Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน 200-226

ตอนที่ 200

 

การตายของหวังหมิง

ภายใต้ฟ้ายามค่ำคืนในค่ายกลป้องกันเสียง ซูหยางทรมานหวังหมิงนานกว่าสองชั่วโมงโดยไม่หยุดพัก ทำราวกับว่าอีกฝ่ายอยู่ในขุมนรก ซูหยางย่อมไม่มีความเห็นใจกับคนดังเช่นหวังหมิง ซึ่งไม่เคยสนใจความรู้สึกของผู้อื่นเพื่อความปรารถนาลามกของตนเอง


 


“นี่ช่างน่าเบื่อ” ซูหยางกล่าว ไม่แม้จะกระพริบตาจากการได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนของหวังหมิงหรือสนใจกับท่าทางเจ็บปวดของอีกฝ่าย


 


“….”


 


หวังหมิงสิ้นเสียงไปนานแล้วจากการกรีดร้องมากเกินไป ดวงตาของเขาเหลือกขาวโดยไม่เห็นลูกตาดำ ร่างกายของเขาสั่นกระตุกเหมือนแมลงที่ถูกบี้ และมีฟองน้ำลายออกมาจากปาก


 


และแม้ว่าหัวใจของเขายังคงเต้น อาจถึอได้ว่าหวังหมิงได้ตายไปแล้วจากสภาพของเขาในตอนนี้ อย่างไรก็ตามสิ่งที่สร้างความเจ็บปวดให้กับหวังหมิงมากที่สุดทั้งหมดนี้ก็คือ การที่ซูหยางไม่ได้หยุดหลังจากที่ทำลายลูกบอลสองลูกและยิ่งไปกว่านั้นคือการเฉือนทิ้งแท่งของเขา ทำลายความเป็นชายอย่างสมบูรณ์ ทั้งยังหัวเราะให้กับเขากับขนาดที่เล็กจ้อยหลังจากนั้น


 


“หืม” ซูหยางเลิกคิ้วเมื่อสังเกตเห็นว่าหัวใจของหวังหมิงได้หยุดเต้นสองสามอึดใจหลังจากนั้น


 


“ไอ้ย่า…แม้ว่าข้าได้พูดว่าข้ามิฆ่าเจ้า…ช่างน่าละอาย…” ซูหยางมองไปยังร่างไร้ชีวิตของหวังหมิงโดยไร้แววความรู้สึกในดวงตา เหมือนกับว่าเขาไม่ได้เห็นความเป็นมนุษย์จากร่างของหวังหมิงแต่เป็นเพียงแค่กองขยะเท่านั้น


 


สองสามวินาทีต่อจากนั้นซูหยางก็โบกชายเสื้อเพียงเล็กน้อย และไฟปรุงยาดวงเล็กก็ถูกเหวี่ยงลงไปบนร่างของหวังหมิง กลืนกินศพของเขาอย่างรวดเร็ว


 


หลังจากนั้นไม่นานสิ่งที่หลงเหลืออยู่ของหวังหมิงก็คือเถ้าจากร่างของเขา


 


ครั้นเมื่อตัวตนของหวังหมิงถูกลบหายไปจากโลกนี้อย่างสมบูรณ์ ซูหยางก็ถอนค่ายกลและเดินอย่างสบายๆกลับไปยังบ้านของจางซิวยิง ราวกับว่าสองชั่วโมงที่ผ่านมาไม่เคยเกิดเรื่องอะไรขึ้น


 


“ซูหยาง…” จางซิวยิงผู้ซึ่งหลับอยู่ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ลืมตาขึ้นช้าๆเมื่อซูหยางเข้าไปในห้อง


 


“ข้ามีปัญหาการนอนหลับดังนั้นข้าจึงออกไปเดินเล่น” เขาพูดด้วยเสียงนุ่มนวล


 


จางซิวยิงไม่ได้สังเกตเห็นว่าเขาออกไปจากห้องแม้แต่น้อย


 


“นั่นค่อนข้างอันตรายสำหรับท่านในการเตร็ดเตร่ไปทั่วนิกายในเวลานี้…ตามกฏนิกายท่านมิควรจะอยู่ที่นี่ตอนนี้ สุดท้าย…” เธอเตือนเขา


 


“มิมีใครสังเกตเห็นข้า ดังนั้นข้ายังคงสบายดี” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาขึ้นไปบนเตียงที่จางซิวยิงกำลังนอนอยู่ ไม่แม้จะพูดถึงเรื่องที่หวังหมิงจะจู่โจมเธอคืนนี้


 


ซูหยางไม่ได้ลบหวังหมิงไปเพราะว่าเขาต้องการทำให้จางซิวยิงพอใจ หรือว่าเขาคาดหวังรางวัลจากเธอเพราะการกระทำของเขา เขาทำเช่นนี้เพราะว่าเขาเกลียดผู้คนแบบนั้นและต้องการให้อีกฝ่ายสูญหายไปอย่างแท้จริง ดังนั้นในใจของเขาจึงไม่จำเป็นที่จะต้องบอกจางซิวยิงเกี่ยวกับหวังหมิงแม้แต่น้อย ซึ่งในที่สุดเธอก็จะต้องพบเห็นไม่ช้าก็เร็ว


 


สองสามวินาทีต่อมายามเมื่อเขาอยู่ภายใต้ผ้าห่ม ซูหยางก็โอบกอดร่างของจางซิวยิงซึ่งเปลือยเปล่าอยู่ภายใต้ หลับไหลไปพร้อมกับความอบอุ่นของอีกฝ่ายอย่างช้าๆ


 



 



 



 


ยามเช้าวันถัดมาซูหยางจากที่พักของจางซิวยิงแต่เช้าและกลับไปยังห้องของหวังชูเหรินเพื่อดูว่าเธอก้าวหน้าไปมากน้อยเพียงใดในชั่วข้ามคืน


 


“ข้าแปลกใจเหลือเกินที่ท่านมิถูกจับยามเดินไปทั่วนิกายหลังจากเที่ยงคืน ท่านไปไหนรึ ท่านได้ออกจากนิกายไปหรือเปล่า” หวังชูเหรินกล่าวกับเขาเมื่อเธอไม่ได้ยินว่ามีความวุ่นวายใดคืนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอคาดหวังไว้


 


“นี่เป็นความลับ” ซูหยางตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม


 


“อย่างไรก็ตามแสดงความก้าวหน้าของเจ้าซิ”


 


หวังชูเหรินนำเอาขวดออกมาสองขวดเมื่อได้ยินคำพูดของเขา แต่ละขวดบรรจุโอสถมังกรเพลิงไว้หนึ่งเม็ด


 


“ไม่เลวเมื่อพิจารณาว่าเจ้ามีเวลาเพียงหนึ่งคืน” ซูหยางพยักหน้าเล็กน้อยหลังจากที่ตรวจสอบเม็ดยา


 


“อย่างไรก็ตามเจ้ายังคงห่างจากสิ่งที่ข้าคิดไว้ในใจ”


 


“…” หวังชูเหรินจนวาจา แค่ไหนกันสำหรับศาสตร์แห่งการปรุงยาที่เธอต้องก้าวหน้าไปก่อนที่เธอจะได้ปรุงยานั่น หรือว่ายาที่เขาต้องการให้เธอปรุงนั้นเป็นยาระดับเซียน นั่นคงเป็นเหตุผลที่เขาไม่ต้องการเปิดเผยรายละเอียดของยาให้กับเธอ เพราะว่ามันจะทำให้เธอสูญเสียความมุ่งมั่น


 


“อย่ากังวลข้าจักอยู่ที่นี่เพื่ออบรมเจ้าจนกว่าเจ้าจะไปถึงจุดนั้น ซึ่งไม่ไกลมากนักต่อไปภายหน้า” ซูหยางกล่าวต่อ


 


“ท่านคิดว่ามันต้องใช้เวลาเท่าไหร่” หวังชูเหรินอดถามไม่ได้


 


“ก่อนอาทิตย์ตกดิน” เขาตอบด้วยรอยยิ้มมั่นใจ


 


“ร-เร็วปานนั้นเลยรึ” หวังชูเหรินงงงัน


 


ไม่นานนักยามเมื่อหวังชูเหรินเปลี่ยนชุดสกปรกออกไปแล้ว ซูหยางเริ่มอธิบายเธออีกครั้ง


 


อย่างไรก็ตามซูหยางไม่ได้เพียงแค่ยืนพูดในคราวนี้ เขาสอนเธอในขณะที่เธอปรุงยาไปด้วย ทำให้เธอได้รับวิชารวดเร็วกว่าเดิม


 


ทุกความผิดพลาดที่เกิดขึ้นซูหยางจะพบเห็นมันได้ทันทีและชี้มันออกมาให้เธอเปลี่ยนแปลง


 


และหลังจากที่ถูกสอนโดยซูหยางไม่กี่ชั่วโมง หวังชูเหรินอดไม่ได้ที่จะรู้สึกแย่ในฐานะผู้สอนเช่นกัน


 


แม้ว่าซูหยางดูเหมือนอธิบายเธออย่างง่ายๆ แต่นั่นกลับมีความแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวระหว่างพวกเขาในเรื่องของความสามารถที่จะส่งผลกระทบให้กับผู้ที่พวกเขาสอน และนั่นทำให้หวังชูเหรินรู้สึกละอายใจในการอยู่เคียงข้างเขาในฐานะผู้สอน


 


เธอรู้ว่าไม่ว่าจะใช้เวลามากมายเท่าไหร่ในฐานะผู้สอน เธอจะไม่มีวันที่จะลอกเลียนสิ่งที่ซูหยางทำให้กับศิษย์ของเธอได้


 


“มันยากที่จะเชื่อถือในใบหน้าอ่อนเยาว์ของท่าน ในเมื่อท่านเชี่ยวชาญหลายอย่างเช่นนี้… ข้ามิประหลาดใจเลยถ้าท่านกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการแปลงโฉมมาแต่โบราณ” เธอกล่าวกับเขาด้วยท่าทางอยากรู้


 


ซูหยางแสดงท่าทางลึกลับให้กับคำพูดของเธอและกล่าวว่า “เจ้าต้องถูกหลอกลวงที่จะอ้างอิงรูปร่างหน้าตาของผู้คนในยุทธภพ และนั่นเป็นหนึ่งในความเข้าใจผิดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุทธภพ”


 


“ข้าสามารถที่ใช้คำก่อนหน้านั้นมายืนยันกับตัวเองตอนนี้ได้หรือไม่ที่ว่าท่านเป็นชายชราที่แปลงกายมา” หวังชูเหรินมองดูเขาพร้อมหรี่ตา


 


“นำสิ่งที่เจ้าต้องการไปจากคำพูดของข้า แต่อย่างไรก็ตามร่างกายของข้านี้อายุเพียงสิบหกปีแน่นอน”


 


“หือ ท่านอายุเพียงสิบหกปีเองรึ” หวังชูเหรินมองดูเขาด้วยตากลมโตและกรามร่วงลงสู่พื้น ท่าทางของเธอเต็มไปด้วยความไม่เชื่อและตระหนก ราวกับว่าเธอมองดูภูตผี

 

 

 


ตอนที่ 201

 

เตรียมการปรุงโอสถแยกวิญญาณ

หวังชูเหรินไม่อยากเชื่อว่าซูหยางอายุเพียงสิบหกปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับความรู้ที่เขาแสดงให้เห็น ในเมื่อความรู้ที่กว้างขวางเช่นนั้นไม่ใช่บางสิ่งที่ผู้ที่มีอายุเพียงสิบหกปีจะมีได้ดังปรารถนา ไม่แม้กระทั่งผู้ที่เรียกได้ว่าอัจฉริยะ


 


“ข-ข้ามิเชื่อท่าน” หวังชูเหรินกล่าวขณะที่เธอดึงเอาบอลคริสตัลออกมาจากแหวนมิติ


 


“สิ่งนี้เรียกว่าคริสตัลอายุ มันจะส่องเข้าไปในกระดูกของคนเพื่อวัดอายุของคนคนนั้นด้วยความแม่นยำร้อยเปอร์เซนต์ ถ้าท่านอายุสิบหกปีจริงเช่นนั้นท่านมิต้องกังวลที่จะ—”


 


ก่อนที่หวังชูเหรินจะทันพูดจบประโยค ซูหยางก็ได้วางมือเขาไปบนบอลคริสตัลทำให้มันเปล่งแสงสีเขียวออกมาและตัวเลขสิบหกก็ปรากฏขึ้นภายในบอลในไม่กี่วินาทีถัดไป


 


“ป-ป-เป็นไปไมได้ ท่านอายุสิบหกปีจริงๆ” หวังชูเหรินรู้สึกมึนงงถึงที่สุดในเวลานั้น ทำไมซูหยางจึงมีอายุเพียงแค่สิบหกปีในเมื่อความรู้ของเขาในศาสตร์แห่งการปรุงยานั้นกว้างขวางดุจมหาสมุทร บางสิ่งที่กระทั่งผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์มากว่าหลายร้อยปีไม่อาจหวังที่จะก้าวไปถึงและได้แต่จ้องมองด้วยความอิจฉา มันไม่สมเหตุผลไม่ว่าเธอจะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากมายเพียงใด


 


อย่างไรก็ตามถ้าซูหยางคือเทพแห่งการปรุงยาที่กลับชาติมาเกิด เช่นนั้นบางทีนั่นอาจจะทำให้สิ่งที่เขาเป็นอยู่น่าเชื่อถือมากขึ้นในสายตาของหวังชูเหริน


 


“เลิกพูดเรื่องข้าได้แล้ว” ซูหยางพลันกล่าว “ตะวันเริ่มตกแล้ว ดังนั้นปรุงโอสถมังกรเพลิงอีกครั้งให้ข้าดู”


 


แม้ว่าเธอยังคงตื่นตระหนกเป็นอันมากกับสิ่งที่ค้นพบ หวังชูเหรินยังทุ่มเทความสนใจทั้งหมดไปกับโอสถมังกรเพลิง


 


หลังจากที่ได้รับการสั่งสอนจากซูหยางเกือบครึ่งวันโดยไม่หยุดพัก เธอมั่นใจว่าเธอสามารถปรุงยาในขณะละเมอได้ แต่เพราะว่าเธอต้องการแสดงให้ซูหยางเห็นถึงยาที่ดีที่สุด เธอจึงไม่กล้าที่จะออมสิ่งใดไว้นอกจากพยายามสุดความสามารถ


 


สองสามชั่วโมงหลังจากนั้น ขณะที่ดวงจันทร์ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า หวังชูเหรินก็นำเอาเม็ดยาออกมาจากเตาและยื่นส่งมันให้กับซูหยางด้วยรอยยิ้มสดใสบนใบหน้า


 


“เก้าสิบห้าเปอร์เซนต์คุณภาพสูง” ซูหยางพยักหน้าหลังจากที่ตรวจสอบเม็ดยา


 


เขาพลันหันไปยังหวังชูเหรินและกล่าวว่า “ไปพักก่อนเพื่อฟื้นฟูพลังของเจ้า เจ้าจักได้ปรุงยาหลังจากนั้น”


 


หวังชูเหรินพยักหน้าและไปเปลี่ยนเสื้อผ้า อีกทั้งพักผ่อนด้วยการอาบน้ำเล็กน้อย


 


ครั้นเมื่อเธอกลับมาที่ห้อง ซูหยางยื่นส่งตำรับยาโอสถแยกวิญญาณและวิธีการปรุงยาให้กับเธอ


 


“จดจำสิ่งนี้ไว้ก่อนที่เราจะเริ่ม” เขากล่าว


 


“โอสถแยกวิญญาณงั้นรึ ข้ามิเคยได้ยินยานี้มาก่อน…” หวังชูเหรินคิดในใจขณะที่เธออ่านรายละเอียด


 


“และมันยังต้องการสมุนไพรมากมายปานนี้…” หวังชูเหรินค่อนข้างตื่นตะลึงกับสมุนไพรในรายการ และมากกว่าหนึ่งในสามของมันเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน


 


“จ-จะเกิดอะไรขึ้นถ้าข้ามิสามารถปรุงยานี้” หวังชูเหรินถามเขาด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล เธอไม่รู้สึกมั่นใจในความสามารถของเธออีกต่อไปแม้ว่าแม้ว่าจะมีความก้าวหน้าในศาสตร์แห่งการปรุงยาของเธอ หลังจากที่เห็นโอสถแยกวิญญาณ


 


“เจ้ามิต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะว่าข้าจักปรุงยานี้ร่วมกับเจ้า” ซูหยางกล่าว


 


“ว่ากระไร” หวังชูเหรินมองดูเขาด้วยใบหน้าสับสน


 


เธอไม่เคยได้ยินถึงการที่มีคนสองคนปรุงยาเม็ดเดียวกันในเวลาเดียวกันมาก่อน


 


“เจ้าจักเข้าใจเมื่อเวลามาถึง ส่วนตอนนี้เพียงแค่ตั้งใจจดจำตำรับยาและบทบาทในการปรุงยาก็พอ”


 


“ถ้าท่านพูดเช่นนี้…” หวังชูเหรินไม่รบกวนเขาอีกต่อไปและเพียงตั้งใจศึกษาตำรับยา


 


ในเวลานั้นซูหยางก็เตรียมตัวในการปรุงยาเช่นกัน ในเมื่อเขาต้องมีส่วนร่วมรับมือกับอันตรายในขณะที่หวังชูเหรินปรุงยา


 


สองชั่วโมงต่อมายามเมื่อหวังชูเหรินเต็มไปด้วยพละกำลังแล้ว ซูหยางก็กล่าวกับเธอว่า “เจ้าจดจำตำรับยาทั้งหมดแล้วรึ”


 


หวังชูเหรินพยักหน้าด้วยท่าทางจริงจัง “ข้าสามารถกระทั่งท่องย้อนหลังได้”


 


ซูหยางจึงนั่งที่อีกด้านของเตาปรุงยาตรงข้ามหวังชูเหรินและพูดต่อว่า “ก่อนที่เราจะเริ่ม ข้าจักอธิบายบางอย่าง ระหว่างการปรุงยาข้าจักผสมเลือดของข้าเข้าไปในวัตถุดิบและวัตถุดิบอื่นอีกสองสามอย่าง ดังนั้นมันจึงจะยากในการควบคุมสำหรับเจ้า อย่างไรก็ตามเจ้ามิต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะว่าข้าจักช่วยเจ้าเมื่อเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น และข้ารู้ว่าเจ้ามิเคยปรุงยาในรูปแบบนี้มาก่อน ดังนั้นสิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือจดจ่ออยู่กับส่วนของเจ้า”


 


หนึ่งในเหตุผลสองสามอย่างที่ทำไมซูหยางจึงตัดสินใจไม่ปรุงโอสถแยกวิญญาณคนเดียวก็เพื่อที่จะทำให้ทำให้ยามีประสิทธิภาพสูงสุดบนตัวเขา โอสถแยกวิญญาณต้องการเลือดสดที่ได้มาจากร่างกายตรงๆขณะเดียวกันก็ต้องการเพิ่มพลังเลือดนั้นด้วยวิชาเฉพาะก่อนที่จะผสมมันเข้ากับวัตถุดิบอื่นในเตา และมันจะยุ่งยากมากแม้กระทั่งซูหยางที่จะควบคุมเตาปรุงยาได้อย่างต่อเนื่องในขณะที่ทำทุกสิ่งเหล่านั้นไปพร้อมกัน ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาจึงเสาะหาหวังชูเหรินมาเป็นผู้ช่วยปรุงยาของเขา


 


กล่าวไปแล้วก็เป็นไปได้ที่จะปรุงโอสถแยกวิญญาณโดยไม่ต้องใช้เลือดของเขา แต่ประสิทธิภาพของมันต่อร่างกายของเขาจะลดลงเป็นอย่างมาก อีกนัยหนึ่งมีโอกาสอย่างมากที่โอสถแยกวิญญาณจะไม่สามารถค้นหาจิตวิญญาณดวงอื่นในร่างของเขาได้อย่างแม่นยำถึงแม้ว่ามันจะมีอยู่


 


หลังจากที่ฟังคำพูดของเขาแล้ว หวังชูเหรินก็พยักหน้าและเริ่มตรวจสอบวัตถุดิบ แต่เพราะว่าเธอไม่รู้จักวัตถุดิบหลายชนิดในนี้ ซูหยางจึงช่วยเธอตรวจสอบทำให้กระบวนการทั้งหมดเป็นไปอย่างรวดเร็ว


 


หลังจากตรวจสอบแล้ว หวังชูเหรินก็เริ่มบดยาจนกระทั่งมันกลายเป็นผง ในขณะที่ซูหยางหลับตาลงเพื่อเตรียมการปรุงยาในภายหลัง

 

 

 


ตอนที่ 202

 

กลืนโอสถแยกวิญญาณ

ยามเมื่อการปรุงยาเริ่มต้น ห้องทั้งห้องก็เงียบสงบ


 


หวังชูเหรินเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วเฉียบคม อีกทั้งยังเคลื่อนไหวด้วยความแม่นยำและเอาใจใส่ เธอระมัดระวังอย่างถึงที่สุดกับวัตถุดิบที่นำใส่ลงในเตาปรุงยา ทำราวกับว่าพวกมันเป็นสมบัติล้ำค่าอันบอบบาง ในเมื่อเพียงการมอดไหม้ของวัตถุดิบเพียงชนิดเดียวก็หมายถึงจุดจบของการปรุงยาครั้งนี้


 


ซูหยางช่วยเธอด้วยการควบคุมความร้อนของเตาปรุงยาในตอนนี้ดังนั้นเธอสามารถใส่ใจกับส่วนผสมภายในเตา ทำให้เธอง่ายขึ้น


 


หลังจากผ่านไปสองชั่วโมงพวกเขาก็ถึงจุดสำคัญของการปรุงยา ซูหยางหยุดควบคุมเพลิงและนำเอาอาวุธระดับอำพรที่เขาได้มาจากสุสานมรดก แมงป่องดำ และบาดเป็นแผลเล็กๆที่ปลายนิ้วโป้ง


 


แม้ว่าแมงป่องดำจะแพร่พิษให้กับสิ่งที่เข้ามาสัมผัสมัน แต่ซูหยางเป็นเจ้าของแมงป่องดำมีความสามารถในการผนึกพิษภายในมีดสั้นดังนั้นเขาจึงไม่ถูกพิษจนตาย


 


“ข้าจักโอนการควบคุมให้กับเจ้าเดี๋ยวนี้” ซูหยางกล่าวกับหวังชูเหรินก่อนที่เขาจะหยุดการสนับสนุนเพลิงปรุงยา


 


ครั้นเมื่อมีรอยแผลบนนิ้วของเขา ซูหยางก็เริ่มพึมพัมบทสวดอันลึกล้ำจนทำให้ปราณไร้ลักษณ์ภายในร่างของเขาตอบสนองอย่างบ้าคลั่งและพุ่งตรงไปยังรอยแผลขนาดเล็กบนนิ้ว


 


สองสามวินาทีถัดไป ซูหยางเปิดฝาเตาปรุงยาและหยดเลือดลงไปหนึ่งหยดเพื่อผสมเข้ากับส่วนผสม


 


ทันทีที่เลือดของเขาผสมเข้ากับวัตถุดิบ หวังชูเหรินรู้สึกว่ามีบางสิ่งที่ลึกล้ำยากอธิบายเกิดขึ้นกับส่วนผสม และพลังงานภายในร่างของหวังชูเหรินเริ่มระบายออกไปด้วยอัตราที่เร็วยิ่งขึ้น


 


“ก-เกิดอะไรขึ้น” หวังชูเหรินแตกตื่นเมื่อเตาปรุงยาเริ่มดูดซับพลังของเธอด้วยอัตราเร็วที่เธอไม่เคยประสบมาก่อน ราวกับว่าเตาปรุงยาพลันกลายเป็นหลุมดำที่กระหายต่อพลังโดยไม่รู้จบ


 


“ตั้งใจอยู่กับเตาปรุงยา” เสียงซูหยางบังคับหวังชูเหรินให้หลุดออกจากความงงงัน


 


“ข-ข้าขอโทษ” หัวใจของหวังชูเหรินเต้นรัว ถ้าเธองงงันต่อไปอีกไม่กี่วินาที เช่นนั้นทุกสิ่งภายในเตาต้องเผาไหม้จนกรอบ


 


และในขณะที่หวังชูเหรินคิดว่าจะจบแค่นี้ ซูหยางพลันใช้แมงป่องดำเฉือนแผลบนนิ้วอื่นอีก


 


หลังจากที่เขาสวดคาถาอันลึกล้ำอีกสองสามบท ซูหยางก็หยดเลือดลงไปอีกสี่หยดไปในเตาปรุงยาโดยเว้นระยะทุกสองสามวินาทีระหว่างหยด


 


และทุกหยดที่เพิ่มเข้าไปผสมภายในเตาปรุงยา หวังชูเหรินก็สามารถรู้สึกถึงอำนาจอันลึกลับที่ดูดกลืนพลังของเธอรุนแรงมากยิ่งขึ้น


 


โชคดีที่ขณะที่หวังชูเหรินเกือบหมดเรี่ยวแรง ซูหยางก็เสร็จสิ้นส่วนของเขาและกลับมารับช่วงควบคุมการปรุงยา


 


“ข้าจักรับช่วงต่อจนจบ ขอบคุณ” ซูหยางพูดกับเธอพร้อมรอยยิ้ม


 


หวังชูเหรินนอนแผ่ลงไปบนพื้นขณะที่หายใจหอบ ชุดของเธอโชกไปด้วยเหงื่อ เพียงแค่ไม่กี่นาทีก่อนนี้ทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับว่าเธอได้ปรุงยาต่อเนื่องมาหลายวันโดยไม่ได้พัก มันช่างเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน


 


ครั้นเมื่อเธอพักเพียงพอแล้ว หวังชูเหรินก็มองดูซูหยางปรุงยาด้วยดวงตากลมโต


 


“อยู่ได้นานเช่นนี้โดยไม่มีเหงื่อสักหยดบนร่างเขา ปราณไร้ลักษณ์ของเขามีมากมายเพียงใดกันแน่” เธอคิดสงสัยในใจในเมื่อเธอไม่คิดรบกวนเขา


 


“ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเขาเข้ารับช่วงต่อการควบคุมเตาปรุงของข้าอย่างสบายๆได้อย่างไร…”


 


ปกติแล้วผู้หนึ่งผู้ใดไม่อาจจะเข้าแทนที่ผู้ที่กำลังปรุงยาอยู่แล้วโดยไม่ต้องใช้เวลาชั่วระยะหนึ่งในการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ในเมื่อนักปรุงยาแต่ละคนมีวิชาและเคล็ดลับเฉพาะตัว ทว่าซูหยางก็สามารถเข้าแทนที่หวังชูเหรินและปรุงยาต่อไปโดยไม่มีแม้กระทั่งการหยุดชะงักเพียงเล็กน้อยระหว่างนั้น ราวกับว่าหวังชูเหรินไม่ได้จากไปไหน เป็นสิ่งที่หวังชูเหรินเองไม่อาจเข้าใจได้


 


เกินสิบนาทีไปเพียงเล็กน้อยหลังจากที่ซูหยางเข้าไปแทนที่หวังชูเหริน ซูหยางก็เสร็จสิ้นการปรุงยาและเปิดฝาเตา นำเอายาเม็ดสีแดงเลือดภายในเตาออกมา


 


แม้ว่าเธอไม่อาจเข้าใจในความรู้สึก แต่เมื่อหวังชูเหรินเห็นโอสถแยกวิญญาณในครั้งแรก เธอรู้สึกเหมือนว่ามีบางสิ่งลึกภายในจิตสำนึกของเธอสั่นสะท้านไปด้วยความตื่นเต้น


 


“นั่นเป็นโอสถแยกวิญญาณรึ มันดูช่างธรรมดาทว่าช่าง…ลึกล้ำ…”


 


อย่างไรก็ตามซูหยางไม่ได้ตอบเธอแต่กลับโยนโอสถแยกวิญญาณเข้าไปในปากทันทีหลังจากนำมันออกมาจากเตา สร้างความมึนงงให้กับหวังชูเหริน


 


“ท่านกลืนมันเข้าไปในตอนนี้เลยรึ” เธอตะโกนออกมาด้วยความประหลาดใจ


 


หลังจากที่กลืนโอสถแยกวิญญาณ ซูหยางนั่งลงและหลับตาลงเพื่อฝึกฝน


 


เมื่อหวังชูเหรินเห็นเช่นนี้ ด้วยเกรงว่าจะเป็นการรบกวนเขา เธอรีบออกไปจากห้อง


 


“อาจารย์ ในที่สุดท่านก็ทำสำเร็จแล้วรึ” เซียวยาเหวินถามหวังชูเหรินทันทีที่อีกฝ่ายออกมาจากห้อง ราวกับว่าเธอยืนอยู่ที่นั่นรออีกฝ่ายมาตลอดเวลา


 


“ใช่แล้ว” หวังชูเหรินพยักหน้า “ทำไมเจ้าจึงมีใบหน้าท่าทางเช่นนั้น”


 


เธอพลันถามเซียวยาเหวินเมื่อเห็นหน้าตาเป็นกังวลของอีกฝ่าย


 


“สาเหตุคือ…บางคนพบกองอะไรบางอย่างที่ดูราวกับว่าเป็นเถ้าในเขตศิษย์ใน และพบว่ามันคือเถ้ากระดูกมนุษย์…”


 


“อะไรกัน ใครกันที่มิเคารพต่อผู้อื่น พวกเขารู้ไหมว่าขี้เถ้านี้เป็นของใคร” หวังชูเหรินรู้สึกคลื่นไส้เล็กน้อยจากการกระทำของคนคนนี้


 


“เอ่อ…ยังไม่มีคำแถลงการณ์จากนิกายเลย แต่มีคำร่ำลือไปทั่วว่านี่เป็นเถ้าของ…หวังหมิง ญาติของท่านอาจารย์” เซียวยาเหวินพูดด้วยน้ำเสียงสงบเสงี่ยม ในเมื่อมันเป็นเพียงข่าวลือที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน


 


“ว่ากระไร หวังหมิง เขาตายได้อย่างไรในเมื่อข้าเพิ่งเห็นเขาก่อนที่จะเริ่มขายโอสถดอกบัวเพลิง ข้าจักไปดูเขาหน่อยตอนนี้”


 


“เดี๋ยวก่อน” เซียวยาเหวินหยุดอีกฝ่ายไว้อย่างรวดเร็วและกล่าวว่า “นั่นคงจะเป็นสิ่งที่ยากสักหน่อย ในเมื่อหวังหมิงหายตัวไปตั้งแต่เช้าวันนี้”


 


หวังชูเหรินเบิกตากว้างด้วยความตระหนก หรือว่าหวังหมิงตายไปแล้วจริงๆ ถ้านั่นเป็นความจริง เกิดเหตุการณ์นี้ได้อย่างไร ทำไมเขาจึงสิ้นชีวิตอย่างฉับพลัน แม้ว่าเธอจะมองเขาเป็นความอัปยศของตระกูลหวังเพราะการกระทำของเขา สุดท้ายเขาก็ยังคงเป็นคนในตระกูล และถ้ามีคนฆ่าเขา เธอก็ต้องหาคำตอบ ไม่ใช่เพื่อตัวเธอเองแต่เพื่อพ่อแม่ของหวังหมิง

 

 

 


ตอนที่ 203

 

ความโศกเศร้าของตระกูลหวัง

หลังจากที่ได้ยินว่าหวังหมิงอาจจะตายไปแล้ว หวังชูเหรินจึงไปยังที่พักของเขา อย่างไรก็ตามเมื่อเธอไปถึง ที่นั่นมีศิษย์มากถึงยี่สิบกว่าคนรายล้อมบ้านของหวังหมิงพร้อมกับผู้อาวุโสนิกายสองสามคน


 


“ผู้อาวุโสหวัง”


 


เมื่อผู้อาวุโสนิกายสังเกตเห็นหวังชูเหรินปรากฏตัวขึ้น พวกเขาจึงไปต้อนรับเธอ


 


อย่างไรก็ตามเนื่องจากสถานการณ์นี้ จึงไม่มีผู้อาวุโสนิกายคนใดมีท่าทางยินดีบนใบหน้าพวกเขา


 


“เกิดอะไรขึ้น หรือว่าคำร่ำลือเป็นความจริง ที่ว่าญาติของข้าสิ้นชีวิตไปแล้ว และพวกท่านพบเถ้าของเขา” หวังชูเหรินไม่ได้กล่าวอ้อมค้อมและถามไถ่พวกเขา


 


แม้ว่าพวกเขาดูลังเลในตอนแรก แต่ผู้อาวุโสนิกายก็พยักหน้าและกล่าวว่า “เป็นจริง เถ้านั้นพิจารณาแล้วว่าเป็นหวังหมิง ยิ่งไปกว่านั้น เขาถูกเผาจนตายจากเพลิงปรุงยา…”


 


“อะไรกัน เพลิงปรุงยา เป็นไปไม่ได้” หวังชูเหรินมีท่าทางตื่นตระหนก แต่เธอยิ่งประหลาดใจกับเรื่องของเพลิงปรุงยามากกว่าการตายของหวังหมิง ในเมื่อนั่นต้องมีเพลิงปรุงยาที่ทรงพลังมากมายจึงจะเผาไหม้ใครสักคนจนตายได้ อย่าว่าแต่เผาจนกลายเป็นเถ้า


 


“ทั่วทั้งนิกายนี้ มีเพียงคนเดียวที่สามารถที่จะทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นได้ ผู้นำนิกาย อย่างไรก็ตามทำไมผู้นำนิกายจึงต้องฆ่าใครสักคนอย่างลับๆ ยิ่งไปกว่านั้นศิษย์อย่างเช่นหวังหมิง”


 


หลังจากครุ่นคิดไปมากกว่านั้น ผู้อื่นที่อาจจะทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ก็ปรากฏขึ้นในใจเธอ แต่ว่าถ้าหากเป็นคนคนนั้นจริง นั่นก็ไม่มีสิ่งใดที่เธอหรือนิกายจะสามารถแก้แค้นให้หวังหมิงได้


 


“ท่านคิดว่าพวกเราควรทำอย่างไรกับเรื่องนี้ ผู้อาวุโสหวัง และถ้าเป็นไปได้ ข้าต้องการให้ท่านในฐานะคนจากตระกูลหวัง เปิดเผยให้ครอบครัวของเขารู้ถึงการตายของเขา…” หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายถามเธอ ในเมื่อพวกเขาไม่ต้องการเป็นคนที่ต้องแบกรับความโกรธเกรี้ยวของตระกูลหวัง


 


“ข้าจักให้ตระกูลหวังรู้เรื่องหวังหมิง ส่วนการตายของเขา บอกผู้นำนิกายว่าตระกูลหวังจะจัดการสอบสวนเช่นกัน” หวังชูเหรินกล่าวหลังจากครุ่นคิดไปชั่วขณะ


 


“ข้าจักบอกให้ผู้นำนิกายรับรู้เดี๋ยวนี้”


 


ก่อนที่ผู้อาวุโสนิกายจะจากไป พวกเขาไล่เหล่าศิษย์ขี้สงสัยที่ล้อมรอบที่พักของหวังหมิงไป ในเมื่อพวกเขาไม่ต้องการให้เหล่าศิษย์ดูไม่เคารพต่อคนตาย


 


ครั้นเมื่อผู้อาวุโสนิกายจากไปแล้ว หวังชูเหรินก็ออกจากนิกายดอกบัวเพลิงกลับไปยังตระกูลหวัง


 


“ท่านว่ากระไรนะ หวังหมิงตายแล้วรึ และเขาก็ตายในนิกายดอกบัวเพลิงด้วยเช่นนั้นรึ” ผู้นำตระกูลหวัง หวังเฉินขมวดคิ้วเมื่อได้ยินข่าว ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ


 


แม้ว่าเขาจะไม่รู้สึกอะไรนอกจากความไม่พอใจหลังจากที่รู้ว่าหวังหมิงมีพฤติกรรมที่น่าอับอาย อย่างไรก็ตามหวังหมิงก็เป็นลูกชายของเขา และเมื่อได้ยินว่าลูกชายของเขาตายหลังจากตระกูลหวังได้ลงโทษเขา หวังเฉินรู้สึกผิดและเสียใจเล็กน้อย


 


“ลูกชายข้าตายแล้วรึ…” มารดาของหวังหมิงน้ำตาไหลทันที รู้สึกเสียใจยิ่งกว่าขณะที่เธอรู้ว่าลูกชายของเธอกลายเป็นโจรราคะ สุดท้าย ไม่ว่าหวังหมิงจะสร้างปัญหามากน้อยเพียงใด อย่างน้อยเขาก็ยังคงมีชีวิตอยู่


 


“ท่านมีความคิดว่าใครเป็นคนฆ่าหรือไม่ หรือว่าเป็นเพื่อนศิษย์” หวังเฉินถามเธอด้วยเสียงปกติแม้ว่าจะเดือดด้วยความแค้น


 


“อะไรเป็นสาเหตุของการตาย เป็นผลมาจากข้อพิพาทใดหรือไม่” เขาถามต่อ


 


“เรามิมีเบาะแสใดว่าใครเป็นคนฆ่าหวังหมิง แต่เขาตายหลังจากที่ถูกเผา…” สุดท้ายหวังชูเหรินก็เปิดเผยให้พวกเขารู้ถึงการตายอันน่าสยดสยองของเขา “เมื่อพวกเราพบหวังหมิง เขาก็กลายเป็นเถ้าไปแล้ว…”


 


เมื่อมารดาหวังหมิงได้ยินเช่นนี้ เธอเป็นลมไปอยู่บนที่นั่งของเธอ เป็นเหตุให้เกิดความวุ่นวายภายในห้อง


 


“ใครก็ได้พาภรรยาข้ากลับห้องเธอเพื่อพักผ่อน” หวังเฉินร่ำร้องเรียกคนรับใช้ที่อยู่ด้านนอก


 


คนรับใช้รีบเข้ามาหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา และพวกเขาพากันย้ายร่างไร้สติของมารดาไปยังห้องของเธออย่างนุ่มนวล


 


“ข้ามิอยากเชื่อ..ทำไมเขาจึงตายไปแบบนั้น อีกทั้งในนิกายของเขาเองด้วยเช่นกัน” หวังเฉินส่ายหน้าไม่อยากเชื่อ


 


“ท่านมิมีผู้ต้องสงสัยในใจสักคนเลยรี แล้วพวกผู้หญิงทั้หมดนั้นที่เขาได้ล่วงเกิน ท่านคิดว่าใครในกลุ่มนั้นที่สามารถทำเช่นนั้น หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของเขา”


 


หวังชูเหรินส่ายหน้าและกล่าวว่า “นั่นเป็นไปไม่ได้เพราะว่าไฟที่ใช้ฆ่าหวังหมิงเป็นเพลิงปรุงยา ดังนั้นนั่นต้องเป็นการกระทำของนักปรุงยา ไม่ใช่คนธรรมดาเหล่านั้น”


 


“เพลิงปรุงยารึ เช่นนั้นคนนั้นต้องมีอำนาจมากมาย…แต่ทำไมคนเช่นนั้นจึงฆ่าหวังหมิง บางทีหนึ่งในผู้เคราะห์ร้ายอาจจะมีอำนาจหนุนหลัง ไม่ นั่นไม่สมเหตุผล ในเมื่อเธอคงจะไม่กลายเป็นเหยื่อของเขาตั้งแต่แรกถ้าเธอมีคนเช่นนั้นหนุนหลังอยู่แล้ว…”


 


หวังชูเหรินนิ่งเงียบขณะที่หวังเฉินครุ่นคิดเกี่ยวกับความเป็นไปได้ ไม่แม้จะพูดถึงซูหยางผู้ที่เธอค่อนข้างมั่นใจว่าเป็นคนฆ่าหวังหมิง ในเมื่อมีหลักฐานมากมายบ่งชี้ว่าเป็นเขา


 


ไม่เพียงแต่ซูหยางตรงกับตัวตนของผู้ฆ่าที่เป็นนักปรุงยาทรงอำนาจ แต่เขายังเป็นคนแรกที่เปิดเผยพฤติกรรมของหวังหมิงที่นิกายดอกบัวเพลิง อีกทั้งยังบังคับเธอให้จัดการกับเขา


 


ยิ่งไปกว่านั้นซูหยางได้จากหวังชูเหรินไปในช่วงเวลาที่หวังหมิงตาย และเขายังปกปิดเกี่ยวกับสถานที่อยู่ของเขายามเมื่อหวังชูเหรินถามเขา


 


ข้อบ่งชี้ทั้งหมดนี้ทำให้หวังชูเหรินมั่นใจว่าซูหยางเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังการตายของหวังหมิง แต่อนิจจา ถึงแม้ว่าเธอมีข้อมูลเช่นนั้น ก็ไม่มีสิ่งใดที่เธอสามารถทำได้ในเรื่องนี้ ในเมื่อเธอไม่กล้าแม้จะถามเขา อย่าว่าแต่ให้เขารับผิดชอบการตายของหวังหมิง


 


“ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลอะไรก็ตาม หวังหมิงได้แต่โทษตนเองที่ไปล่วงเกินคนแบบซูหยาง ถึงแม้ว่าเจ้าจะเป็นญาติข้า ข้ามิอาจล่วงเกินเขาเพื่อคนเช่นเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากทุกสิ่งที่เจ้าได้ทำไว้…” หวังชูเหรินแอบยักไหล่และส่ายหน้า

 

 

 


ตอนที่ 204

 

ตีอะไรของข้านะ

หลังจากที่พูดกับหวังเฉินต่ออีกสองสามนาที หวังชูเหรินก็กลับไปยังนิกายดอกบัวเพลิงเพื่อดูว่าซูหยางออกมาจากสมาธิหรือยัง ในเมื่อเธอมีคำถามสองสามคำถามที่เธอต้องการถามเขา


 


“ซูหยาง” หวังชูเหรินค่อนข้างสับสนเมื่อสิ่งแรกที่เธอสังเกตพบขณะที่เดินเข้าไปในบ้านของตนเอง นั่นคือซูหยางกำลังนั่งจิบชาอย่างสบายๆบนเก้าอี้ของเธอ


 


เขาทำท่าทางสบายใจได้อย่างไรหลังจากที่ฆ่าคนจากตระกูลหวัง แม้ว่าเขาอาจจะไม่กลัวตระกูลหวัง อย่างน้อยเขาควรระมัดระวังผลที่จะตามมา ในเมื่อเขาไม่เพียงฆ่าคนจากตระกูลหวังแต่เป็นศิษย์ในของนิกายดอกบัวเพลิงในขณะที่อยู่ภายในอาณาเขตของอีกฝ่ายด้วย


 


ถ้านิกายดอกบัวเพลิงพบเห็น พวกเขาอาจจะไล่ล่าเขา


 


“มีอะไรผิดปกติรึ หน้าตาของเจ้าเต็มไปด้วยความกังวล” ซูหยางวางถ้วยชาลงและกล่าว


 


“ข้ามีสองสามคำถามที่อยากจะถามท่าน…และข้าจะยินดียิ่งหากว่าท่านจะพูดความจริง” หวังชูเหรินเตรียมตัวที่จะถามเขา “เป็นเรื่องเกี่ยวกับหวังหมิง…”


 


อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เธอจะทันได้ถามเขา ซูหยางก็อ้าปากพูดด้วยเสียงปกติ “ใช่ ข้าฆ่าเจ้านั่นเอง”


 


หวังชูเหรินตาโต แม้ว่าเธอได้คาดเดาว่าเขาต้องเป็นคนฆ่าหวังหมิง เธอจึงไม่ตระหนกกับการเปิดเผย กลับกัน เธอแปลกใจว่าทำไมเขาจึงไม่ไยดีกับเรื่องทั้งหมดนี้


 


“เจ้าโกรธที่ข้าฆ่าคนจากตระกูลเจ้ารึ เจ้าต้องการแก้แค้นรึ” ซูหยางพลันถามเธอเสียงของเขายังคงวางเฉยดังเช่นปกติ


 


อย่างไรก็ตาม หวังชูเหรินสามารถบอกได้ว่าซูหยางเพียงทดสอบเธอ เธอจึงตอบสนองว่า “ไม่ ข้ามิได้รู้สึกอะไรเลยกับการตายของเจ้าสัตว์นั่น และเจ้านั่นสมควรที่จะได้รับผลเช่นนั้นแล้วกับสิ่งที่เขาได้ทำ ตรงกันข้าม ข้ายังต้องขอขอบคุณที่ช่วยจัดการเขา ในเมื่อข้ามิอาจเพราะว่าความสัมพันธ์กับพ่อแม่ของเขา แต่ถ้าท่านมิถือข้าพอจะถามหน่อยได้ไหมว่า ทำไมท่านจึงทำเช่นนั้น”


 


“ข้ามิชอบเจ้านั่น ก็เท่านั้นเอง” ซูหยางให้คำตอบง่ายๆกับเธอ แต่คำตอบเช่นนั้นทำให้หวังชูเหรินสั่นสะท้านไปด้วยความหวาดกลัว


 


“เขาเสี่ยงต่อทั้งนิกายดอกบัวเพลิง และตระกูลหวัง ที่จะตามล่าเขา เพียงแค่เพื่อฆ่าหวังหมิงเพราะว่าเขาไม่ชอบหวังหมิง นี่เป็นเพราะว่าเขาเพียงเป็นคนหยิ่งยะโสเกินไป หรือว่ามั่นใจในตนเองถึงที่สุดว่าไม่มีใครสามารถแตะต้องเขาได้กันแน่” หวังชูเหรินครุ่นคิด


 


ไม่ว่าจะแบบไหนก็ตาม การกระทำของเขาพิสูจน์ว่า ตัวตนของซูหยางนั้นอันตรายมากเพียงใด ไม่เพียงแต่เขามีความสามารถอันท้าทายสวรรค์ แต่กระทั่งเบื้องหลังของเขาก็ไม่ใช่อะไรที่ดูแคลนได้


 


การล่วงเกินคนที่อันตรายอย่างเช่นซูหยางก็เหมือนกับการหาที่ตาย ไม่ใช่…มันควรเป็นสิ่งที่น่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าหาที่ตายและควรเหมือนกับการอ้อนวอนให้ช่วยฆ่า


 


“เช่นนั้น ถ้าเจ้ามิมาที่นี่เพื่อแก้แค้นเจ้าตัวตลกนั่น เช่นนั้นทำไมเจ้าจึงอยู่ที่นี่” ซูหยางถามเธอ


 


“อืมม…นี่เป็นบ้านข้ามิใช่รึ” หวังชูเหรินกล่าวด้วยใบหน้าสับสน


 


“โอ้ ใช่” ซูหยางหัวเราะเสียงดัง เขารู้สึกสุขสบายจนเขาคิดว่าอยู่ที่บ้านตนเอง


 


“จะว่าไปแล้ว ข้าจักทำเหมือนกับว่าหวังหมิงสิ้นชีวิตตามปกติ ส่วนสำหรับนิกายดอกบัวเพลิงและตระกูลหวัง ตราบเท่าที่ข้ามิกล่าวอะไร มีโอกาสเป็นศูนย์ที่ความจริงนี้จะเปิดเผย”


 


“นั่นมิถือว่าเป็นการกระทำของคนทรยศรึ” ซูหยางยิ้ม


 


หวังชูเหรินไร้คำพูดไปชั่วขณะก่อนที่จะพูดว่า “ข้ายินดีทรยศต่อตระกูลและนิกายถ้าหากว่าเป็นเพราะท่าน…”


 


หวังชูเหรินพลันหน้าแดงหลังจากที่พูดคำพูดเหล่านั้น เธอได้พูดออกไปโดยไม่คิดและจินตนาการไม่ถูกว่าคำพูดเหล่านั้นจะมาจากปากของเธอได้แม้จะผ่านไปนับล้านปี


 


“ช่างน่าชื่นชม…” ซูหยางยิ้ม


 


“ช-เช่นนั้น การฝึกฝนของท่านเป็นอย่างไรบ้าง ท่านได้รับผลที่ต้องการหรือไม่” หวังชูเหรินตัดสินใจลดความอายของตนเองด้วยการเปลี่ยนเรื่อง


 


ซูหยางไม่ได้กล่าวอะไรแต่เพียงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม


 


“นั่นจึงดูเหมือนว่าท่านกำลังมีความสุข ต้องการที่จะบอกข้าบ้างหรือไม่”


 


“เจ้าคงมิเชื่อถึงแม้ว่าข้าบอกออกไป”


 


“ลองดูสิ”


 


ซูหยางส่ายหน้าและยืนขึ้นจากที่นั่งและกล่าวว่า “เชื่อข้าเถอะ เจ้ามิต้องการที่จะรู้ เช่นนั้น ข้าควรจะไปได้แล้วตอนนี้ ข้าอยู่ที่นี่มานานเกินไปแล้ว”


 


หวังชูเหรินไม่รู้ว่าควรพูดกับเขาว่าอะไรดี จึงได้แต่มองดูเขาตรงไปที่ประตู มันเหมือนกับว่าริมฝีปากเธอถูกเย็บติด บังคับให้เธอได้แต่มองเขาจากไปอย่างเงียบๆ


 


ถึงที่สุด นี่ก็บ่งบอกได้ถึงความสัมพันธ์ของพวกเขาว่ามีมากน้อยเพียงใด แม่ว่าเขาจะทำเหมือนกับว่าเธอเป็นศิษย์ของเขา กระทั่งสั่งสอนเธอ แต่พวกเขาก็เพียงผู้สมรู้ร่วมคิดเท่านั้น และหวังชูเหรินไม่อาจคิดหาเหตุผลอะไรที่จะพูดกับเขา ในเมื่อเธอไม่มีฐานะใดที่จะบอกเขาให้อยู่ที่นี่ให้นานกว่านี้


 


สุดท้าย หวังชูเหรินได้แต่บอกลาซูหยางด้วยรอยยิ้มบนใบหน้ามีเสน่ห์นั้น “ตราบเท่าที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าจักอยู่ที่นี่ตราบที่ท่านต้องการข้าอีกครั้ง”


 


ถ้านั่นเป็นใครสักคนพวกเขาคงจะหันกายมามองดวงตาฝืนใจของหวังชูเหริน กระทั่งโอบกอดเธอขณะที่บอกเธอว่าเขาจะอยู่ต่อเพื่อเธอ


 


ซูหยางไม่มองกลับไปและยังคงเดินต่อไป แต่สองสามวินาทีหลังจากนั้น เขานำเอาม้วนหนังสือออกมาจากแหวนมิติและโยนมันให้หวังชูเหริน


 


“ศึกษาตำรับยาเหล่านี้ยามเมื่อข้าไม่อยู่ และบางทีข้าอาจจะกลับมาในอนาคตเพื่อให้เจ้าช่วยกับยาพวกนั้นหรือมากกว่านั้น ใครจะรู้…”


 


หวังชูเหรินรับตำรับยาเหล่านั้นด้วยหน้าตาดีใจ แม้ว่าเธอยังไม่ทันได้ดูตำรับยาเหล่านี้ เธอก็มั่นใจว่าพวกมันล้วนเป็นยาที่ทรงค่ามหาศาลและน่าจะนำความตระหนกมาให้แก่โลกถ้าได้รับรู้


 


“และอย่าขี้เกียจในวิชาของเจ้าเพียงเพราะว่าดีกว่าก่อนเพียงเล็กน้อย มิเช่นนั้นข้าจักตีก้นเจ้าเป็นการลงโทษ” ซูหยางกล่าวขณะหัวเราะเสียงดังก้อง


 


“ตีอะไรของข้านะ–” หวังชูเหรินปิดบั้นท้ายกลมมนของเธอตามสัญชาตญาณ หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา และบนใบหน้าของเธอมีท่าทางสับสนปะปนอยู่กับความเอียงอาย คำพูดสุดท้ายของเขาเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิดเช่นเดียวกับการปรากฏตัวของเขาในนิกายดอกบัวเพลิง และนั่นทำให้ภาพพจน์อันหล่อเหลาและลึกลับของซูหยางในใจเธอมีความลามกขึ้นมากกว่าเดิม


 


“ช่างเป็นชายที่อันตราย” หวังชูเหรินคิดในใจขณะที่มองร่างของซูหยางเดินหายไปจากสายตา

 

 

 


ตอนที่ 205

 

ขาดการสั่งสอน

เมื่อออกจากที่พักของหวังชูเหรินแล้ว ซูหยางก็เดินทอดน่องไปตามนิกายดอกบัวเพลิงตรงไปยังทางออก และเพราะว่าเขาได้บอกลากับจางซิวยิงไว้ก่อนหน้าที่จะออกจากบ้านของเธอเมื่อตอนเช้าแล้ว จึงไม่มีเหตุผลใดที่เขาจะกลับไปหาเธอก่อนจาก


 


ศิษย์จำนวนมากหันหน้าไปมองซูหยางขณะที่เขาเดินผ่านพวกเขา ดูคล้ายกับตะลึงกับรูปโฉมของเขา บางคนทำท่าทางสะอิดสะเอียนกับชุดที่เขาใส่ แต่ก็ยังมีคนอื่นที่มองเขาอย่างรักใคร่ เห็นชัดว่าติดใจใบหน้าหล่อเหลาของเขาและบรรยากาศชวนหลงไหลรอบตัวเขา


 


อย่างไรก็ตามขณะที่ซูหยางไปถึงเขตศิษย์นอก บางคนก็ตะโกนเสียงดังพร้อมกับชี้ไปทางซูหยาง “เขานี่แหละ เจ้าชั่วนี่แหละที่ทำร้ายข้าและศิษย์ในที่เมืองดอกบัว”


 


ชายคนที่ส่งเสียงเป็นศิษย์หลักที่ถูกตบหน้าจากซูหยางที่เมืองดอกบัว โดยมีผู้อาวุโสนิกายจากนิกายดอกบัวเพลิงตามมาเป็นเพื่อน ซึ่งขมวดคิ้วมองดูซูหยางอยู่


 


“เจ้านั่นแหละ หยุดอยู่ตรงนั้น”


 


ผู้อาวุโสนิกายใช้วิชาก้าวย่างมาปรากฏตัวต่อหน้าซูหยางด้วยเพียงก้าวเดียว ทิ้งรอยเปลวเพลิงไว้ยังที่เขาเคยยืนอยู่


 


ซูหยางมองไปยังชายวัยกลางคนตรงหน้าเขาด้วยใบหน้าเรียบเฉย ท่าทางเขาสงบนิ่งเหมือนน้ำในแก้วนิ่ง


 


“เจ้าเป็นคนที่ทำร้ายศิษย์ข้าใช่หรือไม่ เจ้าดูไม่เหมือนคนที่มีความสามารถเช่นนั้นเลย ดังนั้นข้าจักให้โอกาสเจ้า…” ผู้อาวุโสนิกายมองดูตั้งแต่หัวจรดเท้าไปยังซูหยางที่รูปร่างบอบบางสะโอดสะอง ดูเหมือนกำลังวิเคราะห์เขา


 


“เจ้ามั่นใจนะว่าเป็นเขา” ผู้อาวุโสนิกายหันไปถามศิษย์ของตนเอง ผู้ซึ่งตรงมาหาเขาด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความระมัดระวัง ราวกับว่าเขายังเกรงกลัวซูหยางหลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา


 


“ช-ใช่เขาจริงๆ เขาเป็นคนที่ทำร้ายข้าหลังจากข้าเตือนเขาให้เคารพนิกายดอกบัวเพลิงและเหล่าศิษย์ในขณะที่อยู่ในพื้นที่ของเรา” ศิษย์หลักยืนยัน


 


ครั้นเมื่อได้ยินคำพูดของศิษย์ ผู้อาวุโสนิกายพยักหน้าและหันกลับมาให้ความสนใจซูหยาง


 


“เจ้าคงมีความกล้าอยู่บ้าง เจ้าหนุ่มน้อย หรือเจ้าอาจจะเป็นเพียงแค่คนโฉดเขลา เจ้าคิดบ้างไหมว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเล็กจ้อยเพียงใดเมื่ออยู่ต่อหน้านิกายดอกบัวเพลิง”


 


ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “เจ้ามาแก้แค้นให้ศิษย์เจ้าที่ถูกตบกระเด็นราวกับแมลงวันรึ ผู้อาวุโสนิกายเช่นเจ้านะรึ ต่อให้พลังอำนาจ “ใหญ่โต” ดังเช่นนิกายดอกบัวเพลิงก็มิมีหน้ามากพอที่จะเหลือไว้ให้เจ้า”


 


ผู้อาวุโสนิกายระเบิดเสียงหัวเราะหลังจากได้ยินคำของเขา


 


“แก้แค้น ฮ่าฮ่าฮ่า ผิดแล้ว เจ้าหนุ่ม ศิษย์ข้าถูกข่มเหงเพราะว่าเขาอ่อนด้อยกว่าเจ้า เท่านั้นเอง”


 


หลังจากที่หัวเราะไปอีกสองสามวินาที ผู้อาวุโสนิกายพลันมีใบหน้าเคร่งขรึมและกล่าวว่า “สิ่งที่ข้าจักทำกับเจ้าเป็นเพียงแค่การสั่งสอนเบาะๆกับท่าทางหยิ่งยะโสและไม่ยำเกรงในนิกายดอกบัวเพลิง กระทั่งตอนนี้ เจ้าก็ยังมิได้คำนับข้า ผู้อาวุโสของเจ้า”


 


“อย่าเพิ่งอึเรี่ยราด เมื่อข้ามิทำรุนแรงกับเจ้าเกินไปนัก เพียงแค่กระดูกหักไม่กี่ท่อน” ดวงตาผู้อาวุโสนิกายจ้องเขม็งด้วยจิตสังหารอยู่บ้าง ดูท่าทางจริงจังอย่างมาก


 


“เจ้ามิอาจโทษใครได้นอกจากนิกายของเจ้าเองที่ขาดการสั่งสอนอบรมศิษย์ของตนเอง มิเช่นนั้นพวกเขาคงมิต้องการใครสักคนเช่นข้ามาแทนที่เพื่อสั่งสอนเจ้า”


 


ท่าทางของซูหยางยังคงไม่มีสิ่งใดผิดปกติตลอดเวลาที่ผ่านมา และวิธีที่เขาใช้มองไปยังที่ผู้อาวุโสนิกายเหมือนกับมองไปยังมด อาจถึงกระทั่งบางสิ่งที่ไร้ความสำคัญยี่งกว่านั้น


 


“หืม…อย่างนั้นรึ” กระทั่งเสียงของเขาก็ยังคงมีแต่ความเฉยเมย


 


เมื่อมองเห็นพฤติกรรมอันไม่ใส่ใจของซูหยาง ซึ่งเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของชายวัยกลางคน ใบหน้าของผู้อาวุโสนิกายเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ


 


และโดยปราศจากคำเตือน ชายวัยกลางคนผลักฝ่ามือของเขาที่พลันมีเปลวไฟลุกพรึบขึ้นมาตรงไปยังอกของซูหยาง


 


“….”


 


แม้ว่าจะเห็นการจู่โจมมาและสามารถป้องกันได้ แต่ซูหยางเพียงแค่ยืนเฉยอยู่ตรงนั้นโดยไม่แม้จะกระพริบตา ประดุจรูปปั้นศิลา


 


“ฝ่ามือดอกบัวเพลิงพิฆาต”


 


ฝ่ามือพุ่งไปถึงอกของซูหยางด้วยความเร็วที่เกินกว่าจะกระพริบตา และในวินาทีที่กระทบเปลวเพลิงก็ระเบิดออกจากตรงบริเวณที่ซูหยางถูกกระแทก


 


เพลิงเหมือนกับว่ากำลังจะกลืนกินซูหยางไปทั้งตัวภายในวินาทีถัดไป แต่ผู้อาวุโสนิกายดึงฝ่ามือออกมาอย่างไม่คาดหมายก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นั้นขึ้น


 


ครั้นเมื่อเขาดึงมือกลับ ผู้อาวุโสนิกายกระโดดถอยหลังเว้นระยะห่างออกมาจากซูหยาง ใบหน้าของเขามีเหงื่อไหลโซม


 


“อ-อาจารย์”


 


ศิษย์หลักคนนั้นเบิกตาจนเกือบถลนออกมาจากเบ้าเมื่อเห็นการโค้งงอของแขนผู้อาวุโสนิกายไปยังทิศทางที่แปลกประหลาด


 


ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งผู้อาวุโสนิกายได้หักแขนตนเองจากการโจมตี


 


“จ-จ-เจ้าทำอะไรกับข้า” ผู้อาวุโสนิกายพยายามสะกดข่มความต้องการที่จะกรีดร้องในใจเพื่อรักษาหน้า แต่ท่าทางเจ็บปวดหวาดกลัวนั้นกลับสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง


 


ซูหยางซึ่งไม่แม้จะกระพริบตาจากการโจมตี ยืนเฉยอยู่ตรงนั้นพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “เจ้าพูดอะไรกัน เจ้าเป็นคนที่โจมตีข้านะ”


 


“ไร้สาระ เจ้าต้องทำอะไรบางอย่างแน่นอน” ผู้อาวุโสนิกายปฏิเสธที่จะยอมรับ ซึ่งไม่มีทางที่เขาซึ่งอยู่เขตปฐพีวิญญาณระดับสองจะเสียท่าให้กับศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย อย่าว่าแต่ทำตัวเองบาดเจ็บร้ายแรงในระหว่างนั้น


 


ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวว่า “ข้ามิสนใจว่าเจ้าคิดอะไร แต่การที่โจมตี “ผู้อ่อนอาวุโส” โดยไม่มีแม้คำเตือนนั้น เจ้าเป็นผู้อาวุโสประเภทใดกัน”


 


ซูหยางเริ่มตรงเข้าไปหาผู้อาวุโสนิกาย และเขากล่าวต่อว่า “ในเมื่อนิกายของเจ้าไม่อาจสั่งสอนศิษย์ของตนเอง ข้าคงต้องช่วยสั่งสอนเจ้าด้วยตนเอง…”


 


“ร-รอก่อนสักครู่…” เมื่อผู้อาวุโสนิกายสังเกตเห็นซูหยางตรงไปหาเขา ใบหน้าเขาพลันซีดลง เขารีบใช้มือข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บนำเอาบางสิ่งออกมาจากเสื้อคลุมและโยนมันขึ้นไปบนท้องฟ้า


 


อีกไม่กี่วินาทีถัดไปสิ่งที่ผู้อาวุโสนิกายโยนขึ้นไปบนท้องฟ้าก็ระเบิดออก เกิดเป็นลูกบอลเพลิงปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าเหมือนเป็นสัญญาณของอะไรบางอย่าง


 


ซูหยางมองดูบอลเพลิงบนฟ้าพร้อมเลิกคิ้ว


 


“นั่นอะไร” เขาคิดสงสัย



DC บทที่ 206: ถูกล้อมด้วยผู้มีฝีมือ

 


การระเบิดบนท้องฟ้าคือสัญญาณขอความช่วยเหลือ เป็นสิ่งที่ใช้ได้ยามเมื่อคนของนิกายดอกบัวเพลิงตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง แต่ใช่ศิษย์ทุกคนของนิกายดอกบัวเพลิงจะได้รับวัตถุนี้ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นผู้อาวุโสนิกายและศิษย์หลักจึงจะได้รับสิ่งนี้เนื่องเพราะว่าพวกเขามีความสำคัญต่อนิกาย


 


และตามกฏของนิกายดอกบัวเพลิง ทุกคนต้องหยุดทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนเองกำลังทำอยู่เพื่อตอบสนองต่อการขอความช่วยเหลือหากว่าได้พบเห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อาวุโสนิกาย แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่ามีอันตรายรออยู่ข้างหน้า


 


เมื่อการระเบิดเกิดขึ้นบนท้องฟ้าเหนือนิกายดอกบัวเพลิง ผู้อาวุโสนิกายและศิษย์หลักภายในนิกายที่สังเกตเห็นเปลวเพลิงต่างพากันหยุดสิ่งที่พวกเขากำลังทำทันทีและเริ่มมุ่งตรงไปยังพื้นที่ที่เกิดการระเบิด


 


ภายในไม่กี่นาที ผู้อาวุโสนิกายและศิษย์ระดับสูงหลายร้อยคนต่างพากันปรากฏตัวยังบริเวณซูหยาง สร้างความตระหนกให้กับศิษย์ทุกคนที่อยู่แถวนั้น ในเมื่อพวกเขาส่วนใหญ่แล้วไม่เคยเห็นผู้อาวุโสนิกายและศิษย์เองจำนวนมากมารวมตัวกันในพื้นที่เดียวมาก่อนยกเว้นว่าจะมีเหตุการณ์ใหญ่


 


การถูกรายล้อมโดยศิษย์และผู้อาวุโสนับพันจากนิกายดอกบัวเพลิงนับตั้งแต่เขตสัมมาวิญญาณไปจนถึงเขตปฐพีวิญญาณโดยฉับพลัน ใครต่างก็คาดคิดว่าศิษย์รุ่นหลังเด็กๆอย่างเช่นซูหยางต้องฉี่ราดกางเกงและสลบไปด้วยความหวาดกลัว แต่ตามความเป็นจริง ซูหยางเพียงแค่ยิ้มอย่างเยือกเย็นกับสถานการณ์เช่นนี้และกล่าวกับผู้อาวุโสนิกายที่แขนหักว่า “ช่างเป็นกระต่ายตื่นตูม ข้ายังมิได้แตะต้องเจ้าด้วยซ้ำ แต่เจ้ากลับทำเรื่องใหญ่หาความช่วยเหลือมาอย่างมากมายราวกับว่าเจ้ากำลังอยู่บนเส้นตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากโจมตีข้าเมื่อกี้นี้ เช่นเดียวกับศิษย์ของเจ้า ช่างไร้ยางอาย”


 


“เกิดอะไรขึ้นที่นี่ ผู้อาวุโสเหลา ทำไมเจ้าจึงใช้ยันต์ขอความช่วยเหลือ”


 


ผู้อาวุโสนิกายมีท่าทางสับสนเมื่อเห็นสถานการณ์ จากมุมมองของพวกเขาไม่มีอะไรที่ดูผิดปกติที่นี่เมื่อแรกเห็นที่จำเป็นต้องใช้ยันต์ขอความช่วยเหลือ สิ่งที่ต้องใช้ในสถานการณ์ที่ถึงตายเท่านั้น


 


“จ-จ-เจ้าคนเลวตรงนั้นเป็นผู้บุกรุก มิเพียงแต่เขาทำมือข้าพิการ แต่จากสิ่งที่ข้าได้รับรู้มา เขามาที่นี่ด้วยเจตนาที่จะสร้างอันตรายใหญ่หลวงกับนิกายดอกบัวเพลิงด้วย”


 


เมื่อได้ยินคำพูดของเขา บรรดาผู้อาวุโสนิกายหันไปมองดูซูหยางพร้อมกับขมวดคิ้วย่นบนใบหน้า


 


“ผู้บุกรุก เขาเป็นเพียงแค่ศิษย์ในจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย เป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะทำร้ายพวกเรา”


 


ผู้อาวุโสนิกายต่างมีท่าทางสงสัย แต่ปฏิกิริยาเช่นนั้นย่อมถือว่าเป็นเรื่องปกติ ในเมื่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไม่ใช่สถานที่ที่สามารถคุกคามพวกเขาได้ แม้ว่าอีกฝ่ายจะจู่โจมเต็มกำลัง อย่าว่าแต่เพียงแค่ศิษย์เพียงคนเดียวจากที่แห่งนั้น


 


“เอ้อ…” ผู้อาวุโสเหลาเริ่มรู้สึกหวาดหวั่นเมื่อเขานึกขึ้นได้ว่าตนเองเร่งรีบใช้ยันต์ขอความช่วยเหลือเร็วเกินไป ถ้าเขาไม่มีเหตุผลที่เหมาะสมในการใช้ เขาอาจจะเป็นคนที่ถูกลงโทษแทนที่จะเป็นซูหยาง สำหรับการเสียทรัพยากรและเวลาอันมีค่าของทุกคน


 


พลันนั้นเองเขาก็นึกถึงหวังหมิงซึ่งสิ้นชีวิตไปอย่างลึกลับก่อนหน้านั้น เขาจึงกล่าวพร้อมกับชี้ไปที่ซูหยางว่า “ศิษย์ของข้าเห็นเจ้าเลวนี้ฆ่าหวังหมิง”


 


แน่นอนว่าผู้อาวุโสเหลาย่อมไม่รู้ว่าซูหยางฆ่าหวังหมิง และพียงโกหกพกลมเพื่อที่จะทำให้อีกฝ่ายดูอันตรายมากขึ้น แต่เขาจะรู้สักนิดก็หาไม่ว่าเขาได้เปิดเผยความจริงได้โดยบังเอิญ


 


“อะไรกัน จริงรึ”


 


วิธีที่ผู้อาวุโสนิกายใช้มองซูหยางพลันเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินผู้อาวุโสเหลาแก้ตัวมั่วๆ


 


กระทั่งซูหยางยังมีท่าทางประหลาดใจเมื่อเรื่องหวังหมิงถูกยกขึ้นมา เขามั่นใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ๆเมื่อตอนที่เขาฆ่าหวังหมิง แต่ผู้อาวุโสเหลาคนนี้กลับรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร


 


“ร-รอสักครู่”


 


เสียงหวานแว่วขึ้นด้านหน้าซูหยางก่อนที่เขาจะทันได้พูด และร่างหนึ่งก็ปรากฏตัวต่อหน้าเขา


 


“ข-เขามิได้ทำเช่นนี้ด้วยเจตนาอันเป็นอันตรายต่อนิกาย แต่นั่นเป็นเพราะข้า” คนผู้นั้นกล่าว


 


ซูหยางมองไปยังสาวน่ารักตรงหน้าเขาด้วยดวงตากลมกว้าง ซึ่งปรากฏว่าคือจางซิวยิง


 


แม้ว่าซูหยางไม่เคยบอกจางซิวยิงเรื่องการฆ่าหวังหมิง เธอมั่นใจว่าซูหยางได้ฆ่าหวังหมิงเพื่อเธอเมื่อเธอได้ยินเกี่ยวกับการตายของอีกฝ่ายหลังจากสิ่งที่ซูหยางได้พูดกับเธอไว้ก่อนหน้านี้


 


“และเจ้าคือใครกัน”


 


ผู้อาวุโสนิกายหลายคนไม่อาจจดจำจางซิวยิงได้ จึงถามเธอ


 


“ข-ข้าคือจางซิวยิง….” เธอแนะนำตัวเองด้วยเสียงเอียงอาย


 


“ศิษย์จาง เจ้าหมายความว่าอะไรกับคำกล่าวเมื่อกี้นี้ ช่วยอธิบายหน่อย”


 


จางซิวยิงพยักหน้าและอธิบายให้พวกเขาฟังอย่างลวกๆว่า หวังหมิงได้ใช้ฐานะศิษย์ในของตนเองกดขี่ศิษย์นอกที่เป็นหญิงไปร่วมหลับนอนกับเขาอย่างไร หลังจากนั้นเธออธิบายเกี่ยวกับว่าซูหยางได้ช่วยเธอแก้แค้นหวังหมิงอย่างไร


 


“ใครจะคิดว่าคนอย่างเช่นหวังหมิงกลายเป็นคนแบบนี้…”


 


ผู้อาวุโสและศิษย์หลายคนสะอิดสะเอียนยิ่งนักเมื่อรับรู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของหวังหมิง บางคนกระทั่งรู้สึกยินดีต่อซูหยางที่ได้ฆ่าเขา ในเมื่อพวกเขาก็จะทำเช่นนี้เช่นเดียวกัน


 


ซูหยางมองดูทุกสิ่งเหล่านี้เปิดเผยต่อหน้าเขาพร้อมกับเลิกคิ้ว ดูเหมือนจะประหลาดใจกับเหตุการณ์ที่ดำเนินไปได้โดยเขาไม่ต้องพูดแม้แต่เพียงคำเดียว


 


“นั่นถูกต้องแล้ว ข้าเป็นคนที่ฆ่าหวังหมิง” สุดท้ายซูหยางได้แต่สารภาพว่าฆ่าหวังหมิงแม้ว่าจะมีเจตนาที่จะปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมดเมื่อช่วงเวลาก่อนหน้านี้


 


เมื่อผู้อาวุโสเหลาได้ยินคำสารภาพของซูหยาง ดวงตาของเขาเบิกกว้างด้วยความตระหนก เขามิคิดว่าคำพูดไร้สาระของเขาจะกลายเป็นความจริง


 


ช่วงเวลาก่อนหน้านั้นมีชายชราปรากฏตัวขึ้นจากภายในฝูงชนและยืนห่างสองสามเมตรจากซูหยาง สายตาอันลึกล้ำของเขาเต็มไปด้วยความตระหนกและชื่นชมเมื่อมองดูซูหยาง


 


“ผู้อาวุโสสูงสุดหาน” เหล่าผู้อาวุโสและศิษย์พลันจำชายชราคนนี้ที่มีผมยาวสีขาวและหนวดเคราฟู


 


“เจ้า…ทำไมเจ้าจึงปลอมตัวเป็นเพียงศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” ผู้อาวุโสสูงสุดหานพูดขณะที่ลูบบนเครายาวของตนเอง


 


“ว่ากระไร เขามิใช่ศิษย์ของที่นั่นรึ กระนั้นเขาก็ยังสวมเครื่องแบบของที่นั่น” ทุกคนมีท่าทางสับสนเมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสสูงสุดหาน


 


“บางคนอาจจะได้กระทั่งเสื้อผ้าเฉพาะด้วยความพยายามอยู่บ้าง และเจ้าอาจจะดูเหมือน “อ่อนแอ” แต่เจ้ามิอาจหลอกข้าได้…” ผู้อาวุโสสูงสุดหานจ้องเขม็งไปยังซูหยางด้วยความรู้สึกลึกล้ำ ราวกับว่าเขาสามารถมองทะลุอีกฝ่าย


 


“เจ้าพูดถึงเรื่องอะไรกัน” ซูหยางถามเขาพร้อมกับรอยยิ้มเล็กน้อยบนใบหน้า


 


“แม้ว่ามิมีใครในที่นี้สามารถมองเห็นพลังการฝึกปรือที่แท้จริงของเจ้าได้ แต่ข้าก็มิได้โทษพวกเขา ในเมื่อมีเพียงผู้ที่อยู่เขตอัมพรวิญญาณเช่นข้าจึงสามารถที่จะมองเห็นระดับปฐพีวิญญาณระดับสูงสุดของเจ้าได้…”


 


“ว่ากระไร เขตปฐพีวิญญาณระดับสูงสุด”


 


เมื่อผู้อาวุโสสูงสุดหานเปิดเผยพลังการฝึกปรือที่แท้จริงของซูหยางว่าเป็นเขตปฐพีวิญญาณระดับสูงสุด ทุกคนในที่นั้นต่างพากันอุทานออกมาด้วยความตื่นตระหนกเป็นอันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อาวุโสเหลาถึงกับล้มลงก้นจ้ำเบ้าจากความตกใจ


 


กระทั่งจางซิวยิงอดที่จะอ้าปากค้างด้วยความตระหนกไม่ได้ เธอมองดูซูหยางด้วยหน้าตาสับสนเหมือนว่าไม่อยากเชื่อ


 


ขณะที่ผู้ที่อยู่เขตปฐพีวิญญาณอาจจะไม่มีค่ามากนักในทวีปศักดิ์สิทธิ์กลาง แต่ถือว่าระดับสุดยอดของยุทธภพในที่แห่งนี้


 

DC บทที่ 207: โจมตีข้างเดียวกับนิกายดอกบัวเพลิง

 


เพื่อให้เห็นมุมมองของอิทธิพลจากผู้ที่อยู่เขตปฐพีวิญญาณระดับสูงสุด โหลวหลานจีซึ่งอยู่ประมาณเขตปฐพีวิญญาณระดับสี่มีความสามารถที่จะควบคุมนิกายทั้งหมดได้ด้วยตนเอง แม้ว่านั่นอาจจะไม่ใช่สำนักที่ทรงพลังที่สุด แต่นั่นก็ต้องการทรัพยากรมหาศาลสำหรับผู้คนจำนวนหลายร้อยในการดำรงชีพ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงสำนักที่มีคนมากหลายพันคน


 


“ข้ามิสนใจว่าเจ้ามีเหตุผลใดในการปลอมแปลงเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย แต่เจ้าได้ฆ่าหนึ่งในศิษย์ของนิกายเรา และข้าจักต้องให้เจ้ารับผิดชอบ แต่อย่าเข้าใจผิดจุดประสงค์ของข้าว่านี่เป็นวิธีการปกป้องหวังหมิง แม้ว่าหวังหมิงอาจจะเป็นคนไม่ดี แต่ว่าเขาก็ยังเป็นพวกข้า เจ้าคิดว่าคนจะพูดเกี่ยวกับพวกเราเช่นไรถ้าพวกเขารู้ว่ามีคนภายนอกได้จัดการฆ่าศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิงในขณะที่อยู่ภายในนิกายของตนเอง อีกทั้งจากไปโดยไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ข้าหวังว่าเจ้าคงเข้าใจ…”


 


ผู้อาวุโสหานจริงแล้วไม่ต้องการที่จะล่วงเกินคนเช่นซูหยางถ้าเขาไม่มีความจำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเบื้องหลังของอีกฝ่าย แต่เพื่อที่จะรักษาภาพพจน์ของตนเองต่อหน้าสาธารณะเพื่อที่ผู้อื่นจะได้ไม่มองพวกเขาว่าเป็นผู้ที่โดนรังแกได้โดยง่าย ในเมื่อหากว่าแสดงความอ่อนแอย่อมนำไปสู่ความพินาจในยุทธภพ ทำให้เขาไม่มีทางเลือกได้แต่ลงโทษซูหยางที่ฆ่าหนึ่งในศิษย์ของพวกเขา


 


“เจ้าพูดว่าเจ้าต้องการที่จะลงโทษข้าที่ฆ่าหวังหมิง แต่เจ้าตั้งใจจะทำอะไรกับข้ารึ” ซูหยางพูดด้วยเสียงผ่อนคลาย หน้าตายังคงเฉยเมยดังเช่นปกติ


 


คล้ายกับว่าเขาไม่ได้รู้สึกแม้แต่น้อยว่ามีความกดดันจากสถานการณ์ในตอนนี้ และผู้อาวุโสหานเพียงรู้สึกถึงความมั่นใจที่ปลดปล่อยออกมาจากเขา


 


“เขามิสะทกสะท้านอย่างแท้จริงเมื่อถูกรายล้อมด้วยคนทั้งนิกายในขณะที่เขาอยู่เพียงลำพัง หรือว่าว่าเขาเพียงแกล้งทำเป็นมั่นใจ” ผู้อาวุโสหานครุ่นคิดในใจ


 


ถ้าซูหยางยังสามารถผ่อนคลายได้ในสถานการณ์เช่นนี้ บางทีผู้หนุนหลังของเขาอาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้


 


“ข้ามิขอมาก” ผู้อาวุโสหานกล่าวหลังจากนั้นด้วยท่าทางจริงจังและชี้ตรงไปยังแขนขวาของซูหยาง “เพียงแค่เจ้าทิ้งแขนไว้ข้างหนึ่ง”


 


“อวัยวะข้าข้างหนึ่งรึ หือ” ซูหยางยกแขนขวาขึ้นและมองดู ราวกับว่าเขากำลังพยายามหาค่าของมันอยู่


 


เขากล่าวต่อสองสามวินาทีหลังจากนั้นว่า “ข้ามิรังเกียจที่จะทิ้งแขนไว้ข้างหนึ่ง แต่ว่าพวกเจ้าสามารถที่จะรับผิดชอบผลที่ตามมาได้หรือไม่ นั่นอาจจะมีค่าเท่ากับนิกายของเจ้าทั้งหมด เจ้ารู้บ้างไหม”


 


“เจ้ากล้า”


 


ผู้อาวุโสนิกายที่รายล้อมมีท่าทางโกรธแค้นเมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดเยาะเย้ยของซูหยาง แขนข้างหนึ่งของเขาจะมีค่าเท่ากับนิกายของพวกเขาทั้งนิกายที่มีประวัติมาหลายพันปีได้อย่างไร


 


“หุบปาก เข้าเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถพูดได้ที่นี่” ผู้อาวุโสหานตะโกนใส่บรรดาผู้อาวุโสนิกาย เป็นเหตุให้พวกเขาพากันปิดปากลงในทันที


 


หลังจากที่ปิดปากผู้อาวุโสนิกายแล้ว ผู้อาวุโสหานหันไปมองซูหยางพร้อมขมวดคิ้ว เขาพยายามอ่านสีหน้าและแววตาของซูหยาง หวังว่าจะพบเบาะแสเพียงเล็กน้อยว่าอีกฝ่ายกำลังหลอกลวง แต่น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถหาแม้เงาของการโกหกของซูหยางได้ มีแต่เพียงความมั่นใจ


 


“เจ้าสามารถบอกถึงเบื้องหลังของเจ้าได้หรือไม่ บางทีข้าอาจจะลดโทษของเจ้าลง” เขากล่าวกับซูหยาง พยายามไม่ให้เกิดเสียงกระอักกระอ่วน


 


เขาไม่ต้องการที่จะล่วงเกินผู้ทรงอำนาจที่เหนือกว่านิกายดอกบัวเพลิงของพวกเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ ท้ายที่สุดแล้วจะมีค่าอะไรในการพยายามปกป้องภาพพจน์ต่อสาธารณะชน หากว่าพวกเขาต้องเสี่ยงกับความปลอดภัยของนิกายทั้งหมดหากทำเช่นนั้น


 


ซูหยางชี้ไปที่ชุดสีเขียวบนร่างของเขาและกล่าวด้วยเสียงเรียบเฉยว่า “นี่คือสิ่งยืนยันตัวตนของข้า”


 


คิ้วของผู้อาวุโสหานยิ่งขมวดย่น คิดในใจว่าซูหยางทำเหมือนกับว่าเขาเป็นคนโง่เขลา


 


“แม้ว่าเจ้าอาจจะอยู่ที่เขตปฐพีวิญญาณระดับสูงสุด เจ้าตอนนี้ยังคงรายล้อมไปด้วยผู้มีฝีมือนับร้อยใจกลางนิกายดอกบัวเพลิง และด้วยคนมากมายเพียงนี้ ถ้าพวกเรามิต้องการให้เจ้าไป กระทั่งเส้นผมของเจ้าเส้นหนึ่งก็ไม่สามารถออกไปจากสถานที่แห่งนี้ในวันนี้ได้ ดังนั้นทำไมเจ้ามิคิดถึงคำตอบของเจ้าอีกครั้ง ข้าจักให้เวลาเจ้าชั่วขณะ”


 


ในใจของผู้อาวุโสหาน ไม่ว่าซูหยางจะมีเบื้องหลังทรงอำนาจเพียงใด ถ้าเขาไม่อาจกลับไปบอกพวกเขา และนิกายดอกบัวเพลิงปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด เช่นนั้นผู้ทรงอำนาจที่หนุนหลังอยู่ก็ไม่สามารถที่จะโจมตีนิกายดอกบัวเพลิงและแก้แค้นให้กับซูหยางได้โดยไม่ทำให้ตนเองเหมือนกับคนป่าเถื่อนดุร้ายไร้เหตุผล


 


“หืม…เช่นนั้นรึ” ซูหยางหรี่ตาลงและพูดอย่างช้าๆ “ความคิดเช่นนั้น…เจ้าต้องการที่จะทดสอบมันรึ”


 


ทันใดนั้นเองพลังอันน่าหวาดหวั่นก็ระเบิดออกจากร่างของซูหยาง แรงกดดันอันน่าหวาดหวั่นแผ่ออกไปรอบกายเขาและผู้อาวุโสและศิษย์มากมายต่างพากันเข่าอ่อนล้มลง


 


ใบหน้าของผู้อาวุโสหานพลันซีดเผือด กระทั่งถอยหลังไปสองสามก้าวอย่างไม่ตั้งใจเนื่องมาจากพลังอำนาจอันบ้าคลั่งที่รายล้อมรอบซูหยาง


 


“ป-ป-เป็นไปไม่ได้ ร-แรงกดดันนี้…มันทรงพลังเกินกว่าผู้นำนิกายไปมากนัก ข-เขาปลดปล่อยพลังมากมายเช่นนั้นได้อย่างไรในเมื่อเขาเองยังไปไม่ถึงเขตอัมพรวิญญาณ


 


“ขณะที่เจ้าอาจจะอยู่เขตอัมพรวิญญาณ แต่รากฐานของเจ้าช่างอ่อนแอ อ่อนแอเหลือเกิน ตามจริงแล้วข้าสามารถทำลายมันได้เพียงแค่ใช้สองนิ้ว เหมือนกับหักครึ่งกิ่งไม้…” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาตรงเข้าไปหาผู้อาวุโสสูงสุดหาน ผู้ที่สั่นสะท้านยามเมื่อรู้สึกถึงแรงกดดันของเขา


 


ผู้อาวุโสสูงสุดหานไม่อาจเข้าใจกับสถานการณ์ เหตุใดเขาจึงถูกกดดันโดยคนจากเขตปฐพีวิญญาณ ความแตกต่างระหว่างระดับเก้าเขตปฐพีวิญญาณและระดับหนึ่งของเขตอัมพรวิญญาณนั้นแตกต่างกันราวกับลูกไก่และนกฟินิกซ์ นี่เป็นสิ่งที่คิดไม่ถึงเกี่ยวกับซูหยาง ซึ่งเปรียบเสมือนลูกไก่ สามารถข่มขู่ฟินิกซ์ดังเช่นผู้อาวุโสสูงสุดหานได้


 


“ป-ป-ปกป้องผู้อาวุโสสูงสุด” หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายพลันตะโกนออกมา


 


วินาทีถัดไปสามารถเห็นร่างคนหลายคนกระโจนเข้าใส่ซูหยาง แม้ว่าจะมีแรงกดดันบนร่างพวกเขา ในสายตาของพวกเขาแม้ว่าจะต้องเสี่ยงชีวิต พวกเขาจะต้องปกป้องผู้อาวุโสสูงสุด ผู้ซึ่งต่ำกว่าเพียงผู้นำนิกายในด้านของฐานะและอิทธิพล


 


ดวงตาของซูหยางเป็นประกายวาวแววลึกล้ำ เขาเริ่มเหวี่ยงหมัดไปยังร่างที่พุ่งเข้ามาหา


 


“อาาา”


 


อย่างไรก็ตามเพราะว่าร่างกายที่ได้รับการบ่มเพาะมา หมัดธรรมดาของซูหยางที่ปล่อยออกไปโดยไม่ต้องใช้วิชาใดกระแทกได้รุนแรงกว่าวิชาใดๆที่เหล่าศิษย์และผู้อาวุโสนิกายเหล่านั้นจะเคยได้พบเจอ จนรู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขาปะทะเข้ากับภูเขา


 


ภายในเวลาเป็นวินาที ผู้คนมากมายสามารถเห็นได้ว่าปลิวลิ่วไปทุกสารทิศหลังจากที่ถูกกระแทกโดยซูหยาง คล้ายกับฉากที่เด็กขี้หงุดหงิดปัดของเล่นกระจายไปทั่วห้องด้วยความหงุดหงิดจากการถูกกักบริเวณ


 


“ส-สวรรค์ สัตว์ร้ายแบบไหนกันที่ข้าไปแหย่เข้าให้” ผู้อาวุโสสูงสุดหานรู้สึกว่าเรี่ยวแรงบนขาของเขาหายไปเมื่อมองดูซูหยางโยนเหล่าศิษย์ของเขากระจายไปทั่วบริเวณ ทำราวกับว่าพวกเขาเป็นเพียงแค่ตุ๊กตาหญ้าฟาง



DC บทที่ 208: ความวุ่นวายภายในนิกายดอกบัวเพลิง

 


ความวุ่นวายเกิดขึ้นภายในนิกายดอกบัวเพลิงเมื่อซูหยางเผชิญกับผู้มีฝีมือนับร้อยด้วยตัวคนเดียว ส่งร่างคนปลิวว่อนไปทั่วพื้นที่โดยไม่สนใจพลังการฝึกปรือของพวกเขาแม้แต่น้อย


 


จากศิษย์หลักเขตสัมมาวิญญาณไปจนถึงผู้อาวโสเขตปฐพีวิญญาณ ซูหยางไม่ได้แสดงความเมตตาโจมตีพวกเขาด้วยแรงที่เท่ากัน ทำราวกับว่าพวกเขาเป็นหุ่นสำหรับซ้อมมือ


 


“ฝ่ามือดอกบัวเพลิงพิฆาตระดับสูง”


 


“เตาหลอมแผดเผา”


 


“ฝนร้อยบัว”


 


วิชามากกว่าหลายสิบวิชาสำแดงเดชมุ่งไปยังซูหยางซึ่งกำลังวุ่นวายกับการรับมือศิษย์คนอื่น


 


บูม


 


เกิดการระเบิดขึ้นขนานใหญ่ตรงตำแหน่งที่ซูหยางยืนอยู่ ฝุ่นควันปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าเหนือนิกายดอกบัวเพลิง เป็นเหตุให้ศิษย์คนอื่นและผู้อาวุโสนิกายที่อยู่ภายในนิกายคิดว่าพวกเขาถูกโจมตี


 


การระเบิดทำให้พื้นดินสั่นสะท้านและในขณะที่เหล่าศิษย์เชื่อว่าซูหยางตกตายไปแล้วจากการโจมตีที่รุนแรง ก็มีเสียงหัวเราะดังลั่นไปทั่วพื้นที่


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า มีอะไรผิดพลาดกับนิกายดอกบัวเพลิงรึ หรือว่านี่เป็นทุกอย่างที่พวกเจ้าทำได้” ซูหยางกระโดดออกมาจากกลุ่มฝุ่นควันพร้อมกับหัวเราะ ดูไม่มีแม้รอยขีดข่วนกับวิชามากมายที่โจมตีไปยังเขาก่อนหน้านี้


 


“นี่มันบ้าอะไรกัน ไม่มีแม้แผลสักรอยบนตัวเขา”


 


ผู้คนบริเวณนั้นล้วนปากอ้าค้างด้วยความตระหนกเมื่อพวกเขาพบว่าร่างกายของซูหยางยังสมบูรณ์แม้ว่าจะโดนโจมตีเข้าไปโดยตรง


 


สิ่งที่ควรจะฆ่าผู้มีฝีมือเขตอัมพรวิญญาณได้อย่างง่ายดายไม่อาจแม้จะทำให้เสื้อผ้าบนร่างซูหยางเสียหาย อย่าว่าแต่จะฆ่าเขา อีกทั้งยังถูกอีกฝ่ายหัวเราะเยาะหลังจากพบเห็นความจริง ดูเหมือนว่าเขาจะสนุกสนานไปกับฉากวุ่นวายนี้


 


“บ้าแล้ว เจ้าชั่วนั่นเป็นสัตว์ประหลาด อย่ายั้งมือ ใช้ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเจ้ามีกับเขา”


 


วิชามากมายยิ่งกว่านั้นจู่โจมเข้าไปยังซูหยาง แต่ซูหยางเพียงแค่โบกชายเสื้อเปลี่ยนทิศทางการโจมตีของวิชาเหล่านั้นไปยังทิศทางอื่น เป็นเหตุให้เกิดการโจมตีพวกเดียวกัน


 


“ห-หยุด หยุดการใช้วิชา พวกเราเพียงทำร้ายตนเองเท่านั้น”


 


ผู้คนบริเวณนั้นต่างพบว่าวิชาเหล่านั้นไร้ประโยชน์ต่อซูหยางและเปลี่ยนเป็นพุ่งตรงเข้าหาเขาด้วยอาวุธแทน


 


อาวุธวิญญาณปรากฏขึ้นทั่วทุกทิศทาง จนทำให้เกิดบรรยากาศอันลึกล้ำปกคลุมที่นั่น


 


อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะได้เห็นอาวุธวิญญาณเหล่านี้ทั้งหมด ซูหยางไม่ได้นำเอาอาวุธของตนเองออกมา เพียงต่อสู้กับพวกเขาด้วยมือเปล่า


 


ติ๊ง


 


ดิ๊ง


 


แคร้ง


 


“อ-อ-อาวุธวิญญาณของข้า เขาทำลายอาวุธวิญญาณของข้าด้วยมือเปล่า”


 


“อาาา ของรักของข้า เขาหักมันเป็นหลายท่อนเพียงหมัดเดียว”


 


ผู้คนบริเวณนั้นรู้สึกหวาดกลัวอย่างแท้จริงเป็นครั้งแรกเมื่อพวกเขาพบว่าแม้กระทั่งสมบัติวิญญาณก็ไม่สามารถทำร้ายซูหยางได้


 


พวกเขาล้วนรู้สึกเหมือนว่าพวกเขากำลังต่อสู้กับสัตว์อสูร ไม่ใช่ กระทั่งสัตว์อสูรยังมีจุดอ่อนของตนเอง ซูหยางคล้ายกับภูเขาที่ทำมาจากเหล็กกล้า บางสิ่งที่ไม่ว่าจะเป็นวิชาหรือสมบัติวิญญาณไม่อาจทำอันตรายได้


 


ส่วนสำหรับซูหยาง เขาทำเหตุการณ์นี้เหมือนกับว่าเป็นเพียงการทะเลาะวิวาทในงานเลี้ยงใหญ่ในขณะที่ทุกคนกำลังมึนเมา อย่างไรก็ตามแม้ว่าเขาจะโจมตีโดยไร้ความปราณี เขาไม่ได้โจมตีด้วยความคิดฆ่าฟัน


 


ส่วนมากแล้วก็จะมีเพียงบางคนที่ซี่โครงแขนขาหัก แต่ไม่มีใครในนั้นที่ได้รับบาดเจ็บถึงขั้นคุกคามต่อชีวิต นั่นเป็นวิธีแสดงความ “เมตตา” แบบซูหยาง ถ้าเขาต้องการที่จะสร้างศัตรูกับนิกายดอกบัวเพลิงจริงๆ เขาสามารถฆ่าทุกคนที่นั่นด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวด้วยแมงป่องดำ


 


ผู้อาวุโสหานก็สังเกตเห็นเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงรีบตะโกน “หยุด หยุด หยุด พวกเจ้าทุกคนหยุด ยับยั้งการเคลื่อนไหวของพวกเจ้า”


 


เหล่าศิษย์และผู้อาวุโสนิกายต่างพากันหยุดการโจมตีซูหยางในทันทีและเว้นระยะห่างออกมาจากเขา ทั้งยังแอบขอบใจผู้อาวุโสหานที่หยุดพวกเขา ในเมื่อพวกเขาส่วนใหญ่ล้วนสูญเสียความคิดต่อสู้กับซูหยางไปแล้ว กระทั่งหวาดกลัวเขาราวกับว่าเขาเป็นฝันร้ายที่ร้ายที่สุด


 


ครั้นเมื่อพวกเขาหยุดโจมตีเขา ซูหยางก็ยืนสงบนิ่งอยู่ที่นั่นพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า ราวกับว่าเขาเพิ่งเสร็จสิ้นการเดินเล่นในสวนสาธารณะ


 


ในเวลานั้นจางซิวยิงผู้ซึ่งถูกผลักไปอยู่เบื้องหลังก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้นก็ได้จ้องมองซูหยางด้วยดวงตาแลปากเปิดกว้างเหมือนจานรองแก้ว เช่นเดียวกับทุกคน เธอไม่อาจเชื่อกับสิ่งที่เธอมองเห็น


 


คนคนเดียวสามารถรับมือกับนิกายดอกบัวเพลิงเกือบทั้งหมดสำนักด้วยตัวเอง โดยไม่ได้รับบาดเจ็บบนร่างกายแม้แต่น้อย คงไม่มีใครเชื่อเหตุการณ์นี้นอกจากว่าพวกเขารับรู้ด้วยตาของตนเอง แต่แม้กระทั่งพวกเขาอยู่ที่นี่และได้พบเห็น พวกเขาก็คงยังสงสัยดวงตาของตนเองอยู่ดี


 


“ความคิดที่ว่า…ข้ามิอาจไปได้ถ้าเจ้ามิอนุญาตให้ข้าไป… เจ้ายังคงเชื่อเช่นนั้นอยู่หรือไม่” ซูหยางถามผู้อาวุโสสูงสุดหานพร้อมหรี่ตา มือไพล่หลัง


 


เหงื่อเม็ดโตปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้อาวุโสสูงสุดหานเมื่อได้ยินคำถาม และภายใต้การจ้องมองของเหล่าศิษย์นับร้อยตรงนั้น เขาส่ายหน้าอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ กล่าวว่า “โปรดละเว้นนิกายดอกบัวเพลิง นี่เป็นความผิดของข้า ดังนั้นข้าจักรับผิดชอบทั้งหมด กระทั่งท่านต้องการชีวิตของข้า ข้าก็จักมิปฏิเสธ”


 


ผู้อาวุโสสูงสุดหานค้อมกายคารวะซูหยางและพูดด้วยเสียงจริงใจ เขาไม่คิดว่าซูหยางจะยกโทษให้กับนิกายของเขาหลังจากเรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้น แต่ถึงแม้ซูหยางอาจจะยกโทษให้เขาและนิกาย เขายังคงเสียใจที่ไปล่วงเกินคนอย่างซูหยางต่อจากนี้ไปอีกนานหลายปี


 


หลังจากที่นิ่งเงียบไปชั่วขณะ ซูหยางก็อ้าปากพูด แต่ก่อนที่จะมีคำพูดใดออกมา เสียงอื่นก็ดังขึ้นมาในพื้นที่เสียก่อน


 


“เกิดอะไรขึ้นที่นี่”


 


ชายวัยกลางคนปรากฏตัวจากที่ไกล ข้างกายมีหญิงสาวสวมชุดศิษย์หลัก


 


“ผ-ผ-ผู้นำนิกาย”


 


“ศิษย์พี่หญิงหลิน”


 


ผู้นำนิกายของนิกายดอกบัวเพลิงได้ตัดสินใจที่จะปรากฏตัวด้วยตนเองที่นี่หลังจากที่มีความปั่นป่วนวุ่นวายมหาศาลที่สั่นสะเทือนไปทั้งนิกายไปหลายนาที ข้างกายเขาคือหลินเฉาชางหนึ่งในศิษยหลักไม่กี่คนที่เป็นศิษย์โดยตรงของผู้นำนิกาย วันนี้เป็นตาของเธอที่จะรับการอบรมจากผู้นำนิกาย แต่เพราะว่าความวุ่นวายที่เกิดขึ้น จึงถูกตัดไป ดังนั้นจึงมีท่าทางไม่พอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้างดงามของเธอ 

 

 


ตอนที่ 209

 

17

 


ผู้นำนิกายดอกบัวเพลิงมองไปยังฉากรอบข้างพร้อมกับขมวดคิ้วบนใบหน้าดุดัน ศิษย์หลายคนนั้นครวญครางด้วยความปวดร้าว เลือดสาดกระจายไปทั่วพื้น และทั่วทั้งพื้นที่ดูเหมือนกับว่าเพิ่งเกิดสงครามใหญ่ขึ้น


 


เขาจึงหันไปมองดูซูหยาง ซึ่งยังคงยืนอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางสงบพร้อมกับสายตาที่จับจ้องมายังตัวเขา


 


ผู้นำนิกายดวงตาเบิกกว้างขึ้นด้วยความประหลาดใจเมื่อเขาพบว่าพลังการฝึกปรือของซูหยางอยู่ที่เขตปฐพีวิญญาณระดับสูงสุด อย่างไรก็ตามเห็นชัดว่าเขาสวมชุดที่เป็นของศิษย์นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย และเท่าที่เขาจำได้ ผู้นำนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเพียงอยู่ที่ระดับกลางของเขตปฐพีวิญญาณ ดังนั้นผู้มีฝึมือระดับสูงสุดนี้มาจากไหนกัน


 


“เจ้าเป็นใคร เจ้าเป็นคนที่ทำให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี้รึ” ผู้นำนิกายถามซูหยางด้วยเสียงเรียบเฉย แต่เปี่ยมไปด้วยการคุกคาม


 


แต่ทว่า ผู้อาวุโสสูงสุดหานกลับยืนอยู่ตรงหน้าเขาและกล่าวว่า “ท่านผู้นำนิกาย ทั้งหมดนี้สาเหตุมาจากความโง่เขลาของชายชราผู้นี้…”


 


“อะไรกัน เจ้ารึ ไหนลองอธิบายมาซิ” ผู้นำนิกายมีท่าทางที่เปี่ยมไปด้วยความประหลาดใจเมื่อได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสสูงสุดหาน เหตุใดคนที่มีปัญญาอย่างเช่นผู้อาวุโสสูงสุดหานจึงเป็นต้นเหตุของความวุ่นวายทั้งหมดนี้


 


ผู้อาวุโสสูงสุดหานรู้สึกกระอักกระอ่วนที่จะบอกผู้นำนิกายตามความเป็นจริงในตอนนี้ ในเมื่อไม่ต้องสงสัยเลยว่าการทะเลาะรอบใหม่จะต้องเกิดขึ้นแน่นอนถ้าคนที่หยิ่งทระนงและใจร้อนดังเช่นผู้นำนิกายได้รู้ถึงการกระทำของซูหยางต่อศิษย์ของตนเองในพื้นที่ของเขา


 


“มีอะไรผิดไปรึ ผู้อาวุโสสูงสุดหาน ทำไมเจ้าจึงมิพูด” ผู้นำนิกายขมวดคิ้วเมื่ออีกฝ่ายเงียบไปเป็นเวลานาน


 


“ท่านผู้นำนิกาย โปรดรอสักครู่ ข้าจักอธิบายทุกสิ่งให้กับท่าน… เพียงแต่…” ผู้อาวุโสสูงสุดหานหันไปมองดูซูหยางด้วยท่าทางสับสน


 


เขาต้องการอธิบายสถานการณ์ให้กับผู้นำนิกาย แต่เขาไม่ต้องการให้เกิดการถูกซ้อมข้างเดียวรอบใหม่เกิดขึ้น บางทีอาจจะเป็นการฆาตกรรมหมู่ในคราวนี้ ซึ่งเขาแน่ใจว่าแม้จะเป็นผู้นำนิกายก็ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายได้


 


ยิ่งไปกว่านั้น ซูหยางยังไม่ได้พูดอะไรออกมาเกี่ยวกับข้อเสนอของผู้อาวุโสหานให้ละเว้นนิกายดอกบัวเพลิงโดยใช้ชีวิตเขาแทน


 


เมื่อเห็นสายตาของผู้อาวุโสหาน ซูหยางยิ้มและหันไปหาจางซิวยิงและกล่าวว่า “ซิวยิง เจ้าพอที่จะพาข้าไปยังทางออกได้หรือไม่ ข้าจำมิได้ว่าอยู่ตรงไหน”


 


ซูหยางไม่มีเจตนาที่จะเอาชีวิตผู้อาวุโสหาน เหตุผลเดียวที่ซูหยางตัดสินใจเข้าร่วมทะเลาะวิวาทครั้งนี้ง่ายๆก็คือเขาต้องการทดสอบความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา และผลลัพธ์ก็น่าพอใจยิ่งนัก


 


“หยุดอยู่ตรงนั้น ใครบอกให้เจ้าไปได้” ผู้นำนิกายพลันตะโกนไปยังซูหยาง จนทำให้หัวใจผู้อาวุโสหานเต็มไปด้วยความตระหนก เขาพึ่งขอบคุณสวรรค์ไปก่อนหน้านั้นเมื่อซูหยางตัดสินใจปล่อยพวกเขาไป


 


ซูหยางหยุดเดินและหันไปมองผู้นำนิกายพร้อมกับหรี่ตา สายตาของเขาเต็มไปด้วยความคิดฆ่าฟัน


 


“เจ้าคิดหยุดข้ารึ” ซูหยางพูดด้วยเสียงเย็นเยียบ รังสีฆ่าฟันในดวงตาของเขาพลันแผ่กระจายออกไปทั่วบริเวณ เป็นเหตุให้ทุกคนในที่นั้นสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว


 


แม้ว่าผู้นำนิกายตระหนกกับรังสีฆ่าฟันที่น่าหวาดหวั่นของซูหยาง แต่เขายังยืนหยัดและเริ่มปลดปล่อยแรงกดดันของตนเองออกมา ดูเหมือนว่าเขาเตรียมตัวที่จะต่อสู้กับซูหยาง


 


เมื่อผู้อาวุโสสูงสุดหานเห็นภาพนี้ ร่างกายของเขาทั้งหมดพลันชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบ


 


“จบสิ้นกัน เขากำลังจะฆ่าพวกเราทั้งหมด” ผู้อาวุโสสูงสุดหานร่ำร้องในใจ เขาสามารถจินตนาการฉากของนิกายดอกบัวเพลิงถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน


 


ซูหยางหันหน้ามาเผชิญกับผู้นำนิกายและดึงเอาแมงป่องดำออกมาจากแหวนมิติ เป็นเหตุให้บรรยากาศดูร้ายแรง ราวกับว่าอากาศเปลี่ยนเป็นพิษเพียงแค่การปรากฏตัวของแมงป่องดำ


 


ท่าทางของผู้นำนิกายเปลี่ยนไปอย่างมากเมื่อเห็นแมงป่องดำ ผิวของเขาซีดเผือด


 


“ข-ข-เขามีกระทั่งสมบัติวิญญาณระดับสวรรค์ ชายผู้นี้เป็นใครกัน” แม้ว่าเป็นครั้งแรกที่ผู้นำนิกายเห็นสมบัติวิญญาณระดับสวรรค์ เขาสามารถบอกถึงระดับของมันได้โดยอาศัยกลิ่นอายที่สามารถเปลี่ยนสภาพบรรยากาศที่มันปลดปล่อยออกมา สิ่งที่กระทั่งสมบัติระดับปฐพีของเขาไม่อาจทำได้


 


ส่วนสำหรับศิษย์และผู้อาวุโสนิกายคนอื่น พวกเขารู้สึกว่ามีแรงกดดันที่มองไม่เห็นทำให้พวกเขายากที่จะหายใจหลังจากที่แมงป่องดำปรากฏขึ้น


 


หลังจากที่เผยให้เห็นแมงป่องดำ ซูหยางก็เริ่มตรงเข้าไปหาผู้นำนิกาย สายตาของเขายังเปี่ยมไปด้วยควมคิดฆ่าฟัน


 


ผู้นำนิกายเริ่มก้าวถอยหลัง เห็นชัดว่าเขาหวาดหวั่นกับสิ่งสวยงามสีดำในมือซูหยางที่ปลดปล่อยกลิ่นอายแห่งความตายราวกับว่าต้องการกลืนกินชีวิตของเขา


 


“ร-รอสักครู่–เรามาตกลงกัน–”


 


ขณะที่ผู้นำนิกายเปิดปากพูด ซูหยางใช้ก้าวเก้าดาราปรากฏตัวเบื้องหน้าของอีกฝ่ายพร้อมกับแมงป่องดำห่างเพียงมิลลิเมตรเดียวจากคอของผู้นำนิกาย


 


“มีดสั้นเล่มนี้แช่ด้วยพิษที่สามารถฆ่าได้กระทั่งผู้มีฝีมือเขตอัมพรวิญญาณภายในเวลาไม่กี่วินาที และถ้าเจ้ามิต้องการให้ข้าเผลอฆ่าเจ้าโดยไม่เจตนา ข้าขอแนะนำให้เจ้าอย่าเคลื่อนไหว”


 


“…”


 


ผู้นำนิกายตกตะลึงกับความเร็วของซูหยางจนทำให้เขาตัวแข็งทื่อด้วยความตระหนก และหลังจากที่ได้ยินคำพูดของซูหยาง เขาไม่กล้าแม้แต่จะกลืนน้ำลาย ด้วยกลัวว่าตัวเองจะเผลอขยับผิวหนังบริเวณลำคอ


 


หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วขณะที่มีความรู้สึกเหมือนผ่านไปหลายชั่วโมงสำหนับเหล่าศิษย์และผู้อาวุโสนิกาย ซูหยางดึงแมงป่องดำออกจากคอของผู้นำนิกายและเพียงหันกายไปอย่างง่ายๆ


 


“ข้าสามารถฆ่าทุกคนในที่นี้ได้อย่างง่ายๆและทำให้ชื่อนิกายนี้กลายเป็นความจริง แต่ข้ามิต้องการให้เพื่อนตัวน้อยของข้ากลายเป็นคนไร้บ้าน ดังนั้นจงถือว่าพวกเจ้านั้นโชคดี” ซูหยางกล่าวกับพวกเขาในขณะที่เขามองดูจางซิวยิง


 


แม้ว่าคำพูดซูหยางอาจจะฟังดูตรงไปตรงมา แต่ทั้งผู้นำนิกายและผู้อาวุโสสูงสุดหานรู้ถึงความจริงที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของอีกฝ่าย ซึ่งเป็นการเตือนพวกเขาว่าถ้าพวกเขาทำร้ายจางซิวยิงเหตุเพราะว่าอีกฝ่าย โดยไม่ต้องสงสัยว่าเขาจะต้องฆ่าพวกเขาทั้งหมดและทำลายนิกายดอกบัวเพลิง


 


ซูหยางพลันหันไปมองดูจางซิวยิงและกล่าวพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า “ไม่เป็นไร ซิวยิง ข้าควรไปด้วยตัวเอง”


 


หลังจากพูดถ้อยคำเหล่านั้นแล้ว ซูหยางก็นำเอาเรือบินออกมาจากแหวนมิติและกระโดดเข้าไปในนั้น ก่อนที่จะออกตัวบินไปด้วยความเร็วที่สามารถอธิบายว่าเร็วดุจสายฟ้า


 


ครั้นเมื่อร่างของซูหยางหายไปจากนิกายดอกบัวเพลิง ทุกคนที่ตรงนั้นค่อยหันกายไปมองดูจางซิวยิงด้วยดวงตาเบิกกว้าง สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นเกรงกลัว



DC บทที่ 210: หลังการศึก

 


“ผู้อาวุโสสูงสุดหาน เจ้าทางที่ดีควรมีคำอธิบายที่เหมาะสมกับเรื่องทั้งหมดนี้” ผู้นำนิกายตะโกนใส่อีกฝ่ายโดยไม่สนใจว่ามีศิษย์รายล้อม ทั้งไม่คำนึงถึงหน้าตาของผู้อาวุโสสูงสุดหาน เสียงของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ


 


เหล่าศิษย์และผู้อาวุโสนิกายต่างพากันเห็นอกเห็นใจในความโกรธแค้นของผู้นำนิกาย ในเมื่อใจของพวกเขาเองก็แผดเผาไปด้วยความคับข้องใจหลังจากประสบกับความรู้สึกไร้อำนาจ และยิ่งต่อคนคนเดียวเสียด้วย


 


“และเจ้า เจ้าต้องไปกับข้าด้วยเช่นกัน” ผู้นำนิกายพลันชี้มือไปยังจางซิวยิง ซึ่งยังคงตกอยู่ในห้วงความคิด


 


เหล่าศิษย์คนอื่นและผู้อาวุโสนิกายล้วนพากันจ้องมองไปยังจางซิวยิงด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น พวกเขาล้วนสงสัยในความสัมพันธ์ของเธอกับซูหยาง และพวกเขาบางคนยังรู้สึกอิจฉาเธอเสียด้วยซ้ำไป


 


ว่าไปแล้ว ใครบ้างไม่ต้องการที่จะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคนที่มีพลังอำนาจที่กระทั่งนิกายดอกบัวเพลิงทั้งหมดไม่อาจต่อกรด้วย


 


ยิ่งไปกว่านั้น เพราะว่าจางซิวยิงเคยเป็นเพียงศิษย์นอกจนกระทั่งไม่นานมานี้ ส่วนใหญ่แล้วคนที่นั่นไม่เคยเห็นหน้าเธอมาก่อนจนกระทั่งวันนี้ อย่าว่าจะรู้จักชื่อเธอ


 


ผู้คนในที่แห่งนั้นต่างพากันจ้องมองหน้าตาน่ารักใคร่ของจางซิวยิงด้วยดวงตาเบิกกว้างขณะที่เธอเดินตามผู้นำนิกายด้วยท่าทางประหม่า ราวกับว่าพวกเขาต้องการที่จะจดจำฝังใจรูปร่างหน้าตาของเธอไว้ เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่เผลอล่วงเกินเธอเข้าโดยไม่เจตนาในอนาคต


 


ไม่ต้องพูดถึงศิษย์หลัก แม้กระทั่งผู้อาวุโสนิกายในที่แห่งนั้นพวกเขายินดีรับประทานอาจมดีกว่าที่จะไปล่วงเกินซูหยางหลังจากที่เห็นการแสดงออกถึงอำนาจที่เหนือกว่าอย่างน่าหวาดหวั่น ที่สามารถคุกคามได้แม้กระทั่งทั้งนิกายด้วยตัวของเขาเพียงคนเดียว


 


ยามเมื่อจางซิวยิง ผู้อาวโสสูงสุดหาน และผู้นำนิกายไปพ้นจากพื้นที่บริเวณนั้นและขังตัวเองไว้ในห้องส่วนตัว ผู้นำนิกายก็เริ่มตั้งคำถามผู้อาวุโสสูงสุดหานเป็นอันดับแรก


 


“เกิดบ้าอะไรขึ้นที่นั่น เจ้าสัตว์ประหลาดนั่นเป็นใคร”


 


ผู้อาวุโสสูงสุดหานถอนหายใจลึกและเริ่มอธิบายให้เขาฟังทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อนที่เขาจะไปถึง


 


“ชายคนนั้นที่ระบุตนว่าชื่อ ซูหยาง ได้โจมตีศิษย์ของผู้อาวุโสเหลาภายในเมืองดอกบัวพร้อมด้วยศิษย์ในคนอื่นอีกสามคน เขายังได้ยอมรับว่าเขาเป็นผู้ร้ายในเรื่องการตายของหวังหมิง ศิษย์ในที่พบเป็นขี้เถ้าเมื่อก่อนหน้านี้ภายในเขตศิษย์ใน”


 


“ด-เดี๋ยวก่อน ซ-ซูหยางโจมตีพวกเขาก็เพราะว่าพวกเขา–”


 


จางซิวยิงพยายามที่จะปกป้องซูหยางและการกระทำของเขาแต่ถูกขัดจังหวะโดยผู้นำนิกาย “เจ้าจักได้รับโอกาสให้อธิบายภายหลัง”


 


ผู้นำนิกายพยายามที่จะทำให้เสียงสงบนิ่งยามเมื่อพูดกับเธอ ราวกับว่าเขาเกรงว่าจะทำให้เธอกลัวหลังจากที่ได้ยินคำเตือนอย่างชัดเจนของซูหยาง


 


“ผู้อาวุโสเหลาเป็นคนแรกที่เข้าไปเผชิญหน้าซูหยาง และในระหว่างการปะทะกัน ผู้อาวุโสเหลาได้ตัดสินใจที่จะใช้ยันต์ขอความช่วยเหลือเรียกพวกเราทั้งหมด และนี่ก็เป็นตอนที่ข้าไปถึง และเพราะว่าเบื้องหลังของเขายังคลุมเคลือไม่แน่ชัดหลังจากที่ข้าได้โต้เถียงกับเขา ข้าได้ตัดสินใจที่จะให้เขาทิ้งแขนไว้ข้างหนึ่งเป็นการลงโทษที่ฆ่าศิษย์ของเราคนหนึ่ง เขาได้ปฏิเสธทั้งยังได้เยาะเย้ยพวกเรา และทุกสิ่งหลังจากนั้นก็คือความปั่นป่วนวุ่นวาย…”


 


ผู้อาวุโสสูงสุดหานได้อธิบายให้ผู้นำนิกายว่าทั้งวิชาการต่อสู้และอาวุธวิญญาณล้วนไม่อาจทำอะไรซูหยางได้ และเขารู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขากำลังต่อสู้อยู่กับภูเขาเหล็กกล้าที่ไม่มีวันขยับเขยื้อน


 


“ชายคนนั้น…เขาเป็นสิ่งที่ถูกสั่งตรงมาจากฝันร้ายสุดขีด…” ผู้อาวุโสสูงสุดหานถอนใจ รู้สึกเหมือนกับว่าอายุสั้นไปหลายปีหลังจากที่เหตุการณ์ในวันนี้


 


ผู้นำนิกายหลับตาลงครุ่นคิดหลังจากฟังคำอธิบายของผู้อาวุโสสูงสุดหาน


 


หลังจากนิ่งเงียบผ่านไปหลายนาที ผู้นำนิกายได้ลืมตาขึ้นมองดูจางซิวยิงและกล่าวว่า “เอาเลย แนะนำตัวเจ้าให้ข้าก่อนที่จะเริ่มด้วย”


 


จางซิวยิงพยักหน้าและกล่าวว่า “ศิษย์คนนี้เรียกว่าจางซิวยิง ข้าเป็นศิษย์นอกอยู่จนกระทั่งไม่นานมานี้ และที่เมืองดอกบัว…ซูหยางเพียงทำร้ายพวกเขาก็เพราะว่าพวกเขายั่วยุเขาด้วยถ้อยคำหยาบคาย อีกทั้งศิษย์หลักคนนั้นเป็นฝ่ายโจมตีซูหยางก่อน ส-สำหรับหวังหมิง…เพราะว่าเขามักใช้ฐานะศิษย์ในของเขาบีบบังคับศิษย์นอกหญิงให้ไปหลับนอนกับเขา ซูหยางจึงฆ่าเขา…”


 


ผู้นำนิกายเริ่มครุ่นคิดอีกครั้ง หลังจากเงียบผ่านไปอีกหลายนาที เขากล่าวกับจางซิวยิงว่า “หวังหมิงได้บีบบังคับเจ้าหรือไม่”


 


เขาไม่สามารถหาเหตุผลดีใดๆที่ชักนำให้ซูหยางไปสู่หวังหมิง นอกจากว่าจางซิวยิงเป็นสาเหตุ


 


จางซิวยิงพยักหน้าด้วยท่าทางขมขื่น กล่าวว่า “ก่อนเขาตาย หวังหมิงได้กดดันข้าให้ไปหลับนอนกับเขา”


 


“เจ้าได้พบกับชายคนที่ชื่อซูหยางได้อย่างไร” ผู้นำนิกายถามเธอ


 


“ข้าพบกับซูหยางที่โรงประมูลดอกบัวเพลิงระหว่างการเปิดประมูลปีนี้” เธอกล่าว หลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงรายละเอียดอย่างจงใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เธอให้แก่นปราณหยินแก่เขาในช่วงเวลานั้น


 


“โรงประมูลดอกบัวเพลิง หรือว่าผู้อาวุโสหวังก็รู้จักเขา” เขาถามเธอ


 


จางซิวยิงพยักหน้า


 


ผู้นำนิกายเริ่มปวดหัวจากเรื่องทั้งหมดนี้ หวังชูเหรินจะมีปฏิกิริยาอย่างไรหากเธอทราบตัวตนของคนฆ่าญาติของเธอ จะดีที่สุดสำหรับเธอและนิกายดอกบัวเพลิงถ้าเธอไม่ตามไปแก้แค้นเขา


 


หลังจากครุ่นคิดไปหลายนาที ผู้นำนิกายก็กล่าวว่า “ผู้อาวุโสสูงสุดหาน ข้าต้องการให้ท่านไปพูดกับผู้อาวุโสหวังเกี่ยวกับซูหยาง และถ้าเธอต้องการแก้แค้นให้ญาติเธอ ข้าต้องการให้ท่านพยายามโน้มน้าวเธอให้โยนความคิดนั้นทิ้งไปทุกวิถีทาง”


 


และเขากล่าวต่อไปอีกว่า “สำหรับเหตุการณ์ในวันนี้ ให้ทำเหมือนกับว่าไม่เคยเกิดเรื่องนี้มาก่อน”


 


“ประทานโทษ” ผู้อาวุโสสูงสุดหานมองดูผู้นำนิกายด้วยดวงตาเบิกกว้าง


 


“ยินดีเป็นอย่างยิ่งถ้าเจ้าจะไปหาเขาเองและบอกเขาให้รับผิดชอบเรื่องวันนี้” ผู้นำนิกายกล่าว


 


ผู้อาวุโสสูงสุดหานส่ายหน้าในทันที


 


“ส่วนสำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย เห็นชัดว่าพวกเขามิมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะสร้างปัญหาให้กับพวกเขา และสำหรับเจ้าศิษย์จาง ข้าต้องขออภัยสำหรับการกระทำของหวังหมิง ในเมื่อมันเป็นความผิดพลาดในส่วนของข้าในฐานะผู้นำนิกาย นับแต่วันนี้ ข้าจักทำให้มั่นใจว่าจักไม่มีผู้กระทำผิดเช่นหวังหมิงอีก”


 


จางซิวยิงพลันโค้งคำนับและแสดงความขอบคุณ “ขอบคุณท่านผู้นำนิกาย”


 


แม้ว่าผู้นำนิกายอาจจะถือเกียรติและหยิ่งทระนง เขาก็ไม่ได้โง่เขลาและไร้เหตุผล เขาตระหนักถึงความผิดพลาดของตนเองและจะทำมันให้ถูกต้อง ส่วนความขื่นขมในใจที่เกิดจากการเผชิญหน้ากับซูหยาง ไม่มีอะไรที่เขาจะสามารถทำได้นอกจากพยายามลืมมันไป


 


นอกเหนือจากอาการบาดเจ็บที่ไม่มีผลข้างเคียงของเหล่าศิษย์บางคนแล้ว ก็ไม่มีอันตรายแท้จริงใดต่อนิกายดอกบัวเพลิงอีก ดังนั้นเขาสามารถเพิกเฉยต่อเหตุการณ์ในวันนี้ได้ในระดับหนึ่ง ถ้าจะมีสิ่งอื่นใด เขาก็ต้องขอบคุณซูหยางที่ไม่ได้ฆ่าเหล่าศิษย์ของเขาเมื่อเห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีความสามารถที่จะทำเช่นนั้น


 


“ทั้งหมดก็มีเพียงเท่านี้ในวันนี้”


 


ผู้นำนิกายส่งแขกผู้อาวุโสสูงสุดหานและจางซิวยิง แต่ก่อนที่จางซิวยิงจะจากไป ผู้นำนิกายได้กล่าวกับเธอว่า “ถ้าเจ้าพบเห็นว่ามีศิษย์คนอื่นเหมือนหวังหมิง เจ้าสามารถมาพบข้าและข้าจักจัดการเรื่องนั้นด้วยตนเอง”


 


จางซิวยิงพยักหน้า “ศิษย์เข้าใจแล้ว”


 


ครั้นเมื่อจางซิวยิงออกไปพ้นสถานที่นั้นแล้ว เธอก็มองไปยังฟ้ากว้างด้วยสายตาสับสน คิดถึงเหตุการณ์เหนือธรรมดาที่เกิดขึ้นในเวลาสองวันนี้เนื่องมาจากซูหยาง


 


ในเวลานั้น ผู้อาวุโสสูงสุดหานตรงไปยังที่พักของหวังชูเหริน



DC บทที่ 211: ความวุ่นวายที่ศาลาหยินหยาง

 


หวังชูเหรินซึ่งกำลังมีความสุขกับความสามารถใหม่ทางด้านการปรุงยาอย่างลึกล้ำอยู่ภายในห้องปรุงยาด้วยการปรุงยาไม่หยุดยั้งพลันรู้สึกว่าหยกสื่อสารในชุดคลุมสั่นสะเทือน


 


แม้ว่าเธอรู้สึกไม่พอใจที่มีคนมารบกวนของเธอ หวังชูเหรินก็ยังตรวจดูหยกสื่อสาร ในเมื่อมีเพียงคนสำคัญไม่กี่คนภายในนิกายดอกบัวเพลิงที่จะติดต่อกับเธอ


 


“ผู้อาวุโสสูงสุดหาน ตาเฒ่านั่นต้องการอะไรจากข้ากัน” นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเพิ่งเคยได้รับการติดต่อจากเขา


 


“ผู้อาวุโสหวัง ข้ามีเรื่องสำคัญที่จะมาปรึกษา ข้าจักรออยู่ด้านนอกที่พักของท่าน” เสียงของผู้อาวุโสสูงสุดหานพลันดังขึ้นจากหยกสื่อสาร


 


“เรื่องสำคัญ” หวังชูเหรินไม่ได้ออกไปจากที่พักทันทีเพื่อพบกับเขาและยังคงปรุงยาต่อไป


 


ครึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นหวังชูเหรินปิดฝาเตาและออกจากห้องไปทำความสะอาดตนเองก่อนที่จะไปพบกับผู้อาวุโสสูงสุดหาน


 


แม้ว่าผู้อาวุโสสูงสุดหานจะมีฐานะเป็นเพียงรองผู้นำนิกายเท่านั้น สูงเหนือกว่าผู้อาวุโสนิกายใดๆในความเป็นผู้อาวุโส แต่หวังชูเหรินไม่ได้สนใจแม้แต่น้อยและยังคงเคลื่อนไหวไปตามจังหวะของตนเองโดยไม่กังวลอะไรเกี่ยวกับเขาซึ่งยังคงรอเธออย่างอดทนอยู่ภายนอก ภายในนิกายดอกบัวเพลิงหวังชูเหรินเป็นตัวตนที่พิเศษที่ไม่เกี่ยวข้องกับลำดับชั้นของนิกาย ในเมื่อเธอเป็นเพียงคนเดียวในทั้งนิกายที่รู้วิธีปรุงโอสถดอกบัวเพลิงที่มีประสิทธิภาพร้อยเปอร์เซ็นต์ ยาที่เป็นเครื่องหมายของนิกายดอกบัวเพลิง


 


ผู้นำนิกายเคยพยายามหลายครั้งเพื่อที่จะให้หวังชูเหรินแบ่งปันความลับในการปรุงโอสถดอกบัวเพลิงแบบสมบูรณ์ แต่หวังชูเหรินล้วนปฏิเสธอย่างแน่วแน่ในแต่ละครั้ง กระทั่งไปไกลถึงขั้นพูดว่าเธอจะออกไปจากนิกายถ้าเขากล้ากดดันเธอ


 


สูญเสียหวังชูเหรินและยาของเธอย่อมเป็นผลร้ายต่อนิกายดอกบัวเพลิง ดังนั้นผู้นำนิกายจึงยอมแพ้อย่างรวดเร็ว ยอมให้เธอมีบางสิ่งคล้ายกับความเป็นอิสระภายในสำนัก


 


อีกนัยหนึ่งแม้ว่าหวังชูเหรินจะไม่ได้อยู่เหนือผู้นำนิกาย แต่เธอก็มีอิทธิพบมากกว่าเขาในบางเรื่อง สิ่งที่กระทั่งผู้อาวุโสสูงสุดหานก็ได้แต่เพียงฝันไฝ่


 


“ขออภัยที่ต้องให้รอ ผู้อาวุโสสูงสุดหาน ข้าอยู่ระหว่างการปรุงยา” หวังชูเหรินทักทายเขาอย่างง่ายๆที่ประตู


 


“ผู้อาวุโสหวัง…” แม้ว่าผู้อาวุโสสูงสุดหานจะรู้สึกหงุดหงิดอยู่บ้างเล็กน้อยในใจเนื่องมาจากการไร้ความเร่งด่วนของเธอ เขายังคงมีท่าทางเยือกเย็นบนใบหน้า


 


หลังจากนั้นชั่วขณะเมื่อพวกเขาทั้งคู่นั่งอยู่ในห้องรับแขก หวังชูเหรินถามเขาว่า “อะไรคือเรื่องสำคัญที่ท่านมีกับข้า ผู้อาวุโสสูงสุดหาน”


 


“ท่านรู้จักชายคนที่ชื่อซูหยางหรือไม่” ผู้อาวุโสสูงสุดหานพูดตรงประเด็น


 


“…ซูหยาง” หวังชูเหรินพลันขมวดคิ้ว เธอไม่คาดคิดว่าชื่อของซูหยางจะออกมาจากปากของผู้อาวุโสสูงสุดหาน


 


มองเห็นท่าทางของเธอ ผู้อาวุโสหานสามารถเดาคำตอบของเธอได้จึงได้กล่าวต่อไปว่า “แม้ว่าข้ามิรู้ว่าท่านมีความสัมพันธ์อะไรกับเขา พวกเราพบว่าเขาเป็นคนที่ฆ่าหวังหมิงญาติของท่าน”


 


ดวงตาหวังชูเหรินเปิดกว้างด้วยความประหลาดใจ  พวกเขารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร มีใครจับท่าทางเขาได้หรือว่าเขาทิ้งร่องรอยบางอย่างไว้เบื้องหลังโดยไม่เจตนา


 


“แค่…แค่นั้นรึ” หวังชูเหรินกลับคืนสู่ท่าทางสงบหลังจากนั้นไม่กี่วินาที


 


“ท่านพูดว่า…แค่นั้นรึ หรือ” เป็นตาที่ผู้อาวุโสหานกลับเป็นฝ่ายประหลาดใจ นี่เป็นท่าทางเมื่อรู้ชื่อของคนฆ่าญาติของเธออย่างนั้นหรือ ไม่ต่างอะไรจากไร้เยื่อใยอย่างสิ้นเชิง ราวกับว่าการตายของหวังหมิงไม่มีความหมายต่อเธอแม้แต่เพียงน้อยนิด


 


“มีมากกว่านั้น” เขากล่าวต่อ “ผู้นำนิกายร้องขออย่างแข็งขันอย่าให้ท่านไล่ตามแก้แค้นเขา ซึ่งนั่นอาจจะทำให้เกิดปัญหามากมาย”


 


ได้ยินคำพูดของเขาหวังชูเหรินก็แอบแค่นเสียงเย็นชาอยู่ใจ เธอไม่มีทางตามหาซูหยางต่อให้พวกเขาบีบให้ไป


 


“ข้าเข้าใจแล้ว” หวังชูเหรินพูด


 


“ท่าน.. ท่านเข้าใจแล้วรึ” ผู้อาวุโสสูงสุดหานมองดูเธอด้วยท่าทางงงงัน


 


“ข้าพูดอะไรเช่นนั้น มิใช่รึ”


 


“…”


 


ผู้อาวุโสสูงสุดหานไร้คำพูด เขาไม่คิดว่าหวังชูเหรินจะตกลงอย่างง่ายดาย นั่นเหมือนกับว่าเธอไม่มีเจตนาจะแก้แค้นตั้งแต่ต้น ช่างเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดสำหรับคนอย่างเธอ


 


“ถ้านั่นเป็นเรื่องทั้งหมดที่ท่านต้องการพูดเกี่ยวกับเรื่องสำคัญนี้ เช่นนั้นข้าจักขอตัวกลับไปปรุงยาต่อ” หวังชูเหรินกล่าวขณะที่เธอยืนขึ้นจากที่นั่งของเธอ


 


“ถ-ถ้าท่านมิถือข้าจักขอถามว่า ท่านมีความสัมพันธ์อะไรกับชายคนที่ชื่อซูหยาง” ผู้อาวุโสสูงสุดหานยืนขึ้นและถามเธออย่างเร่งร้อน


 


หวังชูเหรินมองดูตาเขาด้วยท่าทางจริงจังและกล่าวว่า “เขาเป็นแค่เพียงแขกที่ข้าพบที่โรงประมูลดอกบัวเพลิง”


 


“ช-เช่นนั้นทำไมท่านจึงดูไม่สนใจ เขาฆ่าหวังหมิง ครอบครัวของท่าน ท่านรู้ไหม” แม้ว่าผู้อาวุโสสูงสุดหานมีเจตนาป้องกันเธอไม่ให้แก้แค้น แต่เขาก็อดอยากรู้คำตอบไม่ได้แม้ว่านั่นอาจจะทำให้เธอไปแก้แค้นให้หวังหมิง


 


“ครอบครัวของข้ารึ” หวังชูเหรินหรี่ตาลงจนคิ้วขมวด “เพียงเพราะว่าเราใช้นามสกุลร่วมกันมิได้หมายความว่าเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ท่านควรตระหนักถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาในตอนนี้ สิ่งที่เห็นแก่ตัวและน่าขยะแขยง ต่อให้เขาถูกฆ่าต่อหน้าข้า ข้าก็มิคิดจะแก้แค้นให้กับคนอย่างเขา ถ้าท่านต้องการคนที่จะแก้แค้นแทนเขา เช่นนั้นท่านควรไปหาพ่อแม่ของเขา”


 


เสียงของหวังชูเหรินเย็นเยือกและเต็มไปด้วยความขยะแขยง ทำให้ผู้อาวุโสสูงสุดหานเห็นได้ชัดเจนว่าเธอไม่ได้สนใจแม้แต่น้อยเกี่ยวกับการตายของหวังหมิง กระทั่งรู้สึกเสื่อมเสียเกียรติที่มีนามสกุลเดียวกับเขาด้วยซ้ำ


 


“ข-ข้าเข้าใจแล้ว…” ผู้อาวุโสสูงสุดหานงงงันกับท่าทางเย็นชาของหวังชูเหริน เขาประเมินตัวตนของหวังชูเหรินต่ำไป


 


ไม่นานหลังจากนั้น ผู้อาวุโสสูงสุดหานออกจากที่พักของหวังชูเหรินและรายงานกลับไปยังผู้นำนิกาย ผู้ที่ค่อนข้างประหลาดใจกับปฏิกิริยาของหวังชูเหริน


 


“อ-อย่างไรก็ตาม ข้ารู้สึกโล่งอกที่ได้ยินว่าเธอจักไม่ตามหาชายคนที่ชื่อซูหยางเพื่อแก้แค้น…” ผู้นำนิกายถอนหายใจโล่งอก


 


หลังจากนั้นเขาก็พูดต่อ “เรามาลืมเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้กันและกลับไปสนใจเรื่องการแข่งขันระดับภูมิภาคแทน”


 


“การแข่งขันระดับภูมิภาค หึ ข้าได้ยินว่าเจ้าหญิงของตระกูลเซี่ยก็จักไปที่นั่นเพื่องานนี้”


 


“ใช่แล้ว” ผู้นำนิกายพยักหน้าและกล่าวว่า “และนั่นย่อมทำให้เกิดแรงกดดันอย่างมากต่อเหล่าศิษย์ชาย ในเมื่อพวกเขาล้วนต้องการให้เธอประทับใจ”


 


ผู้อาวุโสสูงสุดหานหัวเราะและกล่าวว่า “อย่างน้อยแรงจูงใจของพวกเขาย่อมสูงขึ้นเมื่อเวลามาถึง”


 


พวกเขาทั้งคู่พูดคุยต่อไปอีกสองสามนาทีเพื่อระบายความเครียดในใจเพื่อให้ลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ก่อนที่จะกลับไปทำงานประจำวัน


 


ในเวลานั้นซูหยางเพิ่งกลับไปถึงนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยบนเรือบิน อย่างไรก็ตามในขณะที่เขากำลังร่อนลงมาจากท้องฟ้า เขาสังเกตเห็นความวุ่นวายใกล้กับศาลาหยินหยาง


 


ที่นั่นมีคนที่ไม่คุ้นเคยเดินเข้าออกอาคาร และพวกเขาล้วนสวมชุดที่สวมโดยพวกหมอ ที่น่าแปลกกว่านั้นก็คือมีผู้อาวุโสนิกายจำนวนมากยืนอยู่ด้านนอกศาลาหยินหยางด้วยท่าทางกระวนกระวายบนใบหน้า ทำให้บรรยากาศในบริเวณนั้นมืดหม่น ราวกับว่าบางคนกำลังใกล้สิ้นใจในที่นั้น


 


“เกิดอะไรขึ้นที่นั่น” ซูหยางตัดสินใจที่จะหยุดแวะศาลาหยินหยางเพื่อตรวจดูความวุ่นวายด้วยตนเอง ดังนั้นเขาจึงกระโดดออกจากเรือบินและใช้ก้าวเก้าดารานำทางเขาไปยังศาลาหยินหยางโดยไม่มีใครสังเกตพบ ปรากฏตัวเหนืออาคารหลังจากนั้นไม่นานนัก



DC บทที่ 212: การทรยศ

 


ยามเมื่อเขาอยู่บนยอดของศาลาหยินหยาง ซูหยางใช้สัมผัสวิญญาณเพื่อตรวจสอบสถานการณ์ภายในอาคาร


 


“ไอ๊หยา…ข้ามิเคยเห็นคนไข้แบบนี้มาก่อน… ไม่มีวี่แววความเจ็บป่วยหรืออะไรทั้งสิ้น เธอดูเหมือนหลับสบาย แต่….”


 


เหล่าหมอภายในห้องงุนงงกับสภาพไร้สติของโหลวหลานจี และไม่มีใครในกลุ่มพวกเขาเคยดูแลคนไข้แบบนี้มาก่อน


 


หมอสองสามคนได้ตั้งสมมติฐานว่าเธอถูกพิษ แต่เมื่อพวกเขาได้ตรวจเลือดและปราณไร้ลักษณ์ของโหลวหลานจีก็ไม่พบสัญญาณของการถูกพิษ ตามจริงผลยังแสดงว่าโหลวหลานจีมีสุขภาพแข็งแรงเป็นอย่างยิ่งและไม่มีแม้กระทั่งสัญญาณความเจ็บป่วยบนร่างเธอ


 


อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ โหลวหลานจียังคงอยู่ในสถานะสลบไสลมากว่าสองวันแล้ว ซึ่งทำให้กระทั่งหมอที่ดีที่สุดที่นั่นงงงัน


 


“นี่มิมีอะไรที่ท่านสามารถทำได้เพื่อปลุกเธอขึ้นมาเลยจริงๆรึ” หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายที่นั่นถามหมอ


 


บรรดาหมอสบตากันก่อนที่จะมองไปยังผู้อาวุโสนิกายด้วยสีหน้าขอโทษ ส่ายหน้า “โชคร้าย นอกจากว่าเราสามารถหาสาเหตุของการสลบไสลของเธอได้ ก็มิมีอะไรที่เราสามารถทำได้ ในเมื่อเธอทั้งไม่ถูกพิษหรือเจ็บป่วย”


 


“นั่นคงมิใช่ว่า…”


 


ผู้อาวุโสภายในห้องต่างมีท่าทางไม่เชื่อถือ รู้สึกหมดหวังกับสถานการณ์เบื้องหน้า ถ้าไม่มีผู้นำนิกาย จะเกิดอะไรขึ้นกับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย แม้ว่าพวกเขาสามารถหาเจ้าแม่คนใหม่ได้ถ้าโหลวหลานจีและสิ้นชีวิตจากการหลับไหล นิกายยังคงขาดความลับหลายอย่างที่มีแต่โหลวหลานจีล่วงรู้ เช่นวิชาลับและทรัพยากรที่ซุกซ่อนไว้ ซึ่งจะมีผลต่อพลังอำนาจและทรัพย์สินทั้งนิกายอย่างมีนัยสำคัญ


 


ไม่นานหลังจากนั้น ขณะที่ทุกคนกำลังครุ่นคิดกันอย่างหนัก ซูหยางก็กระโดดเข้าไปในห้องผ่านหน้าต่างที่เปิดอยู่ สร้างความตื่นตัวให้กับทุกคนที่นั่น


 


“เจ้าเป็นใครกันวะ”


 


อย่างไรก็ตามยามเมื่อพวกเขาสังเกตเห็นชุดที่เขาสวมอยู่กับตัว ซึ่งเป็นของศิษย์ใน พวกเขาผ่อนคลายลงเล็กน้อย


 


“เจ้าคิดว่าเจ้ามาทำอะไรที่นี่รึ”


 


“ใครให้สิทธิ์เจ้ามาที่นี่กัน”


 


ผู้อาวุโสนิกายต่างพากันตั้งคำถามเขา


 


“ศิษย์ซูหยางรึ”


 


หนึ่งในผู้อาวุโสนิกายที่นั่นจดจำใบหน้าหล่อเหลาของซูหยางได้หลังจากที่มองดูเขาสองวินาที


 


“ท่านรู้จักเขา ผู้อาวุโสหวู”


 


บรรดาผู้อาวุโสนิกายที่นั่นหันไปมองดูหญิงชราเพียงคนเดียวภายในห้อง ซึ่งเป็นคนที่ซูหยางพบระหว่างการทดสอบศิษย์ใน ในตอนที่ยังเป็นศิษย์นอก


 


“อยู่บ้าง…” ผู้อาวุโสหวูพยักหน้า


 


อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะเกิดความปั่นป่วนขึ้นจากการเข้ามาของเขา ซูหยางก็เพิกเฉยทุกคนที่นั่นและเดินไปยังโหลวหลานจี ผู้ซึ่งหลับไม่ได้สติบนเตียงของเธอ


 


“เจ้าคิดว่าเจ้ากำลังทำอะไรกับผู้นำนิกาย” ผู้อาวุโสต่างพากันตรงไปหยุดเขาเมื่อเขาจับมือของโหลวหลานจี


 


“พวกท่านต้องการให้เธอตื่นหรือไม่ ให้ข้าพึงใจสักนิดด้วยการเงียบ”


 


“ว-ว่ากระไร…” ผู้อาวุโสนิกายต่างพากันมึนงงกับพฤติกรรมอันอุกอาจของซูหยางในเมื่อเป็นเพียงแค่ศิษย์


 


“แม้ว่าตอนนี้เจ้าเป็นศิษย์ใน นั่นยังคงมีกฏที่เจ้าต้องปฏิบัติตาม” ผู้อาวุโสหูกล่าวขณะขมวดคิ้ว


 


ต่อจากนั้นเธอก็กล่าวต่อว่า “ฟังดูเหมือนกับว่าเจ้ามีความสามารถที่จะปลุกผู้นำนิกายตื่นได้”


 


ซูหยางไม่ได้ตอบกลับผู้อาวุโสหวูในทันที แต่ตรวจชีพจรของโหลวหลานจีโดยใช้ปราณไร้ลักษณ์ของตนเองชั่วสองสามวินาที


 


ไม่นานหลังจากนั้น ซูหยางก็ปล่อยมือของโหลวหลานจีและกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เป็นอย่างนั้นนั่นเอง”


 


“ว่ากระไร เป็นไปไม่ได้ เจ้าสามารถทำอะไรได้ในเมื่อพวกเรามิสามารถกระทั่งบ่งบอกได้ว่าทำไมเธอจึงอยู่ในสภาพนั้น”


 


คนคนแรกในห้องที่เพิกเฉยต่อคำพูดของเขาไม่ใช่่ผู้อาวุโสนิกายแต่เป็นเหล่าหมอในที่นั้นแทน


 


“เจ้าพูดว่าเจ้าสามารถปลุกเธอตื่นได้ แต่ว่าเจ้าเป็นใครมาจากไหนกัน เจ้ามีใบรับรองว่าเป็นแพทย์หรือไม่”


 


บรรดาหมอที่นั่นไม่เชื่อว่าคนที่อายุน้อยอย่างเช่นซูหยางจะมีประสบการณ์มากถึงครึ่งของพวกเขาในเชิงของประสบการณ์ทางการแพทย์ อย่าว่าถึงสามารถบ่งบอกถึงสาเหตุที่เกิดขึ้นกับโหลวหลานจีซึ่งทำให้พวกเขาทั้งหมดถึงกับมืดแปดด้านด้วยเพียงแค่ตรวจชีพจรเธอเท่านั้น


 


ซูหยางกวาดสายตาไปยังเหล่าหมอและแค่นเสียงเย็นชา “เพียงแค่ปัญหาง่ายๆแต่พวกเจ้าไม่มีใครสามารถบ่งบอกออกมาได้ พวกเจ้าเป็นหมอจริงๆหรือเปล่า หรือเพียงแค่สวมชุดและทำตัวเหมือนเป็นหมอ”


 


หมอทุกคนในห้องรู้สึกเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นตบหน้าพวกเขาสลับซ้ายขวาเมื่อได้ยินคำตำหนิของซูหยาง พวกเขาไม่เคยถูกเหยียดหยามเช่นนี้มาก่อน ใบหน้าพวกเขาแดงก่ำด้วยความโกรธ


 


“ดี ในเมื่อเจ้าคิดว่าข้าเพียงสวมชุดหมอ เช่นนั้นข้าก็จักจากไป”


 


“ข้าเช่นกัน”


 


“ในเมื่อเจ้าสามารถรักษาเธอ เช่นนั้นก็ไม่มีความจำเป็นสำหรับพวกเราที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป”


 


ด้วยความโกรธแค้นเพราะว่าคำพูดหมิ่นเกียรติของซูหยาง บรรดาหมอออกจากห้องไปทีละคนสองคน


 


“ร-รอสักครู่”


 


บรรดาผู้อาวุโสนิกายที่นั่นแสดงท่าทางหวาดหวั่นเมื่อเหล่าหมอเริ่มจากไป หากปราศจากพวกเขา โหลวหลานจีอาจจะไม่ฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว


 


“อ-อย่าไปฟังคำเจ้าเด็กเลวนี่ มิมีเหตุผลที่จะไปโกรธเพราะว่าคำตำหนิหยาบคายจากเด็กรุ่นหลัง”


 


บรรดาผู้อาวุโสนิกายต่างพากันพยายามหยุดยั้งพวกเขา แต่น่าเสียดายเหล่าหมอออกไปโดยไม่ไยดี อย่างไรก็ตามไม่ใช่เป็นความผิดของซูหยางทั้งหมดที่ทำให้พวกเขาจากไป ในเมื่อพวกเขาเชื่อว่าเสียเวลาในการรักษาโหลวหลานจีในเมื่อไม่มีใครในกลุ่มพวกเขาที่สามารถหาปัญหาของเธอได้


 


อีกนัยหนึ่งพวกเขาใช้ซูหยางเป็นข้ออ้างในการหลบออกไปจากห้องนี้ ในเมื่อพวกเขาไม่ต้องการที่จะเสื่อมเสียชื่อเสียงในฐานะหมออีกต่อไปกับการที่ไม่สามารถรักษาโหลวหลานจี ดังนั้นพวกเขาจึงแอบขอบคุณซูหยางอย่างเงียบๆสำหรับโอกาสนี้


 


และภายในไม่กี่วินาที ก็เหลือหมอเพียงแค่สามคนในห้อง


 


ผู้อาวุโสนิกายทุกคนหันไปจ้องมองซูหยางด้วยสายตาโกรธแค้นหลังจากเหล่าหมอจากไปแล้ว


 


“ศิษย์ เจ้าจะรับผิดชอบเรื่องนี้อย่างไร ถ้าผู้นำนิกายสิ้นชีพจากการหลับไหล เจ้าจักถูกประหารสำหรับการฆ่าผู้นำนิกายในเมื่อการกระทำของเจ้าตอนนี้ไม่ต่างจากการทรยศ”


 


ได้ยินว่าเขาต้องรับผิดชอบในการฆ่าโหลวหลานจีเพราะทำให้เหล่าหมอจากไป ซูหยางเพียงแค่ยักไหล่และกล่าวว่า “นั่นมิได้เป็นปัญหาต่อข้า ในเมื่อเธอจักตื่นขึ้นคืนนี้แม้ว่าเราจะไม่ทำอะไรเลยก็ตาม”


 


“เจ้าว่ากระไรนะ” บรรดาผู้อาวุโสนิกายมองดูเขาด้วยดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ


DC บทที่ 213: ปลุกเธอขึ้น

 


เมื่อซูหยางพูดว่าโหลวหลานจีจะตื่นขึ้นมาด้วยตนเองคืนนี้ ทุกคนในห้องมองดูเขาราวกับว่าเขาเป็นบ้า


 


“จ-เจ้าพูดว่าอะไรนะ” ผู้อาวุโสหวูต้องการที่จะฟังให้ชัดว่าเธอได้ยินเขาได้ถูกต้องหรือไม่จึงถามขึ้น


 


“ผู้นำนิกายไม่ได้เจ็บป่วยหรือถูกพิษ เหมือนดังเช่นที่เหล่าหมอได้พูดไว้ ว่าไปแล้วสติของเธอถูกบังคับให้หลับโดยวิชาที่ลึกลับอย่างลึกล้ำ ดังนั้นเป็นเหตุให้เธอตกอยู่ในการสลบไสล” ซูหยางอธิบายให้พวกเขาฟังถึงสาเหตุในกรณีของโหลวหลานจี


 


“ว่ากระไรนะ วิชาการต่อสู้เป็นสาเหตุของทั้งหมดนี้รึ”


 


หมอทั้งสามที่ยังคงอยู่ที่นั่นต่างพากันครุ่นคิดตามคำพูดของซูหยางในทันใด กระทั่งผู้อาวุโสนิกายต่างพากันเงียบ


 


“เหตุผลนี้ค่อนข้างเป็นเหตุเป็นผลจริงๆ” หมอคนหนึ่งกล่าวขึ้นสองสามอึดใจหลังจากนั้น


 


“มันสามารถอธิบายได้ว่าทำไมผลลัพธ์จึงออกมาเป็นลบเมื่อทดสอบอาการเจ็บป่วยและพิษของเธอ” อีกคนกล่าว


 


“เจ้ารู้จักวิชาการต่อสู้ที่ใช้บนตัวเธอหรือไม่ว่าเป็นวิชาอะไร” หมอคนหนึ่งหันไปถามซูหยาง


 


เมื่อผู้อาวุโสนิกายเห็นบรรดาหมอพลันถือซูหยางเหมือนกับว่าเขาเป็นคนหนึ่งในพวกเขา ดวงตาของพวกเขาพลันกลมโตด้วยความตกตะลึง หรือว่าเขามีความรู้ด้านยาอย่างลึกซึ้งจริงๆ ช่างน่าแปลกใจ


 


ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวว่า “โชคร้าย ข้ามิรู้จักวิชาเบื้องหลังการสลบไสลของเธอ”


 


แม้ว่าเขาจะกล่าวเช่นนั้น อย่างไรก็ตามซูหยางรู้เป็นอย่างดีถึงวิชาฝีมือที่ใช้เพื่อทำให้โหลวหลานจีตกอยู่ในสถานะหลับไหล อีกทั้งรู้ถึงคนที่ทำเช่นนั้นด้วย


 


“เช่นนั้นทำไมเจ้าจึงรู้ว่าเธอจักตื่นขึ้นมาคืนนี้แม้กระทั่งเรามิทำอะไรเลย” ผู้อาวุโสหวูพลันถามเขา


 


“ง่ายมาก ก็โดยทางปราณไร้ลักษณ์ของเธอ ซึ่งแสดงสัญญาณของการตื่นของเธอ” ซูหยางกล่าว


 


“ว่ากระไร นี่เป็นจริงรึ” ผู้อาวุโสหวูหันไปมองดูบรรดาหมอ แต่พวกเขาเพียงส่ายหน้า


 


พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรในเมื่อพวกเขายังไม่รู้ว่ามีวิธีวิธีที่จะอ่านปราณไร้ลักษณ์ด้วยซ้ำ


 


ผู้อาวุโสหวูหันไปหาซูหยางและกล่าวว่า “ถ้าทุกสิ่งที่เจ้ากล่าวมาก่อนหน้านี้เป็นจริงและผู้นำนิกายจักตื่นขึ้นคืนนี้ เช่นนั้นพวกเราต้องให้รางวัลเจ้าอย่างงามสำหรับเรื่องนี้”


 


“เช่นนั้นคงไม่มีอะไรที่พวกเราสามารถทำได้นอกจากรอจนถึงที่สุด เฮ้อ…” ผู้อาวุโสนิกายต่างพากันถอนหายใจ


 


“รอ ใครพูดกันว่าเราต้องรอให้เธอตื่น” ซูหยางพลันกล่าวขึ้น


 


“เจ้าหมายความว่าอะไร” ผู้อาวุโสหวูถามเขาด้วยคิ้วขมวดอย่างสับสน


 


ซูหยางไม่ได้ตอบคำถามเธอทันทีแต่หันไปเผชิญหน้ากับโหลวหลานจีอีกครั้ง


 


เขาพลันยกมือขวาขึ้นกลางอากาศให้นิ้วเหยียดเปิดเผยให้เห็นฝ่ามือ ดูราวกับว่าเขาต้องการตบหน้าใครสักคน


 


“จ-จ-เจ้าคิดว่าเจ้ากำลังจะทำอะไร” ผู้อาวุโสหวูสั่นสะท้านด้วยความตื่นตระหนกเมื่อเธอเห็นท่าทางของเขา


 


“ท่านถามอะไรกัน ข้ากำลังจะปลุกเธอขึ้น” ซูหยางกล่าวด้วยเสียงเรียบเฉยในขณะที่เขาเหวี่งมือไปยังใบหน้าสงบสุขและสะสวยของโหลวหลานจี


 


“หยุด”


 


ผู้อาวุโสหวูพุ่งตัวไปหยุดเขา แต่น่าเสียดาย เธอช้าไปเพียงเล็กน้อย ดังนั้น เพี๊ยะ


 


เสียงโหลวหลานจีถูกตบดังขึ้นได้ยินชัดไปทั้งห้อง


 


บรรดาหมอปิดปากที่อ้ากว้างด้วยความตกใจของพวกเขา ในขณะที่ผู้อาวุโสนิกายสั่นสะท้านด้วยความโกรธ


 


“ทำไมเจ้าช่างกล้า—” ผู้อาวุโสหวูยกมือของเธอขึ้นด้วยความโกรธและเตรียมที่จะโจมตีซูหยาง


 


“งือออ…”


 


ในขณะที่ผู้อาวุโสกำลังขยับ โหลวหลานจีก็ร้องครางออกมาเบาๆ แสดงปฏิกิริยาเป็นครั้งแรกในเวลาสองวันนี้ จนทำให้ผู้อาวุโสหวูชะงักค้างและมองไปยังโหลวหลานจีที่กำลังตื่นขึ้นด้วยดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความตระหนก


 


“ทำไมใบหน้าข้าจึงเจ็บ…” โหลวหลานจีค่อยลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆและลูบใบหน้าด้วยท่าทางง่วงงุน ดูเหมือนกับงงงันกับความเจ็บบนแก้มของเธอ


 


“ผ-ผู้นำนิกาย…” ดวงตาผู้อาวุโสหวูคลอไปด้วยน้ำตาแห่งความสุขและโล่งอกกับสัญญาณการตื่นขึ้นมาของโหลวหลานจี


 


“ทำไมมีคนมากมายอยู่ในห้องของข้า” ยามเมื่อโหลวหลานจีนึกถึงสถานการณ์ขึ้นมาได้ เธอก็ลุกขึ้นนั่งบนเตียงและถามพวกเขา


 


“ผ-ผู้นำนิกาย ท่านจำได้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่าน” ผู้อาวุโสนิกายถามเธอ


 


แม้ว่าเธอยังสับสน โหลวหลานจีหลับตาลงครุ่นคิด อย่างไรก็ตามเธอรู้ได้อย่างรววดเร็วว่าความทรงจำของเธอไม่ชัดเจนและทั้งหมดที่เธอสามารถจำได้ก็คือเธอมุ่งตรงไปยังที่พักของซูหยางเพื่อลงโทษเขา


 


“ข้าจำได้ว่าออกไปข้างนอกเพื่อหาศิษย์คนหนึ่ง แล้วทำไมข้าจึงมาหลับอยู่ในห้อง” โหลวหลานจีขมวดคิ้วและถามผู้อาวุโสนิกาย


 


“ท่านรู้ไหมว่า…” ผู้อาวุโสหวูเริ่มอธิบายทุกสิ่งให้กับโหลวหลานจีตั้งแต่เริ่มต้น


 


“ท่านถูกพบตัวว่าหลับไหลอยู่กลางเขตศิษย์นอกและถูกนำตัวกลับมายังห้องของท่าน ยิ่งไปกว่านั้นท่านมิมีการตอบสนองไม่ว่าพวกเราจะพยายามปลุกท่านเพียงใด…”


 


“เราจึงออกไปรวบรวมบรรดาหมอที่ดีที่สุดภายในภาคตะวันออก แต่น่าเสียดายพวกเขาทุกคนล้วนสับสนกับเงื่อนไขที่เกิดกับท่าน…”


 


โหลวหลานจีตื่นตระหนกที่รู้ว่าเธอได้หลับไปนานถึงสองวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการไม่ตอบสนองของเธอเมื่อผู้อื่นพยายามที่จะปลุกเธอขึ้น


 


“ช-เช่นนั้นทำไมตอนนี้ข้าจึงตื่นขึ้น พวกเจ้าทำอย่างไรกัน” เธอถามพวกเขา


 


ผู้อาวุโสหวูยิ้มขื่นขมและกล่าวว่า “เออ…ศิษย์ซูหยางตรงนั้น—เอ๋”


 


ผู้อาวุโสหวูหยุดพูดเมื่อเธอพบว่าซูหยางได้หายตัวไปอย่างลึกลับจากห้อง เขาไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน และทำไมจึงไม่มีใครที่นั่นสังเกตเห็นเขาไป


 


“ซูหยาง ซูหยางมีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้” โหลวหลานจียิ่งสับสนกับสถานการณ์แต่ยิ่งเกิดความสนใจในเมื่อชื่อซูหยางถูกหยิบยกขึ้นมา


 


“เอ้อ…เขา…เขาเป็นคนที่ปลุกท่านตื่นขึ้นมาจากการหลับไหล…” ผู้อาวุโสหวูกล่าวด้วยน้ำเสียงกระอักกระอ่วน


 


“ซูหยางทำรึ” ดวงตาของโหลวหลานจีเป็นประกายด้วยความดีใจและชื่นชม “เขาทำได้อย่างไร”


 


“อือ…เออ…เขา…” ผู้อาวุโสหวูไม่ต้องการสร้างภาพติดลบให้กับซูหยางหลังจากที่ทำให้เขากลายเป็นฮีโร่ แต่อนิจจา…


 


“เขาตบหน้าท่าน…” เธอกล่าวด้วยเสียงเบา


 


“เขาทำอะไรนะ” โหลวหลานจีตากลมโตด้วยความตกใจ ร่างกายเธอเริ่มสั่นสะท้านด้วยความโกรธ



DC บทที่ 214: การจากไปอย่างกระทันหัน

 


“เขากล้าที่จะตบหน้าสวยของฉันจริงรึ” โหลวหลานจีไม่อยากเชื่อว่าซูหยางจะกล้า ความประทับใจทั้งหมดที่เธอมีต่อเขาสำหรับการปลุกเธอขึ้นมานั้นหายไปอย่างรวดเร็ว


 


“ข้าจักไปให้คืนสิ่งที่อยู่ในใจข้า” โหลงหลานจีลุกขึ้นจากเตียงและเริ่มตรงไปยังทางออก


 


อย่างไรก็ตามผู้อาวุโสหวูปิดเส้นทางของเธอไว้และกล่าวด้วยเสียงเป็นกังวลว่า “ผู้นำนิกาย ท่านเพิ่งฟื้นขึ้นมา แม้ว่าท่านอาจจะรู้สึกสบายดี เรายังต้องทำให้มั่นใจว่าสุขภาพท่านสมบูรณ์ที่สุด เหตุการณ์นี้ทำให้คนหลายคนเป็นกังวล”


 


โหลวหลานจีถอนใจและพยักหน้า “ได้ และช่วยให้รายละเอียดต่อข้าว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างขณะที่พวกเจ้าพบเห็นเหตุการณ์นั้น”


 


ผู้อาวุโสหวูพยักหน้าและหันไปหาบรรดาหมอที่ยังคงเหลืออยู่ภายในห้องและกล่าวว่า “ช่วยกรุณาตรวจสอบอีกสักหน่อยเพื่อให้มั่นใจว่าร่างกายของเธอสมบูรณ์ดี แน่นอนว่าเราจักตอบแทนพวกท่านอย่างงามสำหรับความพยายามของพวกท่าน”


 


บรรดาหมอไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธและเริ่มการตรวจร่างกายโหลวหลานจีอีกครั้ง


 


ในเวลานั้น ซูหยางกลับไปยังที่พักของเขาเพื่อตามหาชิวเยวี่ยเมื่อพ้นจากศาลาหยินหยางแล้ว


 


นับตั้งแต่เขาเห็นสภาพของโหลวหลานจี เขารู้ว่าชิวเยวี่ยเป็นคนรับผิดชอบต่อการหลับลึกของอีกฝ่าย ในเมื่อนั่นเป็นวิชาการต่อสู้พิเศษเฉพาะของตำหนักจันทราศักดิ์สิทธิ์ ถ้าจะกล่าวไปชิวเยวี่ยยั้งมือเป็นอย่างมากกับวิชานั้น มิเช่นนั้นโหลวหลานจีจะไม่ตื่นขึ้นมาแม้ว่าจะผ่านไปนานถึงสิบปี


 


อย่างไรก็ตามเมื่อเข้าไปในห้องของเขา ซูหยางกลับไม่พบชิวเยวี่ยนั่งอยู่ตรงนั้นเหมือนเช่นปกติ แต่กลับมีแผ่นกระดาษที่มีข้อความลายมือของเธอแทน


 


“ในเมื่อเห็นได้ชัดว่าท่านแข็งแกร่งมากพอที่จะปกป้องตนเองได้อย่างง่ายดายในโลกนี้ ข้าจักทิ้งท่านไว้คนเดียวไม่นานนักเพื่อเดินทางต่อในการค้นหาวิธีกลับบ้านสำหรับพวกเรา แม้ว่าข้าสงสัยว่าท่านยังต้องการพวกมันอยู่หรือไม่ อย่างไรก็ตามข้าก็ได้ทิ้งสิ่งของบางสิ่งไว้เบื้องหลังเผื่อกรณีฉุกเฉิน รวมถึงป้ายหยกสื่อสารเผื่อบางทีท่านรู้สึกอยากได้ยินเสียงข้า”


 


ซูหยางเพียงส่ายหน้ากับจดหมายของชิวเยวี่ย แม้ว่าเขาไม่ได้คัดค้านการกระทำของเธอ แต่นั่นก็กระทันหันเกินไป


 


“เจ้าเด็กนั่น…ทำไมเธอจึงต้องการกลับไปยังสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ที่ไร้ความหวังนั่นในเมื่อตำหนักจันทราศักดิ์สิทธิ์จักต้องตามหาเธอ” เขาก็ต้องการกลับไปอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่เขารู้ว่ามีหลายสิ่งที่เขาต้องตระเตรียมก่อนกลับไป มิเช่นนั้นพวกเขาก็เพียงรนหาที่ตาย


 


ซูหยางพลันนั่งลงบนเตียงและหลับตาลง สองสามนาทีหลังจากนั้นแสงเรืองสีทองก็สามารถเห็นแผ่ออกมารอบร่างของเขา ราวกับว่าเขาเพิ่งผ่านการหยั่งรู้


 


ซูหยางอยู่ในสภาพเช่นนี้นานหลายนาที จนกระทั่งเขาลืมตาขึ้นซึ่งภายในลุกโชนไปด้วยความฉลาดและความทรงจำที่เริ่มไหลเวียนอยู่ภายในใจ


 


อย่างไรก็ตามความทรงจำเหล่านี้ไม่ได้มาจากช่วงเวลาของเขาในสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่ กลับกันพวกมันล้วนเป็นความทรงจำของซูหยางก่อนที่ความทรงจำในชาติปางก่อนของเขาจะกลับมา


 


นับตั้งแต่ที่เขาพบว่าดวงจิตที่อยู่ภายในร่างมีเพียงหนึ่งหลังจากที่กลืนกินโอสถแยกวิญญาณ ซูหยางก็เริ่มอยากรู้ว่าทำไมความทรงจำของเขาจึงถูกผนึกไว้ในตอนแรก และทำไมคนอย่างซูเซวินพ่อของเขาสามารถผนึกความทรงจำเขาได้


 


ท้ายที่สุดถ้าเขากลับชาติมาเกิดด้วยความทรงจำของอดีตชาติ ย่อมไม่มีทางที่คนอย่างซูเซวินจะสามารถผนึกความทรงจำของเขาได้ อีกนัยหนึ่งซูหยางไม่ได้กลับชาติมาเกิดด้วยความทรงจำติดมาตั้งแต่ต้นและเพียงแค่ระลึกขึ้นมาได้ที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย


 


ซูหยางหลับตาลงอีกครั้งและไม่ได้ลืมตาขึ้นมาอีกจนเวลาผ่านไปหลายนาที ความทรงจำสิบหกปีที่เหมือนน้ำหนึ่งหยดในทะเลอันกว้างใหญ่ของความทรงจำก็ไหลผ่านในหัวของเขา


 


นับจากวันที่เขาเริ่มเกิดไปจนถึงวันที่เขามาถึงนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ทุกสิ่งล้วนชัดเจนต่อซูหยางภายในไม่กี่นาที


 


สองสามนาทีหลังจากนั้นซูหยางก็ลืมตาขึ้นและบนใบหน้าของเขาก็มีรอยยิ้มขื่นขม


 


“ไม่น่าแปลกใจที่ทำไมเขาจึงผนึกความทรงจำของข้าและโยนข้ามายังนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดังลั่น


 


เขาพบว่าความทรงจำของซูหยางที่ไม่รู้อะไรเลยนั้นช่างน่าสนุกสนานเป็นอย่างยิ่ง แน่นอนว่านั่นเป็นรุ่นเด็กของตัวเขาเองที่ปราศจากความรู้ของเซียน


 


ครั้นเมื่อเขาทำลายผนึกความทรงจำของตนเองและฟื้นคืนความทรงจำของเด็กธรรมดา ซูหยางหันไปมองกระเป๋าหนังข้างตัวเขา


 


นั่นเป็นของบางสิ่งที่ชิวเยวี่ยทิ้งไว้ให้เขาเบื้องหลัง


 


เขาหยิบมันและเริ่มตรวจสอบสิ่งที่อยู่ภายในทันที


 


“นึ่คือ…”


 


ซูหยางค่อนข้างตะลึงกับจำนวนวัตถุดิบสำหรับการฝึกวิชาภายในถุง ยิ่งไปกว่านั้นวัตถุดิบสำหรับการฝึกฝีมือเหล่านี้ล้วนเต็มไปด้วยปราณหยางที่ทรงพลัง ซึ่งบางอย่างก็เหนือกว่าดอกหยางพิสุทธิ์ไปแสนไกล


 


“ในการให้ทรัพยากรเหล่านี้แก่ข้า หรือเธอกำลังจะบอกข้าให้ทำให้เต็มที่ขณะที่เธอไม่อยู่”


 


ด้วยจำนวนของทรัพยากรที่ชิวเยวี่ยทิ้งไว้เบื้องหลังสำหรับเขา ซูหยางย่อมไม่มีปัญหาในการฝึกวิชาไปหลายเดือนโดยไม่ต้องหยุดพักแถมยังมีเหลือ


 


หลังจากที่เห็นสิ่งที่อยู่ภายในถุงเก็บของทั้งหมดแล้ว ซูหยางก็เทพวกมันทั้งหมดลงไปบนเตียงเพื่อจัดระเบียบ เขามีเจตนาที่จะใช้พวกมันและฝึกวิชาจนกว่าจะถึงการแข่งขันระดับภูมิภาค


 


“ข้าจักก้าวผ่านเขตปฐพีวิญญาณสู่เขตอัมพรวิญญาณโดยปราศจากปัญหาก่อนที่จะถึงการแข่งขันต่อให้คู่ฝึกของข้าทุกคนอยู่เพียงแค่เขตคัมภีร์วิญญาณและสัมมาวิญญาณ…”


 


อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะเริ่มฝึกวิชา เขาจำเป็นต้องมีคู่ฝึกก่อน และนับเป็นโชคสำหรับเขาที่มีสาวสวยมากมายในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยให้เขาเลือก ยิ่งไปกว่านั้นมีศิษย์มากมายรอคอยอย่างอดทนให้เขาเรียกหาพวกเธออยู่เรียบร้อยแล้ว


 


ซูหยางเข้าไปทำความสะอาดร่างกายของตนเองและเปลี่ยนเป็นชุดใหม่ก่อนที่จะออกจากบ้านตามหาคู่ฝึกที่มีศักยภาพสำหรับสองสามเดือนข้างหน้า และสถานที่แรกที่เกิดขึ้นภายในใจของเขาก็คือตำหนักโอสถ ที่ซึ่งเขาได้สัญญาไว้กับกลุ่มหนึ่งว่าเขาจะนวดให้พวกเธออีก



DC บทที่ 215: ยิ่งกว่าเพียงแค่นวด

 


“ศิษย์พี่ชายซู”


 


หนึ่งในศิษย์ของตำหนักโอสถพลันหยุดสิ่งที่เธอกำลังทำเมื่อเธอสังเกตเห็นร่างของเขาเข้าไปในอาคารและทักทายเขาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม


 


และเมื่อมีการกล่าวถึงซูหยางก็เหมือนกับกลุ่มของเด็กเล็กได้ยินว่ามีขนมหวานแจก เหล่าศิษย์ในอาคารต่างพากันหยุดทำงานมองไปยังร่างของชายที่ยืนอยู่ตรงทางเข้า


 


“มีใครเพิ่งพูดถึงศิษย์พี่ชายซูรึ”


 


“ศิษย์พี่ชายซูรึ”


 


“ศิษย์พี่ชายซูมาที่นี่รึ”


 


เมื่อบรรดาศิษย์ของตำหนักยาเห็นใบหน้าหล่อเหลาของซูหยาง พวกเธอต่างพากันวิ่งไปทักทายเขาด้วยรอยยิ้มอย่างตื่นเต้นราวกับนานแสนนานนับตั้งแต่พวกเธอเห็นเขาครั้งสุดท้าย


 


“ว้าว ศิษย์พี่ชายซู ท่านก้าวข้ามไปอีกระดับแล้วรึ ข้ารู้สึกได้จากกลิ่นอายของท่าน”


 


ซูหยางยิ้มและพยักหน้า “ใช่แล้วแต่ไม่มากนัก ข้าได้ก้าวผ่านไปอีกเล็กน้อย”


 


เหล่าศิษย์ต่างพากันยินดีกับเขาโดยไม่ได้คิดอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องนี้


 


“ท่านไปอยู่ไหน ศิษย์พี่ชายซู พวกเราพยายามตามหาท่านสองสามครั้งแต่ท่านล้วนไม่อยู่”


 


“ข้าออกไปทำภารกิจ” เขาตอบ


 


“อย่างงั้นรึ…แล้วอะไรนำท่านมาที่นี่วันนี้ หรือว่าท่านมาหาท่านอาจารย์อีกแล้ว” หนึ่งในพวกเธอถาม


 


“ไม่เชิงเสียทีเดียว”


 


“ถ้าเช่นนั้นท่านหมายความว่าอะไร”


 


“ข้ามาที่นี่เพื่อเติมเต็มคำสัญญาที่ข้าได้กล่าวไว้ระหว่างที่มาครั้งที่แล้ว” เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม


 


“คำสัญญาหรือ”


 


เหล่าศิษย์สบตากันไปมา ไม่มีใครในกลุ่มสามารถจดจำสัญญานี้ได้ในตอนแรก


 


“ท-ท่านคงมิได้หมายความถึงเรื่องนั้น…” หนึ่งในบรรดาหญิงสาวพลันนึกขึ้นได้ถึงคำสัญญาของเขาและพึมพัมด้วยเสียงสั่นสะท้าน ดวงตาเธอเต็มไปด้วยความประหลาดใจ


 


“เรื่องนั้น เจ้าพูดถึงเรื่องอะไร” อีกคนมองดูเธอและถามขึ้น


 


อย่างไรก็ตามศิษย์หญิงคนนั้นไม่ได้พูดอะไรและเพียงยังคงจ้องมองซูหยาง รอคอยคำตอบเขาอย่างอดทน


 


ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “ถ้าพวกเจ้าไม่มีธุระยุ่ง ก็ไปที่ที่พักของข้าเพื่อนวดได้”


 


ครั้นเมื่อซูหยางพูดคำพูดเหล่านั้น ทุกคนที่นั่นพลันจำได้ถึงสิ่งที่เขากล่าวไว้ครั้งสุดท้ายที่เขามายังตำหนักโอสถ


 


บรรดาศิษย์ต่างพากันจ้องมองเขาด้วยดวงตากลมโต เหมือนไม่อยากจะเชื่อ


 


“ท-ท่านรับลูกค้าอีกแล้วหรือ” หนึ่งในพวกเธอถามด้วยเสียงสั่นสะท้าน


 


เมื่อซูหยางพยักหน้า สถานที่นั้นพลันปะทุขึ้นด้วยความตื่นเต้น เหมือนราวกับว่ามีงานฉลองครั้งใหญ่สำหรับเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ ว่าไปแล้วหญิงสาวทั้งหมดล้วนไม่พึงใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อซูหยางหยุดรับลูกค้าในการนวดและได้รอเขาเปิดบริการ


 


“นี่เป็นข่าวใหญ่ ข้าจักบอกเพื่อนของข้ารู้เดี๋ยวนี้”


 


“อาาาา ข้ารอให้งานวันนี้เสร็จไม่ไหวแล้ว”


 


“ศ-ศิษย์พี่ชายซู ข-ข้าจักไปพบท่านวันนี้ทีหลัง”


 


นับตั้งแต่บรรดาศิษย์เหล่านี้ได้รับประสบการณ์ฝีมือการนวดของซูหยาง ร่างกายของพวกเธอก็ต้องการได้รับกลเม็ดของเขามากกว่าเดิม และไม่ใช่เพียงแค่ศิษย์ของตำหนักโอสถ ลูกค้าของซูหยางทุกคนล้วนรอคอยสำหรับวันนี้


 


อย่างไรก็ตามซูหยางยังไม่ได้พูดจบ เขาพูดต่อว่า “ยิ่งไปกว่านั้น ข้าจักทำมากยิ่งกว่าเพียงแค่นวด และทั้งหมดล้วนฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย”


 


เมื่อซูหยางประกาศข่าวนี้ บรรดาหญิงสาวหยุดเฉลิมฉลอง พวกเธอล้วนจ้องมองเขาด้วยดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก พวเธอล้วนงงงันไปกับข่าวนี้จนพวกเธอไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองเช่นไร


 


“ช-เช่นนั้น…ท่านหมายความว่า…”


 


ซูหยางเพียงแค่ยิ้มและไม่ได้กล่าวอะไร แต่หญิงสาวพลันเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของเขา และพวกเธอเริ่มกรีดร้องด้วยความตื่นเต้นจากใจ


 


“นี่เป็นเรื่องที่ข้าตั้งใจมาพูดที่นี่ ข้าจักรอคอยพวกเจ้า…”


 


หลังจากกล่าวคำพูดเหล่านั้น ซูหยางก็ออกไปจากตำหนักโอสถอย่างสบายๆ


 


บรรดาหญิงสาวไม่ได้ห้ามเขาไว้เพราะว่าพวกเธอล้วนชะงักค้างจากความงงงัน


 


อย่างไรก็ตามก่อนจากเขาก็พูดกับพวกเธออีกครั้ง “โอ ใช่แล้ว ข้าเกือบลืมไป แต่ช่วยบอกผู้อาวุโสหลานให้ไปหาข้าเมื่อเธอมีเวลาว่าง ข้ามีสิ่งพิเศษบางอย่างให้เธอ”


 


ยามเมื่อซูหยางจากไปแล้วและบรรดาหญิงสาวตื่นขึ้นจากความงงงัน ตำหนักโอสถก็ปะทุไปด้วยความรื่นเริงอีกรอบหนึ่ง ในเมื่อบรรดาหญิงสาวไม่สามารถยับยั้งความตื่นเต้นของตนเองไว้ได้


 


แม้ว่าพวกเธอจะมีความสงสัย แต่ใจของพวกเธอก็คลุ้มคลั่งไปด้วยจินตนาการ ร่างกายของพวกเธอสั่นสะท้านไปด้วยความปรารถนา โดยเฉพาะส่วนล่างของร่างกาย


 


เสียงภายในตำหนักโอสถดังจนกระทั่งหลานลี่ชิงต้องหยุดงานของเธอเองและลงมายังชั้นล่างเพื่อดูว่าความวุ่นวายนี้เกิดขึ้นจากอะไร


 


“อะไรในโลกนี้ที่ทำให้พวกเจ้าต่างพากันร่ำร้อง ข้ามิอาจทำงานเสร็จได้กับความปั่นป่วนทั้งหมดนี้” หลานลี่ชิงนะโกนใส่บรรดาหญิงสาวทันทีที่เธอปรากฏตัวขึ้น


 


“อ-อาจารย์”


 


บรรดาศิษย์หยุดการเฉลิมฉลองมาทักทายหลานลี่ชิง


 


“ท-ท่านรู้ไหม…ศิษย์พี่ชายซูเพิ่งแวะมา–”


 


“ว่ากระไร ซูหยางกลับมาแล้วรึ” หลานลี่ชิงถามอย่างเร่งรีบ


 


ศิษย์ของเธอพากันพยักหน้า “แต่ว่าเขาเพิ่งจากไป”


 


หลานลี่ชิงพลันขมวดคิ้ว “เขามิได้เอ่ยปากพูดถึงข้าก่อนไปเลยรึ” เธอร่ำร้องในใจ


 


เธอไม่พอใจกับความจริงที่ว่าซูหยางได้ออกไปจากตำหนักโอสถโดยไม่ได้พยายามไปหาเธอ เหมือนกับว่าเขาลืมเธอไป


 


อย่างไรก็ตาม ขณะที่หลานลี่ชิงรู้สึกอยากตำหนิซูหยาง ศิษย์ของเธอก็กล่าวขึ้นว่า “อาจารย์ ศิษย์พี่ชายได้ทิ้งข้อความสำหรับท่านไว้ด้วยก่อนจากไป”


 


“เอ๋ เขาทำเช่นนั้นด้วยรึ เขาพูดว่าอะไร”


 


“ศิษย์พี่ชายซูกล่าวว่าเขามีบางสิ่งพิเศษสำหรับท่านและขอให้ท่านไปหาเขา”


 


“ข-เขามีของพิเศษให้ข้ารึ” หลานลี่ชิงยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางงงงันเล็กน้อย คงจะต้องพูดว่าโกหกหากว่าเธอไม่รู้สึกประหลาดใจ


 


“เขาได้กล่าวไหมว่าสิ่งพิเศษนั้นคืออะไร” เธอพลันถาม


 


บรรดาหญิงสาวพากันส่ายหน้า


 


“เขามิได้กล่าวอะไรและทิ้งไว้เพียงข้อความนั้น”


 


“ข้าเข้าใจแล้ว…”


 


หลังจากสองสามอึดใจจากความเงียบอันกระอักกระอ่วน หลานลี่ชิงกล่าวกับบรรดาหญิงสาวว่า “ว่าไปแล้ว ข้าต้องไปประชุม ถ้าใครมาหาข้าก็บอกให้พวกเขารู้”


 


บรรดาหญิงสาวพยักหน้าและพลันกลับไปทำงานด้วยความเร็วที่เร็วกว่าเดิม พวกเขาล้วนต้องการที่จะเสร็จงานและไปหาซูหยางสำหรับการบริการของเขาอย่างเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้


 


ในเวลานั้นเองหลานลี่ชิงก็แอบไปที่ที่พักของซูหยางด้วยท่าทางมุ่งหวัง




DC บทที่ 216: ปลุกเร้าร่างเธอ

 


หลังจากโกหกศิษย์ของเธอเรื่องไปประชุม หลานลี่ชิงตรงไปยังที่พักของซูหยาง ในเมื่อเธอทนรอไม่ได้ที่จะดูว่าอะไรที่เขาตั้งใจมอบให้เธอ


 


ยามเมื่อเธอไปถึงที่พักของเขา หลานลี่ชิงเคาะประตูและรอซูหยาง ใจเธอเต้นระรัวด้วยความคาดหมาย รู้สึกเหมือนกับนานแสนนานนับตั้งแต่เธอเห็นหน้าเขาครั้งสุดท้าย


 


“เจ้ามาถึงเร็วกว่าที่ข้าคาดไว้ เจ้าคิดถึงข้ามากมายเช่นนั้นเลยรึ” ซูหยางทักทายเธอด้วยคำหยอกล้อเล็กน้อย


 


“ฮึ่ม” หลานลี่ชิงแค่นเสียงเย็นชาและกล่าวว่า “นี่เป็นทั้งหมดที่เจ้าต้องการพูดหลังจากที่ไปจากตำหนักโอสถโดยมิไปพบหน้าข้าแม้แต่น้อยรึ”


 


ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “ถ้าเราพบกันที่ตำหนักโอสถ ข้าคงมิอาจจากมาได้รวดเร็วนัก ในเมื่อแน่นอนว่าเจ้าต้องรีดปราณหยางของข้าก่อนที่จะปล่อยข้าไป”


 


หลานลี่ชิงใบหน้าแดงก่ำเมื่อได้ยินคำพูดของเขา “ข-ข้าไม่สิ้นหวังขนาดนั้นหรอกน่ะ”


 


แม้ว่าเธอจะพูดเช่นนั้น ลึกลงไปในใจเธอ เธอรู้ว่าคำพูดของซูหยางไม่ถึงกับเป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว ดังนั้นจึงทำให้เธอหน้าแดง แท้จริงแล้วใบหน้าเธอแดงก็เพราะว่าเธอรู้สึกละอายกับความปรารถนาในตัวเขาไม่ใช่เพราะคำพูดของเขา


 


“อย่างไรก็ตามเพราะว่าเจ้ามาถึงเร็วกว่าที่คาดไว้ ข้ายังคงต้องตระเตรียมบางสิ่ง ถ้าทำได้ ให้ตรงไปรอข้าที่ในห้อง”


 


หลานลี่ชิงพยักหน้าและเข้าไปในบ้าน


 


ขณะที่หลานลี่ชิงรออยู่ในห้องของเขา ซูหยางก็ไปเตรียมการให้แล้วเสร็จ


 


“สำหรับสิ่งที่ต้องการการตระเตรียม สิ่งพิเศษนี้ต้องพิเศษอย่างยิ่งจริงๆ..” หลานลี่ชิงยากจะนั่งอยู่นิ่งๆขณะที่รอซูหยาง ในเมื่อทั้งร่างกายและจิตใจของเธอไม่อาจสงบลงเมื่อซูหยางทำลึกลับเช่นนี้


 


แต่น่าเสียดายไม่ว่าเธอจะครุ่นคิดมากมายเพียงใด ไม่มีสิ่งใดที่เข้ามาในใจของเธอ


 


ชั่วระยะเวลาผ่านไปซูหยางก็เข้ามาในห้องด้วยท่าทางสบายๆ


 


“ส-เสร็จแล้วหรือ” หลานลี่ชิงถามเขาด้วยเสียงประหม่า


 


ซูหยางพยักหน้า และเขาก็พูดขึ้นว่า “ตรงไปถอดเสื้อผ้า เปลื้องทุกสิ่งออกไป”


 


“เอ๋ ด-เดี๋ยว…อะไรกัน” หลานลี่ชิงมองดูเขาด้วยใบหน้างุนงง


 


ทำไมเธอต้องถอดเสื้อผ้าสำหรับสิ่งพิเศษนี้


 


“ข้าจะนวดให้กับเจ้า” ซูหยางพลันกล่าวขึ้น


 


“…”


 


แม้ว่าหลานลี่ชิงจะประหลาดใจกระทั่งตื่นเต้นกับการนวด เธออดที่จะถามไม่ได้ว่า “สิ่งพิเศษที่เจ้าต้องการจะให้ข้านี่คืออะไร มันคงไม่ใช่เพียงแค่การนวดนี้เท่านั้น ใช่ไหม”


 


“เจ้าจักเข้าใจยามเมื่อเราเริ่มต้น”


 


“…”


 


หลานลี่ชิงมองดูเขาด้วยดวงตาสงสัย แต่เธอก็เริ่มถอดเสื้อผ้าโดยไม่คิดอะไร


 


“ถ้าข้ารู้ว่าข้าจักต้องเปลือยกาย ข้าจักอาบน้ำมาก่อนที่จะมาที่นี่” เธอคิดในใจ


 


หลังจากนั้นไม่นาน หลานลี่ชิงก็ยืนอยู่ตรงนั้นใช้แขนปกปิดอกกลมอวบอิ่มและน้องสาวที่เปียกแฉะด้วยท่าทางเอียงอาย แม้ว่าซูหยางเห็นทุกส่วนของร่างเธอมาแล้ว แต่ด้วยเหตุผลที่ไม่ทราบชัด เธออดที่จะอายไม่ได้ในตอนนี้


 


ยามเมื่อหลานลี่ชิงเปลือยเปล่าแล้ว ซูหยางก็กล่าวว่า “ตรงไปนอนบนเตียงเหมือนเช่นครั้งแรก”


 


หลานลี่ชิงพยักหน้าและนอนบนเตียงโดยปล่อยบั้นท้ายอันงดงามเปิดเผยเต็มที่ต่อเขา


 


สองสามวินาทีถัดไปหลังจากที่เธอนอนบนเตียง หลานลี่ชิงพลันรู้สึกว่าบางสิ่งที่อบอุ่นและลื่นเทลงบนหลังของเธอ จนทำให้เธอต้องครางออกมาด้วยความประหลาดใจ


 


“อาาา จ-เจ้ากำลังทำอะไรอยู่ ซูหยาง” เธอถามเขา


 


ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “ข้าละเลงน้ำมันลงบนหลังเจ้า…สิ่งพิเศษที่ทำมาจากตัวยาและสมุนไพรหลายอย่าง”


 


ขณะที่เขาอธิบาย ซูหยางก็ลูบไล้น้ำมันผสมไปทั่วทั้งหลังเธอ


 


“ข-ข้ามิเคยรู้สึกอะไรเช่นนี้มาก่อน…จริงแล้วมันทำอะไรได้บ้าง” หลานลี่ชิงค่อนข้างตื่นเต้นและสนใจในประสบการณ์ใหม่


 


“ไม่เพียงมันเพิ่มพูนปราณหยินของเจ้า แต่มันยังทำให้ร่างกายของเจ้ามีความรู้สึกไวขึ้น ทำให้เจ้ารู้สึกมีความสุขมากยิ่งขึ้น”


 


“ท-ทำให้มีความสุขมากขึ้น” หลานลี่ชิงเริ่มรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น กลัวว่าเธอจะสูญเสียจิตวิญญาณถ้าเธอได้รับประสบการณ์ที่ยิ่งมีความสุขกว่าสิ่งที่เหลือเชื่อนี่อยู่แล้ว


 


“อย่ากังวล ข้ามิทำเกินไป” ซูหยางบอกเธอ ราวกับว่าเขาสามารถอ่านใจได้


 


“ถ-ถ้าเจ้าพูดอย่างนั้น…”


 


หลานลี่ชิงค่อยหลับตาลงช้าๆและดื่มด่ำไปกับกลเม็ดระดับสวรรค์ของซูหยาง


 


“อาาา…อืมมม…น-นี่คือ…”


 


หลังจากที่ประสบกับกลเม็ดระดับสวรรค์ของซูหยางไปชั่วขณะ หลานลี่ชิงก็สามารถรับรู้ได้ถึงความแตกต่างในการนวดครั้งนี้ยามเปรียบเทียบกับครั้งที่แล้ว


 


ไม่เพียงแต่น้ำมันบนร่างเธอเพิ่มพูดความสุขแต่ซูหยางยิ่งกล้ากว่าเดิมขณะใช้มือของเขาสัมผัสร่างของเธอ นวดไปยังสถานที่เช่นก้นอันอวบอิ่ม


 


“ใช่…อืม….อาาาา…”


 


ร่างของหลานลี่ชิงสั่นสะท้านไปด้วยความสุขทุกครั้งที่ซูหยางเคลื่อนนิ้วเรียวข้ามผ่านหลังอันลื่นไหล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อซูหยางนวดพื้นที่ใกล้กับก้น ธาราของน้ำหวานแห่งความตื่นเต้นก็ไหลหลั่งออกมาจากถ้ำอันชุ่มฉ่ำของหลานลี่ชิง


 


หลังจากนวดหลังเธอไปสองสามนาที ซูหยางก็กล่าวกับเธอว่า “พลิกตัว”


 


หลานลี่ชิงไม่กล่าวอะไรและพลิกร่างของเธอขึ้น เปิดเผยให้ซูหยางเห็นถึงอกอันเอมโอชและน้องสาวแสนสวย


 


ยามเมื่อเธอพลิกตัวแล้ว ซูหยางก็เทน้ำมันพิเศษลงบนร่างของเธอมากขึ้น เคลือบทั้งร่างของเธอด้วยน้ำมันนี้


 


สองสามวินาทีหลังจากนั้นเขาก็เริ่มกระจายน้ำมันไปทั่วอกเธอ ทั้งยังกระตุ้นยอดถันชมพูประดุจเนรมิตด้วยนิ้วของเขาระหว่างการทำงาน


 


หลานลี่ชิงน้ำตาคลอเล็กน้อยจากความอายเมื่อซูหยางหยอกล้อกับยอดถัด เธอหันศีรษะหนีจากซูหยางเพื่อเขาจะได้ไม่เห็นท่าทางตื่นเต้นของเธอ


 


เมื่อเขาเสร็จการทาน้ำมันทั่วอกของหลานลี่ชิงแล้ว เขาก็ย้ายมือไปยังส่วนท้องเลื่อนไถลไปจนถึงน้องสาวที่เปียกแฉะไปด้วยสสารที่แตกต่างกันสองชนิด


 


“อา…โอ…ใช่…อืมมมมม…”


 


ความรู้สึกสุขสมเข้มข้นจนหลานลี่ชิงไปถึงจุดสุดยอดเสียก่อนที่ซูหยางจะขยับไปถึงถ้ำของเธอ ดังนั้นยามเมื่อนิ้วเรียวของซูหยางเพิ่งสัมผัสคูหาสีชมพู เธอก็พ่นทะลักออกมาอย่างสุดอดกลั้น ครอบคลุมบรรยากาศไปด้วยปราณหยิน



DC บทที่ 217: แทงตรงเข้าไปในตัวข้า…(18)

 


“ฮาาา….ฮาาาา….ฮาาาาา…” หลานลี่ชิงหอบหายใจหนักหลังจากถึงจุดสุดยอด


 


แต่อนิจจาหลานลี่ชิงเพียงสามารถหายใจได้เพียงสองสามครั้งก่อนที่ซูหยางจะเริ่มลูบไล้หลืบถ้ำของเธอด้วยนิ้วซึ่งชุ่มโชกไปด้วยน้ำมันพิเศษ


 


“อาาาา” หลานลี่ชิงส่งเสียงครางราวสัตว์ร้ายขณะที่ซูหยางนวดหลืบเร้นของเธอ เป็นเหตุให้ร่างของเธอสั่นสะท้านไปด้วยความพึงใจ


 


ซูหยางลูบไล้ไปทั่วร่องหลืบ หยอกล้ออัญมณีสีชมพูเม็ดเล็กของเธอ และนวดเฟ้นภายในเรือกสวนอันชุ่มชื้นด้วยนิ้วของเขา ส่งคลื่นความสุขสมไม่รู้จบเข้าไปในร่างรุ่มร้อนของหลานลี่ชิง


 


หลานลี่ชิงรู้สึกว่าเธอถูกไฟฟ้าดูดไม่รู้จบ แต่แทนที่จะมีความเจ็บปวด ร่างของเธอกลับเปี่ยมไปด้วยความสุขสันต์ที่เพียงกระตุ้นความกระหายของสัตว์ร้ายภายในใจเธอ


 


สองสามนาทีหลังจากนั้นหลังจากที่หลานลี่ชิงได้ไปถึงจุดสุดยอดหลายต่อหลายครั้ง ซูหยางก็ดึงมือของเขาออกจากร่างที่บิดกระตุกของเธอ


 


เขามองดูเธอที่พึงพอใจจนเกินพอและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าคิดว่าน้ำมันเป็นอย่างไร มันรู้สึกดีกว่าการนวดโดยที่ไม่มีมัน ใช่หรือไม่”


 


“จ-เจ้ากำลังพยายามจะฆ่าข้าใช่ไหม ซูหยาง” หลานลี่ชิงสามารถเค้นถ้อยคำออกมาสองสามคำหลังจากที่ได้มีเวลาหอบหายใจชั่วขณะ


 


ซูหยางหัวเราะหึและกล่าวว่า “ถ้าเจ้าคิดว่านั่นเลวร้าย เช่นนั้นเจ้าได้รับประสบการณ์ว่าจะรู้สึกอะไรบ้างตอนข้าใช้น้ำมันคุณภาพสูงกว่านี้”


 


“จ-เจ้ามีของที่รุนแรงกว่าสิ่งที่เจ้าใช้ไปตอนนี้ด้วยรึ” หลานลี่ชิงอดจินตนาการว่าจะรู้สึกอย่างไรถ้าร่างกายของเธอยิ่งไวต่อความสุขยิ่งกว่านี้


 


อย่างไรก็ตามถึงแม้จะกล่าวเช่นนั้น เธอก็คงจะโกหกถ้าพูดว่าเธอไม่ต้องการอยากลอง ถึงแม้ว่าเธอจะกลัวผลลัพธ์อยู่เช่นกัน


 


“แน่นอนว่ามี จริงแล้วน้ำมันที่ข้าใช้ตอนนี้เป็นตัวที่อ่อนที่สุดในกลุ่ม”


 


“อ-อ่อนที่สุด…” หลานลี่ชิงตกตะลึงอย่างแท้จริงเมื่อได้รับรู้ความจริงนี้


 


“อย่างไรก็ตามเรามาต่อกันเถอะ…” ซูหยางพลันกล่าวขึ้น


 


“อะไรกัน เรายังไม่เสร็จสิ้นอีกหรือ ตอนนี้ข้าหมดแรงแล้ว…” หลานลี่ชิงมองไปที่เขาพร้อมกับดวงตากลมโต


 


ซูหยางตอบกลับพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าขณะที่เขาเริ่มถอดเสื้อผ้า


 


หลานลี่ชิงสามารถรู้ถึงความหมายการกระทำของเขาได้ทันที และราวกับว่ามีมนตร์ ความอ่อนเพลียทั้งหมดบนร่างของเธอหายไปในทันทีที่สายตาเธอเห็นแท่งแกร่งของซูหยางชี้ชูขึ้นฟ้า


 


“นี่ก็นานพักใหญ่แล้วนับตั้งแต่เราฝึกคู่ร่วมกัน ดังนั้นเราใช้โอกาสนี้มาตามให้ทันกันเถอะ” เขากล่าวกับเขาด้วยเสียงนุ่มนวล ตามด้วยจูบเบาๆบนริมฝีปาก


 


หลังจากได้รับจูบจากเขาหลานลี่ชิงมองดูซูหยางด้วยสายตาโหยหา เธอยื่นมือทั้งสองเข้าไปหาแท่งแกร่งของเขา


 


ไม่นานหลังจากนั้น หลังจากเล่นกับมันอยู่ชั่วขณะ เธอก็ผลักแก่นกายเข้าไปในปากและเริ่มโยกศีรษะ ช่วยใช้ปากกับน้องชายของซูหยางอย่างเสน่หา


 


หลายนาทีหลังจากนั้นเมื่อหลานลี่ชิงพึงพอใจกับรสหวานจากปราณหยางและแก่นหนาของซูหยางแล้ว ซูหยางก็เข้าไปบนเตียงกับเธอ


 


อย่างไรก็ตามก่อนที่จะทิ่มเข้าไปในร่องของเธอ ซูหยางนำน้ำมันพิเศษออกมามากยิ่งขึ้น ทั้งยังไม่เหมือนเดิม กลับทาน้ำมันลงไปทั่วแท่งหนาของเขาไปจนทั่วทุกซอกมุม ทำให้เหมือนกับว่าเป็นแท่งขนมพิเศษน่าอร่อยที่เคลือบไปด้วยสารหวาน


 


หลานลี่ชิ่งจ้องมองดูโดยไม่กระพริบไปยังแกนหนาที่เปียกเยิ้มไปด้วยน้ำมัน เหมือนกับถูกสะกดจิดด้วยรูปลักษณ์และตัวตนที่ทรงพลัง


 


สูดหายใจลึกแล้วหลานลี่ชิงก็พูดด้วยเสียงกระเส่า “รีบแทงตรงเข้าไปในตัวข้า…”


 


เมื่อได้ยินเสียงยั่วยวนของหลานลี่ชิงและเห็นท่าทีออดอ้อนของเธอ ซูหยางกดแก่นหนาลึกลงไปในร่างที่โหยหาของเธอด้วยการแทงเพียงครั้งเดียว


 


“อาาาาาา”


 


ยามเมื่อซูหยางเริ่มผลักแท่งหนาเข้าไปในร่างเธอ หลานลี่ชิงร่ำร้องดุจเสียงหงส์ครวญสั่นสะท้านมวลอากาศภายในห้อง ผลรวมของกลเม็ดระดับเทพของซูหยางและน้ำมันพิเศษที่เพิ่มพูนความรู้สึกสุขสมของเธอช่างศักดิ์สิทธิ์จนเกินพอ หลานลี่ชิงรู้สึกเหมือนกับว่าเธอก้าวข้ามสรวงสวรรค์ด้วยความสุขสันต์ในเวลานั้นไปชั่วนาน


 


เพราะว่าความรู้สึกนั้นเข้มข้นเกินกว่าคนอย่างหลานลี่ชิงจะทนไหว เธอทนได้แค่เพียงไม่กี่นาทีก่อนที่ซูหยางตัดสินใจยุติด้วยการปลดปล่อยปราณหยางระดับสุดยอดเต็มไปด้วยพลังงานและปราณไร้ลักษณ์เข้าไปในร่างเธอ


 


“เจ้าสามารถล้างน้ำมันออกยามเมื่อเคลื่อนไหวได้แล้ว” ซูหยางกล่าว


 


อย่างไรก็ตาม หลานลี่ชิงปฏิเสธคำแนะนำ แต่กลับกล่าวว่า “ข้าต้องการให้เจ้าชำระล้างร่างกายให้ข้า…”


 


ซูหยางมองเธอพร้อมเลิกคิ้ว “เจ้าต้องการให้ข้าช่วยล้างให้รึ ข้าอาจจะแหย่ร่างเจ้าเล่นแทน” เขาหัวเราะหึ


 


“น-นั่นสบายมากสำหรับข้า…ตราบเท่าที่เจ้าทำความสะอาดร่างกายของข้าหลังจากนั้น…” หลานลี่ชิงเห็นชัดว่าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง


 


ซูหยางไม่ได้กล่าวอะไรและนำหลานลี่ชิงไปยังห้องน้ำ ด้วยเธออ่อนเพลียจนเกินไปจนไม่อาจแม้จะขยับแขนขา


 


ภายในห้องน้ำซูหยางวางร่างเปลือยของหลานลี่ชิงลงบนอกเขาและราดน้ำลงบนร่างเธอ หลังจากนั้นเขาใช้สบู่ที่สร้างขึ้นมาจากสมุนไพรตัวยาทำความสะอาดร่างเธอ


 


ซูหยางทำความสะอาดร่างของหลานลี่ชิงอย่างดีโดยไม่หยอกเย้า ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับหลานลี่ชิงซึ่งเตรียมใจไว้กับการยั่วเย้าของเขา


 


อย่างไรก็ตามเพียงหลานลี่ชิงผ่อนคลายร่างกาย ซูหยางก็เริ่มทำความสะอาดน้องสาวตรงด้านล่างของเธอซึ่งง่ายต่อการกระตุ้นความต้องการของร่างเธออีกครั้ง จนทำให้เกิดการหลั่งอีกครั้ง


 


“อาาา…” หลานลี่ชิงอดไม่ได้ที่จะเริ่มร้องครางในห้องน้ำขณะที่ซูหยางอาบน้ำให้เธอ


 


และถึงแม้ว่าซูหยางจะไม่ได้มีเจตนาที่จะปลุกเร้าความต้องการของเธอ เขาก็พบว่าสถานการณ์นี้ค่อนข้างสนุก สุดท้ายแล้วถ้าเธอยังคงปลดปล่อยของเหลวออกมาอย่างต่อเนื่อง เธอคงไม่มีวันสะอาดไม่ว่าเขาจะทำความสะอาดจุดนั้นมากเท่าไรก็ตาม


 


ดังนั้นซูหยางจึงตัดสินใจปล่อยจุดนั้นไว้หลังจากลูบไล้มันชั่วขณะและเคลื่อนต่อไปยังพื้นที่ถัดไป


 


ยามเมื่อเขาทำความสะอาดทุกจุดบนผิวผ่องประดุจหยกของเธอแล้ว ซูหยางก็รดน้ำลงไปบนร่างเธอเพื่อล้างสบู่ออก ก่อนที่จะวางร่างเธอลงไปในอ่างอาบน้ำที่เต็มไปด้วยน้ำอุ่นสะอาดเสมอจากค่ายกลวิญญาณ


 


หลังจากทั้งหมดนั้นแล้ว เขาก็ทำความสะอาดร่างกายของตนเองอย่างรวดเร็วและตรงไปยังอ่างอาบน้ำเพื่ออยู่ร่วมกับหลานลี่ชิงในเมื่อมันกว้างมากพอสำหรับผู้ใหญ่หลายคนและยังมีที่ว่างเหลืออีกด้วย



DC บทที่ 218: กลุ่มสาวสวยกลับมาอีกครั้ง

 


บรรยากาศภายในห้องน้ำเงียบและสงบสุขเป็นอย่างมากจนหลานลี่ชิงที่พิงศีรษะบนหัวไหล่ของซูหยางในเวลานั้นรู้สึกผ่อนคลายและปลอดภัยเป็นพิเศษ บางสิ่งที่เธอไม่เคยประสบมาก่อนเหมือนกับความฝัน ซึ่งหลานลี่ชิงต้องการให้ช่วงเวลาคงอยู่อย่างนั้นชั่วนิรันดร์


 


“ซูหยาง…” เธอพลันกล่าวขึ้น “เมื่อไหร่เจ้าจึงจะกลายเป็นศิษย์หลัก ข้าจะได้ไม่ต้องปิดบังความสัมพันธ์กับเจ้าอีกต่อไป”


 


ทั้งหมดนี้ก็เพื่อที่เก็บความสัมพันธ์อันลึกซึ้งของพวกเขาจากฐานะผู้อาวุโสนิกายและศิษย์ไว้เป็นความลับ เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่ถูกลงโทษโดยนิกาย เธอต้องโกหกศิษย์ของเธอเองเพื่อที่จะพบกับเขา บางสิ่งที่เธอไม่อาจปฏิเสธว่าเธอไม่รู้สึกผิด


 


“เจ้ายังคงกังวลเกี่ยกับเรื่องพวกนี้รึ” ซูหยางส่ายหน้า “ถ้าใครมีปัญหาก็ให้มาหาข้า”


 


“เจ้ายังมิเข้าใจ ซูหยาง… มันมิใช่อะไรที่ไม่สำคัญอย่างเช่นแค่เพียง “ปัญหา” แม้ว่าจะเป็นเรื่องธรรมดาของนิกายนี้ แต่นี่เป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับผู้อาวุโสนิกายและศิษย์ที่จะฝึกคู่ร่วมกัน ถ้าความสัมพันธ์ของเราถูกเปิดเผย เราคงจะถือได้ว่าโชคดีถ้านิกายเพียงแค่ทำลายพลังการฝึกปรือก่อนที่จะไล่พวกเราออกจากสำนัก ในกรณีที่เลวร้ายอาจลงโทษเราถึงตาย”


 


“จะเกิดอะไรขึ้นรึถ้าผู้นำนิกายฝึกคู่ร่วมกับศิษย์ ยังมีกฏพวกนี้อยู่หรือไม่” ซูหยางถามง่ายๆ


 


“ผ-ผู้นำนิกายรึ ร-เรื่องนี้ไม่เคยคิดมาก่อน ในเมื่อเหตุการณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมานับตั้งแต่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยถูกก่อตั้ง ถ้ามันเกิดขึ้นนั่นต้องยิ่งกว่าเพียงแค่เรื่องอื้อฉาว”


 


ซูหยางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะในใจ ในเมื่อประวัติศาสตร์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยถูกเขียนไว้เรียบร้อยแล้วเมื่อเขาได้ร่วมฝึกคู่กับโหลวหลานจีระหว่างการประเมินศิษย์ใน


 


“ข้ามิเข้าใจทำไมเรื่องเช่นนั้นจึงต้องห้าม นั่นมิได้ทำร้ายผู้ใด และศิษย์ย่อมได้ผลประโยชน์มากมายถ้าพวกเขาฝึกคู่ร่วมกับผู้อาวุโสนิกาย” ซูหยางถอนหายใจ


 


“ข้าก็มิเข้าใจเช่นกัน แต่ข้าเคยได้ยินจากผู้นำนิกายคนก่อนว่ากฏดังกล่าวไม่ได้มีมาตั้งแต่ต้น มันเกิดขึ้นหลังจากมีเหตุที่ทำให้เกิดความวุ่นวายอย่างมากภายในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจนทำให้พวกเขาต้องตั้งกฏนั้นขึ้น”


 


“อย่างนั้นรึ…” แม้ว่าซูหยางไม่ได้สนใจมากนักเกี่ยวกับกฏของนิกายนี้ หลานลี่ชิงดูเหมือนว่าจะเป็นกังวลเกี่ยวกับมันมาก


 


“อย่างไรก็ตามเจ้าอย่าเครียดเกินไปกับสิ่งที่ไม่สำคัญ และถึงแม้ว่ามันถูกเปิดเผยให้กับนิกายว่าเราร่วมฝึกคู่กัน ก็จักมิมีอะไรเกิดขึ้นกับเราทั้งคู่ นี่ข้าสามารถรับประกันเจ้าได้” เขากล่าวกับเธอด้วยรอยยิ้มมั่นใจบนใบหน้า


 


“ถ้าเจ้ากล่าวเช่นนั้น…” แม้ว่าเธออาจจะไม่สามารถหยุดกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ทั้งหมด เธอก็ยังรู้สึกว่าน้ำหนักที่กดอยู่บนบ่าเบาลงหลังจากที่เห็นความมั่นใจของเขา มันเหมือนกับว่าซูหยางสามารถแบ่งปันความรู้สึกของเขาให้กับใครก็ตามที่อยู่ข้างเขา


 


หลังจากที่มีความสุขกับการอาบน้ำอีกชั่วขณะ ซูหยางก็อุ้มหลานลี่ชิงออกจากอ่างอาบน้ำไปเช็ดตัวให้แห้งก่อนที่จะสวมชุดกลับคืนลงบนร่างเธอ


 


เพียงหลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมงที่หลานลี่ชิงมีแรงพอที่จะยืนขึ้นโดยไม่ล้มลงหลังจากที่ยืนได้สองสามวินาที และเมื่อเธอสามารถเดินได้โดยไม่ล้มลงแทบทุกก้าวหลายนาทีหลังจากนั้น หลานลี่ชิงก็กล่าวคำอำลากับซูหยางและกลับไปยังตำหนักโอสถที่ซึ่งศิษย์ของเธอยังคงทำงานก้าวหน้าอย่างเหลือเชื่อ ซึ่งสร้างความงุนงงให้กับหลานลี่ชิงเป็นอย่างมากเมื่อเธอเห็นภาพนั้น


 


เมื่อหลานลี่ชิงจากไปแล้ว ซูหยางได้นำเอายาเม็ดสีแดงจากถุงเก็บที่ทิ้งไว้เบื้องหลังโดยชิวเยวี่ยและกลืนมันเข้าไปก่อนที่จะหลับตาฝึกฝน


 


แม้ว่าหลานลี่ชิงจะอยู่เพียงแค่เขตปฐพีวิญญาณระดับต้น แต่เพราะว่าน้ำมันที่เพิ่มปราณหยินของเธอและยาเม็ดสีแดงนี้ที่เต็มไปด้วยปราณหยาง จึงเพียงพอให้ซูหยางสามารถฝึกปราณไร้ลักษณ์ให้ก้าวหน้าต่อไปยังเขตอัมพรวิญญาณได้ และแม้ว่าก้าวนี้จะเชื่องช้าและอ่อนแอ แต่เขาก็ยังเติบโตต่อไปได้


 


และด้วยความเร็วระดับนี้ เขาไม่ต้องใช้เวลาถึงครึ่งปีในการที่จะเข้าสู่เขตอัมพรวิญญาณ


 



 



 



 


ขณะที่ซูหยางกำลังฝึกวิชาอย่างสงบสุข บรรดาศิษย์ของตำหนักโอสถก็เคลื่อนไหวอย่างเร่งร้อนเพื่อที่จะทำให้งานวันนั้นของตนเองเสร็จตราบเท่าที่เป็นไปได้เพื่อพวกเธอจะได้ไปหาซูหยาง ทำให้สถานที่แห่งนั้นสับสนวุ่นวาย


 


และเมื่อหลานลี่ชิงเห็นภาพนั้นครั้งแรก เธอถึงกับตกตะลึงกับการทำงานของพวกเธอ เพราะว่าเธอไม่เคยเห็นพวกเธอทำงานอย่างหนักในหลายปีที่อยู่ด้วยกันมา


 


อย่างไรก็ตามเมื่อหลานลี่ชิงถามหนึ่งในบรรดาศิษย์ว่าเหตุใดพวกเธอจึงพลันกระฉับกระเฉงและได้รับคำตอบว่าซูหยางได้เปิดกิจการนวดเล็กๆของเขาขึ้นมาอีกครั้งแล้ว เธอจึงตกตะลึงกับข่าวอีกครั้ง


 


“ซูหยางจักรับลูกค้าอีกครั้งรึ” หลานลี่ชิงอดนึกไม่ได้ว่าความวุ่นวายจะเป็นอย่างไรหากเหล่าศิษย์หญิงรู้ข่าวนี้ ในเมื่อมันเกิดความวุ่นวายมาแล้วเมื่อซูหยางเปิดธุรกิจครั้งแรก


 


“เช่นนี้พวกหญิงสาวเช่นเจ้าทุกคนวางแผนที่จะไปหาซูหยางหลังจากทำงานวันนี้รึ” เธอถามพวกเธอด้วยท่าทางแปลกประหลาดใบใบหน้า


 


“เป็นเช่นนั้น พวกเราต้องการเป็นกลุ่มแรกที่อยู่ในแถว”


 


“หวังว่าศิษย์พี่ชายซูเพียงบอกกับพวกเราเกี่ยวกับการเปิดอีกครั้ง มิเช่นนั้นพวกเราคงต้องเข้าแถวหลายวันก่อนที่พวกเราจะสามารถเจอเขา”


 


“ย-อย่างนั้นรึ…” หลานลี่ชิงไม่ต้องการที่จะยุ่งเกี่ยวกับความวุ่นวายของพวกเธอมากเกินไป ในเมื่อมันอาจจะทำให้ความลับของเธอกับซูหยางเปิดเผยออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ดังนั้นเธอจึงปล่อยพวกเธอไป และกลับขึ้นไปยังชั้นบนที่ห้องของตนเองเพื่อที่จะฝึกฝนปราณหยางในร่างเธอ


 


สองสามชั่วโมงหลังจากนั้น หลังจากบรรดาศิษย์ของตำหนักโอสถเสร็จสิ้นงานของประจำวันของพวกเธอแล้ว พวกเธอทั้งหมดพากันวิ่งไปยังที่พักของซูหยางราวกับฝูงสัตว์ร้ายที่หิวโหย


 


ยามเมื่อพวกเธอไปถึงที่พักของซูหยางและเห็นว่ายังไม่มีใครเข้าแถว ดวงตาของพวกเธอเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น รู้สึกดีใจที่พวกเธอเป็นกลุ่มแรกที่มาถึง


 


“ศ-ศิษย์พี่ชายซู ตามสัญญา พวกเราอยู่ที่นี่แล้ว” หนึ่งในพวกเธอเคาะประตู


 


ไม่นานหลังจากนั้นซูหยางก็เปิดประตู


 


“เข้ามาข้างในสิ” เขาทักทายพวกเธอด้วยรอยยิ้ม และเหล่าหญิงสาวก็เข้าไปในบ้านอย่างมีความสุขโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย




DC บทที่ 219: ท่านคิดว่าร่างของข้าเป็นอย่างไร

 


ภายในบ้านของเขา หญิงสาวเก้าคนยืนเข้าแถวต่อหน้าซูหยางตามลำดับ เหมือนกับภาพของโสเภณีรอให้แขกมาเลือกเธอตามอำเภอใจ


 


แต่แทนที่จะเป็นหญิงโสเภณี พวกเธอล้วนเป็นศิษย์นอกของตำหนักโอสถ อีกทั้งยังเป็นศิษย์ของหลานลี่ชิงอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นพวกเธอล้วนเป็นหนึ่งในลูกค้าแรกสุดของซูหยางก่อนที่เขาจะเป็นที่นิยมในหมู่ศิษย์นอก และพวกเธอมาที่นี่ในวันนี้เพื่อจะรับประสบการณ์จากกลเม็ดระดับเทพอีกครั้ง


 


“ใครต้องการเป็นคนแรก” ซูหยางพลันถามพวกเธอ “พวกสาวสาวสามารถปรึกษากัน–”


 


“เราได้ตกลงกันมาแล้วตามลำดับ” หนึ่งในหญิงสาวกล่าว


 


“โอ” ซูหยางเลิกคิ้ว


 


“พวกเราได้ตัดสินใจก่อนที่จะมาที่นี่ว่าพวกเราจะเข้าไปตามลำดับเหมือนครั้งก่อน นั่นก็หมายความว่าข้าเข้าไปเป็นคนแรก” ซวนจิงหลินกล่าว เธอเป็นคนแรกยามเมื่อพวกเธอมาครั้งแรกเพื่อลิ้มลองกลเม็ดของซูหยาง


 


ซูหยางพยักหน้าและกล่าวว่า “ยังไงก็ได้สำหรับข้า”


 


“…”


 


สถานที่นั้นพลันเงียบลง


 


“มีอะไรผิดไปรึ” ซูหยางถามพวกเธอ


 


“อืมม…เงื่อนไขครั้งนี้คืออะไร” ซวนจินจิงถามเขา ในเมื่อเคยมีเงื่อนไขในครั้งแรกที่มาซึ่งพวกเธอได้ทำตามก่อนที่พวกเธอจะได้รับบริการ


 


“โอ สิ่งนั้นเองรึ คราวนี้ไม่มีเงื่อนไขอะไร” เขาตอบง่ายๆ


 


“อะไรก้น ไม่มีเงื่อนไข”


 


หญิงสาวทั้งเก้ามองดูเขาด้วยดวงตากลมโตเต็มไปด้วยความประหลาดใจ


 


“ล-แล้วเรื่องจำกัดเวลาล่ะ นานเท่าไหร่สำหรับการนวดคราวนี้” หนึ่งในพวกเธอถาม


 


ซูหยางตอบพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า “ไม่มีการจำกัดเวลา ดังนั้นพวกเจ้าสามารถอยู่นี่ได้หลายชั่วโมงโดยไม่ต้องไปไหน แต่พวกเจ้าทั้งหมดคงจะหมดแรงภายในไม่กี่นาที ว่าไปแล้วข้าจักทำให้มั่นใจว่าพวกเจ้าทั้งหมดออกจากที่นี่ไปอย่างพึงใจ ดังนั้นเจ้ามิต้องกังวลว่าข้าจักนวดอย่างเร่งรีบเพียงเพื่อทำให้พวกเจ้าออกไปเร็วกว่าปกติ”


 


“ม..ไม่มีการจำกัดเวลา”


 


“น-น-นวดนานหลายชั่วโมง”


 


เหล่าหญิงสาวเริ่มสั่นสะท้านด้วยความมุ่งหวังหลังจากที่ได้ยินเงื่อนไขใหม่ของเขา และพวกเธอแอบสาบานอยู่เงียบในใจว่าพวกเธอจะไม่ออกจากเตียงของเขาต่อให้พวกเธอต้องตายเพราะความสุขสมก็ตาม


 


“พวกเจ้ายังมีคำถามอะไรจากข้าอีกไหมก่อนที่เราจะเริ่ม” ซูหยางถามพวกเธอ


 


“อืม…” ซวนจิงหลินยกมือของเธอขึ้นและกล่าวว่า “ท่านอ้างว่าจะมีมากกว่าเพียงแค่การ “นวด” … จริงแล้วท่านหมายถึงอะไรในเรื่องนั้น”


 


หญิงสาวคนอื่นชื่นชมซวนจิงหลินอยู่ในใจที่ถามคำถามที่ค้างคาอยู่ในใจพวกเธอนับตั้งแต่ได้ยินเรื่องนั้น


 


อย่างไรก็ตามซูหยางเพียงแค่ยิ้มกับคำถามนั้นและกล่าวว่า “พวกเจ้าจักรู้เองภายในนั้น”


 


“…”


 


ความคาดหวังของบรรดาหญิงสาวพุ่งสูงถึงหลังคาทะลุผ่านเมฆในขณะนี้ และจินตนาการของพวกเธอก็เตลิดไปทั่วคิดสงสัยว่าซูหยางจะทำอะไรกับพวกเธอเมื่ออยู่กับพวกเธอตามลำพัง


 


“ข-ข้าพร้อมแล้ว” ซวนจิงหลินไม่มีความอดทนเหลืออีกต่อไปและก้าวยาวตรงเข้าไปในห้องของซูหยาง ในใจของเธอ เธอมั่นใจว่าคำถามทั้งหมดของเธอจะได้รับคำตอบยามเมื่อพวกเขาเริ่ม ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลใดสำหรับเธอที่พูดคุยให้นานกว่านั้น


 


ยามเมื่อเธออยู่ในห้องของเขา ความทรงจำครั้งที่เธอมาเยี่ยมเป็นครั้งแรกก็ผุดขึ้นมาในใจ และร่างของเธอก็ถูกปลุกเร้าขึ้นมาในทันใด


 


“ไปนอนตรงนั้น” ซูหยางกล่าวกับเธอหลังจากที่ปิดประตู


 


ซวนจิงหลินพยักหน้าและนอนลงไปบนเตียงเช่นเดียวกับครั้งที่แล้ว


 


ไม่นานหลังจากนั้น ซูหยางก็เริ่มนวดหลังเธอทำให้ความรู้สึกเสียวซ่านแผ่ไปทั่วร่างของเธอ


 


“อืมมมม…อาาา…แบบนั้นแหละ…ใช่แล้ว…” ซวนจิงหลินเริ่มครวญครางด้วยความสุขสม


 


อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีความสุข ซวนจิงหลินไม่อาจบอกได้ถึงความแตกต่างระหว่างครั้งนี้กับครั้งก่อนหน้านั้น เหมือนกับว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย


 


ถึงจะกล่าวเช่นนั้น แต่ซวนจิงหลินก็ไม่ได้สนใจเรื่องนั้นแม้แต่น้อยและสุขสมกับการนวดขั้นเทพต่อไป


 


สองสามนาทีต่อไป ซูหยางพลันกล่าวขึ้นว่า “เจ้าต้องการให้เป็นเช่นนี้ต่อไป หรือว่าเจ้าต้องการที่จะลองของใหม่” เขาถามเธอโดยไม่ได้หยุดการนวด


 


“ข-ของใหม่รึ นั่นคืออะไรกัน” เธอถาม ความสนใจของเธอถูกจุดขึ้นในทันที


 


“ข้ามีน้ำมันพิเศษที่สร้างขึ้นโดยการผสมสมุนไพรหลากหลาย และถ้าเจ้าพอกผิวเจ้าด้วยสิ่งนี้ ความรู้สึกของเจ้าจะเพิ่มขึ้นมาอย่างมากมาย ยิ่งไปกว่านั้นมันจะทำการล้างความไม่บริสุทธิ์ในปราณหยินของเจ้าระดับหนึ่งทำให้มันแข็งแกร่งขึ้น”


 


“ท-ท่านพูดจริงรึ” ซวนจิงหลินทำท่ากลืนน้ำลายหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขาที่เหมือนกับว่าจะดีเกินที่จะเป็นจริงอยู่บ้าง


 


ว่าไปแล้วมีเพียงยาหายากดังเช่นโอสถหยินพ้นพิสัยที่มีความสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของปราณหยินของผู้คน แต่ซูหยางตรงนี้กลับออกมาบอกว่าเขามีน้ำมันพิเศษบางอย่างที่มีคุณสมบัติเหมือนเช่นโอสถหยินพ้นพิสัย และเขายินดีที่จะใช้มันกับเธอฟรี


 


อย่างไรก็ตามซวนจินหลินรู้สึกว่ามันยากยิ่งกว่าที่จะเชื่อว่าซูหยางมีเจตนาทำร้ายเธอ ดังนั้นเธอจึงพยักหน้ากับคำแนะนำให้ใช้น้ำมันพิเศษนี้


 


“อย่างไรก็ตามเพื่อที่จะทาน้ำมันพิเศษลงบนร่างเจ้า ข้าจำเป็นต้องให้เจ้าถอดเสื้อผ้า” ซูหยางกล่าวกับเธอ


 


ซวนจิงหลินได้เตรียมใจของเธอมานานแล้วก่อนที่จะมาถึงที่นี่ในกรณีที่ซูหยางต้องการให้เธอมากกว่าการนวด ดังนั้นเธอจึงไม่ประหลาดใจเลยแม้แต่น้อยที่พบว่ามันเกิดขึ้นจริงและถอดเสื้อผ้าออกโดยไม่ตื่นเต้น


 


ซูหยางมองดูร่างเปลือยของซวนจิงหลินด้วยท่าทางเรียบเฉย แม้ว่าสัดส่วนของเธอไม่อาจเทียบได้กับร่างเติบโตเต็มวัยของหลานลี่ชิง ผิวขาวผ่องและร่างสะโอดสะองของเธอก็สามารถทำให้คนทั่วไปส่วนใหญ่สูญเสียการควบคุมได้ในทันที


 


“ว่ากระไร…ท่านคิดว่าร่างของข้าเป็นอย่างไร” ซวนจิงหลินถามเขาหลังจากที่เห็นซูหยางจ้องมองรูปร่างของเธอ เสียงของเธอฟังดูเอียงอาย


 


“ช่างสวยงาม” เขากล่าวตอบอย่างนุ่มนวลพร้อมรอยยิ้มหล่อเหลาบนใบหน้า


 


ซวนจิงหลินพลันหน้าขึ้นสีจนกระทั่งทั้งใบหน้าเธอกลายเป็นสีแดง


 


“อ-อย่างนั้นรึ…”


 


ถ้าซูหยางบอกเธอให้จากคู่ฝึกร่วมปัจจุบันของเธอเพื่อที่จะอยู่กับเขาในเวลานี้ แน่นอนว่าเธอไม่ลังเลใจที่จะพยักหน้า


 


“เจ้าควรนอนลงอีกครั้ง” เขาพลันกล่าวกับเธอ


 


ซวนจิงหลินพยักหน้าและนอนลงไปบนเตียงพร้อมกับเสียงหัวใจเต้นราวกับกลองศึก สามารถมองเห็นสารเหลวเล็ดรอดออกมาจากรอยร่องระหว่างขาของเธอ มองดูเหมือนกับริมฝีปากคู่หนึ่งที่น้ำลายไหลย้อยเนื่องจากความหิว


DC บทที่ 220: ข้าต้องการร่วมฝึกคู่กับท่าน…

 


ซูหยางเทน้ำมันพิเศษลงบนหลังของซวนจิงหลินและเริ่มนวดเธอ


 


“อาาาา ความรู้สึกนี้ช่างดียิ่ง ข้ามิเคยประสบอะไรเช่นนี้มาก่อน”


 


ซวนจิงจินร้องครางเสียงดังยามเมื่อน้ำมันซึมเข้าไปในรูขุมขน ทำให้ร่างของเธอยิ่งไวต่อการสัมผัสของซูหยางและเพิ่มพูนปราณหยินของเธอในระหว่างกระบวนการ


 


หลังจากที่ซูหยางทาน้ำมันลงไปบนหลังเธอจนทั่วได้ชั่วขณะแล้ว เขาก็ขยับมือไปยังบั้นท้ายของเธอและบีบเฟ้นแน่น รีดเสียงร้องครางด้วยความสุขสันต์อย่างลึกซึ้งออกมาจากปากของซวนจิงหลินพร้อมกับน้ำที่ออกมาจากร่องหลืบส่วนล่างของกายเธอ


 


ซูหยางเริ่มกระบวนการนวดแก้มก้นโดยการกดนิ้วของเขาลึกลงไปในเนินเนื้อตรงหน้า ส่งผลให้เกิดคลื่นของความสุขสมกระแทกผ่านร่างของซวนจิงหลิน


 


ยามเมื่อเขานวดก้นเสร็จแล้ว ซูหยางเคลื่อนมือมุ่งไปยังขาเรียวงามนวดต้นขาที่ยืดหยุ่นของเธออย่างมีชั้นเชิงขณะที่หยอกล้อน้องสาวของเธอไปด้วยบ่อยๆ ซึ่งยิ่งกระตุ้นความปรารถนาของร่างกายซวนจิงหลินมากยิ่งขึ้นทุกขณะ


 


ภายในไม่กี่นาที ซวนจิงหลินก็รู้สึกหมดแรงจากการปลดปล่อยอย่างต่อเนื่อง แต่ซูหยางก็ยังคงเพียงได้แค่ทาน้ำมันด้านหลังเธอเท่านั้นขณะที่ข้างหน้ายังคงไม่ได้แตะต้อง


 


“มีอะไรผิดหรือ เจ้ารู้สึกหมดแรงไปแล้วหรือ หรือเจ้าต้องการให้ข้าหยุดเพียงเท่านี้” ซูหยางถามเธอ


 


“ม…ไม่ ข..ข้ายังสามารถ…รับได้มากกว่านี้…” ซวนจิงหลินกล่าวด้วยเสียงที่เห็นชัดว่าหมดแรง


 


ไม่มีทางที่เธอยอมแพ้หลังจากที่ได้รับประสบการณ์บางอย่างที่ศักดิ์สิทธิ์ดังเช่นการนวดน้ำมันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อร่างของเธอยังแผดเผาไปด้วยความต้องการ ในใจเธอตัดสินใจที่จะไม่ยอมออกไปจากเตียงนี้ถึงแม้ว่าซูหยางจะพรากลมหายใจสุดท้ายของเธอไปด้วยกลเม็ดระดับพระเจ้าของเขา


 


“ถ้าเจ้าพูดเช่นนั้นละก็”


 


ซูหยางไม่ได้พยายามที่จะหว่านล้อมเธอให้หยุดและนวดร่างด้านหน้าของเธอต่อไป


 


“อาาา…ใช่แล้ว….ลูบข้ามากกว่านี้–”


 


ซวนจิงหลินจับผ้าปูเตียงแน่นเมื่อซูหยางนวดทรวงอกเธอด้วยกลัวว่าเธอจะเผลอกอดเขาโดยสัญชาตญาณ


 


อย่างไรก็ตามยามเมื่อซูหยางเริ่มนวดน้องสาวของเธอ ซวนจิงหลินก็หลุดการควบคุมภายในไม่กี่วินาทีและเริ่มเอื้อมมืออันสั่นเทาไปยังพื้นที่หว่างขาของซูหยาง สายตาเธอเต็มไปด้วยความปรารถนาที่จะร่วมรัก


 


“ศิษย์พี่ชายซู…ได้โปรด..ข้าต้องการที่จะร่วมฝึกคู่กับท่าน…” ซวนจิงหลินขอร้องเขาด้วยน้ำเสียงอ้อนวอน สายตาเธอมีประกายของความกำหนัด


 


มองเห็นท่าทางสิ้นหวังของเธอ ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “เจ้ามั่นใจรึ เจ้าคงไม่สามารถออกจากห้องนี้ได้ด้วยตนเองถ้าเราร่วมฝึกคู่”


 


ซวนจิงหลินพยักหน้าด้วยท่าทางเด็ดเดี่ยว คิดในใจว่าประวัติศาสตร์เพียงแค่ซ้ำรอยเท่านั้น


 


ซูหยางไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น เขานำเอาแก่นกายแสนแกร่งออกมาจากภายในชุดคลุมดุจอาวุธที่แอบซุกซ่อนไว้


 


“น-นี่เป็นของศิษย์พี่ชายรึ…”


 


ซวงจิงหลินจ้องมองไปยังแกนทรงพลังด้วยท่าทางพินิจ ในใจเธอได้ลองเปรียบเทียบแท่งของซูหยางกับของคู่ฝึกของเธอ แต่ความแตกต่างนั้นเหมือนฟ้ากับเหวโดยแก่นกลางของซูหยางคือแบบแรก


 


“อ-ไอ้เลวตัวไหนที่เป็นต้นเหตุคำร่ำลือเรียกเขาว่าคนพิการ หรือว่าคนพิการมีแก่นกลางที่ดูแข็งแกร่งปานนี้” คิดกลับไปยังคำร่ำลือ ซวนจิงหลินก็อดด่าไปยังคนที่สร้างความเข้าใจผิดให้พวกเธอไม่ได้ ในเมื่อมันสร้างความเสียหายให้กับโอกาสสำหรับคนหลายคนที่จะได้ทดลองแท่งศํกดิ์สิทธิ์เช่นนี้


 


“ข้าจักเริ่มขยับแล้วตอนนี้” ซูหยางกล่าวกับเธอ


 


ซวนจิงหลินกลืนน้ำลายที่สอเต็มปากอย่างยากเย็นและพยักหน้า


 


ซูหยางค่อยดันท่อนเนื้อเข้าไปในทางเข้าของซวนจิงหลิน จนทำให้กลีบชุ่มฉ่ำขยายตัวออก


 


“อาาาาาา” ซวนจิงหลินร่างกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้ด้วยความรู้สึกที่คับแน่นบริเวณเป้าของเธอขณะที่แท่งแกร่งทะลวงเข้าไปในร่างเธอ


 


น้องชายของซูหยางช่างใหญ่เมื่อมันเข้าไปในร่างเธอจนซวนจิงหลินคิดว่าเธอกำลังพบกับการสูญเสียพรหมจรรย์เป็นครั้งที่สองในตอนนี้


 


มันเป็นความรู้สึกที่บรรยายไม่ได้ซึ่งจะเปลี่ยนมุมมองต่อการร่วมฝึกคู่ของเธอไปตลอดกาล


 


ยามเมื่อส่วนปลายของแท่งของซูหยางไปถึงสุดถ้ำอันแน่นคับของซวนจิงหลินแล้ว เขาก็เริ่มขยับสะโพก กระแทกกระทั้นถ้ำของเธอด้วยแก่นกาย ครอบงำร่างกายและจิตใจของซวนจิงหลินด้วยความสุขสม


 



 



 



 


ในเวลานั้นหญิงสาวอีกแปดคนที่เหลืออดทนรออยู่ด้านนอกห้องด้วยสีหน้ากระวนกระวาย


 


“พวกเจ้าคิดว่าศิษย์พี่หญิงซวนจะทนได้นานเท่าไหร่” หนึ่งในพวกเธอถาม


 


“ในเมื่อรู้ว่าเธอเป็นคนที่มีประสบการณ์มากที่สุดในบรรดาพวกเราทั้งเก้าคน เธอควรจะสามารถทนอยู่ได้อย่างน้อยครึ่งชั่วโมงโดยไม่มีปัญหา แม้ว่าเธอจะเผชิญหน้ากับคนอย่างซูหยางก็ตาม”


 


“ครึ่งชั่วโมงรึ ข้าจักไม่ไปไหนจนกว่าข้าจะได้อยู่กับเขาอย่างน้อยสองชั่วโมง” ผู้ที่มีอายุน้อยที่สุดในบรรดาพวกเธอพูด


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า…ข้าจักเรียกเจ้าเป็นศิษย์พี่ถ้าเจ้าอยู่ได้นานถึงชั่วโมงในนั้น…”


 


บรรดาหญิงคนอื่นต่างพากันเริ่มหัวเราะ


 


“ฮึ่ม พวกท่านคอยดู—”


 


ระหว่างที่พวกเธอกำลังหัวเราะ ประตูห้องซูหยางก็พลันเปิดออกมา


 


ซูหยางเดินออกมาจากห้องด้วยใบหน้าเรียบเฉยและกล่าวว่า “ข้าพร้อมรับแขกคนต่อไปแล้ว”


 


“ว่ากระไรนะ ท่านเสร็จกันแล้วรึ”


 


บรรดาหญิงสาวสบตากันด้วยความตกตะลึง ลืมเรื่องครึ่งชั่วโมงไปเลย นี่ยังไม่ถึงสิบห้านาทีนับตั้งแต่ซวนจิงหลิงเข้าไปในห้อง


 


“ก-เกิดอะไรขึ้นกับ…ไม่มีอะไร…”


 


บรรดาหญิงสาวปล่อยผ่านไปเพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะถามว่าซวนจิงหลินเป็นอย่างไร ในเมื่อพวกเธอล้วนรู้ดีว่าจักเกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอหลังจากประสบกับกลเม็ดขั้นเทพของซูหยาง


 


“ข้าคนต่อไป” อวี้เยียนหญิงสาวอายุน้อยสุดในกลุ่มก้าวออกไปด้วยท่าทางมั่นใจ


 


“โชคดี พยายยามให้ได้นานถึงสองชั่วโมงในนั้น ศิษย์น้องอวี้”


 


รู้ดีว่าเธอคงอยู่ไม่นานขนาดนั้น บรรดาหญิงสาวก็ส่งเสียงให้กำลังใจอวี้เยียนทำนองหยอกเย้าขณะที่เธอกำลังเข้าไปในห้องซูหยาง


 


ยามเมื่ออวี้เอียนเข้าไปในห้อง เธอก็ต้องตระหนกเมื่อเห็นซวนจิงหลินนั่งอยู่ที่มุมห้องเหมือนครั้งที่แล้ว แต่ด้วยท่าทางลามกที่ทำให้เธอสะดุดใจ ยิ่งไปกว่านั้นชุดของเธอก็แทบไม่ได้อยู่บนร่าง ราวกับว่าถูกถอดออกไปจนถึงระดับหนึ่งและเธอก็ไม่สนใจที่จะนำมันมาสวมให้เรียบร้อยหลังจากนั้น


 


“ก-เกิดอะไรขึ้นบนโลกนี้กับเธอ” อวี้เยียนไม่รู้สึกมั่นใจว่าเธอจะสามารถอยู่ได้นานถึงสองชั่วโมงอีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เห็นสภาพของซวนจิงหลิน


 


“ศิษย์น้องหญิง..” เมื่อเห็นอวี้เยียนเข้ามาในห้อง ซวนจิงหลินจ้องมองเธอด้วยรอยฉีกยิ้มที่อันตรายและกล่าวว่า “แสดงสวยๆให้ข้าดูเหมือนครั้งที่แล้วล่ะ…”


 


อวี้เยียนอ้าปากค้างจนกรามตกลงพื้นเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้น ธรรมดาที่เธอต้องจนคำพูด


DC บทที่ 221: หลายงานพร้อมกันบนเตียง

 


“ตรงไปบนเตียงและนอนคว่ำหน้า”


 


ซูหยางแนะนำอวี้เยียนซึ่งกำลังรู้สึกกลัวเกรงอยู่เล็กน้อยจากคำพูดของซวนจิงหลิน


 


อวี้เยียนถอนหายใจและนอนลงบนเตียง ปิดตา เพื่อที่เธอจะได้ไม่เห็นซวนจิงหลินจ้องมองมายังเธอด้วยดวงตาที่ดูเหมือนไม่อาจทนรอดูความบันเทิง


 


ยามเมื่ออวี้เยียนนอนลงบนเตียง ซูหยางก็เริ่มนวดเธอตามปกติ


 


หลังจากนั้นไม่นานหลังจากเริ่มนวด อวี้เยียนก็ลืมตัวตนของซวนจิงหลินไปสิ้นและเริ่มดื่มด่ำกับความสุขที่ท่วมท้นร่างของเธอ


 


“อืมม..อาาา…อือออ…”


 


ซวนจิงหลินมองดูอวี้เยียนครวญครางอย่างสุขสมขณะที่ใบหน้าเธอเต็มไปด้วยความสำราญและพึงพอใจ


 


“ถ้าเจ้าคิดว่านั่นรู้สึกดีแล้ว จงรอจนกระทั่งเจ้าได้ลิ้มลองสิ่งนั้น…” ซวนจิงหลินหัวเราะในใจและอดไม่ได้ที่จะเห็นอวี้เยียนสิ้นท่าเช่นเดียวกับตัวเธอ


 


ต่อจากนั้นอีกสองสามนาทีซูหยางก็ยังคงนวดอวี้เยียนตามปกติโดยไม่มีกลเม็ดใดเพิ่ม ซึ่งสร้างความสับสนให้กับซวนจิงหลิน


 


“ทำไมเขาจึงยังไม่เริ่มเอาน้ำมันพิเศษออกมา เขาควรจะนำมันออกมาในตอนนี้…” เธอครุ่นคิด


 


และในขณะที่เธอกำลังคิดอยู่นั้น ซูหยางก็กล่าวขึ้นว่า “เจ้าต้องการลองอะไรใหม่ไหม มันเป็นน้ำมันพิเศษที่ถ้าลูบไล้ไปบนตัวเจ้า มันจักเพิ่มพูนความรู้สึกหรรษาอีกทั้งยังเพิ่มความเข้มแข็งให้กับปราณหยินของเจ้า”


 


“เอ๋ น้ำมัน” อวี้เยียนมองดูซูหยางและหันไปยังซวนจิงหลินซึ่งยังของจ้องเขม็งฉีกยิ้มไปยังเธอ


 


“นี่ต้องเป็นสาเหตุที่ศิษย์พี่หญิงซวนกลายเป็นเช่นนี้…ถ้าหากเป็นเช่นนั้นย่อมไม่มีเหตุผลใดที่ข้าจะต้องปฏิเสธโอกาสเช่นนี้” อวี้เยียนคิดในใจ


 


“ข้าต้องการลอง” เธอตอบกลับอย่างรวดเร็ว


 


ซูหยางพยักหน้าและกล่าวว่า “ถอดเสื้อผ้าของเจ้าเสีย”


 


อวี้เยียนพยักหน้าและถอดเสื้อผ้าโดยไม่ลังเล และถึงแม้ว่าจะรู้ว่าซวนจิงหลินได้มองดูเธออยู่ พวกเธอก็เห็นร่างเปลือยของอีกฝ่ายมาหลายครั้งแล้ว ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่อะไรใหม่สำหรับพวกเธอ


 


ครั้นเมื่อเธอเปลือยเปล่าแล้ว อวี้เยียนก็นอนคว่ำหน้าและรอคอยซูหยางทำส่วนของเขา


 


หลังจากนั้นไม่นาน ซูหยางก็เทน้ำมันเต็มกำมือลงบนหลังอวี้เยียน จนทำให้ร่างเธอสั่นสะท้านเป็นการตอบสนอง


 


เขาจึงวางมือลงบนหลังอันเรียบลื่นและปาดน้ำมันไปทั่วหลัง


 


“โอออ” อวี้เยียนได้ดูแคลนความสำราญที่น้ำมันพามาไว้ จึงได้แต่ร้องครางด้วยความสุขสันต์ เต็มไปด้วยความพึงพอใจเปี่ยมล้น


 


ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น เมื่อซูหยางเริ่มนวดพื้นที่อ่อนไหวของเธอ อวี้เยียนเริ่มกรีดร้องด้วยความสุขสันต์จนร่างของเธอพ่นน้ำออกมา


 


ในเวลานั้นซวนจิงหลินมองดูภาพด้วยท่าทางสนุกสนานราวกับว่าเธอกำลังดูการละเล่น


 


หลังจากนั้นไม่นานเมื่ออวี้เยียนไม่อาจต้านทานความต้องการทางเพศของเธอได้อีกต่อไป เธอก็เริ่มเล็งไปยังบริเวณเป้าของซูหยางดังเช่นที่ซวนจิงหลินได้ทำก่อนหน้านั้น


 


“ข-ข้าสามารถร่วมฝึกกับท่านได้ไหม” อวี้เยียนถามเขาด้วยท่าทางเอียงอาย เหมือนกับว่าเธอเพิ่งเค้นถ้อยคำสารภาพถึงความรักอันลึกซึ้งที่มีต่อเขาออกมา


 


ซูหยางไม่ได้กล่าวอะไรในรอบนี้ เพียงดึงเอาแกนหนาออกมาจากชุดคลุมและวางมันไว้ตรงหน้าอวี้เยียนให้เธอได้เห็นรูปลักษณ์อันงดงาม


 


“โอเทพเซียน…” อวี้เยียนตรึงตรากับแท่งหนาตรงหน้าเธอทันทีที่ซูหยางเปิดเผยมันออกมา ดูราวกับว่าเธอกำลังมองดูสมบัติล้ำค่า


 


หลังจากที่เธอสะดุ้งตื่นขึ้นจากความงงงันสองสามอึดใจหลังจากนั้น อวี้เยียนก็รวบมือน้อยๆทั้งสองข้างของเธอกับแกนหนาและเริ่มโลมเลียมันด้วยท่าทางที่ทำเหมือนกับว่าเธอกลัวจะทำให้สมบัติที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้เสียหาย


 


ซวนจิงหลินจ้อมเขม็งไปยังท่าทางของอวี้เยียนด้วยดวงตากลมโตราวกับจานรองแก้วพร้อมกับกรามอ้าตกถึงพื้น ในใจเธอคิดว่าตัวเธอเองคงไม่สามารถที่จะมองอวี้เยียนแบบเดิมได้อีกนับแต่วันนี้เป็นต้นไป


 


“ได้โปรด…ข้าต้องการให้มันอยู่ในตัวข้า…” อวี้เยียนพลันกล่าวด้วยเสียงออดอ้อน


 


ซูหยางพยักหน้าและวางเธอลงบนเตียง กุมสะโพกของเธอไว้ เล็งปลายแก่นกายไว้ตรงทางเข้าที่กำลังเรียกร้องของเธอ และเริ่มไสแก่นกายเข้าออกหลืบรูอันเปียกแฉะ


 


“อาาาาา” อวี้เยียนส่งเสียงกรีดร้องที่กระทั่งหัวใจของซวนจิงหยินยังหยุดเต้นเมื่อเธอได้ยินในครั้งแรก


 


ซวนจิงหลินใช้สองมือปิดปากตนเองพร้อมกับมองดูอย่างนิ่งเงียบขณะที่ซูหยางครอบงำอวี้เยียนทั้งร่างกายและจิตใจด้วยกลเม็ดและแก่นศักดิ์สิทธิ์ของเขา และทุกเสียงครวญครางที่ออกมาจากปากของอวี้เยียนล้วนทำให้ร่างของเธอสั่นสะท้าน


 


ซวนจิงหลินรู้สึกว่าเธอไม่ได้มองดูการร่วมสานสัมพันธ์รักในตอนนี้ แต่กลับเป็นการแสดงศิลปะแทน ในเมื่อทุกการเคลื่อนไหวของซูหยางที่แสดงออกมาล้วนเต็มไปด้วยความสง่าผ่าเผยงดงาม ทั้งยังมีความรู้สึกครอบครองรายล้อมตัวตนของเขา


 


หลังจากที่มองดูทั้งคู่ร่วมฝึกคู่ไปสองสามนาที ซวนจิงหลินก็เริ่มเล้าโลมตนเองและเริ่มเล่นกับของตนเองขณะที่เธอมอง


 


ยามนั้นเมื่อซูหยางเห็นเช่นนั้น เขาก็ยิ้มและกล่าวกับเธอว่า “ข้าสามารถดูแลเจ้าได้เช่นกันถ้าเจ้าต้องการมาร่วมกับพวกเรา”


 


ซวนจิงหลินงงงันไปกับคำของเขาในตอนแรกและจ้องมองไปยังเขาด้วยสายตามึนงงไปนับนาทีก่อนที่เธอจะรีบถอดเสื้อผ้าอีกครั้งและเข้าไปร่วมกับพวกเขา


 


ดังนั้น ซูหยางก็เริ่มนวดซวนจิงหลินซึ่งนอนลงข้างอวี้เยียนด้วยมือของเขาขณะที่เขากำลังนวดอวี้เยียนด้วยแก่นกาย สร้างความพึงพอใจให้กับหญิงสาวทั้งสองไปพร้อมกันอย่างง่ายดาย แสดงให้เห็นถึงความเป็นอัจฉริยะและประสบการณ์ในการทำหลายสิ่งพร้อมกัน


 


“อา…อาา…อาาา…”


 


“อา…ดีจัง…อาา…”


 


ในเวลานั้นห้องก็ยิ่งมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้นด้วยสองสาวสวยครวญครางไปข้างๆกันด้วยท่าทางเย้ายวน ทำให้ห้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นสนุกสนานที่สามารถอธิบายได้เพียงว่าเป็นสวรรค์ของเหล่าชาย


DC บทที่ 222: ข้าเรียกท่านว่าป๋าได้ไหม

 


“ว้าว ศิษย์น้องหญิงอวี้สามารถอยู่ได้นานกว่าศิษย์พี่หญิงซวน…”


 


หญิงสาวทั้งเจ็ดที่ยังเหลืออยู่ต่างพากันร่วมแปลกใจอยู่ในบ้านพักของซูหยางเมื่ออวี้เยียนยังคงอยู่ในห้องนานกว่าครึ่งชั่วโมง


 


กล่าวไปแล้วไม่มีทางที่พวกเธอจะรู้ว่าที่อวี้เยียนอยู่ได้นานกว่าก็เพียงเพราะว่าซวนจิงหลินได้เข้าไปแบ่งเบาภาระด้วยการเข้าไปร่วมกับพวกเขา


 


สองสามนาทีหลังจากนั้น ประตูก็เปิดขึ้นมาอีกครั้ง และซูหยางก็ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าหญิงสาวทั้งเจ็ด


 


“ข-ข้าคนต่อไป” ซางเหวินจี หญิงสาวคนที่สาม ตรงเข้าไปหาเขาด้วยความสมัครใจ


 


ซูหยางพยักหน้าและกลับไปภายในห้อง


 


เมื่อซางเหวินจีได้เข้าไปในห้องและเห็นซวนจิงหลินและอวี้เยียนนั่งอยู่ที่มุมห้อง เธอรู้สึกเหมือนเดจาวู(เกิดเหตุการณ์เดิมซ้ำอีกครั้ง) เนื่องเพราะเธอเคยอยู่ในสถานการณ์แบบนี้มาก่อน


 


“พวกท่านทั้งคู่ออกไปก่อนได้หรือไม่ ข้าต้องการอยู่ลำพัง” ซางเหวินจีกล่าวกับอีกฝ่าย ในเมื่อเธอไม่ต้องการให้อีกฝ่ายเห็นด้านน่าอายของเธอไปมากกว่านี้เหมือนครั้งที่แล้ว


 


“ไม่”


 


“ม่าย”


 


อย่างไรก็ตามซวนจิงหลินและอวี้เยียนปฏิเสธคำคำขอของเธอในทันใด ในเมื่อพวกเธอต้องการร่วมแบ่งปันความอายที่ตนเองได้กล้ำกลืน


 


“ไม่รึ ข้ามิได้ขอร้องพวกท่านตั้งแต่แรก นี่เป็นเรื่องแปลกสำหรับพวกท่านทั้งคู่ที่จะอยู่ที่นี่ขณะที่ข้ารับการนวด ถ้าพวกท่านมิอาจขยับเขยื้อนได้ด้วยตนเอง เช่นนั้นข้าจักช่วยพาพวกท่านเดิน” ซางเหวินจีตัดสินใจที่จะให้คนทั้งสองออกไป


 


“ฮ้าาา..”


 


เมื่อเห็นว่าซางเหวินจีไม่มีเจตนาที่จะให้พวกเธอดูอีกต่อไปเหมือนครั้งที่แล้ว ซวนจิงหลินและอวี้เยียนก็ถอนใจแล้วออกจากห้องไปอย่างไม่เต็มใจ ด้วยความช่วยเหลือของซางเหวินจี


 


ยามเมื่อพวกเธอถูกเตะออกจากห้องแล้ว ซางเหวินจีก็นอนบนเตียงอย่างกระตือรือล้นโดยไม่ต้องรอให้ซูหยางพูดอะไร


 


แม้ว่าท่าทางเธอไม่ได้สื่ออะไรทั้งสิ้น แต่จากพวกเธอทั้งเก้าคน ซางเหวินจีเป็นหนึ่งในคนที่คาดหวังต่อวันนี้มากที่สุด มากเสียจนกระทั่งเธอแยกทางกับคู่ของเธอหลังจากนั้นไม่กี่วันนับตั้งแต่เธอพบกับซูหยางเป็นครั้งแรก


 


“อืมม..ก่อนที่เราจะเริ่ม ข้ามีข้อขอร้อง…” ซางเหวินจีพลันกล่าวด้วยท่าทางลังเล


 


“มีอะไรรึ” เขาถาม


 


“อ-อาจจะแปลกไปสักหน่อย…แต่..ข้าขออนุญาตเรียกท่านว่า “ป๋า” ได้ไหม น-นั่นจักเพียงกระทั่งข้าพ้นจากห้องนี้เท่านั้น…” ซางเหวินจีใบหน้าขึ้นสีแดงจากความอายหลังจากที่พูดถ้อยคำเหล่านั้น รู้สึกละอายใจกับความยึดมั่นภายในใจของตนเอง


 


ซูหยางมองดูเธอพร้อมกับเลิกคิ้ว เห็นชัดว่าประหลาดใจกับคำร้องขอที่เฉพาะตัวของเธอ


 


อย่างไรก็ตามในเมื่อเขาเป็นสุภาพบุรุษ ซูหยางก็พยักหน้าพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า ตกลงกับข้อร้องขอที่ไม่เหมือนใครของเธอ


 


“ถ้านั่นทำให้เจ้ามีความสุข” เขากล่าวด้วยเสียงราบเรียบ


 


หลังจากหลับนอนกับหญิงมานับไม่ถ้วนจากพื้นเพและฐานะแทบทุกอย่างในช่วงชีวิตก่อนหน้านี้ ซูหยางได้มีโอกาสได้รับคำขอร้องแปลกประหลาดไม่ใช่แค่เพียงไม่กี่คนจากคู่ร่วมฝึก กระทั่งเรียนรู้ถึงความเชื่อถือมากมายที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน สำหรับความเชื่อเรื่องป๋าของซางเหวินจีนั้นซูหยางถือว่ามันเป็นเรื่องที่ประหลาดน้อยที่สุดแล้วในบรรดาพวกนั้น


 


ซางเหวินจีดวงตาสดใสขึ้นมาเมื่อได้รับคำอนุญาตจากซูหยาง แม้ว่าเธอไม่ต้องการที่จะร้องขอเช่นนั้นในตอนแรก เธอก็มีความรู้สึกว่าซูหยางคงไม่เยาะเย้ยเธอในเรื่องนั้น


 


“ขอบคุณ ป๋า” ซางเหวินจีกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มเป็นประกาย


 


ซูหยางก็ตอบรับด้วยรอยยิ้มของตัวเขาเอง แต่เขายังคงคิดสงสัยในใจว่าชิวเยวี่ยจะพูดคำเหล่านี้หรือไม่ถ้าเธอได้รับรู้ถึงการละเล่นเล็กๆนี้


 


สองสามอึดใจหลังจากนั้นซูหยางก็เริ่มนวดซางเหวินจีในที่สุด


 


“อาา…”


 


“โอ…”


 


ซางเหวินจีซึ่งกระหายความรู้สึกนี้มานับตั้งแต่เธอได้ประสบกับมันครั้งแรก ครวญครางตามความต้องการของใจเธอ และเมื่อปราศจากผู้คนคอยมองดูเธอ เธอจึงไม่รู้สึกว่าต้องยับยั้งความปรารถนาในใจ


 


“ศิษย์พี่–ป๋า…ข้าต้องการฝึกร่วมกับท่าน…” ซางเหวินจีปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเธอก่อนที่การนวดจะสิ้นสุดลง รู้สึกถึงความต้องการฝึกร่วมกับซูหยางก่อนที่เธอจะได้รับการนวดด้วยน้ำมัน


 


“เจ้าเอาจริงรึ” ซูหยางถามเธอพร้อมรอยยิ้มหยอกเย้า


 


ซางเหวินจีคลายชุดคลุมของเธอจนหมดและปล่อยให้มันลื่นไหลออกไปจากร่าง เปิดเผยให้ซูหยางเห็นผิวประดุจหยกและเย้ายวน


 


“ดูสิ…เป็นเพราะท่าน มันจึงแฉะไปหมดแล้ว…” ซางเหวินจีเปิดเผยให้เขาเห็นน้องสาวของเธอซึ่งกำลังฉ่ำชื้นไปด้วยน้ำรัก


 


“โอ…เช่นนั้นทำไมเจ้ามิปล่อยให้ข้ารับผิดชอบล่ะ” ซูหยางกล่าวขณะที่เขานำเอาแท่งแกร่งออกมา


 


“เทพยดา…” ซางเหวินจีปิดปากของเธอจากความตระหนกหลังจากที่เห็นความเป็นชายของซูหยางอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก เธอไม่คิดว่าสิ่งที่น่าหวาดหวั่นเช่นนี้จะปรากฏขึ้นทั้งสวยงามและสง่าผ่าเผยในเวลาเดียวกัน มันเป็นการค้นพบที่น่าตระหนกประเภทที่สามารถพบเจอได้เพียงครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้น


 


หลังจากใช้เวลาชั่วขณะเพื่อชื่นชมน้องชายของซูหยางแล้ว ซางเหวินจีก็กางขาเธอออกกว้างต้อนรับน้องชายของซูหยางให้พบกับน้องสาวของเธอ


 


อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะทะลวงร่างของซางเหวินจี ซูหยางก็ได้นำเอาน้ำมันพิเศษของเขาออกมาและเทบางส่วนลงไปบนแก่นกายของเขา เพื่อที่เขาจะได้ประโยชน์สูงสุดที่จะเป็นได้จากปราณหยินของซางเหวินจี


 


“นั่นคืออะไร” ซางเหวินจีไม่เข้าใจการกระทำของเขาและไต่ถาม


 


“นี่เป็นสิ่งที่ข้าทำซึ่งจักเพิ่มพูนความแข็งแกร่งของปราณหยินของเจ้าและทำให้ร่างกายของเจ้ายิ่งไวต่อการเสพสม ทำให้ร่างของเจ้ายิ่งรู้สึกพึงพอใจมากขึ้น”


 


“ช่างเป็นสารที่ลึกล้ำ ทำไมข้าจึงมิเคยได้ยินสิ่งมหัศจรรย์เช่นนี้มาก่อน” เธอคิดในใจ รู้สึกหวั่นกับประสิทธิภาพของน้ำมันที่จะเปิดเผยออกมา


 


“แต่ในเมื่อมันสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับปราณหยิน นั่นต้องมีค่าเฉกเช่นโอสถหยินพ้นพิสัยหรือมิฉะนั้นก็หายากยิ่งกว่า…” ซางเหวินจีค่อนข้างกังวลเล็กน้อย แม้ว่าเธอจะสุขใจกับความคิดของซูหยางในความปรารถนาที่จะใช้สิ่งที่ล้ำค่านั้นกับตัวเธอเอง เธอยังรู้สึกผิดที่ทำให้เขาใช้มันกับคนเช่นเธอ เพราะสุดท้ายเธอก็เป็นเพียงแค่ศิษย์นอก


 


อย่างไรก็ตาม ราวกับว่าเขาสามารถอ่านใจ ซูหยางกล่าวว่า “อย่ากังวล เจ้าคู่ควรกับมันแน่นอน”


 


“ศิษย์พี่ชายซู…” ซางเหวินจีลืมเรื่องความยึดมั่นภายในใจของเธอไปในเวลานั้นและมองดูเขาด้วยดวงตาน่าทนุถนอม


 


หลังจากนั้นไม่นาน ยามเมื่อน้องชายของซูหยางชุ่มโชกไปด้วยน้ำมันพิเศษ เขาก็ดันมันเข้าไปในถ้ำแฉะชื้นของซางเหวินจี จนเธอกรีดร้องดังลั่น “โอ ป๋า”



DC บทที่ 223: มิมีทางที่เขาจะดูแลพวกเราทั้งหมดในคราเดียวกัน

 


“เจ้าเจออะไรในห้องนั้น” บรรดาหญิงสาวถามซวนจิงหลินและอวี้เยียนหลังจากที่พวกเธอถูกเตะออกมาจากห้องโดยซางเหวินจี


 


“อืมม..ข้าคิดว่าจะเป็นการดีกว่าถ้าเจ้าประสบด้วยตนเองโดยไม่รู้เรื่องมาก่อน” อวี้เยียนกล่าว ในเมื่อเธอไม่อยากทำให้อีกฝ่ายสูญเสียความประหลาดใจ


 


“เอ๋.อ๋.อ๋.อย่างน้อยก็ควรเกริ่นให้พวกเรารู้บ้าง…ความสงสัยกำลังจะฆ่าข้าตายแล้ว”


 


“จะบอกให้รู้เพียงว่าเมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อครั้งแรกที่เรามา นี่ช่างสุขสนุกสนานอย่างน้อยกว่าสิบเท่า…” ซวนจิงหลินกล่าวกับพวกเธอ


 


“สนุกสนานกว่าสิบเท่าเลยรึ”


 


เหล่าหญิงสาวจ้องมองดูเธอด้วยท่าทางตกตะลึง ถ้าพวกเธอเกือบล่องลอยไปสู่สวรรค์ระหว่างการมาครั้งก่อน นี่มิหมายความว่าครานี้คงต้องตายไปจริงๆเพราะความสุขสม


 


เวลาผ่านไป ประตูก็เปิดออกมาอีกครั้งและซูหยางก็ปรากฏตัวขึ้นด้วยท่าทางเรียบเฉย


 


อย่างไรก็ตามก่อนที่หญิงสาวคนถัดไปจะทันได้ก้าวไป ซูหยางก็กล่าวขึ้นว่า “ข้ามีคำแนะนำ”


 


“คำแนะนำหรือ”


 


“เพื่อให้มีประสิทธิภาพ ทำไมมิให้ข้าดูแลพวกเจ้าทั้งหมดเลยทีเดียวล่ะ” ซูหยางกล่าวกับพวกเธอด้วยรอยยิ้ม เขาพบว่าหญิงสาวทั้งสามคนล่าสุดล้วนขอสิ่งเดียวกัน ซึ่งเขาสามารถดูแลพวกเธอทั้งหมดในครั้งเดียวได้ ด้วยวิธีนี้เขาไม่เพียงประหยัดเวลาแต่ยังคงสามารถดูดซับปราณหยินได้ต่อเนื่องมากยิ่งขึ้น


 


บรรดาหญิงสาวจ้องมองเขาด้วยดวงตากลมโต นอกจากซวนจิงหลินและอวี้เยียนแล้ว พวกเธอล้วนสับสนความหมายภายในคำพูดของเขา


 


“ศิษย์พี่ชาย ท่านหมายความว่าอะไรกับคำพูดนั้น” หนึ่งในพวกเธอตัดสินใจถาม


 


“ความหมายของข้าก็คือ…ข้าต้องการร่วมฝึกคู่กับพวกเจ้าทั้งหมด” ซูหยางกล่าวด้วยท่าทางสงบเรียบ สร้างความงงงันให้กับบรรดาหญิงสาวยิ่งขึ้นไปอีก


 


“ท-ท-ท่านต้องการร-ร-ร่วมฝึกคู้กับพวกเราทั้งหมด…ในทีเดียวรึ”


 


บรรดาหญิงสาวถามด้วยเสียงสั่นสะท้าน


 


สิ่งที่สร้างความตระหนกให้กับพวกเธอมากที่สุดไม่ใช่ความจริงที่ว่าซูหยางถามพวกเธอให้ร่วมฝึกคู่กับเขา แต่เป็นข้อเรียกร้องในการร่วมฝึกคู่กับพวกเธอทั้งหมดในคราเดียวกัน ในใจเธอไม่เชื่อว่าคนคนเดียวจะสามารถรับไหวถ้าเขาต้องที่จะสร้างความพึงใจให้กับหญิงสาวจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง ในเมื่อปราณหยางและความอึดของเขาย่อมต้องไม่พอเพียง


 


ถึงจะกล่าวเช่นนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าบรรดาหญิงสาวไม่ต้องการจะร่วมฝึกคู่กับซูหยาง ในเมื่อเขามีเสน่ห์และพรสวรรค์สูงส่งอย่างไม่น่าเชื่อกับกลเม็ดของเขา ตามจริงพวกเธอก็จะถามเขาให้ร่วมฝึกคู่กับพวกเธอเมื่อถึงจุดหนึ่งในวันนี้หรือในอนาคต


 


พวกเธอเพียงกังวลว่าซูหยางอาจจะไม่สามารถรับมือพวกเธอทั้งหมดในคราเดียว ในเมื่อพวกเธอต้องดูดปราณหยางของเขาแห้งเหือดจนไม่เหลือแม้กระทั่งหยดเดียว ซึ่งเป็นสิ่งที่อาจทำร้ายความเป็นชายและพลังการฝึกปรือของเขาได้


 


“ศิษย์พี่ชาย ข้ายินดีที่จะร่วมฝึกคู่กับท่าน แต่..ท่านมั่นใจรึ เผื่อว่าท่านอาจจะลืมไป พวกเรามิใช่หญิงสาวทั่วไป แต่เป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”


 


“ใช่แล้ว ข้าดีใจมากที่จะร่วมฝึกคู่กับท่าน แต่ท่านมิคิดว่าท่านอาจจะกัดคำใหญ่เกินกว่าจะเคี้ยวได้ในตอนนี้”


 


“พวกเราอาจจะเป็นเพียงแค่ศิษย์นอก แต่พวกเราโลภมากถ้านั่นเป็นปราณหยางท่านรู้ไหม โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าปราณหยางนั้นมาจากคนที่จ้าวเสน่ห์อย่างเช่นศิษย์พี่ชาย…”


 


บรรดาหญิงสาวต่างพากันตักเตือนเขาเพราะว่าพวกเธอเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ความต้องการปราณหยางและความอึดของพวกเธอเกินกว่าหญิงสาวทั่วไป


 


บางทีซูหยางอาจจะสามารถรับมือกับผู้หญิงมากมายเช่นนี้ได้ในครั้งเดียวถ้าพวกเธอไม่ได้มีวิถีชีวิตเป็นการร่วมฝึกคู่ แต่ว่าเขาโชคร้ายบรรดาหญิงสาวตรงหน้าเขาล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ช่ำชองเต็มไปด้วยความทนทานที่เกินปกติในเรื่องของการร่วมฝึกคู่


 


เมื่อเห็นบรรดาหญิงสาวกังวลว่าเขาอาจไม่สามารถรับมือกับพวกเธอทั้งหมด ซูหยางก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา อย่าว่าแต่เด็กหญิงแค่เก้าคน เขาสามารถรับมือแม้กระทั่งมีพวกเธอถึงหนึ่งร้อยคนได้ในคราเดียวถ้าเขาต้องการ


 


“ศ-ศิษย์พี่ชาย” บรรดาหญิงสาวค่อนข้างตะลึงเล็กน้อยกับการที่เขาพลันหัวเราะขึ้นมา


 


ซูหยางปากน้ำตาออกจากดวงตาและกล่าวว่า “ข้าเข้าใจว่าพวกเจ้าคิดว่าข้ากำลังกัดเกินจะเคี้ยว แต่ข้าสามารถรับประกันพวกเจ้าได้ว่ามิจำเป็นต้องกังวลเช่นนั้น”


 


“ถ้าพวกเจ้ายังคงสงสัยตัวข้า เช่นนั้นทำไมมิให้ข้าพิสูจน์ให้ดู” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาเปิดเสื้อคลุมออกมาต่อหน้าบรรดาหญิงสาว เผยให้เห็นถึงร่างกายอันทรงเสน่ห์และท่อนแกร่งขนาดมโหฬาร


 


“โอนั่น…”


 


ดวงตาบรรดาหญิงสาวกว้างขึ้นด้วยด้วยความตื่นตระหนก จ้องมองร่างอันสมบูรณ์เปี่ยมล้นด้วยความจับใจ พวกเธอต่างรู้สึกเหมือนถูกกระตุ้นให้โถมตัวเข้าไปหาเขาหลังจากที่ได้แสดงภาพอันน่าโอชะนั้นเรียบร้อยแล้ว


 


“ตามข้ามาถ้าพวกเจ้าต้องการร่วมฝึกคู่ วันนี้ข้าจักแสดงให้พวกเจ้าเห็นว่าข้ามีความสามารถเช่นไร” ซูหยางหันกายและเดินเข้าไปภายในห้องของเขาด้วยกลิ่นอายที่เปี่ยมความมั่นใจรอบกาย ปล่อยให้ประตูเปิดค้างไว้สำหรับบรรดาหญิงสาว


 


“…”


 


สถานที่นั้นพลันเงียบกริบ บรรดาหญิงสาวต่างพากันสบสายตาไปมา ไม่มีใครในพวกเธอกล่าวถ้อยคำใดออกมา แต่พวกเธอล้วนเหมือนว่าเข้าใจถึงสิ่งที่ทุกคนต้องการจะพูดและพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน


 


“แม้ว่าเขาอาจจะเป็นผู้อาวุโสในแง่ของฐานะ เขาก็ยังคงอายุน้อยกว่าพวกเราสองสามปี เรามาแสดงให้เขาเห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเขาท้าทายพวกเราทั้งหมดในคราเดียว”


 


“ใช่แล้ว มิมีทางที่เขาสามารถรับมือพวกเราทั้งหมดพร้อมกันได้ เรามาทำให้เขาเสียใจที่ดูถูกพวกเรากันเถอะ”


 


“ข้าจักมิหยุดดูดปราณหยางให้หมดแม้กระทั่งเขาจะขอร้องให้ข้าหยุด”


 


บรรดาหญิงสาวถือเอาคำพูดของซูหยางเป็นคำท้าทายต่อพวกเธอและตัดสินใจที่จะรับคำท้าทายนั้น


 


เวลาต่อมายามเมื่อพวกเธอเตรียมตัวพร้อมด้วยการถอดเสื้อผ้าออกหมดแล้ว พวกเธอก็เข้าไปในห้องของซูหยาง ซึ่งมีเพียงจุดมุ่งหมายเดียวในใจ เพื่อเอาชนะซูหยางและรีดทุกหยดของปราณหยางของเขาออกไปจนกระทั่งเขาล้มพับเพราะว่าหมดเรี่ยวแรง


 


ยามเมื่อบรรดาหญิงสาวข้างซวนจิงหลินและอวี้เยียนเข้าไปในห้องของซูหยาง หญิงสาวทั้งสองคนก็สบสายตากัน


 


“ท-ท่านคิดว่าอย่างไร ท่านคิดว่าศิษย์พี่ชายจักสามารถรับมือพวกเธอทั้งหมดหรือไม่” อวี้เยียนถาม


 


ซวนจิงหลินครุ่นคิดชั่วขณะและกล่าวว่า “น้องหญิง…ข้าขอถามเจ้าหน่อยว่า…ซูหยางได้ปล่อยปราณหยางออกมาสักครั้งหรือไม่ขณะที่เขาร่วมฝึกกับพวกเรา”


 


อวี้เยียนดวงตาเบิกกว้างด้วยความตระหนก เธอหันไปมองดูห้องซูหยางด้วยท่าทางสับสน


DC บทที่ 224: ร่วมฝึกคู่กับสาวสวยทั้งเก้าไปพร้อมกัน

 


เมื่อหญิงสาวที่เหลือทั้งหกที่ยังไม่เคยลิ้มลองกลเม็ดของซหยางในวันนี้เข้าไปในห้องของเขา พวกเธอก็ตกตะลึงเมื่อพบว่าซางเหวินจีนกำลังนอนหลับตาอยู่บนเตียงดูเหมือนว่าจะสลบไป


 


“พ-พี่หญิง” บรรดาหญิงสาวเขย่าร่างเธอเพื่อปลุกให้ตื่น แต่อนิจจาซางเหวินจีกลับไม่ตอบสนอง


 


“อย่ากังวลเรื่องเธอ เธอหลับไปหลังจากที่เราร่วมฝึกคู่” ซูหยางกล่าวกับพวกเธอ


 


บรรดาหญิงสาวมองดูเขาด้วยท่าทางงงงัน เธอสลบไปหลังจากที่พวกเขาได้ร่วมฝึกคู่ นั่นต้องเข้มข้นแค่ไหนสำหรับกิจกรรมนี้


 


“งั้นตอนนี้…” ซูหยางมองดูสาวสวยเปล่าเปลือยทั้งหกตรงหน้าเขาและกล่าวว่า “ใครต้องการเป็นคนแรก”


 


กระทั่งในสถานการที่สามารถอธิบายได้เพียงว่าเป็นสวรรค์ของชายทุกคน ซูหยางยังคงสงบสำรวม ควบคุมความปรารถนากามารมณ์ได้อย่างสมบูรณ์


 


“ข้าจักเป็นคนแรก” หนึ่งในบรรดาหญิงสาวทั้งหกก้าวออกไป ชื่อของเธอคือ เจียปี้อวี


 


ซูหยางพยักหน้าและยามเมื่อเจียปี้อวีอยู่บนเตียงแล้ว ซูหยางก็นวดร่างเธอด้วยน้ำมันพิเศษสองสามนาทีเพื่อช่วยเธอให้มีอารมณ์


 


“นั่นคืออะไรรึ” หญิงสาวทั้งห้าที่กำลังดูอยู่จากด้านข้างถามเขาเมื่อพวกเธอเห็นเขานำเอาน้ำมันออกมา


 


“มันจะเพิ่มความแข็งแกร่งของปราณหยินของพวกเจ้าและทำให้พวกเจ้ารู้สึกสุขสันต์มากยิ่งขึ้น” ซูหยางอธิบาย


 


“ของแบบนี้ก็มีด้วยรึ” พวกเธอมองดูน้ำมันด้วยท่าทางสนใจเป็นที่สุด


 


“อาาา….อาาา…อาาาาา…” เจียปี้อวีครวญครางเหมือนนกร้องเพลงเมื่อซูหยางนวดน้องสาวของเธอ จนทำให้คนที่ยืนมุงดูต่างพากันกลืนน้ำลายที่สอออกมา


 


และยามเมื่อเจียปี้อวีเร่าร้อนพอแล้ว ซูหยางก็ทะลวงร่างเธอด้วยแก่นกายหนา เพิ่มระดับเสียงเพลงของเธอ


 


ต่อจากนั้นหลังจากที่ทิ่มแทงเจียปี้อวีแล้ว ซูหยางก็หันไปยังหญิงสาวที่เหลืออยู่ทั้งห้าและกล่าวว่า “ข้ามีมือว่างพอสำหรับอีกสองคน”


 


เขาพลันยกมือให้พวกเธอเห็นมือที่ว่างทั้งสองมือพร้อมรอยยิ้ม


 


“…”


 


บรรดาหญิงสาวต่างพากันจนถ้อยคำ เขาวางแผนที่จะให้มีประสิทธิภาพมากมายแค่ไหนกัน หรือว่าเขาจะนวดพวกเธอด้วยเท้าเป็นอันดับต่อไป


 


สองวินาทีถัดไปหญิงสาวสองคนก็นอนลงบนเตียง คนหนึ่งด้านขวาของเจียปี้อวีและอีกคนอยู่ด้านซ้าย


 


หญิงสาวสามคนนอนอยู่บนเตียงตรงหน้าซูหยางตอนนี้ และเขาก็นวดทั้งสองคนที่อยู่ด้านข้างด้วยแต่ละมือในขณะที่เขารับมือกับเจียปี้อวีที่อยู่ตรงกลางด้วยสะโพกและน้องชายของเขา


 


หญิงสาวที่ยังคงเหลืออยู่อีกทั้งสามคนเพ่งมองฉากนี้ตาถลนออกนอกเบ้า ในเมื่อพวกเธอไม่เคยพบเห็นฉากแบบนี้มาก่อน


 


“ขเขารับมือกับพวกเธอทั้งสามในคราเดียวได้จริงๆ”


 


“และมันมิมีผลกระทบกับการเดินหน้าของเขาแม้แต่น้อย


 


“เทพยดา…เขายังเป็นคนอยู่หรือไม่”


 


คนอาจคาดหวังว่าซูหยางจะต้องเดินหน้าช้าลงเมื่อต้องรับมือกับหญิงสามคนในคราวเดียวกัน แต่บรรดาหญิงสาวต่างพากันตกตะลึงเมื่อรู้ว่าขีดจำกัดเช่นนั้นเกิดขึ้นกับซูหยาง ยิ่งไปกว่านั้นหญิงสาวทั้งสามบนเตียงดูเหมือนจะสนุกสนานไปกับมันยิ่งๆขึ้นไป นั่นหมายความว่ากระทั่งความสุขที่เขาให้กับพวกเธอไม่ได้ถดถอยลงแม้ว่าจะยุ่งอยู่ด้วยร่างกายของเขาทุกสัดส่วน


 


กลเม็ดบนเตียงของซูหยางย่อมเป็นการท้าทายสวรรค์และเหลือเชื่ออย่างแท้จริง และหญิงสาวทั้งสามก็ได้เรียนรู้มันในวันนี้หลังจากที่เห็นการกระทำของเขา


 


“อาาา”


 


“อืมมมม”


 


“โออออ..”


 


หญิงสาวทั้งสามบนเตียงหลั่งออกมาประสานกันหลังจากนั้นสองสามอึดใจ เติมปราณหยินเข้าไปในห้อง


 


อย่างไรก็ตาม ซูหยางไม่ได้เสร็จสิ้นกับพวกเธอและทำการเปลี่ยนตำแหน่งเจียปี้อวีกับหนึ่งในหญิงสาวที่อยู่ด้านข้างและเริ่มทะลวงแท่งอวบเข้าไปในร่างเธอ


 


“อีก…เอาอีก….อาาาา”


 


“ใช่…ใช่….โออออ…ใช่”


 


“เร็วกว่านี้…ทำข้าแรงกว่านี้”


 


ซูหยางร่วมฝึกคู่กับเจียปี้อวีและหญิงสาวอีกสองคนประมาณครึ่งชั่วโมง เปลี่ยนตำแหน่งพวกเธอทุกๆสองสามนาทีเพื่อพวกเธอจะได้ลิ้มรสแกนแกร่งหนาของเขาโดยไม่ต้องแย่งชิงหรือว่ารู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง


 


“ศิษย์พี่ชาย…ทำไมท่านมิปล่อยให้พวกเธอพักสักครู่และร่วมฝึกกับพวกเราแทน”


 


“ใช่แล้ว พวกเราก็อยู่ที่นี่เหมือนกัน”


 


หญิงสาวทั้งสามที่จ้องมองดูอยู่ยากที่จะคุมความหื่นกระหายอยากร่วมเข้าไปแย่งชิงของตนเองได้ ในขณะที่น้องสาวของพวกเธอล้วนแฉะฉ่ำจากการยั่วเย้ามาชั่วเวลาหนึ่งแล้ว


 


“อย่ากังวล ข้ามิได้ลืมพวกเจ้าหญิงสาว มาทางนี้สิ…” ซูหยางกล่าวกับพวกเธอขณะที่เขาช่วยหญิงสาวที่หมดเรี่ยวแรงทั้งสามคนขยับไปท้ายเตียงที่ซึ่งซางเหวินจีกำลังพักอยู่


 


เป็นโชคดีสำหรับซูหยางและบรรดาหญิงสาว เขาได้ตระเตรียมห้องไว้ก่อนหน้านี้แล้วด้วยการย้ายเตียงจากห้องว่างอีกห้องเข้ามาในห้องนี้ก่อนสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น มิเช่นนั้นคงไม่มีที่ว่างพอสำหรับพวกเธอทั้งหมดให้ขึ้นไปอยู่บนเตียงในคราวเดียวกัน ในเมื่อนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยไม่ได้ออกแบบห้องมาให้พอกับคนมากมายเช่นนี้ร่วมฝึกด้วยกันในคราวเดียว


 


หลังจากย้ายหญิงสาวที่หมดเรี่ยวแรงทั้งสามคนออกไปพ้นแล้ว สาวสวยอีกสามคนก็นอนลงตรงหน้าซูหยางพร้อมกับเปิดเผยร่างกายต่อเขาอย่างเต็มที่ด้วยความกระสันรัญจวน


 


สองสามวินาทีถัดไปซูหยางก็ขยับอีกครั้ง


 


ด้วยมือข้างซ้าย เขาเคล้นคลึงอกใหญ่ของหญิงสาวด้านซ้าย สำหรับมือขวา เขาลูบไล้ร่องหลืบแฉะชื้นของหญิงสาวด้านขวา และสำหรับแก่นอวบ เขาใช้ทิ่มแทงรูคับแน่นของหญิงสาวตรงกลาง


 


เช่นเดียวกับกลุ่มหญิงสาวก่อนหน้านั้น เขาจะเปลี่ยนตำแหน่งพวกเธอทุกสองสามนาทีเพื่อที่พวกเธอจะได้ไม่รู้สึกถูกทอดทิ้ง


 


“ศิษย์พี่ชาย…ข้ารักท่าน…”


 


“อาา~ ข้าก็เช่นกัน..”


 


“ร่างกายของข้าช่างรุ่มร้อน~”


 


หญิงสาวทั้งสามกรีดร้องอย่างเสพสมเมื่อร่างกายของพวกเธอท่วมท้นไปด้วยความสุข รู้สึกเหมือนกับว่าพวกเธออยู่บนสรวงสวรรค์


 


เหตุการณ์นี้ดำเนินต่อไปอีกครึ่งชั่วโมงโดยไม่มีการหยุดพักระหว่างนั้น จนกระทั่งร่างอีกสองร่างก็เข้ามาภายในห้อง


 


นั่นเป็นซวนจิงหลินและอวี้เยียน และพวกเธอก็เข้ามาในห้องด้วยร่างเปลือยเปล่า ความปรารถนาของเธอชัดเจนดุจเที่ยงวัน


 


“พ-พวกเราขอร่วมด้วยได้ไหม” ซวนจิงหลินถามเขาด้วยน้ำเสียงประหม่า เธอกังวลว่าซูหยางจะดูเธอเป็นคนโลภมากหลังจากทำเรื่องนั้นไปสองครั้งและจะปฏิเสธเธอ


 


แต่เธอช่างโชคดี ซูหยางก็เป็นคนที่โลภมากเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเรื่องผู้หญิง


 


“ยิ่งมากยิ่งดี” เขาตอบรับพร้อมรอยยิ้ม


 


ดังนั้น สาวสวยอีกสองคนจึงเข้ามาร่วมเป็นองค์ประกอบ


 


ส่วนซางเหวินจี เธอก็ตื่นขึ้นมาสองสามนาทีหลังจากนั้นเนื่องมาจากเสียงครวญครางดังลั่นในห้อง


 


แม้ว่าเธอจะงุนงงในตอนแรกเมื่อเห็นทุกคนเปลือยอยู่ในห้องและผลัดเปลี่ยนกันร่วมรักกับซูหยางเมื่อเธอตื่นขึ้น เธอก็รีบปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมอย่างรวดเร็วและเข้าร่วมกับพวกเธอภายในไม่กี่นาทีหลังจากตื่นขึ้น


DC บทที่ 225: ปราณหยางที่จัดหาได้ไม่สิ้นสุด

 


หลายชั่วโมงผ่านไปนับตั้งแต่ศิษย์ทั้งเก้าจากตำหนักโอสถเข้าไปในห้องของซูหยางเพื่อท้าทายเขาบนเตียง


 


อย่างไรก็ตาม พวกเธอรับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าพวกเธอกำลังปะทะอยู่กับสัตว์ประหลาดที่เหมือนจะมีร่างกายเป็นอมตะไม่มีวันหมดแรง ทำให้เขาสามารถร่วมรักกับพวกเธอทุกคนโดยไม่แม้จะมีเหงื่อสักเม็ด


 


“อาาาาาา” เจียปี้อวีส่งเสียงครางสุขสมบาดหูออกมาเมื่อซูหยางพลันปลดปล่อยปราณหยางเข้าไปในท้องของเธอ โอบล้อมร่างของเธอด้วยความเสพสมประดุจสรวงค์สวรรค์


 


หลังจากที่ปลดปล่อยปราณหยางของเขาเข้าไปในเจียปี้อวีแล้ว ซูหยางก็วางเธอหงายหน้าลงไปบนเตียงเพื่อให้ได้พัก


 


“ใครคนต่อไป” ซูหยางหันไปมองสาวสวยที่เหลืออีกแปดคนด้วยดวงตาหรี่เรียวซึ่งคล้ายกับนักล่าที่กำลังมองหาเหยื่อของเขา


 


เมื่อหญิงสาวคนอื่นๆมองเห็นแก่นกายของซูหยางยังคงแข็งแกร่งแม้ว่าจะเพิ่งปลดปล่อยปราณหยางออกมา พวกเธอก็ตื่นกลัวหวาดหวั่น


 


อย่างไรก็ตามนั่นไม่ใช่เป็นส่วนที่น่าหวาดหวั่นที่สุด


 


“น-นี่เป็นครั้งที่สี่สิบสองที่เขาหลั่งปราณหยาง…” ซวนจิงหลินพูดด้วยเสียงสั่นสะท้าน


 


ปกติแล้วชายทั่วไปจะเหี่ยวแฟบลงหลังจากที่มีการหลั่งหนึ่งครั้ง และแม้จะเป็นผู้ชำนาญการที่เชี่ยวชาญภายในนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ไม่สามารถที่จะคงสภาพแข็งตัวได้หลังจากการปลดปล่อยสองสามครั้ง แต่ซูหยางกลับเหมือนสิ่งมหัศจรรย์ สามารถที่จะปลดปล่อยปราณหยางได้ถึงสี่สิบสองครั้งและยังคงดูมีเรี่ยวแรงแข็งขันเหมือนกับตอนแรก


 


นั่นเหมือนกับว่าซูหยางมีปราณหยางที่จัดหามาได้ไม่สิ้นสุดไหลเวียนอยู่ภายในร่างของเขา จึงทำให้เขามีปราณหยางจำนวนมากเช่นนั้น ส่วนเหตุผลอื่นที่ทำไมซูหยางจึงสามารถยังคงแข็งตัวหลังจากที่ปลดปล่อย อาจจะเนื่องจากว่าร่างของเขามีความสามารถในการสร้างปราณหยางขึ้นมาทดแทนด้วยอัตราเร็วที่มากกว่าการปลดปล่อย


 


ไม่ว่าจะวิธีใดก็ตาม ร่างของซูหยางก็ไม่ต่างไปจากสมบัติล้ำค่าสำหรับนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย และไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นจะต้องสร้างความปั่นป่วนภายในนิกายถ้าหากว่าศิษย์หญิงได้รับรู้เรื่องนี้


 


ท้ายที่สุดนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็คือสถานที่ที่ประชากรหญิงทั้งหมดฝึกฝนโดยใช้ปราณหยางมากที่สุด อีกนัยหนึ่งนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยให้ความสำคัญกับปราณหยางเหมือนกับที่ทั้งโลกให้คุณค่ากับหินวิญญาณในฐานะเป็นวัตถุดิบหลักในการฝึกฝนฝีมือ


 


ไม่มีข้อสงสัยเลยว่านี่เป็นเหตุที่ทำไมความสามารถขั้นท้าทายสวรรค์ของซูหยางในการผลิตปราณหยางจำนวนมหาศาลจะเป็นเหตุให้เกิดความปั่นป่วนภายในนิกาย ในเมื่อเขาไม่ได้ต่างไปจากน้ำพุปาฏิหาริย์ที่ดูเหมือนว่าสามารถผลิตวัตถุดิบไม่รู้จบให้กับบรรดาศิษย์หญิงเพื่อใช้ฝึกฝน


 


ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดถ้าหากมีคนผิดประเภทรู้ถึงความสามารถที่มหัศจรรย์ของซูหยาง พวกเธออาจจะเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นทาสปราณหยางของพวกเธอ ซึ่งมีหน้าที่เพียงอย่างเดียวในชีวิตก็คือผลิตปราณหยางจนกว่าจะตายในที่คุมขัง


 


และเนื่องมาจากความอุดมสมบูรณ์ของปราณหยางของเขา โอกาสที่จะเกิดโศกนาฏกรรมเช่นนี้ในอนาคตย่อมสูงขึ้น


 


“ข-ข้าเป็นคนถัดไป” อวี้เยียนตรงเข้าไปหาซูหยางหลังจากที่นั่นเงียบลงไปเพราะว่าหญิงสาวคนอื่นล้วนหมดสิ้นเรี่ยวแรงและไวต่อการสัมผัสจนเกินไปในเวลานั้น ในเมื่อเธอไม่ได้คิดจะทำให้ซูหยางเป็นทาสปราณหยาง เธอจึงมีเจตนาใช้ประโยชน์ในโอกาสนี้ทำการร่วมฝึกคู่ให้ได้รับปราณหยางของเขาให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้


 


“คุณภาพของปราณหยางของเขานั้นช่างยอดเยี่ยมสูงส่งดีกว่าเม็ดยาหรือวัตถุดิบใดๆที่ข้าเคยใช้มาก่อนจะเทียบเคียงได้ นั่นคงเป็นเรื่องโง่เง่าสำหรับตัวข้าถ้าปล่อยโอกาสเช่นนี้เสียเปล่า” อวี้เยียนคิดในใจขณะที่เธอนั่งลงบนตักของซูหยางซึ่งอยู่ในท่านั่ง สอดแกนแกร่งลึกเข้าไปในรูร่องของเธอ


 


เหมือนกับทุกคนในที่นั้น เธอมุ่งมั่นที่จะร่วมฝึกคู่กับซูหยางจนกว่าเธอจะสลบไสลไปจากความอ่อนเพลียเพราะว่าปลดปล่อยออกมามากเกินไป


 


“โอออ ใช่… ใช่”


 


อวี้เยียนเริ่มขยับร่างของเธอขึ้นลง ทิ่มแทงตนเองด้วยแก่นกายของซูหยาง


 


อย่างไรก็ตามการกระทำของเธอไม่ได้ทนอยู่ได้นานนัก ในเมื่ออาการหมดเรี่ยวแรงของเธอเริ่มเป็นอุปสรรคในการเคลื่อนที่หลังจากนั้นไม่กี่วินาที


 


ครั้นเมื่อเธอช้าลง ซูหยางก็ยกก้นเธอไว้และทิ่มแทงเธอด้วยตนเอง


 


“อาาาาาาาา”


 


อวี้เยียนสามารถรู้สึกว่ากลีบสาวของเธอแผดเผาไปด้วยหลงไหล จนเธอต้องกรีดร้องออกมาด้วยความพึงพอใจ


 


หลังจากนั้น เมื่อซูหยางสังเกตเห็นว่าอวี้เยียนเริ่มสูญเสียสติสัมปชัญญะเพราะความสุขสมที่ท่วมท้นจนเกินไป เขาก็หลั่งปราณหยางจำนวนมากเข้าไปในร่างเธอ เติมเต็มร่างเธอด้วยพลังงานซึ่งจะทำให้เธอยังคงตื่นอยู่ได้


 


“เทพยดา… เขาหลั่งอีกแล้ว…”


 


“และเขาก็ยังคงแข็งแกร่งดังปกติ…”


 


สุดท้ายในวันนี้บรรดาหญิงสาวจึงเริ่มเข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำว่า “ทรหด” โดยมีซูหยางเป็นตัวแทนของคำนั้น


 


“พวกเจ้ายังคงต้องการต่อหรือไม่” ซูหยางถามผู้ชมที่ตื่นตระหนกหลังจากย้ายอวี้เยียนไปยังด้านข้างด้วยรอยยิ้มของผู้ชนะบนใบหน้า


บรรดาหญิงสาวมองดูใบหน้าหยิ่งผยองและแก่นอวบของเขาที่กำลังยั่วยุความกำหนัดของพวกเธอ แต่อนิจจาพวกเธอล้วนได้แต่ก้มหน้าและยอมรับความพ่ายแพ้


 


“ท่านเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ศิษย์พี่ชายซู มิเพียงแต่เคล็ดวิชาของท่านไร้เทียมทานแต่กระทั่งความอึดของท่านด้วย พวกเรายอมแพ้” ซวนจิงหลินกล่าวพร้อมรอยยิ้มขื่นขม


 


“ใช่แล้ว…ท่านได้สอนข้าบทเรียนทรงค่าในวันนี้…ว่าคนแบบท่านยังมีอยู่บนโลกที่ล้าหลังนี้…” จางเหวินจีกล่าวพร้อมกับสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดหวั่นเมื่อมองไปยังตัวตนที่ประดุจความสมบูรณ์แบบของเขา


 


“ศิษย์พี่ชาย ทำไมท่านจึงยังแข็งแกร่งกระทั่งตอนนี้ ข้าจนถ้อยคำแล้ว…” อวี้เยียนถอนหายใจ ร่างกายของเธอรู้สึกเจ็บแสบมากมาย


 


“ข้ายินดีที่จะร่วมฝึกคู่กับท่านจนกว่าท่านจะเหนื่อย ช่างโชคร้ายนักร่างกายข้ามิอาจที่จะรองรับไหว ตอนนี้ข้ายากที่จะขยับตัว…” เจียปี้อวีหัวเราะเสียงนุ่มนวล


 


หลังจากที่พูดความในใจของพวกเธอให้กับซูหยางแล้ว บรรดาหญิงสาวต่างก็สบสายตากัน


 


สองสามวินาทีหลังจากนั้นหญิงสาวทั้งเก้าใช้แรงที่ยังคงเหลืออยู่ในร่างลุกขึ้นนั่งคุกเข่าบนเตียง


 


“ขอบคุณศิษย์พี่ชายซูสำหรับการชุมนุมฝึกร่วมกันในวันนี้” พวกเธอพูดกับเขาขณะที่อยู่ในท่านั่งคุกเข่า เสียงของพวกเธอจริงใจ ฟังเหมือนว่ามาจากก้นบึ้งของหัวใจ


 


มันเป็นเรื่องแสนยากภายในนิกายที่จะมีศิษย์ในยอมเสียเวลากับศิษย์นอกเช่นพวกเธอเพราะว่าพวกเธอมีพลังการฝึกปรือที่ต่ำ ดังนั้นสำหรับการที่ซูหยางมาร่วมฝึกคู่กับพวกเธอและยังทำให้ร่างกายพวกเธอพึงพอใจมากถึงขนาดนี้ พวกเธอไม่รู้สึกอะไรไปมากกว่าความนับถือต่อเขา


 


ว่าตามจริง พวกเธอเองยังสงสัยว่ากระทั่งศิษย์หลักจะสามารถสร้างความพึงพอใจให้กับร่างกายของพวกเธอได้เท่ากับซูหยางหรือไม่


 


แม้ว่านั่นจะเป็นภาพที่ต่างออกไปจากปกติ ซูหยางยังคงสงบเรียบและพูดจากับพวกเธอด้วยรอยยิ้มหล่อเหลาบนใบหน้า “นับเป็นความยินดีที่สามารถได้ร่วมฝึกคู่กับพวกเจ้าเหล่าหญิงสาว”


DC บทที่ 226: ย้ายไปเขตศิษย์ใน

 


หลังจากยอมแพ้แล้ว หญิงสาวทั้งเก้าในห้องของซูหยางก็พักผ่อนสองสามชั่วโมงบนเตียงของเขาก่อนจากบ้านเขาไป


 


“ศิษย์พี่ชายซู ท่านคิดว่า…พวกเราสามารถกลับมาเพื่อร่วมฝึกกับท่านได้อีกหรือไม่” ซางเหวินจีถามเขาก่อนจาก


 


แม้ว่าเธอจะกังวลว่าเขาอาจจะปฏิเสธ แต่เธอก็ยังต้องการที่จะรู้


 


หญิงสาวคนอื่นก็มองดูซูหยางด้วยสายตาวิงวอนเช่นกัน


 


“ที่นี่คงจะวุ่นวายเร็วๆนี้ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกเจ้ากลับมา ข้าย่อมไม่ปฏิเสธพวกเจ้า” ซูหยางกล่าวกับพวกเธอด้วยรอยยิ้ม


 


บรรดาหญิงสาวพลันโล่งอกและขอบคุณเขาด้วยท่าทางมีความสุข


 


“ถึงแม้ว่าแถวจะยาวไปจนถึงสุดขอบฟ้า ข้าก็จะกลับมาแน่นอน” ซางเหวินจีกล่าว และเหล่าหญิงสาวคนอื่นๆต่างก็เห็นพ้อง


 


และในขณะที่พวกเธอต้องการที่จะกลับมาในวันถัดไป พวกเธอส่วนใหญ่คงปวดเมื่อย นั่นยังไม่ได้พูดถึงว่าพวกเธอยังต้องดูดซับปราณหยางที่อยู่ในร่าง ซึ่งอาจต้องใช้เวลานานหลายวันหรือไม่ก็หลายอาทิตย์ เนื่องจากคุณภาพอันเข้มข้น


 


“เพราะเหตุใด ศิษย์พี่ชาย ทำไมท่านจึงไม่ย้ายเข้าไปในเขตศิษย์ในซึ่งมีบ้านหลังใหญ่กว่ามาก ท่านสามารถบรรจุคนมากกว่าสิบคนได้อย่างง่ายดายในห้องนั้น” หนึ่งในบรรดาหญิงสาวถามเขา


 


กล่าวถึงที่สุดซูหยางถือเป็นศิษย์ในเพียงคนเดียวภายในนิกายที่ยังคงไม่ย้ายเข้าไปในเขตศิษย์ใน


 


“ถ้าข้าย้ายเข้าไปในเขตศิษย์ใน แล้วพวกเจ้าเหล่าหญิงสาวจะสามารถไปหาข้าได้อย่างไร นั่นจะเป็นการผิดกฏสำหรับศิษย์นอกที่จะเข้าไปในเขตศิษย์ใน” ซูหยางเตือนพวกเธอ


 


นอกจากว่าพวกเธอได้รับอนุญาตจากผู้อาวุโสนิกายหรือมีศิษย์ในนำพาพวกเธอไป ศิษย์นอกจะถูกห้ามเข้าไปในเขตศิษย์ใน อย่างไรก็ตามกฏนี้ใช้ไม่ได้กับศิษย์ในหากว่าต้องการที่จะเข้ามายังเขตศิษย์นอก นั่นคงเป็นเรื่องโง่สำหรับซูหยางที่จะย้ายไปอยู่ที่เขตศิษย์ใน ซึ่งนั่นจะหยุดเหล่าศิษย์นอกจากโอกาสในการรับบริการจากเขา


 


และเพราะว่าเขาต้องการที่จะดูดซับปราณหยินให้มากที่สุดจากศิษย์จำนวนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซูหยางได้ตัดสินใจที่จะอยู่ยังเขตศิษย์นอก เพื่อที่บรรดาศิษย์ทุกระดับจะสามารถเข้าหาเขาได้


 


“ท่านพูดถูก…”


 


บรรดาหญิงสาวเริ่มมีเหงื่อไหลออกมาเต็มที่เมื่อคิดว่าจะไม่สามารถพบซูหยางได้เพราะว่าฐานะของพวดเธอเป็นเพียงศิษย์นอกผุดขึ้นมาในใจ


 


“ข-ข้าเปลี่ยนใจแล้ว โปรดอย่าไปที่ไหน ศิษย์พี่ชาย”


 


“ช-ใช่แล้ว อย่าปล่อยพวกเราไว้เพียงลำพัง”


 


พวเธอเริ่มขอร้องเขาให้อยู่


 


ซูหยางหัวเราะหึและกล่าวว่า “ถ้าข้าต้องการเข้าไปในเขตศิษย์ใน ข้าคงทำเช่นนั้นนานแล้ว พวกเจ้ามิต้องกังวล เพราะว่าข้ามิมีแผนที่จะย้ายเข้าไปที่นั่น”


 


บรรดาหญิงสาวต่างพากันขอบคุณเขาอีกครั้งสำหรับความรอบคอบของเขาและจากไปหลังจากนั้นไม่กี่นาที


 


ยามเมื่อหญิงสาวทั้งเก้าออกจากบ้านไป ซูหยางก็นั่งลงบนเตียงซึ่งชุ่มโชกไปด้วยปราณหยินและหลับตาลงเพื่อฝึกวิชา อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเขาจะใช้น้ำมันพิเศษเพื่อเพิ่มปราณหยินให้กับบรรดาหญิงสาวและร่วมฝึกฝนกับพวกเธอหลายครั้ง แต่เพราะว่าพวกเธอมีพลังการฝึกปรือต่ำเพียงแค่เขตปฐมวิญญาณ พลังการฝึกปรือของซูหยางจึงยากที่จะเห็นความก้าวหน้าหลังจากที่กวาดจนเกลี้ยงทุกหยดหยาดของปราณหยินภายในห้อง


 


นั่นเหมือนเติมแก้วเปล่าด้วยน้ำเพียงสองสามหยด


 


“ฮ่าาาา…” ซูหยางถอนหายใจหลังจากที่ฝึกวิชาแล้ว


 


ถ้าเขาร่วมฝึกคู่อย่างต่อเนื่องกับบรรดาศิษย์ที่มีเขตปฐมวิญญาณ เขาคงต้องร่วมฝึกคู่หลายหมื่นครั้งก่อนที่เขาจะสามารถก้าวผ่านข้ามไปยังเขตอัมพรวิญญาณ ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเขามีน้ำมันพิเศษจำนวนจำกัดไม่เพียงพอถึงขนาดนั้น


 


ดังนั้นซูหยางจึงเริ่มคิดหาวิธีสำหรับตัวเขาในการเกี้ยวพาผู้ที่มีพลังการฝึกปรือสูงให้มาร่วมฝึกกับเขา


 


“คงจะเป็นอุดมคติถ้าข้าสามารถร่วมฝึกกับหลานลี่ชิงทุกวัน แต่ร่างกายเธอจะไม่สามารถรับข้าได้ทุกวัน ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังกังวลเรื่องกฏของนิกาย ผู้อาวุโสสำนักคนอื่นยิ่งนึกภาพไม่ออกเพราะว่ากฏของนิกายเช่นเดียวกันที่ห้ามผู้อาวุโสนิกายในการร่วมฝึกกับเหล่าศิษย์”


 


“ส่วนสำหรับศิษย์หลัก พวกเธอน่าจะหยิ่งทระนงเกินกว่าที่จะร่วมฝึกคู่กับศิษย์ในดังเช่นตัวข้า และพวกเธอก็มีจำนวนน้อยมากในที่แห่งนี้ ซึ่งนั่นคงไม่คุ้มค่าต่อการพยายามนอกจากว่าข้าจะได้รับโอกาส”


 


“โหลวหลาจีก็อยู่ในฐานะเช่นเดียวกับหลานลี่ชิง เพราะว่าเธอเป็นผู้นำนิกาย นั่นจะยิ่งยากกว่าเดิมในการที่จะไปร่วมฝึกคู่กับเธออย่างลับๆ”


 


เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ ซูหยางก็รู้สึกอยากจะเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเขาให้กับโหลวหลานจีและกลายเป็นเจ้านิกายของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย อย่างไรก็ตามถ้าสิ่งนั้นเกิดขึ้นเช่นนั้นเขาก็คงจะไม่สามารถเข้าร่วมในการแข่งขันระดับภูมิภาคและพบกับซีซิงฟางได้ในระหว่างนั้น


 


นี่ยังไม่ได้พูดถึงว่าเขาไม่สามารถอยู่ในที่แห่งนี้ได้ตลอดไป ดังนั้นการรับตำแหน่งผู้นำนิกายย่อมจะทำร้ายนิกายในระยะยาวยามเมื่อเขาจากไป


 


“ดูเหมือนว่าวิธีที่ดีที่สุดควรจะไปหาศิษย์ในในตอนนี้…”


 


หลังจากครุ่นคิดต่อไปอีกชั่วขณะ ซูหยางก็ลงจากเตียงจัดแจงห้องอาบน้ำแต่งตัวก่อนหลับ เพราะว่ามันดึกแล้ว


 



 



 



 


เช้าวันถัดมาหลานลี่ชิงยืนอยู่ภายในตำหนักโอสถด้วยท่าทางงุนงง


 


“ทุกคนเป็นบ้าอยู่ไหนกันหมดแล้ววันนี้”


 


บรรดาศิษย์ของเธอปกติแล้วจะมาทำงานในเวลานี้ แต่กลับมีเพียงคนเดียวที่แสดงตัวในวันนี้


 


“ศิษย์เซียว เกิดอะไรขึ้นกับคนอื่นๆ เจ้ารู้ไหมว่าพวกเธอจะหยุดงาน” หลานลี่ชิงถามศิษย์เพียงคนเดียวที่เหลืออยู่


 


ศิษย์เซียว ซึ่งปฏิเสธที่จะตามเพื่อนศิษย์ไปพบกับซูหยางวานนี้ส่ายหน้า “ข้าก็มิได้ยินอะไรจากพวกเธอเช่นกัน”


 


หลานลี่ชิงจึงนึกขึ้นได้ว่าพวกเธอไปหาซูหยางหลังจากเลิกงานวานนี้ จึงถอนหายใจ


 


“ข้าจักไปยังที่พักของพวกเธอและตามหาพวกเธอให้กับท่าน อาจารย์” ศิษย์เซียวกล่าวขึ้นหลังจากเห็นอีกฝ่ายถอนใจ


 


“ไม่เป็นไร เจ้ามิต้องไปรบกวนพวกเธอ” หลานลี่ชิงกล่าวกันอีกฝ่าย ในเมื่อเธอสามารถเดาเหตุผลที่พวกเหล่านั้นขาดงานวันนี้ “ถ้าพวกนั้นไม่แสดงตัวในวันพรุ่งนี้ ข้าจักไปหาพวกนั้นด้วยตัวเอง”


 


“ช-เช่นนั้นรึ…” ศิษย์เซียวพยักหน้า รู้สึกว่าหลานลี่ชิงมีกิริยาท่าทางผิดแปลกออกไปเล็กน้อย ในเมื่อปกติเธอจะเข้มงวดมากเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม