Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร 407-413

 บทที่ 407 : ข่าวคราวของฉินจิวยื่อ!

แม้ฉินตงเฉี่วยจะรู้สึกอับอาย และไม่พอใจอยู่บ้าง แต่โดยนิสัยที่เป็นคนมีเหตุมีผลของนาง นางจึงไม่คิดที่จะลงโทษหลิงหยุนแม้แต่น้อย

หลังจากที่ว่ายอยู่ในน้ำทะเลครู่ใหญ่ คราบเลือดต่างๆที่ติดตามร่างกายของหลิงหยุน ก็ถูกน้ำทะเลชะล้างจนแทบไม่เหลือแล้ว จากนั้นเขาจึงถอดเสื้อผ้าชุดเก่าออก และเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าชุดใหม่ที่เรียกออกมาจากแหวนพื้นที่ ส่วนเสื้อผ้าชุดเก่าก็โยนทิ้งลงไปในทะเล

หลิงหยุนรู้ดีว่าฉินตงเฉี่วยคงจะยังไม่ออกมาอีกครู่ใหญ่ เขาจึงนั่งลงที่ชายหาด จ้องมองคลื่นที่ซัดเข้ามาลูกแล้วลูกเล่าพร้อมกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

หลิงหยุนมั่นใจว่าหลังจากเหตุการณ์สังหารหมู่ในคืนนี้ ตระกูลซันคงได้รับความเสียหายอย่างหนัก และคงจะไม่กล้าส่งคนมาวุ่นวายกับเขาอีกช่วงเวลาหนึ่งเลยทีเดียว

และนับตั้งแต่ที่มือสังหารระดับสวรรค์ขององค์การนักฆ่าถูกหลิงหยุนฆ่าตายไปในคืนนั้น จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีมือสังหารขององค์กรนักฆ่าปรากฏตัวที่เมืองจิงฉูให้เห็นอีกเลย หลิงหยุนเดาว่าคนที่ว่าจ้างองค์กรนักฆ่าให้มาสังหารเขานั้น น่าจะกำลังติดตามเขาด้วยตัวเองอยู่เป็นแน่

เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องที่กวนใจหลิงหยุนมากที่สุด เพราะจนป่านนี้ยังไม่รู้เลยว่าใครกันแน่ที่จ้องเอาชีวิตของเขาอยู่? เพราะสำหรับหลิงหยุนแล้ว การเผชิญกับศัตรูซึ่งๆหน้า ต่อให้มาเป็นกองทัพ เขาก็ไม่นึกหวาดกลัวแม้แต่น้อย แต่ศัตรูที่หลบซ่อนไม่เปิดเผยตัวต่างหาก ที่น่าสะพรึงกลัวสำหรับเขา!

แต่ถึงอย่างไร ตอนนี้เขาก็สำเร็จวิชาพลังลับหยินหยางแล้ว และอีกเพียงแค่เจ็ดวันหลังจากนี้ เขาก็จะสามารถเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-6 ได้แล้ว ถึงตอนนั้นเขาจะแข็งแกร่งกว่าที่เป็นอยู่นี้ถึงสองเท่า และนั่นก็เพียงพอที่จะช่วยให้เขาสามารถปกป้องตัวเองได้

เฉิงเม่ยเฟิงถูกสำนักจิ้งซินนำตัวกลับไปแล้ว ส่วนเกาเฉินเฉินก็ยังคงเงียบไปไม่ได้ข่าวคราวอะไรเลย เสี่ยวเม่ยเม่ยนั้นยิ่งแล้วใหญ่ เพราะไม่รู้แม้กระทั่งว่าหายไปใหน และอยู่ที่ใหน?

หลิงหยุนเกลียดแม่ชีมี่ยื่อที่ให้เฉิงเม่ยเฟิงกินโอสถไร้ใจเข้าไป และดูเหมือนว่าฤทธิ์ของมันนั้นจะน่าอัศจรรย์มาก แต่หลิงหยุนก็เชื่อมั่นว่า เขาจะสามารถรักษาผลลัพธ์ที่เกิดจากโอสถไร้ใจนี้ได้อย่างแน่นอน

ไม่ว่าสำนักจิ้งซินจะอยู่ที่ใหนก็ตาม เขาจะต้องหาให้พบ หลิงหยุนจะต้องไปนำตัวเฉิงเม่ยเฟิงกลับมาในอีกไม่ช้าแน่..

สำหรับเกาเฉินเฉินที่กลับไปยังบ้านเกิดที่ปักกิ่งนั้น หลิงหยุนคาดว่าเธอคงจะไม่ได้มีปัญหาอะไรใหญ่โตมาก

ดังนั้น.. คนที่หลิงหยุนเป็นห่วงมากที่สุดจึงเป็นเสี่ยวเม่ยเม่ยที่ไม่รู้แม้แต่ว่าหายไปที่ใหน อีกทั้งองค์กรนักฆ่าก็ลึกลับ แล้วเขาจะไปหาเจอได้อย่างไรกัน?

ยังมีเหล่ากุ่ยอีกคนที่ดูลึกลับ เขาเป็นคนนิสัยใจคออย่างไรกันแน่? และเพราะเหตุใดจึงต้องคอยตามคุ้มครองเขาด้วย อีกทั้งเหล่ากุ่ยยังเป็นคนที่รู้เรื่องราวมากมาย ดูแล้วช่างน่ากลัวไม่น้อย!

หลิงหยุนนึกถึงแม่ของตัวเอง – นางฉินจิวยื่อ ที่ตอนนี้ยังหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย และจู่ๆ ฉินตงเฉี่วยก็ปรากฏตัว หรือว่าน้าหญิงจะเป็นคนที่แม่ของเขาส่งมาคอยปกป้องคุ้มครองเขากับหนิงหลิงยู่

“แล้วนี่ถ้าน้าหญิงโกรธข้าเรื่องเมื่อครู่จริงๆ ข้าคง..”

ขณะที่หลิงหยุนกำลังรำพึงรำพันกับตัวเอง และไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้ว เขาก็ได้ยินเสียงไพเราะของฉินตงเฉี่วยดังขึ้นอยู่ด้านหลัง

หลิงหยุนรีบลุกขึ้นมาทันที เขาฉีกยิ้มให้กับฉินตงเฉี่วยจนเห็นลักยิ้มลึกข้างแก้มซ้ายได้อย่างชัดเจน ทำให้ใบหน้าของเขาดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น

“น้าหญิง.. ท่านช่างงดงามราวกับเทพธิดาที่อยู่บนสวรรค์..” หลิงหยุนเอ่ยชมด้วยน้ำเสียงจริงจัง

ผ้าคลุมหน้าของฉินตงเฉี่วยได้ลอยไปกับสายน้ำเรียบร้อยแล้ว นางจึงไม่ใส่ใจอีก ความงามของนางนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่านางฉินจิวยื่อเลยแม้แต่น้อย แต่แววตานั้นกลับดูเยือกเย็นและถือดีกว่า อีกทั้งยังดูเป็นคนที่ดุร้ายกว่าเล็กน้อย แต่ด้วยความขี้เล่นของนางนั้น ทำให้หลิงหยุนไม่ได้ใส่ใจและอยากจะรู้อายุจริงของนางอีก

แม้ว่าเสื้อผ้าของนางจะไม่ได้โชกน้ำจนรัดร่างบอบบางเหมือนเมื่อครู่ แต่ก็ยังคงเปียกอยู่ไม่น้อย อีกทั้งลมทะเลที่พัดมา ยังทำให้กระโปรงของนางโบกสะบัดจนแนบกับร่างอยู่เป็นครั้งคราว

แม้ฉินตงเฉี่วยจะยังโกรธและอายอยู่ไม่น้อย แต่ในเมื่อหลิงหยุนเอาแต่พร่ำชมในความงดงามของนางอย่างจริงใจ นางจึงได้แต่ภูมิอกภูมิใจอย่างบอกไม่ถูก

แม้ตลอดระยะเวลายี่สิบกว่าปีมานี้ ฉินตงเฉีวยจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกฝนตนอย่างหนัก แต่นางก็รู้ตัวดีว่าตนเองนั้นเป็นหญิงสาวที่งดงามหมดจดอย่างหาใครเทียบได้ยากเช่นกัน

 “ข้าไม่ตำหนิเจ้าหรอก!”

ฉินตงเฉี่วยร้องบอกหลิงหยุนพร้อมกับโบกมือเรียก “เจ้าเข้ามานี่..”

หลิงหยุนไม่ต้องการให้ร่างของฉินตงเฉี่วยหนาวสั่นเพราะแรงลม เขาจึงรีบเข้าไปยืนตรงหน้าของนางทันที

หลิงหยุนได้บทเรียนจากเหตุการณ์เมื่อครู่แล้ว ตอนนี้เขาจึงไม่กล้าแม้แต่จะชายตามองเรือนร่างของฉินตงเฉี่วย จึงได้แต่จับจ้องอยู่ที่ใบหน้าสวยงามของนางเพียงอย่างเดียว พร้อมกับถามออกไปว่า

“น้าหญิง.. ท่านตกลงไปในทะเลเมื่อครู่ ไม่เป็นอะไรมากใช่ไม๊?!”

ฉินตงเฉี่วยพยายามที่จะไม่นึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกลางทะเลก่อนหน้านี้ แต่คำถามของหลิงหยุนกลับทำให้นางต้องหวนไปนึกถึงอีก นางจึงได้แต่ดุหลิงหยุน

“จำไว้ว่า..ต่อไปเจ้าอย่าได้พูดถึงเรื่องนี้อีก! ไม่อย่างนั้นข้าจะทำโทษเจ้าจริงๆ!”

หลิงหยุนได้แต่เกาศรีษะยิ้มๆ และไม่กล้าพูดอะไรอีก..

ใบหน้าสวยงามของฉินตงเฉี่วยแดงราวกับลูกตำลึง นางพยายามสงบจิตใจอยู่ครู่ใหญ่ หลังจากที่สงบจิตสงบใจได้แล้ว จึงค่อยเอ่ยเริ่มถามหลิงหยุน

“เจ้าเด็กดื้อ.. บอกมาว่าเจ้าเอาเสื้อผ้าที่ใหนมาเปลี่ยน?” ฉินตงเฉี่วยถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น

ก่อนหน้านี้ ฉินตงเฉี่วยได้ตามไปขวางทางปี่หยวนเจียไว้ เพื่อสอบถามเรื่องราวบางอย่างจากเขา หลังจากได้คำตอบแล้ว นางจึงปล่อยตัวปี่หยวนเจียไป จากนั้นนางก็มุ่งหน้าไปยังบ้านตระกูลเฉิง และแอบซุ่มดูอยู่ในป่านอกหมู่บ้าน ระหว่างนั้นนางได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดว่าหลิงหยุนลงมือสังหารยอดฝีมือทั้งสามอย่างไรบ้าง..

ฉินตงเฉี่วยได้เห็นตะปูที่ออกมาจากฝ่ามือของหลิงหยุน ได้เห็นกระบี่มังกรขาว และกระบี่โลหิตแดนใต้ที่เดี๋ยวก็ผลุบเดี๋ยวก็โผล่ ทำให้นางอดที่จะประหลาดใจไม่ได้ อีกทั้งตอนนี้หลิงหยุนยังมีเสื้อผ้าชุดใหม่มาเปลี่ยนอีกด้วย!

หลิงหยุนชูนิ้วมือข้างซ้ายให้ฉินตงเฉี่วยดูพร้อมกับตอบไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ความลับอยุ่ในแหวนลึกลับวงนี้ ข้างในมันมีพื้นที่สำหรับเก็บของ เรียกว่า – แหวนพื้นที่”

ฉินตงเฉี่วยถึงกับตกใจ ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปมองแหวนพื้นที่ในนิ้วของหลิงหยุน พร้อมกับพึมพำว่า

“ช่างเป็นของวิเศษที่ประหลาดนัก? เจ้าไปได้มาจากใหน?”

หลิงหยุนตอบยิ้มๆ “ข้าโชคดีมากจริงๆ.. เดินๆอยู่ก็พบมันตกอยู่ที่ท้องถนน..”

ฉินตงเฉี่วยฉีกยิ้มพร้อมกับชกเข้าที่อกของหลิงหยุน และดุไปว่า “อย่ามาหลอกข้า.. บอกความจริงข้ามาเดี๋ยวนี้..!”

หลิงหยุนแสร้งทำสีหน้าเจ็บปวด พร้อมกับเอามือกุมหน้าอกแล้วร้องโอดครวญ “น้าหญิง.. ทำไมถึงได้โหดร้ายกับข้านัก ท่านจะทุบจนข้าได้รับบาดเจ็บภายในเลยหรือยังไง..?”

ฉินตงเฉี่วยได้เห็นท่าทางเจ็บปวดของหลิงหยุน ก็ถึงกับตกอกตกใจ และรีบร้องถามอย่างเป็นห่วง “เจ้าเป็นอะไรมากไม๊..? ข้าไม่ได้ทุบเจ้าแรงมากเลยนะ..”

ฉินตงเฉี่วยไม่สนใจอะไรอีก นางรีบเดินเข้าเปิดหน้าอกของหลิงหยุนดูทันที พร้อมกับตำหนิว่า “ความจริงวิชาตัวเบาของเจ้าก็ดีนี่นา ทำไมไม่รู้จักหลบตอนที่ข้าชกเจ้าล่ะ?!”

หลิงหยุนสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนและอบอุ่นจากมือเล็กๆของฉินตงเฉี่วย และยังสัมผัสได้ถึงความห่วงใยอย่างจริงใจของนางที่กังวลว่าเขาจะเจ็บจริงๆ หลิงหยุนจึงไม่ต้องการกลั่นแกล้งนางต่อ จึงได้แต่พูดออกไปว่า

“ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว..”

จากนั้นหลิงหยุนก็พลิกข้อมือ และเรียกกระบี่โลหิตแดนใต้ออกมาถือไว้ จากนั้นจึงอธิบายให้นางฟัง..

“น้าหญิง แหวนวงนี้ข้าเป็นคนทำขึ้นมาเอง ข้าทำการสลักหลุมวัตถุไว้ด้านในของแหวนวงนี้หลายชั้น ด้านในของแหวนวงนี้จึงสามารถใช้เก็บของได้มากมาย สะดวกมากๆเลยล่ะ!”

ฉินตงเฉี่วยเป็นผู้ที่มีความรู้เรื่องในเรื่องเหล่านี้มากพอ จึงสามารถเข้าใจได้ทันที และไม่ต้องให้หลิงหยุนอธิบายมาก จากนั้นนางก็ชี้ไปที่กระบี่โลหิตแดนใต้ที่อยู่ในมือของหลิงหยุนพร้อมกับร้องบอกว่า

“นั่นเป็นกระบี่โลหิตแดนใต้ที่ล่ำลือกันใช่ไม๊?”

หลิงหยุนตอบกลับไปว่า “ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน ข้ารู้เพียงว่ามันคมกว่ากระบี่ทั่วไปมาก มันสามารถตัดทุกอย่างได้ราวกับตัดเต้าหู้นุ่มๆ ข้าเคยเรียกมันว่ากระบี่มังกรดำ แต่คนอื่นที่พบเห็นกลับเรียกมันว่ากระบี่โลหิตแดนใต้..”

ฉินตงเฉี่วยที่มีนิสัยเหมือนเด็กจึงพูดกับหลิงหยุนยิ้มๆ “ขอข้าดูหน่อย!”

หลิงหยุนส่งกระบี่ที่หนักอึ้งเล่มนั้นให้กับฉินตงเฉี่วยพร้อมกับร้องเตือนว่า “น้าหญิงท่านต้องระวังด้วยมันคมมาก!”

“โอ๊ะ..”

เพียงแค่สัมผัสเข้ากับด้ามกระบี่ ฉินตงเฉี่วยก็รู้สึกราวกับว่ามีไอปีศาจที่เย็นยะเยือกกำลังไหลเข้าสู่มือของนาง นางโยนกระบี่โลหิตแดนใต้ทิ้งไปทันทีราวกับว่ามันร้อนมาก!

หลิงหยุนรีบยื่นมือออกไปรับกระบี่มาไว้ทันที จากนั้นจึงถามขึ้นด้วยความสงสัย “เกิดอะไรขึ้น? ท่านจับมันไม่ได้หรือยังไง?”

กระบี่โลหิตแดนใต้เล่มนั้นถึงแม้จะหนักถึงแปดสิบกิโลกรัม แต่เรื่องน้ำหนักก็ไม่น่าจะใช่ปัญหาสำหรับฉินตงเฉี่วยที่อยู่ในระดับสูงสุดของขั้นเซียงเทียน-3 แน่

หลิงหยุนถือกระบี่โลหิตแดนใต้ไว้ในมือ พูดขึ้นพร้อมกับส่ายหน้า “ข้าไม่เห็นว่ามันจะผิดปกติตรงใหน?”

ฉินตงเฉี่วยจ้องมองกระบี่โลหิตแดนใต้ จากนั้นก็หันไปมองหลิงหยุนที่ดูแปลกไป เธอส่ายหน้าและได้แต่พูดออกไปว่า

“มิน่า.. แม่ของเจ้าถึงได้บอกว่าเจ้าดูแตกต่างไปจากเดิม แต่ไม่ว่าเจ้าจะดูแปลกหรือลึกลับยังไง เจ้าก็ยังคงเป็นเด็กตัวเหม็นของข้าอยู่ดี!”

เมื่อหลิงหยุนได้ยินฉินตงเฉี่วยเอ่ยชื่อนางฉินจิวยื่ออกมา เขาจึงอดที่จะถามถึงนางไม่ได้

“น้าหญิง.. ตอนนี้แม่ของข้าอยู่ที่ใหน? แม่ไม่เคยทิ้งหลิงยู่ไปแบบนี้มาก่อน!”

ฉินตงเฉี่วยลังเลเล็กน้อย ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบกลับไปว่า “นางไปที่สำนักกระบี่เทวะบนเขาเทียนซัน มีใครบางคนรอคอยนางอยู่..”

“สำนักกระบี่เทวะ? เขาเทียนซัน? ใครกันที่รอแม่ข้าอยู่ที่นั่น?”

เมื่อฉินตงเฉี่วยนึกถึงชะตากรรมของนางฉินจิวยื่อ ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ระทมและความเสียใจ ดวงตาคู่สวยมีแววลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับไปเสียงเบา

“ก็คนที่ทำให้นางเสียใจ คนที่ทำลายความสุขของนางตลอดชีวิต แต่ตอนนี้กลับอยากพบนาง..”

หลิงหยุนกระวนกระวายใจอย่างมาก จึงรีบถามขึ้นว่า “น้าหญิง ท่านอย่าได้อ้อมค้อมอีกเลย บอกข้ามาตรงๆว่าแม่ของข้าไปพบเป็นใครกันแน่?”

ฉินตงเฉี่วยได้แต่ถอนหายใจ และรู้ว่าคงจะไม่สามารถปิดบังหลิงหยุนได้อีก และนางเองก็ไม่ได้คิดที่จะปิดบังด้วย จึงได้ตอบไปว่า

“เจ้าก็ดูเป็นเด็กเฉลียวฉลาดนี่นา.. ข้าพูดตั้งขนาดนี้เจ้ายังไม่รู้อีก!?”

“คนคนนั้นก็คือพ่อแท้ๆของหนิงหลิงยู่ชื่อว่า.. หนิงเทียนหยา”

หลิงหยุนถึงกับอึ้งไป!

“หนิงเทียนหยา?! พ่อแท้ๆของน้องสาวข้า? นี่มัน..”

ฉินตงเฉี่วยยักไหล่ ดวงตาคู่สวยของนางจ้องมองหลิงหยุน “ตระกูลฉินของเราเมื่อได้รับข่าวนี้ ก็ให้ข้ามาบอกพี่ใหญ่ เพื่อให้นางเป็นผู้ตัดสินใจเอง!”

“ส่วนพี่ใหญ่ก็ได้สั่งข้าไว้ว่า เรื่องนี้ห้ามบอกให้หนิงหลิงยู่รู้เด็ดขาด.. เจ้าจำไว้ด้วย!”

หลังจากที่ฉินตงเฉี่วยพูดจบ ดูเหมือนนางได้วางภาระทางใจที่แบกไว้มานานลง จึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที แต่ดวงตากลับมีน้ำใสๆเอ่อขึ้นมาแทน

“พี่ใหญ่.. ได้โปรดกลับมาเสียที!”


บทที่ 408 : ถ่ายทอดเคล็ดวิชา!

ฉินตงเฉี่วยขมวดคิ้วเข้าหากัน ดวงตาของนางเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา และน้ำตาสองหยดที่ใสราวกับคริสตัลก็ได้ร่วงลงมา แล้วจึงถูกพัดไปพร้อมกับลมทะเล หากใครได้เห็นภาพนี้ก็คงต้องรู้สึกเจ็บปวดหัวใจไปพร้อมกับนางด้วยอย่างแน่นอน

นางค่อยๆหันหน้าหนีไปทางทางอื่น และใช้มือปาดน้ำตาออกจนหมด แล้วจึงหันหลังกลับมาพูดกับหลิงหยุนว่า

“เอาล่ะ.. อย่าพูดเรื่องนี้กันดีกว่า! หน้าที่ของข้าก็คือมาคอยดูแลพวกเจ้าให้ตั้งใจเรียนหนังสือ ฝึกวรยุทธ ตอนนี้กลับบ้านไปพักผ่อนได้แล้ว เพราะพรุ่งนี้เป็นวันจันทร์”

จู่ๆ หลิงหยุนก็รู้สึกว่าการเดินทางไปที่เขาเทียนซันของแม่เขานั้นไม่น่าจะเป็นเรื่องธรรมดา เพราะแม้แต่น้าหญิงที่เข้มแข็งของเขายังถึงกับร้องไห้ออกมา และน่าจะต้องไม่ใช่เรื่องเล็กๆด้วย

“น้าหญิง.. แล้วแม่ของข้าจะกลับเมื่อไหร่?” หลิงหยุนแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ และถามไปเรื่อยเปื่อย

ฉินตงเฉี่วยถึงกับตัวสั่น “ถ้าเร็ว.. ก็น่าจะนานกว่าหนึ่งเดือน แต่ถ้ามีเรื่องให้ต้องล่าช้า ก็น่าจะนานกว่านั้นหน่อย..”

หัวใจของหลิงหยุนเต้นแรง แม้ที่นั่นจะไม่มีเครื่องบินไปถึง แต่ก็ไม่น่าจะกินเวลานานกว่าสามหรือห้าวัน แล้วเหตุใดจึงต้องล่าช้าถึงเพียงนั้น?

ฉินตงเฉี่วยเห็นหลิงหยุนทำท่าเหมือนจะถามต่อ ดวงตาคู่สวยของนางจ้องมองพร้อมกับรีบพูดตัดบท “เอาล่ะ.. อย่าถามมากความ เรื่องนี้ไว้ข้าค่อยบอกเจ้าทีหลัง! และถ้าพี่ใหญ่ยังไม่กลับมา ข้าก็จะยังไม่ไปจากจิงฉู!”

หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับคิดว่า เรื่องราวอาจจะไม่ยุ่งยากใหญ่โตเหมือนที่เขาคิดก็เป็นได้ อีกอย่างน้าหญิงเองก็เป็นน้องสาวแท้ๆของแม่เขา หากเกิดเรื่องขึ้นกับแม่ของเขาจริงๆ นางคงไม่สามารถทนนิ่งเฉยเช่นนี้ได้แน่!

หลิงหยุนเรียกเสื้อผ้าชุดดำออกมาจากแหวนพื้นที่และส่งให้กับฉินตงเฉี่วย จากนั้นจึงถามนางไปว่า

“น้าหญิง.. ข้ามีบ้านสามหลัง ไม่ทราบว่าท่านต้องการจะไปพักหลังใหน?”

ฉินตงเฉี่วยยกมือขึ้นชี้ไปทางบ้านเลขที่-9 ที่เขายกให้แม่กับน้องสาวอยู่

“พวกเราไปพักที่บ้านหลังนั้นกันดีกว่า เจ้าวางค่ายกลสังหารที่แปลกประหลาดไว้ ข้าจึงไม่สามารถเข้าไปได้ เจ้าเป็นคนนำข้าไปก็แล้วกัน!”

หลิงหยุนไม่มีกุญแจบ้านหลังนั้น และตอนนี้กุญแจบ้านก็อยู่กับตี้เสี่ยวอู๋ แต่ค่ายกลนั่นเขาเป็นผู้ที่สร้างขึ้นมาเอง เพียงแค่ย้ายก้อนหินที่อยู่ทางด้านซ้ายของประตูออก จากนั้นค่ายกลนวะสังหารที่เขาวางไว้ก็จะหยุดทำงาน และไม่เกิดผลใดๆอีก

หลิงหยุนและฉินตงเฉี่วยมุ่งหน้าไปยังบ้านเลขที่-9 เขาจัดการเตะก้อนหินที่อยู่ทางด้านซ้ายของประตูออกต่อหน้านางพร้อมกับหัวเราะ

“นี่คือค่ายกลนวะสังหาร หากหินก้อนนี้ถูกเคลื่อนย้ายออกไป ค่ายกลก็จะหยุดทำงาน ก้อนหินที่เหลือก็จะกลายเป็นเพียงก้อนหินธรรมดาเหมือนเดิม!”

ฉินติงเฉี่วยพยักหน้าอย่างประหลาดใจ ตอนนี้นางเริ่มค้นพบความอัศจรรย์ของหลิงหยุนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ในใจก็ไม่รู้ว่าตนเองรู้สึกอย่างไร?

ในเมื่อค่ายกลสังหารนั่นถูกปิดไปแล้ว เพียงแค่ประตูบานเดียวจึงไม่สามารถหยุดยั้งคนทั้งคู่ได้ ทั้งคู่กระโดดเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว

“เจ้าเด็กดื้อ.. เจ้าตกแต่งบ้านได้ไม่เลวนี่!” ฉินตงเฉี่วยเดินตรงเข้าไปในห้องนั่งเล่น นางมองสำรวจไปรอบๆพร้อมกับเอ่ยชม

ฉินตงเฉี่วยนับว่าเป็นเพชรประจำตระกูลฉิน หากนางสามารถพึงพอใจการตกแต่งบ้านจนถึงกับเอ่ยปากชมแล้ว ต้องนับว่าเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากทีเดียว!

“แม่ของเจ้านอนห้องใหน ข้าจะไปนอนห้องนั้น!” หลังจากที่ชื่นชมบ้านไปแล้ว นางก็หันกลับไปถามหลิงหยุน

หลิงหยุนพาฉินตงเฉี่วยไปที่ห้องนอนของแม่เขา ฉินตงเฉี่วยผลักประตูเข้าไปทันที จากนั้นก็หันไปสั่งหลิงหยุน

“เจ้าเด็กดื้อ.. ถ้าไม่มีคำสั่งข้า ห้ามเจ้าเข้ามาในห้องนี้เด็ดขาด แล้วจากนี้ไปก็ห้ามเจ้าแสดงวรยุทธต่อหน้าคนอื่น อ่อ.. แล้วก็ห้ามออกไปใหนด้วย ได้ยินชัดเจนไม๊?”

หลิงหยุนได้แต่อึ้งและพูดอะไรไม่ออก จึงได้แต่พยักหน้า จากนั้นก็เดินกลับไปที่ห้องนั่งเล่น แล้วนั่งครุ่นคิดเรื่องราวต่างๆอยู่บนโซฟา

ตอนนี้ความสามารถในการได้ยินของหลิงหยุนนั้น ต้องเรียกได้ว่าไม่เพียงได้ยินในระยะไกล แต่ยังได้ยินอย่างชัดเจนอีกด้วย และในไม่ช้าเขาก็เริ่มได้ยินเสียงถอดเสื้อผ้า

หลิงหยุนรู้ว่าตอนนี้ฉินตงเฉี่วยคงจะกำลังเตรียมตัวอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงร่างเปียกโชกของนางที่เผยให้เห็นรูปร่างที่แสนงดงาม

“น้าหญิงช่างสวยงามนัก..” หลิงหยุนได้แต่พึมพำ

เสียงน้ำไหลดังมาจากห้องนอน หลิงหยุนลุกขึ้นเดินออกจากห้องนั่งเล่น และตรงไปที่ลานนอกบ้าน แล้วเริ่มฝึกดารกะดายัน

หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง ฉินตงเฉี่วยก็อาบน้ำเสร็จพอดี นางใส่เสื้อผ้าของฉินจิวยื่อ จัดการเช็ดผมให้แห้ง และสางผมที่ยาวก่อนจะเดินออกจากห้องนอนไป

“หลิงหยุน..”

ฉินตงเฉี่วยร้องเรียกหลิงหยุน และค่อยๆเดินออกจากห้องนั่งเล่นไปหาเขาที่ลานด้านนอก และก็ได้แต่จ้องมองหลิงหยุนที่อยู่ในสนามหญ้าอย่างตกตะลึง

“โอ้.. นั่น.. ร่างกายของเจ้าเด็กดื้อเรืองแสงขึ้นอีกครั้งแล้ว… ดูเหมือนว่าแสงที่เรืองรองออกจากร่างของเขาจะเป็นแสงจากดวงจันทร์?!”

ฉินตงเฉี่วยถึงกับตกตะลึงและยืนแข็งเป็นหิน นางจ้องมองหลิงหยุนที่ยืนอยู่กลางสนามพร้อมกับคิดสงสัยว่า ‘นี่มันวิชาอะไรกนแน่?!’

หลิงหยุนคาดว่าฉินตงเฉี่วยน่าจะใช้เวลานาน เขาจึงพาตัวเองออกไปรับพลังจันทราที่สนาม แต่เมื่อหันหลังกลับไปก็ถึงกับตกตะลึง!

ฉินตงเฉี่วยที่ยืนห่างออกไปราวห้าหกเมตร สวมชุดกระโปรงลูกไม้แขนสั้นลายดอกไม้ ผิวของนางขาวนวล หน้าผากสะอาดสะอ้าน คิ้วสองข้างโค้งสวยงาม ดวงตามีแววตกตะลึง จมูกเล็กโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบาง ตะโพกที่ผายช่วยให้เอวของร่างที่สูงตระหง่านนั้นคอดเล็ก ดูสมส่วนและไม่มีไขมันแม้แต่นิดเดียว!

หน้าอกทั้งสองข้างของฉินตงเฉี่วยทำหน้าที่รองรับผมยาวดำขลับที่พาดลงมา และชุดสีขาวที่ใส่ก็ยิ่งขับให้สีผมของนางดำมากยิ่งขึ้น

ลมที่พัดในยามค่ำคืน ได้พัดผมที่กำลังเปียกให้ปลิวไสวไปมา ทำให้ร่างที่สวยงามนั้นดูราวกับเทพธิดาในภาพวาด!

ทั้งสองคนต่างก็ตกตะลึงซึ่งกันและกัน ฉินตงเฉี่วยเป็นฝ่ายที่รู้สึกตัวก่อน และนางก็รู้ว่าเพราะเหตุใดหลิงหยุนจึงได้มีอาการตกตะลึงเช่นนั้น นางจึงถามออกไปว่

“เจ้าเด็กดื้อ.. นี่เจ้ามองอะไร?!”

“ข้ามองน้าหญิง..”

หลิงหยุนพูดเพียงแค่นั้นก็ไม่สามารถพูดอะไรต่อได้อีก ในเมื่อฉินตงเฉี่วยถามตรงๆ เขาก็ตอบไปตรงๆเช่นกัน

“นี่เจ้า..!”

แล้วฉินตงเฉี่วยก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา นางส่งรอยยิ้มที่สดใสราวกับดอกไม้บานในฤดูใบไม้ผลิให้หลิงหยุน พร้อมกับเดินเข้าไปถามว่า

“น้าหญิงของเจ้างดงามมากไม๊?”

หลิงหยุนยิ้มแฉ่งพร้อมกับพยักหน้า และตอบไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง “น้าหญิงของข้างดงามมากจริงๆ! ใครที่กล้าพูดว่าท่านไม่สวย ข้าว่ามันผู้นั้นคงมีตาแต่เหมือนไม่มีแน่นอน!”

ฉินตงเฉี่วยถามยิ้มๆ “แล้วดวงตาของมันผู้นั้นจะเรียกว่าอะไร?”

หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับตอบไปว่า “เรียกว่ารูก็แล้วกัน.. ฮ่า ฮ่า”

ฉินตงเฉี่วยหัวเราะตามหลิงหยุนอย่างสนุนกสนาน แต่จู่ๆนางก็ยื่นมือออกมาหยิกแก้มหลิงหยุนพร้อมกับพูดด้วยความเอ็นดู

“เจ้าเองก็หล่อเหลาไม่ใช่น้อยเลย ไม่แปลกที่พี่ใหญ่ชมเจ้าให้ข้าฟังทุกวัน แต่ตัวจริงของเจ้ากลับหล่อกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก.. หล่อมากๆ!”

“ไม่ขนาดนั้นมั๊งน้าหญิง.. ท่านชมข้าเกินไป” หลิงหยุนรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย

“หลิงหยุน.. เจ้ายังจำได้ใช่ไม๊ว่าเจ้าเป็นหนี้ข้าอยู่?!” ฉินตงเฉี่วยหยิกแก้มหลิงหยุนพร้อมกับถามยิ้มๆ

หลิงหยุนรู้ดีว่าที่นางพูดขึ้นมาเช่นนั้น คงจะเป็นเพราะต้องการอะไรบางอย่าง เขาจึงยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า

“น้าหญิง.. เมื่อครู่ท่านช่วยข้าไว้ ท่านต้องการสิ่งใดตอบแทนก็บอกข้ามา ข้ายินดีจะตอบแทนอย่างไม่ลังเลเลยล่ะ!”

หลิงหยุนคาดว่าน้าหญิงของเขาคงจะอยากได้กระบี่มังกรขาว และหากนางต้องการจริงๆ เขาก็ยินดีที่จะยกให้นางด้วยความเต็มใจ

ฉิงตงเฉี่วยหัวเราะคิดคักดีใจพร้อมกับพยักหน้า “เจ้าแค่สอนเคล็ดวิชาที่เจ้าฝึกเมื่อครู่ให้ข้าก็พอ? บอกข้ามา.. เจ้าดึงดูดแสงจันทร์มาที่ร่างของตนเองได้ยังไง?”

หลิงหยุนเข้าใจได้ในทันทีพร้อมกับคิดว่า ขนาดตี้เสี่ยวอู๋เขายังสอนให้ได้ แล้วนี่เป็นฉินตงเฉี่วยต้องการที่จะฝึก มีหรือที่เขาจะไม่ยินดีสอนให้!

“น้าหญิง วิชาที่ข้าฝึกเมื่อครู่เรียกว่า.. ดารกะดายัน..”

หลิงหยุนเริ่มอธิบายรายละเอียดของวิชาดารกะดายันให้กับนางฟัง และเมื่อฉินตงเฉี่วยได้ฟังก็แสดงอาการตื่นเต้นดีใจอย่างออกหน้าออกตา

“เจ้าสอนน้าหญิงตอนนี้เลยจะได้ไม๊?” ฉินตงเฉี่วยถามยิ้มๆ

หลิงหยุนพยักหน้าอย่างมีความสุข “ถ้าท่านต้องการจะฝึก ข้าก็จะสอนท่านทุกรายละเอียดเลยล่ะ..”

ฉินตงเฉี่ยวเป็นยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-3 ตั้งแต่เกิดมาก็ฝึกวรยุทธมาโดยตลอด จึงมีความเข้าใจและทักษะที่ดีกว่าตี้เสี่ยวอู๋มาก อีกทั้งนางยังได้ขึ้นชื่อว่าเป็นอัจฉริยะด้านการฝึกตนอย่างหาใครเปรียบได้ยาก เพียงแค่ฟังก็สามารถจดจำรายละเอียดได้หมด

“อ่อ.. ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง น้าหญิงจะลองฝึกดู..” ฉินตงเฉี่วยเริ่มลงมือฝึกด้วยความตื่นเต้นอย่างไม่อาจอธิบายได้

แน่นอนว่าหลิงหยุนยังคงไม่จากไปใหน และเฝ้าดูฉินตงเฉี่วยฝึก เพราะเกรงว่าในช่วงเริ่มต้นของการฝึกฝนนั้น หากเกิดธาตุไฟเข้าแทรก หรือเกิดข้อผิดพลาดอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้น และเขาไม่ได้อยู่ด้วย โชคชะตาของนางคงพลิกผลันใหญ่โตแน่!

ฉินตงเฉี่วยพยายามเริ่มฝึกแบบค่อยเป็นค่อยไป แล้วก็เป็นไปตามคาด เพียงแค่นางเดินลมปราณภายในร่างกาย หลิงหยุนก็รับรู้ได้ถึงพลังที่น่ากลัว! และเพียงแค่ครึ่งชั่วโมง ฉินตงเฉี่วยก็สามารถฝึกดารกะดายันไปถึงระดับสาม

“ยอดเยี่ยมมาก.. รุดหน้าเร็วมาก!”

ฉินตงเฉี่วยลืมตาขึ้น เธอยืดร่างกาย ก่อนจะพูดขึ้นอย่างตกใจ “นี่เป็นวิชาที่แปลกประหลาดไม่เหมือนใคร! ต่อให้ผู้ที่ฝึกวิชาสิบสามองค์รักษ์ วิชาระฆังทองคุ้มกาย หรือแม้แต่วิชาภูษาเหล็ก และอยู่ในขั้นที่เหนือกว่า พลังชี่ของพวกเขาก็ไม่อาจเทียบเท่าผู้ที่ฝึกวิชานี้ได้!”

หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับตอบไปว่า “น้าหญิงช่างมีพรสวรรค์จริงๆ เพียงแค่ครู่เดียวก็สามารถฝึกจนถึงระดับสามได้แล้ว! อีกอย่างท่านก็อธิบายได้ถูกต้องทีเดียว เพราะพลังชี่นั้นขึ้นอยู่กับจุดตันเถียน แต่วิชาดารกะดายันนั้น อาศัยการดูดซับพลังสุริยะ พลังจันทรา และพลังดวงดาวผ่านทางผิวหนัง เข้าสู่กระดูก กล้ามเนื้อ ไปจนถึงอวัยวะหลัก และอวัยวะส่วนอื่นๆของร่างกาย ซึ่งพลังชี่นั้นไม่สามารถกระจายไปตามอวัยวะต่างๆที่ว่ามาได้ วิชานี้จึงทำให้ร่างกายของคนเราแข็งแกร่งได้อย่างไม่น่าเชื่อ และแม้แต่วิชาระฆังทองคุ้มกายก็ไม่อาจทำได้เช่นนี้”

ฉินตงเฉี่วยทั้งดีใจและตื่นเต้น “มิน่า ตอนเจ้าถูกซันเทียนเปียวกระแทกด้วยข้อศอกทั้งสองข้าง ร่างกายของเจ้าจึงไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว แล้วเจ้าล่ะฝึกไปถึงระดับใหนแล้ว?”

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบอย่างอายๆ “ระดับสิบสอง..”

“อะไรนะ?!” ฉินตงเฉี่วยมองหลิงหยุนอย่างไม่เชื่อสายตา แล้วก็ได้แต่อึ้งไป!

ฉินตงเฉี่วยที่ฝึกมาจนถึงระดับสูงสุดของขั้นเซียงเทียน-3 นั้น เรียกได้ว่าฝึกมาจนถึงขั้นเป็นหนึ่งเดียวระหว่างสวรรค์กับมนุษย์แล้ว ด้วยพลังชี่ขั้นเซียงเทียนในร่างกายของนางนั้น เพียงแค่การเดินลมปราณหนึ่งครั้ง ก็สามารถฝึกดารกะดายันถึงระดับสามได้แล้ว แต่เมื่อนางต้องการที่จะเข้าสู่ระดับสี่ กลับคล้ายมีสิ่งกีดขวาง ทำให้ไม่สามารถทะลุทะลวงเข้าสู่ระดับสูงขึ้นได้

หลิงหยุนได้แต่นึกขันน้าหญิงของเขาพร้อมกับคิดในใจว่า นางจะฝึกได้รวดเร็วจนถึงเพียงแค่ระดับสามเท่านั้น เพราะนอกเหนือกจากหนิงหลิงยู่ที่มีร่างของกายอัปสรแล้ว คนอื่นๆ ต่อให้เป็นยอดอัจฉริยะ หรือมีกำลังภายในแข็งแกร่งเพียงใด ก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป

ฉินตงเฉี่วยนั่งนิ่งไปเป็นเวลานาน ก่อนจะหันมายิ้มให้กับหลิงหยุนอย่างอ่อนโยนพร้อมกับถามขึ้นว่า

“หลิงหยุน.. ในเมือเจ้าก็ฝึกถึงระดับสิบสองแล้ว ตอนข้าทุบหน้าอกของเจ้า เจ้ายังเจ็บถึงกับต้องร้องโอดครวญเลยหรือไง? นี่เจ้ากล้าหลอกน้าหญิงงั้นรึ?”

ความลับของหลิงหยุนแตกเสียแล้ว..

“ไม่นะน้าหญิง ฟังข้าก่อน ข้าไม่ได้หลอกท่าน.. โอ๊ย..!”

หลิงหยุนพูดยังไม่ทันจบ เนื้อนุ่มๆที่เอวของเขาก็ถูกฉินตงเฉี่วยหยิกเข้าไปอย่างแรง พร้อมกับสั่งว่า “เจ้าห้ามใช้วิชาดวงดาวอะไรนั่น!”

มีหรือหลิงหยุนจะกล้าขัดคำสั่ง เขาได้แต่พยักหน้า และมองฉินตงเฉี่วยด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ ผ่านไปครู่ใหญ่จึงรู้สึกว่าความเจ็บปวดจากแรงหยิกค่อยๆเบาบางลง

ฉินตงเฉี่วยปล่อยมือพร้อมกับปัดมือไปมา “เอาล่ะ ครั้งนี้ข้าจะยกโทษให้เจ้า! ถ้าวันหน้ากล้าโกหกข้าอีกล่ะก็ คอยดูว่าข้าจะจัดการกับเจ้ายังไง!”

แม้ปากของหลิงหยุนจะร้องตะโกนคร่ำครวญ แต่ในใจกลับรู้สึกมีความสุขอย่างมากกับสิ่งที่ฉินตงเฉี่วยแสดงออกมา เขารู้สึกราวกับมีเพื่อนในวัยเดียวกันที่มีความรักในใจให้เขามากมาย ความรู้สึกเช่นนี้..

“นี่เจ้าเด็กดื้อ.. ข้ามีอีกเรื่องที่ต้องถามเจ้า เรื่องนี้ข้าจริงจังมาก เจ้าต้องตอบข้ามาตามความจริง!” ฉินตงเฉี่วยยิ้มและพูดกับหลิงหยุนด้วยน้ำเสียงจริงจัง

หลิงหยุนอดหวาดผวาไม่ได้ที่จู่ๆ น้ำเสียงและท่าทางของนางก็เปลี่ยนเป็นจริงจังถึงเพียงนี้ จึงได้แต่พยักหน้า..

ฉินตงเฉี่วยพูดด้วยน้ำเสียงไพเราะนุ่มนวล “บอกข้ามาตามตรง เจ้าเป็นคนทำให้แม่ของเจ้าเด็กลงถึงสิบปีใช่ไม๊?”

“เอ่อ..”


บทที่ 409 : ไม่อาจขัดขืนได้!

กลางดึกคืนวันอาทิตย์ที่ฉินตงเฉี่วยมาส่งข่าวให้กับฉินจิวยื่อนั้น นางแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเมื่อได้เห็นพี่สาวที่ยืนอยู่ตรงหน้า!

พี่สาวของนางนั้นแก่กว่านางถึงเก้าปี แต่ตอนนี้กลับดูเหมือนว่าฉินจิวยื่อเด็กกว่านางถึงสามหรือสี่ปี เป็นไปได้อย่างไรกัน?!

ฉินจิวยื่อนั้นอายุสามสิบหกปีแล้ว แต่ไม่ว่าใครที่ได้พบเห็น ต่างก็ต้องคิดว่านางเพิ่งจะอายุสามสิบ และนั่นเป็นผลพลอยได้จากการฝึกจนสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้

แต่หลังจากที่หลิงหยุนได้ใช้พลังอมตะชำระล้างร่างกายภายในของฉินจิวยื่อจนราวกับได้ร่างที่เกิดใหม่แล้วนั้น ทำให้ตอนนี้นางดูราวกับเด็กสาวที่เพิ่งอายุสิบแปดหรือสิบเก้าปีเท่านั้น นางเองทั้งดีใจและเก้อเขินจนไม่กล้าออกมาพบหน้าผู้คน

ฉินตงเฉี่วยเองก็เช่นเดียวกัน แม้ว่านางจะอายุยี่สิบเจ็ดแล้ว แต่กลับดูคล้ายหญิงสาวอายุยี่สิบสอง แต่หากไปเทียบกับพี่สาวของนางในตอนนี้ นางกลับดูแก่กว่านางฉินจิวยื่อราวสองหรือสามปีทีเดียว

หลิงหยุนรับรู้ได้ว่าฉินตงเฉี่วยดูจะจริงจังกับเรื่องนี้มาก จนถึงกับต้องเอ่ยปากถาม เขาจึงอดที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาไม่ได้

เมื่อฉินตงเฉี่วยเห็นหลิงหยุนหัวเราะอย่างสนุกสนาน จึงได้ยกขาเรียวยาวของนางขึ้นเตะหลิงหยุน พร้อมกับพูดอย่างโมโห

“นี่เจ้ากล้าหัวเราะเยาะข้างั้นรึ?”

ผู้หญิงยังไงก็ยังเป็นผู้หญิงอยู่วันยังค่ำ! ไม่มีผู้หญิงคนใหนที่จะไม่เป็นห่วงเรื่องอายุที่ร่วงโรย รูปลักษณ์ภายนอก โดยเฉพาะเรื่องของความสวยความงาม เมื่อวันเวลาล่วงเลยไป มีผู้หญิงคนใหนบ้างที่ไม่ใฝ่ฝันอยากกลับมามีผิวพรรณเต่งตึงดังเช่นสาวน้อยอีก?!

หลิงหยุนพยายามกลั้นหัวเราะ และตอบไปว่า “นี่น้าหญิง.. ถ้าท่านอยากจะเด็กลงเหมือนกับแม่ข้า ท่านต้องอดทนรอข้าอีกสองเดือน ถึงตอนนั้น รับรองว่าข้าจะทำให้ท่านเด็กลงได้อีกเป็นสิบปีเชียว!”

ตอนนี้การฝึกฝนของหลิงหยุนนับว่ารุดหน้าได้อย่างรวดเร็ว ภายในสองเดือนนี้ เขาจะต้องสามารถฝึกฝนจนเข้าสู่ขั้นพลังชี่ได้อย่างแน่นอน และไม่แน่ว่าอาจเข้าสู่ขั้นพลังชี่-2 เลยก็เป็นได้ ถึงตอนนั้นการปรุงยาเม็ดโฉมสะคราญ หรือยาเม็ดชะลอวัย ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นอะไรสำหรับเขา!

 “จริงหรือ?! เจ้าอย่าหลอกข้าก็แล้วกัน ไม่เช่นนั้น..?!”

ฉินตงเฉี่วยได้ฟังหลิงหยุนพูดเช่นนั้น ก็ถึงกับตาโตอย่างมีความสุข แต่ก็ทำเป็นวางท่าและทำเสียงโวยวายใส่หลิงหยุน

หลิงหยุนตบบ่าฉินตงเฉี่วยเบาๆ และรู้สึกว่ามือของเขาทั้งเย็นและสั่น แต่ก็แสร้งทำเป็นพูดติดตลกว่า

“แม่นาง.. รออีกหน่อยท่านก็จะต้องเรียกข้าว่าท่านพี่แล้วล่ะ.. โอ๊ย!”

หลิงหยุนถึงกับร้องเสียงหลง ครั้งนี้ฉินตงเฉี่วยเอาจริง นางหยิกเข้าที่เนื้อนุ่มของหลิงหยุนอย่างสุดแรงพร้อมกับดุเขาว่า..

“เจ้าเด็กดื้อ.. นี่เจ้ากล้าลามปามไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่! ข้าต้องทำโทษเจ้า..”

ระหว่างที่นางดุว่าหลิงหยุนด้วยความโมโหอยู่นั้น หน้าอกของนางก็กระเพื่อมขึ้นกระเพื่อมลงต่อหน้าหลิงหยุน เขาจึงได้แต่สวดมนต์ภาวนาอยู่ในใจ

หลังจากที่ฉินตงเฉี่วยปล่อยมือ และหยุดทำโทษหลิงหยุนแล้ว นางก็ถามขึ้นว่า “คืนนี้เจ้าค้างที่นี่ หรือว่า..”

หลิงหยุนเกาหัวพร้อมกับตอบไปว่า “น้าหญิง.. คืนนี้ข้าคงต้องกลับไปที่อพาร์ทเมนท์ เพราะกลางวันไม่สะดวกใช้วิชาตัวเบา แล้วพรุ่งนี้เย็นข้าจะพาหลิงยู่มาพบท่าน..”

ฉินตงเฉี่วยได้ยินว่าหลิงหยุนจะกลับเข้าตัวเมือง ภายในใจของนางเกิดความรู้สึกลังเลแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป และใบหน้าที่สวยงามก็เปลี่ยนเป็นสลดเล็กน้อย

นี่เป็นความรู้สึกที่สับสนและอธิบายไม่ถูก และฉินตงเฉี่วยเองก็ไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน ในใจของเธอเกิดความกลัวที่ไม่สามารถอธิบายได้..

หลิงหยุนรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของฉินตงเฉี่วยได้ดี เพราะเขาเองก็ไม่อยากจะกลับไปเช่นกัน แต่แล้วเขาก็พูดขึ้นมาว่า..

“น้าหญิง.. ท่านใส่ชุดนี้ของแม่แล้วสวยมากเลยทีเดียว แต่..”

ฉินตงเฉี่วยได้ฟังก็อดคิดไม่ได้ว่าหลิงหยุนคงคิดอะไรไม่ดีอีกแน่ แต่ก็ถามออกไปด้วยใจที่สั่น “แต่อะไร?!”

หลิงหยุนยิ้มอย่างมีเลศนัยพร้อมกับชี้ไปตรงก้นกลมกลึงที่แทบจะพุ่งออกมาชุดกระโปรงรัดรูปนั้น

“ดูเหมือนกระโปรงเดรสนี่จะปิดก้นกลมงอนของท่านได้ไม่มิด..”

“เจ้าเด็กนี่!”

หลิงหยุนหัวเราะจนตัวงอ.. ฉินตงเฉี่วยได้ฟังก็ทั้งโกรธและทั้งอาย แต่ยังไม่ทันที่นางจะได้จัดการอะไรกับหลิงหยุน ร่างของเขาไปยืนอยู่บนกิ่งไม้นอกบ้านเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับขยิบตาให้ฉินตงเฉี่วยและร้องบอกว่า

“น้าหญิง.. ข้าไปก่อนนะ แล้วพบกับพรุ่งนี้!”

“พรุ่งนี้รีบพาหลิงยู่กลับมาหาข้าล่ะ แล้วก็อย่าโดดเรียนด้วย!”

“นี่.. อยู่ข้างนอก ก็อย่าให้ใครมารังแกเจ้าได้ล่ะ!”

หลิงหยุนได้ยินคำพูดของฉินตงเฉี่วยอย่างชัดเจน และดูเหมือนว่าการอยู่ภายใต้ความดูแลของน้าหญิง เขาคงจะไม่สามารถโดดเรียนได้อีกแล้ว

หลิงหยุนแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ฉินตงเฉี่วยยังจะห่วงว่าเขาจะถูกรังแกอีก นางควรจะห่วงว่าเขาจะไปรังแกคนอื่นจะดีกว่า!

ฉินตงเฉี่วยโกรธจนหน้าแดงและตัวแดงไปหมด หน้าอกของนางกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรงจากการหายใจเร็ว แต่ภายในใจลึกๆกลับรู้สึกมีความสุข นางจ้องมองไปยังทิศทางที่หลิงหยุนหายลับตาไป นานครู่ใหญ่จึงพึมพำกับตัวเองขึ้นมาว่า

“นี่ข้าจะอบรมเด็กดื้ออย่างเจ้าได้หรือไม่นะ? แล้วคืนนี้ข้าเป็นอะไรไป?”

………..

หลิงหยุนออกจากบ้านเลขที่-9 ไป ในใจของเขารู้สึกตื่นเต้นอย่างไม่อาจอธิบายได้ มันเป็นความรู้สึกคล้ายกับคนที่ดื่มไวน์แล้วหยุดไม่ได้ ต้องดื่มซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาเกิดความรู้สึกอยากจะรีบกลับไปหาน้าหญิงของเขาไวๆ

แน่นอนว่าหลิงหยุนชื่นชอบความรู้สึกเช่นนี้มาก เพราะนอกจากแม่ของเขาเองแล้ว ยังไม่เคยมีผู้หญิงคนใหนที่จะสามารถเจ้ากี้เจ้าการกับเขาได้อีก แต่ฉินตงเฉี่วยที่มีทั้งฝีมือและอายุที่เหนือกว่าเขา กลับสามารถจัดการเขาได้อยู่หมัด!

โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคลิกของนาง ที่ทำให้หลิงหยุนไม่กล้าขัดขืน แต่ก็ทำให้เขามีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ทั้งที่เขาควรจะต้องโกรธ แต่กลับกลายเป็นว่าเขารู้สึกชื่นชอบและภูมิใจแทน มันเป็นความรู้สึกที่ประหลาดมากจริงๆ!

ไม่เพียงเท่านั้น ก่อนที่จะออกมานั้น เขายังใช้สายตาโลมเลียรูปร่างที่งดงามของน้าหญิงอย่างไม่รู้ตัว!

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ หลิงหยุนก็อดนึกถึงภาพที่พวกเขาทั้งคู่ริมฝีปากแนบชิดอยู่กลางทะเลไม่ได้ และนั่นยิ่งทำให้เลือดในกายของหลิงหยุนพลุ่งพล่านได้มากกว่าตอนที่เขาวิ่งเสียอีก เขาไม่รู้ว่าจะทำเช่นไร จึงได้แต่ร้องตะโกนเสียงดังออกไป..!

หลังจากที่ได้ร้องตะโกนระบายความอึดอัดออกไปแล้ว หลิงหยุนก็เริ่มไม่รู้สึกอะไรแล้ว และไม่กล้าที่จะรู้สึกอะไรอีก แต่เพียงไม่นานก็กลับไปคิดอีก ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกดี.. ช่างเป็นความรู้สึกที่ประลาดนัก!

“โชคร้ายจริงๆ.. ต่อให้ข้ากับนางไม่ได้เกี่ยวพันกันทางสายเลือดแม้แต่น้อย แต่นางก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นน้าหญิงของข้า.. เฮ้อ..!”

หลิงหยุนครุ่นคิดเรื่องนี้ไปตลอดทางที่กลับเข้าเมือง เขาไม่ได้ไปที่ใหนต่อ แต่ตรงกลับไปที่อพาร์ทเมนท์ทันที

ช่วงเวลาที่อยู่กับฉินตงเฉี่วยนั้น เวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อหลิงหยุนกลับมาถึงที่อพาร์ทเมนท์ ก็เป็นเวลาตีห้าพอดี..

หลิงหยุนนอนไม่หลับ และภายใต้จิตใจที่สับสนนี้ เขาก็ไม่อาจฝึกฝนได้เช่นกัน หลิงหยุนตรงไปนั่งบนโซฟาในห้องนั่งเล่น จากนั้นจึงหันไปมองที่ห้องนอนของเฉิงเม่ยเฟิง และเสี่ยวเม่ยเม่ย ความรู้สึกสับสัน และอารมณ์มากมายก็พลุ่งพล่านขึ้นมาในใจ

“มันไม่ยุติธรรมกับพวกเจ้าเลย..”

หลิงหยุนนั่งเงียบอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก และเริ่มนึกถึงรอยยิ้มของเสี่ยวเม่ยเม่ยและเฉิงเม่ยเฟิง นึกถึงท่าทางที่มีเสน่ห์ของเสี่วยเม่ยเม่ย นึกถึงหน้าตาที่สวยงามและหยิ่งจองหองของเฉิงเม่ยเฟิง

ผ่านไปครู่ใหญ่ อารมณ์ที่ปั่นป่วนของหลิงหยุนก็ค่อยๆสงบลง และถูกแทนที่ด้วยแววตาเยือกเย็น

“ต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินหา และไม่ว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ ข้าก็จะต้องหาพวกเจ้าทั้งสองคนให้พบจงได้!”

หลังจากที่หลิงหยุนสงบลงแล้ว ดวงตาของเขาก็กลับคืนสู่ความสงบอย่างที่เคยเป็นอีกครั้ง มุมปากของเขาปรากฏรอยยิ้มที่ดูเยือกเย็นและลึกลับ

หลิงหยุนนั่งอยู่อย่างนั้นจนถึงหกโมงเช้า จากนั้นจึงเดินไปที่ระเบียง และเริ่มฝึกดารกะดายัน

หลิงหยุนคาดว่าเขาจะต้องใช้เวลาราวหนึ่งเดือนในการที่จะเข้าสู่ระดับสิบสามได้!

หลิงหยุนรู้ว่าหลังจากที่ออกมาจากหลุมยักษ์ เขาจะสามารถฝึกดารกะดายันในระดับย่อยได้ครั้งเดียวถึงสี่ระดับ เพราะเป็นผลพวงจากพลังจักรวาลซึ่งเกิดจากการหมุนแผนผังแปดทิศที่เขาได้รับนั่นเอง..!

ในช่วงเวลานั้น ไม่เพียงเขาได้รับพลังอมตะมหาศาลจากพู่กันและสมุดจักรพรรดิ แต่ทั้งดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ยังขึ้นอยู่ตรงกลางศรีษะของเขา อีกทั้งรอบตัวยังมีดวงดาวนับล้านๆดวงโคจรอยู่รอบๆ เรียกได้ว่าตัวของเขาได้กลายเป็นศูนย์กลางของจักรวาล!

แต่ตอนนี้ ปรากฏการณ์เช่นนั้นได้หายไปแล้ว จึงต้องอาศัยการฝึกฝนไปทีละขั้น และการฝึกฝนก็ต้องค่อยเป็นค่อยไป

แต่หลิงหยุนก็รู้ดีว่า.. ยิ่งช้า ก็จะยิ่งแข็งแกร่ง!

หลิงหยุนฝึกฝนอยู่ราวสี่สิบนาที เพื่อดูดซับพลังสุริยะ และแสงแรกในยามเช้าก็ได้สิ้นสุดลง..

โทรศัพท์มือถือของหลิงหยุนดังขึ้น

“พี่หยุน.. พี่อยู่ที่ใหน? ฉันจะขับรถไปรับ แล้วพาพี่ไปกินข้าวเช้าก่อน!” ถังเมิ่งเป็นคนโทรเข้ามา

เมื่อคืนนี้ หลังจากที่ถังเทียนห่าวถูกปล่อยตัว เขาก็รีบโทรกลับไปที่บ้านแจ้งข่าวกับถังเมิ่งและภรรายาเพื่อให้ทั้งคู่สบายใจ และเมื่อคืนนี้ถังเมิ่งก็นอนหลับสนิท เช้านี้จึงตื่นนอนแต่เช้า

หลิงหยุนตอบกลับไปยิ้มๆ “นี่ถังเมิ่ง.. เกิดอะไรขึ้นกับนาย ถึงได้ตื่นเช้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน่ ฉันอยู่ที่อพาร์ทเมนท์ นายมารับได้เลย!”

ทันทีที่วางสายจากถังเมิ่ง โทรศัพท์ของหลิงหยุนก็ดังขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้เสี่ยวเม่ยหนิงเป็นคนโทรเข้ามา “พี่หยุน.. พี่อยู่ที่ใหน?”

หลิงหยุนฟังเสียงของเสี่ยวเม่ยหนิงที่เต็มไปด้วยความห่วงใย และรู้ดีว่าเธอกลัวว่าเขาจะหายตัวไปอีก เขาจึงตอบกลับไปพร้อมกับหัวเราะ “ผมอยู่ที่อพาร์ทเมนท์..”

เสี่ยวเม่ยหนิงได้ฟังจึงสั่งเขาว่า “ถ้างั้นพี่ก็อย่าเพิ่งไปใหนล่ะ ฉันกับพี่หลิงยู่จะไปหาพี่ที่นั่น!”

ตอนนี้เหตุการณ์ทุกอย่างกลับคืนสู่ความปกติแล้ว ปัญหาและวิกฤติต่างๆก็ได้ถูกกำจัดและแก้ไขเรียบร้อยแล้ว เขาจึงเห็นด้วยอย่างมากที่หลิงยู่จะมาพร้อมกับหนิงน้อย

จากนั้นหลิงหยุนจึงถามขึ้นว่า “หนิงน้อย แล้วพี่เหยาลู่ล่ะ เธอเป็นไงบ้าง!”

เสี่ยวเม่ยหนิงกัดริมฝีปากก่อนจะตอบไปว่า “พี่เหยาลู่กลับไปที่คลินิกตั้งแต่เช้าแล้ว ใครห้ามก็ไม่ฟัง..”

หลิงหยุนรู้ดีว่าเหยาลู่ทุ่มเทให้กับคลินิกมากเพียงใด เขาจึงได้แต่ถอนใจ “ไม่เป็นไร ปล่อยเธอไป พี่จะคอยพวกเธออยู่ที่นี่!”


บทที่ 410: โดดเรียนอยู่กับหนิงหลิงยู่!

“พี่หยุน.. เมื่อคืนพี่ฆ่าคนไปทั้งหมดกี่คน?”

ตอนที่ถังเม่งโทรมานั้น เขาอยู่ที่หน้าโรงเรียนมัธยมจิงฉูแล้ว และด้วยความเร็วในการขับรถของเขา เพียงแค่สามนาทีถังเมิ่งก็มาถึงอพาร์ทเมนท์ของหลิงหยุน

ทันทีที่ถังเมิ่งมาถึง เขาก็ตรงเข้าไปถามหลิงหยุนทันทีว่าเมื่อคืนนี้หลิงหยุนได้สังหารคนไปทั้งหมดกี่คน สีหน้าของถังเมิ่งเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น และต้องการมีส่วนร่วม

หลิงหยุนกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า ครั้งนี้เขาเลือกใส่ชุดที่สาวสวยทั้งสองคนอย่างเฉิงเม่ยเฟิง และเสี่ยวเม่ยเม่ยเป็นผู้ซื้อให้

หลิงหยุนสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว และกางเกงยีนส์สีฟ้าอ่อน ดูสบายๆเหมาะกับกาลเทศะ และดูเป็นผู้ชายอ่อนโยน

แต่คำพูดที่ออกจากปากของเขานั้นกลับไม่ได้อ่อนโยนหมือนกับภาพลักษณ์เลยแม้แต่น้อย หลิงหยุนมองหน้าถังเมิ่งพร้อมกับตอบไปว่า

“ก็หลายสิบคน.. ทำไม? มีอะไรหรือเปล่า?”

“ห๊ะ?! มากขนาดนั้นเลยเหรอ?!”

ถังเมิ่งได้ฟังก็ถึงกับช็อค พร้อมกับอดคิดไม่ได้ว่าลูกพี่ของเขาน่าจะคุยโวเรื่องจำนวนเสียมากกว่า

หลิงหยุนเดินไปขึ้นรถพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย และไม่ต้องการเสียเวลาอธิบายอะไรกับถังเมิ่งมากนัก เมื่อเข้าไปนั่งในรถฮัมเมอร์แล้ว หลิงหยุนก็ถามขึ้นว่า

“พรุ่งนี้นายจะเข้าเรียนหรือเปล่า?”

ถังเมิ่งนิ่งอึ้งไปพร้อมกับเกาศรีษะ “พี่จะให้ฉันเข้าไปทำอะไรหรือเปล่า?”

หลิงหยุนรู้ดีว่าเจ้าเด็กนี่คงจะไม่เข้าเรียนอีกตามเคย เขาจึงสั่งถังเมิ่งว่า “ถ้านายไม่เข้าเรียน นายก็ไปบริษัท ชิงหยุน โปรดักชั่นกับฉัน ฉันต้องไปจัดการกับใครบางคนที่นั่น!”

ถังเมิ่งฟังด้วยความตื่นเต้น เขายิ้มให้หลิงหยุนพร้อมกับตอบเสียงดัง “ได้เลย.. ฉันพร้อมเสมอ!”

จากนั้นหลิงหยุนก็ถามต่อว่า “แล้วลุงหลี่กับพ่อของนายเป็นยังไงบ้าง?”

ถังเมิ่งหัวเราะเสียงดังแล้วจึงตอบกลับไป “พี่หยุน.. พี่ถามเรื่องนี้ขึ้นมาก็ดี! รับรองว่าหลัวจ้งต้องถูกจัดการเหมือนที่พวกเราโดนก่อนหน้านี้แน่ ถ้าพ่อกับลุงหลี่ไม่รู้จักคว้าโอกาสทองนี้ไว้ ก็อย่าทำงานต่อเลย! รับรองว่าอีกสามวันรู้ผลแน่!”

“ตอนนี้แวดวงราชการสั่นสะเทือนไปหมด!” ถังเมิ่งเล่าอย่างมีความสุข พร้อมกับหยิบบุหรี่ออกมาจุด และดูดเข้าไปเต็มปอด

หลิงหยุนเองก็อดหัวเราะไม่ได้ จากนั้นจึงพูดกับถังเมิ่งต่อว่า “ในเมื่อแวดวงราชการกำลังจะเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง พวกเราก็น่าจะไปแก๊งมังกรเขียวเยี่ยมเยียนลุงหลงสักครั้ง จะได้ไปนำตัวเจ้าสองคนนั่นกลับมาด้วย มีหลายเรื่องที่รอให้ฉันจัดการอยู่!”

เถียนป๋อเตาและกู่เหลียนซันยังคงอยู่ในมือของแก๊งมังกรเขียว เพราะหลิงหยุนขอให้แก๊งมังกรเขียวช่วยคุมตัวพวกเขาไว้ชั่วคราว

“ถังเมิ่ง.. ระหว่างที่ฉันกับแม่หายตัวไป ใครเป็นคนออกหน้าไปพบลุงหลง และขอให้เขาแอบมาช่วยพวกเราลับๆ?!”

หลิงหยุนยังคงไม่สามารถหาคำตอบในเรื่องนี้ได้ จึงได้แต่ลองถามถังเมิ่ง

ถังเมิ่งทำหน้าเลิ่กลั่กแล้วตอบกลับมาทันที “พี่หยุน.. พี่ถามฉัน แล้วฉันจะไปถามใครล่ะ? เรื่องนี้ฉันว่าไว้พี่พบกับหัวหน้าแก๊งมังกรเขียว ก็ลองถามเขาดูเองไม่ดีกว่าเหรอ? แต่ว่า..”

หลิงหยุนร้องถามทันที “แต่อะไร..?”

ถังเมิ่งทำหน้าล้อเลียนใส่หลิงหยุนพร้อมกับพูดยิ้มๆ “ฉันได้ยินหลงหวู่พูดถึงพี่ด้วย.. เธอบอกว่าหัวหน้าแก๊งมังกรเขียว จะยกเธอให้พี่เป็นของขวัญ.. ฮ่า ฮ่า..”

“นายไปลงนรกเลย!” หลิงหยุนยกมือขึ้นต่อยเข้าที่ไหล่ของถังเมิ่ง

ถังเมิ่งร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับโวยวาย “ทำร้ายร่างกายฉันอีกแล้ว? นี่ถ้าฉันบาดเจ็บสาหัสขึ้นมาจะว่ายังไง? ฉันใช้มันเป็นหลักฐานได้เลยนะ”

หลิงหยุนทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้พร้อมกับถามขึ้นว่า “นายจะใช้เป็นหลักฐานอะไร?!”

แล้วจู่ๆถังเมิ่งก็ทำเสียงให้ดูลึกลับ “พี่หยุน.. พี่ยังจำได้ไม๊ตอนที่พี่บอกกับทุกคนว่า ไข่มุกราตรีที่ถูกทุบทิ้งไปพร้อมกับบ้านนั้น พี่จะเก็บไว้ให้ว่าที่ภรรยาในอนาคต พี่รู้ไม๊ว่าหลงหวู่พูดอะไรออกมา? เธอบอกว่าไข่มุกราตรีนั่นเป็นของเธอ!”

ใช่แล้ว.. ประโยคนี้หลิงหยุนก็จำได้แม่นยำ! ทันทีที่หลงหวู่รู้ว่าไข่มุกราตรีสิบกว่าเม็ดถูกทุบทิ้งไปแล้ว เธอก็ตรงเข้าเตะเถียนป๋อเตาอย่างโมโห ตอนนั้นเขายังได้ยินกับหู.. เธอด่าเถียนป๋อเตาว่าเป็นคนทำไข่มุกราตรีของเธอเสียหาย ตอนนั้นแม้แต่เขาเองก็แปลกใจ

หลิงหยุนถึงกับเงียบไป ถังเมิ่งเห็นอาการของหลิงหยุนก็ได้แต่หัวเราะ “ลุงหลี่กับพ่อของฉันไม่ค่อยลงรอยกับแก๊งมังกรเขียวมานานหลายปี คิดไม่ถึงจริงๆว่า พวกเขาจะร่วมมือกันกำจัดเสียเจิ้นติงกับหลัวจ้ง ตอนนี้ไม่เท่ากับว่าพวกเรากินรวบทั้งกระดานแล้วเหรอ ต่อไปฉันคงจะเดินในเมืองจิงฉูได้โดยไม่ต้องกลัวอะไรแล้วสินะ!”

หลิงหยุนได้ฟังถังเมิ่งโม้แล้วจึงได้แต่บอกเขาไปว่า “ฉันว่าถ้านายว่างมาก ก็เอาเวลาไปคิดหาวิธีรีดเงินจากบริษัท ชิงหยุน โปรดักชั่นจะดีกว่า!”

ถังเมิ่งได้ยินก็ถึงกับถามออกมาอย่างไม่เข้าใจ “พี่หยุน.. พวกเราก็ได้เงินจากบริษัทชิงหยุนมาแล้วนี่ ยังต้องไปเอาอะไรอีก?”

หลิงหยุนพยักหน้าจริงจัง “ก็ใช่.. แต่นั่นมันเป็นเพียงแค่การเริ่มต้น! นายดูอย่างร้านเสื้อผ้าของคนเซียงฉีสิ ตอนนี้ร้านก็ตกเป็นของพวกเราแล้ว ต่อไปเราก็จะเปิดทั้งร้านขายเสื้อผ้า แล้วก็เปิดคลินิก ต่อไปก็ค่อยๆขยายกิจการ พวกเราจะร่ำรวยแล้วก็ยิ่งใหญ่ในอีกไม่ช้า..”

ถังเมิ่งได้ฟังก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที พร้อมกับถามขึ้นอย่างตกใจ “พี่หยุน.. นี่พี่อยากทำธุรกิจจริงๆน่ะเหรอ?”

หลิงหยุนยิ้มเล็กยิ้มน้อยพร้อมกับส่ายหน้า “ไม่ใช่ฉัน! แต่เป็นนาย! หลังจากที่ฉันหาเงินมาได้ ฉันก็จะเอาเงินให้นายไปลงทุนทำธุรกิจ แล้วถ้านายไม่สามารถทำกำไรได้แล้วล่ะก็ ระวังตัวไว้เลย.. ฉันต้องเตะก้นนายแน่!”

เมื่อพูดถึงเรื่องเงิน หลิงหยุนก็นึกถึงเรื่องหุ้นในบัญชีของเฉิงเม่ยเฟิงขึ้นมาได้ เขาบอกกับตัวเองว่า หากเขาต้องขาดทุนเพราะเรื่องหุ้น เขาจะคิดบัญชีนี้กับตระกูลซัน และสำนักจิ้งซินในวันข้างหน้า!

ถังเมิ่งยืดอกพร้อมกับพูดอย่างมั่นใจ “พี่หยุน.. พี่มั่นใจได้! ถ้าพี่ต้องการลงทุนทำธุรกิจ จะมีใครเก่งไปกว่าฉันอีกล่ะ!”

ระหว่างที่นั่งรอเสี่ยวเม่ยหนิงกับหนิงหลิงยู่อยู่นั้น หลิงหยุนก็ถามถังเมิ่งขึ้นมาว่า “เรื่องที่เสียเจิ้นเหยินทำร้ายนายบาดเจ็บสาหัส เรื่องนี้นายคิดจะแจ้งความไม๊?”

เมื่อถังเมิ่งได้ยินคำถาม คิ้วหนาของเขาก็ขมวดเข้าหากันพร้อมกับตอบไปว่า “เรื่องนี้ฉันว่าจะทำตามที่แม่บอก จัดการหักแขนหักขาเสียเจิ้นเหยินก็พอ แล้วฉันก็อยากจะจัดการกับมันด้วยตัวเอง!”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ สีหน้าของถังเมิ่งก็เปลี่ยนเป็นผิดหวัง “แต่พนันได้เลยว่าวันนี้ หรือไม่ก็อาจจะทั้งอาทิตย์ เสียเจิ้นเหยินกับกู่หยุนฟะไม่กล้ามาโรงเรียนแน่ ฉันว่าตอนนี้พวกมันคงไปหาที่หลบซ่อนอยู่!”

หลิงหยุนหัวเราะอย่างมีความสุข “แน่นอน.. ดูว่าพวกมันจะซ่อนตัวได้นานเท่าไหร่ เดี๋ยวก็ต้องโผล่หัวออกมาอยู่ดี!”

หลังจากที่พูดคุยกันจบไปหลายเรื่อง หลิงหยุนกับถังเมิ่งก็กลับมาพูดเรื่องการตกแต่งบ้านกลับคลีนิคต่อ แล้วหลิงหยุนก็บอกกับถังเมิ่งให้ทำกุญแจเพิ่ม เพราะหลายครั้งที่เขาไม่มีกุญแจเข้าบ้าน

ระหว่างที่คุยกันอยู่นั้น หลิงหยุนก็ได้ยินเสียงรถเฟอรารี่ดังขึ้น ไม่ช้ารถเฟอรารี่สีแดงก็มาหยุดอยู่หน้ารถฮัมเมอร์

“พี่ใหญ่!”

ทันทีที่รถจอด.. หนิงหลิงยู่ก็พุ่งออกมาจากรถทันที ส่วนหลิงหยุนนั้น เขาได้ออกมายืนอ้าแขนรอรับหนิงหลิงยู่เข้าสู่อ้อมกอดอยู่แล้ว!

หลิงหยุนสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตที่แผ่ออกมาจากร่างของหนิงหลิงยู่ เขายืนกอดเธอไว้ในอ้อมแขน ในใจทั้งรู้สึกสงสารและเสียใจแทนน้องสาวอย่างที่สุด!

ทันทีที่หนิงหลิงยู่โถมตัวเข้าสู่อ้อมอกของหลิงหยุนได้ เธอก็ปล่อยโฮออกมาทันที และไม่สามารถหยุดร้องไห้ได้ ความรู้สึกเป็นห่วง และความรู้สึกกังวลที่มีต่อหลิงหยุนตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมา ได้พร่างพรูออกมาเป็นคำพูดมากมาย หนิงหลิงยู่พูดไปร้องไห้ไป..

ตอนนี้ไหล่ของหลิงหยุนชุ่มไปด้วยน้ำตาของหนิงหลิงยู่ เขาลูบแผ่นหลังของเธออย่างอ่อนโยน พร้อมกับปลอบปะโลมด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน

“พี่กลับมาแล้ว.. ไม่มีอะไรต้องกังวลอีกแล้วนะ วันข้างหน้าจะไม่มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอน!”

หลิงหยุนไม่กล้าขอให้หนิงหลิงยู่หยุดร้องไห้ เพราะตลอดหลายวันมานี้ จิตใจของเธอเต็มไปด้วยความขมขื่นและทุกข์ระทม ร่างกายจึงเกิดความเครียดอย่างมาก หากปล่อยให้เธอได้ร้องไห้ออกมาเช่นนี้จะเป็นการดีกว่า อีกทั้งยังช่วยให้เธอรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้นด้วย

เสี่ยวเม่ยหนิงเดินออกมาจากรถ เธอยืนนิ่งมองหนิงหลิงยู่ที่กำลังร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของหลิงหยุน ในใจทั้งเศร้าและอิจฉา แต่ทำได้เพียงเก็บความรู้สึกเหล่านั้นไว้ในใจ

หนิงน้อยเป็นเด็กสาวที่เฉลียวฉลาด เธอรู้ดีว่าตราบใดที่มีหนิงหลิงยู่อยู่ ใครก็ยากที่จะแย่งอ้อมกอดของหลิงหยุนไปจากเธอได้ อีกทั้งตลอดหลายวันมานี้ตัวเธอเองกับหนิงหลิงยู่ก็ค่อนข้างสนิทสนมกัน ในช่วงที่หนิงหลิงยู่รับแรงกดดันจากปัญหามากมายนั้น เสี่ยวเม่ยหนิงยอมรับว่าหากเป็นเธอ เธอคงไม่อาจรับไหว!

แต่หนิงหลิงยู่กลับสามารถผ่านพ้นเหตุการณ์ต่างๆมาได้!

ตลอดหลายวันที่หลิงหยุนหายตัวไป หนิงหลิงยู่ไม่มีน้ำตาแม้แต่หยดเดียว อีกทั้งยังไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็นเลยแม้แต่น้อย เธอแบกรับทุกสิ่งไว้อย่างเงียบๆ ลงมือทำในสิ่งที่สมควรต้องทำระหว่างที่รอคอยการกลับมาของหลิงหยุน โดยไม่มีร่องรอยของความกังวลใจ หรือกระวนกระวายใจ

เสี่ยวเม่ยหนิงจึงอดที่จะชื่นชมเธอไม่ได้!

น่าแปลกที่ถังเมิ่งกลับไม่ลงไป แต่เลือกที่จะนั่งเงียบๆอยู่ในรถแทน เขาจุดบุหรี่ขึ้นสูบพร้อมกับนั่งมองหนิงหลิงยู่ที่เอาแต่ร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของหลิงหยุน และได้แต่ใช้ควันบุหรี่แสดงความรักความจริงใจของตนเองแทนคำพูด

ถังเมิ่งไม่ใช่คนโง่ เขาดูออกว่าหนิงหลิงยู่มีใจให้กับหลิงหยุน นอกเหนือจากฉินจิวยื่อ และเสี่ยวเม่ยหนิงแล้ว เขาน่าจะอยู่ลำดับที่สามในใจของเธอ

แต่จะว่าไปแล้ว ถังเมิ่งรู้เรื่องนี้ก่อนเสี่ยวเม่ยหนิงเสียอีก แต่เขาเฝ้าแต่คิดว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ และเขาก็ไม่เคยที่จะยอมรับมัน!

แต่หลังจากที่หลิงหยุนหายตัวไปนั้น ถังเมิ่งก็เข้าใจดีและเริ่มทำใจยอมรับความจริง!

ความรักที่เขามีให้กับหนิงหลิงยู่ ก็คือการได้เห็นเธอมีความสุขที่แท้จจริง และคนที่หนิงหลิงยู่แอบชอบอยู่เงียบๆ ก็คือคนที่เธอกำลังกอดแน่นอยู่ในตอนนี้ คนที่ให้อ้อมแขนที่อบอุ่นและแสนสบายกับเธอ

ราวกับกำลังดูหนังแฟนตาซีที่เกี่ยวกับเทพธิดา ถังเมิ่งอดคิดไม่ได้ว่า คงจะมีเพียงลูกพี่ของเขาเท่านั้นที่คู่ควรกับเทพธิดาอย่างหนิงหลิงยู่ ส่วนคนอื่นๆคงทำได้แค่ฝัน!

ถังเมิ่งมองเสี่ยวเม่ยหนิงที่ยืนนิ่ง เขาเริ่มเข้าใจความรู้สึกของหลี่จิ้งเฉินตอนที่ต้องตัดใจจากหนิงน้อย

“แพ้ให้กับคนอย่างลูกพี่ ไม่น่าจะเรียกว่าแพ้ได้หรอกมั๊ง..?!” ถังเมิ่งปลอบใจตัวเอง แม้ในใจของเขาจะรู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกมีดกรีด แต่กลับรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก เขาทำได้เพียงแค่เก็บหนิงหลิงยู่ไว้ภายในใจ!

“พี่ใหญ่! ต่อไปไม่ว่าพี่จะไปใหนอีก ต้องบอกให้ฉันรู้คนแรกนะรู้ไม๊?”

หนิงหลิงยู่ใช้เวลาสงบสติอยู่นานก่อนจะค่อยๆเงยหน้าขึ้น ใบหน้างดงามที่เปื้อนไปด้วยน้ำตานั้น เอาแต่จ้องมองหลิงหยุน

“ได้สิ..?!” หลิงหยุนตอบตกลงตั้งแต่อยู่ในใจแล้ว เขายิ้มพร้อมกับเอามือเช็ดน้ำตาให้กับหนิงหลิงยู่

“พี่ใหญ่ พรุ่งนี้พวกเราค่อยไปโรงเรียนนะ วันนี้พี่ต้องอยู่เป็นเพื่อนฉันทั้งวัน..”

ใบหน้าของหนิงหลิงยังคงเปียก แต่ดวงตาคู่สวยที่เต็มไปด้วยความน่าสงสารนั้นกลับมองหลิงหยุนอย่างดื้อดึง

“ได้สิ!” หลิงหยุนบีบจมูกเล็กๆของหนิงหลิงยู่ และรีบรับปากทันที!

ใหนๆเขาก็ขาดเรียนมาตั้งเป็นอาทิตย์แล้ว หยุดอีกสักวันจะเป็นไรไป พรุ่งนี้ค่อยไปเรียนก็น่าจะได้!

เพราะอยู่กับหลิงยู่เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด!


บทที่ 411: ไฉเจี๋วย!

“ไปหาข้าวเช้ากินกันดีกว่า!”

หลิงหยุน หนิงหลิงยู่ เสี่ยวเม่ยหนิง ถังเม่ง ทั้งสี่คนต่างก็แยกย้ายไปขึ้นรถของตัวเอง และขับออกจากอพาร์ทเมนท์

เมื่อขึ้นไปบนรถ หนิงหลิงยู่เพิ่งจะสังเกตุเห็นว่าเสื้อของหลิงหยุนตรงไหล่นั้นเปียกไปด้วยน้ำตาของเธอ เธอจึงรู้สึกเก้อเขินและกระอักกระอ่วนอย่างมาก

หลิงหยุนลูบไหล่ของหนิงหลิงยู่เบาๆพร้อมกับพูดปลอบใจ “ไม่เป็นไร.. วันนี้พี่ใหญ่จะพาเธอไปซื้อเสื้อผ้านะ!”

จะว่าไปแล้ว ตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมานั้น หลิงหยุนค่อนข้างยุ่งมาก และไม่มีเวลาได้อยู่กับหนิงหลิงยู่เลย เขาจึงค่อนข้างรู้สึกผิด และต้องการที่จะชดเชยให้กับเธอ

“หลิงยู่.. เธออยากรู้ใช่ไม๊ว่าวันๆพี่ใหญ่หายไปทำอะไรบ้าง? วันนี้พี่จะพาเธอไปกับพี่ทั้งวัน เธอจะได้รู้ว่าพี่ทำอะไรยังไงบ้าง?”

หนิงหลิงยู่ได้ฟังก็ตาเป็นประกายพร้อมกับพยักหน้าอย่างตื่นเต้น..

ระหว่างที่ทานอาหารเช้าอยู่นั้น หลิงหยุนก็ได้โทรหาตี้เสี่ยวอู๋สั่งให้เขาเขาขับรถแลนด์โรเวอร์มาที่นี่

หลังจากที่ทานอาหารเช้ากันเรียบร้อยแล้ว หลิงหยุนก็ยิ้มและพูดกับเสี่ยวเม่ยหนิงว่า

“หนิงน้อย.. วันนี้เป็นวันจันทร์ เธอควรจะกลับไปเรียนนะ”

เสี่ยวเม่ยหนิงที่กลัวอยู่แล้วว่าหลิงหยุนจะไล่เธอกลับไปที่โรงเรียน จึงรีบแย้งขึ้นมาทันที

“อะไรกัน?! พี่กับพี่หลิงยู่ แล้วก็ถังเมิ่งกับตี้เสี่ยวอู๋ยังโดดเรียนกันได้เลย แล้วทำไมถึงให้ฉันกลับไปเรียนอยู่คนเดียว? ฉันไม่ไปหรอก ฉันจะไปกับพวกพี่!”

หลิงหยุนขมวดคิ้วพร้อมกับอธิบายว่า “หนิงน้อย.. อาทิตย์ที่แล้วเธอก็ขาดเรียนไปตั้งสองสามวัน แล้วก็ไม่ได้ส่งการบ้านอีกตั้งหลายชิ้น มัธยมต้นกับมัธยมปลายไม่เหมือนกันนะ มัธยมปลายก็แค่ทบทวนบทเรียน แต่มัธยมต้นครูจะสอนเรื่องใหม่ๆ เอาล่ะ.. เชื่อฟังผม แล้วกลับไปเรียนซะ!”

หนิงหลิงยู่รู้ดีว่าเสี่ยวเม่ยหนิงไม่อยากไปโรงเรียน เธอจึงยิ้มและอธิบายว่า “หนิงน้อย ที่พี่ใหญ่พูดก็ถูกนะ! ถึงแม้เธอจะเป็นเด็กเฉลียวฉลาดอยู่แล้ว แต่การเรียนให้จบมัธยมก็เป็นเรื่องสำคัญ อีกอย่างถ้าเธอไม่ขยันเรียนตอนนี้ จะต้องไปเรียนหนักในช่วงปิดเทอมแทนนะ”

หนิงหลิงยู่เป็นนักเรียนระดับหัวกะทิของโรงเรียนมัธยมจิงฉู และสอบได้ที่หนึ่งมาตลอด เธอจึงพูดออกมาจากประสบการณ์ของตัวเธอเอง เสี่ยวเม่ยหนิงไม่มีทางเลือกจึงได้แต่เลิกต่อต้าน และพยักหน้าด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจนัก

“พี่หลิงหยุน.. พี่ต้องเปิดมือถือไว้ตลอดล่ะ ฉันคิดถึงพี่เมื่อไหร่จะได้โทรหาได้!”

หลิงหยุนพยักหน้าและให้สัญญาก่อนจะส่งเสี่ยวเม่ยหนิงกลับไป

“พวกเราไปหาเตาฉีกัน.. ตี้เสี่ยวอู๋ นายโทรบอกเตาหยงด้วยว่าพวกเรากำลังจะไปพบเขา!”

“พี่ใหญ่คะ.. เตาฉีเป็นใครกัน?” หนิงหลิงยู่ถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น

“เขาก็คือคนที่มีแผลเป็นบนใบหน้า แล้วก็เป็นคนที่พาลูกน้องไปถล่มคลีนิคของแม่ครั้งนั้นไงล่ะ!”

“คนนั้นเองเหรอ..”

หนิงหลิงยู่ยังจำได้ว่าตอนนั้นเตาฉีเอาแต่หัวเราะ และอันธพาลหลายคนก็รุมล้อมหลิงหยุนไว้

แต่หลิงหยุนกลับพูดด้วยท่าทางสบายๆ “หลิงยู่ ไม่ต้องตกใจไป! อะไรที่เธอเคยพบเคยเห็น อย่าได้เก็บมันไว้ในใจ แล้วคืนนี้พี่ใหญ่จะอธิบายเรื่องที่เธอยังไม่เข้าใจให้ฟัง!”

หนิงหลิงยู่เอนหัวลงซบไหล่ของหลิงหยุนพร้อมกับหัวเราะคิกคักก่อนจะตอบไปว่า “ค่ะพี่ใหญ่..”

เมื่อใดก็ตามที่มีพี่ใหญ่ของเธออยู่ด้วย หนิงหลิงยู่จะรู้สึกอบอุ่น และมีความสุขอย่างมากทุกครั้ง

และในช่วงเวลานั้น.. อะไรๆ ก็ไม่สำคัญอีกต่อไป!

…………

สี่สิบนาทีต่อมา.. รถของหลิงหยุนก็มาจอดอยู่หน้าบ้านของเตาฉีซึ่งตั้งอยู่บนถนนหลินเจียง

เตาฉีพร้อมด้วยลูกน้องทั้งสี่คน ได้ออกมายืนเตรียมรอต้อนรับหลิงหยุนอยู่ด้านนอกแล้ว และทันทีที่หลิงหยุนและหนิงหลิงยู่เดินลงมาจากรถแลนด์โรเวอร์ พวกเขาก็เดินเข้าไปหาด้วยท่าทางที่เคารพนบนอบพร้อมกับเอ่ยทักทาย

“นายน้อยหลิง!”

ลูกน้องทั้งสี่คนของเตาฉีได้เห็นกับตาตัวเองว่า หลิงหยุนเพียงคนเดียวแต่กลับสามารถทุบบ้านหลังใหญ่โตของเถียนป๋อเตาสองหลัง และสำนักงานของกู่เหลียงซันจนพังราบเป็นหน้ากองได้ อีกทั้งท่ามกลางตำรวจหลายร้อยนายที่เล็งปืนเข้าใส่เขานั้น ไม่เพียงหลิงหยุนจะมีท่าทีที่สงบนิ่งเยือกเย็น แต่ยังสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาสร้างความอับอายให้กับหัวหน้ารักษาความมั่นคงแทนได้ เช่นนี้แล้ว.. ยังจะไม่มีเหตุผลเพียงพอให้คนทั้งห้าออกมายืนรอต้อนรับหลิงหยุนด้วยตัวเองหรืออย่างไร?

หลังจากที่มังกรได้มารายงานเตาฉีว่าหลิงหยุนจะมาพบเขาด้วยตัวเองนั้น เขาก็ตื่นเต้นจนสั่นไปทั้งตัว และได้พาลูกน้องทั้งสี่ออกมายืนต้อนรับด้วยตัวเอง

ในความคิดของเตาฉีนั้น แม้แต่หลัวจ้งซึ่งเป็นถึงผู้อำนวยการของสำนักงานรักษาความมั่นคง ยังถูกหลิงหยุนสร้างความอัปยศให้ได้ถึงเพียงนั้น อีกทั้งหัวลูกสาวของหัวหน้าแก๊งมังกรเขียวยังออกหน้าจัดการเรื่องข้อกฏหมายให้กับหลิงหยุนด้วยตัวเอง เช่นนี้แล้วจะหมายความว่าอย่างไรได้?

ทุกอย่างแสดงให้เห็นอย่างแจ่มแจ้งแล้วว่า ใครกันแน่ที่เป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งเมืองจิงฉูตัวจริง!

หลิงหยุนบอกว่าจะมาหาเขาด้วยตัวเอง นี่เท่ากับว่าเป็นการให้หน้าเตาฉีอย่างมาก! เช่นนี้แล้วเขาจะไม่รู้สึกยินดีได้อย่างไร?!

และก่อนที่หลิงหยุนจะมาถึงนั้น เตาฉีและลูกน้องทั้งสี่คนก็ได้นั่งคุยกันว่าควรจะเรียกหลิงหยุนว่าอย่างไรดี!

เพราะหากจะเรียกชื่อหลิงหยุนเพียงอย่างเดียวก็คงจะไม่ดีและไม่เหมาะสมนัก แต่หากจะให้เรียกว่าพี่ใหญ่ก็ดูไม่เข้าท่า ทั้งห้าคนนั่งปรึกษากัน และสุดท้ายต่างก็ลงความเห็นว่าควรจะเรียกหลิงหยุนว่า ‘นายน้อยหลิง’

ทันทีที่ได้ยินเตาฉีและคนอื่นๆทักทายเขาว่า ‘นายน้อยหลิง’ ความรู้สึกแปลกใจวูบขึ้นมาในแววตาของเขาเล็กน้อย แต่หลิงหยุนก็เพียงแค่พยักหน้ายิ้มๆ

“เข้าไปคุยข้างในจะดีกว่า!”

เตาฉีตื่นเต้นจนไม่รู้ว่าจะวางไม้วางมือไว้ที่ใหน เขารีบเชื้อเชิญหลิงหยุนและคนอื่นๆเข้าไปในบ้านด้วยท่าทางที่เคารพนบนอบ และถึงกับรินน้ำชาให้หลิงหยุนด้วยตัวเอง จากนั้นก็โบกมือให้ลูกน้องทั้งสี่คนออกไปข้างนอกก่อน

หลิงหยุนยกมือห้ามไว้พร้อมกับสั่งว่า  “ไม่ต้อง.. ทุกคนถือว่าเป็นคนกันเองแล้ว ให้พวกเขาอยู่ที่นี่ได้!”

“คนกันเอง?! นี่หมายความว่า..”

เมื่อเตาฉีและลูกน้องทั้งสี่ได้ยิน ต่างคนต่างก็มองหน้ากันเลิ่กลั่ก สีหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความประหลาดใจ และงุนงง ดูเหมือนทุกคนกำลังอึ้งและเต็มไปด้วยความสงสัย

หลิงหยุนหัวเราะหึหึก่อนจะพูดต่อว่า “พวกเจ้าคงจะรู้จักตี้เสี่ยวอู๋กับถังเมิ่งแล้ว..”

จากนั้นก็ผายมือไปทางหนิงหลิงยู่ที่นั่งอยู่ข้างๆ พร้อมกับแนะนำว่า “ส่วนนี่คือน้องสาวของข้าเอง – หนิงหลิงยู่”

หนิงหลิงยู่สวยงามราวกับเจ้าหญิงในเทพนิยาย เธอดูสวยงามชวนฝันและชวนเคลิบเคลิ้ม เตาฉีได้แต่พยักหน้า แต่ก็ไม่กล้ามองหนิงหลิงยู่ ตอนนี้ทั้งเตาฉีและลูกน้องทั้งสี่ต่างก็ดูสงบเสงี่ยมราวกับกำลังอยู่ต่อหน้าหลวงจีนอายุมาก

หลังจากที่แนะนำหนิงหลิงยู่แล้ว หลิงหยุนก็ไม่อ้อมค้อมอะไรอีก และพูดเข้าประเด็นทันที

“ที่ข้ามาวันนี้ ก็ตั้งใจจะมาถามความสมัครใจของทุกคนว่า พวกเจ้าจะยินดีติดตามน้องชายของข้าทั้งสองคนหรือไม่?”

เตาฉีและลูกน้องทั้งสี่คนต่างก็ฟังด้วยความยินดี เตาฉีรับพยักหน้าและตอบกลับไปอย่างตื่นเต้นดีใจ

“ข้ายินดี..! เร็วเข้าพวกเจ้ายังจะยืนซื่อบื้ออะไรกันอยู่อีก ยังไม่รีบมาทักทายลูกพี่อีก!”

หลิงหยุนขมวดคิ้วพร้อมกับส่ายหน้า “ไม่ใช่ข้า.. จากนี้ไปตี้เสี่ยวอู๋จะเป็นลูกพี่ของพวกเจ้า ทุกคนต้องฟังคำสั่งของเขา ข้าไม่สนใจว่าจากนี้ไปพวกเจ้าจะหาเงินด้วยวิธีใหน แต่ต้องไม่ใช่การรังแกข่มเหงผู้คน!”

โอกาสดีๆแบบนี้ ถังเมิ่งรู้สึกว่าหลิงหยุนคงจะลืมเขาไป จึงรีบร้องเตือนหลิงหยุนว่า “พี่หยุน.. แล้วฉันล่ะ?”

หลิงหยุนกรอกตาก่อนจะเหลือบมองถังเมิ่ง “เมื่อเช้านายบอกเองไม่ใช่หรือไงว่าต้องการทำธุรกิจ..”

ตี้เสี่ยวอู๋เคยอยู่กับแก๊งมังกรเขียวมาก่อน เขาจึงรู้กฎเกณฑ์ของแก๊งต่างๆดี จึงเหมาะสมที่สุดที่จะเป็นหัวหน้าเตาฉี

ถังเมิ่งเป็นเด็กหนุ่มเจ้าสำราญ หลิงหยุนไม่ต้องการให้เขาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเส้นทางนี้มากนัก และวันนี้หลิงหยุนก็ได้จัดการแบ่งหน้าที่ให้ทั้งสองคนอย่างชัดเจนแล้ว!

คนหนึ่งอยู่ในเส้นทางดำ ส่วนอีกคนอยู่บนเส้นทางสีเขา เช่นนี้แล้วทุกอย่างก็จะราบรื่น!

หลังจากที่ได้รับชัยชนะในเมืองจิงฉูครั้งนี้ หลิงหยุนได้ตั้งใจแล้วว่า เขาจะต้องสร้างอำนาจอิทธิพลและเครือข่ายของตัวเองขึ้นมา

ในการจะสร้างอำนาจและอิทธิพลได้นั้น จำเป็นที่จะต้องมีลูกน้อง และเตาฉีเองก็มีลูกน้องหลากหลายอยู่ในมือราวสองร้อยคน หลิงหยุนดูแล้วเห็นว่าตี้เสี่ยวอู๋น่าจะเอาอยู่

“จากนี้ไปกลุ่มของพวกเราจะใช้ชื่อว่า – ไฉเจี๋วย”

หลังจากที่หลิงหยุนพูดจบ เขาก็กวักมือเรียกเตาฉีให้เข้ามาหา “เจ้ามานี่!”

เตาฉีรีบเดินเข้าไปยืนตรงหน้าหลิงหยุน หลิงหยุนจัดการคลายจุดที่เหลือให้กับเตาฉีอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงยิ้มให้เขาพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“เอาล่ะ.. ข้าจัดการคลายจุดทั้งหมดที่เหลือให้เจ้าแล้ว! ไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงวันที่ 8 มิถุนายนแล้ว!”

เตาฉีพยักหน้าอย่างตื่นเต้นพร้อมกับโค้งหัวทำความเคารพหลิงหยุนพร้อมกับพูดว่า “ขอบคุณท่านมาก.. นายน้อยหลิง!”

หลิงหยุนหัวเราะก่อนจะลุกขึ้นยืนและสั่งเตาฉีว่า “เจ้าเงยหน้าขึ้นซิ!”

เตาฉียืดตัวตรงพร้อมกับเงยหน้าขึ้นตามคำสั่ง หลิงหยุนจัดการวางยันต์บำบัดลงบนใบหน้าของเตาฉีพร้อมกับตะโกนสั่งยันต์ให้ทำงาน

ยันต์บำบัดระดับหนึ่งของหลิงหยุนชุดนี้ ดีกว่าชุดที่ปลุกเสกก่อนหน้านี้ เพราะให้ผลในการรักษาที่รวดเร็วกว่าหลายเท่า

และแล้วปาฏิหาริย์ก็ปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน ทั้งมังกร เสือ และคนอื่นๆต่างก็ถึงกับอึ้งไปเมื่อเห็นแผลเป็นบนใบหน้าของเตาฉีหายไปต่อหน้าต่อตา ใบหน้าของเตาฉีในตอนนี้ ไม่ได้น่ากลัวและสยดสยองเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว

“โอ้ว.. นี่มัน..”

“ห๊ะ.. ลูกพี่..”

ลูกน้องทั้งสี่คนของเตาฉีถึงกับตกใจ และตื่นเต้นเมื่อได้เห็นทุกอย่างด้วยตาตัวเอง!

“พี่ใหญ่..”

หนิงหลิงยู่เห็นทุกอย่างได้ชัดเจนที่สุด เพราะเธอนั่งอยู่บนโซฟาข้างหลิงหยุน และทันทีที่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า เธอถึงกับลุกขึ้นยืนด้วยความตกใจ!

“เกิดอะไรขึ้น..?!”

เตาหยงมองอากัปกิริยาที่ตกอกตกใจของทุกคน ด้วยสัญชาติญาณ.. เขาจึงรีบยกมือขึ้นลูบใบหน้าของตนเอง และก็ต้องอึ้งไปทันที!

เขาพบว่าแผลเป็นบนใบหน้าของตัวเองนั้นได้หายไปแล้ว!

หลังจากช็อคไปนาน เตาฉีถึงกับทรุดลงกับพื้น พร้อมกับโค้งหัวลงคำนับหลิงหยุนครั้งแล้วครั้งเล่า..

“นายน้อยหลิง.. ขอบคุณท่านมาก ขอบคุณท่านมาก! จากนี้ไปไม่ว่านายน้อยหลิงจะสั่งอะไร ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ ข้า-เตาฉีก็ยินดีทำตามคำสั่งทุกอย่าง!”

หลิงหยุนยอมรับการแสดงความเคารพของเตาฉี พร้อมกับพูดเสียงเรียบ “นี่เป็นสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับ หากข้าเดาไม่ผิด.. เจ้าคงลำบากใจมากที่ต้องตัดสินใจเมื่อวานนี้ แต่นับว่าเจ้าตัดสินใจได้ถูกต้อง!”

เตาฉีดีใจอย่างมาก และไม่รู้ว่าจะพูดอะไรได้อีก..

“เอาล่ะ.. ลุกขึ้นได้แล้ว มีเรื่องต้องไปสะสางนิดหน่อย!”

หลิงหยุนสั่งให้เตาฉีลุกขึ้นพร้อมกับหันไปลูบไหล่ของหนิงหลิงยู่เพื่อให้เธอนั่งลง เขายกน้ำชาขึ้นจิบก่อนจะพูดว่า

“บริษัทชิงหยุนโปรดักชั่นติดหนี้ข้าจำนวนหนึ่ง นี่เป็นเอกสารกู้ยืม.. วันนี้พวกเจ้าตามข้าไปทวงหนี้กับพวกมัน ถ้าพวกมันไม่จ่าย จัดาการพังบริษัทของพวกมันได้เลย!”

เมื่อได้ยินว่าลูกพี่คนใหม่ของเขาจะไปทวงหนี้ เตาฉีและลูกน้องทั้งสี่คนต่างก็ตื่นเต้น และกระตือรือร้นอย่างมาก

หลิงหยุนส่งเอาสารกู้ยืมให้กับตี้เสี่ยวอู๋พร้อมกับพูดยิ้มๆ “เอาล่ะ.. ตอนนี้พวกเราก็กลับเข้าเมืองไปที่บริษัทชิงหยุนกันได้แล้ว!”

วันที่ 14 เมษายน เป็นวันที่หลิงหยุนสร้างเครืองข่ายของตนเองขึ้นมาในเมืองจิงฉูชื่อว่า – ไฉเจี๋วย

เวลาเก้าโมงเช้า หลิงหยุนและหนิงหลิงยู่นั่งอยู่บนรถแลนด์โรเวอร์กับถังเมิ่งและตี้เสี่ยวอู๋ ส่วนเตาฉีและลูกน้องขับรถฮัมเมอร์ตามมา..


บทที่ 412: ไม่ยอมรับเอกสารกู้ยืมฉบับนี้!

หลิงหยึนมอบกลุ่มไฉเจี๋วยให้ตี้เสี่ยวอู๋เป็นผู้ดูแล ส่วนถังเมิ่งนั้นเมื่อเห็นตี้เสี่ยวอู๋ก็นึกอิจฉา แล้วก็อยากจะมีกลุ่มมีแก๊งของตัวเองบ้าง เขานั่งนึกภาพที่ตัวเองได้เป็น ‘ลูกพี่’ และมีลูกน้องติดตามด้วยความตื่นเต้น

“พี่หยุน.. ฉันจะเปิดบริษัทสร้างหนัง ทำธุรกิจเสื้อผ้า และเปิดคลินิก ฉันจะตั้งเป็นกลุ่มบริษัทดีไม๊..?”

หลิงหยุนหัวเราะหึหึ พร้อมกับตอบยิ้มๆ “คลินิกเป็นของฉัน นายยึดไปไม่ได้ ส่วนเรื่องที่นายจะไปสร้างกลุ่มบริษัทอะไรนั่น ก็แล้วแต่นาย ถ้านายสามารถขยายเครือข่ายได้ใหญ่โตพอ แล้วอยากจะทำก็ตามใจ”

เมื่อถังเมิ่งมองเห็นช่องทาง เขาก็รีบพูดออกมาอย่างตื่นเต้น “พี่หยุน.. ถ้างั้นพี่ช่วยตั้งชื่อให้ฉันหน่อยสิ.. ”

หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับตอบไปว่า “ชื่อว่ากลุ่มบริษัทเทียนตี้ คอร์ปอเรชั่นดีไม๊? มันมีความหมายครอบคลุมทั้งโลกและสวรรค์ ฟังแล้วยิ่งใหญ่ดี!”

ถังเมิ่งได้ฟังถึงกับยกมือถึงตบต้นขาพร้อมกับยิ้มอย่างพอใจ “ชื่อนี้ดีมากเลย.. ฟังดูยิ่งใหญ่ แล้วก็ใหญ่โตดี – เทียนตี้คอร์ปอเรชั่น!”

เมื่อนึกถึงเงินทองที่จะไหลมาเทมาจากการทำธุรกิจของกลุ่มบริษัทเทียนตี้แล้วนั้น ถังเมิ่งก็ถึงกับเลือดลมสูบฉีดและตื่นเต้นอย่างที่สุด เขาเหยียบคันเร่งรถแลนด์โรเวอร์จนพุ่งเร็วขึ้น!

“พี่ใหญ่คะ.. เมื่อครู่พี่ทำอะไรกับใบหน้าของเตาฉี? ทำไมจู่ๆแผลเป็นบนใบหน้าของเขาถึงได้หายไปได้ล่ะ? มันเหลือเชื่อแล้วก็มหัศจรรย์มากเลย!”

หนิงหลิงยู่กอดแขนหลิงหยุนพร้อมกับถามออกมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น..

หลิงหยุนมองผมยาวดำขลับที่สะบัดไปมาราวกับน้ำตกของหนิงหลิงยู่ เขาเรียกยันต์บำบัดออกมาจากแหวนพื้นที่พร้อมกับพูดขึ้นว่า

“นี่คือยันต์บำบัด บาดแผลต่างๆไม่ว่าจะเป็นบาดแผลจากของมีคม หรืออาการบาดเจ็บภายนอกที่สาหัส ยันต์นี่จะสามารถรักษาให้หายได้ในทันที!”

“โอ้โหพี่ใหญ่! ของวิเศษแบบนี้พี่ไปได้มาจากที่ใหน?!” หนิงหลิงยู่หยิบยันต์บำบัดขึ้นมาถือไว้ และรู้สึกว่าน้ำหนักของมันเบาราวกับไม่ได้ถืออะไร จึงได้แต่ถามขึ้นด้วยความสงสัย

หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ “พี่ใหญ่ของเธอเป็นคนปลุกเสกขึ้นเอง! ต่อไปในวันข้างหน้า เธอก็จะได้เห็นพี่ปลุกเสกด้วยตาตัวเอง!”

ดวงตากลมโตของหนิงหลิงยู่ฉายแววเฉลียวฉลาด เธอพยักหน้ารับรู้ แล้วก็ไม่ได้ถามอะไรต่ออีก

………..

เวลาเก้าโมงครึ่ง หลิงหยุนและทุกคนก็มาถึงหน้าอาคารใหญ่โตซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัท ชิงหยุน โปรดักชั่น

หลิงหยุนจูงมือหนิงหลิงยู่ลงจากรถพร้อมกับเอ่ยถามถังเมิ่ง “เอกสารกู้ยืมเงินจำนวนสิบเอ็ดล้านอยู่ที่นายใช่ไม๊? วันนี้ฉันพาหลิงยู่มาเปิดหูเปิดตา ฉันจะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่ง นายเข้าใจใช่ไม๊?”

ถังเมิ่งถือเอกสารกู้ยืมไว้ในมือพร้อมกับมองไปทางตี้เสี่ยวอู๋กับลูกน้องของเขาอีกห้าคน ทั้งหกคนดูเหมือนเครื่องยนต์ที่เริ่มจะสตาร์ทติด

“พี่หยุน.. ไว้ใจพวกเราเถอะ!”

ตี้เสี่ยวอู๋ร้องบบอกหลิงหยุนทันทีที่ลงมาจากรถ สีหน้าของเขาดูโกรธเกรี้ยวมาก เพราะที่เขาถูกหลัวจ้งจับตัวไปขังไว้ที่สำนักงานนั้น ข้อมูลทั้งหมดล้วนมาจากหวงเฟยหยางที่เป็นผู้จัดการทั่วไปของบริษัทชิงหยุนโปรดักชั่นนี้

ตี้เสี่ยวอู๋จึงดูขุ่นเคืองมากกว่าถังเมิ่ง หลังจากที่เดินมาบอกหลิงหยุนแล้ว ตี้เสี่ยวอู๋ก็เดินตรงไปหาเตาฉีและคนอื่นๆ จากนั้นจึงโบกมือเรียกให้ทุกคนตามเขาขึ้นไปบนตึก

“ตามข้ามา!”

ถังเมิ่งเห็นเช่นนั้น ก็รีบวิ่งตามเข้าไปทันทีพร้อมกับร้องตะโกนว่า “นี่ตี้เสี่ยวอู๋.. ต่อให้นายโมโหแค่ใหน ก็อย่าทำลายบริษัทของฉันนะ!”

หนิงหลิงยู่เห็นท่าทางของถังเมิ่งก็ได้แต่หัวเราะคิกคคัก พร้อมกับรอยยิ้มที่สดใสราวกับดอกไม้บาน

หลิงหยุนจับไหล่ที่บอบบางของหนิงหลิงยู่เบาๆ และพาเดินไปข้างหน้าช้าๆ

“หลิงยู่ เมื่อหลายวันก่อนพวกเราสามคนก็มาที่บริษัทชิงหยุนโปรดักชั่นครั้งหนึ่งแล้ว บริษัทอยู่ชั้นสิบเก้า พวกเราขึ้นไปดูกันเถอะ..”

หลิงหยุนเล่าให้หนิงหลิงยู่ฟังอย่างละเอียด ว่าเมื่อหลายวันก่อนพวกเขาทั้งสามคนมาที่นี่ทำอะไรไปบ้าง? และผลเป็นอย่างไรบ้าง?

ทั้งเก้าคนกดลิฟท์ขึ้นไปชั้นสิบเก้า ถังเมิ่งเหลือบมองหลิงหยุนก่อนจะเดินเข้าไปในบริษัท..

“พวกคุณมาทำอะไรกันครับ?!”

พนักงานรักษาความปลอดภัยยังเป็นคนเดิมทั้งคู่ แต่ทันทีที่เห็นหน้าถังเมิ่งกับตี้เสี่ยวอู๋เดินเข้ามา พวกเขาก็จำได้และร้องถามขึ้นมาทันที

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนเดิมยังอยู่ทั้งคู่ ทันทีที่ถามขึ้นทั้งคู่ก็จำถังเมิ่งกับตี้เสี่ยวอู๋ที่เดินตรงเข้ามาได้ทันที พวกเขาต่างก็ร้องอุทานออกมา

“นี่พวกคุณ.. พวกคุณมาอีกแล้วเหรอ?!”

ถังเมิ่งยิ้มและตอบไปว่า “ใช่สิ.. นี่ก็ครึ่งเดือนแล้ว ฉันให้เวลาบริษัทของพวกแกไปตั้งนานแล้ว เป็นหนี้ก็ต้องใช้คืนสิ.. และนี่ก็ถึงเวลาแล้ว!”

ตอนนี้หัวของถังเมิ่งกลมล้านเหมือนลูกชิ้น หน้าตาท่าทางของเขาจึงดูดุร้าย อีกทั้งด้านหลังของเขาก็เป็นตี้เสี่ยวอู๋และเตาฉี พร้อมด้วยลูกน้องตัวใหญ่อีกสี่คน

หนึ่งในพนักงานรักษาความปลอดภัยจึงเริ่มหวาดกลัว ส่วนอีกคนก็ได้แต่พึมพำว่า “นี่.. พวกคุณมาเก็บเงินงั้นเหรอ?”

ถังเมิ่งเอามือลูบหัวโล้นใสของตัวเอง ริมฝีปากแดฉีกยิ้มจนเห็นฟันขาวพร้อมกับชูเอกสารกู้เงินที่อยู่ในมือขึ้น

“พวกแกเห็นไม๊ว่านี่คืออะไร?”

“นายเลิกพูดไร้สาระได้แล้ว.. เร็วๆเข้า!”

ตี้เสี่ยวอู๋ที่ใจร้อนและรอที่จะจัดการกับหวงเฟยหยางอยู่นั้น เมื่อเห็นถังเมิ่งโยกโย้อยู่กับพนักงานรักษาความปลอดภัย จึงรู้สึกหงุดหงิดและอดที่จะขัดขึ้นมาไม่ได้

“นายอย่าปากดีนักเลย ไม่งั้นต่อไปถ้าบริษัทนี้ตกเป็นของฉัน ระวังตัวไว้ล่ะ ฉันจะไม่ให้นายเข้ามาที่นี่อีก!”

ถังเมิ่งหันไปพูดกับตี้เสี่ยวอู๋ ก่อนจะเดินส่ายอาดๆเข้าไป

ถังเมิ่งและตี้เสี่ยวอู๋เดินเข้าไปในบริษัท ทั้งสองคนมองหน้ากันพร้อมกับคิดในใจว่า ไม่เลวเลยทีเดียว วันนี้พนักงานอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา

“แย่แล้ว.. พวกมันกลับมาที่นี่อีกได้ยังไง?”

พนักงานหลายคนต่างก็ร้องถามกัน เพราะยังคงจดจำวีรกรรมของทั้งสามคนเมื่อหลายวันก่อนได้ โดยเฉพาะตี้เสี่ยวอู๋ที่ร่างใหญ่ราวกับตึก คนที่เคยอยู่ในเหตุการณ์ต่างก็พากันหวาดกลัว และรีบหาที่หลบซ่อน

ถังเมิ่งเดินเข้าไปถามพนักงานว่า “นี่.. ผู้จัดการทั่วไปอยู่ไม๊?”

พนักงานคนหนึ่งรีบส่ายหน้า “วันนี้ผู้จัการหวังไม่ได้เข้าบริษัทค่ะ.”

ความจริงหลิงหยุนก็เดาไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่าวันนี้หวงเฟยหยางต้องไม่เข้าบริษัท เพราะตอนนี้ข่าวคราวเรื่องที่หลิงหยุนไปอาละวาดเมื่อวานนี้ ก็ได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งเมืองจิงฉูแล้ว ในเมื่อคนทั้งเมืองรู้ มีหรือคนอย่างหวงเฟยหยางจะไม่รู้!

เมื่อวาน.. หลังจากที่หวงเฟยหยางได้ข่าวเรื่องที่หลิงหยุนไปจัดการกับหัวหน้าสำนักงานรักษาความมั่นคงคนใหม่จนได้รับความอับอาย เขาเองก็หวาดกลัวอย่างมากว่าหลิงหยุนจะกลับมาแก้แค้น จึงได้แต่หลบซ่อนตัวไม่ยอมออกมา

ตี้เสี่ยวอู๋ฟังอยู่ครู่หนึ่งจึงถามเสียงห้วนว่า “หวงเฟยหยางไม่ได้อยู่ที่นี่? แล้วตอนนี้ใครดูแลบริษัทแทน?”

“หลิวเจี้ยน.. รองผู้อำนวยการหลิวค่ะ.” พนักงานตอบเสียงสั่น

ทันทีที่ถังเมิ่งได้ยิน เขาก็ไม่รอช้า เดินตรงเข้าไปที่ห้องผู้จัดการทั่วไป และผลักประตูเปิดเข้าไปทันที

“แกชื่อหลิวเจี้ยนใช่ไม๊?” ถังเมิ่งถามขึ้นทันทีที่เห็นหน้าหลิวเจี้ยน

หลิวเจี้ยนเป็นชายวัยสามสิบห้าปี สวมแว่นตา ใส่เสื้อสูทผูกไทค์อย่างเรียบร้อย

“เอ่อ.. ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรหรือครับ?!”

หลิงเจี้ยนมองถังเมิ่งที่ถือวิสาสะเปิดประตูห้องเข้ามาด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจนัก แต่ยังคงลุกขึ้นยืนพูดจาอย่างสุภาพ

ทันทีที่เอ่ยถามออกไป ถังเมิ่งก็พุ่งตัวไปยืนอยู่ที่หน้าโต๊ะของหลิวเจี้ยนเรียบร้อยแล้ว ถังเมิ่งวางเอกสารกู้ยืมลงตรงหน้าหลิวเจี้ยน แล้วพูดกับเขาว่า

“ฉันไม่สนว่าแกจะเป็นใคร.. พวกฉันมาที่นี่เพื่อทวงเงินตามเอกสารกู้ยืมฉบับนี้! แกอ่านดูเองก็แล้วกัน!”

หลิงเจี้ยนหยิบเอกสารกู้ยืมที่ถังเมิ่งวางตรงหน้าขึ้นมาอ่านดู แต่แล้วก็เพียงแค่ยิ้ม และตอบถังเมิ่งไปว่า

“นึกว่าเรื่องอะไร? ถ้าเป็นเรื่องเอกสารกู้ยืมฉบับนี้ ผมเสียใจด้วย เพราะทางบริษัทของเราไม่ยอมรับหนังสือกู้ยืมนี่!”

หน้าของถังเมิ่งแดงก่ำขึ้นมาทันที เขาหันไปมองตี้เสี่ยวอู๋ด้วยความโมโหพร้อมกับบพูดขึ้นว่า

“คงต้องยกให้เป็นหน้าที่นายแล้วล่!”

ตี้เสี่ยวอู๋เดินเข้าไปหาหลิวเจี้ยน เขาฉีกยิ้มให้ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ผู้จัดการหลิว.. ผมแนะนำว่าอย่าให้พวกเราต้องใช้กำลัง ไม่เช่นนั้นคุณเองจะรับไม่ไหว!”

หลิวเจี้ยนมองตี้เสี่ยวอู๋ที่ทั้งตัวโตและแข็งแกร่ง แม้ในใจจะรู้สึกหวาดกลัว แต่เขาก็ต้องทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาอย่างสุดความสามารถ

“คุณคงจะเป็นตี้เสี่ยวอู๋สินะ? ตอนที่ผู้จัดการหวังโอนเรื่องนี้มาให้ผมรับผิดชอบ เขาได้เล่ารายละเอียดทั้งหมดให้ผมฟังหมดแล้ว ผมเสียใจด้วยที่จะต้องบอกพวกคุณอีกครั้งว่า ทางสำนักงานใหญ่ของเราที่ปักกิ่ง มีมติเป็นเอกฉันท์ว่า ไม่สามารถยอมอรับหนังสือกู้ยืมฉบับนี้ได้!”

ความจริงแล้ว.. ทางสำนักงานใหญ่ของบริษัทชิงหยุนโปรดักชั่นนั้น ไม่เพียงไม่ยอมรับหนังสือกู้ยืมฉบับนี้ แต่ยังได้แจ้งความดำเนินคดีกับหลิงหยุนและเพื่อนๆ ในเรื่องที่ร่วมกันขูดรีดทรัพย์จากบริษัทไปเมื่อครั้งที่แล้วด้วย และทางบริษัทจะใช้กฏหมายทวงถามเงินจำนวนนั้นคืนจากหลิงหยุนกับพวกอีกด้วย!

ถังเมิ่งฟังแล้วก็ได้แต่โกรธ ในใจคิดว่าตี้เสสี่ยวอู๋ทำไมถึงไม่รีบบจัดการ อย่าปล่อยให้เป็นปัญหามาถึงเขา?

ตี้เสี่ยวอู๋ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เริ่มไม่พอใจ “คุณหมายความว่ายังไงที่บอกว่าหนังสือกู้ยืมฉบับนี้ไม่ได้รับการยอมรับ?!”

พูดจบตี้เสี่ยวอู๋ก็กำหมัดแน่น พร้อมกับทุบลงบนโต๊ะเสียงดังปัง!

ในใจของหลิวเจี้ยนทั้งตกใจและหวาดกลัว แต่ก็ยังฝืนยิ้มและพูดต่อว่า “ผมแค่ทำตามหน้าที่เท่านั้น! หวงเฟยหยางไม่ใช่พนักงานของบริษัทชิงหยุนโปรดักชั่นแล้ว และตอนนี้ผมก็เป็นคนที่มาทำหน้าที่แทนเขา ถ้าคุณอยากจะฆ่าจะแกงผม.. ก็เชิญได้เลย!”

ถังเมิ่งยกมือขึ้นคว้าเอกสารกู้ยืมขึ้นมาจากบนโต๊ะ โบกไปมาต่อหน้าหลิวเจี้ยนพร้อมกับพูดเสียงห้วน

“ผู้จัดการหลิว.. แหกตาดูให้ดีซะก่อน! เอกสารกู้ยืมฉบับนี้ทำในนามของบริษัทชิงหยุนโปรดักชั่น ไม่ใช่เอกสารกู้ยืมส่วนตัวของหวงเฟยหยาง!”

หลิวเจี้ยนโบกมือ “ผมได้อ่านหมดาอย่างละเอียดแล้ว แต่ทางสำนักงานใหญ่ไม่ยอมรับหนังสือกู้ยืมฉบับนี้จริงๆ หากพวกคุณอยากได้เงิน ก็ไปดำเนินการฟ้องร้องเอาตามกฎหมายได้!”

ถังเมิ่งกำลังจะพูดต่อ แต่ตี้เสี่ยวอู๋ห้ามเขาไว้ “อย่าไปเสียเวลาพูดอะไรกับมันอีก.. จัดการถล่มบริษัทของมันเลยดีกว่า!”

ระหว่างที่ถังเมิ่งเดือดดาล และกำลังจะตอบตี้เสี่ยวอู๋ไปนั้น เขาก็ได้ยินเสียงของหลิงหยุนดังขึ้นมา

“ดูเหมือนว่าสำนักงานใหญ่จะอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ทั้งหมด เอาล่ะ.. ในเมื่อบริษัทของพวกมันก็ยังอยู่ที่นี่ ไม่ได้ย้ายหนีไปใหน พวกเราก็ลองเล่นกับพวกมันหน่อยจะเป็นไรไป!”

หลิงหยุนที่ยืนอยู่นอกห้องผู้จัดการกับหนิงหลิงยู่นั้น ได้ยินบทสนทนาภายในห้องได้อย่างชัดเจน เขารู้สึกว่าไม่มีประโยชน์หากยืนกรานจะถล่มที่นี่

 “พวกเรากลับกันก่อน แล้วนายก็บอกหลิวเจี้ยนด้วยว่าให้มันรอขึ้นศาลได้เลย!”

หลังจากสั่งการจบ หลิงหยุนก็เพียงแค่ยิ้มและกรอกตาสำรวจไปทั่วทั้งบริษัท จากนั้นจึงพาหนิงหลิงยู่เดินออกไปโดยไม่พูดอะไรอีก

ถังเมิ่งพยักหน้า แล้วจึงหันไปพูดกับหลิวเจี้ยนว่า “เอาล่ะ.. แกรอรับหมายศาลได้เลย!”

“กลับกันได้แล้ว!”

หลังจากที่ถังเมิ่งพูดจบ เขาก็ไม่สนใจหลิวจิ้ยนอีก! จากนั้นจึงหันไปลากมือตี้เสี่ยวอู๋ออกไปจากห้อง..


บทที่ 413: หญิงบริการ!

“เอาล่ะ.. กลับกันก่อนดีกว่า! คอยให้พวกมันเป็นฝ่ายดูบริษัทนี้ตกเป็นของฉันจะดีกว่า! อีกไม่นานหรอก!” ถังเมิ่งพูดออกมาอย่างโมโหพร้อมกับดึงร่างของตี้เสี่ยวอู๋ให้ออกมาจากบริษัทชิงหยุนโปรดักชั่น

ใบหน้าของตี้เสี่ยวอู๋ยังคงบูดบึ้งและผิดหวังยิ่งกว่าถังเมิ่ง ในใจของเขาเต็มไปด้วยความเดือดดาลที่ไม่พบหวงเฟยหยาง และไม่สามารถจับตัวมันได้

แต่หลิงหยุนกลับยิ้มและพูดขึ้นว่า “ฉันว่าพวกนายสองคนควรจะดีใจมากกว่าโมโหไม่ใช่เหรอ?! เพราะอย่างน้อยบริษัทชิงหยุนโปรดักชั่นก็ยังคงเปิดทำงานตามปกติ นี่นับว่าเป็นข่าวที่ดีที่สุดเลยก็ว่าได้!”

“พวกนายลองคิดดูว่า.. ถ้าพวกเรามาถึงแล้วพบว่าบริษัทได้ปิดกิจการไปแล้ว ไม่มีพนักงานแม้แต่คนเดียว ถึงตอนนั้นพวกนายจะไปทวงหนี้จากใครได้?”

“อีกอย่าง.. เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ก็โด่งดังไปทั่วทั้งจิงฉู ถ้าคนอย่างหวงเฟยหยางไม่รีบไปหาที่มุดหัว มันก็น่าจะเป็นคนที่โง่มากเลยทีเดียว!”

ทั้งถังเมิ่งและตี้เสี่ยวอู๋ต่างก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาทันทีหลังจากที่ได้ฟังคำพูดของหลิงหยุน ถังเมิ่งยกมือขึ้นลูบหัวโล้นของตัวเองพร้อมกับถามขึ้นอย่างกังวลใจ

“พี่หยุน.. แล้วจะทำยังไงต่อดี?!”

หลิงหยุนแตะบ่าถังเมิ่งเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “มีคำพูดว่า.. มังกรที่แข็งแกร่ง ย่อมไม่รังแกสัตว์เดียรัจฉานอย่างงู! ตอนนี้พวกเราก็ไม่ต่างจากมังกรที่ยิ่งใหญ่ จะมีประโยชน์อะไรที่จะใช้พละกำลังที่แข็งแกร่งเข้าทำลายบริษทเล็กๆอย่างชิงหยุนโปรดักชั่น!”

มีหรือที่หลิงหยุนจะไม่รู้ว่าบริษัทหลิงหยุนโปรดักชั่นนั้นถูกเปิดขึ้นมาเพื่อใช้ทำเรื่องชั่วช้าสามานย์ ภายนอกสร้างภาพว่าเป็นบริษัทที่ดี และทำทุกอย่างถูกต้องตามกฏหมาย หลิงหยุนไม่คิดที่จะปราณีพวกมันอยู่แล้ว ไม่ว่าใครจะขึ้นมาเป็นผู้จัดการทั่วไปก็ตาม!

และเป้าหมายของหลิงหยุนนั้นก็คือ การทำให้บริษัทชิงหยุนโปรดักชั่น กลับมาทำธุรกิจด้านภาพยนต์และโทรทัศน์โดยไม่มีเบื้องหลังโสมม และใช้บริษัทนี้สร้างผลกำไรให้กับตัวเขาเอง แทนที่จะทำลายมันทิ้งโดยเปล่าประโยชน์!

“อีกอย่าง.. คนพวกนั้นต่างก็เป็นแค่พนักงานกินเงินเดือน เราไม่ควรไปสร้างความลำบากใจให้กับพวกเขา มันไม่มีประโยชน์อะไร! เอาล่ะ.. กลับกันได้แล้ว!”

ทันทีที่ประตูลิฟท์เปิดออก หลิงหยุนและหนิงหลิงยู่ก็เดินเข้าไปข้างในทันที ส่วนถังเมิ่ง ตี้เสี่ยวอู๋และคนอื่นๆ ต่างก็รอลิฟท์ตัวถัดไป

เมื่อลิฟท์ลงมาถึงชั้นที่หนึ่ง ประตูลิฟท์ก็ค่อยๆเปิดออก ขณะที่หลิงหยุนกับหนิงหลิงยู่กำลังจะเดินออกนั้น หลิงหยุนก็เห็นผู้หญิงสองคนที่ยืนอยู่ด้านนอกกำลังจ้องมองเข้ามาในลิฟท์พร้อมกับยิ้มกริ่ม!

ผู้หญิงทั้งสองคนนั้นดูเหมือนจะอายุยังน้อย และหน้าตาก็สะสวยทีเดียว อีกทั้งยังมีแรงดึงดูดต่อเพศตรงข้ามค่อนข้างสูง เสื้อผ้าที่พวกเธอสวมใส่นั้นเรียกได้ว่าค่อนข้างโป๊ เผยให้เห็นหน้าอกขาวนวลใหญ่โต แต่งหน้าค่อนข้างหนา และใส่น้ำหอมจนฟุ้งไปหมด

เพียงแค่เห็นหลิงหยุนก็จำได้ว่า ทั้งคู่เป็นนักเต้นโพลแด๊นซ์ที่เซ็กซี่ร้อนแรงของสถานบันเทิงที่ชื่อ SOS ซึ่งหลิงหยุนกับเกาเฉินเฉินเคยไปเต้นรำด้วยกัน คนหนึ่งชื่อหลิวหยาน ส่วนอีกคนชื่อจ้าวหยิง..

หลิวหยานจะตัวเล็กกว่าและสูงราวหนึ่งร้อยหกสิบห้าเซ็นติเมตร สวมเสื้อคอวีที่ลึกจนเผยให้เห็นหน้าอกขนาด 36E ที่กำลังตั้งเด่นเป็นสง่า และสั่นไปมา ส่วนกระโปรงสั้นและรัดตึง ก็เผยให้ก้นที่กลมใหญ่กระเพื่อมขึ้นลง จนไม่รู้ว่าได้สวมกางเกงชั้นในหรือมไม่?

จ้าวหยิงที่สูงหนึ่งร้อยหกสิบเก้าเซนติเมตรนั้น สวมชุดเดรสแขนกุดสีดำ และคอเสื้อก็เป็นคอวีลึกที่เผยให้เห็นหน้าอกที่มีขนาดเล็กกว่าหน้าอกของหลิวหยาน แม้หน้าอกของจ้าวหยิงจะมีขนาดเพียง 34D แต่มีขาที่เรียวยาว และเอวที่คอดซึ่งดูเหมือนจะมีแรงดึงดูดมากกว่า!

ทั้งหลิวหยานและจ้าวหยิงต่างก็ได้ข่าวว่า บริษัทชิงหยุนโปรดักชั่นได้แต่งตั้งผู้จัดการทั่วไปคนใหม่ และวันนี้พวกเธอก็ถูกเรียกตัวให้มาพบหลิวเจี้ยน และทั้งคู่ก็กำลังคุยกันว่าจะจัดการเผด็จศึกหลิวเจี้ยนภายในห้องทำงาน

แต่เมื่อประตูลิฟท์เปิดออก ทันทีที่ทั้งสองคนก็เห็นหลิงหยุนอยู่ในลิฟท์ พวกเธอก็ได้แต่จ้องมองด้วยแววตาเป็นประกาย!

หญิงสาวทั้งสองคนไม่ได้สนใจมองหนิงหลิงยู่ที่ยืนข้างหลิงหยุนเลยแม้แต่น้อย ดวงตาของทั้งคู่ต่างก็จับจ้องอยู่ที่หลิงหยุนตลอดเวลา สายตาของพวกเธอไม่ต่างจากหมาป่าที่กำลังหิวโหย!

เพียงแค่เห็นการแต่งกายของหญิงสาวทั้งสอง หนิงหลิงยู่ก็รู้สึกไม่ชอบใจนัก และยิ่งได้เห็นสายตาหื่นกระหายที่จ้องมองหลิงหยุนอย่างเปิดเผย คิ้วคู่งามของหนิงหลิงยู่ก็ถึงกับขมวดเข้าหากัน แล้วรีบเกาะแขนหลิงหยุนไว้เพื่อจะพาเขาเดินออกจากลิฟท์

แต่กลับไม่คิดไม่ถึงว่า หลิวหยานและจ้าวหยิงจะเดินเข้ามายืนขวางประตูลิฟท์ไว้ และไม่ยอมให้คนทั้งคู่ออกมา

“นี่พ่อหนุ่มรูปหล่อ.. ที่แท้ก็เป็นเธอนี่เอง! พร้อมจะไปกับพวกเราไม๊?”

หลิวหยานจ้องมองใบหน้าที่หล่อเหลา และดวงตาที่มีเสน่ห์ของหลิงหยุน เธอค่อยๆเผยอริมฝีปากสีแดงออก ก่อนจะค่อยๆใช้ลิ้นลูบไร้ริมฝีปาก และบิดเอวด้วยท่วงท่ายั่วยวน!

ส่วนจ้าวหยิงนั้นรีบแขม่วท้องยืดอกพร้อมกับส่งยิ้มโปรยเสน่ห์ให้หลิงหยุน ก่อนจะพูดขึ้นว่า “สุดหล่อ! พบกันอีกแล้วนะ.. สนใจไปดื่มกาแฟกับฉันไม๊ ฉันเลี้ยงเธอเอง..”

ทั้งคู่ดูเหมือนจะชื่นชอบและต้องการหลิงหยุนมาก เมื่อได้พบกับหลิงหยุนอีกครั้งโดยบังเอิญเช่นนี้ มีหรือจะยอมปล่อยเขาไปง่ายๆ พวกเธอจึงได้แต่ยั่วยวนหลิงหยุนและเปิดเผยความต้องการกับเขา

คิ้วของหนิงหลิงยู่ขมวดเข้าหากันแน่นเมื่อได้เห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า เธอแทบอยากจะดึงหลิงหยุนออกไปจากการขัดขวางของสองสาวทันที แต่พวกเธอดูเหมือนจะไม่ยอมให้หลิงหยุนออกไปง่ายๆ

หลิงหยุนตบบ่าหนิงหลิงยู่เบาๆ จากนั้นก็หันไปมองสองสาวพร้อมกับยิ้มมุมปากเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของเขา และพูดขึ้นว่า

“อยากสิ.. แต่ตอนนี้ผมไม่ว่างจริงๆ จะให้ทำยังไง?”

ทันทีที่ทั้งคู่เห็นลักยิ้มที่แก้มซ้ายของหลิงหยุน พวกเธอก็ถึงกับแสดงอาการอยากได้ออกมาอย่างชัดเจน เรียกได้ว่าหากหนิงหลิงยู่ไม่อยู่ด้วย พวกเธอคงจะผลักหลิงหยุนเข้าไปในลิฟท์ และจัดการเขาอยู่ในนั้นอย่างแน่นอน!

หลิวหยานยิ้มยั่วยวนก่อนจะพูดต่อว่า “จะมีธุระอะไรมากมาย? สุดหล่อ.. ฉันเป็นคนชวนเธอไปดื่มกาแฟนะ เธอไม่ได้เป็นฝ่ายออกเงินสสักหน่อย อีกอย่าง.. เธอจะดื่มนานเท่าไหร่ก็ได้.. หรือจะกินอย่างอื่นด้วยก็ได้..”

คำพูดของหลิวหยานนั้นสองแง่สองง่าม และบอกเป็นนัยๆว่า ตราบใดที่หลิงหยุนต้องการ เธอก็พร้อมยินดีที่จะให้บริการอย่างเต็มที่

ส่วนจ้าวหยิงนั้นรุกเข้าปะชิดตัวหลิงหยุนทันที เธอยื่นมือเรียวยาวออกไปโอบเอวหลิงหยุนไว้แล้วพูดขึ้นว่า

“พ่อรูปหล่อ.. ตอนนี้ยังไม่ว่างก็ไม่เป็นไร ขอชื่อกับเบอร์โทรของเธอให้พวกเราได้ไม๊?”

หนิงหลิงยู่ไม่เคยเห็นผู้หญิงที่ใหนไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน เมื่อเห็นว่าสองสาวหน้าด้านสองคนกำลังยั่วยวนพี่ชายของเธออยู่ เธอจึงโมโหสุดขีดพร้อมกับร้องตะโกนไล่ทั้งคู่

“พวกคุณหลีกทางได้แล้ว ฉันกับพี่ชายจะออก!”

ในที่สุด หลิวหยานและจ้าวหยิงก็เหลือบไปมองหนิงหลิงยู่ และทั้งคู่ก็ถึงกับต้องตกใจในความสวยงามชวนฝันของหนิงหลิงยู่

“นี่น้องสาวของเธอเหรอ พวกเราคิดว่าเป็นแฟนของเธอซะอีก ถ้าอย่างนั้นก็ค่อยโล่งอกหน่อย! ถ้าอย่างนั้นพวกเราสองคนก็เป็นแฟนของเธอได้แล้วสิใช่ไม๊? เธอเลือกมาได้เลย พวกเราทั้งคู่พร้อมไปกับเธอได้ตอนนี้เลย!”

หนิงหลิงยู่ได้ยินก็ยิ่โมโห เธอไม่เคยเห็นใครพูดจาได้น่าเกลียดเท่าผู้หญิงสองคนนี้มาก่อน และตอนนี้ดูเหมือนหนิงหลิงยู่จะโกรธมากเสียด้วย

“ทำตัวเหมือนผู้หญิงอย่างว่า.. ไปให้พ้นเดี๋ยวนี้นะ!”

ขณะที่พูดหนิงหลิงยู่ก็ยกมือขึ้นเพื่อจะผลักจ้าวหยิงที่อยู่ตรงหน้าให้พ้นทางไป แต่หลิงหยุนรีบเอื้อมมือออกมาขวางไว้ เพราะไม่ต้องการให้หนิงหลิงยู่แตะต้องกายที่สกปรกของหญิงสาวทั้งสองคน จากนั้นจึงพูดกับสองสาวยิ้มๆ

“น้องสาวของผมโกรธมากแล้ว ขอทางให้ผมด้วย ผมยังมีธุระต้องไปทำอีกหลายอย่าง อย่าให้ต้องพูดซ้ำอีกครั้ง!”

พูดจบหลิงหยุนก็จูงหนิงหลิงยู่เดินออกจากลิฟท์

หลิวหยานกับจ้าวหยิงที่ยืนขวางประตูอยู่รีบกระโดดหลบ เพื่อหลีกหทางให้ทั้งคู่ทันที

พวกเธอเคยเห็นหลิงหยุนเตะคนของบริษัทชิงหยุนโปรดักชั่นจนกลายเป็นขันทีมาแล้ว เธอจึงรู้ดีว่าหลิงหยุนนั้นแข็งแรงแค่ใหน และไม่กล้าที่จะทำให้เขาขุ่นเคือง หรือแม้แต่รำคาญใจ

เมื่อเห็นหลิงหยุนเดินออกจากตึกที่หรูหราแห่งนี้ไปแล้ว หลิวหยานและจ้าวหยิงก็เข้าไปในลิฟท์ แล้วสองคนก็มองหน้ากันและระเบิดเสียงหัวเราะออกมา!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม