Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร 442-448

 บทที่ 442 : ผู้ยิ่งใหญ่แห่งเมืองจิงฉู!

หนิงหลิงยู่กินจนท้องแทบบแตก และตอนนี้ท้องของเธอก็โตขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย แม้จะเริ่มรู้สึกอิ่ม แต่ก็ยากที่จะวางตะเกียบในมือลงได้

ทั้งคู่กินกันจนอิ่มแป้แล้ว จึงได้สังเกตุเห็นว่าหลิงหยุนยังไม่ได้ขยับตะเกียบในมือของเขาเลยแม้แต่น้อย

หนิงหลิงยู่เห็นหลิงหยุนยังไม่ได้กิน จึงได้แต่พูดอย่างเสียใจว่า “พี่ใหญ่คะ.. แทบไม่มีอะไรเหลือเลย แล้วพี่..”

หลิงหยุนที่นั่งอยู่ตรงกลางระหว่างฉินตงเฉี่วยและหนิงหลิงยู่ เอื้อมมือไปเช็ดริมฝีปากให้กับหนิงหลิงยู่พร้อมกับพูดยิ้มๆ

“ไม่ต้องห่วงพี่หรอก.. วันนี้พี่ไม่ค่อยหิว กินที่เหลือนี่ก็อิ่มแล้ว!”

หลิงหยุนเริ่มลงมือทานอาหาร และเขาก็กินอย่างรวดเร็ว เพียงแค่ไม่ถึงสิบนาทีอาหารที่เหลือบนโต๊ะก็ถูกกวาดลงท้องของเขาจนหมด

ฉินตงเฉี่วยนั่งมองหลิงหยุนทานอาหารแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ ในแววตาคู่สวยของนางนั้นมีบางอย่างที่พิเศษ เมื่อหลิงหยุนกินเสร็จ นางจึงหยิบกระดาษเช็ดปากยื่นให้กับเขาและพูดขึ้นว่า

“เช็ดปากขอเจ้าซะ!”

หนิงหลิงยู่เองก็รีบส่งแก้วน้ำดื่มอุ่นๆให้กับหลิงหยุน ใบหน้าสวยงามชวนฝันของเธอเปี่ยมไปด้วยความสุขและศัรทธาที่มีต่อหลิงหยุน

หลิงหยุนเห็นว่าฉินตงเฉี่วยกำลังอารมณ์ดี และโอกาสดีๆอย่างนี้หลิงหยุนย่อมไม่พลาดอย่างแน่นอน เขาจึงรีบบใช้โอกาสนี้ร้องขอบางสิ่งบางอย่าง

หากหลิงหยุนต้องการไปอยู่กับเทพธิดาหลินเมิ่งหานในคืนนี้ แน่นอนว่าฉินตงเฉี่วยคือตัวแปรสำคัญที่สุด หากเขาผ่านด่านนี้ไปไม่ได้ อย่างอื่นก็อย่าได้หวัง!

“น้าหญิง.. คือข้า.. คืนนี้ข้าอยากจะขอไป..” หลิงหยุนอ้าปากพูดอึกๆอักๆพร้อมกับยิ้มให้ฉินตงเฉี่วย

“มีธุระอีกแล้วใช่ไม๊?” ฉินตงเฉี่วยจ้องหลิงหยุน และริมฝีปากสวยงามก็เอื้อนเอ่อยออกมา

หนิงหลิงยู่รีบกระซิบบอกว่า พี่ใหญ่ของเธอจะไม่กลับบ้านคืนนี้!

“น้าหญิง.. ช่วงนี้ข้ามีธุระมากมายที่ต้องไปจัดการ อาทิตย์นี้ก็จะยุ่งๆทั้งอาทิตย์..” หลิงหยุนอธิบายยิ้มๆ

ฉินตงเฉี่วยมองหนิงหลิงยู่พร้อมกับบครุ่นคิดเล็กน้อย แต่ก็แอบส่งกระแสจิตบอกหลิงหยุนว่า

“เจ้าเด็กดื้อ.. วันนี้เจ้าทำให้ข้าพอใจมาก! แต่เจ้ารู้ไม๊ว่าเวลาที่เจ้าไม่อยู่บ้าน หลิงยู่จะเป็นห่วงแล้วก็กังวลมาก!”

หลิงหยุนเองก็รู้ว่าหนิงหลิงยู่นั้นเป็นห่วงเป็นใยเขาเพียงใด เขาจึงส่งกระแสจิตตอบกลับไปว่า

“น้าหญิง.. อาทิตย์นี้ข้ายุ่งมากจริงๆ มีเรื่องต้องไปสะสางอีกมากมาย แต่ข้ารับปากว่าหลังจากอาทิตย์นี้ไปแล้ว ก็จะไม่ยุ่งมากมายขนาดนี้แล้ว ถึงตอนนั้นก็จะอยู่บ้านเป็นเพื่อนหลิงยู่ได้!”

ฉินตงเฉี่วยพยักหน้าตกลง หลิงหยุนถึงกับถอนหายใจด้วยความโล่งอก ส่วนฉินตงเฉี่วยก็พูดขึ้นว่า

“เอาล่ะหลิงหยุน.. ข้าจะให้เวลาเจ้าหนึ่งอาทิตย์ไปจัดการธุระปะปังของเจ้าให้เรียบร้อย หลังจากหนึ่งอาทิตย์ไปเป็นอันว่าหมดเวลาของเจ้าแล้ว!”

หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มดีใจพร้อมกับพูดขึ้นว่า “หนึ่งอาทิตย์ก็พอแล้วล่ะ ไว้พี่จะกลับมาสอนเธอขับรถ ดีไม๊หลิงยู่?”

หนิงหลิงยู่รู้ดีว่าเธอไม่สามารถห้ามหลิงหยุนได้ เธอได้แต่กัดริมฝีปากแน่นพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“พี่ใหญ่.. พี่อยู่ข้างนอกระวังตัวด้วย อย่าให้ฉันกับน้าหญิงต้องเป็นห่วง..”

ฉินตงเฉี่วยได้ฟังถึงกับยิ้มออกมา เธอหันไปตบไหล่ของหลิงหยุนพร้อมกับร้องเตือนว่า

“ได้ยินหรือยังเจ้าเด็กดื้อ? เจ้าชอบไปทำตัวบ้าบออยู่นอกบ้าน ทำให้หลิงยู่ต้องคอยเป็นกังวลอยู่ทุกวัน จนไม่มีสมาธิกับการเรียน แล้วจะไม่ให้ข้าจัดการกับเจ้าได้ยังไง!?”

หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมตอบกลับไปอย่างเชื่อฟัง “ข้ารับปากกับน้าหญิงสองข้อ ข้อแรก – ข้าจะกลับมาทานข้าวที่บ้านทุกเย็น ข้อสอง – ข้าจะให้หลิงยู่ติดต่อข้าได้ตลอดเวลา นางจะได้ไม่ต้องคอยกังวล”

ฉินตงเฉี่วยนิ่งไปเมื่อรู้ว่าหลิงหยุนจะกลับมาทานข้าวเย็นทุกมื้อ เพราะนางยังติดใจในฝีมือการทำอาหารของหลิงหยุนอยู่ไม่น้อย จึงไม่ต้องการที่จะบีบบังคับพ่อครัวมากนัก

หลิงหยุนยังพูดต่อว่า “น้าหญิง.. คืนนี้ถ้าท่านฝึกกำลังภายใน ข้ารับรองว่าท่านต้องรู้สึกประหลาดใจอย่างแน่นอน!”

ทั้งน้ำลายมังกร โสมและสมุนไพรเหอโชวูหลายพันปีที่หลิงหยุนใช้เป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหารคืนนี้นั้น ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกกำลังภายในต่างก็ใฝ่ฝันอยากได้ทั้งสิ้น และแน่นอนว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อการฝึกฝนของฉินตงเฉี่วยอย่างมากจนไม่อาจอธิบายได้เลยทีเดียว

ฉินตงเฉี่วยเองก็นับว่าเป็นผู้ที่คลั่งไคล้การฝึกกำลังภายในมากคนหนึ่ง และนางเองก็เป็นผู้ที่เดินลมปราณอยู่แทบจะตลอดเวลา ดังนั้นตอนนี้นางเองก็เริ่มสังเกตุเห็นการเปลี่ยนแปลงได้แล้ว จึงได้แต่พยักหน้าและยิ้มให้กับหลิงหยุน

ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว หลิงหยุนเริ่มกังวลและเป็นห่วงหลินเมิ่งหานว่าจะหิว จึงรีบลุกขึ้นและขอตัวไปข้างนอก

ฉินตงเฉี่วยและหนิงหลิงยู่ต่างก็ลุกขึ้นและเดินไปส่งหลิงหยุนที่หน้าประตู ทั้งคู่ยืนมองจนรถแลนด์โรเวอร์ของหลิงหยุนลับสายตาไป หนิงหลิงยู่ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะหันหลังเดินกลับเข้าไปในบ้าน

ฉินตงเฉี่วยจจ้องหนิงหลิงยู่พร้อมกับครุ่นคิด และเมื่อทั้งคู่เดินเข้าไปในบ้านแล้ว นางจึงถามขึ้นมายิ้มๆ “หลิงยู่.. เจ้าทนคิดถึงพี่ใหญ่ของเจ้าไม่ไหวงั้นรึ?”

ใบหน้าสวยงามของหนิงหลิงยู่แดงก่ำพร้อมกับรีบปฏิเสธ “ก็.. ก็พี่ใหญ่ไม่กลับบ้านทุกวันแบบนี้ ใครๆก็ต้องเป็นห่วง..”

ฉินตงเฉี่วยตอบกลับบไปว่า “เจ้าคงจะยังไม่เข้าใจโลกของพี่ใหญ่ คืนนี้น้าหญิงจะเล่าให้เจ้าฟัง แล้วเจ้าก็จะเข้าใจเอง!”

……………

อาหารหนึ่งมื้อใหญ่แลกกับอิสระหนึ่งอาทิตย์เต็มๆ แม้ว่าหลิงหยุนจะต้องกลับไปกินข้าวเย็นที่บ้านทุกวัน แต่เพียงแค่นี้เขาก็พอใจอย่างมากแล้ว หลิงหยุนเหยียบคันเร่งรถแลนด์โรเวอร์ออกไปอย่างรวดเร็ว

หลิงหยุนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา และพบว่ามีทั้งสายที่ไม่ได้รับ แล้วก็ข้อความมากมาย ซึ่งเป็นของหลินเมิ่งหาน เสี่ยวเม่ยหนิง กงเสี่ยวลู่ เหยาลู่ ถังเมิ่ง แล้วก็ตี้เสี่ยวอู๋ จนเขาอดที่จะนึกไม่ได้ว่า เพียงแค่ครู่เดียวมีคนอยากติดต่อเขามากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ

และแน่นอนว่าสายเรียกเข้าและข้อความของหลินเมิ่งหานนั้นเยอะที่สุด หลิงหยุนพอเข้าใจได้ เพราะจนป่านนี้หลิงหยุนยังไม่ถึงบ้าน และเธอก็รอเขามาแล้วตลอดทั้งบ่าย

หลิงหยุนรีบโทรกลับหาหลินเมิ่งหานทันที และขอให้เธอรอทานอาหารเย็นอยู่ที่บ้าน เขากำลังจะถึงอีกในไม่ช้า และนั่นทำให้เทพธิดาหลินพอใจอย่างมาก

ข้อความของเสี่ยวเม่ยหนิง กงเสี่ยวลู่ เหยาลู่ และฉางหลิง ล้วนเป็นข้อความรำพันเรื่องความรักและคิดถึง หลิงหยุนค่อยๆโทรกลับทีละคน แล้วคนสุดท้ายก็คือถังเมิ่ง

ถังเมิ่งเล่าให้ฟังอย่างดุเดือดว่า หลัวจ้งโดนควบคุมตัวแล้ว และดูเหมือนว่าข้อหาของเขาจะหนักหนากว่าที่คิดไว้มาก

หลิงหยุนได้ฟังก็นึกเหยียดหยันในใจ หลัวจ้งกล้ายุ่งกับเขาก่อน หากหลิงหยุนไม่คิดว่าหลัวจ้งเป็นเจ้าหน้าที่ของทางการแล้วล่ะก็ เขาคงจะสับร่างของหลัวจ้งออกเป็นชิ้นๆ ไม่ปล่อยมาจนถึงตอนนี้แน่!

แต่ที่น่าสนใจที่สุดก็คือเรื่องการกู้เงิน และนี่นับเป็นครั้งที่สองที่ถังเมิ่งเสนอให้เขาทำเรื่องกู้เงิน

ครั้งที่แล้วผ่านมาราวครึ่งเดือนได้ ถังเมิ่งเคยคุยเรื่องการกู้เงินกับเขา แต่ตอนนั้นเขาไม่ต้องการเสียดอกเบี้ย แต่ในเวลานี้สถานการณ์ต่างๆได้เปลี่ยนไปแล้ว

หลัวจ้งเองก็หมดอำนาจไปแล้ว ส่วนเสียเจิ้นติงถึงแม้จะยังไม่โดนข้อหาโดยตรง แต่ก็ต้องเจอข้อหาสมรู้ร่วมคิด และคงต้องวิ่งวุ่นหาทางปกป้องตัวเอง คงจะไม่มีเวลามาสนใจเรื่องอื่น

ส่วนหลี่ยี่เฟิงตอนนี้ก็ได้อำนาจกลับคืนมาแล้ว เรียกได้ว่าเมืองจิงฉูทั้งเมืองได้อยู่ในการควบคุมของเขาทั้งหมด ใหนยังจะได้ถังเทียนห่าวซึ่งเป็นหัวหน้าสำนักงานรักษาความมั่นคงมาร่วมมือด้วย จึงยิ่งมีอำนาจอิทธิพลมากกว่าเดิม

และแน่นอนว่าหลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ถังเทียนห่าวคงจะนั่งในตำแหน่งนี้ได้อีกนาน อีกทั้งถังเทียนห่าวและหลี่ยี่เฟิงล้วนเป็นฝ่ายเดียวกับหลิงหยุน

ทางด้านหัวหน้าแก๊งมังกรเขียนว – หลงคุน ก็ได้เอ่ยปากมอบแก๊งมังกรเขียวให้กับหลิงหยุน และจะแต่งตั้งให้ตี้เสี่ยวอู๋เป็นผู้ดูแลแทน

เช่นนี้แล้ว.. ไม่เท่ากับว่าทั้งด้านขาวและด้านดำ เรื่องถูกกฎหมายและผิดกฎหมายในเมืองจิงฉู ล้วนอยู่ในกำมือของหลิงหยุนเช่นนั้นหรือ..? หลิงหยุนในตอนนี้จึงไม่ต่างจากผู้ยิ่งใหญ่ในจิงฉู!

หากถังเมิ่งทำธุรกิจภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลิงหยุนเชื่อว่าถังเมิ่งจะสามาราถใช้เส้นสาย และอำนาจอิทธิพลที่มีอยู่ไม่ให้ธุรกิจขาดทุนได้อย่างแน่นอน..

 “นายต้องการทำเรื่องกู้เท่าไหร่?”  หลิงหยุนถามขึ้น

ถังเมิ่งตอบกลับมาอย่างตื่นเต้น “ก็ไม่มาก.. ครั้งแรกนี้กู้สักหนึ่งร้อยล้านก่อน”

“ร้อยล้าน?!”

หลิงหยุนได้แต่อุทานออกมาอย่างตกใจพร้อมกับถามว่า “นี่นายจะเอาไปลงทุนทำอะไร ทำไมถึงได้มากมายแบบบนี้?”

ถังเมิ่งตอบกลับยิ้มๆ “พี่หยุน.. พี่ไม่ต้องห่วง ยังไงธุรกิจที่ฉันจะทำก็ต้องได้กำไรแน่นอน ฉันไม่อยากทำธุรกิจเล็กๆ!”

หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “นายจะทำธุรกิจอะไรฉันไม่สนใจ แต่จำไว้แค่สามคำก็พอ – ห้ามขาดทุน!”

ถังเมิ่งรีบตอบกลับทันที “พี่หยุน.. สบายใจได้ ไม่มี่คำว่าขาดทุนแน่นอน!”

หลิงหยุนถามต่อว่า “เงินร้อยล้านไม่ใช่จำนวนน้อยๆ แล้วจะกู้ได้เหรอ?”

ถังเมิ่งตบหน้าอกพร้อมตอบกลับไปว่า “พี่หยุน.. ลืมไปแล้วเหรอว่าพ่อของฉันเป็นหัวหน้าสำนักงานรักษาความมั่นคง.. เงินหนึ่งร้อยล้านไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย และเมื่อไหร่ที่เราส่งโปรเจ็คนี้ให้กับทางธนาคาร รับรองว่าอนุมัติแน่นอน!”

หลิงหยุนพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของถังเมิ่ง พร้อมบอกไปว่าพรุ่งนี้พวกเขาทั้งคู่คงต้องหาเวลาพูดคุยกันถึงเรื่องแผนงานว่าจะทำอะไรยังไง จากนั้นหลิงหยุนก็วางสายไป..

จากอารมณ์ของถังเมิ่งในตอนนี้ เขาแทบจะรอพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ในวันรุ่งขึ้นไม่ได้ แต่หลิงหยุนมีเรื่องสำคัญกว่าที่ต้องทำในคืนนี้ และสำหรับหลิงหยุนการได้คุยเรื่องเงินทองกับถังเมิ่งนับว่าเป็นเรื่องที่น่าเบื่อที่สุด

หลังจากวางสาย.. หลิงหยุนก็รีบขับรถกลับเข้าไปในเมือง เพื่อนำอาหารใปให้กับหลินเมิ่งหานที่หมู่บ้านฝูฮัว


บทที่ 443 : วิชาพลังเย็น!

แม้ว่าภายในหมู่บ้านฝูฮัวจะมีบ้านทั้งหลังเล็กหลังใหญ่อยู่เป็นร้อยๆหลัง แต่ผู้สร้างก็ได้ออกแบบให้แต่ละบ้านมีความเป็นส่วนตัวสูงสุดด้วยการเว้นระยะห่างของบ้านแต่ละหลังไว้ค่อนข้างห่างพอสมควร

บ้านหลังเล็กของหลินเมิ่งหานอยู่หลังสุดท้ายของหมู่บ้านจึงค่อนข้างสงบเงียบและเป็นส่วนตัวอย่างมาก น้อยนักที่จะมีคนเดินผ่านไปผ่านมาเป็นการรบกวน ลานบ้านหลังประตูที่ปิดอยู่จึงค่อนข้างเป็นที่ลับหูลับตาผู้คน

หลังรับประทานอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อย..

หลิงหยุนและหลินเมิ่งหานก็นั่งคุยกัน “เมิ่งหาน.. ผมมีเรื่องสำคัญจะบอกคุณ..”

หลินเมิ่งหานได้แต่อุทานออกมาอย่างตกใจ “มีเรื่องอะไร?!”

หลิงหยุนยิ้มให้พร้อมกับตอบไปว่า “เมิ่งหาน.. คุณรู้สึกไม๊ว่าหลังจากคืนนั้น ร่างกายของคุณได้เปลี่ยนไปจากเดิม?”

หลินเมิ่งหานหน้าแดง เธอกัดริมฝีปากก่อนจะตอบกลับไปอย่างเก้อเขิน “ก็จะไม่ให้เปลี่ยนไปยังไงล่ะ? นายลวนลามฉันตั้งหลายครั้ง แล้วยังจะให้ร่างกายของฉันเหมือนเดิมได้ยังไง? ถามอะไรบ้าๆ!”

หลิงหยุนรู้ว่าหลินเมิ่งหานกำลังเข้าใจผิด เขาจึงหัวเราะออกมาอย่างเอ็นดู “ผมไม่ได้หมายความแบบนั้น ผมหมายถึงว่าร่างกายของคุณในตอนนี้เป็นเหมือนผมแล้ว.. สามารถฝึกกำลังภายในได้!”

หลินเมิ่งหานเพิ่งรู้ว่าเธอเข้าใจความหมายของหลิงหยุนผิดไป จึงพูดขึ้นอย่างอับอาย “ที่แท้นายก็หมายถึงเรื่องการฝึกกำลังภายในเหรอ? น่าอายจัง!”

หลิงหยุนพยักหน้าแล้วอธิบายต่อว่า “หลังจากเมื่อคืนนี้ ร่างกายของคุณก็มีกำลังภายในขึ้นมาในระดับหนึ่งแล้ว แต่ที่เหลืออยู่ที่การฝึกฝนของคุณเอง”

หลิงหยุนเริ่มดูจริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ ระหว่างที่อธิบายให้หลินเมิ่งหานฟังว่าการฝึกกำลังภายในคืออะไร?

หลินเมิ่งหานไม่เคยได้สัมผัส และรับรู้เรื่องราวเหล่านี้มาก่อน แต่โชคดีที่ยังมีเวลาอีกมากหลิงหยุนจึงไม่รีบร้อนนัก เขาค่อยๆใช้เวลาอธิบายให้หลินเมิ่งหานฟังต่ออีกหนึ่งชั่วโมงเต็ม

หลินเมิ่งหานถึงกับตกใจจนอึ้งไป และหลิงหยุนก็พูดขึ้นว่า “อธิบายให้เข้าใจง่ายๆก็คือว่า ภายในร่างกายของคุณเวลานี้ มีกำลังภายในที่แข็งแกร่งแล้ว และในวันข้างหน้าคุณจะสามารถฝึกวรยุทธจนสามารถกลายเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งได้..”

“สามี.. ฉันจะสามารถเก่งเหมือนนาย แล้วก็คล่องแคล่วว่องไวเหมือนนายตอนนี้ไม๊?” หลินเมิ่งหานถามขึ้นอย่างประหลาดใจแต่ก็มีความสุขอย่างมาก

หลิงหยุนพยักหน้ายิ้มๆ ในเวลานี้เขาสามารถอธิบายให้หลินเมิ่งหานเข้าใจเรื่องต่างๆได้เพียงเท่านี้ นอกเหนือจากนั้นคงต้องให้เธอค่อยๆทำความเข้าใจ และยอมรับด้วยตัวเองไปทีละเล็กทีละน้อย

แต่จู่ๆหลินเมิ่งหานก็ถามออกมาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ “นายบอกว่าตอนนี้กำลังภายในของฉันอยู่ในขั้นโฮ่วเทียน-9 แล้ว แต่ทำไมฉันถึงไม่รู้สึกอะไรเลยล่ะ?”

หลิงหยุนหัวเราะก่อนจะตอบกลับไปว่า “ผมจะเปรียบเทียบให้คุณเข้าใจได้ชัดเจนกว่านี้ พลังชี่เปรียบเหมือนน้ำในสระน้ำ ที่เมื่อไม่มีการไหลเวียนมันก็จะอยู่ในสภาพนิ่ง เพราะเหตุนี้ไงคุณถึงไม่สามารถสัมผัสและรู้สึกได้!”

หลินเมิ่งหานพยักหน้าอย่างจริงจัง หลิงหยุนยิ้มให้พร้อมกับอธิบายต่อ “แต่ถ้าหากทำการเดินลมปราณไปตามจุดต่างๆของร่างกาย เส้นลมปราณ และจุดตันเถียน หรือที่เราเรียกว่าการเดินลมปราณนั้น หากคุณฝึกฝนเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ต่อไปคุณก็จะสามารถใช้มันต่อสู้กับศัตรูได้..”

“แล้วจะเดินลมปราณที่ว่านี่ได้ยังไง?” หลินเมิ่งหานถามตรงประเด็น

หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับตอบไปว่า “ก็ต้องเรียนรู้เรื่องเคล็ดวิชาการฝึกในแบบต่างๆ ผมตั้งใจไว้อยู่แล้วว่าจะสอนเคล็ดวิชาพวกนี้ให้กับคุณ เพื่อที่ว่าคุณจะได้ฝึกฝนตัวเองให้เก่งขึ้น!”

“จริงเหรอ? งั้นก็ดีมากเลย!” แม้หลินเมิ่งหานจะรู้อยู่แล้วว่าหลิงหยุนมีความตั้งใจจะสอนวรยุทธให้กับเธอในเร็วๆนี้ แต่เธอก็ใจร้อนอยากจะเรียนรู้เดี๋ยวนี้เลย เพราะหลิงหยุนได้กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของเธอให้ตื่นขึ้นมาแล้ว

“สามี.. สอนฉันตอนนี้เลยเร็วเข้า! ฉันอยากเก่งเหมือนนาย!” หลินเมิ่งหานไม่อาจทนรอต่อไปได้อีก

หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า ‘อยากเก่งเหมือนข้างั้นรึ? ต่อให้เจ้าฝึกฝนทั้งชีวิตก็คงไม่สามารถทำได้’

แต่หลิงหยุนก็ไม่ต้องการที่จะทำลายความกระตือรือร้นของหลินเมิ่งหาน เขาจึงตอบกลับไปยิ้มๆ “ได้สิ.. ถ้างั้นผมจะสอนคุณเดี๋ยวนี้เลย!”

หลิงหยุนสอนเคล็ดวิชาบ่มเพาะที่เรียกว่าวิชาพลังเย็น ซึ่งเป็นการฝึกฝนขั้นสูงของโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ให้กับหลินเมิ่งหาน และในการฝึกวิชานี้ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้น จะต้องไปฝึกที่วังน้ำแข็งในตอนกลางคืน

แม้ว่าวิชาพลังเย็นนี้จะค่อนข้างทรงพลังมาก แต่ก็ไม่เหมาะสำหรับบุรุษที่จะฝึกฝนวิชานี้ ดังนั้นหลังจากที่ได้เรียนรู้ความลับของวิชานี้แล้ว หลิงหยุนจึงไม่สนใจที่จะฝึก

เมื่อคืนนี้.. หลังจากที่หลิงหยุนพบว่าร่างกายของหลินเมิ่งหานนั้นมีพลังหยินที่บริสุทธิ์ เขาจึงนึกถึงวิชาพลังเย็นนี้ขึ้นมาทันที และอดคิดไม่ได้ว่าวิชานี้ดูเหมือนจะคิดค้นมาเพื่อให้หลินเมิ่งหานฝึกฝนโดยเฉพาะ

วิชาพลังเย็นนี้เป็นวิชาที่ใช้เดินพลังชี่ภายในร่างกาย และช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของพลังหยินในร่างกาย แต่ไม่สามารถใช้เพื่อต่อสู้กับศัตรูได้

ซึ่งก็คล้ายๆกับวิชาพลังลับหยินหยางของหลิงหยุนนั่นเอง เพราะในเวลาที่หลิงหยุนต่อสู้กับศัตรู เขาก็จะใช้วรยุทธอย่างเช่นหมัดปีศาจเถียนกัง ฝ่ามือเทวะ มังกรพรางร่าง หรือวิชาอื่นๆ การฝึกฝนกำลังภายใน กับการฝึกวรยุทธนั้นเป็นคนละเรื่องกัน

แต่ก็มีวิชามากมายที่เป็นทั้งการฝึกฝนกำลังภายใน และยังสามารถใช้เป็นวรยุทธในการต่อสู้กับศัตรูได้ด้วย เรียกได้ว่าแยกกันไม่ออก และหลิงหยุนเองก็เชี่ยวชาญในการฝึกวิชาพวกนี้เช่นกัน

แต่ถึงอย่างไร ตอนนี้หลิงหยุนก็อยากให้หลินเมิ่งหานฝึกฝนกำลังภายในให้มีรากฐานที่มั่นคงก่อน เขาจึงสอนเพียงแค่วิชาพลังเย็นให้กับเธอเท่านั้น ไว้รอให้หลินเมิ่งหานฝึกวิชาพลังเย็นไปจนถึงระดับหนึ่งแล้ว เขาจึงจะสอนวิชาหมัดมวยและเท้าให้กับเธอต่อไป

หลิงหยุนเริ่มสอนวิชาพลังเย็นให้กับหลินเมิ่งหาน แต่เพราะเคล็ดวิชาค่อนข้างซับซ้อน และหลินเมิ่งหานเองก็เพิ่งจะเรียนรู้เรื่องเหล่านี้เป็นครั้งแรกในชีวิต เธอจึงไม่สามารถจดจำได้ภายในเวลาสั้นๆ

“สามี.. มันยากจังเลย!” หลินเมิ่งหานบ่นพึมพำ

“ฉันคงจะโง่มากเลย.. เยอะแยะไปหมดจนจำอะไรไม่ได้เลย!”

หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับปลอบโยนหลินเมิ่งหานอย่างอ่อนโยน “อย่ากังวลมากไปนักสิ! ที่ยากก็เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่คุณเคยได้ยินได้ฟังเรื่องพวกนี้ แล้วนี่ก็เป็นการฝึกครั้งแรกของคุณด้วย มันก็ต้องยากและไม่คุ้นเคยเป็นเรื่องธรรมดา”

“ถ้าจำไม่ได้ก็ใช้วิธีจดสิ่งที่ผมพูดออกมา.. คุณได้ฟังที่ผมพูดแล้วใช่ไม๊?”

หลินเมิ่งหานแลบลิ้นออกมาก่อนจะตอบไปว่า “แต่.. แต่ฉันจำไม่ได้แม้แต่คำเดียว..”

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า “ไม่เป็นไร.. ผมแค่อธิบายให้คุณฟังไปก่อน เดี๋ยวผมจะจดเคล็ดวิชาพลังเย็นให้คุณ คุณจะได้อ่านและค่อยๆท่องจำไป..”

ถึงแม้ร่างกายของหลินเมิ่งหานจะยอดเยี่ยมมาก แต่เธอก็ไม่ใช่คนที่คลั่งไคล้การฝึกฝนเหมือนอย่างตี้เสี่ยวอู๋กับฉินตงเฉี่วย หากเธอจำไม่ได้ หลิงหยุนก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร

หลิงหยุนขอให้หลินเมิ่งหานไปเอาปากกาและกระดาษมาให้เขา และอักษรที่เกี่ยวข้องกับวิชาพลังเย็นกว่าสามพันคำก็ถูกเขียนลงไปบนกระดาษ และส่งให้กับหลินเมิ่งหาน

หลิงหยุนมองหน้าหลินเมิ่งหานพร้อมกับกำชับด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เมิ่งหาน.. คุณรีบท่องเคล็ดวิชาทั้งสามพันคำในกระดาษแผ่นนี้ให้ได้เร็วที่สุด หลังจากที่จำได้ทั้งหมดแล้วก็ให้รีบเผาทิ้งที.. เข้าใจไม๊? ไม่เช่นนั้น.. หากให้คนที่ฝึกกำลังภายในมาพบเห็นเข้า พวกเขาคงต้องนำไปฝึกฝนอย่างแน่นอน!”

วิชาพลังเย็นที่หลิงหยุนสอนให้กับหลินเมิ่งหานนั้น ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถเทียบเท่าวิชาพลังลับหยินหยางได้ แต่นั่นก็นับว่าเป็นวิชาที่หาได้ยาก หากปล่อยให้คนในนิกายลับของประเทศจีนรู้เข้า คงยากนักที่พวกเขาจะไม่นำไปฝึกฝน..

“สามี.. ฉันเข้าใจแล้ว ขอบคุณมาก!” หลินเมิ่งหานเห็นหลิงหยุนค่อนข้างจริงจัง เธอจึงได้แต่พยักหน้าเคร่งขรึมตาม

จากนั้นเธอก็หอมแก้มหลิงหยุนฟอดใหญ่ หลินเมิ่งหานไม่คิดไม่ฝันว่าหลิงหยุนจะเปิดประตูโลกใหม่ให้กับเธอ เป็นโลกที่เธอเองก็ไม่เคยได้พบเห็น และไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน!

“เอาล่ะ.. คุณก็เริ่มท่องได้ตั้งแต่ตอนนี้เลย ผมจะออกไปข้างนอกเดี๋ยวเดียว..” หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับร้องสั่งหลินเมิ่งหานในขณะที่สวมเสื้อผ้าชุดใหม่ซึ่งเรียกออกมาจากแหวนพื้นที

หลินเมิ่งหานถึงกับตกใจและวิตกกังวล “สามี.. นี่เที่ยงคืนแล้วนะ นายยังจะออกไปข้างนอกอีกเหรอ?”

หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อย “ไม่ต้องห่วง.. ผมออกไปแค่เดี๋ยวเดียว เดี๋ยวก็กลับมาแล้ว!”


บทที่ 444 : ขาวปุยกลายร่าง!

หลิงหยุนออกไปใหนตอนเที่ยงคืนน่ะหรือ? แน่นอนว่าเขาก็ต้องออกไปรักษาอาการบาดเจ็บภายในให้กับเหล่ากุ่ยนั่นเอง!

แม้ว่าเหล่ากุ่ยจะเป็นบุคคลลึกลับ แต่เมื่อปรากฏตัวแล้วก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ไม่ว่าหลิงหยุนจะทำอะไร เหล่ากุ่ยก็ไม่เคยปฏิเสธที่จะร่วมมือกับหลิงหยุนเลยแม้แต่ครั้งเดียว!

แม้ว่าเหล่ากุ่ยจะยังไม่ยอมเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตัวเอง แต่หลิงหยุนก็ฉลาดพอที่จะมองออกว่า เหล่ากุ่ยนั้นทั้งรักทั้งห่วงใย และพร้อมที่จะปกป้องเขามากเพียงใด หลิงหยุนจึงต้องการที่จะใช้ความสามารถที่มีของเขารักษาอาการบาดเจ็บของเหล่ากุ่ยให้หายดี

หลิงหยุนขับรถออกมาจากหมู่บ้านฝูฮัว และเพียงแค่ยี่สิบนาทีก็มาถึงบ้านเลขที่-1 ของตนเอง

“ดึกขนาดนี้แล้วทำไมประตูรั้วยังเปิดกว้างอยู่แบบนี้..”

หลิงหยุนมองเข้าไปภายในลานบ้านก็เห็นเหล่ากุ่ยและตู้กู่โม่ สำหรับสองคนนี้ประตูบ้านก็คงเป็นเพียงแค่อุปกรณ์ตกแต่งบ้านชนิดหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้มีความหมายอะไรสำหรับพวกเขาเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นจะปิดหรือจะเปิดก็คงไม่แตกต่างกัน

ทันทีที่หลิงหยุนขับรถเข้าไปในบ้าน ยังไม่ทันที่เขาจะเปิดประตูลงไป ก็เห็นเจ้าขาวปุยวิ่งส่ายหางมายืนรอเขาที่หน้าประตูรถ

หลิงหยุนยิ้มให้ และเมื่อก้าวลงมาจากรถ ก็รีบอุ้มเจ้าขาวปุยไว้ในอ้อมแขน และลูบไล้ขนที่นุ่มนวลของมันพร้อมกับหัวเราะอย่างอารมณ์ดี

“นี่ข้าเองไง.. เจ้ามองทำไมกัน?”

ดวงตาของเจ้าขาวปุยจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของหลิงหยุน แววตาของมันเต็มไปด้วยความเศร้าโศก ร่างใหญ่ของมันพยายามซุกเข้าไปในอ้อมแขนของหลิงหยุนอยู่แบบนั้นและไม่ผละออก

หลิงหยุนจึงอาศัยโอกาสนี้สังเกตุไปทั่วทั้งร่างของเจ้าขาวปุย และพบว่าการฝึกฝนของเจ้าขาวปุยนั้นก้าวหน้าได้เร็วอย่างน่าอัศจรรย์ และคงจะต้องกลายร่างภายในสามวันนี้แน่ เขาจึงได้แต่กระซิบบอกกับมันว่า

“ขาวปุย.. เจ้าจะกลายร่างในเมืองนี้ไม่ได้! เพราะจะทำให้เกิดปัญหาตามมาอีกมากมาย เพราะฉะนั้นสองสามวันนี้ให้หยุดฝึกฝนไปก่อน แล้วอีกสามวันข้าจะมาพาเจ้าไปที่เกาะในทะเล!”

เจ้าขาวปุยเป็นสุนัขจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง มันจึงเฉลียวฉลาดมากและรู้ว่าตัวมันเองกำลังจะกลายร่าง มันจึงได้แต่ผงกหัวให้หลิงหยุน พร้อมกับมองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มและมีเสน่ห์

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เหล่ากุ่ยและตู้กู่โม่ต่างก็เดินเข้ามาหาหลิงหยุน เมื่อเหล่ากุ่ยได้พบหลิงหยุนเขาก็หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข

“นาย.. เอ่อพ่อหนุ่ม.. ร่างกายของข้าฟื้นตัวเร็วกว่าที่คิดมาก ถ้าเจ้ายุ่งก็ไม่ต้องมารักษาให้ข้าทุกวันก็ได้นะ..” ด้วยความรักที่มีให้หลิงหยุนอย่างเต็มเปี่ยมนั้น เหล่ากุ่ยเกือบจะเผลอเรียกเขาว่า ‘นายน้อย’ ออกมา..

เหล่ากุ่ยรู้ว่าผู้เฒ่าหลิงซึ่งเป็นปู่ของหลิงหยุนนั้นจะมาถึงเมืองจิงฉูในไม่ช้านี้ และเมื่อคิดว่าอีกไม่นานหลิงหยุนจะได้รู้จักกับบรรพบุรุษของตัวเอง ได้พบกับครอบครัวของตัวเอง เขาก็รู้สึกซาบซึ้งใจอย่างบอกไม่ถูก

หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อย “เหล่ากุ่ย.. นี่เป็นเรื่องที่ข้าสมควรต้องทำ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร อีกทั้งยิ่งรักษาให้หายเร็วได้เท่าไหร่ ก็ยิ่งไม่ควรประวิงเวลา..”

ตู้กู่โม่ยิ้มให้หลิงหยุนแล้วพูดขึ้นว่า “หลิงหยุน.. ข้ามีเรื่องขอร้องด้วย?”

เมื่อเห็นตู้กู่โม่มองเขาด้วยสายตาวิงวอน หลิงหยุนจึงรู้สึกประหลาดใจ และในใจก็เริ่มระแวดระวังขึ้นมาทันที เขายิ้มพร้อมกับตอบตู้กู่โม่ไปว่า

“นายมีเรื่องอะไรก็พูดมา!”

ตู้กู่โม่ยินดีที่จะอยู่เคียงข้างหลิงหยุนในช่วงเวลาที่ยากลำบาก และเปรียบเหมือนมือซ้ายของหลิงหยุน ตู้กู่โม่มองหน้าหลิงหยุนพร้อมกับอ้อนวอนว่า

“หลิงหยุน.. นายให้ฉันยืนกระบี่ขาวเล่มนั้นเล่นหน่อยจะได้ไม๊?”

หลิงหยุนได้ยินถึงกับตกใจ และคิดว่าเรื่องนี้ไม่ดีแน่ๆ จึงรีบส่ายหน้าพร้อมกับปฏิเสธออกไปทันที

“ไม่ได้.. ไม่ได้อย่างแน่นอน! ข้ามีดาบนั่นเพียงแค่เล่มเดียว..”

ตู้กู่โม่หลงใหลในดาบเล่มนั้นเป็นชีวิตจิตใจ ทันทีที่เขาเห็นกระบี่มังกรขาวที่อ่อนนุ่มเล่มนั้นอยู่ในมือหลิงหยุน เขาก็ได้แต่รู้สึกผิดหวังและเสียดายอย่างมาก และเมื่อได้ยินว่าหลิงหยุนปฏิเสธไม่ยอมให้เขายืมดู ใบหน้าหล่อเหลาของตู้กู่โม่ก็เปลี่ยนเป็นน่าเกลียดราวกับแบกโลกทั้งโลกไว้ขึ้นมาทันที

“ฉันขอยืมเล่นแค่วันสองวันเอง.. ไม่ได้ขอไว้เลยสักหน่อย!”

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า “ใครจะไปรู้.. เจ้าได้กระบี่ของข้าไปแล้วอาจจะหนีไปเลยก็ได้ หรือเจ้ามีอะไรมาค้ำประกันไม๊ล่ะ..?!”

ตู้กู่โม่รีบสาบาน “หลิงหยุน.. ฉันสาบานก็ได้ว่าจะไม่ขโมยดาบของนายแน่ๆ แค่ขอยืมเล่นเท่านั้นเอง..”

หลิงหยุนยังคงส่ายหน้าพร้อมกับปฏิเสธเสียงแข็ง และไม่ว่าตู้กู่โม่จะออดอ้อนยังไงเขาก็ไม่สนใจ

เหล่ากุ่ยมองตู้กู่โม่ด้วยความสงสาร เขาจึงพูดกับหลิงหยุนยิ้มๆ “พ่อหนุ่ม.. ตู้กู่โม่มาจากตระกูลที่ใช้กระบี่เป็นอาวุธ กระบี่ของเจ้าทำให้เขาตาเป็นประกาย ระหว่างที่เจ้าทำการรักษาให้ข้าก็ให้เขายืมเล่นเสียหน่อย ตอนจะกลับก็ค่อยเอาคืน.. แบบนี้ดีไม๊?”

หลิงหยุนมั่นใจว่ายังไงตู้กู่โม่ก็ไม่มีทางขโมยกระบี่ของเขาแล้วหนีไปอย่างแน่นอน เพราะเขายังคงมีน้ำลายมังกรอยู่ในมือ หากตู้กู่โม่ขโมยกระบี่ของเขาหนีไปจริงๆ เขาก็แค่เสียของมีค่าขนาดเท่าเม็ดงาในขณะที่ตัวเขามีแตงโมทั้งลูก และหลิงหยุนเองก็รู้ว่าตัวตู้กู่โม่นั้นก็คิดไม่ต่างจากเขา เขาจึงพูดยิ้มๆ

“ก็ได้.. เห็นแก่เหล่ากุ่ยที่ช่วยขอร้องให้เจ้านะ! ข้าจะให้เจ้ายืมเล่นสักสองวัน แต่หลังจากนั้นเจ้าต้องคืนกระบี่ให้ข้าทันทีเพราะข้าต้องใช้มัน!”

เมื่อตู้กู่โม่ได้ฟังก็รู้สึกมีความสุขอย่างมาก เขารีบพยักหน้าและรับปากทันที “ได้ๆ! สองวันก็สองวัน เอากระบี่นั่นออกมาให้ข้าได้แล้ว!”

“เอาไป!” หลิงหยุนพูดพร้อมกับยื่นกระบี่มังกรขาวให้กับตู้กู่โม่

ตู้กู่โม่รับมาแล้วหันกลับไปขอบคุณเหล่ากุ่ย จากนั้นก็จ้องมองกระบี่ในมืออยู่นาน แล้วจู่ๆก็ร้องขึ้นมาว่า

“แล้วฝักของมันล่ะ? เอาฝักมันมาให้ข้าด้วยสิ..”

หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ “ไม่มีฝัก.. กระบี่ที่ใช้สำหรับฆ่าคนถ้ามีฝักก็คงจะยุ่งยากมากทีเดียว..”

หลังจากนั้น.. หลิงหยุนก็ไม่สนใจตู้กู่โม่อีก เขาหันไปพูดกับเหล่ากุ่ยว่า “เหล่ากุ่ย.. ข้าว่าพวกเราเข้าไปในบ้านกันดีกว่า ปล่อยให้เขาเล่นอยู่ที่นี่ตามลำพัง!”

ตอนนี้ร่างกายของหลิงหยุนเข้าสู่ระดับเริ่มต้นของขั้นปรับร่างกาย-6 แล้ว กำลังภายในในร่างกายนั้นจึงมีกำลังมหาศาล หลิงหยุนใช้เวลาในการฝังเก้าเข็มปลุกชีพเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงก็เสร็จเรียบร้อย

“เหล่ากุ่ย.. อาการบาดเจ็บของท่านดีขึ้นรวดเร็วมาก ถ้าเป็นเช่นนี้ข้าว่าภายในสิ้นเดือนนี้ ท่านจะฟื้นตัวจนเป็นปกติอย่างแน่นอน แล้วก็จะสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-1 ได้เต็มขั้นเสียที”

หลิงหยุนจัดการถอนเข็มทองออกพร้อมกับยิ้มให้เหล่ากุ่ย..

เหล่ากุ่ยพยักหน้าอย่างพออกพอใจ แต่ในใจกลับนึกถึงหลิงลี่ หลิงเสี่ยว แล้วก็คนอื่นๆในตระกูลหลิงที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นเดียวกับเขา เหล่ากุ่ยรู้สึกว่าครั้งนี้ตระกูลหลิงคงจะรอดพ้นจากการต้องถูกปลด หรือลดระดับขั้นตระกูลในเมืองหลวงแล้ว!

“พ่อหนุ่ม.. เจ้าคิดว่าพวกเราควรต้องทำความรู้จักฐานะของกันและกันได้หรือยัง? เจ้าไม่อยากรู้ฐานะที่แท้จริงของข้างั้นรึ?” เหล่ากุ่ยมองหลิงหยุนพร้อมกับยิ้มให้เขา และถามขึ้นมาอย่างลังเล

หลิงหยุนหัวเราะหึหึพร้อมกับตอบไปว่า “แน่นอน.. ข้าย่อมอยากรู้ฐานะของท่านอยู่แล้ว ข้าเพียงแค่รอเวลาที่เหล่ากุ่ยพร้อมจะเปิดเผยต่อข้าเท่านั้นเอง เพราะถ้าท่านไม่พร้อมที่จะบอก ต่อให้ข้าถามไป.. แล้วจะมีประโยชน์อะไร?”

เหล่ากุ่ยได้แต่กระอักกระอ่วนก่อนจะตอบกลับไปว่า “ฮ่า.. ฮ่า.. เจ้านี่ช่างเป็นเด็กที่ง่ายๆสบายๆ เอาล่ะ.. ข้าขอเวลาสักสองวัน แล้วข้าจะบอกเจ้าทุกอย่าง!”

หลังจากนี้สองวัน.. ปู่ของหลิงหยุน – หลิงลี่ จะเดินทางมาที่เมืองจิงฉู และเมื่อปู่กับหลานได้พบหน้ากัน เหล่ากุ่ยคงจะไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อย่างแน่นอน คำพูดมากมายคงจะพร่างพรูออกจากปากของเขา..

หลิงหยุนเพียงแค่ยิ้ม เขาประคองเหล่ากุ่ยลุกขึ้นด้วยความรู้สึกเคารพ จากนั้นจึงเดินออกไปหาเรื่องตู้กู่โม่ก่อนจะขับรถกลับไปที่หมู่บบ้านฝูฮัวต่อ

คืนนี้ตี้เสี่ยวอู๋ไม่ได้มาฝึกที่บ้าน และหลิงหยุนรู้ดีว่าตี้เสี่ยวอู๋กำลังยุ่งอย่างมาก

เมื่อกลับไปถึงบ้านของหลินเมิ่งหานแล้ว มีหรือที่คืนนี้หลิงหยุนจะปล่อยให้ตนเองต้องทนคิดถึงหลินเมิ่งหานอีก ทั้งคู่มีความสุขกันอย่างดูดดื่มตลอดทั้งคืนจนกระทั่งถึงตีสี่ และหลินเมิ่งหานเองก็ถึงกับต้องร้องขอความเมตตาจากหลิงหยุนซ้ำๆ เพื่อให้เขาปล่อยเธอได้แล้ว..

เช้าวันรุ่นขึ้น.. หลิงหยุนตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อฝึกดารกะดายัน และพอสายหน่อยและแดดเริ่มออก หลิงหยุนก็ขับรถไปหาถังเมิ่ง และทั้งคู่ก็นั่งคุยกันอยู่ในรถ

ทันทีที่ถังเมิ่งขึ้นไปบนรถ เขาก็อยากจะบอกเล่าถึงโครงการใหญ่โตของตัวเองให้หลิงหยุนฟัง แต่กลับถูกหลิงหยุนขัดขึ้นเสียก่อน

“เรื่องโครงการใหญ่โตของนายเอาไว้ก่อน.. เอาธุระของฉันก่อน!”

ถังเมิ่งถามกลับขึ้นทันที “พี่หยุน.. มีเรื่องอะไรเหรอ?”

หลิงหยุนตอบไปว่า.. “เรื่องบ้านของเหยาลู่กับหลิวลี่ไปถึงใหนแล้ว..?”

ถังเมิ่งเกาหัวแกรกๆ พร้อมกับถามออกไปด้วยความสงสัย “พี่หยุน.. เรื่องที่พี่จะซื้อบ้านให้พี่ลู่ฉันพอจะเข้าใจนะ แต่ทำไมต้องซื้อให้หลิวลี่ด้วย ฉันเห็นพี่ทำให้ครอบครัวนี้ไปตั้งมากมายหลายอย่างแล้ว ไม่ต้องซื้อบ้านให้ไม่ได้เหรอ?”

หลิงหยุนส่ายหน้าพร้อมกับตอบไปว่า “นายไม่จำเป็นต้องเข้าใจ! ฉันสั่งให้นายซื้อ นายก็ซื้อ.. แล้วก็ต้องซื้อหลังที่สามารถย้ายเข้าไปอยู่ได้เลยไม่ต้องตกแต่งอีก จัดการให้เสร็จเร็วๆด้วย ส่วนเรื่องเฟอร์นิเจอร์ที่จำเป็น ก็ให้เลือกของดีๆ เข้าใจไม๊?”

หลิงหยุนได้รับของขวัญล้ำค่าจากตระกูลหลิวซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้.. เช่นนี้แล้วไม่เท่ากับว่าตระกูลหลิวได้ทำความดีความชอบครั้งยิ่งใหญ่ให้กับหลิงหยุนได้อย่างไรกัน?

หลิงหยุนพูดต่อว่า “ส่วนเรื่องกู้เงินนั้น.. ฉันใคร่ครวญดูแล้ว นายจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองไปได้เลย จะกู้ได้มากหรือได้น้อยก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของนาย ไม่จำเป็นต้องถามฉันเรื่องนี้อีก!”

“เรื่องต่างๆที่บอกไปนั้นค่อยทำทีหลังได้ แต่มีสองเรื่องที่นายต้องทำให้ฉันก่อน แล้วก็ต้องให้เสร็จเร็วที่สุดด้วย!”

ถังเมิ่งพยักหน้าพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “พี่หยุน.. สั่งมาได้เลย!”

หลิงหยุนพูดขึ้นว่า “เรื่องแรก – นายยังจำเรื่องเรือที่ฉันเคยบอกได้ใช่ไม๊? ตอนนี้ช่วยไปจัดการหาเรือให้ฉันด่วนเลย ฉันต้องการไปเกาะเตียวหยู นายต้องจัดการให้เสร็จภายในสามวัน เพราะฉันต้องเดินทางออกจากเมืองจิงฉูในคืนวันศุกร์!”

“ส่วนเรื่องที่สอง – ฉันต้องการให้นายใช้เส้นสายทุกทางที่มีอยู่ในเมืองจิงฉู จัดการทำบัตรประชาชนให้กับเจ้าขาวปุย!”

“เรื่องนี้สำคัญมาก.. นายเข้าใจไม๊?”

เมื่อถังเมิ่งได้ยินเรื่องแรกนั้น เขาก็ผงกหัวรับคำสั่งด้วยสีหน้าจริงจัง แต่เมื่อหลิงหยุนพูดเรื่องที่สอง เขาก็ถึงกับอึ้งแล้วก็นิ่งไปราวกับเป็นอัมพาต..

“พี่หยุน.. พี่บอกว่า.. เจ้าขาวปุย?” ถังเมิ่งถึงกับถอนหายใจ เมื่อคิดว่าต้องไปทำบัตรประชาชนให้สุนัขจิ้งจจอก?

หลิงหยุนตอบยิ้มๆ “ใช่แล้ว.. เจ้าขาวปุย!”

ถังเมิ่งเอามือลูบหัวที่เริ่มมีเส้นผมงอกขึ้นมาบ้างแล้วของตัวเอง พร้อมกับถามขึ้นอย่างประหลาดใจ

“พี่หยุน.. เจ้าขาวปุยเป็นสุนัขจิ้งจอกนะ?! ฉันไม่เคยได้ยินว่าสุนัขจิ้งจอกต้องมีบัตรประชาชนมาก่อน.. ”

หลิงหยุนตำหนิถังเมิ่ง “นี่นายทำไมถึงได้โง่แบบนี้นะ? สุนัขจิ้งจอกที่ใหนต้องใช้บัตรประชาชนกันเล่า.. ฉันหมายถึงว่าเจ้าขาวปุยกำลังจะกลายร่างเป็นมนุษย์แล้วต่างหาก..!”

“ห๊ะ.. พี่ว่าอะไรนะ?”

เจ้าขาวปุยจะกลายร่างเป็นคน?! ถังเมิ่งได้ฟังถึงกับตะลึงจนอ้าปากค้าง!


บทที่ 445 : ปีศาจ!

“นี่.. นี่พี่พูดเรื่องจริงเหรอ? นี่มัน..?!”

ถังเมิ่งยกมือสองข้างขึ้นกุมหัวโล้นของตัวเอง ตาของเขาโตและปากก็อ้ากว้าง ก่อนจะพึมพำออกมา..

ถังเมิ่งรู้สึกว่าไอคิวที่เขามีอยู่ในตอนนี้ไม่เพียงพอที่จะรับรู้ และทำความเข้าใจเรื่องเหล่านี้ได้!

หลิงหยุนขมวดคิ้วเล็กน้อย.. จากนั้นก็ยกมือข้างซ้ายโบกไปมาต่อหน้าถังเมิ่ง แล้วจู่ๆก็มีขวดน้ำแร่ปรากฏออกมา เขาเปิดฝาขวดออกแล้วกระดกขวดน้ำขึ้นดื่ม จากนั้นก็แกว่งขวดน้ำไปมาตรงหน้าถังเมิ่ง

“นี่คือแหวนพื้นที่.. นายก็เคยเห็นแล้วไม่ใช่เหรอ?”

หลิงหยุนเห็นถังเมิ่งผงกหัวหงึกๆ เขาจึงพูดต่อ “ในเมื่อนายก็เห็นแหวนนี่กับตาตัวเองแล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องที่เจ้าขาวปุยจะกลายร่างเป็นมนุษย์ก็ไม่น่าจะใช่เรื่องที่ไม่สามารถทำความเข้าใจได้นี่..?”

ถังเมิ่งส่ายหน้า “พี่หยุน.. ฉันไม่ได้บอกว่าไม่สามารถทำความเข้าใจเรื่องนี้ได้ แต่ฉันหมายความว่า.. ถ้าเจ้าสุนัขจิ้งจอกตัวนี้กลายร่างเป็นคนได้จริงๆ นี่ไม่เท่ากับว่ามีปีศาจ หรือสัตว์ประหลาดเกิดขึ้นบนโลกใบนี้อย่างงั้นเหรอ?”

หลิงหยุนยิ้มเหยียด “อะไรคือปีศาจ.. อะไรคือสัตว์ประหลาด..? แค่สัตว์กลายร่างเป็นมนุษย์ก็ถูกเรียกว่าปีศาจงั้นเหรอ? นี่มันเป็นเพียงแค่คำจำกัดความที่มนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้น.. ก็เท่านั้นเอง!”

“ฉันจะบอกอะไรให้.. สัตว์วิญญาณในโลกใบนี้มีอยู่มากมาย บางตัวสามารถกลายร่างเป็นอย่างอื่นที่มีพลังมหาศาลกว่ามนุษย์มาก แต่เมื่อต้องอาศัยอยู่ในโลกใบนี้ การกลายร่างเป็นมนุษย์จึงเป็นเรื่องที่สะดวกต่อการใช้ชีวิตของพวกมันที่สุด..”

“ความจริงแล้ว.. มนุษย์เองนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตที่ทั้งเล็ก อ่อนแอ แล้วก็น่าสงสาร!”

“ฉันจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดขึ้น..  นายดูอย่างสิงห์โต เสือ แล้วก็สัตว์ป่าอื่นๆ พวกมันก็สามารถกินคนได้ หากลองคิดดูให้ดีๆ มนุษย์เองก็เป็นเพียงแค่อาหารของพวกมันเท่านั้นเอง ในสายตาของพวกมันแล้ว มนุษย์ก็ไม่ต่างจากกวางหรือกระต่ายน้อยเลยแม้แต่นิดเดียว..”

และนี่คือเหตุผลว่าเพราะเหตุใดมนุษย์เราจึงต้องฝึกวรยุทธ์? เหตุใดจึงต้องฝึกฝนกำลังภายใน? หรือแม้กระทั่งว่าเหตุใดจึงต้องคิดสร้างอาวุธเช่นกระบี่ขึ้นมา? จนกระทั่งมาถึงในยุคสมัยนี้มนุษย์ก็สร้างอาวุธที่ร้ายแรงมากขึ้นอย่างปืน ไปจนถึงระเบิดมิดไซล์!

จุดประสงค์แรกเริ่มของการสร้างสิ่งเหล่านี้.. ไม่ใช่เพื่อต้องการสร้างความแข็งแกร่งให้กับตัวมนุษย์เอง แต่สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการป้องกันตัวเองจากการถูกสัตว์ร้ายจับกิน ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อฆ่าพวกมัน เพียงแต่เมื่อวันเวลาผ่านไปนานเข้า จากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง.. จุดประสงค์และหลายอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป!

ทุกวันนี้มีการสร้างทั้งระเบิดนิวเคลียร์ และสร้างแม้กระทั่งยานอวกาศเพื่อส่งออกไปสำรวจนอกโลก ซึ่งด้านหนึ่งก็เพื่อป้องกันไม่ให้มนุษยชาติถูกมนุษย์ต่างดาวโจมตี แต่อีกด้านหนึ่งก็เพื่อการแก่งแย่งดินแดนที่ดีกว่าของมนุษย์ด้วยกัน มันก็เป็นเช่นนั้นเอง!

วัตถุประสงค์หลักของการสร้างอาวุธขึ้นมาจึงมีเหตุผลง่ายๆอยู่เพียงแค่สองข้อ  และไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น ถ้าไม่ใช่เพื่อป้องกัน ก็มีไว้เพื่อโจมตี อย่างไรก็หนีไม่พ้นเหตุผลสองข้อนี้แน่นอน..

ถังเมิ่งไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เขากำลังครุ่นคิดตามคำอธิบายของหลิงหยุน  ตอนนี้ถังเมิ่งรู้สึกราวกับถูกทุบศรีษะด้วยของหนัก..

หลิงหยุนอธิบายต่อ “ยกตัวอย่างง่ายๆ ระหว่างนายกับฉัน ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเสือที่กำลังหิวโหยอยู่ในป่า หากเป็นนายก็คงต้องถูกเสือจับกินเป็นอาหารอย่างแน่นอน แต่สำหรับฉัน.. ฉันสามารถฆ่าเสือตัวนั้นด้วยการเตะมันเพียงแค่ครั้งเดียว จากนั้นก็ค่อยจับมันถลกหนังและเอาเนื้อมากินเป็นอาหาร..”

“เพราะอะไรน่ะเหรอ? ก็เพราะฉันแข็งแกร่งกว่าไง เหตุผลง่ายๆ!” หลิงหยุนหัวเราะอย่างมั่นอกมั่นใจ

ถังเมิ่งถึงกับช็อค “พี่หยุน.. นี่พี่สามารถเตะเสือได้ด้วยเหรอ?”

หลิงหยุนตอบบกลับไปยิ้มๆ “ไม่ใช่แค่เสือตัวเดียวด้วยนะ.. ต่อให้มาเป็นฝูงก็เถอะ!”

ด้วยระดับสูงสุดของขั้นปรับบร่างกาย-3 หลิงหยุนก็สามารถฆ่าสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในขณะนี้ที่เขาได้เข้าสู่ระดับเริ่มต้นของขั้นปรับร่างกาย-6 แล้ว

ถังเมิ่งพูดขึ้นด้วยความอิจฉา “พี่หยุน.. เมื่อไหร่พี่จะทำให้ฉันแข็งแกร่งแบบพี่บ้าง? ฉันว่ามีวรยุทธนี่มันเจ๋งแล้วก็เท่ห์มากเลยนะ!”

หลิงหยุนพูดไม่ออกและได้แต่ส่ายหน้า “นายนี่นะ?! ฟังนะ.. นายไม่ได้เกิดมาเพื่อฝึกวรยุทธ! ไม่ใช่ว่าฉันจะต่อต้านหรือไม่อยากให้นายฝึกหรอกนะ อีกอย่างในใจนายก็ไม่ได้ชอบด้านนี้ นายเหมาะกับการทำธุรกิจมากกว่า..”

ถังเมิ่งเป็นคนที่มีหัวทางด้านการค้า เขาเป็นคนที่สามารถหาลู่ทางในการทำธุรกิจได้อย่างง่ายดาย แต่ถ้าพูดถึงเรื่องการฝึกวรยุทธ หลิงหยุนรับรองได้ว่าถังเมิ่งทนฝึกได้ไม่เกินครึ่งชั่วโมง ยิ่งต้องมานั่งท่องจำเคล็ดวิชาต่างๆ รับรองว่ามันจะเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญสำหรับเขามาก

แต่ถึงกระนั้น หลิงหยุนก็ยังนึกหาหนทางที่จะช่วยถังเมิ่งในเรื่องนี้อยู่ด้วยเช่นกัน เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาฝึกจนเข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นพลังชี่  ถึงตอนนั้นเขาจะสามารถปรุงโอสถชนิดพิเศษให้กับถังเมิ่งได้ แล้วการฝึกฝนของถังเมิ่งก็จะสามารถก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว เขาจะกลายเป็นคนที่มีสุขภาพแข็งแรง แล้วก็อายุยืนยาวอยู่ในโลกใบนี้ อีกทั้งยังสามารถป้องกันตัวเองได้อีกด้วย..

ถังเมิ่งรู้สึกเศร้าใจและพูดด้วยอารมณ์หดหู่ “เฮ้อ.. ทำไมฉันถึงไม่ขยันเหมือนตี้เสี่ยวอู๋นะ? ทำไมฉันถึงได้มานั่งอยู่แบบนี้?” แม้แต่ถังเมิ่งเองก็รู้ปัญหาของตัวเองดี

หลิงหยุนมองถังเมิ่งด้วยสีหน้าจริงจัง เขาตบบ่าถังเมิ่งอย่างอ่อนโยน พร้อมกับปลอบใจว่า “นายทำใจให้สบาย.. อย่าลืมว่านายเป็นน้องชายของฉัน ต่อให้นายไม่เหมาะที่จะฝึกวรยุทธ ฉันก็จะไม่ปล่อยให้ใครมารังแกนายได้หรอก!”

ถังเมิ่งสัมผัสได้ถึงความเป็นพี่น้องที่หลิงหยุนมอบให้ เขาจึงพยักหน้าอย่างมีความสุข “ขอบคุณมากพี่หยุน!”

หลิงหยุนมองถังเมิ่งและย้อนกลับมาพูดเรื่องของเจ้าขาวปุยต่อ “หลังจากที่เจ้าขาวปุยกลายร่างเป็นมนุษย์แล้ว มันก็จะกลายเป็นเด็กสาวที่มีอายุราวสิบเจ็ดหรือสิบแปดปี คงจะลำบากมากหากไปใหนมาใหนโดยไม่มีบัตรประชาชน เพราะฉะนั้นเมื่อฉันพาขาวปุยกลับมาที่นี่เมื่อไหร่ ก็ต้องมีบัตรประชาชนให้มันทันที นายเข้าใจไม๊?”

ถังเมิ่งรีบปรับอารมณ์ของตัวเองอย่างรวดเร็ว เขาตบหน้าอกพร้อมกับพูดอย่างมั่นใจ “พี่หยุน.. พี่สบายใจได้ เรื่องนี้อยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานรักษาความมั่นคง ฉันสามารถจัดการได้ง่ายๆไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน”

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า “อ่อ.. แล้วถ้านายกลับไปบ้านก็อย่าลืมไปขอบคุณลุงถังแทนฉันก่อนล่ะ!”

ถังเมิ่งรับปากแต่ก็เล่าให้หลิงหยุนฟังว่า “พี่หยุน.. พี่นี่นะจะไปขอบคุณพ่อของฉัน? ไม่จำเป็นเลย! พี่รู้ไม๊ว่าตอนนี้ทั้งลุงหลี่แล้วก็พ่อของฉันตั้งหน้าตั้งตารอว่าเมื่อไหร่ถึงจะได้พบพี่ ถ้าฉันไปบอกพวกเขาว่าสองสามวันนี้พี่ไม่ว่างที่จะมาพบ รับรองว่าพวกเขาจะเป็นฝ่ายมาหาพี่เองด้วยซ้ำไป!”

 หลิงหยุนพยักหน้า “ถ้างั้นนายก็บอกพวกท่านทั้งสองว่า หลังจากฉันกลับมาแล้ว จะไปเยี่ยมท่านทั้งสองอย่างแน่นอน!”

ถังเมิ่งยิ้ม “ได้.. รับรองว่าถ้าทั้งคู่ได้รู้ข่าวนี้คงต้องดีใจอย่างมากแน่!”

หลิงหยุนรู้สึกว่าถังเมิ่งเริ่มกลับมาเป็นคนเดิมแล้ว เขาจึงถามขึ้นว่า  “ยังมีเรื่องอะไรอีกไม๊? ถ้าไม่มี.. นายก็ไปจัดการธุระของนายได้ ส่วนฉันก็จะรีบกลับไปที่โรงเรียนแล้ว!”

ถังเมิ่งใคร่ครวญอยู่เดี๋ยวเดียวก็ตอบไปว่า “พี่หยุน.. ยังมีอีกเรื่อง”

“ว่ามา..”

ถังเมิ่งขมวดคิ้ว “ก็เรื่องที่พี่ให้ฉันไปจัดการโอนรถมาเซราตินั่นล่ะ พี่ให้ฉันไปถามหาหญิงสาวที่ชื่อมู่หลงเฟยจื่อใช่ไม๊? แต่พอฉันไปถามหา.. ผู้จัดการกลับฝากข้อความมาถึงพี่..”

หลิงหยุนยิ้มและถามขึ้นว่า “งั้นเหรอ.. ว่ามา?”

ถังเมิ่งตอบไปว่า “มู่หลงเฟยจื่อบอกว่าการโอนรถควรต้องให้คนผู้นั้นมาด้วยตัวเอง หากให้คนอื่นมาแทน ดูเหมือนจะไม่ถูกต้อง..”

 หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่คิดในใจว่า มู่หลงเฟยจื่อดูเหมือนจะเป็นหญิงสาวที่รั้นมาก ‘อย่าบอกนะว่านางคิดจะเปลี่ยนใจ!’

เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลิงหยุนก็ยิ้มเหยียดก่อนจะพูดขึ้นว่า “ดูท่าเธอคงจะคิดว่าตัวเองสวยเลิศเลอมากสินะ.. งั้นก็ปล่อยให้เธอรอไปก่อนก็แล้วกัน ฉันยังไม่มีเวลาว่างที่จะไปทำตามความต้องการของเธอ อีกอย่างตอนนี้รถมาเซราติก็อยู่ในบ้านของฉัน แล้วก็ไม่มีใครขับเป็นด้วย..”

ฉินตงเฉี่วยอยู่ในบ้านทั้งคน.. หากมีใครคิดจะเข้าไปในบ้านของเขาเพื่อขโมยของแล้วล่ะก็ รับรองว่าเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเป็นไปได้อย่างแน่นอน..

“นายไม่ต้องห่วงเรื่องรถ.. เอาเป็นว่านายไปจัดการขายบ้านสองหลังของเถียนป๋อเตาให้ได้ก่อน แล้วค่อยเอาเงินที่ได้นี้ไปซื้อบ้านใหม่สองหลัง ส่วนเรื่องกู้เงินนายก็ไปจัดการได้เลย..”

“แต่เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นเรื่องรอง.. เรื่องสำคัญที่สุดคือเรื่องหาเรือให้ฉัน จำไว้ว่าฉันต้องออกเดินทางคืนวันศุกร์!”

 หลังจากที่หลิงหยุนพูดจบก็ไล่ถังเมิ่งลงจากรถ และขับตรงไปหาเหยาลู่ที่โรงแรมแชงกรีลล่า

ทุกครั้งที่หลิงหยุนได้พบกับเหยาลู่นั้น เขามักจะสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่มีโดยธรรมชาติในตัวเธอ และหลังจากที่ใกล้ชิดนัวเนียกันอยู่ครู่หนึ่ง หลิงหยุนก็ถามเหยาลู่ถึงเรื่องบ้าน..

เหยาลู่เดินไปหยิบโน๊ตบุ๊คมาวางตรงหน้าหลิงหยุน จากนั้นก็เปิดเข้าไปในเวปไซด์สองสามแห่ง เธอยิ้มให้หลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“ฉันเลือกไว้สองหลัง แต่ตัดสินใจไม่ได้ คุณช่วยฉันตัดสินใจหน่อยสิ!”

หลิงหยุนมองภาพบ้านทั้งสองหลังแล้วก็รู้สึกว่าดีทั้งสองหลัง แต่มีหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เป็นภูเขาทางด้านตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองจิงฉู และอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของตลาดค้าของเก่า

บ้านหลังนี้อยู่ไม่ห่างจากตลาดค้าของเก่า บ้านเลขที่-1 ของหลิงหยุน แล้วก็คลินิกสามัญชนนัก อีกทั้งสิ่งแวดล้อมก็สวยงาม เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยและฝึกฝนอย่างมาก

และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ.. เป็นบ้านที่เพิ่งสร้างใหม่ และออกแบบได้เข้ากับเทรนด์ในปัจจุบัน และภายในก็มีพร้อมทุกอย่าง

หลิงหยุนและเหยาลู่พูดคุยและถกเรื่องนี้กันอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเหยาลู่ก็ยิ้มอายๆพร้อมกับพยักหน้าบอกหลิงหยุนว่า บ้านหลังนี้ก็เป็นหลังที่เธอชอบมากที่สุดเช่นกัน!

หลิงหยุนไม่สนใจเรื่องราคา เขาโทรหาถังเมิ่งให้จัดการต่อรองให้ได้ราคาที่ถูกที่สุด และถังเมิ่งก็รับปากอย่างไม่ลังเล ขนาดบ้านของหลิงหยุนก่อนหน้านี้สองหลัง หลังจากลดแล้วยังเกือบร้อยล้าน แล้วนี่บ้านในราคาไม่ถึงสิบล้าน จึงไม่ใช่เรื่องยากเย็นสำหรับถังเมิ่ง

หลิงหยุนวางสายไป เขากอดเหยาลู่ไว้ในอ้อมแขนพร้อมกับพูดยิ้มๆ “เอาล่ะ.. ในเมื่อเลือกบ้านได้แล้ว หลังจากนี้ก็ไปเลือกเฟอร์นิเจอร์ เรื่องนี้ถังเมิ่งมีประสบการณ์มาก ถามเขาหรือไม่ก็สั่งให้เขาจัดการได้เลย”

เหยาลู่พยักหน้าอย่างไร้เดียงสา หลิงหยุนใช้เวลานัวเนียใกล้ชิดกับเหยาลู่ต่อจนถึงสิบโมงเช้า จึงขอตัวออกไปทำธุระต่อ..

เหยาลู่รู้ดีว่าหลิงหยุนนั้นยุ่งเพียงใด และเขาก็เพิ่งจะบอกกับเธอว่าเขาจะย้ายเข้าไปอยู่บ้านที่ซื้อด้วยกัน เหยาลู่เดินไปส่งหลิงหยุนที่รถพร้อมกับโบกมือร่ำลา จากนั้นหลิงหยุนก็ขับรถไปยังโรงเรียนมัธยมจิงฉู

เมื่อหลิงหยุนไปถึงโรงเรียน กงเสี่ยวลู่ก็เพิ่งจะสอนเสร็จ และกลับไปรอหลิงหยุนอยู่ที่หอพัก

ภายในโรงเรียนเงียบกริบ และหลิงหยุนก็ขับรถตรงเข้าไปที่หอพักของกงเสี่ยวลู่ทันที

หลิงหยุนกดลิฟท์ขึ้นไปชั้นห้า และเมื่อประตูลิฟท์เปิดออก ก็เห็นว่าประตูห้องของกงเสี่ยวลู่เปิดรอไว้แล้ว และกงเสี่ยวลู่ก็กำลังยืนอยู่หน้าประตูมองหลิงหยุนเดินออกมาจากลิฟท์


บทที่ 446 : โอกาส!

กงเสี่ยวลู่ยืนพิงขอบประตูในสภาพที่ผมยาวสีดำนั้นยังชื้นอยู่ เห็นได้ชัดว่าเธอเพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ เธอสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนสามส่วนกระโปรงสั้น ชายกระโปรงเป็นลูกไม้เผยให้เห็นท่อนขาที่เรียวสวยงามสะดุดตา

“วันนี้ครูสวยมากเลยครับ!” หลิงหยุนเดินออกจากลิฟท์ถึงกับต้องถอนหายใจ

ชุดที่กงเสี่ยวลู่สวมอยู่นั้นเป็นชุดที่เธอเพิ่งซื้อมาเมื่อวาน ชุดนี้ไม่เพียงอวดเรือนร่างที่สมส่วนของเธอ แต่ยังเผยให้เห็นผิวที่ขาวเนียนดั่งหิมะของเธออีกด้วย แล้วก็ช่างล่อหูล่อตาและน่าค้นหามากเสียเหลือเกิน!

และแน่นอนว่ากระโปรงที่กงเสี่ยวลู่สวมอยู่นั้น เธอไม่มีทางสวมออกไปข้างนอกอย่างแน่นอน เธอเพียงแค่ต้องการใส่ให้หลิงหยุนดูเพียงคนเดียว

กงเสี่ยวลู่สังเกตเห็นสายตาที่เร่าร้อนของหลิงหยุน เธอจึงได้แต่ยิ้มหวานแล้วก็เขินอาย “ครูรอเธออยู่ตั้งนานแล้วล่ะ ยังจะยืนมองอะไรอีก.. ไม่อยากเข้ามาหรือยังไง?”

หลิงหยุนพ่นลมหายใจออกจากปาก แล้วเดินเข้าไปโอบร่างของกงเสี่ยวลู่เข้าไปในห้องพร้อมกับใช้เท้าถีบประตูห้องให้ปิดลง

หลิงหยุนนั่งลงบนโซฟาพร้อมกงเสี่ยวลู่ จากนั้นจึงโน้มหน้าเข้าไปใกล้และพูดขึ้นว่า “เป็นไงบ้าง.. ตอนนี้ไม่มีใครกล้าซุบซิบเรื่องคุณครูคนสวยของผมอีกแล้วใช่ไม๊?”

กงเสี่ยวลู่หน้าแดงพร้อมตอบกลับไปว่า “ร้ายกาจนักนะเธอนี่..! แล้วนี่ยังจะกล้ามานั่งกอดครูอยู่อีกเหรอ ไม่อายบ้างหรือยังไง?”

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า “ก็ครูของผมแต่งตัวเซ็กซี่มีเสน่หน์มากนี่ครับ ใครจะอดใจไหว?”

มือคู่สวยของกงเสี่ยวลู่โอบรัดรอบคอของหลิงหยุนไว้ พร้อมกับพูดด้วยใบหน้าที่เขินอาย “นี่เธอกล้าพูดแบบนี้ได้ยังไงกัน?”

ตอนนี้ร่างอ่อนนุ่มของเธออยู่ในอ้อมกอดที่แสนอบอุ่นของหลิงหยุน ราวกับว่านี่จะเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ในหัวใจของหลิงหยุนมีแต่เธอ

“ครูเพิ่งกลับมาจากห้องทำงานของครูใหญ่..” กงเสี่ยวลู่เริ่มคุยกับหลิงหยุนเกี่ยวกับเหตุการณ์ในโรงเรียนเมื่อวานนี้

เมื่อบ่ายวานนี้กงเสี่ยวลู่ไปช้อปปิ้งที่ห้างสรรพสินค้า แล้วก็ซื้อของกลับมามากมาย เธอยังเรียกนักเรียนหญิงให้ไปช่วยกันถือของกลับขึ้นมาที่ห้อง

หลังจากที่นำของขึ้นมาเก็บที่หอพักเรียบร้อยแล้ว เธอก็รีบไปสอนต่อ และเป็นเวลาที่นักเรียนมัธยมปลายห้องหกอยู่ในคาบแรกของการทบทวนด้วยตัวเอง และเมื่อทุกคนเห็นกงเสี่ยวลู่เดินเข้าไปในห้องเรียน นักเรียนทุกคนต่างก็พากันปรบมือเสียงสนั่นไปทั่วทั้งห้อง

กงเสี่ยวลู่รู้สึกเหนื่อยมาก แต่หน้าตากลับมีความสุข และแจ่มใสอย่างมาก ซึ่งผิดกับเมื่อเช้าอย่างชัดเจน

หลิงหยุนไม่อยู่เรียนในชั่วโมงทบทวนด้วยตนเองนั้นเป็นเรื่องปกติ และเว่ยเถียนอันก็ไม่อยู่แล้วเช่นกัน ในเวลานั้นทางโรงเรียนก็ได้ประกาศให้นักเรียนทุกคนทราบว่า เว่ยเถียนอันนั้นได้สิ้นสภาพของการเป็นนักเรียนโรงเรียนมัธยมจิงฉูแล้ว

กงเสี่ยวลู่ขอให้นักเรียนทุกคนหยุดการปรบมือต้อนรับเธออย่างอบอุ่นนั้น จากนั้นก็พูดกับนักเรียนในห้องเพียงไม่กี่คำ ส่วนใหญ่ก็เป็นการแสดงความซาบซึ้งใจต่อนักเรียนทุกคนในห้อง และขอให้ทุกคนตั้งใจทบทวนบทเรียนเพื่อเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้

จากนั้นกงเสี่ยวลู่ก็เรียกฉางหลิงให้ตามเธอออกไปที่ระเบียงนอกห้อง และขอให้ฉางหลิงช่วยเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เธอฟัง

เมื่อกงเสี่ยวลู่ได้ฟังว่าหลิงหยุนตบหน้าผู้อำนวยการหลิวกับรองครูใหญ่หวังเหว่ยเฉิง แล้วยังสร้างความอับอายให้กับรองครูใหญ่เจี้ยวเฟิ่งหัวอีกด้วย ในใจรู้สึกดีใจและอบอุ่น แต่ก็อดที่จะกังวลใจไม่ได้ เพราะคนหนึ่งก็เป็นถึงผู้อำนวยการ ส่วนอีกคนก็เป็นถึงรองครูใหญ่ กงเสี่ยวลู่อดคิดไม่ได้ว่าหลิงหยุนออกจะทำเกินเลยไป!

จากนั้น.. เมื่อได้รู้ว่าหลิงหยุนไม่เพียงเรียกร้องให้ครูใหญ่จางคืนตำแหน่งเดิมให้ และยังให้เขารับปากว่าจะช่วยกู้ชื่อเสียงของเธอกลับคืนอย่างไม่มีเงือนไขแล้ว ยังให้เธอรักษาการหน้าที่ในการตัดเกรดของนักเรียนแทนผู้อำนวยการหลิวด้วย ความกังวลใจต่างๆ และความเป็นห่วงหลิงหยุนก็มลายหายไปในทันที เหลือเพียงความรู้สึกอบอุ่นและภาคภูมิใจ

แต่เมื่อได้ยินว่าครูใหญ่จางจะจ่ายเงินชดเชยค่าเสียหายให้เธอกับหลิงหยุนเป็นจำนวนเงินถึงหนึ่งล้านหยวน เธอก็ถึงกับตกใจสุดขีด!

คิดไม่ถึงว่าเธอใช้เงินเก็บตลอดหลายปีเป็นจำนวนกว่าสี่แสนหยวนนี้ ไปซื้อของขวัญให้หลิงหยุน แต่กลับกลายเป็นว่าเขากลับทำให้เธอได้รับเงินกลับมาเป็นล้าน!

ในเวลานั้นจิตใจของกงเสี่ยวลู่เต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย ใบหน้าสวยงามของเธอสลับกันไปมาระหว่างความรู้สึกเขินอาย ภูมิใจ แล้วก็มีเสน่ห์ แม้แต่ฉางหลิงที่ได้เห็นสีหน้าเหล่านี้ของกงเสี่ยวลู่ ก็ยังได้แต่ยืนอึ้ง..

เพราะในสายตาของฉางหลิงนั้น ครูประจำชั้นของเธอเป็นหญิงสาวที่หน้าตาเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลา และตลอดสามปีมานี้ เธอก็ไม่เคยเห็นกงเสี่ยวลู่แสดงอารมณ์ใดๆออกมาทางสีหน้าให้เห็นเลยแม้แต่ครั้งเดียว แม้ว่ากงเสี่ยวลู่จะอ่อนโยนกับนักเรียน แต่ก็เป็นคนที่เคร่งครัดมาก แต่เพราะเหตุใดวันนี้จึงแสดงอารมณ์ออกทางสีหน้ามากมายเช่นนี้?

กงเสี่ยวลู่มองสีหน้าที่ตกตะลึงของฉางหลิง และด้วยความกลัวว่าฉางหลิงจะล่วงรู้ความลับที่น่าอายของเธอ หลังจากได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว จึงสั่งให้ฉางหลิงกลับไปนั่งเรียนตามเดิม จากนั้นตัวเธอเองก็กลับไปที่หอพัก..

ในคืนนั้น.. กงเสี่ยวลู่ทั้งตื่นเต้น ทั้งภูมิอกภูมิใจ และในจิตใจของเธอก็มีเพียงเรื่องของหลิงหยุนอย่างเดียว จนเธอเองก็ไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ตลอดทั้งคืน เพราะไม่ว่าจะเป็นความดีหรือความไม่ดีของหลิงหยุนนั้น ล้วนแล้วแต่ได้ประทับตราตรึงลงไปในจิตใจของเธออย่างยากที่จะหลีกหนีได้พ้น

และในวันนี้.. ไม่ว่ากงเสี่ยวลู่จะเดินไปที่ใหนของโรงเรียน จะเป็นห้องพักครูภาควิชาภาษาอังกฤษ หรือแม้แต่ไปสอนตามห้องเรียนต่างๆ เธอก็เต็มไปด้วยความสดใสร่าเริง และมีแต่เสียงหัวเราะ  แม้จะต้องพบเจอบางคนที่มองเธอด้วยสายตาอิจฉาจนไปถึงเกลียดชัง เธอก็กล้าที่จะเข้าไปทักทายได้โดยไม่รู้สึกหวั่นไหวอะไร เรียกได้ว่าตอนนี้หัวใจของเธอพองโต และเปี่ยมล้นไปด้วยความสุขอย่างมาก

การถกเถียงหรือซุบซิบเธอในแง่ลบดูเหมือนจะค่อยๆหมดไป แต่แม้ว่าจะยังมีอยู่บ้าง กงเสี่ยวลู่ก็ไม่ใส่ใจ เพราะสิ่งที่หลิงหยุนทำเพื่อเธอนั้น ทำให้เธอพอใจมากจนไม่ต้องการอะไรอีก

ครูใหญ่จางเองก็ทำดีมากเช่นกัน หลังจากหมดคาบเรียนที่สอง เขาก็สั่งให้สำนักงานกระจายเสียงของทางโรงเรียนอ่านหนังสือขอโทษจากทางโรงเรียน และคำสั่งคืนตำแหน่งให้กับกงเสี่ยวลู่เพื่อเป็นการกู้ชื่อเสียงคืนให้กับเธอ อีกทั้งยังประกาศว่าเธอจะรักษาการในหน้าที่ของผู้อำนวยการหลิวแทน

แน่นอนว่า.. ข่าวลือที่ผ่านมานั้น ทางโรงเรียนมัธยมจิงฉูรู้เรื่องและได้พิสูจน์แล้วว่าไม่เป็นความจจริง จึงไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไรอีก

จากนั้นครูใหญ่จางก็เรียกกงเสี่ยวลู่เข้าไปพบที่ห้องทำงานส่วนตัวของเขา และจัดการส่งมอบเช็คจำนวนหนึ่งล้านหยวนให้กับกงเสี่ยวลู่

ครูใหญ่จางมองกงเสี่ยวลู่ด้วยสายตาสำนึกผิด “ครูกง.. คุณสอนนักเรียนได้ยอดเยี่ยมมาก..!”

แม้ในใจของกงเสี่ยวลู่จะรู้สึกละอายใจ แต่ก็เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เธอยอมรับเงินชดเชยพร้อมกับเอ่ยขอบคุณครูใหญ่จาง

หากเป็นก่อนหน้านี้ กงเสี่ยวลู่คงจะไม่ยอมรับคำชม หรือยอมรับที่จะทำหน้าที่รักษาการในงานของผู้อำนวยการหลิวแทน และยิ่งเงินชดเชยจำนวนหนึ่งล้านหยวนนั้น.. ยิ่งไม่มีทางเป็นไปได้ แต่ตอนนี้เธอได้เปลี่ยนไปแล้ว!

นั่นเพราะกงเสี่ยวลู่รู้ดีว่าที่หลิงหยุนทำไปทั้งหมดนั้นก็เพื่อเธอ หากเธอไม่ยอมรับ เธอเกรงว่าหลิงหยุนจะขุ่นเคืองใจ!

ครูใหญ่จางกำชับกงเสี่ยวลู่ให้ดูแลหลิงหยุนให้ดี เพราะเขาเป็นคนที่มีพรสวรรค์เข้าขั้นอัจฉริยะคนหนึ่ง และครูใหญ่จางหวังว่าหลิงหยุนจะเปล่งประกายโดดเด่นในการสอบเอนทรานซ์ปีนี้

กงเสี่ยวลู่ตอบกลับอย่างสุภาพเพียงแค่สองสามคำ จากนั้นก็รีบออกจากห้องครูใหญ่ไป

ครูใหญ่จางเป็นหัวหน้าสูงสุดของเธอ แต่หากเทียบกับหลิงหยุนแล้ว ในใจของเธอนั้นทั้งคู่มีคุณค่าต่างกันราวฟ้ากันดิน

หลังจากที่กงเสี่ยวลู่ได้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดที่แทบจะไม่น่าเชื่อนี้ เธอก็กลับไปที่หอพักและรีบบทำความสะอาดห้อง อาบน้ำแต่งตัวสวยให้ที่สุด และเลือกสวมกระโปรงลูกไม้เพื่อรอคอยการมาของเด็กหนุ่ม..

หลิงหยุนหัวเราะแล้วหัวเราะอีก “คุณครูประจำชั้นที่รักของผมทำได้ดีมากจริงๆ! นี่ถ้าครูปฏิเสธเงินชดเชยค่าเสียสาย ผมคงจะโกรธมากจริงๆ”

กงเสี่ยวลู่พึมพำอายๆ “นี่เธอยังจะเรียกฉันว่าครูประจำชั้นอยู่อีกเหรอ?”

หลิงหยุนยิ้มแล้วถามกลับว่า “แล้วจะให้ผมเรียกอะไร? พี่ใหญ่ดีไม๊?”

กงเสี่ยวลู่รีบย้อนถาม “จะบ้าเหรอ..? คนบ้าที่ใหนลวนลามพี่สาวตัวเอง? งั้นอยากจะเรียกอะไรก็ตามใจ!”

หลิงหยุนมองกงเสี่ยวลู่อย่างสนอกสนใจพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “ครูครับ.. เรื่องจะเรียกอะไรนั่นไม่สำคัญหรอก! แต่เรื่องที่สำคัญกว่านั้นก็คือ.. อีกไม่เกินหนึ่งปี ผมจะทำให้ครูเด็กลงกว่านี้ได้ถึงสิบปี ถึงตอนนั้นผมค่อยเรียกครูว่าน้องสาว.. จะดีไม๊?”

“อะไรนะ?!”

กงเสี่ยวลู่ได้ฟังถึงกับตกใจ เธอผละออกจากอ้อมแขนของหลิงหยุนพร้อมกับร้องถามขึ้นมาทันที

“นี่เธอ.. เธอจะทำให้ครูเด็กลงอีกสิบปีงั้นเหรอ?!”

หลิงหยุนยิ้มและตอบไปว่า “ถ้าครูไม่อยากแก่ก็ไม่ใช่ปัญหา! เพราะถึงตอนนั้นครูอาจจะดูเด็กกว่าผมสามถึงห้าปีทีเดียว ผมกลัวแต่ว่าถึงตอนนั้นจะกลายเป็นว่ามีคนสังสัยว่าผมพรากผู้เยาว์น่ะสิ..”

หลิงหยุนประเมินผิดไปที่คิดว่าเธอจะไม่ชอบ.. เพราะเมื่อกงเสี่ยวลู่ได้ยิน เธอก็ถึงกับตาเป็นประกาย และอึ้งไปจนพูดอะไรไม่ออก!

ตอนนี้เธออายุยี่สิบแปดปี หากเธอเด็กลงอีกสิบปี เธอก็จะดูเหมือนเด็กสาวอายุสิบแปดซึ่งเป็นวัยไล่เลี่ยกับหลิงหยุน?

“นี่เธออย่ามาหลอกครูนะ.. ครูจะเชื่อไดยังไงว่าเธอพูดความจริง?!” กงเสี่ยวลู่ทั้งแปลกใจและตื่นเต้น แต่ก็อดกังวลไม่ได้ว่าหลิงหยุนจะหลอกเธอให้ฝันเก้อ

หลิงหยุนตอบกลับไปว่า “ครูมั่นใจได้เลย.. ตอนนี้แม่ของผมเองก็เด็กลงถึงสิบปี ถ้าผมทำไม่ได้ ผมจะยอมให้ลูกชายของครูใช้แซ่ของผม..”

กงเสี่ยวลู่ตอบบโต้อย่างเร็ว “จะบ้าเหรอ! กล้าพูดออกมาได้?”

หลิงหยุนเพิ่งจะนัวเนียกับเหยาลู่อยู่นานที่โรงแรมแชงกรีล่า และร่างกายของเขาก็ยังรุ่มร้อนอยู่ ถึงแม้เขาอยากจะกลืนกินกงเสี่ยวลู่ แต่ก็รู้ว่าไม่ใช่ในตอนนี้

เขามาเพื่อรักษากงเสี่ยวลู่..

“ใช่แล้ว.. ผมต้องการลวนลามครู! เร็วเข้า.. พวกเราต้องทำความรู้จักกันให้มากขึ้น!”


บทที่ 447 : ร่องรอยของศัตรู!

แต่หลิงหยุนกลับนึกไม่ถึงว่าครั้งนี้กงเสี่ยวลู่จะส่ายหน้าปฏิเสธ และดวงตาคู่สวยของเธอก็ดูเหมือนจะไม่ยินยอม

“ครูไม่ให้เธอทำการรักษา!”

หลิงหยุนถึงกับอึ้งไปและแปลกใจอย่างมาก “ไม่ยอมให้ผมรักษาเหรอ? เพราะอะไร?”

กงเสี่ยวลู่เผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ ก่อนจะมองหลิงหยุนด้วยแววตาที่ทั้งเก้อเขินและกล้ามากในเวลาเดียวกันพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า

“อาการครูดีขึ้นมากแล้ว! เธอไม่เห็นหรือไง.. วันนี้เธอแตะเนื้อต้องตัวครูมากกว่าเมื่อวานอีก แต่ครูก็ไม่มีปฏิกิริยาต่อต้านเหมือนเมื่อวานเลย!”

หลิงหยุนได้แต่หัวเราะอย่างนึกขัน เขาย่อมรู้ดีว่าอาการของกงเสี่ยวลู่นั้นดีขึ้นหกสิบถึงเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว แต่การจากที่หลิงหยุนได้สัมผัสและใกล้ชิดกับกงเสี่ยวลู่ในวันนี้ แม้เธอจะไม่มีปฏิกิริยาต่อต้านอย่างชัดเจน แต่ปฏิกิริยาต่อต้านเล็กๆน้อยๆที่เธอไม่รู้ตัวนั้น ก็ไม่อาจรอดพ้นไปจากสายตาของหลิงหยุนได้

เพราะเมื่อทั้งคู่อยู่ใกล้ชิดกัน ทุกครั้งที่หลิงหยุนสัมผัสร่างกายของกงเสี่ยวลู่นั้น ลูกนัยน์ตาของเธอจะหดลง และร่างกายก็จะเกร็งโดยไม่รู้ตัว และนั่นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าอาการของเธอยังไม่หายเป็นปกติ

อีกทั้งท่าทางที่ดูเหมือนดีขึ้นของกงเสี่ยวลู่ในวันนี้ ก็เกิดจากความรัก และความไว้วางใจในตัวหลิงหยุน ไม่เช่นนั้นแล้ว หากเป็นหลิงหยุนก่อนหน้านี้ เธอคงจะผลักเขากระเด็นไปแล้วอย่างแน่นอน

หลิงหยุนตอบยิ้มๆ “ปฏิกิริยาอาจจะไม่รุนแรงเหมือนเมื่อวาน แต่ก็ยังไม่ดีขึ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ ยังคงต้องทำการรักษาอีกสามสี่ครั้ง.. เอาล่ะ.. เชื่อฟังผม..”

แต่คิดไม่ถึงว่ากงเสี่ยวลู่ยังคงส่ายหน้าอย่างดื้อรั้น และพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ครูจะไม่ยอมให้เธอใช้เข็มทองนั่นรักษาครูอีกแล้ว แต่จะใช้ความรู้สึกที่เชื่อมั่นและไว้วางใจในตัวเธอ ค่อยๆเอาชนะปัญหาทางด้านจิตใจของครูแทน! ขอเวลาให้ครูหน่อยจะได้ไม๊?”

หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่าเขาคงต้องรอคอยอีกนานเป็นชาติแน่ แต่ในเมื่อเป็นคำขอร้องของกงเสี่ยวลู่ เขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ หลิงหยุนจึงได้แต่เกาหัวพร้อมกับพยักหน้าตกลง..

จากนั้นกงเสี่ยวลู่ก็กระซิบกับเขาว่า “อาการของครูดีขึ้นมากแล้วจริงๆนะ เด็กโง่.. ความจริงแล้วเธอไม่ต้องรักษาครูด้วยเข็มทองนั่นก็ได้ แต่รักษาด้วยอย่างอื่น..”

หลังจากที่หลิงหยุนได้ฟังคำพูดของกงเสี่ยวลู่ จิตใจของเขาก็รุ่มร้อนไปหมด..

ในเวลานั้นเอง.. กงเสี่ยวลู่ก็เอื้อมแขนข้างหนึ่งมาเกาะคอของหลิงหยุนไว้ ส่วนอีกข้างก็ใช้นิ้วชี้ที่เรียวงามค่อยๆวนเป็นวงกลมอยู่ที่หน้าอกของเขา ท่าทางของกงเสี่ยวลู่นั้นเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจาก.. กำลังยั่วยวนเขา!

หัวใจของหลิงหยุนเต้นแรงจนเสียงดังตุ้บๆ แต่ก็ถามกลับไปยิ้มๆ “นักเรียนฟังแล้วก็ยังไม่ค่อยเข้าใจ ถ้าไม่ให้รักษาด้วยเข็มทอง แล้วจะให้ใช้อะไรในการรักษาครับครู?”

กงเสี่ยวลู่หน้าแดงเป็นลูกตำลึง ร่างที่นุ่มนิ่มเลื่อนขึ้นไปนั่งบนตักของหลิงหยุนพร้อมกับรัดแน่นไม่ต่างจากงู และพูดขึ้นว่า

“เจ้าวายร้าย.. นี่ตั้งใจถามให้ครูอับอายใช่ไม๊? ก็แล้วแต่เธอ.. อยากจะใช้อะไรรักษาก็ตามใจ!”

สิ่งที่กงเสี่ยวลู่พูดนั้น มีแต่คนโง่เท่านั้นล่ะที่จะไม่เข้าใจ!

แล้วกงเสี่ยวลู่ก็กระซิบต่อว่า “เด็กโง่.. ที่ครูยังไม่ยอมให้เธอรักษาให้หายร้อยเปอร์เซ็นต์ก็เพราะว่า เวลาที่เธอรังแกครูขึ้นมาจริงๆ ครูจะได้มีแรงดิ้นรนต่อต้านไงล่ะ.. ถึงตอนนั้นก็อยู่ที่เธอว่าจะควบคุมสถานการณ์ได้แค่ใหน..”

หลิงหยุนได้ฟังถึงกับกลืนน้ำลายพร้อมกับคิดในใจว่า ครูประจำชั้นของเขานั้นดูเหมือนจะร้ายไม่เบาเลยทีเดียว เพราะอย่างนี้นี่เองถึงไม่ยอมให้เขารักษาให้หาย..

“นี่ครูจงใจแกล้งผมเหรอ? ถ้าถึงเวลานั้นก็อย่านึกเสียใจก็แล้วกัน!”

กงเสี่ยวลู่ได้ฟังถึงกับสั่นเล็กน้อยและตอบไปว่า “สำหรับเธอครูไม่ตำหนิหรือนึกเสียใจเลยแม้แต่น้อย.. ครูเองก็คิดไม่ถึงว่าจะสามารถกลับมาเหมือนเดิมได้..”

“นี่.. ครูมีของขวัญจะให้เธอด้วย!”

กงเสี่ยวลู่เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าเธอมีของขวัญจะให้หลิงหยุน จึงรีบบิดตัวลุกขึ้นยืน

“ของขวัญอะไร?” หลิงหยุนงุนงงเล็กน้อย

กงเสี่ยวลู่ยิ้มพร้อมกับดึงแขนหลิงหยุนให้เข้าไปในห้องนอน และหยิบกล่องของขวัญออกมาส่งให้หลิงหยุน

“นี่เป็นนาฬิกาโรเล็กซ์สำหรับผู้ชาย ครูมีเงินเดือนไม่มากนัก แต่ก็พอมีเงินเก็บอยู่บ้าง เป็นไง.. เธอชอบไม๊?”

กงเสี่ยวลู่เลี่ยงไม่พูดถึงเรื่องราคา.. เธอสอนหนังสือมาหกปี มีเงินเก็บสะสมจากเงินเดือนและโบนัสอยู่ราวสี่แสนสองหมื่นหยวน เฉพาะนาฬิกาโรเล็กซ์เรือนนี้ก็ราคาสามแสนหกหมื่นหยวนเข้าไปแล้ว

เมื่อวานหลังจากจบการเรียนภาคเช้า กงเสี่ยวลู่ก็ตัดสินใจว่าจะมอบของขวัญให้กับหลิงหยุน และเธอก็สามารถซื้อได้อย่างไม่ลังเลและไม่รู้สึกเสียดายเลยแม้แต่น้อย

นาฬิกาเรืองนี้สามารถกันความร้อน กันน้ำ กันแรงสั่นสะเทือน แล้วก็อื่นๆอีกมากมาย เรียกได้ว่าต่อให้ผ่านไปเป็นร้อยๆปี นาฬิกาเรือนนี้ก็จะเดินคลาดเคลื่อนไปไม่เกินหนึ่งสิบสองวินาที

ตอนนี้หลิงหยุนดูเหมือนจะไม่ขาดแคลนอะไร และกงเสี่ยวลู่ก็ถึงกับหมดเรี่ยวหมดแรงไปกับการหาของขวัญให้กับเขา เธอรู้ดีว่าหลิงหยุนที่อยู่หน้าเธอในตอนนี้กับหลิงหยุนคนก่อนนั้นไม่ใช่คนเดียวกัน

นาฬิกาเรือนนี้แม้ว่าจะราคาแพงมาก แต่ก็สวยมาก และเหมาะกับผู้ชายมาก แล้วก็ยากที่เมื่อได้เห็นแล้วจะสามารถวางลงได้ง่ายๆเช่นกัน

“สวยมากเลย.. ผมชอบมาก นี่ราคาเท่าไหร่เหรอครับ?” หลิงหยุนขอบคุณกงเสี่ยวลู่จากใจจริงและถามยิ้มๆ

เมื่อกงเสี่ยวลู่ได้ยินว่าหลิงหยุนชอบมาก เธอก็รู้สึกมีความสุขอย่างมาก แต่ก็ตอบหลิงหยุนไปว่า “ทำไมถามอะไรมากมายแบบนี้? เอาล่ะ.. ใส่ซะ มานี่ครูจะใส่ให้!”

หลิงหยุนเกาศรีษะและปล่อยให้กงเสี่ยวลู่ใส่นาฬิกาให้ เขายกมือขึ้นดูนาฬิกา และพบว่าเป็นเวลาสิบโมงห้าสิบแล้ว และใกล้จะเข้าเรียนคาบสามแล้ว

“มา.. มาลองเสื้อผ้าพวกนี้ดู!”

ผ่านไปสิบนาที หลิงหยุนได้กลายเป็นนายแบบชาย เขาลองเสื้อผ้าแบรนด์เนมอยู่หลายชุด ระหว่างที่ช่วยหลิงหยุนลองเสื้อผ้านั้น สายตาของกงเสี่ยวลู่ก็แอบสำรวจเรือนร่างของหลิงหยุนไปด้วย และใบหน้าก็เริ่มแดงขึ้นแล้วก็แดงขึ้น..

นั่นก็เพราะว่ารูปร่างของหลิงหยุนในตอนนี้นั้น ช่างสวยงามและสมส่วนอย่างที่สุด!

ด้วยส่วนสูงหนึ่งร้อยแปดสิบสามเซ็นติเมตร น้ำหนักแปดสิบกิโลกรัม ผิวที่ใสสว่างราวกับคริสตัล กล้ามเนื้อเป็นมัดๆที่ไม่ว่าหญิงสาวคนใหนเห็นก็ต้องรู้สึกตื่นเต้น!

ยิ่งไปกว่านั้นขาทั้งสองข้างของเขาก็ยาว แผ่นหลังสง่างาม ร่างกายสูงตรง สัดส่วนระหว่างร่างกายส่วนบนและส่วนล่างนั้นช่างสมส่วนอย่างหาที่ติไม่ได้ เรียกได้ว่าเป็นรูปร่างที่มีสัดส่วนสมบูรณ์ไม่ต่างจากรูปปั้นเดวิดที่สวยงามเลย!

และนี่คือเหตุผลที่ว่าเพราะเหตุใดกงเสี่ยวลู่จึงสามารถซื้อเสื้อผ้าให้หลิงหยุนได้โดยไม่จำเป็นต้องให้เขาไปลองด้วยตัวเอง เพราะหากนายแบบสูงร้อยแปดสิบสามเซ็นติเมตรใส่ได้ ก็มั่นใจว่าหลิงหยุนต้องใส่ได้อย่างแน่นอน!

หลิงหยุนลองเสื้อผ้าทั้งห้าหกชุดที่กงเสี่ยยวลู่ซื้อให้เรียบร้อยแล้ว ก็เก็บทุกอย่างเข้าไปใว้ในแหวนพื้นที่ แต่มือของกงเสี่ยวลู่ยังคงสัมผัสอยู่ที่ร่างกายของหลิงหยุน จนเขาต้องร้องบอกว่า

“ครูครับ.. ปล่อยได้แล้ว เพราะถ้าไม่ปล่อย สงสัยจะไม่รอด..” หลิงหยุนพูดพร้อมกับชี้ไปที่ร่างกายส่วนล่างของตนเอง

สองสามวันนี้หลิงหยุนมีเรื่องมากมายที่ต้องไปสะสาง เขาไม่มีเวลาที่จะจัดการกับกงเสี่ยวลู่ได้ อีกอย่างการรักษาสถานะเช่นนี้ระหว่างเขากับกงเสี่ยวลู่ไว้ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย เพราะเขาเองก็มีเทพธิดาหลินรออยู่ที่บ้าน ใหนจะยังนางพยาบาลอีกคน..

 “วันนี้.. ผมจะอยู่ทานข้าวเที่ยงกับครู ผมซื้อเนื้อสดมาให้ครูทำอาหารเยอะแยะเลย..!”

เมื่อเห็นว่าหลิงหยุนตั้งใจที่จะอยู่ทานข้าวเที่ยงกับเธอ กงสี่ยวลู่ก็ตื่นเต้นราวกับเด็กสาว เธอพาหลิงหยุนออกไปนอกห้อง เปิดทีวีให้ดู ให้เขานั่งรอบนโซฟา ส่วนตัวเธอก็ไปล้างไม้ล้างมือและเริ่มลงมือทำอาหาร

กงเสี่ยวลู่อยู่เพียงลำพังมาตลอดหกปี หลังจากเตรียมการสอนที่น่าเบื่อหน่ายในทุกๆวัน เธอก็จะหัดเรียนรู้เรื่องการทำอาหาร ทำให้มีฝีมือในการทำอาหารที่ยอดเยี่ยมทีเดียว

หลิงหยุนได้กลิ่นหอมโชยมาจากห้องครัว หลิงหยุนได้แต่พยักหน้าพร้อมกับคิดว่า ครูประจำชั้นของเขาสวยงามหาใครเทียบได้ยาก หากผุ้อำนวยการหลิวได้ไป เขาคงจะรู้สึกเสียดายไม่น้อย..

เก่งทั้งงานนอกบ้าน ในบ้าน และเป็นแม่ศรีเรือน สมกับเป็นผู้หญิงที่เพียบพร้อมจริงๆ!

วันนี้เป็นวันพุธ.. ในทีวีก็มีแต่รายการที่น่าเบื่อ หลิงหยุนเปลี่ยนช่องไปมาก แต่แล้วก็ไปจดจ่ออยู่กับทีวีช่องหนึ่ง

-เช้านี้มีคนพบศพของชายคนหนึ่งในคูน้ำเมืองจิงฉู หลังจากพิสูจน์แล้ว พบว่าตายตั้งแต่คืนวันที่ 27 มีนาคม เป็นคนขับรถพ่วงชื่อหวังเล่ย-

เมือ่ได้เห็นข่าวนี้ ดวงตาของหลิงหยุนก็เป็นประกายขึ้นมาทันที ลูกนัยน์ตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีดำและขาวสลับกันขึ้นมาวูบหนึ่ง!

‘คนขับรถพ่วงงั้นรึ?’

คืนวันที่ 27 มีนาคม เป็นคืนที่เขาถูกรถพ่วงทับตาย?!

หลิงหยุนรีบโทรหาถังเมิ่งและตี้เสี่ยวอู๋ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เขาสั่งให้ทั้งสองคนทิ้งงานทุกอย่างในมือ และให้ทั้งคู่รีบเข้าไปดูเหตุการณ์


บทที่ 448 : สืบหาร่องรอยของศัตรู!

หากหลิงหยุนคาดไม่ผิด.. หวังเล่ยที่ตายไปนี้น่าจะเป็นฆาตกรที่ขับรถพ่วงทับเจ้าของร่างนี้ตาย และเมื่อหวังเล่ยเองก็มาตายในคืนเดียวกันด้วยแล้ว ก็ยิ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นการฆ่าปิดปาก และต้องมีผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ครั้งนี้

หลิงหยุนสั่งถังเมิ่งและตี้เสี่ยวอู๋ให้ไปยังที่เกิดเหตุ และสั่งการพวกเขาทางโทรศัพท์อย่างละเอียด ให้ทั้งคู่หาข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวกับหวังเล่ยมาให้ได้มากที่สุด ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม!

ตอนนี้หลิงหยุนไม่ต่างจากผู้ยิ่งใหญ่ในเมืองจิงฉูแห่งนี้  เขาควบคุมทั้งทางด้านสว่างและด้านมืดของเมืองนี้ไว้ในกำมือ ดังนั้น.. เพียงแค่ข้อมูลของคนขับรถพ่วงธรรมดาๆคนหนึ่ง จึงเป็นเรื่องง่ายยิ่งกว่าการปลอกกล้วยเข้าปาก!

หลิงหยุนจึงไม่รีบร้อนมากนัก ใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มที่ดูลึกลับในขณะที่ดวงตายังคงจับจ้องอยู่ที่หน้าจอทีวีซึ่งกำลังรายงานสถานการณ์ในเรื่องนี้..

สมาชิกในครอบครัวของหวังเล่ยที่ปรากฏอยู่ในหน้าจอทีวีตอนนี้มีเพียงแค่คนเดียว ซึ่งก็คือภรรยาของเขาเอง เธอเป็นหญิงอายุราวสามสิบปี รูปร่างหน้าตาก็ธรรมดา แต่การแต่งตัวนั้นค่อนข้างทันสมัยจนดูเกินฐานะไปมาก

หลิงหยุนยิ้มหยันพร้อมกับคิดในใจว่า ‘ดูท่าหวังเล่ยมันคงจะได้เงินมากมายสินะ แต่โชคร้ายที่ยังไม่ได้ทันได้ใช้เงินก็ต้องมาตายซะแล้ว..’

เมื่อเห็นหญิงสาวที่กำลังร้องห่มร้องไห้อยู่หน้ากล้อง หลิงหยุนไม่ได้รู้สึกสงสารเลยแม้แต่น้อย เพราะสำหรับภรรยาของศัตรูแล้ว ไม่มีอะไรที่น่าเห็นใจสำหรับหลิงหยุน!

ในเวลาเดียวกันนั้น จู่ๆหลิงหยุนก็มั่นใจขึ้นมาทันทีว่า.. เจ้าของร่างที่เขากำลังครอบครองอยู่นี้จะต้องถูกฆาตกรรมอย่างแน่นอน!

คนที่ลงมือครั้งแรกคือหวังเล่ย ครั้งที่สองก็คือหลี่ยี่และเจียวเฟย ครั้งที่สามคือฉวนจี๋กับบฉวนจิ่ว ครั้งที่สี่คือตี้ปา และครั้งที่ห้าก็คือมือสังหารระดับสวรรค์ทั้งสามคน..!

และแน่นอนว่า.. การสังหารเจ้าของร่างนี้ได้ทำสำเร็จตั้งแต่หวังเล่ยลงมือแล้ว เพียงแต่ไม่มีใครคาดคิดว่า ‘เขา’ จะมาเกิดอีกครั้งในร่างของหลิงหยุน แม้แต่ตัวเขาเองก็คิดไม่ถึง..

มันเป็นใครกัน?! ใครกันที่ส่งนักฆ่ามาเอาชีวิตของเด็ผู้ชายคนนี้ติดต่อกันถึงห้าครั้ง!?

เด็กผู้ชายอ้วนๆธรรมดาๆคนหนึ่ง แถมเส้นลมปราณหยางเจี๋วยก็ถูกทำลาย เหตุใดจึงได้มีศัตรูที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้!?

ยิ่งไปกว่านั้น.. ดูเหมือนผู้ที่ส่งมือสังหารมาฆ่าเด็กผู้ชายคนนี้ ก็ไม่รู้เช่นกันว่าเส้นลมปราณหยางเจี๋วยของเขาได้ถูกทำลายไปแล้ว เพราะฉะนั้นศัตรูของเด็กผู้ชายคนนี้จึงไม่น่าจะมีเพียงแค่คนเดียว แต่ยังมีคนอื่นอีก!

“นี่เจ้า.. ไม่ใช่สิ! นี่ข้าไปสร้างความเกลียดชังอะไรให้กับศัตรูนักหนา แล้วศัตรูของข้าทุกคนก็ดูเหมือนจะน่ากลัวไม่น้อย นี่ถ้าหากข้าไม่สามารถพัฒนาฝีมือให้ก้าวหน้าได้รวดเร็วเช่นนี้ มีหวังคงต้องถูกฆ่าตายไปแล้วแน่ๆ”

เมื่อคิดได้เช่นนั้นหลิงหยุนก็ถึงกับอึ้งไปชั่วชณะ และแววตาของเขาก็เต็มไปด้วยความดุร้าย!

ในขั้นปรับร่างกาย-5 นั้น หลิงหยุนก็สามารถสังสารซันเทียนเปียวซึ่งอยู่ในระดับกลางของขั้นเซียงเทียน-1 ได้อย่างง่ายดาย ตอนนี้เขาอยู่ในระดับเริ่มต้นของขั้นปรับร่างกาย-6 ซึ่งมีกำลังภายในเพิ่มขึ้นถึงสองเท่า และหากเขาปะทะกับซันเทียนเปียวในเวลานี้ แน่นอนว่าเขาย่อมสังหารซันเทียนเปียวได้ด้วยมือเปล่า โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยกระบี่โลหิตแดนใต้เลยแม้แต่น้อย!

เพราะฉะนั้น.. ในเวลานี้หลิงหยุนจึงมีความสามารถในการปกป้องตัวเองสูง เขาจึงไม่ได้วิตกกังวลเลยแม้แต่น้อย

ตอนนี้ข่าวในโทรทัศน์ก็ได้ตัดไปรายงานข่าวอื่นๆแล้ว แต่หลิงหยุนยังคงนั่งจ้องจอทีวี แต่ในใจกลับครุ่นคิดเรื่องของหวังเล่ยอยู่

หวังเล่ยต้องจะต้องได้รับเงินค่าจ้างไปแล้วจำนวนหนึ่ง และหลิงหยุนก็กำลังคิดจะตรวจสอบเส้นทางของเงินจำนวนนั้น!

หลิงหยุนนั่งครุ่นคิดเรื่องนี้ไปเรื่อยๆ และไม่สนใจรายการทีวีที่น่าเบื่ออีก เขานั่งรอกงเสี่ยวลู่ทำอาหารอย่างอดทน และตอนนี้ทั้งโต๊ะก็เต็มไปด้วยเป็ด ไก่ ปลา แล้วก็อาหารอื่นๆอีกมากมายเต็มโต๊ะไปหมด!

“โอ้โห.. กลิ่นหอมมาก แล้วหน้าตาก็ดูดีกว่าอาหารในภัตตาคารที่ปรุงโดยเชฟใหญ่อีก! ครูครับ.. กว่าผมจะลดน้ำหนักจนหล่อขนาดนี้ได้ ครูทำอาหารอร่อยมากมายแบบนี้ อย่าบอกนะว่าจงใจจะทำให้ผมกลับไปอ้วนเหมือนเดิม?”

หลิงหยุนตลกกลบเกลื่อนอารมณ์ที่แท้จริงของตัวเอง เพราะไม่ต้องการให้กงเสี่ยวลู่ผิดสังเกตุ!

เมื่อได้ฟังคำชมของหลิงหยุน กงเสี่ยวลู่ก็รู้สึกภูมิใจอย่างมาก “เรามายื่นหมูยื่นแมวกันดีกว่า.. ครูจะทำของอร่อยๆให้เธอทานแบบนี้ แลกกับการที่เธอต้องมาเล่าเรื่องของเธอให้ครูฟัง..! ที่ผ่านมาครูให้การบ้านเธอไป แต่เธอไม่เคยทำมาส่งครูเลย.. เพราะอะไร?”

ดวงตาคู่สวยของกงเสี่ยวลู่จับจ้องอยู่ที่หลิงหยุน และดูเหมือนเธอกำลังรอให้เขาบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองให้เธอฟัง

นี่คือความเฉลียวฉลาดของกงเสี่ยวลู่ เพราะความสามารถที่สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งเมืองของหลิงหยุนนั้น มีใครบ้างที่จะไม่ประหลาดใจ!?

ความสามารถของหลิงหยุนนั้นอยู่เหนือความเข้าใจของคนทั่วไป แต่กงเสี่ยวลู่กลับสามารถยอมรับได้อย่างรวดเร็ว และหลิงหยุนก็คิดไม่ถึงว่าเธอจะกล้าถามเขาตรงๆ

หลิงหยุนเหมือนถูกหมัดของกงเสี่ยวลู่ชกเข้าให้ จึงได้แต่ยิ้มและเล่าให้เธอฟังด้วยท่วงท่าสบายๆ

“ครูครับ.. สองสามปีที่ผ่านมานี้ ผมมัวไปหมกมุ่นอยู่กับการฝึกวรยุทธ และอาจารย์ที่สอนให้ผมก็ทั้งดุแล้วก็โหดมาก ไม่ได้ใจดีแล้วก็อ่อนโยนเป็นนางฟ้าเหมือนครู.. ในเมื่อผมไม่สามารถทำสองอย่างในเวลาเดียวกันได้ ผมก็ต้องเลือกที่จะฝึกวรยุทธก่อน แล้วมีเวลาก็ค่อยมาทำการบ้านที่ครูสั่ง..!”

เมื่อได้ยินหลิงหยุนเปรียบเทียบว่าเธอใจดีอ่อนโยนเหมือนนางฟ้า กงเสี่ยวลู่ก็รู้สึกเขินเอาย “อย่ามาแกล้งชมเลย! แต่ดูเหมือนทุกคนจะเดากันได้ถูกต้องจริงๆ ว่าเธอต้องมีอาจารย์ที่เก่งกาจสอนเรื่องพวกนี้ให้..”

หลิงหยุนเงยหน้าขึ้นมองกงเสี่ยวลู่พร้อมถามอย่างงุนงง “ทุกคน.. หมายความว่ายังไงครับ?”

กงเสี่ยวลู่มองหลิงหยุนแล้วตอบว่า “ใช่..ทุกคน! ตอนนี้ทุกคนในโรงเรียนต่างก็พูดกันว่าเธอคงจะได้พบกับคนที่มีฝีมือทางด้านศิลปะการต่อสู้ที่เก่งมาก แล้วเขาก็คงสอนทักษะต่างๆที่เหนือธรรมดาให้กับเธอ แล้วที่ผ่านมากเธอเองก็คงแอบฝึกฝนอยู่เงียบๆ เพราะหลายปีที่ผ่านมาเธอก็ถูกรังแกให้ได้รับความอับอายอยู่ตลอด แต่ตอนนี้กำลังจะจบการศึกษาแล้ว เธอก็เลยแสดงความสามารถให้ทุกคนได้เห็น”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ กงเสี่ยวลู่ก็ยิ้มและพูดต่อว่า “ครูเองก็คิดไม่ถึงจริงๆ มันเหมือนกับในหนังที่เคยดู เพียงแต่นี่มันคือเรื่องจริง..!”

หลิงหยุนได้แต่แอบยิ้มแล้วก็คิดในใจว่า หวังว่าคนอื่นๆจะคิดเช่นนั้น เพราะเขาจะได้ไม่ต้องไปตามอธิบายให้ใครฟังอีก แล้วหลิงหยุนก็เพียงแค่พยักหน้า..

“เฮ้อ.. ช่วยไม่ได้สินะที่คนเก่งเข้าขั้นอัจฉริยะอย่างผมจะกลายเป็นคนดังไปซะแล้ว! ความจริงผมอยากทำตัวเงียบๆ ไม่ได้อยากเด่นดังอะไรเลย แต่ผมเป็นเพชรนี่นะ.. ไม่ว่าจะพยายามปิดบังแค่ใหน ยังไงก็ต้องเปล่งประกายอยู่ดี!”

กงเสี่ยวลู่ยื่นนิ้วชี้ที่เรียวงามออกไปจิ้มหน้าผากของหลิงหยุนพร้อมกับหัวเราะคิกคัก “ขี้โม้..! เอาล่ะ.. รีบกินได้แล้ว เดี๋ยวอาหารจะเย็นซะหมด มาเร็ว.. มาดื่มซุปก่อน..”

อาหารที่กงเสี่ยวลู่ทำหนั้นกลิ่นหอมมาก และหลิงหยุนก็ทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยม เขาจัดการอาหารที่กงเสี่ยวลู่ทำจนอิ่มแป้ และยิ้มอย่างพออกพอใจ..

หลังจากทานอาหารเสร็จ กงเสี่ยวลู่ก็นำเครื่องดื่มมาเสริฟให้ จนกระทั่งเที่ยงครึ่ง หลิงหยุนก็ได้รับสายจากถังเมิ่ง เขาจึงรีบลุกขึ้นและขอตัวกลับ..

กงเสี่ยวลู่รู้สึกเสียใจมาก เธออยากจะอยู่กับหลิงหยุนตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เพราะเขาทำให้เธอรู้สึกเบิกบานแจ่มใส

หลิงหยุนจับกงเสี่ยวลู่ให้ลุกขึ้นพร้อมกับพูดว่า “ครูครับ.. ช่วงนี้ผมยุ่งมากเลย แต่รับรองว่าผมจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้อย่างแน่นอน ครูไม่ต้องเป็นห่วง! หลังจากนั้นผมจะพาครูไปเที่ยวให้ทั่วประเทศเลย แต่ถ้ายังไม่พอใจ.. ผมจะพาไปสวิตเซอร์แลนด์ดีไม๊ครับ?”

เสี่ยวเม่ยเม่ยเคยบอกเขาไว้ว่าบัญชีธนาคารในประเทศนั้นไม่มั่นคง และเขาก็เพิ่งประสบกับตัวเองในช่วงที่ลงไปสำรวจก้นหลุมยักษ์ เพราะหลัวจ้งได้สั่งอายัดบัญชีธนาคารของเขาทั้งหมด หลิงหยุนจึงเริ่มใส่ใจในเรื่องนี้มากขึ้น!

สำหรับการเดินทางไปทั่วประเทศจีนนั้น สถานที่แรกที่หลิงหยุนจะเริ่มไปก็คือมณฑลเหอหนาน.. ซึ่งเป็นสถานที่ที่พู่กันจักรพรรดิถูกค้นพบ และเขาก็อยากจะไปดูสุสานขนาดยักษ์ที่นั่นด้วย

กงเสี่ยวลู่เกาะแขนหลิงหยุนแน่นพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เธอพูดแล้วต้องรักษาคำพูด้วยนะ?”

หลิงหยุนมองตากงเสี่ยวลู่พร้อมกับพยักหน้า “แน่นอนครับ.. ผมพูดคำใหนคำนั้น! จากนี้ไปครูต้องพักผ่อนร่างกายบ้าง อย่าเอาแต่หมกมุ่นกับการทำงาน ไม่อย่างนั้นจะแก่ไว..!”

หลิงหยุนรู้ดีว่ากงเสี่ยวลู่นั้นเป็นคนที่มีสำนึกรับผิดชอบในหน้าที่การงานสูงมาก อีกทั้งตอนนี้ยังต้องรักษาการแทนผู้อำนวยการหลิวด้วย หลิงหยุนเป็นห่วงว่าเธอจะไม่ได้พักผ่อน

“แล้วเธอจะให้ครูรักษาการแทนทำไมก็ไม่รู้? หน้าที่นี้ไม่มีใครอยากได้หรอก..” กงเสี่ยวลู่บ่นพึมพำขณะที่เกาะแขนหลิงหยุน

หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับบีบจมูกของเธอพร้อมกับปลอบโยนว่า “ให้ครูฝึกไว้ก่อนไงครับ.. ต่อไปผมจะให้ครูเป็นผู้อำนวยการหน่วยงานการศึกษาของจิงฉู!”

สำหรับอนาคตของกงเสี่ยวลู่นั้น หลิงหยุนได้วางแผนไว้แล้ว ตำแหน่งผู้อำนวยการหน่วยงานการศึกษาที่พ่อของหลู่เจ้งเทียนดำรงอยู่ในตอนนี้ จะต้องตกเป็นของกงเสี่ยวลู่ในอีกไม่ช้า..

“อะไรนะ?!”

กงเสี่ยวลู่นับว่ายังอยู่ห่างไกลกับตำแหน่งผู้อำนวยการหน่วยงานการศึกษาของจิงฉูอยู่มาก เพราะนั่นเป็นถึงระดับหัวหน้าของระบบการศึกษาในเมืองจิงฉูทั้งหมด  เรียกว่าเป็นระดับผู้บริหารจริงๆ!

ตอนนี้เธอเป็นเพียงแค่ครูธรรมดาๆคนหนึ่ง แต่จู่ๆจะกระโดดไปเป็นผู้อำนวยการหน่วยงานการศึกษาของจิงฉู นี่ไม่เท่ากับว่าเธอต้องกระโดดข้ามขั้นไปไม่รู้กี่ขั้นงั้นหรือ?!

หลิงหยุนไม่สนใจ เขาพูดพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย “ตอนนี้เป็นผู้อำนวยการยังเหนื่อยแค่เล็กน้อย แต่ต่อไปล่ะจะเหนื่อยกว่านี้..”

พูดจบหลิงหยุนก็ก้าวเดินออกไปจากห้อง ในขณะที่กงเสี่ยวลู่มองตามหลิงหยุนไปด้วยสายตางุนงงและประหลาดใจ..

หลิงหยุนลงไปด้านล่าง และค่อยๆขับรถแลนด์โรเวอร์ตรงไปยังหน้าประตูโรงเรียนพร้อมกับหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาถังเมิ่ง

“เล่ามาซิว่าหวังเล่ยตายเพราะอะไร?”

ถังเมิ่งตอบไปว่า “พี่หยุน.. ศพของหวังเล่ยจมอยู่ในน้ำนานถึงยี่สิบวัน แล้วกว่าจะพบก็ถูกพัดไปไกลมาก ตอนนี้กำลังอยู่ในระหว่างชันสูตร..”

หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่งถังเมิ่งก็พูดต่อว่า “แต่จากที่ฉันกับตี้เสี่ยวอู๋เข้าไปสังเกตุดูใกล้ๆ ตามร่างกายก็ไม่มีบาดแผลอะไรที่เด่นชัด พวกเราสองคนเลยเดาว่าน่าจะตกน้ำตายเอง..”

หลิงหยุนยิ้มยะเยือกพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เป็นไปไม่ได้.. ตัวใหญ่ขนาดนั้นจะเดินตกลงไปในน้ำตายเอง แล้วตอนนี้ศพของมันอยู่ที่ใหน?”

ถังเมิ่งตอบกลับไปว่า “ศพน่าจะถูกนำไปเก็บไว้ที่ห้องเก็บศพของโรงพยาบาลเพื่อรอกันชันสูตร”

หลิงหยุนครุ่นคิดอะไรบางอย่างแล้วจึงรีบสั่งถังเมิ่งว่า “เรื่องนี้สำคัญสำหรับฉันมาก! นายต้องไปขอความช่วยเหลือจากพ่อของนาย ต้องไปหาข้อมูลของมันมาให้ฉันให้ได้มากที่สุด เข้าใจไม๊?”

ถังเมิ่งพยักหน้า “พี่หยุน.. ฉันจัดการเรียบร้อยแล้ว ฉันโทรไปบอกพ่อแล้ว และตอนนี้กังหลิวหย่งก็กำลังนำทีมไปตรวจสอบด้วยตัวะอง”

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า “นายทำได้ดีมาก! แต่จะอาศัยตำรวจทางเดียวคงไม่ได้ นายให้ตี้เสี่ยวอู๋พาคนไปสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับหวังเล่ยให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แล้วมาพบฉันคืนนี้!”

หลังจากวางสายไป รถของหลิงหยุนก็กำลังจะวิ่งออกจากหน้าประตูโรงเรียน และเขาก็สังเกตเห็นหญิงสาวผมยาวหน้าตาสะสวยกำลังยืนอยู่ใต้ต้นไม้ และกำลังจ้องมองมาทางเขาอยู่

เหมี่ยวเสี่ยวเหมา!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม