Dual Cultivation ร่วมเรียงเคียงเซียน 182-199

 ตอนที่ 182 ใช่เพียงแค่เพื่อน

หลังจากใช้เวลาเนิ่นนานกับความเงียบอันน่ากระอักกระอ่วน ซูเมิ่งอี้พูดด้วยเสียงแข็งทื่อว่า “ช-เช่นนั้นเป็นว่าคู่ของเจ้าก็ชื่อซูหยางเช่นกันรึ…ช่างเป็นเรื่องบังเอิญ..”


 


เห็นชัดว่าซูเมิ่งอี้ต้องการปฏิเสธไม่อยากเชื่อว่าเธอร่วมเรียงกับชายคนเดียวที่ทำให้วูจินจิงเพื่อนสนิทเธอตั้งท้อง


 


อย่างไรก็ตาม วูจินจิงส่ายหน้าและกล่าวว่า “อย่าทำเป็นเหลวไหล ข้าสามารถบอกได้ว่ากระทั่งเจ้าเองก็ยังมิเชื่อคำพูดของตนเอง”


 


แม้ว่าวูจินจิงก็ไม่ต้องการที่จะยอมรับเช่นกันว่าเธอได้ร่วมเรียงกับชายคนเดียวกับที่ร่วมเรียงกับซูเมิ่งอี้ แต่ก็มีบางสิ่งในโลกที่ยอมรับดีกว่าเพิกเฉย


 


“ร-เราควรทำอย่างไรดีตอนนี้” ซูเมิ่งอี้ถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล “ร-เรากำลังอุ้มท้องลูกของชายคนเดียวกัน เจ้าก็รู้”


 


สิ่งที่เธอเป็นกังวลมากที่สุดในตอนนี้ก็คือความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอจะต้องสิ้นสุดหลังจากเหตุการณ์นี้


 


“เราควรจะทำอย่างไรต่อไปตอนนี้ อืม..” วูจินจิงพึมพัม


 


“ปกติแล้ว เมื่อหญิงสองคนอุ้มท้องจากชายคนเดียวกันโดยไม่รู้ตัว ชายจะเป็นคนเลือกคนหนึ่งให้เป็นภรรยาหลวงในขณะที่อีกคนจะกลายเป็นสนม อย่างไรก็ตามในกรณีนี้ในเมื่อผู้ชายไม่อยู่ เราต้องตัดสินใจด้วยตนเองว่าเราจะต้องทำอะไร”


 


วูจินจิงมองดูซูเมิ่งอี้ด้วยใบหน้าท่าทางจริงจังและถามว่า “เจ้าต้องการเป็นอะไร เมิ่งอี้”


 


หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ซูเมิ่งอี้ก็กล่าวขึ้นว่า “ข-ข้าต้องการให้เรายังคงเป็นเหมือนเช่นที่เคยเป็น…เพื่อนสนิท แล้วเจ้าละเพื่อนจินจิง”


 


วูจินจิงส่ายหน้าและตอบว่า “นั่นเป็นไปไม่ได้ ข้ามิคิดว่าข้าจักสามารถมองดูเจ้าเป็นเช่นเดิมได้อีกต่อไป”


 


“ว-ว่ากระไร…” ซูเมิ่งอี้เบิกตากว้างด้วยความตระหนกเมื่อได้ยินคำกล่าวของอีกฝ่าย


 


วูจินจิงกล่าวต่อก่อนที่น้ำตาซูเมิ่งอี้จะไหลออกมา “เราทั้งคู่ล้วนรักชายคนเดียวกัน และมอบความบริสุทธิ์ให้กับเขา และเรายังจักอุ้มท้องลูกของชายคนนั้นในอนาคต ถ้าเจ้าถามข้า พวกเราผ่านเลยจุดที่ถือว่าเป็นเพื่อนไปแล้ว…”


 


“เจ้าคงมิได้หมายความว่า…” ซูเมิ่งอี้ยังคงตื่นตระหนกแต่ว่าด้วยเหตุผลที่ต่างออกไป


 


“ใช่แล้ว… เราทั้งคู่ตอนนี้เป็นครอบครัว “พี่น้อง” อย่างแท้จริง”


 


“พี่จินจิง” ซูเมิ่งอี้เริ่มร้องไห้โดยไม่อดรั้งได้อีกต่อไปและตรงเข้าไปกอดวูจินจิง


 


“ฮ่าาา…” วูจินจิงถอนใจหลังจากนั้นเมื่อซูเมิ่งอี้กอดเธอแน่น “ข้ารู้ว่าเขาเป็นคนที่ข้ามิอาจเก็บเขาไว้ข้างกาย แต่เมื่อคิดว่ากระทั่งเพื่อนสนิทของข้าก็ได้รับรู้รสชาติของเขา ช่างโชคร้ายนัก…”


 


“จ-เจ้าหมายความว่าอย่างไรจึงพูดเช่นนั้น” ซูเมิ่งอี้หยุดกอดอีกฝ่ายและมองดูด้วยดวงตาเบิกกว้าง


 


วูจินจิงหัวเราะเล็กน้อยและกล่าวว่า “หมายความว่าข้ามิอาจที่จะอวดเจ้าในเรื่องประสบการณ์อันเหนือโลกที่ข้าได้รับขณะที่อยู่กับเขาในเมื่อเจ้าเองก็ได้ลิ้มรสนั้นเช่นกัน”


 


ซูเมิ่งอี้เริ่มหน้าแดงเมื่ออีกฝ่ายนำเรื่องเช่นนี้มาพูด และเธอแน่นอนว่ามียิ่งกว่าแค่ได้ลิ้มลอง


 


“เจ้ามีประสบการณ์อย่างไร เจ้ารู้สึกเหมือนกับว่าถูกครอบงำด้วยปิศาจบ้ากามระหว่างที่เจ้าร่วมเรียงกับเขาหรือไม่” วูจินจิงเริ่มหยอกล้ออีกฝ่าย


 


ซูเมิ่งอี้พยายามปิดบังความอายบนใบหน้าของเธอเมื่อนึกถึงเวลาที่เธอใช้กับเขาภายในห้องปรุงยา คิดกลับไปยังเวลานั้น เธอยิ่งกว่าถูกสิงอย่างแน่นอน ถ้าจะเปรียบเธอก็คงกลายไปเป็นสัตว์ป่า


 


“หยุดหยอกข้าได้แล้วพี่จินจิง” ซูเมิ่งอี้ทำแก้มป่อง


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า จากที่รู้จักเจ้ามา เมิ่งอี้ เจ้าคงจะทนได้ไม่กี่นาที” วูจินจิงระเบิดเสียงหัวเราะ


 


อย่างไรก็ตามคำพูดต่อไปที่ออกมาจากซูเมิ่งอี้สร้างความตระหนกให้กับวูจินจิงจนหัวเราะไม่ออก


 


“ฮึ่ม แม้ว่าข้าจะมิคุ้นเคยกับความรู้สึกนั้นในตอนแรก แต่หลังจากที่ใช้เวลาหลายวันร่วมกับเขา ข้าสามารถพูดด้วยความมั่นใจว่าข้าสามารถอยู่ได้ครึ่งวันโดยไม่หยุดพัก”


 


เพื่อให้ดูว่าถึกทน ซูเมิ่งอี้ตัดส่วนที่ต้องใช้ยาทนทานออกไปโดยเจตนา


 


วูจินจิงจ้องมองเธอด้วยดวงตาเบิกกว้างและกรามที่อ้าคลาย “จ-เจ้าว่ากระไร เจ้าใช้เวลาหลายวันอยู่กับเขารึ”


 


ซูเมิ่งอี้พยักหน้าและอธิบายให้อีกฝ่ายฟังถึงสาเหตุที่ซูหยางอาศัยอยู่ที่สถาบันสี่ฤดูหลายวันเนื่องมาจากกิจธุระบางอย่างที่เขามีที่นั่น


 


“ช-ใช้เวลามากเท่าไหร่ที่เจ้าได้..ร่วมเรียง…กับเขา” วูจินจิงถามอีกฝ่ายด้วยใบหน้าที่ก้มลงและเสียงสั่นสะท้าน


 


ซูเมิ่งอี้ยักไหล่และกล่าวว่า “ข้ามัวแต่มุ่งมั่นเกินไปจนลืมเวลา แต่ถ้าให้ข้าเดา อย่างน้อยก็ยี่สิบสี่ชั่วโมง ข้าคิดว่าเช่นนั้น…”


 


“ฮาา..ข้าหวังว่าจักได้นานกว่านั้น…” เธอถอนหายใจหลังจากนั้นชั่วขณะ


 


ได้ยินที่ซูเมิ่งอี้ทำให้ซูหยางอยู่กับตัวเองนานเกินยี่สิบสี่ชั่วโมงในขณะที่เธอเองมีเวลาเพียงแค่ชั่วโมงเดียวหรือกว่านั้น วูจินจิงจับแขนซูเมิ่งอี้และจ้องมองเธอด้วยสายตาอิจฉา


 


“พ-พี่จินจิง” ซูเมิ่งอี้กลับกลายเป็นหวาดกลัวกับการจ้องเขม็งของอีกฝ่าย


 


“เจ้าเด็กตัวเหม็น ข้าได้ร่วมเรียงกับเขาเกินชั่วโมงไปแค่นิดเดียวก่อนที่เขาจะจากไป” กลิ่นอายความเป็นผู้ใหญ่ที่วูจินจิงเปล่งออกมาไม่อาจพบได้ในเวลานั้น ในเมื่อเธอรู้สึกอิจฉามากเกินไปต่อซูเมิ่งอี้


 


“เอ๋…” ซูเมิ่งอี้งงงันไปกับคำกล่าวของอีกฝ่าย


 


“เจ้ารู้ไหมว่าช่างโชคดีแค่ไหนที่เจ้าได้ใช้เวลามากมายอยู่กับเขา และเจ้ายังบ่นเรื่องนั้น ข้าควรเป็นคนบ่นถึงจะถูกต้อง”


 


“ป-เป็นเช่นนั้นหรือ..” ซูเมิ่งอี้ไม่รู้สึกเลวร้ายเกี่ยวกับเวลาที่เธอได้ใช้กับเขาอีกต่อไป อีกทั้งยังสงสารวูจินจิง ว่าไปแล้วใครจะพึงพอใจได้หากได้ใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วโมง


 



 



 



 


ชั่วขณะหลังจากนั้น ซูเมิ่งอี้พลันถามวูจินจิง “พี่จินจิง แม้ว่านี่อาจจะรู้สึกแปลกอยู่บ้าง ในเมื่อซูหยางไม่อยู่แล้ว ข้าจักทำให้ตัวเองพึงพอใจได้อย่างไร ข้ามิอาจคิดไปหาชายอื่นนอกจากซูหยาง แต่เมื่อไม่มีเขา ความปรารถนาความสุขที่เขาปลุกมันขึ้นมาภายในใจข้าก็ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น…”


 


วูจินจิงครุ่นคิดกับคำถามนั้นชั่วขณะ ในเมื่อเธอเองก็พยายามครุ่นคิดปัญหาเดียวกันนั้นมาเป็นเวลาหลายวัน


 


“ข-ข้าเคยได้ยินว่าในครอบครัวที่มีสนมมากมายและชายไม่สามารถตอบสนองกับทุกคนได้ ปกติสนมเหล่านั้นจักใช้อีกฝ่ายเพื่อทำให้สมความปรารถนาของตนเอง…” วูจินจิงกล่าวด้วยเสียงประหลาด


 


“จ-เจ้าคงมิได้หมายความว่า…” ซูเมิ่งอี้จ้องมองอีกฝ่ายด้วยดวงตาเบิกกว้างเต็มไปด้วยความแตกตื่น


 


วูจินจิงมองดูเธอและหน้าแดง “ถ-ถ้าเจ้ามิถือ เราสามารถลองดู…”


 


ซูเมิ่งอี้กรามร่วงลงไปถึงพื้นจากคำตอบที่ไม่คาดคิดต่อปัญหาของตัวเอง

 

 

 


ตอนที่ 183 ใช้ลิ้นกับอีกฝ่าย (Yuri)

 

“พ-พี่จินจิง…ท-ท่านเอาจริงรึ” ซูเมิ่งอี้ต้องการยืนยันว่าอีกฝ่ายเอาจริงหรือว่าเพียงแค่ล้อเธอเล่นดังเหมือนทุกครั้ง


 


“ข-ข้ามิได้พูดเล่นกับเรื่องนี้” วูจินจิงรีบตอบด้วยใบหน้าแดงก่ำ


 


ห้องเงียบลงอย่างรวดเร็วหลังจากนั้น


 


หลังจากนั้นชั่วขณะซูเมิ่งอี้ก็กล่าวด้วยเสียงเอียงอายว่า “ถ-ถ้าเช่นนั้น…ถ้าพี่จินจิงมิถือทำเช่นนั้นกับคนเช่นข้า…ข-ข้าคิดว่าควรจะลองดูสักครั้ง…”


 


แม้ว่าจะไม่ได้หายากจนถึงขั้นไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย แต่การที่ผู้หญิงสนองความพึงใจตนเองโดยร่วมกับหญิงอื่นนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ปกติ แม้ว่าคนทั้งโลกจะไม่ได้เหยียดหยามผู้ที่ต้องการดื่มด่ำเพศรสกับเพศเดียวกัน แต่ก็ยังมีคนนอกเหนือจากนั้นที่ไม่ชอบการปฏิบัติเช่นนั้น ในเมื่อพวกเขาเชื่อว่าการทำเช่นนั้นคือการทำผิดบาปต่อสรวงสวรรค์


 


แต่โชคดีที่ทั้งซูเมิ่งอี้และวูจินจิงไม่เป็นคนกลุ่มนั้นที่ปฏิเสธความคิดที่แปลกแยก ที่เป็นเช่นนั้น เพราะว่าหลังจากที่พบกับซูหยาง พวกเธอก็เป็นคนที่เปิดใจยอมรับหลายสิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกล่าวถึง “การร่วมเรียง”


 


“เจ้ามั่นใจรึ เจ้ามิต้องตกลงกับความคิดแปลกประหลาดของข้า ถ้าเจ้ามิได้ต้องการมันจริงๆ”


 


“อย่ากังวลไปเลย พี่จินจิง ถ้าคิดว่าแนวคิดของเจ้านั้นแปลก เช่นนั้นเจ้าต้องเห็นสิ่งที่ข้ามีอยู่ในใจเมื่อข้าพยายามที่จะให้ซูหยางสนใจ…”


 


“ช-เช่นนั้นรึ..” วูจินจิงอดไม่ได้ที่จะยิ้มกับคำกล่าวของเธอ


 


“เช่นนั้น…เจ้าต้องการที่จะลองตอนนี้เลยไหม” เธอพลันถาม


 


“ต-ตอนนี้ ตอนนี้หรือ” ซูเมิ่งอี้ดูนิ่งขึง ในเมื่อเธอไม่ได้คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นในเร็วนี้


 


วูจินจิงพยักหน้าและกล่าวต่อว่า “กายข้ากระสับกระส่ายมาชั่วระยะหนึ่งแล้ว และข้าจักขอบคุณเป็นอย่างยิ่งถ้าเจ้าสามารถช่วยข้าได้ในตอนนี้…” เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงเอียงอาย


 


“…”


 


หลังจากที่จ้องมองอีกฝ่ายอย่างเงียบเชียบเป็นเวลาชั่วขณะ ซูเมิ่งอี้ก็พยักหน้าเล็กน้อยตกลงกับข้อเรียกร้องของอีกฝ่าย


 


สองสามนาทีหลังจากนั้น ครั้นเมื่อพวกเธอเตรียมตัวพร้อมแล้ว ซูเมิ่งอี้และวูจินจิงก็ถอดเสื้อผ้าต่อหน้าอีกฝ่ายและนั่งลงบนเตียง


 


เพราะว่าพวกเธอล้วนเป็นหญิง พวกเธอไม่รู้สึกอายเท่ากับเมื่อพวกเธอเปิดเผยตัวให้กับซูหยาง อย่างไรก็ตามความกังวลใจก็ดูเหมือนว่าจะมีมากกว่าเมื่อตอนที่พวกเธออยู่กับซูหยาง ในเมื่อพวกเธอยังไม่กล้าสวมกอดอีกฝ่ายด้วยวิธีที่พวกเธอไม่เคยนึกมาก่อน


 


“…”


 


ซูเมิ่งอี้ถึงกับหมดคำพูดเมื่อเธอมองเห็นซาลาเปายัดใส้ใบใหญ่ของวูจินจิงเป็นครั้งแรก ตระหนักว่าความแตกต่างในความดึงดูดใจทางเพศในฐานะหญิงของพวกเธอช่างใหญ่หลวงนักเกินกว่าที่เธอเคยคิด


 


และเมื่อวูจินจิงสังเกตเห็นการจ้องมองอย่างอิจฉาของอีกฝ่าย เธอหัวเราะน้อยๆและกล่าวด้วยเสียงหยอกล้อว่า “เจ้าอิจฉารึ”


 


“ใครรู้สึกอิจฉากัน” ซูเมิ่งอี้พลันจับซาลาเปาของวูจินจิงพร้อมกับกล่าว เป็นเหตุให้พวกเธอสะดุ้ง


 


“อา” วูจินจิงไม่ได้คาดว่าซูเมิ่งอี้จะเป็นคนเริ่ม จึงเผลอส่งเสียงร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ


 


“โอ…ขอโทษ เจ็บไหม” ซูเมิ่งอี้รีบปล่อยมือ


 


วูจินจิงส่ายหน้าและกล่าวว่า “อย่ากังวล ข้าเพียงแค่ประหลาดใจ”


 


เธอพลันนอนลงบนเตียงและกล่าวต่อว่า “มาสิ…ทำต่อสิ่งที่เจ้าเพิ่งทำลงไป…”


 


ซูเมิ่งอี้กลืนน้ำลายและเอื้อมไปหาซาลาเปาของวูจินจิงอีกครั้ง ครานี้เธอไม่ได้ใช้แรงมากนักและค่อยนวดเปาทั้งคู่ด้วยนิ้วของเธอ ราวกัว่าเธอกำลังนวดแป้ง


 


เธอพยายามเลียนแบบการเคลื่อนไหวมือของซูหยางยามเมื่อเขานวดเธอ แต่อนิจจา เธอรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าช่างเป็นความพยายามที่ล้มเหลว เธอจึงหันกลับมานวดวูจินจิงแบบปกติ


 


“อืม…” วูจินจิงถูกปลุกเร้าได้โดยง่าย เธอเริ่มครางขณะที่หอบหายใจเบาๆ


 


สองสามอึดใจถัดไป เมื่อความสุขในกายของวูจินจิงไปถึงจุดหนึ่ง เธอก็เริ่มเอื้อมมือไปยังดอกไม้ชุ่มฉ่ำของตัวเอง


 


“…”


 


ซูเมิ่งอี้เกือบไม่เชื่อสายตาตัวเองเมื่อวูจินจิงเริ่มช่วยตัวเองขณะที่เธอนวดอกของอีกฝ่าย และเมื่อเธอเห็นท่าทางวาบหวามของวูจินจิง ร่างกายของเธอก็เริ่มตื่นตัว และเริ่มใช้มือของตนเองช่วยตัวเองเช่นกัน


 


ดังนั้นเสียงหอบหายใจหนักสองเสียงก็เริ่มสร้างความสุขให้กับตนเองเคียงข้างกันในห้อง


 


สองสามนาทีภายหลัง เมื่อวูจินจิงเริ่มไม่พอใจกับการช่วยตัวเอง เธอก็กล่าวกับซูเมิ่งอี้ว่า “ดูเหมือนว่าบางสิ่งจะไม่ถูกต้อง… นี่มิได้ต่างกับการทำด้วยตนเอง…”


 


“เช่นนั้นเราควรทำเช่นไรต่อไป”


 


หลังจากคิดชั่วขณะ วูจินจิงก็กล่าวขึ้นขณะที่ชี้ไปยังเตียง “มานอนตรงนี้”


 


ซูเมิ่งอี้ไม่ได้ถามคำถามอะไรอีกและทำตามคำแนะนำของอีกฝ่าย


 


ครั้นเมื่อซูเมิ่งอี้เอนหลังลงไปบนเตียง วูจินจิงก็เริ่มเอนกายลงบนร่างของซูเมิ่งอี้อย่างนุ่มนวลโดยหันศีรษะของตนเองไปทางด้านทางเข้าด้านล่างของซูเมิ่งอี้ซึ่งทำให้ใบหน้าพวกเธอพบกับพื้นที่ลับของอีกฝ่าย


 


“จ-เจ้าวางแผนจะทำอะไรในท่านี้” ซูเมิ่งอี้ถามโดยมีดอกไม้สีชมพูของวูจินจิงเปิดเผยอยู่ด้านบนต่อหน้าเธอ


 


“เจ้าจักรู้ในบัดดล…”


 


ขณะที่เธอกล่าวคำเหล่านั้น วูจินจิงก็ลดศีรษะลงจนกระทั่งอยู่ระหว่างต้นขาของซูเมิ่งอี้และริมฝีปากก็เกือบสัมผัสกับดอกไม้ชุ่มฉ่ำของอีกฝ่าย


 


ซูเมิ่งอี้รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังจะทำอะไรและร่ำร้องเสียงดัง “ย-อย่าบอกว่าเจ้าจะ—อาาาา”


 


วูจินจิงเพิกเฉยอีกฝ่ายและเริ่มโลมไล้กลีบดอกไม้ของอีกฝ่ายด้วยลิ้น


 


“พ-พี่จินจิง” ซูเมิ่งอี้เกือบปลดปล่อยออกมาจากการสัมผัสในบัดดลนั้น


 


“ช่างเป็นการตอบสนองที่น่ารัก” วูจินจิงคิดในใจและเริ่มใช้ชิวหาต่อไป ทำให้ร่างนุ่มนิ่งของซูเมิ่งอี้เริ่มสั่นสะท้าน


 


“อืมมม…เช่นนั้น…อาาา…” ซูเมิ่งอี้จมอยู่กับความสุขสมและเริ่มขยับสะโพก ทำราวกับว่าลิ้นของวูจินจิงคือแท่งของซูหยาง ถึงกระทั่งจินตนาการในใจ


 


สองสามนาทีถัดไปวูจินจิงก็หยุดการใช้ลิ้นและกล่าวว่า “เมิ่งอี้ นี่มิยุติธรรมเลยที่มีเพียงเจ้าสุขสมอยู่ฝ่ายเดียวที่นี่…รีบทำเช่นเดียวกันกับข้า…”


 


“อา…ข้าขอโทษ…” หลังจากที่ขอโทษอีกฝ่ายแล้ว ซูเมิ่งอี้ก็ดึงดอกไม้ของวูจินจิงเข้าไปยังใบหน้าของตนเองและเริ่มใช้ลิ้นของตนเองกับอีกฝ่าย


 


“อืมมม” วูจินจิงร่างสั่นสะท้านผ่านความรู้สึกจากปลายลิ้นของซูเมิ่งอี้ และความเครียดในร่างกายของเธอก็ค่อยจางหายไปทีละเล็กละน้อย

 

 

 


ตอนที่ 184 จากลาทวีปศักดิ์สิทธิ์กลาง [จบภาค 4]

 

ขณะที่วูจินจิงกับซูเมิ่งอี้กำลังสาละวนอยู่กับอีกฝ่าย สำนักสุวรรณสิงห์ก็เริ่มสร้างใหม่อาคารสถานที่หลังจากที่เซียวลี่เกือบทำลายรากฐานกว่าพันปีของพวกเขาไป


 


อย่างไรก็ตามความเสียหายที่สำนักของพวกเขาได้รับนั้นปรากฏว่าเสียหายร้ายแรงมากกว่าที่เจ้าสำนักทองได้คาดคิดไว้ ในเมื่อทรัพย์สมบัติล้วนถูกเผาผลาญเป็นขี้เถ้าไปพร้อมกับทรัพยากรหลักส่วนใหญ่ของสำนักซึ่งอยู่ล้วนอยู่ภายในอาคาร


 


และเมื่อปราศจากทรัพยากรส่วนใหญ่ของพวกเขา สำนักสุวรรณสิงห์ก็ไม่สามารถที่จะฟื้นฟูตนเองได้ ส่งผลให้เจ้าสำนักทองจนมุม


 


“เชี่ย เชี่ย เชี่ย”


 


ภายในห้องของเขา เจ้าสำนักทองระบายความโกรธแค้นไปกับเครื่องเรือนรอบข้าง โยนพวกมันไปทั่วห้อง


 


“ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความผิดของเจ้าเด็กผมเงินนั่น ถ้าเจ้าเด็กนั่นมิได้เข้ามาสอดส่องต้องสงสัยในสำนักข้า สิ่งเหล่านี้ย่อมมิเกิดขึ้น” เจ้าสำนักทองโยนความผิดทั้งหมดไปให้เซียวลี่ โดยไม่สนใจพฤติกรรมของตนเอง


 


หลังจากทำลายข้าวของต่อไปอีกสองสามชิ้น สุดท้ายเจ้าสำนักทองก็หยุดอาละวาดและหันไปมองยังร่างสวมหน้ากากที่ยืนนิ่งอยู่ที่มุมห้อง


 


ร่างสวมหน้ากากเมื่อเห็นว่าในที่สุดเจ้าสำนักทองก็หันมาสนใจตนเอง จึงค่อยพูดออกมาด้วยเสียงอู้อี้ว่า “ถ้าผู้อาวุโสทองต้องการทรัพยากร พวกเราดาบแสงจันทร์สามารถช่วยท่านแก้ปัญหาได้”


 


ได้ยินคำพูดจากร่างสวมหน้ากาก เจ้าสำนักทองแค่นเสียงเย็นชา “อีกกี่ครั้งที่ข้าควรจักฆ่าคนของเจ้าก่อนที่พวกเจ้าจะเข้าใจคำตอบของข้า ข้าปฏิเสธทุกสิ่งที่เจ้านำเสนอ”


 


อย่างไรก็ตามคนสวมหน้ากากยังคงอยู่ภายในห้องและกล่าวว่า “ถ้าท่านช่วยเราทำลายตระกูลซี พวกเราจักยกความมั่งคั่งทุกอย่างของพวกเขาให้กับท่าน ซึ่งนั่นเป็นทรัพยากรที่นับว่าเพียงพอต่อการซ่อมแซมสำนักของท่านอย่างเหลือเฟือ ยิ่งไปกว่านั้น ท่านยังสามารถยึดตำแหน่งของพวกเขาและปกครองทวีปตะวันออกทั้งหมด”


 


เจ้าสำนักทองไม่ได้ตอบสนองในทันที และมีท่าทางครุ่นคิดอยู่บนใบหน้า


 


คนเหล่านี้ที่เรียกตนเองว่าดาบแสงจันทร์โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ในวันหนึ่งต่อหน้าเขาเมื่อสองเดือนก่อนและร้องขอให้เขาช่วยทำลายตระกูลซีนับแต่นั้น


 


ครั้งแรก เจ้าสำนักทองล้วนเพิกเฉยต่อพวกเขาอีกทั้งยังฆ่าคนส่งข่าวทุกคนที่พวกเขาส่งมา แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความสนใจที่เขามีต่อเป้าหมายของพวกเขาก็เพิ่มมากขึ้น และตอนนี้สำนักของเขาแขวนอยู่บนเส้นด้ายแห่งการล่มสลาย ข้อเสนอของพวกเขาพลันกลายเป็นสิ่งน่าพึงพอใจที่สุดในสายตาของเขา


 


อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ตกลงทันทีในการช่วยพวกเขา เพราะว่าเขาไม่ต้องการให้คนพวกนี้เห็นว่าเขาเป็นคนที่ถูกจูงจมูกไปได้โดยง่าย


 


หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วขณะ คนในหน้ากากก็กล่าวต่อว่า “ดาบแสงจันทร์ของพวกเราเพียงต้องการเจ้าหญิงของตระกูลซี ส่วนอื่นที่เหลือผู้อาวุโสทองสามารถตัดสินใจได้เลยว่าจะทำอะไรกับพวกมัน”


 


“มีอะไรกับเจ้าหญิงของตระกูลซีที่สำคัญต่อพวกเจ้ารึ คำตอบของข้าจักขึ้นอยู่กับเหตุผลของพวกเจ้า” เจ้าสำนักทองกล่าวต่อหลังจากนั้น


 


“ท่านผู้นำต้องการที่จะได้รับร่างสวรรค์ของเธอ ร่างร้อยพิษมิกราย”


 


คนสวมหน้ากากไม่ได้พยายามปกปิดความจริงจากเขาเพราะว่าผู้นำสั่งเขาให้ทำเช่นนั้น เนื่องเพราะว่าดาบแสงจันทร์ต้องการความช่วยเหลือจากเขาอย่างมากเพื่อที่จะให้บรรลุเป้าหมาย


 


“ร่างร้อยพิษมิกราย หึ” เจ้าสำนักทองแอบแลบลิ้นเลียริมฝีปาก


 


ร่างสวรรค์เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งภายในทวีปศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นกระทั่งผู้ที่มีพลังอำนาจดังเช่นเจ้าสำนักทองก็ยังต้องการเป็นอย่างยิ่ง


 


“ถ้าข้าจำได้มิผิดพลาด พวกเจ้าสามารถข้ามทะเลหยกมายังทวีปศักดิ์สิทธิ์กลางโดยใช้สมบัตวิญญาณบางอย่าง แต่มันเพียงทำงานทางเดียวใช่หรือไม่”


 


“เป็นเช่นนั้น” คนสวมหน้ากากยืนยัน


 


“แต่เพื่อที่จะให้พวกเราข้ามทะเลหยกมาถึงที่นี่ มันจักใช้เวลาครึ่งปีเป็นอย่างน้อย”


 


“พวกเราจักรอท่านผู้อาวุโสทองไปถึงทันทีที่ท่านตกลงช่วยเหลือพวกเรา” ร่างนั้นกล่าว


 


เจ้าสำนักทองเงียบลงไปอีกครั้ง


 


หลังจากคิดไปอีกสองสามนาที เจ้าสำนักทองก็ฉีกยิ้มและกล่าวว่า “บอกผู้นำของเจ้าว่าข้าจักไปหาเขาโดยเร็วเท่าที่จะเป็นไปได้”


 


คนสวมหน้ากากพยักหน้าและหายไปในเงามืดอย่างรวดเร็ว เหลือเพียงเจ้าสำนักทองอยู่ตรงนั้น


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า…เจ้าพวกโง่เง่า…” เจ้าสำนักทองหัวเราะในใจ “พวกเจ้าคิดหรือว่าจะผ่านไปได้ง่ายๆ ทำไมข้าจักต้องฟังใครก็ไม่รู้จากสถานที่ที่ต่ำต้อยดังทวีปตะวันออก ทั้งยังต้องการแบ่งทรัพย์สมบัติกับข้า”


 


เขาคาดหวังที่จะได้รับร่างร้อยพิษมิกรายเป็นของตนเองอย่างเงียบๆ รู้สึกมั่นใจในความสามารถของตนเอง จินตนาการว่าเขาสามารถข้ามทะเลไปถึงได้อย่างราบรื่น


 



 



 



 


ในสถานที่เหนือทะเลหยก ชิวเยวี่ยหันกลับไปดูทวีปศักดิ์สิทธิ์กลางด้านหลังเธอด้วยรอยยิ้มโล่งอก


 


“ข้าสามารถเก็บซ่อนความลับของข้าจากเขาได้สำเร็จ” เธอชื่นชมในใจ


 


ตอนนี้เธอไม่คิดกังวลว่าเขาจะพบเธอในฐานะธิดาเทพเซียนซูเยวี่ยจนต้องอับอายปางตายอีกต่อไป


 


“เจ้าดูมีความสุขนะวันนี้” ซูหยางพลันกล่าวกับเธอด้วยรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้า “มีอะไรดีๆเกิดขึ้นก่อนหน้านี้รึ”


 


“อาจจะหรืออาจจะไม่ ใครจะรู้” ชิวเยวี่ยตอบกลับด้วยน้ำเสียงทะเล้น


 


ซูหยางยังคงยิ้มลึกลับ “เจ้ารู้ไหม ข้าเรียนรู้หลายอย่างระหว่างที่อยู่ที่นั่นเพียงแค่สั้นๆ และนั่นทำให้การเดินทางครั้งนี้คุ้มค่ามากๆ”


 


“โห ท่านกระทั่งยังเรียนรู้หลายสิ่งจากที่นั่นด้วยรึ อะไรบ้างที่ท่านรู้” ชิวเยวี่ยสังเกตเห็นว่าท่าทางของเขาค่อนข้างแปลก แต่เธอไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะสนใจเกี่ยวกับเรื่องเล็กน้อยที่ประดุจฝุ่นละอองบนเสื้อผ้า


 


“มิใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร มันเป็นเพียงเรื่องราวน่าใจเล็กน้อยบางอย่างเท่านั้น”


 


“จริงรึ ทำไมท่านมิแบ่งปันให้กับข้าบ้าง” ชิวเยวี่ยพูดโดยไม่คิด


 


“เจ้ามั่นใจรึ เจ้าอาจจะพบว่ามันมิได้เป็นเรื่องสนุกอะไรเลยก็ได้” ซูหยางเตือนเธอแบบไม่ใส่ใจ


 


“มันก็เป็นเพียงแค่เรื่องเล่าขานใช่ไหม ไม่มีอะไรที่มั่นใจในเรื่องพวกนั้น”


 


ในตอนนี้ ท่าทางขี้เล่นบนใบหน้าของชิวเยวี่ยพลันเปลี่ยนเป็นท่าทางที่เต็มไปด้วยความสงสัย เธอเริ่มรู้สึกไม่สบายใจกับกลิ่นอายลึกลับที่อยู่รอบตัวซูหยาง


 


ส่วนสำหรับซูหยาง รอยยิ้มลึกลับบนใบหน้าของเขายิ่งชัดเจนขึ้นทุกขณะ เขาแทบรอไม่ได้ที่จะเห็นท่าทางชิวเยวี่ยที่จะเกิดขึ้นครั้นเมื่อเขาเริ่มพูดเกี่ยวกับเด็กหญิงที่ชื่อซูเยวี่ย

 

 

 


ตอนที่ 185 นี่เป็นว่าท่านรู้มาโดยตลอด

 

“หยุดทำอืดอาดและก็บอกข้าได้แล้ว…” ชิวเยวี่ยกล่าวพร้อมขมวดคิ้วหลังจากที่ซูหยางทำเป็นจ้องมองเธอด้วยรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้า


 


แม้ว่าเธอไม่สามารถคาดเดาได้ว่ามีอะไรในใจของเขา ใจเธอก็ยังเต็มไปด้วยลางร้าย มือของเธอกำแน่น


 


“กาลครั้งหนึ่ง หญิงสาวผู้ฝึกฝีมือคนหนึ่งตกหลุมรักกับผู้ฝึกวิชาที่มีอายุมากกว่า…” ซูหยางเริ่มเล่าเรื่องให้กับเธอ ชิวเยวี่ยจึงเริ่มเงียบลง


 


“ผู้ฝึกวิชาหญิงติดตามเขาเฉกเช่นคู่ร่วมเดินทางเพื่อที่จะหว่านเสน่ห์ต่อเขา ติดตามเขาไปจากเมืองสู่เมือง จากทวีปสู่ทวีป แม้จวบจนจากดวงดาวสู่ดวงดาว ผู้ฝึกวิชาหญิงนี้ได้ติดตามชายคนนี้หลายสิบปี อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะใช้เวลาร่วมกันเป็นระยะเวลานานกับเขา เธอก็ไม่สามารถที่จะทำให้เขาตกหลุมรักได้ เจ้าคิดว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร” ซูหยางมองดูชิวเยวี่ยแล้วก็ถามเธอ


 


“ข้าจะรู้ได้อย่างไร บางทีเธอคงจะหน้าตาแย่ หรืออาจจะไม่สวยพอที่จะดึงดูดใจ” ชิวเยวี่ยชื่นชมความตั้งใจของผู้ฝึกวิชาหญิงคนนี้ในใจทั้งที่เธอพูดออกไปแบบหยาบๆ


 


ซูหยางยิ้มและกล่าวว่า “ผู้ฝึกวิชาหญิงแน่นอนว่าเป็นสาวสวย อีกทั้งเป็นสุดยอดสาวสวย”


 


เขากล่าวเพิ่มขึ้นว่า “เป็นเรื่องธรรมดามากเลย ผู้ฝึกวิชาหญิงเชื่อว่าด้วยใบหน้าสะสวยของเธอ สิ่งที่เธอต้องทำก็เพียงแค่อยู่ข้างๆชายคนนี้เพื่อหว่านเสน่ห์ให้กับเขา และเพราะว่าความคิดเธอเป็นเช่นนี้ เธอจึงไม่เคยเปิดเผยความรู้สึกของเธอให้กับเขา”


 


“…” ชิวเยวี่ยจนคำพูด เป็นเช่นนี้เองหรือ


 


อย่างไรก็ตามหลังจากที่คิดถึงเรื่องนี้ชั่วขณะ ชิวเยวี่ยก็นึกขึ้นมาได้ว่าสถานการณ์ของเธอในอดีตก็คล้ายคลึงกับเรื่องราวของผู้ฝึกวิชาหญิงคนนี้


 


เพราะว่าเธอมั่นใจในความสวยงามไร้ที่ติ มันจึงเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำไมชิวเยวี่ยไม่สนใจที่จะร่วมแบ่งปันความรู้สึกของเธอกับซูหยาง และได้ทำเพียงแค่ติดตามเขาไปทั่วอย่างเงียบๆโดยหวังว่าเขาจะตกหลุมรักเธอ


 


ชิวเยวี่ยเริ่มหลั่งเหงื่อภายใต้ร่มผ้า หรือว่าซูหยางพยายามที่จะบอกเธอบางอย่างด้วยเรื่องนี้ ถ้าเธอไม่เปิดเผยความรู้สึกให้แก่เขาที่สถาบันสี่ฤดู เธอก็คงจะมีจุดจบเช่นเดียวกับผู้ฝึกวิชาหญิงในเรื่องนี้เช่นนั้นหรือ ท่องเที่ยวร่วมกับซูหยางต่อไปอีกหลายร้อยปีโดยไม่เปิดเผยความรู้สึกของเธอเพราะว่าความหยิ่งผยองของเธอเอง


 


ชิวเยวี่ยสั่นสะท้านกับความคิดเช่นนั้น


 


อย่างไรก็ตาม ซูหยางกล่าวต่อว่า “นี่ยังมีอีกเรื่อง…”


 


“คู่สามีภรรยาที่โด่งดังเดินทางท่องเที่ยวร่วมกัน พวกเขาท่องเที่ยวรอบโลกเพื่อค้นหาบางสิ่ง วันหนึ่งมีคนถามสามีว่า จริงแล้วเขาคิดอย่างไรกับภรรยาบ้าง เขากลับตอบคำถามนั้นว่า “ภรรยา เจ้าพูดถึงอะไรกัน ข้ามิได้มีภรรยาสักคน”


 


เมื่อชิวเยวี่ยได้ฟังเรื่องนี้ในตอนแรก เธอไม่ได้คิดมากมายอะไรนักเพราะว่าเรื่องแรกทำให้เธอลดความระมัดระวังลงไป


 


“เจ้าคิดอย่างไรกับที่สามีพูดว่าเขามิได้มีภรรยาในเมื่อทั้งโลกรู้จักว่าเขาทั้งคู่เป็นสามีภรรยากัน” ซูหยางถามเธอ


 


“เพราะว่าเขาขี้ลืมจึงจดจำมิได้ว่าเขามีภรรยาอยู่” ชิวเยวี่ยตอบไปอย่างไม่ได้คิดมากนักด้วยน้ำเสียงสงสัย


 


ซูหยางสามารถบอกได้ว่าชิวเยวี่ยยังไม่ได้ตระหนักถึงความมุ่งหมายของเขาจึงหัวเราะเล็กน้อย “นั่นเป็นการคาดเดาที่มีเหตุผล แต่นั่นยังไม่ถูกต้อง อีกครั้ง ลองเดาอย่างอื่น”


 


ชิวเยวี่ยขมวดคิ้วและเริ่มครุ่นคิด แต่เธอไม่ได้คิดถึงเรื่องราวนั้น กลับกันเธอพยายามที่จะขบคิดว่าทำไมซูหยางจึงเห็นว่าเรื่องราวเหล่านี้น่าสนใจ ในเมื่อเธอไม่เห็นว่าเขาเป็นคนที่จะเห็นเรื่องราวเหล่านี้สนุกสนานเพราะว่านี่น่าจะเป็นเรื่องราวสำหรับเด็กมากกว่า


 


“รอสักครู่…” ดวงตาชิวเยวี่ยพลันเบิกกว้าง ราวกับว่าเธอเพิ่งตระหนักรู้ ร่างกายของเธอสั่นสะท้าน


 


ถ้าเรื่องแรกหมายถึงสถานการณ์ของเธอก่อนหน้านี้ เช่นนั้นเรื่องราวที่สองนี้ก็ควรจะหมายถึงเรื่องราวของเธอ…


 


ชิวเยวี่ยกลืนน้ำลายอย่างยากเย็นและกล่าวด้วยเสียงสั่นสะท้าน “พ-เพราะว่าความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยาของพวกเขา…ล้วนถูกสร้างขึ้นโดย…ภ-ภรร-ภรรยา”


 


ถึงตอนนี้รอยยิ้มของซูหยางพลันเปลี่ยนเป็นฉีกยิ้มกว้าง และเขาพูดด้วยเสียงลึกลับว่า “โอ นั่นค่อนข้างเป็นเหตุผลที่น่าสนใจ…ทำไมเจ้าจึงคิดว่าภรรยาจึงต้องทำเช่นนั้น”


 


“…”


 


ดูท่าทางของเขา ชิวเยวี่ยพลันรู้ว่าเขาทดสอบเธอและไม่ได้ตอบกลับไปในทันที เธอนิ่งเงียบไปชั่วขณะพร้อมกับก้มหน้าเล็กน้อย


 


ซูหยางไม่ได้เร่งรัดเธอและรอคอยอย่างอดทน อย่างไรก็ตามความเงียบกลับยิ่งทำให้ชิวเยวี่ยรู้สึกเลวร้ายลง


 


หลังจากเงียบไปชั่วขณะ ชิวเยวี่ยจึงค่อยเปิดปากพูด “พ-เพราะว่าภรรยาเหงาและต้องการ..ต้องการให้ความฝันของเธอเป็นจริง…”


 


แม้ว่าหน้าของชิวเยวี่ยยังก้มอยู่ ซูหยางสามารถบอกได้ว่าเธอมีท่าทางเหมือนจะร้องไห้


 


เขาแอบถอนใจ คิดสงสัยว่าเขาล้อเล่นมากเกินไปหรือไม่


 


“ทำไมเจ้าจึงต้องร้องไห้ มันเป็นเพียงแค่เรื่องเล่า” ซูหยางกล่าวสบายๆทำท่าเหมือนไร้เดียงสา


 


“หือ” ชิวเยวี่ยเงยหน้าจ้องมองเขาด้วยท่าทางงุนงง


 


“ข-เขามิรู้เรื่องหรอกรึ” เธอคิดสงสัยในใจ


 


ชิวเยวี่ยมีความมั่นใจว่าซูหยางได้รู้เห็นความลับของตัวตนของเธอในฐานะซูเยวี่ย ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้เขาบอกเธอเรื่องราวเหล่านั้น แต่ดูเหมือนกับว่าเธอเพียงหวาดระแวงเกินไป


 


อย่างไรก็ตามในขณะที่ซูหยางเตรียมที่จะบอกความจริงให้กับชิวเยวี่ย เซียวลี่ผู้ซึ่งติดตามพวกเขามาอย่างเงียบๆด้านหลังพลันเปิดปากพูดขึ้นว่า “นายท่าน “ซูเยวี่ย” ที่ท่านครุ่นคิดถึงอยู่ตลอดมานี่คือใครกัน”


 


“…”


 


ทั้งชิวเยวี่ยและซูหยางหันไปมองเธอด้วยดวงตาเบิกกว้าง


 


“จ-เจ้าพูดถึงอะไรกัน” ซูหยางถามเธอ


 


แต่ก่อนที่เซียวลี่จะทันได้ตอบคำถามเขา ซูหยางก็จำได้ว่าเซียวลี่ในฐานะสัตว์วิญญาณประจำตัวเขา สามารถได้ยินความคิดของเขาได้ถ้าไม่ระมัดระวัง ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่หลายคนใช้สื่อสารความคิดกับสัตว์วิญญาณประจำตัวพวกเขา


 


และเซียวลี่ซึ่งเป็นผู้อยู่ในเขตตำนาน อีกทั้งเป็นสัตว์อสูรที่มีความเชี่ยวชาญด้านจิตใจ ความสามารถในการอ่านใจของเขายิ่งแกร่งกล้ายิ่งกว่าสัตว์อสูรใดๆ


 


ได้ยินคำถามของเขา เซียวลี่ก็มองดูเขาด้วยท่าทางงงงัน แน่นอนว่าเธอได้ยินชัดเจนจากเขา..หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือจากภายในใจของเขา


 


ซูหยางหันหน้าไปมองชิวเยวี่ยอย่างช้าๆ แน่นอนว่า เธอจ้องมองเขาด้วยแก้มป่องและท่าทางเป็นทุกข์ ใบหน้าของเธอแดงก่ำ อีกทั้งยังมีน้ำตาคลอเบ้า


 


“นี่เป็นว่าท่านรู้มาโดยตลอด” เธอร่ำร้องเสียงดัง

 

 

 


ตอนที่ 186 นามแฝง

 

“น-นานเท่าไรแล้วที่ท่านรู้เรื่องนี้” ชิวเยวี่ยถามเขาด้วยเสียงสั่นสะท้าน ใบหน้าของเธอแดงก่ำด้วยความอับอาย


 


เธอนึกไม่ออกว่าเหตุใดซูหยางจึงสามารถรู้ความลับของเธอได้ ตามปกติแล้วพวกเขาแทบอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ดังนั้นเขาสามารถพบเห็นโดยที่เธอไม่รู้ได้อย่างไร


 


ทันใดเธอก็นึกถึงซูเมิ่งอี้และตอนที่เธอปล่อยให้ซูหยางอยู่กับอีกฝ่ายตามลำพังสองสามวันได้ ชี้ให้เห็นถึงว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ร้ายได้ในทันที


 


“ต้องเป็นเธอแน่นอน” เธอเริ่มสาปแช่งซูเมิ่งอี้ในใจ


 


“เพียงสองสามวันก่อน” ซูหยางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม


 


แม้ว่าเขาไม่ได้วางแผนที่จะเปิดเผยตัวตนเธอเช่นนี้ แต่เขาก็ยังประสบผลตามที่มุ่งหวัง


 


“ซูเยวี่ย เหอ เป็นเสียงที่เพราะคล้องจองกันดี เจ้าคงคิดเช่นเดียวกันใช่ไหม” ซูหยางหัวเราะเสียงดัง จนทำให้ชิวเยวี่ยปิดหน้าด้วยมือทั้งสองข้างเพื่อซ่อนความอาย


 


“หยุดพูด ข้ายังเด็กและงี่เง่านักตอนนั้น ล-ล-และท่านก็ถือว่าได้ตายไปแล้ว มันเป็นสิ่งที่คล้ายกับสิ่งแทนตัว เข้าใจไหม” ชิวเยวี่ยเริ่มส่งเสียงแก้ตัวไม่หยุดด้วยความกระวนกระวาย


 


เซียวลี่มองดูพวกเขาสนทนากันด้วยท่าทางสับสน แม้ว่าเธอได้เรียนรู้วิธีการพูดและอ่าน แต่ความเข้าใจในการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คนยังขาดอยู่บ้าง


 


“มีอะไรที่จะต้องอาย มันเป็นเพียงแค่นามแฝง” ซูหยางส่ายหน้า รู้สึกว่าชิวเยวี่ยกังวลเรื่องนี้เกินไป


 


เขากล่าวต่อว่า “ข้าเองก็มีนามแฝงอยู่บ้างเมื่ออยู่ในสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่เช่นเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นคนที่โดดเดี่ยวเช่นเจ้าต้องเคยได้ยินชื่อเหล่านั้นไม่ต่ำกว่าหนึ่งชื่อแน่”


 


เมื่อได้ยินคำพูดของเขา ชิวเยวี่ยก็ไม่ได้ปิดหน้าของเธอต่อไปและหันไปมองดูเขาด้วยความสนใจที่เพิ่มมากขึ้น เธอสงสัยว่าเป็นนามแฝงประเภทใดที่เป็นไปได้สำหรับคนแบบซูหยาง


 


“บอกข้ามา” เธอพลันกล่าว


 


“หือ”


 


“บอกนามแฝงหนึ่งในนั้นของท่านมา และข้าจะถือว่านี่เป็นการแลกเปลี่ยนที่ยุติธรรม” เธอกล่าว


 


ซูหยางส่ายหน้าอีกครั้งและกล่าวว่า “ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เราจะแลกเปลี่ยนนามแฝง มันเป็นความผิดของเจ้าเองที่ไม่ทำการปกปิดนามแฝงของเจ้าเองให้ดี”


 


ชิวเยวี่ยค่อนข้างไม่พอใจที่เธอไม่สามารถรู้แม้กระทั่งนามแฝงสักชื่อของเขา แต่เธอก็ไม่อาจปฏิเสธอคำพูดของเขาได้ ว่าไปแล้วมันเป็นความผิดของเธอเองทั้งหมดที่เธอสร้างนามแฝงเช่นนั้นตั้งแต่แรกโดยไม่สนใจใครหน้าไหน


 


หากจะมีสิ่งอื่นใด ก็คงเป็นที่เธอควรจะดีใจที่ซูหยางไม่ได้ใช้นามแฝงของเธอ ซูเยวี่ย มาเป็นเรื่องหยอกล้อเธอจนเธออยากจะตายเพราะความอาย และเพียงแต่ทำให้เธอน้ำตาเล็ดออกมาสองสามหยด


 


“แล้วนี่อะไรกัน เมื่อไรกันที่แมวโง่นี่จึงเรียนรู้ที่จะพูดได้ชัดเจนเช่นนี้” ชิวเยวี่ยมองดูเซียวลี่พร้อมขมวดคิ้ว ทัศนคติของเธอต่ออีกฝ่ายดูเหมือนเลวร้ายลงไปกว่าเดิม


 


เซียวลี่ก็ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำเรียกว่าโง่ แม้ว่าเธอไม่ได้เข้าใจอีกฝ่ายอย่างแท้จริงมาก่อน หลังจากที่ได้เรียนภาษามนุษย์แล้ว ในที่สุดเซียวลี่ก็เข้าใจว่าชิวเยวี่ยได้ด่าเธอมาโดยตลอด


 


“เจ้าเรียกใครว่าแมวโง่ เจ้าเด็กน่าเกลียด” เซียวลี่โต้กลับไปยังชิวเยวี่ยอย่างไม่คาดคิด ซึ่งเธอถึงกับตกตะลึงกับการถูกด่ากลับ


 


“น-น่าเกลียด” ชิวเยวี่ยเกือบจะไม่เชื่อหูตัวเอง นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเคยได้ยินใครสักคนกล้าที่จะเรียกเธอว่าน่าเกลียด


 


“จ-เจ้าเป็นเพียงแค่แมว หุบปากและทำตัวเหมือนแมวซะ”


 


“ฮึ่ม” เซียวลี่แค่นเสียง โบกมือ ทำให้เรือบินสั่นสะท้านอย่างรุนแรงราวกับว่าพวกเขาพลันตกอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรที่มีคลื่นลมแรง


 


“จ-เจ้าทำอะไร หรือว่าเจ้าจะพยายามทำลายยานบินของข้า” ชิวเยวี่ยร้องลั่น เสียงเธอเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก


 


เพราะว่าพลังการฝึกปรือของเซียวลี่เหนือกว่าตัวเธอ การควบคุมยานบินของชิวเยวี่ยจึงไม่เสถียร


 


ซูหยางถอนใจกับเด็กหญิงสองคนนี้ พวกเธอทำให้เขาคิดไปถึงไฟกับน้ำ สิ่งที่อยู่ตรงกันข้ามที่ไม่มีวันที่จะอยู่ร่วมกันได้นอกจากว่าจะมีปาฏิหาริย์บางอย่างเกิดขึ้น


 


“เซียวลี่ หยุดเขย่าเรือ มันทำให้ข้ารู้สึกไม่สบายเช่นกัน” เขากล่าวกับเธอ


 


แม้ว่าจะลังเลอยู่บ้าง เซียวลี่ก็หยุดยุ่งเกี่ยวกับชิวเยวี่ยและหันมาสนใจเรื่องของตนเองแทน


 


ชิวเยวี่ยจ้องมองเซียวลี่ด้วยท่าทางไม่พอใจ ไม่ว่าเธอต้องการที่จะเลิกสนใจเซียวลี่เท่าไรก็ตาม แต่ก็มีบางสิ่งเกี่ยวกับเซียวลี่ที่ทำให้เธอไม่พึงพอใจ บางทีนั่นอาจจะเป็นเพราะพลังการฝึกปรือของเซียวลี่ที่เหนือกว่าจึงทำให้เธอไม่สบายใจ หรืออาจจะเป็นเพราะเพียงว่าเธอไม่คุ้นเคยกับสัตว์อสูรที่ผิดธรรมดาดังเช่นเซียวลี่ บ้าไปแล้วแน่ๆ เธออาจจะเพียงอิจฉาความสัมพันธ์ของอีกฝ่ายกับซูหยางในฐานะสัตว์อสูรวิญญาณของซูหยางซึ่งในเมื่อสัตว์อสูรวิญญาณจะอยู่กับเจ้านายของตนเองตราบที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสิ้นชีพไป แต่ไม่ว่าจะทางใด เธอก็อดไม่ได้ที่จะไม่ชอบอีกฝ่าย


 


“เจ้าคงมิถึงกับไม่รู้เรื่องราวอะไรเลยใช่ไหม ชิวเยวี่ย” ซูหยางหันมาสนใจเธอ


 


“ฮึ่ม เป็นความผิดของเจ้าแมวนั่นที่เรียกข้าน่าเกลียด” เธอแค่นเสียงเย็นชา


 


“แล้วเจ้าเป็นอะไร เด็กน้อยงั้นรึ” ซูหยางแอบส่ายหน้า ดูเหมือนว่าไม่ว่าเธอจะเป็นผู้ใหญ่เพียงใด ก็ยังมีส่วนหนึ่งของเธอที่ยังคงเป็นเด็กเสมอ


 


หลังจากที่เธอทะเลาะกับเซียวลี่ไปเล็กน้อย ชิวเยวี่ยก็ไม่รู้สึกอายจากการที่นามแฝงของเธอถูกเปิดเผยจากซูหยางอีกต่อไป สุดท้ายแล้ว มันก็เป็นเพียงนามแฝงและไม่มีอะไรไปมากกว่านั้น


 


อย่างไรก็ตาม ซูหยางพลันกล่าวกับชิวเยวี่ยว่า “เกี่ยวกับนามแฝงของเจ้า…ถ้าเจ้าต้องการเช่นนั้นจริง เจ้าสามารถเก็บไว้ใช้ต่อไปได้ในอนาคต”


 


คำพูดของเขาทำให้เธอประหลาดใจ ชิวเยวี่ยจ้องมองเขาด้วยดวงตาเบิกกว้างที่เต็มไปด้วยความตระหนกและงงงัน


 


“ท-ท่านว่ากระไรไป พ-พูดให้ข้าฟังอีกครั้ง…ได้โปรด…” เธอขอร้องเขา เพียงแค่ในกรณีที่อาจจะเป็นแค่จินตนาการของเธอเอง


 


อย่างไรก็ตาม ซูหยางกลับไม่ฟังคำขอร้องของเธอและทำตัวนิ่งเฉยด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า


 


“ข-เขายังคงล้อข้าเล่น” เธอร่ำร้องในใจ


 


และสำหรับเวลาที่เหลืออยู่ก่อนที่จะกลับไปถึงนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ชิวเยวี่ยก็ได้แต่พยายามที่จะให้ซูหยางพูดถ้อยคำเหล่านั้นอีกครั้ง น่าเสียดายซูหยางหลับตาลงและทำเหมือนกับว่าเขาไม่ได้ยินคำพูดเธอจนกระทั่งพวกเขาไปถึงจุดหมายปลายทางในที่สุด

 

 

 


ตอนที่ 187 การแข่งขันระดับภูมิภาค

 

ในที่สุดกลุ่มซูหยางก็เดินทางมาถึงนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยหลังจากที่ใช้เวลาเกินหนึ่งชั่วโมงมาเล็กน้อยเหนือทะเลหยก


 


อย่างไรก็ตามก่อนที่ซูหยางจะทันได้เข้าไปในที่พักของตัวเองซึ่งตั้งอยู่ที่เขตศิษย์นอกแม้ว่าเขาจะเป็นศิษย์ในแล้วก็ตาม เขาก็เห็นร่างหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูบ้าน ดูเหมือนกับว่าเธอได้ยืนอยู่ที่นั่นมาหลายวันแล้ว


 


“เจ้าแม่นิกาย” ซูหยางเรียกเธอ


 


โหลวหลานจี เจ้าสำนักของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย พลันหันกายมามองยังซูหยางที่ตรงเข้ามาหา


 


ใบหน้าเธอมีท่าทางโกรธเมื่อเห็นซูหยาง แต่ก็มีแววโล่งใจแฝงอยู่ภายในสายตาเธอ ราวกับว่าดีใจที่เห็นเขายังมีชีวิตอยู่


 


“ซูหยาง เจ้าไปไหนมาสองอาทิตย์ที่ผ่านมานี้” เธอพลันตั้งคำถามเขา


 


อย่างไรก็ตามซูหยางทำท่าเหมือนว่าไม่รู้เรื่องราวอะไรและกล่าวเพียงว่า “ที่ไหนรึ ข้าคิดว่าข้าได้ลงชื่อไว้กับผู้อาวุโสนิกายก่อนที่จะไปแล้ว ทั้งมีบันทึกว่าข้าจักออกไปทำภารกิจ”


 


โหลวหลานจีขมวดคิ้วและกล่าวเสียงดัง “ภารกิจบ้านะสิ อย่าคิดว่าเจ้าสามารถปิดเรื่องการออกไปผจญภัยเล็กน้อยที่ภาคเหนือจากข้าได้เพียงแค่พูดเป็นอย่างอื่น”


 


ซูหยางเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ ทำไมเธอจึงรู้เรื่องนี้ได้


 


เขาไม่รู้ว่าตระกูลซูได้ติดต่อเธอและตำหนิเรื่องปล่อยให้เขากลับไปยังภาคเหนือทั้งที่มีข้อตกลงกันอยู่


 


“เช่นนี้เป็นว่าเจ้ารู้แล้วสินะ เฮ้อ” ซูหยางยังคงเยือกเย็นและกล่าวว่า “แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ภาคเหนือ แต่เจ้ากลับทำเหมือนกับว่าห้ามไปที่นั่น ทำไมเป็นเช่นนั้น”


 


“…”


 


โหลวหลานจีไม่คาดคิดว่าเขาจะตั้งคำถามเธอจนทำให้เธอพูดไม่ออกไปชั่วขณะ เพราะว่าเธอมีข้อตกลงกับตระกูลซู ภายใต้สถานการณ์นั้น ทำให้เธอไม่สามารถบอกความจริงกับเขาได้ ดังนั้นเมื่อเขาตั้งคำถามกับเธอจึงทำให้เธอเงียบงันไปได้อย่างง่ายดาย


 


ยิ่งไปกว่านั้น เพราะว่าตระกูลซูตั้งใจเก็บซ่อนข้อมูลบางอย่างไว้ยามเมื่อตำหนิเธอ โหลวหลานจีจึงยังไม่รู้ว่าซูหยางได้กลับไปยังตระกูลซูเรียบร้อยแล้ว เธอรู้เพียงแค่ว่าเขากลับไปยังภาคเหนือด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง


 


“ศ-ศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยต้องขออนุญาตจากเจ้าสำนักก่อนที่พวกเขาจะได้รับอนุญาตให้เดินทางเกินกว่าระยะทางที่กำหนด และเจ้าไม่เพียงไปเกินระยะทางนั้น แต่เจ้ายังไปไกลถึงภูมิภาคอื่น แม้ว่าเจ้าจะเป็นศิษย์ใน เจ้าจักต้องถูกทำโทษที่ฝ่าฝืนกฏของนิกาย” สุดท้ายโหลวหลานจีก็พบข้อแก้ตัวสำหรับกล่าวอ้างกับเขา


 


“เป็นเช่นนั้นหรอกรึ…ข้าเข้าใจแล้ว” ซูหยางยอมรับชะตากรรมของตนเองอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าจักยอมรับการลงโทษทุกอย่างที่เจ้าต้องการลงโทษข้า แต่ก่อนถึงตอนนั้น ข้าจักไปพักผ่อน”


 


“เดี๋ยว ข้ายังมิได้จบธุระกับเจ้า” โหลวหลานจีหยุดเขาไว้ก่อนที่เขาจะได้เข้าไปในที่พัก


 


“คราวนี้เป็นอะไรอีก” ซูหยางถอนใจ


 


บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าส่วนลึกในใจเธอคาดหวังต่อกลเม็ดระดับเทพของซูหยางไว้เป็นอย่างสูง หรือบางทีอาจจะเป็นแค่เรื่องปกติที่เธอคุ้นเคย ดังนั้นถึงแม้ว่าซูหยางจะมีท่าทางไมแยแสต่อเธอซึ่งเป็นเจ้าสำนัก โหลวหลานจีจึงไม่ได้แสดงท่าทีอันใด ยิ่งอย่าคิดว่าจะโกรธ


 


“การแข่งขันระดับภูมิภาค เหลือเพียงแค่ครึ่งปีก่อนที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของเราจะเข้าร่วมกับกิจกรรมนี้ และข้ามาที่นี่เพื่อบอกเจ้าว่าเจ้าจักต้องเข้าร่วมกับกิจกรรมนี้พร้อมกับคนอื่นอีกสองสามคน” โหลวหลานจีพูดถึงการแข่งขันระดับภูมิภาคที่อยู่ไกลถึงสุดขอบฟ้า


 


“…ทำไมเจ้าต้องเลือกคนอย่างข้า และทำไมข้าต้องไปทำอะไรที่น่ารำคาญเช่นนั้นด้วย” ซูหยางกล่าวกับเธอแม้ว่าจะมีความสนใจในเหตุการณ์นี้อยู่แล้วนับตั้งแต่ผู้อาวุโสวูบอกเขาเรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเด็กสาวที่มีร่างร้อยพิษมิกรายจะเข้าร่วมด้วย


 


“เจ้าจักเข้าร่วมเพราะว่ามันเป็นความรับผิดชอบของเจ้าซึ่งในฐานะศิษย์ของนิกายแห่งนี้ที่จะต้องเป็นตัวแทนของนิกายเมื่อยามต้องการและเพราะว่าข้าเจ้าสำนักสั่งให้เจ้าเข้าร่วม นี่เป็นเหตุผลที่เพียงพอหรือไม่” โหลวหลานจีกล่าวด้วยใบหน้าจริงจัง บอกเขาว่าเธอถือเรื่องนี้สำคัญมาก


 


“ส่วนที่ว่าทำไมข้าจึงตัดสินใจเลือกคนอย่างเจ้า นั่นง่ายดายก็เพราะว่าข้าคิดว่าเจ้ามีสิ่งที่ควรจะได้เป็นศิษย์หลัก และหนึ่งในความต้องการนั้นก่อนที่จะเป็นศิษย์หลักก็คือการเข้าร่วมการแข่งขันระดับภูมิภาค”


 


“ข้าจักบอกเจ้าตามจริง ถึงแม้ว่าเจ้าจะพ่ายแพ้ยับเยินระหว่างการแข่งขัน ข้าก็ยังต้องการให้เจ้าเป็นศิษย์หลักหลังจากนั้น เพราะเพียงกลเม็ดของเจ้าอย่างเดียวก็มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะให้เจ้าเป็นหนึ่งในนั้น”


 


ท้ายที่สุดแล้วนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยก็ยังเป็นสถานที่ที่ไม่เหมือนกับสำนักอื่น ให้คุณค่าต่อกลเม็ดทางด้านการกระตุ้นความรู้สึกมากกว่าพลังการฝึกปรือ


 


ซูหยางแอบยิ้มหลังจากที่ได้ยินเหตุผลของเธอที่เลือกเขาไปเข้าร่วมการแข่งขันระดับภูมิภาค ศิษย์หลักนั่นรึ ถ้าเขาต้องการจริงๆ เขาสามารถกลายเป็นเจ้านิกายของที่นี่ด้วยพลังการฝึกปรือเขตปฐพีวิญญาณระดับสูงสุดได้อย่างง่ายดาย อย่าว่าแต่เพียงแค่ศิษย์หลัก


 


อย่างไรก็ตาม เพราะว่าพลังการฝึกปรือของเขาตอนนี้เหนือกว่ากระทั่งโหลวหลานจีไปไกล เธอจึงไม่อาจรับรู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขาได้ในตอนนี้


 


“ครึ่งปี หึ” ซูหยางยิ้าและกล่าวว่า “เจ้าสามารถคาดที่จะเห็นข้าที่นั่นได้ แต่ถ้าคาดให้ข้าแพ้ นั่นเจ้าจะพบกับประสบการณ์อันน่าตื่นตระหนก…”


 


โหลวหลานจีไม่ได้รบกวนเขาอีกต่อไปหลังจากที่ได้ยินว่าเขาจะเข้าร่วมการแข่งขันระดับภูมิภาค อย่างไรก็ตามนั่นก็ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เธอต้องการพูดถึงก่อนที่จะปล่อยเขาไป


 


“หญิงสาวสองคนที่มากับเจ้านี้เป็นใคร” เธอชี้ไปยังชิวเยวี่ยและเซียวลี่ที่ปลอมแปลงโฉมซึ่งติดตามมาเบื้องหลังเขาราวกับว่าเป็นคนรับใช้ของเขาด้วยท่าทางประหลาดบนใบหน้าของเธอ


 


“พวกเธอเป็นคนรับใช้ของข้า” ซูหยางแต่งเรื่องขึ้นมาอย่างง่ายๆ “ทำไมรึ อย่าบอกว่าข้ามิได้รับอนุญาตให้มีคนรับใช้ด้วย”


 


“ป-เปล่า..เจ้าได้รับอนุญาตให้มีคนรับใช้ได้ถึงสามคนในฐานะศิษย์ใน เพียงแค่ให้มั่นใจว่าเจ้าได้ลงทะเบียนชื่อของพวกเธอไว้ที่ฝ่ายบริหาร เพื่อที่นิกายจะได้รู้ว่าพวกเธอมีตัวตนและจะได้หลีกเลี่ยงความเข้าใจผิดที่ไม่จำเป็น” โหลวหลานจีกล่าวกับเขาก่อนที่จะปล่อยเขาไปในที่สุด


 


“พวกเธอเป็น “คนรับใช้” ของเขางั้นรึ ช่างน่าอิจฉา…” โหลวหลานจีคิดในใจขณะที่เธอมองดูชิวเยวี่ยและเซียวลี่เดินตามซูหยางเข้าไปในบ้าน เข้าใจผิดกับเรื่องราวของพวกเธออย่างสมบูรณ์


 


แต่ความเข้าใจผิดเช่นนั้นไม่ได้เป็นเรื่องผิดปกติในสถานที่แบบนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ในเมื่อมีศิษย์จำนวนมากในที่นี้ที่ใช้คนรับใช้เป็นคู่ฝึกสำหรับการฝึกวิชาคู่


 

 

 


ตอนที่ 188 ไปพบเพื่อนเก่า

 

ครั้นเมื่อเขากลับไปถึงห้องแล้ว ซูหยางก็พูดกับสองสาวว่า “ข้าจักออกไปชั่วขณะเพื่อจัดการกับธุระบางอย่าง พวกเจ้าสามารถรอที่นี่ได้ในช่วงเวลานั้น”


 


“ท่านจะออกไปอีกแล้วรึ แล้วที่บอกว่าจะพักผ่อน” ชิวเยวี่ยถาม


 


“ข้าได้พักผ่อนเพียงพอแล้วระหว่างที่อยู่ที่สถาบันสี่ฤดู” เขากล่าว


 


“ท่านจะไปไหน”


 


“ไปพบเพื่อนเก่า” เขาตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม


 


“เพื่อนรึ..” ชิวเยวี่ยเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ซูหยางเป็นคนที่มีเพื่อนฝูง ต่อจากนั้นเธอก็นึกขึ้นได้ว่าคนที่ซูหยางถือว่าเป็น “เพื่อน” ของเขาล้วนเป็นหญิง


 


“อย่างนั้นรึ เช่นนั้นข้าขออวยพรให้ท่านสนุกกับเพื่อนของท่าน” เธอกล่าวด้วยเสียงประชดประชัน


 


ซูหยางยิ้มขมขื่นและกล่าวว่า “เจ้าเข้าใจผิดอะไรบางอย่างผิดไปเป็นแน่…”


 


อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นชิวเยวี่ยหลับตาไม่สนใจเขาอีกต่อไป ซูหยางก็ไม่พยายามโน้มน้าวเธออีกต่อไป เขาหันไปมองดูเซียวลี่แทน


 


“เซียวลี่ เจ้าสามารถไปทำอะไรก็ได้ที่เจ้าต้องการจนกว่าข้ากลับ” เขากล่าวกับเธอ


 


เซียวลี่พยักหน้าและหายตัวไปจากห้องในทันที


 


“โอ ใช่แล้ว ชิวเยวี่ย ให้ข้ายืมยานบินของเจ้าหน่อยซิ เพียงแค่เรือไม้ก็พอแล้ว” เขากล่าวกับเธอ


 


ชิวเยวี่ยไม่ได้แม้กระทั่งจะลืมตาขึ้น เพียงโยนแหวนมิติของเธอไปให้ซูหยาง บอกเขาให้หาเอง


 


ซูหยางไม่สนใจพฤติกรรมของเธอและนำเอาเรือไม้ออกมาก่อนที่จะคืนแหวนมิติให้กับเธอ


 


“ข้าจักไปไม่นานนัก” เขากล่าวก่อนที่จะจากไป


 


สิ่งแรกที่เขาทำหลังจากที่ออกไปก็คือไปลงทะเบียนชิวเยวี่ยและเซียวลี่ในฐานะ “คนรับใช้” ของเขาที่สำนักบริหาร วิธีนี้พวกเธอก็จะไม่ถือว่าเป็นคนน่าสงสัยสำหรับนิกายเมื่อเขาไม่อยู่


 


หลังจากลงทะเบียนชื่อพวกเธอแล้ว ซูหยางก็ออกไปรับภารกิจใหม่


 


อย่างไรก็ตามในเมื่อเขาได้รับภารกิจก่อนหน้านี้เป็นข้ออ้างที่จะออกจากนิกาย ซูหยางต้องเพิกภารกิจนั้นและถือว่าเป็นภารกิจที่ล้มเหลว


 


และเพราะว่าภารกิจนั้นถือว่าแสนง่าย ผู้อาวุโสนิกายจึงมองซูหยางด้วยใบหน้าท่าทางที่แปลกประหลาด หลังจากที่รู้ว่าเขาล้มเหลวภารกิจที่แสนง่ายดายนั้น


 


“จเจ้าล้มเหลวภารกิจนี้ แม้ว่ามันจะใช้เวลาอยู่บ้างเพื่อให้สำเร็จ แต่ภารกิจนี้ไม่ได้ยากเลย…อีกทั้งเจ้าก็เป็นถึงศิษย์ใน…”


 


ซูหยางเพียงยักไหล่และกล่าวว่า “ทุกสิ่งเกิดขึ้นได้”


 


ผู้อาวุโสนิกายแอบส่ายหน้าและยอมรับภารกิจอื่นของเขา


 


ครั้นเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ซูหยางก็ออกไปจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและใช้ยานบินที่เขาได้จากชิวเยวี่ยทะยานไปบนท้องฟ้า


 



 



 


ภายในห้องของเธอ โหลวหลานจีครุ่นคิดหาวิธีที่จะ “ลงโทษ” ซูหยางที่ฝ่าฝืนกฏนิกาย ถ้าจะพูดไป เหตุผลที่แท้จริงที่เธอต้องการลงโทษซูหยางก็คือต้องการเอาคืนเขาเพราะว่าเธอถูกตะโกนด่าโดยตระกูลซูสำหรับความเลินเล่อของเธอ


 


“ตระกูลซูเลวนั่น ข้าจะทำหน้าที่ในฐานะเจ้าสำนักได้อย่างไรตั้งแต่แรก ถ้าข้าต้องเฝ้าคอยระวังเจ้าเด็กบ้านั่นทุกวินาที นั่นไร้เหตุผลที่สุด เพียงแค่เจ้าสนับสนุนทรัพยากรเพียงเล็กน้อยมิได้หมายความว่าเจ้าสามารถสั่งให้ข้าทำอะไรก็ได้”


 


ถ้าตระกูลซูไม่ได้เป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่ทั้งสี่ที่มีพลังอำนาจมากมายเหนือกว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของเธอ เธอคงไม่สิ้นท่าเช่นนี้


 


“จะว่าไปแล้ว ทำไมซูหยางจึงสามารถไปถึงภาคเหนือได้ตั้งแต่ต้น” เธอครุ่นคิด


 


“และแม้ว่าข้ากล่าวว่าจะลงโทษเขา อะไรจึงจะถือเป็นการลงโทษที่เหมาะสมสำหรับคนแบบเขา”


 


เพราะว่าการลงโทษศิษย์ในแตกต่างจากการลงโทษศิษย์นอกเมื่อพวกเขาฝ่าฝืนกฏนิกาย และในเมื่อซูหยางเป็นศิษย์ใน เธอต้องใช้เวลาครุ่นคิดอย่างจริงจังชั่วขณะ


 


ปกติแล้วเมื่อศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยฝ่าฝืนกฏนิกาย พวกเขาจะถูกห้ามฝึกวิชาคู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง และการลงโทษเช่นนั้นอาจจะเป็นวันจนถึงเป็นเดือน อย่างไรก็ตามในเมื่อซูหยางเป็นตัวตนที่พิเศษในใจของโหลวหลานจี เธอไม่อาจทำอะไรเขาได้เช่นเดียวกับศิษย์คนอื่น


 


หลังจากใช้เวลาหลายนาทีครุ่นคิด สุดท้ายโหลวหลานจีก็ได้ความคิดว่าอะไรที่ควรเป็นการลงโทษซูหยาง


 


“ใช่แล้ว ข้าสามารถบอกให้เขาทำเช่นนั้น”


 


โหลวหลานจีกลับไปยังที่พักซูหยางอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะให้บทลงโทษเขา


 


ครั้นเมื่อเธอไปถึงที่พักของเขา โหลวหลานจีคาดหวังว่าซูหยางจะออกมาเมื่อเธอเรียกอยู่ข้างนอก แต่น่าเสียดายกลับเป็นชิวเยวี่ยที่ปรากฏตัวต่อหน้าเธอ


 


“ข-เขาไปข้างนอก” โหลวหลานจีมองดูอีกฝ่ายด้วยท่าทางงุนงงเมื่อรู้ว่าซูหยางออกไปแล้ว


 


“ไหนว่าจะพัก นี่ยังไม่ถึงชั่วโมงตั้งแต่ข้าปล่อยเขาไว้คนเดียว” เธอคิดในใจ


 


“เจ้ารู้ไหมว่าเขาไปไหน” เธอถามชิวเยวี่ย


 


ชิวเยวี่ยส่ายหน้า


 


“อ-อย่างนั้นรึ…”


 


ในเมื่อซูหยางไม่ได้อยู่ที่นี่ การลงโทษเขาก็จะต้องรอจนกระทั่งเขากลับมา


 


อย่างไรก็ตาม โหลวหลานจีไม่ได้จากไปในทันทีและเริ่มพูดกับชิวเยวี่ยแทน “เจ้าเป็นคนรับใช้ของเขาใช่ไหม เขาดูแลพวกเจ้าเป็นอย่างไร เจ้ามาจากภาคเหนือใช่หรือไม่” เธอถามอีกฝ่ายด้วยท่าทีใต่สวน ดูเหมือนว่าเธอสนใจในความสัมพันธ์ระหว่างพวกเธอกับเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเธอปรากฏขึ้นโดยไม่มีวี่แวว


 


“…”


 


ชิวเยวี่ยมองดูโหลวหลานจีด้วยท่าทางรำคาญ เธอไม่มีความตั้งใจที่จะมาพูดเล่นกับอีกฝ่ายและตัดสินใจที่จะหยุดการสนทนานี้


 


ชิวเยวี่ยพลันโบกชายเสื้อผ่านหน้าโหลวหลานจี และไม่กี่วินาทีต่อไป โหลวหลานจีก็ล้มลงไปนอนบนพื้นด้วยท่าทางเป็นสุข ดูเหมือนหลับลึก


 


และด้วยการโบกชายเสื้ออีกครั้ง ชิวเยวี่ยก็ย้ายโหลวหลานจีที่หลับอยู่ออกไปจากบ้านจนกระทั่งอีกฝ่ายอยู่ในสถานที่ที่ห่างไกลออกไปก่อนที่เธอจะกลับไปยังห้องของตนเอง


 


ในวันนั้นบรรดาศิษย์หลายคนของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและผู้อาวุโสนิกายต่าพากันตกตะลึงและงุนงงที่พบโหลวหลานจี เจ้าสำนักของพวกเขา นอนอยู่ท่ามกลางเขตศิษย์นอกราวกับคนเมาหลังจากกินเลี้ยงมาทั้งคืน

 

 

 


ตอนที่ 189 เมืองดอกบัว

 

“เจ้านิกาย ตื่น เจ้านิกาย”


 


ผู้อาวุโสนิกายหลายคนพยายามที่จะปลุกโหลวหลานจีจากการหลับไหล แต่ไม่ว่าพวกเขาจะเขย่าตัวเธอเท่าไร เธอยังคงสลบไสล


 


นี่ทำให้ผู้อาวุโสนิกายเกิดความกลัว เกิดอะไรขึ้นกับเธอ เธอจะตื่นขึ้นอีกหรือไม่


 


และในเมื่อพวกเขาไม่ต้องการให้เธอหลับอยู่ในที่แจ้งอีกต่อไป พวกเขานำเธอกลับไปยังห้องของเธอเองและเริ่มตามหาหมอโดยหวังว่าจะหาสาเหตุได้


 


ในเวลานั้นหลังจากเดินทางไปไม่กี่นาที ซูหยางก็กลับไปถึงเมืองที่เขาได้แหวนมิติเป็นครั้งแรก


 


แท้จริงแล้ว เพื่อนเก่าที่เขาต้องการพบคือหวังซูเหริน นักปรุงยาฝึกหัดของนิกายดอกบัวเพลิง


 


อย่างไรก็ตามครั้นเมื่อเขาไปถึงโรงประมูลดอกบัวเพลิง เขาก็พบว่าทั้งสถานที่นั้นปิด


 


“หนุ่มน้อย โรงประมูลดอกบัวเพลิงเปิดเพียงปีละครั้ง และปีนี้การประมูลได้จบไปแล้ว”


 


คนผ่านทางที่ใจดีเตือนเขาเมื่อเห็นเขายืนอยู่หน้าโรงประมูลด้วยท่าทางงงงัน


 


“ท่านทราบหรือไม่ว่าข้าจะหาคนที่ดูแลสถานที่นี้ได้จากที่ไหน” ซูหยางถามคนผ่านทางนั้น


 


“ถ้าเจ้าพูดถึงศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิง เช่นนั้นเจ้าสามารถหาพวกเขาได้ที่เมืองดอกบัวใกล้กับชายแดนด้านใต้” คนผ่านทางกล่าวพร้อมกับชี้ไปทางใต้


 


ซูหยางพยักหน้า “ขอบคุณสำหรับข่าวสาร”


 


เขาพลันนำเอาหินวิญญาณห้าก้อนจากแหวนมิติส่งมันให้กับคนผ่านทางก่อนที่จะออกจากเมือง


 


“สวรรค์” เมื่อคนผ่านทางเห็นสิ่งที่ซูหยางส่งให้กับเขา เขาเกือบตกใจตาย


 


ว่าไปแล้ว หินวิญญาณหนึ่งก้อนสามารถขายได้เหรียญทองหลายเหรียญ ซึ่งเกินพอที่จะเลี้ยงดูครอบครัวปกติได้หลายปี อย่าว่าแต่หินวิญญาณห้าก้อน


 


ด้วยความกลัวว่าจะมีใครแอบเห็นหินวิญญาณและปล้นเขา คนผ่านทางรีบซ่อนหินวิญญาณในกระเป๋าและเริ่มวิ่งกลับบ้านเพื่อที่จะแจ้งข่าวให้กับครอบครัว


 


สองสามนาทีหลังจากที่เขาออกจากโรงประมูลดอกบัวเพลิง ซูหยางก็ตรงไปไปยังเมืองดอกบัว


 


“เจ้ารู้ไหมว่าข้าสามารถหานิกายดอกบัวเพลิงได้จากที่ไหน” ซูหยางถามทหารยามคนหนึ่งที่ยืนยามอยู่ด้านนอกเมืองดอกบัว


 


“นิกายดอกบัวเพลิง เจ้าเป็นใครกัน ทำไมเจ้าต้องหาพวกเขา” ทหารยามพลันสอบถามเขา


 


“ข้าเป็นศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย และข้ามาที่นี่เพื่อพบเพื่อนเก่า” ซูหยางกล่าวพร้อมรอยยิ้มเป็นมิตร


 


“นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย” ทหารยามตอนนี้นึกขึ้นได้ว่าเหตุใดเสื้อผ้าของซูหยางดูคุ้นเคย “เจ้ามีบัตรประจำตัวหรือไม่”


 


ทหารยามยืนยันตัวตนของเขาแล้วกล่าวว่า “เมืองดอกบัวก็คือนิกายดอกบัวเพลิง และนอกจากว่าเจ้ามาพร้อมกับศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิง มิฉะนั้นเจ้าต้องจ่ายสิบเหรียญทองแดงก่อนที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าได้ ถึงแม้ว่าเจ้าจะมาเยี่ยมศิษย์คนใดก็ตาม”


 


“ทั้งเมืองเป็นนิกายดอกบัวเพลิง” ซูหยางค่อนข้างแปลกใจเล็กน้อย นิกายเช่นนี้ค่อนข้างหายากแม้กระทั่งในสวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่


 


“เออ พูดให้ถูกต้องก็คือเมือถูกสร้างล้อมรอบนิกายดอกบัวเพลิง มันมีระบบงานเหมือนกับเมืองอื่นแต่เน้นในเรื่องของธุรกิจมากกว่าสิ่งอื่นใด และมันถูกควบคุมโดยนิกายดอกบัวเพลิง”


 


“เช่นนั้นนั่นเอง…”


 


เพราะว่าซูหยางไม่ได้มีเหรียญย่อยในตัว เขาจึงยื่นส่งหินวิญญาณให้ทหารยามทั้งก้อน


 


“อือ…” ทหารยามมองดูเขาด้วยตาเบิกกว้างและท่าทางงุนงง “ค-ค่าเข้าเมืองสิบเหรียญทองแดง…”


 


“ข้ามิมีเหรียญย่อย”


 


“ป-โปรดรอสักครู่ในระหว่างที่ข้าไปแลกเปลี่ยนให้กับเจ้า–”


 


“นั่นมิจำเป็น” ซูหยางไม่สนใจกับเพียงแค่หินวิญญาณก้อนเดียว


 


ดวงตาทหารยามเบิกกว้างกว่าเดิมเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนั้น


 


“เพื่อที่จะจ่ายค่าเข้าเมืองด้วยหินวิญญาณทั้งก้อน คนประหลาดนี้รวยมากแค่ไหนกัน” เขาอดไม่ได้ที่จะอิจฉาความร่ำรวยและพฤติกรรมที่ไว้ตัวของอีกฝ่าย


 


“ช-เช่นนั้นนี่คือใบผ่านทางพิเศษสำหรับท่าน… ตราบเท่าที่ท่านมีสิ่งนี้ ท่านสามารถเข้าออกเมืองดอกบัวได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องจ่ายอีกต่อไปในอนาคต” ทหารยามกล่าวพร้อมกับยื่นส่งป้ายสีทองให้กับซูหยาง


 


ซูหยางรับป้ายสีทองไว้แบบสบายๆและเข้าไปในเมืองดอกบัวเป็นครั้งแรก


 


“ท่านสามารถหานิกายดอกบัวเพลิงพบถ้าเดินไปตามทางนี้…” ทหารยามกล่าวกับเขาอีกครั้งครั้นเมื่อเขาเข้าไปในเมือง


 


ซูหยางพยักหน้าและเริ่มเดินไปตามทาง


 


และหลังจากเดินไปเพียงไม่กี่นาที ซูหยางก็เข้าใจสิ่งที่ทหารยามพูด เมื่ออีกฝ่ายพูดว่าเมืองดอกบัวเน้นหนักด้านธุรกิจ ในเมื่อสิ่งที่เขามองเห็นล้วนเป็นร้านค้าหรือไม่ก็ร้านอาหาร และผู้คนย่อมสามารถเข้าใจได้อย่างง่ายดายว่าเหตุใดนิกายดอกบัวเพลิงจึงร่ำรวยเมื่อเข้าเมืองนี้ ซึ่งประดับประดาไปด้วยสิ่งของและร้านค้าแพงๆ


 



 



 



 


สถานที่แห่งหนึ่งภายในเมืองดอกบัว สามารถมองเห็นเหล่าหญิงสาวและชายหนุ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนานภายในร้านอาหาร คนเหล่านี้ล้วนสวมเสื้อผ้าแบบเดียวกัน ชุดคลุมสีแดงปักสัญลักษณ์ดอกบัวสีเหลืองบนอก แสดงให้เห็นว่าพวกเขาล้วนเป็นศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิง


 


“ศิษย์น้องหญิงจาง อย่าขี้เหนียวนักจงบอกพวกเรามาเลยว่าเจ้ามีโชคพบกับสมบัติบางอย่างใช่หรือไม่” หนึ่งในศิษย์ที่นั่นถามหญิงสาวสวยที่นั่งอยู่ปลายสุดของโต๊ะ “เจ้าเพียงอยู่ที่ระดับเจ็ดของเขตปฐมวิญญาณไม่นานมานี้ แต่เจ้าสามารถไปถึงเขตคัมภีร์วิญญาณได้ภายในไม่กี่อาทิตย์ กลายเป็นศิษย์ใน ข้ามิเชื่อว่าเจ้าสามารถบรรลุได้เช่นนั้นโดยไม่พบกับโชคอะไรบางอย่าง”


 


ครั้นเมื่อหนึ่งในพวกเขาเริ่มหัวข้อเรื่อง ศิษย์คนอื่นก็เริ่มแสดงความคิดเห็นของตนเอง ซึ่งค่อนข้างกดดันศิษย์สกุลจางให้บอกพวกเขาอยู่บ้าง


 


“เอ้อ…แม้ว่าข้ามิได้พบกับสมบัติใด ข้าก็ถือได้ว่ามีโชคที่ได้พบกับคนคนหนึ่ง…” ศิษย์หญิงสกุลจางอธิบายอย่างคลุมเคลือ


 


“คนที่ว่านี้ เป็นชายหรือเป็นหญิง” เหล่าหญิงยิ่งพากันสนใจ


 


“เป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง…” หญิงสาวหน้าแดง


 


“โออออ บอกพวกเราเกี่ยวกับเขามากกว่านี้ เขามีผลต่อการฝึกวิชาของเจ้าอย่างไร”


 


ขณะที่ศิษย์หญิงพบว่าหัวข้อนี้ช่างน่าสนุกสนานยิ่งนัก แต่มันกลับเป็นตรงกันข้ามกับเหล่าศิษย์ชายที่หลงไหลหญิงสาวคนนี้


 


“เอ้อ….”


 


อย่างไรก็ตาม ขณะที่หญิงสาวเตรียมตัวพูดเกี่ยวกับแขกคนหนึ่งที่เธอพบที่โรงประมูลดอกบัวเพลิง สายตาเธอพลันปะทะเข้ากับร่างของชายหนุ่มหล่อคนหนึ่งที่เดินอยู่บนถนน


 


“ซ-ซ-ซ-ซูหยาง” หญิงสาวทะลึ่งพรวดลุกขึ้นยืนและวิ่งออกไปจากร้านอาหารเพื่อที่จะวิ่งไล่ตามเขา สร้างความงงงันให้กับทุกคนในที่นั้น

 

 

 


ตอนที่ 190 พบจางซิวยิงอีกครั้ง

 

“ซ-ซูหยาง ซูหยาง” จากซิวยิงเรียกเขาขณะที่ไล่ตามหลังร่างเขาที่ลับตาไป


 


“หืม” ซูหยางหยุดเดินหลังจากที่ได้ยินเสียงหวานคุ้นหูเรียกชื่อเขา


 


เมื่อหันกลับมา เขาก็เห็นหญิงสาวสวยสวมชุดแดงตรงมาหาเขาด้วยท่าทางตื่นเต้นบนใบหน้า


 


“โอ เจ้าคือ…” ซูหยางพลันจำหน้าตาน่ารักเธอได้ทันที โดยเฉพาะร่างแบบบางและยั่วยวนของเธอ เธอคือจางซิวยิง ศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิง เธอมอบแก่นหยินบริสุทธิ์ให้กับเขาที่โรงประมูลดอกบัวเพลิง


 


“ท-ท่านจำข้าได้หรือไม่ ซูหยาง ข้าคือ–”


 


“จางซิวยิง ใช่ไหม” ซูหยางกล่าวพร้อมรอยยิ้มนุ่มนวลบนใบหน้า


 


“ช-ใช่…” จางซิวยิงตอนแรกกล้วว่าเขาจะลืมเธอ แต่ไม่เพียงแต่เขาจดจำเธอได้ เธอยังคงค่อนข้างแปลกใจกับบรรยากาศอันอบอุ่นรอบกายซูหยาง เขาดูยิ่งเป็นกันเองและหล่อเหลากว่าเดิม และดูเป็นมิตรยิ่งขึ้น


 


“ท-ท่านมาทำอะไรที่นี่ที่เมืองดอกบัว” เธอถามเขา “ถ้าท่านมองหาสถานที่ ข้าสามารถพาท่านไปที่นั่นได้”


 


ซูหยางพยักหน้าและกล่าวว่า “ข้ามีธุระบางอย่างกับนิกายดอกบัวเพลิงอยู่จริง ดังนั้นถ้าเจ้าไม่รังเกียจที่จะพาข้าไปที่นั่น”


 


“ข้ายินดี” จางซิวยิงลืมเรื่องเกี่ยวกับเพื่อนศิษย์ไปจนหมดสิ้นในตอนนี้ เธอตกลงที่จะพาเขาไปที่นิกายดอกบัวเพลิง


 


“ศิษย์น้องหญิงจาง เจ้ากำลังจะไปไหน”


 


อย่างไรก็ตามก่อนที่เธอจะได้จากไป เพื่อนศิษย์ได้ตามเธอมาทัน


 


“เขาเป็นคนรู้จักของเจ้ารึ” ศิษย์คนหนึ่งถาม


 


“ใช่แล้ว ข้าต้องขออภัยที่ต้องไปกระทันหัน แต่ข้ามีธุระบางอย่างที่ต้องทำตอนนี้…”


 


เมื่อจางซิวยิงกล่าวถ้อยคำเหล่านั้น บรรดาศิษย์ที่นั่นล้วนหันไปมองดูซูหยางด้วยสายตาพิเคราะห์


 


เหล่าศิษย์หญิงต่างพากันตื่นตะลึงกับรูปโฉมอันหล่อเหลาและสง่างามของซหยาง และบางคนถึงกับหน้าแดงโดยไม่อาจควบคุม แต่สำหรับศิษย์ชายภายในกลุ่มพวกเขาล้วนมองดูซูหยางด้วยสายตาไม่เป็นมิตรและอิจฉา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่คลั่งใคล้จางซิวยิงสายตาล้วนเต็มไปด้วยความเกลียดชัง


 


“เจ้ามาจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยรึ” หนึ่งในศิษย์ชายจำชุดคลุมซูหยางได้


 


“อะไรกัน สถานที่น่าสะอิดสะเอียนที่เต็มไปด้วยโสเภณีและแมงดาสารเลวนั่นรึ”


 


“เฮ้ ระวังปากของพวกเจ้า” จางซิวยิงมีท่าทางโกรธเมื่อศิษย์ชายดูถูกซูหยาง


 


อย่างไรก็ตามการที่จางซิวยิงปกป้องซูหยางยิ่งทำให้บรรดาศิษย์เหล่านั้นโกรธยิ่งขึ้นไปอีกและรุ่มร้อนไปด้วยเพลิงริษยา


 


“ศิษย์น้องหญิงจาง ทำไมเจ้าไปเกี่ยวข้องกับคนจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย หรือเจ้าไม่รู้ว่าพวกเขามีภาพพจน์เลวร้ายเพียงใดในสายตาของสาธารณะชน คนจากสถานที่แห่งนั้นล้วนเป็นกลุ่มคนที่ต้องการแต่มีเพศสัมพันธ์โดยไร้ยางอายไม่ต่างจากพวกสัตว์ที่ติดสัด”


 


“กล้าดียังไง—”


 


ขณะที่จางซิวยิงกำลังจะระเบิดโทสะ ซูหยางพลันกอดคอเธอไว้หลวมๆด้วยท่าทางสนิทสนม จนทำให้จางซิวยิงร่างกายแข็งทื่อด้วยความตระหนก


 


“ซ-ซูหยาง” เธอมองดูเขาด้วยท่าทางตื่นตะลึง


 


“จ-เจ้าคิดว่าเจ้ากำลังทำอะไรกับหนึ่งในศิษย์ของพวกเรา”


 


“เอามือสกปรกของเจ้าออกไปให้พ้นจากเธอ”


 


การกระทำของซูหยางสร้างความโกรธแค้นให้กับเหล่าศิษย์ชายในทันที ดังที่เขาคาดการณ์ไว้


 


“นี่ก็ผ่านมาสักพักแล้วที่เราได้พูดคุยกัน ดังนั้นทำไมเราไม่หาที่ไหนสักแห่งที่เงียบสงบและเป็นส่วนตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้องของเจ้า” ซูหยางกล่าวด้วยเสียงปลอบโยนจนกระทั่งศิษย์หญิงที่ยืนห่างออกไปจากเขายังรู้สึกอยากพาเขาไปที่ห้องตนเอง


 


จางซิวยิงนึกถึงเวลาที่เธอใช้ร่วมกับเขาที่โรงประมูลดอกบัวเพลิงและพยักหน้าเบาๆด้วยท่าทางเอียงอาย ใบหน้าแดงก่ำ


 


“ส-สารเลว ช่างไร้ยางอาย”


 


“อย่าฟังเขา ศิษย์น้องหญิงจาง เขาเพียงหลอกใช้เจ้า”


 


การโต้เถียงของเขาได้กระตุ้นความสนใจของทุกคนที่นั่นมานานแล้ว แต่พวกเขาดูเหมือนไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก


 


“ไปกันเถอะ” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาดึงจางซิวยิงไป ไม่สนใจศิษย์นิกายดอกบัวเพลิงเหล่านั้นตั้งแต่ต้น


 


“หยุดอยู่ตรงนั้น”


 


พลันนั้นเอง แรงกดดันทรงพลังที่ระดับสูงสุดของผู้ฝึกวิชาเขตสัมมาวิญญาณก็ถาโถมใส่ซูหยาง


 


อย่างไรก็ตามเพราะว่าซูหยางอยู่ในระดับสูงสุดของเขตปฐพีวิญญาณ ยากที่แรงกดดันนี้จะสะกิดเขาได้


 


“ศิษย์พี่ชายเชา”


 


เหล่าศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิงพลันสังเกตเห็นคนที่เพิ่งเข้ามา ซึ่งสวมชุดแดงและมีดอกบัวสีดำอยู่บนอก สิ่งที่บ่งบอกว่าเป็นศิษย์หลักของนิกายดอกบัวเพลิง


 


เมื่อศิษย์พี่ชายคนนี้เชามาถึง เขาก็ยืนต่อหน้าซูหยางและกล่าวด้วยใบหน้าท่าทางหยิ่งยะโส “ข้ามิสนใจว่าเจ้ามาจากไหน แต่เมื่อเจ้าอยู่ในพื้นที่ของเรา ข้าจักมิทนต่อการขาดความนับถือต่อเหล่าศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิงของข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อพวกเขาล้วนเป็นศิษย์ใน”


 


ซูหยางหยุดเพียงเสี้ยววินาทีเพื่อที่จะมองไปยังศิษย์นอกคนนี้ด้วยท่าทางไม่ใส่ใจก่อนที่จะเดินอ้อมเขาไป เพิกเฉยต่อตัวตนของอีกฝ่ายอย่างสิ้นเชิง


 


ศิษย์หลักนี้พลันสั่นสะท้านด้วยความโกรธเมื่อซูหยางไม่สนใจเขา


 


“เจ้ากล้าดียังไง–”


 


อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ศิษย์หลักจะทันได้หันหน้า มือใหญ่ข้างหนึ่งก็ปรากฏต่อหน้าเขา


 


เพี๊ยะ


 


ซูหยางส่งศิษย์หลักนี้บินข้ามถนนด้วยการตบเพียงครั้งเดียว สร้างความตระหนกให้กับทุกคนที่นั่น


 


“ศ-ศิษย์พี่ชายเชา”


 


เหล่าศิษย์คนอื่นต่างพากันมีท่าทางหวาดกลัวหลังจากที่เห็นซูหยางจัดการศิษย์หลักของพวกเขาโดยแทบไม่ได้ใช้ความพยายามใดเลย


 


หลังจากจัดการกับศิษย์หลักแล้ว ซูหยางก็เหลือบมองไปยังเหล่าศิษย์เหล่านั้นอีกครั้งด้วยหางตา ทำให้พวกเขาสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว


 


เขาชี้มือไปยังพวกพวกเขาและทำท่ากวักมือเรียกเหล่าศิษย์ที่พ่นถ้อยคำขยะก่อนหน้านั้น


 


“ถ้าพวกเจ้ามิเข้ามา ข้าจักเข้าไปหาเอง และนั่นจักเจ็บเป็นสองเท่า” ซูหยางกล่าวกับพวกเขาด้วยท่าทางเฉยเมยหลังจากที่พวกเขายังคงยืนอยู่ตรงนั้น เห็นชัดว่าชะงักค้างด้วยความหวาดกลัว


 


“น-ในเมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว พวกเราคงต้องช่วยกันสู้กับเขา” หนึ่งในบรรดาศิษย์เหล่านั้นแนะนำ


 


ดังนั้นด้วยพลังการฝึกปรือเขตคัมภีร์วิญญาณ เหล่าศิษย์ต่างพากันพุ่งเข้าหาซูหยางผู้ที่อยู่จุดสูงสุดของเขาปฐพีวิญญาณ


 


สองสามวินาทีต่อมา ก็มีเสียงตบดังๆสามทีภายในเมืองดอกบัว และร่างอีกสามร่างก็เห็นปลิวข้ามถนนไป


 


“พวกตัวตลก” ซูหยางส่ายหน้า


 


เขาพลันกล่าวกับจางซิวยิงที่ยังตกตะลึง “ตอนนี้ขณะที่มิมีตัวกวนแล้ว เรารีบไปที่นิกายดอกบัวเพลิงกัน”


 


“ต-ตกลง…” เธอตอบพร้อมพยักหน้าช้าๆ

 

 

 


ตอนที่ 191 นิกายดอกบัวเพลิง

 

 


“ท-ท่านจะไม่เป็นไรหรือ” จางซิวยิงถามซูหยางด้วยใบหน้าท่าทางเป็นกังวล หลังจากเดินมาได้สองสามนาที


 


“กับอะไร” ซูหยางกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ


 


“ท-ท่านพูดว่า กับอะไร งั้นรึ” จางซิวยิงสับสนกับท่าทางไม่รับรู้อะไรของเขา ทั้งที่เพิ่งทุบตีศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิงไปสองสามคนขณะที่อยู่ในพื้นที่ของอีกฝ่าย


 


“ท-ท่านเพิ่งทำร้ายคนไม่เพียงแต่ศิษย์ในสามคนแต่ยังมีศิษย์หลักของนิกายดอกบัวเพลิงอีกหนึ่งคนด้วยขณะที่อยู่ในพื้นที่ของพวกเขา แต่ท่านยังคงกล้าเดินเล่นบนถนนกลางวันแสกๆ…ท่านมิกลัวว่านิกายดอกบัวเพลิงจะตามล่าท่านรึ”


 


ซูหยางยักไหล่ด้วยท่าทางไม่ใส่ใจและกล่าวว่า “ข้าไม่เป็นไร”


 


เขามั่นใจว่าเขาต้องสบายดีแม้ว่าต่อให้ทั้งนิกายดอกบัวเพลิงเข้ามาโจมตีเขาพร้อมกัน


 


หลังจากเงียบไปชั่วขณะ จางซิวยิงก็ถามเขาว่า “อะไรพาท่านมาที่นิกายดอกบัวเพลิง”


 


“ข้ามีธุระกับผู้อาวุโสนิกายของเจ้าคนหนึ่ง”


 


“หรือว่าผู้อาวุโสนิกายคนนั้นเป็นผู้อาวุโสหวัง” จางซิวยิงมีความรู้สึกที่ดีที่เขาตามหาเธอโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นที่โรงประมูลดอกบัวเพลิง


 


ซูหยางพยักหน้า กล่าวว่า “ใช่แล้ว เธอเป็นอย่างไรบ้างตอนนี้”


 


“ผู้อาวุโสหวัง…เธอเป็น…” จางซิวยิงดูท่าทางลังเลเล็กน้อยในตอนนั้น จนทำให้ซูหยางถึงกับเลิกคิ้ว


 


“เกิดอะไรขึ้นกับเธอรึ” เขาถาม


 


“ไม่ มิมีอะไรเกิดขึ้นกับผู้อาวุโสหวัง เพียงแต่ว่า…เมื่อเปรียบเทียบกับผู้อาวุโสหวังระหว่างที่อยู่โรงประมูลเมื่อสองสามอาทิตย์ก่อน เธอเหมือนกับเปลี่ยนเป็นคนละคน”


 


“โอ ทำไมเจ้ามิอธิบายรายละเอียดให้ข้าฟังมากกว่านี้ล่ะ”


 


“ผู้อาวุโสหวังได้ก้าวข้ามวิถีการปรุงยาของเธอเองเมื่อไม่นานมานี้ ทำให้สถานะของเธอภายในนิกายพุ่งพรวด ราวกับปลาคาร์ฟที่พุ่งผ่านประตูมังกร ตอนนี้เธออยู่เหนือนักปรุงยาคนอื่นภายในนิกายดอกบัวเพลิง กระทั่งเจ้านิกายเองยังต้องให้ความนับถือเธออย่างสูง ดังนั้นท่านอาจจะพบความยากลำบากในการเข้าถึงเธอ…”


 


“เป็นเช่นนั้นรึ” ซูหยางแอบดีใจที่หวังชูเหรินได้ฝึกวิชาระดับเซียนที่เขาให้เธอไป ไม่เช่นนั้นการเดินทางที่เขามาที่นี่คงเสียเที่ยวเปล่า


 


เจตนาที่เขามาเยือนนิกายดอกบัวเพลิงวันนี้ก็ไม่มีอะไรนอกจากว่าเขาต้องการให้หวังชูเหรินปรุงโอสถแยกวิญญาณ


 


แท้จริงแล้ว ซูหยางได้วางแผนที่จะให้หวังชูเหรินปรุงโอสถแยกวิญญาณตั้งแต่ก่อนที่เขาจะพบกับชิวเยวี่ย


 


แผนการแรกสุดนั้นก็คือให้หวังชูเหรินปรุงยาในเมื่อพลังการฝึกปรือของเขาตอนนั้นไม่เพียงพอ กระทั่งให้วิชาระดับเซียนกับเธอ อย่างไรก็ตามการที่เขาพบกับชิวเยวี่ยทำให้แผนการนี้เปลี่ยนแปลง เพราะว่าชิวเยวี่ยทำให้พลังการฝึกปรือของเขาก้าวหน้าเกินกว่าความคาดหมายของตนเอง


 


ถ้าเขาไม่ได้พบกับชิวเยวี่ย เขาต้องไม่มีโอกาสได้ฝึกปรือร่วมกับผู้ฝึกฝีมือเขตอัมพรวิญญาณถึงสองคน จนก้าวไปถึงจุดสูงสุดของเขตปฐพีวิญญาณและคงยังวนเวียนอยู่ในเขตสัมมาวิญญาณจนถึงตอนนี้


 


แน่นอนว่าเขาได้คิดที่จะปรุงโอสถแยกวิญญาณที่สถาบันสี่ฤดูและกระทั่งให้เจ้าสถาบันหญิงซูปรุงยา แต่อนิจจา เพราะว่าเจ้าสถาบันหญิงซูมีเจตนายืดการนัดหมายของเขาโดยเจตนา เขาจึงตัดสินใจกลับไปมายังทวีปตะวันออกเพื่อให้หวังชูเหรินปรุงยาแทน


 


สุดท้ายมันก็จะเป็นความพยายามที่สูญเปล่าถ้าเขาไม่ได้ใช้หวังชูเหรินเมื่อเขาได้เตรียมทุกสิ่งไว้แล้ว


 


“พูดถึงหวังชูเหรินแล้ว…” ซูหยางพลันมองดูเธอแล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับทางเจ้ารึ หรือเจ้าสุนักหวังนั่นยังคงก่อกวนเจ้า”


 


เมื่อซูหยางอ้างถึงหวังหมิง ญาติของหวังชูเหริน จางซิวยิงมีท่าทางขื่นขม


 


“แม้ว่าเขาได้หยุดสั่งข้าไปหาเขายังที่พักหลังจากที่ผู้อาวุโสหวังกล่าวกับเขาแล้วก็ตาม ข้ารู้สึกว่าเขายังวางแผนบางอย่างไว้… การที่เขาจ้องมองข้าอย่างเย็นชาเมื่อเราเดินผ่านกันภายในเขตศิษย์ในทำให้ข้าหนาวสันหลังเสมอ…นั่นทำให้ข้ากลัว…”


 


การพูดคุยระหว่างพวกเขาหยุดไปชั่วขณะก่อนที่ซูหยางจะเปิดปากพูดขึ้น “เจ้าต้องการให้ข้าจัดการเขาให้เด็ดขาดไปหรือไม่”


 


จางซิวยิงมองดูเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง แม้ว่าจริงแล้วเธอต้องการที่จะรับข้อเสนอของเขา แต่เธอไม่ต้องการรบกวนเขาอีกต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากทุกสิ่งที่เขาได้ทำให้กับเธอ


 


“ข้าซาบซึ้งกับความคิดของท่านแต่ข้ามิอาจยอมรับข้อเสนอนั้น” เธอลังเลก่อนจะส่ายหน้าเพื่อปฏิเสธข้องเสนอของเขา “ท่านตัดสินใจช่วยข้าแม้ว่าแม้ว่าจะเป็นการกระทำที่บีบบังคับของข้า และข้าได้รับความกรุณาจากท่านมาพอแล้ว ข้ามิกล้าที่จะขอมากไปกว่านี้ ในเมื่อมันจักเพียงทำให้ข้ารู้สึกผิดกว่าเดิมเหมือนยามที่ข้าเอาเปรียบท่าน…”


 


ซูหยางหัวเราะหลังจากที่ได้ยินคำของเธอ “ถ้าข้าต้องการปฏิเสธเจ้าไปจริงตอนนั้น ข้าสามารถสลัดเจ้าออกไปอย่างง่ายๆ ดังนั้นมิต้องคิดว่ามันเป็นการบังคับที่เจ้าใช้กับข้า ในสายตาของข้าเจ้าเป็นเพียงเด็กหญิงก้าวร้าวและห้าวเล็กน้อยเท่านั้น และพูดอย่างซื่อสัตย์แล้ว ข้าชอบคนที่มีทัศนคติแบบนั้น”


 


เพราะว่าคนรักคนแรกของเขาก็เป็นคนประเภทที่ห้าวและก้าวร้าว ซูหยางจึงชื่นชอบคนที่มีคุณสมบัติคล้ายแบบนั้นเป็นพิเศษ


 


“จ-จริงรึ” จางซิวยิงพลันหน้าแดงเมื่อได้ยินคำพูดของเขา


 


“แต่ข้ายังมิอาจยกโทษให้ตนเอง…” เธอถอนใจหลังจากนั้นไม่นาน


 


แม้ว่าซูหยางไม่ได้ถือว่าการกระทำของเธอเป็นการบังคับแต่เป็นความห้าวหาญ นั่นก็ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่าเธอได้สิ้นหวังในเวลานั้นและบีบให้เธอมีความปรารถนาต่อเขา คนแปลกหน้าโดยสิ้นเชิงในตอนนั้น และจางซิวยิงยังคงไม่อาจยกโทษให้ตนเองกับการกระทำของเธอในวันนั้นไม่ว่าเขาจะพูดอะไรก็ตาม


 


ซูหยางไม่ได้กล่าวอะไรหลังจากนั้นและปล่อยให้มันเป็นไปเช่นนั้น และทั้งคู่ก็เดินต่อไปในเมืองดอกบัว


 


หลังจากที่เดินไปอีกครึ่งชั่วโมง ในที่สุดพวกเขาก็ไปถึงนิกายดอกบัวเพลิง


 


“ศิษย์พี่หญิง”


 


“คารวะศิษย์พี่หญิง”


 


บรรดาศิษย์นอกที่เป็นยามให้กับนิกายดอกบัวเพลิงกล่าวทักทายจางซิวยิงเมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้มากพอ


 


“ข้ามีแขกมากับข้าถ้าพวกเจ้ามิรังเกียจ”


 


“ตราบเท่าที่ศิษย์พี่หญิงได้บอกกล่าวกับผู้อาวุโสนิกายที่อาคารบริหารนั่นย่อมมิมีปัญหา”


 


“ตกลง”


 


ดังนั้นซูหยางจึงได้เข้าไปในนิกายดอกบัวเพลงโดยไม่พบกับอุปสรรคใด

 

 

 


ตอนที่ 192 ถ้าเจ้าก้าวมาอีกก้าว ข้าจักหักขาของเจ้า

 

ครั้นเมื่อพวกเขาเข้าไปในนิกายดอกบัวเพลิงแล้ว จางซิวยิงได้นำซูหยางไปลงทะเบียนชื่อของเขาในสมุดบันทึกชื่อแขก


 


“มีคนมากที่นี่ในวันนี้…” จางซิวยิงประหลาดใจหลังจากที่เห็นแขกจำนวนมากที่ลงชื่อในวันนี้ ซึ่งมากกว่าที่ควรเป็นตามปกติ


 


เมื่อผู้อาวุโสนิกายมองเห็นเสื้อผ้าของซูหยาง ท่าทางบนใบหน้าของเขาดูกระอักกระอ่วน ราวกับว่าเขาไม่รู้ว่าควรจะคิดอย่างไรกับสถานการณ์นี้


 


เขามองดูจางซิวยิงและแอบส่ายหน้า


 


เมื่อคิดว่าศิษย์ในของตนเองหน้าด้านพอที่จะพาคนจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเข้ามาในนิกายของตนเอง ผู้อาวุโสนิกายรู้สึกเสียใจอย่างมาก เพราะว่าในสายตาของเขา การกระทำของจางซิวยิงไม่ต่างจากการนำหญิงคณิกาเข้าบ้าน


 


“ห้ามผู้มาเยี่ยมอยู่ภายในนิกายดอกบัวเพลิงหลังเที่ยงคืน ดังนั้นเจ้าต้องออกไปก่อนหน้านั้น” ผู้อาวุโสนิกายพูดขณะยื่นส่งบัตรผู้มาเยี่ยมให้กับซูหยางด้วยท่าทางรังเกียจอยู่บ้าง


 


“ขอบคุณท่านผู้อาวุโส” จางซิวยิงกล่าว แน่นอนว่าไม่รู้ว่าเธอเพิ่งถูกกำหนดให้เป็นหญิงดอกทองโดยผู้อาวุโสนิกาย


 


“ไปกันเถอะ ซูหยาง ข้าจักพาเจ้าไปหาผู้อาวุโสหวัง” เธอกล่าวกับเขาครั้นเมื่อพวกเขาออกไปจากอาคารบริการแล้ว


 


ซูหยางพยักหน้าและเริ่มติดตามเธอเข้าไปในนิกาย


 


ระหว่างการเดินระยะสั้นๆนั้น มีศิษย์หลายคนที่หรี่ตามองดูซูหยาง ท่าทางของพวกเขาแสดงถึงความรังเกียจ ราวกัว่าพวกเขามองดูสัตว์ชั้นต่ำ


 


นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในภาคตะวันออกถึงวิธีการฝึกวิชาที่นอกคอก และในสายตาของผู้ฝึกวิชาปกติทั่วไปหลายคน พวกเขาไม่ต่างไปจากโสเภณีที่อาศัยการฝึกวิชามาเป็นข้ออ้างเพื่อหมกมุ่นกับกิจกรรมทางเพศ


 


อย่างไรก็ตามซูหยางคุ้นเคยกับการที่มีผู้คนมองดูเขาด้วยท่าทางไม่พึงใจ ดังนั้นเขาจึงเพิกเฉยคนเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย เหมือนกับเป่าฝุ่นผงออกจากไหล่


 


“ข้าขอโทษ…” จางซิวยิงขอโทษซูหยางหลังจากที่พบเห็นสถานการณ์รอบข้าง เธอรู้สึกต้องการขอโทษเขาเพราะว่าเธอก็เป็นศิษย์คนหนึ่งของนิกายดอกบัวเพลิง


 


“ทำไมเจ้าต้องขอโทษ นั่นมิจำเป็นต้องให้ความสนใจคนเหล่านั้น เพียงทำเหมือนกับว่าพวกนั้นเป็นแค่มด” ซูหยางกล่าวด้วยใบหน้าเรียบเฉย


 


“ตกลง…” เธอพยักหน้า


 


สองสามนาทีต่อมา เมื่อพวกเขามองเห็นที่พักของผู้อาวุโสหวังจากระยะไกล จางซิวยิงเกือบร้องออกมากับฉากที่เห็นเมื่อเธอพบว่ามีคนมากมายมารวมตัวกันหน้าบ้านผู้อาวุโสหวัง ยิ่งไปกว่านั้น คนเกือบทั้งหมดนี้ไม่ใช่ศิษย์ของนิกายดอกบัวเพลิง ล้วนสวมเสื้อผ้าที่แสดงถึงสำนักและตระกูลต่างๆ


 


นั่นเป็นสายยาวเหยียดจากที่พวกเขายืนอยู่เรื่อยไปจนถึงบ้านหวังชูเหริน ทำให้สถานที่นี้เหมือนกับตลาดอันวุ่นวาย


 


“น-นี่ไม่ได้มีคนมากมายปานนี้ตอนที่ข้าออกไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อน เกิดอะไรขึ้นในขณะที่ข้าไม่อยู่” จางซิวยิงอุทานเมื่อเธอนับได้อย่างต่ำกว่าสองร้อยคนในแถวด้วยสัมผัสวิญญาณของเธอ


 


“เจ้ามิได้ยินรึ ผู้อาวุโสหวังเพิ่งประกาศว่าเธอจะขายโอสถดอกบัวเพลิงที่มีประสิทธิภาพร้อยเปอร์เซนต์ชั่วขณะโดยมีจำนวนจำกัด ดังนั้นจึงมีคนมากมายตรงมาที่นี่เพื่อที่จะได้รับส่วนแบ่ง” คนสุดท้ายของแถวอธิบายหลังจากได้ยินเสียงร้องตกใจของเธอ “ยังมีคนมาอีกมากระหว่างที่เราพูดคุย”


 


หนึ่งในเหตุผลที่เป็นเหตุให้ฐานะของหวังชูเหรินพุ่งพรวดก็เพราะว่าเธอมีความสามารถในการปรุงโอสถดอกบัวเพลิงที่มีประสิทธิภาพสูงสุดร้อยเปอร์เซนต์ บางสิ่งที่สั่นสะเทือนตลาดยาเมื่อเธอประกาศตัวมันออกมาเป็นครั้งแรก


 


“เราควรทำอย่างไรดี ซูหยาง” จางซิวยิงถามเขา “ข้ามิคิดว่าเราจักสามารถพบตัวผู้อาวุโสหวังวันนี้”


 


แม้ว่าพวกเขาสามารถเข้าไปพบเธอในวันนี้ได้ หวังซูเหรินอาจจะไม่มีเวลามาฟังพวกเขา นี่คือความคิดของจางซิวยิง


 


“ทำไมเราต้องยืนเข้าแถวด้วย ข้ามิได้มาที่นี่เพื่อที่จะซื้อโอสถดอกบัวเพลิง” ซูหยางกล่าว


 


“แต่ว่าเราจะไปพบเธอได้อย่างไร เรามิอาจแซงทุกคนในแถวและ—”


 


“เจ้าอยู่ที่นี่ชั่วครู่” ซูหยางตัดบทเธอและเริ่มเดินออกไป


 


จางซิวยิงเหม่อมองดูซูหยางด้วยดวงตาเบิกกว้าง เมื่อเขาเพิกเฉยต่อแถวยาวเหยียดอย่างเยือกเย็น ตรงไปยังที่พักของหวังซูเหริน


 


ผู้คนในแถวตอนแรกก็ไม่สนใจเขา แต่ครั้นเมื่อพวกเขาพบว่าเขาไม่ใช่แค่เพียงเดินผ่าน พวกเขาพลันเริ่มก่นด่าเขาในทันใด


 


“เฮ้ เจ้าคิดว่ากำลังจะไปไหน แถวอยู่ด้านหลังโน่น”


 


เมื่อมีคนหนึ่งตะโกนก็เหมือนกับเกิดคลื่น คนอื่นๆอีกหลายคนก็เริ่มอ้าปากพูด ทำให้สถานที่นั้นเกิดความปั่นป่วนอย่างรวดเร็ว


 


“เจ้าหนุ่ม เจ้ารู้ไหมว่าคนมากมายเท่าไหร่ที่เจ้าล่วงเกินโดยการแซงนอกแถว ข้าสงสัยว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยของเจ้าต้องมีความสุขแน่ถ้าพวกเขาพบว่ามีผู้ทรงอิทธิพลต่างๆมากมายไปเคาะประตูหน้าบ้านหลังจากวันนี้เป็นต้นไป”


 


“ใช่แล้ว นิกายของเจ้าต้องทนรับผลจากการกระทำของเจ้า”


 


แม้ว่าคำข่มขู่เหล่านี้ทั้งหมดถูกโยนไปหาเขา ซูหยางยังคงเดินไปด้วยใบหน้าท่าทางไม่ใส่ใจ ราวกับว่าเขาไม่ได้ยินคำกล่าวเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งมีชายวัยกลางคนตัดสินใจก้าวออกมาจากแถวมายืนอยู่ตรงหน้า เพื่อขวางทางเขาไว้


 


“นั่นคือผู้อาวุโสเกาจากศาลาโอสถหยก”


 


ผู้คนจดจำชายวัยกลางคนได้อย่างรวดเร็ว เขาเป็นนักปรุงยาที่ได้รับความนับถือเป็นอย่างสูงในภาคตะวันออก


 


“มีอะไรให้ข้าช่วยรึ” ซูหยางถามเขาด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร


 


“ยังทำท่าโง่อีกรึ ข้ามิสนใจว่าเจ้าเป็นศิษย์ในของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย ถ้าเจ้าก้าวมาอีกก้าว ข้าจักหักขาของเจ้า”


 


“เขตสัมมาวิญญาณระดับสาม หึ ไปให้พ้น พยายามที่จะหักขาข้า มิได้ผลหรอก” ซูหยางกล่าวพร้อมหรี่ตาสร้างความตื่นตะลึงให้กับทุกคนบริเวณนั้น


 


“…” ผู้อาวุโสเกาเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจเมื่อซูหยางบ่งบอกระดับพลังการฝึกปรือของเขาได้อย่างง่ายดายในขณะที่เขาไม่อาจรับรู้ว่าพลังการฝึกปรือของซูหยางเป็นอย่างไร


 


“ช่างเป็นคนที่อันตราย” ผู้อาวุโสเกาเริ่มหลั่งเหงื่อภายใต้เสื้อคลุมเมื่อสายตาของเขาพบกับสายตาคมกล้าของซูหยางที่ปลดปล่อยแรงกดดันไร้สภาพออกมา

 

 

 


ตอนที่ 193 เจ้าบีบให้ข้าลงมือ น้องชาย

 

ผู้อาวุโสเการู้สึกสังหรณ์ใจว่าเขาควรจะเลิกสนใจศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่อยู่ต่อหน้านี้ แต่ความภาคภูมิใจในความเป็นผู้อาวุโสสั่งเขาให้ทำตรงข้าม สุดท้ายเขาจะมีหน้าเหลือได้อย่างไรถ้าเขาเดินจากไปอย่างขลาดเขลาหลังจากซูหยางยั่วยุ และนั่นก็มีคนมากมายที่มีอิทธิพลและชื่อเสียงมองดูเขาอยู่ตอนนี้ เขาคงกลายเป็นตัวตลกถ้าเดินหนีไปตอนนี้


 


“เจ้าเป็นคนกล้าแต่ในฐานะผู้อาวุโสกว่า ข้าจักให้โอกาสสุดท้ายแก่เจ้าที่จะถอยไป” ผู้อาวุโสเกากล่าว


 


ซูหยางไม่ได้พูดอะไรอีกและเริ่มหันตัว


 


เมื่อเห็นเขาหันตัว ผู้อาวุโสเการู้สึกโล่งอก แต่เมื่อพบว่าซูหยางไม่ได้หันตัวกลับแต่กลับเดินรอบตัวเขา ใบหน้าผู้อาวุโสเกาก็แดงขึ้นด้วยความโกรธ รู้สึกเหมือนว่าเขาเพิ่งถูกตบหน้าไม่เพียงแค่ครั้งเดียวแต่ถึงสองครั้งซ้อน


 


“เจ้าบีบให้ข้าลงมือ น้องชาย”


 


ผู้อาวุโสเกาพลันหันตัวและเหวี่ยงขาของเขาไปที่ขาซูหยางอย่างรวดเร็วเต็มกำลังของผู้มีฝีมือเขตสัมมาวิญญาณ


 


และก่อนที่ลูกเตะของเขาจะทันได้กระทบกับซูหยาง ผู้อาวุโสเกาได้จินตนาการว่าขาของซูหยางหักเป็นสองท่อนอย่างเหี้ยมโหดไปเรียบร้อยแล้ว


 


อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นถัดจากนั้นสร้างความแตกตื่นไม่เพียงแต่ผู้อาวุโสเกาแต่กับทุกคนที่เป็นพยานในที่นี้


 


เมื่อผู้อาวุโสเกาเตะขาซูหยาง เสียงกระดูกหักดังฟังชัด แต่ไม่ใช่ขาของซูหยางที่พิการ จริงแล้วเขายังคงยืนอยู่ที่นั่นด้วยท่าทางสุขสบายราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


 


“อาาาา ขาข้า”


 


ผู้อาวุโสเกาไม่อาจยืนได้อีกต่อไป เขาล้มลงไปบนพื้นขณะที่กุมไปบนขาขวาของตนเองที่โค้งงอไปในมุมที่แปลกประหลาด เขาทำให้ขาตนเองข้างที่พยายามจะหักขาซูหยางหักไป


 


“เทพเจ้า…ขาของเขาทำด้วยอะไรกัน” ผู้คนอ้าปากค้างด้วยความตื่นตระหนกเมื่อเห็นซูหยางไม่แม้จะสะดุ้งหลังจากที่ถูกผู้อาวุโสเกาเตะ


 


ในสายตาของพวกเขา ราวกับว่าผู้อาวุโสเกาเตะเสาที่ทำมาจากเพชรแทนที่จะเป็นขามนุษย์


 


“หืม” ซูหยางหันไปมองรอบๆอย่างช้าๆ และทำท่าเหมือนกับว่าเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น “เกิดอะไรขึ้นกับขาของท่าน ข้าคิดว่ามันงอผิดทางนะ…” เขาถามอีกฝ่ายด้วยเสียงสบายๆ


 


ผู้อาวุโสเกาพลันกระอักโลหิตออกมาเต็มคำเมื่อได้ยินคำพูดลบหลู่ของซูหยาง และล้มหมดสติลงหลังจากคืบคลานเหมือนหนอนอยู่บนพื้นไม่นานหลังจากนั้น


 


ซูหยางส่ายหน้าและเริ่มเดินอีกครั้ง


 


ไม่มีใครกล้าที่จะกล่าวว่าเขาที่แซงแถวในครั้งนี้ อย่าว่าจะขวางทางเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาไม่สามารถเข้าใจในตัวซูหยาง


 


เขาเป็นเพียงแค่ศิษย์ในของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย แต่ว่าไม่มีใครในที่นั้นสามารถที่จะรู้ถึงพลังการฝึกปรือของเขา ทั้งที่มีผู้ฝึกวิชาเขตสัมมาวิญญาณมากมายภายในแถว


 


ครั้นเมื่อซูหยางไปถึงด้านหน้าสุด คนแรกในแถวก็ก้าวถอย ยอมให้เขาเคาะประตูบ้านหวังชูเหริน


 


“ท่านต้องการซื้อโอสถดอกบัวเพลิงมากเท่าไร จำกัดต่อคนซื้อได้สามเม็ด” เสียงดังด้านหลังประตูหลังจากที่ได้ยินเสียงเคาะของซูหยาง


 


เสียงนั้นไม่ใช่เสียงของหวังชูเหริน และเป็นได้อย่างมากแค่เพียงผู้ช่วยของเธอคนหนึ่ง


 


“ข้ามิได้มาที่นี่เพื่อซื้อโอสถดอกบัวเพลิงของเจ้า ข้ามาเพื่อพูดกับหวังชูเหริน บอกเธอให้ข้าด้วย” ซูหยางพูดเสียงดัง


 


“…”


 


เสียงนั้นไม่ตอบกลับซูหยางแม้ว่าจะผ่านไปหลายนาที ราวกับว่าคนนั้นมีเจตนาเพิกเฉยต่อซูหยาง


 


“ท่านต้องการซื้อโอสถดอกบัวเพลิงมากเท่าไร จำกัดต่อคนซื้อได้สามเม็ด” เสียงนั้นพูดแบบเดิม


 


“ข้าต้องการซื้อสาม” ซูหยางตัดสินใจเล่นด้วย


 


หลังจากนั้นไม่นานประตูก็เปิดออกและศิษย์หญิงก็ปรากฏตัวแล้วยื่นส่งโอสถดอกบัวเพลิง “โอสถดอกบัวเพลิงมีราคาร้อยหินวิญญาณ”


 


ซูหยางไม่สนใจราคาที่แพงลิบและยื่นส่งหินวิญญาณร้อยก้อนแก่ศิษย์นั้น


 


ครั้นเมื่อศิษย์นั้นยืนยันว่าเป็นจำนวนที่ถูกต้อง เธอก็ยื่นส่งขวดยาสามขวดให้กับเขาก่อนที่จะปิดประตูอีกครั้ง


 


ซูหยางมองดูยาสามเม็ดในมือพร้อมกับเลิกคิ้ว


 


ตัวตนโอสถดอกบัวเพลิงที่แท้จริงก็คือโอสถสู่คัมภีร์ ตำรับยาที่เขาให้กับหวังซูเหรินไปพร้อมกับวิชาระดับเซียน อย่างไรก็ตามนั่นมีบางสิ่งที่เขาคาดหวัง


 


สิ่งที่ทำให้เขาเลิกคิ้วก็เพราะว่าคุณสมบัติอันต่ำต้อยของโอสถสู่คัมภีร์ ในขณะที่โอสถสู่คัมภีร์มีประสิทธิภาพร้อยเปอร์เซนต์ไม่ว่าจะด้วยคุณภาพระดับใดก็ตาม เพียงแต่ยาคุณภาพระดับสูงจะมีความปนเปื้อนน้อยกว่ายาคุณภาพระดับต่ำต่อผู้ฝึกวิขา


 


“ขอประทานโทษ ในเมื่อท่านได้โอสถดอกบัวเพลิงแล้ว ท่านพอจะจากไปได้แล้วหรือยัง” คนที่อยู่เบื้องหลังเขาถามด้วยเสียงนอบน้อม แน่นอนว่าเขาไม่กล้าที่จะล่วงเกินซูหยางฟังจากน้ำเสียงของเขา


 


อย่างไรก็ตามซูหยางไม่แม้จะมองกลับหลัง สายตาของเขายังคงจับจ้องขวดยาในมือ


 


“นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่เธอสามารถทำได้แม้ว่าจะมีวิชาระดับเซียนรึ ช่างไร้ค่านัก” ซูหยางถอนใจ สงสัยว่าเขาทำผิดพลาดที่เลือกเธอ


 


ถ้าหยางซูเหรินไม่สามารถกระทั่งปรุงโอสถสู่คัมภีร์ในตอนนี้ เขาไม่คาดหวังว่าเธอจะสามารถปรุงโอสถแยกวิญญาณได้สำเร็จ


 


ครั้นเมื่อเขาเสร็จสิ้นการตรวจสอบโอสถสู่คัมภีร์แล้ว ซูหยางโยนขวดยาลงไปบนพื้นราวกับว่าพวกมันเป็นขยะ สร้างความงงงันให้กันทุกคนที่นั่น


 


ผู้คนไม่เชื่อสายตาตนเอง เขาเพิ่งใช้หินวิญญาณร้อยก้อนไปเพียงเพื่อโยนเม็ดยาลงบนพื้น ถ้านี่ไม่ใช่การตบหน้าหวังชูเหรินตรงๆแล้วพวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรดี


 


“เขาบ้าไปแล้ว แสดงท่าทางไม่เคารพเช่นนั้นขณะยืนอยู่หน้าที่พักของเธอ ผู้อาวุโสหวังจักต้องไม่ขายยาอื่นให้กับเขาหรือว่าสำนักของเขาอีกต่อไปอย่างแน่นอน”


 


“เจ้าคิดว่าเจ้ากำลังทำอะไร” ศิษย์หญิงที่เพิ่งยื่นส่งยาให้กับเขากระทืบเท้าออกมาจากบ้านด้วยท่าทางโกรธ เธอได้เป็นพยานรับรู้การกระทำของซูหยางตอนนี้ได้อย่างชัดเจน สิ่งที่เธอเห็นชัดว่าไม่เคารพไม่เพียงแต่หวังชูเหริน แต่เป็นนิกายดอกบัวเพลิงทั้งหมดด้วย


 

 

 


ตอนที่ 194 เข้าไปด้วยกำลัง

 

“เจ้ากล้าทำโอสถดอกบัวเพลิงของอาจารย์ข้าเช่นนั้นได้อย่างไร อธิบายมา” ศิษย์หญิงสุดจะโกรธกับสิ่งที่ซูหยางทำกับยาของอาจารย์ของเธอ หวังชูเหริน ได้ปรุงขึ้น


 


แม้ว่าเธอได้แนะนำให้อย่าสนใจผู้คนที่พยายามสร้างปัญหาที่นี่ เธอกลับไม่อาจเพิกเฉยกับการกระทำของซูหยาง


 


“นี่เป็นยาขยะ ดังนั้นข้ามิได้ต้องการมันอีกต่อไป” ซูหยางให้คำอธิบายสั้นๆ


 


แต่นั่นเพียงทำให้เธอโกรธมากยิ่งขึ้น


 


“ข-ข-ขยะ เจ้ากล้าเรียกยาดอกบัวเพลิงเพียงหนึ่งเดียวที่มีผลถึงร้อยเปอร์เซนต์ในโลกนี้ว่าขยะ เจ้ายังมีความรู้เรื่องยาบ้างหรือไม่”


 


ซูหยางยักไหล่ด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ “อย่างไรข้าก็มิได้มาที่นี่เพื่อยาของเจ้า ไปเรียกหวังชูเหรินออกมาให้ข้า ข้าต้องการพูดกับเธอ บอกเธอว่าซูหยางมาที่นี่เพื่อพบกับเธอ”


 


“ข้ามิสนใจว่าเจ้าเป็นซูหยางหรือซูหยิน เจ้ามิมีทางได้พูดกับอาจารย์ของข้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งมิมีทางกับสิ่งที่เจ้าทำ ถ้าเจ้ามิจากไปในตอนนี้ ข้าจักเรียกผู้อาวุโสนิกายของข้ามาช่วยเหลือเจ้า”


 


ในใจของเธอ ซูหยางช่างไร้สัมมาคารวะต่อยาที่ผลิตโดยหวังชูเหริน เห็นได้ชัดว่าเขามิได้มาที่นี่ฉันมิตร


 


“นี่ก็มีผู้อาวุโสนิกายอยู่คนหนึ่งในอาคารนี้ ทำไมเจ้ามิเข้าไปและเรียกหาเธอ ข้ามั่นใจว่าเธอต้องยินดีช่วยเหลือข้าแน่” ซูหยางชี้ไปยังอาคารที่พักของหวังชูเหรินพร้อมด้วยรอยยิ้ม


 


ศิษย์คนนี้เริ่มสั่นไปด้วยความโกรธ เธอไม่เคยพบใครที่บ้าบอดังเช่นซูหยางมาก่อน รูปโฉมอันสง่างามของเขาเพียงเป็นคราบปลอมแปลงของปีศาจที่สิงอยู่ในร่างของเขา


 


“เจ้าอยู่ไหน เซียวยาเหวิน ยาชุดต่อไปพร้อมแล้ว” เสียงหวังชุเหรินพลันดังมาจากภายในอาคาร


 


“ข-ข้ากำลังไป”


 


หลังจากที่ได้ยินเสียงของหวังชูเหริน ศิษย์ของเธอ เซียวยาเหวิน ไม่สนใจซูหยางอีกต่อไปและเดินกลับเข้าไปในบ้าน


 


อย่างไรก็ตามเธอต้องหยุดอยู่ที่ประตูเมื่อพบว่าซูหยางคนนั้นพยายามเข้ามาในบ้านตามหลังเธอ


 


“จ-เจ้า เจ้าคงต้องการตายในวันนี้จริงๆ เฮอะ” เธอชี้ไปที่เขา


 


ซูหยางแสดงรอยยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะก้าวเข้าไปในบ้านแม้ว่าเซียวยาเหวินยืนอยู่ตรงหน้าเขา


 


“จ-เจ้าคิดว่ากำลังจะไปไหน”


 


เมื่อเซียวยาเหวินพยายามที่จะหยุดซูหยางจากการเข้าไปในบ้าน เธอต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าเธอไม่สามารถที่จะดันเขากลับออกไปได้แม้เพียงหนึ่งเซนติเมตรด้วยพลังการฝึกปรือระดับสูงสุดของเขตคัมภีร์วิิญญาณ รู้สึกกลับเหมือนว่าเธอพยายามที่จะเคลื่อนย้ายภูเขาด้วยมือเปล่า


 


“เจ้ายังไม่เสร็จรึ” ซูหยางหัวเราะหึขณะที่เขามองเธอดิ้นรนพยายามที่จะผลักเขาออกไปจากประตู


 


“ฝ่ามือดอกบัวเพลิง”


 


เซียวยาเหวินพลันยกมือขึ้นกระแทกไปที่อกซูหยางด้วยฝ่ามือดอกบัวเพลิง หนึ่งในวิชาประจำนิกาย


 


“อ-อ-อะไรกัน เป็นไปมิได้” เซียวยาเหวินแตกตื่นเป็นอย่างมากเมื่อซูหยางไม่สะดุ้งสะเทือนแม้ว่าจะโดนฝ่ามือดอกบัวเพลิงของเธอซัดเข้าไปเต็มอก


 


“ตัวเจ้าทำด้วยอะไรกัน เพชรรึ” เธอร้องลั่นขณะที่กุมมือที่เธอใช้โจมตีซูหยาง เช่นเดียวกับผู้อาวุโสเกาที่ด้านนอก เธอกลับทำให้ตัวเองบาดเจ็บแทนที่จะทำร้ายเขา


 


หลังจากที่พบว่าเธอไม่สามารถที่จะหยุดซูหยางได้ เซียวยาเหวินเริ่มตะโกนร้องเสียงดัง “อาจารย์ ระวัง มีผู้บุกรุกพยายามที่จะทำร้ายท่าน”


 


“ผู้บุกรุก เฮ้อ เช่นนั้นก็ได้ เจ้ามิได้พูดผิดทั้งหมด” ซูหยางไม่หยุด ยังคงเดินตรงไปยังห้องของหวังชูเหริน


 


“มีคนพยายามที่จะทำร้ายข้า ฮ่าฮ่าฮ่า มาดูกันว่าเป็นคนโง่คนไหนกัน–” หวังชูเหรินพลันออกมาจากห้องของเธอพร้อมหัวเราะ


 


“สักพักหนึ่งแล้วนะ หวังชูเหริน” ซูหยางทักเธอด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า


 


“ฮ่าฮ่าฮ่า…ฮาฮา…ฮา.. เอ๋” เสียงหัวเราะของหวังชูเหรินเบาลงจนถึงกับหยุดชะงักเมื่อเธอเห็นใบหน้าหล่อเหลาของซูหยาง


 


“จ-จ-เจ้าคือ…” แม้ว่าเธอจะจดจำเขาไม่ได้ในทันที แต่สุดท้ายครั้นที่เธอนึกถึงหน้าเขาขึ้นมาได้ หวังชูเหรินก็เริ่มสั่นสะท้านไปด้วยความตื่นเต้น


 


“อาจารย์” หวังชูเหรินไม่สนใจว่าศิษย์ของเธอเองจะยืนอยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร เธอคุกเข่าลงเพื่อคำนับซูหยาง


 


“ข้าจำมิได้ว่ายอมรับเจ้าเป็นศิษย์ตอนไหน” ซูหยางกล่าวกับเธอ


 


“อย่าเป็นเช่นนั้นสิ ซูหยาง…” หวังชูเหรินกล่าวพร้อมรอยยิ้มขื่นขม


 


ในเวลานั้น เซียวยาเหวินเหม่อมองอาจารย์ของเธอและซูหยางด้วยดวงตางงงัน ดูเหมือนว่ายอมรับไม่ได้


 


เธอไม่อยากเชื่อว่าทั้งคู่รู้จักกัน ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาดูเหมือนสนิทกัน


 


“ถ้าจะว่าไป ทำไมท่านมาทำอะไรที่นี่ ท่านต้องการสมบัติจากข้าใช่ไหม หรือจะเป็นยา” หวังชูเหรินสามารถคิดหาเหตุผลออกเพียงประการเดียวว่าทำไมเขาจึงมาปรากฏต่อหน้าเธอ


 


“เจ้าเข้าถึงประเด็นได้รวดเร็วเหมือนแต่ก่อน ข้าชอบ” ซูหยางยิ้ม “ถูกต้องแล้ว ข้าเคยต้องการให้เจ้าปรุงยาให้ แต่ว่า…”


 


“เคยต้องการ ทำไมถึงต้องเคย” เธอถามด้วยท่าทางสับสน


 


“หลังจากที่เห็นโอสถสู่คัมภีร์ที่เจ้าปรุง ข้ามิคิดว่าเจ้าจะสามารถจัดการสิ่งที่ข้าวางแผนให้เจ้าได้”


 


“เอ๋ ท่านหมายความว่าอย่างไรกับสิ่งนั้น”


 


มองเห็นว่าเธอยังดูท่าทางงุนงง ซูหยางส่ายหน้าและกล่าวว่า “ข้าซื้อยาของเจ้าไปสองสามเม็ดก่อนหน้านี้ และข้าต้องบอกว่าหลังจากที่เห็นคุณภาพของยา ข้ามิพึงพอใจถึงที่สุด”


 


“แต่ว่า…” ซูหยางพลันขยับหน้าเข้าไปใกล้กับหวังชูเหรินและเริ่มสูดดมช่วงคอที่เปิดอยู่ของเธอ “มีกลิ่นของโอสถสู่คัมภีร์คุณภาพสูงบนร่างของเจ้า..เจ้าสามารถอธิบายเรื่องนี้ให้แก่ข้าได้หรือไม่”


 


หวังชูเหรินหน้าแดงเมื่อซูหยางเข้าไปจนชิด เธอเริ่มหัวเราะหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเขา “โอนั่นรึ ฮ่าฮ่าฮ่า…”


 


เธอขยับริมฝีปากนุ่มของเธอเข้าไปใกล้หูของเขาและกระซิบว่า “ท่านเข้าใจไหม ข้าขายยาคุณภาพต่ำเหล่านั้นโดยเจตนา… ในเมื่อทั้งยาคุณภาพต่ำและยาคุณภาพสูงล้วนมีโอกาสร้อยเปอร์เซนต์ในการสนับสนุนให้ผู้ที่อยู่ในเขตปฐมวิญญาณให้เข้าสู่เขตคัมภีร์วิญญาณ ข้าจึงควรขายสิ่งที่เลวไปให้คนอื่นและเหลือแต่สิ่งที่ดีสำหรับนิกายของข้าใช่ไหม แม้กระทั่งศิษย์ของข้ายังมิรู้เรื่องนี้ โปรดเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ ตกลงไหม”


 


ครั้นเมื่อซูหยางรู้กลอุบายของเธอ เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดังออกมา เขามีความรู้สึกว่าควรจะเป็นเช่นนี้ เมื่อคิดว่าหวังชูเหรินก็เป็นคนหนึ่งที่ฉลาดเฉลียว

 

 

 


ตอนที่ 195 โอสถมังกรเพลิง

 

“ไม่เลว ข้ายอมรับว่าข้าประเมินเจ้าต่ำไป ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมเจ้าจึงไม่แสดงให้ข้าเห็นว่าอะไรคือความสามารถที่แท้จริงในการปรุงยาที่ดีที่สุดของเจ้า” ซูหยางกล่าวกับเธอ


 


หวังชูเหรินมั่นใจในความสามารถของตนเอง เธอพยักหน้า “เช่นนั้นข้าจักปรุงยาระดับสวรรค์ที่ได้รับการยกย่องอย่างสูง “โอสถมังกรเพลิง” ให้ท่าน มันเป็นยาที่มีมาพร้อมกับการก่อตั้งนิกายดอกบัวเพลิง”


 


“อ-อาจารย์ แล้วพวกผู้คนที่รออยู่ด้านนอกเหล่านี้ล่ะ พวกเขารอมาหลายชั่วโมงเพื่อโอสถดอกบัวเพลิง” เซียวยาเหวินถามเธอด้วยท่าทางเป็นกังวล


 


ถ้าหวังชูเหรินทำให้พวกเขาต้องรอนานเกินไป พวกเขาอาจจะเริ่มบ่น ถึงแม้ว่าพวกเขาเป็นนิกายดอกบัวเพลิง พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะล่วงเกินกลุ่มอำนาจต่างๆได้มากมายในครั้งเดียว


 


“บอกพวกเขาว่าข้ามีธุระสำคัญที่จะต้องทำและจะกลับมาอาทิตย์หน้า ถ้าพวกเขามิสามารถรอได้ เช่นนั้นพวกเขาก็ลืมเรื่องโอสถดอกบัวเพลิงไปได้เลย ถ้าพวกเขายินดีที่จะรอ ข้าจักเพิ่มจำนวนโอสถดอกบัวเพลิงสำหรับแต่ละคนเป็นห้าเม็ด” หวังชูเหรินกล่าวสร้างความตื่นตระหนกให้กับเซียวยาเหวิน


 


“อ-อาจารย์…ท่านต้องการข้าไปบอกคนเหล่านี้ให้กลับมาทีหลังงั้นหรือ” เซียวยาเหวินอยากร้องไห้ แม้ว่าเธอจะเป็นศิษย์ในและเป็นศิษย์ตรงของหวังชูเหริน เธอไม่มีความสามารถที่จะบอกคนที่มีอำนาจและชื่อเสียงให้จากไปหลังจากที่พวกเขาได้รอเป็นเวลานาน


 


“พวกเขาคงกินข้าทั้งเป็น…” เธอพึมพัมพร้อมน้ำตาคลอเบ้า


 


หวังชูเหรืินส่ายหน้าหลังจากที่เห็นท่าทางน่าสงสารของเธอและออกไปด้วยตนเอง


 


“ข้าต้องขอโทษที่ต้องออกมาประกาศอย่างกระทันหัน ข้าเข้าใจดีว่าทุกท่านได้เฝ้ารอโอสถดอกบัวเพลิง แต่บางสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับข้าได้มาถึง ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถที่จะทำธุรกิจต่อได้ในวันนี้ เพื่อเป็นการขอโทษในวันนี้และขอบคุณต่อความเข้าใจของพวกท่าน ข้าจักเพิ่มจำนวนโอสถดอกบัวเพลิงที่แต่ละคนได้รับจากสามเป็นห้า และข้ายังลดราคาให้ทุกท่านที่มาวันนี้สิบเปอร์เซนต์เมื่อท่านกลับมาใหม่”


 


หวังชูเหรินพูด้ายท่าทางงดงามสง่าผ่าเผย เหมือนกับเมื่อตอนเธอทำงานที่โรงประมูลดอกบัวเพลิง เสียงของเธอก็มีประสิทธิภาพเช่นนี้ ซึ่งปกติแล้วไม่มีใครที่จะกล่าวโทษเธอหลังจากที่ได้ยินเสียงสดใสและเห็นใบหน้าซื่อสัตย์ของเธอ


 


“ช่วยไม่ได้ถ้าผู้อาวุโสหวังมีธุระ ข้าจักมาใหม่อย่างเร็วที่สุดเมื่อท่านสามารถขายโอสถดอกบัวเพลิงอีกครั้ง”


 


“ใช่แล้ว และไม่มีความจำเป็นสำหรับท่านผู้อาวุโสหวังจะต้องขอโทษ ข้ามั่นใจว่าตระกูลเฉิงต้องเข้าใจ”


 


“สำนักพันกระบี่ก็เข้าใจเช่นกัน”


 


แทนที่จะตำหนิเรื่องการบอกเลิกอย่างกระทันหัน ผู้คนเหล่านี้กลับเห็นอกเห็นใจหวังชูเหรินแม้ว่าจะไม่พอใจ ในเมื่อพวกเขาไม่กล้าที่จะล่วงเกินเธอและทำให้หมดโอกาสที่จะซื้อโอสถดอกบัวเพลิง บ้าไปแล้ว กระทั่งพวกเขายังตะโกนบอกชื่อของตนเองเสียงดัง หวังว่าหวังชูเหรินจะจดจำพวกเขาได้


 


แม้ว่ายาเองอาจดูไม่น่าประทับใจ แต่ผลของมันประกันว่าคนที่อยู่เขตปฐมวิญญาณสามารถเข้าถึงเขตคัมภีร์วิญญาณได้อย่างแน่นอนได้ช่วยหลือหลายสำนักและตระกูลได้เป็นอันมาก ซึ่งพวกเขาล้วนมีคนมากมายที่เขตปฐมวิญญาณซึ่งยากที่จะผ่านไปถึงเขตคัมภีร์วิญญาณ


 


โอสถดอกบัวเพลิงนี้สามารถเพิ่มพลังอำนาจของตระกูลและสำนักเหล่านั้นอย่างง่ายดายอย่างน้อยหนึ่งระดับ ถ้าพวกเขามียาพอเพียง ดังนั้นจึงเป็นเหตุผลว่าไม่มีใครที่นั่นกล้าที่จะล่วงเกินหวังชูเหริน ผู้ที่เป็นเพียงคนเดียวในโลกนี้ที่สามารถปรุงยาเช่นนั้นในตอนนี้ เธอเป็นคนที่สำคัญที่สุดที่จะช่วยเหลือพวกเขา


 


ครั้นเมื่อพื้นที่นั้นว่างเปล่าแล้ว หวังชูเหรินก็กลับไปในบ้าน


 


“ง่ายๆแค่นั้นแหละ” เธอกล่าวกับเซียวยาเหวิน ผู้ที่เห็นชัดว่าหวาดหวั่นกับสิ่งที่อีกฝ่ายทำ


 


เธอหันกายมาหาซูหยางและกล่าวว่า “ไปที่ห้องปรุงยาของข้ากันเถอะ”


 


หลังจากนั้นไม่นานทั้งคู่ก็เข้าไปในห้องปรุงยา แต่ก่นที่จะเข้าไปหวังชูเหรินก็กล่าวกับเซียวยาเหวินว่า “ข้าจักไม่รับแขกหลายวันนี้”


 


ครั้นเมื่อพวกเขาอยู่ข้างในแล้ว หวังชูเหรินก็ถามซูหยางว่า “โอสถมังกรเพลิงจักใช้เวลาปรุงประมาณสี่ชั่วโมง หวังว่าท่านมิรังเกียจที่จะรอ”


 


ซูหยางนั่งลงอย่างเรียบง่ายที่มุมห้องและกล่าวว่า “ตามสบาย”


 


หวังซูเหรินพยักหน้าและไม่ชักช้าที่จะปรุงยาอีกต่อไป


 


สองสามวินาทีหลังจากนั้น หวังชูเหรินก็นำเอาสมุนไพรและตัวยาแตกต่างกันออกมาหลายสิบชนิดจากแหวนมิติและเริ่มตรวจสอบพวกมันทีละชิ้น


 


หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง เธอก็เริ่มกระบวนการบดยา ซึ่งใช้เวลาไปอีกสองชั่วโมงจึงเสร็จสิ้น


 


แม้ว่าความเร็วของเธอถือว่าเร็วเมื่อเทียบกับนักปรุงยาระดับสุดยอดในทวีปตะวันออก เธอยังช้ามากเมื่อเทียบกับซูเมิ่งอี้ ผู้ซึ่งสามารถเบียดนักปรุงยาทุกคนในทวีปนี้ให้อับอายด้วยความเร็วอันบ้าคลั่งของเธอได้อย่างง่ายดาย


 


อย่างไรก็ตามแม้ว่าเธอจะช้า ซูหยางก็ได้วิเคราะห์ทุกการกระทำของเธออย่างระมัดระวัง เพื่อดูว่าเธอสามารถที่จะปรุงโอสถแยกวิญญาณด้วยความสามารถในปัจจุบันนี้ได้หรือยัง


 


เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า


 


สี่ชั่วโมงหลังจากนั้น หวังชูเหรินก็เหงื่อท่วมตัว ราวกับว่าเธอเพิ่งขึ้นมาจากสระน้ำ เป็นเหตุให้เสื้อผ้าของเธอแนบชิดกับร่างและเปิดเผยถึงเรือนร่างอวบอิ่มและผิวผ่อง


 


จากบรรดาหญิงสาวที่เขาพบทั้งหมดในโลกนี้ หวังชูเหรินถือว่าเป็นจุดสุดยอดเนื่องมาจากมีเรือนร่างเย้ายวนมีเสน่ห์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแตงโมสอบใบบนอกของเธอ


 


และเมื่อซูหยางได้เข้าใจความสามารถทั้งหมดของเธอในตอนนี้ เขาก็ใช้เวลาที่เหลือในการบำรุงสายตากับเรือนร่างอันงดงามของเธอ


 


“ข-ข้าเสร็จแล้ว…” หวังชูเหรินกล่าวด้วยเสียงระโหยหลังจากที่ใช้เวลาอีกหนึ่งชั่วโมงในการสร้างเม็ดยา


 


ครั้นเมื่อเธอนำเอาเม็ดโอสถมังกรเพลิงออกมาจากเตา เธอก็นำมันใส่ไว้ในขวดยาและให้ซูหยางเพื่อตรวจสอบ


 


“ความบริสุทธิ์แปดสิบเปอร์เซนต์ ได้อย่างมากที่สุดก็คือคุณภาพระดับปานกลาง หึ” ซูหยางพูดหลังจากนั้นไม่นาน


 


“เช่นนั้นท่านคิดว่าเป็นอย่างไร ข้าสามารถที่จะปรุงยาของท่านได้หรือยัง” เธอถาม


 


ซูหยางส่ายหน้า “โชคร้าย เจ้ายังมิถึงระดับนั้น เจ้ามีโอกาสเพียงห้าสิบเปอร์เซนต์ในการที่จะปรุงออกมาให้สำเร็จในตอนนี้ แต่ข้ามีวัตถุดิบพอที่จะทำได้เพียงหนึ่งครั้ง”


 


“ถ้าเป็นเช่นนั้น….”


 


“ข้าจักสอนเจ้าจนกระทั่งข้ามั่นใจว่าเจ้าสามารถปรุงยาออกมาได้ร้อยเปอร์เซนต์”


 


“ข-เขากำลังจะสอนข้า” แม้ว่าหวังชูเหรินไม่ได้พูดอะไร ความตื่นเต้นใจในดวงตาเธอชัดเจนราวกับกลางวัน

 

 

 


ตอนที่ 196 ชายผู้นี้เป็นใครกัน

 

“ว่าไปแล้ว ยาประเภทไหนที่ข้าจักต้องทำ” หวังชูเหรินถามเขาหลังจากเปลี่ยนชุดชุ่มโชกออกไป ซึ่งนั่นทำให้เธอนึกขึ้นได้ว่าเขายังไม่ได้บอกเธอเลย


 


“ข้าคิดว่ามันคงดีที่สุดถ้าเจ้ามิรู้” ซูหยางกล่าวขณะที่เขาไม่ต้องการทำให้เธอหวาดกลัวกับยาที่เธอไม่เคยได้ยินมาก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งระดับที่สูงของมันซึ่งต้องทำให้เธอหวั่นเกรงอย่างแน่นอน


 


“ท้ายที่สุด โอสถแยกวิญญาณเป็นบางสิ่งที่กระทั่งนักปรุงยาที่มีระดับเหนือเธอยังไม่กล้าที่จะลอง อย่างไรก็ตามในเมื่อเธอมีวิชาระดับเซียนซึ่งถักร้อยเพื่อยาดังเช่นโอสถแยกวิญญาณ เธอย่อมมีโอกาสสูงกว่ามากที่จะปรุงยาสำเร็จ


 


“อย่างนั้นรึ…”


 


แม้ว่าหวังชูเหรินค่อนข้างมั่นใจในความสามารถของตนเอง เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกกระวนกระวายเกี่ยวกับยาที่เขาต้องการให้เธอทำ


 


“อย่างไรก็ตาม เรามาเริ่มกัน” ซูหยางกล่าว “ข้าได้มองดูเจ้านานพอที่จะพบความผิดพลาดในวิชาของเจ้า ดังนั้นข้าจักช่วยเจ้าแก้ไขปรับปรุงความผิดพลาดเหล่านั้นให้ดีขึ้น”


 


และก่อนที่หวังชูเหรินจะทันได้พยักหน้า ซูหยางก็กล่าวต่อว่า “ข้าต้องการให้เจ้ามีความสามารถพอที่จะปรุงยาภายในพรุ่งนี้”


 


“พ-พรุ่งนี้…”


 


ซูหยางพยักหน้าและกล่าวว่า “นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราควรเริ่มกันแต่ตอนนี้”


 


หลังจากกล่าวคำเหล่านั้นแล้ว ซูหยางเริ่มอบรมหวังชูเหรินในเรื่องวิชาของเธอ เขาบอกข้อผิดพลาดที่เธอได้ทำระหว่างการปรุงยาก่อนนั้นและอธิบายวิธีการปรับปรุงวิชาให้ดีขึ้นในอนาคต


 


และหลังจากไม่กี่นาทีหลังจากฟังคำบรรยายของเขา หวังชูเหรินรู้สึกว่าความเข้าใจต่อศาสตร์การปรุงยาของเธอเพิ่มมากขึ้น ราวกับว่าเธออยู่ต่อหน้าเทพแห่งการปรุงยา ซึ่งเป็นบางคนผู้ซึ่งมีความสามารถกระทั่งในการเปลี่ยนนักปรุงยาที่อ่อนด้อยที่สุดให้กลายเป็นนักปรุงยาระดับสูงสุดได้ด้วยเพียงถ้อยคำไม่กี่คำ


 


เป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับเธอที่จะพบว่าศาสตร์แห่งการปรุงยาของเธอเพิ่มพูดรวดเร็วจากเพียงแค่ฟังคำพูดของซูหยางไม่กี่คำ


 


ตอนแรกเธอสงสัยว่าการบรรยายประเภทไหนกันที่เขาจะให้ ตามจริงแล้วเธอไม่คาดหมายว่าการบรรยายของเขาช่างง่ายและตรงไปตรงมา ราวกับว่าเธอกำลังฟังเขาอ่านหนังสือเกี่ยวกับศาสตร์แห่งการปรุงยาให้เธอฟัง ซึ่งมีแต่สาระสำคัญในนั้นและกรองเอาสิ่งที่ไร้ประโยชน์ออกไป


 


ซูหยางพูดให้เธอฟังอย่างต่อเนื่องตลอดหลายชั่วโมง และหลังจากที่ผ่านไปสี่ชั่วโมงของการอธิบาย เขาตัดสินใจดูว่าเธอได้พัฒนาเพิ่มขึ้นมากน้อยเพียงใด


 


“ไปลองปรุงโอสถมังกรเพลิงอีกครั้ง” เขากล่าวกับเธอ


 


“ข้าจักต้องไปรวบรวมวัตถุดิบจากคลัง” เธอกล่าว


 


ซูหยางพยักหน้า


 


เมื่อหวังชูเหรินไปยังคลังเพื่อร้องขอวัตถุดิบสำหรับโอสถมังกรเพลิง นิกายไม่ได้ปฏิเสธคำร้องของเธอ ในเมื่อพวกเขาไม่ต้องการที่จะทำให้เธอโกรธ เพราะว่าโอสถสู่คัมภีร์ที่เธอปลอมแปลงเป็นโอสถดอกบัวเพลิง เจ้านิกายของนิกายดอกบัวเพลิงจึงให้ฐานะเธอภายในนิกายซึ่งมีตำแหน่งต่ำกว่าตัวเขาเองเพียงเล็กน้อย และในเมื่อหวังชูเหรินปฏิเสธที่จะแบ่งปันความลับในการปรุงโอสถสู่คัมภีร์ นิกายดอกบัวเพลิงจึงไม่มีทางเลือกได้แต่ดูแลเธอด้วยความนับถือมากยิ่งกว่าผู้อาวุโสนิกายคนอื่น


 


ครั้นเมื่อหวังชูเหรินได้รับวัตถุดิบแล้ว เธอก็ตรงกลับไปยังที่พักของเธอที่มีซูหยางรอคอยอยู่ เธอเริ่มปรุงยาทันทีไม่กี่วินาทีหลังจากที่เธอกลับมา


 


เมื่อเธอเสร็จสิ้นกระบวนการตรวจสอบและบด เธอพบว่าความเร็วของตนเองยังคงเท่าเดิม ราวกับว่าไม่มีการพัฒนาใดๆ อย่างไรก็ตามเธอไม่ได้ท้อแท้กับเรื่องนั้นและทำการปรุงยาต่อไป


 


และภายในเพียงไม่กี่นาทีหลังจากหวังชูเหรินเริ่มปรุงโอสถมังกรเพลิง สุดท้ายเธอก็ตระหนักถึงผลการอบรมของซูหยางที่มีต่อศาสตร์แห่งการปรุงยาของเธอ


 


ไม่เพียงแต่เธอรู้สึกว่าง่ายขึ้นในการควบคุมอุณหภูมิเตา แต่พละกำลังของเธอก็ถูกใช้ไปในอัตราที่น้อยกว่าก่อนการอบรมจากซูหยาง


 


หลังจากเพียงแค่อบรมจากซูหยางไปเพียงสี่ชั่วโมง ศาสตร์แห่งการปรุงยาของเธอได้ก้าวหน้าไปแบบก้าวกระโดด ถ้าเธอต้องศึกษาด้วยตนเองปราศจากความช่วยเหลือของเขา นั่นจะต้องใช้เวลาเธอเป็นเดือนเป็นปีเพื่อที่จะให้ถึงความก้าวหน้าระดับนั้น


 


“ชายผู้นี้เป็นใครกัน” หวังชูเหรินตื่นตระหนกเป็นอย่างมากในใจ


 


เธอรู้ว่าหน้าตาเด็กของซูหยางนั้นขัดแย้งกับความสามารถที่แท้จริงของเขาอย่างมาก แต่เธอยังคงไม่อาจเข้าใจเบื้องหลังที่แท้จริงของเขา


 


ในขณะที่เขาสวมชุดของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย สถานที่ที่ซึ่งไม่มีค่าให้ควรกล่าวถึงจากสำนักใหญ่หลายแห่ง ซูหยางกลับแสดงสิ่งที่เธอไม่เคยคาดคิดว่าจะได้มาแม้กระทั่งจากสำนักหรือตระกูลที่ทรงอำนาจที่สุดภายในภาคตะวันออก


 


เหตุใดเพียงแค่ศิษย์ธรรมดาของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจึงมีวิชาระดับเซียนซึ่งกระทั่งนิกายที่ร่ำรวยที่สุดในทวีปตะวันออกได้แต่ฝันจะได้มา


 


เหตุใดเพียงแค่ศิษย์ธรรมดาของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจึงมีประสบการณ์ในศาสตร์แห่งการปรุงยามากมายปานนี้


 


หวังชูเหรินย่อมไม่มีทางเชื่อ


 


“หยุดคิดเกี่ยวกับเรื่องไร้สาระและตั้งใจกับเตาปรุงยา” ซูหยางพลันกล่าวกับเธอ


 


หวังชูเหรินรู้สึกว่ามีความหนาวเยือกผ่านไขสันหลังจากความคมชัดของซูหยาง ราวกับว่าเขาสามารถอ่านใจเธอได้


 


“นิกายดอกบัวเพลิงต้องไม่ล่วงเกินเขาไม่ว่าในสถานการณ์ใดก็ตาม แม้ว่าเขาจะเป็นเพียงคนคนเดียว นิกายไม่อาจล่วงเกินคนอย่างเขา” หวังชูเหรินสาบานกับตัวเองว่าเธอจะไม่ล่วงเกินซูหยางแม้ว่าเขาจะฆ่าครอบครัวของเธอต่อหน้า เขาเป็นคนที่น่าหวาดกลัวเกินไปในสายตาเธอ


 


หลังจากที่คิดเช่นนั้น หวังชูเหรินก็หยุดความคิดทุกอย่างที่ไม่จำเป็นออกไปจากใจและจดจ่อแต่เพียงเตาปรุงยาเบื้องหน้าเธอ


 



 



 



 


สองชั่วโมงต่อมา หวังชูเหรินก็นำเอาโอสถมังกรเพลิงออกมาจากเตาด้วยท่าทางสับสน


 


ไม่เพียงแต่เธอใช้เวลาปรุงยาแค่ครึ่งหนึ่งกว่าที่เธอใช้ในครั้งที่แล้ว กระทั่งร่างกายของเธอก็ยังเหงื่อไหลไม่มาก ศาสตร์แห่งการปรุงยาของเธอได้ก้าวหน้ามากเกินกว่าที่เธอได้คาดไว้


 


ปล: ผมได้ปรับปรุงเวลาจากต้นฉบับ ต้นฉบับบอกว่าเธอจะใช้เวลาปรุงยาสี่ชั่วโมง แต่เอาเข้าจริงสิบสองชั่วโมง และซูหยางอบรมอีกสี่ชั่วโมง รวมกับปรุงยาครั้งนี้อีกหกชั่วโมง รวมกันแล้วยี่สิบสองชั่วโมง เมื่อซูหยางมาถึงแปดโมงเช้ากว่าจะปรุงยาเม็ดนี้เสร็จก็หกโมงเช้าของอีกวัน


 


ผมได้ปรับปรุงเวลาจากสิบสองชั่วโมง เป็นสี่ชั่วโมงตามที่เธอบอก ซูหยางอบรมอีกสี่ชั่วโมง และปรุงยาเม็ดนี้อีกครึ่งหนึ่งตามที่ต้นฉบับบอก สองชั่วโมงไม่รวมตอนบด เป็นสิบสองชั่วโมง เป็นยี่สิบนาฬิกาสองทุ่มพอดีแบบไม่ต้องทำอะไรเลย ซึ่งก็น่าสมเหตุผลสอดคล้องกับตอนต่อไปพอสมควร จึงได้แจ้งให้ท่านผู้อ่านได้ทราบ

 

 

 


ตอนที่ 197 ค่ำคืนสุขสันต์

 

“ท่านคิดว่าอย่างไรกับยานี้เปรียบเทียบกับครั้งที่แล้ว” หวังชูเหรินถามซูหยางขณะที่เธอยื่นส่งโอสถมังกรเพลิงให้กับเขาอย่างง่ายๆ สิ่งที่นิกายดอกบัวเพลิงถือเป็นสมบัติล้ำค่า


 


ซูหยางเหลือบมองเม็ดยาเพียงสองวินาทีก่อนที่จะพูดว่า “ดีขึ้นเล็กน้อย แต่มันยังไม่ดีพอ”


 


“อย่างนั้นรึ…”


 


หวังชูเหรินรู้สึกมั่นใจในยาเม็ดใหม่นี้ แต่อนิจจา มันยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เขายอมรับ แม้ว่าเธอไม่ได้แสดงออกมา หวังชูเหรินก็ต้องการที่จะช่วยเขาปรุงยานั้นอย่างแท้จริง เพราะนี่เป็นเพียงวิธีเดียวที่เธอสามารถตอบแทนเขาจากทุกสิ่งที่ได้มอบกับเธอ แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่เล็กน้อย


 


“อย่างไรก็ตาม ข้าสามารถบอกได้ว่าเจ้าได้เข้าใจการบรรยายของข้าได้จริง ดังนั้นเจ้าน่าจะถึงจุดนั้นได้หลังจากฝึกฝนต่อไปอีกสักหน่อย” ซูหยางกล่าวต่อ


 


“จริงรึ เช่นนั้นเราจะรออะไรอีก เรารีบอบรมต่อกันเถอะ” หวังชูเหรินไม่ได้รู้สึกกระตือรือล้นกับการอบรมมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว นี่เป็นความรู้สึกที่สดใหม่สำหรับเธอ


 


ซูหยางพยักหน้าและเริ่มบรรยายรอบใหม่ในทันที


 


สำหรับการบรรยายครั้งที่สอง ในเมื่อหวังชูเหรินได้รู้จุดอ่อนของตนเองแล้ว ซูหยางจึงเจาะลึกลงไปในวิชาของเธอ อธิบายความลับทั้งหมดของมันและวิธีนำไปใช้ให้เป็นประโยชน์อย่างเหมาะสม สร้างความทึ่งให้กับหวังชูเหริน ซึ่งไม่เคยคิดว่าช่างมีเคล็ดลับมากมายในวิชาที่เธอคิดว่าได้มาถึงขีดจำกัดแล้ว


 


การบรรยายเพียงใช้เวลาไปสองชั่วโมงในครั้งนี้ แต่สิ่งที่หวังชูเหรินเรียนรู้จากสองชั่วโมงนี้ได้เกินกว่าสิ่งที่เธอได้เรียนรู้มาตลอดชีวิต


 


หลังจากบรรยาย ซูหยางได้กล่าวกับเธอ “เจ้าสามารถฝึกฝนต่อด้วยตัวเองในตอนนี้ ข้าจักกลับมาในวันพรุ่งนี้เพื่อดูความก้าวหน้าของเจ้า และหวังว่าข้าสามารถยอมรับให้เจ้าปรุงยานั้นโดยไม่กังวลว่าเจ้าจะล้มเหลว”


 


“ท่านจะไปไหน นี่ก็เกือบเที่ยงคืนแล้ว ดังนั้นท่านอาจจะถูกสั่งหยุดจากคนในนิกายถ้าพวกเขาพบท่านเดินเตร็ดเตร่ ถ้าท่านต้องการ ข้าสามารถจัดที่พักให้ท่านที่นี่” หวังชูเหรินกล่าวกับเขา


 


“ข้าไม่เป็นไรหรอก” เขาตอบกลับอย่างรวดเร็ว “และข้าก็มีที่จะไปในใจอยู่แล้ว”


 


“อย่างนั้นรึ… เช่นนั้นข้าก็มิรบกวนท่านต่อไปแล้ว”


 


ซูหยางออกจากที่พักของหวังชูเหริน ปล่อยให้เธอฝึกฝนวิชาต่อไปเพียงผู้เดียว


 


สองสามวินาทีต่อมา เขาก็สำแดงท่าร่างก้าวเก้าดาราและลับหายไปในยามค่ำคืน


 



 



 



 


ภายในที่พักของตนเอง จางซิวยิงนอนลงบนเตียงด้วยดวงตาเบิกโพลง สายตาเธอเหม่อมองไปนอกหน้าต่างไปยังดวงดาวเต็มฟ้าด้วยความรู้สึกสับสน


 


“เขาจำข้าได้จริงๆ…” เธอคิดถึงช่วงเวลาที่อยู่กับซูหยางภายในโรงประมูลดอกบัวเพลิง


 


เมื่อซูหยางจากไปวันนั้น เธอมั่นใจว่าเขาต้องลืมเธอหลังผ่านช่วงเวลาหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงท่าทางไม่แยแสต่อเธอในช่วงเวลานั้น


 


อย่างไรก็ตามความคาดหมายของเธอก็ยังคงเป็นเพียงแค่จินตนาการ เมื่อซูหยางกลายเป็นคนเข้าถึงง่าย เป็นมิตรมากกว่าเดิม เธอได้พบเขาอีกครั้งและยิ่งในรูปแบบนี้ซึ่งเกินกว่าสิ่งที่เธอเคยร้องขอ ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้เธอยังคงตื่นตัวเพราะว่าตื่นเต้นเกินไป


 


“ข้าสงสัยว่าข้าจักได้พบกับเขาอีกหรือไม่”


 


เพียงแค่เธอพึมพัมคำพูดเหล่านั้น เธอก็ได้ยินใครบางคนเคาะประตูบ้านเธอ


 


“นั่นใคร”


 


จางซิวยิงตรงไปเปิดประตู


 


“ซ-ซูหยาง”


 


เมื่อเธอเห็นซูหยางยืนต่อหน้า เธอนิ่งอึ้งสิ้นเชิง


 


“ท-ท่านมาทำอะไรที่นี่ เกิดอะไรขึ้นกับผู้อาวุโสหวัง” เธอถามเขา


 


“ข้ากำลังรอให้เธอทำบางสิ่งให้เสร็จ ดังนั้นข้าจึงมาที่นี่เพื่อฆ่าเวลา ข้ามารบกวนหรือไม่” เขาพูด


 


“บ้าไปแล้ว ยิ่งกว่ายินดีต้อนรับสำหรับท่านที่นี่” จางซิวยิงยอมให้ซูหยางเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจกฏของนิกายเกี่ยวกับแขกหลังเที่ยงคืน


 


ครั้นเมื่อซูหยางอยู่ภายในบ้านของเธอแล้ว จางซิวยิงถอนใจ “โชคดีที่ข้าได้เป็นศิษย์ในและมีบ้านของตนเองในตอนนี้”


 


เธอนึกไม่ออกว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเพื่อนร่วมบ้านคนเก่าอยู่ที่นี่และเห็นเธอนำเอาชายอื่นเข้ามาในบ้านดึกดื่นเที่ยงคืน


 


“ว่าไปแล้ว อะไรพาท่านมาที่นี่ในเวลานี้” จางซิวยิงถามเขา หัวใจเธอเต้นเร็วกว่าปกติเล็กน้อย ราวกับว่าเธอคาดหวังในบางสิ่ง


 


“เจ้ายังจำได้หรือไม่ที่ข้าพูดกับเจ้าในเช้าวันนี้” เขากล่าวพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า


 


“ช-ช-ช-ช-เช้า ว-ว-ว-วันนี้” เห็นชัดว่าจางซิวยิงจำได้ แต่เธอคิดว่าเขาพูดถ้อยคำเหล่านั้นเพียงเพื่อยั่วยุศิษย์เหล่านั้นและไม่คิดว่าเขาจะหมายความอย่างนั้นจริงๆ


 


“ท-ท่านคงมิได้พูดเล่นใช่ไหม” เธอถามเขาด้วยหัวใจที่เต้นรัวแรงราวกับกลองศึก


 


“อะไรกัน เจ้าคิดว่าข้าเพียงพูดเล่นหรอกรึ”


 


จางซิวยิงพยักหน้าเชื่องช้า


 


ซูหยางยิ้มและเริ่มตรงเข้าไปหาเธอ


 


“เจ้ายังคงคิดว่าข้าพูดเล่นอยู่หรือไม่ตอนนี้” เขากระซิบข้างหูเธอครั้นเมื่อดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขน


 


จางซิวยิงส่ายหน้าและพึมพัมด้วยเสียงเหนียมอายว่า “ข้าจักอยู่ในความดูแลของท่านอีกครั้ง…”


 


ไม่นานหลังจากนั้น ครั้นเมื่อจางซิวยิงและซูหยางอยู่ภายในห้องนอน พวกเขาทั้งคู่ปลดเปลื้องเสื้อผ้าและเริ่มสัมผัสความอบอุ่นจากร่างของอีกฝ่าย


 


อย่างไรก็ตามไม่เหมือนกับครั้งแรกที่พวกเขาอยู่ด้วยกันที่โรงประมูลดอกบัวเพลิงซึ่งเป็นเพียงการกระทำข้างเดียว ครั้งนี้ซูหยางกอดจางซิวยิงอย่างหลงไหลและเต็มใจ ปฏิบัติต่อเธอเหมือนกับเธอเป็นหญิงของเขาคนหนึ่ง


 


“อาา…แบบนั้น…”


 


จางซิวยิงเปี่ยมไปด้วยความสนุกสุขสมอย่างสมบูรณ์ขณะที่เธอรับรู้ถึงแท่งหนาของซูหยางเข้าไปในร่างของเธออีกครั้ง


 


ความรู้สึกว่าแท่งหนาของเขาแข็งแกร่งราวกับเหล็ก ความรู้สึกสุขสันต์ที่แผดเผาทำให้ร่างของเธอสั่นสะท้านไปด้วยความพึงพอใจ อีกทั้งกลิ่นเฉพาะจากร่างซูหยางทั้งหมดนี้ทำให้จางซิวยิงนึกถึงช่วงเวลาที่พวกเขาใช้ภายในห้องที่มีแสงริบหรี่ในโรงประมูลดอกบัวเพลิง


 


“ความรู้สึกนี้… ข้าไฝ่ฝันมานานสำหนับสิ่งเหล่านี้นับตั้งแต่วันนั้น…” จางซิวยิงคิดในใจขณะที่เธอครวญครางออกมาจากใจ

 

 

 


ตอนที่ 198 จู่โจมยามค่ำคืน

 

ในอาคารหลังหนึ่งภายในนิกายดอกบัวเพลิง ชายหนุ่มทำลายข้าวของภายในห้องของตนเองขณะตะโกนออกมาอย่างโกรธแค้น “เจ้าดอกทองนั่น ไม่เพียงแต่ฟ้องป้าเรื่องข้า ทำให้เธอต้องดุด่าข้ามิรู้จบ แต่เจ้านั่นยังกล้าสนิทสนมกับชายอื่นจากนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัย”


 


ผู้ที่โกรธเกรี้ยวอยู่นี้คือหวังหมิง ญาติของหวังชูเหริน เมื่อพฤติกรรมอันน่าอับอายของเขาถูกเปิดเผยต่อหวังชูเหรินโดยจางซิวยิงด้วยความช่วยเหลือของซูหยาง ถึงวิธีที่เขาละเมิดฐานะของตนเองภายในนิกายโดยการกดดันศิษย์หญิงที่ไม่มีเส้นสายให้หลับนอนกับเขา หวังชูเหรินจึงรายงานไปยังตระกูลหวังเพื่อให้ลงโทษเขาทันที


 


และครั้นเมื่อตระกูลหวังได้รับรู้เรื่องราวอันอื้อฉาวของเขา พวกเขาพลันเรียกตัวเขากลับไปยังตระกูลและลงโทษด้วยการทุบตีเขาจนกระทั่งเขาไม่อาจหลับลงเนื่องจากความเจ็บปวดไปทั่วร่าง


 


“เป็นเพราะว่าเจ้าดอกทองนั่นทำให้หน้าตาชื่อเสียงของข้าป่นปี้หมดสิ้น ตอนนี้ทุกคนในตระกูลเห็นข้าเป็นพวกเดียวกับโจรเด็ดดอกไม้” ดวงตาของหวังหมิงเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความโกรธ


 


หลังจากที่ใช้เวลาอีกสองสามนาทีในการเปลี่ยนห้องให้เป็นขยะหวังหมิงก็ค่อยสงบลงบ้างเล็กน้อย และก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ


 


“ในเมื่อข้าถูกตราว่าเป็นโจรเด็ดดอกไม้ ข้าก็ควรจะเป็นเสียเลย และเพราะว่าเจ้าที่บีบข้าให้จนมุม ข้าจักไปหาเจ้าเป็นรายแรก จางซิวยิง” ในใจของเขาแผดเผาไปด้วยความคิดที่จะแก้แค้น และคนแรกในใจของเขาก็คือจางซิวยิง ผู้ที่เป็นต้นเหตุให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้


 


หวังหมิงจึงนำเอายาแปลงโฉมออกมากลืนกิน เปลี่ยนใบหน้าของตนเองเป็นคนแปลกหน้า ส่วนชุดของเขานั้น เพราะว่าเขายังอยู่ภายในนิกายดอกบัวเพลิงและอยู่ในช่วงหลังเที่ยงคืน เขาไม่อาจเสี่ยงที่จะเดินไปทั่วโดยใช้ชุดที่ไม่ใช่ชุดนิกาย เพิ่มโอกาสที่จะทำให้เขาถูกจับ


 


ครั้นเมื่อเขาเสร็จสิ้นการวางแผนการแก้แค้น หวังหมิงออกจากที่พักของตนเองและเริ่มตรงไปยังที่พักของจางซิวยิง


 


ภายในใจเขา เขากำลังคิดถึงสิ่งที่เขาจะทำกับจางซิวยิงยามเมื่อเธอตกอยู่ในมือเขา “ข้าโชคดี ตอนนี้เธอกลายเป็นศิษย์ใน ดังนั้นเธอจึงพักอยู่คนเดียว” เขาหัวเราะในใจ


 


“ข้าจักทำให้เธอเสียใจที่ฟ้องร้องข้า และยามเมื่อข้าได้สนุกกับเธอแล้ว ข้าจักทำลายหลักฐานทั้งหมดที่จะทำให้ข้าเสี่ยง รวมไปถึงตัวของจางซิวยิงด้วย”


 


ภายใต้ฟ้ายามค่ำคืนขณะที่ศิษย์ส่วนใหญ่กำลังหลับหรือไม่ก็ฝึกวิชาอยู่ภายในห้องของตนเอง หวังหมิงก็เดินทางไปยังที่พักของจางซิวยิงด้วยใจที่แผดเผาไปด้วยเพลิงตัณหาและความคิดแก้แค้น เขาอดรนทนไม่ไหวที่จะเริ่มทรมานจางซิวยิง


 


เวลาต่อจากนั้นยามเมื่อหวังหมิงสามารถเห็นที่พักของจางซิวยิง รอยแสยะยิ้มของเขาฉีกกว้างเต็มไปด้วยเจตนาชั่วร้าย


 


“แสงไฟปิด…หรือว่าเธอหลับแล้ว” หวังหมิงหวังว่าเธอหลับจริงๆไม่ใช่ไม่อยู่บ้าน ไม่เช่นนั้นเขาต้องหาศิษย์หญิงคนอื่นเพื่อปลดปล่อยความโกรธแค้น


 


อย่างไรก็ตามขณะที่หวังหมิงเริ่มตรงเข้าไปยังบ้านของจางซิวยิง เสียงที่เฉื่อยชาก็ดังขึ้นที่ข้างหู


 


“หลังจากที่นั่งที่นี่ตั้งนาน ข้าเริ่มสงสัยว่าเจ้าจักปรากฏตัวหรือไม่…”


 


“นั่นใคร” หวังหมิงรู้สึกจิตใจรุ่มร้อนเมื่อเขาได้ยินเสียงดังขึ้นมาอย่างกระทันหันและเริ่มสอดส่ายสายตาไปรอบๆด้วยหน้าตาแตกตื่น


 


ร่างหนึ่งค่อยปรากฏตัวต่อหน้าเขาไม่กี่วินาทีหลังจากนั้น


 


“จ-จ-เจ้าคือ” ใจหวังหมิงสั่นสะท้านเมื่อใบหน้าของซูหยางปรากฏขึ้นต่อหน้า เหตุใดอีกฝ่ายจึงยังอยู่นี่ในเมื่อเลยเที่ยงคืนมาแล้ว แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด ทำไมอีกฝ่ายจึงอยู่ที่นี่ในตอนนี้ หรือว่าอีกฝ่ายรู้เกี่ยวกับแผนที่เขาจะจู่โจมจางซิวยิงคืนนี้ นั่นเป็นไปไม่ได้ ในใจของหวังหมิง นอกจากว่าอีกฝ่ายมีวิธีข้ามกาลเวลาจากอนาคต นั่นย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ที่ซูหยางจะรู้แผนของเขาในเมื่อเขาเพิ่งคิดมันออกมา


 


“จ-เจ้าเป็นใคร ล-และ จ-เจ้ามาทำอะไรที่นี่ แขกมิได้รับอนุญาตให้อยู่ในนี้หลังเที่ยงคืน” หวังหมิงเริ่มทำท่าทางราวกับว่าเขาเป็นเพียงศิษย์ธรรมดา


 


ด้วยท่าทางที่ยังเฉยเมย ซูหยางกล่าวว่า “เจ้าคิดจริงๆหรือว่าข้ามิได้สังเกตเห็นเจ้าแอบติดตามพวกเราตั้งแต่ต้น แม้ว่าเจ้าจะปิดบังตัวตน แต่การจ้องมองอย่างน่ารังเกียจของเจ้าช่างชัดเจนราวกับกลางวัน”


 


“จ-เจ้าพูดถึงอะไรกัน” หวังหมิงยังทำท่าทางไม่รู้เรื่อง แต่มีสัญญาณชัดเจนบ่งบอกว่ามีเหงื่อไหลมากมายบนชุดคลุมของเขา


 


ซูหยางแอบส่ายหน้ากับการแสดงที่ไม่ได้เรื่องของหวังหมิง เขาได้สังเกตหวังหมิงติดตามพวกเขา โดยเฉพาะจางซิวยิง ก่อนที่พวกเขาจะโต้เถียงเล็กน้อยกับศิษย์ในสามคนและศิษย์หลักหนึ่งคน และนี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เขาตัดสินใจพบกับจางซิวยิงในเวลานี้ก็เพราะว่าเขาคาดว่าบางสิ่งเช่นนี้จะเกิดขึ้น และเขาต้องการที่จะทำให้มั่นใจว่าเธอปลอดภัย และถึงแม้ว่าหวังหมิงไม่ปรากฏตัวคืนนี้ เขาก็ยังคงจะทำให้มั่นใจว่าหวังหมิงจะไม่สามารถที่จะแก้แค้นได้หลังจากที่เขาจากไป


 


“เราทั้งคู่รู้ว่าทำไมเจ้าจึงอยู่ที่นี่ในตอนนี้ แต่ช่างเป็นโชคร้ายของเจ้าที่มันไม่เป็นไปตามแผน เจ้ามิคิดเช่นนั้นเหมือนกันรึ หวังหมิง”


 


สามารถมองเห็นได้ว่าหวังหมิงสั่นสะท้านอยู่ในตอนนี้ เขารู้เป็นอย่างดีกว่าซูหยางมีความสามารถอะไร เพราะว่าเขาก็อยู่ที่นั่นได้เห็นการทุบตีฝ่ายเดียวที่เมืองดอกบัว


 


“ด-ด-เดี๋ยว หยุดก่อน ม-มาพูดเรื่องนี้กันก่อน เจ้าต้องการอะไรจากข้า ข้าจักทำได้ทุกสิ่ง” รู้ว่าเขาไม่สามารถวิ่งหนีไปจากอีกฝ่ายได้ หวังหมิงทรุดตัวคุกเข่าลงไปบนพื้นเพื่อขอความเห็นใจ


 


“มิมีอะไรในตัวเจ้าที่ข้าต้องการ แม้กระทั่งเจ้าทำอะไร ข้าก็จักมิแตะต้องอะไรที่เจ้าได้สัมผัสในระยะสิบก้าว” ซูหยางกล่าวขณะหรี่ตา เสียงของเขาเยือกเย็นจนกระทั่งเกือบแช่แข็งดวงใจของหวังหมิงเมื่อได้ยิน

 

 

 


ตอนที่ 199 ค่ำคืนแห่งการทรมาน

 

“ท-ทำไมเจ้าทำเช่นนี้ หรือเป็นเพราะว่าเธอจางซิวยิง เธอเป็นอะไรกับเจ้า” หวังหมิงร่ำร้องด้วยน้ำมูกและน้ำตา


 


ซูหยางมองไปที่ท่าทางน่าสมเพชของอีกฝ่ายโดยสีหน้าไร้อารมณ์ เขาพูดด้วยเสียงเย็นเยียบ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่ข้าเกลียดมากกว่าคนที่ใช้กำลังข่มเหงผู้อื่นคืออะไร คนที่ใช้อิทธิพลกดดันผู้ที่ไม่อาจจะป้องกันตัวได้ คนแบบเจ้า”


 


ซูหยางเริ่มก้าวตรงไปยังหวังหมิงที่สั่นสะท้านอย่างช้าๆ


 


“ถึงแม้ว่าจางซิวยิงจะไม่ขอร้อง ข้าก็จักกำจัดเจ้าอยู่แล้วเพื่อที่โลกนี้จะได้มีผู้เคราะห์ร้ายน้อยลง”


 


สีหน้าของหวังหมิงซีดราวกับกระดาษในตอนนี้ ราวกับว่าไม่มีเลือดในกายเหมือนกับผีดิบ


 


“ด-ด-ได้โปรด…ข้าขอวิงวอน…อ-อย่าฆ่าข้า…” ใบหน้าหวังหมิงเต็มไปด้วยน้ำมูกน้ำตา ดูราวกับว่าเขาเพิ่งเห็นคนรักตายในอ้อมแขน ขาของเขาขยับอย่างไม่อาจควบคุมได้ ถอยหนึ่งก้าวยามซูหยางก้าวหนึ่งก้าว


 


“ฆ่าเจ้ารึ อย่ากังวล ข้ามิฆ่าเจ้าหรอก” ซูหยางกล่าวพร้อมรอยยิ้มลึกลับ


 


ดวงตาของหวังหมิงมีประกายขึ้นมาบ้างเมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ รู้สึกมีความหวังขึ้นเล็กน้อย แต่ความรู้สึกนั้นคงอยู่เพียงไม่กี่วินาทีเมื่อซูหยางพูดต่อ


 


“ความตายช่างเบาบางในการลงโทษคนเช่นเจ้า ดังนั้นข้าจักให้เจ้าได้รับประสบการณ์ความเจ็บปวดที่เกินทนที่เจ้าจักร่ำร้องให้ข้าฆ่าเจ้าแทน”


 


“ด-ด-เดี๋ยว…ไม่…โปรด…” ใบหน้าหวังหมิงมีแต่ความหวาดกลัวเหนือกว่าทุกสิ่งที่เขาเคยได้ประสบมา


 


“ช-ช-ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย มีผู้บุกรุกพยายามฆ่าข้า”


 


หวังหมิงพลันเริ่มตะโกนร้องสุดเสียง ถ้าเขาไม่สามารถหยุดซูหยางได้ด้วยตนเอง ดังนั้นเขาจะต้องกระตุ้นคนทั้งนิกายและให้พวกเขาจัดการกับอีกฝ่ายแทนเขา


 


“ใครก็ได้ช่วยด้วย มีผู้บุกรุก เขาเป็นสายลับพยายามที่จะทำลายนิกายดอกบัวเพลิง”


 


หวังหมิงได้ตะโกนร้องต่อไปชั่วขณะ แต่ถึงจะร่ำร้องต่อไปอีกหลายนาที ก็ไม่มีใครที่จะมาช่วยเขา ไม่แม้เพียงเงา


 


“ก-เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงไม่มีใครมาเลย” หวังหมิงมองไปรอบๆด้วยท่าทางสับสน แน่นอนว่าบางคนต้องได้ยินเสียงเขาต่อให้ว่าพวกเขาหลับสนิท โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อาวุโสนิกาย แต่ทำไมจึงยังไม่มีใครมาถึงทั้งที่เวลาผ่านไปเนิ่นนาน


 


“มีอะไรผิดพลาดไปรึ บางทีเจ้าอาจจะตะโกนเสียงไม่ดังพอ เช่นนั้นทำไมเจ้าไม่พยายามตะโกนให้นานกว่านี้อีกหน่อย” ซูหยางกล่าวกับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้าผ่อนคลายของเขา ราวกับว่าเขากำลังสนุกจากการมองดูหวังหมิงร่ำร้องอย่างสับสน


 


“จ-เจ้าทำอะไรลงไป นี่เป็นการกระทำของเจ้าใช่หรือไม่ จริงแล้วเจ้าเป็นใคร” หวังหมิงพูดด้วยเสียงแหบแห้งซึ่งเป็นเหตุมาจากการตะโกนร้อง


 


“ข้าคาดว่าเจ้าจะต้องทำอะไรเช่นนี้ ดังนั้นข้าจึงสร้างค่ายกลรอบสถานที่นี้ไว้ก่อนหน้า ค่ายกลที่ป้องกันเสียงเล็ดลอดออกไปไม่ว่าเจ้าจะกรีดร้องดังเพียงใด เจ้าควรขอบใจข้าในเมื่อเจ้ามิต้องกังวลว่าใครจะมารบกวนยามเมื่อเจ้ากรีดร้องเหมือนหมู…”


 


“ไม…ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่”


 


หวังหมิงไม่อาจมองเห็นว่านี่เป็นชายหนุ่มรูปหล่อยามเมื่อเขามองไปยังซูหยาง และเพียงสามารถเห็นปีศาจร้ายยืนอยู่ตรงนั้นโดยมีชีวิตของเขาอยู่ในกำมือของซูหยาง


 


ซูหยางรู้สึกเหมือนไม่ต้องการยืดให้ล่าช้าต่อไปอีก เขาตรงเข้าไปหาหวังหมิงอีกครั้งขณะที่พูดไปทุกก้าวว่า “ติดกับดัก…ช่วยไม่ได้…กลัว…หมดหวัง….สิ้นหวัง…ปวดร้าว…เกลียด…ไร้อำนาจ… ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นความรู้สึกที่เจ้าทำกับเหยื่อของเจ้า และกรรมสนองย่อมเลวร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อข้าเป็นผู้จัดการ”


 


เมื่อหวังหมิงไม่คิดสูักับซูหยาง เขาหันหลังกลับวิ่งหนีทันทีแม้ว่าจะรู้ดีว่าเขาไม่สามารถหนีเงื้อมมือซูหยางได้


 


“ทำไมเจ้าจึงวิ่งหนี”


 


วูบ


 


ความกระหายเลือดพลันปรากฏขึ้นจากซูหยางทันทีที่เขาดึงกระบี่ออกมา และในชั่วเวลาไม่ถึงวินาที ซูหยางก็สะบัดกระบี่ ส่งประกายกระบี่วาดผ่านไปยังหวังหมิงที่วิ่งหนี


 


และเพราะว่ามันพุ่งตามหลังเขา หวังหมิงย่อมไม่รู้ความเป็นจริงอย่างสิ้นเชิงว่าเขาถูกไล่จู่โจมโดยกระบี่จากซูหยาง


 


และทันใดนั้นประกายกระบี่ที่สร้างขึ้นโดยซูหยางก็เข้าถึงตัวหวังหมิง เช่นเดียวกับการตัดกิ่งไม้สองกิ่งด้วยกระบี่ มันตัดผ่านขาสองข้างของหวังหมิง ยับยั้งความสามารถในการยืนของเขาอย่างสิ้นเชิง ยิ่งอย่ากล่าวถึงการวิ่งอีกต่อไป


 


“อาาาาาาาาาาาาาาา”


 


เมื่อถูกตัดขาออกอย่างฉับพลันและปราศจากความสามารถที่จะวิ่งอีกต่อไป หวังหมิงล้มหน้าทิ่มและร่ำร้องอย่างปวดร้าว เสียงแหบแห้งของเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด


 


ครั้นเมื่อหวังหมิงล้มลงบนพื้น ซูหยางก้าวมาหาเขาอย่างสบายๆพร้อมกับยกกระบี่สูงขึ้นไปบนฟ้า


 


“ด-ด-เดี๋ยว…” หวังหมิงพยายามต่อต้านความเจ็บปวดที่มีอยู่ทั่วไปยังร่างกายท่อนล่างเพื่อร้องขอความกรุณา


 


“ไม่” ซูหยางพูดเสียงเย็นเยียบขณะที่กระบี่ในมือตวัดฟาดลงไปยังหวังหมิง


 


ฉับ


 


หวังหมิงพลันรู้สึกว่าบอลสองลูกที่แขวนอยู่ช่วงล่างของร่างกายแตกระเบิดออกเป็นเลือดเนื้อเลอะเลือน


 


“?&@*#$^%&@!” เสียงกรีดร้องโหยหวนน่าหวาดกลัวออกมาจากหวังหมิงในวินาทีต่อไปซึ่งไม่คล้ายกับเสียงที่เกิดจากมนุษย์ แต่คล้ายกับเสียงหมูร้อง


 


และเพราะว่าความเจ็บปวดอย่างต่อเนื่องบนร่างของเขา หวังหมิงจึงหมดสติไป และตื่นขึ้นมาในสองสามวินาทีถัดไปจากความเจ็บปวดอันรุนแรงที่ยังคงกระแทกลึกเข้าไปในร่าง และความเจ็บปวดนั้นก็วนรอบซ้ำไปมาต่อไปอีกชั่วระยะเวลาหนึ่ง


 


และในเมื่อซูหยางไม่ต้องการให้หวังหมิงตกตายจากการเสียเลือดมากเกินไป เขาบังคับยาฟื้นฟูคุณภาพสูงเข้าไปในคอของหวังหมิงเพื่อที่จะทำให้ร่างกายของอีกฝ่ายสร้างเลือด เก็บชีวิตเขาให้ยังคงอยู่


 


“โปรด..เพียงฆ่าข้าก็พอ…” หวังหมิงรู้สึกหมดสิ้นเรี่ยวแรงจากการกรีดร้องทั้งหมดจนเขาไม่มีแรงที่จะร่ำร้องอีกต่อไป และดังที่ซูหยางได้กล่าวก่อนหน้านี้ หวังหมิงเริ่มอ้อนวอนให้ฆ่าเขาแทน


 


“เจ้าอาจจะพอแล้ว แต่ข้ายังไม่จบเรื่องกับเจ้า ค่ำคืนยังเพิ่งเริ่มต้น เช่นนั้นเรามาสนุกกันจนถึงที่สุด…” ซูหยางพูดด้วยท่าทางไม่รู้สึกรู้สา หรี่ตาบนใบหน้าหล่อเหลา สายตาเย็นชาจับจ้องตรงไปถึงจิตใจหวังหมิงที่ขณะนั้นได้เกือบพังทลายลงแล้ว


 


“นายท่าน…ได้โปรด…เมตตา…” หวังหมิงสิ้นสติไปอีกครั้งจากความตกใจเพียงเพื่อที่จะฟื้นคืนกลับมาในเพียงไม่กี่วินาทีหลังจากนั้นเพราะว่าซูหยางได้เตะไปยังรอยแผลเปิดอย่างแผ่วเบา

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม