Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร 435-441

 บทที่ 435 : ชัยชนะ!

หลิงหยุนรู้ดีว่าเพราะเหตุใดครูใหญ่จางตัดสินใจทำเช่นนั้น..

การที่หลิงหยุนใช้มังกรคำรามทำให้ทุกคนได้ยินทั่วถึงกันนั้น นั่นยังไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาดมากสำหรับคนที่ได้ยิน เพราะทุกคนต่างก็คิดว่าทุกคนก็ได้ยินเช่นกัน

ในทางกลับกัน การที่เขาใช้กระแสจิตส่งคำพูดเข้าหูเฉพาะคนบางคนเท่านั้น จึงกลายเป็นเรื่องแปลกประหลาด และดูคล้ายกับเป็นสิ่งวิเศษ

หากเขาต้องการการหาผู้สนับสนุนหรือผู้ติดตาม เขาก็จะใช้มังกรคำราม แต่เมื่อเขาต้องการทำลายใคร เขาก็จะใช้กระแสจิตพูดคุยเพื่อป้องกันความลับรั่วไหล เรียกว่าทั้งสองวิธีล้วนเป็นประโยชน์กับหลิงหยุนทั้งคู่

แต่ครูใหญ่จางนั้นก็ฉลาดไม่เบาทีเดียว เพียงแค่เห็นหลิงหยุนส่งกระแสจิตคุยกับตนเอง เขาก็รู้ทันทีว่าหลิงหยุนต้องไม่ใช่คนธรรมดา!

ที่ผ่านมา.. แม้ว่าเขาจะได้ยินได้ฟังอะไรมาบ้าง แต่ก็ไม่เคยเชื่อ! แต่เมื่อได้เห็นกับตาตัวเอง และได้ยินเต็มสองหู ครูใหญ่จางมีหรือที่จะไม่เชื่ออีก!

เขาเป็นครูใหญ่มาเกือบสามสิบปีและมีอำนาจอยู่ในมือ แต่หากเทียบกับหลิงหยุนแล้วมันแทบไม่มีความหมายอะไรเลย ต่อหน้าหลิงหยุนตอนนี้ อำนาจที่เขามีไม่ได้ช่วยอะไรเลย!

ดังนั้น.. เขาจึงยินดีที่จะทำให้หลิงหยุนพอใจมากกว่าที่จะยอมใช้ตัวเลขต่ำสุดที่หลิงหยุนเป็นผู้เสนอให้ เขาเลือกที่จะให้มากกว่า อย่างน้อยก็จะสามารถอาศัยหลิงหยุนได้ในวันข้างหน้า!

ตอนนี้น้ำเสียงของครูใหญ่จางสั่นเครือ และหวาดกลัวในความแข็งแกร่งของหลิงหยุนมาก แต่ก็กลับคิดว่าโชคดีมากที่เขามีโอกาสได้พบกับคนอย่างหลิงหยุน และโอกาสของเขาก็มาถึงหน้าประตูแล้ว!

ท่ามกลางความตระหนกตกใจของเพื่อนนักเรียน หลิงหยุนจ้องมองครูใหญ่จางนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ครูใหญ่จางไม่พูดอะไร เพียงแค่ยิ้มพร้อมกับขยิบตาให้หลิงหยุน

หลิงหยุนจึงส่งกระแสจิตไปพูดกับครูใหญ่จาง “ครูใหญ่จาง.. ผมขอบคุณมาก และจะจดจำไว้!”

ครูใหญ่จางเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อย แต่ในใจกลับมีความสุขอย่างมาก และพูดขึ้นว่า

“นักเรียนมัธยมปลายห้องหกทุกคน พวกเธอสบายใจได้แล้ว ตอนนี้หลิงหยุนกับครูประจำชั้นของพวกเธอเป็นผู้บริสุทธิ์ ความจริงทุกอย่างก็ได้เปิดเผยแล้ว และครูในฐานะครูใหญ่ของที่นี่ ก็จะขอใช้ตำแหน่งของตัวเองปกป้องชื่อเสียงของครูกง และสัญญาว่าจะทำให้พวกเธอทุกคนพอใจ!”

เย้!!

หลังจากที่นักเรียนมัธยมปลายห้องหกได้ฟังคำพูดของครูใหญ่จาง ทุกคนต่างก็พากันส่งเสียงโห่ร้องด้วยความตื่นเต้นดีใจ ทุกคนต่างก็ปรบมือให้กับฮีโร่ของพวกเขา!

หลิงหยุน!

แม้แต่เหมี่ยวเสี่ยวเหมาเองก็ยังยิ้มออกมา รอยยิ้มของเธอสวยงามราวกับนางฟ้า และนี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่าหัวใจของเธอเต้นแรงจนน่าตกใจ!

ส่วนหลงหวู่นั้น แม้จะคาดเดาไว้อยู่แล้วว่าผลลัพธ์จะต้องออกมาเป็นเช่นนี้.. แต่ผลงานและศักยภาพของหลิงหยุน ก็ทำให้เธออดที่จะตกใจไม่ได้ เพราะหลิงหยุนทำทุกอย่างได้สมบูรณ์แบบมาก เขาไม่เพียงทำทุกอย่างได้ดีพร้อม แต่ยังมีหลักการ และเพียงแค่วันเดียวก็สามารถแก้ไขปัญหาที่สั่งสมมานานหลายวันได้อย่างน่าสนใจ

แววตาสวยงามของหลงหวู่จ้องมองหลิงหยุนพร้อมกับอดโมโหไม่ได้ จึงได้แต่พึมพำกับตัวเองเบาๆ “ครั้งนี้นับว่านายทำได้น่าทึ่งมาก! แต่น่าจะมีอะไรมากกว่านี้อีกนิด!”

ดูเหมือนหลิงหยุนจะได้ยินเสียงพึมพำของหลงหวู่ เขาจับหวังเหว่ยเฉิงโยนออกไป และเดินตรงเข้าไปหาผู้อำนวยการหลิวพร้อมกับตบหน้าเขา..

“เอาล่ะ.. คุณพักมานานเพอสมควรแล้ว ถึงเวลาที่ผมต้องคุยกับคุณบ้าง..” หลิงหยุนพูดพร้อมกับจ้องหน้าผู้อำนวยการหลิวที่แววตาเต็มไปด้วยความหวาดผวา

ผู้อำนวยการหลิวดิ้นรนร้องขอความเมตตาจากหลิงหยุน

“หลิงหยุน ครูใหญ่จางก็ได้จัดการแก้ปัญหาให้เธอแล้วนี่ แล้วยังมีเรื่องอะไรที่จะต้องคุยกับฉันอีก? นี่ฉันก็อยู่นิ่งๆ ไม่ได้พูดอะไรไม่เข้าหูเธอเลย แล้วก็ไม่ได้ทำอะไรให้เธอขุ่นเคืองใจด้วย..”

หลิงหยุนหัวเราะอย่างมีความสุข “ถูกต้อง.. คุณไม่ได้ทำให้ผมขุ่นเคืองใจ แต่คุณทำให้ครูประจำชั้นของพวกเราขุ่นเคืองใจ แล้วก็ทำให้นักเรียนทั้งโรงเรียนขุ่นเคืองใจ ไม่เชื่อคุณก็ลองถามเพื่อนๆที่อยู่ข้างหลังผมดูสิว่า พวกเขาเห็นด้วยกับคำพูดของผมไม๊?”

ยังไม่ทันที่ผู้อำนวยการหลิวจะเอ่ยปากถาม นักเรียนทั้งในและนอกห้องต่างก็พากันร้องตะโกนออกมาพร้อมๆกัน “เห็นด้วย!”

ภายในโรงเรียนตอนนี้มีแต่แฟนคลับที่คอยสนับสนุนหลิงหยุนอยู่เต็มไปหมด และหลังจากเรื่องวันนี้ผ่านไป หลิงหยุนก็จะกลายเป็นผู้ที่ไม่มีใครในโรงเรียนมัธยมจิงฉูกล้าแตะต้องอีกเลย

เพราะแม้กระทั่งผู้บริหารของโรงเรียนไม่ว่าจะเป็นครูใหญ่ ผู้อำนวยการ หรือแม้แต่รองครูใหญ่ก็ยังต้องเชื่อฟังเขา แล้วนี่จะไม่เรียกว่าไร้คู่ต่อสู้ได้อย่างไรกัน?

สายตาของหลิงหยุนเปลี่ยนเป็นเย็นชาในทันที พร้อมกับพูดขึ้นว่า

“ผู้อำนวยการหลิว.. เพราะคุณแอบชอบครูประจำชั้นของพวกเรา คุณตามจีบครูกงมานานหลายปีแต่ก็ไม่สำเร็จ ก็เลยอาศัยโอกาสนี้บีบคั้นเธอ และดิสเครดิตเธอ จนเธอเกือบจะต้องสูญสิ้นฐานะของความเป็นครู แบบนี้แล้ว.. คุณตอบผมมาหน่อยสิว่าคุณยังมีหน้าเป็นครูอยู่อีกหรือไม่? คุณยังมีจิตสำนึกเหลืออยู่บ้างไม๊?”

หลังจากที่หลิงหยุนพูดจบ นักเรียนมัธยมปลายห้องหกต่างก็พากันเสียงดังขึ้นมาอย่างไม่พอใจ และต่างก็ร้องตะโกนด่าผู้อำนวยการหลิว

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับหันไปมองครูใหญ่จาง “ครูใหญ่จาง.. คุณว่าคนแบบนี้เหมาะสมที่จะเป็นผู้อำนวยการของโรงเรียนเราอย่างนั้นหรือ? ผมว่าคุณควรจะต้อง..”

เมื่อได้ฟังในสิ่งที่หลิงหยุนพูด ครูใหญ่จางก็มองเห็นโอกาสในทันที และสามารถคาดเดาความต้องการของหลิงหยุนได้ จึงรีบประกาศออกไปว่า

“ผู้อำนวยการหลิว.. สิ่งที่คุณทำนั้นเป็นเรื่องที่ขัดต่อศีลธรรม และเป็นผลร้ายกับโรงเรียนมัธยมจิงฉูของเรา ผมขอให้คุณพิจารณาหยุดการทำหน้าที่ในฐานะของผู้อำนวยการในทันที!”

หลังจากที่ครูใหญ่จางพูดจบ เขาก็เหลือบไปมองหลิงหยุนอย่างพออกพอใจ “และในเรื่องของการตัดเกรดของนักเรียน คงต้องให้ครูกงรับหน้าที่นี้ไปชั่วคราวก่อน..”

ว้าว!

ยังไม่ทันที่ครูใหญ่จางจะพูดจบ นักเรียนที่ได้ยินต่างก็พากันปรบมือเสียงดัง และพากันส่งเสียงร้องออกมาด้วยความดีใจ นี่หากกงเสี่ยวลู่อยู่ด้วย พวกเขาคงจะจับกงเสี่ยวลู่โยนขึ้นฟ้าอย่างแน่นอน

เสียงปรบมือยังคงดังสนั่นไปทั่วทั้งโรงเรียนอยู่ระยะหนึ่ง!

หลิงหยุนขี้เกียจที่จะเสียเวลากับผู้อำนวยการหลิวต่อ และไม่อยากแม้แต่จะรู้จักชื่อของเขา เพราะตอนนี้เขาก็ถูกทำลายจนไม่เหลืออะไรแล้ว

หลิงหยุนจับผู้อำนวยการหลิวที่มีใบหน้าซีดเผือด และกำลังอับอายและเสียใจอย่างมากโยนออกไปข้างนอก

ตอนนี้หลิงหยุนสามารถกู้ชื่อเสียงเกียรติยศ ตำแหน่งหน้าที่การงานคืนกลับให้กงเสี่ยวลู่ได้แล้ว อีกทั้งยังได้เงินชดเชยค่าเสียหายจำนวนหนึ่ล้านหยวน และยังได้ทำหน้าที่บางส่วนแทนผู้อำนวยการหลิวชั่วคราวอีกด้วย!

หลิงหยุนใช้เวลาอยู่ในห้องทำงานของครูใหญ่จางไม่ถึงยี่สิบนาที ก็สามารถกำชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ได้ เรียกได้ว่าทำสถิติที่น่าบันทึกได้อย่างสมบูรณ์แบบ!

แต่หลิงหยุนก็ไม่ลืมที่จะผูกสัมพันธ์กับครูใหญ่จางด้วยการส่งกระแสจิตบอกกับเขาว่า

“ครูใหญ่จางครับ.. ผมต้องขอขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างในวันนี้ วันหน้าผมจะกลับมาขอบคุณด้วยตัวเอง!”

การที่หลิงหยุนพูดเช่นนั้น นับว่าเป็นการให้หน้าครูใหญ่จางอย่างมาก แม้ว่าครุใหญ่จางจะไม่เข้าใจความหมายที่มีนัยยะสำคัญในคำพูดของหลิงหยุน เขาก็ได้แต่พยักหน้าอย่างดีใจ และดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นที่ไม่อาจปิดบังได้

คาบเรียนต่อไปกำลังจะเริ่มขึ้นอีกไม่ช้า หลิงหยุนไม่ต้องการเสียเวลาอีก และเพื่อเป็นการให้หน้ากับครูใหญ่จาง เขาจึงพูดขึ้นว่า..

“ครูใหญ่จางครับ วันหลังผมจะแวะมาคุยด้วย!”

มีหรือที่ครูใหญ่จางจะปฏิเสธ เขาพยักหน้ายิ้มๆพร้อมกับพูดว่า “เธอพร้อมเมื่อไหร่ก็มาได้เลย!”

หลิงหยุนยกมือขึ้นพร้อมกับสั่งนักเรียนทุกคนว่า “พวกเรากลับไปที่ห้องเรียนได้แล้ว!”

นัเกรียนทุกคนในที่นั้น ต่างก็พากันเปิดทางให้หลิงหยุนเดินนำออกไป แล้วคนอื่นๆจึงค่อยเดินตามเขาออกไปจากห้องทำงานของครูใหญ่ พร้อมกับร้องตะโกนเสียงดัง..

ห้องทำงานของครูใหญ่จางในเวลานี้เลอะเทอะไปหมด และรองครูใหญ่ซึ่งเป็นผู้หญิงก็ร้องออกมาว่า

“ไม่ควรไปยุ่งกับหลิงหยุนเลย..”

ครูใหญ่จางและรองครูใหญ่โจวต่างก็หันไปมองหน้ากัน พวกเขาทั้งสองคนต่างก็นึกดีใจว่า ยังดีที่พวกเขาทั้งคู่จัดการแก้ปัญหาได้ทันเวลลา ไม่เช่นนั้นหลิงหยุนคงจะทุบห้องทำงานของครูใหญจางพังหมดแน่!

‘หลิงหยุนเป็นคนที่ไม่ควรยุ่งด้วยจริงๆ!’ ครูใหญ่จางย้ำกับตัวเองเงียบๆในใจอีกครั้ง ก่อนจะเรียกคนมาช่วยเก็บกวาด

……….

“พี่หลิงจัดการกับผู้บริหารของโรงเรียน ปลดผู้อำนวยการ และครูประจำชั้นของพวกเราก็ได้ดูแลเรื่องตัดเกรดแทน!”

กู่หยวนหลงเดินประกบอยู่ด้านข้างของหลิงหยุนอย่างผยอง และคอยบริการ เขาได้เรียนรู้จากเมื่อครั้งที่อยู่หอพักแล้วว่าไม่ควรทำให้หลิงหยุนโกรธ!

ที่ผ่านมาเขามัวแต่ไปเชื่อฟังเจ้าเว่ยเถียนอันหน้าโง่ ถึงกับไปล็อคประตูห้องนอนไม่ยอมให้หลิงหยุนเข้าไป? ช่างโง่เขลาสิ้นดี!

“กู่หยวนหลง.. นายหลบไปได้แล้ว!”

ฉางหลิงเบียดไปทางซ้ายเพื่อต้องการไปเดินเคียงข้างหลิงหยุน แต่กลับถูกกู่หยวนหลงขวางทางไว้โดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว ในที่สุดเธอก็ทนไม่ได้ต้องร้องบบอกให้เขาหลีกทางให้!

หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยและค่อยๆเดินให้ช้าหลง เขาไม่สนใจกู่หยวนหลงที่กลัวจนเงียบไป และชะลอให้ฉางหลิงตามมาทัน

“น่าแปลก.. เรื่องราวใหญ่โตขนาดนี้ แต่ครูกงกลับไม่ออกมาปรากฏตัว..” หลิงหยุนได้แต่นึกแปลกใจ และแอบกระซิบกับฉางหลิง

“พอดีครูประจำชั้นไม่อยู่ในโรงเรียน ตอนนี้เธอออกไปข้างนอก.. น่าเสียดาย!”  ฉางหลิงกระซิบบอกหลิงหยุนอย่างนึกเสียดาย เพราะหากกงเสี่ยวลู่อยู่ด้วยและได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เธอคงจะมีความสุขอย่างมาก!

ความจริงฉางหลิงได้จัดการส่งข้อความแจ้งให้กับครูประจำชั้นของเธอทราบแล้ว แต่กลับได้รับข้อความตอบกลับมาว่า เธอออกไปข้างนอก และยังกลับมาไม่ได้

กงเสี่ยวออกไปที่ถนนคนเดิน และจัดการถอนเงินจากธนาคารจำนวนมาก เพื่อหาซื้อของให้กับหลิงหยุน

สำหรับกงเสี่ยวลุ่ในตอนนี้ หลิงหยุนคือความสุขของเธอ เธอไม่สนใจอีกต่อไปว่าตำแหน่งและชื่อเสียงเกียรติยศของเธอจะเป็นอย่างไร? เธอมีเพียงแค่ความหวัง ความสุข และความรักให้กับหลิงหยุน เธอจึงอยากไปซื้อของให้กับเขา!

หลิงหยุนในเวลานี้เปรียบบเหมือนแสงสว่างสำหรับกงเสี่ยวลู่ เขาเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของเธอ ในสมองของกงเสี่ยวลู่ตอนนี้มีเพียงแค่หลิงหยุน แล้วทำไมเธอจะต้องไปสนใจกับเรื่องอะไรที่เกิดขึ้นในโรงเรียนอีก?

หลิงหยุนหันไปบอกฉางหลิงว่า “รีบไปที่ห้องเรียนกัน ยังมีอีกคนที่ต้องไปจัดการ..!”


บทที่ 436 : คนปล่อยข่าว!

หลิงหยุนยังต้องไปจัดการกับใครอีกน่ะหรือ? ยังมีเว่ยเถียนอันซึ่งเป็นคนปล่อยข่าวลือเสียหายในครั้งนี้อีกคน!

ตั้งแต่ครั้งแรกหลิงหยุนได้ฟังเรื่องราวจากปากฉางหลิง เขาก็เล็งเป้าไปที่เว่ยเถียนอันเป็นคนแรก และก่อนที่เขาจะเข้าไปที่ห้องทำงานของครูใหญ่ เขาก็ได้เหลือบมองเว่ยเถียนอันที่กำลังนั่งตัวสั่นเพราะความกลัว!

และเมื่อหลิงหยุนนำนักเรียกห้องหกทั้งหมดไปที่ห้องทำงานของครูใหญ่แล้ว เขาก็ได้สังเกตุทุกคนที่ตามมาอย่างละเอียด แม้กระทั่งเจี่ยเมิ่งที่ถูกเขาตบหน้าในครั้งนั้นก็ตามมาด้วย มีเพียงเว่ยเถียนอันคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้มา

หลังจากที่หลิงหยุนใคร่ครวญอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว เขาก็มั่นใจว่าข่าวลือเสียหายที่แพร่สะพัดออกไปนั้น ต้องเป็นฝีมือของนักเรียนในห้องของเขาเองอย่างแน่นอน อีกทั้งยังต้องเป็นคนที่เกลียดเขาเข้ากระดูกดำด้วย

ไฉฮั่นหลินนั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ส่วนกู่หยวนหลงและซาเกาจิ้งตอนนี้ก็กลายมาเป็นสมุนของเขาเรียบร้อยแล้ว แม้แต่เจี่ยเมิ่งเองยังไม่ถือศักดิ์ศรีและยอมตามเขาไปที่ห้องทำงานของครูใหญ่ มีเพียงเว่ยเถียนอันที่มักชอบทำตัวโดดเด่น และไม่ยอมตามเขาไปอยู่คนเดียว จึงต้องเป็นเว่ยเถียนอันแน่นอนที่เป็นตัวต้นคิดในการปล่อยข่าวลือนั่น

เมื่อคิดถึงศักยภาพที่ไม่ธรรมดาของเว่ยเถียนอัน หลิงหยุนจึงมั่นใจได้ทันที่ว่าต้องเป็นฝีมือของเขาอย่างแน่นอน!

หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า ‘เว่ยเถียนอัน.. ข้าเห็นแก่เจ้าที่เรียนอยู่ห้องเดียวกันจึงไม่อยากรังแกเจ้า แต่ในเมื่อเจ้าไม่ชอบอยู่กันดีๆ ข้าก็จะให้เจ้าได้รับบทเรียนบ้าง แล้วอย่าได้ตำหนิว่าข้าใจร้ายกับเจ้าก็แล้วกัน!’

‘หากเจ้าโกรธเกลียดข้า และอยากจะจัดการกับข้า หรือลงมือกับข้าเพียงผู้เดียว ข้าก็จะไม่ตำหนิเจ้าเลย แต่เจ้าไม่ควรดึงครูประจำชั้นเข้ามาเป็นเครื่องมือ!’

หลิงหยุนได้แต่แสยะยิ้ม ฉางหลิงเห็นหลิงหยุนพูดออกมาเช่นนั้น จึงถามออกไปว่า “ยังมีอีกคนเหรอ.. ใครกัน?”

หลิงหยุนยิ้มให้ฉางหลิง แล้วตอบกลับไปว่า “ก็คนที่ปล่อยข่าวลือไง!”

“คุณเห็นไม๊ล่ะ.. มีใครบ้างที่ไม่ได้ตามผมไปห้องครูใหญ่ ก็คนนั้นล่ะที่เป็นคนปล่อยข่าว?”

“หลิงหยุน.. ฉันรักนาย!”

หลิงหยุนเพิ่งจะสะสางปัญหาเสร็จเรียบร้อย แต่เมื่อได้ยินเสียงคุ้นๆที่กำลังตะโกนบอกรักเขา หลิงหยุนก็ถึงกับใจสั่น และรีบเงยหน้าขึ้นมองทันที และก็เป็นอย่างที่เขาคิดจริงๆ!

ห่างออกไปนั้น.. มีร่างของสาวน้อยเจ้าเนื้อที่ทาแก้มแดงราวกับก้นลิงคนเดิม กำลังชี้นิ้วมาทางเขา และวิ่งตรงมาหาเขาจนไขมันกระเพื่อมไปทั้งร่างพร้อมกับร้องตะโกนเรียกหลิงหยุน

“หลิงหยุน.. ฉันรักนาย!” สาวน้อยจ้ำม่ำผลักนักเรียนคนอื่นๆที่รุมล้อมหลิงหยุนอยู่ออกไป

“แย่แล้ว.. หนีก่อนดีกว่า!”

สีหน้าของหลิงหยุนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ เขาไม่สามารถใช้วิชาตัวเบาได้ จึงทำได้เพียงแค่ผลักทุกคนออก แล้วก็รีบวิ่งกลับไปที่ห้องเรียนของตัวเอง หลิงหยุนเหลือบมองก่อนจะออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต!

ด้านหลังหลิงหยุนเป็นแฟนคลับของเขามากมาย และได้เห็นภาพที่เขาวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตนั้น ทุกคนก็ได้แต่ยืนหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง และต่างก็คิดเหมือนกันว่า หลิงหยุนรู้จักความกลัวกับเขาเหมือนกันหรือ?!

หลงหวู่เ หมี่ยวเสี่ยวเหมา และฉางหลิง หญิงสาวหน้าตาสะสวยทั้งสามคน ต่างก็พากันยืนหัวเราะร่วนเช่นกัน

ภายในห้องเรียนของนักเรียนมัธยมปลายห้องหนึ่ง หนิงหลิงยู่กำลังตั้งใจอ่านหนังสืออยู่ในห้องเหมือนเช่นเคย ที่ระเบียงด้านนอก เฉิงเมี่ยนยืนพิงราวระเบียงอยู่เงียบๆ และได้เห็นภาพนั้นอย่างชัดเจนเช่นกัน

หลิงหยุนกลับไปถึงห้องเรียนคนแรก และทันทีที่เข้าไปเขาก็พบเว่ยเถียนอันนั่งอยู่ที่โต๊ะแล้ว

เว่ยเถียนอันถือหนังสือไว้ในมือ ใบหน้าของเขาซีดเผือด และขาก็สั่นพร้อมกับถอนหายใจอออกมาอย่างแรง และไม่กล้าที่จะมองไปทางหลิงหยุน

เพราะว่าข่าวลือต่างๆนั้น เขาเป็นผู้ที่ปล่อยออกไปเอง!

ในเวลานั้น หลิงหยุนหายตัวไปนานถึงสี่วันแล้ว และข่าวคราวเกี่ยวกับหลิงหยุนที่ลือกันภายนอกนั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นข่าวไม่ดีทั้งสิ้น และนั่นทำให้เว่ยเถียนอันตื่นเต้นอย่างมาก

ในเวลาเดียวกัน กู่หยุนฟะ เสียเจิ้นเหยิน และหลู่เจิ้งเทียนก็เริ่มสร้างคลื่นใต้น้ำขึ้นในโรงเรียน พวกเขาพากันปล่อยข่าวว่าหลิงหยุนไม่น่ารอด

และด้วยความร่วมมือของหนุ่มเพลย์บอยทั้งสามคน หลิงหยุนจึงถูกทางโรงเรียนไล่ออก ทำให้เว่ยเถียนอันถึงกับเก็บอาการดีใจไว้ไม่อยู่ และวันนั้นทั้งวันเขาก็ร้องเพลงอย่างมีความสุข

แต่ใครจะไปคิดว่า กงเสี่ยวลู่ซึ่งเป็นครูประจำชั้นจะเข้าไปโต้แย้งกับครูใหญ่จาง และคัดค้านการไล่หลิงหยุนออกจากโรงเรียน

เว่ยเถียนอันเห็นว่าความหวังของเขากำลังจะถูกทำลาย และด้วยความโมโห และผิดหวังอย่างรุนแรง เขาจึงไม่ลังเลที่จะปล่อยข่าวว่าหลิงหยุนกับกงเสี่ยวลู่มีอะไรกันเพื่อทำลายพวกเขาทั้งคู่

ผลจาการปล่อยข่าวลือนี้ใหญ่โตอย่างไม่ต้องสงสัย และผลก็คือหลิงหยุนถูกไล่ออกจริงๆ และกงเสี่ยวลู่ก็ถูกคาดโทษอย่างรุนแรง!

และนับจากนั้น เว่ยเถียนอันก็ดูเหมือนจะมีความสุขมาก และคิดว่าในที่สุดเขาก็จะกลับมายิ่งใหญ่ในห้องเหมือนเดิม

เว่ยเถียนอันถึงกับคิดว่าในเมื่อเกาเฉินเฉินก็กลับไปปักกิ่งแล้ว เขาก็คิดที่จะหันมาจีบเหมี่ยวเสี่ยวเหมาแทน

แต่กลับคิดไม่ถึงว่า จู่ๆในวันอาทิตย์หลิงหยุนก็ปรากฏตัวออกมา และทันทีที่เขาปรากฏตัว ก็ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งเมืองจิงฉู จึงไม่ต้องพูดถึงโรงเรียนเล็กๆอย่างมัธยมจิงฉู

และเมื่อวานนี้ ด้วยความหวาดกลัวว่าหลิงหยุนจะกลับมาสร้างปัญหายุ่งยากให้กับทางโรงเรียน  จึงได้มีประกาศเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจจากทางโรงเรียนออกมาตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า

เมื่อวานนี้เว่ยเถียนอันเองก็นั่งกังวลอยู่ตลอดทั้งวัน ความรู้สึกของเขานั้นราวกับนั่งอยู่บนเข็มแหลมหลายสิบเล่ม ระหว่างนั้นก็แอบสอบถามจากหนุ่มเพลย์บอยทั้งสามคน แต่กลับพบว่าทั้งหมดไม่มีใครมาโรงเรียนเลย เว่ยเถียนอันจึงได้แต่อึ้ง!

แต่ถึงกระนั้น เว่ยเถียนอันก็อดทนรออยู่หนึ่งวันเต็มๆ แต่หลิงหยุนก็ยังไม่มาโรงเรียน และเมื่อคืนเขาเองก็นอนคิดทั้งคืนว่าจะหนีดีหรือไม่?

แต่เมื่อเช้า.. เว่ยเถียนอันเข้ามานั่งในห้องเรียนก้นยังไม่ทันร้อน เขาก็เห็นหลิงหยุนเดินเข้ามา ทำให้เขาเกิดอาการหวาดกลัวสุดขีด!

และเมื่อเช้าที่กงเสี่ยวลู่เรียกหลิงหยุนให้ตามออกไป เว่ยเถียนอันก็รับรู้ได้ว่าความลับของเขาคงจะต้องถูกเปิดเผยแน่แล้ว และนั่นทำให้เขากลับหวาดกลัวมากยิ่งขึ้น

หลังจากการเรียนตอนบ่ายผ่านไปได้สองคาบ หลิงหยุนก็ตะโกนบอกเพื่อนๆในห้องว่าจะไปทวงความยุติธรรมให้กับบครูประจำชั้น เว่ยเถียนอันถึงกับรู้สึกเหมือนคนที่หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง เขารู้ว่าครั้งนี้เขาคงจะต้องป่นปี้ยับเยินจนไม่เหลืออะไรอีกแน่!

ตอนนี้หลิงหยุนกลับมาจากการสะสางเรื่องราวทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เขาเดินเข้ามาในห้องเรียนและค่อยๆก้าวเข้าไปหาเว่ยเถียนอัน ใบหน้าของเว่ยเถียนอันตอนนี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัว และน้ำตาก็เริ่มไหลพร่างพรูออกมา!

“เว่ยเถียนอัน.. มีคนบอกฉันว่า แกเป็นคนปล่อยข่าวว่าฉันกับครูประจำชั้นมีอะไรกัน เรื่องนี้จริงไม๊? ฉันจะให้โอกาสแกได้อธิบาย..” หลิงหยุนพูดกับเว่ยเถียนอันยิ้มๆ พร้อมกับใช้ฝ่ามือตบลงบนโต๊ะ

“ไม่.. ไม่.. ฉันไม่ได้ทำ..” เว่ยเถียนอันกลัวจนถึงกับปฏิเสธเสียงสั่น!

หลิงหยุนมองสีหน้าท่าทางของเว่ยเถียนอัน ในใจก็ได้แต่คิดว่า ‘ใช่แล้ว.. เป็นมันอย่างแน่นอน ยากที่จะปฏิเสธได้!’

ปัง!!

หลิงหยุนไม่ปราณีอีก เขายกมือขึ้นตบหน้าเว่ยเถียนอันอย่างแรง!

“ว่าไง.. มีอะไรจะอธิบายไม๊?”

หลิงหยุนใช้มังกรคำรามพูดกับเว่ยเถียนอันที่ถูกตบหน้า ความหวาดกลัวทำให้เขาถึงกับสติหลุด และยอมพูดความจริงทั้งหมดออกมา

“โอ๊ย..!”

เว่ยเถียนอันกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด และรีบรับสารภาพ “ฉันเอง.. ฉันเป็นคนทำเอง.. ฉันผิดไปแล้ว.. ฉันไหว้ล่ะหลิงหยุน.. ปล่อยฉันไปเถอะนะ!”

เมื่อได้ฟังเว่ยเถียนอันสารภาพ หลิงหยุนจึงพูดอย่างเย้นหยัน “ไอ้สารเลว! ครูประจำชั้นมอบหมายให้แกเป็นหัวหน้าห้อง แล้วก็ดูแลหอพัก แกยังไม่นึกขอบคุณ แต่กลับทำร้ายครูประจำชั้นของตัวเองได้ลงคอ!”

ในเวลานั้นฉางตง กู่หยวนหลง และคนอื่นๆ ก็วิ่งตามหลิงหยุนเข้ามาให้องพอดี และทุกคนต่างก็ได้ยินคำพูดของหลิงหยุนทุกคำ พวกเขาต่างก็ตกใจและโมโหอย่างมาก

ฉางตงโมโหสุดขีด เขาวิ่งเข้าไปหาเว่ยเถียนอัน พร้อมกับยกมือขึ้นตบปากเว่ยเถียนอันอย่างแรง!

“เว่ยเถียนอัน ไอ้สารเลว!” ฉางตงโกรธสุดขีด และกำลังจะตบซ้ำแต่ถูกหลิงหยุนห้ามไว้

“สำหรับบไอ้ขยะตัวนี้ รอให้เพื่อนๆในห้องกลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน..”

เมื่อกู่หยวนหลงและซาเกาจิ้งเห็นว่าคนที่ปล่อยข่าวลือเป็นเว่ยเถียนอัน พวกเขาทั้งคู่ต่างก็รู้สึกผิดหวังในตัวเว่ยเถียนอันอย่างมาก

“เว่ยเถียนอัน.. ไอ้ชั่ว.. นายทำแบบนี้ทำไม? ใครๆในห้องต่างก็รู้ดีว่านายรังแกพี่หลิงมาตั้งหลายปี แต่เขาแค่ทำร้ายนายกับเจี่ยเมิ่งแค่ครั้งเดียว พวกนายถึงกับแค้นจนต้อง..”

กู่หยวนหลงพุ่งเข้าไปหาเว่ยเถียนอัน พร้อมกับชี้หน้าเขา และร้องตะโกนออกมาอย่างเสียใจและเจ็บใจ เพราะตลอดสามปีที่อยู่ในหอพักชายมาด้วยกัน ทั้งสองคนก็ไม่เคยขัดแย้งอะไรกันมากมาย อาจจะมีโกรธกันบ้าง แต่ก็ไม่เคยทะเลาะกัน

ซาเกาจิ้งมองเว่ยเถียนอันด้วยสายตาเย็นชา เขาไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว เพียงแค่ส่ายหน้าอย่างผิดหวัง และทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ

ไม่นาน.. นักเรียนคนอื่นๆต่างก็ทยอยเข้าไปในห้องกันมากขึ้น รวมทั้งหลงหวู่ เหมี่ยวเสี่ยวเหมา และฉางหลิง เมื่อทั้งสามสาวได้รู้ว่าผู้ที่ปล่อยข่าวลือก็คือเว่ยเถียนอัน พวกเธอก็ทั้งตกใจและโกรธ!

“เว่ยเถียนอัน.. นาย.. นายทำเกินไปแล้วนะ! ครูประจำชั้นดีกับนายขนาดใหน ให้นายเป็นคณะกรรมการของห้องตั้งหลายปี  แต่นายกลับให้ร้ายเธอ!”

ฉางหลิงเองก็คิดว่าเป็นเว่ยเถียนอัน แต่ก็ไม่อยากปรักปรำเขา แต่ตอนนี้หลิงหยุนกลับพิสูจน์แล้วว่าเป็นเว่ยเถียนอันจริง!

หลงหวู่ส่ายหน้าพร้อมกับมองอย่างเหยียดหยัน ก่อนจะเดินกลับไปนั่งที่ของตัวเอง ส่วนเหมี่ยวเสี่ยวเหมานั้นก็แทบจะไม่สนใจเว่ยเถียนอัน และเดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะของเธอทันที

หญิงสาวทั้งสองคนมาเรียนมัธยมปลายที่ห้องหกของโรงเรียนแห่งนี้ ต่างก็มีจุดประสงค์ของตัวเอง พวกเธอล้วนเป็นคนนนอก หลังจากนึกสาปแช่งเว่ยเถียนอันในใจ ก็ไม่อยากที่จะสนใจเขาอีก

ฉางหลิงหยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห เพราะเรื่องนี้ไม่เพียงทำให้ครูประจำชั้นเสียชื่อเสียง แต่ยังทำให้คนที่เธอรักเสียหายอีกด้วย ยิ่งคิดว่าเว่ยเถียนอันต้องการทำร้ายหลิงหยุน เธอก็ยิ่งด่าเขารุนแรงจนแทบฟังไม่ได้

เว่ยเถียนอันทำให้คนในห้องโกรธแค้นอย่างมาก และเหตุการณ์ก็ชุลมุนจนไม่รู้ว่าใครที่เป็นคนพูดคำว่า “ออกไป!” ขึ้นมาเป็นคนแรก เพราะหลังจากนั้นก็มีคนโห่ร้องตะโกนตามกันทั้งห้อง

ออกไป! ออกไป!

แล้วเด็กผู้ชายเจ็ดแปดคนก็เดินเข้าไปชกหน้าและรุมกระทืบเว่ยเถียนอัน เขาถูกซ้อมจนลงไปนอนร้องครวญครางอยู่ที่พื้น แต่ก็ไม่มีใครยอมหยุดจนกระทั่งหลิงหยุนต้องร้องห้าม!

“เอาล่ะ.. ขยะแบบนี้ทำไปก็เท่านั้น ปล่อยให้ทางโรงเรียนจัดการก็แล้วกัน..”

หลิงหยุนมองเว่ยเถียนอันที่นอนกองกับพื้นด้วยหน้าตาบวมเปล่งและฟกช้ำ หลังจากที่หลิงหยุนพูดเตือนสติ เพื่อนๆในห้องต่างก็นึกขึ้นมาได้ว่า ถึงอย่างไรเว่ยเถียนอันก็ต้องถูกไล่ออก เพราะครูใหญ่จางได้ประกาศไว้ชัดเจนแล้วว่า หากจับตัวคนที่ปล่อยข่าวได้ เขาจะไล่ออกทันที!

ความจริงแล้วแม้ว่าเว่ยเถียนอันจะไม่ถูกไล่ออก แต่เขาก็คงไม่สามารถทนเรียนต่อที่นี่ได้ เพราะไม่ว่าจะเดินไปที่ใหน ก็คงจะมีแต่คนด่าว่า..

นักเรียนบางคนถึงกับรีบโทรไปรายงานเรื่องเว่ยเถียนอันให้กงเสี่ยวลู่รู้ เธอจึงได้บอกกับนักเรียนทุกคนว่า ให้รอเธอกลับไปจัดการทุกอย่างด้วยตัวเอง อย่าได้ทำอะไรเว่ยเถียนอัน

หลิงหยุนไม่อยู่เรียนสองคาบสุดท้าย เขาบอกกับบฉางหลิงว่าให้ตั้งใจเรียน แล้วหลังจากนั้นก็ร้องบอกหลงหวู่ให้พาเขาไปพบหลงคุน

ระหว่างที่เดินออกจากห้องเรียน หลิงหยุนก็ส่งกระแสจิตบอกเหมี่ยวเสี่ยวเหมาว่า

“เรื่องของเราไว้คุยกันพรุ่งนี้!”

หลิงหยุนและหลงหวู่เดินออกไปถึงหน้าประตูโรงเรียน กริ่งเริ่มคาบสามก็ดังขึ้นพอดี..

“รถของคุณอยู่ที่ใหน?” หลิงหยุนถามหลงหวู่เมื่อเดินไปถึงหน้าประตู

“ฉันไม่ได้ขับรถมา.. ฉันมาแท๊กซี่” หลงหวู่ตอบยิ้มๆ

หลิงหยุนคิดในใจว่าหลงหวุ่เป็นถึงลูกสาวหัวหน้าแก๊งมังกรเขียวแต่กลับมารถแท๊กซี่

หลงหวู่อธิบายยิ้มๆ “ฉันขับรถเป็นแล้วก็จริง.. แต่อายุยังไม่ถึงก็เลยทำใบขับขี่ไม่ได้!”

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า “ลูกสาวหัวหน้าแก๊งมังกรเขียว จำเป็นต้องใช้ใบขับขี่ด้วยเหรอ?”

หลงหวู่ตอบเสียงเรียบเฉย “ฉันเป็นนักกฎหมายก็ย่อมรู้กฎหมายดี และยิ่งต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดด้วย”

หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ “นี่คุณทนายคนสวย.. ผมจำได้ว่าตอนที่ซื้อเสื้อผ้าวันนั้น คุณยังจะเอาเสื้อที่ผมซื้อแล้วให้ได้เลย”

หลงหวู่หน้าแดง..

“พอวันรุ่งขึ้นก็ไปเต้นเซ็กซี่อยู่ที่คลับ.. ใครก็ไม่รู้?”

หลิงหยุนทำเสียงกระซิบ หลงหวู่ทั้งโกรธทั้งอาย และกลิ่นหอมจากตัวเธอก็รุนแรงมากขึ้น

“หลิงหยุน.. นี่นาย.. ฉันจะฆ่านาย!”

พูดจบหลงหวู่ก็จับแขนหลิงหยุนไว้แน่น พร้อมกับก้มหน้าลงกัดแขนของเขา!

“หลงหวู่.. นี่คุณกัดผมจริงๆเหรอ เป็นหมารึไง?” หลิงหยุนร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ

หลงหวู่ไม่สนใจ.. เธอกัดแขนหลิงหยุนและพูดอย่างไม่หยุดหายใจ “เรื่องนี้ฉันจะคิดบัญชีกับนายทีหลัง อีกไม่นานหรอก!”

หลังจากนั้น หลงหวู่ก็ยกแขนหลิงหยุนขึ้นดูพร้อมกับบถามว่า “ไม่เจ็บใช่ไม๊?”


บทที่ 437 : แก๊งมังกรเขียวเป็นของเจ้า!

“ถามมาได้ว่าเจ็บไม๊?”

พูดจบหลิงหยุนก็ยกแขนเข้าไปใกล้ดวงตาของหลงหวู่ เพื่อให้เธอเห็นวงกลมสีแดงบนแขนของเขาได้ชัดเจน..

หลงหวู่ไม่ใช่คนที่มีวรยุทธ หลิงหยุนจึงไม่กล้าใช้ดารกะดายันปกป้องร่างกายของตัวเอง เพราะเกรงว่าฟันขาวๆของเธอจะหักหมดปากเสียก่อน

หลงหวู่กัดริมฝีปากเซ็กซี่ของตัวเอง ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นสีแดงพร้อมกับร้องตะโกนว่า “ใครให้นายล้อเลียนฉันก่อนล่ะ..”

หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยแล้วจึงตอบกลับไปว่า “ขึ้นรถเร็วเข้า..”

หลังจากที่ทั้งคู่ขึ้นไปนั่งบนรถแลนด์โรเวอร์แล้ว หลิงหยุนก็สั่งให้หลงหวู่คอยบอกเส้นทาง

“ฉันรู้ว่าวันนั้นไม่ควรทำตัวแบบนั้น แต่นายก็ไม่ควรสั่งให้คนมาตบหน้าฉันเหมือนกัน นายรู้ไม๊ว่าฝ่ามือทั้งสองครั้งที่ตบลงบนหน้าของฉันน่ะมันเจ็บบแค่ใหน..?”

หลิงหยุนยังคงขับรถไปเงียบๆ..

“อีกอย่างที่อเมริกาก็ค่อนข้างมีอิสระเสรีภาพ ทุกคนสามารถแต่งตัวเซ็กซี่ในที่สาธารณะได้ ส่วนตัวฉันเองก็ชอบแต่งตัวเซ็กซี่อยู่แล้ว ฉันไปที่ไนท์คลับคืนนั้นก็เพื่อพักผ่อนหย่อนใจ แต่คิดไมถึงว่าจะไปเจอนายที่นั่นด้วย..”

หลิงหยุนฟังมาถึงตอนนี้ก็หันไปมองรูปร่างที่เซ็กซี่ของหลงหวู่พร้อมกับพูดยิ้มๆ “ชอบแต่งตัวเซ็กซี่งั้นเหรอ.. ถ้าอย่างนั้นก็..?”

หลงหวู่มองหลิงหยุนพร้อมกับตอบไปว่า “ฉันรู้ว่านายกำลังจะพูดอะไร? ที่อเมริกาแล้วก็ประเทศในแถบยุโรป ตามหาดทรายมีแต่คนแก้ผ้าเดินเต็มไปหมด..”

หลิงหยุนฟังแล้วก็ถึงกับอึ้งไปพร้อมกับแอบคิดอยู่ในใจเงียบๆ ‘เป็นประเทศที่น่าไปมากเลยทีเดียว? ข้าคงต้องหาโอกาสไปให้ได้สักครั้ง ไม่งั้นคงน่าเสียดายแย่!’

หลิงหยุนจ้องมองหลงหวู่ด้วยแววตาประหลาดครู่หนึ่ง ก่อนจะถามเสียงเบาว่า “แล้วคุณล่ะ.. ตอนที่ไปหาดทรายที่โน่น แก้ผ้าหรือเปล่า?”

หลงหวู่หน้าแดง และภายในรถก็มีกลิ่นหอมอบอวลของเธอเต็มไปหมด “แล้วนายคิดว่ายังไงล่ะ? ฉันอายุยังไม่ถึงสิบแปดเลย นายคิดว่าฉันจะทำแบบนั้นไม๊?”

“เฮ้อ.. ค่อยโล่งอกหน่อย!” หลิงหยุนถอนหายใจพร้อมกับพึมพำเบาๆ

หลงหวู่ได้ยินเสียงหลิงหยุนถอนหายใจ เธอจึงหันไปมองใบหน้าหล่อเหลาของเขาพร้อมกับถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“หลิงหยุน.. เมื่ออาทิตย์ที่แล้วนายหายไปใหนมาตั้งหลายวัน?”

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า “ไปทางเหนือมา..” ป่าเสินหนงเจี๋ยในมณฑลหัวเป่ยนั้นอยู่ห่างจากเมืองจิงฉูเป็นพันกิโลเมตร จึงน่าจะเป็นคำอธิบายในเรื่องที่เขาหายตัวไปหลายวันได้ดี

“ไปทางเหนืองั้นเหรอ?! นายไปที่นั่นทำไมกัน? อย่าบอกนะว่าไปเที่ยวเล่นที่มณฑลหัวเป่ย.” หลงหวู่ถามอย่างแปลกใจ

“ไปฆ่าคน!” หลิงหยุนตอบเนิบๆ

“ห๊ะ! นี่นาย.. นายไปมณฑลหัวเป่ย.. ไปฆ่าคนนี่นะ?” หลงหวู่ร้องออกมาอย่างตกอกตกใจ

หลิงหยุนตอบยิ้มๆ “ถ้าผมจะฆ่าใครสักคน.. ยากที่มันจะหนีพ้นเงื้อมือของผม..”

หลงหวู่ถึงกับนั่งนิ่ง เพราะหลิงหยุนพูดเรื่องฆ่าคนได้ง่ายและเป็นปกติราวกับเล่าเรื่องกินข้าว เขาทำเหมือนกับว่าการฆ่าคนเป็นเรื่องปกติธรรมดา

“นาย.. นายไปฆ่าใคร?”

“คนญี่ปุ่นที่มาขโมยสมบัติล้ำค่าของประเทศจีน..” หลิงหยุนตอบเรียบๆ

หลงหวู่ถึงกับกลืนน้ำลาย และไม่กล้าถามอะไรอีก เพราะครั้งนี้หลิงหยุนทำให้เธอตกใจสุดขีด!

หลิงหยุนยังคงมีสมาธิอยู่กับการขับรถ และหันมาถามเส้นทางจากหลงหวู่เป็นครั้งคราว ระหว่างทางที่มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองจิงฉูนั้น ตี้เสี่ยวอู๋ก็ได้โทรมารายงานว่า บริษัทชิงหยุนโปรดักชั่นถูกถล่มจนราบเป็นหน้ากองไปแล้ว

หลิงหยุนแสยะยิ้มหลังจากได้ฟัง จากนั้นก็พูดกับตี้เสี่ยวอู๋เพียงแค่สองสามคำแล้วจึงวางสายไป

ครึ่งชั่วโมงต่อมา รถแลนด์โรเวอร์ก็มาหยุดอยู่หน้าบ้านที่เงียบสงบหลังหนึ่งซึ่งเป็นบ้านของหลงหวู่เอง

เมืองจิงฉูนั้นมีเอกลักษณ์ในเรื่องของภูมิประเทศที่สวยงาม และทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือและตะวันตกเฉียงใต้ล้วนเป็นทิวเขา แม้จะไม่ใช่เทือกเขาสูง แต่เขาแต่ละลูกนั้นยังคงเขียวชอุ่ม และเป็นภาพทิวทัศน์ที่สวยงามมาก อีกทั้งยังอยู่ห่างไกลจากเมืองใหญ่ที่แสนวุ่นวาย เหมาะกับการพักผ่อนและอยู่อย่างสันโดษมาก

บ้านของหลงคุนอยุ่ท่ามกลางหุบเขาทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ภายในบริเวณมีบ้านสวยงามเก๋ไก๋หนึ่งหลัง และมีต้นไม้ทั้งเขียวและแดงล้อมรอบ มีดอกไม้ มีนกหลากหลาย และอากาศที่แสนบริสุทธิ์

“พ่อรอเราสองคนอยู่ในบ้านแล้ว รีบเข้าไปข้างในกันเถอะ!” ทันทีที่ลงจากรถหลงหวู่ก็เร่งรัดหลิงหยุนให้รีบเข้าไป

“ลุงหลงช่างเข้าใจเลือกจริงๆ..” หลิงหยุนคิดในใจว่าการมีเงินทองและมีอำนาจ จึงทำให้มีโอกาสมีบ้านที่น่าอยู่เช่นนี้

หลิงหยุนกับหลงหวู่เดินเข้าไปในบ้าน และเห็นหลงคุนกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ที่อยู่ในสวน เขาค่อยๆบรรจงชงชาอย่างชำนิชำนาญ และบนโต๊ะด้านหน้าก็มีถ้วยชาสามใบบวางอยู่ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังรอหลิงหยุนและหลงหวู่อยู่จริงๆ

เมื่อหลิงหยุนเดินเข้าไป หลงคุนก็ยิ้มทักทายทันที “หลิงหยุน.. มาๆ มานั่งดื่มชาเร็วเข้า!”

หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับยิ้มตอบอย่างเป็นธรรมชาติ เขาเดินตรงเข้าไปหาหลงคุนและไม่กล้าที่จะเสียมารยาทนั่งลงในทันที

หลงคุนนั่งอยู่จ้องมองหลิงหยุนครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างพอใจพร้อมกับรินชาลงในถ้วยของหลิงหยุน แล้วพูดกับเขายิ้มๆ

“นั่งลงสิ.. จะได้ลองดื่มชาหลงจิง..”

หลิงหยุนนั่งลง ยกถ้วยชาขึ้นสูดดมกลิ่มหอมของชา และทันทีที่ยกขึ้นดื่มเขาก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นที่หอมหวลยิ่งขึ้นจนถึงกับต้องเอ่ยชื่นชมออกมา

“ชาชั้นยอด!”

หลงหวู่ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “จริงเหรอ? ก็ไม่เห็นจะขนาดนั้น ก็แค่ใบชาใส่น้ำร้อน!”

หลิงหยุนไม่สนใจเสียงหัวเราะของหลงหวู่ “คุณไม่รู้จักวิธีดื่มชาน่ะสิ.. ผมสอนให้ก็ได้นะ แต่คุณต้องจ่ายค่าสอนให้ผมด้วย..”

หลงคุนมองหลิงหยุนพร้อมกับหัวเราะ เขาจิบชาในถ้วยแล้วจึงค่อยๆวางถ้วยชาลงบนโต๊ะอย่างนุ่มนวล ก่อนจะถามหลิงหยุนไปว่า

“หลิงหยุน.. เย็นนี้มีเวลาว่างพอที่จะอยู่กินข้าวด้วยกันไม๊?”

หลิงหยุนส่ายหน้าและบอกไปตามตรง “ลุงหลง.. วันนี้ผมไม่ว่างจริงๆครับ สองสามวันนี้ผมมีเรื่องมากมายที่ต้องไปจัดการ ผมมาที่นี่วันนี้เพราะต้องการมาขอบคุณคุณลุงด้วยตัวเอง และคงจะอยู่ที่นี่ได้เพียงแค่ชั่วโมงเดียว!”

หลงคุนนั้นอยู่ในเจียงหนานมานาน และเป็นผู้ที่มีอิทธิพลกว้างขวางในเมืองจิงฉูอย่างมาก อีกทั้งแก๊งมังกรเขียวก็ค่อนข้างแข็งแกร่ง หากหลงคุนต้องการรู้จักใครสักคนนั้น เขาก็สามารถทำได้ในเวลาเพียงไม่ถึงนาที ในเมื่อเขาให้ความสนใจในตัวหลิงหยุนมานาน เขาจึงรู้ดีว่าหลิงหยุนนั้นมีธุระปะปังมากเพียงใด

หลงคุนไม่สนใจหลงหวู่ที่นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด และไม่คิดที่จะรั้งหลิงหยุนไว้ เขาเพียงแค่ยิ้มและตอบกลับบไปว่า

“ได้.. ถ้างั้นลุงจะรอ เธอสะดวกเมื่อไหร่ก็มาที่บ้านได้เสมอ..”

“เรื่องที่หมู่บ้านหลินเจียงวันนั้น ผมต้องขอบคุณลุงหลงมาก!”

หลิงหยุนเห็นหลงคุนเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมา เขาจึงไม่ต้องการชักแม่น้ำทั้งหา และตรงเข้าประเด็นทันที

หลงคุนหัวเราะ “เรื่องเล็กน้อย.. เธอไม่ต้องใส่ใจนัก! ที่ฉันไปที่นั่นวันนั้นก็เพราะต้องการไปพบเธอ”

“พบผมเหรอครับ?” หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับจ้องมองหัวหน้าแก๊งมังกรเขียวอย่างสนอกสนใจอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยถามต่อด้วยความแปลกใจ

“ลุงหลง.. ผมทำร้ายคนของแก๊งมังกรเขียว แล้วยังชิงตัวตี้เสี่ยวอู๋ซึ่งเป็นลูกน้องที่รักของลุงมาอยู่ด้วย ทำไมคุณลุงถึงไม่แก้แค้นคืน แต่กลับมาช่วยเหลือผมอีก?”

หลงคุนจ้องหน้าหลิงหยุนพร้อมกับยิ้มและตอบไปว่า

“หลิงหยุน.. ในเมื่อเธอให้เกียรติเรียกฉันว่าลุงหลง ฉันก็จะถือโอกาสเรียกเธอว่าหลานชายก็แล้วกันนะ..”

“หลานชาย.. ฟังให้ดีนะ! เธอไม่ได้ทำร้ายลูกน้องของฉัน เธอไม่ได้แย่งลูกน้องที่ฉันรักไป แต่แก๊งมังกรเขียวมันเป็นของเธอ!”

“ห๊ะ.. อะไรนะ?!” หลิงหยุนได้ฟังถึงกับตกใจ และแทบจะกระโจนลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที!

“ลุงหลง.. นี่ลุงล้อผมเล่นใช่ไม๊? ลุงบอกว่า.. แก๊งมังกรเขียว.. แก๊งมังกรเขียวเป็นของผม?” หลิงหยุนยังคงสงบบจิตสงบใจไม่ได้

แต่หลงคุนกลับสงบนิ่ง.. เขาส่งสายตาให้หลิงหยุนเป็นการบอกว่าให้ดื่มชาสงบจิตสงบใจก่อน จากนั้นจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง

“ใช่แล้ว.. แก๊งมังกรเขียวเป็นของเธอ! ไม่ว่าเธอจะยอมรับหรือไม่ยอมรับ แก๊งมังกรเขียวก็ยังเป็นของเธออยู่ดี!”

หลงคุนย้ำกับหลิงหยุนอีกครั้ง สมองของหลิงหยุนถึงกับว่างเปล่า และไม่สามารถคิดหาเหตุผลในเรื่องนี้ได้ จึงได้แต่ขมวดคิ้วเกาศรีษะพร้อมกับถามขึ้นว่า

“เพราะอะไร?!”

หลงคุนก่อตั้งแก๊งมังกรเขียวในเจียงหนานมานานมากกว่าสิบปี แต่ตอนนี้กลับมาบอกหลิงหยุนว่าแก๊งมังกรเขียวเป็นของเขา! ความรู้สึกของหลิงหยุนนั้นตกใจเกินกว่าที่จะสงบนิ่งอยู่ได้

แน่นอนว่า.. สำหรับหลิงหยุนในตอนนี้ อำนาจและอิทธิพลของแก๊งมังกรเขียวนั้น ไม่ได้มีความหมายในสายตาของเขาเลยแม้แต่น้อย แต่เขาก็อดที่จะประหลาดใจไม่ได้!

หลงคุนรินชาให้กับหลิงหยุนอีกครั้ง เขายิ้มพร้อมกับพูดกับหลิงหยุนว่า “ดูเหมือนว่าแม่ของเธอคงจะยังไม่ได้เล่าอะไรให้ฟังสินะ.. ถ้างั้นลุงจะเล่าให้เธอฟังเอง!”

หลิงหยุนคิดในใจว่า หากเรื่องราวเหล่านี้เกี่ยวข้องกับแม่ของเขานางฉินจิวยื่อแล้วล่ะก็ เขาเองก็พอจะเข้าใจได้ไม่ยาก

“เมื่อสิบเจ็ดปีที่แล้ว.. ฉันพาหลงหวู่หนีศัตรูที่ไล่ล่ามาที่เมืองจิงฉู แล้วก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส และแม่ของเธอเป็นผู้ที่ช่วยชีวิตของเราสองพ่อลูกไว้..”

“ในตอนนั้น.. ฉันมีแต่ตัวแล้วก็ต้องเลี้ยงหลงหวู่เพียงลำพัง จึงได้แต่บอกกับแม่ของเธอไปว่า เมื่อหลงหวู่โตขึ้น จะให้แต่งงานเป็นภรรยาของเธอเพื่อตอบแทนบุญคุณ..”

หลงคุนคิดว่าหลงหวู่คงจะอายเกินกว่าที่จะบอกเรื่องนี้กับหลิงหยุน เขาจึงเลือกที่จะเป็นฝ่ายบอกหลิงหยุนด้วยตัวเอง

หลงหวู่ร้องออกมาด้วยความเอียงอาย “ใครอยากจะแต่งงานกับนาย.. ทั้งหยิ่ง ทั้งจองหอง!”

หลิงหยุนได้ฟังถึงกับอึ้งไปทันที เขาหันไปมองหลงคุน จากนั้นก็หันไปมองหลงหวู่ที่กำลังนั่งเอียงอายอยู่ พร้อมกับพึมพำเบาๆ

“ยัยเด็กคนนี้นี่นะ?! ภรรยา? นี่มัน..”

‘นี่มันเรื่องอะไรกัน.. นี่ข้ามีเมียตั้งแต่เมื่อสิบเจ็ดปีที่แล้วหรือนี่!’

“พ่อคะ.. นี่พ่อพูดเรื่องอะไร น่าอายจะตายไป!”

หลงหวู่เห็นหลิงหยุนจ้องมองเธอ เธอก็อายจนไม่สามารถทนอยู่ต่อไปได้อีก จึงรีบลุกขึ้นถอนหายใจแล้วก็วิ่งหนีเข้าไปในบ้านทันที

หลงคุนไม่สนใจ เขาเพียงแค่หัวเราะและพูดกับหลิงหยุนต่อ “หลิงหยุน.. ลุงหลงมีลูกสาวเพียงแค่คนเดียว และสิบเจ็ดปีที่ผ่านมาลุงก็อบรมลูกสาวคนเดียวมาอย่างดี ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วใช่ไม๊ว่าเพราะอะไรแก๊งมังกรเขียวจึงเป็นของเธอ..”

ครั้งนี้หลิงหยุนไม่ได้นิ่งไปนานเหมือนเมื่อครู่ เขารีบตอบกลับไปว่าที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง..

และหากเขากับหลงหวู่แต่งงานกันจริง ไม่เพียงแค่แก๊งมังกรเขียวที่จะเป็นของเขา แต่ธุรกิจทั้งหมดของหลงคุนก็ต้องตกเป็นของเขาด้วยเช่นกัน และแน่นอนว่าหลิงหยุนไม่คิดที่จะชุบมือเปิบง่ายๆแบบนี้

“แต่.. แต่ตอนนั้นผมเองก็ยังเป็นเด็กไม่รู้เรื่องอะไร..”

แววตาของหลงคุนเป็นประกายด้วยความเจ้าเล่ห์ เขามองหลิงหยุนพร้อมกับตอบไปว่า “แม่ของเธอพยักหน้าตกลงแทนเธอไปแล้ว!”

แน่นอนว่าหลงคุนหลอกหลิงหยุน ตอนนั้นฉินจิวยื่อปฏิเสธข้อเสนอของเขา แต่ตอนนี้ฉินจิวยื่อไม่อยู่ เรื่องเมื่อสิบเจ็ดปีที่แล้วเขาจะพูดอย่างไรก็ย่อมได้

หลิงหยุนเป็นคนที่มีความสามารถที่เหนือมนุษย์เช่นนี้ หากเขาได้มาเป็นลูกเขย ก็จะเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างมาก หากไม่ได้หลิงหยุนมาเป็นลูกเขย คงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายแย่!

“เอ่อ.. ลุงหลงครับ! เรื่องนี้คงต้องรอจนกว่าแม่จะกลับมา จะได้ถามไถ่กันให้ชัดเจนว่าแม่คิดเห็นในเรื่องนี้ยังไง?”


บทที่ 438 : คุ้นเคย!

กลิ่นหอมของหลงหวู่โชยออกมา จากนั้นร่างของเธอก็วิ่งออกมาจากในบ้าน และตรงเข้าเกาะแขนของหลงคุนไว้พร้อมกับพูดขึ้นว่า

“พ่อคะ.. หนูก็ไม่อยากแต่งงานกับเขาเหมือนกัน หนูจะอยู่กับพ่อไปตลอดชีวิต!”

หลิงหยุนได้ฟังคำพูดของหลงหวู่ก็นึกขำ เขายิ้มเล็กน้อยระหว่างที่มองหลงหวู่ยืนหน้าแดงและเกาะแขนของพ่อเธอไว้แน่น แววตาของเธอเต็มไปด้วยความหยิ่งจองหอง

หลิงหยุนสูดดมกลิ่นหอมจากร่างกายของหลงหวู่เข้าไปเต็มที่ หญิงสาวที่มีเรือนร่างหอมเช่นนี้ก็เหมาะที่จะเป็นภรรยาของเขามาก

หลงหวู่เห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยชัยชนะของหลิงหยุนก็รู้สึกหงุดหงิดไม่น้อย เธอเขย่าแขนของหลงคุนพร้อมกับออดอ้อน

“พ่อคะ.. ลืมไปแล้วเหรอคะว่าเขาเป็นคนสั่งคนให้ตบหน้าหนู..”

หลงคุนมองลึกลงไปในดวงตาของหลิงหยุน ก่อนจะหัวเราะหึหึพร้อมกับตอบไปว่า “นี่เป็นเรื่องระหว่างเจ้าสองคนที่จะเป็นสามีภรรยากันในอนาคต พ่อคงเข้าไปยุ่งด้วยไม่ได้หรอก!”

หลงหวู่ได้ฟังคำตอบของหลงคุนก็ยิ่งอายมากขึ้น แต่ก็เพียงไม่นานเธอก็เดินตรงเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าหลิงหยุนพร้อมกับแบมือต่อหน้าเขา!

หลิงหยุนถึงกับงงและประหลาดใจจนต้องร้องถามออกไป “คุณทำอะไร?!”

หลงหวู่กระทืบเท้าก่อนจะค้อนให้หลิงหยุน “จะอะไรอีกล่ะ.. ก็ของหมั้นของฉันไง!”

หลิงหยุนเอามือถูจมูกตัวเองพร้อมกับมองหลงหวู่อย่างตกใจราวกับเห็นปีศาจ “เมื่อครู่คุณพูดเองไม่ใช่เหรอว่าจะไม่แต่งงานกับผม ถ้าไม่แต่งก็ไม่มีสิทธิ์มาเรียกร้องของหมั้นนะ?!”

หลงหวู่เชิดหน้าขาวๆขึ้นก่อนจะเถียงกลับไปว่า “จะแต่งหรือไม่แต่งก็อีกเรื่องหนึ่ง.. แต่ของหมั้นยังไงก็ต้องให้ เอามาเร็วเข้า!”

หลิงหยุนไม่ตอบ แต่กลับเหลือบตาไปมองก้นงอนๆของหลงหวู่แทน พร้อมกับคิดว่าก้นของหลหวู่นั้นน่าสัมผัสมากเลยทีเดียว เขาอยากจะลองเอามือตบก้นเธอดูสักครั้ง

“นี่.. นายมองอะไร?!” หลงหวู่เห็นสายตาของหลิงหยุนก็รีบส่งเสียงร้องพร้อมกับเอามือปิดก้นกลมกลึงของตัวเองไว้ทันที

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า “ก็ถ้าภรรยาไม่เชื่อฟังสามี ผมก็กำลังคิดว่าคงต้องใช้กฏภายในครอบครัวจัดการ..”

“นี่นาย.. ถ้านายกล้าตีก้นฉันอีก รับรองว่าฉันฆ่านายแน่!” หลงหวู่มองหลิงหยุนอายๆพร้อมกับกัดริมฝีปากแน่น

หลงคุนหัวเราะอย่างมีความสุข เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นอะไร สายตาก็มองไปที่ต้นไม้ใบหญ้าแล้วก็ภูเขา และดูเหมือนว่าเขาคงจะไม่ต้องทำอะไรแล้ว!

“อยากจะได้ของหมั้นจริงๆเหรอ?!” หลิงหยุนจ้องมองรูปร่างที่ยั่วยวนของหลงหวู่

หลงหวู่ทำเสียงไม่พอใจ “อยากได้สิ! มีแต่คนโง่เท่านั้นล่ะที่ไม่อยากได้ ขืนนายเก็บไว้กับตัว มีหวังสักวันก็คงต้องเอาไปให้จิ้งจอกสาวที่ใหนสักตัวแน่!”

หลิงหยุนมองหลงหวู่อย่างกระอักระอ่วนพร้อมกับคิดในใจว่า เธอช่างคาดเดาได้แม่นยำนัก! เพราะตอนนี้เขาได้ให้ไข่มุกราตรีกับเสี่ยวเม่ยหนิงไปถึงสิบแปดเม็ด แล้วก็เพิ่งให้กงเสี่ยวลู่ไปหนึ่งเม็ด และจะเก็บไว้เซอร์ไพส์เหยาลู่อีกหนึ่งเม็ด..

“ถ้าผมให้ของหมั้นไปแล้ว คุณต้องรับปากว่าจะแต่งงานกับผมนะ ผมถึงจะยอมให้!” หลิงหยุนจงใจหยอกล้อหลงหวู่

แต่หลงหวู่กลับไม่หลงกล “ถ้านายอยากให้ฉันแต่งงานกับนาย นายก็ต้องทำให้ฉันชอบนายให้ได้ก่อน ไม่อย่างนั้น.. ก็อย่ามาพูดเรื่องแต่งงานกับฉัน แต่ของหมั้นนั่น.. ยังไงๆนายก็ต้องมอบให้ฉัน!”

และเป็นที่แน่ชัดว่าหลงหวู่ขูดรีดหลิงหยุนได้สำเร็จ หลิงหยุนไม่สามารถโต้เถียงได้จึงยอมเรียกไข่มุกราตรีสองเม็ดออกมาจากแหวนพื้นที่ จากนั้นก็แบมือออกพร้อมกับพูดว่า

“ไข่มุกราตรีสองเม็ดของคุณ.. พอใจหรือยัง?”

ไข่มุกราตรีสองเม็ดนั้น หลงหวู่ได้เห็นครั้งแรกที่หมู่บ้านหลินเจียง และทันทีที่ได้เห็นหลิงหยุนหยิบออกมาอีกครั้ง ใบหน้าสวยงามของเธอก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม และดวงตาก็เป็นประกาย

“เหมือนกับที่เห็นวันนั้นเลย..” หลงหวู่หยิบไข่มุกราตรีสองเม็ดจากมือของหลิงหยุนมาไว้บนฝ่ามือของตนเอง

แสงแดดยามบ่ายส่องกระทบไข่มุกราตรีสองเม็ดจนเป็นประกายระยิบระยับ ประกายแสงสวยงามส่องกระทบใบหน้าแสนสวยของหลงหวู่

“พ่อคะ.. หนูให้พ่อค่ะ..” หลงหวู่เหลือบมองหลิงหยุนด้วยใบหน้าแดงก่ำ ก่อนจะหันไปบอกหลงคุน

หลงคุนมองหน้าลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของตนเอง แล้วจึงหันไปพยักหน้าให้กับหลิงหยุนก่อนจะพูดขึ้นว่า

“หลงหวู่.. หลิงหยุนให้ลูกเป็นของหมั้น ลูกก็ต้องเก็บไว้เองสิ จะเอามาให้พ่อทำไมกัน?”

“ก็ได้ค่ะ..”

หลงหวู่พยักหน้าและตอบอย่างเอียงอาย จากนั้นก็หันไปมองหลิงหยุนครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดกับเขาว่า

“ฉันยังไม่รับปากจะแต่งงานกับนาย ต้องรอดูพฤติกรรมของนายซะก่อน..”

หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า.. ‘ถ้าเจ้าไม่ต้องการจะแต่งงานกับข้า เหตุใดจึงไปเรียนที่โรงเรียนมัธยมจิงฉูอีก ซ้ำยังมานั่งข้างๆข้าด้วย?’

หลิงหยุนหัวเราะอย่างมีความสุข “แล้วคุณจะดูพฤติกรรมของผมยังไง?”

หลงหวู่ตอบกลับไปว่า “นายห้ามรังแกฉันอีก ห้ามทำให้ฉันหงุดหงิด แล้วก็ห้ามแอบไปมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนอื่น!”

หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า.. ‘ข้าไม่รังแกเจ้าก็ได้.. แต่ยังไงคืนนี้ข้าก็ต้องกลับไปหาหลินเมิ่งหาน นี่ขนาดยังไม่แต่งงานกัน เจ้ายังห้ามปรามข้ามากมาย!’

หลิงหยุนไม่รับปากและได้แต่ตอบกลับไปยิ้มๆ “ผมว่าคุณอย่างกังวลให้มากมายจะดีกว่า ผมเองก็ต้องดูพฤติกรรมของคุณเหมือนกัน ถ้าคุณทำตัวไม่ดี ผมก็จะยกเลิกการแต่งงาน แล้วก็ยึดของหมั้นกลับคืน..”

หลงหวู่ทั้งโกรธและอาย แต่ก็โต้ตอบกลับไปทันที “นายกล้าเหรอ?!”

แต่เมื่อร้องตะโกนออกไปแล้ว เธอก็ถามเสียงเบา “แล้ว.. แล้วนายจะดูพฤติกรรมของฉันยังไง?”

หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า หลงหวู่นั้นดูเหมือนจะจองหอง ถือดี แล้วก็ร้ายกว่าเด็กสาวตัวแสบอย่างเสี่ยวเม่ยหนิงมากนัก

หลิงหยุนมองหน้าที่ใสไร้เครื่องสำอางของหลงหวู่แล้วตอบกลับเสียงเรียบ “มีสองเรื่อง.. เรื่องแรก – ห้ามคุณแต่งหน้าแต่งตาอีกเด็ดขาด คุณมีใบหน้าที่สวยงามอยู่แล้ว  ทำไมจะต้องเอาอะไรไปเขียนมากมาย ดูแล้วยังกับผี แล้วก็ตลกสิ้นดี ห้ามแม้แต่จะคิดล่ะ!”

“ส่วนเรื่องที่สอง.. ต่อไปห้ามนุ่งน้อยห่มน้อยอีก!”

หลังจากที่ได้ฟังข้อแรก หลงหวู่ก็ต้องการจะอ้าปากเถียง แต่เมื่อได้ฟังข้อที่สองหลงหวู่ก็ถึงกับเขินอาย แต่ก็ยังเถียงกลับไป

“ฉันจะแต่งหน้า แล้วก็แต่งตัวโป๊ๆ มีอะไรไม๊? ฉันไม่สนใจนายหรอก!”

แต่ทันทีที่หลงหวู่พูดจบ เธอก็เห็นสายตาของหลิงหยุนที่กำลังเหลือบมองไข่มุกในมือของเธอ เธอจึงรีบกำไว้แน่นพร้อมกับวิ่งหนีเข้าไปในบ้านทันที

หลงคุนกำลังฟังว่าที่คู่สามีภรรยาทะเลาะกัน แต่ก็ไม่เข้าข้างใครจนกระทั่งหลงหวู่วิ่งเข้าไปในบ้าน เขาจึงได้แต่หัวเราะพร้อมกับถอนหายใจออกมา

“เฮ้อ.. เจ้าลูกสาวคนนี้! ฉันคงจะตามใจมาตั้งแต่เด็ก ยังไงวันข้างหน้าหลานชายก็อย่าได้ถือสาลูกสาวของฉันมากนัก แต่สบายใจได้.. หลงหวู่โตมาในประเทศนี้ถึงหกปี อีกทั้งยังเรียนจบปริญญาโทด้านกฏหมายจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ความจริงแล้วเธอเป็นคนที่มีเหตุมีผล และเข้าใจอะไรได้ดี!”

หลิงหยุนเองก็รู้ดีว่าหลงหวู่นั้นเป็นคนที่ค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่เกินตัว และเป็นคนที่มีจิตใจเข้มแข็ง เป็นคนที่ไม่พึ่งพาใคร และกล้าแสดงออก ทำให้เธอมีอุปนิสัยที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร ซึ่งหลิงหยุนเองก็ชื่นชอบมาก

หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยแล้วจึงตอบหลงคุนไปว่า “ผมทราบครับลุงหลง!”

หลงคุนพยักหน้า เขากระแอมเบาๆก่อนจะพูดธุระกับหลิงหยุนต่อ “หลานชาย.. สองสามวันมานี้วงราชการในเมืองจิงฉูก็สั่นคลอนอย่างมาก ดูเหมือนหลัวจ้งเองก็คงใกล้จะพบจุดจบในอีกไม่นาน เธอคิดจะทำยังไงต่อไป?”

หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบไปว่า “ลุงหลง.. ยังไงผมก็ยังเป็นเพียงแค่เด็กนักเรียนมัธยม เรื่องสำคัญที่สุดก็คือการสอบเข้ามหาวิทยาลัยหยานจิงให้ได้ เพราะผมได้รับปากแม่ไว้แล้ว!”

หลงคุนพยักหน้าอย่างเข้าใจพร้อมกับถามต่อว่า “แล้วแก๊งมังกรเขียวล่ะ..?”

หลิงหยุนได้คิดเรื่องนี้ไว้แล้ว เขาจึงตอบกลับไปว่า “ลุงหลง.. ลุงก่อตั้งแก๊งมังกรเขียวมาด้วยความเหนื่อยยาก ลุงตั้งใจจะยกให้ผมจริงๆงั้นหรือ?”

หลงคุนหัวเราะ “หลานชาย.. ลุงรู้ดีว่าเธอนั้นทั้งเก่งแล้วก็แข็งแกร่ง ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาแก๊งมังกรเขียวด้วยซ้ำไป แต่แก๊งมังกรเขียวก็นับว่ามีอำนาจและอิทธิพลอย่างมากในมณฑลเจียงหนาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองจิงฉู ในวันข้างหน้าหากเธอคิดทำการใหญ่ เป็นไปไม่ได้ที่จะทำด้วยตัวเองเพียงคนเดียว ช้าเร็วก็ต้องมีลูกน้องอยู่ดี..”

“ตอนนี้ลุงหลงก็แก่มากแล้ว ดูแลตัวเองยังลำบากเลย อีกอย่างตอนนี้ลูกน้องในแก๊งก็ล้วนมีแต่เด็กวัยรุ่นอายุราวยี่สิบปีทั้งนั้น คงไม่เหมาะกับคนรุ่นฉันที่จะไปดูแลแล้วล่ะ เธอก็สามารถเข้ามารับช่วงต่อจากฉันได้เลย หรือจะรอไปอีกสักพักก็ได้ เมื่อเธอรับช่วงไปแล้วฉันก็จะได้วางมือเสียที..”

หลิงหยุนได้ฟังหลงคุนพูดก็รู้แล้วว่าเขาได้วางแผนที่จะเกษียณตัวเองไว้แล้ว หลิงหยุนจึงตอบกลับไปยิ้มๆ

“ลุงหลง.. ความจริงแล้วผมก็เพิ่งจะก่อตั้งแก๊งของตัวเองขึ้นมาเมื่อวานนี้ ใช้ชื่อว่า – ไฉเจี๋วย และลูกน้องชุดแรกก็คือเตาฉีและลูกน้องของเขาที่อยู่บนถนนหลินเจียง และผมได้ให้ตี้เสี่ยวอู๋เป็นคนดูแลเรื่องพวกนี้..”

หลงคุนหัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า “อ่อ.. เตาฉีเองก็ส่งส่วยให้กับแก๊งมังกรเขียวทุกๆเดือน ฉันว่าเขาก็เก่งไม่เบาเลยทีเดียว แต่เธอก็ยังสามารถจัดการกับเขาและพรรคพวกได้!”

“ไฉเจี๋วย.. ชื่อนี้ไม่เลวเลย! ความจริงแล้วฉันเองก็เอาตี้เสี่ยวอู๋มาฝึกอยู่สองปี  เขาสร้างชื่อจนตัวเองเป็นที่รู้จักของคนในแก๊งมังกรเขียว หรือหลานชายจะให้ตี้เสี่ยวอู๋มาหาฉัน แล้วก็ให้เขาดูแลแก๊งมังกรเขียวไปพลางๆก่อน หลานชายมีความเห็นยังไง?”

หลิงหยุนเองก็คิดเช่นนั้น เขาเองไม่ต้องการที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับแก๊งพวกนี้ แต่ที่ยอมรับแก๊งมังกรเขียวไว้เพราะหากวันข้างหน้าหากเขาต้องการทำอะไร ก็จะได้สามารถเรียกคนของแก๊งมังกรเขียวมาใช้งานได้ และจะได้ไม่ต้องไปรบกวนคนอื่น หลิงหยุนถอนหายใจพร้อมกับพยักหน้าตอบไปว่า

“ดีครับ..”

แล้วหลงคุนก็พูดต่อ  “แล้วเอกสารสำคัญของแก๊งมังกรเขียวสองอย่างล่ะ หลานชายจะเก็บไว้เอง หรือจะให้ตี้เสี่ยวอู๋เป็นผู้เก็บ..”

หลิงหยุนรู้ดีว่าหลงคุนคงจะกังวลในตัวตี้เสี่ยวอู่ เขาจึงตอบอย่างมั่นใจว่า “ “ลุงหลง.. ถ้าเก็บไว้กับตี้เสี่ยวอู๋ผมจะสบายใจมาก”

หลิงหยุนพูดเพียงเท่านี้ หลงคุนก็เข้าใจได้ทันที เขาจึงได้แต่หัวเราะ “ดูเหมือนว่าลุงหลงคงจะกังวลมากเกินไป ถ้างั้นฉันก็จะมอบให้กับตี้เสี่ยวอู๋เป็นคนเก็บไว้ก็แล้วกัน!”

“ลุงหลง.. อย่าได้กังวลใจไปเลยครับ รับรองว่าไม่มีปัญหาอะไรอย่างแน่นอน”

ระหว่างที่ทั้งคู่นั่งคุยกันเรื่องนี้อยู่ จู่ๆหลงคุนก็เหลือบมองเข้าไปในห้องนั่งเล่นภายในบ้าน จากนั้นก็หรี่เสียงของตัวเองและกระซิบกับหลิงหยุน

“หลานชาย.. ผู้ชายยิ่งเก่ง ก็ยิ่งมีสตรีรายล้อม การมีหญิงสาวที่รู้ใจหลายคนจึงเป็นเรื่องปกติ หลงหวู่เป็นคนปากไม่ตรงกับใจ แต่เป็นคนใจกว้าง และเข้าใจเรื่องพวกนี้ได้ดี หลานชายอาจจะยังไม่เข้าใจนิสัยของลูกสาวฉัน แล้วก็อย่าไปฟังที่เธอพูดมากนัก..”

หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า คนสูงอายุแต่มีเหตุมีผลเช่นหลงคุนนั้นหาได้ยากนัก เขาจึงตอบหลงคุนไปตามตรง

“ลุงหลง.. สยายใจได้ ผมคุ้นเคยกับนิสัยของหลงหวู่ดี!”


บทที่ 439 : มันจบแล้ว!

“ลุงหลงครับ.. ผมเพิ่งสั่งให้ตี้เสี่ยวอู๋ไปจัดการถล่มบริษัทชิงหยุนโปรดักชั่นมา..”

หลิงหยุนและหลงคุนนั่งคุยกันอยู่ต่ออีกครู่หนึ่ง และจู่ๆหลิงหยุนก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา เพื่อต้องการฟังความเห็นจากหลงคุนซึ่งเป็นหัวหน้าแก๊งมังเขียว และเป็นผู้ที่คร่ำหวดอยู่ในวงการนักเลงมานาน

หลงคุนเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย “งั้นรึ! บริษัทนี้เพิ่งจะมาเปิดในเมืองจิงฉูได้เพียงแค่สองสามปี และดูเหมือนจะเป็นอันตรายกับเด็กสาวๆในระดับมหาวิทยาลัยอย่างมาก พวกมันหากินด้วยการบังคับเด็กสาวๆให้ขายบริการ พังทิ้งก็ดีแล้วนี่!”

หลิงหยุนพยักหน้าและถามต่อว่า “แล้วเถียนป๋อเตากับกู่เหลียนซัน.. ผมควรจัดการกับพวกมันสองคนยังไงดี?”

หลงคุนตอบกลับไปยิ้มๆ “พูดตามตรงนะ.. สองคนนั่นไม่มีประโยชน์อะไรกับเธอเลย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเถียนป๋อเตา ตอนนี้ก็เหลือแต่ตัวแล้ว! ส่วนกู่เหลียนซันนั้น คงจะมีประโยชน์กับหลานชายในการใช้รีดเงินจากกู่เหลียนซันได้บ้าง..”

หลิงหยุนเองก็กำลังคิดจะทำเช่นนั้นอยู่พอดี แต่หลงคุนก็ชิงพูดขึ้นก่อนว่า “แต่ในความคิดของฉัน น่าจะส่งสองคนนี้ให้กับถังเทียนห่าวกับหลี่ยี่เฟิงเป็นผู้จัดการ เพราะสองคนนั้นรอคอยวันที่จะจัดการถอนรากถอนโคนหลัวจ้งมานานแล้ว หากทั้งคู่ได้ตัวเถียนป๋อเตากับกู่เหลียนซันไปก็คงจะเป็นประโยชน์กับพวกเขามาก..”

หลิงหยุนขมวดคิ้วเล็กน้อย “แต่ลุงถังกับลุงหลี่ยังอยู่ระหว่างโดนตั้งคณะกรรมการสอบวินัยอยู่ไม่ใช่เหรอครับ?”

หลงคุนยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า “หลานชายอาจจะยังไม่เข้าใจระบบภายในของทางราชการเท่าไหร่ เปรียบเทียบแล้วหลี่ยี่เฟิงก็ไม่ต่างจากเจ้าเมืองจิงฉู ส่วนพ่อของถังเทียนห่าวก็เป็นถึงนายพลเก่า แต่ต้องบอกว่าที่พวกเขาต้องโชคร้ายนั้นก็เพราะเรื่องของเธอ ไม่อย่างนั้นก็ยากที่ใครจะทำอะไรพวกเขาทั้งสองคนได้..”

“และตัวแปรที่สำคัญที่สุดของเรื่องนี้ก็คือตระกูลซัน ซันเทียนเปียวจงใจมาสร้างความปั่นป่วนให้กับเมืองจิงฉู แล้วก็จงใจให้สองคนนั้นถูกปลดเพื่อไม่ให้ใครปกป้องเธอได้อีก ตอนนี้หลานชายได้จัดการซันเทียนเปียวไปแล้ว ตระกูลซันที่เป็นเหมือนภูเขาลูกใหญ่ที่กีดขวางสองคนนี้ก็ได้ถูกยกออกแล้ว และตอนนี้ทุกอย่างก็กำลังจะเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล!”

“ถ้าฉันเดาไม่ผิด.. วันนี้คงต้องมีข่าวอะไรแน่!”

ระหว่างที่หลงคุนพูดอยู่นั้น ดวงตาของเขาก็เป็นประกายและแย้มยิ้มออกมาคล้ายกับว่าได้รับข่าวอะไรบางอย่างมาแล้ว

และยังไม่ทันไร เสียงโทรศัพท์มือถือของหลิงหยุนก็ดังขึ้น เขาหยิบโทรศัพท์ออกมาดูก็พบบว่าเป็นถังเมิ่งที่โทรเข้ามา

หลิงหยุนรีบกดรับสายทันที และได้ยินเสียงที่ตื่นเต้นของถังเมิ่งดังมาจากปลายสาย “พี่หยุน.. สำเร็จแล้ว! มันโคตรเจ๋งเลย ฮ่า..ฮ่า..”

หลิงหยุนถามยิ้มๆ “เกิดอะไรขึ้น.. นี่นายดีใจเรื่องอะไรกัน?”

ถังเมิ่งหัวเราะอย่างมีความสุขแล้วพูดต่อว่า “พี่หยุน.. มีข่าวดีสองเรื่อง! เรื่องแรก – คณะกรรมการที่ทำการสอบสวนลุงหลี่ถูกเรียกกลับไปวันนี้โดยไม่รู้สาเหตุ เรื่องที่สอง – พ่อของฉันพ้นข้อกล่าวหาแล้วนะ แล้วก็ได้กลับมาเป็นหัวหน้าสำนักงานรักษาความมั่นคงแล้วด้วย!”

หลิงหยุนเงยหน้าขึ้นมองหลงคุนด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ พร้อมกับคิดในใจว่าขิงยิ่งแก่ก็ยิ่งเผ็ดจริงๆ  เขาจึงรีบถามถังเมิ่งกลับไปว่า

“แล้วหลัวจ้งล่ะ?”

ถังเมิ่งหัวเราะเสียงดังอย่างมีความสุขแล้วเล่าให้หลิงหยุนว่า “หลัวจ้งน่ะเหรอ? ตอนนี้กรรมสนองมันแล้ว มันก็โดนควบคุมตัวไว้ชั่วคราวเหมือนที่พ่อฉันโดนนั่นล่ะ แล้วก็กำลังถูกตั้งกรรมการสอบสวน ตอนนี้มันไม่เหลืออะไรแล้ว!”

หลิงหยุนได้แต่คิดว่าเหตุใดทุกอย่างถึงได้พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้?! แต่เขาก็ไม่ได้แสดงปฏิกิริยาอะไรออกไป และถามถังเมิ่งต่อว่า

“แล้วตอนนี้พวกเราควรทำยังไงต่อ?”

ถังเมิ่งตอบกลับในทันที “ไม่ต้องทำอะไรพี่หยุน.. พ่อเพิ่งจะโทรสั่งฉันให้มาบอกให้พี่ช่วยส่งตัวเถียนป๋อเตากับกู่เหลียนซันให้เขาด้วย!”

และนั่นยิ่งทำให้หลิงหยุนทึ่งอย่างมาก เขาบอกทางมาบ้านของหลงคุนให้ถังเมิ่งรู้เพื่อให้ขับรถมาหาเขาที่นี่ แล้วจึงวางสายไป

หลิงหยุนพุ่งไปหาหลงคุนพร้อมกับพูดออกมาด้วยความตื่นเต้น “ลุงหลง.. ไม่น่าเชื่อว่าลุงหลี่กับลุงถังถูกปล่อยตัวแล้ว!”

หลงคุนได้ยินเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ที่หลิงหยุนคุยโทรศัพท์แล้ว เขาจึงได้แต่หัวเราะ “เรื่องในระบบราชการ.. บทจะช้าก็ช้าจนคนรอตายกันไปข้าง แต่บทจะเร็วก็เปลี่ยนแปลงเพียงแค่ชั่วข้ามคืน”

จากนั้นหลงคุนก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา และโทรสั่งเพียงสองประโยคแล้วจึงรีบวางสายไป

“เอาล่ะ.. ฉันจัดการสั่งลูกน้องเรียบร้อยแล้ว! ถ้าถังเมิ่งมาถึงหลานชายก็ให้เขาไปรับสองคนนั่นไปที่สถานีตำรวจได้เลย ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของทางการไป ครั้งนี้นับว่าเป็นจุดจบของหลัวจ้งแล้ว!”

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับพยักหน้า เรื่องใหญ่ๆในสมองของเขาได้ผ่านพ้นไปอีกหนึ่งเรื่องแล้ว

เพียงแค่ยี่สิบนาทีถังเมิ่งก็ขับรถมาถึง หลังจากที่เขาเดินเข้าไปในบ้าน ก็รีบเอ่ยทักทายหลงคุนด้วยความเคารพนบนอบพร้อมกับเล่ารายละเอียดต่างๆให้กับหลงคุนฟัง

หลังจากได้ฟังรายละเอียดทั้งหมดแล้ว หลงคุนก็ไม่ได้ออกความเห็นใดๆ เขาเพียงแค่ให้ที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์พร้อมกับบอกว่ากู่หลียนซันและเถียนป๋อเตาถูกคุมตัวอยู่ที่นั่น ซึ่งก็ไม่ห่างจากที่นี่มากนัก

หลงหวู่เดินออกมาจากบ้านพอดี เมื่อเห็นว่าหลิงหยุนกำลังจะกลับ ในใจก็รู้สึกผิดหวัง และต้องการจะไปกับหลิงหยุนด้วย แต่หลงคุนห้ามไว้เสียก่อน

หลังจากที่หลิงหยุนกับถังเมิ่งออกไป หลงคุนก็ได้ตำหนิลูกสาวของตนเอง “ลูกพ่อ.. ที่พ่อบอกไว้ ลูกลืมหมดแล้วหรือยังไง?”

“หลิงหยุนเป็นคนที่มีพรสวรรค์สูงมาก เมืองจิงฉูเล็กๆแห่งนี้ไม่สามารถยึดเขาไว้ได้ ถ้าลูกไม่ต้องการอยู่ที่นี่คนเดียว ก็ทำในสิ่งที่ควรทำ แล้วหลิงหยุนจะมองเห็นลูกอยู่ในสายตาเอง!”

…….

รถแลนด์โรเวอร์และรถฮัมเมอร์มุ่งหน้าไปยังอาคารแห่งหนึ่งในเมืองจิงฉูซึ่งเป็นสถานที่กักตัวกู่เหลียนซันและเถียนป๋อเตา โดยมีคนของแก๊งมังกรเขียวคอยดูแลอยู่

ระหว่างทางถังเมิ่งก็ได้โทรหาถังเทียนห่าวขอให้เขาช่วยส่งคนมานำตัวสองคนนี้กลับไปด้วย ดังนั้นเมื่อทั้งคู่ไปถึงจึงได้พบกับกังหลิวหย่งซึ่งคอยอยู่ที่นั่นแล้ว

หลิงหยุนและถังเมิ่งลงจากรถพร้อมกับทักทายกังหลิวหย่งสองสามคำ แม้ว่ากังหลิวหย่งจะลืมหลิงหยุนไปแล้ว แต่เขาก็สุภาพกับหลิงหยุนมากเพราะถังเทียนห่าวกำชับมา

สมาชิกของแก๊งมังกรเขียวนำตัวเถียนป๋อเตาและกู่เหลียนซันที่หมดเรียวหมดแรงไปส่งให้กับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจถึงที่รถ

คนของแก๊งมังกรเขียวกับตำรวจนั้นเรียกได้ว่าอยู่กันคนละฝ่าย พวกเขาต่างก็มาทำงานให้กับหลิงหยุน และเมื่อหลิงหยุนเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วจึงได้สั่งให้พวกเขากลับไปได้

หลิงหยุนบอกกับกังหลิวหย่งว่า เขามีบันทึกคำสารภาพของสองคนนี้อยู่ที่เหลียงเฟิงอี้ ถ้าต้องการเขาจะจัดการส่งให้

กังหลิวหย่งพยักหน้ารับรู้ และขอตัวหลิงหยุนกับถังเมิ่งกลับไปที่สถานีตำรวจทันที

หลังจากที่คนของแก๊งมังกรเขียวและตำรวจต่างก็กลับไปแล้ว หลิงหยุนก็โทรเรียกตี้เสี่ยวอู๋ให้ไปที่บ้านของหลงคุน และทุกอย่างหลงคุนจะเป็นผู้แจ้งแก่ตี้เสี่ยวอู๋เอง

หลังจากที่หายตื่นเต้น ถังเมิ่งก็ถามหลิงหยุนว่าจะทำอย่างไรต่อไป..

หลิงหยุนตอบกลับไปยิ้มๆ “นายบอกฉันเองไม่ใช่เหรอว่าครั้งนี้หลัวจ้งไม่รอดแน่?”

ถังเมิ่งหัวเราะ “พี่หยุน.. พี่สบายใจได้! ลุงหลี่กับพ่อของฉันคอยวันนี้มานานแล้ว พวกเขาเพิ่งพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ไป ครั้งนี้ทั้งสองคนไม่มีทางปล่อยให้โอกาสหลุดมือไปแน่ มีหรือจะยอมปล่อยหลัวจ้งให้รอด!?”

หลิงหยุนถามต่อว่า “แล้วตระกูลเสียล่ะ? จัดการให้สิ้นซากไปพร้อมกันเลยจะได้ไม๊?”

ถังเมิ่งเกาศรีษะพร้อมกับพูดขึ้นว่า “มันไม่ง่ายขนาดนั้นน่ะสิ! เพราะยังไงหลัวจ้งก็ไม่มีทางซัดทอดเสียเจิ้นติงแน่ แต่เสียเจิ้นเหยินทำร้ายฉันบาดเจ็บสาหัสขนาดนั้น พ่อยังเก็บความแค้นไว้ในใจ และคงไม่ปล่อยให้ตระกูลเสียได้อยู่อย่างสงบแน่!”

หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อย “แล้วพบตัวเสียเจิ้นเหยินกับกู่หยุนฟะหรือยัง?”

ถังเมิ่งส่ายหน้าอย่างหงุดหงิดและผิดหวัง “ฉันถามเพื่อนๆเกี่ยวกับข่าวคราวของพวกมันสองคน แต่ก็ไม่มีใครรู้ข่าวเลย ดูเหมือนทางครอบครัวของพวกมันสองคนจะช่วยกันซ่อนและปกปิดไว้อย่างดี ไม่แน่ว่าพวกมันสองคนอาจจะไม่ได้อยู่ในจิงฉูแล้วก็ได้!”

หลิงหยุนตบบ่าถังเมิ่งเป็นการปลอบบใจ “นายไม่ต้องห่วงเรื่องนี้.. ฉันเชื่อว่ายังไงพวกเราก็ต้องหาพวกมันสองคนพบ พวกมันไม่มีทางหลบซ่อนไปได้ตลอดหรอก!”

“แล้วนี่นายโทรหาเหลายู่หรือยัง?” หลิงหยุนรู้สึกผิดต่อเหยาลู่และต้องการที่จะชดเชยให้กับเธอ

ถังเมิ่งส่ายหน้า “โทรแล้ว.. แต่เธอบอกว่าไม่ต้องการให้ฉันไปด้วย เธอแค่จะไปดูๆก่อน”

หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ “ก็ดี.. แต่นายก็ควรจะช่วยเธอดูๆด้วย แล้วถ้าเจอบ้านดีๆที่อยู่ไม่ไกลจากคลีนิกนักก็ให้รีบมาบอกฉันเลย”

ถังเมิ่งทำหน้าคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ก่อนจะยิ้มเจื่อนๆแล้วพูดขึ้นว่า “พี่หยุน.. เมื่อบ่ายนี้พี่ให้ตี้เสี่ยวอู๋ไปถล่มบริษัทชิงหยุนมาแล้วเหรอ? ตี้เสี่ยวอู๋บอกฉันว่าเขาไปจัดการถล่มที่นั่นจนราบไปแล้ว..”

หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับปลอบไปว่า “ถังเมิ่งนายไม่ต้องเสียดายหรอก ตอนนี้พวกเรามีเงิน เปิดบริษัททำภาพยนตร์และทีวีไม่ใช่เรื่องยากนี่..”

พูดจบหลิงหยุนก็ถามเวลาถังเมิ่ง และเมื่อรู้ว่าโรงเรียนใกล้จะเลิกแล้ว จึงรีบขับรถกลับไปที่โรงเรียนทันที เขาต้องรีบไปรับหนิงหลิงยู่กลับไปที่บ้านเลขที่-9 ในอ่าวจิงฉู

ความจริงแล้ว.. คืนนี้จะต้องมีการทบทวนด้วยตัวเองในภาคค่ำ แต่หลิงหยุนไม่ต้องการให้น้องสาวของเขาอยู่ เพราะด้วยศักยภาพในการเรียนของหนิงหลิงยู่นั้น เรียกได้ว่าไม่ต้องมาโรงเรียนก็ยังได้

ในเวลาแบบนี้.. สู้ให้หนิงหลิงยู่ไปอยู่กับฉินตงเฉี่วยให้มากจะดีกว่า เพราะดูเหมือนจะได้ประโยชน์มากกว่า

………..

เสียงกริ่งเลิกเรียนดังขึ้น..

ระหว่างที่รอหลิงหยุนมารับนั้น หนิงหลิงยู่ยังคงนั่งทบทวนหนังสืออยู่เงียบๆ

เฉิงเมี่ยนที่นั่งอยู่ที่โต๊ะของตัวเองนั้น ก็ผลุดขึ้นผลุดลงอยู่หลายครั้งเพราะต้องการจะเดินไปหาหนิงหลิงยู่เพื่อขอโทษ แต่ก็ไม่กล้า..

ใบหน้าของเฉิงเมี่ยนเป็นสีแดง เธอจ้องมองหน้าสวยชวนฝันของหนิงหลิงยู่พร้อมกับส่งเสียงเชียร์ตัวเองอีกครั้ง

‘เมียน.. ถ้าเธออยากให้หลิงหยุนยอมรับ ก็ต้องผ่านด่านหนิงหลิงยู่ไปให้ได้ก่อน ยังไงเธอก็ต้องให้อภัยแน่นอน!’

เฉิงเมี่ยนย้ำประโยคนี้ในใจกับตัวเองนับครั้งไม่ถ้วน!

ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจลุกขึ้นกัดริมฝีปากแน่นพร้อมกับเดินเข้าไปหาหนิงหลิงยู่ แล้วพูดขึ้นด้วยใบหน้าที่แดงว่า

“หนิงหลิงยู่.. ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ!”


บทที่ 440 : พ่อครัวจำเป็น!

หนิงหลิงยู่พยักหน้าและมองเฉิงเมี่ยนด้วยสายตาอ่อนโยน แววตาสดใสและขนตางอนยาวกระพริบถี่ๆนั้น จับจ้องอยู่ที่ใบหน้าแดงก่ำของเฉิงเมี่ยน

 “ได้สิ!”

หนิงหลิงยู่ลุกขึ้นยืนแล้วพูดกับเฉิงเมี่ยนว่า “แต่ในห้องคนมีคนอยู่เต็มไปหมด พวกเราออกไปคุยกันข้างนอกดีกว่า..”

นักเรียนในห้องต่างก็มองภาพตรงหน้าด้วยความตกใจ เฉิงเมี่ยนผู้หยิ่งยะโสกลับเป็นคนเดินเข้าไปคุยกับหนิงหลิงยู่ก่อน ทุกคนต่างพากันจ้องมองภาพที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อนนี้อย่างตกตะลึง!

หนิงหลิงยู่และเฉิงเมี่ยนเดินออกไปยืนอยู่ที่ราวระเบียงนอกห้อง จากนั้นหนิงหลิงยู่ก็เอ่ยขึ้นว่า

“มีอะไรก็พูดมาได้เลย!”

ตอนนี้หน้าของเฉิงเมี่ยนแดงก่ำไปจนถึงใบหู เธอกัดริมฝีปากแน่นอยู่เป็นเวลานาน ก่อนจะก้มหน้าลงพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“หลิงยู่.. ฉัน.. ฉันเคยทำไม่ดีกับเธอไว้มาก ตอนนี้ฉันสำนึกผิดแล้ว ก็เลยอยากจะมาขอโทษ และขอให้เธอยกโทษให้ด้วยจะได้ไม๊? ฉัน..”

สำหรับเฉิงเมี่ยน.. การจะพูดคำเหล่านี้ออกมาจากปากได้นั้น นับว่าเป็นความลำบากยากเย็นอย่างยิ่ง หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เธอถึงกับต้องบังคับตัวเองอย่างมากเพื่อให้พูดออกมาจนจบประโยค จากนั้นก็เอาแต่ก้มหน้า และไม่กล้ามองตาหนิงหลิงยู่อีกเลย..

เฉิงเมี่ยนคิดไม่ถึงว่า หนิงหลิงยู่จะยิ้มให้กับเธอพร้อมตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบ

“เธอบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับฉัน.. ที่แท้ก็เป็นเรื่องนี้เองเหรอ?”

เฉิงเมี่ยนอับอายมาก จึงได้แต่พยักหน้าและไม่กล้าพูดอะไรอีก..

หนิงหลิงยู่จึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พี่สาวของเธอมาก็อยู่ที่บ้านของฉันสองวัน เธอเป็นคนน่ารักมากเลย แล้วก็เข้ากับฉันได้ดีด้วย”

เฉิงเม่ยเฟิงไปอยู่บ้านหลิงหยุนอย่างนั้นหรือ.. นี่เป็นครั้งแรกที่เฉิงเมี่ยนรู้เรื่องนี้ เธอจึงประหลาดใจไม่น้อย!

เฉิงเมี่ยนอึ้งไปครู่หนึ่ง “พี่สาวของฉันเหรอ? นี่พี่สาวของฉันไปอยู่ที่บ้านเธอสองวันงั้นเหรอ?”

หนิงหลิงยู่พยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับตอบไปว่า “ก็ใช่น่ะสิ.. มาตอนวันหยุดเชงเม้งวันสุดท้ายช่วงบ่ายๆ ตอนนั้นพี่สาวของเธอยังมาช่วยงานที่บ้านเลย แต่พอรู้ข่าวว่าที่บ้านของเธอเกิดเรื่องก็รีบกลับไปทันที..”

เฉิงเมี่ยนพึมพำ “ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง แต่ทำไมพี่ใหญ่ถึงไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ฉันฟังเลย..”

หนิงหลิงยู่ยิ้มพร้อมกับพูดต่อว่า “เธอไม่ต้องขอโทษฉันก็ได้นะ.. เพราะเธอก็ไม่ได้ทำร้ายฉันสักหน่อย! คนเราเกิดมามีชะตากรรมต่างกัน เธอเป็นเจ้าหญิงที่สูงส่ง การมีบุคลิคท่าทางแบบนั้นก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร..”

“อะไรนะ.. ฉันไม่ได้ทำร้ายเธองั้นเหรอ?”

เฉิงเมี่ยนนึกถึงสิ่งที่เธอทำกับหนิงหลิงยู่มาตลอดสามปี เธอรู้สึกอยากจะหาที่สักแห่งให้ตัวเองหลบหนีไปในตอนนี้ทันที

เมื่อสามอาทิตย์ก่อนหน้านี้ เฉิงเมี่ยนยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นเจ้าหญิงที่สูงส่งอยู่เลย แล้วเธอก็ภาคภูมิใจกับความรู้สึกเช่นนั้นมาก เธอไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย แต่ตอนนี้.. เธอรู้แล้วว่าเจ้าหญิงตัวจริงนั้นไม่ใช่เธอ แต่คือหนิงหลิงยู่ที่อยู่ตรงหน้าเธอนี่เอง

“หลิงยู่!”

หนิงหลิงยู่ที่สวยงามชวนฝันราวกับนางฟ้าในเทพนิยาย ดูเหมือนเธอจะไม่เคยโกรธใคร เพียงแค่ยืนนิ่งๆ ไม่ต้องพูดอะไรออกมา ก็ราวกับมีรัศมีบางอย่างเปล่งประกายออกมารอบตัว เธอดูเป็นคนที่ภาคภูมิใจในตัวเอง แต่ก็ไม่ถือดีหรือหยิ่งจองหอง!

เฉิงเมี่ยนรู้สึกว่ามีเพียงสิ่งเดียวที่เธอเหนือหนิงหลิงยู่ นั่นก็คือครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวย ส่วนหนิงหลิงยู่เป็นเพียงแค่เด็กสาวหน้าตางดงามที่มาจากครอบครัวธรรมดาๆ และยังยากจนมากอีกด้วย

นอกเหนือจากนั้นแล้ว.. ไม่มีอะไรเลยที่เฉิงเมี่ยนจะเหนือหนิงหลิงยู่ได้ ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ วุฒิภาวะทางอารมณ์ การเรียน และอีกมากมาย หนิงหลิงยู่เหนือกว่าเธอทุกอย่าง

แต่นั่นยังไม่สำคัญ.. ที่สำคัญที่สุดก็คือหนิงหลิงยู่มีพี่ชายที่ยอดเยี่ยมเหนือคนธรรมดาอย่างหลิงหยุน!

เฉิงเมี่ยนรู้ดีว่าหลิงหยุนนั้นกล้าหาญแล้วก็แข็งแกร่งเพียงใด! เพราะเธอได้เห็นหลิงหยุนสับซันเทียนเปียวเป็นชิ้นๆกับตาตัวเอง

หลังจากที่ได้เห็นเหตุการณ์ในคืนนั้น เฉิงเมี่ยนจึงเข้าใจได้ในทันทีว่า เพราะเหตุใดหลิงหยุนจึงกลายมาเป็นคนที่แข็งแกร่งและโด่งดังอย่างมาก เรียกได้ว่าสิ่งที่หลิงหยุนทำในคืนนั้น มันอยู่เหนือความรู้ความเข้าใจของเธอที่มีมาทั้งชีวิต มุมมองของเธอในตอนนี้ เงินทองไม่ว่าจะมีมากมายมหาศาลสักเพียงใด เมื่อเทียบกับหลิงหยุนแล้ว ก็ไม่มีค่าอะไรเลยแม้แต่น้อย!

แต่ที่เฉิงเมี่ยนรู้นั้นยังนับว่าน้อยนิดมากนัก เธอยังไม่รู้ว่าแม่ของหนิงหลิงยู่เองก็มาจากตระกูลที่คนทั้งประเทศเคยให้ความเคารพนับถือมาก่อน

หนิงหลิงยู่ยังคงนิ่งสงบเหมือนเดิม แววตาของเธอเต็มไปด้วยความสงสาร แต่ก็ไม่แสดงออกให้เฉิงเมี่ยนเห็น และพูดออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“เธออย่ากังวลไปเลย.. เธอไม่ได้ทำร้ายฉันเลยจริงๆ ฉันก็เลยไม่มีอะไรต้องยกโทษให้เธอ.. อีกอย่างต่อไปฉันก็คงจะไม่ค่อยได้มาโรงเรียนแล้วล่ะ..”

เฉิงเมี่ยนได้ยินถึงกับตกใจ “ทำไมล่ะ? เธอ.. นี่เธอจะไม่สอบเข้ามหาวิทยาลัยแล้วเหรอ?”

หนิงหลิงยู่ยิ้มบบางก่อนจะมองออกไปไกลๆ และจู่ๆก็หัวเราะออกมาอย่างสดใส แต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไร..

ด้วยคะแนนของหนิงหลิงยู่นั้น ไม่จำเป็นที่เธอจะต้องมานั่งเรียนในโรงเรียนอีกด้วยซ้ำไป เธอเพียงแค่รอคอยให้ถึงวันสอบเอนทรานซ์ แล้วก็แค่เดินเข้าห้องสอบเท่านั้นเอง..

ยิ่งไปกว่านั้น ฉินตงเฉี่วยยังบอกกับเธอว่าจะสอนอะไรให้กับเธออีกมากมายหลายอย่าง และเป็นเรื่องที่เธอเองก็ไม่เคยพบเห็นมาก่อน แล้วก็ต้องใช้เวลา หนิงหลิงยู่แทบจะทนรอให้ถึงเวลานั้นไม่ได้

สำหรับคำพูดที่ไม่ดีต่างๆนานาของเฉิงเมี่ยนที่เคยพูดกับเธอนั้น หนิงหลิงยู่อาจจะรู้สึกโกรธบ้าง แต่ก็ไม่เคยเกลียด และความโกรธกับความเกลียดก็เป็นคนละเรื่องกัน..

แต่ต่อให้หนิงหลิงยู่รู้สึกเกลียดเฉิงเมี่ยนจริง เมื่อเธอได้พบเฉิงเม่ยเฟิง และรู้ว่าเธอคือแฟนสาวของหลิงหยุน หนิงหลิงยู่ก็คงหายโกรธเฉิงเมี่ยนแล้ว เพราะถึงอย่างไรเฉิงเมี่ยนก็เป็นน้องสาวที่เฉิงเม่ยเฟิงรัก

“ถ้าอย่างนั้น.. เธอช่วย.. ช่วยบอกพี่ชายของเธอให้ยกโทษให้ฉันหน่อยจะได้ไม๊? ฉันคิดว่าเขาคงจะโกรธฉันมาก..”

เฉิงเมี่ยนกระซิบขอให้หนิงหลิงยู่ช่วยพูดกับหลิงหยุนแทนเธอ..

หนิงหลิงยู่ตอบกลับไปว่า  “เธอเข้าใจผิดแล้วล่ะ.. พี่ใหญ่ไม่ได้โกรธเธอเลยสักนิด เพราะถ้าเขาโมโหใคร เขาก็จะจัดการทันที ไม่จำเป็นต้องมาเสียเวลาโกรธด้วยซ้ำ..”

“อีกอย่าง.. ถ้าพี่ใหญ่โกรธเธอจริงๆ ก็คงไม่มีใครช่วยได้ เพราะจิตใจของพี่ใหญ่นั้น ไม่เคยมีใครบงการได้..”

“ฉันไม่รู้แล้วก็ไม่สนใจหรอกนะ.. ว่าเพราะอะไรวันนี้เธอถึงได้มาคุยกับฉัน แต่ฉันอยากจะบอกเธอไว้สองเรื่อง เรื่องแรก – ฉันไม่เคยนึกตำหนิหรือโกรธเธอเลย และเรื่องที่สอง – ถ้าจะให้ฉันช่วยเธอเรื่องของพี่ใหญ่แล้วล่ะก็ ฉันคงจะช่วยอะไรไม่ได้ เรื่องนี้เธอคงต้องช่วยตัวเอง”

หลังจากที่หนิงหลิงยู่พูดจบ โทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น และเมื่อหยิบโทรศัพท์ออกมาดู ดวงตาของเธอก็เป็นประกายขึ้นมาทันที เพราะเป็นสายจากหลิงหยุน..

หลิงหยุนจอดรถรออยู่ที่หน้าประตูโรงเรียน ทันทีที่หนิงหลิงยู่กดรับสาย เขาก็รีบพูดออกไปทันที

“น้องพี่.. เธอขอนุญาติคุณครูหรือยัง? พี่ใหญ่มารอรับเธอกลับบ้านอยู่ที่หน้าประตู..”

หนิงหลิงยู่หัวเราะคิกคักพร้อมกับตอบไปว่า “เรียบร้อยแล้วค่ะ พี่รอฉันอยู่หน้าประตูนะ ฉันจะลงไปเดี๋ยวนี้ล่ะ!”

หลังจากที่วางสายไปแล้ว หนิงหลิงยู่ก็หันไปยิ้มและโบกมือให้กับเฉิงเมี่ยนที่กำลังนิ่งอึ้ง แล้วรีบเข้าไปเก็บของในห้องเรียน

เฉิงเมี่ยนยืนมองภาพที่หนิงหลิงยู่วิ่งออกไปจากห้องเรียนอย่างมีความสุข น้ำตาของเธอค่อยๆไหลรินด้วยความเสียใจ แล้วก็พึมพำออกมาด้วยความอิจฉา

“หลิงยู่.. เธอช่างดูมีความสุขจัง..”

………..

หนิงหลิงยู่วิ่งไปยังรถแลนด์โรเวอร์ที่จอดอยู่หน้าประตูโรงเรียนทันที

หลังจากเสียงกริ่งเลิกเรียนดับลง ก็มีนักเรียนอยู่ที่ประตูโรงเรียนมากมาย หลิงหยุนจึงไม่ยอมลงจากรถ และสตาร์เครื่องรอหนิงหลิงยู่อยู่ด้านใน

ทันทีที่หนิงหลิงยู่ขึ้นไปนั่งบนรถ หลิงหยุนก็ยิ้มให้พร้อมกับถามว่า “หลิงยู่ เย็นนี้อยากกินอะไร? ไปหาซื้ออะไรกลับไปกินที่บ้านกับน้าหญิงกัน”

ดวงตากลมโตสวยงามของหนิงหลิงยู่จ้องมองหลิงหยุนพร้อมกับตอบยิ้มๆว่า “ฉันจะบอกความลับให้.. น้าหญิงชอบกินอาหารทะเล..”

หลิงหยุนรีบตอบกลับทันที “ถ้างั้นก็ไปซื้ออาหารทะเลกลับไปกินกัน!”

หลิงหยุนเหยียบคันเร่ง และรถแลนด์โรเวอร์ก็พุ่งออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นหลิงหยุนก็ถามหนิงหลิงยู่

“หลิงยู่.. วันนี้ขอลาคุณครูว่าอะไรไม๊?”

 หนิงหลิงยู่ทำเสียงเย้ย “ก็พี่ไปทำอะไรใหญ่โตที่ห้องทำงานของครูใหญ่ไว้ล่ะ.. ตอนนี้เขารู้กันทั้งโรงเรียนแล้ว ยังจะมีใครกล้าว่าอะไรฉันอีก!”

“ครูประจำชั้นรู้เรื่องผลการเรียนของฉันดี ก็เลยบอกฉันว่า ถ้าไม่มีอะไรไม่ต้องมาโรงเรียนก็ได้ ให้ส่งการบ้านครูทางอีเมล์แทนได้? สะดวกมากเลย..”

ต่อหน้าหลิงหยุน หนิงหลิงยู่แทบไม่ต้องคิดอะไร ไม่ต้องกังวลอะไร เธอทำเหมือนเด็กตัวเล็กดื้อดึงคนหนึ่ง..

หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่หัวเราะ “ก็ดีน่ะสิ! ถ้างั้นเรารีบไปซื้ออาหารทะเลกันดีกว่าจะได้รีบกลับบ้าน”

“หลิงยู่.. น้าหญิงเองก็ขับรถไม่เป็น ถ้าไง.. เธอไปหัดขับรถดีไม๊ พี่จะให้ถังเมิ่งจัดการเรื่องใบขับขี่ให้ มีรถใช้ก็สะดวกดีนะ” หลิงหยุนบอกกับหนิงหลิงยู่

หนิงหลิงยู่พยักหน้าจริงจังพร้อมกับตอบไปว่า “ฉันก็คิดอยู่เหมือนกัน เพราะอยู่ที่บ้านในอ่าวจิวฉูก็ดีอยู่ แต่ไกลจากตัวเมืองหน่อยเท่านั้นเอง แต่ถ้าขับรถเป็นก็จะสะดวกมากเลย..”

“ถ้าอย่างนั้น.. ไว้พี่ใหญ่ว่างแล้วจะมาสอนเธอขับรถนะ แต่สองสามวันนี้พี่ยุ่งมากเลย..”

ตอนนี้หลิงหยุนเองก็ขับรถได้แล้ว และมันก็ไม่ยากเกินไปสำหรับคนฉลาดอย่างหนิงหลิงยู่จะเรียนรู้ได้

“พี่ใหญ่คะ.. ฉันไปเรียนตามโรงเรียนสอนขับรถก็ได้!”

หลิงหยุนไม่สนใจว่าจะเรียนจากที่ใหน “ก็ตามใจ.. จะเรียนจากใหนก็ได้ ขอให้ขับรถเป็นก็พอแล้ว.. ใช่ไม๊?”

 หนิงหลิงยู่พยักหน้าพร้อมกับยิ้มเห็นด้วย..

หลังจากซื้อของเสร็จเรียบร้อย เมื่อขับออกนอกเขตเมืองที่จำกัดความเร็วแล้ว หลิงหยุนก็เหยียบคันเร่งเต็มที่ และเพียงไม่ถึงยี่สิบนาทีก็ไปถึงบ้านแล้ว

“น้าหญิงพวกเรากลับมาแล้ว!”

หลิงหยุนขับรถเข้าไปในลานบ้านพร้อมกับร้องตะโกนบอกเสียงดังก่อนที่จะลงจากรถ ร่างสวยงามของฉินตงเฉี่วยปรากฏขึ้นที่หน้าประตู และมายืนอยู่หน้ารถแลนด์โรเวอร์

“ซื้ออะไรอร่อยๆมากินหรือเปล่า? น้าหิวจนจะเป็นลมอยู่แล้ว!”

หลิงหยุนหันไปมองหนิงหลิงยู่ยิ้มๆ แล้วจึงตอบฉินตงเฉี่วยไปว่า “ผมซื้ออาหารทะเลมาทำกินกันครับ..”

ฉินตงเฉี่วยถึงกับงุนงงพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า “งั้นเหรอ?! ถ้างั้นก็รีบๆลงจากรถแล้วเข้าครัวไปทำอาหารเร็วเข้า ยังจะนิ่งรออะไรกัน!”

หลิงหยุนได้ยินถึงกับปวดหัว! นี่ฉินตงเฉี่วยทำอาหารทะเลไม่เป็นงั้นเหรอ?

หลิงหยุนหันไปมองหนิงหลิงยู่ แต่เธอกลับรีบส่ายหน้าและพูดขึ้นว่า “พี่ใหญ่.. ฉันนึ่งปูเป็นอย่างเดียว อย่างอื่นทำไม่เป็น..”

หลิงหยุนได้แต่นิ่งไป และวันนี้เขาก็ต้องกลายเป็นพ่อครัวจำเป็น!


บทที่ 441 : น้ำลายมังกร โสม สมุนไพรเหอโชวู!

“หลิงหยุน.. เจ้าจะเป็นคนทำอาหารใช่ไม๊?”

ดวงตาคู่สวยของฉินตงเฉี่วยจ้องมองไปยังหลิงหยุนพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงเชิงบังคับ..

ระหว่างสามคนนั้น ฉินตงเฉี่วยอาวุโสที่สุด และยังมีฐานะเป็นถึงน้าสาวของหนิงหลิงยู่ ส่วนตัวหนิงหลิงยู่เองก็ทำไม่เป็น หลิงหยุนจึงหมดหนทางเลือก ได้แต่เดินถือวัตถุดิบเข้าครัวไป

ความจริงแล้วหนิงหลิงยู่เองก็ได้เรียนรู้เรื่องการทำอาหารจากนางฉินจิวยื่อมาบ้าง และสามารถทำอาหารพื้นๆธรรมดาๆได้ สีสันและรสชาติก็ไม่แตกต่างจากที่นางฉินจิวยื่อทำสักเท่าไหร่

แต่เธอก็ทำได้เพียงแค่อาหารพื้นๆเท่านั้น อาหารทะเลอย่างกุ้งมังกรอะไรพวกนี้ หนิงหลิงยู่ไม่สามารถทำได้ และไม่ยอมทำด้วย!

ทั้งฉินตงเฉี่วยและหนิงหลิงยู่นั้น อาจจะยังไม่รู้ว่านอกจากหลิงหยุนจะเป็นนักชิมและนักกินแล้ว เขายังค่อนข้างมีประสบการณ์ในการทำอาหารมามากด้วย

“พี่ใหญ่.. พวกเราทำอาหารพื้นๆให้น้าหญิงกินก็ได้ ฉันทำให้เอง”

หนิงหลิงยู่เป็นกังวลเพราะท่าทางของหลิงหยุนดูกระอักกระอ่วนมาก เธอจึงๆได้แต่กระซิบบอก

หลิงหยุนมองฉินตงเฉี่วยและหนิงหลิงหยุนพร้อมกับคิดในใจว่า ได้เวลาที่เขาต้องแสดงฝีมือเสียแล้ว จากนั้นก็ลงไปเปิดท้ายรถ และจัดการหิ้วกุ้งมังกรขนาดใหญ่มากสองตัวออกมา สองสาวถึงกับร้องออกมาอย่างดีใจ

“ข้าเป็นคนทำก็ได้.. แต่น้าหญิงกับหลิงยู่ต้องมาเป็นลูกมือ!”

“ห๊ะ..?!”

“หลิงหยุน.. นี่เจ้าทำอาหารเป็นจริงๆน่ะเหรอ?”

ฉินตงเฉี่วยและหนิงหลิงยู่คิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะทำอาหารเป็นจริง มันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อสำหรับพวกเธอสองคน

สาวสวยสองคนได้แต่มองหน้ากัน หนิงหลิงยู่เลียริมฝีปากพร้อมกับกระซิบว่า “พี่ใหญ่.. พี่ไม่เคยเข้าครัวมาก่อน แล้วกุ้งมังกรสองตัวนี้ก็ราคาแพงมากเลยนะ..”

หนิงหลิงยู่กังวลว่าหลิงหยุนจะทำอาหารดีๆเสียของต่อหน้าฉินตงเฉี่วย ยิ่งไปกว่านั้น แถวบ้านก็มีอาหารทะเลที่ปรุงเสร็จแล้วขายมากมาย กุ้งมังกรสองตัวนี้ก็สามารถเก็บไว้ได้อีกตั้งสองสามวัน

หลิงหยุนยิ้ม “ไปกันได้แล้วสาวสวยทั้งสองคน ช่วยกันหิ้วกุ้งหอยปูปลาเข้าครัวกันเร็วเข้า!”

ระหว่างที่พูดหลิงหยุนก็เดินผ่านหน้าฉินตงเฉี่วยและหนิงหลิงยู่ที่กำลังยืนตะลึงเข้าไปในบ้านอย่างไม่สนใจ

“หลิงยู่.. เจ้าเด็กดื้อนั่นทำอาหารเป็นจริงๆเหรอ?”

ฉินจิวยื่อพยายามถือของไปให้ได้มากที่สุด และให้หนิงหลิงยู่ถือเฉพาะปลา แล้วทั้งคู่ก็เดินเข้าไปในบ้าน แต่ก็ไม่วายที่จะหันไปถามหนิงหลิงยู่

“เอ่อ.. หนูไม่เคยเห็นพี่ใหญ่เข้าครัวเลยค่ะ..” หนิงหลิงยู่ตอบตามความจริง

เมื่อฉินตงเฉี่วยได้ยิน ใบหน้าของเธอและหนิงหลิงยู่ก็มีแววเสียดายปรากฏขึ้นมาทันที นางได้แต่ถอนหายใจและพูดขึ้นว่า

“เฮ้อ.. สงสัยพอทำเสร็จ กุ้งมังการของน้าคงจะถูกเจ้าเด็กดื้อนั่นทำจนไม่เหลืออะไรแน่..”

หลิงหยุนได้ยินเสียงสองสาวคุยกันอย่างชัดเจน เขาเพียงแค่ยิ้มและไม่โต้ตอบ แล้วถือกุ้งมังกรสองตัวตรงเข้าไปในครัว

หลิงหยุนทำอาหารเป็นจริงๆน่ะหรือ!?

หลิงหยุนไม่เพียงแค่ทำอาหารเป็น แต่ยังเก่งมากเลยทีเดียว! นอกจากชื่นชอบการกินเป็นชีวิตจิตใจแล้ว ฝีมือการทำอาหารของเขายังสุดยอดอีกด้วย!

เมื่อครั้งที่อยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้น แม้เขาจะสำเร็จถึงขั้นจำศีลที่สามารถอดอาหารได้เป็นเวลานานๆนั้น แต่ความอยากในรสชาติอาหารก็เป็นเรื่องที่รบกวนเขาอยู่เสมอ

ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้น ไม่ว่าเขาจะบินอยู่บนท้องฟ้า วิ่งอยู่บนพื้นแผ่นดิน หรือแม้แต่ว่ายอยู่ในน้ำ หากสายตาของหลิงหยุนเหลือบไปเห็นอะไรเข้า เขาก็สามารถจับมาทำเป็นอาหารได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นต้ม นึ่ง ผัด หรืออะไรก็ได้ทั้งนั้น ดังนั้นฝีมือการทำอาหารของหลิงหยุน จึงไม่ได้ด้อยไปกว่าทักษะทางด้านการแพทย์ของตนเองเลยแม้แต่น้อย

ดังนั้น การทำอาหารจึงนับว่าเป็นงานอดิเรกที่เขาชื่นชอบอย่างมาก เพราะการฝึกฝนบ่มเพาะเพียงอย่างเดียวนั้นเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่ายมาก และจะน่าเบื่อที่สุดก็ตอนที่ฝึกเพื่อเข้าสู่ขั้นจำศีล เพราะเป็นช่วงที่เขาไม่สามารถกินอะไรได้

เมื่อหลิงหยุนไปถึงในครัว เขาก็ต้องพบกับปัญหาใหญ่ที่สุดซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่การทำอาหารอย่างแน่นอน แต่เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทันสมัยภายในห้องครัวต่างหาก หลิงหยุนไม่รู้วิธีใช้ จึงต้องขอความช่วยเหลือจากหนิงหลิงยู่

ในบ้านเดี่ยวหลังใหญ่โตเช่นนี้ ห้องครัวก็ต้องใหญ่โตตามไปด้วย แล้วก็เต็มไปด้วยเครื่องครัวที่ทันสมัยจนหลิงหยุนถึงกับมืดแปดด้าน

“เครื่องใช้ในครัวพวกนี้ดูดีมากทีเดียว..”

หลิงหยุนเห็นห้องครัวแล้วก็ได้แต่คิดว่าทั้งถังเมิ่ง เฉิงเม่ยเฟิง แล้วก็หนิงน้อย คงจจะต้องใส่ใจกับการตกแต่งบ้านอย่างมากจริงๆ

เมื่อฉินตงเฉี่วยและหนิงหลิงยู่เดินเข้ามาในครัว หลิงหยุนจึงได้โอกาสถามหนิงหลิงยู่ถึงวิธีใช้เครื่องไม้เครื่องมือแต่ละชนิด และขอให้เธอช่วยสาธิตวิธีการใช้ให้ดู

หลิงหยุนมีความจำเป็นเลิศและสามารถเข้าใจอะไรได้ง่าย หนิงหลิงยู่สาธิตให้เขาดูเพียงแค่ครั้งเดีว หลิงหยุนก็สามารถจดจำได้หมด

ฉินตงเฉี่วยเห็นหลิงหยุนที่ทำไม่เป็นแม้แต่เปิด-ปิดเตา ก็ได้แต่อึ้งไป.. และอดที่จะคิดไมได้ว่าหลิงหยุนไม่เคยแม้แต่จะเดินเข้าห้องครัวมาก่อน แล้วยังคิดจะทำอาหารทะเลอีก! ฝันไปเถอะ!

“เอาล่ะ.. พวกเธอทำกันไปก็แล้วกันนะ น้าหญิงจะออกไปนั่งรอข้างนอก..” ฉินตงเฉี่วยรู้สึกหมดหวังและได้แต่ส่ายหน้าไปมา

หลิงหยุนได้แต่แอบยิ้ม เขาหยิบอาหารทะเลทุกชนิดขึ้นมากองไว้ และฟังหนิงหลิงยู่ที่กำลังอธิบาย และสาธิตการใช้เครื่องครัวแต่ละชนิดให้ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ พร้อมกับพยักหน้ารับรู้เป็นระยะๆ

หนิงหลิงยู่รู้ดีว่าความจำของหลิงหยุนนั้นเป็นเลิศเพียงใด และเมื่อจำได้แล้วก็ไม่มีทางลืม ถึงแม้เธอจะมั่นใจว่าหลิงหยุนไม่มีทางทำอาหารทะเลสำเร็จได้ แต่ก็ยินดีที่จะอธิบายให้หลินหยุนฟังอย่างตั้งใจเช่นกัน

นั่นเพราะว่าเธอชื่นชอบความรู้สึกเช่นนี้ ความรู้สึกที่เธอได้อยู่กับพี่ใหญ่ มันเป็นความอบอุ่นที่ทำให้หนิงหลิงยู่รู้สึกมีความสุขอย่างมาก

“พี่ใหญ่คะ.. ฉันจะช่วยถอดเกล็ดปลาให้นะคะ!” หนิงหลิงยู่เอ่ยปากที่จะช่วยหลิงหยุนถอดเกล็ดปลาที่มีราคาแพง

“โอ้โห!” หนิงหลิงยู่ร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ เมื่อเห็นหลิงหยุนกำลังใช้มีดถอดเกล็ดปลาได้อย่างชำนิชำนาญ

หลิงหยุนหัวเราะหึหึ “อะไรกัน.. ทำไมต้องร้องตกอกตกใจแบบนั้น เดี๋ยวรอทานอาหารฝีมือพี่ก็แล้วกัน!”

“โอ้โห.. พี่ใหญ่! นี่พี่ไปเรียนการทำอาหารมาจากที่ใหนคะเนี่ย ดูคล่องแคล่วกว่าแม่อีกนะรู้ไม๊?”

หนิงหลิงยู่ถึงกับตกใจและถามออกมาอย่างมีความสุข จากนั้นสายตาของเธอก็จับจ้องอยู่เพียงแค่มีดในมือของหลิงหยุนเท่านั้น..

หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยและสั่งหนิงหลิงยู่ “หลิงหยู่.. เธอช่วยพี่ล้างหอยเป่าฮื้อก่อนนะ เสร็จแล้วก็ออกไปรอข้างนอกกับน้าหญิง พี่จัดการคนเดียวได้!”

กุ้งมังกร ปู ไต่กันไปมาอยู่ในอ่าง และหลิงหยุนก็ไม่ต้องการให้หนิงหลิงยู่ต้องฆ่ามัน

……

“โอ้โห.. ทำไมถึงได้กลิ่นหอมแบบนี้!”

หลิงหยุนไม่ปล่อยให้ฉินตงเฉี่วยและหนิงหลิงยู่ต้องคอยนาน เพียงแค่ครึ่งชั่วโมง บ้านทั้งหลังก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของอาหาร

กลิ่นหอมของอาหารทะเลที่หลิงหยุนทำ ค่อยๆลอยออกจากครัวมาเข้าจมูกของฉินตงเฉี่วยและหนิงหลิงยู่ ทำให้ต่อมเจริญอาหารของทั้งคู่ถึงกับบทำงานขึ้นมาทันที!

ฉินตงเฉี่วยที่ผิดหวังในตอนแรก ค่อยๆทำจมูกฟุดฟิดสูดกลิ่นหอมของอาหารเข้าไปพร้อมกับกลืนน้ำลาย

“เจ้าเด็กนั่นทำอาหารเป็นจริงๆด้วย แล้วก็ดูจะน่าอร่อยซะด้วย!”

ฉินตงเฉี่วยไม่สามารถทนนิ่งเฉยได้อีก.. ฝีมือการทำอาหารของหลิงหยุนนั้นทำให้เธอตกอกตกใจมากกว่าความแข็งแกร่งของเขาในการต่อสู้เสียอีก นางแทบไม่อยากจะเชื่อ!

“น้าหญิง.. ปลาที่ท่านชอบจะให้นึ่ง หรือเอาไปเคี่ยวกับซอสดี?” หลิงหยุนร้องถามออกมาจากในครัวขณะที่กำลังจะเริ่มลงมือทำปลา

“เคี่ยวกับซอส..” ฉินตงเฉี่วยยังไม่อยากจะเชื่อ

“ได้เลย..” หลิงหยุนร้องบบอกพร้อมกับเริ่มทำปลา

“หอมจัง!”

“ว้าว!”

ฉินตงเฉี่วยและหนิงหลิงยู่ที่ได้กลิ่นหอมของอาหารถึงกับร้องอุทานออกมาพร้อมกัน และตอนนี้กลิ่นหอมไม่เพียงอบอวลอยู่ภายในบบ้าน แต่ยังลอยออกไปนอกบ้านด้วย

“โอ้โห.. กลิ่นหอมน่ากินมากจริงๆ..”

“ทำไมถึงได้หอมแบบนี้..”

และครั้งนี้สองสาวก็ร้องออกมาอย่างไม่สามารถอดกลั้นได้ ทั้งคู่ทนไม่ได้จนถึงกับต้องอ้าปากสูดดมกลิ่นหอมเข้าไปทางปากด้วย!

ก็จะไม่ให้มีกลิ่นหอมหวนขนาดนั้นได้อย่างไรกัน ในเมื่อหลิงหยุนผสมน้ำลายมังกรลงไปด้วย!

ฝีมือการทำอาหารของหลิงหยุนนั้นพูดได้คำเดียว่า สุดยอด! และหากท่านหมอเสี่ยว ตู้กู่โม่ หรือแม้แต่คุณชายฮู๋เซ่าป๋ายแห่งสำนักหมอสวรรค์ และหลงเทียนยู่ รู้ว่าหลิงหยุนใช้น้ำลายมังกรแทนน้ำมันในการทำอาหาร พวกเขาคงต้องโมโหจนแทบคลั่งแน่!

ไม่เพียงเท่านั้น หลิงหยุนยังใช้โสมที่มีอายุมากกว่าสองพันปี และสมุนไพรเหอโชวูอาวุกว่าสามพันปีแทนกระเทียม!

สำหรับส่วนผสมที่เป็นสมบัติหายากเช่นนี้ อย่าว่าแต่ท่านหมอเสี่ยวจะโกรธเลย ต่อให้เป็นอัจฉริยะด้านการบบ่มเพาะในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ หากรู้เขาก็คงแทบอยากจะฆ่าหลิงหยุนเป็นแน่!

หรือแม้แต่กษัตริย์เสินหนงเองก็ตามเถอะ หากยังมีชีวิตอยู่ และรู้เรื่องนี้เข้า ก็คงต้องโกรธจนแทบกระอักออกมาเป็นเลือดแน่!

หากเทียบกันแล้ว.. ทั้งน้ำลายมังกร และโสมกับสมุนไพรเหอโชวูที่มีอายุมากกว่าสองพันปีนั้น หอยเป่าฮื้อและกุ้งมังกรที่ว่าแสนแพง ก็จะกลายเป็นเพียงแค่เครื่องปรุงเล็กน้อยในอาหารจานนั้นไปทันที!

ประกอบกับฝีมือการทำอาหารที่หาใครเทียบได้ยากของหลิงหยุนด้วย จึงทำให้อาหารทุกจานล้วนมีกลิ่นหอมหวน และน่าทานอย่างที่สุด

 หลิงหยุนทำเพียงเท่านั้น เพราะสองสาวกำลังรอกินอาหารอยู่ในห้องนั่งเล่น..

อย่าว่าแต่สองสาวนั้นโชคดีที่กำลังจะได้กินสมบัติล้ำค่าที่หายากเหล่านั้นเลย แม้แต่การได้กินอาหารจากฝีมือของหลิงหยุนก็นับว่าโชคดีมากเช่นกัน!

“หลิงหยุน.. เมื่อไหร่จะเสร็จ ข้าคอยไม่ไหวแล้วนะ!” ฉินเตงเฉี่วยร้องตะโกนเร่งหลิงหยุนที่อยู่ในครัว

“ใกล้เสร็จแล้ว..” หลิงหยุนตอบกลับมาทันที

“ไปเร็วเข้าหลิงยู่.. ไปกับข้า!” ฉินตงเฉี่วยทนนั่งนิ่งต่อไปอีกไม่ไหว เธอลุกขึ้นร้องบอกหลิงยู่ให้ไปช่วยกันยกอาหารในครัว

แต่หลังจากนั้นเพียงแค่สิบนาที อาหารจานใหญ่หกเจ็ดจานก็ถูกนำมาเสริฟบนโต๊ะอาหาร ทั้งสีสันและกลิ่นหอมนั้น ทำให้ฉินตงเฉี่วยและหนิงหลิงยู่ถึงกับบกลืนน้ำลายกันใหญ่

หลิงหยุนนั่งลงมองสองสาวหน้าตาสวยงามทั้งสองคนที่ในมือถือตะเกียบรออยู่แล้ว เขายิ้มให้กับหญิงสาวทั้งคู่พร้อมกับพูดขึ้นว่า “กินกันได้แล้ว!”

ฉินตงเฉี่วยกับหนิงหลิงยู่ไม่สามารถอดทนต่อกลิ่นที่หอมหวนได้อีกต่อไป และลงมือกินอาหารที่อยู่ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว

จากนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรอีก.. ในเวลาแบบนั้นใครบ้างที่อยากจะพูด?

อาหารบนโต๊ะอร่อยมากจนฉินตงเฉี่วยแทบจะกัดลิ้นของตัวเอง เธอกินเข้าไปจนจุกและไม่สามารถกินอะไรได้อีก จึงได้แต่เลียริมฝีปาก และจ้องมองจานเปล่าบนโต๊ะอาหาร พร้อมกับชมว่า..

“หลิงหยุน.. อร่อยมากเลย แล้วทำไมเธอถึงไม่กินล่ะ?”

หลิงหยุนยิ้มจนเห็นฟันขาว “ผมกลัวว่าน้าหญิงกับหนิงหลิงยู่จะกินไม่อิ่ม ก็เลยรอให้ท่านกับหลิงยู่กินกันอิ่มก่อน ข้าค่อยกินส่วนที่เหลือ..”

ฉินตงเฉี่วยและหนิงหลิงยู่ได้ลิ้มรสอาหารที่จะไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต หลิงหยุนมองภาพนางฟ้าสองคนอย่างมีความสุข..

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม