Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร 449-452
บทที่ 449 : เอาแต่ใจ!
“ขึ้นรถสิ!” หลิงหยุนขับรถเข้าไปจอดใกล้เหมี่ยวเสี่ยวเหมาพร้อมกับเรียกเธอให้ขึ้นไปบนรถ
“รถสวยดีนี่..” เหมี่ยวเสี่ยวเหมาขึ้นไปนั่งตรงที่นั่งด้านข้างคนขับ พร้อมกับจัดระเบียบร่างกายให้อยู่ในท่านั่งที่สบาย
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับจ้องใบหน้าขาวๆของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาแล้วถามขึ้นว่า “คุณจะไปใหน?”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมายังคงนั่งมองไปข้างหน้า ขนตายาวกระพริบเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไปว่า “ไปกับนาย..”
ฟรึบ! แสงสีทองปรากฏวูบขึ้นมาภายในรถ..
เจ้าดักแด้ทองคำตัวอ้วนกลมบินเข้ามาในรถ และมาเกาะอยู่ที่ไหล่ของเหมี่ยวเสี่ยวเหมา
หัวของมันมีขนาดเท่านิ้วโป้งของผู้ใหญ่ ส่วนปีกสีทองทั้งสองข้างก็บางราวกับปีกของจักจั่น ทั่วทั้งตัวของมันล้วนเป็นสีทองไปหมด ที่หัวมีเนื้อนูนขึ้นมาคล้ายเป็นมงกุฏเล็กๆแสนน่ารัก ดวงตาของมันมีขนาดเท่าเมล็ดข้าว และสามารถยืดหยุ่นและหมุนปรับทิศทางได้รอบ และตอนนี้แววตาของมันก็เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น และดีอกดีใจ
หลิงหยุนนึกเปรียบเทียบเจ้าทองน้อยจากที่ได้พบเห็นมันเมื่อครั้งที่แล้ว ตอนนี้ตัวของมันโตขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ปีกก็ขยายใหญ่ขึ้น แต่ก้อนเนื้อที่ศรีษะยังคงดูคล้ายมงกุฎเล็กๆเช่นเดิม และที่ชัดมากขึ้นก็คือมันมีพลังอมตะแทรกซึมอยู่ในร่างกาย
หลิงหยุนรีบยิ้มทักทายเจ้าทองน้อย “ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง.. มาๆ มาหาข้าเร็วเข้า ข้ามีอะไรจะให้เจ้ากิน..”
เจ้าทองน้อยส่ายหน้าพร้อมกับกระพือปีกและทำเสียงดังวี้ดๆ ดวงตาของมันกรอกไปมารอบๆ ดูเหมือนว่ามันจะเต็มไปด้วยความระมัดระวัง และตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา จากนั้นก็หันหน้าหนีและไม่ยอมบินไปหาหลิงหยุน
สีหน้าท่าทางของมันนั้นราวกับเด็กน้อยอายุสามหรือสี่ขวบ.. ช่างน่ารักเสียเหลือเกิน!
“ถ้าไม่มาแล้วจะเสียใจนะ..”
หลิงหยุนพูดต่อแล้วก็เลิกแกล้งเจ้าทองน้อย เขาเหยียบคันเร่ง และรถแลนด์โรเวอร์ก็พุ่งออกไปข้างหน้าทันที
เหมี่ยวเสี่ยวเหมานั่งเงียบอยู่ในรถไม่พูดไม่จา หลิงหยุนเองก็ไม่พูดอะไร ส่วนเจ้าทองน้อยก็เกาะไหล่ของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาอยู่เช่นนั้น บรรยากาศจึงเริ่มน่าเบื่อ ปีกสีทองเล็กๆค่อยๆขยับ แล้วเจ้าทองน้อยก็โบยบินออกไปนอกรถ และทะยานขึ้นไปโลดแล่นอยู่บนท้องฟ้าแทน
หลิงหยุนขับรถไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็ไปจอดที่จุดเกิดเหตุที่ ‘หลิงหยุน’ ถูกรถพ่วงชนครั้งแรก เขาเดินลงจากรถไปสำรวจรอบๆอยู่ราวสองสามนาที จากนั้นก็ขึ้นรถและขับต่อไปยังคูน้ำในเมือง
หลิงหยุนสังเกตบริเวณรอบๆอย่างละเอียดลออ และก็ไม่พบว่ามีกล้อง CCTV ติดตั้งอยู่
“นี่นายทำอะไรกัน?” เหมี่ยวเสี่ยวเหมาทนนิ่งเฉยต่อไปไม่ได้ จึงถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“มาเล่น..” หลิงหยุนตอบ
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาเลียริมฝีปากอย่างไม่พอใจ แล้วก็นั่งนิ่งไม่พูดอะไรอีก!
จากนั้นหลิงหยุนก็ขับไปตามคูน้ำ และไปจอดอยู่ตรงที่พบศพของหวังเล่ย..
หวังเล่ยเป็นคนขับรถพ่วงชนเขา หลังจากทำงานสำเร็จ มันก็ต้องกลับไปหาคนสั่งงานเพื่อรับเงินค่าจ้างที่เหลือ แล้วก็คงจะถูกฆ่าปิดปาก และนำศพพมาทิ้งในคูน้ำ
ดูเหมือนผู้จ้างวานจะเคลียร์ตัวเองได้อย่างสะอาด เพราะเท่าที่สำรวจดูแล้วไม่เหลือร่องรอยอะไร หรือมีหนทางใดที่จะสืบสาวไปถึงตัวคนสั่งการได้เลย นอกจากเรื่องเงิน..
หลิงหยุนส่ายหน้าและเดินกลับไปที่รถอีกครั้ง เขาหยุดครุ่นคิดเรื่องนี้ไว้ก่อน และกำลังรอคอยข่าวคราวจากถังเมิ่งและตี้เสี่ยวอู๋
หลิงหยุนเลี้ยวรถ และมุ่งหน้าไปยังบ้านที่ทะเลสาปจิงฉู
“ผมจะพาคุณไปพบกับท่านหมอเสี่ยว!”
แม้หลิงหยุนพูดกับเหมี่ยวเสี่ยวเหมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังมาก แต่ก็หนักแน่นพอจะบอกว่านี่เป็นคำสั่งที่เหมี่ยวเสี่ยวเหมาไม่อาจปฏิเสธได้
ใบหน้าของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาเปลี่ยนเป็นตื่นตระหนก และเริ่มซีดเผือดขึ้นมาทันที เธอร้องโวยวายออกมาอย่างตกใจ “ไม่.. ฉันไม่ไป!”
“ต้องไป! ท่านหมอเสี่ยวเป็นปู่ของคุณ คุณจะปิดบังแล้วก็หลบซ่อนแบบนี้ไปตลอดชีวิตหรือยังไง?” หลิงหยุนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“นี่นาย.. นายรู้เรื่องปู่ของฉันได้ยังไง?” เหมี่ยวเสี่ยวเหมาถึงกับตกใจสุดขีด เธอหันหน้าไปถามหลิงหยุนด้วยความแปลกใจและอัศจรรย์ใจ
หลิงหยุนฉีกยิ้มสดใสและหัวเราะก่อนจะตอบไปว่า “แน่นอนว่าเกิดจากการเดาล้วนๆ.. แล้วถูกต้องไม๊ล่ะ?”
หลิงหยุนคิดในใจว่า.. ‘คนอย่างเจ้าคิดที่จะทำตัวลึกลับกับข้างั้นรึ.. เจ้ายังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ แล้วก็ยังห่างไกลอีกมาก!’
“ท่านหมอเสี่ยวพบเจ้าทองน้อยเข้า เขาจึงได้รู้ว่าเหมี่ยวเฟิงหวงน่าจะส่งคุณมา แต่ตอนแรกผมก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นปู่ของคุณ”
“ความขมขื่นเมื่อสี่สิบปีที่แล้ว.. คุณไม่รู้สึกว่ามันช่างน่าเศร้าแล้วก็ตลกสิ้นดีงั้นเหรอ?”
“ตอนนี้ย่าของหนิงน้อยก็ได้เสียชีวิตไปแล้ว และอุปสรรคที่ขวางกั้นระหว่างคนทั้งคู่ก็ไม่มีอีกแล้ว คุณอยากให้ความขมขื่นนี้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆอย่างงั้นเหรอ?”
ร่างที่สวยงามของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาสั่นเทิ้ม เพราะคำพูดของหลิงหยุนนั้นจี้ใจดำของเธออย่างมาก..
“นี่ก็หมายความว่า.. นาย.. นายรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว!” เหมี่ยวเสี่ยวเหมาพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ
หลิงหยุนตอบกลับไปตรงๆ “ก็พอรู้บ้าง..”
“ถ้างั้น.. นายก็เป็นคนที่ยับยั้งหนอนกู่ในร่างกายของท่านปู่ไว้ใช่ไม๊?” เหมี่ยวเสี่ยวเหมาถามขึ้นอีกครั้ง
หลิงหยุนตอบอย่างภาคภูมิใจ “ถ้าไม่ใช่ผม.. แล้วใครล่ะที่จะสามารถทำได้!”
หลิงหยุนเงยหน้าขึ้นมองเหมี่ยวเสี่ยวเหมาและพูดต่อว่า “อีกสองสามนาทีก็จะเข้าเรียนแล้ว ตอนนี้หนิงน้อยก็คงอยู่ที่โรงเรียน และปู่ของคุณก็อยู่บ้านตามลำพัง พวกคุณสองคนเพิ่งได้พบกันครั้งแรก คงจะมีเรื่องพูดคุยกันมากมาย..”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาตัดสินใจอย่างยากลำบาก เธอกระพริบตาถี่พร้อมกับกัดริมฝีปากแน่น และพูดขึ้นอย่างลังเลใจ “แต่.. แต่ฉันยังไม่ได้เตรียมใจมาเลย..”
หลิงหยุนหัวเราะหึหึ “เหมี่ยวเสี่ยวเหมา.. คุณกล้าฆ่าคน แต่ไม่กล้าไปเจอปู่ของตัวเองนี่นะ?!”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมามองหลิงหยุนหน้าซีด “คนพวกนั้นนายเป็นคนฆ่าต่างหาก.. ไม่ใช่ฉัน! อีกอย่างที่ฉันไปที่นั่นก็เพราะกลัวว่านายจะเป็นอันตราย!”
หลิงหยุนเพียงแค่ยิ้ม เพราะไม่อยากทะเลาะด้วย เขาจึงพูดต่อว่า “เอาล่ะ.. ไม่ต้องมากังวลเรื่องของผม ตอนนี้คุณนั่งคิดไปดีกว่าว่า ถ้าได้พบหน้าปู่ของคุณแล้ว คุณจะพูดอะไรกับท่านบ้าง!”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมารีบตะโกนสั่งให้หลิงหยุนจอดรถทันที พร้อมกับโวยวายว่าเธอยังไม่พร้อมที่จะไปพบกับท่านหมอเสี่ยว
“นายจะจอดหรือไม่จอด.. ถ้าไม่จอดฉันจะกระโดดลงเดี๋ยวนี้!” เหมี่ยวเสี่ยวเหมาพูดพร้อมกับทำท่าจะเปิดประตูรถ..
หลิงหยุนขยิบตาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน “หรือคุณอยากให้ผมจี้จุดคุณไว้ แล้วก็บังคับพาไปหาปู่ของคุณ.. ต้องการแบบนั้นไม๊? ถ้าไม่.. ก็นั่งนิ่งๆ!”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาไม่มีทีท่าหวาดกลัวหลิงหยุนแม้แต่น้อย เธอหันไปจ้องหลิงหยุนพร้อมโต้กลับไปทันที
“นี่.. อย่าคิดว่านายเก่งกว่าแล้วฉันจะกลัวนายนะ! ฉันจะสั่งให้เจ้าทองน้อยกัดนาย!”
หลิงหยุนหัวเราะอย่างมีความสุข “ผมยอมรับว่าเจ้าดักแด้ทองคำตัวนี้ฤทธิ์เดชร้ายกาจมาก แต่รับรองว่ามันทำอะไรผมไม่ได้แน่ ถ้าไม่เชื่อ.. คุณจะก็ลองดูก็ได้..”
“อ่อ.. แล้วก็อย่าลืมว่าหนอนกู่กลืนใจผมเป็นคนยับยั้งมันไว้เอง เจ้าทองน้อยน่ะเหรอ.. ฮ่า.. ฮ่า..!”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาไม่กล้าลอง.. ร่างบอบบางของเธอเอนพิงเบาะรถ ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ แล้วก็กรีดร้องออกมาอย่างไม่พอใจ
“นายนี่มันเอาแต่ใจจริงๆ..!”
หลิงหยุนยักไหล่แล้วพูดขึ้นว่า “คุณก็เห็นเหตุการณ์ที่ห้องครูใหญ่แล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ในเมื่อคุณมาหาผมแล้ว.. มันก็ไม่มีอะไรจะดีไปกว่าการมานั่งคุยกัน ปรึกษาหารือกัน เพื่อหาวิธีแก้ปัญหาต่อไป แต่ถ้าคุณไม่ยอมไปพบกับปู่ของคุณ ต่อให้เทพเจ้าที่ใหนก็ช่วยคุณไม่ได้”
“ท่านหมอเสี่ยวทุกข์ทรมานมานานมากกว่าสี่สิบปีซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย นี่ก็เพิ่งจะอาการดีขึ้นบ้าง อีกอย่างผมก็ได้รับปากกับเขาไว้ว่าจะช่วยจัดการเรื่องนี้ให้อย่างเหมาะสมที่สุด แต่ก็ต้องได้รับความช่วยเหลือและความร่วมมือจากคุณด้วย”
หลิงหยุนพูดโดยที่ไม่ได้หันไปมองหน้าเหมี่ยวเสี่ยวเหมา..
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาได้แต่ถอนหายใจ จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยความรู้สึกหนักอกหนักใจมาก “นายยับยั้งหนอนกู่กลืนใจในตัวท่านปู่ไว้ ท่านปู่อาการดีขึ้นก็จริง แต่ท่านย่าของฉันตอนนี้กลับ..”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า “ไม่ต้องกังวลเรื่องย่าของคุณมากนักหรอก เธอรังแกท่านหมอเสี่ยวมานานมากกว่าสี่สิบปี ตอนนี้ปล่อยให้เธอได้รับทุกข์ทรมานบ้างนิดๆหน่อยๆ เธอจะได้รู้บ้างว่าหนอนกู่นั้นไม่ใช่จะสามารถใช้แก้ปัญหาได้ทุกเรื่อง!”
ขอบตาของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาแดงก่ำ “นายไม่มีสิทธิ์พูดถึงท่านย่าของฉันแบบนั้น นายไม่รู้หรอกว่าตลอดสี่สิบกว่าปีมานี้ ท่านย่าต้องทนทุกข์ทรมานมากแค่ใหน?”
เมื่อเห็นว่าเหมี่ยวเสี่ยวเหมาเริ่มจะร้องไห้ และหลิงหยุนก็กลัวน้ำตาของผู้หญิงมากที่สุด เขาจึงรีบพูดขึ้นว่า “ได้ๆ ผมไม่พูดก็ได้! แต่คุณอย่าร้องไห้นะ ไม่งั้นเจ้าทองน้อยจะคิดว่าผมรังแกคุณ ถ้ามันกัดผมเข้าจริงๆ คงแย่แน่..”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาถึงกับหัวเราะเสียงดังออกมา และดวงตาคู่สวยและมีเสน่ห์ของเธอก็จ้องมองหลิงหยุน “ใหนนายบอกว่าไม่กลัวเจ้าทองน้อยไง?”
“จะบอกว่าไม่กลัวซะทีเดียวเลยก็ไม่ถูก..! ใครบ้างที่อยากจะถูกดักแด้ทองคำที่มีพิษร้ายแรงที่สุดกัดบ้าง?”
เหมี่ยเสี่ยวเหมาได้หัวเราะก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้น และเริ่มรู้สึกว่าการไปพบท่านปู่ของเธอก็ไม่น่าจะใช่เรื่องยากอะไร อีกทั้งในใจลึกๆนั้น เธอเองก็โหยหาและตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้พบกับท่านหมอเสี่ยวมานานมากแล้ว
และนี่คือ.. ความผูกพันทางสายเลือดที่ตัดไม่ขาด!
“หลิงหยุน.. แต่เมื่อครู่ที่นายพูดนั้น หมายความว่า..”
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อย “ใช่.. ปล่อยให้อาวุโสทั้งสองเป็นผู้ทะลายกำแพงที่กั้นพวกเขาทั้งคู่ออกด้วยตัวเอง และใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข..”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมามองหลิงหยุนอยู่นาน จู่ๆเธอก็ส่ายหน้าพร้อมกับตอบไปว่า “นายไม่รู้จักอารมณ์ความรู้สึกของท่านย่าดีพอ ท่านปู่ทิ้งท่านย่ามานานสี่สิบกว่าปี นายคิดว่าคำพูดเพียงไม่กี่คำก็จะสามารถแก้ปัญหาได้หรือยังไง?”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมายังจำคำพูดของเหมี่ยวเฟิงหวงตอนที่สั่งให้เธอมาหาเสี่ยวเจิ้งจี๋ได้ดี!
หลิงหยุนมองหน้าเหมี่ยวเสี่ยวเหมาแล้วถามขึ้นว่า “แล้วเหมี่ยวเฟิงหวงยังไม่ได้มีคนอื่นใช่ไม๊?”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาได้ยินหลิงหยุนเรียกชื่อเหมี่ยวเฟิงหวงเฉยๆก็รู้สึกไม่พอใจ เพราะเป็นการไม่ให้เกียรติ เธอจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา
“มีคนอื่นงั้นเหรอ? หนอนกู่กลืนใจเปรียบเหมือนตัวแทนความรัก หากมอบให้ใครแล้วก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง!”
หลิงหยุนหัวเราะหึหึพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ค่อยโล่งอกหน่อย คุณสบายใจได้! หลังจากที่คุณกับท่านหมอเสี่ยวได้พบกันแล้ว ที่เหลือนอกจากนั้นเป็นหน้าที่ของผมเอง!”
ยี่สิบนาทีต่อมา.. หลิงหยุนก็ขับรถแลนด์โรเวอร์เข้าไปในบ้านของท่านหมอเสี่ยว และเมื่อลงจากรถ เขาก็เห็นเจ้าทองน้อยบินอยู่ห่างออกไปราวหนึ่งร้อยเมตร จากนั้นก็ร้องเรียกให้เหมี่ยวเสี่ยวเหมาลงมาจากรถ
“นี่ไม่ใช่รถรับเจ้าสาวนะคุณ.. ถึงบ้านแล้วครับ.. ยังจะนั่งนิ่งอยู่ทำไมอีก? ลงมาได้แล้ว!”
ฝ่ามือทั้งสองข้างของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาชุ่มไปด้วยเหงื่อ หน้าแดงก่ำ แววตาลังเล และดูเหมือนว่ากำลังสั่นไปทั้งตัว
ตั้งแต่เกิดมาจนถึงตอนนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เหมี่ยวเสี่ยวเหมาจะได้พบหน้าปู่ของตัวเอง การที่เธอมีปฏิกิริยาเช่นนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลก!
ฮึบ!
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาสูดลมหายใจเข้าลึกพร้อมกับกัดฟันแน่น และค่อยๆเปิดประตูรถออกและก้าวลงมา..
แม้แต่หลิงหยุนเองก็ถึงกับแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก!
นาทีที่เหมี่ยวเสี่ยวเหมาลงจากรถ ประตูบ้านของท่านหมอเสี่ยวก็เปิดออกพอดี และร่างสูงใหญ่ของท่านหมอเสี่ยวก็ปรากฎขึ้นตรงหน้าประตู!
ใบหน้าของท่านหมอเสี่ยวแดงก่ำไม่แพ้กัน ริมฝีปากเม้มเข้าหากันแน่น และขณะที่ก้าวเท้าเดินออกมาจากบ้าน ดวงตาของเขาก็จับจ้องอยู่เพียงแค่เหมี่ยวเสี่ยวเหมา!
“เจ้า.. เจ้าคือเหมี่ยวเสี่ยวเหมาใช่ไม๊?” ร่างสูงใหญ่ของท่านหมอเสี่ยวสั่นเทิ้มเป็นการบ่งบบอกว่าเขากำลังอยู่ในอาการตื่นเต้นอย่างรุนแรง
“ท่านปู่!”
ทันทีที่เหมี่ยวเสี่ยวเหมาเห็นเสี่ยวเจิ้งจี๋เดินออกมา สมองของเธอก็โล่งไปหมด เธอลืมสิ้นทุกอย่าง และร่างของเธอก็พุ่งเข้าหาเสี่ยวเจิ้งจี๋ราวกับลูกธนู
บทที่ 450 : หลิงหยุน!
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาพุ่งตัวเข้าไปหาท่านหมอเสี่ยวพร้อมกับทิ้งตัวลงในอ้อมแขนของเขา จากนั้นน้ำตาก็ไหลพร่างพรูออกมาเต็มไปหน้า เธอร้องไห้หนักจนไหล่ทั้งสองข้างสั่นอย่างรุนแรกง
ใบหน้าของท่านหมอเสี่ยวก็เปื้อนไปด้วยน้ำตาเช่นกัน เขาลูบแผ่นหลังของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาอย่างอ่อนโยน และปลอบปะโลมเธอ
“เด็กดี.. ในที่สุดเจ้าก็กลับบ้านแล้ว ไม่ร้องนะ.. ไม่ร้อง..”
หลิงหยุนมองภาพที่ซาบซึ้งกินใจอยู่อย่างเงียบๆ..
เขายืนนิ่งจ้องมองปู่และหลานสาวที่กำลังกอดกันร้องไห้ ช่างเป็นภาพที่สะเทือนใจและประทับใจอย่างมากจนหลิงหยุนถึงกับใจสั่น และไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
ในที่สุดเหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็ได้พบกับปู่ของเธอ.. แล้วตัวเขาล่ะ? โลกที่กว้างใหญ่ไพศาลใบนี้ มีที่ใดบ้างที่เป็นบ้านสำหรับเขา? ทุกคนต่างก็มีครอบครัว.. แล้วตัวเขาล่ะ.. ญาติพี่น้องของเขาอยู่ที่ใหนกันแน่?
แน่นอนว่าฉินจิวยื่อและหนิงหลิงยู่ก็คือเครือญาติที่สนิทที่สุดสำหรับเขาในเวลานี้ แต่นั่นก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าเขาเป็นเพียงลูกบุญธรรมได้! ทั้งคู่อาจจะเป็นครอบครัวของเขา แต่ก็ไม่ใช่สายเลือด!
แม้ว่าหลิงหยุนจะไม่ได้ใส่ใจในเรื่องฐานะของตัวเองมากนัก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ต้องการบ้าน ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ต้องการพบหน้าพ่อแม่แท้ๆของตัวเอง!
เพราะถึงอย่างไร.. หลังจากที่เขาได้รักษาเส้นลมปราณหยางเจี๋วยและลดน้ำหนักแล้ว ร่างนี้ก็นับว่าเป็นร่างที่ดีมากที่พ่อแม่คู่นี้ได้มอบให้กับเขา
แต่มีสิ่งหนึ่งที่แม้แต่ตัวเขาเองก็แทบไม่อยากจะเชื่อ นั่นก็คือรูปลักษณ์ภายนอกของหลิงหยุนบนโลกใบนี้นั้น ช่างเหมือนกับรูปลักษณ์ของเขาที่อยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ชนิดที่ไม่มีจุดแตกต่างเลยแม้แต่นิดเดียว
แม้หลิงหยุนจะไม่เคยเปิดเผยความต้องการของตนเองออกมาให้ใครรู้ แต่ในใจของเขานั้นมีความโหยหาที่อยากจะพบพ่อแม่ที่ได้มอบร่างกายนี้ให้กับเขา และเป็นร่างที่เขายอมรับมันจากหัวใจ
ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งเพียงใด และไม่ว่านี่จะเป็นบททดสอบที่เหี้ยมโหดจากสวรรค์ หรือจะเป็นเพราะโชคชะตาก็ตาม ในเมื่อเขายอมรับทุกอย่างของร่างนี้แล้ว เขาก็ต้องการบ้านที่สมบูรณ์!
หลิงหยุนรู้ว่าพ่อแม่ที่ให้กำเนิดร่างนี้ ต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน และที่พวกท่านต้องทอดทิ้งเขานั้น ก็อาจเพราะสถานการณ์บีบบังคับ อีกทั้งตัวเขาเองยังถูกทำลายเส้นหยางเจี๋วยตั้งแต่เด็กอีกด้วย
ไม่เพียงแค่เขาต้องสืบหาศัตรูที่ต้องการสังหารตนเอง แต่ยังต้องค้นหาครอบครัวที่ตนเองสืบสายเลือดมาด้วย และนี่คือภารกิจที่หลิงหยุนไม่เคยพูดให้ใครฟัง เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา!
แต่ถึงกระนั้น.. เขาก็ยังมีบ้านที่แท้จริงของตัวเองอยู่ ซึ่งก็คือโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่และลึกลับนั่นเอง!
ที่นั่น.. เขามีอาจารย์ที่ใจดี มีเพื่อนที่เผชิญความยากลำบากมาด้วยกัน มีพี่น้องที่ไล่ล่าสังหารศัตรูเคียงบ่าเคียงไหล่กัน และมีสาวงามที่ยากจะลืมเลือน!
แต่หลังจากที่เขาได้เห็นเส้นทางดวงดาวที่พู่กันจักรพรรดิวาดขึ้นกลางอากาศในถ้ำแห่งนั้น หลิงหยุนจึงได้รู้ว่าการจะกลับไปที่นั่นคงเป็นเพียงแค่ความฝัน เพราะระยะทางจากโลกมนุษย์ไปถึงโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้น เป็นเส้นทางที่ไกลเกินไป!
ท่ามกลางจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลและเวิ้งว้างหาที่สิ้นสุดไม่ได้นั้น แม้แต่ความทรงจำที่ไร้ขีดจำกัดของเขานั้น ก็ยังไม่อาจจดจำเส้นทางดวงดาวนั้นไว้ได้หมด เขาจำได้เพียงแค่ส่วนเดียว ที่เหลือนั้นเขาจำอะไรไม่ได้เลย!
แต่ต่อให้เขาสามารถจดจำเส้นทางดวงดาวที่ทอดไปยังโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ได้ทั้งหมด เขาก็ไม่แข็งแกร่งพอที่จะกลับไปที่นั่นได้!
ท่ามกลางดวงดาวมากมายในจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลนั้น.. คงมีเพียงเทพเจ้าเท่านั้นที่จะรู้ว่ามีปีศาจที่แข็งแกร่งมากมายเพียงใดที่เขาจะต้องเผชิญระหว่างเส้นทางนั้น!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้.. หลิงหยุนได้แต่ถอนใจออกมา และรอยยิ้มขมขื่นก็ปรากฏอยู่บนใบหน้าที่หล่อเหลาของเขา ไม่มีใครที่เขาจะสามารถแบ่งปัน หรือบอกเล่าความขมขื่นในใจได้เลยแม้แต่คนเดียว.. ไม่มีเลย!
หลิงหยุนทำได้เพียงแค่ฝึกฝนอย่างหนักเพื่อให้ตนเองค่อยๆแข็งแกร่งขึ้นทีละเล็กทีละน้อยไปตามลำดับ..
การจะกลับไปยังโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้น อย่าว่าแต่เขาจะสามารถฝึกฝนจนเข้าสู่ขั้นอมตะได้ หรือแม้แต่จะฝึกจนเป็นเซียนบนโลกใบนี้ได้ ก็ใช่ว่าเขาจะสามารถเดินทางกลับไปที่นั่นได้!
นั่นเพราะหลิงหยุนเริ่มค้นพบว่า.. ในดาวเคราะห์ดวงเล็กๆที่เรียกว่าโลกแห่งนี้นั้น นับวันยิ่งมีความลึกลับเพิ่มขึ้นมากมายจนน่ากลัว!
ไม่ว่าจะเป็นค่ายกลมังกรหยินหยาง หลวงจีนกายเพชรที่พบในตำแหน่งดวงตาหยาง สิ่งเหล่านี้สามารถสังหารผู้คนให้ตายได้ภายในเวลาเพียงแค่ชั่วพริบตา
หากเขาต้องปะทะกับหลวงจีนกายเพชรที่พบในอารามเล็กๆแห่งนั้น และเขายังฝึกดารกะดายันไม่ถึงขั้นเจ็ดแล้วล่ะก็ รับรองว่าเขาคงต้องถูกหลวงจีนกายเพชรฆ่าตายได้อย่างง่ายดาย
การฝึกตนของหลวงจีนกายเพชรซึ่งอาศัยอยู่บนโลกใบนี้ช่างน่ากลัวมากจริงๆ ทุกครั้งที่หลิงหยุนนึกถึงอารามเล็กๆแห่งนั้น และนึกถึงพลังพุทธะที่เขาได้สัมผัสมานั้น เขาจะรู้สึกเย็นวาบไปทั่วทั้งกระดูกสันหลังเลยทีเดียว และจนถึงตอนนี้เขาเองก็เพิ่งจะรู้ว่าพลังนั่นน่ากลัวอย่างมหาศาล..
เขาไม่รู้แม้กระทั่งว่าหลวงจีนกายเพชรรูปนั้นยังมีชีวิตอยู่ หรือว่ามรณภาพไปแล้วกันแน่.. ไม่แน่ว่าร่างที่เขาเห็นนั้นอาจจะเป็นเพียงร่างแปลงก็เป็นได้!
และแน่นอนว่ายอดฝีมือระดับนั้น ก็คงต้องการครอบครองสมุดและพู่กันจักรพรรดิเช่นกัน..!
แต่นับว่ายังโชคดีที่ตอนนี้ทั้งพู่กันและสมุดจักรพรรดิต่างก็เข้าไปอยู่ในร่างกายของเขาแล้ว ทำให้หลิงหยุนรู้สึมั่นใจอย่างมาก!
“คนพวกนั้นคงหมดหนทางที่จะแย่งมันไปจากข้าได้! เพราะไม่รู้ว่าจะแย่งไปได้อย่างไร..”
………..
“หลิงหยุน.. หลิงหยุน.. นี่เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่? เข้าไปคุยกันในบ้านดีกว่า..” ท่านเสี่ยวหมอเทวดาร้องเรียกหลิงหยุนเสียงดัง
หลิงหยุนถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์ทันที เขาเงยหน้ามองเหมี่ยวเสี่ยวเหมาที่อยู่ในอ้อมกอดของท่านหมอเสี่ยว แล้วจึงพูดกับท่านหมอเสี่ยวว่า..
“อาวุโส.. ท่านเพิ่งจะได้พบกับหลานสาว คงมีเรื่องคุยกันมากมาย ข้าไม่อยู่รบกวนจะดีกว่า..”
เหมี่ยวเสี่ยวเหมาที่ตอนนี้เช็ดน้ำตาจนแห้งแล้ว แต่ดวงตายังคงแดงก่ำอยู่ ได้แต่เหลือบมองหลิงหยุนแต่ไม่ได้พูดอะไร
ท่านหมอเสี่ยวเองที่เพิ่งจะสงบสติอารมณ์ลงได้นั้น ยิ้มให้หลิงหยุนพร้อมตอบกลับไปว่า “พ่อหนุ่ม.. วันนี้เจ้าดูมีมารยาทผิดปกตินะ!?”
หลิงหยุนยังคงยืนยันที่จะไป เขาเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยและตอบกลับไปว่า “อาวุโส.. ข้ามีเรื่องต้องไปทำอีกหลายอย่างไม่สามารถอยู่ต่อได้จริงๆ แต่เย็นนี้ข้าจะไปรับหนิงน้อยที่โรงเรียนให้ ปู่หลานจะได้นั่งคุยกันอยู่ที่บ้านให้หายคิดถึง!”
หลังจากนั้น.. หลิงหยุนก็ได้ส่งกระแสจิตบอกท่านหมอเสี่ยวว่า “ไม่ต้องห่วงเรื่องหนิงน้อย ข้าจะอธิบายทุกอย่างให้นางฟังเอง และมั่นใจว่านางจะสามารถยอมรับเหมี่ยวเสี่ยวเหมาได้”
ตอนนี้หลิงหยุนเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-6 แล้ว การส่งกระแสจิตในขั้นนี้ ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องขยับริมฝีปากเลยแม้แต่น้อย
คำพูดของหลิงหยุนนั้นท่านหมอเสี่ยวได้ยินอย่างชัดเจน เขาจึงพยักหน้าพร้อมกับตอบหลิงหยุนไปว่า “ถ้าเช่นนั้นก็กลับไปทำงานของเจ้าเถอะนะ ข้าเองก็จะนั่งคุยกับหลานสาว”
รูปลักษณ์ของเหมี่ยวเสี่ยวเหมานั้นสวยงามและมีเสน่ห์ไม่ต่างจากเหมี่ยวเฟิงหวง ท่านหมอเสี่ยวดีใจอย่างมากที่ได้พบหลานสาว เขาพาเหมี่ยวเสี่ยวเหมาเดินออกไปส่งหลิงหยุนที่ลานหน้าบ้าน
ก่อนที่เหมี่ยวเสี่ยวเหมาจะหันกลับไป เธอก็ส่งยิ้มให้หลิงหยุนจนตาหยี จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ไว้กลับไปแล้วค่อยคุยกันนะ!”
หลิงหยุนถึงกับตะลึง และพูดหยอกล้อกับเหมี่ยวเสี่ยวเหมา “ไม่ต้องตอบแทนผมมากนักนะ ขอแค่สามสิบ หรือห้าสิบล้านก็พอ!”
จากนั้นปู่และหลานก็เดินเข้าไปในบ้าน หลิงหยุนก็ขับรถออกจากบ้านไปทันที
……….
หลิงหยุนกลับไปหาเหล่ากุ่ยและเจ้าขาวปุยที่บ้าน แต่กลับพบว่าตู้กู่โม่อยู่ที่บ้านเพียงลำพัง และตอนนี้ก็กำลังนั่งลูบไล้กระบี่มังกรขาวอยู่
หลิงหยุนจึงร้องถามขึ้นว่า “ทำไมนายถึงอยู่บ้านคนเดียวล่ะ? เหล่ากุ่ยกับขาวปุยไปใหน?”
ตู้กู่โม่ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมองหลิงหยุน มือขวาของเขาถือดาบ ส่วนนิ้วชี้กับนิ้วกลางก็ลูบไล้กระบี่ไปมาอย่างทะนุถนอม ราวกับกำลังสัมผัสหญิงสาวอันเป็นที่รักอยู่ ส่วนปากก็ร้องตอบหลิงหยุนไปอย่างไม่สนใจ
“เหล่ากุ่ยออกไปข้างนอกตั้งแต่เช้ายังไม่กลับมา ส่วนเจ้าขาวปุยออกไปตั้งแต่เมื่อคืน และตอนนี้ก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงา..”
หลิงหยุนมองตู้กู่โม่ที่เอาแต่สนใจกระบี่ในมือจนอดโมโหไม่ได้ เขายกเท้าขึ้นเตะตู้กู่โม่ลอยขึ้นไปกลางอากาศราวสามเมตรพร้อมกับร้องตะโกนว่า
“นี่แน่ะ..! เอาแต่เล่นกระบี่.. มาช่วยข้าทำงานได้แล้ว!”
ร่างของตู้กู่โม่ลอยขึ้นไปกลางอากาศ เขาทรงตัวพร้อมโต้ตอบกลับไปเสียงดังด้วยความโมโห
“เจ้าบ้านี่..! ถ้าคนธรรมดาโดนเจ้าเตะแบบนี้ไม่ตายไปแล้วหรือไง?”
หลิงหยุนเตะตู้กู่โม่โดยที่เขายังไม่ทันได้ตั้งตัว แม้เขาพยายามจะหลบแล้ว แต่เท้าของหลิงหยุนก็ไวมาก..
ความแข็งแกร่งของหลิงหยุนในขั้นปรับร่างกาย-6 นั้นเทียบเท่ากับขั้นเซียงเทียน-3 ที่สามารถฆ่ายอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-1 ได้อย่างง่ายดาย จึงไม่ต้องพูดถึงตู้กู่โม่ที่เพิ่งอยู่ในระดับเริ่มต้นของขั้นเซียงเทียน-1 เท่านั้น
“น่าเสียดายที่เจ้าไม่ใช่คนธรรมดา..”
“วันๆข้าไม่เห็นเจ้าทำอะไรเลย! มาช่วยข้าปลุกเสกยันต์เร็วเข้า!”
หลิงหยุนต้องไปที่เกาะเตียวหยู่ และที่นั่นก็อยู่กลางทะเลที่ล้อมรอบไปด้วยผืนน้ำ เขาไม่รู้ว่าจะต้องไปเผชิญหน้ากับสถานการณ์อะไรบ้าง อีกทั้งที่นั่นยังฐานทัพของคนญี่ปุ่นอยู่ด้วย เขาจึงจำเป็นต้องเตรียมตัวไปอย่างดีเพื่อเผชิญหน้ากับการปะทะครั้งใหญ่
แต่แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการเตรียมการช่วยเหลือเจ้าขาวปุยในเรืองของการที่ต้องเผชิญกับบททดสอบที่เหี้ยมโหด ซึ่งไม่ว่าจะเป็นนักบ่มเพาะตามแนวทางเต๋า ปีศาจ มาร หรือแม้แต่ภูตผี ก็ต้องผ่านบททดสอบนี้กันทั้งนั้น ซึ่งหลิงหยุนไม่ต้องการให้เจ้าขาวปุยเผชิญกับเรื่องนี้ตามลำพัง และต้องให้มั่นใจว่า ต่อให้เจ้าขาวปุยไม่สามารถผ่านบทดสอบนี้ไปได้ มันก็จะยังคงปลอดภัยดี!
เมื่อครั้งที่หลิงหยุนอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นปรับร่างกาย-4 นั้น เขาสามารถปลุกเสกยันต์อัคนี และยันต์บำบัดระดับหนึ่งได้ แต่ตอนนี้เขาได้เข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-6 แล้ว หลิงหยุนจึงมั่นใจว่าตนเองจะสามารถปลุกเสกยันต์ระดับสองได้อย่างแน่นอน
นอกเหนือจากยันต์ขุมพลังที่หลิงหยุนต้องปลุกเสกและนำติดตัวไปด้วยแล้ว ก็ยังมียันต์จ้าวสมุทรที่เขาจะต้องเตรียมไว้ในกรณีที่ถูกพายุพัดตกลงไปในทะเล
หรือยันต์เพชร ยันต์อสนี ยันต์บำบัด ยันต์เกราะ ที่จะช่วยให้เจ้าขาวปุยสามารถต้านทานบททดสอบที่แสนโหดร้ายได้ ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถช่วยได้มากมาย แต่อย่างน้อยก็ยังดีกว่าที่จะใช้ร่างของมันรับสายฟ้าฟาดที่รุนแรงโดยไม่มีเครื่องทุ่นแรง
“ปลุกเสกยันต์เหรอ? ยันต์อัคนีกับยันต์บำบัดที่นายเคยใช้ใช่ไม๊?” ตู้กู่โม่ถามอย่างตื่นเต้น
หลิงหยุนหัวเราะ “นั่นเด็กไปแล้ว.. ครั้งนี้ข้าต้องการทำยันต์ชนิดอื่นให้เจ้าได้เปิดหูเปิดตา!”
ตู้กู่โม่ได้ฟังถึงกับร้องออกมาอย่างตกใจ “นี่เจ้ายังทำปลุกเสกยันต์ชนิดอื่นได้อีกหรือนี่?”
หลิงหยุนตอบกลับอย่างภาคภูมิใจ “แน่นอนอยู่แล้ว!”
บทที่ 451 : กระดูกสันหลังมังกรทอง!
หลิงหยุนให้ตู้กู่โม่ช่วยเขาปลุกเสกยันต์อยู่ตลอดทั้งบ่าย..
และนี่เป็นครั้งแรกที่ตู้กู่โม่เห็นหลิงหยุนปลุกเสกยันต์ เขาจึงมีอาการไม่ต่างจากตี้เสี่ยวอู๋ ผลลัพธ์ที่อัศจรรย์ของยันต์แต่ละชนิดนั้น ทำให้ตู้กู่โม่ถึงกับอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก และในเวลานี้ตู้กู่โม่ก็ไม่ต่างจากนักวิทยาศาสตร์ที่ได้ค้นพบว่าเอเลียนส์มีอยู่จริง หรือไม่ต่างจากคนที่ได้พบเห็นยาน UFO ด้วยตาตัวเอง
หลิงหยุนมักทำให้มุมมองในชีวิตของคนอื่นเปลี่ยนแปลงได้เสมอๆ และครั้งนี้ก็เช่นกัน แต่เพราะหลิงหยุนยุ่งเกินไป จึงไม่มีเวลาที่จะมานั่งอธิบายให้ตู้กู่โม่ฟัง เขาจึงได้แต่ตะโกนดุตู้กู่โม่แทน
ยันต์อัคนี ยันต์บำบัด ยันต์ขุมพลัง ยันต์ธารา และยันต์อีกมากมายหลายชนิด ยันต์เหล่านี้ล้วนเป็นยันต์ระดับต่ำสุดซึ่งหลิงหยุนสามารถปลุกเสกได้อย่างง่ายดาย และแทบไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลย
แต่ก็มียันต์ขั้นสูงขึ้นมาอีกหนึ่งระดับอย่างเช่นยันต์อสนี ยันต์จ้าวสมุทร ยันต์เพชร ยันต์เกราะ และอีกมากมาย ซึ่งยันต์ระดับนี้หลิงหยุนจำเป็นต้องใช้พลังชีวิตในร่างกายจำนวนมากไปกับการปลุกเสก และเวลาที่ใช้ปลุกเสกก็ยาวนานกว่า
ตอนนี้พลังชีวิตที่มีอยู่ภายในบ้านก็ถูกเขาดูดซับเข้าไปในร่างกายจนหมดแล้ว หลิงหยุนจำเป็นต้องใช้น้ำลายมังกรในการเพิ่มพลังชีวิตของตนเอง เพื่อที่จะได้สามารถเขียนอักขระลงบนยันต์ได้
และเมื่อตู้กู่โม่ได้เห็นหลิงหยุนใช้น้ำลายมังกรอย่างสิ้นเปลือง เขาจึงได้แต่เกาศรีษะพร้อมกับกระทืบเท้ากรีดร้องโวยวายราวกับหญิงสาว
ช่างเป็นความโชคร้ายของตู้กู่โม่ที่ไม่สามารถดื่มน้ำลายมังกรจำนวนมากเหมือนหลิงหยุนได้ เพราะหากเขาดื่มน้ำลายมังกรเข้าไปในปริมาณเท่ากับหลิงหยุน รับรองได้ว่าร่างกายของเขาจะต้องระเบิดเป็นจุนอย่างแน่นอน
ตอนนี้ร่างกายของหลิงหยุนมีพลังชีวิตเต็มเปี่ยมก็จริง แต่เดี๋ยวเดียวก็จะหมดอีก เขาจึงต้องถือน้ำเต้าที่บรรจุน้ำลายมังกรไว้ในมือข้างหนึ่งเพื่อคอยเติมอยู่ตลอดเวลา ส่วนมัจฉาหยิน-หยางในจุดตันเถียนของเขาก็หมุนด้วยความเร็วสูง และเส้นโค้งรูปมังกรทองก็เปล่งประกายสว่างไสวคล้ายกับมังกรทองขนาดเล็ก
จุดตันเถียนล่างของมนุษย์นั้นอยู่ตรงตำแหน่งใต้สะดือลงไปราวสามนิ้วมือ มีลักษณะเป็นทรงกลม และอยู่ติดกับกระดูกสันหลังของมนุษย์
กระดูกสันหลังของมนุษย์นั้นเปรียบได้กับหลอดเลือดของมังกร และในสภาวะนี้ที่แม้แต่ตัวหลิงหยุนเองก็ไม่รู้นั้น – เส้นโค้งรูปมังกรทองในจุดตันเถียนของเขา ได้เชื่อต่อเข้ากับกระดูกสันหลังของตัวเองแล้ว!
และในตอนนี้กระดูกสันหลังส่วนล่างที่อยู่ระดับเดียวกับจุดตันเถียนของหลิงหยุนนั้น เริ่มเปลี่ยนเป็นสีทองจางๆ ทำให้เส้นโค้งรูปมังกรทองที่อยู่ในจุดตันเถียนดูคล้ายกับมีหางมังกรที่เลือนรางอยู่!
และแน่นอนว่าสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้กับคนธรรมดาทั่วไป!
หากเส้นโค้งรูปมังกรทองนี้สามารถแผ่ขยายไปทั่วทั้งกระดูกสันหลังของหลิงหยุนได้ ก็ย่อมหมายความว่าเส้นเลือดมังกรที่ใหญ่ที่สุดนี้ จะสามารถเปลี่ยนเป็นมังกรทองได้ในที่สุด!
ในระหว่างที่ปลุกเสกยันต์อยู่นั้น หลิงหยุนสัมผัสได้ว่าจุดตันเถียนของเขาหมุนด้วยความเร็วสูง และพลังหยิน-หยางในจุดตันเถียนที่น่าพิศวงของเขานั้น ก็มีพลังแข็งแกร่งแบบก้าวกระโดด!
หลิงหยุนปลุกเสกยันต์จนกระทั่งได้เวลาที่เขาต้องกลับไปทำอาหารเย็นให้กับฉินตงเฉี่วย และหนิงหลิงยู่ทาน..
เมื่อหลิงหยุนกลับไปที่บ้านเลขที่-9 ในอ่าวจิงฉู ก็พบว่าสาวสวยทั้งสองคนกำลังรอเขาอยู่แล้ว และดูเหมือนว่าทั้งคู่จะเปลี่ยนไป..
สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนก็คือ ผิวพรรณที่ละเอียดกว่าเดิม ขาวกว่าเดิม และสว่างไสวราวกับคริสตัล อีกทั้งยังมีประกายแวววาวเปล่งออกมาคล้ายกับนางฟ้าในเทพนิยาย
โดยเฉพาะเส้นผมที่ตอนนี้ดำขลับ เป็นเงางาม และมีน้ำหนัก ลมที่พัดเส้นผมจนปลิวสะบัดไปมานั้น ทำให้ภาพของสองสาวดึงดูดสายตาผู้ที่พบเห็นอย่างมาก
หลิงหยุนรู้ดีว่าสิ่งเหล่านี้เป็นผลมาจากการผสมผสานระหว่างน้ำลายมังกร โสม และสมุนไพรเหอโชวูจากอาหารที่เขาเป็นพ่อครัวปรุงขึ้นในมื้อนั้นนั่นเอง สมุนไพรเหอโชวูนั้นมีคุณสมบัติในการช่วยให้เส้นผมดกดำและมีน้ำหนักก็จริง แต่มันก็ไม่ได้มีเพียงสมุนไพรชนิดนั้นเพียงอย่างเดียว
“ยังจะมายืนจ้องหน้าอยู่อีก! เจ้ากลับมาช้านะรู้ไม๊? ยังไม่รีบไปทำกับข้าวอีก?!” ดวงตากลมโตสวยงามของฉินตงเฉี่วยจ้องมองหลิงหยุนอย่างตำหนิระหว่างที่พูด
หนิงหลิงยู่ได้ทำอาหารให้ฉินตงเฉี่ยวทานเมื่อกลางวันนี้ แม้ว่ารสชาติจะอร่อยมากทีเดียว แต่หากเทียบกับอาหารฝีมือของหลิงหยุนแล้ว ฉินตงเฉี่วยได้แต่เก็บท้องไว้กินอาหารเย็นฝีมือเขา..
“โอ้โห.. ทั้งน้าหญิงแล้วก็หลิงยู่สวยขึ้นมากเลย สวยเหมือนกับเทพธิดาเลยล่ะ!”
หลังจากได้ฟังคำชมของหลิงหยุน สองสาวถึงกับยกมือขึ้นปิดปากที่กำลังแย้มยิ้ม หนิงหลิงยู่เองก็หน้าแดง ดวงตาคู่สวยของเธอใสเป็นประกายในขณะที่จ้องมองไปทางหลิงหยุน
เย็นนี้หลิงหยุนตั้งใจจะเน้นอาหารประเภทผัก เพราะการกินเนื้อสัตว์อย่างปลาใหญ่ หรือสัตว์ใหญ่ในทุกๆวันก็ไม่ใช่เรื่องดีนัก และวันนี้เขาก็จะไม่ใช้น้ำลายมังกรแทนน้ำมัน และไม่ผสมโสมกับสมุนไพรเหอโชวูลงไปอีก
ร่างของหนิงหลิงยู่นั้นเป็นกายอัปสร ดังนั้นสภาพร่างกายของเธอจึงไม่ได้ด้อยไปกว่าหลิงหยุนเลย ตอนที่ร่างของหนิงหลิงยู่ยังเป็นกายทิพย์อยู่นั้น ก็ดูดเอาปราณมังกรเข้าไปจำนวนมาก ดังนั้นร่างที่เป็นกายอัปสรของเธอในตอนนี้ จึงสามารถดื่มน้ำลายมังกรเข้าไปจำนวนมากเท่าไหร่ก็ได้
หรืออาจพูดได้ว่า นอกเหนือจากหลิงหยุนแล้ว หนิงหลิงยู่เป็นเพียงคนเดียวที่สามารถดื่มน้ำลายมังกรได้เหมือนกับเขา
สำหรับฉินตงเฉี่วยที่อยู่ในระดับสูงสุดของขั้นเซียงเทียน-3 นั้น หลิงหยุนเพียงแค่ใช้น้ำลายมังกรแทนน้ำมัน และในปริมาณเพียงแค่นั้น นางก็ต้องใช้เวลาในการย่อยสลายและดูดซับจนหมดถึงหนึ่งคืนเต็มๆ และน้ำลายมังกรในปริมาณเพียงแค่นั้นจะไม่เป็นอันตรายจนทำให้ร่างกายของเธอระเบิดได้
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และทั้งหมดก็ทานอาหารเย็นกันเสร็จเรียบร้อย..
“เจ้าเด็กดื้อ.. ต่อไปไม่ต้องทำอาหารให้หอมแล้วก็อร่อยมากก็ได้นะ ขืนข้ากินต่ออีกสักสองสามมื้อคงจะติดใจจนไม่สามารถแยก.. เอ่อ.. จนไม่สามารถกินอาหารที่คนอื่นทำได้!”
ฉินตงเฉี่วยถึงกับต้องหยุดเพื่อเปลี่ยนคำพูดกลางคัน หน้าของเธอแดงเพราะเกือบจะหลุดคำพูดออกไปว่า ‘ติดใจจนไม่สามารถแยกจากหลิงหยุนได้..’
หนิงหลิงยู่แลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปากอย่างน่ารักพร้อมกับบ่นพึมพำว่า “จริงด้วย.. ขืนกินแบบนี้ทุกวันต้องอ้วนแน่เลย!”
หลิงหยุนตอบกลับอย่างภาคภูมิใจ “หลิงยู่.. เธอกินเข้าไปได้เลยไม่ต้องกลัวอ้วน เพราะพี่ใหญ่เป็นหมองที่เก่งที่สุด แค่ฝังเข็มไม่กี่เล่ม ก็สามารถทำให้เธอกลับมามีรูปร่างที่สวยพร้อมเหมือนเดิมได้..”
หนิงหลิงยู่หน้าแดง และแอบดีใจอยู่เงียบๆ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่หลิงหยุนเอ่ยชมรูปร่างของเธอ
“เจ้าเด็กดื้อ บอกมานะว่าเจ้าใส่อะไรลงไปในอาหาร!? เหตุใดข้าฝึกแค่คืนเดียว แต่ฝีมือกลับก้าวหน้าอย่างมาก!” ฉินตงเฉี่วยนึกขึ้นมาได้จึงรีบร้องถามหลิงหยุน
หลิงหยุนอดแปลกใจกับท่าทีที่สงบนิ่งของหนิงหลิงยู่ไม่ได้ เพราะนอกจากแววตาอยากรู้อยากเห็นที่จ้องมองมาทางเขานั้น ก็ไม่มีอาการตกใจหรือแปลกใจเลยแม้แต่น้อย หลิงหยุนจึงเข้าใจได้ทันทีว่าฉินตงเฉี่วยคงจะเล่า หรือสอนอะไรบางอย่างกับหนิงหลิงยู่บ้างแล้ว
หลิงหยุนอดคิดไม่ได้ว่าฉินตงเฉี่ยวทำหน้าที่เปิดโลกทัศน์ให้กับหนิงหลิงยู่ได้ดีมาก เขาจึงตอบกลับไปยิ้มๆ
“ความจริงแล้วก็ไม่ได้มีของดีอะไรมากมาย ก็แค่ใช้น้ำลายมังกรแทนน้ำมัน ใช้โสมที่อายุมากกว่าสองพันปี และสมุนไพรเหอโชวูที่อายุกว่าสามพันปีแทนกระเทียม..”
แม้แต่ท่านหมอเสี่ยว ตู้กู่โม่ และคนอื่นๆ หลิงหยุนก็ยังเปิดเผยเรื่องพวกนี้ให้รู้ แล้วเหตุใดเขาจึงจะต้องปกปิดฉินเตงเฉี่วยและหนิงหลิงยู่ด้วย เขาจึงเลือกที่จะตอบไปตามความจริง
เมื่อฉินตงเฉี่วยและหนิงหลิงยู่ได้ฟังถึงกับตกใจและพูดอะไรไม่ออกครู่ใหญ่!
หลังจากที่หายตกใจ.. จู่ๆฉินตงเฉี่วยก็ยกแขนเรียวขาวของนางขึ้น และฟาดลงบนไหล่ของหลิงหยุน
“เจ้าเด็กดื้อ.. นี่เจ้าจะฆ่าน้าหญิงกับน้องสาวตัวเองหรือยังไง? ถึงได้กล้าใช้ของพวกนี้..”
หลิงหยุนยิ้มอย่างนึกขันพร้อมกับตอบไปว่า “น้าหญิงท่านสบายใจได้ ข้ารู้ว่าต้องใช้ในปริมาณเท่าไหร่? ทั้งสามสิ่งนั้นเป็นสมบัติล้ำค่า และเป็นผลดีต่อท่านกับหลิงยู่อย่างแน่นอน! รับรองว่าไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย..”
“แล้วเจ้าไปเอาน้ำลายมังกรนั่นมาจากที่ใหน?! บอกมาเร็วเข้า!” ฉินตงเฉี่วยถามอย่างดุดัน
“ขโมยมาจากรังมังกร..”
“รังมังกรงั้นเหรอ? แล้วอยู่ที่ใหน?”
“อยู่ใต้ก้นหลุมยักษ์..” หลิงหยุนพูดพร้อมกับชี้ไปทางเขามังกร
จากนั้นหลิงหยุนก็เล่าให้หญิงสาวทั้งสองฟังว่า เขาได้ไปพบเจออะไรที่ก้นหลุมยักษ์มาบ้าง และแน่นอนว่า เขาเลือกเล่าเฉพาะในส่วนที่เล่าได้ และตัดในส่วนที่ไม่ควรเล่าออกไป..
“พี่ใหญ่.. มีมังกรจริงๆเหรอ..?!” หนิงหลิงยู่ถามอย่างอัศจรรย์ใจ
“โอ้โห.. นี่เจ้าลงไปทางเมืองจิงฉู แต่กลับไปโผล่ที่ป่าเสินหนงเจี๋ย.. บนโลกนี้มีค่ายกลที่ทรงพลังเช่นนี้จริงหรือนี่?! ทำไมอาจารย์ของข้าไม่เคยพูดเรื่องพวกนี้ให้ข้าฟังบ้างเลย!?”
ฉินตงเฉี่วยเองก็ทั้งตกใจและอึ้งไปไม่น้อย จนลืมกระทั่งที่จะเอามือขึ้นปิดปากที่กำลังอ้านั้น เผยให้เห็นฟันขาวที่เรียงเป็นระเบียบเรียบร้อยสวยงาม
นี่หลิงหยุนได้ตัดเรื่องที่เกี่ยวกับระบบจักรวาลบนเพดานถ้ำออกไป เพราะนั่นจะยิ่งเป็นเรื่องที่ฉินตงเฉี่วยไม่นึกไม่ฝันว่าจะได้ยินด้วยซ้ำไป
“พี่ใหญ่.. ฉันขอร้องล่ะนะ ต่อไปไม่ว่าพี่จะไปที่ใหน ขอให้บอกฉันล่วงหน้านะ.. ได้โปรด!”
หนิงหลิงยู่นึกถึงเรื่องตื่นเต้นที่หลิงหยุนต้องพบเจอที่ก้นหลุมยักษณ์แล้ว ก็ได้แต่หวาดกลัวจนต้องเกาะแขนของเขาแน่น
หลิงหยุนได้บอกเล่าสาเหตุที่แท้จริงของการหายตัวไปหลายวันให้กับฉินตงเฉี่วยและหนิงหลิงยู่ฟังแล้ว ส่วนคนอื่นๆนั้นเขากลับเลือกที่จะไม่บอกความจริง
แม้มันจะเป็นเรื่องเล่าที่เขาได้ตัดบางส่วนออกไป แต่ก็ยาวเพียงพอที่จะเล่าให้สองสาวฟังอยู่นาน
“เจ้าเด็กดื้อ.. ถ้ามีเวลาพาข้าไปดูมังกรด้วยสิ ข้าอยากเห็นว่าหน้าตาของมันเป็นยังไง?!”
ฉินตงเฉี่วยนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นคนที่ยอมรับเรื่องราวที่แปลกประหลาดลี้ลับได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย และนางก็กำลังคิดที่จะได้เล่นกับเจ้าสีนิล
“ฉันก็อยากไปด้วย!” แม้แต่หนิงหลิงยู่เองก็เติบโตขึ้นมากตั้งแต่มีน้าหญิงมาอยู่ด้วย
หลิงหยุนไม่สามารถต้านทานลูกอ้อนของสองสาวได้ จึงได้แต่พยักหน้ารับปาก “งั้นก็รอให้สอบเอนทรานซ์เข้ามหาวิทยาลัยผ่านไปก่อน แล้วพวกเราค่อยไปพร้อมกัน.. ดีไม๊?”
ฉินตงเฉี่วยได้ฟังก็พอใจอย่างมาก นางพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับหัวเราะคิกคัก “คำนวณเวลาดูแล้ว ก็คงอีกไม่นานสินะ..?!”
ในที่สุดก็ถึงเวลาที่หนิงหลิงยู่ต้องเรียนรู้เรื่องฝึกฝนกำลังภายในแล้ว เขามองฉินตงเฉี่วยพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“น้าหญิง.. ท่านคงต้องสอนวรยุทธให้กับหลิงยู่แล้วล่ะ?”
ฉินตงเฉี่วยและหนิงหลิงยู่พยักหน้าพร้อมกัน แต่สีหน้าของหนิงหลิงยู่ดูจะออกไปในทางหวาดกลัว
หลิงหยุนจึงพูดต่อว่า “น้าหญิง.. ท่านสอนวรยุทธให้หลิงยู่ก็ต้องระมัดระวังหน่อยนะ!”
เมื่อฉินตงเฉี่วยได้ฟังหลิงหยุนสั่งการ จึงได้ยื่นนิ้วชี้ออกไปจิ้มหน้าผากของเขาพร้อมกับพูดประชดว่า
“ข้าไม่กล้าสอนหรอก! พรสวรรค์ของหลิงยู่ดีมากถึงเพียงนี้ ข้าคงไม่เหมาะจะสอนนาง เจ้าสอนเองก็แล้วกัน!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหนิงหลิงยู่ก็ยิ่งหน้าแดง จนไม่สามารถที่จะเก็บงำความตื่นเต้นไว้ได้
หลิงหยุนเองก็กังวลว่าคนอื่นจะสอนหนิงหลิงยู่ผิดๆ และถึงตอนนั้นหากเขาต้องมาแก้ไขให้ ก็จะเป็นปัญหามาก..!
“ถ้าเช่นนั้น.. อาทิตย์หน้าข้าก็จะเป็นคนสอนให้นางเอง!”
หนิงหลิงยู่พยักหน้าอย่างตื่นเต้น ฉินตงเฉี่ยวมองหลิงหยุนตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วถามขึ้นว่า
“เจ้าเด็กดื้อ.. แล้วนี่เจ้าจะไปใหนอีก?”
บทที่ 452 : ร่ำรวยกว่าเดิม!
“อีกสองวันข้าต้องไปทะเล! และถ้าไม่มีปัญหาอะไร คาดว่าคงจะกลับมาในวันจันทร์หน้า!”
หลิงหยุนบอกหญิงสาวทั้งสองคนไปตามความจริง ฉินตงเฉี่วยและหนิงหลิงยู่ต่างก็หันไปมองหน้ากัน และฉินตงเฉี่ยวก็หันกลับไปพูดกับหลิงหยุนว่า
“ไม่ไปไม่ได้หรือยังไง? เจ้าเพิ่งกลับออกมาจากหลุมยักษ์ได้ไม่กี่วัน นี่ก็จะออกทะเลไปอีกแล้ว จะทำให้เข้ากับหลิงยู่เป็นห่วงไปถึงใหน?”
ฉินตงเฉี่วยหน้าซีดขึ้นมาเล็กน้อย เพราะเธอเองก็เพิ่งผ่านประสบการณ์การจมน้ำทะเลมาหมาดๆ
“น้าหญิง.. ท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจำเป็นต้องไปฝึกบ่มเพาะกลางทะเล หลังจากฝึกเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะรีบกลับมาทันที..”
เรื่องที่จิ้งจอกสวรรค์เก้าหางจะกลายร่างเป็นมนุษย์นั้น หลิงหยุนไม่ต้องการเล่าให้กับหญิงสาวทั้งสองคนฟังในตอนนี้ ไม่เช่นนั้นเขาคงต้องเสียเวลาอธิบายอีกยืดยาว
รอให้เจ้าขาวปุยกลายร่างสำเร็จเสียก่อน ถึงตอนนั้นเขาจะพามันมาให้สองสาวได้เห็นกับตาตัวเอง และทั้งคู่ก็น่าจะยอมรับได้ง่ายขึ้น
ฉินตงเฉี่ยวมองหลิงหยุนแปลกๆอยู่นาน ในที่สุดก็ถอนหายใจก่อนจะพูดขึ้นว่า “ข้าเองก็เคยได้ยินพี่ใหญ่เล่าให้ฟังว่า การฝึกกำลังภายในของเจ้านั้นดูค่อนข้างแปลกประหลาด และไม่เคยได้เห็นได้ยินจากที่ใหนมาก่อน..”
“พี่ใหญ่.. พี่ต้องไปทะเลจริงเหรอน่ะเหรอ?” หนิงหลิงยู่ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“ถ้าอย่างนั้นพี่ก็ต้องระวังตัวให้มาก ก่อนไปก็ฟังพยากรณ์อากาศล่วงหน้าสักสองสามวัน ถ้าเห็นว่าจะมีพายุเข้าก็อย่าไปนะคะ!”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับลูบศรีษะหนิงหลิงยู่อย่างอ่อนโยน และพูดอย่างมั่นใจ “ไม่ต้องห่วง.. พี่ใหญ่ของเธอว่ายน้ำเก่งมาก!”
ระหว่างที่บอกให้หนิงหลิงยู่สบายใจว่าเขาว่ายน้ำเก่งมากนั้น หลิงหยุนก็แอบขยิบตาให้กับฉินตงเฉี่วย ทำให้นางถึงกับหน้าแดงก่ำ และเลียริมฝีปากที่แห้งผากพร้อมกับคิดที่จะโต้กลับหลิงหยุน แต่ก็เงียบไป!
“พี่ใหญ่.. ก่อนที่จะออกเดินทาง อย่าลืมโทรบอกฉันกับน้าหญิงด้วยนะ..” หนิงหลิงยู่ดูเหมือนจะเป็นห่วงมากมาย
หลิงหยุนถึงกับหัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องห่วง.. ยังไงพี่ก็ต้องกลับมาแน่นอน!”
จากนั้นก็หันไปมองฉินตงเฉี่วย.. “น้าหญิง.. ข้าต้องขอกลับไปเตรียมของให้พร้อมสำหรับการออกทะเลครั้งนี้.. ข้าไปก่อนนะ!”
ฉินตงเฉี่วยเม้มริมฝีปากสีแดงพร้อมกับจ้องมองหลิงหยุน และร้องเตือนออกไป “ระวังตัวให้ดีล่ะ.. อยู่ข้างนอกก็อย่าให้ใครรังแกเจ้าได้นะ!”
หลิงหยุนรู้ดีว่าฉินตงเฉี่วยเป็นห่วงเพียงใด เขาจึงพยักหน้าพร้อมกับตอบไปว่า “สบายใจได้.. คนอย่างข้าให้น้าหญิงรังแกได้คนเดียวเท่านั้น!”
………….
ในยามค่ำคืน.. หลิงหยุนขับรถออกจากอ่าวจิงฉูมุ่งหน้ากลับไปยังบ้านเลขที่-1 ของเขา
ทั้งเหล่ากุ่ยและเจ้าขาวปุยยังคงไม่กลับมา แต่ถังเมิ่งกับตี้เสี่ยวอู๋ต่างก็ไปรอเขาอยู่ที่บ้านเป็นเวลานานแล้ว และเมื่อหลิงหยุนไปถึง ก็เห็นตู้กู่โม่ก็กำลังสอนวรยุทธให้กับตี้เสี่ยวอู๋อยู่พอดี
หลิงหยุนเห็นแล้วก็ได้แต่ยิ้ม และส่งกระแสจิตบอกกับตี้เสี่ยวอู๋ว่า “ไม่ว่าใครสอนอะไรให้กับนายก็ตาม ให้เรียนเฉพาะวรยุทธจากพวกเขาเท่านั้น ส่วนการฝึกกำลังภายในฉันจะเป็นคนสอนให้นายเอง..”
ตี้เสี่ยวอู๋พยักหน้าอย่างเข้าใจ และทั้งสี่คนก็เดินเข้าไปในบ้านพร้อมๆกัน
หลังจากที่นั่งลง.. หลิงหยุนก็ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังนัก “มีข่าวอะไรเกี่ยวกับหวังเล่ยบ้าง?”
ถังเมิ่งตอบกลับมาว่า “จากการสืบสวนของตำรวจพบว่า.. สองวันก่อนเกิดอุบัติเหตุ จู่ๆในบัญชีของหวังเล่ยก็มีเงินเพิ่มขึ้นมาหนึ่งล้านหยวน!”
หลิงหยุนนึกเย้ยหยันอยู่ในใจ แล้วจึงถามต่อทันที “แล้วรู้ไม๊ว่าเงินจำนวนหนึ่งล้านนั้นมาจากที่ใหน?”
เพราะนี่คือกุญแจดอกสำคัญ!
ถังเมิ่งส่ายหน้าพร้อมกับตอบไปว่า “รู้เพียงแค่ว่าเงินจำนวนนี้ถูกโอนมาจากบัญชีที่อยู่ในเมืองหลวงเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นยังต้องรอให้ทางตำรวจสืบสวนต่อไป และคงต้องใช้เวลา..”
หลิงหยุนคิดในใจว่า.. คนที่ต้องการฆ่าเขานั้นที่แท้ก็อยู่ในเมืองหลวง และดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะใหญ่โตกว่าที่เขาคิดไว้มากนัก
หลิงหยุนวิเคราะห์ต่อ “ดูลักษณะแล้วหวังเล่ยน่าจะถูกฆ่าปิดปาก แล้วนำศพไปโยนทิ้งในคูน้ำมากกว่า และบัญชีที่โอนเงินหนึ่งล้านหยวนให้กับมัน ก็เป็นกุญแจสำคัญของเรื่องนี้ ถังเมิ่ง.. นายต้องตรวจสอบเรื่องนี้ให้ละเอียด!”
“ฟังนะ.. นายไปบอกกับลุงถังว่า ให้ช่วยตามตามสืบเรื่องนี้อย่างลับๆ และช่วยสืบให้ได้ความเร็วที่สุด แล้วก็ต้องทำให้เงียบที่สุดอย่าให้คนอื่นล่วงรู้!”
ถังเมิ่งพยักหน้าอย่างเข้าใจ จากนั้นหลิงหยุนก็หันไปทางตี้เสี่ยวอู๋ และสอบถามข้อมูลต่างๆที่เขาไปตามสืบมาได้
ตี้เสี่ยวอู๋เล่าให้หลิงหยุนฟังว่า “พี่หยุน.. ฉันให้คนของแก๊งมังกรเขียวช่วยสืบเรื่องนี้ แล้วก็ได้ข่าวมาว่า.. หลังจากที่เกิดอุบัติเหตุกับหวังเล่ยหนึ่งวัน เพื่อนสนิทของเขาที่ชื่อหลี่กังก็หายตัวไปด้วย!”
หลิงหยุนฟังแล้วถึงกับคิ้วขมวดเข้าหากันทันที และแววตาของเขาก็เป็นประกายวูบขึ้นมาก่อนจะถามขึ้นว่า “แล้วมันตายด้วยไม๊?”
ตี้เสี่ยวอู๋ส่ายหน้าและตอบกลับไปว่า “จากคำบอกเล่าของภรรยาหวังเล่ย หลี่กังไม่ได้เสียชีวิต แค่ย้ายออกจากเมืองจิงฉูไป..”
หลิงหยุนได้ฟังแล้วถึงกับมั่นใจว่า หลี่กังจะต้องเป็นอีกคนหนึ่งที่รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี หลิงหยุนมั่นใจว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญจนเกินไปที่เขาจะขับรถไปถูกรถพ่วงชนเข้าอย่างพอดิบพอดีที่จุดทางเลี้ยวตรงนั้น มันแม่นยำมากเกินกว่าที่จะดูเป็นอุบัติเหตุ!
“ไปจัดการสืบมา! ทั้งเรื่องบัญชีปริศนานั่น แล้วก็รีบตามหาตัวหลี่กังให้พบ หรือถ้ามันตายก็ต้องพบศพ!”
แววตาฆาตกรปรากฏขึ้นวูบหนึ่งในดวงตาของหลิงหยุน ถังเมิ่งเห็นแล้วได้แต่หวาดกลัว และแอบคิดในใจว่าหลิงหยุนมีเหตุผลอะไรถึงได้ให้ทุกคนตามสืบเรื่องการตายของคนธรรมดาๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับหลิงหยุนเลยแม้แต่นิดเดียว!
“นี่นายกำลังคิดอยากจะถามฉันว่า – พี่หยุนพี่กำลังคิดจะทำอะไร? ใช่ไม๊?” หลิงหยุนพูดขึ้นด้วยท่าทางสบายๆ
ถังเมิ่งยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น.. เพียงแต่เรื่องนี้ดูเหมือนจะผิดจากปกตินิสัยของพี่ไป.. ก็เท่านั้นเอง!”
แต่หลิงหยุนเพียงแค่ตอบกลับไปยิ้มๆ “บางครั้งคนเราก็ต้องหัดทำความดีบ้าง!”
“ข้าไม่เข้าใจเจ้าจริงๆ..” ตู้กู่โม่ที่ยืนฟังอยู่นานถึงกับพูดขึ้นมา และมองหลิงหยุนอย่างแปลกใจ และหลังจากพูดจบก็กลับไปฝึกฝนต่อที่ลานบ้าน
ตู้กู่โม่เห็นหลิงหยุนที่นับวันก็ยิ่งแข็งแกร่ง และก้าวหน้าขึ้นอย่างก้าวกระโดด ช่วงนี้เขาจึงต้องฝึกฝนอย่างบ้าคลั่ง และไม่เคยปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์
หลังจากนั้น.. ข่าวที่หลิงหยุนได้ฟังจากถังเมิ่งล้วนแล้วแต่เป็นข่าวดี!
เรื่องแรก.. คดีของหลัวจ้งดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เขาถูกควบคุมตัวอย่างแน่นหนา และถูกไล่ออกจากงานอย่างเป็นทางการแล้ว อีกทั้งยังถูกสอบสวนอย่างละเอียด ตอนนี้แม้เขาจะยังไม่ตายก็เหมือนตาย
เรื่องบ้านทั้งสองหลังของเถียนป๋อเตาที่อยู่ในหมู่บ้านหลินเจียงกับในตัวเมืองจิงฉูนั้น ตอนนี้ขายไปได้ในราคาสิบสามล้านหยวน
หากบวกกับเงินสดเก้าล้านที่เขาได้มาจากเถียนป๋อเตาก่อนหน้านี้ ก็เท่ากับว่าหลิงหยุนได้เงินมาจากเถียนป๋อเตาถึงยี่สิบสองล้านหยวนเลยทีเดียว!
บ้านของเหยาลู่นั้นราคามากกว่าสิบล้าน แต่ด้วยความช่วยเหลือของถังเทียนห่าวและหลี่ยี่เฟิง ถังเมิ่งจึงสามารถซื้อได้ในราคาเพียงห้าล้าน
และถังเมิ่งยังได้จัดการซื้อบ้านอีกหนึ่งหลังให้กับครอบครัวของหลิวลี่ตามที่หลิงหยุนต้องการ ซึ่งราคาเต็มของบ้านนั้นก็อยู่ที่หกล้าน แต่เขาสามารถซื้อได้เพียงครึ่งราคาซึ่งก็คือสามล้านเท่านั้น
และหลังจากได้รับอนุญาตจากหลิงหยุนเรื่องกู้เงิน เด็กหนุ่มถังเมิ่งก็สามารถกู้เงินจากธนาคาร ICBC สาขาเมืองจิงฉูได้ถึงสองร้อยล้านหยวน และตอนนี้ก็อยู่ในขั้นตอนของทางธนาคาร
“สองร้อยล้าน?! นี่นายไปทำยังไงถึงกู้ได้มากขนาดนี้?” หลิงหยุนถามด้วยความแปลกใจและอยากรู้อยากเห็น
และถังเมิ่งเองก็ดูเหมือนจะภาคภูมิใจในเรื่องนี้อย่างมาก “พี่หยุน.. นี่เป็นเรื่องของคอนเน็คชั่นที่พี่ไม่เข้าใจหรอก.. แค่มีพ่อของฉันกับลุงหลี่ค้ำประกันให้ ทุกอย่างก็เรียบร้อยและราบรื่น!”
“ธนาคารให้เรากู้เงิน เราก็เอาเงินนั่นออกมาใช้ แล้วก็แค่จ่ายดอกเบี้ยให้ตรงเวลา และเมื่อถึงกำหนดก็ค่อยจัดการคืนเงินต้น!”
ถังเมิ่งพูดราวกับว่ามันเป็นเรื่องง่ายๆ ธรรมดาๆ แต่ขั้นตอนที่ยุ่งยากนั้น เขาไม่ได้เล่าให้หลิงหยุนฟัง
“มันง่ายอย่างนั้นเลยเหรอ?!” หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่สงสัยว่าเหตุใดจึงกู้ได้ง่ายเช่นนี้
อำนาจสามารถดลบันดาลทุกอย่างได้.. แม้แต่การกู้เงินจำนวนมากก็กลายเป็นเรื่องง่ายดาย เพราะเหตุนี้คนที่รวยอยู่แล้ว ก็ยิ่งรวยมากขึ้นไปอีก ส่วนคนจนก็ยิ่งยากจนลงเรื่อยๆ โลกความจริงมักจะโหดร้ายเช่นนี้เสมอ..
แต่หลังจากได้ฟัง หลิงหยุนก็ยกนิ้วขึ้นชี้หน้าถังเมิ่งพร้อมกับเตือนว่า “นายจัดการกับเงินก้อนนี้ให้ดีล่ะ ถ้านายทำให้ฉันขาดทุน ฉันจะจัดการกับนาย!”
แน่นอนว่าหลิงหยุนไม่ได้กลัวว่าถังเมิ่งจะทำธุรกิจขาดทุนจริง และต่อให้ขาดทุนจริงๆ หลิงหยุนก็สามารถช่วยเหลือได้ทันทีเช่นกัน เขาเพียงแค่นำไข่มุกราตรีออกมาประมูลขายสักเม็ดสองเม็ด เพียงเท่านี้ก็แก้ปัญหาได้แล้ว!
อีกอย่าง.. ถังเมิ่งก็ไม่น่าจะทำธุรกิจขาดทุนได้ง่ายๆ เว้นเสียแต่จะเผชิญกับภัยธรรมชาติ หรือความหายนะที่มนุษย์จงใจสร้างขึ้น!
หลังจากที่นั่งฟังถังเมิ่งมานาน ตี้เสี่ยวอู๋ก็กระซิบกับหลิงหยุนว่า “พี่หยุน.. พี่ไม่เห็นจะต้องให้ถังเมิ่งไปกู้เงินเลย ในบัญชีของแก๊งมังกรเขียวก็มีเงินอยู่กว่าสามร้อยล้าน..”
ถังเมิ่งได้ยินก็ถึงกับกรีดร้องอย่างไม่พอใจ “ไอ้บ้าเอ๊ย..! มีเงินอยู่แล้วตั้งมากมายก็ไม่บอก ปล่อยให้ฉันไปเหนื่อยยากหาวิธีกู้ธนาคาร?!”
“ถ้างั้นก็เอาเงินนั่นมาให้ฉันเร็วเข้า!” ถังเมิ่งยื่นมือออกไปตรงหน้าตี้เสี่ยวอู๋อย่างตื่นเต้น
ถังเมิ่งยังคงโมโหตี้เสี่ยวอู๋เรื่องที่เขาพาคนไปถล่มบริษัทชิงหยุนโปรดักชั่น และตอนนี้ก็กำลังถลึงตาใส่ตี้เสี่ยวอู๋
หลิงหยุนหัวเราะอย่างมีความสุข เขายิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ถังเมิ่ง.. นายกับตี้เสี่ยวอู๋ช่วยเหลือกันในเรื่องอื่นได้ แต่เรื่องเงินทองต้องแยกกันเด็ดขาด ต่างคนต่างก็ต้องหาของตัวเอง!”
ดำคือดำ ขาวคือขาว เพราะเส้นทางทั้งสองสายล้วนแตกต่างกัน และหลิงหยุนเองก็ต้องการแบ่งแยกทั้งสองอย่างออกจากกันให้ชัดเจน
ถังเมิ่งได้แต่ส่ายหน้าอย่างหมดหวังและรำพึงรำพัน “พี่หยุน.. อะไรดีๆพี่ก็ให้ตี้เสี่ยวอู๋เอาไปหมดเลย อะไรไม่ดีก็เอามาให้ฉัน..”
ตี้เสี่ยวอู๋ยิ้ม เขามองถังเมิ่งพร้อมกับตอบไปว่า “ถ้านายคิดว่าตัวเองมีฝีมือแล้วก็ความสามารถ ฉันจะยอมยกแก๊งมังกรเขียวให้นายเป็นผู้ดูแล นายกล้ารับไม๊ล่ะ?”
เมื่อสองวันที่แล้วตี้เสี่ยวอู๋ค่อนข้างยุ่งมากจนไม่มีเวลาที่จะฝึกฝน และทำให้เข้าก้าวหน้าได้ช้า ในใจก็รู้สึกไม่พอใจมาก
ตี้เสี่ยวอู๋เป็นคนที่บ้าฝึกฝน ตอนนี้เขาก็มีทั้งบ้านทั้งรถแล้ว สิ่งที่เขาต้องการก็คือการพัฒนาความแข่งแกร่งของตัวเอง
หลิงหยุนเป็นผู้เปิดโลกแห่งความมหัศจรรย์นี้ให้กับเขา และเป็นโลกที่เขาเองก็พอใจอย่างมาก ตำแหน่งหัวหน้าแก๊งมังกรเขียวจึงค่อนข้างทำให้เขารู้สึกเป็นภาระจนต้องถอนหายใจ
“เชอะ..” ถังเมิ่งร้องออกมาอย่างไม่พอใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะแน่นอนว่าเขาไม่กล้ารับแก๊งมังกรเขียวไว้อยู่แล้ว
หลิงหยุนหัวเราะและพูดขึ้นว่า “อ้าว.. ก็นายไม่ชอบการมีเรื่องนี่นา แล้วจะให้ฉันทำยังไง?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น