Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร 421-427

 บทที่ 421: พอใจในตัวเอง!

-เหยาลู่.. ผมมีปัญหานิดหน่อย ไม่สามารถกลับไปอยู่กับคุณได้ ไม่ต้องห่วงนะ พักผ่อนเยอะๆล่ะ-

ที่ชั้นยี่สิบเจ็ดของโรงแรมแชงกรีล่า เหยาลู่ซึ่งมีผ้าเช็ดตัวสีขาวพันตัวเพียงผืนเดียว กำลังนั่งมองหน้าจอโทรศัพท์เก่าๆของตัวเองด้วยดวงตาที่แดงก่ำ

เด็กผู้ชายที่บอกกับเธอว่าจะรีบกลับมาหาเธอ แต่แล้วก็ไม่กลับมา เธอได้แต่คอยแล้วคอยเล่า และได้รับเพียงข้อความสั้นๆจากเขาเท่านั้น

คืนนี้.. เขาเป็นฝ่ายเริ่มต้น เป็นฝ่ายที่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่น และโรแมนติค เขาพาเธอมาพักโรงแรมที่ดีที่สุดในจิงฉู แล้วยังเปิดห้องสูทที่หรูหราให้เธอ และบอกกับเธอว่าเขาต้องการเข้าหอกับเธอในคืนนี้

เธออาบน้ำชำระร่างกายจนสะอาดหอมฟุ้ง และกำลังรอคอยให้เด็กผู้ชายมีเสน่ห์คนนั้นป็นผู้ที่มาพาเธอเข้านอน

เหยาลู่ทำแม้กระทั่งไปศึกษาเรื่องพวกนี้จากอินเทอร์เน็ต เธอคิดเพียงว่าหากทำให้หลิงหยุนมีความสุขได้ เธอก็มีความสุขแล้ว! เธอรู้สึกเสียดายที่ตนเองไม่ได้เอาชุดนางพยาบาลที่เซ็กซี่พร้อมถุงน่องมาด้วย เพราะหลิงหยุนดูจะชอบมากเมื่อเธอสวมชุดนี้

แต่หลิงหยุนก็ไม่กลับมา หลังจากที่ได้รับข้อความจากเขา เธอก็ได้แต่นั่งลงบนเตียงภายในห้องสูทที่หรูหราด้วยความรู้สึกอ้างว้างเดียวดาย และค่อยๆใช้มือปาดน้ำตาที่ไหลออกมา ความหรูหราฟุ่มเฟือยรอบตัวเธอในเวลานี้ ไม่มีความหมายอะไรเลยหากไม่มีหลิงหยุน!

เหยาลู่เป็นหญิงสาวที่เชื่อฟัง และว่านอนสอนง่าย เธอไม่แม้แต่จะโทรกลับไปหาหลิงหยุน และไม่แม้แต่จะส่งข้อความตอบกลับ แต่เพียงแค่นั่งเหม่อมองไปที่ประตูสลับกับมองข้อความในโทรศัพท์มือถือด้วยความรู้สึกเศร้าใจ!

ที่ผ่านมา.. ทุกครั้งที่หลิงหยุนมาพบเธอนั้น เขาก็จะรีบร้อนจากไป แล้วก็หายหน้าหายตาไปอีกสองสามวัน และด้วยสัญชาติญาณ เหยาลู่รู้สึกได้ว่าเธอคงจะต้องสูญเสียสิ่งที่ควรต้องเป็นของเธอในคืนนี้ไป

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อธิบายไม่ได้เพราะมันเป็นสัญชาติญาณเฉพาะของผู้หญิง เธอจึงได้แต่รู้สึกกระกวนกระวาย เจ็บปวด และเศร้าใจจนไม่สามารถข่มตาหลับได้

“อาจจะคิดมากไปเอง.. คงจะเกิดปัญหาขึ้นจริงๆ เขาถึงได้ส่งข้อความมาบอก”

เหยาลู่พึมพำพร้อมกับยิ้มหวาน แต่ใบหน้ากลับเปื้อนไปด้วยน้ำตา..

……..

เวลาหกโมงเช้า.. หลิงหยุนเดินลมปราณในร่างกายเสร็จพอดี เขาจัดแจงห่มผ้าบางๆให้กับหลินเมิ่งหาน จากนั้นจึงเรียกเสื้อผ้าชุดใหม่ออกมาจากแหวนพื้นที่ หลังจากเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้ว หลิงหยุนจึงเดินออกไปนอกบ้านเพื่อฝึกดารกะดายันร่วมยี่สิบนาที

หลังจากที่ฝึกเสร็จแล้ว หลิงหยุนก็หยิบโทรศัพท์ออกมาส่งข้อความให้กับเหยาลู่ สั่งให้เธอพักผ่อนอยู่ที่โรงแรม และไม่ต้องไปดูแลการตกแต่งที่คลินิกอีก จากนั้นก็กลับเขาไปในบ้าน และเดินขึ้นไปชั้นบน

วันนี้เป็นวันอังคาร หากหลิงหยุนยังคงไม่ไปเรียนอีก ครูประจำชั้น –  กงเสี่ยวลู่ คงต้องไปหาเขาที่บ้านอย่างแน่นอน วันนี้เขาคงโดดเรียนไม่ได้อีกแล้ว

ส่วนหลินเมิ่งหานนั้น ด้วยความเคยชินที่เป็นลูกนายทหาร นาฬิกาในร่างกายเธอจึงปลุกให้เธอตื่นตอนหกโมงเช้าของทุกวัน

หลินเมิ่งหานลืมตาขึ้นมา และจิตใต้สำนึกได้สั่งให้เธอควานหาคนข้างๆ แต่กลับพบว่าที่รักของเธอนั้นไม่ได้อยู่บนเตียงแล้ว เธอถึงกับตกใจจนต้องลุกขึ้นนั่ง

“นี่เขา..”

และเพียงแค่ขยับตัว หลินเมิ่งหานก็รู้สึกเจ็บปวดร่างกายช่วงล่างอย่างที่สุดจนถึงกับต้องขมวดคิ้วแน่น

หลินเมิ่งหานค่อยๆดึงผ้าห่มผืนบางที่หลิงหยุนห่มให้นั้นออก และเมื่อก้มหน้าลงไปมองเธอก็เห็นรอยเลือดวงใหญ่อยู่บนที่นอน นั่นคือสัญญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ และบ่งบอกว่าตอนนี้เธอได้กลายเป็นผู้หญิงของหลิงหยุนโดยสมบูรณ์แล้ว ถึงแม้ว่าจะได้อยู่กับเขาเพียงแค่ไม่กี่เดือน แต่เพียงเท่านี้เธอก็พอใจมากแล้ว

“สามี.. ฉันรักคุณนะคะ!”

คิ้วของหลินเมิ่งหานขมวดเข้าหากันแน่น และค่อยๆใช้มือนวดร่างกายส่วนล่างที่เจ็บปวดอย่างเบามือ แม้จะเจ็บปวดแต่สีหน้าของเธอกลับเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ

หลิงหยุนที่กำลังกระโจนเข้าไปในห้องนอน เมื่อได้ยินเสียงพึมพำของหลินเมิ่งหานก็ได้แต่ยิ้มพร้อมกับร้องตะโกนออกไปว่า

“คุณภรรยาคนสวย.. เราสองคนเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ?”

หลินเมิ่งหานยักไหล่พร้อมกับตำหนิหลิงหยุน “นี่นายทำให้ฉันเจ็บปวดจนขยับเขยื้อนไม่ได้เลย แล้วจะทำยังไงดีล่ะทีนี้?”

และแน่นอนว่า.. นี่คือความภาคภูมิใจที่สุดของบุรุษ หลิงหยุนตอบอย่างไร้กังวล “ไม่ต้องห่วง.. สามีของคุณเป็นถึงหมอเทวดา ผมจะทำให้คุณหายเจ็บปวดเอง!”

แต่หลินเมิ่งหานกลับตอบอย่างภาคภูมิใจ “ความเจ็บปวดอื่นๆอาจให้นายรักษาได้ แต่ความเจ็บปวดนี้ฉันต้องอดทนผ่านมันไปให้ได้เอง และจะได้จดจำไว้ว่านายเป็นคนรังแกฉัน!”

หลิงหยุนได้ฟังกลับรู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างที่สุด จึงเก็บเข็มทองกลับเข้าไปที่เดิม แล้วแนบริมฝีปากของตนเองลงบนริมฝีปากของหลินเมิ่งหานอย่างอ่อนโยน และนุ่มนวล..

หลินเมิ่งหานเองก็จูบตอบอย่างอบอุ่นเช่นกัน และร่างกายของเธอก็ถูกกระตุ้นอีกครั้ง แต่เธอรีบผลักร่างของหลิงหยุนออกห่างอย่างรวดเร็ว

“สามี.. ร่างกายฉันรับไม่ไหวแล้ว ขอเวลาหน่อย!?” หลินเมิ่งหานทำเสียงอ้อนวอน

หลิงหยุนต้องรีบกลับไปที่บ้านในอ่าวจิงฉูเพื่อรับหนิงหลิงยู่ไปโรงเรียน เขาจึงหยุดแกล้งหลินเมิ่งหานและรีบถอดเสื้อผ้าของตัวเองออก

“สามี.. อย่าบอกนะว่า..” หลินเมิ่งหานถามขึ้นอย่างตกใจเพราะเข้าใจผิดว่าหลิงหยุนต้องการจะทำอะไรเธอ..

หลิงหยุนยกมือขึ้นชี้ไปที่คราบเลือดบนเตียง และร่างกายส่วนล่างของเขาเองพร้อมกับตอบยิ้มๆ

“ผมต้องอาบน้ำเตรียมตัวไปโรงเรียนแล้ว?”

“อืมม.. ”

หลิงหยุนหัวเราะอย่างมีความสุข “ถ้างั้นคุณก็พักผ่อนอยู่ที่บ้านไปก่อน แล้วผมจะกลับมาทานข้าวเที่ยงด้วย..”

“มาแน่นะ?” หลิงเมิ่งหานทำหน้าจริงจัง

“แน่นอน.. ผมไม่ปล่อยให้ภรรยาคนสวยของผมต้องหิวตายหรอกน่า ไม่อย่างนั้น.. ต่อไปผมจะรังแกใครได้อีก?”

พูดจบ.. หลิงหยุนก็เดินเข้าไปในห้องน้ำจัดการทำความสะอาดเนื้อตัวอยู่ราวห้านาที แล้วจึงรีบออกจากบ้านไป..

หลินเมิ่งหานอดทนต่อความเจ็บปวด และค่อยๆเดินไปยืนที่หน้าต่าง เธอมองหลิงหยุนที่กำลังขับรถออกไป และน้ำตาก็เริ่มไหลอาบแก้มทั้งสองข้างพร้อมกับพึมพำเบาๆ

“ถ้าหลงเทียนเจียวไม่ได้มาพูดจาสู่ขอฉันกับพ่อแม่ การพบกันของเราครั้งนี้คงจะเป็นเรื่องที่ดีมาก..”

………….

หลิงหยุนขับรถขึ้นทางด่วนมุ่นหน้าไปยังหมู่บ้านในอ่าวจิงฉูอย่างรวดเร็ว และเพียงแค่สิบห้านาทีเขาก็ไปถึงบานเลขที่-9 แล้ว

จากเด็กผู้ชายได้กลายเป็นเด็กหนุ่มเต็มตัวแล้ว อีกทั้งยังเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-6 เรียบร้อยแล้ว และความแข็งแกร่งยังเพิ่มขึ้นถึงสองเท่า หลิงหยุนในเวลานี้จึงสดชื่นอย่างที่สุด เขาขับรถแลนด์โรเวอร์ไปจอดที่หน้าบ้าน และรีบลงจากรถโดยที่ไม่ได้ดับเครื่อง

แต่แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา “เจ้าเด็กดื้อ! ข้าสั่งให้เจ้ากลับมานอนที่บ้านไม่ใช่รึไง?”

ฉินตงเฉี่วยได้ยินเสียงหลิงหยุนกลับมาบ้าน ร่างและใบหน้าที่เรียบเฉยของนางก็โผล่ออกมาจากในบ้านพร้อมกับส่งเสียงดุหลิงหยุน

หลิงหยุนรู้ตัวว่าผิดจึงได้แต่ยิ้มและรีบแก้ตัวไปว่า “น้าหญิง.. พอดีเหล่ากุ่ยมีปัญหามาก และเกือบต้องกลายเป็นมารไปแล้ว ข้าทนเห็นเขากลายเป็นมารไม่ได้จริงๆ!”

“ข้าจะรู้ได้ยังไงว่าเจ้าไม่ได้พูดโกหก?”

ฉินตงเฉี่วยจ้องหน้าหลิงหยุนนาน แต่จู่ๆก็พูดจาแปลกๆ “เอ๊ะ.. แต่ข้ารู้สึกว่าวันนี้เจ้าดูแตกต่างจากเมื่อวาน?”

เมื่อวานหลิงหยุนยังเป็นเด็กชายที่บริสุทธิ์อยู่ แต่วันนี้เขาได้กลายเป็นเด็กหนุ่มเต็มตัวแล้ว ทำไมจะดูไม่แตกต่างไปล่ะ?

“พี่ใหญ่.. กลับมาแล้วเหรอคะ?”

หนิงหลิงยู่วิ่งออกมาจากห้องนั่งเล่น และหลิงหยุนก็เห็นว่าวันนี้หนิงหลิงยู่ดูสดใสกว่าเมื่อวานมาก แน่นอนว่าฉินตงเฉี่วยคงต้องทำอะไรบางอย่างกับเธออย่างแน่นอน

หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมตอบกลับไปยิ้มๆ “พอดีเมื่อคืนพี่ยุ่งแล้วก็เหนื่อยมาก แต่เดี๋ยวคงจะดีขึ้น เอาล่ะ.. ไปโรงเรียนกันได้แล้ว!”

แม้แต่หนิงหลิงยู่เองก็ยังมองหน้าหลิงหยุนด้วยความรู้สึกงุนงงจนถึงกับต้องถามออกมา “พี่ใหญ่.. ทำไมฉันถึงได้รู้สึกว่าพี่ดูแตกต่างไปจากเมื่อวาน? มันดูเหมือน.. ฉันเองก็อธิบายไม่ถูก”

หลิงหยุนเองก็ถึงกับตกใจไม่น้อย และได้แต่คิดในใจว่าเหตุใดน้าหญิงกับน้องสาวของเขาถึงได้มีสัมผัสที่ว่องไวเช่นนี้? หลิงหยุนไม่กล้าอยู่นานกว่านี้ และรีบเร่งรัดให้หนิงหลิงยู่ขึ้นไปบนรถ

หนิงหลิงยู่ที่ยังดูงุนงงแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรมากไปกว่านั้น หลังจากนี่หนิงหลิงยู่ขึ้นไปนั่งในรถแล้ว หลิงหยุนก็เปิดประตูขึ้นไปนั่ง และรีบเหยียบคันเร่งพุ่งออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว

แต่ฉินตงเฉี่วยกลับบส่งกระแสจิตบอกกับหลิงหยุนว่า “เจ้าเด็กดื้อ.. เย็นนี้ห้ามเจ้าไปที่ใหนอีก หลังเลิกเรียนแล้ว เจ้าต้องพาหลิงยู่กลับมาหาข้าทันที เจ้าได้ยินที่ข้าบอกแล้วใช่ไม๊?”

“ข้าทราบแล้ว!”

ระหว่างทางไปโรงเรียน หลิงหยุนก็ถามหนิงหลิงยู่ขึ้นมาว่า “หลิงยู่.. เมื่อคืนนี้น้าหญิงได้เล่าเรื่องแม่ให้เธอฟังหรือเปล่า?”

หนิงหลิงยู่ตอบกลับไปยิ้มๆ “เล่าสิ.. น้าหญิงบอกว่าแม่กลับไปที่ตระกูลฉินเพื่อทำธุระ เสร็จเมื่อไหร่ก็จะกลับมาเอง พี่ใหญ่คะ.. รู้ไม๊ว่าความจริงแล้วแม่เป็นคนตระกูลฉิน แล้วน้าหญิงยังบอกอีกว่าแม่เป็นคนที่เก่งมาก และน้าหญิงเองก็เหมือนกัน ต่อไปพวกเราไม่ต้องกังวลว่าใครจะมารังแกเราอีกแล้ว..”

หลิงหยุนคิดในใจว่า.. ก็แม่ของเขาแซ่ฉิน ก็ต้องเป็นคนตระกูลฉินสิ! แต่เขาก็เพียงแค่ตอบกลับไปยิ้มๆ

“หลิงยู่.. เธอสบายใจได้เลย พี่ใหญ่ก็เก่งและแข็งแรงมากเหมือนกัน แล้วก็จะไม่ยอมให้ใครมารังแกเธอได้แน่!”

หนิงหลิงยู่หันไปมองหลิงหยุนด้วยแววตาไร้เดียงสาชวนฝัน ในใจก็กรีดร้องด้วยความดีใจ

สิบห้านาทีต่อมา รถของหลิงหยุนก็แล่นผ่านประตูโรงเรียนเข้าไปจอดด้านใน

“ถึงแล้ว.. เธอไปที่ห้องเรียนได้แล้ว!”


บทที่ 422: เพื่อนข้างโต๊ะคนใหม่!

“เห้ย.. นั่นมันหลิงหยุนกับหนิงหลิงยู่นี่นา!”

“จริงด้วย.. หลิงหยุนจริงๆด้วย ไอดอลของฉันกลับมาแล้วเว้ย!”

“เร็วเข้าทุกคน.. หลิงหยุนกลับมาแล้ว!”

“หลิงหยุน.. ฉันรักนาย!”

……….

ช่วงเวลานี้ นับว่าเป็นช่วงที่มีนักเรียนหนาแน่นที่สุด ทันทีที่หลิงหยุนและหนิงหลิงยู่ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูโรงเรียน ก็กลายเป็นที่สนอกสนใจของทุกๆคนในทันที เพื่อนนักเรียนต่างก็พากันพูดถึงและกระซิบซาบกัน นักเรียนหญิงบางส่วนถึงกับวิ่งเข้าไปหาหลิงหยุนอย่างคลั่งไคล้!

หลิงหยุนตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาก เขาจ้องมองบรรดานักเรียนหญิงที่พากันวิ่งกรูเข้ามาห้อมล้อมเขาอย่างคลั่งไคล้ หลิงหยุนตกตะลึงและอึ้งไปเล็กน้อยกว่าจะรู้ตัวว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นความจริงไม่ใช่ความฝัน!

“พี่ใหญ่.. ตอนนี้พี่กลายเป็นคนดังของโรงเรียนไปแล้วนะ เมื่อวานเพื่อนในห้องของฉันหลายคนก็ส่งข่าวมาบอกเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ฉันไม่ค่อยจะเชื่อ แต่ตอนนี้ได้เห็นกับตาถึงรู้ว่าพี่นี่ฮ็อทจริงๆ!”

หนิงหลิงยู่มองเห็นสีหน้าตกอกตกใจของหลิงหยุนแล้ว ถึงกับหัวเราะคิกคัก!

หลิงหยุนได้แต่พึมพำกับตัวเองว่า “นี่มันบ้าอะไรกัน?!”

หลิงหยุนมองนักเรียนสาวร่างอวบคนหนึ่งที่แต่งหน้าทาแก้มจนแดงราวกับก้นลิง  ทุกย่างก้าวที่วิ่งเข้ามานั้น ทำเอาไขมันในร่างกายของเธอกระเพื่อมไปมาอย่างรุนแรง แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังอ้วนน้อยกว่าเขาในสมัยก่อน

แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เรื่องสำคัญก็คือว่านักเรียนหญิงร่างอวบบผู้นั้นกำลังพุ่งเข้ามาหาหลิงหยุนอย่างคลุ้มคลั่งพร้อมกับร้องตะโกนเสียงดัง

“หลิงหยุน.. ฉันรักนาย!”

“โอ้แม่เจ้า..!” หลิงหยุนร้องออกมาอย่างตกใจจนแทบจะลืมตัวกระโดดขึ้นถีบแม่สาวร่างอวบให้กระเด็นออกไป

“หลิงยู่.. เธอกลับไปที่ห้องเองก็แล้วกันนะ พี่ไปก่อนแล้ว!”

หลิงหยุนไม่รอฟังความเห็นจากหนิงหลิงยู่ เขาใช้มังกรพรางร่างขั้นสุด และร่างของเขาก็หายวับไปจากตรงนั้นทันที!

หลิงหยุนไปโผล่อยู่ในห้องเล็กๆห้องหนึ่ง เขายกมือขึ้นเช็ดเหงื่อเย็นๆที่ผุดขึ้นตามหน้าผากด้วยความตกใจสุดขีด พร้อมกับพึมพำอย่างหวาดผวา

“โชคดีนะที่ข้าไม่ได้กินข้าวเช้ามาก่อน ไม่เช่นนั้นข้าคงต้องอาเจียนออกมาแน่ แม่สาวน้อยร่างอ้วนนั่นช่างน่าผวาจริงๆ!”

ตอนนี้รอบตัวหลิงหยุนล้วนรายล้อมไปด้วยสาวงาม ไม่ว่าจะเป็นหลินเมิ่งหาน ฉินตงเฉี่วย และหนิงหลิงยู่ จึงไม่แปลกหากเขาจะเกิดความรู้สึกเปรียบเทียบ

“ข้าหวังว่าเหตุการณ์บ้าๆนี่จะกลับสู่สภาพปกติโดยเร็ว ไม่เช่นนั้นต่อให้ข้าฝึกจนถึงขั้นพลังชี่ ก็คงยากที่จะหนีผู้หญิงพวกนี้พ้น..”

หลังจากตั้งสติได้ หลิงหยุนก็เริ่มมองหาทางที่จะกลับไปยังห้องเรียนของตนเอง แต่แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่า

‘ครั้งก่อนหนิงน้อยเล่าให้ฟังว่าที่โรงเรียนก็เกิดเรื่องเหมือนกัน ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไรกันแน่? คืนนี้ข้าคงต้องสอบถามจากฉางหลิงอีกที!’

เมื่อมาถึงที่อาคารเรียน หลิงหยุนก็ไม่สนใจใคร เขารีบวิ่งขึ้นบันไดไปอย่างรวดเร็ว และรีบตรงเข้าไปที่ห้องหกทันที และเมื่อกวาดสายตาไปรอบๆห้อง ก็พบว่าเพื่อนๆส่วนใหญ่แม้กระทั่งเหมี่ยวเสี่ยวเหมาต่างก็นั่งกันอยู่เต็มห้องแล้ว

 “เห้ย.. นั่นมันหลิงหยุนนี่!”

“หลิงหยุนกลับมาแล้วจริงๆด้วย!”

แล้วเสียงปรบมือก็ดังกระหึ่มไปทั่วทั้งห้องเรียน..

เพื่อนนักเรียนในชั้นต่างก็พากันโห่ร้องเรียกชื่อหลิงหยุน และวิ่งกรูเข้าไปหาเขา เว้นแต่เหมี่ยวเสี่ยวเหมาที่เพียงแค่ยืนปรบมือให้หลิงหยุนนิ่งๆ บรรยากาศในห้องต่างก็เปี่ยมไปด้วยความยินดี

“ยินดีต้อนรับกลับห้องหลิงหยุน!” เพื่อนนักเรียนในห้องต่างก็วิ่งออกไปล้อมหลิงหยุนไว้

“พี่หลิง..! ไอดอลของฉัน! ฉันคอยพี่อยู่หลายวัน ในที่สุดพี่ก็กลับมา!” กู่หยวนหลงวิ่งออกมาจากห้อง ตรงเข้าจับมือหลิงหยุนและร้องอุทานออกมาอย่างตื่นเต้น

“พี่หลิง.. ฉันได้เห็นคลิปที่พี่ทุบสำนักงานรื้อถอนกับบ้านสองหลังนั่นแล้ว ยังได้เห็นพี่จัดการกับหัวหน้าสำนักงานรักษาความมั่นคงด้วย โคตรเจ๋งเลย! แล้วพี่ก็หล่อมากด้วย! ฮ่า.. ฮ่า..” ซากัวจิ้งเองก็พร่ำชมหลิงหยุนไม่ขาดปาก

“เห้ย.. หลิงหยุนนายกลับมาแล้วเหรอ? นี่ถ้านายไม่กลับมา ที่นี่คงจะน่าเบื่อมากเลย!” ฉางตงที่สูงหนึ่งเมตรเก้าสิบตบบ่าหลิงหยุนพร้อมกับบ่นออกมา

หลิงหยุนได้แต่ส่ายหน้ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาได้แต่คิดในใจว่า ขืนปล่อยให้สถานการณ์เป็นแบบนี้คงจะไม่ได้การแน่

“ทุกคนหลีกทางให้ผมได้แล้ว ให้ผมกลับไปนั่งที่โต๊ะก่อน..”

ยิ่งเห็นเพื่อนนักเรียนกรูเข้ามาล้อมเขามากเท่าไหร่โดยเฉพาะนักเรียนหญิง หลิงหยุนก็เริ่มทนไม่ได้ และรีบเบี่ยงตัวหลบเพื่อกลับไปนั่งที่โต๊ะอย่างรวดเร็ว

และเมื่อสามารถกลับไปนั่งที่โต๊ะของตัวเองได้แล้วแม้จะยากลำบากไปนิด หลิงหยุนก็ยกมือขึ้นห้ามเพื่อนๆที่ยังคงปรบมือไม่หยุดพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“ขอบคุณเพื่อนๆทุกคนมาก ขอเวลาให้ผมปรับตัวกับสถานการณ์แบบนี้หน่อย แล้วค่อยคุยกันทีหลัง?”

ฉางตงวิ่งเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าหลิงหยุนพร้อมกับบชี้ไปทางด้านขวามือ เป็นการส่งสัญญาณให้หลิงหยุนมองไปทางหน้าต่าง..

“ฟังนะ.. ต่อให้เพื่อนๆในห้องยอมปล่อยให้นายได้หายใจหายคอบ้าง แล้วนายจะจัดการกับนักเรียนคนอื่นๆที่คอยอยู่ด้านนอกได้ยังไง?”

หลิงหยุนมองไปทางหน้าต่างตามที่ฉางตงชี้ ‘แม่เจ้า.. ยังมีคนอยู่ข้างนอกอีกมากมาย!’

ด้านนอกยังมีนักเรียนอีกจำนวนมากที่พากันกรีดร้องและเรียกชื่อหลิงหยุน เขากลัวจนไม่กล้ามองต่อ..

แต่หลิงหยุนก็ไม่กล้าที่โกรธเคืองพวกเขา เพราะทุกคนล้วนเป็นเพื่อนนักเรียนโรงเรียนเดียวกัน หรือต่อให้เขารู้สึกโมโห ก็ไม่ได้อยากมีเรื่องด้วย

หลิงหยุนได้แต่หันกลับไปมองเพื่อนด้านนอกอย่างขลาดๆ พร้อมพูดกับฉางตงว่า “ฉันคงจะหนีสภาพแบบนี้ไปใหนไม่ได้ เพราะยังไงก็ต้องกลับมาเรียน ช่างเถอะ.. ฉางตงกลับมานั่งที่เร็วเข้า!”

หลิงหยุนยกมือขึ้นดึงร่างของฉางตงกลับมา จากนั้นก็สั่งให้ฉางตงนั่งลงตรงที่นั่งของเกาเฉินเฉิน แล้วจึงพยักเพยิดหน้าไปทางหน้าต่างพร้อมกับถามขึ้นว่า

“นี่มันเกิดเรื่องบ้าบออะไรขึ้นกันแน่?”

ฉางตงยิ้มก่อนจะตอบไปว่า “ก็จะเรื่องบ้าบออะไรกันล่ะ? หลิงหยุนตอนนี้นายดังใหญ่แล้วนะ! ฉันจะบอกอะไรให้อีกอย่าง เห็นว่าเสาร์นี้จะมีสาวสวยจากโรงเรียนอื่นมาดูนายโดยเฉพาะเลยนะ บางคนก็ประกาศว่าจะมาตามจีบนาย ตอนนี้นายเตรียมรอรับความสุขที่กำลังจะมาถึงได้เลย..”

“อะไรนะ? ผู้หญิงสองสามคน.. จะมาตามจีบฉัน?!”

หลิงหยุนถึงกับนิ่งไปครู่ใหญ่พร้อมกับคิดในใจว่า ถ้าเป็นแบบนั้นจริง เขาก็จะพาเจ้าขาวปุยไปที่เกาเตียวหยู่เสาร์นี้เลยดีกว่า ไม่เช่นนั้นเขาคงจะรับมือกับสาวๆพวกนั้นไม่ไหวแน่?!

สำหรับหลิงหยุนกับหลินเมิ่งหานที่ยังอยู่ในช่วงของการดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์นั้น ต่อให้สาวสวยแค่ใหนก็คงเทียบไม่ได้กับเทพธิดาที่รอเขาอยู่ที่บ้าน!

“นายท่าจะมีความสุขมากสินะ..! ตอนนี้ฉันก็เลยดังไปกับนายด้วย ทุกวันนี้ฉันเองก็แทบไม่เป็นอันได้ทำอะไร ทุกคนเอาแต่วิ่งตามฉันเพื่อถามเรื่องของนาย นี่ถ้าฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ ฉันจะไปนั่งร้องไห้ที่บ้านนาย.. คอยดูสิ!”

ฉางตงพูดอย่างอึดอัด เพราะสองสามวันนี้เขาเองก็ถูกไล่ตามไม่ต่างจากหลิงหยุน และดูเหมือนว่าเขาเองก็เริ่มจะทนไม่ได้เช่นกัน

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า “ไปให้ไกลๆเลย.. นายก็หาวิธีเอาตัวรอดเอง อย่ามาร้องไห้กับฉัน!”

ระหว่างที่พูดคุยกับฉางตงอยู่นั้น สายตาของหลิงหยุนก็คอยเหลือบมองเหมี่ยวเสสี่ยวเหมาอยู่ตลอดเวลา เขากำลังคิดว่าคงต้องหาโอกาสคุยกับเหมี่ยวเสี่ยวเหมาส่วนตัว

หลิงหยุนให้สัญญากับท่านหมอเสี่ยวไว้ว่า เขาจะหาวิธีที่ทำให้ท่านหมอเสี่ยวและเหมี่ยวเฟิงหวงได้มีโอกาสพูดคุยปรับความเข้าใจกันโดยผ่านทางเหมี่ยวเสี่ยวเหมา

ในคืนวันเชงเม้งนั้น เหมี่ยวเสี่ยวเหมาเองก็ปรากฏตัวพร้อมกับดักแด้ทองคำ ทั้งเขาและเธอต่างก็ช่วยกันสังหารหลิวเต๋อหมิง แม้มือสังหารระดับสวรรค์ขององค์กรนักฆ่าทั้งสามคนปรากฏตัว เธอก็ยังไม่ยอมหนีและยืนยันจะต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับหลิงหยุน และนั่นทำให้หลิงหยุนเกิดความรู้สึกที่ดีกับเหมี่ยวเสี่ยวเหมามากขึ้น

หลิงหยุนได้ใช้พลังอมตระชำระล้างร่างกายให้กับเหมี่ยวเสี่ยวเหมาไปไม่น้อย และตอนนี้เหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็สามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-7 ได้แล้ว นับได้ว่าเธอเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ไม่น้อยเลยทีเดียว

แม้ว่าหลิงหยุนจะได้ทำการลบเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับเรื่องพู่กันจักรพรรดิออกจากความทรงจำของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาไป แต่เธอก็ยังคงจำเหตุการณ์ที่ร่วมต่อสู้กับหลิงหยุนได้ เพราะเขาไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องลบความทรงจำช่วงนี้ของเธอทิ้งไป

“ฉางตง.. หลายวันนี้มีใครมาถามหาฉันบ้างไม๊?” หลิงหยุนถามด้วยท่าทางสบายๆ

ฉางตงยิ้มและตอบกลับไปว่า “มีสิ.. ก็พวกที่รอนายอยู่ข้างนอกนั่นไงล่ะ มาถามถึงนายทุกวันเลย..”

หลิงหยุนขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับถามต่อว่า “แล้วนอกจากคนพวกนั้นล่ะ?”

ฉางตงหัวเราะ “ดูเหมือนจะมีผู้หญิงสองคนมาถามหานาย..”

หลิงหยุนได้ฟังถึงกับพูดอะไรไม่ออก พร้อมกับคิดว่าผู้หญิงที่ใหนจะมาถามหาเขาอีก?

หลิงหยุนถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะถามต่อว่า “ผู้หญิงที่ใหน?”

ฉางตงตอบยิ้มๆ “นายนี้เนื้อหอมจริงๆ คนแรกก็เป็นผู้หญิงที่ให้รถมาเซราติกับนายไง? ส่วนอีกคนก็เป็นหญิงสาวเจ้าของร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่..”

หลิงหยุนเพียงแค่พยักหน้า คนแรกเป็นมู่หลงเฟยจื่ออย่างแน่นอน ส่วนคนที่สองนี่สิเป็นใครกัน?

“หญิงสาวเจ้าของร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่งั้นเหรอ? แล้วเธอมาหาฉันทำไมกัน?”

หลิงหยุนรู้ดีว่าความทรงจำหลายอย่างของหลิงหยุนคนก่อนได้สูญหายไปจากสมองของเขา เขาจึงไม่ต้องการแสดงพิรุธออกไปให้ใครสงสัย แต่ก็ได้ถามออกไปด้วยความระมัดระวัง

ฉางตงมองหลิงหยุนอย่างไม่อยากจะเชื่อ “หลิงหยุน.. เดี๋ยวนี้พอนายเก่งขึ้นมาหน่อย ก็ลืมเรื่องค่าจ้างเล็กๆน้อยๆไปเลยหรือยังไง? นายถึงลืมเรื่องนี้ไปได้..”

หลิงหยุนนิ่งเงียบไป และรอคอยฟังว่าฉางตงจะพูดอะไรต่อ..

ฉางตงพูดต่อว่า “ก็เมื่อเดือนที่แล้ว นายจะโดดเรียนไปทำงานที่ร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ทุกวัน เจ้าของร้านเขาก็เอาค่าจ้างมาให้นายไงล่ะ!”

“ฉันขอถามอะไรนายหน่อยสิ? นายกับสาวเจ้าของร้านเป็นอะไรกันหรือเปล่า ทำไมเขาต้องถึงกับเอาเงินค่าจ้างมาให้นายถึงที่นี่? อีกอย่างพอไม่พบนาย เธอก็ทำหน้าเหมือนกับคนอกหัก..”

หลิงหยุนตอบกลับอย่างโมโห “นี่นายอย่าโยนผู้หญิงมาให้ฉันทุกคนหน่อยเลย ต่อไปถ้าเธอมาอีก ฝากนายบอกเธอด้วยว่าฉันไม่ต้องการเงินค่าจ้างนั่น..”

“ถ้าเธอมาอีกฉันรับแทนนายก็ได้ จะได้เอาไปใช้?” ฉางตงพูดยิ้มๆ

“นายอยากได้ก็เอาไป!” หลิงหยุนตอบอย่างไม่แยแส

“แต่น่าเสียดาย.. เธอคงไม่ยอมฝากเงินนั่นไว้กับฉันแน่ เพราะดูเหมือนเธอต้องการจะให้นายเองกับมือ!”

แต่จู่ๆภายในห้องก็เงียบกริบไปทันที ตามมาด้วยกลิ่นหอมนวล หลิงหยุนทำจมูกฟุดฟิด และเมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็พบกับหลงหวู่..

หลิงหยุนถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง!

หลงหวู่เข้ามาเรียนที่ห้องเดียวกับเขาได้อย่างไร?!

หลงหวู่สวมกางเกงขาสั้นรัดรูปที่ดูเซ็กซี่ เผยให้เห็นท่อนขาที่เรียวยาวสวยงามและเร่าร้อน!

เธอเดินตรงเข้าไปที่โต๊ะของเกาเฉินเฉินพร้อมกับเหลือบมองหลิงหยุน หลงหวู่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นพร้อมกับส่งยิ้มให้หลิงหยุนกับฉางตง

ตอนนี้นักเรียนมัธยมปลายทุกห้องต่างก็รู้ดีว่าหลงหวู่คือลูกสาวของหัวหน้าแก๊งมังกรเขียว และเมื่อฉางตงเห็นหลงหวู่มองหลิงหยุน เขาก็รีบลุกขึ้นยืนพยักหน้าให้หลงหวู่ทันที จากนั้นก็กลับไปนั่งที่โต๊ะของตัวเอง

สีหน้าของหลงหวู่นิ่งเรียบไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เธอบิดเอวเล็กน้อย และค่อยๆย่อตัวนั่งลงบนเก้าอี้ของเกาเฉินเฉิน จากนั้นก็หยิบนิตยสารแฟชั่นซึ่งเป็นภาษาต่างประเทศออกมานั่งเปิดดู

หลิงหยุนได้แต่มองด้วยความงุนงง พร้อมกับคิดในว่าหลงหวู่ทำอะไรประหลาดๆ

“นี่.. ออกไปข้างนอกได้แล้ว อย่ามาวุ่นวายรบกวนในห้องเรียน!” หลิงหยุนจ้องหน้าหลงหวู่ก่อนจะอ้าปากพูดกับเธอ

หลงหวู่สะบัดผมยาวสีดำขลับพร้อมกับหันไปมองหลิงหยุน จากนั้นริมฝีปากเซ็กซี่ก็กระซิบเบาๆว่า

“สวัสดีเพื่อนข้างโต๊ะ.. ฉันเป็นนักเรียนใหม่ ฝากเนื้อฝากตัวด้วย!”

‘สวัสดีเพื่อนข้างโต๊ะงั้นรึ? นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?’

เกาเฉินเฉินยังคงไม่กลับมา แต่หลงหวู่กลับมาเรียนห้องเดียวกับเขา แล้วยังนั่งที่เกาเฉินเฉินอีก!

“นี่คุณนักกฎหมาย.. คุณคิดว่านี่เป็นเรื่องสนุกหรือยังไง?”

หลิงหยุนไม่สนใจสายตาที่จ้องมองมาของเพื่อนร่วมห้อง เขาสูดดมกลิ่นหอมจากเรือนร่างของหลงหวู่แล้วจึงกระซิบถาม

“ใครบอกล่ะ.. สนุกจะตายไปต่างหาก! ฉันก็อยากสอบเข้ามหาวิทยาลัยหยานจิงเหมือนกัน อุตส่าห์เสียเงินตั้งเยอะเพื่อให้ได้มาเรียนที่นี่.. ไม่ได้หรือยังไง?”

หลงหวู่ยิ้มและจะรอดูว่าหลิงหยุนจะทำอย่างไรต่อไป

หลิงหยุนได้แต่จ้องหน้าหลงหวู่  แต่หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบกลับไปว่า

“ได้สิ! ยินดีต้อนรับ.. อย่างอบอุ่น..” หลิงหยุนผายมือพร้อมกับคิดในใจว่า เขารู้แล้วว่าจะรับมือกับบริษัทชิงหยุนโปรดักชั่นอย่างไรดี

ในเมื่อมีนักกฎหมายสาวอยู่ที่นี่ทั้งคน ไม่จำเป็นต้องไปหาที่ใหนอีก!

แต่หลิงหยุนยังไม่รีบร้อนจัดการเรื่องของบริษัทชิงหยุนมากนัก เขาจึงยังไม่ต้องการคุยกับหลงหวู่เรื่องนี้ในตอนนี้ แต่กลับถามไถ่เรื่องอื่นไปก่อน

“นี่คุณ.. ลุงหลงสบายดีไม๊? แล้วเจ้าสองคนที่ผมฝากแก๊งมังกรเขียวเอาตัวไปเป็นยังไงบ้าง?”

หลงหวู่ยิ้มพร้อมกับตอบเสียงเนิบ “นี่นายจะถามถึงพ่อฉัน หรือว่าจะถามถึงไอ้ขยะสองตัวนั่น?”

“ถ้าถามถึงพ่อของฉัน.. ท่านก็สบายดี! แต่เรื่องที่เกี่ยวกับแก๊งมังกรเขียว ฉันไม่รู้เรื่อง และไม่คิดจะเข้าไปก้าวก่าย”

หลิงหยุนกำลังจะถามต่อ แต่ตาของเขาเหลือบไปเห็นหญิงสาวที่คุ้นตายืนอยู่หน้าประตูห้อง จึงรีบส่งยิ้มให้..

ทันทีที่ฉางหลิงวิ่งเข้ามาในห้อง ก็มองไปทางโต๊ะของหลิงหยุนทันที และเมื่อเห็นหลิงหยุนนั่งอยู่ เธอก็แสดงสีหน้าตกใจพร้อมกับร้องอุทานออกมา!

“หลิงหยุน!”


บทที่ 423: ข่าวลือที่ชั่วร้าย!

เมื่อรู้ว่าวันนี้หลิงหยุนจะมาโรงเรียน ฉางหลิงก็แต่งตัวสวยงามออกมาจากบ้าน และใช้เวลาเลือกเสื้อผ้านานกว่าครึ่งชั่วโมง เธอจึงมาถึงโรงเรียนสายกว่าปกติ

เมื่อฉางหลิงมาถึงโรงเรียน ก็ได้ยินเด็กนักเรียนในโรงเรียนต่างพากันพูดว่าหลิงหยุนกลับมาเรียนแล้ว เธอรู้สึกมีความสุขอย่างมาก และรีบวิ่งตรงไปที่ห้องเรียนทันที

ฉางหลิงยืนนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตรงเข้าไปหาหลิงหยุนที่โต๊ะ..

“หลิงหยุน.. นี่นายมาโรงเรียนแล้วจริงๆเหรอ?!” ฉางหลิงวิ่งเข้าไปหาหลิงหยุนด้วยแววตาตื่นเต้นดีใจ

หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ “ถามยังกับว่าที่นั่งอยู่นี่ไม่ใช่ผม?”

หลิงหยุนเห็นใบหน้าสวยงามของฉางหลิง ก็อดที่จะนึกถึงเหตุการณ์ที่เขาโอบกอดเธอเมื่อครั้งนั้นไม่ได้..

หลงหวู่ยังคงนั่งนิ่ง แววตาของเธอยังคงสงบไม่เปลี่ยน อากัปกิริยาก็ยังเป็นปกติ ดูคล้ายกับว่าจิตใจของเธอจดจ่ออยู่ที่นิตยสารตรงหน้าเท่านั้น ส่วนฉางหลิงและหลิงหยุนเป็นเพียงอากาศธาตู

 “นี่.. คุณช่วยออกไปที่อื่นก่อนจะได้ไม๊ ผมต้องการคุยกับฉางหลิง..”

หลิงหยุนตบไหล่หลงหวู่ที่มีกลิ่นหอมเบาๆ เพื่อขอให้เธอช่วยลุกออกจากโต๊ะก่อนชั่วคราว เพราะเขากับบฉางหลิงมีเรื่องที่ต้องคุยกันยาว

เมื่อฉางหลิงได้ยินเช่นนั้น เธอก็ได้แต่ยิ้มมุมปากพร้อมกับขยิบตาให้หลิงหยุน พร้อมกับมองเขาด้วยแววตาที่บ่งบอกว่าสิ่งที่เขาทำนั้นสมควรได้รับรางวัลจากเธอ

หลงหวู่ค่อยๆปิดนิติยสารในมือ เธอเหลือบมองฉางหลิงที่ยืนอยู่ จากนั้นจึงหันไปมองหลิงหยุนที่ขอให้เธอออกไป แล้วจึงลุกขึ้นยืนและบอกกับฉางหลิงว่า

“หลีกทางให้ฉันด้วย..”

ฉางหลิงยิ้มเล็กน้อย เธอคิดไม่ถึงว่าหลงหวู่จะยอมลุกขึ้น และยกที่นั่งให้กับเธอชั่วคราว เธอจึงหลบทางให้พร้อมกับมองตามหลงหวู่ที่เดินออกไป

หลงหวู่ถือหนังสือนิติยสารเดินตรงออกไปที่ระเบียงนอกห้อง..

หลิงหยุนมองไปที่ฉางหลิงพร้อมกับพูดยิ้มๆว่า “คุณไม่ต้องไปกลัวเธอ นั่งลงเร็วเข้าจะได้คุยกัน”

ฉางหลิงยิ้มพร้อมกับนั่งลงที่เก้าอี้ทันที และวางกระเป๋าถือในมือลงบนโต๊ะก่อนจะพูดขึ้นว่า “ฉันรีบจนหมดแรง!”

หลิงหยุนหัวเราะแล้วจึงพูดหยอกฉางหลิง “นี่ยังเหลือเวลาอีกตั้งยี่สิบนาทีถึงจะเข้าเรียน คุณไม่เห็นต้องรีบร้อนขนาดนี้เลย?”

ฉางหลิงจ้องหน้าหลิงหยุนพร้อมกับตอบไปว่า “ฉันก็รีบมาหานายน่ะสิ! แล้วทำไมเมื่อวานนายถึงไม่มาเรียน?”

หลิงหยุนตอบความจริงเพียงแค่ครึ่งเดียว “น้าหญิงของผมมาที่บ้าน แม่ก็ไม่อยู่ ผมก็เลยต้องอยู่ต้อนรับแทน!”

“อ่อ.. ที่แท้ก็เรื่องนี้เอง ห๊ะ.. อะไรนะ?!” ฉางหลิงถึงกับตาโตพร้อมกับร้องถามกลับไปว่า “น้าหญิงของนายงั้นเหรอ?!”

หลิงหยุนอดคิดไม่ได้ว่า การที่เขามีน้าสาวมันเป็นเรื่องแปลกนักหรือยังไง? แต่ก็เพียงแค่พยักหน้าไม่ได้พูดอะไร

“ไม่เห็นนายเคยพูดถึง? ฉันจำได้ว่าครอบครัวนายไม่มีญาติที่ใหนนี่นา?”

“ไม่ได้พูด.. ก็ไม่ได้หมายความว่าไม่มี..”

หลิงหยุนคิดในใจจว่าเขาไม่เพียงแค่มีญาติ แต่ญาติของเขายังเป็นคนของตระกูลเก่าแก่ที่หากใครรู้เข้าก็คงจะต้องหวาดกลัวอย่างแน่นนอน!

“ทำไม? ญาตินายมาแล้วห้ามโทรหาใครเลยหรือยังไง? อย่างน้อยก็ส่งข้อความหาฉันหน่อยก็ได้นี่นา!” ฉางหลิงบ่นพึมพำ

หลิงหยุนเอ่ยขอโทษ “ผมเพิ่งกลับมาได้สองสามวัน ก็เลยยุ่งๆ มีหลายเรื่องที่ผมต้องจัดการ ให้เวลาผมจัดการธุระที่คั่งค้างให้เรียบร้อยก่อนนะ?”

“ต่อไปนายอย่าหายไปใหนนานๆแบบนั้นอีกนะ ฉันเป็นห่วง..!”

ฉางหลิงซึ่งเป็นคนตรงๆ จึงไม่คิดที่จะเก็บงำอารมณ์ความรู้สึก ไม่ว่าจะรู้สึกยังไงเธอก็บอกหลิงหยุนไปตรงๆ

หลิงหยุนพยักหน้า “ผมรับปาก.. แล้วตั้งแต่เกาเฉินเฉินกลับไปบ้าน เธอได้ติดต่อคุณกลับมาบ้างไม๊?”

เมื่อหลิงหยุนถามถึงเกาเฉินเฉิน ดวงตาของฉางหลิงก็เปลี่ยนเป็นกังวลและเศร้าขึ้นมาทันที เธอขมวดคิ้วพร้อมกับส่ายหน้า

“ไม่เลย.. โทรศัพท์มือถือก็ปิดติดต่อไม่ได้ ฉันส่งข้อความไปมากมาย แต่เธอก็ไม่เคยตอบกลับ ฉันคิดว่าตั้งแต่กลับไปเธอคงไม่ได้แตะโทรศัพท์อีกเลย”

ทันทีที่ได้ฟัง หลิงหยุนก็รู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาทันที เพราะดูเหมือนว่าเรื่องของเกาเฉินเฉินจะมีปัญหามากกว่าที่เขาคาดคิด

เกาเฉินเฉินกลับไปบ้านที่ปักกิ่งด้วยเรื่องส่วนตัว หากครอบครัวเกาเฉินเฉินไม่ต้องการให้เธอติดต่อกับเขาก็คงไม่แปลกเท่าไหร่ แต่นี่เพื่อนสนิทที่สุดของเธอเองก็ยังไม่สามารถติดต่อได้ จะต้องมีปัญหาใหญ่เกิดขึ้นกับเธออย่างแน่นอน

หลังจากพูดจบฉางหลิงก็สงบจิตสงบใจพูดต่อว่า “ฉันว่าเราลองถามครูประจำชั้นดูดีไม๊? ครูน่าจะรู้ข่าวของเกาเฉินเฉินบ้าง..”

“ก็ดีเหมือนกัน? ถ้างั้นผมจะหาโอกาสถามเรื่องนี้กับครูประจำชั้น..”

ท่าทางของหลิงหยุนก็ดูปกติดี ไม่มีทีท่าว่าจะหวาดกลัวกับข่าวลือ..

ฉางหลิงหันไปมองหลิงหยุนด้วยแววตาที่เป็นกังวล เธอถอนหายใจเบาๆก่อนจะตัดสินใจพูดต่อ

“หลิงหยุน.. นี่นายคงจะยังไม่รู้เรื่องอะไรเลยใช่ไม๊? ช่วงที่นายหายตัวไปหลายวัน มีเรื่องเกิดขึ้นในโรงเรียนของเราด้วย.. เอ่อ.. เป็นเรื่องระหว่างนายกับครูกง..”

หลิงหยุนกำลังจะอ้าปากถามฉางหลิงเรื่องนี้พอดี แต่เมื่อได้ยินฉางหลิงพูดขึ้นมา เขาถึงกับขมวดคิ้ว เพราะก่อนหน้านี้เขายังคิดว่าน่าจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับกู่หยุนฟะกับเสียเจิ้นเหยิน ที่คงจะร่วมมือกันหาแก้แค้นเขาในช่วงที่เขาหายตัวไป แต่เมื่อได้ยินว่าเป็นเรื่องระหว่างครูประจำชั้นที่ชื่อกงเสี่ยวลู่กับตัวเขา หลิงหยุนจึงค่อนข้างตกใจ..

 “มีเรื่องอะไรก็พูดมา.. ” หลิงหยุนดูอึดอัด และสีหน้าก็เริ่มเปลี่ยนไป

แต่เขาก็ไม่ได้รีบร้อนหรือกระวนกระวายใจนัก เพราะต่อให้เป็นเรื่องใหญ่โต ก็คงจะไม่มีเรื่องใหนใหญ่โตกว่าเรื่องของคนตระกูลซันอีกแล้ว!

อีกอย่างตอนนี้ทั้งเสียเจิ้นเหยินและกู่หยุนฟะต่างก็หวาดกลัวจนไม่กล้ามาโรงเรียน และหลิงหยุนมั่นใจว่าเรื่องของสองคนนั้นเป็นเรื่องที่เขาสามารถจัดการได้ไม่ยาก..

ฉางหลิงยกนิ้วชี้ขึ้นกระดิกเข้าหาตัวเป็นการส่งสัญญาณให้หลิงหยุนเอียงหูเข้าไปใกล้ๆเธอ จากนั้นเธอก็โน้มเข้าไปใกล้ใบบหูของหลิงหยุนพร้อมกับกระซิบเสียงเบา

“มีอยู่สองเรื่อง.. เรื่องแรก – เมื่อวันพฤหัสที่แล้วหลังจากที่นายหายตัวไป ทางโรงเรียนก็ได้ตัดสินใจที่จะไล่นายออกตั้งแต่วันนั้น”

หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มอย่างพอใจพร้อมกับคิดว่า ไม่ต้องมานั่งเรียนแบบนี้อีกแล้ว ก็ยิ่งดีเสียอีก..!

“เรื่องที่สอง – พอครูกงรู้เรื่องที่ทางโรงเรียนมีมติจะไล่นายออก ครูประจำชั้นของเราก็ไม่เห็นด้วย อีกทั้งช่วงนั้นนายเองก็ติดต่อได้ ครูกงจึงเข้าไปหาผู้อำนวยการโรงเรียนกับครูใหญ่คัดค้านเรื่องนี้ด้วยตัวเอง และยืนกรานไม่ยอมให้ทางโรงเรียนไล่นายออก..”

หลิงหยุนได้ฟังแล้วถึงกับซาบซึ้งใจอย่างที่สุด พร้อมกับคิดในใจว่าเธอช่างเป็นคนที่กล้าหาญมาก!

แต่เรื่องนี้ก็ไม่เห็นจะเป็นเรื่องราวใหญ่โตอะไรนี่นา..? และเมื่อหลิงหยุนกำลังจะเอ่ยถาม ฉางหลิงก็เล่าต่อ..

“แต่ปัญหาไม่ได้อยู่ที่เรื่องนั้น.. หลังจากวันที่ครูกงเข้าไปพบผู้อำนวยการหลิวกับครูใหญ่จางหนึ่งวัน.. ก็มีข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วทั้งโรงเรียนว่า..”

“ข่าวลือเรื่องอะไรกัน?!” หลิงหยุนถามขึ้นทันที เพราะดูเหมือนว่าปัญหาน่าจะอยู่ตรงนี้

ฉางหลิงทำเสียงกระซิบเบากว่าเดิม “ก็วันที่ครูกงเรียกนายไปติววิชาภาษาอังกฤษให้ตัวต่อตัวน่ะสิ มันดันมีคนปล่อยข่าวเรื่องนี้ออกไปพร้อมกับสร้างข่าวลือว่า ครูกงกับนาย.. มีอะไรกันในวันที่นายขึ้นไปที่หอพักของครูวันนั้น..”

 “ช่วงที่นายไม่อยู่.. ข่าวลือเรื่องนี้ได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งโรงเรียน ทุกคนต่างก็ซุบซิบนินทาเรื่องนี้กัน เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีผู้ชายคนใหนได้ขึ้นไปที่หอพักของครูกงเลยแม้แต่คนเดียว หลายคนถึงกับเข้าใจว่า เพราะนายกับครูกงมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกัน ครูกงถึงได้ยอมออกหน้าไปโวยวายกับครูใหญ่ และยืนกรานไม่ให้ทางโรงเรียนไล่นายออก”

คิ้วของหลิงหยุนขมวดเข้าหากันแน่น แต่แววตากลับเยือกเย็นและสีหน้าเรียบเฉย พร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังนัก

“มีใครเชื่อข่าวลือเรื่องนี้บ้าง? แล้วพอจะรู้ไม๊ว่าใครที่เป็นคนปล่อยข่าว?”

ฉางหลิงถอนหายใจก่อนจะพูดต่อว่า “เฮ้อ.. เพื่อนๆในห้องของเราไม่มีใครเชื่อเรื่องนี้หรอก แต่นักเรียนคนอื่นๆในโรงเรียนนี่สิ อย่างที่นายรู้.. กระพือข่าวเก่งนักล่ะ! คนที่ปล่อยข่าวก็ช่างเลือกช่วงเวลาได้เหมาะเจาะมาก เลือกที่จะปล่อยข่าวช่วงที่นายไม่อยู่พอดี ต่อให้ครูกงของเรามีร้อยปาก ก็ยังอธิบายให้คนฟังไม่ทันเลย อีกซ้ำเรื่องแบบนี้ ยิ่งพูดก็ยิ่งดูเหมือนการแก้ตัว..”

หลิงหยุนเข้าใจสิ่งที่ฉางหลิงพยายามจะบอกได้เป็นอย่างดี เพราะเรื่องความสัมพันธ์ฉันชู้สาวเป็นเรื่องที่แพร่สะพัดได้เร็วยิ่งกว่าสายลม อีกทั้งยังเป็นเรื่องที่ผู้คนนิยมซุบซุบนินทากัน

อีกทั้งกงเสี่ยวลู่ก็พาหลิงหยุนขึ้นไปที่หอพักของเธอจริง และทั้งคู่ก็อยู่ในห้องด้วยกันสองต่อสองจริง หญิงโสดและชายโสดอยู่ในห้องด้วยกันแบบนั้น หากมีคนตั้งใจที่จะปล่อยข่าวลือเรื่องนี้ออกไป ประกอบกับจินตนาการของเด็กนักเรียนมัธยมด้วยแล้วล่ะก็ รับรองว่าแพร่สะพัดได้เร็วยิ่งกว่าไฟลามทุ่งอย่างแน่นอน!

อีกทั้งคนที่จงใจสร้างข่าวลือเรื่องนี้ ก็หาช่วงเวลาปล่อยข่าวได้อย่างเหมาะเจาะยิ่งนัก หลิงหยุนหายตัวไปสี่วัน คนรอบตัวเขาล้วนถูกทำร้าย กู่หยุนฟะและเสียเจิ้นเหยินเองก็ใช้ข่าวลือนี้ปลุกปั่น และกดดันให้ทางโรงเรียนไล่หลิงหยุนออกให้ได้

และเมื่อข่าวลือแพร่สะพัดออกไปเช่นนี้ กงเสี่ยวลู่จะอธิบายกับทุกคนได้อย่างไร? เว้นแต่เธอจะพิสูจน์ต่อหน้าทุกคนได้ว่าเธอยังเป็นสาวพรหมจรรย์ และบริสุทธิ์ผุดผ่องอยุ่ แต่แน่นอนว่ากงเสี่ยวลู่ไม่ได้ทำเช่นนั้น

แต่ต่อให้เธอสามารถพิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นว่าเธอยังเป็นสาวบริสุทธิ์ คนที่จงใจสร้างข่าวนี้ขึ้นมา ก็คงจะเบี่ยงประเด็นว่าทั้งหลิงหยุนและเธอกำลังคบหาดูใจ และกำลังค่อยๆพัฒนาความสัมพันธ์

“แล้วไงต่อ?” หลิงหยุนครุ่นคิดไปด้วยพร้อมกับเอ่ยถามฉางหลิงไปด้วย

ฉางหลิงเล่าต่อ “โรงเรียนมัธยมทุกโรงเรียนมีกฎห้ามไม่ให้ครูกับนักเรียนมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกัน เมื่อข่าวลือเรื่องนี้แพร่ออกไป ทางโรงเรียนก็เลยต้องประกาศไล่นายออก และทำทัณฑ์บนขั้นรุนแรงกับครูกง พร้อมกับระงับการทำหน้าที่ครูประจำชั้นของครูกง แต่เพราะทางโรงเรียนเห็นว่าหากเปลี่ยนครูประจำชั้นทันทีในตอนนี้ อาจเกิดผลต่อการเรียนของนักเรียน จึงยังคงให้ครูกงสอนต่อจนกว่าจะเสร็จสิ้นการสอบปลายภาค..”

หลิงหยุนฟังแล้วถึงกับพูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจ “ทำไมครูใหญ่กับผู้อำนวยการถึงได้ไร้เหตุผลแบบนี้? ทำไมถึงได้ใช้ข่าวลือมาตัดสินโทษ ไม่แยกแยะผิดถูกไม่พอ ยังไม่คิดแม้แต่จะสอบสวนหาข้อเท็จจริงก่อนตัดสินเสียอีก?”

ฉางหลิงเล่าต่อว่า “หลิงหยุน.. นายอย่างเพิ่งโมโห นายฟังฉันเล่าให้จบก่อน! นายอย่าลืมว่าช่วงนั้นกู่หยุนฟะและเสียเจิ้นเหยินเองก็ช่วยกันใส่ไฟแล้วก็กระพือข่าว! นายไม่เห็นพวกมันสองคนช่วงนั้นว่ากร่างแค่ใหน? ใหนจะยังหลู่เจิ้งเทียนซึ่งเป็นลูกชายของผู้อำนวยการฝ่ายการศึกษาอีก มันทั้งอิจฉาแล้วก็เกลียดนายเข้ากระดูกดำ”

“ดี..” หลิงหยุนพูดได้เท่านั้นก็ไม่พูดอะไรต่อ

ก่อนที่หลิงหยุนจะลงไปสำรวจหลุมยักษ์นั้น เขาได้รีดเงินหลู่เจิ้งเทียนไปสองแสน ส่วนกู่หยุนฟะใครๆก็รู้ว่าเกลียดหลิงหยุนแค่ใหน ทางด้านเสียเจิ้นเหยินก็ชอบหนิงหลิงยู่ มีหรือช่วงที่เขาหายไปพวกมันจะไม่กร่างขนาดนั้น!

ทั้งสามคนคิดหาหนทางที่จะจัดการกับหลิงหยุนอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อมีข่าวลือเรื่องนี้แพร่ออกมา พวกมันจึงรีบฉวยโอกาสใช้ข่าวลือนี้จัดการกับหลิงหยุน

“ในเมื่อโรงเรียนไล่ผมออกแล้ว ทำไมผมยังเข้ามานั่งเรียนในห้องได้อีกล่ะ?” หลิงหยุนถามด้วยความสงสัย

ฉางหลิงเล่าต่อ “ตอนนี้ใครๆก็รู้เรื่องที่นายรื้อสำนักงานกับบ้านสองหลังนั่น ใหนจะเรื่องผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงนั่นอีก แล้วใครจะกล้าไล่นายออกอีกล่ะ?!”

“เมื่อวานนี้นายไม่ได้มาโรงเรียน ตอนเจ็ดโมงเช้าก็มีประกาศออกอากาศว่าทางโรงเรียนยกเลิกการไล่นายออก เพราะหลังจากที่ได้ทำการสอบสวนอย่างละเอียดแล้ว ก็พบว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจผิด นายก็เลยยังเป็นนักเรียนของที่นี่ต่อไป ไม่อย่างนั้นเพื่อนๆในห้องคงไม่ศรัทธาในตัวนายขนาดนี้หรอก..”

หลิงหยุนพูดเสียงเย็นว่า ผู้อำนวยการกับครูใหญ่จะต้องได้รับผลจากการกระทำของตัวเอง..

เขายังคงถามต่อ “แล้วเรื่องของครูประจำชั้นล่ะ? มีใครช่วยกู้ชื่อเสียงที่เสียหายไปให้กับครูกงหรือเปล่า?”

ฉางหลิงตอบกลับไปว่า “ถ้ากู้คืนได้ก็ดีน่ะสิ.. ทุกคนในโรงเรียนต่างก็รู้เรื่องนี้กันหมดแล้ว ต่อให้ครูกงได้กลับมาทำหน้าที่ครูประจำชั้น ชื่อเสียงของเธอก็เสียหายไปแล้ว..”

เรื่องแบบนี้ใช่ว่าพูดเพียงคำสองคำจะสามารถลบล้างสิ่งที่เสียหายไปได้ ทุกอย่างคงต้องใช้เวลา..

หลิงหยุนกระซิบถามต่อว่า “แล้วรู้ไม๊ว่าใครเป็นคนปล่อยข่าวเรื่องนี้?”

ฉางหลิงกัดฟันกรอดพร้อมกับเดาว่า “เพื่อนๆในห้องต่างก็ช่วยกันหาว่าต้นตอข่าวลือมาจากใหน และดูเหมือนว่าต้นตอจะมาจากคนในห้องของเราเอง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร?”

หลิงหยุนกวาดสายตามองไปทั่วห้อง และสายตาเย็นชาของเขาก็ไปหยุดนิ่งอยู่ที่แผ่นหลังของเว่ยเถียนกัง..

“นายคงไม่เสียหายอะไรหรอก! แต่คนที่แย่ที่สุดเห็นจะเป็นครูกงของเรา ล่าสุดฉันได้ข่าวมาว่าครูกงกำลังถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนอยู่ แต่ผลยังไม่ออกมา”

หลิงหยุนแสยะยิ้ม “ผมทนนั่งเรียนต่อไม่ไหวแล้ว ผมจะไปจัดการคิดบัญชีก่อน..”

หลิงหยุนคล้ายคนที่ผงเข้าตาตัวเอง เขาทำท่าจะลุกขึ้นไปจัดการปัญหาท่าเดียว

ฉางหลิงรีบคว้ามือหลิงหยุนไว้อย่างกังวล “หลิงหยุน.. อย่าใจร้อนไปสิ! นายคิดว่าถ้านายลุกขึ้นเรียกร้องความยุติธรรมให้กับครูกงในตอนนี้ ไม่ยิ่งเท่ากับเป็นการพิสูจน์ว่าข่าวลือเป็นจริงหรือยังไง.. และยิ่งจะทำให้ครูกงเสียชื่อจนยากที่จะแก้ไขอะไรได้อีก..”


บทที่ 424: กล้าหรือไม่?

และเพราะคำเตือนของฉางหลิง ทำให้หลิงหยุนสงบลงในทันที เธอพพูดได้ถูกต้อง..

หลิงหยุนเกือบจะต้องถูกทางโรงเรียนไล่ออก แต่ครูประจำชั้นของเขา – กงเสี่ยวลู่ กลับออกโรงโต้เถียงเพื่อปกป้องเขา สิ่งที่เธอทำนั้นเกินกว่าหน้าที่ความรับผิดชอบของครูคนหนึ่ง..

ตอนนี้เขากลับมาแล้ว การจะเดินเข้าไปหาผู้อำนวยการกับครูใหญ่เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับกงเสี่ยวลู่นั้น เป็นเรื่องที่หลิงหยุนสามารถจัดการได้ไม่ยาก แต่นั่นไม่ได้ทำให้ข้อครหาเรื่องความสัมพันธ์ของพวกเขาทั้งคู่หายไปด้วย

และยิ่งจะทำให้ข่าวลือที่ไม่จริง กลับกลายเป็นเรื่องจริงไปในทันที!

กงเสี่ยวลู่อาจจะได้รับความยุติธรรมและตำแหน่งหน้าที่กลับคืน แต่ความบริสุทธิ์ของเธอจะถูกทำลายจนยับเยิน!

หลิงหยุนได้ฟังคำพูดของฉางหลิง เขาจึงอดคิดไม่ได้ว่า หากเขาทำเช่นนั้น คงไม่ต่างจากคนโง่ที่กระโดดลงไปในแม่น้ำแยงซีเกียงเพื่อทำความสะอาดร่างกาย มีหรือที่จะสามารถมีชีวิตรอดกลับมาได้! หลิงหยุนได้แต่เกาศรีษะพร้อมกับมองฉางหลิงแล้วพูดขึ้นว่า

“คุณกำลังจะบอกผมว่า.. เรื่องนี้ปล่อยให้ข่าวลือค่อยๆเลือนหายไปเองตามธรรมชาติใช่ไม๊?”

หลิงหยุนไม่ใส่ใจกับข่าวลืออะไรพวกนี้ เขาไม่กระทบกระเทือนเลยแม้แต่น้อย แต่กงเสี่ยวลู่ที่ยังคงได้ขึ้นชื่อว่ามีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับนักเรียนชายของตัวเองนั้น จะรู้สึกอย่างไร?

ฉางหลิงไม่สามารถหาทางออกที่ดีได้กว่านั้น จึงได้แต่พูดขึ้นว่า “ฉันว่าเรื่องนี้นายควรปรึกษากับครูกงสองต่อสองดู ว่าครูมีความคิดเห็นกับเรื่องนี้ยังไง? แล้วค่อยตัดสินใจ..”

หลิงหยุนได้แต่ยิ้ม.. พร้อมกับคิดในใจว่า ‘ปรึกษากันสองต่อสองงั้นรึ? นี่ข้าคงต้องหาที่ส่วนตัวคุยกับครูกงสองคนอีกแล้วสินะ..’

ไม่เพียงแค่ในโรงเรียนของประเทศจีนเท่านั้นที่ไม่ยอมรับสัมพันธ์ฉันชู้สาวระหว่างครูกับนักเรียน แม้แต่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ของเขา หากศิษย์กับอาจารย์มีเรื่องชู้สาวทำนองนี้ขึ้นมา ก็จะถูกคนสำนักอื่นหัวเราะเยาะ เหยียดหยาม และไม่ยอมรับเช่นกัน

แน่นอนว่าแต่ใหนแต่ไรหลิงหยุนก็เป็นคนที่ไม่เคยใส่ใจกับคำตำหนิติเตียนของผู้อื่นอยู่แล้ว แต่เขาก็จำเป็นต้องคิดถึงความรู้สึกของกงเสี่ยวลู่

“ยังมีเรื่องอื่นอีกไม๊?” หลิงหยุนถามฉางหลิงต่อ

ฉางหลิงจ้องหลิงหยุนราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เมื่อบอกไปว่ามีผู้หญิงสองคนมาถามหาหลิงหยุนที่โรงเรียนเหมือนกับบที่ฉางตงเพิ่งบอกก่อนหน้านี้ แต่หลังจากนั้นก็ยิ้มอายๆพร้อมกับบอกหลิงหยุนว่า

“ยังมีอีกเรื่อง..”

พูดออกไปแล้วฉางหลิงก็บิดไปบิดมาพร้อมกับหน้าแดงด้วยความอาย เธอสูดลมหายใจลึกแต่ก็ยังไม่ยอมพูดอะไร จนหลิงหยุนต้องถามออกไปอีกครั้ง

“ตกลงมีเรื่องอะไรกันแน่?”

ฉางหลิงกัดริมฝีปากก่อนจะตอบไปว่า “แม่ของฉันอยากจะพบนาย..”

หลิงหยุนอดคิดไม่ได้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เขาจึงตอบกลับไปยิ้มๆ “นึกว่าเรื่องอะไร.. ที่แท้ก็แม่ยายอยากจะพบหน้าลูกเขย ได้เลยไม่มีปัญหา แต่สองสามวันนี้ผมมีธุระต้องไปจัดการให้เสร็จ รอให้ผมเสร็จธุระก่อนนะ”

ฉางหลิงตอบกลับมาอย่างมีความสุข “จะบ้าเหรอ.. ใครบอกว่าจะเป็นภรรยาของนายกัน..?”

หลิงหยุนได้กลิ่นหอมรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลงหวู่เดินกลับเข้ามาในห้องเรียน และเดินไปยืนตรงหน้าโต๊ะของเธอก่อนจะพูดเสียงเรียบว่า

“อีกสองนาทีก็จะเริ่มเรียนแล้ว พวกนายยังคุยกันไม่เสร็จอีกหรือไง?”

ฉางหลิงลุกขึ้นและรีบลุกขึ้นพร้อมกับกระซิบบอกหลิงหยุนว่า “สองคาบต่อไปเป็นวิชาของครูประจำชั้น นาย..”

หลิงหยุนจำได้แม่นยำว่าสองคาบแรกในตอนเช้าของวันอังคารจะเป็นวิชาภาษาอังกฤษ เขาจึงพยักหน้ายิ้มๆอย่างเข้าใจ

ฉางหลิงกลับไปที่โต๊ะของเธอ หลงหวู่จึงนั่งลง ส่วนหลิงหยุนก็หันไปยิ้มให้หลงหวู่พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ขอบคุณมาก..!”

หลงหวู่ดูสงบนิ่งผิดปกติ จนแม้แต่หลิงหยุนเองยังรู้สึกแปลกใจ!

ก่อนจะเริ่มเรียนราวสองสามนาที ครูประจำชั้นห้องหก – กงเสี่ยวลู่ ก็เดินตรงเข้ามาในห้องเรียน วันนี้เธอปล่อยผมยาวปะบ่า สวมเสื้อเชิ้ตสีขาว และกระโปรงสีดำ พร้อมกับสวมถุงน่องสีเนื้อ เธอยังคงดูเซ็กซี่แต่หน้าตาจริงจังเหมือนเดิม

แต่ครั้งนี้กงเสี่ยวลู่กลับดูแตกต่างไปจากที่หลิงหยุนพบครั้งแรก วันนี้สีหน้าของเธอดูเหนื่อยล้าและซีดเซียว อีกทั้งขอบตาก็แดงและบวมเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเธอได้รับผลกระทบจากข่าวลืออย่างมาก

กงเสี่ยวลู่เดินเข้าไปยืนอยู่หน้าโพเดี้ยมหน้าห้องเรียน จากนั้นจึงกวาดสายตาไปรอบๆห้อง ท่าทางของเธอยังคงนิ่งสงบ..

สายตาของกงเสี่ยวลู่จับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของหลิงหยุน เธออึ้งไป และหน้าก็เริ่มแดงเล็กน้อย แต่ก็จางหายไปในเวลาอันรวดเร็ว กงเสี่ยวลู่ทำสีหน้าท่าทางเป็นปกติ และพยายามไม่แสดงความผิดปกติใดๆออกมา

หลิงหยุนมั่นใจว่ากงเสี่ยวลู่ต้องเห็นเขาตั้งแต่เดินเข้ามาในห้องแล้ว แต่เธอพยายามไม่มองไปทางเขา และพยายามที่จะหลบสายตา

สถานการณ์เช่นนี้หลิงหยุนพูดได้เพียงแค่คำเดียวว่า.. อึดอัด!

และสถานการณ์ที่อึดอัดและกระอักกระอ่วนเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้บรรยากาศภายในห้องเรียนเงียบ และตึงเครียดตามไปด้วย

เพื่อนในห้องบางคนที่เริ่มรับรู้ได้ถึงความผิดปกติของคนทั้งคู่ พวกเขาก็แอบหันมองไปทางหลิงหยุน

และนั่นก็ยิ่งทำให้สีหน้าของกงเสี่ยวลู่ดูไม่เป็นธรรมชาติ และเธอเริ่มรู้สึกว่าใบหน้าของตัวเองร้อนผ่าว แต่ก็ยังต้องฝืนยืนอยู่อย่างนั้น เพราะไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

แต่จู่ๆ กงเสี่ยวลู่ก็ได้ยินเสียงของหลิงหยุนดังมาเข้าหูของเธอ..

“ครูกงครับ.. ครูยังกล้าให้ผมไปติวหนังสือที่หอพักอีกไม๊? ถ้ากล้า.. ก็ไปกัน

หลิงหยุนไม่ชอบความรู้สึกที่อึดอัดเช่นนี้มาก ทั้งเขาและกงเสี่ยวลู่ต่างก็บริสุทธิ์ เขาไม่ต้องการให้ตัวเองและกงเสี่ยวลู่ต้องอยู่ในสถานการณ์ที่อึดอัดและกระอักกระอ่วนแบบนี้ เพราะหากปล่อยไว้นาน ก็คงจะไม่ต่างจากแก้วที่ร้าว และยากที่จะประสานคืนได้

สิ่งที่หลิงหยุนคิดจะทำนั้น ตรงกับคำพูดที่ว่า.. หนามยอกเอาหนามบ่ง!

เขาจงใจที่จะไปหอพักของกงเสี่ยวลู่ในเวลากลางวัน และให้ทุกคนในโรงเรียนได้เห็นกับตา และหากใครกล้าพูดไม่ดีอีก หลิงหยุนจะจัดการให้พวกมันรู้สึกเสียใจที่มีปากอย่างแน่นอน!

หลิงหยุนใช้วิธีส่งกระแสจิตถามกงเสี่ยวลู่ จึงมีเพียงเธอเท่านั้นที่ได้ยิน และถึงแม้กงเสี่ยวลู่จะไม่ตกลง ก็ไม่เสียหายอะไร

เสียงของหลิงหยุนนั้นดังและชัดเจน กงเสี่ยวลู่ได้ยินแล้วถึงกับตกใจ เธอไม่รู้ว่าหลิงหยุนใช้วิธีส่งกระแสจิตบอกเธอ เธอจึงหันไปมองนักเรียนคนอื่นๆ แต่พบว่าบางคนก็กำลังตั้งใจอ่านหนังสือ บางคนก็กำลังคุยกัน ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครได้ยินคำพูดของหลิงหยุน

กงเสี่ยวลู่ค่อยสบายใจขึ้น และค่อยๆใคร่ครวญก่อนจะตัดสินใจ..

หลิงหยุนคงจะได้ยินข่าวลือระหว่างเธอกับเขาแล้ว ความหมายในคำพูดของหลิงหยุนนั้น กงเสี่ยวลู่เข้าใจได้ดี แต่การจู่โจมของหลิงหยุนนั้นทำให้เธอตกใจไม่น้อย

กงเสี่ยวลู่ก้าวเท้าออกมายืนอย่างมั่นคงและสง่างาม ใบหน้าเริ่มแดงและร้อนผ่าว..

เหตุการณ์เมื่อหกปีที่แล้ว ทำให้กงเสี่ยวลู่มีปัญหาด้านจิตใจจนถึงกับเกิดการต่อต้านผู้ชาย หลังจากจบจากมหาวิทยาลัยด้านภาษาต่างประเทศที่ปักกิ่ง เธอก็ปฏิเสธที่จะทำงานกับบริษัทต่างชาติในเมืองหลวง และเดินทางมาอยู่ที่เมืองจิงฉูเพียงลำพัง จากนั้นก็ยึดอาชีพครูมาเป็นเวลาถึงหกปี..

เธอเลือกที่จะสอนอยู่ในโรงเรียนมัธยมจิงฉู เพื่อหลบเลียแผลของตัวเองอยู่เงียบๆ และปล่อยให้เวลาค่อยๆเยียวยาจิตใจของตัวเองให้ดีขึ้น หลังจากนั้นจึงค่อยเปิดใจเรื่องผู้ชายอีกครั้ง

ระหว่างหกปีที่ผ่านมา เธอได้ปฏิเสธผู้ชายทุกคนที่ชื่นชอบเธอ และตามจีบเธอ ไม่ว่าจะเป็นครูด้วยกัน หรือแม้แต่นักเรียนในโรงเรียน เธอทำตัวเย็นชาเพื่อไม่ให้ผู้ชายคนใหนทำให้เธอต้องรู้สึกเจ็บปวดได้อีกต่อไป

กงเสี่ยวลู่คิดไม่ถึงว่า เพียงแค่เธอหาสถานที่ที่เหมาะสำหรับบติวภาษาอังกฤษให้หลิงหยุนไม่ได้ จึงได้พาเขาขึ้นไปติวในหอพัก และปล่อยให้เขาทำแบบฝึกหัดเพียงแค่นั้น จะทำให้ชื่อเสียงของเธอเสียหายได้ถึงเพียงนี้

หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ จิตใจของกงเสี่ยวลู่ได้ถูกทำร้ายบาดเจ็บบอีกครั้ง เธอรู้สึกเศร้าเสียใจ แต่ก็ยอมรับมันอย่างเงียบๆ และไม่ต้องการอธิบายอะไรกับใคร

เธอยอมรับกับตัวเองว่ามันคงเป็นชะตากรรมของเธอ โชคชะตาที่เล่นตลกกับเธอ! และเธอก็กำลังคิดว่าจะหนีอีกครั้ง..

แต่สิ่งเดียวที่ทำให้เธอยังไปใหนไม่ได้นั่นก็คือ เด็กนักเรียนมัธยมปลายทั้งหกห้อง กว่าห้าสิบคนมีความหวังที่จะได้เข้าไปเรียนมหาวิทยาลัยในเมืองหลวง

กงเสี่ยวลู่ตั้งใจไว้ว่าจะยืนหยัดสอนจนชั่วโมงสุดท้าย และหลังจากที่นักเรียนจบกันไปแล้ว เธอก็จะลาออกจากโรงเรียนแห่งนี้

แต่ในเมื่อหลิงหยุนกลับมา เขาก็มาพร้อมกับความยิ่งใหญ่จนคนทั่วทั้งเมืองจิงฉูต่างก็พูดถึงเขา อีกทั้งหลิงหยุนยังเป็นคนที่แข็งแกร่งกว่าเด็กผู้ชายในวัยเดียวกัน

กงเสี่ยวลู่รู้สึกภาคภูมิใจอย่างบอกไม่ถูกที่เธอมีลูกศิษย์แบบหลิงหยุน และเหตุผลที่กงเสี่ยวลู่เห็นหลิงหยุนแล้วหน้าแดงนั้น ก็เกิดจากการที่เธอคิดถึงเรื่องข่าวลือระหว่างเขากับเธอ ความรักระหว่างครูกับนักเรียน

ตัวเธอเองก็ยังเป็นสาวโสด หลิงหยุนเองก็เป็นเด็กผู้ชายที่หน้าตาหล่อเหลา และเธอก็กำลังจะพาเขาไปติวที่หอพักสองต่อสอง..

หากเรื่องนี้แพร่สะพัดออกไป คนที่ไม่คิดอะไรก็คงมีแต่ผีเท่านั้น..

‘ดูเหมือนโชคชะตาจะไม่ยอมปล่อยฉันไปจริงๆสินะ งั้นก็ช่างเถอะ! ในเมื่อหนีไม่ได้ก็ยอมรับกับสิ่งที่จะเกิด เมื่อหกปีที่แล้วหนักหนากว่านี้อีก ฉันยังผ่านมันมาได้เลย..’

เมื่อคิดได้เช่นนี้ กงเสี่ยวลู่ก็กัดฟันและหันร่างสวยงามกลับไปเผชิญหน้ากับหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า “หลิงหยุน.. เธอตามครูมา..”

หลิงหยุนที่กำลังรอคำตอบอยู่ เมื่อได้ยินก็ลุกขึ้นยืน และเบียดตัวออกไปทางด้านหลังของหลงหวู่ทันที

“ได้เลยครับ!” หลิงหยุนส่งกระแสจิตตอบกงเสี่ยวลู่พร้อมกับแทรกตัวออกไปหน้าประตู

สายตาทุกคู่ต่างก็จับจ้องร่างของกงเสี่ยวลู่และหลิงหยุนที่เดินตามหลังไปด้วยความตกตะลึง แล้วเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ดังอื้ออึงไปทั่วทั้งห้องเรียน

“ฉันล่ะงงจริงๆ เวลาแบบนี้ครูประจำชั้นยังจะเรียกหลิงหยุนไปด้วยทำไมอีก?”

“นั่นน่ะสิ.. เดี๋ยวคนก็ยิ่งลือกันไปใหญ่”

“พวกเขาจะไปใหนกัน? จะไปติวภาษาอังกฤษ หรือจะไปหาผู้อำนวยการ หรือว่าจะไปหาครูใหญ่?”

“ตามไปดูกันดีกว่า.. หลิงหยุนเก่งจะตาย ฉันไม่เชื่อหรอกว่าปัญหาแค่นี้หลิงหยุนจะจัดการไม่ได้!”

“ขนาดหัวหน้ารักษาความมั่นคง หลิงหยุนยังจัดการจนหน้าแหกมาแล้วเลย กะแค่ครูใหญ่เขาคงไม่กลัวหรอก?!”

“พวกเราตามไปดูกันดีกว่า..”

หลงหวู่ไม่ขยับจากเก้าอี้แม้แต่น้อย เธอยังคงสงบนิ่งพร้อมกับรอยยิ้มจางๆบนใบหน้า

ฉางหลิงมองหลิงหยุนที่เดินออกไปนอกห้อง เธอหันไปมองเหมี่ยวเสี่ยวเหมาพร้อมกับถอนหายใจ “เฮ้อ.. สงสัยจะมีเรื่องอะไรอีก..”


บทที่ 425: ฮือฮาทั้งโรงเรียน!

ในเวลานั้นเป็นช่วงที่หมดคาบเรียนพอดี เสียงอึกทึกจึงดังไปทั่วบริเวณ และนักเรียนทั่วทั้งโรงเรียนไม่ว่าจะเป็นพวกที่ยืนอยู่แถวระเบียง ตามขั้นบันได้ของชั้นต่างๆ หรือแม้แต่ในสนามกีฬาของโรงเรียน ทุกคนต่างก็มองภาพที่อยู่ตรงหน้าด้วยความตกอกตกใจ!

“นั่นหลิงหยุนนี่! แต่.. ทำไมเขาถึงได้เดินไปกับครูประจำชั้นล่ะ?!”

“เห้ย.. อย่าบบอกนะว่าข่าวลือนั่น.. ทั้งคู่มีอะไรกันจริงๆน่ะเหรอ?!”

“ไม่จริงนะ..! หลิงหยุนเพิ่งจะกลับมาเรียน นี่ครูประจำชั้นจะพาเขาขึ้นไปที่หอพักอีกแล้วเหรอ?! นี่แสดงว่า..”

คำพูดซุบซิบต่างๆนานาล้วนลอยไปเข้าหูของกงเสี่ยวลู่แทบทุกคำ ใบหน้าที่หยิ่งจองหองของเธอค่อยๆแดงขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มหายใจถี่ขึ้น เธอไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงตัดสินใจหยุดเดิน..

“ไม่ต้องสนใจ.. เดินไปที่หอพักของครูต่อไป!” เสียงที่หนักแน่นของหลิงหยุนดังเข้ามาในหูของกงเสี่ยวลู่อย่างชัดเจน ..มันคล้ายกับคำสั่งมากกว่า!

เสียงนั้นฟังดูมีเสน่ห์น่าฟังอย่างแปลกประหลาด กงเสี่ยวลู่รู้สึกคล้ายกับสมองของเธอว่างเปล่า และเท้าของเธอก็ก้าวไปข้างหน้าตามคำสั่งของหลิงหยุนอย่างช่วยไม่ได้..

‘ถึงกับกล้าออกคำสั่งกับฉัน.. เขาลืมไปแล้วหรือยังไงว่าใครเป็นครู และใครเป็นนักเรียน..?’ กงเสี่ยวลู่เดินไปข้างหน้าเหมือนหุ่นยนต์ แต่ในใจก็พร่ำบ่นด้วยความไม่พอใจ

ความอวดดีของหลิงหยุนนั้นทำให้กงเสี่ยวลู่รู้สึกแปลกใจมาก และสัญชาติญาณก็ต้องการจะต่อต้าน แต่ในใจลึกๆกลับชื่นชอบความรู้สึกเช่นนี้

หลิงหยุนก้าวเท้าเข้าไปหากงเสี่ยวลู่เร็วขึ้น และเพียงแค่เดี๋ยวเดียว ร่างของหลิงหยุนก็เดินขึ้นมาเคียงข้างกงเสี่ยวลู่ เขายิ้มมุมปากให้เธอก่อนจะเอื้อมมือขวาออกไปโอบไหล่ของกงเสี่ยวลู่ไว้อย่างอ่อนโยน

“ครูกงครับ.. ผมช่วยประคองครูเดินเอง!” หลิงหยุนโอบไหล่ครูกงไว้ และเดินต่อไปข้างหน้า

ร่างบอบบางของกงเสี่ยวลู่สั่นเล็กน้อย! หลิงหยุนช่างกล้านัก.. ที่จู่ๆก็มาโอบไหล่เธอเดินไปพร้อมกับทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้!

“นี่เธอ.. เธอกล้ามากไปแล้วนะ! ปล่อยครูเดี๋ยวนี้!” กงเสี่ยวลู่หน้าแดงขึ้นทันที และพยายามที่จะดิ้นออกจากแขนของหลิงหยุน

แต่หลิงหยุนกลับออกแรงโอบให้แน่นขึ้น เพราะแม้ว่าเขาจะโอบไหล่กงเสี่ยวลู่อย่างเบามือ แต่ดูเหมือนว่าเธอกำลังคล้ายคนหมดแรง และแทบจะก้าวขาเดินต่อไปไม่ได้

“ครูกงครับ.. หนามยอกต้องเอาหนามบ่งครับ! ในเมื่อเราสองคนบริสุทธิ์ ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรกับสายตาของผู้คน!”

กงเสี่ยวลู่ดิ้นรนอยู่นาน แต่ก็ไม่สามารถดิ้นหลุดจากมือของหลิงหยุนได้ จึงได้แต่พูดออกไปอย่างอับอายและไม่พอใจ..

“หลิงหยุน.. เธอพาครูขึ้นไปที่หอพักต่อหน้าทุกๆคน แล้วต่อไปครูจะพ้นข้อครหานี้ได้ยังไง?!”

หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูดอย่างมั่นใจว่า “ครูกงครับ.. ทำใจให้สบาย รับรองว่าผมต้องทำให้ครูพ้นข้อครหานี้ได้อย่างแน่นอน!”

กงเสี่ยวลู่ใจสั่นอย่างรุนแรง.. เธอหันไปมองหลิงหยุนที่กล้าทำแบบนี้ต่อหน้าครูและนักเรียนทั้งโรงเรียน แต่แล้วความรู้สึกอย่างหนึ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเธอมาก่อน ก็ปรากฏเด่นชัดขึ้นในใจของเธอทันที..

มันคือความรู้สึกปลอดภัยและได้รับการปกป้อง.. ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเธอมาก่อนเลย!

รูปร่างของหลิงหยุนสูงใหญ่ หน้าตาหล่อเหลาเต็มไปด้วยความมั่นใจ อีกทั้งสีหน้าและรอยยิ้มของเขาก็ทั้งสงบบและเยือกเย็น

แม้เสียงพูดของหลิงหยุนจะเบา แต่กงเสี่ยวลู่กลับได้ยินอย่างชัดเจน และอดที่จะทึ่งกับคำพูดที่มั่นอกมั่นใจของเขาไม่ได้

แต่ก็ทำให้กงเสี่ยวลู่สามารถคลายจากความเครียด และความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาได้ในทันที ร่างที่ไหวเอนไม่มั่นคงของเธอนั้น ได้เอนพิงแขนของหลิงหยุนไว้แนบชิด ซึ่งตัวเธอเองก็ไม่รู้ว่าเกิดจากความตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจของตัวเอง

……..

“เห้ย.. หลิงหยุนกับครูประจำชั้นขึ้นไปบนหอพักด้วยกันอีกแล้ว..”

“โอ๊ย..! ฉันชอบเขามากเลย ชอบจนจะคลั่งอยู่แล้ว..”

“ดูท่าข่าวลือจะเป็นจริง.. สงสัยหลิงหยุนกับครูประจำชั้นจะมีอะไรกันจริงๆว่ะ!  นี่มัน..”

“อย่าโง่ไปหน่อยเลย! กลางวันแสกๆ แล้วก็เพิ่งจะเรียนไปได้แค่คาบเดียว คนก็เห็นกันทั้งโรงเรียน ใครจะบ้าไปทำเรื่องแบบนั้น!”

“นั่นน่ะสิ! เวลาแค่นี้ไม่พอให้ทำเรื่องแบบนั้นได้หรอก ถ้าพวกเขาจะไปทำอะไรกันจริงๆ แอบไปทำหลังเลิกเรียนไม่ดีกว่าหรือไง? หรือไม่ก็นัดออกไปเจอกันข้างนอกในวันหยุดจะไม่ดีกว่าเหรอ? ใครจะบ้ามาทำเรื่องแบบนี้ต่อหน้านักเรียนแล้วก็ครูทั้งโรงเรียนวะ?!” นักเรียนคนหนึ่งวิเคราะห์ด้วยเหตุผลเสียงดัง

“แต่ทั้งคู่เดินกอดกันไปซะขนาดนั้น..”

“แค่โอบไหล่กัน.. กลายเป็นกอดกันได้ยังไง? นายอย่าพูดบิดเบือนความจริงนัก..!”

ข่าวลือสามารถถูกหยุดได้ด้วยคนที่มีปัญญา หลิงหยุนโอบกงเสี่ยวลู่ต่อหน้าครูและนักเรียนนับพัน ทำให้คนมองกงเสี่ยวลู่เปลี่ยนไปมาก!

ที่ระเบียงหน้าห้องเรียนของนักเรียนมัธยมปลายห้องหก..

“พี่หลิงนี่โคตรอัจฉริยะแล้วก็กล้ามากเลย! ดูสิ.. แค่นี้ก็สามารถแบ่งคนออกเป็นสองข้างได้แล้ว!” กู่หยวนหลงมองตามหลังหลิงหยุนและกงเสี่ยวลู่ไป พร้อมกับพึมพำเบาๆ

“นี่แค่เริ่มต้นว่ะ..” ซากัวจิ้งเสริมต่อพร้อมกับยิ้มสะใจ

“ต่อหน้าครูแล้วก็นักเรียนมากมาย ถึงกับกล้าโอบไหล่ครูประจำชั้น! หลิงหยุนโคตรใจกล้า..”

“เดี๋ยวนายคอยดูนะ.. ข่าวลือจะค่อยๆซาไปในเวลาอันรวดเร็ว!”

ฉางหลิงยืนพิงระเบียงมองหลิงหยุนและกงเสี่ยวลู่เดินไปด้วยกันอย่างเงียบๆ ในใจทั้งชื่นชม แล้วก็อิจฉาไปพร้อมๆกัน

หลิงหยุนกล้าที่จะเดินโอบไหล่ครูประจำชั้นไปอย่างไม่สนใจใคร นี่ไม่เท่ากับว่าเขากำลังสร้างเรื่องฮือฮาใหม่ขึ้นมาในโรงเรียนอีกอย่างนั้นหรือ?!

ก่อนหน้านี้หลิงหยุนก็สร้างเรื่องฮือฮามาแล้วหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เขากอดเกาเฉินเฉิน จูบเสี่ยวเม่ยหนิง จัดการกับตี้เสี่ยวอู๋ และตอนนี้ก็เรื่องโอบไหล่ครูประจำชั้นของตัวเอง!

‘ฉันอยากจะเป็นคนที่อยู่ในอ้อมแขนของนายจังเลย..’ ฉางหลิงพึมพำอยู่ในใจเงียบๆคนเดียว

ส่วนที่ห้องเรียนของนักเรียนมัธยมปลายห้องหนึ่ง..

“หลิงยู่.. หลิงยู่.. มาดูอะไรเร็วเข้า! พี่ชายของเธอกำลังเดินโอบไหล่ครูประจำชั้นไปที่หอพักของครูแล้ว!” นักเรียนหญิงคนหนึ่งวิ่งหน้าตื่นไปบอกหนิงหลิงยู่ สีหน้าของเธอนั้นตกใจจนแทบช็อค..

แต่หนิงหลิงยู่เพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับชำเลืองตามองเพื่อน ก่อนจะก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อย่างไม่สนใจ

“หลิงยู่.. นี่เธอไม่ตกใจเลยเหรอ..?!”

เมื่อเห็นหนิงหลิงยู่ยังคงสงบนิ่ง เพื่อนนักเรียนหญิงก็แทบไม่เชื่อสายตา และได้แต่ถามหนิงหลิงยู่ออกไปอย่างงุนงง

“อะไรที่พี่ใหญ่ทำ.. ทุกอย่างล้วนมีเหตุผล และล้วนแต่ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดี..”

หนิงหลิงยู่ผ่านเหตุการณ์ที่น่าตกใจซึ่งเกิดจากการกระทำของหลิงหยุนมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน เรื่องแค่นี้นับว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เธอจึงสามารถยอมรับได้อย่างง่ายดาย และด้วยท่าทีที่สงบ ..และเพราะเขาคือหลิงหยุน!

อย่าว่าแต่โอบไหล่ครูประจำชั้นเลย.. ต่อให้หลิงหยุนจับครูใหญ่โยนขึ้นฟ้า เธอยังไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย.. อีกอย่าง หนิงหลิงยู่เองกำลังปรับตัวตามที่หลิงหยุนร้องขอ

ในห้องยังมีอีกหนึ่งคนที่ยังคงนั่งนิ่งและไม่วิ่งออกไปดู ซึ่งก็คือเฉิงเมี่ยนนั่นเอง และตอนนี้เธอก็กำลังนั่งมองหนิงหลิงยู่อยู่เงียบบๆ

ในคืนวันอาทิตย์ เฉิงเมียนได้เห็นหลิงหยุนใช้กระบี่สังหารยอดฝีมือตระกูลซันตายไปถึงสามคน ได้เห็นฉินตงเฉี่วยเหาะลงมาจากท้องฟ้า สิ่งเหล่านี้ทำให้เฉิงเมี่ยนได้เปิดหูเปิดตาโลกใบนี้อย่างมาก

คืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา จึงนับว่าเป็นประสบการณ์ที่น่าขมขื่นสำหรับเธอไม่น้อย เฉิงเมี่ยนรู้ดีว่าหลิงหยุนไม่ใช่มนุษย์ อย่างน้อยก็ไม่ใช่มนุษย์ที่เธอเคยพบเห็นทั่วไปบนโลกใบนี้!

หลิงหยุนสามารถฆ่าคนตายได้ภายในพริบตา และดูเหมือนว่าเฉิงเมี่ยนจะเข้าใจหลิงหยุนได้ลึกซึ้งกว่าหนิงหลิงยู่ในเวลานี้ด้วยซ้ำไป!

เสียเจิ้นเหยินไม่ได้มาโรงเรียน เฉิงเมี่ยนเองก็ไม่ได้สนใจว่าเขาจะเป็นหรือตาย จะดีหรือร้าย และทั้งคู่ก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกันอีกแม้แต่น้อย เฉิงเมี่ยนแค่รู้สึกเสียดายนิดหน่อย..

เธอรู้สึกเสียดายที่เคยปล่อยให้เสียเจิ้นเหยินเล่นกับเรือนร่างของเธอ แต่ก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น.. และโชคดีที่เธอยังเป็นสาวบริสุทธิ์อยู่ และเธอก็ตั้งใจจะเก็บความบริสุทธิ์นี้ไว้ให้กับหลิงหยุนเท่านั้น

สิ่งที่เฉิงเมี่ยนกังวลอยู่ในตอนนนี้ก็คือ เธอจะหาวิธีคืนดีกับหนิงหลิงยู่ได้อย่างไร?

เฉิงเมี่ยนคิดว่าหากเธอขอให้หนิงหลิงยู่อภัยให้เธอได้ หลิงหยุนก็อาจจะมองเธอดีขึ้นมาบ้าง และเธอก็จะมีโอกาสได้ใกล้ชิดหลิงหยุนมากขึ้น

“พี่ใหญ่.. ถึงแม้พี่จะลืมหลิงหยุนไปแล้ว แต่ฉันจะเป็นผู้หญิงของเขาแทนพี่เอง จะรักเขาแทนพี่ และดูแลเขาแทนพี่..”

เฉิงเมี่ยนรู้สึกผิดอยู่บ้าง และได้แต่พึมพำอยู่กับตัวเอง

………….

หลังจากเดินผ่านนักเรียนมากมายมาแล้ว ทั้งคู่ก็เดินเลี้ยวเข้าไปในบริเวณอาคารหอพัก และทันทีที่เลี้ยวเข้าไป ก็ราวกับหลุดไปในโลกอีกใบ เพราะที่นี่ทั้งสงบเงียบ และห่างไกลเสียงซุบซิบนินทา

หลิงหยุนยังคงโอบไหล่ครูกงเดินไปเรื่อยๆ และทุกอย่างก็ดูเหมือนจะผ่อนคลายมากขึ้น

ช่างเป็นความรู้สึกที่ดี!

“ปล่อยครูได้แล้ว!” กงเสี่ยวลู่ร้องบอกหลิงหยุนทันที

หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับยกแขนขวาออกจากไหล่ของกงเสี่ยวลู่ และทันทีที่หลิงหยุนปล่อยมือที่โอบไหล่ออก กงเสี่ยวลู่ก็รู้สึกคล้ายจิตใจโหวงเหวงว่างเปล่าขึ้นมาทันที เป็นความรู้สึกคล้ายกับคนที่กำลังสูญเสียบางสิ่งบางอย่างไป และจู่ๆเธอก็นึกเสียดายขึ้นมา

แต่เธอก็ยังคงยืดตัวขึ้นตรง และยกมือขึ้นจัดปกเสื้อเสื้อเชิ้ตให้เรียบร้อย ระหว่างเดินไปก็พูดขึ้นว่า

“นี่ถ้าทำต่อหน้าคนในครอบครัวครู ครูจะฆ่าเธอแน่!”

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า “จะให้ผมทำยังไงล่ะ? ผมขาดเรียนไปตั้งหนึ่งอาทิตย์ ก็อยากให้ครูช่วยติวให้ผมหน่อย..”

กงเสี่ยวลู่ขมวดคิ้วเล็กน้อย “แต่ครูต้องกลับไปสอนคาบถัดไป..”

หลิงหยุนกระซิบเสียงเบา “ครูบอกเองไม่ใช่เหรอครับว่า คาบต่อไปให้ทบทวนกันเอง..”

เมื่อเดินมาถึงประตูทางเข้าอาคาร กงเสี่ยวลู่ก็เกิดอาการลังเล ก่อนจะกัดริมฝีปากแน่นและถามออกไปว่า

“นี่เธอจะขึ้นไปข้างบนจริงๆเหรอ?”

หลิงหยุนหัวเราะ “ถ้าครูซ่อนแฟนไว้บนห้อง ผมกลับก็ได้ครับ..”

กงเสี่ยวลู่หน้าแดง เมื่อเห็นหลิงหยุนทำท่าจะหันหลังกลับ “ครูนี่นะจะซ่อนแฟนไว้ในห้อง..”

“ครูเป็นผู้หญิงที่สวย.. แล้วก็สวยมากๆด้วย..” หลิงหยุนเอ่ยชมออกมาตรงๆ อย่างไม่คิดที่จะปิดบัง

“ปากดีนักนะ.. เธอหายไปอาทิตย์นึง กลับมาก็ปากเก่งเชียว ขึ้นไปได้แล้ว ไว้ครูจะจัดการกับเธอทีหลัง!”


บทที่ 426 : อาการป่วยทางจิต!

กงเสี่ยวลู่พยายามที่จะทำสีหน้าเคร่งเครียดเหมือนปกติ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เธอกลับนึกถึงเหตุการณ์ที่หลิงหยุนโอบไหล่เธอไว้เมื่อครู่

ลิฟท์ค่อยๆเคลื่อนขึ้นข้างบน และภายในพื้นที่ส่วนตัวเล็กๆในลิฟท์ กงเสี่ยวลู่จึงกล้าที่จะมองหน้าหลิงหยุนเต็มตา หลังจากมองเขาได้ครู่หนึ่งเธอก็พูดขึ้นว่า

“หลิงหยุน.. เธอดูเปลี่ยนไป!”

“งั้นเหรอ.. เปลี่ยนไปยังไงครับ?” หลิงหยุนยิ้มมุมปากก่อนจะถามขึ้น

กงเสี่ยวลู่นิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “เธอดูกล้าขึ้นมาก แล้วก็ดูร้ายขึ้นด้วย แม้แต่ครูเธอยังกล้า.. กอด..”

ความจริงแล้วกงเสี่ยวลู่เองเองตั้งใจที่จะพูดออกไปว่าหลิงหยุนกล้าที่จะโอบไหล่เธอ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เธอจึงได้เปลี่ยนจากคำว่า ‘โอบ’ เป็นคำว่า ‘กอด’ แทน

เพราะโอบกับกอดนั้น.. ความหมายแตกต่างกันอย่างมาก

แต่หลิงหยุนกลับตอบเสียงเบาๆว่า “ถ้าครูชอบ ผมกอดอีกก็ได้นะครับ!”

กงเสี่ยวลู่เริ่มหายใจติดขัด และร่างเล็กๆของเธอก็เริ่มอึดอัดพร้อมกับหน้าร้อนผ่าว และพูดออกไปว่า “เธอกล้าเหรอ..”

ทันใดนั้น.. กงเสี่ยวลู่ก็รู้สึกว่าเอวของเธอถูกรัดแน่น และปรากฏว่าเป็นมือใหญ่ๆของหลิงหยุนที่โอบเอวเธอไว้นั่นเอง

“ครูครับ.. แบบเมื่อครู่เรียกว่าโอบ ส่วนแบบนี้ถึงจะเรียกว่ากอด..” หลิงหยุนพพูดกับกงเสี่ยวลู่เสียงเบา

กงเสี่ยวลู่หายใจเร็วขึ้น และเริ่มรู้สึกเกร็งมากขึ้นกว่าเดิม แต่ครั้งนี้เธอกลับไม่ปฏิเสธ เพราะภายในจิตใจลึกๆเธอรู้สึกปลอดภัย..

‘ไม่มีอะไรหรอก.. อีกอย่างในลิฟท์ก็ไม่มีใครเห็น..’

กงเสี่ยวลู่ปลอบใจตัวเอง เธอหายใจแรงจนหน้าอกกระเพื่อม และร่างบอบบางก็สั่นเล็กน้อยด้วยความกระวนกระวายใจ

แต่จู่ๆกงเสี่ยวลู่ก็สั่งหลิงหยุนว่า “นี่เธอ.. เอามือออกได้แล้ว อย่าให้คนอื่นเห็น ไม่อย่างนั้นครูจะโกรธเธอแน่..”

หลิงหยุนก้มศรีษะเข้าไปใกล้ใบหูของกงเสี่ยวลู่พร้อมกับกระซิบว่า “ครูครับ.. ครูคงลืมไปแล้วว่าห้องครูอยู่ชั้นห้า”

เสียงของหลิงหยุนดังทะลุเข้าไปในรูหูของกงเสี่ยวลู่ เพียงเท่านั้นความรู้สึกเจ็บปวดบางอย่างก็ปะทุขึ้นมาในจิตใจของเธอ และรีบผลักร่างของหลิงหยุนออกทันที!

กงเสี่ยวลู่นับว่าเป็นผู้หญิงที่ใจแข็งมาก แต่ไม่น่าเชื่อว่าหลิงหยุนกลับทำให้เธอเกิดความรู้สึกที่ยากจะต้านทานได้ ในใจของเธอจึงได้แต่ร่ำร้องว่า

‘เป็นไปไม่ได้! ไม่เหมาะไม่ควร..!’

“โอ๊ะ.. หลิงหยุนเธอเป็นอะไรไม๊? ครู.. ครูไม่ได้ตั้งใจจะผลักเธอ..”

นั่นเป็นปฏิกิริยาตอบสนองตามสัญชาติญาณของกงเสี่ยวลู่ เธอเคยถูกทำร้ายมาก่อน ดังนั้นเมื่อเห็นท่าทีของหลิงหยุนเธอก็จึงเกิดอาการตื่นตระหนก และตอบสนองกลับในทันที

ประตูลิฟท์ค่อยๆเปิดออก..

หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาทำท่าเป็นเจ้าหน้าที่โรงแรม ยืนอยู่หน้าประตูพร้อมกับโค้งตัวผายมือให้กงเสี่ยวลู่เป็นฝ่ายเดินออกไปก่อน

กงเสี่ยวลู่เดินออกจากลิฟท์ไปด้วยความรู้สึกผิด และเสียใจ..

หลิงหยุนเดินตามเข้าไปในห้อง และถือวิสาสะนั่งลงบนโซฟาอย่างไร้มารยาท และนั่งมองกงเสี่ยวลู่ที่กำลังเปลี่ยนรองเท้า

ท่อนขาเรียวยาวของกงเสี่ยวลู่นั้นสวยงาม หน้าอกก็ตั้งตรง ก้นก็กลมกลึงสมส่วน และท่าทางที่โน้มตัวลงเปลี่ยนรองเท้านั้นก็ช่างเป็นท่วงท่าที่น่าชม..

“ครูครับ.. ครูเป็นผู้หญิงที่สวยมาก แต่ทำไมถึงไม่ยอมมีแฟน?” หลิงหยุนแสร้งทำเป็นถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“เป็นเด็กห้ามยุ่งเรื่องของผู้ใหญ่!”

กงเสี่ยวลู่เปลี่ยนรองเท้าเรียบร้อย และหลังจากที่รวมรวมสติได้ ก็หันไปดุหลิงหยุน..

“จะดื่มอะไร?”กงเสี่ยวลู่หันไปถาม และหลิงหยุนก็ตอบกลับมายิ้มๆ “ผมหิวข้าวมากกว่า ครูทำอะไรให้ผมทานหน่อยได้ไม๊?”

หลิงหยุนใช้เวลาอยู่กับหลินเมิ่งหานทั้งคืน เช้ามาก็รีบกลับไปรับหนิงหลิงยู่ จนถึงตอนนี้ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องของเขาเลย

“อะไรกัน? นี่เธอยังไม่ได้ทานข้าวเช้ามาเลยเหรอ? หรือตั้งใจจะลดน้ำหนัก?” กงเสี่ยวลู่ถามพร้อมกับพับแขนเสื้อขึ้น แต่หลิงหยุนกลับเพียงแค่ยิ้มตอบ แต่ไม่พูดอะไร

“แล้วเธออยากกินอะไรล่ะ? เดี๋ยวครูจะทำให้ทาน..” กงเสี่ยวลู่เดินเข้าไปในห้องครัว

“อะไรก็ได้ครับที่เร็วๆ?” หลิงหยุนทำตัวตามสบายราวกับเป็นบ้านของตัวเอง

เขาต้องการปล่อยให้ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะมีอีกหลายเรื่องที่เขาต้องการคุยกับกงเสี่ยวลู่

“ถ้างั้นเดี๋ยวครูทำอะไรง่ายๆให้เธอทานก็แล้วกัน? เธอจะกินบะหมี่ใส่ไข่ หรือว่าใส่หมูดีล่ะ?” กงเสี่ยวลู่ตะโกนถามออกมาจากในครัว

“บะหมี่ใส่ไข่ครับ.. ขอสองใบเลย..” หลิงหยุนตอบกลับอย่างทะเล้น

“…..”

กงเสี่ยวลู่ยืนหน้าแดงอยู่ในครัวพร้อมกับพึมพำว่า “น่าเกลียด..” และกำลังหั่นต้นหอมอยู่จนเกือบจะหั่นเอานิ้วโดนนิ้วของตัวเองเข้า

ทั้งคู่อายุห่างกันถึงสิบปี และยังเป็นครูกับลูกศิษย์อีกด้วย แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้กงเสี่ยวลู่ได้ลืมอายุของตัวเองไปเสียสนิท

หลิงหยุนได้ยินเสียงหม้อ เสียงทัพพีกระทบกันโช้งเช้ง เขาจึงรีบลุกจากโซฟาไปที่ห้องครัว และยื่นหน้าเข้าไปมองกงเสี่ยวลู่ที่กำลังทำบะหมี่ให้เขาอย่างมีความสุข

“โอ้โห.. หอมจังครับ” กลิ่นต้นหอมที่ผัดอยู่ในกระทะโชยออกมาอย่างหอมหวน

“จะใส่ซอสถั่วเหลืองเพิ่มไม๊?” กงเสี่ยวลู่ร้องถามโดยไม่ได้หันกลับไปมอง

แต่จู่ๆ มือใหญ่ๆของหลิงหยุนก็เอื้อมไปโอบเอวของกงเสี่ยวลู่ ทำให้เธอหวาดกลัวมากจนต้องร้องตะโกนออกไปว่า “อย่าเข้ามาวุ่นวายในนี้..”

หลิงหยุนรีบปล่อยมือจากเอวของกงเสี่ยวลู่พร้อมกับกระซิบข้างหูว่า “ซอสถั่วเหลืองจะใส่ไม่ใส่ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามีเต้าหู้ใส่ลงไปด้วย ผมอยากกินเต้าหู้..”

อาการของกงเสี่ยวลู่เมื่อครู่ไม่แตกต่างจากที่อยู่ในลิฟท์แม้แต่น้อย เธอเริ่มรู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมาอีกครั้ง และจิตใต้สำนึกของเธอก็สั่งให้ฟาดทัพพีในมือลงไปบนตัวหลิงหยุน!

ทัพพีที่ยังมีน้ำมันร้อนติดอยู่ฟาดลงไปบนไหล่ข้างซ้ายของหลิงหยุนทันที แต่เขาไม่หลบและยืนมองกงเสี่ยวลู่นิ่ง

เมื่อกงเสี่ยวลู่เห็นว่าหลิงหยุนไม่หลบ เธอจึงตั้งใจที่จะหยุดแต่ก็สายไปเสียแล้ว ทัพพีร้อนๆฟาดโดนไหล่ข้างซ้ายของหลิงหยุนอย่างจัง และน้ำมันก็กระเด็นเลอะเทอะ

“ว้าย..” กงเสี่ยวลู่กรีดร้องด้วยความตกใจ ในขณะที่หลิงหยุนแย่งทัพพีจากมือของเธอไป พร้อมกับพูดยิ้มๆว่า

“ครูครับ.. รสชาติอร่อยดี เพิ่มน้ำอีกหน่อยดีไม๊ครับ?”

กงเสี่ยวลู่มองไหล่ซ้ายของหลิงหยุนที่เต็มไปด้วยคราบน้ำมันอย่างรู้สึกเสียใจ และทำอะไรไม่ถูก

“มันร้อนนะ.. เธอเจ็บมากไม๊?” กงเสียงลุ่ถามขึ้นอย่างร้อนใจ

“ผมไม่เป็นไรครับ?”

ด้วยดารกะดายันระดับสิบสอง ความร้อนเพียงแค่นี้ทำอะไรหลิงหยุนไมได้หรอก แต่เสื้อผ้าของเขานี่สิเปื้อนไปหมด

หลังจากการทดสอบทั้งสองครั้ง ในที่สุดหลิงหยุนก็มั่นใจในข้อสันนิษฐานของตนเอง กงเสี่ยวลู่จะต้องเคยได้รับความเจ็บปวดทางจิตใจอย่างแสนสาหัสมาก่อน และน่าจะมีสาเหตุมาจากความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงด้วย

ตอนนี้เธอกำลังมีอาการป่วยทางจิต.. ขั้นรุนแรงด้วยเสียด้วย!

‘ไม่ผิดจากที่คิดไว้..’ หลิงหยุนแอบคิดในใจเงียบๆ และเขาก็มีวิธีรับมือแล้ว

อาการบาดเจ็บภายในและภายนอกของร่างกาย เขาก็ยังสามารถรักษาให้หายได้ แต่นี่เป็นอาการป่วยทางจิตใจ.. ซึ่งนับว่าเป็นความท้าทายความสามารถของเขาไปอีกแบบ

“ไม่เป็นไรจริงเหรอ.. ใหนขอครูดูหน่อยซิ! แต่เสื้อผ้าก็เปื้อนหมดเลย”

กงเสี่ยวลู่นึกตำหนิตัวเองมากกว่า เธอไม่สนใจอะไรอีก และรีบยกมือขึ้นปลดกระดุมเสื้อของหลิงหยุนออก

“โชคดีนะที่ไม่ได้ลวก ดูแล้วก็ไม่มีแผลอะไร?” กงเสี่ยวลู่พูดขึ้น

“เจ็บนิดหน่อย..” หลิงหยุนพึมพำเบาๆ

“ทำไมไม่รู้จักหลบ.. จริงๆเลย?” กงเสี่ยวลู่กัดริมฝีปากจ้องหลิงหยุนด้วยความโมโห

“ผมแค่กอดครู โทษถึงถูกตีเลยเหรอครับ..?”

กงเสี่ยวลู่ได้ยินก็สั่นไปทั้งตัว แต่ก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “เธอโอบครูตั้งหลายครั้ง ครูก็ไม่เคยตีเธอเลย แต่เธอต้องไม่..”

หลิงหยุนถามต่อทันที.. “ต้องไม่อะไรครับ?”

“ต้องไม่มากระซิบใกล้ๆหูของครู ครูจะลืมตัวแล้วก็ทำร้ายเธอ..” กงเสี่ยวลู่สั่นไปทั้งตัวเมื่อพูดประโยคนี้ออกมา

หลิงหยุนเพียงคนเดียวที่สามารถโอบเธอได้ต่อหน้าผู้คน สามารถกอดเอวเธอในลิฟท์ หากเป็นคนอื่นกงเสี่ยวลู่คงจะตบหน้าไปแล้ว!

แต่เพียงแค่นั้นก็นับว่าเกินขีดจำกัดของกงเสี่ยวลู่แล้ว หากหลิงหยุนยังเข้าไปใกล้เธอมากกว่านั้นด้วยการกระซิบข้างหู กงเสี่ยวลู่ก็จะลืมตัวและมีปฏิกิริยาตอบโต้กลับไปทันที โดยที่ตัวเธอเองก็ไม่รู้ตัว และควบคุมไม่ได้

หลิงหยุนต้องการจะถามต่อว่าเพราะอะไร? แต่น้ำในหม้อก็เดือดเสียก่อน เขาจึงได้แต่ร้องบอกกงเสี่ยวลู่ไปว่า “ครูครับ น้ำเดือดแล้ว”

“เธอ.. เธอมาที่นี่เพื่อคืนความบริสุทธิ์ให้กับครูไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมถึงได้จงใจแตะเนื้อต้องตัวครูแบบนั้นล่ะ..”

ใบหน้าของกงเสี่ยวลู่แดง ภายใต้ความอับอาย เธอได้แต่คิดในใจว่าเธอไม่ต้องการอดทนอีกแล้ว..

แต่หลิงหยุนกลับบยื่นมืออกไปคว้าเอวของกงเสี่ยวลู่มาโอบไว้อีกครั้ง แล้วพูดติดตลกไปว่า “ผมไม่ได้จะแต๊ะอั๋งครูนะครับบ แต่ผมแค่รู้สึกว่าเอวของครูหนาไปหน่อย กำลังคิดว่าจะช่วยครูลดน้ำหนักได้ยังไงดี!”

ความจริงแล้วถึงแม้กงเสี่ยวลู่จะอายุยี่สิบแปดปีแล้ว แต่เอวของเธอก็เล็กมาก หน้าท้องก็แบนเรียบ และแทบไม่มีไขมันส่วนเกินเลยด้วยซ้ำ


บทที่ 427 : ลามปาม!

“อะไรกัน?! ครูนี่นะอ้วน แล้วก็มีไขมัน?!”

สิ่งที่ผู้หญิงกลัวที่สุดก็คือเรื่องของไขมันและความอ้วน ไม่เว้นแม้แต่กงเสี่ยวลู่! และคำพูดของหลิงหยุนก็สามารถเบี่ยงเบนความสนใจของเธอได้สำเร็จ

ช่วงอายุระหว่างยี่สิบสองถึงยี่สิบแปดปีสำหรับผู้หญิงนั้น นับว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด แต่ตลอดหกปีที่ผ่านมานั้น กงเสี่ยวลู่กลับปล่อยเวลาในช่วงวัยสาวให้ผ่านไปอย่างไม่ใยดี แต่นั่นเป็นเพราะจิตใจของเธอยังไม่สามารถเปิดรับใครได้อีก แม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร

“ครูอ้วนจริงๆเหรอ?” กงเสี่ยวลู่ตกใจและเป็นกังวลจนลืมฝ่ามือใหญ่ที่กำลังโอบเอวเธออยู่

ฝ่ามือใหญ่ของหลิงหยุนยังคงโอบกอด และลูบไล้เอวบอบบางของกงเสี่ยวลู่ไว้อย่างนุ่มนวล ในใจกลับนึกชื่นชม และเมื่อรู้ตัวว่ากำลังคิดเลยไปถึงร่างกายท่อนล่างของเธอ หลิงหยุนก็รีบหยุดทันที

‘นี่ถ้าข้าเผลอไผลทำอะไรที่เกินเลยไปกว่านี้ นางอาจจะลืมตัวเอาน้ำร้อนในหม้อนั่นราดข้าก็ได้..’ หลิงหยุนคิดแล้วก็รีบสงบจิตใจของตนเอง และซ่อนความรู้สึกที่ชั่วร้ายของตนเองไว้

กงเสี่ยวลู่รู้สึกอึดอัด เธอคนเล่นไข่ในหม้อเล่น แต่ก็รับรู้ได้ถึงสัมผัสจากฝ่ามือใหญ่ของหลิงหยุนที่ลูบไล้บริเวณเอวของเธออยู่ แต่ก็เป็นสัมผัสที่อ่อนโยนจนแทบไม่รู้สึก

ตลอดหกปีมานี้ ร่างกายของเธอไม่เคยได้รับการสัมผัสจากเพศตรงข้ามเลยแม้แต่น้อย แต่วันนี้หลิงหยุนกลับกล้าลูบไล้เรือนร่างของเธอ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลิงหยุนได้สร้างความรู้สึกใหม่ๆให้กับเธอเช่นกัน

มันเป็นความรู้สึกที่คล้ายถูกมดกัด อึดอัดและไม่สบบาย เป็นความรู้สึกที่แปลกจนยากที่จะอธิบายออกมาเป็นคำพูด แต่ก็ยากที่จะปฏิเสธและต่อต้าน

ไม่จำเป็นต้องถามว่าเหตุใดกงเสี่ยวลู่จึงได้รู้สึกเช่นนั้น นั่นก็เพราะว่าเมื่อร่างกายของเธอต้องเผชิญกับความปรารถนาตามสัญชาติญาณ สติสัมปชัญญะก็พังทลายลงอย่างรวดเร็ว

“เธอเชื่อฟังครูนะหลิงหยุน.. ออกไปจากห้องครัวก่อน แล้วก็ไปนั่งรอที่โซฟานะ! อย่าลืมถอดเสื้อออกมาด้วยล่ะ ครูจะได้เอาไปซักให้”

กงเสี่ยวลู่ตัวสั่นจากสัมผัสของหลิงหยุน และเธอก็เริ่มรู้สึกอึดอัดจนต้องพูดอ้อมๆให้หลิงหยุนปล่อยมือจากเธอ

แต่หลิงหยุนกลับคิดในใจว่า.. ตราบใดที่กงเสี่ยวลู่ไม่ปฏิเสธ เขาก็ยังคงมีโอกาสสำหรับบครั้งต่อไป หลิงหยุนจึงเดินออกจากห้องครัวไปนั่งที่โซฟาอย่างเชื่อฟัง แล้วจัดการถอดเสื้อเชิ้ตออก เผยให้เห็นกล้ามเนื้อบนร่างกายที่สวยงาม!

ไม่นานนัก.. กงเสี่ยวลู่ก็เดินถือชามบะหมี่ที่หอมหวนเข้าไปในห้องนั่งเล่น และค่อยๆโน้มตัววางชามบะหมี่ลงบนโต๊ะตรงหน้าหลิงหยุนอย่างนุ่มนวล แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมา กงเสี่ยวลู่ก็พบว่าร่างกายท่อนบนของหลิงหยุนนั้นเปลือยเปล่า เธอจึงได้แต่หน้าแดง!

“นี่เธอไม่ได้สวมเสื้อกล้ามข้างในหรอกเหรอ?” กงเสี่ยวลู่หายใจแรง แล้วรีบหันหน้าหนีอย่างรวดเร็ว แต่สายตาก็แอบมองร่างกายเปลือยเปล่าของหลิงหยุน

ไม่ว่าจะในทีวี หรือในรายการเรียลลิตี้ต่างๆที่กงเสี่ยวลู่เคยดูมา เธอก็ไม่เคยเห็นร่างกายของใครที่สมบูรณ์แบบจนสามารถดึงดูดสายตาได้เหมือนกับร่างกายของหลิงหยุนมาก่อน

“ผมไม่ชอบใส่ครับ..” หลิงหยุนตอบพร้อมกับฉีกยิ้ม แล้วดึงชามบะหมี่เข้าไปใกล้ก่อนจะถามต่อว่า “แล้วตะเกียบล่ะครับ..”

กงเสี่ยวลู่ได้แต่คิดในใจว่า.. นี่เธอได้กลายเป็นอะไรของหลิงหยุนไปแล้วงั้นหรือ?! เธอถึงกับต้องไปหยิบตะเกียบมาบริการเขาด้วยหรือนี่?

ในใจบ่นพึมพำ แต่ก็รีบเดินเข้าไปหยิบตะเกียบในครัวมาส่งให้หลิงหยุนอย่างอายๆ แต่ก็มีความสุข

“ค่อยๆทานล่ะ ระวังลวกปาก! ครูจะเอาเสื้อของเธอไปซักให้..” พูดจบกงเสี่ยวลู่ก็เดินถือเสื้อของหลิงหยุนเข้าไปในห้องน้ำ

กลิ่นหอมของบะหมี่ที่แสนอร่อยฟุ้งไปทั่วทั้งห้อง และหลิงหยุนก็กินบะหมี่ชามใหญ่หมดไปอย่างรวดเร็ว

“ขออีกชามครับ!”

กงเสี่ยวลู่ที่เพิ่งซักเสื้อของหลิงหยุนเสร็จ และเดินออกมาพอดี จึงรีบเข้าไปในครัวทำบะหมี่มาให้เขาอีกหนึ่งชาม

บะหมี่ที่มีกลิ่นหอมหวนสองชามใหญ่ ได้ลงไปอยู่ในกระเพาะของหลิงหยุนอย่างรวดเร็ว ตอนนี้หลิงหยุนรู้สึกอิ่มมาก อีกอย่างน้ำหนักของเขาก็ลดลงไปเยอะ กินแค่นี้ก็คงไม่มีผลอะไร

“อิ่มมากเลยครับ..” หลิงหยุนผลักชามที่กินเสร็จแล้วออกไปพร้อมกับเอ่ยชม

“บะหมี่ของครูอร่อยมากจริงๆ กลิ่นก็น่าทานมาก..”

กงเสี่ยวลู่ยื่นกระดาษเช็ดปากให้หลิงหยุนด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุข จากนั้นก็จัดการเก็บและทำความสะอาดโต๊ะ

“เธอกินเก่งไม่เบาเลยนี่.. ต่อไปถ้าหิวก็มาหาครูที่ห้องก็ได้ ครูจะทำอาหารให้กิน..” กงเสี่ยวลู่พูดขณะเดินเอาชามไปเก็บในครัว

หลิงหยุนตอบกลับยิ้มแย้ม “ไม่กลัวว่าคนจะซุบซิบนินทาแล้วเหรอครับ?”

สีหน้าของกงเสี่ยวลู่ทั้งโกรธและอาย เธอมองหลิงหยุนพร้อมกับคิดในใจว่า ‘เธอแตะเนื้อต้องตัวฉันตั้งหลายครั้งแล้ว ก่อนหน้านี้อาจจะเป็นแค่ข่าวลือ แต่ตอนนี้ก็เป็นจริงแล้วไง จะมีประโยชน์อะไรที่จะกลัวอีก?’

คาบเรียนที่สองเพิ่งจะเริ่มไปได้เพียงแค่ห้านาทีแล้ว ยังเหลือเวลาอีกตั้งสี่สิบนาที แต่จู่ๆ ทั้งคู่ก็เงียบกันไปเฉยๆ ห้องทั้งห้องจึงกลับกลายเป็นเงียบฉี่ และบรรยากาศภายในห้องก็เริ่มอึมครึม หญิงโสดกับชายโสดต่างก็นิ่งเงียบไปทั้งคู่

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่..

“หลิงหยุน.. เรื่องราวที่เกิดขึ้นหลายวันนี้ ครูไม่นึกตำหนิเธอเลยนะ มันไม่ใช่ความผิดของเธอ  เพราะความจริงแล้วผู้อำนวยการได้ตามจีบครูมานานถึงสี่ปี แต่ครูก็ปฏิเสธเขาไปหลายครั้ง และครั้งนี้เขาก็อาศัยโอกาสนี้ตอบโต้ครูกลับ.. ก็เท่านั้นเอง!”

จู่ๆกงเสี่ยวลู่ก็พูดขึ้นมา.. หลิงหยุนเพียงแค่นั่งฟังเงียบๆ แต่ในใจกลับคิดว่ายังมีเรื่องอื่นอีก..

“ครูครับ.. ตราบใดที่ผมอยู่ที่นี่ ผมจะไม่ปล่อยให้ใครมารังแกครูได้อีก ผมจะปกป้องครูเอง และจะไม่ยอมให้ครูได้รับความเจ็บปวดและอันตรายอะไรอีก..”

หลิงหยุนจ้องลึกลงไปในดวงตาของกงเสี่ยวลู่ น้ำเสียงของเขาเบาแต่หนักแน่น และสีหน้าจริงจัง

หัวใจของกงเสี่ยวลู่เต้นแรง ความสุขที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เริ่มเบ่งบานในใจ..

จากหญิงสาวอายุน้อย หน้าตาสวยงาม แต่กลับต้องมาอยู่ต่างเมืองตัวคนเดียว อีกทั้งยังต้องต่อสู้ด้วยเพียงลำพังมาตลอดหกปี จึงไม่จำเป็นต้องอธิบายถึงความขมขื่น และความยากลำบากในช่วงเวลาที่ผ่านมา..

กงเสี่ยวลู่เป็นคนจิตใจดีมีเมตตา เฉลียวฉลาด พึ่งพาตัวเองได้ และค่อนข้างแกร่ง ระยะเวลาที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่าเธอเป็นคนที่น่าประทับใจเพียงใด แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังมีอีกด้านที่ไม่มีใครเคยรู้ และเคยสัมผัส

เธอรู้สึกโดดเดี่ยว ในใจเต็มไปด้วยความเศร้าโศกและวิตกกังวล ภายใต้จิตใจลึกๆมีแต่ความหวาดกลัว และรู้สึกถึงความไม่มั่นคงปลอดภัย

ดังนั้นนสถานที่ที่เธอชื่นชอบที่สุดก็คือในห้องเรียน ซึ่งเป็นที่ที่เธออยู่ต่อหน้านักเรียนหลายสิบคน และนั่นดูเหมือนจะเป็นวิธีเดียวที่ทำให้เธอยุ่งมาก จนสามารถลืมเรื่องราวความเจ็บปวดในใจได้ชั่วครั้งชั่วคราว

แต่หลิงหยุนทำให้เธอเกิดความรู้สึกที่ค่อนข้างพิเศษ เธอสัมผัสได้ และตอนนี้เธอก็รู้ว่าหลิงหยุนไม่ได้ปฏิบัติต่อเธอในฐานะครู

หลิงหยุนกล้าพูดจาหยอกล้อเธอ แซวเธอ แล้วก็ไม่สนใจกฏเกณฑ์ ลามปามไม่มีขอบเขต ซึ่งสิ่งเหล่านี้กงเสี่ยวลู่ควรที่จะรู้สึกไม่ชอบ แต่เธอกลับปล่อยให้หลิงหยุนทำตามใจ

หลิงหยุนเป็นชายหนุ่มร่างสูงที่หน้าตาหล่อเหลา อีกทั้งยังมีร่างกายที่แข็งแรงและแข็งแกร่ง มีเสน่ห์  แววตาที่สงบนิ่ง และรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเขา ทำให้กงเสี่ยวลู่ถึงกับใจสั่น

เธอรู้ว่านี่การกระทำที่ไม่ถูกต้อง! เพราะแทนที่เธอจะปฏิเสธ และห้ามหลิงหยุน แต่เธอกลับยอมรับมัน

กงเสี่ยวลู่รู้ตัวดีว่าเธอกำลังเล่นกับไฟ แต่ความรู้สึกเช่นนี้ก็ไม่ต่างจากการเสพยา เมื่อได้แล้วก็อยากได้อีก อย่างเช่นตอนหลิงหยุนโอบไหล่เธอ ทำให้เธอรู้สึกมั่นคงเธอจึงไม่ปฏิเสธตั้งแต่แรก และตอนนี้เธอก็ไม่สามารถปฏิเสธได้แล้ว

ไม่ว่าหลิงหยุนจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ แต่คำพูดของเขาก็ทำให้กงเสี่ยวลู่รู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก!

“หลิงหยุน.. เธอ.. เธอช่วย..” จู่ๆกงเสี่ยวลู่ก็นิ่งไป และพูดต่อว่า “ช่วยกอดฉันหน่อยได้ไม๊?”

หลิงหยุนตอบกลับไปว่า “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ? ผมก็รอคุณพูดคำนี้อยู่!”

แต่หลิงหยุนกลับไม่ลุกขึ้น เขาใช้ฝ่ามือตบลงบนโซฟาข้างๆตัว พร้อมกับยิ้มและส่งสัญญาณให้กงเสี่ยวลู่นั่งลงข้างๆเขา

หลิงหยุนเพียงแค่รอคอยให้กงเสี่ยวลู่เป็นฝ่ายเริ่มต้นที่จะก้าวออกมาก่อน เพราะหากเป็นเช่นนั้น ทุกอย่างก็จะค่อยๆดีขึ้น แต่ถ้าไม่.. หลิงหยุนเองก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มอย่างไร?

กงเสี่ยวลู่ค่อยๆก้าวเท้าเข้าไปหาหลิงหยุนด้วยร่างกายที่สั่นเทิ้มทีละก้าว.. ทีละก้าว..

ใช่แล้ว.. จิตใต้สำนึกของกงเสี่ยวลู่ได้เตือนเธอว่า อย่าได้ทำผิด!

แต่อารมณ์ความรู้สึกของเธอในตอนนี้ก็ไม่ต่างจากไม้ขีดที่ถูกหลิงหยุนจุดติดแล้ว และกำลังเผาไหม้ จนไม่ว่าเหตุผลอะไรก็ไม่สามารถเอาอยู่

กงเสี่ยวลู่ค่อยๆเดินไปหาหลิงหยุน และสัญชาติญาณก็ได้ร้องบอกให้เธอหยุด และหนีไปจากสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า แต่ไม่ทันแล้วเพราะหลิงหยุนได้เอื้อมมือออกมาดึงตัวเธอไปไว้ในอ้อมแขนของเขาเรียบร้อยแล้ว..

“เอ่อ..”

กงเสี่ยวลู่รู้สึกราวกับว่าสมองของตัวเองระเบิดดังปัง! ศีลธรรมต่างๆในจิตใจ กฎเกณฑ์ระเบียบทางสังคม และสำนึกผิดชอบชั่วดี ได้ถูกเผาไหม้เป็นจุน และความรู้สึกปลอดภัยมั่นคงก็ปรากฏขึ้นมาแทนที่

ผ่านไปครู่หนึ่งเมื่อกงเสี่ยวลู่ได้สติ เธอกลับพบว่ามือใหญ่ที่พาดลงมาบนไหล่เธอนั้น ตอนนี้ฝ่ามือกำลังวางอยู่บนหน้าอกของเธอพอดี!

“นี่..!” กงเสี่ยวลู่ร้องออกมาอย่างตกใจ

“ขอโทษครับ.. ผมวางผิดที่..”

หลิงหยุนเพียงแค่รอดูปฏิกิริยาของกงเสี่ยวลู่ จากนั้นจึงแขนออกวางลงบนโซฟาแทน

“อะไรกัน.. นี่เธอกล้าทำกับครูแบบนี้นี้เลยเหรอ!” กงเสี่ยวลู่ทั้งอายทั้งตกใจ

หลิงหยุนไม่พูดอะไร แต่กลับนึกสนุกสนานกับความขี้อายของกงเสี่ยวลู่ พร้อมกับอดคิดไม่ได้ว่าครูประจำชั้นของเขาอายุเกือบจะยี่สิบแปดแล้ว แต่กลับไม่ใจกล้าเหมือนเกาเฉินเฉินกับฉางหลิง และดูเหมือนจะขี้อายมากกว่าหลินเมิ่งหานเมื่อคืนนี้เสียอีก ดูเหมือนความขี้อายได้กลายเป็นเอกลักษณ์ของเธอไปแล้ว

“นี่เธอ.. เธอกล้าลามปามครูแบบนี้เหรอ? ใหนเธอบอกจะมาทำให้ครูเป็นผู้บริสุทธิ์ไงล่ะ? แล้วแบบนี้.. หากใครรู้เข้า ครูจะมีหน้าไปพบผู้คนได้ยังไง?”

กงเสี่ยวลู่พล่ามออกมาเป็นชุดเพราะความรู้สึกผิดในใจ และทำราวกับว่าการได้พูดออกมาจะช่วยทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น

แต่ดูเหมือนเธอจะลืมไปแล้วว่า เธอเองต่างหากที่เป็นคนขอให้หลิงหยุนช่วยกอดเธอไว้ และหลิงหยุนก็แค่วางมือพลาดผิดตำแหน่งไปเท่านั้นเอง

“เธอ.. ทำไมเธอถึงไม่พูดอะไรเลยล่ะ?!” กงเสี่ยวลู่พล่ามอยู่นาน แต่เมื่อเห็นหลิงหยุนไม่ตอบโต้ เธอกลับรู้สึกระวนกระวายใจ

“ผมไม่กล้าเถียง กลัวจะถูกครูตี..” หลิงหยุนตอบพร้อมกับยิ้มจนเห็นฟันขาว และลักยิ้มข้างแก้มซ้ายก็ลึกจนเห็นเด่นชัด กงเสี่ยวลู่ถึงกับต้องเหลียวมอง

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม