Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน 248-254

 DC บทที่ 248: ซูหยางเป็นผู้บริสุทธิ์

 


หลังจากออกจากที่พักของซูหยาง โหลวหลานจีก็ตรงไปยังตำหนักโอสถ ที่ซึ่งเหล่าศิษย์ต่างพากันเร่งรีบทำงานหลังจากถูกโหลวหลานจีลงโทษพวกเธอที่มาทำงานสาย


 


“อาจารย์ช่างใจร้าย… ทำไมเธอต้องโยนงานทั้งหมดนี้ให้กับพวกเราที่มาสายทั้งที่มีข้ออ้างที่มีเหตุผล” อวี้เยียนถอนใจ


 


“ไม่มีเหตุผลรึ เจ้าต้องการพูดว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนไร้เหตุผลรึ จริงแล้วสิ่งที่ทำให้ข้าต้องถูกลงโทษไปพร้อมพวกเจ้าทั้งที่ไม่ได้มาสายนี่จึงไร้เหตุผล” ศิษย์หญิงเซียว ศิษย์เพียงคนเดียวที่ไม่ชอบซูหยางและเป็นเพียงหนึ่งในศิษย์นอกไม่กี่คนที่ยังไม่เคยได้ร่วมฝึกกับเขา อุทานออกมา


 


“พวกเราพี่น้องล้วนแบ่งปันทุกสิ่งไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขสมไปจนถึงช่วงเวลาแห่งความระทมทุกข์” อวี้เยียนส่ายหน้าแล้วกล่าวขึ้น


 


“ช-ช่างเป็นเรื่องไร้สาระ” เซียวร้องเสียงดัง


 


“ยอมแพ้เถอะ พี่เซียว…”


 


“ใช่แล้ว…เจ้ามิได้อะไรจากการคร่ำครวญกับพวกเรา…ถ้ามีอะไรก็ไปร้องทุกข์กับท่านอาจารย์…”


 


ศิษย์คนอื่นกล่าวกับเธอ


 


“ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของซูหยาง” ศิษย์เซียวก่นด่าเขาในใจ ถ้าไม่ใช่เขา มีหรือที่พวกเธอหรือจะมาสาย และเพราะว่าซูหยางกลายเป็นหัวข้อหลักของพวกเธอในเวลาแทบทั้งหมด ทำให้เธอรู้สึกแปลกแยกจากกลุ่มในฐานะที่เป็นคนที่ไม่มีอะไรดีที่จะพูดเกี่ยวกับเขา


 


ทันใดนั้นขณะที่ศิษย์เซียวกำลังที่จะอ้าปากพูด โหลวหลานจีก็เดินเข้ามาในตำหนักโอสถอย่างสบายๆ


 


“ผ-ผู้นำนิกาย” ศิษย์เซียว ซึ่งเป็นคนแรกที่สังเกตเห็นเธอเข้ามา พลันทักทายเธอ


 


“ศิษย์คนนี้คารวะผู้นำนิกาย”


 


ศิษย์คนอื่นต่างพากันทำตามหลังจากที่สังเกตเห็นเธอ


 


“ผู้อาวุโสหลานอยู่ไหม ข้ามาที่นี่เพื่อพูดกับเธอ” โหลวหลานจีกล่าว


 


“ย-อยู่ อาจารย์อยู่ในห้องของเธอตอนนี้เพื่อทำรายงานให้เสร็จเกี่ยวกับเรื่องน้ำมันรัญจวน…” หนึ่งในศิษย์กล่าว


 


“โห ตำหนักโอสถได้จำแนกส่วนผสมของน้ำมันรัญจวนออกมาแล้วรึ” โหลวหลานจีรู้สึกประหลาดใจกับผลลัพธ์ ในเมื่อเธอไม่ได้คาดคิดถึงแม้แต่น้อย


 


“ใช่แล้วท่านผู้นำนิกาย อาจารย์ของเราตอนนี้มีรายการของส่วนผสม”


 


“พวกเจ้าตำหนักโอสถล้วนเกินความคาดหมายของข้า พวกเจ้าควรได้รับค่าจ้างและหินวิญญาณเพิ่มในสามเดือนถัดไปนี้” โหลวหลานจีกล่าวพร้อมรอยยิ้ม ขณะที่บรรดาศิษย์ต่างพยายามควบคุมความตื่นเต้น เพราะพวกเธอไม่อยากจะมีพฤติกรรมเหลวไหลต่อหน้าผู้นำนิกาย


 


“อย่างไรก็ตามข้าจักขึ้นไปข้างบนเพื่อพบกับผู้อาวุโสหลาน” โหลวหลานจีกล่าวขณะที่เธอขึ้นไปชั้นบนปล่อยบรรดาศิษย์ไว้ตามลำพัง


 


“ก๊อกก๊อก”


 


“ผู้อาวุโสหลาน นี่ผู้นำนิกาย”


 


ประตูห้องหลานลี่ชิงเปิดหลังจากผ่านไปไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น และหลานลี่ชิงก็ออกมาทักทายเธอที่ประตู


 


“ศิษย์หลานคำนับผู้นำนิกาย”


 


“ไปพูดกันข้างใน”


 


หลานลี่ชิงพยักหน้าและปิดประตูตามหลัง


 


ยามเมื่อพวกเธออยู่ข้างในแล้ว หลานลี่ชิงก็กล่าวว่า “ผู้นำนิกาย พวกเราได้วิเคราะห์น้ำมันรัญจวนเสร็จแล้ว และนี่คือรายการวัตถุดิบ ส่วนสำหรับรายงาน ข้าก็เกือบทำเสร็จแล้ว…”


 


โหลวหลานจีรับรายการวัตถุดิบและอ่านรายละเอียด


 


“เป็นเช่นนี้จริงๆ นี่เป็นเช่นเดียวกับรายการที่ผู้อาวุโสเจ้าเอามาให้…” เธอคิดในใจ


 


วัตถุดิบทุกอย่างในรายการของหลานลี่ชิงก็เป็นเช่นเดียวกับในรายการของผู้อาวุโสเจ้า ดังนั้นจึงไม่มีข้อกังขาว่านี่เป็นวัตถุดิบที่แท้จริงที่ต้องการในการสร้างน้ำมันรัญจวน ส่วนสำหรับวิธีนั้น…เธอคงต้องรอดูว่าซูหยางต้องการที่จะแบ่งปันให้กับเธอก่อนที่พวกเธอจะสูญเสียทรัพยากรมากขึ้นสำหรับการทดสอบ


 


“เจ้ามิต้องให้รายงานแก่ข้า” โหลวหลานจีกล่าวกับเธอ


 


“เอ๋” หลานลี่ชิงจ้องมองเธอด้วยท่าทางมึนงง “ข้าเข้าใจแล้ว…”


 


“อย่างไรก็ตามที่ข้ามาที่นี่ก็เพราะว่ามีเรื่องอื่น” โหลวหลานจีพลันกล่าวขึ้น ดวงตาเธอเพ่งมองไปที่หลานลี่ชิง


 


หลานลี่ชิงพลันสับสน ทำไมผู้นำนิกายถึงมาที่นี่ถ้าไม่ใช่เพราะว่าน้ำมันรัญจวน


 


“เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับซูหยาง” โหลวหลานจีพลันกล่าวขึ้นโดยไม่มีเกริ่นล่วงหน้า สร้างความตระหนกให้กับหลานลี่ชิง ซึ่งเกือบสำลักเมื่อได้ยินคำพูดของเธอ


 


“ท-ท่านพูดเรื่องอะไรกัน ท่านผู้นำนิกาย” หลานลี่ชิงกลั้นอาการจะร้องไห้และไต่ถาม


 


“เจ้ามิจำเป็นต้องปกปิด…ข้ารู้ดีว่าเจ้าได้ร่วมฝึกคู่กับเขา” โหลวหลานจีกล่าว ทำให้ฝันร้ายที่สุดของหลานลี่ชิงเป็นจริง และยิ่งสำคัญไปกว่านั้น ทำไมเธอจึงค้นพบ


 


“ผ-ผ-ผู้นำนิกาย…ข-ข้าสามารถอธิบายได้…” หลานลี่ชิงเริ่มสั่นสะท้านด้วยความหวาดกล้วกับผลที่ตามมา จนเธอทรุดกายลงคุกเข่าหมอบกราบ


 


“นั่นล้วนเป็นความผิดของข้า ข้าเป็นคนที่ยั่วซูหยาง กระทั่งใช้อำนาจในฐานะผู้อาวุโสนิกายกดดันเขา”


 


หลานลี่ชิงเริ่มโกหกเพื่อที่จะผลักข้อกล่าวหาทั้งหมดมาที่ตัวเธอเองเพื่อที่ซูหยางจะไม่ต้องถูกลงโทษหรืออย่างน้อยก็ได้รับการลงโทษที่น้อยกว่าเดิม อย่างไรก็ตามเธอจะรู้สักนิดก็หาไม่ว่าโหลวหลานจีมองทะลุการโกหกของเธอก่อนที่เธอจะพูดจบเสียอีก


 


เมื่อเห็นปฏิกิริยาของหลานลี่ชิง โหลวหลานจีรู้สึกอยากหยอกล้อเธอสักเล็กน้อยก่อนบอกความจริง


 


“ผู้อาวุโสหลาน…ท่านรู้หรือไม่ว่าผู้อาวุโสนิกายห้ามร่วมฝึกคู่กับศิษย์”


 


“ข้า…”


 


“เช่นนั้นเจ้ารู้ผลที่ตามมาสำหรับการฝ่าฝืนกฏนิกายข้อนี้หรือไม่” โหลวหลานจีเพ่งมองไปยังหลานลี่ชิงและทำท่าว่าเต็มไปด้วยความไม่พอใจ


 


“ข้ารู้…”


 


“เจ้ามีอะไรที่จะพูดกับข้าอีกไหม”


 


“ศิษย์คนนี้ไม่มีข้อแก้ตัว หรือว่ามีความคิดที่จะขอให้ยกโทษ อย่างไรก็ตามได้โปรดอย่าลงโทษซูหยางซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะนี่เป็นความผิดพลาดอันโง่เขลาของข้าเอง”


 


โหลวหลานจีเกือบจะหัวเราะออกมาเสียงดังเมื่ออีกฝ่ายเรียกซูหยางว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ อย่างไรก็ตามเธอประทับใจหลานลี่ชิงที่พยายามปกป้องซูหยางกระทั่งผลักดันความผิดทั้งหมดไปไว้ที่ตัวเธอเอง


 


“ข้ามิสามารถทำเช่นนั้น ในเมื่อเขาเองก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบในเรื่องทั้งหมดนี้…” โหลวหลานจีต้องการเห็นว่าหลานลี่ชิงจะมีปฏิกิริยาต่อเรื่องทั้งหมดนี้อย่างไร


 


“อ-อย่าทำเช่นนั้น…ได้โปรด ท่านผู้นำนิกาย ข้ายินดีทำทุกสิ่งเพียงแค่ยกเว้นเขา” หลานลี่ชิงขอร้องพร้อมกับก้มจนศีรษะจรดพื้น ดวงตาเธอเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา


 


“ข้าคิดว่าแค่นี้คงพอ…” โหลวหลานจีคิดในใจ คงเป็นเรื่องแย่สำหรับเธอถ้าหลานลี่ชิงฟ้องซูหยางเรื่องนี้


 


“เงยหน้าขึ้น ผู้อาวุโสหลาน… เป็นซูหยางที่บอกข้าเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเจ้า…” เธอกล่าว


 


“..อะไรกัน” หลานลี่ชิงเงยหน้าขึ้นมาอย่าช้าๆ เพื่อมองดูโหลวหลานจี บนใบหน้าของเธอมีท่าทางที่ไม่อยากเชื่อแม้แต่น้อย เหมือนกับว่าเธอเพิ่งรู้ว่าครอบครัวของเธอถูกฆาตกรรมจากโจรร้าย


DC บทที่ 249: คำรับรองจากผู้นำนิกาย

 


“ผ-ผู้นำนิกาย…ท่านว่ากระไรไป” หลานลี่ชิงจ้องมองเธอด้วยดวงตาเบิกกว้าง ดูเหมือนว่าตกอยู่ในความตระหนก


 


โหลวหลานจียิ้มขอโทษและกล่าวว่า “เพื่อเป็นการขอโทษที่หยอกล้อเจ้าเล่น กระทั่งทำให้เจ้าถึงกับร้องไห้ ข้าจักให้ความสัมพันธ์ของเจ้ากับซูหยางเป็นข้อยกเว้น”


 


“อะ-อะ-อะไรกัน…” หลานลี่ชิงยังคงตกตะลึง ในเมื่อเธอยังไม่สามารถเข้าใจกับเหตุการณ์ได้


 


“เป็นซูหยางที่บอกข้าถึงความสัมพันธ์ของเจ้ากับเขา และขอร้องให้ข้ามาที่นี่ ดังนั้นเจ้ามิจำเป็นต้องกังวลว่าจะถูกลงโทษ”


 


“ท-ทำไมกัน” หลานลี่ชิงถาม


 


“มันเป็นเรื่องซับซ้อนอยู่บ้าง ดังนั้นข้าจักขออธิบายเลยในตอนนี้” โหลวหลานจีส่ายหน้า


 


“สิ่งที่เจ้าต้องรู้ตอนนี้ก็คือ ข้าผู้นำนิกายได้รับรองความสัมพันธ์ของเจ้ากับซูหยาง ดังนั้นเจ้าจึงมิจำเป็นต้องกังวลว่าจะถูกลงโทษเรื่องนี้ กล่าวไปแล้วเจ้ายังคงต้องรอจนกว่าเขากลายเป็นศิษย์หลักก่อนที่จะประกาศต่อสาธารณะ ด้วยในตอนนี้สถานการณ์ของเจ้าจักสร้างปัญหาจำนวนมากให้แก่พวกเราถ้าผู้อาวุโสคนอื่นรู้เรื่องนี้”


 


“…”


 


โหลวหลานจีคาดว่าหลานลี่ชิงต้องโห่ร้องออกมาด้วยความยินดีหลังจากที่ได้ยินคำของเธอ แต่หลานลี่ชิงยังคงร้องไห้ต่อไป ตามจริงเธอร้องไห้หนักขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ ซึ่งสร้างความงุนงงให้กับโหลวหลานจี


 


“ผ-ผู้อาวุโสหลาน เจ้ายังดีอยู่หรือไม่” เธอถามอีกฝ่าย


 


“เจ้าค่ะ…” หลานลี่ชิงพยักหน้า “ข-ข้าเพียงดีใจมากเกินไป…จนมิอาจหยุดหลั่งน้ำตาได้…”


 


“หลังจากเงียบไปชั่วขณะ โหลวหลานจีก็กล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อย “แม้ว่าเจ้าอาจจะไม่เชื่อถือข้า ยามที่ข้าพูดเช่นนี้ แต่ข้ายิ่งยิ่งตกใจมากกว่าเมื่อข้าได้ยินชื่อเจ้ามาจากปากของซูหยาง ในเมื่อเจ้าเป็นคนเดียวในที่นี้ที่ข้าคาดคิดว่าจะฝ่าฝืนกฏพิเศษของนิกาย และข้าก็ยังยากที่จะยอมรับได้กระทั่งตอนนี้..”


 


“เจ้า..คือคนที่ยืนกรานที่จะรักษาความบริสุทธิ์ดั่งชีวิตไว้กว่าสามสิบปี ปฏิเสธการเกี้ยวพานของชายหล่อเหลานับร้อย กลับต้องสูญเสียความบริสุทธิ์ใหักับศิษย์หนุ่มที่อยู่กับพวกเราเพียงหนึ่งปี..ข้ามั่นใจว่าผู้นำนิกายคนก่อนคงมองดูเจ้าอยู่บนสวรรค์ด้วยตาโตและร้องไห้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่พวกเขาพยายามโน้มน้าวให้เจ้าหาคู่ฝึก…”


 


“…” หลานลี่ชิงนิ่งเงียบฟังพร้อมกับใบหน้าแดง เธอไม่อาจปฏิเสธทุกสิ่งที่มาจากปากของโหลวหลานจี ในเมื่อเธอเองก็ยางที่จะเชื่อว่าเป็นตัวเธอเองเช่นกันกระทั่งตอนนี้


 


“เจ้าคงมิว่ากระไรถ้าข้าจะถามว่าทำไมเจ้าจึงเลือกคนแบบซูหยาง แม้ว่าข้ายอมรับว่าเขาเป็นชายหนุ่มหล่อและมีเสน่ห์เหลือล้นและคงเติบโตขึ้นพร้อมเสน่ห์ดึงดูดมากยิ่งกว่าเดิมในอนาคต แต่ก็ยังมีคนอีกมากมายนอกจากนี้ที่มีบุคลิกลักษณะที่ดีกว่าเขา…”


 


“ข้า..” หลานลี่ชิงเปิดปากแต่พูดออกมาได้เพียงแค่คำเดียวก่อนที่จะเงียบไปอีกครั้ง


 


หลังจากที่ใช้เวลาเงียบงันไปเพื่อคิดหาคำตอบของตัวเธอเอง หลานลี่ชิงก็พูดต่อว่า “พูดตามความจริง กระทั่งข้าเองก็ไม่รู้ว่าทำไมจึงเลือกคนแบบเขา…” เธอกล่าวพร้อมรอยยิ้มขื่นขม


 


“สิ่งที่ข้ารู้ก็คือข้ารู้สึกปลอดภัยเมื่อมีเขาอยู่ใกล้ๆ และอีกอย่างก็คือมีเสน่ห์บางอย่างของเขาที่ข้าอดไม่ได้ที่จะถูกดึงดูดเข้าไป…”


 


“…” โหลวหลานจีหรี่ตา ถึงเธอจะเกลียดที่จะยอมรับเท่าไรก็ตาม เธอก็เข้าใจคำอธิบายของหลานลี่ชิง ในเมื่อเธอเองก็รู้สึกเช่นเดียวกันเมื่อเธออยู่กับเขา


 


“แม้ว่าเขาจะเพียงเป็นแค่ศิษย์…กระทั่งมีอายุไม่ถึงครึ่งของข้า…” โหลวหลานจีเริ่มรู้สึกหงุดหงิดมากยิ่งขึ้นเมื่อเธอรู้สึกถึงเรื่องนั้น


 


“ทำไมจึงต้องเป็นซูหยาง อะไรทำให้เขาดูพิเศษ นอกจากหน้าตาและกลเม็ดระดับพระเจ้า ก็ไม่มีอะไรพิเศษเกี่ยวกับเขาอีก ทำไมเป็นเช่นนั้น” โหลวหลานจีครุ่นคิด


 


“แม้ว่าจะสายเกินไปที่จะขอโทษ ข้ายังคงต้องขอโทษที่ฝ่าฝืนกฏนิกาย ผู้นำนิกาย…” หลานลี่ชิงพลันก้มหน้าอีกครั้งและกล่าวว่า “ข้าขอโทษ”


 


โหลวหลานจีไม่ได้ตอบรับถ้อยคำนั้น ในเมื่อเธอก็มั่นใจว่าเธอก็จักรู้สึกผิดเช่นกันถ้าเธอยอมรับคำขอโทษนั้น


 


“ข้าเองก็ทำผิดกฏนิกายร่วมฝึกคู่กับเขาเช่นกัน ด้วยฐานะของผู้นำนิกาย ไม่ต่ำไปกว่านี้ ดังนั้นข้าก็ไม่มีฐานะไหนที่จะยอมรับคำขอโทษของเธอได้…” เธอถอนหายใจ


 


“อย่างไรก็ตามทำไมเจ้ามิยืนขึ้นก่อน ข้ารู้จักเจ้านับตั้งแต่เจ้าถูกรับเลี้ยงโดยผู้นำนิกายคนก่อนๆ แต่พวกเขาล้วนมิอยู่ที่นี่แล้ว ดังนั้นข้าจึงอยากจะรู้รายละเอียดความสัมพันธ์ของเจ้ากับซูหยางแทนพวกเขา” โหลวหลานจีกล่าวขณะที่เธอไปนั่งอยู่ที่โต๊ะใกล้ๆ


 


“ผู้นำนิกาย…” หลานลี่ชิงปาดน้ำตาออกจากใบหน้าและตามโหลวหลานจีไปที่โต๊ะ


 


ยามเมื่อหลานลี่ชิงใจเย็นลงแล้ว โหลวหลานจีก็ถามว่า “เป็นอย่างไร เรื่องทั้งหมดนี้เริ่มขึ้นเมื่อไหร่ นานเท่าไหร่แล้วที่เจ้ากลายเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว เจ้าคิดอะไรในเวลานั้น นั่นต้องเปลี่ยนมุมมองความคิดต่อโลกของเจ้าด้วย จริงหรือไม่”


 


“ด-เดี๋ยวก่อน ผู้นำนิกาย…ข้ามิอาจตอบคำถามทั้งหมดนี้ได้ในคราวเดียว…”


 


เหงื่อหยดหนึ่งปรากฏขึ้นบนหน้าผากเมื่อโหลวหลานจีส่งคำถามมากมายมาลงที่เธอ


 


“งั้นก็ตอบทีละข้อ”


 


หลังจากที่ใช้เวลาเตรียมตัวชั่วขณะ หลานลี่ชิงก็กล่าวว่า “ทั้งหมดนี้เริ่มขึ้นเมื่อเพื่อนสนิทของข้าแนะนำข้าให้ไปหาซูหยางจาก..ความเจ็บปวดบนร่าง…”


 


“ข้าเองก็ไม่เชื่อในตอนแรก แต่เมื่อเขารักษาอาการเจ็บปวดบนร่างข้าได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าพยายามแก้ปัญหามาหลายอาทิตย์ ข้าก็เริ่มเชื่อถือเขา และความรู้สึกที่มีต่อเขาก็เริ่มพัฒนาขึ้นในช่วงเวลานั้น”


 


“สิ่งหนึ่งก็นำไปสู่อีกสิ่ง และเขาก็พูดกับข้าให้ยกแก่นหยินบริสุทธิ์ของข้าให้กับเขา…”


 


โหลวหลานจีไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เธอได้ยิน ความสัมพันธ์ของพวกเขาเริ่มต้นมาตั้งแต่เนิ่นนาน


 


“ป-ประเดี๋ยวก่อน…จ-เจ้าฝึกคู่กับเขาก่อนที่เขาจะเป็นศิษย์ในเลยรึ” โหลวหลานจีอดที่จะถามไม่ได้


 


หลานลี่ชิงยืนยันด้วยการพยักหน้า “ไม่นานนักหลังจากที่เขาเริ่มขายบริการนวด”


 


“ต-แต่เขาอยู่แค่เพียงเขตปฐมวิญญาณในตอนนั้น มิมีทางที่เขาจักร่วมฝึกโดยใช้แก่นหยินบริสุทธิ์ของเจ้าได้ในตอนนั้น แก่นหยินบริสุทธิ์ของเขตสัมมาวิญญาณย่อมต้องทำร้ายรากฐานและร่างกายของเขา บ้าไปแล้ว นี่มันเป็นปาฏิหาริย์ที่เขายังคงมีชีวิตอยู่”


 


“มิเพียงแต่เขาฝึกฝนโดยใช้แก่นหยินบริสุทธิ์ของข้า ยังคงก้าวข้ามเข้าสู่เขตคัมภีร์วิญญาณและกลายเป็นศิษย์ในด้วย” หลานลี่ชิงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม รู้สึกภูมิใจในตัวเขา


 


“เหลือเชื่อ…” โหลวหลานจีกล้ำกลืนความตระหนก มีความลับมากมายเพียงใดที่ซูหยางมีภายใต้ชายเสื้อของเขากันแน่ เขาเป็น “ความอับอาย” ของตระกูลซูจริงหรือ นั่นไม่สมเหตุผลกับตัวตนของซูหยางที่เป็นอยู่


DC บทที่ 250: พบกับฟางซีหลาน


 


หลังจากใช้เวลาหลายนาทีในการพูดคุยกับหลานลี่ชิง โหลวหลานจีก็ตระหนักได้ว่าหลานลี่ชิงรักซูหยางมากมายเพียงไหน ยิ่งไปกว่านั้นปรากฏว่าซูหยางได้สืบข่าวไปทั่วทุกที่มากกว่าที่เธอได้คาดไว้ บ้าไปแล้ว คววมจริงที่ว่าเขาได้หลอกคนแบบหลานลี่ชิงในขณะที่เป็นเพียงแค่ศิษย์นอกไม่มีอะไรได้นอกจากคำว่ามหัศจรรย์


 


“ข้าคิดว่าข้าได้ยินมามากพอแล้วตอนนี้…” โหลวหลานจีกล่าวหลังจากที่ฟังเรื่องราวของอีกฝ่ายทั้งหมด


 


“อย่างไรก็ตามจงจำไว้ว่าจนกว่าซูหยางจะกลายเป็นศิษย์หลัก เจ้าจะยังต้องระมัดระวังเวลาไปพบกับเขา”


 


“เจ้าค่ะ ท่านผู้นำนิกาย” หลานลี่ชิงพยักหน้า รู้สึกเหมือนกับว่าภูเขาได้ยกออกจากอก หลังจากที่เปิดเผยทุกสิ่งให้กับโหลวหลานจี


 


โหลวหลานจีปล่อยหลานลี่ชิงไว้ตามลำพังหลังจากนั้นไม่นาน กลับคืนสู่ศาลาหยินหยาง


 


หลานลี่ชิงถอนหายใจลึกอย่างผ่อนคลายหลังจากที่โหลวหลานจีจากไปแล้ว เธอเกือบจะหัวใจวายในตอนแรกเนื่องมาจากโหลวหลานจีล้อเธอเล่น และยังคงรู้สึกว่าใจเธอเต้นระทึกราวกับกลองมาจนถึงตอนนี้


 


“ซูหยางอย่างน้อยควรจะเตือนข้าก่อนนี้ ข้าเกือบตายด้วยความตระหนกมาจนป่านนี้”


 


แม้ว่าเธอจะบ่น เธอก็ยังซาบซึ้งซูหยางที่เปิดเผยความจริงให้กับโหลวหลานจี อีกทั้งหว่านล้อมเธอให้ยินยอม เขาจัดการสร้างปาฏิหาริย์นี้ได้อย่างไร เธอไม่อาจจะจินตนาการได้ แต่นั่นก็เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งในบรรดาเสน่ห์ทั้งหมดของซูหยาง


 


ในเวลานั้น ซูหยางเพิ่งเสร็จสิ้นการร่วมฝึกคู่กับคู่ฝึกคนที่ยี่สิบในวันนั้น


 


“อาาา…ศิษย์พี่ชาย ท่านสามารถร่วมฝึกคู่กับหญิงสาวมากมายเช่นนี้ได้อย่างไรโดยที่ไม่หมดแรงจากความเหนื่อยล้า ต่อให้ปราณหยางของท่านมีมากมาย แต่การที่ท่านยังคงแข็งแม้ว่าจะร่วมฝึกต่อเนื่องโดยไม่หยุดพักนี้ปกติแล้วเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ…”


 


ศิษย์คนนั้นถามเขาในขณะที่เธอนอนเปลือยอยู่บนเตียงของเขา


 


“ทุกสิ่งล้วนเป็นไปได้ถ้าเจ้าใส่ใจ” เขาตอบกลับด้วยรอยยิ้ม


 


หลังจากที่ศิษย์หญิงจากไปแล้ว ซูหยางก็ออกไปข้างนอกและกล่าวกับศิษย์คนอื่นที่รออยู่ด้านนอก “ข้าต้องขออภัยไว้ล่วงหน้าที่ประกาศข่าวกระทันหัน ข้าจะขอพักการร่วมฝึกคู่สักหลายวัน”


 


แม้ว่าบรรดาหญิงสาวจะไม่พอใจกับข่าวที่ประกาศออกมา พวกเธอก็ไม่ได้กล่าวโทษซูหยางที่ต้องการพัก ในเมื่อเขาได้ร่วมฝึกคู่มาเป็นเวลาหลายวันโดยไม่ได้พัก


 


“ท่านมิต้องขออภัยในเรื่องนั้น ศิษย์พี่ชาย ถ้าจะมีอะไร พวกเราควรจะเป็นคนที่ขออภัยท่านที่มาใช้เวลาส่วนใหญ่ของท่าน…”


 


“เพื่อนศิษย์พูดถูก พักผ่อนเท่าที่ท่านต้องการและพวกเราจะรอคอยท่านกลับมาอย่างอดทน”


 


“ขอบคุณที่เข้าใจ” ซูหยางกล่าว


 


ครั้นเมื่อศิษย์หญิงกระจัดกระจายไปจากที่พักของเขาแล้ว ซูหยางก็ขังตัวเองอยู่ในที่พักเป็นเวลาหลายวันโดยไม่ก้าวออกไปข้างนอกแม้สักก้าว


 


“นายท่าน ท่านกำลังทำอะไร” เซียวลี่กลับมาจากการเที่ยวเล่นในวันหนึ่งและได้ถามเขา


 


“ข้ากำลังปลูกต้นไม้” เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจ


 


ที่วางอยู่ตรงหน้าซูหยางเป็นกระถางเปล่าบรรจุดิน และสำหรับสองสามวันที่ผ่านมา เขาได้เลี้ยงดูบางสิ่งที่ฝังอยู่ภายในดินด้วยปราณไร้ลักษณ์โดยการใช้วิชาเฉพาะ


 


“หืมมมม…”


 


เซียวลี่ยืนอยู่ตรงนั้นและมองดูเขาทำงาน อย่างไรก็ตามเธอไม่ได้สนใจในสิ่งที่เขากำลังทำแม้แต่น้อย กลับกันเธอจ้องมองดูใบหน้าหล่อเหลาของซูหยางขณะที่เขากำลังทำงาน


 


“นายท่านกลิ่นประหลาดที่มาจากตัวท่านนั่นคืออะไร กลิ่นมันคล้ายกับมนุษย์ผู้หญิง”


 


“นั่นคือปราณหยิน” เขาตอบกลับอย่างใจเย็น


 


“ปราณหยิน นั่นคืออะไร”


 


“ผู้หญิงปลดปล่อยปราณชนิดนี้เมื่อพวกเธอมีความสุขถึงสุดยอด”


 


“เซียวลี่ยังคงไม่เข้าใจ…”


 


“ไม่เป็นไรถ้าเจ้ายังไม่เข้าใจในตอนนี้”


 


ซูหยางไม่รู้สึกว่าต้องอธิบายความหมายของ “กำหนัด” ให้กับจอมแมวภูติ ยิ่งกับผู้ที่ยังมีสภาพจิตใจเป็นเด็ก


 


“อย่างไรก็ตามเจ้าเล่นเสร็จแล้วรึ ข้าจักต้องอยู่ที่นี่อีกหลายเดือน ดังนั้นเจ้าสามารถเล่นต่อได้อีกเล็กน้อยถ้าเจ้าต้องการ”


 


เซียวลี่ส่ายหน้าและกล่าวว่า “เซียวลี่เล่นพอแล้ว”


 


ซูหยางเลิกคิ้ว


 


“หรือว่าเธอได้เดินทางรอบโลกแล้ว” เขาสงสัย


 


เนื่องจากรู้ว่าความเร็วระดับเทพของจอมแมวภูติยังทำให้เทพกลัว นั่นไม่เป็นเรื่องแปลกถ้าเธอได้เห็นทุกเมืองในโลกในเวลาไม่กี่วันนี้เรียบร้อยแล้ว และไม่ใช่แค่เพียงครั้งเดียวแต่สองครั้ง


 


“เซียวลี่จะอยู่ที่นี่กับนายท่าน” เธอกล่าวหลังจากนั้นไม่นาน


 


“นั่นจักน่าเบื่อมากถ้าเจ้าอยู่ที่นี่กับข้า เจ้ารู้ไหม”


 


“เซียวลี่ไม่เป็นไร” เธอกล่าวด้วยเสียงราบเรียบ


 


หลังจากที่ใช้เวลาหลายร้อยปีอย่างโดดเดี่ยวในพื้นที่รกร้างดังเช่นสุสานเซียนที่มีเธอเพียงคนเดียวที่เป็นสิ่งมีชีวิต เซียวลี่ได้มีภูมิต้านทานต่อความเบื่อ ยิ่งไปกว่านั้นสัตว์อสูรไม่สนใจหากต้องเบื่อตามธรรมชาติอยู่แล้ว ตามจริงเพียงแค่อยู่ข้างซูหยางก็ยิ่งกว่าพอเพียงสำหรับเธอสำหรับความรื่นเริง


 


“ถ้าเจ้าพูดอย่างนั้น”


 


ดังนั้นในเวลาสองสามวันหลังจากนั้น ซูหยางก็มุ่งเน้นไปกับการปลูกพืชประหลาดในขณะที่เซียวลี่ได้มองเขาดูจากด้านข้างราวกับตุ๊กตา


 


ในเวลานั้น ฟางซีหลานได้อยู่แต่ในบ้านของเธอในเวลาช่วงนี้ อดทนรอซูหยางให้มาพบเธอ


 


“ศิษย์คนนั้นไปไหนแล้ว ข้าได้รอเขามาเป็นอาทิตย์แล้วตอนนี้” ฟางซีหลานบ่นขณะที่เธอสางขนให้กับเซียวไป่


 


ก๊อกก๊อก


 


ทันใดนั้นเองประตูที่พักของเธอก็มีเสียงเคาะ


 


“หรือว่าจะเป็นเขา สุดท้ายเขาก็มา” ฟางซีหลานรีบไปเปิดประตู


 


อย่างไรก็ตามคนที่เธอพบที่ประตูไม่ใช่ซูหยาง แต่เป็นศิษย์หลักคนอื่นที่ชื่อ ยวินหนานเตียน


 


“ศิษย์พี่ชายยวิน ท่านมาทำอะไรที่นี่” เธอถามเขาด้วยสีหน้าไม่ยินดี


 


“ข้ามาที่นี่เพื่อดูว่าศิษย์น้องหญิงสนใจร่วมฝึกกับข้าหรือไม่” ยวินหนานเตียนถามด้วยรอยยิ้มน่าหลงไหลบนใบหน้าหล่อเหลาของเขา


 


“เสียใจ ตอนนี้ข้ายุ่ง” ฟางซีหลานปฏิเสธอย่างรวดเร็ว


 


อย่างไรก็ตามยวินหนานเตียนไม่ได้จากไปในทันทีและยังคงเตร่อยู่ กระทั่งเสนอให้ความช่วยเหลือเธอ


 


“เจ้ากำลังยุ่งเรื่องอะไรอยู่ ในเมื่อข้ามิมีอะไรทำในวันนี้ ข้าสามารถยื่นมือเข้าไปช่วยได้นะ”


 


“มิมีอะไรที่ท่านสามารถ—”


 


“เจ้าคือฟางซีหลานใช่ไหม”


 


ทันใดนั้น เสียงอีกเสียงก็ดังขึ้นมาด้านหลังยวินหนานเตียน


 


“ใคร” ยวินหนานเตียนเกือบฉี่ราดกางเกงในเมื่อซูหยางพลันปรากฏตัวขึ้นเบื้องหลังของเขาราวกับภูติผี เขารีบกระโดดหนีราวกับแมวที่ถูกเหยียบหางโดยไม่ได้ตั้งใจ


 


ทำไมเขาถึงไม่ทันสังเกตเห็นอีกฝ่ายแม้แต่น้อย


 


ฟางซีหลานเพ่งสายตามองไปยังใบหน้าหล่อเหลาของซูหยาง “นี่คือซูหยางรึ” เธอพูดในใจ


DC บทที่ 251: หญ้าเงินเจ็ดใบ


 


หยุนหนานเตียนจ้องมองซูหยางด้วยสีหน้าโกรธแค้นบนใบหน้าหล่อเหลา รู้สึกอายกับท่าทางหวาดกลัวของตัวเองเมื่อกี้นี้ ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือฟางซีหลานที่อยู่ที่นั่นก็เห็นด้วย


 


“ศิษย์ในบ้าคนนี้เป็นใครกัน เข้ามาในเขตกลางได้อย่างไร” ยวินหนานเตียนพลันจดจำชุดเขียวแต่ใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยได้ในทันที ตามจริงเขาไม่เคยเห็นอีกฝ่ายมาก่อน


 


“เจ้าคือซูหยาง” ฟางซีหลานถามเขา


 


“ใช่แล้ว”


 


“มาข้างใน ข้ารอเจ้าอยู่”


 


ซูหยางพยักหน้าและตรงเข้าไปยังประตู


 


อย่างไรก็ตามขณะที่เขาก้าวเข้าไปได้สองก้าว ยวินหนานเตียนก็ตะโกนขึ้น “หยุดอยู่ตรงนั้น”


 


“ศิษย์น้องหญิงฟาง นี่หมายความว่าอะไร หรือว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นเหตุผลที่เจ้าติดธุระ แค่ศิษย์ในเท่านั้น” เขาถามเธอด้วยสีหน้าไม่พอใจบนใบหน้า


 


“นั่นมิใช่กงการอะไรของท่าน” เธอตอบกลับเสียงเย็นเยียบ


 


ร่างของยวินหนานเตียนสะท้านด้วยความโกรธ แต่เขาพยายามทำหน้าเรียบเฉยขณะที่พูดกับเธอ “อย่าทำเช่นนั้น ศิษย์น้องหญิง เจ้าจะได้อะไรจากการร่วมฝึกคู่กับคนในเขตคัมภีร์วิญญาณแบบเขา ถ้าเราร่วมฝึกด้วยกัน นั่นย่อมมิใช่ความฝันที่จะก้าวเข้าสู่เขตปฐพีวิญญาณก่อนจะเริ่มการแข่งขันระดับภูมิภาค”


 


แม้ว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยสนับสนุนอย่างหนักให้ศิษย์ในเข้าร่วมในการแข่งขันระดับภูมิภาค กระทั่งเป็นข้อบังคับให้เป็นกฏในการเป็นศิษย์หลัก แต่งานนี้แท้จริงแล้วยอมรับคนที่มีอายุต่ำกว่าสามสิบ ดังนั้นจึงมีศิษย์หลักจากสำนักอื่นเข้าร่วมด้วยเช่นกัน


 


กล่าวไปแล้ว นอกจากว่าศิษย์ในล้มคู่ต่อสู้ทุกคนที่มีพลังการฝึกปรือและอายุใกล้เคียงกัน ถึงจะได้เผชิญหน้ากับศิษย์หลัก


 


“ฮ่าฮ่า…” ซูหยางอดที่จะหัวเราะกับความพยายามที่ไร้ผลของยวินหนานเตียนไม่ได้ เขาได้เห็นชายที่หมดหวังมามากมายนัก แต่พวกเขาล้วนทำให้เขาหัวเราะเสมอ


 


“เจ้ากล้าหัวเราะเยาะข้ารึ เจ้าศิษย์ใน” ยวินหนานเตียนเพ่งสายตาไปยังซูหยาง สายตาของเขาเต็มไปด้วยเจตนาการฆ่าฟัน


 


“ผิดด้วยหรือกับการหัวเราะเมื่อมีการเล่าเรื่องตลก มิใช่ผู้คนล้วนทำเช่นนั้นเป็นปกติรึ” ซูหยางถามด้วยน้ำเสียงสับสน ราวกับว่างงงันกับปฏิกิริยาของยวินหนานเตียน


 


“ตลก ตรงไหนที่ข้าพูดที่เป็นเรื่องตลกสำหรับเจ้า”  ยวินหนานเตียนถามเขาพร้อมขมวดคิ้ว


 


“ทุกสิ่งที่เจ้าพูดล้วนเป็นเรื่องตลก เจ้าเด็กน้อย” ซูหยางหัวเราะเสียงดัง


 


“ด-เด็กน้อย หาที่ตาย” ยวินหนานเตียนหน้าแดง โกรธจัดกับคำตอบของซูหยาง


 


ยวินหนานเตียนพลันดึงป้ายประจำตัวของตนเองออกมายกขึ้นตรงหน้าเขา


 


“ข้าท้าทายเจ้าต่อสู้เป็นตาย”


 


เขาตะโกนไปยังซูหยาง


 


“ศิษย์พี่ชายยวิน ข้ามิมีเวลาจริงๆสำหรับเรื่องเหล่านี้ตอนนี้” ฟางซีหลานสุดท้ายก็เข้ามาแทรก รู้สึกค่อนข้างไม่สบายใจเล็กน้อยกับการกระทำแบบเด็กๆของพวกเขา


 


“ศ-ศิษย์น้องหญิง—-”


 


“ศิษย์ซูหยาง กรุณาเข้ามาข้างในได้แล้ว” ฟางซีหลานรีบตัดบท


 


ซูหยางไม่ได้พูดอะไรอีกและเดินเข้าไปในบ้านขณะที่ยังคงหัวเราะ ในเวลานี้เหมือนกับว่าเขามีเจตนาพยายามทำให้ยวินหนานเตียนโกรธ อย่างน้อยก็เป็นเช่นนี้ในสายตาของฟางซีหลาน


 


“ศิษย์น้องหญิง เดี๋ยว—”


 


ปัง


 


ฟางซีหลานปิดประตูใส่หน้ายวินหนานเตียน ปล่อยให้เขายืนอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางงุนงง


 


ฟางซีหลานดูเหมือนจะเย็นชาใส่เขาในวันนี้มากกว่าปกติ และยวินหนานเตียนก็โทษซูหยางที่ต้องเสียหน้าเช่นนี้ต่อหน้าเธอ


 


“ซูหยาง หึ เจ้ารอไปก่อน ข้าจักหาว่าใครเป็นคู่ฝึกของเจ้าและจักขโมยเธอไปจากเจ้า ไม่เพียงเท่านั้น ข้าจักทิ่มเธอต่อหน้าต่อตาเจ้า” ยวินหนานเตียนดวงตาเปล่งประกายเพลิงแห่งความเกลียดชัง


 


ย้อนกลับมาด้านในบ้าน ฟางซีหลานกล่าวกับซูหยางด้วยเสียงเย็นชา “เจ้านิกายมิได้บอกเจ้าให้มาที่นี่เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้รึ หรือว่าเจ้ามิมีสำนึกของความเร่งรีบ ทำให้ศิษย์หลักรอเกือบทั้งอาทิตย์เพื่อเพราะเจ้า เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร”


 


ซูหยางยังคงเรียบเฉยและกล่าวว่า “ข้าต้องเตรียมบางสิ่งก่อนที่จะมาที่นี่ และนั่นต้องใช้เวลาเล็กน้อย”


 


ฟางซีหลานเพ่งสายตาราวกับว่าเธอต้องการอ่านสีหน้าของเขา และกล่าวว่า “ทำไมเจ้าต้องพยายามล่วงเกินยวินหนานเตียน เจ้ามิรู้รึว่าเขาอันตรายแค่ไหนเวลาถูกล่วงเกิน เขามิเพียงจักตามหาเจ้าแต่คู่ฝึกของเจ้าด้วย”


 


“ขอบคุณสำหรับคำเตือน แต่ข้ามิมีคู่ฝึก ดังนั้นจึงมิมีอะไรต้องกังวล”


 


ซูหยางตอบด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าฟางซีหลานอาจจะดูเหมือนเย็นชาและเว้นระยะห่างในตอนแรก ซูหยางสามารถบอกได้ว่าเธอไม่ถึงกับเป็นคนไร้ความรู้สึกเสียทั้งหมด


 


“เอาล่ะ วิญญาณพิทักษ์อยู่ที่ไหน ข้าต้องการเห็นมันเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะเริ่มทำอะไร”


 


ฟางซีหลานยังคงเงียบไปชั่วขณะก่อนที่จะพูดเสียงดัง “ออกมาเซียวไป่”


 


เมื่อได้ยินเสียงฟางซีหลาน ลูกบอลขนสีขาวก็ปรากฏตัวจากใต้เตียง


 


เมื่อซูหยางเห็นลูกเสือขาวนี้ คิ้วเขาก็เลิกขึ้นเล็กน้อย


 


“เสือหิมะ เหอ”


 


“เจ้ารู้จักว่าเซียวไป่เป็นวิญญาณพิทักษ์ประเภทไหนด้วยรึ” ฟางซีหลานมีสีหน้าประหลาดใจ


 


“แน่นอน” เขาตอบ


 


“มันเป็นวิญญาณพิทักษ์ธาตุหยินเกิดเฉพาะในที่ที่เย็นจัดในที่สูง เจ้าคงจะพบเพื่อนตัวน้อยนี้บนภูเขาใช่ไหม” เขาถามเธอ


 


ฟางซีหลานพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้าพบเธอที่ภูเขาเยือกแข็งในภาคตะวันตก”


 


แม้ว่าเธอไม่ต้องการพูดออกมาดัง ฟางซีหลานก็ยังประทับใจเป็นอันมากกับความรู้เกี่ยวกับวิญญาณพิทักษ์ของซูหยาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไม่มีใครสามารถจำแนกเซียวไป่เมื่อเธอพากลับมาที่นิกายในครั้งแรก


 


“บางทีเขาอาจจะมีวิธีช่วยเซียวไป่ให้โตเต็มวัยในเวลาหนึ่งเดือนได้จริงๆ…”


 


ฟางซีหลานคิดในใจถึงความเป็นไปได้อาจจะไม่ถึงกับไร้สาระเกินไปและอดไม่ได้ที่จะเริ่มตื่นเต้นกับอนาคตของเซียวไป่


 


“เอาล่ะ ที่ทำให้ข้าใช้เวลาตั้งนานเพื่อที่จะเข้ามาหาเจ้าก็เพราะว่าสิ่งนี้…”


 


ซูหยางนำเอากระถางที่เต็มไปด้วยดินออกมาจากแหวนมิติ ที่ปลูกไว้ในกระถางนี้เป็นใบหญ้าสีเงินเจ็ดใบ และถ้ามองดูใกล้ๆ อาจจะสามารถเห็นรูปแบบบางอย่างอยู่ในใบหญ้า


 


“นี่คืออะไร” ฟางซีหลานสามารถรู้สึกถึงความล้ำลึกเปล่งออกมาจากหญ้าเงินนี้


 


อย่างไรก็ตามก่อนที่ซูหยางจะทันได้พูด เซียวไปซึ่งนิ่งเงียบอยู่ใกล้เตียงพลันคำรามและกระโดดเข้าหาซูหยางพร้อมอ้าปาก ราวกับว่าต้องการจะกินซูหยาง


 


“เซียวไป่”


 


ฟางซีหลานซึ่งตกตะลึงเป็นอย่างมากกับปฏิกิริยาที่ไม่คุ้นเคยของเซียวไป่ รีบไปจับเซียวไปไว้กลัวว่าเธออาจจะทำให้ซูหยางบาดเจ็บโดยอุบัติเหตุ


 


“สิ่งของในมือข้าเรียกว่าหญ้าเงินเจ็ดใบ และวิญญาณพิทักษ์ที่ยังไม่เจริญเต็มวัยส่วนใหญ่ล้วนคลั่งไคล้มัน กล่าวอีกนัยหนึ่ง พวกมันรักที่จะกินสิ่งนี้”


 


“ถ้าเจ้ายอมให้เสือหิมะกินหนึ่งใบทุกสี่วัน มันจะโตเต็มวัยภายในหนึ่งเดือน


 


ซูหยางอธิบายเรื่องหญ้าเงินเจ็ดใบให้กับฟางซีหลานอย่างเยือกเย็นในขณะที่เซียวไปพยายามที่จะดิ้นให้หลุดจากการรั้งตัวของฟางซีหลาน


 


นับตั้งแต่เธอได้กลิ่นที่มาจากหญ้าเงินเจ็ดใบ เซียวไปก็ตกหลุมรักมันทันที และเธอจะทำทุกสิ่งเพื่อที่จะได้ลิ้มรสมัน


DC บทที่ 252: เพื่อแลกเปลี่ยนกับหญ้าเงินเจ็ดใบ


 


“จ-ใจเย็นเซียวไป่”


 


แม้กระทั่งด้วยพลังการฝึกปรือระดับสูงสุดของเขตสัมมาวิญญาณ ฟางซีหลานยังยากที่จะเก็บเซียวไป่ซึ่งอยู่ในระดับสูงสุดของเขตปฐมวิญญาณไว้ใต้การควบคุม


 


นี่แสดงให้เห็นว่าวิญญาณพิทักษ์มีพละกำลังเหนือกว่าและลึกล้ำกว่าเพียงไหน และทำไมกระทั่งนิกายระดับสูงยังต้องเริ่มสงครามเพื่อให้ได้สักตัว


 


ถ้าเซียวไป่โตเต็มวัย มันก็สามารถต่อสู้แม้กระทั่งกับผู้ฝึกวิชาระดับปฐพีวิญญาณในขณะที่ตัวมันอยู่ในเขตคัมภีร์วิญญาณ


 


“ซูหยาง เจ้าต้องการอะไรในการแลกเปลี่ยนสำหรับหญ้าเงินเจ็ดใบนี้”


 


ฟางซีหลานรีบถามเขา เธอสงสัยว่าเขาปรารถนาที่ยกให้ฟรีหรือ


 


“เพียงแค่แจ้งราคามาและนั่นจะเป็นของเจ้า”


 


แม้กระทั่งเธอไม่มีหินวิญญาณพอเพียง ฟางซีหลานก็มั่นใจว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็จะจ่ายให้เธอ ในเมื่อหญ้าเงินเจ็ดใบนี้เป็นไปได้อย่างมากที่จะช่วยเซียวไป่โตเต็มวัย เป็นสิ่งที่แม้กระทั่งโหลวหลานจีก็ไม่ปฏิเสธแม้ว่ามันจะมีค่ามหาศาล


 


“ข้ามิได้ต้องการหินวิญญาณของเจ้า…”


 


หลังจากที่ได้หินวิญญาณนับหมื่นจากคลังเซียน ซูหยางไม่ได้ต้องการความร่ำรวยใดอีกต่อไป ในเมื่อมันเพียงคล้ายกับหยดน้ำสองสามหยดลงในทะเล


 


“ถ้าเจ้ามิต้องการหินวิญญาณ เช่นนั้นอะไรที่เจ้าต้องการ”


 


หลังจากครุ่นคิดชั่วขณะ ฟางซีหลานก็หรี่ตา เธอถามว่า “อย่าบอกว่าเพื่อแลกเปลี่ยนกับหญ้าเงินเจ็ดใบ เจ้าต้องการร่างกายของข้า…”


 


ถ้าซูหยางไม่ต้องการหินวิญญาณ นั่นก็มีเพียงเหตุผลเดียวที่ทำไมเขาถึงเข้ามาหาเธอพร้อมกับหญ้าเงินเจ็ดใบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหากพิจารณาถึงชื่อเสียงและความสวยงามของเธอในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย สุดท้ายแล้วเขาก็เป็นคนที่ให้กระดาษบันทึกแก่เธอ


 


ซูหยางส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้มและกล่าวว่า “ถ้าเจ้าคิดว่าข้ามาหาเจ้าเพียงแค่ร่างกายของเจ้า เช่นนั้นเจ้าก็ได้ดูถูกตัวข้าแล้ว”


 


“เพียงแค่รึ เช่นนั้นเจ้าก็ยังคิดถึงอยู่มิใช่รึ” ฟางซีหลานถาม


 


“แน่นอน ข้ามิปฏิเสธการร่วมฝึกคู่กับเจ้าถ้าหากมีโอกาส แต่อย่างที่บอกไปแล้วข้ามิมีเจตนาที่จะขอให้เจ้าใช้ร่างเจ้าในการแลกเปลี่ยนสำหรับหญ้าเงินเจ็ดใบ”


 


ซูหยางไม่ได้ปฏิเสธว่าเขาต้องการร่วมฝึกคู่กับเธอ อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่มีเจตนาที่จะเอาเปรียบกับความรู้สึกของเธอสำหรับเซียวไป่โดยการใช้หญ้าเงินเจ็ดใบกดดันเธอให้ร่วมฝึกกับเขา ซึ่งนั่นเป็นความเลวสำหรับคนเช่นเขา


 


หลังจากที่กล่าวถ้อยคำเหล่านี้แล้ว ซูหยางก็ยื่นส่งกระถางของหญ้าเงินเจ็ดใบทั้งกระถางให้กับเธอและกล่าวว่า “ข้ามิได้มีเจตนาในการร้องขอสิ่งใดสำหรับหญ้าเงินเจ็ดใบ ในเมื่อนี่เป็นวิถีทางในการช่วยนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของข้า”


 


ซูหยางต้องการที่จะช่วยนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเติบโตจนเป็นสถานที่ที่มีพลังน่าเกรงขามก่อนที่เขาจะจากไปสู่สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ นี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำไมเขาจึงยังคงอยู่ที่นี่และฝึกฝนกับบรรดาศิษย์เหล่านั้นซึ่งไม่มีผลกับความก้าวหน้าของเขามากนัก แม้ว่าจะมีทางเลือกไปยังที่ที่มีผู้คนที่มีความแข็งแกร่งมากกว่าอยู่ทั่วไป ดังเช่นทวีปศักดิ์สิทธิ์กลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขามีเรือบินของชิวเยวี่ย ซึ่งจะทำให้เขาเดินทางได้ง่ายกว่าเดิม


 


จะว่าไปแล้วถึงแม้ว่าเขาเดินทางไปยังทวีปศักดิ์สิทธิ์กลางและฝึกฝนอยู่ที่นั่น พลังการฝึกปรือของเขาก็จะเพียงเพิ่มขึ้นมากก่อนที่จะถึงทางตันที่ไม่อาจข้ามไปได้เนื่องมาจากปริมาณปราณไร้ลักษณ์ในโลกนี้


 


อีกนัยหนึ่งเขาก็จะประสบกับปัญหาเดียวกับที่ชิวเยวี่ยประสบในตอนนี้ ไม่ว่าจะมีพรสวรรค์มากมายเพียงใดหรือว่าจะฝึกเคล็ดวิชาท้าทายสวรรค์อะไรก็ตาม สิ่งเหล่านั้นก็ไม่สามารถช่วยให้ก้าวข้ามไปได้นอกจากจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ถูกต้อง


 


การกระทำของซูหยางสร้างความมึนงงให้กับฟางซีหลาน ซึ่งยังสงสัยเจตนาที่แท้จริงของเขาอยู่


 


“เจ้ามิต้องการสิ่งใดในการแลกเปลี่ยนสำหรับหญ้าเงินเจ็ดใบรึ เจ้ามั่นใจรึ” เธอถามเพียงเพื่อให้เกิดความมั่นใจ


 


“ถึงแม้ว่ามันอาจจะมีค่ามากสำหรับวิญญาณพิทักษ์ แต่หญ้าเงินเจ็ดใบง่ายมากในการเพาะปลูก” เขากล่าว


 


“เดี๋ยวก่อน…เจ้าปลูกมันด้วยตนเองรึ” อันดับแรกฟางซีหลานคิดสงสัยในใจจึงตัดสินใจถามเขา


 


ซูหยางพยักหน้ายืนยันความคิดของเธอ


 


“ป-เป็นไปไม่ได้…” ฟางซีหลานตกตะลึงอย่างแท้จริงเมื่อมาถึงจุดนี้


 


ทำไมคนที่อยู่เขตคัมภีร์วิญญาณและเป็นเพียงศิษย์ในธรรมดาจึงสามารถปลูกบางอย่างที่สามารถช่วยวิญญาณพิทักษ์โตเต็มวัยได้ สิ่งนี้จะเป็นเหตุให้เกิดการนองเลือดถ้าหากมีการรู้กันเข้า บ้าแล้ว เธอก็ยังไม่เคยได้ยินเรื่องหญ้าเงินเจ็ดใบมานับจนวันนี้


 


“ถ้าเขาสามารถปลูกสิ่งนี้ได้ด้วยตนเองจริงๆ เช่นนั้นข้าก็มิอาจจินตนาการได้ว่าโลกจะมีปฏิกิริยาอย่างไรถ้าพวกเขาเรียนรู้ความสามารถของเขา…” ฟางซีหลานสามารถรู้สึกว่าร่างของเธอมีเหงื่อไหลหลังจากที่รู้ถึงความสามารถระดับท้าทายสวรรค์ของซูหยาง


 


แต่แน่นอนว่าในสายตาของซูหยาง หญ้าเงินเจ็ดใบเป็นสิ่งของทั่วไปในสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ และถือได้ว่าเป็นอาหารทารกแต่สำหรับเพื่อวิญญาณพิทักษ์เท่านั้น ในอีกนัยหนึ่งพวกมันไม่ได้หายากดังเช่นที่ฟางซีหลานคิดว่ามันควรจะเป็น


 


“ไปป้อนให้กับเสือหิมะหนึ่งใบ” เขาพลันกล่าวกับเธอ


 


“ด-ได้”


 


ฟางซีหลานปล่อยเซียวไปจากการจับและรีบฉวยหญ้าเงินเจ็ดใบไว้ก่อนที่เซียวไป่จะกลืนมันลงไปทั้งหมด


 


“เซียวไป่ นั่งลง”


 


ลูกบอลขนสีขาวพลันนั่งลงเมื่อฟางซีหลานแสดงหญ้าเงินเจ็ดใบให้เธอเห็น


 


ฟางซีหลานดึงเอาหญ้าเงินเจ็ดใบออกมาหนึ่งใบจากกระถางและป้อนให้กับเซียวไป่ ซึ่งกลืนสิ่งนี้เข้าไปในคำเดียวหลังจากที่เคี้ยวไปสองสามครั้ง


 


หลังจากกินหญ้าเข้าไปไม่กี่วินาที เซียวไปก็จ้องมองฟางซีหลาน เห็นชัดว่าขอเพิ่ม


 


ฟางซีหลานหันไปมองดูซูหยางซึ่งส่ายหน้าและกล่าวว่า “ข้าควรจะเตือนเจ้าว่าหญ้าเงินเจ็ดใบแต่ละใบเปี่ยมไปด้วยปราณไร้ลักษณ์จำนวนมาก ถ้าเจ้าป้อนมันเกินกว่าที่แนะนำไว้ มันจะเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงแก่วิญญาณพิทักษ์ กระทั่งอาจฆ่ามันได้”


 


คำพูดของซูหยางสร้างความหวาดกลัวให้แก่ฟางซีหลานได้อย่างง่ายดาย เตือนเธอให้ซ่อนกระถางหญ้าเงินเข้าไปในแหวนมิติในทันที แม้ว่าเซียวไป่จะมีสายตาวิงวอน


 


“ขอบคุณสำหรับทุกสิ่ง” เธอกล่าวด้วยเสียงจริงใจ ถึงกับก้มศีรษะให้เขาเล็กน้อย สิ่งที่ยากจะเกิดขึ้น


DC บทที่ 253: ความปรารถนาที่จะก้าวหน้า


 


“ตราบเท่าที่เจ้าป้อนเสือหิมะด้วยหญ้าหนึ่งใบทุกสี่วัน มันย่อมสามารถเติบโตเต็มวัยได้ภายในเวลาหนึ่งเดือน บางทีอาจจะเร็วกว่านั้นขึ้นกับว่าวิญญาณพิทักษ์นี้มีพรสวรรค์เท่าไหร่”


 


แม้ว่าเขาไม่ได้พูดถึง แต่เสือหิมะถือว่าเป็นระดับที่ต่ำมากเมื่อเทียบกับวิญญาณพิทักษ์อื่น แต่ถ้าจะว่าไปแล้ววิญญาณพิทักษ์ในระดับนี้ก็เพียงพอที่จะยึดครองโลกนี้ถ้าเติบโตเต็มที่และได้รับการฝึกฝนอย่างเหมาะสม


 


“อย่างไรก็ตามข้าได้บรรลุจุดประสงค์ที่ข้าได้มาที่นี่แล้ว ดังนั้นข้าจักขอตัวกลับในตอนนี้”


 


“รอสักครู่”


 


ฟางซีหลานพลันหยุดเขาไว้


 


“มีอะไรอีก”


 


“ในเมื่อเจ้ามาที่นี่แล้ว ทำไมเจ้าไม่อยู่ต่ออีกสักหน่อย ข้ามีสองสามคำถามที่ต้องการจะถามเจ้า” ฟางซีหลานกล่าวขณะที่เธอย้ายเก้าอี้ไปทางเขา


 


ซูหยางเหลือบมองเก้าอี้ชั่วขณะก่อนจะนั่งลง


 


“เรื่องอะไรที่เจ้าอยากถามข้า”


 


“เมื่อข้าเห็นเจ้าครั้งแรก ข้ารู้สึกเหมือนว่าเคยเห็นเจ้ามาก่อน ตอนนี้เมื่อข้าได้มองดูเจ้าอย่างใกล้ชิด ข้าคิดว่าข้าจำได้ว่าเคยเห็นเจ้าที่โรงประมูลดอกบัวเพลิง เจ้าได้มีส่วนร่วมในการประมูลนั้นหรือไม่”


 


“โฮ่ เจ้าเห็นข้ารึ”


 


นอกจากเวลาที่เขาดูเธอเสนอราคาสำหรับแก่นพลังสัตว์อสูร ซูหยางจำไม่ได้ว่าเห็นเธออีกตอนไหน


 


ฟางซีหลานพยักหน้าและกล่าวว่า “นั่นเป็นเพียงเวลาชั่ววินาทีแต่ข้าจำได้ว่าเห็นเจ้าออกมาจากโรงประมูลหลังจากนั้น”


 


เพราะว่าหน้าตาหล่อเหลาของซูหยางนั้นโดดเด่นและน่าจดจำ ฟางซีหลานจึงสามารถจำใบหน้าของเขาแม้ว่าเธอจะได้เพียงเหลือบมองเขาเพียงแค่วินาทีเดียว


 


“ข้ามิได้วางแผนที่จะพูดอะไรทั้งสิ้น แต่ในเมื่อเจ้าถาม แก่นพลังสัตว์อสูรแมวสายฟ้าทั้งหมดที่เจ้าซื้อจากโรงประมูลล้วนเป็นของข้า”


 


“เอ๋ จริงรึ พวกมันล้วนเป็นของเจ้ารึ ข้าเคยคิดว่าพวกมันล้วนเป็นของนักสะสมที่ร่ำรวย”


 


ฟางซีหลานมีสีหน้าประหลาดใจ ในเมื่อเธอไม่คาดคิดว่าเขาจะเป็นเจ้าของของแก่นพลังสัตว์อสูรมากมายปานนี้


 


“เช่นนั้นเจ้าต้องร่ำรวยพอสมควรตอนนี้ เฮ้อ ไม่น่าประหลาดใจที่ทำไมเจ้าจึงปฏิเสธที่จะรับหินวิญญาณเพื่อแลกเปลี่ยนกับหญ้าเงินเจ็ดใบ ในเมื่อคนทั่วไปย่อมต้องรับมันไว้ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ร้องขอ”


 


ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “แล้วเจ้าล่ะ เหตุผลที่เจ้าซื้อแก่นพลังสัตว์อสูรมากมายก็เพื่อที่เจ้าจะได้ป้อนวิญญาณพิทักษ์นี้ใช่ไหม หือ”


 


“ใช่แล้ว” เธอพยักหน้าขณะที่เธอตบเซียวไป่ที่นั่งอยู่ข้างเธอเบาๆ


 


ซูหยางพลันพูดต่อ “เจ้ามีจุดประสงค์อะไรกับข้าอีกไหม”


 


ฟางซีหลานพลันเงียบลง ดูเหมือนจะลังเลเกี่ยวกับคำถามข้อต่อไปของเธอ


 


“ถ้าเจ้าไม่รังเกียจข้าอยากถามว่า..ในเมื่อหญ้าเงินเจ็ดใบมีปราณไร้ลักษณ์บรรจุอยู่จำนวนมาก มนุษย์เราสามารถใช้มันฝึกฝนเช่นเดียวกับหินวิญญาณได้หรือไม่”


 


“…”


 


แม้ว่าซูหยางสามารถเดาเหตุผลที่เธอถามคำถามนั้น เขากลับไม่ได้ตอบเธอในทันที


 


“อย่ากังวล ถึงแม้ว่าข้าปรารถนาที่จะก้าวหน้าเช่นกัน ข้ามิได้มีแผนที่จะเอาส่วนของเซียวไป่มา ในเมื่อการเติบโตของเธอมีความสำคัญต่อนิกายมากกว่าข้า ยิ่งไปกว่านั้นเธอจักเกลียดข้าถ้าทำเช่นนั้น” ฟางซีหลานพูดหลังจากที่เห็นว่าซูหยางเหมือนมีสีหน้าครุ่นคิด


 


ซูหยางหลับตาลงและกล่าวว่า “ถ้าข้าพูดว่ามนุษย์สามารถฝึกฝนโดยใช้หญ้าเงินเจ็ดใบได้เช่นกัน คำถามต่อไปของเจ้าคงเป็นข้าสามารถทำขึ้นมาเพิ่มสำหรับเจ้าได้หรือไม่ ถูกต้องไหม”


 


ฟางซีหลานไม่ได้ซ่อนเจตนาของเธอ พยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง


 


“อย่างที่เจ้ารู้ การแข่งขันระดับภูมิภาคเป็นที่สนใจของผู้คน ไม่เพียงแต่ผู้อาวุโสนิกายแต่กระทั่งเจ้านิกายก็มีความคาดหวังอย่างสูงสำหรับข้าด้วย ดังนั้นข้าจึงต้องทำทุกอย่างที่สามารถทำได้เพื่อที่จะได้อันดับสูงๆในการแข่งขัน อย่างไรก็ตามคู่แข่งของข้าก็จะเป็นศิษย์หลักจากนิกายที่เก่งกาจทั่วภูมิภาค และพวกเขาส่วนใหญ่ล้วนถึงเขตปฐพีวิญญาณก่อนหน้านั้น”


 


“แม้ว่าข้ามิได้มีข้อสงสัยว่าข้าจะสามารถเข้าสู่เขตปฐพีวิญญาณภายในสิ้นปี แต่ข้าก็มิอาจเห็นตัวข้าไปถึงเป้าหมายนั้นได้ก่อนการแข่งขันระดับภูมิภาค ถ้าเจ้าปรารถนาที่จะช่วยข้าด้วยหญ้าเงินเจ็ดใบ ข้าย่อมเป็นหนี้บุณคุณเจ้าอย่างสูง”


 


ซูหยางคิดชั่วขณะก่อนที่จะพูด “ทำไมเจ้ามิร่วมฝึกกับเจ้าตัวตลกเมื่อกี้ข้างนอกนั่น เขาดูเหมือนว่ามีความมั่นใจว่าเขาสามารถที่จะเติมเต็มความปรารถนาของเจ้า”


 


“ยวินหนานเตียน เจ้าคนนั้นเพียงแค่พูดสิ่งที่คนต้องการได้ยินเท่านั้น ไม่ว่ามันจะเป็นจริงหรือไม่”


 


“หรือว่านั่นเป็นเหตุผลที่เจ้ามิชอบเขา ข้าเคยคิดว่าศิษย์หลักทุกคนค่อนข้างจะเป็นมิตรกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อมีพวกเจ้าเพียงไม่กี่คนในสถานที่นี้”


 


“นั่นย่อมมิใกล้เคียงกับความเป็นจริง แม้ว่าพวกเราทำตัวเช่นนั้นในที่สาธารณะ แต่พวกเราส่วนใหญ่ก็มักจะรังเกียจกันเอง ตามจริงเมื่อพวกเรามองหาคู่ฝึก พวกเรามักจะออกไปข้างนอกที่ซึ่งมีคนที่เข้มแข็งอยู่มากมาย”


 


ซูหยางพยักหน้า ด้วยคำพูดของเธอมีเหตุผล เพราะว่าศิษย์หลักทั้งหมดมีพลังการฝึกปรือใกล้เคียงกัน พวกเขาจึงต้องการผู้ที่มีความแข็งแกร่งกว่าตนเองมาเป็นคู่ฝึก ตามจริงศิษย์หลักยากที่จะฝึกฝนร่วมกัน และเพราะด้วยเหตุนี้ศิษย์หลักของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยปกติจะมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับคนที่มีความแข็งแกร่งและชื่อเสียงจากโลกภายนอก


 


“แม้ว่าข้าจะเข้าใจสถานการณ์ของเจ้า ข้าก็ต้องปฏิเสธที่จะผลิตหญ้าเงินเจ็ดใบมากกว่าเดิม” ซูหยางกล่าวหลังจากนั้นชั่วขณะ


 


“ข้าถามได้หรือไม่ว่าทำไม”


 


แม้ว่าฟางซีหลานรู้สึกอารมณ์เสียที่ศิษย์ในคนหนึ่งได้ปฏิเสธคำขอของเธอ สิ่งที่เธอไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นมาก่อนถึงวันนี้ เธอก็ไม่ได้โกรธเขา


 


“ง่ายมาก หญ้าเงินเจ็ดใบจักฆ่าเจ้าเพราะว่ามนุษย์ไม่สามารถที่จะฝึกฝนกับสิ่งที่เหมาะสมกับวิญญาณพิทักษ์  ในเมื่อการทำงานของจุดตันเถียนของพวกมันแตกต่างจากพวกเราเป็นอย่างมาก”


 


“เอ๋ แต่เจ้าที่พูดเมื่อสักครู่…”


 


ฟางซีหลานมองดูเขาด้วยดวงตาโต


 


“ข้าเพียงพูดสมมุติเท่านั้น”


 


ฟางซีหลานไร้คำพูดอย่างรวดเร็ว เมื่อคิดว่าซูหยางให้ความหวังกับเธอและขยี้มันแทบจะในทันที เขาได้ตระหนักไหมว่าใครที่ยืนอยู่ต่อหน้าเขา ไม่มีศิษย์ธรรมดาคนไหนกล้าที่จะพูดกับเธออย่างไม่ใส่ใจ อย่าว่าแต่เล่นกับอารมณ์ของเธอแบบนี้


 


“ถ้าจะพูดไปแล้ว ถ้าเจ้าต้องการที่จะบรรลุเขตปฐพีวิญญาณ ข้าสามารถช่วยเจ้าให้บรรลุเป้าหมายได้”


 


ซูหยางพลันพูดขึ้น ดวงตาของฟางซีหลานเป็นประกายล้ำลึกหลังจากได้ยินเช่นนั้น


DC บทที่ 254: ระดับสูงสุดของเขตปฐพีวิญญาณ


 


“เจ้าจะช่วยข้าไปถึงเขตปฐพีวิญญาณได้อย่างไร เคล็ดลับประเภทไหนที่เจ้าซุกซ่อนไว้” ฟางซีหลานไม่ได้ตื่นเต้นมากมายในทันทีแต่ถามเขาด้วยท่าทางจริงจังแทน เมื่อเธอไม่อาจมั่นใจได้ว่าซูหยางมีความสามารถนั้น


 


“ไม่มีเคล็ดลับใดๆเกี่ยวข้อง”


 


ซูหยางตอบด้วยรอยยิ้ม


 


ทันใดนั้นหลังจากที่ซูหยางพูดคำเหล่านั้นแล้ว พลังกดดันอันลึกล้ำก็แผ่ออกมาจากร่างของเขา จนเกิดเป็นริ้วพลังกระจายออกไปทั่วห้อง


 


ฟางซีหลานสามารถรู้สึกได้ว่าร่างของเธอทั้งร่างสั่นสะท้านด้วยความตระหนกหลังจากรับรู้ถึงพลังทรงอำนาจที่มาจากร่างซูหยาง ดวงตาของเธอเบิกค้างกรามร่วงถึงพื้นเมื่อเธอตระหนักว่าปราณไร้ลักษณ์ที่มาจากร่างของเขานั้นเป็นของเขตปฐพีวิญญาณ


 


แม้ว่าเธอไม่สามารถแยกแยะได้ว่าระดับไหนที่เขาอยู่เนื่องมาจากเธอขาดพลังการฝึกปรือ ฟางซีหลานก็ไม่ได้สงสัยในเมื่อปราณไร้ลักษณ์รอบร่างซูหยางนั้นเป็นสิ่งที่เฉพาะผู้เชี่ยวชาญเขตปฐพีวิญญาณเท่านั้นสามารถมีได้


 


“ป-เป-เป็นไปไม่ได้” เธออุทานออกมาด้วยเสียงแตกตื่น


 


ทำไมแค่ศิษย์ในธรรมดาอยู่ในเขตปฐพีวิญญาณ ในเมื่อกระทั่งผู้อาวุโสที่ทรงพลังที่สุดในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ยังอยู่ที่เขตปฐพีวิญญาณ หรือว่าซูหยางคนนี้ได้ซ่อนพลังการฝึกปรือของเขาไว้ตลอดเวลา จะเป็นอย่างไรถ้าซูหยางคนนี้แท้จริงแล้วเป็นผู้เชี่ยวชาญการปลอมแปลงตัวและตัวจริงไปอยู่ไหนก็ไม่รู้


 


“แม้ว่าข้ามิได้มีมีเจตนาจะเปิดเผยพลังการฝึกปรือของข้าเร็วนัก ข้าจักถือเป็นข้อยกเว้นสำหรับเจ้า” ซูหยางพูดพร้อมรอยยิ้ม


 


จะกล่าวไปแล้ว ในเมื่อพลังการฝึกปรือของเขาจะต้องเปิดเผยที่การแข่งขันระดับภูมิภาคอยู่แล้ว ซูหยางจึงไม่สนใจแม้แต่น้อยถ้ามันจะเปิดเผยก่อนหน้านั้น


 


และไม่ใช่ว่าเขาพยายามซ่อนพลังการฝึกปรือของเขาอย่างตั้งใจ ตามจริงเหตุผลเดียวที่ไม่มีใครสังเกตเห็นมาตั้งนานนั้นก็ง่ายดาย เพราะว่าพวกเขาไม่มีความสามารถที่จะเห็นพลังการฝึกปรือของเขา


 


“อย่ากังวล ข้าเองเป็นศิษย์ในของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจริงๆ ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญปลอมตัวมา” เขากล่าวต่อหลังจากที่อ่านสีหน้ากังวลของฟางซีหลานราวกับอ่านหนังสือ


 


“ข้าอยู่ในเขตคัมภีร์วิญญาณไม่นานมานี้ แต่หลังจากประสบกับโชคลาภ พลังการฝึกปรือของข้าจึงทะลวงผ่านประตูมังกร”


 


ฟางซีหลานอ้าปากแต่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่อไป ดังนั้นเธอได้แต่หุบปากลงและนิ่งเงียบเป็นเวลาชั่วขณะขณะที่ใจของเธอพยายามที่จะเข้าใจกับเหตุการณ์


 


“ช-เช่นนั้นวิธีที่จักช่วยข้าไปถึงเขตปฐพีวิญญาณ…หรือว่าคือการร่วมฝึกกับเจ้า”


 


ฟางซีหลานถามด้วยเสียงที่ค่อนข้างสั่นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ายังคงตระหนกกับการเปิดเผยในทันทีของเขา


 


“ข้ามิบังคับเจ้าถ้าเจ้ามิต้องการ”


 


ฟางซีหลานหรี่ตาเธอจ้องเขม็งไปเฉพาะใบหน้าหล่อเหลาของซูหยาง


 


หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ เธอก็พูดด้วยน้ำเสียงที่สงบลงไปมากแล้วว่า “เจ้ามั่นใจว่าข้าจักถึงเขตปฐพีวิญญาณก่อนถึงการแข่งขันระดับภูมิภาค”


 


“การแข่งขันระดับภูมิภาครึ” ซูหยางพลันเริ่มหัวเราะ “นั่นช่างนานเหลือเกิน ข้าสามารถรับรองได้ว่าเจ้าจักถึงเขตปฐพีวิญญาณภายในสองอาทิตย์และอย่างน้อยถึงระดับสี่ในครึ่งปีถ้าเจ้าร่วมฝึกกับข้า”


 


“ส-สี่ระดับของเขตปฐพีวิญญาณเลยรึ” ฟางซีหลานมองดูเขาด้วยใบหน้างงงัน นี่เป็นไปได้ด้วยรึ หรือว่าเขาแค่พยายามเกี้ยวพานเธออย่างง่ายๆ เพราะว่าสิ่งที่เขาบอกเธอนั้นในเบื้องต้นก็คือเธอจะถึงระดับเดียวกับเจ้านิกายภายในครึ่งปี


 


“เจ้าจักเข้าใจยามเมื่อได้ลิ้มลองปราณหยางของข้า” เขาหัวเราะเล็กน้อย


 


ฟางซีหลานหรี่ตาและหลังจากเงียบไปอีกชั่วขณะเธอก็พยักหน้า “อย่างนั้นก็ได้ข้าจักฝึกกับเจ้า อย่างไรก็ตามถ้ากลเม็ดของเจ้าห่วย ข้าก็จะไม่รบกวนเจ้าอีกถึงแม้ว่าเจ้าจะสามารถช่วยข้าได้”


 


“นั่นมีเหตุผล” ซูหยางพยักหน้า


 


“เมื่อไหร่ที่เจ้าต้องการฝึกคู่” ฟางซีหลานถามเขา


 


“เวลาไหนก็ได้ที่เจ้าต้องการ” เขาตอบกลับอย่างรวดเร็ว


 


“เช่นนั้นพบกับข้าเช้าตรู่ที่ห้องสวีทแห่งศลิษาอีกสี่วันให้หลัง” ฟางซีหลานกล่าว


 


ซูหยางตกลงกับการนัดหมายของเธอและออกไปจากที่นั้นในเวลาไม่นานหลังจากนั้น


 


ยามเมื่อซูหยางจากไปแล้ว ฟางซีหลานก็ร้องขอพบโหลวหลานจีผ่านหยกสื่อสาร


 


สองสามนาทีหลังจากนั้น โหลวหลานจีก็แสดงตัวที่บ้านของฟางซีหลาน


 


“เกิดอะไรขึ้นรึ หรือว่าซูหยางทำให้เจ้าลำบากใจ” โหลวหลานจีถามเธอทันที


 


ฟางซีหลานส่ายหน้าและนำเอาหญ้าเงินเจ็ดใบออกมาแสดงให้โหลวหลานจีดู


 


“นั่นคืออะไร ข้าสามารถรับรู้ถึงปราณไร้ลักษณ์จำนวนมหาศาลภายในนั้น”


 


ฟางซีหลานทำการอธิบายให้โหลวหลานจีฟังถึงหญ้าเงินเจ็ดใบและสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้


 


“หญ้าเงินเจ็ดใบจักยอมให้เซียวไป่เติบโตเต็มวัยภายในหนึ่งเดือน และเขาให้มันกับข้าฟรีแม้ว่าข้าจะเสนอให้มากมาย เขาพูดว่าสิ่งที่เขาต้องการคือการช่วยนิกายก้าวหน้าเท่านั้น”


 


“นั่นเป็นสิ่งที่เขาพูดรึ” โหลวหลานจีมีสีหน้าประหลาดใจเมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูหยางคิดถึงสำนักเมื่อเขาให้หญ้าเงินเจ็ดใบแก่เธองั้นรึ ตามที่รู้จักนิสัยของซูหยางเธออดไม่ได้ที่จะสงสัยคำกล่าวนั้น


 


โหลวหลานจีจึงตรวจสอบหญ้าเงินเจ็ดใบและพยักหน้าด้วยความอัศจรรย์ใจ รู้สึกเหมือนกับว่าเธอกำลังมองไปยังสมบัติล้ำค่า


 


“เขาบอกเจ้าหรือไม่ว่าเขาได้มาอย่างไร”


 


“เขาพูดว่าเขาเพาะมันขึ้นมาด้วยตนเอง แต่ข้ามิมั่นใจว่ามันถูกต้องแต่ไหน” ฟางซีหลานพูด


 


โหลวหลานจีมองไปยังสมุนไพรและคิดอยู่ในใจ “มันน่าจะเป็นเรื่องจริงในเมื่อเขาเป็นนักปรุงยาที่สร้างน้ำมันรัญจวน…”


 


“อย่างไรก็ตาม ทำไมมันจึงเรียกว่าหญ้าเงินเจ็ดใบในเมื่อมันมีเพียงแค่หกใบเท่านั้น” โหลวหลานจีถาม


 


“โอ ข้าได้ป้อนให้กับเซียวไป่ไปแล้ว” ฟางซีหลานพูดขณะที่เธอชี้ไปยังเซียวไป่ ซึ่งกำลังสั่นอย่างเห็นได้ชัดอยู่ที่มุมห้องในเวลานั้น


 


“ทำไมเธอจึงสั่นแบบนั้น” โหลวหลานจีถามหลังจากที่เห็นสภาพเซียวไป


 


“อะไรนะ” ฟางซีหลานซึ่งไม่ได้สังเกตจนกระทั่งจนกระทั่งได้พูดถึงพลันหันไปมองดูเซียวไป่


 


“ข-ข้ามิมั่นใจ…” ฟางซีหลานส่ายหน้า


 


“เซียวไป่ เจ้ายังดีอยู่ไหม”


 


อย่างไรก็ตามขณะที่ฟางซีหลานตรงเข้าไปหาเซียวไป่ แรงกดดันอันทรงพลังก็ปรากฏขึ้นในห้อง และเซียวไป่ก็อ้าปากกว้างขึ้นปล่อยเสียงคำรามก้อง จนทำให้สถานที่นั้นสั่นสะเทือนราวกับแผ่นดินไหว

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม