Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน 241-247

 DC บทที่ 241: ข้อเสนอที่ไม่อาจต้านทาน

 


“เจ้าคิดว่าศิษย์พี่ชายซูจะมีปัญหากับเจ้านิกายหรือไม่”


 


“ข้าคิดว่าทุกอย่างคงเรียบร้อยหลังจากผู้อาวุโสซุนจากไป…บางทีเธออาจจะมาที่นี่ด้วยเหตุผลอื่น”


 


บรรดาศิษย์หญิงที่ตรงนั้นมองดูโหลวหลานจีตรงเข้าไปยังประตูหน้าบ้านซูหยางด้วยท่าทางเป็นกังวล แม้ว่าพวกเธออาจะสามารถต่อต้านผู้อาวุโสนิกายจากการพยายามที่จะหยุดซูหยางจากการร่วมฝึกได้ แต่กับเจ้านิกายต้องถือว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง


 


ถ้าเจ้านิกายต้องการให้ซูหยางหยุดอย่างจริงจัง เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรที่ซูหยางสามารถแก้ไขได้ ได้แต่ยอมรับคำสั่งของเธอ


 


และถ้าสิ่งนั้นเกิดขึ้นจริงๆ พวกเธอจะทำอย่างไรต่อไปนี้เพื่อให้เกิดความพึงพอใจกับความกระหายอยากในกาม ศิษย์หญิงเหล่านี้ไม่อาจจินตนาการว่าชีวิตจะเป็นเช่นไรโดยปราศจากซูหยาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเธอเริ่มคุ้นเคยกับเขา


 


หลังจากนั้นไม่นานครั้นเมื่อศิษย์หญิงที่เข้าไปในห้องซูหยางออกมา โหลวหลานจีก็หรี่ตามองจ้องเธอทำให้ศิษย์หญิงสั่นสะท้านด้วยความแตกตื่น


 


“ผ-ผ-ผู้นำนิกาย” เธอพลันทักทายอีกฝ่ายพร้อมนึกสงสัยว่าทำไมโหลวหลานจีจึงจ้องมองเธอด้วยสายตาไม่พึงใจ


 


โหลวหลานจีไม่กล่าวอะไรและเดินมุ่งตรงเข้าไปในบ้าน ปิดประตูตามหลังเธอ


 


เมื่อซูหยางปรากฏตัวขึ้นด้านในห้อง เขาก็แสร้งทำเป็นประหลาดใจเมื่อเห็นเธอ “เจ้านิกาย ช่างน่าประหลาดใจ ท่านมาที่นี่เพื่อนวดหรือ” เขาถามเธอพร้อมรอยยิ้ม


 


“หยุดเสแสร้งได้แล้ว ซูหยาง ข้าสามารถเห็นความจอมปลอมของเจ้าได้จากหลายกิโลเมตร” โหลวหลานจีแค่นเสียงเย็นชา


 


“ข้ามิเข้าใจ” ซูหยางส่ายหน้าด้วยท่าทางงงงัน


 


โหลวหลานจีชี้ไปยังหน้าเธอและกล่าวเสียงดังว่า “ข้ากำลังพูดถึงว่าทำไมเจ้าต้องตบหน้าเพื่อปลุกข้าจากการหลับไหล เจ้าคิดจริงรึว่าเจ้าสามารถหลบเลี่ยงพ้นหลังจากที่ทำความผิดอกตัญญูเช่นนั้น นี่ถือเป็นอาชญากรรมในการทำร้ายใบหน้าผู้หญิงด้วยความมิเคารพเช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาวสวยอย่างเช่นข้า”


 


โหลวหลานจีแสดงความโกรธและไม่พอใจต่อวิธีที่เขาทำต่อใบหน้าสวยของเธอ


 


อย่างไรก็ตามซูหยางเพียงแค่ยักไหล่และกล่าวว่า “ท่านก็พูดออกมาเองอยู่แล้วว่านั่นก็เพื่อปลุกท่านให้ตื่น”


 


“ใช่ข้ายอมรับ แต่เจ้าก็ได้พูดว่าข้าจะตื่นขึ้นมาเองแม้ว่าเจ้าจะมิได้ช่วยภายในชั่ววัน เช่นนั้นทำไมจึงจำเป็นต้องตบหน้าข้าด้วย”


 


“ใช่แล้ว ข้าได้พูดอะไรเช่นนั้น อย่างไรก็ตามข้าก็มิอาจเพิกเฉยต่อเหล่าผู้อาวุโสนิกายที่มีท่าทางกระวนกระวายนั่นได้ เพราะนั่นทำให้ข้ากังวลว่าถ้าข้าทำให้พวกเขารออยู่เช่นนั้นต่อไปอีกมิกี่ชั่วโมง นั่นอาจจะมีผลต่อสุขภาพของพวกเขา”


 


“…”


 


โหลวหลานจีอ้าปากแต่ไม่มีคำพูดใดออกมาในเมื่อเธอไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองกับคำพูดของเขาอย่างไร แม้ว่าจะรู้ว่านั่นไม่ใช่ความกังวลที่แท้จริงของเขาแม้แต่น้อย เธอเพียงแค่ไม่รู้จะพูดอะไรกับตัวตนแบบนี้ของซูหยาง ไม่รู้ว่าเขายังเห็นเธอเป็นเจ้านิกายอยู่หรือไม่ทั้งที่เรียกขานเธอแบบนั้น


 


“หรือว่านี่เป็นเรื่องทั้งหมดที่ท่านมาที่นี่ เพื่อก่นด่าข้าที่ปลุกท่านขึ้น” ซูหยางพูดต่อราวกับว่าเขากำลังพูดกับเพื่อน


 


โหลวหลานจีขมวดคิ้วและหยิบขวดแก้วออกมาจากชุดคลุมและแสดงมันให้กับเขา และเธอก็พูดขึ้นว่า “เจ้าขายสิ่งนี้ให้กับผู้อาวุโสเจ้า ถูกไหม”


 


ซูหยางมองดูน้ำมันรัญจวนในมือเธอและพยักหน้า “ใช่แล้ว”


 


เขาไม่ได้ปฏิเสธแม้แต่น้อย ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่โหลวหลานจีคาดหวังให้เขาทำ


 


“เจ้าได้มันมาจากไหน” โหลวหลานจีไม่พูดอ้อมค้อมและพูดเข้าตรงประเด็น


 


“ถ้าข้าปฏิเสธที่จะตอบคำถาม ท่านจะบีบข้ารึ” ซูหยางตอบกลับพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า


 


“ไม่ ข้ามิปรารถนาเช่นนั้น แม้ว่าข้าเป็นเจ้านิกาย ข้ามิปรารถนาบีบให้เจ้าเปิดเผยสิ่งที่เจ้ามิต้องการ” โหลวหลานจีหรี่ตา “อย่างไรก็ตามถ้าจะพูดไปแล้ว เพราะว่าสารนี้มีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงนิกายของเราทั้งหมดได้เป็นอันมาก ข้าปรารถนาที่จะทำทุกสิ่งที่อยู่ในอำนาจเพื่อที่จะได้รับมันจากเจ้า แน่นอนว่าต้องเป็นสิ่งที่ไม่ผิดกฏนิกาย”


 


“เช่นนั้นรึ…” ซูหยางยังคงเรียบเฉย


 


“ถ้าเจ้าร่วมมือกับข้า นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยย่อมต้องชดเชยให้เจ้าเต็มที่ ข้าจักยอมให้เจ้าใช้ห้องสวีทแห่งศลิษาฟรีพร้อมด้วยผลประโยชน์มากมายที่กระทั่งศิษย์หลักยังต้องอิจฉา นี่เป็นข้อเสนอที่เหลือเชื่อที่ยากจะมีศิษย์ใดลังเลที่จะรับ ยังมิได้พูดถึงข้อดีอื่นที่เจ้าจักได้รับจากการช่วยเหลือ”


 


“ห้องสวีทแห่งศลิษาอย่างนั้นรึ หรือว่าเธอยังคงมิรู้ว่าสถานที่นั่นได้หมดพลังอำนาจของมันไปนานแล้วนับตั้งแต่ข้าถอนรากปราณออกจากที่แห่งนั้น” ซูหยางคิดในใจ


 


“ตามจริงนั่นอาจจะเป็นข้อเสนอที่ไม่อาจต้านทานได้สำหรับศิษย์ทั่วไป โชคร้ายข้ามิได้มีความสนใจใดกับข้อเสนอนั้น”


 


โหลวหลานจีขมวดคิ้วเมื่อเขาปฏิเสธข้อเสนอของเธอ แต่เธอก็ยังปฏิเสธที่จะยอมแพ้และพยายามที่จะหว่านล้อมเขาต่อไปอีกว่า “เท่าที่รู้จักเจ้า นั่นต้องมีบางสิ่งที่เจ้ายังคงต้องการจากข้า และเจ้าก็รอให้ข้าพูดออกมา ก็ได้ เจ้าต้องการอะไรจากข้า ถ้านั่นอยู่ภายในขอบเขตอำนาจของข้า ข้าจักดูว่าจะทำอะไรได้บ้าง”


 


ซูหยางหัวเราะและกล่าวว่า “ถ้านั่นอยู่ในอำนาจของท่านรึ หรือว่าเจ้านิกายล้วนอ่อนน้อมถ่อมตน”


 


“เพียงเพราะว่าเจ้านิกายควบคุมดูแลนิกายมิได้หมายความว่าพวกเขาสามารถทำทุกสิ่งที่เขาต้องการได้ ในเมื่อยังมีหลายสิ่งที่แม้กระทั่งเราก็ไม่มีความสามารถทำมันได้ ยกตัวอย่างถ้าเจ้าขอทรัพยากรไม่จำกัด ข้าก็จักมิอาจทำตามความประสงค์นั้นได้ ด้วยฐานะที่ข้าต้องรับผิดชอบในตำแหน่งผู้นำนิกายเพื่อให้มั่นใจว่าศิษย์ทุกคนได้มีโอกาสที่จะได้รับอย่างเท่าเทียม”


 


“อย่ากังวล ข้ามิได้ขออะไรเช่นนั้น” เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม


 


“นั่นคงเป็นสิ่งพิเศษที่เจ้าต้องการจากข้า” โหลวหลานจีหรี่ตากับคำพูดของเขา


 


“แม้ว่านั่นมิได้มีอะไรมากนัก ตามจริงแล้วนั่นก็เป็นบางสิ่งที่ข้าอยากขอให้ท่านช่วย”


 


“ฮึ่ม อย่าโลภมากจนเกินพอ ซูหยางที่ข้ารู้จัก ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็อาจจะมิได้มีอะไรไปมากกว่าเรื่องเล็กน้อยในสายตาของเจ้า” โหลวหลานจีเตือนเขา


DC บทที่ 242: วิญญาณพิทักษ์

 


“ข้าต้องการให้ท่านช่วยข้าเรื่องร่วมฝึกคู่” ซูหยางพูดด้วยใบหน้าเรียบเฉย


 


โหลวหลานจีขมวดคิ้วและกล่าวว่า “เจ้าคงรู้ว่าเจ้ากำลังพูดอยู่กับเจ้านิกายของนิกายแห่งนี้ ใช่ไหม”


 


“ข้ามิได้เจาะจงตัวท่าน” ซูหยางส่ายหน้า “ข้าต้องการให้ท่านหาคู่ฝึกให้ข้า อย่างน้อยก็จนกว่าจะถึงการแข่งขันระดับภูมิภาค”


 


โหลวหลานจีรู้สึกไม่ค่อยสบายใจด้วยเหตุผลบางอย่างเมื่อซูหยางกล่าวเช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนแรก


 


“ช่างน่าประหลาดใจนัก” เธอแค่นเสียงเย็นชา “เจ้าเป็นคนสุดท้ายในที่แห่งนี้ที่ข้าคาดว่าจะขอร้องให้ช่วยในเรื่องเช่นนี้ แล้วเจ้าจะอธิบายสถานการณ์ด้านนอกอย่างไร เจ้ามีศิษย์นอกหญิงเกือบทั้งหมดเขตศิษย์นอกชื่นชมเข้าแถวรอเพื่อที่จะร่วมฝึกกับเจ้า”


 


ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “จริงแล้ว ข้ามิต้องการความช่วยเหลือเท่าไหร่ แต่นั่นจะต้องใช้เวลามากมายถ้าข้าต้องตามหาพวกเธอทีละคน ถ้าข้ามีใครสักคน ไม่ต่ำกว่าระดับเจ้านิกาย แนะนำชื่อข้าให้กับพวกเธอ นั่นจักลดเวลาที่ข้าต้องไปหว่านล้อมพวกเธอและเพิ่มเวลาให้ข้าได้ฝึกฝน”


 


โหลวหลานจีมองดูเขาด้วยท่าทางค่อนข้างสับสน ถามว่า “พวกเธอ เจ้ากำลังพูดถึงใครกัน”


 


“แน่นอนว่าบรรดาศิษย์หลัก”


 


โหลวหลานจีทำตาโตด้วยความประหลาดใจ เธอไม่คาดคิดว่าซูหยางจะก้าวไปถึงศิษย์หลักแล้ว


 


“เจ้ามิมองสูงเกินไปรึซูหยาง ถึงแม้ว่าเจ้าเป็นศิษย์ใน ยากนักที่จะมีศิษย์หลักตกลงมาร่วมฝึกกับคนที่มีพลังการฝึกปรือด้อยกว่า” โหลวหลานจีกล่าว


 


ความแตกต่างระหว่างเขตคัมภีร์วิญญาณและเขตสัมมาวิญญาณไม่ใช่อะไรที่ใกล้เคียงกัน ดังนั้นศิษย์หลักจึงมักจะร่วมฝึกกับผู้อาวุโสนิกายหรือไม่ก็ร่วมฝึกกับคู่ฝึกภายนอกนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย


 


ซูหยางหัวเราะหึและกล่าวว่า “ท่านมิต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น ด้วยว่าข้ามีวิธีของข้าในการหว่านล้อมพวกเธอ ข้าเพียงต้องการให้ท่านพาพวกเธอมาหาข้า”


 


โหลวหลานจีเชื่อว่าซูหยางพยายามกัดคำใหญ่เกินกว่าจะเคี้ยวได้ แต่ตามจริงซูหยางได้ถ่อมตัวแล้วกับการเลือกเฟ้นของเขา


 


“เจ้าอาจจะมีความมั่นใจในตนเอง แต่เจ้าก็ยังคงประเมินมาตรฐานบรรดาศิษย์หลักต่ำไป ถึงแม้ว่าเจ้าเป็นคนหล่อเหลาที่สุดในโลก แต่ถ้าปราณหยางของเจ้ามีคุณภาพไม่เพียงพอ พวกเธอย่อมมิพิจารณาร่วมฝึกกับเจ้า”


 


ซูหยางไม่รู้สึกว่าต้องทบทวนตนเองจึงนิ่งเฉยพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า


 


หลังจากเงียบไปชั่วขณะ โหลวหลานจีก็กล่าวขึ้นว่า “เจ้ามั่นใจว่านี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการทั้งหมดในการแลกกับข้อมูลเรื่องน้ำมันรัญจวน”


 


“ท่านกำลังบอกให้ข้าร้องขอเพิ่มรึ”


 


“ไม่มีทาง ข้าเพียงมิต้องการเห็นเจ้าบ่นข้าภายหลังจากนี้”


 


“ท่านมิต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น” เขาส่ายหน้าและกล่าวต่อว่า “ข้าเป็นชายที่รักษาคำพูด และด้วยประสบการณ์ของข้า ข้ามีเวลาเสียใจน้อยมาก”


 


โหลวหลานจีเลิกคิ้วให้กับเขาซึ่งฟังดูเหมือนกับว่าเขามีอายุมาเนิ่นนาน


 


“คนอายุสิบหกปีเช่นเจ้ามิควรพูดราวกับว่าเจ้ามีอายุถึงหมื่นหกพันปี” เธอพูดเย้ยเขาและกล่าวต่อว่า “อย่างไรก็ตามข้าจักรับคำขอร้องของเจ้าไว้ อย่างไรก็ตามจริงแล้วเจ้าต้องการให้ข้าทำอะไร”


 


“จริงแล้วง่ายๆ เพียงให้บันทึกชิ้นนี้แก่ทุกคนที่เป็นศิษย์หลักหญิง” ซูหยางยื่นส่งแผ่นกระดาษบันทึกปึกหนึ่งแก่เธอ


 


โหลวหลานจีรับแผ่นกระดาษและกล่าวด้วยเสียงสับสนว่า “เจ้าเตรียมการเช่นนี้ไว้อยู่แล้วก่อนที่ข้าจะมา นี่เหมือนกับว่าเจ้าคาดว่าข้า…”


 


เมื่อโหลวหลานจีเริ่มรู้สึกตัว เธอจ้องมองเขาทำตาโต ซูหยางเพียงแค่ยิ้มและกล่าวว่า “โอ ข้ายังมีบันทึกอีกแผ่นเฉพาะสำหรับเด็กหญิงที่มีวิญญาณพิทักษ์ธาตุหยิน”


 


ซูหยางดึงกระดาษบันทึกอีกแผ่นยื่นส่งให้กับเธอ


 


“ฟางเจอหลาน” โหลวหลานจีทำตาโตยิ่งกว่าเดิมกับชื่อบนแผ่นกระดาษ


 


“ทำไมเจ้าจีงรู้ว่าเธอมีวิญญาณพิทักษ์ นั่นเป็นสิ่งที่กระทั่งผู้อาวุโสส่วนใหญ่ยังมิรู้” เธอรีบถามเขา


 


“ข้ารับรู้ได้” เขาตอบกลับพร้อมกับยักไหล่อย่างสบายๆ


 


“เป็นไปไม่ได้” โหลวหลานจีตกตะลึงจนพูดไม่ออก


 


ความจริงที่ว่า ฟางเจอหลานพยายามที่จะฝึกวิญญาณพิทักษ์นี้เป็นสิ่งที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเก็บไว้เป็นความลับอย่างแน่นหนา เพราะว่าวิญญาณพิทักษ์เป็นสิ่งหายากโดยธรรมชาติ และพวกมันล้วนเป็นเพื่อนพ้องที่ทรงพลังสำหรับใครก็ตามที่เลี้ยงมัน บางสิ่งที่กระทั่งนิกายที่มีอำนาจก็ยังไม่ลังเลที่จะขโมยมันมาเป็นของตนเอง


 


บางคนจะเปรียบเทียบวิญญาณพิทักษ์ได้กับสัตว์อสูรทั่วไปในพงไพร แต่นั่นเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนที่เฉพาะผู้ที่ไม่รู้จึงจะเชื่อ ในเมื่อพวกมันแตกต่างกันเป็นอย่างมาก


 


เพราะว่ามีสายเลือดศักดิ์สิทธิ์ วิญญาณพิทักษ์ส่วนใหญ่แล้วล้วนเกี่ยวข้องกับเทพเจ้า และยามที่พวกมันเติบโตขึ้น พลังอำนาจของมันก็ยิ่งเกินกว่าสัตว์อสูรใดๆที่พบเห็นได้ในป่า  ยิ่งไปกว่านั้นวิญญาณพิทักษ์ผูกพันตั้งแต่เกิด ดังนั้นจึงยากเป็นอย่างมากในการเลี้ยงและควบคุมมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันยังเล็ก


 


เพื่อให้เข้าใจในความแข็งแกร่งระหว่างสัตว์อสูรและวิญญาณพิทักษ์ที่ระดับแรกของเขตสัมมาวิญญาณ วิญญาณพิทักษ์อาจจะแข็งแกร่งเท่ากับมนุษย์ที่ฝึกฝนถึงเขตปฐพีวิญญาณ ในขณะที่สัตว์อสูรทั่วไปจะมีความแข็งแกร่งเท่ากับคนที่อยู่เขตสัมมาวิญญาณระดับสามเท่านั้น


 


และเพราะว่าความสามารถตามธรรมชาติของพวกมันจะหลบซ่อนตัวจากผู้คนและสัตว์อสูร วิญญาณพิทักษ์จึงยากที่จะหานอกจากว่าคนนั้นมีวิชาพิเศษเฉพาะสำหรับค้นหาตำแหน่งของมัน


 


ตามจริงมีเหตุผลเดียวที่ซูหยางรู้ว่าฟางเจอหลานฝึกฝนวิญญาณพิทักษ์และไม่ใชแค่สัตว์อสูรทั่วไปก็เพราะว่าเซียวลี่ได้บอกกับเขาเมื่อเธอมาถึงยังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเป็นครั้งแรก


 


“ซูหยาง ความจริงที่ว่าเรามีวิญญาณพิทักษ์ภายในนิกายของเรานั้นเป็นความลับที่มิอาจปล่อยให้รั่วไหลออกไปข้างนอกไม่ว่าอะไรก็ตาม เพราะว่าถ้าหากเกิดการรั่วไหลออกไป ใครจะรู้ว่ามีผู้ทรงอิทธิพลมากมายเท่าไหร่ที่จะโจมตีพวกเราเพื่อที่จะขโมยวิญญาณพิทักษ์เพี่อตัวพวกเขาเอง ยิ่งไปกว่านั้นวิญญาณพิทักษ์นั้นพวกเราฝึกฝนมันมาตั้งแต่อายุยังน้อย ถ้าถูกรู้เข้าสงครามอาจปะทุขึ้นได้” โหลวหลานจีเตือนเขาด้วยสีหน้าตึงเครียด


DC บทที่ 243: การกลับมาของเจ้านิกาย

 


“ท่านสามารถวางใจได้ ท่านผู้นำนิกาย ข้ามิได้มีความคิดที่จะทำลายวันเวลาอันสงบสุขของข้าที่มีอยู่อย่างจำกัดไปกับแค่วิญญาณพิทักษ์” ซูหยางกล่าว


 


เพราะว่าใครจะรู้ว่าความปั่นป่วนวุ่นวายแบบไหนจะเกิดขึ้นเมื่อเขากลับไปยังสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ ซูหยางจึงต้องการอย่างน้อยมีความสุขไปกับช่วงเวลาสุขสงบนี้


 


โหลวหลานจีไม่ได้สงสัยซูหยางเพราะมีเหตุผลบางอย่าง ถ้าเป็นใครคนอื่นมาอยู่ต่อหน้าเธอตอนนี้ การสนทนาของพวกเขาต้องแตกต่างกันอย่างมากและต้องไม่ใช่อะไรที่สุขสงบเรียบระงับ


 


นี่เหมือนราวกับว่าเธอเชื่อซูหยางโดยไม่มีเงื่อนไข และกระทั่งโหลวหลานจีก็รู้ถึงจุดนี้


 


“นี่เป็นเพราะท่าทางเรียบเฉยของเขาหรือเป็นเพราะเสน่ห์ของเขาที่มีผลกระทบต่อข้าเช่นนี้ แม้ว่าเขาเป็นเพียงแค่เด็กและข้าก็เป็นถึงผู้นำนิกาย…มันเป็นเช่นนี้นับตั้งแต่การประเมินศิษย์ใน…” โหลวหลานจีจ้องมองซูหยางด้วยสายตาครุ่นคิด ราวกับงงงันไปกับตัวตนของเขา


 


“อย่างไรก็ตามยังมีอะไรอีกไหมที่ท่านต้องการที่นี่ ข้าจักตอบทุกคำถามของท่านเกี่ยวกับน้ำมันรัญจวนยามเมื่อท่านปฏิบัติตามข้อตกลงฝั่งของท่านเรียบร้อยแล้ว”


 


โหลวหลานจีส่ายหน้าของเธออย่างรวดเร็วและกล่าวว่า “ตราบเท่าที่เจ้ารักษาคำสัญญาและปิดปากแน่นเกี่ยวกับวิญญาณพิทักษ์ ข้ามิมีสิ่งอื่นใดอีกที่จะพูดกับเจ้า”


 


หลังจากกล่าวถ้อยคำเหล่านี้แล้ว โหลวหลานจีก็หันกายตรงไปยังทางออก


 


อย่างไรก็ตามก่อนที่เธอจะทันได้ก้าวไปถึงสองก้าว ซูหยางก็อ้าปากพูดว่า “ผู้นำนิกาย ในเมื่อท่านมาที่นี่แล้ว ทำไมมิให้ข้าปลดปลอยความกดดันจากร่างท่านเหมือนครั้งก่อนหน้านี้”


 


ซูหยางไม่ปรารถนาปล่อยโหลวหลานจีไปง่ายๆในเมื่อเธอมาที่นี่แล้ว


 


โหลวหลานจีพลันหยุดเคลื่อนไหวหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขาและหันกายไปจ้องมองเขาพร้อมหรี่ตา


 


“อย่าทำอะไรเกินตัว ซูหยาง สิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างการทดสอบศิษย์ในนั้นเป็นเหตุการณ์เฉพาะ อย่าคิดว่าเจ้าสามารถทำเหมือนกับว่าข้าเป็นเพียงแค่ศิษย์อีกคน เพราะว่าเราร่วมฝึกคู่กันหนึ่งครั้งระหว่างการทดสอบ”


 


“ท่านสามารถพูดอะไรก็ได้ที่ท่านต้องการแต่ข้าสามารถบอกได้ว่าร่างกายของท่านเต็มไปด้วยความหงุดหงิด เป็นเช่นนี้มานานเท่าไหร่แล้วนับตั้งแต่ท่านได้ปลดปล่อยตนเองครั้งสุดท้าย” ซูหยางพูดพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า “นี่ไม่ดีต่อร่างกายถ้าท่านเก็บมันไวเช่นนั้น รู้ไหม”


 


“ไร้สาระ” เสียงโหลวหลานจีมีเสี้ยวของความโกรธเจือปน แต่นั่นเป็นเพราะซูหยางชี้ตรงเป้าเกี่ยวกับร่างกายของเธอรู้สึกหงุดหงิด


 


ขณะที่เธอไม่ต้องการที่จะยอมรับมัน ครั้งสุดท้ายที่โหลวหลานจีร่วมฝึกคู่ก็ยามเมื่อซูหยางไปเยี่ยมเธอในฐานะจักรพรรดิสวรรค์ หลายอาทิตย์ก่อน


 


“ท่านจะได้อะไรจากการโกหกเรื่องนี้ ข้ารู้ ท่านรู้ และยิ่งไปกว่านั้น ร่างกายของท่านก็รู้”


 


“…”


 


โหลวหลานจีเงียบไปในยามนี้ ใบหน้าเธอค่อนข้างแดงเล็กน้อย ราวกับว่าเธอกำลังพยายามยับยั้งตนเอง


 


หลังจากเงียบไปชั่วขณะ โหลวหลานจีก็พูดขึ้นว่า “ข้ามิสามารถ มีศิษย์มากเกินไปอยู่ด้านนอก”


 


ซูหยางหัวเราะคิกและกล่าวว่า “ศิษย์ไม่กี่คนจะมีความหมายอะไรในเวลานี้เมื่อพวกเธอล้วนเห็นท่านเข้ามาภายในบ้านข้า นอกจากว่าท่านบอกพวกเธอด้วยตนเอง ใครจะกล้าปล่อยข่าวลือ”


 


โหลวหลานจีเงียบไปอีกครั้ง แต่เธอกลับคิดในใจว่าสิ่งที่ซูหยางพูดนั้นเป็นความจริง ในเมื่อย่อมไม่มีใครเชื่อว่าผู้นำนิกายจะแหกกฏนิกาย


 


กล่าวไปแล้ว โหลวหลานจีไม่ต้องการให้ซูหยางทำท่าเหมือนกับว่าเขาถือไพ่ในมือสูงกว่า ดังนั้นถึงแม้ว่าเธอจะต้องการที่จะร่วมฝึกคู่กับเขา เธอก็ยังปฏิเสธ


 


“ไม่ก็คือไม่ ซูหยาง ถ้าเจ้าถามข้าอีกครั้ง ข้าจักลงโทษเจ้าที่ก้าวข้ามขอบเขตของเจ้าในฐานะศิษย์”


 


โหลวหลานจีหวังให้ซูหยางโต้ตอบคำพูดของเธอ แต่อนิจจา ท่าทางของซูหยางยังคงเรียบเฉย และเขาพยักหน้าอย่างใจเย็น “ช่างโชคร้ายนัก แต่ท่านมิต้องทำเหมือนกับว่าข้าบีบบังคับท่าน อย่ากังวล ท่านผู้นำนิกาย ในเมื่อข้าจักมิรบกวนท่านนับจากนี้ต่อไป”


 


แม้ว่าโหลวหลานจีจะรู้สึกว่าที่นี่มีบางอย่างไม่ถูกต้อง เธอก็ไม่ต้องการที่จะสนใจมากนักในเรื่องนั้นและกล่าวว่า “ตราบเท่าที่เจ้าเข้าใจฐานะของตนเองว่าเป็นศิษย์”


 


โหลวหลานจีออกไปจากสถานที่นั่นไม่นานนักหลังจากนั้น และซูหยางก็ต้อนรับศิษย์หญิงเข้ามาในบ้านของเขาต่อไปราวกับว่าการพบปะกับโหลวหลานจีนั้นไม่เคยเกิดขึ้น


 


ยามเมื่อโหลวหลานจีกลับไปถึงศาลาหยินหยาง เธอก็ก่นด่าเสียงดัง “เจ้าซูหยางฉิบหายนั่น คิดว่าตนเองสามารถทำทุกสิ่งให้เป็นไปตามต้องการเพียงเพราะว่ามีกลเม็ดดี ถ้ามิใช่คนหนุนหลังและความสัมพันธ์อันสับสนของเรา ข้าคงลงโทษไปนานกับพฤติกรรมของเขา”


 


หลังจากที่ด่าไปอีกสักพัก โหลวหลานจีก็นอนลงบนเตียงและหลับตาเพื่อพักผ่อน


 


ในขณะที่เธอพัก เธอก็สงสัยว่าเจ้านิกายซึ่งซูหยางปลอมตัวเป็นจักรพรรดิ์สวรรค์ไปไหน หายตัวไปในช่วงสองสามอาทิตย์ที่ผ่านมานี้ ราวกับว่าเขามิเคยมีตัวตนมาก่อน


 


“เขาอย่างน้อยก็ได้แจ้งเตือนข้าไว้…” เธอถอนหายใจ


 


เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วขณะที่โหลวหลานจีเผลอหลับไปในห้องขณะครุ่นคิดว่าเจ้านิกายไปไหนได้บ้าง และยามที่เธอลืมตาขึ้นอีกครั้ง ก็เป็นเวลาเที่ยงคืน


 


อย่างไรก็ตามโหลวหลานจีพลันสังเกตเห็นร่างหนึ่งด้วยมุมสายตา


 


“จ-จ-เจ้านิกาย” โหลวหลานจีลุกขึ้นจากเตียงอย่างเร่งรีบเพื่อทักทายเขาเมื่อสุดท้ายเธอจำหน้าเขาได้


 


สำหรับการที่เขาปรากฏตัวขึ้นกระทันหันหลังจากที่เธอเพียงแค่คิดถึงเขา..ช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่น่ากลัว


 


“น-นานเท่าไหร่แล้วที่ท่านนั่งอยู่ตรงนั้น” เธอถามเขาซึ่งกำลังจิบชาอยู่บนโต๊ะ


 


ซูหยางวางถ้วยชาลงและหันไปมองเธอด้วยท่าทางเรียบเฉย “มินานนักแค่ไม่กี่ชั่วโมง”


 


“ว่ากระไร” โหลวหลานจีไม่อยากเชื่อว่าตนเองไม่ตื่นขึ้นมาแม้กระทั่งเขาปรากฏตัวขึ้นมานานขนาดนั้น


 


อย่างไรก็ตามหลังจากที่คิดเกี่ยวกับพลังการฝึกปรืออันลึกล้ำของเขา นั่นก็ไม่ถือว่าไม่น่าเชื่ออีกต่อไปสำหรับเธอ


 


กล่าวไปแล้ว ซูหยางได้โกหกเธอที่ว่าอยู่ที่นี่หลายชั่วโมง ในเมื่อเขาเพิ่งมาถึงไม่กี่นาทีก่อนหน้านั้นด้วยความต้องการที่จะยุ่งกับเธอ


 


ปล. ตอนนี้ผมเริ่มแปลเรื่อง nine yang sword saint ต่อจากท่าน hayena เมื่อปี 2017 เป็นเรื่อง erotic เช่นเดียวกัน คอยติดตามนะครับ


DC บทที่ 244: ก้าวลง

 


“ผู้อาวุโส อะไรทำให้ท่านมาในวันนี้” โหลวหลานจีถามเขาแม้ว่าเธอต้องการจะถามเขาว่าเขาไปไหนมาจนป่านนี้


 


“ข้ามาที่นี่เพื่อเติมเต็มคำสัญญาที่ให้ไว้” ซูหยางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม


 


โหลวหลานจีเลิกคิ้วด้วยความสงสัย


 


“ข้ามิเข้าใจ…” เธอกล่าวหลังจากนั้นชั่วขณะ


 


ซูหยางไม่ได้กล่าวอะไรนอกจากสะบัดชายเสื้อ จนทำให้สิ่งของกองหนึ่งปรากฏต่อหน้าโหลวหลานจี


 


“น-น-นี่คือ…”


 


โหลวหลานจีจ้องมองเขม็งค้างไปยังเคล็ดวิชาและสมบัติวิญญาณที่กองเป็นภูเขาย่อมๆต่อหน้าเธอ


 


“ข้าหยิบฉวยสิ่งเหล่านี้มาระหว่างการเดินทาง แต่เพราะว่ามันมิมีประโยชน์อะไรต่อข้า ข้าจักให้พวกมันต่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของเจ้า” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาชี้ไปยังสมบัติหลายสิบชิ้นที่เขาได้รับในห้องสมบัติของสุสานเซียน


 


นั่นมีวิชาฝีมือตั้งแต่ระดับปุถุชนไปจนถึงระดับปฐพีกว่าห้าสิบเล่ม และมีสมบัติวิญญาณมากกว่าสองร้อยชิ้นมีระดับตั้งแต่ ระดับวิญญาณไปจนถึงระดับปฐพี


 


แค่เพียงวิชาฝีมือเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอในการเพิ่มพลังอำนาจให้กับสำนักขนาดใหญ่เห็นได้ชัดเจน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสำนักขนาดกลางดังเช่นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย อย่างไรก็ตามด้วยการเพิ่มสมบัติวิญญาณเพิ่มเข้าไปอีก นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็จะมีพลังอำนาจพุ่งทะยานฟ้า กลายเป็นสำนักที่มีพลังอำนาจและสมบัติมากมายไม่เพียงแค่เขตตะวันออกแต่เป็นทั่วทั้งทวีปตะวันออก


 


“ท-ท่านกำลังจะให้ของทั้งหมดนี้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย น-นั่นมากเกินไปสำหรับสถานที่ที่ไร้ค่านี้” โหลวหลานจีพูดด้วยเสียงสั่นสะท้าน ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อและตระหนก มองดูราวกับว่าเธอเพิ่งเข้าไปสู่สรวงสวรรค์


 


“เจ้ามิต้องการมันรึ” ซูหยางเลิกคิ้ว


 


“น-นั่นมิใช่พ..เพียงข้ามิรู้ว่าต้องปฏิบัติอย่างไร..หรือต้องตอบแทนท่านอย่างไร…”


 


นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยย่อมต้องยินดีรับสมบัติ “ฟรี” มากมายเช่นนี้อยู่แล้ว แต่โหลวหลานจีกลัวว่าซูหยางอาจจะเรียกร้องบางสิ่งหลังจากนั้น


 


และถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่เธอไม่สามารถตอบสนองได้ จะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น


 


“เจ้ามิต้องกังวลเรื่องตอบแทนข้า เพียงแค่คิดว่าเหมือนกับการหยิบเอาขยะที่ผู้อื่นทิ้งไว้เบื้องหลัง และนั่นก็จะเป็นสิ่งที่มันจะเกิดขึ้น ถ้าเจ้าปฏิเสธมัน” ซูหยางกล่าว


 


ถ้าโหลวหลานจีไม่เอาสิ่งเหล่านี้จากเขา เขาอาจจะเพียงแค่โยนมันลงไปกลางถนนและปล่อยให้คนอื่นหยิบมันไป


 


ในขณะที่สิ่งเหล่านี้อาจจะมีค่าสำหรับผู้คนในโลกนี้ แต่วิชาและสมบัติแค่นี้ไม่ต่างไปจากขยะข้างทางในสายตาของซูหยาง ไร้ค่าโดยสิ้นเชิง


 


โหลวหลานจีจ้องเขม็งไปยังกองของสมบัติที่ส่งประกายแวววาวตรงหน้าเธอและกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ปากของเธอสอเต็มไปด้วยน้ำลายจากความกระหาย


 


“ถ-ถ้าเช่นนั้นข้าจักมิเกรงใจและรับของขวัญจากน้ำใจของท่านไว้…”


 


โหลวหลานจีพลันตรงเข้าไปนำเอาแหวนมิติหลายวงออกมาเก็บสมบัติทันที ในเมื่อสมบัติมากมายตรงหน้าเธอมีมากเกินกว่าที่จะเก็บไว้ภายในแหวนมิติวงเดียว


 


หลังจากที่นำเอาแหวนมิติออกมา โหลวหลานจีก็โยนสมบัติเหล่านั้นเข้าไปในแหวนทีละชิ้น บนใบหน้าเธอเปี่ยมไปด้วยความสุข ราวกับว่าคนที่เพิ่งถูกลอตเตอรี่


 


ซูหยางมองดูพฤติกรรมเหมือนเด็กๆของโหลวหลานจีด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้า แม้ว่าจะมีหลายสิ่งที่เขาไม่ชอบในสถานที่แห่งนี้ แต่เขาก็นับถือพวกเขาที่สามาถสร้างสภาพแวดล้อมที่กระทั่งสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ก็ยังขมวดคิ้วขึ้นมาได้


 


เมื่อมาถึงเรื่องการฝึกคู่ ซึ่งผู้ฝึกร่วมฝึกคู่กันตามความใคร่ คนส่วนใหญ่ในโลกนี้ล้วนเหยียดหยามวิธีการฝึกฝนที่น่ารังเกียจนี้ ในเมื่อพวกเขาเชื่อว่าการฝึกเช่นนี้ทำให้การฝึกฝนอันศักดิ์สิทธิ์ด่างพร้อย


 


“โอออ นี่เป็นอาวุธวิญญาณระดับปฐพี” โหลวหลานจีตาเป็นประกายเมื่อเธอหยิบเอากระบี่ที่เปล่งประกายลึกล้ำขึ้นมา


 


“นี่ก็อีกชิ้น” โหลวหลานจีพลันตรงเข้าไปหยิบมันขึ้นมาหลังจากที่โยนสมบัติวิญญาณระดับปฐพีลงไปในแหวนมิติแล้ว


 


มันใช้เวลาหลายนาทีสำหรับโหลวหลานจีในการเก็บสมบัติที่กองเป็นภูเขาให้เรียบร้อย แม้ว่าเธอแทบจะไม่ได้ดูพวกมันก่อนที่จะโยนเข้าไปในแหวนมิติและถุง


 


หลังจากที่เธอเก็บสมบัติทั้งหมดแล้ว โหลวหลานจีก็มองไปยังซูหยางด้วยใบหน้ากระดากอายและกล่าวว่า “นั่นเป็นส่วนไม่น่าดูของข้า… ข้าตื่นเต้นเกินไปและควบคุมตนเองไม่ได้…”


 


ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวว่า “อย่างไรก็ตามในเมื่อเรื่องนี้จบแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะบอกเจ้าถึงเหตุผลที่แท้จริงว่าข้ามาที่นี่ในวันนี้ทำไม”


 


“เอ๋ มีอีกหรือ” โหลวหลานจีหรี่ตา รู้สึกมีลางแปลกๆในสายตาของซูหยาง


 


“ใช่แล้ว ข้ามาที่นี่เพื่อที่จะบอกว่าข้าจักก้าวลงจากการเป็นเจ้านิกาย ซึ่งก็เป็นชั่วคราวนับตั้งแต่แรก ดังนั้นเจ้าจึงมีอิสระในการหาผู้ที่เหมาะสมมาแทน”


 


เมื่อโหลวหลานจีได้ยินเช่นนี้เป็นอันดับแรก จิตใจเธอก็ไม่อาจตามทันได้ในทันทีได้แต่จ้องมองเขาด้วยท่าทางงงงัน อย่างไรก็ตามยามเมื่อเธอเข้าใจความหมายเบื้องหลังคำพูดของเขาได้ในที่สุดแล้ว ดวงตาของเธอก็เบิกกว้างด้วยความตระหนก และตะโกนขึ้นว่า “ท่านจะไปแล้ว นี่ช่างกระทันหันเกินไป”


 


ใช่แล้วซูหยางจากไปอย่างกระทันหันเช่นเดียวกับตอนที่เขาปรากฏตัวขึ้นครั้งแรก ไม่มีคำเตือนหรือสิ่งอื่นใดบอกกล่าวล่วงหน้า เหมือนสายฟ้าฟาดลงมาท่ามกลางท้องฟ้าที่แจ่มใสสวยงาม


 


“นี่อะไรกัน เจ้ายังต้องการให้ข้าเป็นเจ้านิกายต่อไปอีกงั้นรึ ทั้งที่ถูกบังคับให้ยอมรับเมื่อเราพบกันครั้งแรก” ซูหยางพูดพร้อมหัวเราะน้อยๆ


 


โหลวหลานจีอ้าปากแต่ไม่มีเสียงพูดออกมา ถ้าซูหยางไม่เคยกดดันหรือติดสินบนเธอให้รับเขาเป็นเจ้านิกาย เธอก็คงเริ่มมองหาเจ้านิกายคนอื่นไปตั้งนานแล้ว แต่ถึงจะกล่าวเช่นนั้น นั่นก็ใช่ว่าเธอไม่ชอบสถานการณ์นี้เสียทีเดียว ในเมื่อไม่เพียงนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้รับการคุ้มครองจากเขาเป็นการตอบแทน แต่เขายังให้พวกเธอเป็นสมบัติมากมายซึ่งพวกเธอไม่มีวันที่จะหามาครอบครองได้ด้วยตนเอง


 


ตามจริงแม้ว่าซูหยางไม่ได้ช่วยเหลือนิกายอะไรจริงจังระหว่างที่เขาเป็นเจ้านิกายไม่กี่อาทิตย์ แต่พลังการฝึกปรือที่ลึกล้ำและความร่ำรวยที่ดูเหมือนไร้ขีดจำกัดของเขาก็เหมือนเป็นเจ้านิกายใน “อุดมคติ” ของสายตาของโหลวหลานจี ในเมื่อตัวตนอันลึกล้ำของเขาทำให้เธอรู้สึกปลอดภัยและเต็มไปด้วยความปลอดโปร่งแม้ว่าจะเป็นต้นเหตุให้เจ้านิกายคนก่อนเสียชีวิต


 


ยามนี้เมื่อเขากำลังจะไป โหลวหลานจีก็กังวลว่าเธออาจจะไม่สามารถหาใครสักคนที่จะมีความสามารถได้สักครึ่งหนึ่งของซูหยางมาแทนที่


DC บทที่ 245: ความรักข้างเดียว

 


โหลวหลานจีคิดแล้วคิดอีกหาวิธีที่จะหว่านล้อมซูหยางให้อยู่เป็นเจ้านิกาย ถึงแม้จะเป็นเพียงในนาม เพราะเพียงตัวตนของเขาอย่างเดียวก็มีผลลัพธ์เป็นความปลอดภัยของเธอนับแต่นั้น


 


แต่อนิจจาจนถึงที่สุดและถึงแม้ว่าเธอสามารถคิดหาเหตุผลได้ โหลวหลานจีก็ไม่กล้าที่จะพยายามให้คนที่ทรงอำนาจและลึกลับเหมือนซูหยางอยู่นานเกินกว่าที่เขาปรารถนา ด้วยการทำเช่นนั้นย่อมส่งผลร้ายให้กับเธอและนิกาย


 


“แม้ว่าจะเป็นที่น่าเสียใจและถือเป็นความสูญเสียอย่างมากต่อนิกายของเราที่ท่านจักจากไป แต่ข้าก็เข้าใจและเคารพการตัดสินใจของท่าน” เธอกล่าวหลังจากนั้นชั่วขณะ


 


ซูหยางพยักหน้า แต่เขายังไม่จบเรื่องกับเธอดีนัก เขาจึงพูดว่า “ขณะที่ข้าจักมิได้อยู่ที่นี่ต่อไป ข้าสามารถรับรองเจ้าว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจักยังคงได้รับพรจากข้า ได้รับการปกป้องต่อไปอย่างน้อยอีกสองสามเดือน ดังนั้นเจ้าสามารถหาคนแทนข้าได้โดยไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องราวภายนอก”


 


โหลวหลานจีดวงตาเป็นประกายไปด้วยความตื่นเต้น เธอน้อมคำนับตัวต่ำ “ขอบคุณผู้อาวุโส”


 


แม้ว่าเธอไม่อาจจินตนาการว่าเขาจะพิทักษ์สถานที่แห่งนี้ได้อย่างไรยามจากไป โหลวหลานจีก็ไม่ได้สงสัยในถ้อยคำของเขาและยอมรับตามนั้น


 


“ตอนนี้ทุกสิ่งก็เรียบร้อยแล้ว ก่อนที่ข้าจะไปจากที่แห่งนี้ ข้ามีข้อเสนออื่นให้เจ้า” ซูหยางกล่าวพร้อมรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้า


 


“…” โหลวหลานจีมองดูซูหยางด้วยความคาดหวัง


 


“ก่อนที่ข้าจากไปอย่างถาวร ทำไมเรามิมาร่วมฝึกคู่กันอีกสักครั้ง ข้าสามารถบอกได้ว่าพลังการฝึกปรือของเจ้าได้รับประโยชน์มากจากการร่วมคู่ครั้งสุดท้าย”


 


เมื่อโหลวหลานจีได้ยินเช่นนี้ ดวงตาเธอก็เบิกขึ้นและปล่อยกรามตกลงไปสู่พื้น


 


เป็นเช่นนั้นจริงที่พลังการฝึกปรือของเธอได้เพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดนับตั้งแต่เธอได้ร่วมฝึกกับปราณหยางของเขาที่อุดมสมบูรณ์กว่าใครที่เธอได้ร่วมฝึกคู่มาก่อน


 


“ถ้าเจ้ามิต้องการ เช่นนั้นข้าก็จักขออำลา…” ซูหยางกล่าวกับเธอเมื่อเธอยังคงเงียบ


 


“ร-ร-รอก่อน ข้าต้องการร่วมฝึกคู่กับท่านอีกครั้ง” โหลวหลานจีพลันกล่าว ใบหน้าของเธอดูเหมือนว่าเต็มไปด้วยความหมดหวัง


 


หากปราศจากเขาซึ่งด้อยกว่าซูหยางเล็กน้อยในแง่ของกลเม็ด ความปรารถนาในกามของเธอก็คงไมไ่ด้ปลดปล่อยได้อย่างเหมาะสมนอกจากว่าเธอจะไปหาซูหยาง ซึ่งเธอได้ถูกกระตุ้นให้ต่อต้านในตอนท้าย


 


และโดยไม่ต้องกล่าวอะไรต่อจากนั้น โหลวหลานจีก็ได้ดึงสายคาดเอวและยอมให้ทุกสิ่งที่ปกปิดผิวกายที่ราบเรียบและร่างที่ดูนุ่มละมุนเลื่อนไหลออกไปจากร่าง


 


ซูหยางก็ถอดเสื้อผ้าเขาออกเช่นกันไม่นานหลังจากนั้น ก่อนที่จะเข้าไปสู่เตียงพร้อมกับโหลวหลานจีและร่วมฝึกคู่กับเธอ


 


อย่างไรก็ตามไม่เหมือนกิจกรรมครั้งก่อนหน้า ซูหยางไม่ได้ออมรั้งในกลเม็ดและกระทั่งทำเหนือกว่า “ศิษย์” ซูหยางคนนั้น สร้างความประหลาดใจเหลือล้ำให้กับโหลวหลานจี ผู้คิดว่าเธอจะไม่สามารถได้รับความสุขที่เหนือกว่าที่ซูหยางจะสามารถนำมาให้กับร่างของเธอ


 


“อาาาา โอพระเจ้า ท-ท่านมิได้เข้มข้นเช่นนี้ก่อนหน้านั้น” โหลวหลานจีครวญครางอย่างบ้าคลั่งยามเมื่อความกระหายอยากทั้งหมดในร่างของเธอสลายไป


 


“ข้ายับยั้งไว้ครั้งที่แล้วเพราะว่าการอบรม” ซูหยางตอบขณะที่เขาเลื่อนนิ้วของเขาผ่านร่างราบเรียบของเธอซึ่งสั่นสะท้านไปด้วยความหฤหรรษ


 


“อาาาา อืมมมมม อาาาาาา”


 


โหลวหลานจีสามารถรู้สึกว่าจิตใจของเธอเข้าสู่สภาวะอันลึกล้ำอย่างช้าๆ ที่เหมือนกับการตระหนักรู้ มันเหมือนกับว่าร่างกายของเธอเบาดุจขนนก ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับล่องลอยเข้าสู่สรวงสวรรค์ขณะที่ถูกโอบอุ้มโอบล้อมไปด้วยความสุข


 


และกระทั่งแม้ประสบการณ์ทั้งหมดของเธอ โหลวหลานจีก็ไม่เคยประสบอะไรเช่นนี้มาก่อน ซึ่งทำให้เหตุการณ์นี้ยิ่งสุขสมยิ่งขึ้น


 


“อาาาา”


 


“อาาาาาาา”


 


“อาาาาาาาาาาาาาา”


 


โหลวหลานจีครวญครางไม่หยุดยั้งตลอดทั้งคืน ยามเมื่อกิจกรรมการร่วมฝึกของพวกเขายาวนานไปจนพระอาทิตย์เริ่มโผล่ขึ้นจากขอบฟ้า


 


หลังจากกิจกรรมร่วมฝึกคู่อันยาวนานและดุเดือด โหลวหลานจีก็นอนแผ่อยู่บนเตียงด้วยท่าทางตื่นตะลึงเมื่อถูกสะกดไว้ด้วยปราณหยางอันสมบูรณ์สุดโต่งของซูหยางที่ท่วมท้นถ้ำทองของเธอ


 


“น-นี่เป็นปราณหยางประเภทไหนกัน นี่มันยิ่งลึกล้ำและทรงพลังมากกว่าครั้งที่แล้ว” เธอไม่อาจจินตนาการได้ว่าพลังการฝึกปรือประเภทไหนกันที่ต้องใช้เพื่อที่จะสร้างปราณหยางที่ชวนมึนเมาเช่นนี้


 


ท่ามกลางความคิดของเธอ โหลวหลานจีหันศีรษะไปมองดูซูหยาง ซึ่งได้สวมชุดของเขากลับเข้าร่างไปแล้ว พร้อมกับสายตามุ่งหมาย คล้ายกับหญิงสาวแรกรัก


 


“ความรู้สึกนี้… ใช่รักหรือไม่” โหลวหลานจีแทบจะไม่เชื่อว่าตัวเธอเองได้ตกหลุมรักง่ายดายปานนี้ อีกทั้งกับใครที่เธอไม่รู้จักแม้แต่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเธอไม่เคยได้รับประสบการณ์ความรู้สึกเช่นนี้มาก่อนจากคู่เคียงคนใดในอดีต


 


กล่าวอีกนัยหนึ่งนี่นับเป็นครั้งแรกในชีวิตของโหลวหลานจีที่ประสบกับความรัก แม้ว่าจะเคยมีคู่ฝึกนับร้อยมาจนถึงตอนนี้ อย่างไรก็ตามถ้าพูดอย่างยุติธรรม คนส่วนใหญ่ในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิส้ยล้วนฝึกคู่ไม่ใช่เพราะความรัก ตามความเป็นจริงเหตุผลหลักในการฝึกคู่ล้วนเพียงคิดถึงแต่ตนเองยามฝึกคู่และมองดูคู่ฝึกของตนเองเป็นเพียงวัตถุใช้ในการฝึกวิชาเหมือนกับหินวิญญาณและสิ่งอื่นที่คล้ายกัน


 


ซูหยางเองก็ไม่ได้แตกต่าง นอกจากไม่กี่คนในหมู่คู่ฝึกนับไม่ถ้วนที่เขาเคยมี เขาถือว่าพวกเธอเป็นเหมือนกับสิ่งที่ใช้ในการฝึกฝนไม่มากไปกว่านั้น แต่ถึงจะกล่าวเช่นนั้นก็ใช่ว่าซูหยางจะโยนพวกเธอทิ้งไว้ด้านหลังหลังจากร่วมฝึกคู่กับพวกเธอ


 


“ข้าจัก…เห็นท่านอีกครั้งไหม” โหลวหลานจีถามเขาด้วยเสียงนุ่มนวล


 


“แน่นอน” เขาตอบด้วยรอยยิ้มลึกลับ “และนั่นอาจจะเร็วกว่าที่เจ้าเคยคาดคิดไว้”


 


ความทุกข์ร้อนในใจโหลวหลานจีเบาบางลงหลังจากที่ได้ยินเช่นนั้น แต่เธอก็ยังคงท้อแท้กับสถานการณ์ทั้งหมด


 


“ทำไมข้าจึงต้องตกหลุมรักกับเขาในช่วงเวลาสุดท้ายเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านั้นกับคนแบบเขา” เธอแอบสูดหายใจ นึกถึงว่ามีชายมากมายนับไม่ถ้วนด้านนอกนั้น แต่เธอยังตกหลุมรักคนที่เธอไม่เคยคิดว่าจะสามารถยืนเคียงข้างเขาได้โดยไม่รู้สึกว่าต้อยต่ำ


 


“หรือนี่เป็นกรรมจากชายนับไม่ถ้วนด้านนอกนั้นจึงทำให้ข้าได้ประสบความรู้สึกเช่นเดียวกัน”


 


หลังจากที่ซูหยางออกไปจากสถานที่นั้นแล้วโหลวหลานจีก็ไม่ได้ฝึกปราณหยางอันเข้มข้นในร่างเธอที่เหมือนกับสมบัติประเมินค่าไม่ได้ในทันที เธอยังคงนอนอยู่บนเตียงครุ่นคิดเกี่ยวกับความรักข้างเดียว


ปล. ช่วงนี้ตามทันต้นฉบับแล้วนะครับ ซึ่งจำเป็นต้องรอให้ต้นฉบับลงก่อน จึงจะสามารถแปลได้ เป็นเหตุให้นิยายไม่ต่อเนื่อง


DC บทที่ 246: เซี่ยวไป่

 


ยามเมื่อเขาออกจากศาลาหยินหยางแล้วซูหยางก็กลับไปยังที่พักของตนเอง ซึ่งมีเหล่าศิษย์อยู่ข้างนอกรอเขาตั้งแต่เช้าเรียบร้อยแล้ว


 


ในเวลานั้น หลังจากที่โหลวหลานจีใช้เวลาไปพอประมาณในการครุ่นคิดเกี่ยวกับตัวตนที่ปลอมแปลงมาของซูหยาง เธอก็ออกจากศาลาหยินหยางเช่นกันเพื่อแจกจ่ายบันทึกที่ซูหยางให้กับเธอ


 


ศิษย์หลักคนแรกที่โหลวหลานจีตัดสินใจที่จะไปเยี่ยมแน่นอนว่าคือ ฟางซีหลาน ผู้ซึ่งดูแลวิญญาณพิทักษ์ให้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ในเมื่อเธอเป็นเพียงคนเดียวที่วิญญาณพิทักษ์นี้เชื่อฟังด้วยเหตุผลบางอย่าง


 


“ซูหยาง ข้ามิรู้จักศิษย์คนใดที่มีชื่อนั้น” ฟางซีหลานกล่าวกับโหลวหลานจีหลังจากที่ถูกถามเกี่ยวกับซูหยาง


 


“เจ้าแน่ใจรึ ถ้าพวกเจ้าทั้งคู่มิเคยพบกันมาก่อน ทำไมจึงเป็นไปได้ที่เขารู้ถึงวิญญาณพิทักษ์” โหลวหลานจีครุ่นคิดด้วยท่าทางเคร่งเครียด


 


“ข้ามิอาจตอบกับสิ่งที่ข้ามิรู้” ฟางซีหลานกล่าวด้วยท่าทางเรียบเฉย และกล่าวต่ออีกว่า “อย่างไรก็ตามข้ามั่นใจว่าเธอมิเคยออกไปจากห้องนี้ ดังนั้นนอกจากว่าซูหยางคนนี้แอบเข้ามาในนี้โดยข้ามิรู้ ข้าก็มิอาจคิดออกได้ว่าเหตุใดเขาจึงรู้เรื่องนี้”


 


ความเป็นไปได้ที่คนอื่นจะปล่อยข้อมูลรั่วไหลก็ยังคงไม่น่าเป็นไปได้ ในเมื่อมีเพียงคนที่ชื่อถือได้และสำคัญเท่านั้นที่รู้เรื่องวิญญาณพิทักษ์


 


“อย่างไรก็ตาม ทำไมเจ้ามิอ่านบันทึกเสียก่อน” โหลวหลานจียื่นส่งบันทึกที่ซูหยางให้เธอให้แก่ฟางซีหลาน


 


ฟางซีหลานมองดูบันทึกและรับมันไว้อย่างไม่ใส่ใจก่อนที่จะอ่าน


 


แม้ว่าใบหน้าเธอยังคงดูเหมือนไม่สนใจในตอนแรก ดวงตาของฟางซีหลานกลับเป็นประกายไปด้วยแสงประหลาดหลังจากที่เธออ่านข้อความทั้งหมด


 


“นั่นกล่าวว่าอย่าไรบ้าง” โหลวหลานจีถาม


 


“ผู้นำนิกายยังมิได้อ่านรึ” ฟางซีหลานมองดูเธอด้วยดวงตาที่ค่อนข้างโต เธอแน่ใจว่าโหลวหลานจีควรจะได้มองดูบันทึกก่อนที่จะให้เธอ ช่างผิดคาดและน่าประหลาดใจ


 


“เอ้อ… ไม่ ข้ายังมิได้…” โหลวหลานจีไม่ต้องการเสี่ยงในการล่วงเกินซูหยางและความลับของน้ำมันรัญจวน ทำให้เธอยับยั้งความต้องการในการแอบดูข้อความแม้ว่าจะเกิดความสงสัย


 


“ซูหยางคนนี้… เขากล่าวว่าเขาสามารถปลุกวิญญาณพิทักษ์และทำให้มันโตเต็มวัยภายในหนึ่งเดือน…” ฟางซีหลานเปิดเผยข้อมูลบนบันทึก


 


“เจ้าว่ากระไรนะ” โหลวหลานจีทำตาโตด้วยความตื่นตระหนกอย่างยิ่ง


 


การตื่นขึ้นเป็นอีกคำหนึ่งสำหรับเมื่อวิญญาณพิทักษ์ย่างเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตามเหตุการณ์เช่นนี้เกิดค่อนข้างยากและลำบากเป็นอย่างยิ่งที่จะทำให้เป็นเช่นนั้น ในเมื่อพวกเขาต้องการวัตถุดิบจำนวนมหาศาลและการดูแลเพื่อที่จะปลุกมันให้ตื่นขึ้น


 


ภายใต้สถานการณ์ปกติ แม้จะเป็นสำนักที่ทรงอิทธิพลและร่ำรวยก็ยังต้องการเวลาหลายสิบปีและทรัพยากรจำนวนนับไม่ถ้วนเพื่อปลุกวิญญาณพิทักษ์ อย่าว่าแต่สำนักดังเช่นนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย


 


ตอนนี้คงจะเห็นชัดว่าการเลี้ยงดูวิญญาณพิทักษ์นี้ยากเพียงไหน แตสำหรับซูหยางที่พูดว่าเขาสามารถปลุกวิญญาณพิทักษ์ภายในเวลาเดือนเดียวนั้น เป็นสิ่งที่แม้กระทั่งนิกายระดับสูงก็ไม่กล้าที่จะจินตนาการ มันฟังไร้สาระอย่างสิ้นเชิง


 


“ซูหยางคนนี้…ค่อนข้างตลกจริงนะ หึ” ฟางซีหลานอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า คิดว่าซูหยางเพียงมาป่วนเธอเล่น


 


อย่างไรก็ตามโหลวหลานจีจ้องมองฟางซีหลานด้วยท่าทางเคร่งเครียด


 


“ผ-ผู้นำนิกาย…อย่าบอกข้านะว่าท่านเชื่อคำของเขาจริงๆ ใช่ไหม” ฟางซีหลานถามอีกฝ่ายที่ดูเหมือนตกอยู่ในภวังค์ความคิด


 


“ข…ข้ามิอาจพูดได้ชัดเจน…” โหลวหลานจีพูดด้วยน้ำเสียงทอดถอนใจ “เท่าที่รู้จักเขา เขาไม่เคยล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย ส่วนที่ว่าเขาจะทำได้อย่างไรนั้น ข้าก็มิอาจคิดออกได้”


 


“…”


 


ฟางซีหลานจนวาจา ในเมื่อเธอไม่เคยเห็นผู้นำนิกายมีท่าทางเช่นนี้มาก่อน


 


“สามารถทำให้ผู้นำนิกายเป็นได้เช่นนี้…ซูหยางนี่เป็นใครกัน…” เธอคิดสงสัยอยากรู้


 


“จะว่าไป วิญญาณพิทักษ์อยู่ที่ไหนตอนนี้ ข้ามิเห็น–”


 


ในขณะที่โหลวหลานจีอ้าปากพูด ร่างเล็กๆก็ปรากฏตัวขึ้นจากใต้เตียงของฟางซีหลาน


 


“อยู่นั่นเอง” โหลวหลานจีพลันยิ้มเมื่อเห็นลูกบอลขนสีขาวใต้เตียง


 


“เซี่ยวไป่ ทักทายเจ้านิกายสิ” ฟางซีหลานกล่าวกับสัตว์ตัวสีขาว


 


เมื่อสัตวขนตัวน้อยได้ยินคำพูดของฟางซีหลาน มันก็ก้มศีรษะเล็กๆนั้นลงเล็กน้อยไปทางโหลวหลานจี ทักทายเธอด้วยการค้อมคำนับ


 


โหลวหลานจีรู้สึกว่าใจละลายเมื่อเธอเห็นสัตวน่ารักตัวน้อยที่คล้ายกับลูกเล็กของเสือคำนับเธอ


 


“สวัสดี เซี่ยวไป่…”


 


อย่างไรก็ตามเมื่อโหลวหลานจีพยายามที่จะพูดกับมัน ลูกเล็กเสือขาวก็หดศีรษะกลับไปใต้เตียงและหายไปในความมืด


 


เมื่อเห็นเช่นนี้ โหลวหลานจีก็ได้แต่ยิ้มขื่นขม ถึงแม้ว่าเธอเป็นผู้นำนิกายและอาจารย์ของฟางซีหลาน แต่วิญญาณพิทักษ์ไม่สนใจใครสักคนนอกจากฟางซีหลาน


 


กล่าวไปแล้วในเมื่อฟางซีหลานเป็นคนค้นพบวิญญาณพิทักษ์ตั้งแต่แรก มันเป็นเรื่องปกติที่มันจะไม่เชื่อฟังใครไปนอกจากเธอ


 


“อย่างไรก็ตาม ข้าต้องการให้เจ้าพูดกับซูหยาง และอย่าลืมพาเซี่ยวไป่ไปด้วย”


 


“ท่านต้องการให้ข้าพาเซี่ยวไปออกไปจากห้องนี้…” ฟางซีหลานถามเธอเพื่อความมั่นใจ


 


“อืออ…” โหลวหลานจีไร้คำพูดไปชั่วขณะก่อนที่จะพูดว่า “ลืมไปซะ ข้าจักให้ซูหยางมาที่นี่แทน..”


 


โหลวหลานจีเกือบลืมเรื่องเซี่ยวไป่ว่าต้องเก็บเป็นความลับ


 


หลังจากที่ตัดสินใจเช่นนั้น โหลวหลานจีก็ออกไปจากที่แห่งนั้นไม่นานหลังจากนั้น เพื่อไปพบกับศิษย์หลักคนอื่น


 


ยามเมื่อโหลวหลานจีจากไป ฟางซีหลานก็ถอนใจ “เกิดอะไรขึ้นกับผู้นำนิกายหรือไม่ เธอดูแตกต่างไปจากครั้งก่อน…”


 


หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็กล่าวเสียงดังอย่างสุภาพว่า “เซี่ยวไป่ เจ้าออกมาได้แล้ว”


 


หลังจากที่ได้ยินเสียงเธอ ลูกเสือตัวน้อยก็ค่อยคลานออกมาจากใต้เตียงและเข้าไปหาเธอ


 


ฟางซีหลานจึงนำเอาแก่นพลังสัตว์อสูรธาตุหยินออกมาจากแหวนมิติและป้อนมันให้กับวิญญาณพิทักษ์


 


“เจ้าช่างมีท้องที่ไร้ก้นจริงๆ หือ ภายในไม่กี่อาทิตย์เจ้าได้กินเกือบหมดแก่นพลังสัตว์อสูรแมวสายฟ้าที่พอให้ข้าใช้ทั้งปี แม้ว่าจะเป็นตัวข้าเอง…” ฟางซีหลานถอนใจ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เธอก็คงไม่สามารถแม้แต่จะจินตนาการได้ว่าท้องของมันจะเป็นอย่างไรถ้าหากว่ามันเติบโตเต็มวัย


DC บทที่ 247: คำขอเล็กน้อย

 


แม้ว่านั่นทำให้เธอใช้เวลาเกือบครึ่งวันเพราะว่าเธอต้องไปหาพวกเธอ โหลวหลานจีก็สามารถติดต่อศิษย์หลักทุกคนได้ อย่างไรก็ตามเมื่อเธอเธอได้พูดกับศิษย์คนสุดท้ายเสร็จแล้ว โหลวหลานจีก็ออกไปจากที่นั่นพร้อมกับถอนใจ


 


“เขาต้องมิชอบผลลัพธ์แน่…” เธอถอนใจ


 


นอกจากฟางซีหลาน ศิษย์หลักคนอื่นปฏิเสธที่จะรับบันทึกของซูหยาง กล่าวไปแล้วไม่ใช่ว่าโหลวหลานจีไม่ได้คาดถึงผลลัพธ์นี้ ตามจริงแล้วเธอไม่ได้แม้แต่จะหว่านล้อมพวกเธอเมื่อพวกเธอปฏิเสธ ในเมื่องานของเธอเพียงแค่แจกจ่ายบันทึกและเธอรู้ว่าพวกเธอคงต้องปฏิเสธ


 


หลังจากนั้น โหลวหลานจีก็กลับไปยังที่พักของซูหยาง ที่ซึ่งยังมีกลุ่มของศิษย์นอกรออยู่ ราวกับสวนดอกไม้ที่รอรดน้ำ


 


เมื่อเห็นภาพฉากนี้ โหลวหลานจีก็ถอนใจอีกครั้ง “เมื่อรู้ว่ากลเม็ดของเขาเทพเพียงไหน นั่นคงจะแปลกประหลาดมากถ้าสิ่งนี้ไม่เกิดขึ้น” เธอคิดในใจ


 


เมื่อเหล่าศิษย์ที่นั่นสังเกตเห็นโหลวหลานจี พวกเธอพลันทักทายเธอ


 


บางคนรู้สึกสงสัยว่าผู้นำนิกายก็ต้องการการนวดจากซูหยาง ดังนั้นเธอจึงปรากฏตัวขึ้นที่นี่ ส่วนคนอื่นนั้นความคิดแบบนั้นกลับไม่ได้เกิดขึ้นในใจแม้แต่น้อย กลับกันพวกเธอต่างพากันกังวลกับซูหยาง ซึ่งอาจจะมีปัญหากับผู้นำนิกายเพราะว่าความปั่นป่วนก่อนหน้านั้น


 


หลังจากรอคอยเป็นเวลาอีกสองสามนาที หญิงสาวน่ารักก็เดินออกมาจากห้องพักของซูหยางด้วยท่าทางไม่สมดุลราวกับว่าเธอเดินอยู่บนน้ำแข็งลื่นขณะเกิดแผ่นดินไหว


 


“คนต่อไป”


 


เสียงซูหยางดังขึ้นมาจากภายในบ้าน แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไป ในเมื่อพวกเธอล้วนรอให้โหลวหลานจีเข้าไปก่อนถึงแม้ว่าจะมาถึงทีหลัง


 


“ผู้นำนิกาย” ซูหยางทักทายเธอด้วยรอยยิ้มต้อนรับเมื่อเธอเข้าไปในห้อง


 


“เจ้า…” โหลวหลานจีรู้สึกว่าบางอย่างของซูหยางแตกต่างไปเมื่อเธอเห็นเขา ถึงแม้ว่าเธอไม่อาจแยกแยะได้ว่าทำไมเธอจึงมีความรู้สึกเช่นนั้น แต่นั่นก็ทำให้ใจเธอเต้นรัวเร็วขึ้น ราวกับว่าร่างกายของเธอมีปฏิกิริยากับตัวตนของเขา


 


“ข้ามาที่นี่เพื่อบอกเจ้าว่าข้าได้ทำสิ่งที่เจ้าร้องขอสำเร็จแล้ว” เธอพลันกล่าวกับเขา


 


“อย่างไรก็ตามนอกจากฟางซีหลาน ก็มิมีศิษย์หลักคนไหนอีกที่ยอมรับบันทึกของเจ้า”


 


โหลวหลานจีบอกเขาตามความจริงโดยไม่ปกปิด และรอปฏิกิริยาโต้ตอบจากเขา


 


อย่างไรก็ตามซูหยางไม่แม้แต่จะเลิกคิ้วเมื่อได้ยินข่าว


 


“เป็นอย่างนั้นรึ นั่นค่อนข้างโชคร้ายอยู่บ้าง” เขากล่าวด้วยเสียงเรียบเฉย


 


“เช่นนั้นแล้วเรื่องน้ำมันรัญจวน…”


 


“ตามสัญญา ข้าจักบอกท่านถึงวิธีที่จะได้มา” เขากล่าว


 


โหลวหลานจีตะลึงไปเล็กน้อยกับผลที่ได้ ในเมื่อเธอกังวลว่าซูหยางจะเริ่มหาข้ออ้าง ดังนั้นเธอจึงจ้องมองเขาด้วยดวงตากลมกว้าง รอคอยคำพูดถัดไปที่จะออกมาจากปากเขาอย่างอดทน


 


“แต่ก่อนที่ข้าจะบอกท่านเรื่องนั้น ท่านพอจะคืนกระดาษบันทึกที่ข้าได้ให้แก่ท่านได้หรือไม่” เขากล่าวพร้อมกับแบมือยื่นออกมาข้างหน้า


 


โหลวหลานจีไม่ได้คิดมากเกี่ยกับเรื่องนั้นและส่งคืนกระดาษบันทึกที่ถูกปฏิเสธโดยศิษย์หลัก


 


“อะไรที่เขียนไว้ภายในบันทึก หากว่าเจ้ามิรังเกียจคำถามของข้า” เธอรู้สึกสงสัยเกินจนอดถามไม่ได้


 


“มิมีอะไรมาก” เขาตอบขณะที่เขาหยิบกระดาษบันทึก “เพียงแค่วิชาการฝึกฝนระดับอัมพรที่อาจช่วยการฝึกปรือของพวกเธอได้”


 


โหลวหลานจีมีท่าทางชะงักค้างเมื่อเธอได้ยินเช่นนั้น และเธอจ้องมองเขาด้วยดวงตากลมกว้างกว่าไข่ไก่


 


เมื่อเห็นปฏิกิริยาของเธอ ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “ข้าเพียงแค่พูดเล่น…”


 


ขณะที่เขาพูดคำพูดเหล่านั้น ซูหยางก็ใช้เพลิงปรุงยาของเขาแผดเผากระดาษบันทึกจนกระทั่งพวกมันไม่คงอยู่อีกต่อไป


 


เมื่อโหลวหลานจีเห็นเพลิงปรุงยา เธอรู้สึกเหมือนกับว่าโลกในใจของเธอสั่นสะท้าน ราวกับว่าเธอประสบกับการแสดงขั้นสุดยอด


 


“น-น-น-นั่น ป-ป-เป็น…”


 


“ถูกต้อง นี่เป็นเพลิงปรุงยา” ซูหยางพูดโดยไม่ลังเล “และบังเอิญว่านี่ก็เป็นที่มาของน้ำมันรัญจวน”


 


“…”


 


โหลวหลานจีตกตะลึงพูดไม่ออก เมื่อไหร่กันที่ซูหยางกลายเป็นนักปรุงยา นานแค่ไหนแล้วที่เขาเป็น และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาได้ปรุงน้ำมันรัญจวนขึ้นมาจริงหรือไม่ สิ่งที่กระทั่งเหนือกว่ากระทั่งโอสถหยินพ้นพิสัยที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยยกย่องไว้สูงก่อนที่จะรู้จักกับน้ำมันรัญจวน


 


“มีอะไรผิดไปรึ ท่านมิเชื่อข้ารึ” ซูหยางถามเธอหลังจากที่เธอนิ่งเงียบไปหลายนาที


 


“ม…ไม่…มิใช่เช่นนั้น…” โหลวหลานจีพูด “ข้าเพียงมิคิดว่าเจ้าเปิดเผยชัดเจนเช่นนี้…”


 


ถึงแม้ซูหยางจะทำตามคำสัญญาของเขา โหลวหลานจีก็ไม่อยากจะเชื่อว่าคนที่มีความลับซุกซ่อนอย่างลึกลับซับซ้อนแบบเขาจะเปิดเผยความลับยิ่งใหญ่เช่นนี้กับเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อดูเหมือนว่าเขาได้ซ่อนมันไว้มาชั่วระยะเวลาหนึ่งจนถึงตอนนี้


 


“ทำไมเจ้าจึงบอกข้าเรื่องนี้ เจ้าต้องมีเหตุผลอื่น…”


 


ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “ข้าต้องเปิดเผยมันไม่ช้าก็เร็วถึงแม้ว่าท่านมิได้ถาม อย่างไรก็ตามข้าก็มีคำขอร้องเล็กน้อยสำหรับท่านเช่นกัน…”


 


“จ-เจ้าต้องการจากข้าตอนนี้เลยรึ” โหลวหลานจีเตรียมตัวเตรียมใจไว้


 


“มันเป็นเรื่องง่าย จริงแล้ว..” ซูหยางเข้าไปใกล้เธอและพูดสองสามประโยคให้แก่เธอ


 


โหลวหลานจีสับสนในตอนแรก แต่เมื่อเธอได้ยินจากเขามากขึ้น ดวงตาของเธอก็เปิดกว้างด้วยความตระหนก


 


“จ-จ-เจ้า…ไม่น่าเชื่อ…”


 


โหลวหลานจีไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือว่าร้องไห้หลังจากที่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมด อย่างไรก็ตามมีสิ่งหนึ่งที่ชัดเจนว่าเธอไม่เคยคาดเดาคำขอร้องของเขาถูกแม้ว่าจะผ่านไปล้านปี


 


“ก็ดี…” เธอพยักหน้า “แม้ว่าข้าจะฝ่าฝืนกฏของนิกายที่ยอมให้เกิดเรื่องนี้ นี่ให้ถือว่าเป็นกรณีพิเศษ…”


 


ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “บางทีข้าควรพิจารณาสอนท่านถึงวิธีสร้างน้ำมันรัญจวนในอนาคต…”


 


ดวงตาของโหลวหลานจีเปล่งประกายสว่างหลังจากที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้และเธอก็พูดขึ้นว่า “เจ้ามิต้องกังวลกับความจริงที่ว่าเจ้าเป็นนักปรุงยาแล้วจะถูกเปิดเผยสู่โลกภายนอกในเมื่อมันจะยังคงเป็นความลับสำหรับข้า”


 


ซูหยางไม่ได้กล่าวอะไรอีกเพราะว่าเขารู้อยู่แล้วว่าเธอต้องพูดเช่นนั้น


 


“อย่างไรก็ตามข้ามาที่นี่เพื่อบอกเจ้าอีกเรื่อง เนื่องจากสถานการณ์เกี่ยวกับวิญญาณพิทักษ์ ฟางซีหลานหวังว่าเจ้าจะไปหาเธอยังที่พัก”


 


“ข้าเข้าใจแล้ว…ข้าจักไปหาเธอโดยเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้” ซูหยางกล่าว


 


“ดี เช่นนั้นข้าจักไปแล้วในตอนนี้เพื่อเติมเต็มคำขอของเจ้า…” เธอกล่าวก่อนที่จะออกไปจากที่นั้นหลังจากนั้นไม่นาน แต่ยังคงรู้สึกตระหนกกับทุกสิ่งที่เธอรับรู้ในวันนี้เกี่ยวกับซูหยาง


 


และแม้ว่าเธอจะมีคำถามมากมายหลายสิบข้อเกี่ยวกับเพลิงปรุงยาของซูหยางและเรื่องอื่นๆ เธอตัดสินใจที่จะปล่อยให้มันเป็นเรื่องของอนาคตเมื่อเธอเข้าใจและยอมรับข้อมูลทุกอย่างที่เธอได้รับในวันนี้


PS: เรื่องนี้จะชะลอช้าลงตามต้นฉบับนะครับ ไม่ใช่ผมอู้ 🙂 และฝากเป็นแรงใจให้กับ Nine Yang Sword Saint ด้วยนะครับ เรื่องเป็นอย่างไรนั้น ผมเองก็ยังไม่รู้มากเท่าไหร่ เพราะว่าอ่านไปล่วงหน้าไม่กี่บท พร้อมๆกับแปลครับ

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม