Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร 428-434
บทที่ 428 : มอบไข่มุกราตรีให้!
“เพ้อเจ้อแล้ว.. ครูรู้มาว่าเธอจับตี้เสี่ยวอู๋โยนขึ้นไปบนแป้นบาสเก็ตบอล แล้วยังจัดการกับสมาชิกแก๊งมังกรเขียวพร้อมกันตั้งสามสิบคน แล้วใหนจะคลิปที่เธอไปทุบสำนักงานรื้อถอนกับบ้านอีกสองหลัง แล้วตอนที่ถูกตำรวจพร้อมอาวุธหลายนายล้อมไว้ เธอก็ไม่มีท่าทางตกอกตกใจเลยนี่ ยังมีเรื่องที่เธอทำให้หัวหน้าสำนักงานรักษาความมั่นคงอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ใหนอีก..”
“หลิงหยุน.. เธอเก่งขนาดนี้ยังจะกลัวครูอีกเหรอ?!” กงเสี่ยวลู่ถามยิ้มๆอย่างรู้ทัน
หลิงหยุนถึงกับตาโตด้วยความประหลาดใจอย่างมาก เขาคิดไม่ถึงว่าครูประจำชั้นจะรู้เรื่องเกี่ยวกับตัวเขามากมายขนาดนี้ จึงได้แต่ถามออกไปอย่างตกใจว่า
“นี่ครูไปฟังเรื่องพวกนี้มาจากใหนกัน?!”
“เอาน่า.. รับรองว่าครูไม่ตีเธอหรอก.. ถ้าครูตีเธอจริงๆ เธอก็จับแขนครูไว้ก็ได้ ครูไม่ว่า..”
กงเสี่ยวลู่พูดได้แค่นั้นก็ก้มหน้าลงต่ำซ่อนใบหน้าที่แดงก่ำของตนเองไว้ และเสียงก็ค่อยๆเบาลงจนแทบจะไม่ได้ยิน
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับสอดแขนของตนเองลงไปใต้รักแร้ของกงเสี่ยวลู่ และกอดร่างที่นุ่มนวล และมีกลิ่นหอมไว้ในอ้อมกอดอย่างอบอุ่น
ที่หลิงหยุนทำเหมือนฉวยโอกาสกับกงเสี่ยวลู่ในวันนี้นั้น จุดประสงค์ของเขาก็เพื่อต้องการรักษาอาการป่วยทางใจให้กับเธอ
วิธีที่หลิงหยุนทำนั้นคล้ายกับการล้างพิษให้กับผู้ที่มีอาการติดยา ขั้นต้นก็ต้องทำการล้างพิษที่ตกค้างอยู่ในร่างกายออกเสียก่อน และตราบใดที่กงเสี่ยวลู่สามารถก้าวข้ามปัญหาทางใจไปได้ อาการเจ็บปวดทางใจต่างๆก็จะค่อยๆดีขึ้น
“ครูครับ.. ผมไม่ได้จะตั้งใจจะลามปามหรือลวนลามครูเลย ผมแค่ต้องการรักษาอาการป่วยให้กับครู กรุณาอยู่นิ่งๆ อย่าขยับตัว..”
แต่ถึงแม้หลิงหยุนจะไม่สั่งให้อยู่นิ่งๆ ตอนนี้กงเสี่ยวลู่เองก็ไม่สามารถขยับตัวได้แม้แต่น้อย หลิงหยุนเรียกเข็มทองออกมาจากมือข้างซ้าย และจัดการฝังเก้าเข็มปลุกชีพลงไปบนศรีษะของกงเสี่ยวลู่
แต่ละเข็มที่ฝังลงไปนั้น หลิงหยุนได้ถ่ายเทพลังชีวิตในร่างกายของเขาลงไปด้วย ทำให้กงเสี่ยวลู่เกิดความรู้สึกสงบทั้งใจ สมอง แล้วก็ร่างกาย..
จากที่หลิงหยุนสังเกตปฏิกิริยาของกงเสี่ยวลู่นั้น ดูเหมือนว่าบาดแผลทางใจที่เธอได้รับในอดีต จะเลวร้ายกว่าที่เขาคาดคิดไว้มากมาย และนั่นทำให้แววตาของหลิงหยุนมีประกายของความดุร้ายขึ้นมาวูบหนึ่ง
หลังจากฝังเข็มทองทั้งเก้าเล่มลงไปแล้ว กงเสี่ยวลู่ก็สลบไสล หลิงหยุนจึงอุ้มเธอเข้าไปในห้องนอน เขาวางกงเสี่ยวลู่ไว้บนเตียง และห่มผ้าห่มบางๆให้กับเธอเพื่อให้ร่างกายอบอุ่นและไม่เป็นหวัด
กงเสี่ยวลู่จะต้องหลับไปอีกพักใหญ่ หลิงหยุนจึงเดินไปสำรวจห้องทำงานของเธอแทน ภายในห้องนั้นเขาเห็นหนังสือภาษาอังกฤษในระดับมหาวิทยาลัยหลายเล่ม จึงได้หยิบออกมานั่งท่องเงียบๆ
ไม่นาน.. เสียงกริ่งหมดคาบเรียนที่สองก็ดังขึ้น แต่หลิงหยุนยังคงไม่ออกจากห้องทำงานของกงเสี่ยวลู่ จนกระทั่งคาบเรียนที่สามเริ่มไปได้ยี่สิบนาที หลิงหยุนจึงกลับเข้าไปในห้องนอน และจัดการดึงเข็มออกจากศรีษะของกงเสี่ยวลู่
หลิงหยุนจัดการเก็บเข็มทองทั้งเก้าเล่มกลับเข้าไปในแหวนพื้นที่ จากนั้นจึงลุกขึ้นยืน และกำลังจะหันหลังเดินออกไปจากห้องนอน แต่มือเล็กๆข้างหนึ่งก็เอื้อมมาดึงตัวของเขาไว้
“อย่าเพิ่งไป..” กงเสี่ยวลู่ตื่นขึ้นมาแล้ว แต่ไม่กล้าลืมตาเพราะรู้สึกอาย
“ครูนอนพักผ่อนไปก่อน ผมจะไปนั่งรอที่โซฟา ถ้ามีอะไรก็ร้องเรียกผมได้ แล้วผมจะรีบเข้ามา..”
“อย่าไป..” กงเสี่ยวลู่ไม่ยอมให้หลิงหยุนออกไป
หลิงหยุนไมมีทางเลือกจึงได้แต่นั่งอยู่ข้างเตียง ส่งยิ้มให้กับกงเสี่ยวลู่และมองเธอด้วยแววตาสงบนิ่ง
“ครูครับ.. ผมรู้ว่าในอดีตครูเคยเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสมาก่อน ครูถึงได้หวาดกลัวผู้ชาย และพยายามที่จะวิ่งหนีความรู้สึกเช่นนี้ นี่เป็นอาการเจ็บป่วยทางใจ ในการรักษา.. ผมจำเป็นต้องทำให้ครูเกิดอารมณ์ความรู้สึกพวกนี้ ผมก็เลยต้องทำแบบนั้น เพราะนั่นเป็นวิธีเดียวที่ผมคิดว่าจะรักษาครูได้..”
หลิงหยุนพูดความจริง เพียงแต่พูดความจริงเพียงครึ่งเดียว และแน่นอนว่าเขาเองก็ฉวยโอกาสบ้างเล็กๆน้อยๆ..
“ไม่ต้องอธิบายก็ได้..” กงเสี่ยวลู่พูดทั้งที่ยังหลับตาอยู่ แต่ก็คว้ามือของหลิงหยุนมาวางไว้บนหน้าอกของเธอ
ร่างกายของกงเสี่ยวลู่สั่นอย่างรุนแรง สีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่ครั้งนี้กลับไม่ดิ้นรนหนี ส่วนหลิงหยุนกลับนิ่งเฉยไม่แสดงปฏิกิริยาใดๆ
“ครูน่ารังเกียจมากใช่ไม๊?” กงเสี่ยวลู่ถามเสียงสั่น
แต่หลิงหยุนกลับตอบยิ้มๆ “ถ้าผมได้ยินใครพูดถึงครูแบบนั้น ผมจะตัดลิ้นมันทิ้งซะ..”
แล้วต่างคนต่างก็นิ่งเงียบไปครู่ใหญ่..
แต่จู่ๆ กงเสี่ยวลู่ก็ถามเสียงเรียบ “ถ้าไม่รังเกียจ.. ทำไมตอนนี้เธอถึงได้นิ่งเฉยเป็นคนดี ต่างจากเมื่อครู่ที่พยายามแต๊ะอั๋งครูล่ะ!?”
หลิงหยุนตอบกลับมาอย่างทะเล้น “นี่มันยังเช้าอยู่.. วันใหนที่ผมขึ้นมาติวกับครูดึกๆ ผมอาจจะไม่เป็นเด็กดีแบบนี้ก็ได้นะ”
ความจริงแล้วอาการป่วยทางใจของกงเสี่ยวลู่นั้นยังไม่ดีขึ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ ยังต้องใช้เวลารักษาอีกสักสองสามวัน อาการของเธอจึงจะหายดี
“ครูจะให้กุญแจสำรองเธอไว้ชุดหนึ่ง ต่อไปถ้าเธออยากจะมาเมื่อไหร่ก็มาได้ หรือจะมาดึกๆก็ได้..” พูดจบกงเสี่ยวลู่ก็หน้าแดง
“แบบนั้นจะดีเหรอ.. เดี๋ยวคนก็เอาไปซุบซิบนินทาหรอก..”
“เธอไม่อยากมาเหรอ..”
“อยากสิ!”
จากนั้นหลิงหยุนก็บอกกับกงเสี่ยวลู่ไปว่า “ครูครับ.. บ่ายนี้ผมจะไปคิดบัญชีกับผู้อำนวยการแล้วก็ครูใหญ่ ผมจะทวงคืนสิทธิ์ทุกอย่างที่เป็นของครูกลับคืนมาให้..”
“แต่เธออย่าทำอะไรเกินเลยล่ะ..” กงเสี่ยวลู่ลืมตาคู่สวยทันที
หลิงหยุนเพียงแค่พยักหน้ายิ้มๆ กงเสี่ยวลู่ลืมตามองหลิงหยุนอยู่ครู่หนึ่ง แต่จู่ๆ เธอก็ลุกขึ้นนั่งพร้อมกับสั่งหลิงหยุนว่า
“หลับตาสิ..”
หลิงหยุนหลับตาลง และจากนั้นเขาก็รู้สึกว่าริมฝีปากของตนเองนั้นสัมผัสกับอะไรนุ่มๆอุ่นๆ แต่ก็รวดเร็วมาก
หลิงหยุนลืมตาขึ้นก็เห็นกงเสี่ยวลู่นั่งหน้าแดง หายใจถี่ และตัวสั่น
“นี่ครูแอบทำอะไรผมใช่ไม๊..? หน้าไม่อาย..” หลิงหยุนแกล้งแหย่กงเสี่ยวลู่ที่นั่งหน้าแดง แต่ในใจกลับคิดอยากจะทำอะไรที่มากกว่านั้น..
แต่นี่ก็นับว่าการรักษาของเขานั้นได้ผลดีขึ้นมาในระดับหนึ่งทีเดียว หลิงหยุนจึงจงใจโน้มร่างเข้าไปใกล้ร่างของกงเสี่ยวลู่พร้อมกับกระซิบข้างหูของเธอ
“ครูครับ.. นี่ครูจงใจยั่วผมใช่ไม๊?”
ร่างของกงเสี่ยวลู่ถึงกับสั่นเทิ้ม และดูกระวนกระวายขึ้นมาทันที แต่ครั้งนี้เธอไม่ได้ผลักไสหลิงหยุนเหมือนเมื่อครู่
“อยากให้ผมกลายเป็นเด็กไม่ดีลวนลามครูหรือยังไง?”
กงเสี่ยวลู่รีบโต้กลับทันที “นี่เธอพูดอะไร.. ครูยั่วเธอที่ใหนกัน? ครูยังไม่ได้ทำอะไรเลย..”
หลิงหยุนได้แต่ทำหน้าเลิ่กลั่ก พร้อมกับคิดในใจว่าผู้หญิงมักปากกับใจไม่ตรงกันจริงๆ ไม่เว้นแม้แต่ครูของเขา
“นี่กี่โมงแล้ว?” กงเสี่ยวลู่ถามหลิงหยุน
“ครูต้องรีบกลับไปสอนแล้วล่ะ..”
“ตอนเที่ยงเธออยากกินอะไร? ครูจะได้เตรียมไว้ให้..” กงเสี่ยวลู่มองหลิงหยุนขณะรอฟังคำตอบ
“ไม่ล่ะครับ.. เที่ยงนี้ผมมีธุระต้องไปทำ แล้วก็ต้องกลับไปกินข้าวที่บ้าน..”
หลิงหยุนคิดในใจว่าที่บ้านยังมีคนนอนขยับตัวไม่ได้รอเขาอยู่ ป่านนี้คงจะหิวแย่แล้ว และเขาไม่สามารถปล่อยให้เธอหิวได้เสียด้วย
จากนั้นหลิงหยุนก็ถามยิ้มๆ “ผมขอลาหยุดอีกสักสองสามวันได้ไม๊ครับ?”
“ไม่ได้..! เธอเพิ่งจะขาดเรียนไปตั้งเจ็ดแปดวันแล้ว การบ้านก็ค้างเยอะแยะ แล้วแบบนี้จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยหยานจิงได้ยังไง?”
แต่หลิงหยุนกลับตอบไปว่า “ก็ถ้าสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้.. ผมก็จะมาเรียนซ้ำชั้นอีกหนึ่งปี จะได้มีเวลาอยู่กับครูทุกวันไง ไม่ดีเหรอครับ..?”
กงเสี่ยวลู่รู้ดีว่าหลิงหยุนแกล้งพูดไปแบบนั้นเอง เธอจึงถามอย่างอารมณ์ดี “นี่เธอคิดจะทำอะไรกันแน่?”
หลิงหยุนตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ครูครับ.. สบายใจได้! เพราะผมจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยหยานจิงได้อย่างแน่นอน ผมได้สัญญากับแม่และน้องสาวไว้แล้ว นอกจากวิชาภาษาอังกฤษแล้ว วิชาอื่นผมได้คะแนนเต็มแน่นอน..”
กงเสี่ยวลู่เงยหน้าขึ้นมองหลิงหยุนด้วยสีกระอักกระอ่วน แล้วตอบกลับไปว่า “ไม่ใช่ว่าครูจะไม่อยากอนุมัติให้เธอขาดเรียนได้ เพียงแต่..”
หลิงหยุนคิดว่าในเมื่ออนุมัติได้ แล้วยังจะมีข้อแม้อะไรอีก? เขาจึงถามขึ้นด้วยความสงสัย “แต่อะไรเหรอครับ?”
กงเสี่ยวลุ่ตอบกลับไปเสียงเบา “แต่ถ้าไม่ได้เจอเธอ ครูก็คงคิดถึง..”
หลิงหยุนรู้ดีว่ากงเสี่ยวลู่ปิดกั้นความต้องการ และอารมณ์ภายในจิตใจตัวเองมานานถึงหกปี และก็เพิ่งจะถูกปลดปล่อย เธอจึงมีสภาพไม่ต่างจากภูเขาไฟที่อัดแน่นมานานจนต้องระเบิดออกมา
หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า กงเสี่ยวลู่อายุมากกว่าหลินเมิ่งหานถึงแปดปี ผ่านโลกมาก่อน คงจะไม่ใสซื่อไร้เดียงสาเหมือนกับหลินเมิ่งหาน เธอน่าจะมีความสามารถในการปรับตัว และยอมรับสิ่งต่างๆได้ดีกว่าหลินเมิ่งหาน
ใกล้จะจบคาบเรียนแล้ว หลิงหยุนจึงรีบตอบไปว่า “ถ้าครูคิดถึงผม ก็โทรหา หรือส่งข้อความมาได้ตลอดเวลา แล้วผมจะรีบมาหา”
“เธอพูดจริงเหรอ?” กงเสี่ยวลู่มีความสุขมาก และถามอีกครั้งเพื่อให้มั่นใจ
หลิงหยุนยิ้ม “เมื่อครู่ครูบอกกับผมเองไม่ใช่เหรอว่าจะให้กุญแจสำรองผมไว้ชุดหนึ่ง?”
กงเสี่ยวลู่ยิ้ม และส่งกุญแจสำรองให้หลิงหยุนทันที หลิงหยุนรับมา และเรียกเข้าไปเก็บไว้ในแหวนพื้นที่พร้อมกับฉีกยิ้มให้..
“นี่.. กุญแจล่ะ? กุญแจหายไปใหน?!” กงเสี่ยวลู่ร้องถามอย่างตกใจ
“ใช่.. แล้วก็เข็มทองพวกนั้นด้วย เธอเอามาจากใหน แล้วตอนนี้หายไปใหนแล้ว?”
หลิงหยุนยกมือซ้ายขึ้นตรงหน้ากงเสี่ยวลู่สะบัดไปมา และเข็มทองก็ออกมาอยู่ในมือของเขา กงเสี่ยวลู่มองด้วยความตกตะลึง!
‘นี่.. นี่มันยิ่งกว่ามายากลเสียอีก!’
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับกระดิกนิ้วที่สวมแหวนอยู่ แล้วจึงอธิบายให้กับกงเสี่ยวลู่ฟัง เธอถึงกับอ้าปากค้างพร้อมกับร้องอุทานออกมาไม่หยุด!
หากหลิงหยุนไม่บอกเรื่องนี้ให้ใครรู้.. รับรองว่าเขาต้องสามารถเปิดการแสดงมายากลได้อย่างแน่นอน เขาจะกลายเป็นนักมายากลที่โด่งดัง และมีชื่อเสียงที่สุด อีกทั้งยังจะสามารถหาเงินได้อีกมากมาย!
“ครูหลับตาสิครับ.. ผมมีของบางอย่างจะให้!”
ในเมื่อได้เล่าความลับเรื่องแหวนพื้นที่ให้กงเสี่ยวลู่ฟังแล้ว หลิงหยุนจึงไม่มีความจำเป็นต้องปกปิดอะไรอีก
กงเสี่ยวลู่ยิ้มพร้อมกับหลับตา แต่ก็แอบหรี่ตาแอบบมองนิดๆ ดูแล้วช่างน่ารักมาก!
“หลับตาให้สนิทสิครับ..” หลิงหยุนยิ้มอย่างรู้ทัน
กงเสี่ยวลู่ค้อนหลิงหยุนก่อนจะหลับตาแน่น จากนั้นหลิงหยุนก็เรียกไข่มุกราตรีออกมาจากแหวนพื้นที่ แล้วกำไว้ในมือ
“เอาล่ะ.. ลืมตาได้แล้ว”
กงเสี่ยวลู่ลืมตาขึ้นมา ก็เห็นเพียงแค่กำปั้นของหลิงหยุนอยู่ตรงหน้า จึงได้แต่บ่นพึมพำ
“ไม่เห็นมีอะไรเลย.. เด็กบ้า!”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับบอกเธอว่า “ถ้าอยากรู้.. ครูก็แกะมือผมออกดูสิ!”
กงเสี่ยวลู่เอื้อมมือออกไปแกะนิ้วของหลิงหยุนให้กางออก และห้องทั้งห้องก็สว่างไสวไปหมด..
ไข่มุกราตรีขนาดเท่าดวงตามังกรที่วางอยู่บนฝ่ามือของหลิงหยุน กำลังเปล่งประกายสว่างไสวไปทั่วทั้งห้อง แสงนวลเนียนของไข่มุกราตรีขับให้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจของกงเสี่ยวลู่สวยงามมากยิ่งขึ้น!
“ผมให้ครู.. ไข่มุกสวยก็ต้องคู่กับสาวสวย!”
กงเสี่ยวลู่ถึงกับอึ้งและนิ่งเงียบไป เธอจ้องมองไข่มุกราตรีในมือหลิงหยุน แล้วน้ำตาก็เริ่มไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง และค่อยๆไหลอาบแก้มอย่างเงียบๆ!
กงเสี่ยวลู่ประคองไข่มุกราตรีไว้ในมืออย่างระมัดระวัง เธอหายใจถี่ด้วยความตื่นเต้นอย่างที่สุด
“จริงเหรอ.. นี่เธอให้ครูจริงๆเหรอ?” หลังจากนิ่งเงียบไปเกือบสามนาที กงเสี่ยวลู่ก็ยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาพร้อมกับเอ่ยถามด้วยเสียงที่สั่นเทา
หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้ “จริงสิ.. ผมมอบให้ครู มันมีค่ายิ่งกว่าทองคำ! ถ้าครูชอบก็เก็บมันไว้!”
ไข่มุกราตรีเพียงเม็ดเดียวแทนคำพูดนับพัน และกงเสี่ยวลู่ก็ตื่นเต้นจนพูดอะไรไม่ออก..
จนกระทั่งผ่านไปนานเธอจึงพูดออกไปว่า “แต่.. แต่เธอเหลือแค่สองเม็ด แล้วเธอก็จะเก็บไว้เป็นของหมั้นสำหรับเจ้าสาวของเธอไม่ใช่เหรอ..?!”
หลิงหยุนได้ฟังถึงตกใจจนแทบช็อค “ห๊ะ.. นี่ครูรู้เรื่องนี้ด้วยเหรอ?”
กงเสี่ยวลู่ถือไข่มุกราตรีไว้ในมือพร้อมกับตอบไปว่า “เธอแกล้งโง่หรือยังไงกัน.. เรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านหลินเจียงวันนั้น ใครๆก็รู้กันทั้งนั้นล่ะ!”
หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับตอบไปว่า “ก็ถ้าผมมอบให้ครู ก็เท่ากับเป็นของหมั้นจากผมไม่ใช่เหรอ?”
กงเสี่ยวลู่อุทานออกมาด้วยความตกใจ แต่จู่ๆหน้าของเธอก็ซีด พร้อมกับพูดว่า “หลิงหยุน ไม่ต้องก็ได้! ครูอายุยี่สิบแปดแล้ว ส่วนเธอเพิ่งจะอายุสิบแปดเอง พวกเราห่างกันตั้งสิบปี และครูเองก็ไม่ได้มีค่าพอสำหรับเธอ ครูคงเป็นได้เพียงแค่ผู้หญิงที่อยู่กับเธอลับๆ..”
แต่หลิงหยุนกลับหัวราะ และพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่ดูเหมือนไม่แยแสกับอะไร “อายุไม่ใช่ปัญหาครับ และยิ่งไม่เกี่ยวกับเรื่องมีค่าพอ หรือไม่มีค่าพอด้วย เพราะถ้าเป็นผู้หญิงของหลิงหยุน ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่อย่างลับๆ เรื่องความไม่เหมาะสมอะไรพวกนี้ ต่อไปก็ไม่ต้องพูดถึงอีก”
กงเสี่ยวลู่ได้ฟังคำพูดของหลิงหยุนแล้ว เธอถึงกับร้องไห้ออกมาเสียงดัง จนกระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ เธอจึงกระซิบข้างหูของหลิงหยุน..
“หลิงหยุน.. ถ้าเธอไม่รังเกียจ ครูพร้อมที่จะมอบทุกอย่างให้กับเธอ..”
ตอนนี้กงเสี่ยวลู่ยินยอมอุทิศร่างกายมอบให้หลิงหยุนอย่างเต็มอกเต็มใจ หลิงหยุนลูบแผ่นหลังของกงเสี่ยวลู่อย่างอ่อนโยน พร้อมกับตอบไปว่า
“เรื่องนั้น.. รอให้อาการป่วยของครูหายดีก่อน แล้วค่อยว่ากัน!”
บทที่ 429 : เรื่องใหญ่!
สภาวะจิตใจของกงเสี่ยวลู่ถูกยกระดับขึ้นไปอีกขั้น ทั้งคู่หยอกล้อกันไปมา และหลิงหยุนเองก็ต้องการที่จะช่วยคลายปมในใจของกงเสี่ยวลู่ให้ได้เร็วที่สุด
“ครูครับ..”
“ยังจะเรียกครูอีกเหรอ?”
“เอ่อ.. ก็มันติดปากไปแล้ว!”
“ต่อไปในวันข้างหน้า.. ถ้าเราสองคนเป็นอะไรกันแล้ว เธอยังจะเรียกครูอยู่อีกเหรอ?”
“ก็ตอนนี้ยังเป็นครูอยู่ หลังจากนั้น.. ค่อยว่ากัน”
หลิงหยุนนึกถึงท่าทีที่เย็นชาของกงเสี่ยวลู่ตอนที่ยืนอยู่หน้าห้องเรียน แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นสาวร้อนแรงเซ็กซี่ และยินยอมให้เขาแตะเนื้อต้องตัว หลิงหยุนรู้สึกว่าการรักษาของเขาก้าวหน้าขึ้นมาก
“งั้นก็แล้วแต่เธอ..” กงเสี่ยวลู่ยิ้มพร้อมกับเอานิ้วชี้จิ้มหน้าผากหลิงหยุนพร้อมกับพูดอย่างรักใคร่ “เด็กดื้อ..”
หลิงหยุนต้องข่มไฟปรารถนาที่ลุกโชนของตัวเองไว้นับสิบครั้ง.. จากนั้นจึงเริ่มพูดธุระกับกงเสี่ยวลู่
“ครูครับ.. หลังจากที่เกาเฉินเฉินกลับไปปักกิ่ง พวกเราก็ติดต่อเธอไม่ได้เลย ครูพอจะทราบข่าวคราวของเธอบ้างไม๊ครับ?”
เมื่อกงเสี่ยวลู่ได้ยินหลิงหยุนถามถึงเกาเฉินเฉินขึ้นมา ในใจก็รู้สึกเหมือนถูกทุบด้วยค้อน เป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบาย
หลิงหยุนเป็นลูกศิษย์ของเธอ เกาเฉินเฉินเองก็เช่นกัน และทั้งคู่ต่างก็เป็นคนโด่งดังของโรงเรียน แล้วยังเป็นคู่ที่เหมาะสมกันอย่างมากด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนที่จะถึงวันเชงเม้ง เกาเฉินเฉินก็มาขออนุญาตเธอไปนั่งข้างหลิงหยุน เรื่องที่เกาเฉินเฉินชอบหลิงหยุนนั้นกงเสี่ยวลู่จึงรู้อยู่แก่ใจดี..
ตอนนี้เกาเฉินเฉินไม่อยู่ในเมืองจิงฉู แต่ตัวเธอเองกลับมาคบกับหลิงหยุน ไม่เพียงแค่เธอคบกับลูกศิษย์ตัวเอง แต่ยังแย่งแฟนของลูกศิษย์ตัวเองอีกด้วย
หลังจากนั่งนิ่งไปครู่หนึ่ง กงเสี่ยวลู่จึงถามขึ้นว่า “หลิงหยุน.. ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเกาเฉินเฉินตอนนี้เป็นยังไงบ้าง.. ไปถึงขั้นใหนแล้ว?”
หลิงหยุนตอบไปตรงๆว่า “เธอเป็นแฟนของผม ส่วนถึงขั้นใหนแล้วนั้น เรารู้กันแค่สองคน..”
“เธอ.. เจ้าเด็กร้ายกาจ!”
กงเสี่ยวลู่หน้าแดง แต่ก็เอื้อมมือไปตบบ่าหลิงหยุนเบาๆพร้อมกับพูดต่อว่า “เธอไม่ต้องห่วงความรู้สึกของครูหรอก.. บอกครูมาตรงๆได้เลย!”
หลิงหยุนตอบบยิ้มๆ “ครูครับ.. ผมไม่คิดจะโกหกครู แล้วก็จะพูดแต่ความจริง..”
“แล้วนอกโรงเรียน.. เธอยังมีผู้หญิงคนอื่นอีกไม๊? แล้วก็ถึงขั้นใหนแล้ว?” กงเสี่ยวลู่ถามหลิงหยุนตรงๆ
หลิงหยุนอมยิ้มก่อนจะถามกลับว่า “แน่ใจนะว่าครูอยากให้ผมเล่าความจริง.. ทั้งหมด?”
กงเสี่ยวลู่นั่งครุ่นคิดอย่างจริงจังครู่หนึ่ง จึงตอบกลับไปว่า “ช่างเถอะ! เอาเป็นว่าครูรู้ว่าเธอมีก็แล้วกัน แล้วก็น่าจะหลายคนด้วย! ครูไม่สนใจคนอื่น เอาเป็นว่าเธอสามารถทำให้ทุกคนพอใจและมีความสุขก็พอแล้ว!”
หลิงหยุนคิดในใจว่าวันหน้าเขาค่อยแนะนำให้รู้จักก็ยังไม่สาย จากนั้นจึงเริ่มถามเรื่องเกาเฉินเฉินต่อ
“ครูครับ.. ครูได้ข่าวคราวของเกาเฉินเฉินบ้างไม๊ครับ?”
กงเสี่ยวลู่เห็นหลิงหยุนกังวลมากก็ได้แต่แอบถอนใจ แต่ก็ตอบไปว่า “ก็ได้ข่าวมาบ้าง..”
“แต่ไม่ใช่จากปากเกาเฉินเฉินโดยตรงนะ ครอบครัวของเธอเป็นคนกับบอกครูมา พวกเขาบอกว่าเกาเฉินเฉินจะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ปักกิ่งให้ได้ ก็เลยให้เธอย้ายกลับไปที่นั่น..”
หลิงหยุนได้แต่ถามกลับไปว่า “แค่นั้นเหรอ?”
กงเสี่ยวลู่ส่ายหน้าและพูดต่อว่า “ไม่แค่นั้นนะ.. เพราะหลังจากที่เกาเฉินเฉินกลับไปที่ปักกิ่ง ก็ไม่ต่างจากจมหายไปในทะเล ไม่มีใครสามารถติดต่อเธอได้อีกแม้แต่คนเดียว” ขณะที่พูดแววตาของกงเสี่ยวลู่ก็เต็มไปด้วยความกังวล
หลิงหยุนคิดในใจว่า.. ดูท่าเกาเฉินเฉินคงจะถูกครอบครัวคุมตัวไว้ และไม่ยอมปล่อยให้เธอมีอิสระอย่างแน่นอน มีทางเดียวคือเขาต้องไปหาเธอที่ปักกิ่ง ไม่เช่นนั้นก็คงไม่มีใครสามารถที่จะติดต่อเธอได้อีกแน่!
เพียงแต่ว่า.. เธอถูกตระกูลเกา หรือตระกูลเฉินควบคุมตัวไว้กันแน่?
เพราะถ้าหากเป็นตระกูลเกาที่ควบคุมตัวเกาเฉินเฉินไว้ ก็คงจะไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เพราะหลังจากสอบเอนทรานซ์เสร็จ หลิงหยุนก็จะแอบไปหาเธอที่บ้าน
แต่หากเธอถูกตระกูลเฉินควบคุมตัวไว้.. เกาเฉินเฉินก็น่าจะตกอยู่ในอันตราย!
หลิงหยุนกำลังคิดว่าจะต้องหาคนมาช่วยสืบหาข่าวคราวของเกาเฉินเฉิน ไม่เช่นนั้นเขาคงจะไม่สบายใจ
“หลิงหยุน.. ยังไงเธอก็คงจะไม่ได้กลับมาที่นี่แล้วล่ะ แต่เกาเฉินเฉินเคยบอกครูไว้ว่าเธอจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยหยานจิง ส่วนตัวเธอเองก็จะสอบเข้าที่นั่นเหมือนกันไม่ใช่เหรอ? แล้วถ้าเธอสอบเข้าได้ เธอก็จะได้พบกับเกาเฉินเฉินเอง”
กงเสี่ยวลู่เห็นสายตาที่เศร้าสร้อยของหลิงหยุน จึงได้แต่พูดปลอบโยน
หลิงหยุนพยักหน้าอย่างเข้าใจ และเดินออกจากห้องนอนทันที “ครูครับ.. ผมต้องรีบไป พอดีมีธุระต้องรีบไปจัดการตอนบ่าย ผมไปก่อนนะครับ”
กงเสี่ยวลู่รีบบร้อนลุกจากเตียงพร้อมกับตะโกนบอกหลิงหยุนว่า “ครูจะไปหยิบเสื้อมาให้เธอ นานแล้วน่าจะแห้งแล้วล่ะ”
กงเสี่ยวลู่หยิบเสื้อมาสวมให้กับหลิงหยุน พร้อมกับช่วยเขาติดกระดุมและจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วยืนมองหลิงหยุนที่โพสท่าหล่ออย่างชื่นชม
“คิดไม่ถึงจริงๆว่าตั้งแต่ผอมลง เธอจะหล่อมากขนาดนี้…”
พูดแล้วกงเสี่ยวลู่ก็ได้แต่แอบถอนหายใจ พร้อมกับคิดในใจว่า หน้าตาหลิงหยุนหล่อเหลาขนาดนี้ ผู้หญิงที่ใหนจะปฏิเสธเขาลง?
“แล้วบ่ายนี้จะกลับเข้ามาเรียนไม๊?”
“มาแน่นอน.. ผมต้องมาจัดการเรียกร้องความยุติธรรมคืนให้กับครู..”
กงเสี่ยวลู่หัวเราะคิกคัก เธอยกนิ้วขึ้นชี้เข้าหาตัวเองอย่างอายๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ตอนนี้ครูคบกับเธอแล้ว ข่าวลือก็กลายเป็นจริงไปแล้ว ยังจะต้องเรียกร้องความยุติธรรมอะไรอีก?”
“หลิงหยุน.. เธอเป็นคนช่วยให้ครูเปิดใจ เรื่องชื่อเสียงอะไรพวกนั้น ครูไม่สนใจอีกแล้วล่ะ..”
หลิงหยุนตอบกลับไปอย่างภูมิใจ “มันคนละเรื่องกัน คนที่สร้างข่าวลือเรื่องนี้ขึ้นมาจะต้องรับบผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น ครูสบายใจได้ วันนี้ทุกอย่างจะกลับมาเป็นปกติ!”
“อย่าลืมว่าเธอมาขลุกอยู่ในห้องครูสองต่อสองตั้งสามคาบ.. ตอนนี้คนอื่นๆคงจะพูดอะไรกันไปถึงใหนแล้วก็ไม่รู้..”
หลิงหยุนยิ้มและตอบบกลับไปว่า “ครูครับ.. ครูยังไม่เข้าใจอีกเหรอ? ยิ่งผมอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ คนจก็จะยิ่งคิดว่ามันเป็นเรื่องปกติต่างหาก..”
กงเสี่ยวลู่เพิ่งจะเข้าใจและตอบกลับไปทันที “เธอนี่มันร้ายกาจจริงๆ! ครูรู้แล้วล่ะว่า เพราะอะไรหัวหน้ารักษาความมั่นคงถึงได้ถูกเธอต้อนจนจนมุมแบบนั้น!”
หลิงหยุนแสยะยิ้มอย่างเหยียดหยัน “คนอย่างหลัวจ้งน่ะเหรอ? ถ้าผมจะจัดการกับมันจริงๆแล้วล่ะก็ รับรองว่ามันจะร้องคร่ำครวญจนร้องไม่ออกอีกเลย!”
กงเสี่ยวลู่หัวเราะ เธอเดินไปส่งหลิงหยุนที่ประตูอย่างละล้าละลัง พร้อมกับแอบคิดว่า ‘คืนนี้เขาจะกลับบมาอีกไม๊?’
ห้องทั้งห้องยังคงอบอวลไปด้วยบรรยากาศที่เธออยู่กับหลิงหยุน กงเสี่ยวลู่สูดลมหายใจลึก และนี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่า แสงอาทิตย์ภายนอกนั้นสว่างไสวกว่าทุกๆวันอย่างที่เธอไม่เคยรู้สึกมาก่อน
….
หลิงหยุนออกจากหอพักของกงเสี่ยวลู่ไป และยังเหลืออีกราวสิบนาทีจึงจะหมดคาบ ตามทางเดินจึงไม่มีนักเรียนอยู่เลย
หลิงหยุนนึกถึงหลินเมิ่งหานก็รีบจ้ำอ้าวออกไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อไปถึงที่รถ เขาก็รีบขับออกนอกประตูโรงเรียนทันที หลิงหยุนขับรถแลนด์โรเวอร์ของตนเองไปที่โรงแรมหรูหราแห่งนึ่ง และสั่งอาหารไปราวเจ็ดแปดอย่าง ก่อนจะรีบขับกลับไปยังหมู่บ้านฝูฮัว
หลิงหยุนขับรถไปตามทางด้วยจิตใจเบิกบาน เมื่อไปถึงก็รีบลงไปเปิดประตูบ้าน และขับรถเข้าไปในบ้านของหลินเมิ่งหานทันที
หลิงหยุนวางอาหารไว้ในห้องนั่งเล่น และเดินตัวปลิวขึ้นไปข้างบน
“ที่รัก.. ผมซื้อข้าวกลับมาให้แล้ว..” หลิงหยุนร้องเรียกขณะที่เดินตรงเข้าไปในห้องนอนของหลินเมิ่งหาน
“สามี..” หลินเมิ่งหานได้ยินว่าหลิงหยุนกลับมาแล้ว ใบหน้าสวยงามของเธอก็เบิกบานขึ้นมาทันที และรีบฝืนลุกขึ้นจากเตียง
หลังจากที่หลิงหยุนออกไปตั้งแต่เช้า หลินเมิ่งหานก็พบว่าหนึ่งวันของเธอนั้น ยาวนานราวกับหนึ่งปี และนี่คืออาการของความคิดถึง!
เธออยู่บ้านคนเดียวดูทีวีก็ไม่สนุก ไม่อยากจับแม้กระทั่งคอมพิวเตอร์ สมองของเธอครุ่นคิดถึงหลิงหยุนอยู่ตลอดเวลา และแทบจะทนรอให้หลิงหยุนกลับมาหาไม่ได้
หลิงหยุนเดินเข้ามาในห้อง และเมื่อเห็นหลินเมิ่งหานลุกขึ้นมาจากเตียง ก็รีบเอื้อมมือไปบีบจจมูกของเธอทันที และแกล้งทำเป็นบ่นด้วยความโมโห
“ผมยังไม่กลับ.. ห้ามลุกขึ้นมารู้ไม๊! แล้วนี่หายเจ็บแล้วเหรอ?”
หลินเมิ่งหานเกาะแขนหลิงหยุนแน่นพร้อมกับพูดขึ้นว่า “สามี.. ฉันคิดถึงคุณมากเลย..”
หลิงหยุนยิ้มให้และมือใหญ่ๆของเขาก็ถอดชุดนอนของหลินเมิ่งหานออกอย่างชำนิชำนาญ และร่างสองร่างก็ยืนแนบเข้าด้วยกัน หลินเมิ่งหานรู้สึกราวกับถูกไฟฟ้าช็อต
“ยังไม่ตอบผมเลย.. ยังเจ็บอยู่ไม๊?”
หลินเมิ่งหานเพิ่งจะผ่านการเปลี่ยนสภาพจากเด็กสาวเป็นหญิงสาวเต็มตัว สีหน้าของเธอจึงเบ่งบานอิ่มเอิบบเป็นประกายน่าหลงใหล เธอตอบด้วยน้ำเสียงเอียงอาย
“ดีกว่าเมื่อเช้ามาก แต่ยังคงบวมอยู่..”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า “ความเจ็บปวดแบบนี้ ผ่านไปหนึ่งวันเต็มๆก็จะหายเอง ผมซื้อของอร่อยมาให้คุณเยอะแยะเลย ลงไปกินกันดีกว่า..”
แต่จู่ๆ หลินเมิ่งหานก็ทำจมูกฟุดฟิด และดมไปตามเสื้อผ้าและเนื้อตัวของหลิงหยุนพร้อมกับเอ่ยถามอย่างสงสัย
“สามี.. ทำไมถึงได้มีกลิ่นของผู้หญิงคนอื่นด้วยล่ะ?” หลินเมิ่งหานตาโตและถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
หลินเมิ่งหานแตกต่างจากกงเสี่ยวลู่.. หลิงหยุนเองก่อนออกจากห้องของเธอ ก็ลืมอาบน้ำมาก่อน แต่ก็รีบตอบหลินเมิ่งหานกลับไปว่า
“ก็.. ข้างๆโต๊ะของผมเป็นนักเรียนหญิงนี่นา ก็ต้องกมีกลิ่นติดตัวมาน่ะสิ”
หลินเมิ่งหานจ้องตาหลิงหยุน และสังเกตุอย่างละเอียดอยู่นาน แต่ก็ไม่พบอะไรที่ผิดปกติ จึงถามต่ออย่างสงสัย..
“จริงเหรอ? แล้วทำไมถึงต้องไปนั่งใกล้ผู้หญิงด้วยล่ะ..?”
หลิงหยุนตอบอย่างสบายๆ “ผมนั่งข้างเกาเฉินเฉิน คุณยังจำเธอได้ไม๊? วันที่ไปดูมังกรเล่นน้ำ เธอก็ไปกินข้าวด้วย.. เธอมานั่งข้างผมเอง แล้วจะให้ผมทำยังไง?”
“แต่ตอนนี้เธอกลับไปบ้านที่ปักกิ่งตั้งแต่วันอังคารที่แล้ว แล้วตอนนี้คนที่มานั่งแทนที่เธอก็เป็นลูกสาวของหัวหน้าแก๊งมังกรเขียว..”
แก๊งมังกรเขียว? คนของแก๊งมังกรเขียวถูกหลิงหยุนทำร้ายร่างกายไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมตอนนี้ลูกสาวของหัวหน้าแก๊งถึงได้มาเป็นเพื่อนข้างโต๊ะของหลิงหยุนได้?
สำหรับเกาเฉินเฉินนั้น หลินเมิ่งหานรู้จักดี และเธอก็ดูออกว่าเกาเฉินเฉินสนใจหลิงหยุนมาก
หลิงหยุนพูดไปอย่างไม่ใส่ใจ แต่คนฟังกลับสนใจฟังแล้วก็กลับคิดมาก หลินเมิ่งหานอดคิดไม่ได้ว่า เมื่อคืนเธอกับหลิงหยุนเพิ่งจะมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน และเธอเองก็ยอมพลีร่างกายให้กับเขา แต่เพียงแค่เขาออกนอกบ้านไปในตอนเช้า กลับมีกลิ่นของผู้หญิงคนอื่นติดตัวกลับมาด้วย หลินเมิ่งหานรู้สึกเจ็บปวด แต่ก็ไม่กล้าถามอะไรมาก..
ถึงแม้หลินเมิ่งหานจะรู้สึกอึดอัดกับสถานการณ์เช่นนี้ แต่เมื่อคิดว่าหลิงหยุนยังนึกถึงเธอ และซื้ออาหารมาให้ เธอก็รู้สึกพอใจอย่างมากแล้ว ขอเพียงแค่ได้พบหน้าเขาก็พอ หลินเมิ่งหานไม่อยากพูดอะไรมากในตอนนี้ จึงปล่อยให้หลิงหยุนอุ้มเธอลงไปชั้นล่าง
หลินเมิ่งหานมีความสุขอย่างมาก ทั้งคู่ผลัดกันป้อนข้าวให้กันและกัน
“สามี.. บ่ายนี้ต้องกลับไปเรียนอีกไม๊?”
หลังจากที่ต้องห่างกันช่วงเช้า หลินเมิ่งหานก็ไม่อยากให้ชายหนุ่มกลับไปเรียนอีก
หลิงหยุนคิดในใจว่า ต่อให้เขาไม่อยากกลับไปเรียนช่วงบ่าย แต่ถึงอย่างไรเขาก็ต้องออกไปข้างนอกอยู่ดี เพราะยังมีเหยาลู่ที่รอคอยเขาอยู่ที่โรงแรมแชงกรีล่า
หลิงหยุนมองร่างสวยงามที่อยู่ในอ้อมแขน และมองแววตาที่เต็มไปด้วยความเสียใจ หลิงหยุนได้แต่พูดออกไปอย่างลำบากใจ
“คุณภรรยาครับ.. ยังไงผมก็ต้องไปเรียน แต่จะรีบกลับมาอยู่กับคุณให้นานที่สุดดีไม๊?”
หลินเมิ่งหานได้ฟังก็เข้าใจความหมายของหลิงหยุนดี เธอตกใจและรีบถามขึ้นว่า “สามี.. คุณจะไม่อยู่กับฉันคืนนี้เหรอ?”
หลิงหยุนตอบกลับไปว่า “ผมอยู่ด้วยไม่ได้.. น้าหญิงของผมสั่งให้กลับบ้านเย็นนี้..”
หลินเมิ่งหานได้ฟังถึงกับน้ำตาตกทันที เธอพูดออกมาอย่างขุ่นเคือง “แล้วใจคอจะปล่อยให้ฉันอยู่ที่บ้านคนเดียวงั้นเหรอ?”
เมื่อเห็นหลินเมิ่งหานร้องห่มร้องไห้ หลิงหยุนเริ่มรู้สึกว่าตัวเองพบเจอกับปัญหาใหญ่เข้าแล้ว..
มีผู้หญิงเยอะ ก็มีปัญหาเยอะ!
แล้วนี่เขาจะทำยังไงดี?
บทที่ 430 : ปลอบโยนหยาลู่!
หลินเมิ่งหานเพิ่งได้ลิ้มรสความสุขของการเปลี่ยนจากเด็กสาวมาเป็นหญิงสาวเต็มตัวเมื่อคืนนี้ เธอจึงต้องการอยู่กับหลิงหยุนทุกนาที แต่ก็รู้ดีว่าหลิงหยุนยังเป็นเพียงเด็กนักเรียนชั้นมัธยมปลายที่ต้องเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์ เขาจึงจำเป็นต้องไปโรงเรียน
หลิงหยุนโอบกอดร่างทีสั่นเทาเพราะแรงสะอื้นและใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาของหลินเมิ่งหานไว้ด้วยความสงสาร ในใจของก็รู้สึกทนเห็นภาพเช่นนี้ไม่ได้
หลิงหยุนเองก็ไม่ได้ต้องการปล่อยให้หลินเมิ่งหานอยู่บ้านเพียงลำพัง! เขาจึงได้แต่เกาศรีษะพร้อมกับกอดเธอไว้แน่นขึ้น ก่อนจะยิ้มให้และบอกกับเธอว่า
“เอาล่ะ.. หยุดร้องไห้ได้แล้ว! ผมมีวิธีแก้ไขแล้ว ผมจะรีบกลับไปหาน้าหญิง แล้วก็จะพยายามหาทางออกมาอยู่กับคุณดีไม๊?”
หลินเมิ่งหานตอบกลับทันที “ไม่ใช่ ‘หาทาง’ แต่ ‘ต้องมา’ ไม่อย่างนั้นภรรยาของนายจะข่มตาหลับได้ยังไงกัน?”
หลิงหยุนลูบศรีษะของหลินเมิ่งหานและบีบจมูกเล็กๆของเธอ “ได้ๆ ในเมื่อคุณบอกว่า ‘ต้องมา’ ผมก็จะรีบออกไปจัดการธุระต่างๆให้เสร็จในตอนกลางวัน แล้วคืนนี้เราจะได้มีความสุขด้วยกัน!”
หลินเมิ่งหานยิ้มออก แต่ก็ยังถอนหายใจพร้อมกับพึมพำเบาๆ “ดูเหมือนนายจะรีบร้อนออกไปมากเลยนะ ไม่รู้บ้างหรือไงว่า เมื่อเช้าที่นายออกไปน่ะ ฉันรู้สึกเหงาแล้วก็เคว้งคว้างมาก จนไม่รู้จะอยู่ยังไง..!”
หลิงหยุนได้แต่คิดว่า หลังจากนี้อีกสองสามวัน เขาจะสอนวรยุทธให้กับหลินเมิ่งหาน เพื่อให้เธอมีอะไรทำและไม่รู้สึกเบื่อหน่าย
เขาอุ้มหลินเมิ่งหานเดินขึ้นไปบนห้องนอน พร้อมกับถามขึ้นว่า “แล้วพรุ่งนี้เช้าอยากกินอะไร? ผมจะได้ซื้อมาให้”
หลินเมิ่งหานตอบกลับอายๆ “ไม่เป็นไร.. ถ้ามีนายอยู่ด้วย ฉันกินอะไรก็เหมือนกัน..”
หลังจากที่อุ้มหลินเมิ่งหานเข้าไปในห้องนอนแล้ว ทั้งคู่ก็สวีทกันอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นหลิงหยุนจึงขับรถออกจากบ้านของหลินเมิ่งหานตรงไปที่โรงแรมแชงกรีล่า
ยี่สิบนาทีต่อมา หลิงหยุนก็ขึ้นไปถึงชั้นยี่สิบเจ็ดของโรงแรม และจัดการเคาะประตูห้องสูท
เมื่อเหยาลู่เปิดประตูออกมา และพบว่าเป็นหลิงหยุนยืนอยู่ เธอถึงกับพุ่งเข้าหาอ้อมกอดของเขา หลิงหยุนอุ้มร่างของเหยาลู่เดินเข้าไปในห้อง พร้อมกับยกเท้าขึ้นถีบประตูให้ปิด
“คุณทานข้าวเที่ยงยัง?”
หลิงหยุนอุ้มเหยาลู่ไปนั่งลงบนโซฟา เขามองเหยาลู่ด้วยใบหน้าที่รู้สึกผิดพร้อมกับนึกตำหนิตัวเองอยู่ในใจ ก่อนจะถามเหยาลู่ด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
“ฉันกินแล้ว.. พอดีที่ห้องมีบริการให้” เหยาลู่ตอบเอียงอาย
“เหยาลู่.. เมื่อคืนนี้..” หลิงหยุนรู้สึกว่าเขาจำเป็นต้องอธิบายให้เหยาลู่ฟัง
แต่เหยาลู่กลับยกนิ้วชี้ขึ้น และยื่นไปแตะริมฝีปากของหลิงหยุนไว้เป็นเชิงห้าม พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
“หลิงหยุน.. ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรทั้งนั้น ฉันรู้ว่าแต่ละวันคุณมีธุระมากมาย ฉัน.. ฉันเข้าใจ!”
คำพูดของเหยาลู่ทำให้หลิงหยุนรู้สึกเสียใจ และแทบจะพูดอะไรไม่ออก..
เขากอดเธอไว้ในอ้อมแขนอย่างรักใคร่ จากนั้นจึงโน้มตัวลงไปกระซิบที่ข้างหูเบาๆ “เหยาลู่.. เมื่อคืนผมเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่า คุณเพิ่งจะหายจากอาการบาดเจ็บสาหัส ร่างกายยังไม่ฟื้นตัวดี จึงไม่เหมาะที่จะเข้าหอกันในช่วงนี้ คงต้องรอไปอีกสักสองสามวัน ให้คุณหายดีกว่านี้ก่อน คุณจะว่ายังไง?”
เหยาลู่ได้ฟังคำอธิบายของหลิงหยุน จึงตอบกลับไปด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ “ฉันมอบร่างกายนี้ให้คุณไปแล้ว คุณจะต้องการเมื่อไหร่ ก็แล้วแต่..”
หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มพร้อมตอบกลับไปว่า “คุณนี่ช่างเป็นคนที่เปิดเผยจริงๆ.. เหยาลู่.. ระหว่างนี้อย่าคิดอะไรมากล่ะ แล้วก็ต้องพักผ่อนให้มากๆ เพื่อให้ร่างกายฟื้นตัวให้เร็วที่สุดรู้ไม๊?”
คำพูดของหลิงหยุนทำให้เหยาลู่มีความสุขมาก และไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอื่นๆ
“เหยาลู่.. ผมมาใคร่ครวญดูแล้ว ผมว่าคุณไม่ควรจะอยู่แต่ในคลีนิคทั้งวันทั้งคืนแบบนั้น เพราะผมเองก็อยู่ในเมือง ผมจะซื้อบ้านให้คุณสักหลัง สองสามวันนี้ถ้าคุณเบื่อที่จะอยู่แต่ในโรงแรม ก็ออกไปเดินดูบบ้าน ถ้าชอบหลังใหน ก็ซื้อได้เลย..”
เหยาลู่ฟังแล้วถึงกับตาเป็นประกาย และเปี่ยมไปด้วยความสุข แต่กลับส่ายหน้าไปมา..
“หลิงหยุน.. ฉันอยู่ชั้นสองของคลินิกก็เพียงพอแล้ว ทำไมยังจะต้องเสียเงินไปซื้อบ้านอีก?”
เพียงแค่หลิงหยุนเอ่ยปาก แค่นี้เหยาลู่ก็พอใจมากแล้ว!
หลิงหยุนยิ้มอย่างอ่อนโยน “คลินิกยังไงก็เป็นคลินิก.. ชั้นสองตกแต่งเป็นห้องพักก็จริง แต่ไว้ใช้สำหรับเวลาที่คุณเหนื่อยล้าจากงาน จะได้มีที่สำหรับไว้งีบพักผ่อนชั่วคราว..”
“ส่วนบ้านก็คือบ้าน.. ย่อมแตกต่างกันแน่นอน คุณเชื่อฟังผม! ออกไปหาดูบ้านที่ถูกใจ แล้วผมจะรีบซื้อให้ทันที”
“แต่.. แค่ทาวน์เฮ้าส์เล็กๆในเมืองอย่างต่ำๆก็ต้องหนึ่งล้านขึ้นไป..” เหยาลู่ตอบอย่างกระอักกระอ่วนใจ
หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า เมื่อวานฉินตงเฉี่วยและหนิงหลิงยู่ช้อปปิ้งหมดไปกว่าสองล้าน แล้วนี่ซื้อบ้านเป็นหลัง!
เขาตอบกลับไปยิ้มๆ “คุณไม่ต้องกังวลเรื่องเงิน.. เอาเป็นว่าคุณไปหาซื้อบ้านในงบห้าล้าน ถ้าชอบก็ซื้อได้เลย..”
หลิงหยุนยังมีบ้านของเถียนป๋อเตาในเมืองจิงฉูอีกหนึ่งหลัง และเงินสดอีกเก้าล้าน เขาสั่งถังเมิ่งให้จัดการขายบ้านทั้งสองหลังให้เร็วที่สุด หากขายในราคาที่ลดแล้ว บ้านสองหลังนั้นก็จะได้เงินราวสิบล้าน รวมแล้วก็เกือบยี่สิบล้าน เขาไม่ได้ขาดแคลนเงินเลย
“ห๊ะ? ห้าล้าน.. ซื้อบ้านเดี่ยวเล็กๆได้หนึ่งหลังเชียวนะ!” เหยาลู่อุทานออกมาอย่างตกใจ พร้อมกับอ้าปากค้าง
หลิงหยุนตอบกลับไปยิ้มๆ “ถ้าจะซื้อบ้านเดี่ยว ก็ต้องซื้อที่แยกออกไปไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนอื่น ผมจะได้อยู่กับคุณโดยที่ไม่ต้องมีใครมารบกวน”
และดูเหมือนว่าประโยคสุดท้ายของหลิงหยุนจะได้ผลดี เพราะหลังจากที่เหยาลู่ได้ฟัง เธอถึงกับดีใจจนไม่คิดที่จะปฏิเสธอีก
“หลิงหยุน.. คุณช่างดีกับฉันเหลือเกิน..+” เหยาลู่เอนร่างที่อ่อนนุ่มลงซบไหล่ของหลิงหุยนอยู่แบบนั้น
หลิงหยุนพูดต่อว่า “ถังเมิ่งถนัดเรื่องพวกนี้ ถ้าคุณเลือกบ้านได้แล้ว แต่ไม่มั่นใจ ให้โทรเรียกถังเมิ่งให้มาช่วย”
“อืมม..”
หลิงหยุนเรียกเงินสดออกมาจากแหวนพื้นที่ แล้วโยนไปไว้บบนโต๊ะตรงหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ผมมีธุระต้องไปจัดการ สองสามวันนี้คุณออกไปข้างนอกเดินเล่น ถ้าอยากได้อะไรก็ซื้อ แล้วถ้าเงินไม่พอก็บอกผม ผมจะได้โอนเข้าบัญชีให้”
เหยาลู่มองหลิงหยุนอย่างครุ่นคิด และจู่ๆน้ำตาก็เริ่มไหล “คุณ.. คุณให้เงินฉันอีกทำไม? ครั้งที่แล้วสามแสนฉันยังไม่ได้ใช้เลย..”
หลิงหยุนร้องออกมาอย่างตกใจ “ทำไมถึงไม่ใช้? ผมบอกให้คุณเก็บไว้แค่หมื่นเดียว ที่เหลือให้ส่งกลับไปให้ที่บ้านไม่ใช่เหรอ? ทำไมคุณถึงไม่ทำตาม?”
เหยาลู่ตอบกลับไปว่า “นี่มันเป็นเงินของคุณ.. ฉันเกรงใจไม่กล้าส่งเงินมากมายขนาดนั้นให้ทางบ้านหรอก ฉันก็เลยส่งไปให้แค่สามหมื่นหยวน ที่เหลือก็ยังอยู่ ยังไม่ได้เอาไปใช้อะไร?”
หลิงหยุนถึงกับพูดไม่ออกไปครู่ใหญ่ แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าเหยาลู่ช่างน่ารักนัก เขาหอมแก้มเหยาลู่ฟอดใหญ่ ก่อนจะส่ายหน้าพร้อมกับสั่งว่า
“เหยาลู่.. ครั้งนี้ไม่เชื่อฟังผมได้! แต่ครั้งหน้าไม่ได้แล้วนะ..”
หลิงหยุนพูดต่อว่า “สงสัยผมคงจะให้เงินคุณน้อยไป.. ให้ไปสามแสน คุณส่งไปที่บ้านแค่สามหมื่น ผมคงต้องสั่งให้ถังเมิ่งโอนเงินเข้าบัญชีคุณสามล้านมั๊ง คุณถึงจะกล้าส่งเงินสามแสนกลับไปให้ที่บ้าน..”
เหยาลู่ถึงกับอึ้งไป เธอกำลังจะอ้าปากห้าม แต่หลิงหยุนกลับปิดปากเธอด้วยริมฝีปากของเขา และทั้งคู่ก็ดื่มด่ำกันอยู่นาน
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ หลิงหยุนก็หยิบโทรศัพท์ออกมาโทรหาถังเมิ่ง เขาสั่งให้ถังเมิ่งโอนเงินสามล้านเข้าบัญชีเหยาลู่บ่ายนี้ และเร่งให้ถังเมิ่งจัดการขายบ้านสองหลังของเถียนป๋อเตาให้เร็วที่สุด พร้อมกับสั่งให้ช่วยหาบ้านให้เหยาลู่หนึ่งหลัง และให้เลือกหลังที่สามารถย้ายเข้าไปอยู่ได้เลย
หลังจากจัดการสั่งงานเรียบบร้อยแล้ว หลิงหยุนก็หันไปยิ้มให้กับเหยาลู่และบอกกับบเธอว่า “ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเห็นไม๊.. ง่ายจะตายไป!”
“ทำไมคุณต้องดีกับฉันขนาดนี้? ฉันไม่ได้มีค่าพอที่จะให้คุณมาจ่ายเงินเพื่อฉันมากมายแบบบนี้..” เหยาลู่พูดเสียงสั่น
หลิงหยุนตอบเหยาลู่กลับไปว่า “อย่าโง่ไปหน่อยเลย.. คุณยังสละชีวิตตัวเองปกป้องคลีนิกของเราได้ ผมให้เงินกับบ้านคุณแค่นี้ยังนับว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย!”
พิษหนอนกู่ในตัวเหยาลู่นั้น แม้แต่ท่านเสี่ยวหมอเทวดายังไม่สามารถรักษาให้หายได้ หากหลิงหยุนกลับมาไม่ทันเวลา แน่นอนว่าเธอคงต้องตายไปแล้วอย่างแน่นอน!
สำหรับหลิงหยุน สิ่งที่เหยาลู่ทำเพื่อเขานั้นนับว่าเกินขีดความสามารถของเธอมาก ต่อให้เขาดีกับเธอมากเพียงใด ก็คงยังไม่พอ..
หลิงหยุนตั้งใจไว้ว่า ในคืนที่เข้าห้องหอกับเธอนั้น เขาจะมอบไข่มุกราตรีให้กับเธอด้วย..
ใกล้ถึงเวลาเรียนแล้ว หลิงหยุนวางร่างของเหยาลู่ลงข้างๆ และบอกกับเธอว่า “เหยาลู่ ผมต้องไปโรงเรียนแล้ว อยู่เป็นเพื่อนคุณไม่ได้ คุณ.. คงจะไม่ตำหนิอะไรใช่ไม๊?”
น้ำเสียงของหลิงหยุนนั้นทุ้มนุ่มลึก และอ่อนโยน เหยาลู่ตอบกลับไปเสียงสั่นพร้อมกับส่ายหน้าช้าๆ “ฉันไม่ตำหนิคุณหรอก..”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับหอมแก้มเหยาลู่ฟอดใหญ่ เขาเอื้อมมือหยิบเงินสดสองหมื่นที่วางไว้บนโต๊ะกลับเข้าไปในแหวนพื้นที่คืนพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ถ้างั้นผมขอยืมเงินสองหมื่นหยวนนี่ก่อนนะ เพราะตอนนี้ผมไม่มีเงินติดตัวแล้ว”
เหยาลู่ฟังแล้วก็ได้แต่หัวเราะ..
“ผมไปก่อนนะ พรุ่งนี้จะกลับมาหาคุณใหม่!”
หลิงหยุนลุกขึ้นยืนพร้อมกับพูดกับเหยาลู่ด้วยน้ำเสียงจริงจัง “จำที่ผมสั่งได้ใช่ไม๊? ก่อนที่คลินิกจะตกแต่งเสร็จ ห้ามคุณไปที่นั่นอีก?”
บทที่ 431 : คืนความเป็นธรรม!
เหยาลู่เดินออกไปส่งหลิงหยุนอย่างมีความสุขจนถึงหน้าประตูโรงแรม และยืนมองจนรถของเขาหายลับตาไป
นักศึกษาสาวจากรั้วมหาวิทยาลัยที่ยังไม่เรียนไม่จบ แต่สามารถมีบ้านเดี่ยว มีเงินในบัญชีสามล้านกว่าบาท และมีคลินิกที่มีมูลค่าอีกนับสิบล้าน เพียงเท่านี้ก็เกินกว่าที่ผู้หญิงธรรมดาบ้านๆคนหนึ่งจะใฝ่ฝันได้แล้ว
แต่ทุกสิ่งเป็นจริงขึ้นมาได้ก็เพราะเธอได้พบกับหลิงหยุน และตอนนี้ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาก็เหลือเพียงขั้นตอนสุดท้ายเท่านั้น แล้วมันก็กำลังจะเกิดขึ้นในอีกสองสามวันข้างหน้า
หลายคนทำงานหนักมาทั้งชีวิต แต่กลับไม่สามารถมีอะไรเป็นของตัวเองได้สักอย่าง ในขณะที่เหยาลู่สามารถมีทุกสิ่งทุกอย่างได้ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งเดือน เธอจึงรู้สึกมีความสุขอย่างมาก และรักเด็กผู้ชายคนนี้อย่างที่สุด
เหยาลู่ยืนมองจนกระทั่งรถแลนโรเวอร์ของหลิงหยุนหายลับตาไป แววตาของเธอเปี่ยมไปด้วยความสุข แต่ก็มีพึมพำออกมาเบาๆ
“คนใจร้าย.. ไปหาผู้หญิงคนอื่นมา แล้วก็มาขอโทษฉัน!” น้ำเสียงของเธอมีทั้งอิจฉา มีความสุข แล้วก็ขมขื่นปะปนกันไป
ไม่ว่าจะเป็นกงเสี่ยวลู่ หลินเมิ่งหาน หรือแม้แต่เหยาลู่ ทุกคนล้วนแต่ไม่ได้โง่..
………..
ทันทีที่หลิงหยุนไปถึง ก็รีบตรงเข้าไปในห้องเรียนทันที เขาแทรกตัวเข้าไปด้านหลังหลงหวู่เพื่อเข้าไปนั่งที่โต๊ะของตัวเอง
หลงหวู่ยังคงนั่งดูนิตยสารแฟชั่นอย่างสนอกสนใจ และทุกเล่มล้วนนิตยสารต่างประเทศ ไม่ได้สนใจเรียนแม้แต่น้อย
“นี่.. ใจกล้าไม่เบาเลยนะ! กลางวันแสกๆ คนก็ตั้งเยอะตั้งแยะ นายยังกล้าพาครูประจำชั้นขึ้นไปที่หอพักอีก?”
ทันทีที่หลิงหยุนนั่งลง หลงหวู่ก็ปิดนิตยสารในมือ แล้วก็พูดขึ้นมาทันที..
หลิงหยุนจ้องหน้าหลงหวู่อย่างสนใจ แล้วริมฝีปากแดงของเขาก็แย้มยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า
“ผมน่ะใจกล้าแต่ใหนแต่ไรแล้ว.. คุณอยากจะลองไม๊ล่ะ?”
หลงหวู่หน้าแดงขึ้นมาทันทีพร้อมกับทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ แล้วก็ไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก..
แต่หลิงหยุนไม่จบเท่านั้น เขารีบฉวยโอกาสถาม “นี่คุณทนายความคนสวย ผมมีเรื่องจะปรึกษา?”
หลงหวู่ได้ยินหลิงหยุนจงใจไม่เรียกชื่อเธอ จึงได้แต่กัดริมฝีปากพร้อมกับถามไปว่า “มีอะไรให้ก็ว่ามา!”
หลิงหยุนเล่าเรื่องของบริษัทชิงหยุนโปรดักชั่นให้หลงหวู่ฟัง และกำลังรอว่าเธอจะมีคำแนะนำอะไรดีๆให้เขาบ้าง
หลังจากนิ่งฟังอยู่นาน หลงหวู่จึงพูดขึ้นมาว่า “เรื่องแบบนี้หากฟ้องร้องกันไปตามกฏหมาย ต่อให้นายชนะคดีความ พวกเขาก็แค่ชดใช้เงินให้ ไม่ถึงกับต้องยกบริษัทให้นายนี่..”
“อีกอย่าง.. ถ้านายอยากจะเปิดบบริษัทที่ทำเกี่ยวภาพยนตร์หรือว่าทีวี ทำไมต้องไปทำอะไรที่ยุ่งยากขนาดนั้น ก็แค่ลงทุนจดทะเบียนเปิดบริษัทใหม่ก็แค่นั้น!”
หลงหวู่อธิบายได้ค่อนข้างชัดเจนแจ่มแจ้ง..
หลิงหยุนยิ้มพร้อมตอบกลับไปว่า “ผมเข้าใจที่คุณพูดทั้งหมด.. แต่จุดประสงค์ของผมไม่ได้ต้องการเงินหรือบริษัทของพวกมัน ผมแค่ต้องการทำให้บริษัทชิงหยุนโปรดักชั่นสิ้นชื่อ แล้วก็สูญหายไปจากประเทศนี้เลยต่างหาก..”
หลังจากที่หลงหวู่ได้รู้ถึงความต้องการที่แท้จริงของหลิงหยุน เธอก็ตอบกลับมาง่ายๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่.. นายก็แค่บุกเข้าไปที่บริษัทนั่น แล้วก็จัดการปิดไม่ให้พวกมันเปิดทำงานได้อีก แค่นี้ก็จบแล้ว!”
หลิงหยุนถึงกับอึ้งไป และไม่พูดอะไรอีก หลังจากที่เขาหลงคิดหาวิธีอยู่นาน แต่หลงหวู่กลับให้คำตอบง่ายๆกับเขา หลิงหยุนยกนิ้วโป้งให้หลงหวู่พร้อมกับเอ่ยชม
“เป็นคำแนะนำที่ดีมาก!”
หลงหวู่เพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย.. แต่หลังจากนั้น หลงหวู่ก็ถึงกับอึ้งในการกระทำของหลิงหยุนจนพูดอะไรไม่ออก เขาหยิบโทรศัพท์มือถืออกมาโทรหาตี้เสี่ยวอู๋
“นายพาคนของเตาฉีไปถล่มบริษัทชิงหยุนโปรดักชั่น ยิ่งพังยับเยินมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งดี!”
หลงหวู่หันไปยกนิ้วโป้งให้หลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า “นายนี่โหดแล้วก็ดุกว่าที่ฉันคิดซะอีก!”
“คุณก็ไม่ได้น้อยไปกว่าผมหรอก..” หลิงหยุนตอบหลงหวู่พร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข
“หลังจากผมเสร็จภารกิจในโรงเรียนบ่ายนี้ คุณช่วยพาผมไปที่บ้านหน่อยจะได้ไม๊? ผมต้องการไปขอบคุณลุงหลงด้วยตัวเอง..”
หลงหวู่ตอบกลับไปยิ้มๆ “ได้สิ! แต่นายต้องจ่ายค่าจ้างให้ฉันด้วย..” พร้อมกันแบมือไปตรงหน้าหลิงหยุน
หลิงหยุนเข้าใจความหมายดี เขารีบผลักฝ่ามือของหลงหวู่ออกอย่างไม่สนใจพร้อมกับตอบไปว่า
“ผมอุตส่าห์ให้เกียรติคุณพาผมไป คุณคิดเหรอว่าถ้าคุณไม่พาผมไป ผมจะไปแก๊งมังกรเขียวไม่ถูก อย่าลืมนะว่าผมยังมีตี้เสี่ยวอู๋อยู่”
หลิงหวู่หัวเราะคิกคักพร้อมกับต่อรอง “ถ้างั้น.. ก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยน..”
หลิงหยุนอดคิดไม่ได้ว่า.. การที่เขาขับรถไปส่งหลงหวู่ที่บ้านโดยที่ไม่คิดเงินก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว ยังจะกล้ามาเรียกร้องอะไรอีก!
แต่แล้วก็ได้ยินหลงหวู่ถามขึ้นว่า “ฉันได้ยินมาว่านายมีความจำที่น่าอัศจรรย์มาก.. จริงไม๊?”
หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับตอบไปว่า “ใช่.. แล้วยังไง?”
หลงหวู่ยกมือขึ้นชี้ไปที่ Oxford English Dictionary บนโต๊ะของเกาเฉินเฉินแล้วพูดกับหลิงหยุนว่า
“ถ้าให้นายจำคำศัพท์ในนั้นทั้งหมด นายต้องใช้เวลาเท่าไหร่?”
หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า.. ดูเหมือนภารกิจที่เกาเฉินเฉินทำค้างไว้จะถูกส่งต่อให้กับหลงหวู่ แต่หลิงหยุนถามกลับอย่างไม่สนใจ และเห็นเป็นเรื่องไร้สาระ
“ท่องได้หมดแล้วจะมีประโยชน์อะไร..?”
หลงหวู่ยิ้มขึ้นมาทันทีพร้อมกับจ้องมองหลิงหยุนด้วยสีหน้าจริงจัง “หลิงหยุน.. เวทีของนายไม่ใช่แค่เมืองจิงฉู ไม่ใช่แค่ประเทศจีน แต่เป็นทั่วโลก!”
“ฉันรู้ว่าความรู้ในระดับมัธยมพวกนี้ไม่มีความหมายอะไรกับนาย แต่นายอย่าลืมว่า ในวันข้างหน้าถ้านายต้องเดินทางไปต่างประเทศ นายก็จะได้ไม่ต้องคอยใช้ล่าม!”
“หลังจากที่นายท่องคำศัพท์ในดิกชันนารีเล่มนี้ได้ทั้งหมด ต่อไปฉันก็จะสอนนายเรื่องสำเนียงการออกเสียง มันจะเป็นประโยชน์กับนายมาก มีแต่ข้อดี ไม่เห็นจะมีข้อเสียตรงใหนเลย..”
หลิงหยุนได้แต่อึกอัก เพราะสิ่งหลงหวู่พูดมานั้นล้วนมีเหตุผล และไม่อาจปฏิเสธได้
หลิงหยุนเข้าใจได้ในทันทีว่า เหตุใดหลงหวู่จึงดูแตกต่างจากคนในวัยเดียวกัน นั่นก็เพราะว่าเธอเป็นคนที่มองเห็นอะไรที่แตกต่างจากคนอื่น
หลงหวู่ไปเรียนที่ประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่เด็กจนกระทั่งได้กรีนการ์ด จึงมีความรู้และความเข้าใจในวัฒนธรรมอเมิกันค่อนข้างดีกว่าคนจีนทั่วไป
หลงหวู่ที่อายุยังไม่ถึงสิบแปดเต็ม แต่สามารถเรียนจบปริญาโทด้านกฏหมายจากมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดได้แล้ว ความจริงเธอไม่จำเป็นต้องมานั่งเรียนกับเด็กมัธยมปลายด้วยซ้ำไป และคนแบบหลงหวู่ก็มีไม่มากนักในประเทศจีน
และแน่นอนว่า.. มหาวิทยาลัยในประเทศจีน ก็คงไม่สามารถเทียบบได้กับมหาวิทยาลัยฮาวาร์ดในประเทศอเมริกา
หลิงหยุนอดที่จะสะดุดใจกับคำพูดของหลงหวู่ไม่ได้ – หลิงหยุน.. เวทีของนายไม่ใช่แค่เมืองจิงฉู ไม่ใช่แค่ประเทศจีน แต่เป็นทั่วโลก!
นับว่าหลงหวู่มองเรื่องนี้ได้ขาดมาก และเธอก็เป็นผู้หญิงคนเดียวที่พูดเช่นนี้กับหลิงหยุน หลิงหยุนอดที่จะนับถือเธอไม่ได้
หลิงหยุนจ้องลึกลงไปในดวงตาของหลงหวู่ ก่อนจะหยิบ Oxford English Dictionary เล่มหนาที่อยู่บนโต๊ะขึ้นมา แล้วตอบหลงหวู่ไหว่า
“ก็ได้.. ผมขอเวลาหนึ่งอาทิตย์!”
หลงหวู่ร้องอุทานออกมาอย่างตกใจระคนแปลกใจ “นี่นายล้อเล่นหรือเปล่า? ทำไมถึงใช้เวลานานขนาดนั้นล่ะ?!”
หลิงหยุนถึงกับถอนใจและตอบกลับไปว่า “ถ้าแค่ท่องศัพท์ในนี้ ผมใช้เวลาสองสามวันเท่านั้นล่ะ แต่ผมมีเรื่องที่ต้องทำอีกเยอะแอยะ หนึ่งอาทิตย์นี่ล่ะเร็วที่สุดแล้ว!”
สำหรับหลิงหยุนแล้ว ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการฝึกตน และพัฒนาความแข็งแกร่งของตนเอง เรื่องอื่นๆล้วนเป็นเรื่องรองลงมาทั้งสิ้น เพราะหากเขาไม่แข็งแกร่งพอ เขาก็คงจะไปใหนต่อใหนลำบาก..
หลงหวู่ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าให้แล้วก็เงียบไป.. หลิงหยุนเอ่ยถามหลงหวู่ต่อว่า หากเขาต้องการเรียนภาษาอื่นเพิ่มเติม เขาควรจะไปเรียนที่ใหน หลงหวู่จึงแนะนำให้เขาไปเรียนกับเจ้าของภาษาโดยตรง
หลิงหยุนทำมือเป็นสัญลักษณ์ Ok จากนั้นก็เริ่มท่องคำศัพท์ในดิกชันนารี่อย่างจริงจัง
หลิงหยุนไม่เพียงแค่จดจำคำศัพท์ได้ แต่ยังจดจำเลขที่หน้าของศัพท์คำนั้นๆไว้ด้วย ตลอดการเรียนสองคาบแรกในตอนบ่ายนั้น หลิงหยุนไม่ได้สนใจเรียนเลยแม้แต่น้อย เพราะเอาแต่ท่องศัพท์จนสามารถจดจำคำศัพท์ได้ทั้งหมดห้าสิบหน้าแล้ว
ตราบใดที่จำได้แล้ว หลิงหยุนก็จะไม่ลืม.. เขาสามารถจดจำคำศัพท์ทุกคำได้จากการอ่านผ่านตาเพียงแค่ครั้งเดียว และภายในสองนาทีหลิงหยุนก็สามารถจดจำคำศัพท์ได้หนึ่งหน้า แต่ยิ่งเขาจดจำคำศัพท์ได้มากเท่าไหร่ ความสามารถในการอ่านของเขาก็คล่องขึ้นด้วยเช่นกัน ทำให้สามารถล่นเวลาเหลือเพียงแค่หนึ่งหน้าต่อหนึ่งนาทีเท่านั้น
แต่ Oxford English Dictionary ก็หนามาก จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะอ่านจบภายในสิบกว่าชั่วโมง อีกทั้งตอนนี้หลิงหยุนยังไม่มีจิตหยั่งรู้ เพราะยังอยู่ในขั้นต้นของการฝึกวิชาเนตรหยินหยางเท่านั้น
เมื่อเสียงกริ่งหมดคาบเรียนดังขึ้น หลิงหยุนจึงเรียกดิกชันนารีเข้าไปเก็บไว้ในแหวนพื้นที่
หลงหวู่เห็นหลิงหยุนจริงจังกับการท่องศัพท์ในสองคาบบที่ผ่านมา ใบหน้าสวยงามของเธอก็เต็มไปด้วยความสดใส!
หลงหวู่เห็นชัดว่าหลิงหยุนท่องไปได้ทั้งหมดห้าสิบหน้าแล้ว และรู้ดีว่าเขาจะสามารถจดจำทุกอย่างได้ ความทรงจำที่น่าอัศจรรย์ของหลิงหยุนนั้น ทำให้แม้แต่หลงหวู่ซึ่งเป็นคนมีความจำเป็นเลิศคนหนึ่งถึงกับต้องศิโรราบให้
“เร็วจนเหลือเชื่อ..” หลงหวู่ได้แต่แอบตกใจอยู่เงียบๆ แต่ก็แกล้งพูดชมหลิงหยุนออกไป
“ธรรมดา..” หลิงหยุนตอบยิ้มๆพร้อมกับลุกขึ้นยืน
“แล้วนี่นายจะไปใหน?” หลงหวู่ลุกขึ้นยืนตามหลิงหยุน
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะตะโกนบอกเพื่อนๆในห้อง “ทุกคน.. ผมกับครูประจำชั้นถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรม ผมจะไปพบครูใหญ่กับผู้อำนวยการ มีใครต้องการจะไปกับบผมบ้าง?”
ช่วงเช้าหลิงหยุนขึ้นไปบนหอพักกับกงเสี่ยวลู่สองต่อสองต่อหน้าผู้คนมากมาย และแทบไม่มีใครรู้เลยว่าเขาออกจากห้องของกงเสี่ยวลู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ทุกคนต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนานา
แต่ตอนบ่ายกลับมานั่งเรียนได้อย่างปกติจนกระทั่งหมดไปสองคาบ และทันทีที่หมดคาบเรียนที่สอง เขาก็ลุกขึ้นประกาศกร้าวว่าจะไปเรียกร้องความยุติธรรมจากครูใหญ่กับผู้อำนวยการ เพื่อนๆในห้องต่างก็พากันปรบมือเสียงดัง!
“หลิงหยุน.. ทุกคนอยู่ข้างนาย พวกเราจะไปกับนาย!”
“ไป.. พวกเราไปกัน! ครูประจำชั้นดีกับพวกเรามาก หลายปีผ่านมาก็ไม่เคยมีเรื่องเสื่อมเสีย แล้วจู่ๆก่อนพวกเราจะจบ กลับต้องมาเสียชื่อ!”
“เห็นชัดว่ามีคนต้องการจะดิสเครดิตห้องเรา พวกเราไม่เคยมีปัญหาแบบนี้มาก่อน..”
“ไปเลยพี่หลิง.. พวกเราจะทำตามคำสั่งของพี่!”
………….
ตลอดสามปีที่กงเสี่ยวลู่ทุ่มเทให้กับการเรียนการสอนมานั้น ทำให้เกิดมิตรภาพที่ดีระหว่างเธอกับนักเรียนมาโดยตลอด และตอนนี้ได้เวลาที่นักเรียนทุกคนจะได้ตอบแทนเธอกลับบ้าง!
อีกทั้งภาพลักษณ์ของหลิงหยุนในเวลานี้ ก็มีอิทธิพลต่อนักเรียนแทบทุกคนในห้อง ใครๆก็อยากจะติดตามเขาไปด้วย
เว้นเพียงคนเดียวเท่านั้น นั่นก็คือเว่ยเถียนกัง!
ท่ามกลางสายตาที่ตื่นเต้นของเพื่อนนักเรียนในห้อง หลิงหยุนเดินนำหน้าไปที่ประตูอย่างห้าวหาญ
ฉางหลิงยิ้มพร้อมกับลุกขึ้นไปยืนข้างฉางตง ไฉฮั่นหลิน กู่หยวนหลง และซาเกาจิ้ง.. ไม่เว้นแม้แต่เหมี่ยวเสี่ยวเหมาที่ลุกขึ้นยืนด้วยเช่นกัน และแน่นอนว่าหลงหวู่เองก็ไม่พลาด
แววตาที่คมกริบและเย็นยะเยือกของหลิงหยุนจ้องมองไปทางเว่ยเถียนกัง ก่อนจะพูดยิ้มๆ
“ไปกัน! ไปทวงความยุติธรรมให้กับครูประจำชั้น!”
หลิงหยุนพูดพร้อมกับโบกมือให้ทุกคนเดินตามเขาออกจากห้องไป นักเรียนในห้องทั้งหมดมีมากกว่าห้าสิบคนเดินลงบันไดไปคล้ายกับผู้ประท้วง และมุ่งหน้าไปที่สำนักงานของโรงเรียน
“เห้ย.. หลิงหยุน.. หลิงหยุนออกไปแล้ว!”
“มีเรื่องอะไรกัน.. ทำไมเขาพานักเรียนในห้องไปด้วยเยอะแยะ นี่เขาจะไปทำอะไรกัน?!”
“ดูท่าจะเกิดเรื่องใหญ่แล้วสิ ดูท่าจะปกันหมดทั้งห้อง!”
“ตามไปดูเร็วเข้าว่าเกิดอะไรขึ้น?”
หลิงหยุนตั้งใจเปิดตัวใหญ่โตขนาดนี้ ก็เพื่อให้นักเรียนคนอื่นๆในโรงเรียนได้เห็นด้วย!
“ทุกคนตะโกนตามผม!”
หลิงหยุนใช้มังกรคำรามสั่งทุกคน และถึงแม้เสียงของเขาจะไม่ดังมาก แต่นักเรียนทุกคนก็ได้ยินกันอย่างชัดเจน!
ระหว่างที่นักเรียนมัธยมปลายห้องหกเดินไปนั้น ทุกคนต่างก็รองตะโกนอย่างพร้อมเพรียงกัน “คืนความเป็นธรรม!” จนดังกึกก้องไปทั่วทั้งโรงเรียน
หลิงหยุนหัวเราะ พร้อมกับหันไปถามฉางหลิงถึงทางไปห้องครูใหญ่เพื่อจัดการคิดบัญชี!
“แย่แล้ว.. ดูเหมือนหลิงหยุนจะไปเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับครูประจำชั้นของเขา!”
“มิน่า.. เมื่อเช้าที่หลิงหยุนไปหอพักกับครูประจำชั้นเมื่อเช้า ก็คงจะไปคุยเรื่องเรียกร้องความเป็นธรรมคืนให้เธอแน่!”
“ดูท่าครูใหญ่จางคงยากที่จะโต้เถียง”
“ตามไปสิ.. นายจะมายืนซื่อบื้ออะไรอยู่ตรงนี้ ตามไปดูเร็วเข้า..”
นักเรียนห้องอื่นๆต่างก็พากันตามลงไปดูจนกลายเป็นจำนวนคนที่มากมาย พวกเขาต่างก็เดินตามขบวนของหลิงหยุนไป นักเรียนมัธยมทั้งหกห้องต่างก็ร้องตะโกนว่า “คืนความเป็นธรรม”
และตอนนี้ภายในโรงเรียนมัธยมจิงฉูก็เต็มไปด้วยความโกลาหล และเต็มไปด้วยผู้ประท้วงอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ปัง!
หลิงหยุนเปิดประตูห้องทำงานของครูใหญ่เข้าไป!
บทที่ 432 : ห้องครูใหญ่ (1)
ครูใหญ่จางอยู่ในห้องพร้อมกับรองครูใหญ่อีกทั้งสี่ท่าน และทั้งหมดก็กำลังประชุมกันเรื่องของกงเสียวลู่อยู่พอดี
รองครูใหญ่ทั้งสี่คนนั้นต่างก็แบ่งออกเป็นสองฝ่าย สองในสี่ไม่เชื่ออย่างเด็ดขาดว่ากงเสี่ยวลู่จะมีอะไรกับนักเรียนของตัวเอง ส่วนอีกสองคนดูเหมือนจะเชื่อว่าเธอทำเช่นนั้นจริงๆ
รองครูใหญ่สองคนที่เชื่อว่ากงเสี่ยวลู่เป็นอย่างที่ได้ยินข่าวลือนั้นก็คือ หวังเหว่ยเฉิง กับเจียวเฟิ่งหวงซึ่งเป็นครูผู้หญิง
ทุกคนต่างก็กำลังประชุมกันแล้วก็ถกเถียงกันอย่างเคร่งเครียดอยู่ในห้อง และแน่นอนว่าผู้อำนวยการหลิวที่เชื่อว่ากงเสี่ยวลู่กับหลิงหยุนนั้นมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกัน ก็อยู่ในห้องประชุมด้วย
ความจริงแล้วครูใหญ่จางเองก็ไม่เชื่อเรื่องนี้สักเท่าไหร่ แล้วเขาก็ได้แต่นั่งมองทุกคนในห้องถกเถียงกันเรื่องนี้อย่างดุเดือด แม้จะรู้สึกปวดหัวอย่างมาก แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่นั่งฟังทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันอย่างเงียบๆ
ตัวเขาเองก็ไม่รู้จะว่าจัดการกับปัญหานี้อย่างไรดี ในเมื่อหวังเหว่ยเฉิงเองก็เป็นญาติกับเสียเจิ้นเหยิน ส่วนเจียวเฟิ่งหวงซึ่งเป็นรองครูใหญ่ผู้หญิงเพียงคนเดียว ก็เป็นน้าสาวของหลู่เจิ้งเทียน
ส่วนผู้อำนวยการหลิวนั้นก็สนิทสนมกับกู่เหลียนเฉิงเพราะไปเที่ยวแบบว่าด้วยกันบ่อยๆ อีกทั้งยังคลั่งไคล้กงเสี่ยวลู่ไม่น้อย และตามจีบเธอมานานหลายปี ครูใหญ่จางเองก็อ่านความคิดของผู้อำนวยการหลิวออกอย่างทะลุปรุโปร่ง
ในเมื่อผู้อำนวยการหลิวไม่สามารถใช้วิธีธรรมดาพิชิตใจของกงเสี่ยวลู่ได้ เขาก็จะอาศัยโอกาสที่กงเสี่ยวลู่มีเรื่องเสียหายนี้ เป็นเครื่องมือต่อรองกับเธอ
สองฝ่ายที่มีความเห็นขัดแย้งกันไปคนละทาง ต่างก็ทะเลาะถกเถียงกันอย่างรุนแรง และดูเหมือนว่าจะยังไม่สามารถหาข้อสรุปใดๆได้ ไม่เพียงเท่านั้น การถกเถียงกันก็ดูเหมือนว่าจะยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่ละคนต่างก็โมโหจนหน้าดำหน้าแดง สงครามน้ำลายจึงเกิดขึ้น เพราะดูเหมือนว่าจะไม่มีใครยอมใคร!
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง หลิงหยุนได้นำนักเรียนในห้องห้าสิบกว่าคนบุกเข้าไปในห้องทำงานของครูใหญ่ เมื่อไปถึงก็ใช้เท้าถีบประตูอย่างแรง และบุกเข้าไปด้านในทันที
ครูใหญ่จาง และระดับผู้บริหารของโรงเรียนอีกห้าคน ถึงกับตกใจสุดขีด และต่างคนต่างก็ตกตะลึง
ครูใหญ่จางทั้งตกใจและโมโหสุดขีด ที่มีคนกล้าบุกเข้ามาในห้องทำงานส่วนตัวของเขา และพังประตูจนเสียหาย!
“ใครกล้าทำแบบนี้..!”
ครูใหญ่จางลุกขึ้นยืนพร้อมกับเงื้อมือขึ้นและกำลังจะตบลงบนโต๊ะ แต่ยังไม่ทันที่ฝ่ามือของเขาจะฟาดลงกับโต๊ะ ก็ต้องชะงักอยู่กลางอากาศ เมื่อเห็นว่าคนที่บุกเข้ามาในห้องทำงานของเขานั้นไม่ใช่ใครที่ใหน แต่เป็นเด็กนักเรียนมัธยมปลายห้องหกที่สร้างวีรกรรมดุเดือดไว้มากมาย และก็คือหลิงหยุนนั่นเอง!
ก่อนหน้านี้.. ครูใหญ่จางแทบจะไม่เคยรู้จักหลิงหยุนด้วยซ้ำ อาจจะเคยได้ยินชื่อในทางที่ขี้เกียจของเขาอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันจริงๆ
แต่เมื่อเริ่มมีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายในโรงเรียน และทุกเรื่องล้วนแต่เกี่ยวข้องกัเด็กนักเรียนที่ชื่อหลิงหยุนทั้งสิ้น ครูใหญ่จางจึงเริ่มให้ความสนใจกับบเด็กนักเรียนคนนี้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านหลินเจียง และตอนนี้หากเขายังไม่รู้จักหลิงหยุน ก็คงไม่สมควรที่จะเป็นครูใหญ่ของที่นี่อีกต่อไปแล้ว
ครูใหญ่จางรีบเปลี่ยนท่าทีจากที่จะทุบโต๊ะ เป็นวางมือลงบนโต๊ะเบาๆ และค่อยๆใช้นิ้วเช็ดฝุ่นบนโต๊ะทำงานอย่างเบามือ ราวกับกำลังบรรจงปาดน้ำตาให้กับหญิงสาวอันเป็นที่รัก
ผู้อำนวยการหลิวจ้องมองฉางหลิง เหมี่ยวเสี่ยวเหมา หลงหวู่ และนักเรียนห้องหกทั้งหมดที่เดินเข้ามาในห้องทำงานของครูใหญ่จางทีละคนๆ เขาคิดไม่ถึงว่านักเรียนของกงเสี่ยวลู่จะกล้าสร้างปัญหาขึ้นในโรงเรียน และเขาก็โกรธจนถึงกับลุกขึ้นตะโกนออกไปว่า
“พวกเธอออกไปจากห้องครูใหญ่เดี๋ยวนี้! พวกครูกำลังประชุมกันอยู่ ไม่เห็นหรือยังไง? ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่พวกเธอจะมาทำตัวเป็นอันธาลได้!”
หลิงหยุนที่เดินไปหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะของครูใหญ่จางแล้ว ถึงกับหันไปมองหน้าผู้อำนวยการหลิวทันทีที่ได้ยินคำพูดของเขา จากนั้นจึงเดินตรงเข้าไปหาพร้อมกับถามขึ้นว่า..
“คุณเป็นใคร?”
หลิงหยุนเดินไปหยุดอยู่หน้าผู้อำนวยการหลิวพร้อมกับถามขึ้นด้วยสีหน้า และรอยยิ้มที่ดูอันตราย
“ฉันเป็นใครเธอยังไม่รู้จักอีกหรือไง..? ฉัน.. ฉันก็ผู้อำนวยการหลิวไง.. หละ-หลิงหยุนเองเหรอ?”
เมื่อผู้อำนวยการหลิวหันไปมอง และเห็นว่าผู้ที่ถามเมื่อครู่ก็คือหลิงหยุน เขาถึงกับตกใจหวาดกลัวจนตัวสั่น และแทบจะกระโดดหนีออกไปทันที
ตอนที่หลิงหยุนเข้ามาในห้องนั้น ผู้อำนวยการหลิวไม่ทันได้หันไปมองว่าเป็นใคร เพราะมัวแต่หันไปมองครูใหญ่จาง แต่เมื่อเหลือบไปมองและพบว่าผู้ที่เข้ามานั้นคือหลิงหยุน เขาก็ถึงกับตกใจจนตัวสั่น
ทันทีที่หลิงหยุนรู้ว่าเป็นใคร เขาก็ยิ้มพร้อมกับถามย้ำอีกครั้งว่า “ผู้อำนวยการอะไรนะ..?”
ครูใหญ่จางมองเด็กนักเรียนที่ตามหลิงหยุนเข้ามาเรื่อยๆ ในใจก็เริ่มรู้สึกหวาดหวั่น แต่ก็ฝืนยิ้มให้กับหลิงหยุนแล้วตอบเสียงเบาว่า
“หลิงหยุน.. นี่ผู้อำนวยการหลิวยังไงล่ะ? เขาเป็นผู้อำนวยการโรงเรียนไง..”
สิ้นเสียงครูใหญ่จาง ภายในห้องก็เงียบกริบ..
เพียะ!!
จู่ๆ หลิงหยุนก็ยกมือขึ้นตบหน้าผู้อำนวยการหลิวอย่างแรงจนเขาถึงกับเห็นดาวเต็มท้องฟ้าไปหมด แล้วก็ตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก
“นี่เธอ.. นี่เธอ.. นี่เธอ.. นี่เธอ..”
ไม่มีใครคาดคิดว่าหลิงหยุนจะกล้าทำร้ายร่างกายผู้คน และคนที่เขาทำร้ายก็เป็นถึงผู้อำนวยการโรงเรียนเสียด้วย รองครูใหญ่ทั้งสี่คนถึงกับร้องอุทานอย่างตกใจออกมาพร้อมกัน แล้วก็พูดอะไรไม่ออกอีก..
ไม่เพียงแค่รองครูใหญ่ทั้งสี่คนเท่านั้นที่ตกใจ แม้แต่ครูใหญ่จางเองก็ถึงกับแอบคิดอยู่ในใจว่า โชคดีที่เขายั้งมือไว้ทัน และไม่ตบโต๊ะลงไปก่อนหน้านี้ ไม่เช่นนั้นคนที่ถูกตบหน้าอาจเป็นเขาก็เป็นได้!
แม้แต่นักเรียนมัธยมห้องหกเองก็คิดไม่ถึงว่า หลิงหยุนจะทำรุนแรงถึงเพียงนี้ ไม่มีใครคิดว่าเพียงแค่ก้าวเข้าไปในห้องทำงานของครูใหญ่ได้เดี๋ยวเดียว และยังไม่ทันได้พูดจาอะไรกันเลยด้วยซ้ำ หลิงหยุนก็ลงมือตบหน้าผู้อำนวยการเสียแล้ว อีกทั้งยังกระทำต่อหน้าผู้บริหารคนอื่นๆของโรงเรียนด้วย เขาช่างไม่เกรงกลัวกฏระเบียบของโรงเรียนเลยแม้แต่น้อย!
แม้แต่หลงหวู่ที่ว่ากล้ามากแล้ว เมื่อได้เห็นการกระทำที่ค่อนข้างอุกอาจของหลิงหยุน ยังถึงกับยกมือขึ้นกุมใบหน้าเล็กๆของตนเอง และนึกถึงครั้งที่เธอถูกลูกน้องของเขาตบหน้า ในใจก็นึกโกรธขึ้นมาอีก และคิดว่าจะต้องแก้แค้นเขาคืนให้ได้
แต่เหมี่ยวเสี่ยวเหมากลับยิ้มออกมาราวกับไม่มีอะไรร้ายแรง นั่นเพราะเธอเคยเห็นหลิงหยุนสังหารคนอย่างเลือดเย็นต่อหน้าต่อตามาแล้ว ดังนั้นเพียงแค่การตบหน้า จึงเป็นเรื่องที่เล็กน้อยมาก และแทบไม่มีความหมายอะไรต่อความรู้สึกของเธอเลย
หลังจากที่หลิงหยุนตบหน้าผู้อำนวยการหลิว ห้องทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบครู่ใหญ่ จนกระทั่งเจียวเฟิ่งหัวซึ่งเป็นรองครูใหญ่ก็พูดออกมาอย่างโมโห
“นี่.. นี่เธอกล้าตบหน้าผู้อำนวยการเชียวเหรอ? การกระทำของเธอเป็นเรื่องที่อุกอาจ แล้วก็ผิดระเบียบโรงเรียนขั้นร้ายแรง เธอสมควรต้องได้รับโทษขั้นสูงสุด..”
หลิงหยุนยิ้มและค่อยๆย่างเท้าเข้าไปยืนอยู่ด้านหน้าของเจียวเฟิ่งหวงพร้อมกับย้อนถามว่า
“ผมตบหน้าเขา.. ไม่ได้ตบหน้าคุณ แต่ถ้าคุณยังไม่หยุดพูด แล้วหุบปากซะ! ไม่แน่ต่อไปก็อาจจะเป็นคราวของคุณบ้างก็ได้..”
หลิงหยุนไม่สนใจใครทั้งนั้น แม้แต่ครูใหญ่จาง เพราะยังไงวันนี้เขาก็ตั้งใจที่จะมาคิดบัญชีกับคนพวกนี้อยู่แล้ว
เจียวเฟิ่งหัวถึงกับตกอกตกใจ และโมโหจนตัวสั่นปากสั่นไปหมด แล้วจึงร้องตะโกนออกไปว่า
“ฉัน.. ฉันเป็นถึงรองอาจารย์ใหญ่ของที่นี่นะ เธอกล้าดียังไงถึงพูดกับฉันแบบนี้!”
หลิงหยุนพยักหน้าที่เรียบเฉยของตัวเองพร้อมกับคิดในใจว่า แม้แต่ครูใหญ่ยังไม่กล้าพูดอะไร เป็นแค่รองครูใหญ่แต่กลับพูดมากนัก..
“รองครูใหญ่งั้นหรือครับ.. ถ้างั้นก็ดีเลย คุณช่วยตอบผมมาหน่อยว่า ที่ผมขาดเรียนไปหนึ่งอาทิตย์แล้วมีมติให้ไล่ผมออกจากโรงเรียนนั้น เป็นความคิดของคุณใช่ไม๊ครับ?”
เจียวเฟิ่งหัวถูกหลิงหยุนจี้ถามเช่นนั้น เธอจึงได้แต่กัดฟันก่อนจะตอบกลับไปอย่างไม่พอใจ
“เธอคงจะเป็นหลิงหยุนสินะ? การไล่เธอออกเป็นมติเอกฉันท์ที่ผู้บริหารของโรงเรียนต่างก็เห็นด้วย ดังนั้นจะเป็นความคิดของใครก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ! อย่าคิดว่าตัวเองเก่งแล้วจะมาหาเรื่องทำร้ายครูบาอาจารย์ได้นะ ตัวเธอเองทำผิดกฏของโรงเรียนอย่างร้ายแรง แล้วยังจะ..”
“หุบปาก..”
หลิงหยุนเห็นเจียวเฟิ่งหัวพูดเป็นต่อยหอย เขาจึงเริ่มหมดความอดทน และใช้มังกรคำรามสั่งให้เธอหยุดพูดทันที คำสั่งของหลิงหยุนดังทะลุแก้วหูของเจียวเฟิ่งหัวจนตัวเธอเองถึงกับงุนงง และลืมไปว่าจะพูดอะไรต่อ..
หลิงหยุนเหลือบมองผู้อำนวยการหลิวที่ที่ยืนเอามือกุมแก้ม แล้วบอกกับเขาว่า “คุณเองก็หุบปากเงียบๆไว้ครู่หนึ่งก่อน รอให้ผมสะสางธุระให้เรียบร้อยก่อน แล้วจะมาคิดบัญชีกับคุณทีหลัง!”
หลิงหยุนคงจะตบบหน้าผู้อำนวยการหลิวรุนแรงไปหน่อย เพราะฟันของเขาถึงกับร่วงออกมาทีเดียวสามซี่ และตอนนี้ก็ไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่คำเดียว ทำได้เพียงแค่กุมแก้มที่บวมและกลืนเลือดที่กำลังไหลลงลำคอไป
ผู้อำนวยการหลิวต้องการจะโทรแจ้งตำรวจ แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์เช่นนี้ คงไม่มีใครกล้าที่จะโทรไปสถานีตำรวจให้กับเขาแน่!
หลิงหยุนกวาดสายมองไปทางรองครูใหญ่ทั้งสี่คนอย่างไม่แยแส ก่อนจะเดินตรงไปที่โต๊ะของครูใหญ่จางพร้อมกับถามขึ้นว่า
“ครูใหญ่จาง.. ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นในโรงเรียนบ้าง แล้วสถานการณ์ตอนนี้เป็นยังไง?”
ครูใหญ่จางถึงกับหายใจแทบไม่ออกเมื่อหลิงหยุนเดินเข้าไปใกล้ เขารับรู้ได้ถึงแรงกดดัน และท่าทางจองหองของหลิงหยุน ซึ่งทำให้เขาอึดอัดอย่างมาก แต่เขาก็ทำได้เพียงแค่ยกมือขึ้นปาดเหงื่อเย็นๆที่ผุดขึ้นตามใบหน้าพร้อมกับตอบหลิงหยุนไปว่า
“หลิงหยุน.. มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดของทางโรงเรียน เป็นเรื่องเข้าใจผิดจริงๆ เธออาจจะยังไม่รู้ว่า ทางโรงเรียนเองก็ได้ประกาศออกไปตั้งแต่เมื่อวานตอนเช้าแล้ว ตอนนี้ทั้งครูและนักเรียนทั้งโรงเรียน ต่างก็รู้กันหมดแล้วว่าเธอไม่ได้ถูกไล่ออก แล้วก็ยังคงเป็นนักเรียนของที่นี่อยู่..”
หลิงหยุนก็แค่ถามไปแบบนั้นเอง ต่อให้เขาถูกไล่ออกจริงๆ เขาก็ไม่ได้สนใจว่าจะได้เรียนหรือไม่ได้เรียนอยู่แล้ว
หลิงหยุนสัมผัสได้ว่า ครูใหญ่จางไม่ใช่คนที่เข้าใจอะไรยาก เขาจึงยิ้มและพูดต่อว่า “ครูใหญ่ครับ.. แล้วเรื่องที่ครูกงถูกใส่ความล่ะ ครูมีความเห็นอย่างไรบ้าง?”
ตอนนี้ครูใหญ่จางถูกหลิงหยุนถามซึ่งๆหน้า แม้เขาเองไม่อยากจะตอบประเด็นนี้ แต่เมื่อเห็นสีหน้าของหลิงหยุนแล้วก็รู้ว่า ไม่ตอบก็คงจะไม่ได้!
“หลิงหยุน.. เรื่องของครูกง พวกเราก็กำลังประชุมกันอยู่พอดี เธอก็เห็นนี่!”
หลิงหยุนพยักหน้าและจี้ถามต่อ “เรื่องไร้สาระแบบนี้ถึงกับต้องประชุมปรึกษาหารือกันขนาดนี้เลยเหรอครับ แล้วไม่ทราบว่าที่ประชุมสรุปเรื่องนี้ยังไงบ้าง? ตอบ!”
เหงื่อเย็นๆไหลออกเต็มศรีษะของครูใหญ่จางจนหยดลงมาตามใบหน้า..
“เรื่องนี้.. พวกเราเพิ่งจะประชุมกัน แต่ยังหาข้อสรุปไม่ได้..”
บทที่ 433 : ห้องครูใหญ่ (2)
หลิงหยุนฟังแล้วได้แต่ขมวดคิ้ว “อ่อ.. ยังคงหาข้อสรุปไม่ได้! เอาล่ะ.. ถ้างั้นก็ประชุมกันต่อเลย ผมจะนั่งฟังอยู่ที่นี่ด้วย..”
“เอ่อ..”
ครูใหญ่ และรองครูใหญ่อีกสี่คนต่างก็พากันอึ้งไป ตอนนี้ในห้องทำงานของครูใหญ่มีนักเรียนอยู่เต็มไปหมด แล้วพวกเขาจะประชุมกันต่อได้อย่างไร?!
ไม่เพียงเท่านั้น ในเวลานี้ด้านนอกห้องทำงานของครูใหญ่ ก็มีนักเรียนมุงดูอยู่เต็มไปหมด ไม่เว้นแม้แต่หน้าต่างที่ตอนนี้มีคนแย่งกันดูจนแทบจะพังลงมา..
ยังมีนักเรียนคนอื่นๆที่พากันตามมาอีกเรื่อยๆ นอกห้องทำงานของครูใหญ่จึงมีเด็กนักเรียนมัธยมปลายทั้งหกห้องกำลังยืนฟังข้อสรุปเรื่องนี้อยู่!
ภายในโรงเรียนเวลานี้ ต่างก็เต็มไปด้วยความโกลาหลวุ่นวายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
“หลิงหยุน เธอดูเหตุการณ์ตอนนี้สิ จะให้พวกครูประชุมกันต่อกันได้ยังไงกัน..?!”
ครูใหญ่จางเหลือบมองไปทางประตู และหน้าต่างด้วยท่าทางเลิ่กลั่ก เขาคิดในใจว่าเวลาอย่างนี้ยามที่เฝ้าประตูโรงเรียนพากันหายหัวไปใหนกันหมด?
ครูใหญ่จางรู้ดีว่ายามพวกนั้นคงจะไม่สามารถหยุดหลิงหยุนได้อย่างแน่นอน แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังสามารถช่วยควบบคุมสถานการณ์ภายนอกได้บ้าง..
หลิงหยุนแสยะยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ทำไมถึงจะประชุมต่อไม่ได้ล่ะ? หรือว่าพวกคุณมีเรื่องที่ปิดบังนักเรียนอยู่ ทำไมพอมีนักเรียนร่วมฟังด้วย พวกคุณถึงประชุมกันต่อไม่ได้?”
ครูใหญ่จางถึงกับอึกๆอักๆ “เอ่อ..”
หลิงหยุนมองครูใหญ่จางพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พวกคุณจะประชุมบ้าบออะไรกัน? ในเมื่อเรื่องที่พวกคุณฟังมาเป็นเพียงแค่ส่วนเดียว เรื่องราวมันซับซ้อนกว่านั้นมาก! ผมจะเล่าให้ทุกคนฟังเอง!”
“ในคืนวันพุธที่ 2 เมษายน ครูประจำชั้นของผม – กงเสี่ยวลู่ เธอรู้ดีว่าผมอ่อนวิชาภาษาอังกฤษมาก จึงได้แยกผมออกจากนักเรียนคนอื่นๆเพื่อมาติวต่างหาก และแน่นอนว่าไม่สามารถที่จะติวให้ผมในห้องเรียนได้ ความจริงแล้วครูกงตั้งใจว่าจะพาผมไปติวที่ห้องพักครูภาควิชาภาษาอังกฤษ แต่ก็เกรงว่าจะเป็นการรบกวนคุณครูท่านอื่น เมื่อไม่มีทางเลือก ครูกงก็เลยต้องพาผมไปติวที่ห้องพักของคุณครูแทน นี่นับว่าครูกงทุ่มเทให้กับนักเรียนของตัวเองมากมายแค่ใหน? แต่ครูใหญ่และครูคนอื่นๆกลับงี่เง่า เลือกที่จะฟังเพียงแค่ข่าวลือว่าครูกงมีอะไรกับผม นี่น่ะเหรอคือการกระทำของคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นครู?!”
หลิงหยุนพูดชัดถ้อยชัดคำทุกประโยค อีกทั้งยังเป็นความจริงที่ใครก็ไม่อาจโต้แย้งได้ อีกทั้งหลิงหยุนยังใช้มังกรคำราม คำพูดทุกคำของเขาจึงดังเข้าหูของครูและนักเรียนทั่วทั้งโรงเรียนอย่างชัดเจน ทุกคนที่ได้ยินต่างก็พยักหน้าเห็นพ้องกับคำพูดของหลิงหยุน จนลืมนึกไปว่าเสียงของเขาดังไปถึงที่นั่นได้อย่างไร?
มังกรคำรามของหลิงหยุนนั้น ใช้ได้ผลดีกว่าเครื่องขยายเสียงของทางโรงเรียนเสียอีก!
หลังจากที่หลิงหยุนพูดจบ เขาก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเสียใจ “ผมเข้าใจดีว่าเพราะอะไรพวกคุณถึงได้เชื่อข่าวลือพวกนั้น ผมจะบอกให้ว่าเพราะอะไร? ก็เพราะพวกคุณทุกคนมีจิตใจที่สกปรกชั่วร้าย เมื่อใช้จิตใจที่สกปรกมอง ต่อให้เรื่องดีๆ ก็กลายเป็นเรื่องสกปรกไปได้!”
หลังจากที่พูดออกไปอย่างห้าวหาญต่อหน้าทุกคนแล้ว หลิงหยุนก็ถอนหายใจออกมาเสียงดัง..
ตั้งแต่มีการก่อตั้งโรงเรียนมัธยมจิงฉูมานั้น ไม่เคยมีนักเรียนคนใหนที่จะกล้าชี้หน้าผู้บริหารของโรงเรียน และตะคอกใส่พวกเขามาก่อน นี่จึงนับว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์!
หลังจากที่อบรมทุกคนไปแล้ว หลิงหยุนก็ได้ใช้มังกรคำรามอธิบายต่อช้าๆ
“พ่อของกู่หยุนฟะ – กู่เหลียนเฉิง ได้บริจาคเงินให้กับทางโรงเรียนมากมายไม่ใช่เหรอ?”
ผู้อำนวยการหลิวถึงกับนิ่งไปในทันที..
“ส่วนพ่อของเสียเจิ้นเหยิน.. คุณก็ไม่สามารถขัดเขาได้..”
หวังเหว่ยเฉิงซึ่งเป็นรองครูใหญ่ถึงกับเหงื่อตก!
“ส่วนพ่อของหลู่เจิ้งเทียน ก็เป็นถึงผู้อำนวยการกรมการศึกษาในเมืองจิงฉู คุณเองก็ต้องเชื่อฟัง!”
เจียวเฟิ่งหัวได้ฟังถึงกับเปลี่ยนจากสีหน้าที่โกรธจนเขียวเมื่อครู่ มาเป็นแดงก่ำเพราะอับอาย และไม่กล้ามองหน้าหลิงหยุนอีกเลย เธอหวาดกลัวจนต้องเมินหน้าหนีไปทางอื่น
หลิงหยุนมองคนที่ได้ชื่อว่าเป็นครูบาอาจารย์ทั้งสามคนด้วยสายตาเหยียดหยัน พร้อมกับแสยะยิ้มก่อนจะพูดต่อว่า
“ช่วงที่ผมไม่ได้มาโรงเรียน และไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย แต่พวกคุณกลับเลือกที่จะไล่ผมออกจากโรงเรียน เพียงเพื่อต้องการเอาใจไอ้เด็กเพลย์บอยสามคนนั่น แต่พอครูประจำชั้นของผมออกหน้าปกป้อง พวกคุณกลับใช้เรื่องนี้เพื่อย้ำให้ทุกคนเห็นว่าเราสองคนมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกัน..”
“แล้วที่พวกคุณประชุมกันเมื่อครู่นั้น พวกคุณประชุมเรื่องอะไรกันแน่? เคยคิดที่จะสอบสวนหาความจริงพวกนี้บ้างไม๊?”
คำพูดของหลิงหยุนนั้นทั้งหนักแน่นและทรงพลัง จนดังทะลุไปถึงแก้วหูของทุกคนในโรงเรียนได้อย่างชัดเจน เรียกได้ว่าแก้วหูของทุกคนถึงกับสั่นสะเทือนไปหมด!
ตอนนี้นอกห้องทำงานของครูใหญ่ นักเรียนต่างก็พากันส่งเสียงดังเซ็งแซ่กันไปหมดหลังจากที่ได้ฟังคำอธิบายของหลิงหยุน ทุกคนต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้จนอื้ออึงไปทั่วบริเวณ!
“ชิบหาย.. ที่แท้เรื่องราวก็เป็นแบบบนี้นี่เอง มิน่าหลิงหยุนถึงได้โมโหมาก ที่แท้เขาก็ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย!”
“ไม่เสียแรงที่ฉันเอาเขาเป็นไอดอล ตอนนี้แม้แต่ครูใหญ่ ผู้อำนวยการ แล้วก็รองครูใหญ่อีกสี่คนถึงกับเงียบเป็นเป่าสาก.. โคตรเจ๋งเลย!”
“หลิงหยุนเท่ห์มากเลย! ฉันหลงรักเขาเต็มๆแล้วสิ ต่อไปถ้าใครกล้าพูดว่าเขากับครูประจำชั้นมีอะไรกันแล้วล่ะก็ ฉันจะตบให้หัวหลุดเลย!”
“หลิงหยุนโคตรกล้าเลย.. เขากล้าพูดแบบนี้กับครูใหญ่ได้ยังไง? ไม่เคยมีใครกล้าทำแบบนี้มาก่อน..”
………..
ครูใหญ่ รองครูใหญ่ทั้งสี่คน รวมทั้งผู้อำนวยการหลิวต่างก็อึ้งไป และไม่สามารถโต้เถียงอะไรหลิงหยุนได้!
ดูเหมือนครูใหญ่จางจะดูเก้ๆกังๆ และกระอักกระอ่วนที่สุด ถัดมาก็เป็นรองครูใหญ่อีกสองคนที่สนับสนุนให้เอาเรื่องกับครูกง
ครูใหญ่จางกำลังคิดว่า เขาต้องไม่ให้หลิงหยุนพูดอะไรต่อ ไม่เช่นนั้นตำแหน่งครูใหญ่ของเขาคงต้องพังยับเยินแน่!
“หลิงหยุน.. เรื่องนี้เป็นความผิดของพวกเราเองที่สอบสวนไม่ละเอียด และพวกเราก็เพิ่งจะได้ฟังความจริงจากปากเธอครั้งแรก เธอดูหน้าครูใหญ่จางกับผู้อำนวยการหลี่สิ.. พวกเขาต่างก็มีสีหน้าเลิ่กลั่กเมื่อได้ฟังคำอธิบายของเธอ..”
รองครูใหญ่โจวเข้าใจสีหน้าของครูใหญ่จางดี จึงได้แต่เดินเข้าไปพูดกับหลิงหยุนเพื่อทำให้สถานการณ์ตึงเครียดน้อยลง..
หลิงหยุนกวาดตามองรองครูใหญ่โจว และพบว่าใบหน้าของเขานั้นมีความเมตตา และแววตาของเขาก็ดูซื่อตรง หลิงหยุนจึงไม่ต้องการพูดจารุนแรงกับเขามากนัก
“งั้นเหรอครับ? ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยบอกผมหน่อยว่า ผลสรุปจากการประชุมเมื่อครู่จะมีมติออกมาอย่างไรบ้าง?”
รองครูใหญ่โจวเหลือบมองครูใหญ่จาง และเมื่อเห็นครูใหญ่จางพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต เขาก็ตอบหลิงหยุนไปว่า..
“พวกเราเองก็เชื่อว่ามีคนสร้างข่าวลือเพื่อทำร้ายครูกง เมื่ออาทิตย์ที่แล้วเป็นการตัดสินใจที่มืดบอดและผิดพลาดของพวกเราเอง พวกเราจะพยายามแก้ไขข่าวลือนี้ให้ทุกคนในโรงเรียนเข้าใจใหม่ให้ถูกต้องโดยเร็วที่สุด เพื่อนำชื่อเสียงของครูกงกลับมา สำหรับตำแหน่งของครูกงที่ถูกคาดโทษไว้นั้น พวกเราก็ยินดีที่จะคืนตำแหน่งกลับให้!”
แต่หลิงหยุนกลับคิดในใจว่า.. นั่นยังไม่เพียงพอ! เพราะจุดประสงค์ที่เขามาในวันนี้ไม่ใช่เพื่อจบเรื่องราวทุกอย่างเพียงเท่านี้..
“แล้วเรื่องข่าวลือที่เสียหายนั่นล่ะ.. ไม่ทราบว่าพวกคุณคิดจะจัดการยังไง?”
รองครูใหญ่โจวหันไปตอบบอย่างเคร่งขรึมจริงจัง “ข่าวลือเรื่องนี้ได้สร้างความเสื่อมเสียให้กับครูและเพื่อนร่วมห้อง พวกเราจะตรวจสอบ และหาตัวคนที่ปล่อยข่าวเรื่องนี้ให้พบ แล้วก็จะจัดการไล่คนผู้นั้นออกจากโรงเรียนทันที เขาจะต้องได้รับโทษตามระเบียบอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างกับคนอื่น!”
เสียงของรองครูใหญ่โจวนั้นทั้งหนักแน่นและจริงจัง ทันทีที่เขาพูดจบ นักเรียนที่อยู่รอบๆต่างก็พากันปรบมือ และส่งเสียงเชียร์กันดังสนั่น!
แต่ก็ยังมีคนทำเรื่องที่โง่เขลาขึ้นมาจนได้.. เพราะจู่ๆก็มีเสียงคนพึมพำขึ้นมาเบาๆว่า “เชอะ.. แล้วถ้าไม่ใช่แค่ข่าวลือล่ะ!”
ท่ามกลางเสียบปรบมือดังสนั่นของนักเรียนมากมายนั้น ไม่สามารถทำให้ใครได้ยินเสียงพึมพำเบาๆนั้นได้เลย แต่ด้วยความสามารถของหลิงหยุน เขาได้ยินชัดเจนเต็มสองรูหู!
สายตาที่เย็นชาของหลิงหยุนกวาดไปตามเสียงอย่างรวดเร็ว และพบว่าคนที่พูดก็คือหนึ่งในรองครูใหญ่ทั้งสี่คนที่ชื่อ.. หวังเหว่ยเฉิง!
รอยยิ้มของหลิงหยุนช่างเย็นยะเยือก เขาเดินเข้าไปหาหวังเหว่ยเฉิงและกระชากคอเสื้อขึ้นมาถามว่า “แกพูดอะไร? ใหนพูดอีกครั้งซิ!”
หวังเหว่ยเฉิงคิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะหูดีถึงเพียงนี้ เขาตกใจจนหน้าซีด และได้แต่คิดว่าจะกล้าพูดได้อย่างไรกัน?
หลิงหยุนออกแรงกระชากคอเสื้ออีกครั้งอย่างขุ่นเคือง “พูด!”
หวังเหว่ยเฉิงเจ็บจนทนไม่ได้จึงรีบตอบไปว่า “ฉันพูดว่า.. แล้วถ้าไม่ใช่แค่ข่าวลือ..”
ครูใหญ่จางได้ฟังแล้วถึงกับถอนใจด้วยความโกรธ เขาโมโหจนถึงกับหยิบที่เขี่ยบุหรี่บนโต๊ะปาใส่ศรีษะของหวังเหว่ยเฉิง!
หลิงหยุนเห็นแล้วได้แต่หัวเราะเสียงดังออกมา เขากำลังคิดอยากจะเชือดไก่ให้ลิงดูอยู่พอดี และแล้วก็มีเหยื่อเข้ามาทันเวลาพอดี
หลิงหยุนพูดเสียงเบา “ฟังนะ.. ผมจะเล่าอะไรให้ฟัง! เมื่อเช้านี้ผมก็ไปติววิชาภาษาอังกฤษที่ห้องพักครูกงมาอีก ตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ ไม่ทราบว่าครูได้ยินข่าวลืออะไรบ้างไม๊ครับ?”
“เอาล่ะ.. ในนี้มีครูคนใหนที่สอนวิชาภาษอังกฤษอีกบ้าง?” หลิงหยุนหันไปถามครูคนอื่นเมื่อเห็นหวังเหว่ยฉางไม่ตอบ
ครูใหญ่จางไม่รู้ว่าหลิงหยุนจะมาไม้ใหนกันแน่ แต่เขาเองก็สอนวิชาภาษาอังกฤษ จึงได้แต่ตอบไปว่า “ฉันเอง..”
แล้วหลิงหยุนก็ตะโกนถามต่อว่า “ใครมีหนังสือวิชาภาษาอังกฤษติดตัวมาบ้าง ขอผมยืมใช้หน่อย!”
“ฉันมี.. ” ครูชั้นมัธยมคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างประตูตะโกนบอก และรีบส่งหนังสือให้กับหลิงหยุน
หนังสือวิชาภาษาอังกฤษถูกส่งต่อให้หลิงหยุนอย่างรวดเร็ว จากนั้นหลิงหยุนก็ส่งให้กับครูใหญ่จางทันที
“เอาล่ะ.. เปิดหน้าใหนก็ได้ แล้วบอกหมายเลขหน้าที่เปิดมา..” หลิงหยุนเหลือบมองหวังเหว่ยเฉิง ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับครูใหญ่จาง
ครูใหญ่จางมองอย่างงุนงง แต่ก็เปิดหนังสือวิชาภาษาอังกฤษ และบอกหมายเลขหน้าที่เปิดกับหลิงหยุน
ทันทีที่หลิงหยุนได้ยินหมายเลขหน้าที่ครูจางเปิด เขาก็เริ่มท่องเนื้อหาที่อยู่ในหน้านั้นให้ทุกคนฟังทันที!
ทุกคนได้แต่ตกตะลึง!
แม้แต่หลงหวู่เองก็ถึงกับตกใจจนช็อค!
จากนั้นหลิงหยุนก็สั่งครูใหญ่จางว่า “เปิดหน้าอื่นอีก..”
ครูใหญ่จางเริ่มเข้าใจแล้วว่าหลิงหยุนกำลังทำจะอะไร เขาถึงกับพูดอะไรไม่ออก!
ครูใหญ่จางเปิดไปหน้าอื่นที่มีเนื้อหามากมายกว่านั้น และบอกเลขหน้ากับบหลิงหยุน เขาท่องเนื้อหาในหน้านั้นออกมาให้ทุกคนที่อยู่ในห้องและนอกห้องฟังอย่างไม่ลังเล
หลังจากนั้น.. ทั้งภายในและนอกห้องต่างก็เงียบกริบ ไม่มีแม้แต่เสียงนกร้อง เงียบจนกระทั่งหากเข็มตกลงพื้นสักเล่ม ก็คงได้ยินอย่างชัดเจน!
บทที่ 434 : ห้องครูใหญ่ (3)
“โอ้พระจ้า.. หลิงหยุนสามารถจดจจำเนื้อหาในหนังสือภาษาอังกฤษได้หมด..”
“อะไรกัน.. นี่มันเกินไปแล้ว.. ไม่น่าเชื่อ!”
ครูใหญ่จางเปิดไปหน้าอื่นอีก และปรากฏว่าหลิงหยุนก็สามารถท่องได้อีก และสำเนียงการอ่านก็มาตรฐาน และท่องออกมาได้อย่างคล่องแคล่วลื่นไหลราวกับเปิดหนังสืออ่าน
“เป็นไปได้ยังไงกัน?” ครูสาวที่ให้ยืมหนังสือถึงกับร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ
ความสามารถของหลิงหยุนที่แสดงออกมานั้น ไม่เพียงเผยให้เห็นความจำที่น่าอัศจรรย์ใจของหลิงหยุนเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องยืนยันอย่างดีว่า ครูประจำชั้นของเขาใส่ใจดูแลนักเรียนของเธอมากเพียงใดด้วย..
และแล้วข่าวลือที่เลวทรามชั่วร้ายก็ถูกทำลายลงเพียงชั่วพริบตา!
…..
หลิงหยุนพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นจนกระทั่งข่าวลือที่ชั่วร้ายนั้นค่อยๆลดความน่าเชื่อถือลงจนไม่เหลือในที่สุด เขายืนมองครูใหญ่จางที่กำลังตกตะลึงพร้อมกับยิ้มให้เล็กน้อย ก่อนจะถามขึ้นว่า
“ครูใหญ่จาง.. คุณอยากจะทดสอบจนหมดเล่มไม๊ล่ะ?”
ครูใหญ่จางยังคงนิ่งอึ้ง ในใจของเขาทั้งชื่นชมและตกใจไปพร้อมๆกัน เขาคิดไม่ถึงจริงๆว่าในโรงเรียนของตัวเองจะมีเด็กนักเรียนที่มีพรสวรรค์เลอเลิศแบบนี้อยู่ด้วย!
หลิงหยุนมีความจำที่เยี่ยมยอดแบบนี้ได้อย่างไรกัน?
ครูใหญ่จางเป็นครูสอนภาษาอังกฤษมานานมากกว่ายี่สิบปี และเป็นครูที่มีชื่อเสียงว่าสอนดีมากคนหนึ่งในเมืองจิงฉู แม้เขาจะเป็นคนมีเล่ห์เหลี่ยมอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่คนที่มีจิตใจเลวร้ายเสียทีเดียว และเพราะทุกๆคนในโรงเรียนต่างก็เห็นด้วยว่าเขาเหมาะที่จะเป็นครูใหญ่ในโรงเรียนมัธยมจิงฉูแห่งนี้ เขาจึงได้เลื่อนตำแหน่งตั้งแต่นั้นมา
แม้ครูใหญ่จางจะสอนวิชาภาษาอังกฤษมานานหลายปี แต่ก็ไม่เคยพบเห็นเด็กนักเรียนคนใหนที่มีความจำที่น่าอัศจรรย์เหมือนกับหลิงหยุนมาก่อน!
หลิงหยุนทำให้เขาทั้งตื่นเต้นและตกใจในเวลาเดียวกัน.. นี่มันบ้าชัดๆ!
“ไม่จำเป็น.. ฉันเชื่อว่าที่ภาษาอังกฤษของเธอดีขนาดนี้ได้ ส่วนหนึ่งก็คงเป็นเพราะครูประจำชั้นที่ทุ่มเทสอนให้กับเธอ!” ครูใหญ่จางพยักหน้าพร้อมกับเอ่ยชื่นชมหลิงหยุนอย่างจริงใจ
หลิงหยุนเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะตะโกนถามเสียงดัง “เอาล่ะ.. ตอนนี้ยังมีใครคิดว่าครูประจำชั้นพาผมขึ้นไปที่ห้องพักของเธอเพราะเรื่องชู้สาวอีกไม๊ครับ?”
“..นี่ถ้ามีใครกล้าคิดแบบนั้นอีกนะ ฉันจะฆ่ามันครแรกเลย!”
“นั่นสิ.. พวกเราไม่เชื่อเด็ดขาด! ดูสิว่าครูกงใช้เวลาแค่สั้นๆ ก็สามารถทำให้หลิงหยุนเก่งวิชาภาษาอังกฤษขึ้นมาได้! ใครกันช่างกล้าพูดว่าสองคนนี้มีอะไรกัน..”
สีหน้าของครูใหญ่จางเต็มไปด้วยความรู้สึกเสียใจ เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง “หลิงหยุน.. เธอไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรอีกแล้ว ครูจะจัดการกู้ชื่อเสียงคืนให้กับครูกงอย่างเร็วที่สุด และจะจัดการเอาเรื่องคนที่ปล่อยข่าวลือเรื่องนี้ให้ถึงที่สุดเช่นเดียวกัน ใครกันนะที่กล้าปั้นเรื่องเสื่อมเสียให้กับคนอื่นได้ถึงขนาดนี้ ถ้าพบตัวเมื่อไหร่ จะต้องถูกไล่ออกจากโรงเรียนสถานเดียว!”
ปกติครูใหญ่จางเป็นคนมีนิสัยโลเลไม่กล้าตัดสินใจ ไม่ต่างจากไม้หลักปักขี้เลน และทำทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่ในตำแหน่งครูใหญ่ แต่ระหว่างที่จัดการเรื่องนี้ต่อหน้านักเรียนและครูทุกคน เขากลับมีท่าทางที่เด็ดขาด ตรงไปตรงมา และไม่เข้าข้างใคร
การที่หลิงหยุนทำเช่นนี้นั้น ครูใหญ่จางเข้าใจเพียงว่าเขาทำเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับกงเสี่ยวลู่เท่านั้น แต่ความจริงแล้ว หลิงหยุนไม่ได้เพียงแค่ต้องการเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับเธอ แต่ยังต้องการเรียกร้องอย่างอื่นให้กับเธอด้วย
ครูใหญ่รู้ดีว่านักเรียนที่มีพรสวรรค์เป็นเลิศอย่างหลิงหยุนนั้น อาจจะมีเพียงหนึ่งในล้าน อีกทั้งยังเป็นนักเรียนในโรงเรียนของเขาอีกด้วย เช่นนี้แล้วต่อไปในวันข้างหน้า ตัวเขาเองก็จะกลายเป็นครูใหญ่ที่มีชื่อเสียงไปด้วย!
“เป็นข้อสรุปที่ดีมาก!”
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยชมครูใหญ่จาง ก่อนจะใช้มังกรคำรามพูดกับเขาต่อว่า
“แต่ครูประจำชั้นที่พวกเรารักต้องมาเสียชื่อแล้วก็เสียใจกับเรื่องนี้มาก ครูกงคิดมากจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ แต่ก็ยังฝืนที่จะมาสอนนักเรียนตามปกติ แล้วยังทำข้อสอบให้นักเรียนทดสอบอย่างไม่ขาดตกบกพร่องในหน้าที่ ทั้งที่สภาพจิตใจย่ำแย่มากจนทำให้ร่างกายเจ็บป่วยไปด้วย เธอคงจะรู้สึกเจ็บปวดกับเรื่องนี้มาก เมื่อนตอนเช้าเดินๆอยู่ก็ถึงกับเป็นลมล้มพับลงไป ทั้งครูและนักเรียนหลายๆคนก็เห็นกับตา ผมจึงต้องการจะเรียกร้องให้ทางโรงเรียนชดเชยให้คุณครูประจำชั้นของผมด้วย!”
หลิงหยุนไม่ยอมให้เรื่องนี้จบลงง่ายๆแบบนี้แน่ แค่คืนตำแหน่งแล้วก็กู้ชื่อเสียงให้อย่างนั้นหรือ? นั่นเป็นแค่ข้อเรียกร้องแรกเท่านั้น แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือเงินชดเชยต่างหาก!
หากเพียงแค่คืนตำแหน่งกับกู้ชื่อเสียงให้กับกงเสี่ยวลู่แล้วจบ หลิงหยุนคงจะไม่เสียเวลาลงทุนลงแรงมากมายถึงเพียงนี้แน่!
นักเรียนที่อยู่ทั้งในและนอกห้องทำงานของครูใหญ่ ต่างก็ได้ยินคำพูดของหลิงหยุนอย่างชัดเจน และจู่ๆทุกคนก็นึกถึงภาพที่หลิงหยุนเดินโอบไหล่ครูกงไปต่อหน้าต่อตาทุกคนเมื่อตอนเช้า จึงเพิ่งจะเข้าใจว่า.. นั่นเป็นเพราะครูกงเร่างกายหนื่อยล้าจนไม่สามารถเดินต่อไปได้..
แต่นักเรียนมัธยมปลายห้องหกต่างก็มองหน้ากันไปมาคล้ายจะงงๆว่า เหตุใดหลิงหยุนจึงพูดราวกับว่าครูประจำชั้นของพวกเขานั้นช่างอ่อนแอบอบบางเสียเหลือเกิน?!
พวกเขาต่างก็คิดว่า ครูประจำชั้นของพวกเขาไม่ได้อ่อนแอถึงเพียงนั้นนี่นา! แม้ในคาบเรียนแรกของเช้าวันนี้ เธอจะมีสีหน้าที่กระอักกระอ่วนอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นลมล้มพับลงไป..
หลงหวู่ได้ฟังคำพูดของหลิงหยุนก็ถึงกับยิ้มออกมา เธอจ้องมองหลิงหยุนพร้อมกับแอบคิดอยู่ในใจว่า ‘นายนี่ร้ายชะมัด! ขนาดคนอยู่กันเต็มไปหมด ยังจะกล้ารีดไถเงินอีก!’
ฉางหลิงเองก็ถึงกับอายจนหน้าแดง และมองหลิงหยุนตาโต เธอเห็นกับตาว่าครูประจำชั้นไม่ได้เป็นลมล้มพับลงไปอย่างที่หลิงหยุนบอก แต่เป็นเขาต่างหากที่เดินไปโอบไหล่ครูกงไว้เอง..
แต่ถึงอย่างนั้น ฉางหลิงก็อดนึกชื่นชมผู้ชายที่เธอหลงรักไม่ได้ ที่สามารถวางแผนเป็นขั้นเป็นตอน จนทำให้ทุกคนในที่นี้ถึงกับอึ้ง และไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้ ฉางหลิงจะพออกพอใจเพียงใดนั้น คงแทบจะไม่ต้องพูดถึง
ครูใหญ่จางได้ฟังหลิงหยุนพูดเรื่องที่ต้องการให้ทางโรงเรียนชดเชยให้ เขาก็ถึงกับมึนจนพูดอะไรไม่ออก และได้แต่แอบคิดอยู่ในใจเงียบๆว่า ‘นี่หลิงหยุนกล้าเรียกร้องให้มีการชดเชยจากเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ?’
“เอ่อ.. แล้วเธอต้องการให้ทางโรงเรียนชดเชยเรื่องนี้ยังไง?!”
ครูใหญ่จางได้แต่ถามอึกๆอักๆ พร้อมกับแอบคิดว่าเขาคงจะไม่กล้ายุ่งกับเด็กคนนี้อีกแล้ว!
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า “ก็ต้องจ่ายเป็นเงินเพื่อชดเชยค่าที่ทำให้ครูกงเสียชื่อเสียง ทำให้สภาพจิตใจย่ำแย่ ทำให้เจ็บป่วย แล้วก็ค่าเสียเวลา.. ฉางหลิง.. ยังมีค่าอะไรอีกไม๊?”
หลิงหยุนคิดได้แค่นั้นแล้วก็คิดอะไรไม่ออกอีก จึงได้หันไปทางฉางหลิง..
ฉางหลิงนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วก็คิดในใจว่า ‘ทุกอย่างนายวางแผนเองหมดแล้วก็พูดไปจนหมดแล้ว นายกล้าเอาไม้ซีกไปงัดไม้ซุงอย่างครูใหญ่จาง.. ฉันไม่บ้าระห่ำทำแบบนายหรอก..’
เมื่อเห็นว่าฉางหลิงยังคงเงียบ หลงหวู่จึงได้แต่ยิ้มและพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ.. แค่นี้ก็เป็นเงินชดเชยมากมายแล้ว คนที่อยู่ตรงหน้าเราก็เป็นถึงครูใหญ่ อย่าทำให้ครูใหญ่จางต้องกระอักกระอ่วนใจไปมากกว่านี้เลย..”
หลิงหยุนเองก็เห็นด้วย จึงไม่คิดที่จะเพิ่มค่าอะไรลงไปอีก จากนั้นก็หันไปฉีกยิ้มจนเห็นฟันขาวให้กับครูใหญ่จางและพูดขึ้นว่า
“รวมแล้วค่าเสียหายทั้งหมดที่พูดไปก็ไม่มากไม่มายอะไร แค่หนึ่งล้านหยวนเท่านั้นเอง!”
ทุกคนที่ได้ฟังถึงกับตกใจตาโตเท่าไข่ห่าน!
แม่เจ้า.. นี่หลิงหยุนกล้าเรียกค่าเสียหายจากครูใหญ่ถึงหนึ่งล้านหยวนเชียวเหรอ!
“ห๊ะ..?!”
ครูใหญ่จางโกรธจนพูดอะไรไม่ออก แต่เมื่อหันไปเห็นสีหน้าที่เกรี้ยวกราดของหลิงหยุน จึงได้แต่คิดว่าอย่าทำให้เรื่องราวใหญ่โตไปมากกว่านี้จะดีกว่า เขาจึงตอบหลิงหยุนกลับไปยิ้มๆ
“เรื่องเงินชดเชยนั้น ทางโรงเรียนยินดีจ่ายให้ครูกงอย่างแน่นอน แต่เรื่องจำนวนเงินนั้น ขอให้ทางโรงเรียนได้คุยกับครูประจำชั้นของเธอก่อนจะได้ไม๊?”
มีหรือที่หลิงหยุนจะไม่รู้ทันแผนของครูใหญ่จาง ด้วยอุปนิสัยของกงเสี่ยวลู่ เพียงแค่ครูใหญ่จางเรียกชื่อทักทาย คนอย่างกงเสี่ยวลู่ก็ไม่คงกล้าที่จะเรียกร้องเงินชดเชยจากทางโรงเรียนอีก?
หลิงหยุนตอบกลับไปยิ้มๆ “ครูประจำชั้นยังไม่หายดีครับ แล้วก็มอบให้ผมเป็นตัวแทนของเธอในการจัดการเรื่องนี้ ครูใหญ่จางตอบมาเพียงคำเดียวก็พอว่าตกลง หรือไม่ตกลง?”
ใบหน้าของหลิงหยุนยังคงมีรอยยิ้ม แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความน่ากลัว ในขณะเดียวกันนั้นก็ฟาดฝ่ามือออกไป..
เพียะ.. เพียะ.. เพียะ.. เพียะ.. จากนั้นใบหน้าของหวังเหว่ยเฉิงก็บวมขึ้นทันตาเห็นจนกลายเป็นซาลาเปาลูกใหญ่ทันที!
“ห๊ะ..” “นั่น..”
ไม่มีใครคาดคิดว่าระหว่างที่กำลังคุยเรื่องเงินชดเชยกับครูใหญ่จางนั้น หลิงหยุนจะหันกลับไปฟาดฝ่ามือตบลงบนใบหน้าของรองครูใหญ่อย่างรวดเร็ว
“รองครูใหญ่ลืมตาขึ้นมาคุยกันก่อนสิ คุณยังคิดว่าข่าวลือนั่นเป็นความจริงอยู่ไม๊? พูด..!”
หลิงหยุนตบหน้าหวังเหว่ยเฉิงไปสิบกว่าฉาด จนกระทั่งเลือดไหลออกจากมุมปาก และแก้มก็บวมเป็นซาลาเปา หวังเหว่ยเฉิงหน้าบวมจนไม่สามารถลืมตาได้ เขาเอาแต่กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด..
ฟันของหวังเหว่ยเฉิงถูกหลิงหยุนตบร่วงไปสิบกว่าซี่ เหลือเพียงเหงือกที่เต็มไปด้วยเลือดอยู่ในปากเท่านั้น และตอนนี้เขาก็เจ็บปวดจนลืมตาไม่ขึ้น อย่าว่าแต่พูดออกมาเป็นประโยคเลย แม้แต่คำเดียวเขาก็ยังพูดออกมาไม่ได้?
หลิงหยุนมองไปทางเจียวเฟิ่งหัวที่กำลังหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา เขาจึงพูดกับเธอยิ้มๆว่า
“อย่าลืมโทรเรียกหลัวจ้งที่เป็นหัวหน้าสำนักงานรักษาความมั่นคงมาด้วยล่ะ.. ผมชอบเขามากเลย แล้วก็มีเรื่องที่ยังต้องคิดบัญชีกับเขาต่อ!”
“ห๊ะ.. เอ่อ..”
เจียวเฟิ่งหัวตกใจจนปล่อยโทรศัพท์มือถือในมือร่วงลงพื้น ใบหน้าของเธอซีดเผือด และร่างทั้งร่างก็สั่นไปด้วยความหวาดกลัว
หากหลิงหยุนไม่เห็นว่าเจียวเฟิ่งหัวเป็นผู้หญิง รับรองว่าเธอคงจะโดนยิ่งกว่าหวังเหว่ยเฉิงอย่างแน่นอน!
จากนั้นหลิงหยุนก็หันไปมองครูใหญ่จางอีกครั้ง สีหน้าของเขานิ่งเรียบดูยังไงก็ไม่เป็นอันตรายกับใคร ก่อนจะพยักเพยิดให้กับครูใหญ่จางเป็นการส่งสัญญาณว่าให้คุยเรื่องเงินชดเชยต่อ..
ครูใหญ่จางไม่ใช่คนโง่.. เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งพร้อมกับคิดในใจว่าเรื่องราวดูเหมือนจะใหญ่โตมากขึ้นเรื่อยๆ เขาต้องการให้เรื่องนี้จบลงเร็วๆ จึงได้แต่ยิ้มให้หลิงหยุนแล้วตอบบไปว่า “หนึ่งแสน..”
หลิงหยุนไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว แม้ว่าเขาจะเรียกร้องไปหนึ่งล้าน แต่ดูเหมือนครูใหญ่จางจะต่อรองในราคาที่ต่ำเหลือเกินจนหลิงหยุนไม่สามารถรับได้
“สองแสน.. หลิงหยุน! ฉันยังต้องไปสอนนักเรียนต่อ เธอก็ตกลงเถอะนะ..”
ครูใหญ่จางแกล้งเกาศรีษะและเหลือบมองหลิงหยุนด้วยแววตาที่บ่งบอกว่า ขอให้หลิงหยุนช่วยไว้หน้าเขาในฐานะครูใหญ่บ้าง?
แต่หลิงหยุนกลับใช้กระแสจิตบอกกับครูใหญ่จางกลับไปว่า “ครูใหญ่จาง.. ผมจะให้ตัวเลขที่ต่ำสุดกับคุณ – สามแสนหกหมื่น เงินชดเชยต้องไม่ต่ำกว่าตัวเลขนี้ คุณสบายใจได้ว่าตัวเลขที่ผมบอกคุณนี้ จะมีเพียงคุณเท่านั้นที่ได้ยิน คุณคิดก่อนแล้วค่อยตอบผม..”
ครูใหญ่จางถึงกับตกใจพร้อมกับหันไปมองคนอื่นๆที่อยู่ในห้อง และพบว่าไม่มีใครได้ยินเสียงของหลิงหยุนแม้แต่คนเดียวนอกจากเขา ครูใหญ่จางได้แต่ตกตะลึง!
นี่มันอะไรกัน..?! หลิงหยุนยังมีความสามารถอะไรอีกบ้าง?! นี่มัน..
ครูใหญ่จางใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากที่บวกลบคูณหารในใจอยู่นาน จึงประกาศออกไปเสียงดังว่า
“สำหรับเรื่องนี้.. ทางโรงเรียนจะชดเชยค่าเสียหายให้กับหลิงหยุนและครูประจำชั้นของเขา ฉันในฐานะครูใหญ่ของที่นี่ รู้สึกไม่สบายใจกับเรื่องนี้มาก และจะขอชดเชยค่าเสียหายให้กับทั้งคู่คนละห้าแสนหยวน.. รวมเป็นเงินหนึ่งล้านหยวน!”
ห๊ะ…
“อะไรนะ.. นี่ให้หนึ่งล้านจริงๆเหรอ?”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น