าวข้ามไปเมื่อกี้ และเธอก้าวไปได้ถึงระดับสามเขตคัมภีร์วิญญาณ”


 


ฟางซีหลานประกาศออกมาอย่างมีความสุข


 


“จริงรึ นั่นช่างเป็นข่าวใหญ่” ใบหน้าโหลวหลานจีก็ฉายไปด้วยความตื่นเต้นเมื่อได้ยินข่าว


 


“หญ้าเงินเจ็ดใบนี้ช่างมีผลลัพธ์ที่ไม่น่าเชื่อ…ข้ายังคงรู้สึกยากที่จะเชื่อว่าหญ้าใบเดียวจะสามารถเพิ่มพลังเซียวไป่จากระดับสูงสุดของเขตปฐมวิญญาณไปเป็นระดับสามเขตคัมภีร์วิญญาณในขณะที่แก่นพลังสัตว์อสูรหลายสิบใบยังยากที่จะเติมท้องของเธอได้”


 


“ซูหยางคนนี้…เมื่อคิดว่าเขาสามารถสร้างสิ่งอื่นขึ้นมาได้นอกจากน้ำมันรัญจวนที่มีผลล้ำลึกปานนั้น…ไม่ว่าใครก็ต้องคิดสงสัยว่าเขามีไม้ตายอะไรซุกซ่อนอยู่อีก” โหลวหลานจีแอบถอนหายใจ


 


หลังจากที่เห็นเซียวไป่เพิ่มพลังอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งโหลวหลานจีและฟางซีหลานไม่ได้มีเสี้ยวของความสงสัยถึงการที่เซียวไป่จะเติบโตเต็มวัยภายในเวลาเดือนเดียวอีก


 


อย่างไรก็ตามสิ่งที่ไม่น่าเชื่อยิ่งกว่าประสิทธิภาพของหญ้าเงินเจ็ดใบย่อมเป็นความสามารถของซูหยางที่สามารถเพาะปลูกทรัพยากรเช่นนั้น


 


ความสามารถของเขาที่สามารถอธิบายได้เพียงว่าท้าทายสวรรค์ทำให้โหลวหลานจีครุ่นคิดความหมายของชีวิตในเมื่อทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเขาท้าทายความรู้และความคาดหมายของเธอ


 


“เริ่มจากที่เขาเอาชีวิตรอดจากการกินดอกหยางพิสุทธิ์…หลังจากนั้นพลังการฝึกปรือของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว…กลเม็ดระดับเทพเจ้า และตอนนี้เขาเป็นนักปรุงยาที่มีความสามารถสุดจะหยั่ง…”


 


ทุกสิ่งเกี่ยวกับซูหยางทำให้โหลวหลานจีคิดว่าเขาเป็นผู้เก่งกล้ามากประสบการณ์แทนที่จะเป็นเด็กหนุ่มที่มีอายุและประสบการณ์เพียง 16 ปี ซึ่งไม่มีทางเป็นไปได้ที่คนอายุ 16 ปีจะรู้หลายสิ่งหลายอย่างที่ต้องใช้เวลาหลายร้อยหลายพันปีเพื่อที่จะเชี่ยวชาญมัน


 


ตามจริง โหลวหลานจีได้เริ่มเชื่อว่าซูหยางอาจจะเป็นนักปรุงยาผู้ทรงอำนาจอย่างไม่น่าเชื่อที่กลับมาเกิด คนที่ได้ลิ้มลองหญิงมามากมายในชีวิตก่อน


 


“ซูหยางได้พูดอะไรก่อนจากไปหรือไม่” โหลวหลานจีตัดสินใจถามฟางซีหลาน


 


“…”


 


ฟางซีหลานอ้าปากแต่ก็หุบลงทันควัน เกือบเปิดเผยพลังการฝึกปรือของซูหยางที่อยู่ในเขตปฐพีวิญญาณออกไป


 


“เจ้านิกายได้รู้ถึงพลังการฝึกปรือของเขาหรือยัง…”


 


“ศิษย์ฟาง” โหลวหลานจีเลิกคิ้วหลังจากที่ฟางซีหลานยังคงเงียบไปชั่วขณะ


 


หลังจากครุ่นคิดไปชั่วขณะ ฟางซีหลานก็ตัดสินใจเก็บซ่อนความจริงที่ว่าซูหยางได้ถึงเขตปฐพีวิญญาณในขณะที่ยังเป็นศิษย์ในไว้เป็นความลับ บางสิ่งจะดีกว่าถ้าเก็บไว้โดยไม่พูดถึง


 


“นอกจากขอให้ข้าร่วมฝึกวิชากับเขา เขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก”


 


สุดท้ายฟางซีหลานก็พูดขึ้น


 


“อะไรกัน ซูหยางชวนเจ้าให้ร่วมฝึกกับเขารึ เจ้าตอบว่าอย่างไร”


 


ปกติแล้วโหลวหลานจีย่อมไม่รบกวนกับธุระอะไรแบบนั้น แต่เมื่อใช้ซูหยางเป็นหัวข้อ เธอก็อดถามไม่ได้


 


ฟางซีหลานพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าตกลง เราจักพบกันที่ห้องสวีทแห่งศลิษาสี่วันนับจากนี้”


 


“อย่างนั้นรึ…”


 


“ท่านเจ้านิกายคุ้นเคยกับเขาหรือเปล่า หากเป็นเช่นนั้นท่านสามารถพูดเกี่ยวกับเขาให้ข้าฟังมากกว่านี้” ฟางซีหลานพลันถาม


 


“อะไรกันนี่ ศิษย์ฟางของเราเกิดความสนใจศิษย์ในธรรมดาจริงรึ ดีล่ะข้าจะบอกเจ้าทั้งหมดเกี่ยวกับคนเจ้าอุบายและนิสัยเสียคนนี้…”


 


โหลวหลานจีเริ่มพูดจาใส่ร้ายป้ายสีเกี่ยวกับซูหยาง พูดถึงว่าเขามักจะหยิ่งยะโสและวางแผนอย่างโน้นอย่างนี้อย่างไร


 


ฟางซีหลานนั่งฟังอยู่ที่นั่นและเธอก็อดสังเกตไม่ได้ว่าโหลวลานจีดูท่าทางมีชีวิตชีวาเมื่อพูดถึงซูหยางแม้ว่าจะพูดไม่ดีใส่เขา ราวกับว่าเธอพูดเกี่ยวกับคนรักเก่าอะไรแบบนั้น


DC บทที่ 256: นิกายล้านอสรพิษ


 


ขณะที่โหลวหลานจีพูดจาว่าร้ายป้ายสีซูหยางให้ฟางซีหลานฟังราวกับว่าเป็นคนรักเก่าของเขาอยู่นั้น ที่แห่งหนึ่งในนิกายล้านอสรพิษ หนึ่งในนิกายระดับสูงภายในทวีปตะวันออก ก็มีการประชุมเกิดขึ้น


 


“ตามข่าว เจ้ามั่นใจหรือว่าสุดท้ายเราก็พบตำแหน่งของวิญญาณพิทักษ์”


 


เจ้านิกายของนิกายล้านอสรพิษกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียดขณะที่เขากวาดสายตาไปยังผู้อาวุโสนิกายที่นั่งรอบตัวเขา


 


“นั่นถูกต้องแล้ว พวกเราได้รับรายงานเมื่อไม่กี่นาทีก่อนจากคนของเราที่ตั้งสถานีอยู่ภาคตะวันออก และรายงานระบุว่าเขารู้สึกถึงปราณไร้ลักษณ์ของวิญญาณพิทักษ์อยู่ใกล้แถวเมืองกุสุมาลย์” หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายกล่าว


 


“เมืองกุสุมาลย์ หือ ทุกคนได้รวมตัวกันบริเวณนั้นและเริ่มค้นหาวิญญาณพิทักษ์จากที่นั่นหรือยัง ข้าต้องการค้นหาทุกซอกทุกมุม ไม่มีข้อยกเว้น”


 


ผู้นำนิกายสั่ง


 


“ได้ขอรับ”


 


ผู้อาวุโสนิกายคนนั้นคารวะก่อนที่จะจากไปเพื่อทำภารกิจให้สำเร็จ


 


ยามเมื่อผู้อาวุโสนิกายจากไป ผู้นำนิกายก็พูดต่อว่า “สุดท้ายหลังจากที่ค้นหามาหลายเดือน เราก็พบเจ้าตัวบ้านั่น”


 


นิกายล้านอสรพิษพบเจอวิญญาณพิทักษ์นี้โดยบังเอิญเมื่อสองสามเดือนก่อน และพวกเขาก็พยายามค้นหาเบาะแสของมันนับแต่นั้น อย่างไรก็ตามเพราะว่าธรรมชาติของวิญญาณพิทักษ์จะหลบหลีกจากเทคนิคการค้นหาและติดตามทุกอย่าง นิกายล้านอสรพิษจึงวิ่งวุ่นเหมือนคนตาบอดมาจนถึงวันนี้


 


“ถ้าพูดถึงเมืองกุสุมาลย์ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ถือว่าเป็นผู้ดูแลสถานที่นั้นอยู่ และข้าก็ต้องการให้ใครสักคนจากห้องนี้ไปเยี่ยมพวกเขาสักครั้ง บางทีพวกเขาอาจจะซ่อนวิญญาณพิทักษ์ไว้” เจ้านิกายกล่าว


 


“จะเป็นอย่างไรถ้าพวกเขามีวิญญาณพิทักษ์จริงๆ”


 


บางคนถาม


 


“นั่นยังมิชัดเจนอีกหรือที่ว่าเราต้องทำอะไร ถึงแม้ว่าเราจักต้องใช้กำลัง เราก็จักให้พวกเขายื่นส่งมันมาให้เราให้ได้”


 


ผู้คนในห้องต่างเริ่มหัวเราะฉีกยิ้มโหดเหี้ยมบนใบหน้า


 


“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอาจจะมีชื่อเสียงในพลังการฝึกปรือโดยรวมที่สูง แต่วิชาที่พวกเขารู้ก็เพียงวิชาร่วมรักสำหรับใช้บนเตียง ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีอันตรายคุกคามใดๆกับพวกเรา”


 


นิกายล้านอสรพิษยินดีทำสงครามกับนิกายกุสุมายล์พ้นพิสัยถ้านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมีวิญญาณพิทักษ์ที่พวกเขากำลังมองหา


 


“ข้าจักเป็นคนไปพบนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเอง”


 


หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายยืนขึ้นและกล่าว และที่รายล้อมรอบร่างสูงใหญ่นี้เป็นรัศมีของคนที่อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณ


 


“ผู้อาวุโสวัน เฮอะ ดีมาก ข้ายจักปล่อยเรื่องนี้ให้กับเจ้า”


 


เจ้านิกายพยักหน้า


 


หลังจากนั้นไม่กี่นาที การประชุมก็จบลง


 



 



 



 


หลังจากนั้นสี่วัน ผู้กล้ากว่าโหลก็มารวมตัวกันที่เมืองกุสุมาลย์ ซึ่งอยู่ห่างจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเพียงครึ่งชั่วโมง


 


“วิญญาณพิทักษ์อยู่บริเวณแถวนี้เมื่อสี่วันก่อน และพวกเราก็ค้นหาเบาะแสบริเวณใกล้เคียง อย่างไรก็ตามวัตถุประสงค์หลักที่แท้จริงในวันนี้ก็คือการรอสัญญาณจากผู้อาวุโสวัน ครั้นเมื่อเขารู้ว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมีวิญญาณพิทักษ์หรือไม่ เขาก็จะแจ้งให้พวกเราและพวกเราก็จะหนุนเขา ดังนั้นให้เตรียมตัวทำสงคราม”


 


“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยรึ ไม่ใช่ว่าที่นั่นเป็นที่สำหรับพวกลามก”


 


หนึ่งในผู้เชี่ยวชาญถาม และทั้งบริเวณนั้นต่างพากันระเบิดเสียงหัวเราะออกมา


 


ในเวลานั้นที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ผู้อาวุโสอูวิ่งตรงไปยังศาลาหยินหยาง


 


“ผ-ผู้นำนิกาย มีเรื่องด่วน” ผู้อาวุโสอูกรีดร้องขณะที่เธอวิ่งเข้าไปในศาลา


 


“มีเรื่องอะไร ผู้อาวุโสอู ยังเช้าเกินไปที่จะร่ำร้องแบบนั้น”


 


โหลวหลานจีปรากฏตัวจากห้องของเธอ


 


“นิ-นิกายล้านอสรพิษ ผู้อาวุโสวันจากนิกายล้านอสรพิษมาที่นี่เพื่อพบกันท่าน” ผู้อาวุโสอูกล่าวกับเธอ


 


“อะไรที่ท่านพูดถึงรึ นิกายล้านอสรพิษจากภูมิภาคตะวันตกนะรึ ทำไมพวกเขาจึงมาที่นี่”


 


โหลวหลานจีขมวดคิ้วกับสถานการณ์


 


จากเท่าที่เธอรู้ นิกายล้านอสรพิษไม่มีความเกี่ยวข้องกับที่นี่ ดังนั้นทำไมพวกเขาจึงมาที่นี่ พวกเขาเดินทางมาแสนไกลเพื่อที่จะส่งผู้อาวุโสระดับสูงของเขาคนหนึ่ง ผู้อาวุโสวัน มาพบกับเธอโดยเฉพาะ


 


“อะไรที่นิกายล้านอสรพิษต้องการจากพวกเรา พวกเขาถึงกับส่งผู้อาวุโสวันมาด้วยตัวเอง นั่นต้องมีเรื่องสำคัญพอสมควร อย่างนั้นก็ดี ข้าจักไปพบกับเขา”


 


โหลวหลานจีออกจากศาลาหยินหยางอย่างรวดเร็วและตามมาด้วยผู้อาวุโสอู


 


สองสามนาทีหลังจากนั้น โหลวหลานจีก็เห็นร่างสูงใหญ่ที่มีรัศมีล้ำลึกรายล้อมตัวเขายืนอยู่ตรงทางเข้า


 


“ขออภัยที่ต้องให้รอ ผู้อาวุโสวัน”


 


โหลวหลานจีทักทายเขาด้วยความนอบน้อม


 


แม้ว่าจะเป็นเจ้านิกาย แต่พลังการฝึกปรือของโหลวหลานจีด้อยกว่าผู้อาวุโสวันซึ่งเป็นเพียงผู้อาวุโสนิกาย ยิ่งไปกว่านั้นนิกายล้านอสรพิษเป็นที่ที่พวกเธอไม่อาจล่วงเกิน ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติสำหรับเธอที่จะทักทายผู้อาวุโสวันด้วยท่าทางแบบนั้น


 


“ข้าเชื่อว่านี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราพบกัน สหายเต๋าโหลว” ผู้อาวุโสวันกล่าวด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร และกล่าวต่อว่า “ข้าต้องขออภัยที่มาเยี่ยมอย่างกระทันหัน แต่นิกายล้านอสรพิษได้ประสบปัญหาหนึ่ง และในเมื่อพวกเรามาอยู่ใกล้สถานที่นี้ ข้าจึงมาเพื่อขอความช่วยเหลือจากเจ้า…”


 


โหลวหลานจีเลิกคิ้ว นิกายล้านอสรพิษมีปัญหาที่พวกเขาไม่สามารถแก้ไขได้งั้นรึ นั่นเป็นเรื่องคาดคิดไม่ถึงสำหรับเธอ


 


“ถ้านั่นเป็นปัญหากระทั่งนิกายล้านอสรพิษที่ทรงอำนาจพร้อมด้วยชื่อเสียงมิอาจแก้ไขได้ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยคงมิอาจให้ความช่วยเหลือใดได้อย่างแน่นอน ตามจริงพวกเราคงได้แต่ทำให้พวกท่านเสียเวลา..”


 


โหลวหลานจีไม่ได้ถ่อมตัวแม้แต่น้อย ในเมื่อนั่นเป็นสิ่งที่เธอเชื่อเช่นนั้นจริงๆ


 


“โอ นั่นมิใช่ปัญหาแบบนั้น”


 


ผู้อาวุโสวันหัวเราะหึ หรี่ตาและพูดอย่างเรียบง่าย “เป็นแค่เรื่อง..เจ้าเคยเห็นลูกเสือขาวแถวนี้บ้างไหม มันเป็นวิญญาณพิทักษ์”


 


ได้ยินคำพูดที่ไม่คาดคิดของผู้อาวุโสวัน ใบหน้าโหลวหลานจีมีท่าทางตกใจไปในทันที แต่เธอก็รีบเปลี่ยนแปลง


 


“เขามาที่นี่ตามหาเซียวไป่”


 


โหลวหลานจีสุดท้ายก็รู้ว่าทำไมนิกายล้านอสรพิษจึงแสดงตัวที่หน้านิกาย แต่นั่นเพียงทำให้เธอรู้สึกกระวนกระวายใจถึงที่สุด


DC บทที่ 257: เตรียมพร้อมรบ


 


“ว-วิญญาณพิทักษ์”


 


โหลวหลานจีถาม หวังว่าผู้อาวุโสวันไม่ได้คิดลึกเกี่ยวกับท่าทางตกใจของเธอก่อนนี้ และจะดีมากถ้าเขาพลาดไปไม่ได้สังเกต


 


อย่างไรก็ตามผู้อาวุโสวันได้หัวเราะและเต้นรำอยู่ในใจหลังจากที่เห็นปฏิกิริยาของโหลวหลานจี เขาเกือบมั่นใจแล้วว่าโหลวหลานจีรู้ถึงวิญญาณพิทักษ์


 


“ใช่แล้ว นิกายล้านอสรพิษตอนนี้กำลังค้นหาวิญญาณพิทักษ์ และจากท่าทีของเจ้าเมื่อกี้ เจ้าต้องรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับมันใช่หรือไม่”


 


ผู้อาวุโสวันถามเธอ


 


“ไม่…” โหลวหลานจีสามารถได้ยินหัวใจของเธอเต้นราวกับกลองศึก อย่างไรก็ตามเธอสามารถควบคุมให้ใบหน้าดูเรียบเฉยและกล่าวว่า “ข้าเพียงประหลาดใจกับคำ “วิญญาณพิทักษ์” “


 


เธอกล่าวต่อว่า “หรือว่านิกายล้านอสรพิษพบวิญญาณพิทักษ์แล้ว ขอแสดงความยินดีด้วย”


 


ผู้อาวุโสหวังหัวเราะหึและกล่าวว่า “แม้ว่าเราจะพบเจอวิญญาณพิทักษ์ แต่พวกเราก็ยังจับมันไม่ได้ อย่างไรก็ตามนิกายล้านอสรพิษย่อมทำทุกสิ่งตามอำนาจที่มีเพื่อจะจับมันให้ได้”


 


ผู้อาวุโสวันตัดสินใจที่จะเล่นไปตามเกมของโหลวหลานจี แต่เขาก็ไม่ลืมที่จะข่มขู่เธอทางอ้อมโดยการบอกให้เธอรู้ว่านิกายล้านอสรพิษถือเรื่องนี้จริงจังมาก


 


“อย่างนั้นรึ แต่อะไรที่นิกายล้านอสรพิษต้องการให้นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยช่วยทำรึ” โหลวหลานจีถาม


 


“จริงแล้วง่ายมาก เรามิขอให้นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยช่วยพวกเราค้นหา แต่เราจักขอบคุณอย่างมากถ้าเจ้าสามารถแจ้งให้เราทราบถ้ามีใครเห็นลูกเสือขาว แน่นอนว่าเรามิขอร้องให้เจ้าช่วยฟรีๆ ครั้นเมื่อเราพบวิญญาณพิทักษ์ เราย่อมให้รางวัลนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่ให้ความร่วมมืออย่างหนัก”


 


โหลวหลานจีพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าจักแจ้งให้ศิษย์ข้าและบอกพวกเขาเฝ้าระวัง–”


 


“โอ มีอีกอย่าง”


 


ผู้อาวุโสวันพลันกล่าวขึ้น “ถ้าเจ้าพบวิญญาณพิทักษ์และซ่อนมันไว้จากพวกเราและพวกเราพบเห็น นั่นย่อมมิใช่วันที่ดีสำหรับพวกเรา…”


 


โหลวหลานจีหรี่ตาและกล่าวว่า “ข้าคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติที่ท่านมิควรข่มขู่คนหลังจากที่ขอความช่วยเหลือ”


 


ผู้อาวุโสวันหัวเราะหึและกล่าวว่า “อย่าถือว่านี่เป็นการล่วงเกินเพื่อนเต๋า มันเป็นแค่การเตือนในกรณีที่บางคนมีความคิดตลกๆ”


 


“อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ข้ามิมีสิ่งใดที่จะพูดแล้ว ข้าควรถือโอกาสอำลา”


 


ผู้อาวุโสวันหันกายและออกไปจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย หายลับไปจากสายตาโหลวหลานจีอย่างรวดเร็ว


 


ครั้นเมื่อพวกเธอมั่นใจว่าผู้อาวุโสวันจากไปเรียบร้อยแล้ว ผู้อาวุโสอูก็แค่นเสียงเย็นชา “ช่างเป็นคนหยิ่งยะโสและหยาบคาย เจ้านิกายลืมเรื่องพวกเขาไปและไม่ต้องช่วยพวกเขา”


 


โหลวหลานจีส่ายหน้าและกล่าวว่า “เขาอาจจะเป็นไอ้หน้าตูด แต่เขามีความสามารถที่จะเป็นหนึ่งในหล้า ในภูมิภาคตะวันตก นิกายล้านอสรพิษอยู่เบื้องสูง สำหรับพวกเขาที่ได้สังเกตเห็นพวกเราถือว่าเป็นเกียรติอย่างสูงแล้ว”


 


“แล้วเรื่องวิญญาณพิทักษ์นั่น หรือว่ามีวิญญาณพิทักษ์ในบริเวณใกล้เคียงนี้จริง ข้ากลัวว่าสงครามจะเกิดขึ้นและพวกเราอาจจะตกอยู่ท่ามกลางพวกมันด้วย…”


 


เพราะว่าผู้อาวุโสอูไม่รู้เรื่องการปรากฏตัวของเซียวไป่ เธอจึงไม่รู้เกี่ยวกับสถานการณ์


 


“เรื่องนั้น…”


 


โหลวหลานจีถอนใจ รู้สึกสับสน


 


ถ้านิกายล้านอสรพิษรู้ว่าพวกเธอมีเซียวไป่ ย่อมเป็นหายนะต่อทั้งนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย และโหลวหลานจีย่อมไม่ปรารถนาที่จะเสียสละทั้งนิกายและศิษย์ทุกคนเพียงเพื่อวิญญาณพิทักษ์หนึ่งตัว


 


“ถ้าเพียงแต่เซียวไป่โตเต็มวัย…แต่ช่างโชคร้าย ข้ามิอาจรอจนกระทั่งครบเดือนเพื่อให้เธอเติบโตโดยมีนิกายล้านอสรพิษค้นหารอบสถานที่นี้อย่างแข็งขัน ข้าจักต้องปล่อยเซียวไป่ไปอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้…” โหลวหลานจีถอนใจอีกครั้ง


 


“ฟางซีหลานจักต้องมิชอบข่าวนี้แม้แต่น้อย…”


 


โหลวหลานจีหันไปมองยังทิศทางห้องสวีทแห่งศลิษา รู้สึกเสียใจกับสถานการณ์ทั้งหมด


 


ทันใดนั้นเอง คลื่นกระแทกอันทรงพลังก็ปรากฏขึ้น กระจายไปทั่วพื้นที่อย่างรวดเร็ว


 


“โอ ไม่” ใบหน้าโหลวหลานจีพลันซีดเผือดเมื่อเธอตระหนักว่าอะไรคือต้นเหตุของคลื่นนั้น


 


“มันเกิดขึ้นอีกแล้ว…คลื่นนี้อะไรเป็นถึงเต็มไปด้วยความรู้สึกอันลึกล้ำ มันเกิดขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อสี่วันก่อน” ผู้อาวุโสอูคิดสงสัยขณะที่คลื่นเคลื่อนผ่านร่างของเธอ จนทำให้ร่างของเธอสั่นสะท้านเล็กน้อย


 


ใช่แล้วเป็นเซียวไป่ที่ทำให้เกิดคลื่นนี้เกิดขึ้น เพราะว่านั่นเป็นเวลาสี่วันแล้วนับตั้งแต่เธอถูกป้อนหญ้าเงินเจ็ดใบ ฟางซีหลานได้ป้อนใบใหม่ให้กับเธอวันนี้ก่อนที่จะจากไปยังห้องสวีทแห่งศลิษาเพื่อพบกับซูหยาง


 


“นี่ต้องเป็นเหตุผลที่ทำไมนิกายล้านอสรพิษเลือกที่จะปรากฏตัวในพื้นที่นี้ พวกเขาคงรับรู้ถึงปราณไร้ลักษณ์ของเซียวไป่เมื่อสี่วันก่อน”


 


โหลวหลานจีไม่รู้ว่าควรทำอะไรต่อไปในเวลานั้นและได้เพียงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น


 


ไม่มีทางที่นิกายล้านอสรพิษจะไม่สังเกตพบสิ่งนี้เมื่อพวกเขาอยู่ใกล้ขนาดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้อาวุโสวันเพิ่งจากไปไม่นานนัก


 


หลังจากครุ่นคิดชั่วขณะ โหลวหลานจีก็กัดฟันตะโกนไปยังผู้อาวุโสวู “รวบรวมผู้อาวุโสนิกายและศิษย์ทั้งหมดไปที่เขตกลางและเตรียมพร้อมรบ นิกายล้านอสรพิษจักมาถึงที่นี่ได้ทุกขณะ”


 


“ข-ขออภัย…”


 


ผู้อาวุโสอูยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางงุนงง เธอไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ว่าทำไมโหลวหลานจีจึงพูดถ้อยคำเหล่านั้น แต่ใครก็โทษว่าเธอไม่ได้ในเมื่อใครก็ตามที่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบเดียวกับเธอก็ต้องแตกตื่นตกใจ


 


“รีบเร็วเข้าและทำตามที่ข้าพูด นี่เป็นคำสั่ง”


 


หลังจากที่พูดถ้อยคำเหล่านั้นแล้ว โหลวหลานจีก็วิ่งไปยังที่พักของโหลวหลานจี ปล่อยให้ผู้อาวุโสอูยืนอยู่ตรงนั้นราวกับลูกไก่ที่สับสน


 


ในเวลานั้นผู้อาวุโสวันซึ่งเพิ่งจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ส่งข้อความไปถึงเจ้านิกายของนิกายล้านอสรพิษถึงคลื่นในอากาศ


 


“ยืนยันว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมีเสือขาวในครอบครอง”


 


“ดี ดี ดี เจ้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร ผู้อาวุโสวัน ข้าจักปล่อยทุกอย่างไว้ในมือเจ้า”


 


เสียงแสดงความดีใจของเจ้านิกายได้ยินออกมาจากป้ายหยกสื่อสาร


 


ไม่นานหลังจากนั้น ผู้อาวุโสวันพร้อมด้วยผู้กล้าจากนิกายล้านอสรพิษก็ตรงเข้าไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและล้อมพวกเขาไว้ด้วยกลิ่นอายของความกระหายเลือด


DC บทที่ 258: ผู้ใช้ค่ายกล


 


จอมยุทธจากนิกายล้านอสรพิษตรงเข้าไปหานิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยหลังจากที่รับรู้ถึงปราณไร้ลักษณ์ของเซียวไป่ที่ปะทุออกจากสถานที่นี้


 


แม้ว่าคนสามสิบคนอาจจะดูเหมือนไม่มีอะไรในเมื่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมีผู้อาวุโสอย่างน้อยร้อยคนและศิษย์อีกหลายพันคน แต่จอมยุทธแต่ละคนจากนิกายล้านอสพิษขั้นต่ำอยู่ที่เขตปฐพีวิญญาณ บางคนอยู่กระทั่งเขตอัมพรวิญญาณ


 


ในเวลานี้ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไม่มีจอมยุทธแม้สักคนที่อยู่ในเขตอัมพรวิญญาณ และมีเพียงไม่กี่คนที่อยู่เขตปฐพีวิญญาณ


 


ต่อให้ครึ่งหนึ่งของจอมยุทธสามสิบคนนี้ไม่แม้จะกระดิกนิ้ว นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ยังไม่มีโอกาสต่อสู้กับนิกายล้านอสพิษ


 


นี่เป็นความแตกต่างระหว่างนิกายระดับกลางและผู้ที่อยู่ในระดับสูงสุดของภูมิภาค ราวฟ้ากับดิน


 


ในขณะที่นิกายล้านอสรพิษมุ่งตรงไปยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอยู่นั้น ซูหยางและฟางซีหลานยืนอยู่บริเวณหน้าห้องสวีทแห่งศลิษา ดูเหมือนว่ากำลังเตรียมตัวเข้าไปในนั้น


 


อย่างไรก็ตามเพราะว่าระลอกคลื่นที่เซียวไป่ได้สร้างขึ้น พวกเขาจึงยังยืนอยู่ที่นั่นนานกว่าเดิมอีกหลายนาที


 


“หมายความว่านี่จักต้องเกิดแบบนี้ทุกสี่วันละสิ เฮ้อ…” ฟางซีหลานถอนใจ


 


เธอจึงหันไปมองดูซูหยางและกล่าวว่า “เป็นเพราะว่าเจ้าที่ลืมสิ่งที่สำคัญเช่นนี้ ข้าเกือบหัวใจวายในครั้งแรกที่มันเกิดขึ้น”


 


ซูหยางเพียงแค่ยักไหล่กับคำกล่าวของเธอ


 


“มันจักสงบลงเองในอีกไม่กี่นาที”


 


อย่างไรก็ตาม ฟางซีหลานไม่ได้กังวลเกี่ยวกับเซียวไป่ตื่นเต้น กลับกันเธอกังวลว่าริ้วคลื่นอาจจะกระตุ้นความสนใจโดยไม่จำเป็น


 


“ถ้าคนรู้ถึงตัวตนของเซียวไปเพราะเรื่องนี้ ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับสถานที่นี้…” เธอถอนหายใจ


 


“ก็เพียงแค่โยนเสือหิมะนั่นเข้าไปในค่ายกลปิดบังก่อนที่จะป้อนหญ้าเงินเจ็ดใบให้เธอ”


 


“นั่นพูดง่ายกว่าทำ ผู้เชี่ยวชาญด้านยันต์และค่ายกลนั้นหายากเป็นพิเศษในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่สามารถสร้างค่ายกลที่สามารถซ่อนคลื่นพลังที่รุนแรงเช่นนั้น”


 


แม้ว่าจะไม่จำเป็นที่จะต้องเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ในการเรียนค่ายกลและยันต์ แต่ก็ไม่มีผู้ฝึกยุทธมากเท่าไหร่ที่ปรารถนาจะใช้เวลาหลายปีเรียนรู้บางสิ่งที่ต้องการสมาธิและความอดทนเป็นอย่างสูงและไม่สามารถใช้ในการต่อสู้ได้โดยตรง


 


เวลาที่จะใช้ในการสร้างค่ายกลหนึ่งหลัง ศัตรูสามารถใช้วิชาได้ไม่ต่ำกว่าสิบวิชาไม่ซ้ำกัน ดังนั้นจึงเป็นเหตุที่ว่าทำไมค่ายกลจึงยากที่จะถูกใช้ระหว่างการต่อสู้ และด้วยเหตุนั้น ผู้ฝึกยุทธหลายคนจึงมองค่ายกลและยันต์เป็นบางสิ่งที่มีไว้สำหรับสนับสนุนและป้องกัน ตามจริงค่ายกลป้องกันที่ล้ำลึกส่วนใหญ่มักจะต้องการใช้เวลานับปีในการสร้างจนสำเร็จ


 


“ข้าจักสร้างค่ายกลปิดบังรอบที่พักของเจ้าหลังจากเรื่องนี้ ค่ายกลที่แข็งแกร่งพอที่จะกันไม่ให้ริ้วคลื่นนี้กระจายออกไป” ซูหยางกล่าว


 


“เจ้าเป็นผู้ใช้ค่ายกลด้วยรึ” ฟางซีหลานมองดูเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง


 


นอกจากจะเป็นนักปรุงยาแล้ว เขายังเป็นผู้ใช้ค่ายกลด้วย ยิ่งไปกว่านั้นเขามีพลังการฝึกปรือลึกล้ำขณะที่เพียงมีอายุเท่านี้


 


ฟางซีหลานอดที่จะประหลาดใจว่าตัวตนของซูหยางจะกลายเป็นแบบไหนกันยามเมื่อเขาโตขึ้น ในเมื่อเขาได้เป็นสัตว์ประหลาดที่ท้าทายตรรกะไปแล้วในตอนนี้


 


“อย่างไรก็ตามอย่ายืนอยู่ตรงนี้อีกเลย ริ้วคลื่นจักหายไปในเวลาไม่นานนัก และทุกสิ่งก็จักกลับคืนสู่ปกติ”


 


ซูหยางเริ่มตรงเข้าไปในทางเข้าแห่งหนึ่งของห้องสวีทแห่งศลิษา


 


อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะทันได้เข้าไปในที่แห่งนั้น ฟางซีหลานก็ตะโกนขึ้น “รอสักครู่ ข้าเห็นร่างเจ้านิกายมุ่งตรงมาทางพวกเรา ดูเหมือนเธอกำลังกระวนกระวาย”


 


ซูหยางหยุดเท้าหันไปมองทางโหลวหลานจีซึ่งกำลังวิ่งมาทางพวกเขาด้วยหน้าตาที่เต็มไปด้วยเหงื่อและความกระวนกระวายใจ ในอ้อมแขนของเธอเป็นเซียวไป่ซึ่งดูเหมือนไม่พอใจที่ถูกเธออุ้มมา


 


“ศิษย์ฟาง ซูหยาง พวกเจ้ากำลังจะทำอะไรกัน นี่เป็นเรื่องเร่งด่วน”


 


โหลวหลานจีตะโกนใส่พวกเขาจากที่ไกล


 


“เกิดอะไรขึ้น เจ้านิกาย” ฟางซีหลานถามเธอพร้อมขมวดคิ้ว


 


“นิกายล้านอสรพิษรู้ถึงการปรากฏตัวของเซียวไป่ ไม่เพียงแค่นั้นแต่พวกเขากำลังมาที่นี่ขณะที่พวกเรากำลังพูด”


 


“ท่านว่ากระไรนะ” ฟางซีหลานอุทานออกมาเสียงดัง “ภูมิภาคตะวันตกนิกายล้านอสรพิษ อะไรทำให้พวกเขามาที่นี่”


 


“ข้ามิมั่นใจนักแต่ดูเหมือนพวกเขารู้เรื่องเซียวไป่ก่อนที่เราจะได้ตัวเธอ และพวกเขามาที่นี่เพื่อเธอ”


 


“ม-ไม่มีทาง..เราควรทำอะไรดีตอนนี้ ท่านเจ้านิกาย”


 


โหลวหลานจีมองดูเธอและส่ายหน้า “ถ้าเรามิยอมให้เซียวไป่ แน่นอนว่านิกายล้านอสรพิษจักต้องใช้กำลัง และนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของเราก็มิสามารถต่อกรกับพลังมหาศาลดังเช่นนิกายล้านอสรพิษได้ และถึงแม้ว่าเราจะขับไล่พวกเขาในวันนี้ แน่นอนว่าพวกเขาจักต้องกลับมาด้วยกำลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม”


 


ฟางซีหลานพลันเงียบลงไป สายตาเธอจับจ้องไปยังเซียวไป่


 


“เซียวไป่…”


 


แม้ว่าเธอไม่ต้องการที่จะยอมยกเซียวไป่ไปง่ายๆ ฟางซีหลานรู้ว่าเธอไม่มีทางเลือก หรือไม่พวกเธอก็จักต้องเสี่ยงกับการล่วงเกินนิกายล้านอสรพิษทั้งหมด หนึ่งในนิกายที่ทรงอำนาจที่สุดภายในทวีปตะวันออก


 


“เอาจริงรึ หลังจากที่ข้าได้ใช้ความพยายามทั้งหมดไปกับการเพาะหญ้าเงินเจ็ดใบงั้นรึ” ซูหยางส่ายหน้าในใจ


 


“เจ้าพวกบ้านิกายล้านอสรพิษนี้เป็นใคร ว่ามาหน่อยซิ” เขาถาม


 


โหลวหลานจีมองดูซูหยางที่มีท่าทางสงบเฉยแม้จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ และอธิบายอย่างรวดเร็วว่า “พวกเขาเป็นผู้ที่มีพลังอำนาจแข็งแกร่งที่สุดในเขตตะวันตก จอมยุทธเขตปฐพีวิญญาณมีมากมายนักในสถานที่แห่งนั้น และพวกเขาก็ยังมีจอมยุทธเขตอัมพรวิญญาณอีกสองสามคนในนั้นด้วย เป็นที่ที่เรามิอาจจะล่วงเกิน”


 


“อืมมม…อย่างนั้นรึ…” ซูหยางหรี่ตา


 


“อย่างไรก็ตามพวกเจ้าทั้งสองคนควรตรงไปยังเขตกลางและเตรียมพร้อมในกรณีที่การต่อสู้ปะทุขึ้น” โหลวหลานจีกล่าว


 


“ท่านจะทำอะไรต่อไป ท่านเจ้านิกาย” ฟางซีหลานถาม


 


“ข้าคง..ข้าคงต้องส่งเซียวไป่ให้กับพวกเขา”


 


ฟางซีหลานพยักหน้าและตรงเข้าไปหาเซียวไป่


 


เธอลูบขนขาวปุยบนหัวเซียวไป่และพูดว่า “ข้าเสียใจที่ไม่สามารถปกป้องเจ้าได้ เซียวไป่..”


 


น้ำตาไหลลงจากใบหน้าของฟางซีหลาน และเป็นครั้งแรกในชีวิตของเธอที่ร้องไห้


 


เซียวไปไม่เข้าใจกับสถานการณ์แต่เธอสามารถบอกได้ว่าฟางซีหลานเศร้าในตอนนี้ทำให้มันบึ้งตึง


 


หลังจากนั้นไม่นาน โหลวหลานจีก็จากไปพร้อมเซียวไป่ ปล่อยให้ซูหยางและฟางซีหลานยืนอยู่ตรงนั้นตามลำพัง


 


“ข้าเสียใจซูหยาง แต่ข้ามิมีอารมณ์ที่จะฝึกวิชาร่วมอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นในสถานการณ์เช่นนี้…”


 


ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ข้าเข้าใจเป็นอย่างดี”


 


อย่างไรก็ตามในใจของเขา เขาได้ตัดสินโทษให้นิกายล้านอสรพิษล่มสลายไปแล้วที่มารบกวนการร่วมฝึกวิชาของเขา สิ่งที่เขารังเกียจอย่างถึงที่สุด


DC บทที่ 259: หรือว่านี่จะเป็นจุดจบของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย


 


หลังจากที่โหลวหลานจีจากไป ซูหยางและฟางซีหลานก็มุ่งตรงไปยังเขตกลางที่ซึ่งศิษย์ทุกคนรออยู่ที่นั่น


 


ยามเมื่อพวกเขาไปถึงที่เขตกลางศิษย์ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างพากันหันไปมองทั้งคู่


 


“ศิษย์พี่หญิงฟาง”


 


บรรดาศิษย์ที่นั่นต่างพากันมั่นใจขึ้นเมื่อเห็นฟางซีหลานที่นั่น การปรากฏตัวของเธอทำให้พวกเขาต่างพากันรู้สึกปลอดภัยขึ้น


 


“ศิษย์พี่ชายซูอยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน…”


 


เมื่อเหล่าศิษย์นอกหญิงเห็นซูหยางตรงเข้ามาหาด้วยท่าทางสงบเฉยบนใบหน้า พวกเธอต่างประสบกับความรู้สึกลึกลับที่ช่วยทำให้พวกเธอใจเย็นลง ราวกับว่าศิษย์เหล่านี้เชื่อโดยสัญชาตญาณว่าพวกเธอจะต้องปลอดภัยถ้าเขาปรากฏตัวอยู่ใกล้เคียง


 


อย่างไรก็ตามไม่ใช่ทุกคนที่นั่นที่ตื่นเต้นเมื่อเห็นหน้าซูหยาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคนที่เดินข้างเขาเป็นฟางซีหลาน ราวกับว่าพวกเขาอยู่ด้วยกันก่อนที่จะมาถึงสถานที่นี้


 


“เป็นเจ้าอีกแล้ว”


 


วินหนานเตียนเดินออกมาจากฝูงชนและตรงไปหาซูหยาง ดูเหมือนว่าเตรียมที่จะสร้างปัญหาให้เขา


 


เมื่อเห็นเช่นนี้ ฟางซีหลานก็มายืนขวางต่อหน้าวินหนานเตียน


 


“หยุดเดี๋ยวนี้ เรามิมีเวลาสำหรับเรื่องนี้ หรืออยู่ในสถานการณ์แบบนี้” เธอกล่าวด้วยเสียงเย็นเยียบ


 


“ศิษย์น้องหญิง…”


 


วินหนานเตียนกัดริมฝีปากและจ้องมองซูหยางด้วยดวงตาหรี่แคบ


 


“เจ้ามิละอายแก่ใจรึที่ยืนอยู่ข้างหลังผู้หญิงเช่นนี้ ทั้งยังเรียกตัวเองว่าเป็นผู้ชายได้อีกรึ ฮึ่ม”


 


ซูหยางหรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อวินหนานเตียนกำลังเริ่มทำให้เขาโกรธ


 


“ถ้าเจ้ามิหันกลับไปตอนนี้ อย่าหาว่าข้ามิได้ไว้หน้าเจ้าแม้แต่น้อย”


 


กลิ่นอายอันตรายปลดปล่อยออกมาจากร่างของฟางซีหลาน เป็นเหตุให้วิยหนานเตียนสั่นสะท้านเล็กน้อย


 


วินหนานเตียนเชื่อว่าฟางซีหลานกำลังปกป้องซูหยางจากเขา ซึ่งเพียงทำให้เขารู้สึกยิ่งกระวนกระวายใจ แต่เขาจะรู้สึกนิดก็หาไม่ว่าจริงแล้วฟางซีหลานกำลังปกป้องเขาจากซูหยางผู้ที่เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เป็นคนที่เขาจะล่วงเกินได้


 


ว่าไปแล้วถ้าวินหนานเตียนไม่ต้องการฟัง เธอก็คงไม่มีทางเลือกได้แต่ปล่อยให้เขาก้าวไปหาความตาย


 


ทันใดนั้นหนึ่งในผู้อาวุโสนิกายที่นั่นก็เริ่มพูดเสียงดัง “ทุกคนใจเย็น”


 


ศิษย์ทุกคนตรงนั้นหันไปดูกลุ่มผู้อาวุโสนิกายตรงมาหาพวกเขา


 


นำหน้าผู้อาวุโสนิกายเหล่านี้คือผู้อาวุโสซุนและผู้อาวุโสจ้าว และแม้ว่าพวกเขาดูสงบด้านนอกแต่ใจของพวกเขาจริงแล้วเต็มไปด้วยความกังวลกับสถานการณ์


 


“แม้ว่าเรายังมิรู้ถึงสถานการณ์ทั้งหมด ผู้นำนิกายได้สั่งให้พวกเราทั้งหมดรวมตัวกันที่นี่ในกรณีที่มีบางอย่างเกิดขึ้น” ผู้อาวุโสจ้าวกล่าว


 


เพราะว่าผู้อาวุโสอูอยู่ในสภาวะรีบเร่งเมื่อเธอส่งข้อความไป บรรดาผู้อาวุโสนิกายที่นั่นต่างยังคงไม่รู้ถึงสถานการณ์ อย่างไรก็ตามในเมื่อมันเป็นคำสั่งของผู้นำนิกาย พวกเขาจะถามคำถามได้หลังจากที่เชื่อฟังคำสั่งของเธอ


 


“ผู้อาวุโสอูควรอธิบายสถานการณ์ตอนนี้ว่าทำไมพวกเราทั้งหมดจึงต้องมารวมตัวที่นี่”


 


ผู้อาวุโสซุนถามเธอพร้อมขมวดคิ้ว


 


แม้ว่าเขาไม่มีเบาะแสว่าเกิดอะไรขึ้นเขาก็รู้ว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและบรรดาศิษย์ตกอยู่ในอันตราย ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงไม่ต้องมารวมตัวกันตอนนี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในกระบวนการของสถานการณ์ฉุกเฉิน


 


ในฐานะของกองกำลังพิทักษ์กฏ ผู้อาวุโสซุนรู้ดีถึงทุกกระบวนการ และสถานการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อระหว่างเวลาที่เกิดสงคราม


 


“ข-ข้าก็ยังไม่ชัดเจนว่าทำไมเรื่องนี้จึงเกิดขึ้น”


 


ผู้อาวุโสอูส่ายหน้า


 


“ผู้นำนิกายเพียงสั่งข้าให้รวมคนทุกคนที่นี่และเตรียมตัวรับศึก”


 


“อะไรกัน นี่กระทันหันเกินไป ใครที่เรากำลังจะสู้ด้วย” ผู้อาวุโสจ้าวถามเธอ


 


“ป-ป-เป็น..นิกายล้านอสรพิษ…”


 


ผู้อาวุโสอูพึมพัมหลังจากเงียบไปชั่วขณะ เสียงของเธอมีแต่ความไม่อยากเชื่อ


 


“ท่านเพิ่งกล่าวอะไรไป”


 


ไม่เพียงแต่ผู้อาวุโสจ้าวแต่ผู้อาวุโสนิกายทุกคนที่นั่นต่างพากันอุทานออกมาในเวลาเดียวกัน เสียงของพวกเขาเต็มไปด้วยความตระหนกและไม่อยากเชื่อ


 


“นิกายล้านอสรพิษจากภูมิภาคตะวันตก เกิดบ้าอะไรที่พวกเราต้องไปสู้กับพวกเขา”


 


“ใช่แล้ว นี่เป็นนิกายล้านอสรพิษ ผู้ที่มีพลังอำนาจแข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคตะวันตกเชียวนะที่พวกเรากำลังพูดถึง”


 


ผู้อาวุโสนิกายและศิษย์ทุกคนต่างไม่อยากเชื่อ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่พวกเขาไปล่วงเกินสถานที่ยิ่งใหญ่อย่างเช่นนิกายล้านอสรพิษ


 


“ล-ลืมเรื่องเหตุผลที่พวกเขากำลังจะโจมตีพวกเราไป พวกเราควรทำอะไรตอนนี้เพื่อต่อสู้กับขุนเขาใหญ่เช่นนี้”


 


ไม่เพียงแต่ผู้อาวุโสนิกายแต่เหล่าศิษย์ก็เริ่มตื่นตระหนก


 


ถ้านิกายล้านอสรพิษมาหาเรื่องพวกเขาจริงๆ ไม่มีทางที่พวกเขาจะสามารถป้องกันตนได้


 


ในเวลาเช่นนี้พวกเขาทั้งหมดก็เป็นเพียงแค่ลูกไก่ที่รวมตัวกันในตำแหน่งหนึ่งบนเขียง พร้อมที่จะถูกฆ่าโดยไม่มีโอกาสที่จะโต้ตอบ


 


“ใจเย็น” ผู้อาวุโสซุนพลันคำรามขึ้น


 


สถานที่นั้นพลันเงียบลง


 


ผู้อาวุโสซุนมองดูผู้อาวุโสอูและกล่าว “ท่านมั่นใจว่าท่านไม่ผิดพลาด ข้ามิต้องการที่จะสงสัยท่าน แต่นี่มันไร้เหตุผลเกินไป….นี่เป็นนิกายล้านอสรพิษนะที่เรากำลังพูดถึง ในสายตาของพวกเขาเราไม่มีอะไรนอกจากจะเป็นมด ทำไมพวกเขาจึงต้องรบกวนพวกเราด้วย”


 


ผู้อาวุโสอูถอนหายใจและกล่าวว่า “ข้ามิโทษท่านที่สงสัยในตัวข้า ในเมื่อตัวข้าเองก็ยังสงสัยตัวเองขณะที่เรายืนอยู่ที่นี่และพูดกันอยู่ อย่างไรก็ตามผู้อาวุโสวันจากนิกายล้านอสรพิษมาที่นี่เพื่อพูดกับเจ้านิกายไม่นานมาแล้ว และเขาพูดถึงเกี่ยวกับวิญญาณพิทักษ์อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงนี้”


 


“วิญญาณพิทักษ์”


 


ผู้อาวุโสจ้าวเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อสุดท้ายเขาก็เข้าใจสถานการณ์


 


เพราะว่าผู้อาวุโสจ้าวมีตำแหน่งสำคัญภายในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและเป็นคนที่โหลวหลานจีเชื่อถืออย่างสมบูรณ์ เขาเป็นคนไม่กี่คนที่รู้ว่าเซียวไป่มีตัวตนอยู่


 


“เป็นอย่างนี้ได้อย่างไร… ทำไมพวกเขาจึงหาพบ”


 


ผู้อาวุโสจ้าวพลันนึกถึงคลื่นที่เกิดขึ้นก่อนหน้าที่จะมีการรวมตัวกันและก็ตระหนักได้ ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเขาจึงรู้สึกถึงบางสิ่งที่คุ้นเคยจากคลื่นที่แฝงด้วยพลังอันลึกล้ำ


 


“สวรรค์ช่วย…หรือนี่จะเป็นจุดจบของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” เขาคิดสงสัยในใจด้วยความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวในใจ


DC บทที่ 260: หลบหนีด้วยชีวิตพวกเขา


 


“ผู้อาวุโสจ้าว ท่านรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้าง”


 


ผู้อาวุโสซุนสังเกตเห็นปฏิกิริยาประหลาดของเขาจึงตัดสินใจถาม


 


ผู้อาวุโสซุนถอนใจและกล่าวว่า “มิมีประโยชน์ที่จะพยายามปิดบังในตอนนี้…ศิษย์คนหนึ่งของเราเกิดพบกับวิญญาณพิทักษ์เมื่อสองสามเดือนก่อน และพวกเราก็ได้เลี้ยงดูมันนับตั้งแต่นั้น อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่านิกายล้านอสรพิษย์ก็รู้เรื่องของมันด้วย ท่านคงจะรู้อยู่แล้วว่าวิญญาณพิทักษ์มีค่าเพียงใดและมีผู้คนมากมายเท่าไหร่ที่ยอมเสียสละเพื่อที่จะได้มันมาไว้ในมือ”


 


ผู้อาวุโสซุนรวมไปถึงทุกคนที่นั่นต่างพากันลืมตากว้างด้วยความตระหนกเมื่อได้ยินคำพูดนั้น


 


“วิญญาณพิทักษ์ ท่านว่าอย่างนั้นรึ”


 


ผู้อาวุโสซุนไม่อยากเชื่อว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะสามารถมีสิ่งที่ล้ำค่าแต่ว่าอันตรายอย่างนั้นในครอบครองจริงๆ อย่างไรก็ตามในเมื่อมหาอำนาจยิ่งใหญ่อย่างเช่นนิกายล้านอสรพิษสังเกตเห็นสถานที่เล็กๆเช่นพวกเขา นั่นไม่ทำให้ถึงกับไม่น่าเชื่อแต่อย่างใด


 


กล่าวไปแล้วสิ่งที่ไม่น่าเชื่อยิ่งกว่าสำหรับผู้อาวุโสซุนก็คือความจริงที่ว่าโหลวหลานจียอมให้วิญญาณพิทักษ์อยู่ใกล้นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยแม้ว่าจะรู้เป็นอย่างดีว่าพวกเขาไม่อยู่ในตำแหน่งที่จะเลี้ยงไว้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาไม่สามารถปกป้องมัน


 


การมีวิญญาณพิทักษ์อาจจะเหมือนกับการประสบโชคดีสำหรับบางคน แต่นั่นก็คล้ายกับหายนะที่รอเกิดขึ้นถ้ามันตกในมือของผู้ที่ไม่คู่ควรดังเช่นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย


 


อีกนัยหนึ่ง นอกจากว่าเรามีความสามารถที่จะปกป้องวิญญาณพิทักษ์จากการถูกขโมยจากคนอื่น โดยปกติเราก็ควรหลีกเลี่ยงมันหรือทำเหมือนกับว่าไม่เคยเห็นมันมาก่อน


 


“ท่านเก็บเงียบไว้แม้ว่าจะรู้อยู่งั้นรึ ผู้อาวุโสจ้าว ท่านทำเช่นนั้นได้อย่างไร…”


 


ผู้อาวุโสซุนส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง


 


“บางทีทั้งผู้นำนิกายและข้าอาจจะตาบอดไปกับพลังที่ยิ่งใหญ่ของวิญญาณพิทักษ์ที่สามารถนำมาให้กับนิกายเมื่อเราตกลงใจที่จะเก็บและฝึกวิญญาณพิทักษ์ หรือบางทีเราอาจจะเชื่อว่าเราสามารถที่จะเก็บมันไว้เป็นความลับจนกระทั่งมันโตเต็มวัย แต่น่าเสียดายก็อย่างที่ท่านเห็นว่าหายนะประเภทไหนที่มันนำมาให้กับพวกเรา…”


 


ผู้อาวุโสซุนส่ายหน้าและกล่าวว่า “ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่านถึงระดับหนึ่ง แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งเสียใจ ในเมื่อพวกเรายังต้องต่อสู้กับนิกายล้านอสรพิษ”


 


“ผู้อาวุโสอู เจ้านิกายไปไหนตอนนี้”


 


ผู้อาวุโสอูส่ายหน้า


 


“ท่านหายไปหลังจากที่สั่งข้าให้รวบรวมทุกคนมาที่นี่”


 


ทันใดนั้นฟางซีหลานก็ปรากฏตัวขึ้นจากฝูงชน เธอกล่าวว่า “เจ้านิกายไปพบกับนิกายล้านอสรพิษ… พร้อมกับวิญญาณพิทักษ์”


 


“ศิษย์ฟาง”


 


ผู้อาวุโสนิกายที่อยู่ตรงนั้นต่างพากันหันไปมองเธอ


 


“ทำไมเจ้ารู้เรื่องนี้”


 


ผู้อาวุโสซุนถาม


 


“ข้าพูดกับเธอเมื่อกี้ก่อนมาที่นี่” เธอตอบ


 


“ส่วนสำหรับวิญญาณพิทักษ์…ข้าเป็นคนค้นพบมันและขอร้องให้เจ้านิกายให้เก็บมันไว้”


 


“เจ้า…”


 


ผู้อาวุโสนิกายที่นั่นต่างพากันต้องการกล่าวโทษฟางซีหลานสำหรับสถานการณ์ตอนนี้ แต่พวกเขาก็เชื่อว่าเธอเพียงต้องการช่วยเหลือนิกาย ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็คงทำเช่นเดียวกันถ้าพวกเขาอยู่ในฐานะเดียวกับเธอ


 


“นี่มิหมายความว่าเจ้านิกายออกไปพบกับนิกายล้านอสรพิษด้วยตนเอง”


 


ผู้อาวุโสซุนพลันตระหนัก


 


ผู้าวุโสจ้าวก็พลันตระหนักเรื่องนี้เช่นเดียวกันและรีบตะโกนขึ้น “ข้าต้องการครึ่งหนึ่งของผู้อาวุโสนิกายที่นี่ตามข้าและไปรวมตัวเข้ากับเจ้านิกาย ส่วนอีกครึ่งให้อยู่ที่นี่พร้อมกับเหล่าศิษย์ในกรณีที่นิกายล้านอสรพิษวางแผนที่จะโจมตีเราจริงๆ”


 


“ขอรับ ผู้อาวุโสจ้าว”


 


แม้ว่าจะเป็นการต่อสู้ที่ไม่อาจชนะ ผู้อาวุโสจ้าวก็ไม่ได้อ้างถึงเรื่องนั้น ในเมื่อเขาไม่ต้องการที่จะให้ขวัญกำลังใจตกต่ำไปกว่าที่เป็นอยู่ กล่าวไปแล้วทุกคนที่นั่นที่รู้จักชื่อของ “นิกายล้านอสรพิษ” ล้วนตระหนักถึงโอกาสรอดของพวกเขาอยู่แล้ว ดังนั้นถึงแม้ว่าผู้อาวุโสจ้าวจะไม่ได้พูดอะไรออกมาก็ตาม พวกเขาล้วนรู้ดีว่าเป็นการต่อสู้ที่ไม่มีวันชนะ


 


“ไปกันเถอะ”


 


ผู้อาวุโสจ้าวนำผู้อาวุโสนิกายไปยังประตูทางเข้า


 


อย่างไรก็ตามขณะที่พวกเขาก้าวไปได้เพียงสองก้าว ทั่วทั้งแผ่นดินก็เริ่มสั่นสะเทือน และเสียงระเบิดก็ดังมาจากระยะห่าง


 


บูม


 


เศษชิ้นส่วนเล็กน้อยตกลงมาจากท้องฟ้า และประตูขนาดใหญ่ก็ร่วงลงมาห่างไม่กี่เมตรจากผู้อาวุโสจ้าว


 


“ประตูทางเข้า นิกายล้านอสรพิษมาถึงแล้ว”


 


เมื่อบรรดาศิษย์และผู้อาวุโสนิกายเห็นประตูทางเข้ามายังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยตกลงมาจากฟ้า ใบหน้าของพวกเขาทั้งหมดต่างพากันซีดเผือด


 


พวกเขาหลายคนต่างพากันรู้อย่างรวดเร็วว่าพวกเขาทั้งหมดเพียงแค่รอคอยความตาย ดังนั้นพวกเขาเหล่านั้นต่างพากันวิ่งหนีออกไปจากสถานที่นั้น


 


“พวกเจ้าคิดว่าเจ้ากำลังจะไปไหนกัน”


 


หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายตะโกนไปยังบรรดาศิษย์ที่วิ่งออกไปจากบริเวณนั้น


 


“ข้ากำลังจะไปจากสถานที่นี้ ถ้าข้าต้องสู้กับนิกายล้านอสรพิษ เช่นนั้นก็มิต่างจากข้าฆ่าตัวตายตอนนี้”


 


เหล่าศิษย์ต่างพากันร้องไห้เสียงดังพร้อมกับน้ำมูกน้ำตาบนใบหน้าพวกเขา


 


ผู้อาวุโสนิกายมีท่าทางโกรธและอ้าปากด่า แต่เขาก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าสิ่งที่ศิษย์ได้พูดนั้นเป็นความจริง


 


ครั้นเมื่อศิษย์คนหนึ่งเริ่มวิ่งไปจากพื้นที่นั้น ก็มีหลายคนติดตามไป เพราะว่าไม่มีใครในหมู่พวกเขาต้องการตายในมือของนิกายล้านอสรพิษ


 


ผู้อาวุโสนิกายหลายคนที่นั่นต่างพากันรู้สึกเจ็บปวดในใจหลังจากที่เห็นศิษย์นับร้อยวิ่งหนี แต่ไม่มีใครในหมู่พวกเขาที่สนใจจะหยุดอีกฝ่ายไว้ ในเมื่อฉากเช่นนั้นเป็นภาพที่เห็นเป็นปกติยามเมื่อสองนิกายต่อสู้กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหนึ่งในนั้นไม่มีโอกาสที่จะชนะ


 


“ถ้าพวกเจ้าต้องการที่จะจากไป พวกเจ้าก็ไปเถอะ”


 


ผู้อาวุโสจ้าวพลันกล่าวออกมาเสียงดัง


 


“แม้ว่าพวกเจ้าทุกคนได้ให้สัตย์ว่าจะภักดีต่อนิกายอย่างสมบูรณ์ แต่ข้าจักมิกล่าวโทษพวกเจ้าในการที่ต้องการจะรอดชีวิต อย่างไรก็ตามถ้าพวกเจ้าจากไปในวันนี้ พวกเจ้าอาจจะมิมีโอกาสที่จะเหยียบเข้ามาในสถานที่นี้อีกครั้ง”


 


คำพูดของผู้อาวุโสจ้าวเป็นเหตุให้ศิษย์หลายคนนั้นหยุดวิ่งและเริ่มครุ่นคิด อย่างไรก็ตามไม่กี่อึดใจต่อไป เกือบทั้งหมดของพวกเขาก็เคลื่อนไหวอีกครั้ง ในเมื่อพวกเขาไม่ปรารถนาที่จะสละชีวิตเพื่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย


 


ตามจริงแล้วก็ยังมีกระทั่งผู้อาวุโสนิกายบางคนในกลุ่มผู้หลบหนี


 


เมื่อเห็นภาพฉากนี้ ผู้อาวุโสซุนก็ส่ายหน้าและถอนหายใจ


 


“ช่างน่าเสียดาย…”


DC บทที่ 261: เหล่าศิษย์จากไปทุกทิศทาง


 


ทุกสิ่งเกิดขึ้นจากการที่มีคนหนึ่งคนตัดสินใจที่จะจากไป และภายในไม่กี่นาทีนับตั้งแต่ศิษย์คนแรกตัดสินใจไป ศิษย์กว่าครึ่งที่นั่นก็ได้ติดตามไปและละทิ้งนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย เลือกชีวิตตนเองไว้ก่อนที่แห่งนี้ที่ควรถือว่าเป็นบ้านของพวกเขา


 


ในใจของพวกเขานั้นถือว่าไม่คุ้มค่าที่จะสละชีวิตของตนเองไปกับการต่อสู้ที่ไม่มีวันชนะกับนิกายล้านอสรพิษ


 


ตามความเป็นจริงแม้ว่าผู้อาวุโสนิกายที่นั่นต่างพากันปวดใจกับบรรดาศิษย์ตัดสินใจที่จะจากไป แต่ก็ไม่มีผู้อาวุโสนิกายคนไหนที่ถือโทษอีกฝ่ายสำหรับการกระทำนั้น ในเมื่อพวกเขาเองก็อยู่ในสถานการณ์ที่ดูเหมือนหมดสิ้นความหวัง


 


ที่เลวร้ายไปกว่านั้น หลังจากนั้นไม่กี่นาที เหล่าศิษย์และผู้อาวุโสนิกายก็ได้ตัดสินใจละทิ้งตัวตนในฐานะคนของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเพิ่มขึ้นกว่าเดิม


 


หากเป็นเช่นนี้ต่อไปต่อให้นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยสามารถรอดพ้นจากการปะทะกับนิกายล้านอสรพิษ ศิษย์เกือบทั้งหมดก็จะไม่มีเหลืออยู่หลังจากนั้น และนิกายจะทำอย่างไรถ้าไม่มีศิษย์อยู่คอยจัดการ


 


“ศิษย์น้องหญิงฟาง เราไปด้วยกันเถอะ การที่ล่วงเกินสถานที่แบบนิกายล้านอสรพิษนั้นสถานที่นี้ตกอยู่ในหายนะแล้วไม่ว่าเราจะรอดพ้นวันนี้ไปหรือไม่”


 


ยวินหนานเตียนกล่าวกับเธอ เขาเองก็เตรียมตัวจากไป แต่กระทั่งในช่วงเวลาสุดท้ายเขาก็ยังต้องการให้เธอยอมรับเขา บางทีอาจจะจากไปพร้อมเขาและเริ่มชีวิตใหม่ด้วยกันในสำนักอื่น และด้วยพรสวรรค์ของพวกเขา ยังมีสำนักอีกมากมายที่ปรารถนาที่จะรับพวกเขาโดยไม่สนใจเบื้องหลังของพวกเขา


 


อย่างไรก็ตามฟางซีหลานส่ายหน้า


 


เธอไม่ให้เหตุผลอะไรกับยวินหนานเตียนแม้สักข้อ แต่ตัวเธอเองรู้สึกว่าทั้งหมดนี้เป็นความผิดพลาดของเธอ ถ้าเธอไม่พบกับเซียวไป่และนำเธอกลับมายังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย สิ่งเหล่านี้คงไม่เกิดขึ้น


 


“ต่อให้ข้าต้องตายที่นี่ในวันนี้ ข้าก็จักมิจากที่นี่ไป”


 


ฟางซีหลานกล่าวกับตัวเธอเองในใจ สายตาของเธอเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว


 


ในเวลานั้นหลานลี่ชิงมองดูไปรอบๆค้นหาซูหยางแต่ไม่สามารถพบเขา


 


“อย่าบอกข้าว่าเขาตัดสินใจจากไปเช่นกัน” เธอถอนหายใจ


 


เพราะว่าสถานการณ์เช่นนี้ ศิษย์ทุกคนจากตำหนักโอสถได้ตัดสินใจจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไป ทิ้งเธอไว้ตามลำพัง


 


ถึงแม้ว่าเธอก็ต้องการจากไปเพื่อให้ชีวิตของเธอคงอยู่ แต่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ได้ทำทุกสิ่งมากมายเหลือเกินต่อเธอจนยากที่จะทอดทิ้งไปได้ง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้านิกายหลายคนก่อนได้ชุบเลี้ยงเธอจนเธอยังคงมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้


 


หลังจากเวลาผ่านไปหลายนาทีหลังจากนั้น ก็มีเพียงศิษย์และผู้อาวุโสนิกายไม่กี่สิบคนที่ยังคงอยู่ในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ส่วนใหญ่แล้วเป็นคนที่ไม่มีที่จะไป


 


ผู้อาวุโสจ้าวมองดูศิษย์ที่ยังเหลืออยู่และยิ้ม


 


“เป็นโอกาสสุดท้ายแล้วที่พวกเจ้าจะจากไป” เขากล่าว


 


อย่างไรก็ตามเหล่าศิษย์ต่างพากันส่ายหน้า


 


“ต่อให้ข้าไป ก็คงไม่มีที่ไหนให้ข้าไป”


 


“ข้าเป็นหนี้นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมากเกินไปที่จะละทิ้งไปง่ายๆ ต่อให้ชีวิตข้าต้องเสี่ยงก็ตาม”


 


“นั่นเป็นสิ่งที่ข้าอยากได้ยิน” ผู้อาวุโสจ้าวพยายามหัวเราะแม้ว่าจะอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวัง


 


“เช่นนั้นก็ดี ถ้าพวกเรารอดได้ในวันนี้ ข้าจักให้พวกเจ้าทุกคนเป็นศิษย์หลักต่อให้ข้าต้องขอร้องผู้นำนิกายก็ตาม”


 


“ตอนนี้พวกเราไปพบกับผู้นำนิกายกันเถอะ”


 


ในเมื่อมีเพียงพวกเขาไม่กี่คนเหลืออยู่ ผู้อาวุโสจ้าวได้ตัดสินใจที่จะนำทุกคนที่นั่นไปกับเขาเพื่อพบกับโหลวหลานจี


 



 



 



 


ตรงบริเวณทางเข้ายามเมื่อนิกายล้านอสรพิษมาถึงพวกเขาก็เข้ามาด้วยกำลังโดยการระเบิดประตูทางเข้าทิ้ง


 


เมื่อเข้ามาในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย คนจากนิกายล้านอสรพิษก็ได้รับการต้อนรับจากหญิงสาวสวยยืนอยู่ไม่กี่เมตรห่างออกไป และในมือของเธอก็เป็นลูกเสือสีขาว


 


“วิญญาณพิทักษ์”


 


เมื่อนิกายล้านอสรพิษเห็นเซียวไป่ สายตาของพวกเขาก็ถลนด้วยความตื่นเต้น หลังจากการค้นหาหลายเดือน ในที่สุดพวกเขาก็พบมัน


 


ผู้อาวุโสวันจากนิกายล้านอสรพิษก้าวออกมาข้างหน้าและพูดขึ้นว่า “สหายเต๋า…นี่หมายความว่าอะไร”


 


เขาตัดสินใจยอมให้โหลวหลานจีอธิบายตัวเอง แต่นั่นก็เพื่อเพียงแค่ความสนุกส่วนตัวของเขาเท่านั้น


 


“…”


 


โหลวหลานจียังคงเงียบไปชั่วขณะก่อนที่จะพูดเสียงดัง “ข้ามิมีข้อแก้ตัวในวันนี้และมิได้วางแผนที่จะทำให้ทุกสิ่งยุ่งยากสำหรับนิกายล้านอสรพิษ ดังนั้นนี่คือวิญญาณพิทักษ์ที่พวกท่านตามหา”


 


โหลวหลานจีพลันวางเซียวไป่ลงบนพื้นและก้าวถอยหลัง


 


“ทุกสิ่งที่ข้าขอพวกท่านก็คือปล่อยนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไป ถ้าพวกท่านยังมิพอใจ ข้ายินดียอมรับการลงโทษทั้งหมดคนเดียว”


 


โหลวหลานจีไม่ได้มีเจตนาที่จะสู้กับนิกายล้านอสรพิษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอรู้ดีถึงโอกาสชนะ ตามความเป็นจริงนอกจากว่าพวกเขาบังคับให้สู้ นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจะไม่ยกอาวุธขึ้น


 


“นั่นเป็นคำขอที่มาจากคนที่โกหกต่อหน้าข้างั้นสินะ…”


 


ผู้อาวุโสวันหรี่ตา แสยะยิ้ม


 


โหลวหลานจีสั่นสะท้านเมื่อรับรู้ถึงจิตสังหารจากผู้อาวุโสวัน


 


“นั่นมิใช่เจตนาของข้าที่โกหกท่าน ในเมื่อท่านมาเยี่ยมอย่างกระทันหัน ตามจริงข้าได้วางแผนที่จะให้วิญญาณพิทักษ์แก่ท่านถึงแม้ว่าท่านจะมิได้กลับมาที่นี่ ถ้าเพียงข้ามีเวลาอีกสักสองสามวัน…”


 


“อืมม…”


 


ผู้อาวุโสวันเริ่มครุ่นคิด


 


“ตามลำดับ จับวิญญาณพิทักษ์ไว้ก่อนที่มันจะวิ่งหนีไปอีกครั้ง”


 


ผู้อาวุโสวันสั่งหนึ่งในคนของเขา


 


หนึ่งในผู้กล้าเขตปฐพีวิญญาณพลันตรงเข้าไปจับเซียวไป่ผู้ซึ่งไม่อาจต้านความแข็งแกร่งอันเหนือกว่าที่ใช้สะกดเธอไว้


 


เซียวไปเริ่มกรีดร้อง กระทั่งมองไปยังโหลวหลานจีเพื่อขอความช่วยเหลือขณะที่พุ่งตัวไปยังทางซ้ายและขวา แต่อนิจจาโหลวหลานจียังคงยืนนิ่งราวกับรูปปั้น


 


ครั้นเมื่อนิกายล้านอสรพิษได้รับเซียวไป่ ผู้อาวุโสวันก็กล่าวขึ้นว่า “ข้ายอมรับว่าเจ้าได้ทำให้สิ่งเหล่านี้ง่ายสำหรับพวกเรา แต่ทว่าความจริงที่เจ้าได้โกหกข้าและนิกายล้านอสรพิษยังอยู่ ข้ามิมีทางเลือกนอกจากทำให้มันเป็นเรื่องยุ่งยากให้แก่เจ้าเพื่อจะได้ถือเป็นตัวอย่างสำหรับผู้อื่นเพื่อที่สถานการณ์เช่นนี้จะได้มิซ้ำรอยในภายภาคหน้า”


 


โหลวหลานจีเบิกตากว้าง หัวใจของเธอบีบรัดแน่นจากความเครียดหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา แม้ว่าเธอไม่รู้ว่าผู้อาวุโสวันวางแผนอะไรไว้ แต่เธอก็รู้สึกได้ว่าคงไม่ใช่สิ่งดีแม้แต่น้อยสำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย


ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม