Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน 227-233
DC บทที่ 227: โน้มน้าวหลี่เซียวโม่ให้ร่วมฝึกคู่
ซูหยางตื่นแต่เช้าและออกจากบ้านทันทีที่ล้างหน้าเสร็จ
หลังจากออกบ้าน เขาก็ตรงไปยังเขตศิษย์ในเพื่อมองหาหลี่เซียวโม่ ศิษย์ในเพียงคนเดียวที่เขาคุ้นเคย
เมื่อเข้าไปในเขตศิษย์ใน ซูหยางก็นำเอาป้ายหยกประจำตัวออกและมองหาที่พักของหลี่เซียวโม่จากในนั้น ในเมื่อป้ายจะบรรจุข้อมูลของสถานที่พักของศิษย์นอกและศิษย์ในทุกคน อย่างไรก็ตามวิธีการเช่นนี้จะสามารถใช้ได้แต่ศิษย์ในขึ้นไปเท่านั้น
เจตนาของวิธีการนี้ก็เพื่อที่จะยอมให้เหล่าศิษย์ค้นหาศิษย์คนอื่นเพื่อที่จะร่วมฝึกคู่ด้วยถึงแม้ว่าพวกเขาและเธอจะไม่เคยพบอีกฝ่ายมาก่อน นี่จะทำให้ศิษย์ที่ปรารถนาที่จะหาคู่ฝึกคนใหม่มีโอกาสที่จะทำเช่นนั้น ยิ่งไปกว่านั้นมันทำให้เกิดความสะดวกสบาย
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าซูหยางไร้คู่ไม่ว่าจะเหตผลใดก็ตามและต้องการจะหาคนใหม่แต่ก็ยากลำบากที่จะทำเช่นนั้น เขาสามารถใช้ป้ายหยกเพื่อค้นหาผู้คนและพยายามโน้มน้าวพวกเธอมาเป็นคู่ฝึกของเขาได้
ตามความเป็นจริงศิษย์ในหลายคนใช้วิธีการนี้เพื่อค้นหาคู่ฝึกคนใหม่เมื่อพวกเขาและเธอเบื่อกับคนปัจจุบัน ถ้าพวกเขาและเธอล้มเหลวเป้าหมายแรก พวกเขาและเธอก็สามารถไปยังเป้าหมายต่อไปได้อย่างง่ายดาย
และถึงแม้ว่าจะมีบางคนไม่ปลื้มกับระบบนี้ เพราะว่ามันสร้างความรำคาญให้ในบางครั้งด้วยผู้คนล้วนตามหาพวกเขาหรือเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศิษย์ที่ได้รับความนิยมที่มีคู่ฝึกหลายคนอยู่แล้ว พวกเขาและเธอก็สามารถร้องของให้ปกปิดข้อมูลของตนเองจากคนอื่นได้ตลอดเวลา
หลังจากเดินไปยังเขตศิษย์ในได้สองสามนาที ซูหยางก็ไปถึงที่พักของหลี่เซียวโม่
ยามเมื่อไปถึง อย่างไรก็ตาม ซูหยางก็พบว่าเขาไม่ได้เป็นคนเดียวที่มาตามหาหลี่เซียวโม่ ตามจริงที่นั่นมีศิษย์ชายอยู่สองสามคนแล้วที่มาถึงก่อนหน้าเขาเพื่อที่จะพยายามเสี่ยงโชคกับหลี่เซียวโม่
ชายหนุ่มรูปงามสี่คนยืนอยู่ตรงหน้าที่พักของหลี่เซียวโม่ โดยมีหลี่เซียวโม่อยู่ตรงประตูพูดคุยกับพวกเขา
“ศิษย์น้องหญิงหลี่ เจ้าสามารถบอกเหตุผลกับข้าสักนิดได้หรือไม่ว่าทำไมเจ้าไม่ต้องการที่จะร่วมฝึกคู่กับข้า ข้าสัญญาเจ้าว่าข้าจักทำให้เจ้าได้รู้จักโลกใบใหม่แห่งความสุข”
หนึ่งในชายหนุ่มรูปงามกล่าวด้วยความผิดหวัง
ถ้าเขาไม่โน้มน้าวหลี่เซียวโม่ เช่นนั้นหนึ่งในสามคนที่เหลืออาจจะพาเธอไปจากเขา
อย่างไรก็ตามหลี่เซียวโม่จ้องมองไปยังชายหนุ่มด้วยสายตาเย็นชาและกระชากเสียงว่า “เจ้าต้องการที่จะรู้ว่าทำไมนะรึ ง่ายมาก ข้ามิต้องการร่วมฝึกวิชากับชายที่ไม่สามารถรักษาสัญญาได้”
หลังจากที่ได้เรียนรู้ถึงกลเม็ดเคล็ดวิชาระดับพระเจ้าของซูหยาง มาตรฐานของหลี่เซียวโม่ในความพึงใจก็เพิ่มสูงขึ้นไปอีกสองสามระดับ ดังนั้นการหาคู่ฝึกที่สามารถเติมเต็มความปรารถนาของเธอนั้นจึงกลายเป็นสิ่งที่ยากมากแม้กระทั่งชายเหล่านี้ทั้งหมดจะมาให้เธอเลือก
“เจ้าหมายความว่าอะไร ข้าจะเติมเต็มคำสัญญาของข้าได้อย่างไรในเมื่อเจ้ายังมิให้แม้กระทั่งโอกาสข้า” ชายหนุ่มกล่าวด้วยท่าทางอยากร้องไห้
“ยอมแพ้เสียเถอะเด็กน้อย เจ้ามิเห็นหรือว่าเจ้าเพียงแค่รบกวนศิษย์น้องหญิงหลี่ ยังมีแถวอยู่ตรงนี้เจ้าก็รู้”
หนึ่งในชายหนุ่มที่รออยู่ให้อีกฝ่ายพูดจบพลันกล่าวขึ้นเสียงดัง จนทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มที่ถูกปฏิเสธแดงขึ้นด้วยความโกรธ
“ใช่แล้วศิษย์น้องหญิงหลี่ได้ปฏิเสธที่จะร่วมฝึกกับเจ้าไปแล้วสองครั้ง เจ้ามิมีค่ากับเธอ ไปให้พ้น”
แม้ว่าชายหนุ่มที่ถูกปฏิเสธต้องการทุบตีชายหนุ่มเหล่านั้นเพื่อระบายความโกรธ แต่เขาไม่ต้องการเสียหน้าไปมากกว่านี้ต่อหน้าหลี่เซียวโม่จึงกล่าวกับเธอว่า “ศิษย์น้องหญิงหลี่ ข้าจักกลับมาถามท่านใหม่พรุ่งนี้–”
“เจ้ามิต้องกลับมาในวันพรุ่งนี้ เพราะว่าคำตอบของข้าจักยังคงเหมือนเดิม ข้าจักไม่ฝึกร่วมกับเจ้า” หลี่เซียวโม่กล่าว หักอกชายหนุ่มผู้น่าสงสารอีกครั้ง
อย่างไรก็ตามเธอยังพูดไม่จบจึงกล่าวต่อว่า “ตามความเป็นจริง พวกเจ้าทุกคนก็ควรจะไปได้แล้วและมิต้องกลับมาอีกเพราะว่าข้าจักไม่ฝึกร่วมกับพวกเจ้าไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม”
“ว่ากระไร แต่…”
ชายหนุ่มที่เหลืออีกสามพากันตกตะลึงกับคำพูดของเธอ
“จ-เจ้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร สุดที่รักของข้า เจ้าจำข้ามิได้รึ เราเคยร่วมฝึกกันมาสองสามครั้งก่อนหน้า–”
“อย่าเรียกข้าเช่นนั้น ข้ามิเคยจำได้ว่าเคยฝึกร่วมกับคนที่น่าเกลียดดังเช่นเจ้า” หลี่เซียวโม่ถุยน้ำลายลงพื้น
“น-น-น-น่าเกลียดรึ”
ใบหน้าชายหนุ่มไม่ได้น่าเกลียด เขาเกือบจะระเบิดเสียงร่ำไห้ออกมา ในเมื่อนี่เป็นครั้งแรกที่มีคนบอกเขาว่าน่าเกลียด
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ชายหนุ่มไม่รู้ก็คือว่ามาตรฐานหลี่เซียวโม่ของคำว่า “หล่อเหลา” ได้เปลี่ยนไปแล้วเช่นกันเนื่องเพราะว่าใบหน้าที่เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัดของซูหยาง
“ล-แล้วข้าล่ะ ศิษย์น้องหญิง เจ้าสัญญากับข้าไว้ว่าเราจักร่วมฝึกฝนด้วยกันยามเมื่อคุยกันครั้งสุดท้าย” อีกคนพูดด้วยเสียงสั่นสะท้าน
“หืม ข้าเคยพูดอะไรอย่างนั้นด้วยรึ ข้ามิเห็นจะจำได้ ดังนั้นเจ้าก็ควรลืมมันไปซะ” หลี่เซียวโม่กล่าวด้วยเสียงไร้อารมณ์
“ม-ไม่มีทาง…เจ้าช่างโหดร้ายที่สุด ศิษย์น้องหญิง…”
“ศิษย์น้องหญิง…” ศิษย์คนสุดท้ายที่ไม่รู้สึกอยากต้องการโน้มน้าวหลี่เซียวโม่อีกต่อไปหลังจากที่เห็นเธอปฏิเสธสามคนก่อนอย่างโหดร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาล้วนเหนือกว่าเขาคนละระดับ ยิ่งไม่ต้องการให้หลี่เซียวโม่เยาะเย้ยเขาในทุกวิถีทาง
“ข้าจักไม่กล่าวซ้ำ พวกเจ้าทุกคนควรไปให้พ้นหน้าข้าเพราะว่าข้าจักไม่ร่วมฝึกกับพวกเจ้า” หลี่เซียวโม่กล่าวกับพวกเขา
ชายหนุ่มทั้งสี่ถอนใจ คิดสงสัยในใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ เพราะว่าเธอไม่เคยเป็นเช่นนี้มาก่อน
สองสามวินาทีหลังจากนั้น ขณะที่หลี่เซียวโม่เตรียมตัวปิดประตู เสียงอื่นก็ดังขึ้นในพื้นที่นั้น
“แล้วข้าล่ะ เจ้าต้องการฝึกร่วมกับข้าหรือไม่” เสียงเรียบเฉยพูดกับเธอจากที่ไกล
ก่อนที่เธอจะทันได้ดูให้ดีไปยังใบหน้าเจ้าของเสียงเรียบเฉยนี้ หลี่เซียวโม่ก็ได้ตะโกนออกมา “ไม่ ข้ามิต้องการที่จะฝึกร่วมกับหมูเช่นเจ้า–”
“เช่นนั้นรึ ช่างน่าเวทนา กระทั่งข้ายังคาดหวังกับเรื่องนี้…” ซูหยางถอนหายใจด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง
“ซ-ซ-ซ-ซู ย-หย-หยาง…”
สุดท้ายเมื่อหลี่เซียวโม่เห็นใบหน้าเจ้าของเสียง เธอก็พลันเสียใจทันทีที่พูดออกไปอย่างเร่งรีบจนสำลักจากความตกตะลึง
DC บทที่ 228: น้ำมันรัญจวน
เมื่อซูหยางถูกปฏิเสธในทันใดจากหลี่เซียวโม่ ศิษย์ชายทั้งสี่ตรงนั้นต่างพากันหัวเราะเยาะเขาในใจ เมื่อเห็นคนอื่นร่วมประสบชะตากรรมเดียวกัน ซึ่งพอช่วยประทังความเจ็บปวดในใจพวกเขาไปได้บ้าง
“หมู หือ ข้ามิคิดว่าข้าจะถูกเรียกว่าหมูมาก่อน” ซูหยางตรงเข้าไปหาพวกเขาพร้อมทั้งรอยยิ้มเยือกเย็นบนใบหน้า
“ด-ด-เดี๋ยวก่อน ข-ข้ามิรู้ว่านั่นเป็นท่าน” หลี่เซียวโม่ผิวหน้าพลันซีดเมื่อตระหนักว่าคนที่เธอเพิ่งด่าไปกลายเป็นคนคนนั้น ซูหยาง
“ไม่มีปัญหา…ข้าเข้าใจ..เจ้ามิต้องการข้าที่นี่…” ซูหยางทำทีเหมือนว่าใจสลายกับการตอบสนองของหลี่เซียวโม่ก่อนหน้านี้ “ข้าจักจากไปเดี๋ยวนี้…”
อย่างไรก็ตามแม้ว่าเขาจะพูดเช่นนั้น เขาก็ยังมุ่งตรงเข้าไปหาเธอ
“น-นั่นไม่จริง ข้าได้คอยพบท่านมาตั้งนาน” หลี่เซียวโม่เกือบร้องไห้ในเวลานี้ เมื่อคิดว่าการรอคอยที่แสนนานเพื่ออยู่ร่วมกับซูหยางเปลี่ยนเป็นหายนะ
ศิษย์ชายทั้งสี่ที่นั่นจ้องมองพวกเขาทั้งคู่ด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อนบนใบหน้า ไม่มีใครในหมู่พวกเขาสามารถเข้าใจสถานการณ์นี้ได้ ทำไมหลี่เซียวโม่มีท่าทางเช่นนี้หลังจากเรียกซูหยางว่าเป็นหมู และที่สำคัญกว่านั้น ซูหยางบ้านี่เป็นใครและเขามีความสัมพันธ์อะไรกับหลี่เซียวโม่
และถ้าซูหยางเป็นคนสำคัญสำหรับหลี่เซียวโม่ เช่นนั้นทำไมจึงไม่มีใครในหมู่พวกเขาเลยสักคนที่รู้จักคนนี้
“เจ้ามั่นใจเช่นนั้นรึ” ซูหยางไม่สนใจศิษย์ทั้งสี่ที่ยืนอยู่ตรงนั้นจ้องมองดูเขาราวกับคนโง่ เขาเดินผ่านคนเหล่านี้ ไม่แม้จะชายตาไปหาขณะเดินผ่าน
“ถ้าสิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริง เช่นนั้นทำไมเจ้ามิพิสูจน์ให้ข้ารู้…ภายในนั้นล่ะ” ซูหยางยืนต่อหน้าหลี่เซียวโม่แลพูดขึ้น
“ด-ได้โปรด…เข้ามาข้างใน…” หลี่เซียวโม่ก้าวเข้าไปในบ้านเพื่ออนุญาตให้ซูหยางเข้าไปได้
ยามเมื่อซูหยางเข้าไปในบ้านแล้ว หลี่เซียวโม่หันไปมองดูศิษย์ทั้งสี่ด้วยการหรี่ตาและกล่าวด้วยเสียงเย็นชา “ข้าจักตัดลึงค์เจ้าออกถ้าเจ้ามารบกวนพวกเรา ไปให้พ้น”
เธอกระแทกประตูปิด ปล่อยให้ศิษย์ทั้งสี่ยืนอยู่ข้างนอกด้วยท่าทางเหม่อมองอย่างโง่งม
ปล่อยผ่านไปกับถ้อยคำหยาบคายของหลี่เซียวโม่ แต่กระทั่งวิธีที่เธอมองดูพวกเขาเหมือนกับว่าเธอกำลังมองดูอาจม เป็นเหตุให้หัวใจของพวกเขาตกวูบเหมือนกับลูกเหล็กที่ถูกทิ้งจากที่สูง ทำลายความหวังทั้งหมดของพวกเขาในการที่จะร่วมฝึกกับเธอด้วยการกวาดตามองเพียงครั้งเดียว
หลังจากปิดประตูแล้ว หลี่เซียวโม่พาเขาไปหาที่นั่งและกระทั่งยังชงชามาบริการ
“อ-อะไรที่ทำให้ท่านมาถึงที่นี่วันนี้ ศิษย์น้องชาย”
“ศิษย์น้องชายเช่นนั้นรึ” ซูหยางยิ้ม
หลี่เซียวโม่ท่าทางชะงักค้าง และเธอรีบแก้คำพูด “ข้าขอโทษ นายท่าน…”
ซูหยางเลิกคิ้ว “ใครให้เจ้าเรียกนายท่านกัน ข้าจำมิได้ว่าเคยรับเจ้าเป็นศิษย์หรือคนรับใช้มาก่อน”
“เอ๋ แต่เมื่อกี้ท่านเพิ่ง…” หลี่เซียวโม่มองดูเขาด้วยดวงตากลมโต ถ้าเขามิรำคาญที่เธอเรียกเขาเป็นศิษย์น้องชาย เช่นนั้นทำไมเขาจึงมีท่าทางเหมือนกับว่าเขาขุ่นเคืองกับถ้อยคำนั้น
“ลืมเรื่องเล็กน้อยไปซะแล้วเรามาพูดถึงเรื่องที่ว่าทำไมข้าจึงมาที่นี่ในวันนี้” ซูหยางนำเอาขวดแก้วออกมาจากชุดและวางมันลงบนโต๊ะตรงหน้าเขา
“นั่นคืออะไร” หลี่เซียวโม่ถามเขาหลังจากที่เห็นขวดแก้วที่ดูเหมือนบรรจุของเหลวใสบางอย่าง
“นี่คือวัตถุที่สร้างขึ้นมาเป็นพิเศษ เรียกว่า น้ำมันรัญจวน ถ้าเจ้าลูบมันลงบนร่างเจ้า มันจะเพิ่มความแข็งแกร่งของปราณหยินของเจ้าและเพิ่มพูนความสุขสมมากยิ่งขึ้น”
“น-น้ำมันรัญจวน” หลี่เซียวโม่ตะลึง
เธอไม่เคยได้ยินบางสิ่งเช่นนี้มาก่อนและมั่นใจว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็คงไม่มีสมบัติที่มหัศจรรย์เช่นนี้เช่นกัน
“ท่านได้สิ่งนี้มาจากไหน นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยต้องบ้าคลั่งแน่ถ้าพวกเขารู้เรื่องสิ่งนี้”
“สิ่งนี้มาจากไหนไม่สำคัญ” ซูหยางกล่าว
“เช่นนั้นท่านต้องการอะไรจากข้า เมื่อดูว่าท่านแสดงให้ข้าเห็น ข้าเดาว่าท่านต้องการให้ข้าทำอะไรบางอย่างกับสิ่งนี้” เธอถามเขา
“ใช่แล้ว” เขาพยักหน้าและกล่าวต่อว่า “ข้าต้องการให้เจ้านำเอาน้ำมันรัญจวนขวดนี้ไปร่วมแบ่งปันกับเพื่อนของเจ้ามากมายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
“ท-ท่านต้องการให้ข้าแบ่งปันน้ำมันรัญจวนกับคนอื่น ท่านมิกลัวว่านิกายจะตามหาท่านหลังจากนี้รึ” เธอถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
“มิต้องกังวลเกี่ยวกับนิกาย เพราะว่าข้ามีเจตนาเข้าเยี่ยมผู้นำนิกายหลังจากนี้” ซูหยางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
“ย-อย่างนั้นรึ… เช่นนั้นเราควรทำอย่างไรต่อไปหลังจากที่แบ่งปันมันแล้ว”
“เจ้าจักรู้เองหลังจากที่แบ่งปันแล้ว” เขาตอบ
“ข้าเข้าใจ…” เธอพยักหน้าแม้ว่าจะยังคงไม่เข้าใจอย่างแท้จริงนัก
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะ หลี่เซียวโม่ก็มองดูซูหยางด้วยท่าทางเกรงใจและถามเขาว่า “อืมม…มีอะไรอีกไหมที่ท่านต้องการจากข้า”
แม้ว่าจะถูกซุกซ่อนไว้ใต้โต๊ะ หลี่เซียวโม่ก็ขยับนิ้วไปมาไม่อยู่สุข ในเมื่อเธอคาดหวังให้ซูหยางมีเจตนาอย่างอื่นในการมาหาเธอในวันนี้ด้วย
“อืมมม อะไรที่ทำให้เจ้าคิดเช่นนั้น” ซูหยางถามพร้อมรอยยิ้มลึกลับ
หลี่เซียวโม่ใบหน้าแดงขึ้นเล็กน้อยและกล่าวว่า “เรื่องที่ท่านพูดไว้ก่อนหน้านี้…”
ปกติแล้วเธอจะไม่พูดอ้อมค้อมเมื่อกล่าวถึงความในใจเธอเหมือนเมื่อตอนที่เธอเฉดไล่ศิษย์สี่คนด้านนอกไป แต่หลี่เซียวโม่พบว่ามันยากเป็นพิเศษที่จะกล่าวแม้จะเพียงคำเดียวโดยไม่มีความอายเมื่อพูดกับซูหยาง
มองดูปฏิกิริยาของหลี่เซียวโม่ ซูหยางหัวเราะหึและกล่าวว่า “อย่ากังวล ข้ามิมีเจตนาที่จะให้เจ้าทำงานโดยไม่มีค่าตอบแทน”
“ข-ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น” เธอรีบพูด “ข้ายินดีที่จะทำงานนี้ฟรี”
“เจ้ามั่นใจเช่นนั้นรึ” ซูหยางยิ้ม “ข้ากำลังคิดที่จะนวดให้เจ้าเป็นพิเศษเป็นค่าตอบแทน…”
ท่าทางของหลี่เซียวโม่ชะงักค้างเมื่อได้ยินคำนั้น อีกครั้งที่เธอพูดออกมาเร็วเกินไป
DC บทที่ 229: ทำให้เธอเป็นทาสทั้งกายและใจ
“น..นวดเป็นพิเศษอย่างนั้นรึ” หลี่เซียวโม่มองดูซูหยางด้วยใบหน้าสับสน เธอร่ำร้องในใจว่า “ทำไมเจ้าไม่พูดมาตั้งแต่ต้น”
ซูหยางพยักหน้า “นวดโดยใช้น้ำมันรัญจวนนี้ สุดท้ายอย่างน้อยเจ้าต้องรู้เรื่องสิ่งที่เจ้าต้องการเผยแพร่เสียก่อน”
“แต่ถ้าเจ้ามิต้องการทำ เช่นนั้นข้าคงต้องไปแล้ว–”
ซูหยางยืนขึ้นและเตรียมตัวจากไป
แต่เพียแค่เขาหันกาย หลี่เซียวโม่ก็กระโดดมาจากเก้าอี้เธอและกอดหลังเขาไว้แน่น
“ร-รอก่อน ข้าต้องการ โปรดมอบมันให้ข้า” เธอร้องขอเขาขณะที่กอดร่างของเขาไว้ไม่ให้เขาไป
“เช่นนั้นก็ดี…” ซูหยางพยักหน้า
หลังจากนั้นไม่นาน หลี่เซียวโม่ก็พาซูหยางเข้าห้องของเธอ ซึ่งใหญ่กว่าห้องเล็กของซูหยางที่เขตศิษย์นอกไม่ต่ำกว่าสามเท่า
“ไปนอนบนเตียง” ซูหยางกล่าวกับเธอ “และถอดเสื้อผ้าออก”
หลี่เซียวโม่พยักหน้าและเริ่มถอดเสื้อผ้า
สองสามวินาทีถัดไป หลี่เซียวโมนอนคว่ำบนเตียงเผยให้เห็นผิวเรียบเนียนประดุจไหม
“นี่ทำให้ข้านึกถึง…” ซูหยางพลันกล่าวขึ้น “เจ้าพยายามทำทุกอย่างเมื่ออยู่ในห้องข้าคนเดียวจริงๆใช่ไหม”
“หือ ท่านหมายความว่าอะไรเช่นนั้น—”
หลี่เซียวโม่พลันนึกถึงการพบกันครั้งแรกและเรื่องที่ซูหยางได้ปล่อยเธอทิ้งไว้คนเดียวให้จัดการกับความหื่นกระหายที่เขาทิ้งไว้ในร่างเธอ
และฉากย้อนหลังที่เธอช่วยตัวเองภายในห้องซูหยางก็ปรากฏขึ้นในใจ ทำให้ใบหน้าเธอแดงด้วยความอาย
“น-นั่นเป็นเพราะว่าท่านทิ้งข้าไว้เพียงคนเดียวหลังจากสิ่งที่ท่านทำไว้กับตัวของข้า ข้าคงต้องกลายเป็นบ้าถ้าข้ามิปลดปล่อยความกระหายของร่างข้าหลังจากนั้น” หลี่เซียวโม่ร้องลั่น
“ถ้าเจ้าเข้าไปหาข้าด้วยท่าทีที่เหมาะสมตอนนั้น ข้าก็คงมิจำเป็นต้องแกล้งเจ้าแบบนั้น” ซูหยางตอบพร้อมรอยยิ้ม
หลี่เซียวโม่พลันเงียบไป เธอยังคงเสียใจการตัดสินใจที่จะทำให้ซูหยางเป็น “ทาส” เธอในวันนั้นจนถึงวินาทีนี้
แต่ถึงแม้ว่าเธอไม่เคยดูแคลนความสามารถของเขาว่าเป็นเพียงศิษย์นอก แต่ทัศนคติของเธอก็ยังต้องการเก็บซูหยางไว้เป็นของเธอ
“ข…ข้ารู้ว่าคำขอโทษมิอาจลดโทษต่อพฤติกรรมของข้าวันนั้นได้ แต่ข้าจักพยายามให้ดีที่สุดเพื่อที่จะตามใจท่านในอนาคต” หลี่เซียวโม่มองดูตาเขาและกล่าวอย่างจริงใจ
ซูหยางไม่ได้พูดอะไร เขาเริ่มเทน้ำมันรัญจวนลงบนหลังของเธอ
“โอ…” หลี่เซียวโม่รู้สึกถึงความอบอุ่นค่อยโอบอุ้มร่างเธอไว้ ราวกับว่าเธอถูกห่อหุ้มอยู่ในผ้าห่มอันอบอุ่น
ซูหยางพลันเริ่มลูบน้ำมันไปทั่วหลังเธอ นวดทุกตำแหน่งที่ไวต่อการสัมผัสตลอดทาง
“อาาาาา…นี่…ข้าได้รอคอยสิ่งนี้มาตลอดนับตั้งแต่วันนั้น…” หลี่เซียวโม่คิดในใจ เมื่อประสบการณ์ครั้งแรกของเธอกับกลเม็ดของซูหยางผ่านเข้ามาในใจ
นับตั้งแต่ซูหยางใช้กลเม็ดของเขาบนร่างเธอ หลี่เซียวโมได้พยายามทุกสิ่งเพื่อที่จะสร้างความพึงพอใจดังเช่นที่ซูหยางทำให้ร่างเธอได้รู้สึกขึ้นมาใหม่ แต่อนิจจา ไม่ว่าเธอจะพยายามทำอย่างไร ทั้งหมดล้วนเปล่าประโยชน์ กลับยิ่งทำให้ร่างของเธอกระหายมากยิ่งขึ้น
ความปรารถนาที่จะเสพสมได้เลวร้ายลงจนถึงขั้นที่หลี่เซียวโม่ไปยังเขตศิษย์หลักเพื่อหาคำตอบ แต่เมื่อกระทั่งศิษย์หลักผู้ที่เชี่ยวชาญที่สุดในศาสตร์แห่งความสุขภายในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิส้ยก็ไม่อาจทำให้ดับความกระหายที่จะเสพสมของเธอได้เต็มที่ สุดท้ายหลี่เซียวโม่ก็ตระหนักถึงความสามารถที่แท้จริงของซูหยางว่ากลเม็ดของเขาน่าหวาดหวั่นเพียงใด
เธอได้ตระหนักในเวลานั้นว่าซูหยางมีความสามารถในการทำให้หญิงคนใดก็ตามกลายเป็นทาสทั้งกายและใจโดยการทำให้พวกเธอประสบกับความสุขชนิดที่ว่าพวกเธอได้แต่กระหายอยากหลังจากที่ได้ประสบเช่นนั้นสักครั้ง และครั้นเมื่อพวกเธอได้รับมัน พวกเธอจะไม่มีวันที่จะสามารถสร้างความพึงพอใจให้ตัวเองได้อีกนอกจากซูหยางเท่านั้น
ความสามารถที่น่าหวาดหวั่นเช่นนี้หมายความว่าซูหยางมีความสามารถที่จะทำให้หญิงสาวคนใดก็ตามกลายเป็นทาสได้ตามที่เขาปรารถนา เพียงแต่ใช้กลเม็ดอันศักดิ์สิทธิ์ของเขาเท่านั้น และนั่นทำให้หลี่เซียวโม่ใจหายเมื่อไหร่ก็ตามที่เธอคิดย้อนกลับไปถึงยามเมื่อเธอพยายามทำให้คนที่น่าหวาดหวั่นเช่นนั้นเป็นทาสของเธอ
แต่เธอยังโชคดี ซูหยางไม่ใช่คนที่ใช้ความแข็งแกร่งไปในทางที่ผิดนอกจากว่าจำเป็นอย่างถึงที่สุด ในขณะที่เขาทำให้คู่ฝึกของเขาทุกคนปรารถนาในตัวเขา เขาก็ไม่ได้ทำจนถึงขั้นที่ว่าพวกเธอไม่สามารถอยู่ต่อไปได้หากขาดกลเม็ดของเขา
ถ้าซูหยางเป็นคนเช่นนั้น เช่นนั้นเขาคงถูกเกลียดชังไปทั้งโลกและคงตกตายภายใต้น้ำมือของหญิงผู้เชี่ยวชาญมากมายที่แข็งแกร่งกว่าเขาในสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ก่อนที่เขาจะทันได้ถูกคุมขังโดยจักรพรรดิสวรรค์
ยามเมื่อซูหยางทาน้ำมันรัญจวนไปทั่วหลังของหลี่เซียวโม่แล้ว เขาก็พลิกตัวเธอและเริ่มนวดด้านหน้าของเธอ
“อาาา…”
“อืมม…”
“งืออออ..”
ร่างของหลี่เซียวโม่บิดไหวด้วยท่าทางไม่อาจคาดเดา ในเมื่อซูหยางหยอกล้อน้องสาวของเธอด้วยนิ้วเรียวของเขา กลีบแคมของเธอขยายตัวจากความหื่นกระหาย ไข่มุกสีชมพูเม็ดเล็กของเธอสั่นสะท้านอย่างต่อเนื่องจากความรู้สึกเร่าร้อนรุนแรง
หลี่เซียวโม่ได้ปลดปล่อยหลายต่อหลายครั้งภายในเวลาไม่กี่นาทีนี้จนสภาพจิตใจเธอเกือบล้มเหลว
และเมื่อเปรียบเทียบกับกิจกรรมครั้งก่อนกับเขา นี่ช่างแตกต่างเหมือนกับสวรรค์และพิภพ เปรียบเทียบกันไม่ได้แม้แต่น้อย
ซูหยางหยุดนวดเธอหลังจากผ่านไปไม่กี่นาที
“ฮาาา…ฮาาาา…ฮาาาา…” หลี่เซียวโมถือโอกาสหอบหายใจลึกหนักขณะที่เธอนอนลงบนเตียงด้วยร่างที่ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อและน้ำมันรัญจวน ร่างกายท่อนล่างของเธอยังคงกระตุกจากความสุขสมที่ยังคงหลงเหลืออยู่
“จ-จบเท่านี้หรือ…” หลี่เซียวโม่คิดสงสัยในใจ รู้สึกเหมือนกับว่าเวลาเพิ่งผ่านไปเพียงสองสามวินาที
หลี่เซียวโม่ค่อยหันศีรษะไปดูว่าซูหยางกำลังทำอะไรอยู่ ดวงตาของเธอพลันเบิกค้างด้วยความตระหนกเมื่อสายตาของเธอกระทบเข้ากับแท่งที่ทั้งยาวและใหญ่ที่ยื่นออกมาจากชุดคลุมของซูหยาง
“เจ้ามิคิดว่าจะเป็นสิ่งนี้ ใช่ไหม” ซูหยางถามเธอด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
“น-นั่นเป็น…” หลี่เซียวโม่จ้องมองดูเขาด้วยใบหน้าตื่นตะลึง เธอทั้งอับจนถ้อยคำและเปี่ยมล้นด้วยความสุขไปพร้อมๆกัน
DC บทที่ 230: กลับไปที่คลังมุกพิสุทธิ์
“ข-ของเขา…ช่างสวยงาม…” หลี่เซียวโม่เกือบน้ำลายหกเมื่อซูหยางเผยน้องชายให้เธอเห็น
“เจ้าต้องการมันไหม” ซูหยางถามเธอพร้อมกับฉีกยิ้ม
“ข…ข้าต้องการ..” หลี่เซียวโม่พยักหน้าด้วยท่าทางตื่นตะลึง
ได้ยินคำกล่าวของเธอ ซูหยางดึงร่างเธอไปหาตัวเองและเริ่มทิ่มถ้ำสวาทแฉะฉ่ำของเธอด้วยดุ้นของเขาโดยยังไม่เข้าไปข้างในตัวเธอ
“ข้าขอร้อง…หยุดหยอกข้าและสอดใส่มันเข้าไปในตัวข้าด้วยเถอะ…” หลี่เซียวโม่พึมพัมด้วยเสียงอ้อนวอน
“อืมมม…ข้าควรทำยังไงต่อไป…” ซูหยางทำท่าทางครุ่นคิดและทำราวกับว่าเขากำลังคิดเช่นนั้นอย่างจริงจัง
หลี่เซียวโม่รู้สึกอยากร้องไห้ แต่ทว่าเธอยอมให้เขาหยอกล้อเธอดีกว่าให้เหตุการณ์ครั้งนั้นย้อนคืนกลับมาอีกครั้ง
หลังจากหยอกล้อเธอชั่วขณะ ซูหยางก็ทิ่มแทงดอกไม้ที่สั่นสะท้านตรงหน้าเขาด้วยการเคลื่อนไหวที่รุนแรงโดยไม่มีการเตือนใดๆ
หลี่เซียวโม่รู้สึกเหมือนใจจะขาดเมื่อคลื่นความสุขท่วมท้นร่างของเธออย่างกระทันหัน เธอไม่ทันได้เตรียมตัวกับการทิ่มแทงเข้าไปในร่างของเธอจนเสียงของเธอชะงักขณะกำลังครวญคราง
“ช-ช-ช่างกระทันหัน…”
หลี่เซียวโม่น้ำตาคลอเบ้าแต่ร่างของเธอกลับกรีดร้องไปด้วยความพึงพอใจขณะที่น้องสาวของเธอพ่นน้ำรักออกมาเป็นจำนวนมาก
หลังจากทิ่มเข้าไปในร่างเธอ ซูหยางก็เริ่มขยับสะโพกเข้าออกภายในถ้ำคับแน่นของหลี่เซียวโม่ รู้สึกได้ถึงแรงดูดรุนแรงทุกการเข้าออก
“อาาา อาาาา อาาาาาง”
ทุกการทิ่มทะลวงของซูหยาง ร่างของหลี่เซียวโม่ก็สั่นสะท้านไปด้วยความสุขสมและปราณหยินของเธอก็ไหลทะลักออกมาจากถ้ำฉ่ำแฉะ ปราณหยินเปียกปอนไปทั่วเตียง
ในเวลานั้น หลี่เซียวโม่รู้สึกเหมือนกับว่าร่างของเธอก้าวล่วงสู่สรวงสวรรค์ จิตใจของเธอเคลื่อนสู่สภาวะอันลึกล้ำไม่เหมือนกับสิ่งที่เธอเคยพานพบมาก่อน
“หรือ..หรือนี่คือสภาวะการตื่นรู้ทางเพศในตำนาน” หลี่เซียวโม่คิดสงสัยขณะที่ร่างของเธอพลันเบาดุจขนนก รู้สึกเหมือนกับว่าร่างของเธอค่อยลอยล่องขึ้นสู่ท้องฟ้า
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วสำหรับหลี่เซียวโม่เมื่อเธออยู่ในสถานะนี้ และเมื่อเวลาผ่านไปนับชั่วโมง เธอกลับรู้สึกเหมือนกับว่ามันผ่านไปเพียงไม่กี่นาที
ซูหยางปล่อยของเหลวสีขาวเข้าไปในร่างของหลี่เซียวโม่ตอนสุดท้ายของกระบวนการ เติมเต็มร่างของเธอด้วยปราณหยางที่กระทั่งผู้เชี่ยวชาญเขตอำพรวิญญาณยังต้องแย่งชิง
หลังจากที่การร่วมฝึกคู่ของพวกเขาเสร็จสิ้นโดยหลี่เซียวโม่ครองสติไว้อย่างเต็มฝืนในตอนสุดท้าย ซูหยางก็กล่าวกับเธอก่อนที่จะปล่อยให้เธอได้พักว่า “ยามเมื่อเจ้าเสร็จงานที่ข้ากำหนดให้ ประตูบ้านข้ายินดีเปิดต้อนรับหากเจ้ารู้สึกต้องการร่วมฝึกคู่”
เมื่อเธอได้ยินคำพูดของเขา หลี่เซียวโม่สาบานอย่างเงียบๆที่จะทำงานนี้ให้เสร็จโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
“ข้าจักทิ้งน้ำมันรัญจวนไว้ห้าขวด นั่นควรจะเพียงพอกระทั่งคนนับร้อยถ้าเจ้าจัดการมันอย่างเหมาะสม โดยเจ้ามิจำเป็นต้องทาน้ำมันทั่วกายของพวกเธอดังเช่นที่ข้าทำกับเจ้า เพียงแค่ลูบมันลงไปเล็กน้อยบนส่วนที่อ่อนไหวที่สุดซึ่งพวกเธอย่อมได้รับประสบการณ์อย่างเพียงพอ”
หลังจากที่ให้คำแนะนำทั้งหมดแล้ว ซูหยางก็ออกจากที่พักของหลี่เซียวโม่และกลับไปยังห้องของตนเองเพื่อดูดซับปราณหยินของหลี่เซียวโม่และชำระร่างกาย
หลังจากทำทุกอย่างเหล่านั้นแล้ว ซูหยางก็จัดแจงทรัพยากรของเขาอีกครั้ง
“ข้าเหลือน้ำมันรัญจวนในมือเพียงสิบกว่าขวด แต่ข้ายังคงมีวัตถุดิบที่จะทำได้อีกยี่สิบกว่าขวด”
แต่ละขวดของน้ำมันรัญจวนบรรจุน้ำมันไว้ประมาณหนึ่งลิตร และหากใช้อย่างเหมาะสมนั่นก็พอให้เขาใช้ได้อีกเพียงสองอาทิตย์
ดังนั้นซูหยางตัดสินใจที่จะใช้น้ำมันรัญจวนเฉพาะเมื่อเขาฝึกร่วมกับผู้ที่อย่างน้อยอยู่ในเขตคัมภีร์วิญญาณระดับกลางขึ้นไป
กล่าวอีกนัยหนึ่งมีเพียงผู้ที่อยู่เหนือกว่าระดับสี่ของเขตคัมภีร์วิญญาณที่จะสามารถได้รับประสบการณ์การนวดน้ำมัน อย่างน้อยจนกว่าเขามีทรัพยากรเพียงพอที่จะผลิตน้ำมันรัญจวนได้เพียงพอ
“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยควรจะมีวัตถุดิบเกือบทั้งหมดที่จำเป็นต่อการผลิตมากกว่านี้ ในเมื่อวัตถุดิบล้วนไม่ใช่ของหายาก อย่างไรก็ตามในการที่จะได้พวกมันมา ข้าจักต้องใช้แต้มสำนักมากกว่านี้”
อย่างไรก็ตามเขาแทบจะไม่มีแต้มเหลือเพราะว่าเขาได้ใช้แต้มสำนักส่วนใหญ่ไปกับดอกหยางพิสุทธิ์ไปแล้ว
ซูหยางครุ่นคิดถึงวิธีที่จะได้รับแต้มสำนัก แต่เพราะว่าเขาไม่ได้สิ้นหวังในการเพิ่มพูนความแข็งแกร่งเหมือนครั้งก่อน เขาจึงไม่มีความคิดที่จะคิดเงินผู้คนสำหรับการนวดในอนาคต
ซูหยางมองดูน้ำมันรัญจวนและความคิดหนึ่งก็เกิดขึ้นในใจ
“ถ้าข้าขายน้ำมันรัญจวนขวดหนึ่งให้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเพื่อให้ได้แต้มสำนักมากพอที่จะผลิตน้ำมันรัญจวนให้ได้มากกว่าเพียงแค่หนึ่งขวด ข้าจักสามารถทำพวกมันได้โดยไม่สิ้นเปลืองทรัพยากร”
ซูหยางได้ตัดสินใจที่จะขายน้ำมันรัญจวนแลกกับแต้มสำนักเนื่องมาจากประสิทธิภาพและความสะดวกสบายของมัน
ดังนั้นซูหยางจึงออกจากบ้านอีกครั้งและเริ่มเดินทางไปยังคลังมุกพิสุทธิ์ สถานที่ที่เหล่าศิษย์ไปเพื่อแลกเปลี่ยนแต้มสำนักกับทรัพยากรหรือกลับกัน
เมื่อไปถึงคลังมุกพิสุทธิ์แล้ว ซูหยางสังเกตเห็นร่างที่คุ้นเคยนั่งอยู่อย่างสบายหลังโต๊ะ
นั่นก็คือผู้อาวุโสเจ้า ผู้ที่ขายดอกหยางพิสุทธิ์ให้กับซูหยาง และดังเช่นปกติ เขาเหมือนกับว่ากำลังหลับอยู่
ยามเมื่อซูหยางก้าวเข้าไปในคลังมุกพิสุทธิ์ ผู้อาวุโสเจ้าก็เปิดปากพูดขึ้นโดยไม่แม้จะลืมตา “เจ้าต้องการอะไรจากคลังมุกพิสุทธิ์
“ข้าต้องการทราบว่าท่านมีวัตถุดิบตามในรายการนี้บ้างหรือไม่” ซูหยางวางกระดาษหนึ่งแผ่นลงไปบนโตะหน้าผู้อาวุโสเจ้า
“อืม… เสียงนี้…”
ผู้อาวุโสเจ้าลืมตาขึ้นเมื่อได้ยินเสียงอันคุ้นเคยของซูหยางและจดจำได้ในทันที
เมื่อเขาเห็นใบหน้าหล่อเหลาของซูหยางพร้อมกับชุดเขียว ผู้อาวุโสเจ้าก็ถอนใจ “เป็นเจ้าจริงๆ… ทำไมครานี้เจ้าจึงมาที่นี่”
“ท่านมิได้ยินที่ข้าพูดเมื่อกี้รึ” ซูหยางตอบอย่างเยือกเย็น
“ฮึ่ม ยังคงหยาบคายเหมือนเดิม” ผู้อาวุโสเจ้าแค่นเสียงเย็นชา
DC บทที่ 231: ทดสอบน้ำมันรัญจวน
“รากวิญญาณหยิน ขิงผลึก น้ำตากิ้งก่าคราม…” ผู้อาวุโสเจ้าอ่านรายละเอียดในรายการของซูหยาง ซึ่งมีอยู่ประมาณสามสิบชนิดซึ่งจำเป็นในการผลิตน้ำมันรัญจวน และถึงแม้ว่าไม่มีวัตถุในรายการที่จำเป็นนั้นที่จัดว่าหายาก พวกมันก็ยังถือว่าเป็นวัตถุดิบทั่วไปที่ใช้ในการปรุงยา
หลังจากอ่านรายการวัตถุดิบแล้ว ผู้อาวุโสเจ้าก็หันไปหาซูหยางพร้อมเลิกคิ้ว สายตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัย “วัตถุดิบพวกนี้…เจ้ากำลังจะปรุงยาหรือทำอะไร ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เจ้ากลายเป็นนักปรุงยา” เขาถามด้วยความสนใจเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อกล่าวถึงซูหยาง ผู้อาวุโสเจ้าพบว่าเขาเป็นคนที่ลึกลับคาดเดาไม่ได้ ซึ่งทำให้ผู้อาวุโสเจ้ายิ่งต้องการที่จะศึกษาเกี่ยวกับซูหยางมากยิ่งขึ้น
“เพียงแค่การทดลองบางอย่างมิควรค่าแก่การใส่ใจ ว่าแต่นั่นต้องใช้แต้มนิกายมากเท่าไหร่ที่จะซื้อพวกมันทั้งหมด” ซูหยางหลีกเลี่ยงคำถามอย่างผ่านๆและถามกลับอีกฝ่าย
“อืมม…” ผู้อาวุโสเจ้ามองดูเขาด้วยความสงสัยก่อนที่จะหันกลับไปยังรายการด้วยท่าทางครุ่นคิด
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะเพื่อทำการคำนวณ ผู้อาวุโสเจ้าก็กล่าวขึ้นว่า “มันมีราคาประมาณสองพันแต้มนิกาย”
“สองพันรึ..”
แม้ว่ามันจะดูด้อยค่าเมื่อเปรียบเทียบกับดอกหยางพิสุทธิ์ที่เขาต้องใช้ถึงหนึ่งหมื่นแต้มนิกาย มันก็ยังค่อนข้างแพง
“ข้าเข้าใจ” ซูหยางพยักหน้าและเขากล่าวต่อว่า “เช่นนั้นจะได้แต้มนิกายเท่าไหร่ถ้าขายสิ่งนี้ให้กับคลังมุกพิสุทธิ์”
ซูหยางนำเอาขวดน้ำมันรัญจวนออกมาและวางมันลงบนโต๊ะตรงหน้าผู้อาวุโสเจ้าซึ่งหยิบมันขึ้นมาและมองดูด้วยสายตามึนงง
“นี่ใช้ทำอะไร มันใสไม่มีสีเหมือนกับน้ำแต่ดูเหมือนจะข้นกว่าเล็กน้อย…” ผู้อาวุโสเจ้ากล่าวขณะที่เขาเอียงขวดไปมาเพื่อตรวจสอบของเหลวที่อยู่ภายใน
“ยิ่งไปกว่านั้น กลิ่นของมัน…ค่อนข้างเข้มข้นและน่าหลงไหล…”
ซูหยางยิ้มเมื่อผู้อาวุโสเจ้าเริ่มทำท่าทางเหมือนเป็นผู้เชี่ยวชาญในทันใด
“มันเรียกว่าน้ำมันรัญจวน และมันสามารถเพิ่มความแกร่งปราณหยินของผู้หญิงถ้าลูบไล้มันลงบนร่างของพวกเธอ” เขออธิบายคุณสมบัติหลัก
“ว่ากระไรนะ” ผู้อาวุโสเจ้าดวงตาเบิ่งกว้างด้วยความตระหนก และเขาพลันหยุดเล่นกับขวดแก้ว
หลังจากที่เงียบไปชั่วขณะเนื่องจากความตระหนก ผู้อาวุโสเจ้าก็ขมวดคิ้วและกล่าวด้วยท่าทางจริงจัง “ถ้าน้ำมันรัญจวนนี่มีค่าดังที่เจ้ากล่าว เช่นนั้นเจ้าคงมิถือถ้าข้าจะทดสอบมันก่อนเป็นอันดับแรกใช่ไหม ถ้าข้าพบว่าเจ้ากล่าวเพียงวาจาลมลวง เช่นนั้นข้าจักลงโทษเจ้าด้วยตนเอง มีอะไรจะพูดหรือไม่”
ผู้อาวุโสเจ้าต้องการที่จะให้โอกาสซูหยางอย่างใสสะอาดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่เขาจะทดสอบน้ำมันรัญจวน
“ทำได้เลย” ซูหยางตอบกลับด้วยรอยยิ้มมั่นใจบนใบหน้านิ่งเรียบ
ผู้อาวุโสเจ้าจ้องมองซูหยางด้วยดวงตาหรี่แคบอย่างเงียบๆสองสามวินาทีก่อนที่จะตะโกนว่า “ศิษย์ซุน ออกมานี่หน่อย”
หลังจากนั้นชั่วอึดใจหลังจากผู้อาวุโสเจ้าเรียกศิษย์คนนี้ ร่างแบบบางก็ปรากฏขึ้นที่ประตูสองสามเมตรห่างออกไป
“มีอะไรรึ ท่านผู้อาวุโสเจ้า” ศิษย์คนนั้นถามยามเมื่อเธอปรากฏตัว
เมื่อซูหยางมองเห็นใบหน้าคุ้นเคยของศิษย์นั้น เขาก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
“หือ นั่นเจ้า” ศิษย์นั้นก็ดูเหมือนว่าจะจำซูหยางได้
“ไม่เจอกันพักหนึ่งแล้วนะ หลานสาวผู้อาวุโสซุน” ซูหยางพูดพร้อมรอยยิ้ม
“ข้ามีชื่ออยู่ เจ้ารู้ไหม ซุนจิงจิง” เธอตอบกลับพร้อมขมวดคิ้ว
ใช่แล้ว ศิษย์ที่ผู้อาวุโสเจ้าเรียกก็คือซุนจิงจิง หลานสาวของผู้อาวุโสซุน ผู้ซึ่งทำให้เขาเดินทางไปยังสุสานเซียนจนทำให้เขาพบกับเซียวลี่พร้อมกับเหตุการณ์อื่นๆ
“ซุนจิงจิง เช่นนั้นรึ” ซูหยางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะหึ เมื่อเขาได้ยินชื่อเธอ ซึ่งทำให้เขานึกไปถึงวูจิงจิง ศิษย์หลักของสำนักเทพกระบี่จากทวีปศักดิ์สิทธิ์กลาง
“มีอะไรน่าหัวเราะกับชื่อของข้ารึ” เธอถามเขาซึ่งหัวเราะขึ้นมาเมื่อเธอแนะนำตัว
“มันทำให้ข้านึกถึงใครบางคนที่ข้ารู้จักเท่านั้นเอง”
“พวกเจ้าทั้งสองรู้จักกันรึ” ผู้อาวุโสเจ้าเลิกคิ้วไปยังซุนจิงจิง
ซุนจิงจิงมีความสัมพันธ์อะไรกับคนอย่างซูหยาง ปู่ของเธอ ผู้อาวุโสซุน รู้เรื่องนี้หรือไม่
“คงมิอาจพูดได้ตรงๆว่าพวกเรารู้จักกัน ในเมื่อพวกเราเพียงแค่พบปะกันหนึ่งครั้ง และนั่นก็เพียงแค่ไม่กี่นาที” ซุนจิงจิงตอบ
“อย่างนั้นรึ…” ผู้อาวุโสเจ้ารู้สึกโล่งอกด้วยเหตุผลบางประการ ในเมื่อเขามั่นใจว่าผู้อาวุโสซุนคงต้องสร้างความปั่นป่วนถ้าพวกเขามีอะไรมากไปกว่านั้น
“ว่าแต่ทำไมท่านจึงเรียกหาข้า ผู้อาวุโสเจ้า ข้าเพิ่งจัดห้องเสร็จ” เธอถามเขา
“โอ ใช่แล้ว” ผู้อาวุโสเจ้าสุดท้ายก็นึกได้ และเขาแสดงขวดแก้วในมือเขาให้กับเธอ “ข้าต้องการให้เจ้าช่วยดูสิ่งนี้หน่อย”
“ซุนจิงจิงเลิกคิ้วเมื่อจมูกเธอพลันได้กลิ่นหอมหวานมาจากขวดแก้วนั้นโดยบังเอิญ
“นี่คืออะไร กลิ่นมันช่างดีจัง…”
“ของเหลวนี้เรียกว่าน้ำมันรัญจวน และมีคุณสมบัติที่สามารถเพิ่มพูนปราณหยินของหญิง ตามที่ชายหนุ่มตรงนี้บอกไว้”
ผู้อาวุโสเจ้าพูดด้วยเสียงกึ่งเสียดสี เห็นชัดว่าเขายังคงพูดตามที่ซูหยางกล่าวไว้อย่างห้วนๆ
“อย่างนั้นรึ…” ซุนจิงจิงตรวจสอบของเหลวนั้นด้วยสายตาเป็นประกายด้วยความสนใจ
แม้ว่าเธอไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอก็ไม่ได้มองข้ามคำพูดของซูหยางในทันทีไม่ว่ามันจะฟังดูไร้สาระก็ตาม ว่าไปแล้วสิ่งที่เขาทำที่อาคารควบคุมกฏได้สร้างความประทับใจลึกล้ำให้กับเธอ
และความรู้ของเขาในภาษาศักดิ์สิทธิ์ที่เขียนไว้ในแผ่นกระดาษที่เธอได้นำกลับมาจากสุสานเซียน ไม่เพียงทำให้เธอประหลาดใจ แต่กระทั่งกดดันปู่ของเธอ ผู้อาวุโสซุน ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นคนที่มีความรู้มากที่สุดคนหนึ่งภายในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย พิสูจน์ให้เห็นว่าซูหยางเป็นคนที่ไม่อาจดูหมิ่นหรือมองข้ามไปได้ง่ายๆ อย่างน้อยนี่ก็เป็นสิ่งที่ซุนจิงจิงคิดเกี่ยวกับเขาหลังจากที่เธอประทับใจเขาในครั้งแรก
“ท่านต้องการให้ข้าใช้น้ำมันนี้กับตัวข้าเองรึ” ซุนจิงจิงสามารถคาดเดาเจตนาของผู้อาวุโสเจ้าได้
“ใช่…ถ้าเจ้ามิถือ” ผู้อาวุโสเจ้าไม่ต้องการที่จะบีบบังคับเธอทำสิ่งที่เธอไม่ต้องการทำ ในเมื่อเธอเป็นหลานสาวของผู้ที่ได้รับความนับถืออย่างสูง ผู้อาวุโสซุน
หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วขณะ ซุนจิงจิงก็พยักหน้า “เช่นนั้นก็ดี ข้าจักทำตามนั้น”
DC บทที่ 232: พนันกับผู้อาวุโสเจ้า
หลังจากตกลงที่จะทดสอบน้ำมันรัญจวนกับตนเองแล้ว ซุนจิงจิงก็หยิบขวดแก้วและกลับไปยังอีกห้อง
แต่ก่อนที่เธอจะจากไป เธอก็ถามซูหยางว่า “ข้าต้องใช้มากเท่าไหร่จึงจะเกิดผล”
“เจ้าจักเห็นผลมันทันทีถ้าเจ้าใช้น้ำมันลูบบนส่วนที่ไวต่อความรู้สึกที่สุดเพียงไม่กี่หยด และแน่นอนว่ายิ่งเจ้าใช้มากเท่าไหร่ ประสิทธิภาพของมันก็ยิ่งมากเท่านั้น” เขาตอบ
ภายในอีกห้องนั้นซุนจิงจิงจุ่มนิ้วลงไปในน้ำมัน คลายชุดคลุมแล้วเริ่มลูบไล้น้องสาวของเธอด้วยน้ำมันรัญจวน
แม้ว่าเธอไม่เคยคิดว่าเธอจะทำอะไรเช่นนี้ในคลังมุกพิสุทธิ์ ซุนจิงจิงก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับเรื่องนี้ในเมื่อสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้มักเกิดขึ้นได้เสมอ
ว่าไปแล้วยามเมื่อเธอพยายามกลับไปยังสุสานเซียนเมื่อสองสามวันก่อนหลังจากพบกับซูหยาง สุสานเซียนไม่เพียงแค่ปิดลงแต่ยังคงหายไปอย่างสิ้นเชิง ราวกับว่ามันไม่เคยปรากฏขึ้นมาตั้งแต่แรก
การเดินทางกลับไปยังสุสานเซียนไม่เพียงแต่ทำให้เธอเสียเวลาแต่ยังคงสอนเธอว่า แม้บางสิ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ยากมากเพียงใดก็ตาม แต่มันก็ไม่ถึงกับไม่มีทางเป็นไปได้
หลังจากที่ลูบไล้น้ำมันรัญจวนไปบางส่วนบนกลีบสาวอย่างเบามือแล้ว ซุนจิงจิงก็สามารถรับรู้ได้ว่าร่างกายของเธอรุมเร้าไปด้วยความปรารถนาที่จะร่วมคู่
“น-นี่ช่างสุดยอด” เธอคิดในใจขณะที่เธอเริ่มเล่นกับช่องพรหมจรรย์ของตนเอง
เพราะว่าซุนจิงจิงเข้าร่วมกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยในฐานะศิษย์ในโดยผู้อาวุโสซุนมีบทบาทเกี่ยวข้อง เธอเป็นศิษย์เพียงคนเดียวในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่เป็นศิษย์ในโดยยังมีแก่นหยินพิสุทธิ์สมบูรณ์
และด้วยความจริงที่ว่าซุนจิงจิงยังคงเป็นสาวบริสุทธิ์แม้ว่าจะเป็นศิษย์ในทำให้เธอเป็นที่หมายปองของศิษย์ชายทุกคนภายในเขตศิษย์ในถึงที่สุด กระทั่งศิษย์หลักเกือบทุกคนก็พยายามเกี้ยวพาราสีเธอ อย่างไรก็ตามเพราะว่าเธอเพียงเข้าร่วมนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเพราะว่าปู่ของเธอ ผู้อาวุโสซุน ซุนจิงจิงจึงปฏิเสธพวกเขาทุกคนและยังคงความบริสุทธิ์ไว้จนกระทั่งถึงวันนี้
กล่าวไปแล้วไม่ได้หมายความว่าซุนจิงจิงต้องการเป็นสาวบริสุทธิ์ตลอดไป ในเมื่อเธอก็ยังคงต้องการอยากมีคู่ในสักวัน อย่างไรก็ตามเพราะว่าตัวตนของเธอ ความปรารถนาจึงถูกเก็บซ่อนไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับเป็นเรื่องท้าทายหากจะหาใครสักคนที่ทำให้เธอค่อนข้างประทับใจ
ในเวลาเดียวกัน ขณะที่ซุนจิงจิงกำลังทดสอบน้ำมันรัญจวนกับตัวเอง ผู้อาวุโสเจ้าก็พยายามที่จะหาข้อมูลเกี่ยวกับน้ำมันรัญจวนจากซูหยาง “ว่าไปแล้วเจ้าได้สิ่งนั้นมาจากไหนกัน หรือว่าเจ้าซื้อมาจากใครสักคน”
“ใครจะรู้ว่ามันมาจากไหน ข้าเองก็ไม่รู้” ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวต่อว่า “มันปรากฏขึ้นข้างหมอนข้าเมื่อข้าตื่นขึ้นมาในวันหนึ่ง”
ผู้อาวุโสเจ้าขมวดคิ้วและคำราม “เจ้าคิดว่าข้าจักเชื่อเรื่องไร้สาระอย่างนี้รึ”
ซูหยางเพียงแค่ยักไหล่ ต่อให้ผู้อาวุโสเจ้าต้องการซ้อมเพื่อหาคำตอบจากเขา นิกายก็มีกฏห้ามผู้อาวุโสนิกายถือโอกาสเอารัดเอาเปรียบเหล่าศิษย์ ถ้าพบว่าผู้อาวุโสนิกายใช้สถานะของตนเองกดดันหรือบีบบังคับศิษย์ให้เปิดเผยความลับของตนเองหรือมอบทรัพย์สินให้ ผู้อาวุโสนั้นจะถูกลงโทษในทันทีจากผู้นำนิกาย
“ถ้าเจ้ามิต้องการบอกข้า ก็แค่พูดออกมา” ผู้อาวุโสเจ้าส่ายหน้าพร้อมถอนใจ
ที่แห่งนั้นพลันเงียบสงัดหลังจากนั้น และดำเนินต่อไปอย่างนั้นอีกหลายนาที
“ต้องใช้เวลาเท่าไหร่ในการทดสอบน้ำมัน” ผู้อาวุโสเจ้าเริ่มหมดความอดทนหลังจากที่ซุนจิงจิงเข้าไปในอีกห้องกว่าครึ่งชั่วโมงโดยไม่ออกมา
“ท่านมิควรเร่งสตรีในเวลาของเรื่องแบบนี้” ซูหยางกล่าวพร้อมรอยยิ้มใจเย็น
“ฮึ่ม เจ้ารู้อะไร เร็วไปร้อยปีที่จะมาสั่งสอนข้าในเรื่องแบบนี้” ผู้อาวุโสเจ้าจิกกัด
เขาเป็นส่วนหนึ่งของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยมานานกว่าร้อยปีและได้ร่วมฝึกคู่กับศิษย์มากมายยามเมื่อเขายังอยู่ในวัยรุ่งโรจน์ ในใจของเขา ซูหยางยังอ่อนเกินไปที่จะพูดเรื่องหญิงสาวเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา
“ท่านมั่นใจเรื่องนี้รึ” ซูหยางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะกับความโฉดเขลาของอีกฝ่าย
ผู้อาวุโสเจ้าขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ถึงแม้ว่ากลเม็ดของเจ้าอาจจะสร้างความพึงพอใจให้กับศิษย์นอก สำหรับผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงเช่นบรรดาผู้อาวุโสนิกายจักมิรู้สึกอะไรถ้าเจ้าใช้มันกับพวกเธอ”
ผู้อาวุโสเจ้ารู้ดีว่าซูหยางค่อนข้างเป็นที่นิยมกับฝีมือการนวดในระดับหนึ่ง แต่ในสายตาของเขา นั่นเป็นเพียงเพราะว่าลูกค้าของเขาล้วนเป็นศิษย์นอก
“โห ท่านสนใจพนันเรื่องนี้ไหมล่ะ” ซูหยางถามเขาพร้อมหรี่ตา
“เจ้าต้องการพนันกับข้ารึ” ผู้อาวุโสเจ้าหัวเราะลั่นแม้จะเห็นว่าซูหยางช่างไร้มารยาทกระทั่งคิดเรื่องแบบนี้ออกมา
“ถูกต้องแล้ว” ซูหยางพยักหน้า “ในเมื่อฟังดูเหมือนกับว่าท่านค่อนข้างมั่นใจเมื่อพูดถึงว่ากลเม็ดของข้าจักมิได้ผลกับบรรดาผู้อาวุโสนิกาย เช่นนั้นท่านต้องมั่นใจว่าจะชนะพนันนี้”
“ช่างน่าสนใจ…” ผู้อาวุโสเจ้ามองดูเขาด้วยท่าทางครุ่นคิด
เพราะว่าเขาไม่สามารถหาอะไรมาสร้างความบันเทิงให้กับตนเอง ผู้อาวุโสเจ้าจึงปกติหลับเพื่อหลีกเลี่ยงความเบื่อหน่าย อย่างไรก็ตามตอนนี้มีบางสิ่งที่กระตุ้นความสนใจของเขาปรากฏขึ้น จึงไม่มีเหตุผลที่เขาจะบอกปัดการพนันเล็กน้อยกับซูหยาง
“มีเงื่อนไขอะไรบ้าง” เขาถามซูหยาง
“จริงแล้วนั่นง่ายดายยิ่ง ท่านเพียงหาผู้อาวุโสนิกายสามคนที่ยินดีสละเวลามาร่วมการเดิมพันของเรา ซึ่งข้าจะใช้กลเม็ดของข้ากับพวกเธอ ถ้าข้ามิสามารถสร้างความพึงใจให้กับผู้อาวุโสทั้งสามคนได้ เช่นนั้นถือว่าท่านชนะ”
“ฮึ่ม นั่นมิมีความท้าทายสำหรับข้าแม้แต่น้อย” ผู้อาวุโสเจ้าแค่นเสียงอย่างหยิ่งยะโส
“หนึ่งคน ถ้าเจ้าสามารถสร้างความพึงใจเพียงหนึ่งคน ข้าจักถือว่าข้าแพ้” ผู้อาวุโสเจ้าให้โอกาสซูหยางสามครั้งในการสร้างความพึงใจอย่างน้อยหนึ่งในพวกเธอด้วยกลเม็ดของเขา บางสิ่งที่ซูหยางสามารถทำได้แม้กระทั่งหลับตาและมัดมือไว้
“เช่นนั้นก็ได้” ซูหยางไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธความเอื้อเฟื้อของผู้อาวุโสเจ้าที่เหมือนกับตัดขาตนเองเมื่ออยู่บนเขียงเรียบร้อยแล้ว
DC บทที่ 233: ขายน้ำมันรัญจวน
“ในเมื่อตอนนี้เรามีเงื่อนไขต่างๆแล้ว พวกเราจะพนันด้วยอะไร” ผู้อาวุโสเจ้าถามเขา
“ถ้าข้ามิสามารถสร้างความพึงใจให้กับผู้อาวุโสนิกายได้แม้สักคน เช่นนั้นข้าก็สมควรสูญเสียทุกอย่างที่ข้ามี ถ้าข้าแพ้ข้ายินดีทำทุกอย่างที่ท่านต้องการ” ซูหยางกล่าวกับเขาด้วยท่าทางเยือกเย็น
“ช่างยะโสนัก…” ผู้อาวุโสเจ้าหรี่ตามองดูซูหยาง ผู้ซึ่งดูเหมือนมั่นใจว่าเขาไม่คิดว่าตนเองจะแพ้
“เอาอย่างนี้ ถ้าเจ้าแพ้ เจ้าจักบอกข้าว่าเจ้าได้น้ำมันรัญจวนนี้มาจากไหน” ผู้อาวุโสเจ้าไม่ต้องการที่จะรังแกซูหยางมากเกินไป เพราะว่าเขาเป็นคนที่ถือหน้าตาเป็นสำคัญ
“เช่นนั้นก็ได้” ซูหยางพยักหน้า
“ถ้าข้าแพ้…มาดูกันว่า… ข้าจักยอมให้เจ้าหยิบของสิ่งหนึ่งจากคลังมุกพิสุทธิ์นี้ตราบเท่าที่มันมีเก็บไว้” ผู้อาวุโสเจ้ากล่าว
แม้ว่าคลังมุกพิสุทธิ์จะมีกระทั่งสมบัติและวัตถุดิบที่มีค่ามากที่สุด ผู้อาวุโสเจ้าก็มั่นใจว่าเขาไม่พ่ายแพ้ให้กับซูหยางในการเดิมพันนี้ ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงไม่ลังเลที่จะพนันด้วยเดิมพันที่สูงเมื่อเปรียบเทียบกับเดิมพันที่ดูเหมือนต่ำของซูหยาง
รอยยิ้มลึกลับแย้มขึ้นบนใบหน้าซูหยางเมื่อเขาได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสเจ้า เขาสามารถหยิบของได้ชิ้นหนึ่งจากคลังมุกพิสุทธิ์เชียวรึ นั่นมากเกินกว่าที่เขาจะร้องขอด้วยซ้ำ
ตามจริง ซูหยางเพียงต้องการที่จะขอแต้มนิกายสักเล็กน้อย แต่อนิจจาผู้อาวุโสเจ้าขุดหลุมฝังตัวเองขึ้นมาอีกหลุมโดยไม่รู้ตัว ซึ่งคงต้องหลั่งน้ำตาหลังจากนั้น
“เช่นนั้นก็ได้ เช่นนั้นข้าจักรอจนกว่าท่านจะหาผู้อาวุโสนิกายสามคนหลังจากนี้” ซูหยางพยักหน้าอย่างแข็งขัน
“ในเวลานี้ทำไมท่านมิให้ข้าดูรายการสิ่งของที่มีทั้งหมดในคลังมุกพิสุทธิ์ ข้าอยากเห็นว่าจะมีอะไรมีค่าพอให้หยิบฉวยไปหลังข้าชนะ” เขากล่าวต่อ
ผู้อาวุโสเจ้าหน้าง้ำและพูดด้วยเสียงเคร่งเครียดว่า “อย่าโอหังเกินไปนัก เจ้าสามารถดูได้หลังจากที่เจ้าชนะเท่านั้น ถ้าเจ้าชนะล่ะนะ”
หลังจากนั้นสองสามนาทีหลังจากซูหยางและผู้อาวุโสเจ้าได้พนันกันแล้ว ประตูก็เปิดออกและซุนจิงจิงก็เดินออกมาจากห้องด้วยใบหน้าแดงเหมือนแอปเปิ้ล อีกทั้งสามารถเห็นความเอียงอายบนท่าทางของเธอ
“ศิษย์ซุน…” ผู้อาวุโสเจ้ามองดูเธอด้วยดวงตากลมโต เกิดอะไรขึ้นบนโลกใบนี้ด้านหลังนั่น เธอดูเหมือนหมดเรี่ยวแรง เหมือนกับว่าเธอกระตือรือล้นในการทดสอบยามอยู่ด้านหลังนั่น
“ข้าขอโทษ ผู้อาวุโสเจ้า” ซุนจิงจิงพลันกล่าวกับเขาด้วยท่าทางเสียใจ
คิดว่าเธอเสียใจกับเวลาที่เธอใช้ไปกว่าจะสำเร็จ ผู้อาวุโสเจ้าส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “มิเป็นไร มิได้นานขนาดนั้น”
“มิใช่…ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น…” ซุนจิงจิงยื่นส่งน้ำมันรัญจวนออกมาด้านหน้าและกล่าวว่า “ข้า…ข้าช่วยตัวเองและใช้มากเกินกว่าที่ข้าควรจะใช้…”
เมื่อผู้อาวุโสเจ้ามองเห็นว่าเกินกว่าหนึ่งในสามของน้ำมันรัญจวนในขวดแก้วหายไป กรามของเขาก็ร่วงลงพื้น
“น-น-นี่…” ผู้อาวุโสเจ้าไร้คำพูด แต่เขายังคงต้องการที่จะรู้ผลลัพธ์ “ผ-ผลลัพธ์เป็นอย่างไร” เขาถามเธอ
“มันได้ผล..ดีเป็นอันมาก…” ซุนจิงจิงกล่าวด้วยท่าทางเอียงอาย บางสิ่งที่ผู้อาวุโสเจ้าไม่เคยเห็นจากเธอมาก่อน
“ถ้าให้ข้าเปรียบเทียบมันกับโอสถหยินพ้นพิสัย เช่นนั้นมันควรมีประสิทธิภาพมากกว่าสามเท่าเป็นอย่างน้อย…” ซุนจิงจิงกล่าวต่อ
“โอ้พระเจ้า…ประสิทธิภาพมากกว่าสามเท่า” ผู้อาวุโสเจ้าไร้คำพูดและงงงันอย่างแท้จริงในตอนนี้ เขาค่อยหันไปหาซูหยางและคิดภายในใจ “ข้าต้องรู้ให้ได้ว่าเขาได้นำมันรัญจวนมาจากไหนในตอนนี้”
“ในเมื่อตอนนี้ท่านรู้ว่ามันใช้ได้ผล ท่านต้องการซื้อมันจากข้าหรือไม่” ซูหยางถามเขาพร้อมรอยยิ้มกริ่ม
ต่อให้ผู้อาวุโสเจ้าไม่อยากที่จะยอมรับ แต่เขาก็ต้องการน้ำมันรัญจวนนี้มาศึกษา แต่ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ เขาต้องแสดงให้ผู้นำนิกายเห็นก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรด้วยตนเอง ในเมื่อการค้นพบใหม่นี้สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอย่างมหาศาล
“เจ้าต้องการแต้มนิกายมากเท่าไหร่” ผู้อาวุโสเจ้าถามเขาด้วยท่าทางยอมแพ้
“ข้าต้องการสามพันแต้มนิกายสำหรับสิ่งนี้” ซูหยางกล่าวด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ
“สาม–” ผู้อาวุโสเจ้าเกือบต่อยหน้าซูหยางที่ขอมากเกินไปกับน้ำมันเช่นนั้น
“มีอะไรผิดไปรึ ท่านมิสามารถซื้ออะไรได้ด้วยการจ่ายเพียงสามพันแต้มนิกายกับสิ่งที่มีประสิทธิภาพสามเท่าของโอสถหยินพ้นพิสัย” ซูหยางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“เจ้า—” ผู้อาวุโสเจ้าสูดลมหายใจลึกอย่างยากลำบากเพื่อทำให้ตนเองใจเย็นลงและกล่าวว่า “มันอาจจะมีค่าถึงสามพันแต้มนิกายถ้ามันมีเต็มขวด แต่เจ้าก็เห็นว่านั่นมีเหลือเพียงสองในสาม”
แม้ว่าผู้อาวุโสเจ้าจะรู้แน่แก่ใจว่านั่นไม่ใช่ความผิดของซูหยาง เขายังคงต้องการที่จะก่อกวนอีกฝ่ายสักเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะต้องยอมเสียหน้าบ้างเพื่อที่จะทำเช่นนั้น
แน่นอนว่าซูหยางก็เลิกคิ้วขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ เขาไม่อยากเชื่อว่าตนเองจะได้ยินอะไรเช่นนั้น
“ทำไมนั่นจึงต้องเป็นปัญหาข้า ถ้าเป็นเช่นนี้ ทำไมท่านมิใช้มันให้หมดขวดไปเลยก่อนที่จะซื้อมันไปจากข้าโดยไม่ต้องจ่ายอะไร” ซูหยางกล่าวกับอีกฝ่าย
“ผู้อาวุโสเจ้า…เขาพูดถูก…ทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นความผิดของข้าที่ทำให้เหลือเพียงสองในสาม” ซุนจิงจิงพยายามที่จะหาเหตุผลให้เขา
“เอาเป็นว่า ให้ข้าจ่ายสำหรับที่ข้าได้ใช้ไป” ด้วยรู้สึกผิดกับสถานการณ์ ซุนจิงจิงเสนอจ่ายพันแต้มจากทั้งหมดสามพันแต้มนิกาย
ผู้อาวุโสเจ้ามองดูเธอและส่ายหน้า “ลืมไปเสียเถอะ คลังมุกพิสุทธิ์จะซื้อมันด้วยราคาสามพัน”
“เจ้าควรคิดเสียว่าการใช้น้ำมันรัญจวนถือเป็นรางวัลที่ได้ช่วยเหลือข้าดูแลสถานที่นี้ตลอดมา”
“ผู้อาวุโสเจ้า…ขอบคุณ” ซุนจิงจิงโค้งคำนับเขาเพื่อแสดงความขอบคุณ
หลังจากนั้นผู้อาวุโสซุนก็หันไปยังซูหยางและกล่าวว่า “ขอป้ายประจำตัวเจ้าและข้าจักได้ถ่ายโอนแต้มให้”
ซูหยางยิ้มและยื่นส่งป้ายประจำตัวให้อีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น