Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร 400-406

 บทที่ 400 : นักฆ่าระดับพระกาฬ!

หลิงหยุนถือกระบี่โลหิตแดนใต้ไว้ข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างกำตะปูยาวไว้เพื่อใช้โจมตียอดฝีมือขั้นต้นในระหว่างทางที่บุกเข้าไป

ชายทั้งสามคนเดินมุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่ทอดไปยังบ้านเลขที่-1 ที่อยู่ในหมู่บ้าน

ห่างจากชายทั้งสามคนไปราวหนึ่งกิโลเมตร หลิงหยุนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของคนมากมาย เขามองเข้าไปทางประตู และพบว่าเป็นบ้านของคนธรรมดา เขาจึงไม่สนใจ และเร่งฝีเท้าหายไปราวกับสายลม

“มีคนมา!”

ภายในห้องนั่งเล่นของบ้านหลังใหญ่โต สายตาของซันเทียนเปียวเปล่งประกายดุร้าย พร้อมกับหันไปมองหลวงจีนสิงฉีที่กำลังนั่งทำสมาธิอยู่ข้างๆเขา

“ซันเทียนเปียว.. ออกมารอรับความตายได้แล้ว!”

หลิงหยุนกระโดดเข้าไปในบริเวณบ้านด้วยฝีเท้าที่เบา ก่อนจะกวาดสายตาไปทางด้านขวามือของตนเอง และพบว่ามียอดฝีมือขั้นต้นยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูราวสามสี่คน เขาจึงซัดตะปูหลายดอกที่อยู่ในมือเข้าใส่

ตะปูมากกว่าสิบดอกสะท้อนกับแสงไฟสลัวเป็นประกายวิบวับ พุ่งใส่ร่างของของยอดฝีมือทั้งสี่คนอย่างรวดเร็ว จนพวกเขาไม่มีเวลาแม้แต่จะมีปฏิกิริยาตอบโต้ และล้มลงบนพื้นพร้อมกับกรีดร้องออกมาทันที!

ในเวลานั้น ซันเทียนเปียวเป็นคนแรกที่พุ่งออกมาจากบ้าน และทันทีที่สายตาของเขาปะทะเข้ากับร่างของหลิงหยุนนั้น ซันเทียนเปียวก็มีอาการตกตะลึงเล็กน้อย และนิ้วเท้าถึงกับเกร็งและจิกลงไปบนพื้น!

ส่วนหลวงจีนสิงฉี และนักพรตเต๋าก็กระโดดตามออกมาติดๆ และหลิงหยุนก็เดาได้ทันทีว่า ชายคนแรกก็คือซันเทียนเปียวอย่างแน่นอน เพราะยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนอย่างซันเทียนเปียว คงจะไม่ใช่นักบวชแน่!

หลิงหยุนร้องตะโกนออกไปว่า “ดีมาก!”

จากนั้นก็ใช้มังกรพรางร่างพุ่งเข้าใส่ซันเทียนเปียวทันที พร้อมกับจู่โจมเขาด้วยหมัดปีศาจเถียนกัง!

ร่างของสองยอดฝีมือเคลื่อนย้ายไปมาอย่างรวดเร็ว และต่างก็กระโดดขึ้นไปปะทะกันอยู่กลางอากาศ ในที่สุดหมัดของหลิงหยุนก็ปะทะเข้ากับเป้าหมายอย่างจัง!

ปัง.. ปัง..

หลิงหยุนพุ่งหมัดทั้งสองข้างใส่ซันเทียนเปียว แต่ซันเทียนเปียวก็ยกฝ่ามือทั้งสองข้างขึ้นรับหมัดของหลิงหยุนในทันทีเช่นกัน และจากการปะทะกันเพียงแค่ครั้งแรก ร่างของซันเทียนเปียวก็ถึงกับลอยขึ้นไปบนอากาศ และม้วนตกลงมาที่พื้น!

ซันเทียนเปียวถึงกับตกใจสุดขีด! เขาได้เตรียมพร้อมมาเต็มที่ และมั่นใจว่าตัวเองจะสามารถจัดการผู้ที่บุกรุกเข้ามาได้ก่อน แต่เหตุใดจู่ๆ เขาจึงกลับเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ได้.. นี่มันอะไรกัน?!

หลิงหยุนประเมินความสามารถและความแข็งแกร่งของตนเองได้ถูกต้อง หลังจากที่เขาสามารถฝึกดารกะดายันจนเข้าสู่ระดับสิบสองได้แล้วนั้น เขาก็ได้เกราะป้องกันร่างกายที่มีพลังและประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นอย่างน่ากลัว และเพียงแค่ใช้หมัดปีศาจเถียนกัง หลิงหยุนก็สามารถใช้มือเปล่าต่อสู้กับยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-1 ที่มีอาวุธได้!

แต่เพราะซันเทียนเปียวเป็นถึงยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนซึ่งมีพลังชี่ที่แข็งแกร่งคอยปกป้องร่างกายอยู่ จึงไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด!

“ฆ่ามัน!”

หลิงหยุนไม่รอช้า เขากระโดดขึ้นกลางอากาศ และพุ่งเข้าหาซันเทียนเปียวอีกครั้ง ส่วนมือซ้ายก็ซัดตะปูเข้าใส่ร่างของหลวงจีนกับนักพรตเต๋าเพื่อชะลอการโจมตีจากคนทั้งคู่!

ตู้กู่โม่และเหล่ากุ่ยเข้าใจคำสั่งของหลิงหยุนดี เพราะได้วางแผนกันมาก่อนแล้ว ทั้งสองคนจึงถือกระบี่ในมือพุ่งเข้าจู่โจมหลวงจีนสิงฉี กับนักพรตเต๋าที่จะเข้าไปช่วยซันเทียนเปียว!

“พวกเจ้าเป็นใครกัน?!”

ซันเทียนเปียวถามขึ้นอย่างตกใจ และรีบกระโดดหลบเพื่อเลี่ยงการปะทะ เพราะแขนของเขายังคงชา

“นักฆ่าระดับพระกาฬแห่งองค์กรนักฆ่า!”

หลิงหยุนตอบออกไปอย่างไม่ต้องคิด เพราะเขาได้เตรียมคำตอบไว้นานแล้ว หากเขาไม่ฉวยโอกาสนี้โยนความผิดให้กับองค์กรนักฆ่า เขาก็คงจะไม่ใช่หลิงหยุน!

นี่เท่ากับเป็นการยิงปืนนัดเดียว แต่ได้นกถึงสองตัว..

หลิงหยุนพุ่งตามซันเทียนเปียวที่หลบหนีการโจมตี และในระยะที่เขาใกล้จะตกลงสู่พื้นดินในระยะสามฟุตนั้น จู่ๆ ในมือของเขาก็มีกระบี่สีดำพุ่งออกมาเสียบลงกับพื้น พร้อมกับอาศัยจังหวะนั้นดีดตัวขึ้น และทะยานเข้าไปขวางทางซันเทียนเปียวไว้!

และเมื่อซันเทียนเปียววิ่งเข้ามาใกล้ เขาก็ยกกระบี่ในมือขึ้นพร้อมกับพูดว่า “เตรียมตัวตายได้แล้ว!”

“ทำไมถึงได้รวดเร็วเช่นนี้?! แล้วกระบี่นั่นมาจากใหน?!”

ซันเทียนร้องถามพร้อมกับจ้องมองกระบี่สีดำในมือหลิงหยุนที่มีกลิ่นอายพลังหยินพุ่งออกมาอย่างรุนแรง ความกล้าหาญของเขาก่อนหน้านี้ได้มลายหายไปทันที และเตรียมตัวที่จะวิ่งหนีต่อ!

“หยุดมันไว้!”

หลิงหยุนร้องสั่ง พร้อมกับใช้มังกรพรางร่างเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง จนร่างใหญ่ของเขากลายเป็นเงาทะมึนที่พุ่งเข้าหาซันเทียนเปียว!

ช่างน่าเหลือเชื่อจริงๆ เพียงแค่หนึ่งหมัดกับหนึ่งดาบ ก็สามารถทำให้ซันเทียนเปียวถึงกับคิดที่จะหนีเพียงอย่างเดียว!

“อมิตาพุทธ.. พวกเจ้าทำเกินไปแล้ว!”

เสียงลมหวีดหวิว หลวงจีนสิงฉีที่ถูกหลิงหยุนสกัดไว้ด้วยอาวุธลับ ได้ตามหลิงหยุนมาพร้อมกับใช้คทาสีทองในมือโจมตีเขา

หลิงหยุนหัวเราะ พร้อมกับใช้มังกรพรางร่างหลบคทาของหลวงจีนได้อย่างง่ายดาย แล้วจึงตอบกลับไปยิ้มๆ

“ไม่เลว.. งั้นก็ลองกระบี่ของข้า!”

เคร้ง!

หลวงจีนสิงฉีรู้สึกได้ว่ามือของตนเองนั้นเบาขึ้นมาทันที กว่าจะรู้ตัวอีกทีคทาในมือก็หักไปครึ่งหนึ่งแล้ว และกำลังลอยละลิ่วออกไปไกล ก่อนจะตกกระแทกลงกับพื้นอย่างแรง จนเสียงดังไปทั่วทั้งบริเวณ

“ห๊ะ.. กระบี่สีดำนี่ประหลาดยิ่งนัก!”

หลวงจีนสิงฉีร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ พร้อมกับร้องเตือนซันเทียนเปียว และนักพรตเต๋า..

“พวกเจ้ารู้ตอนนี้ก็สายไปแล้ว!”

หลิงหยุนยิ้มหยัน ร่างจริงของเขาปรากฏออกมาอีกครั้ง ก่อนจะกลายเป็นเงาสีดำพุ่งออกจากร่างจริง และตรงไปทางซันเทียนเปียวที่ถูกเหล่ากุ่ยสกัดไว้

ทั้งสามคนต่างก็พยายามต่อสู้กับอีกฝ่ายอย่างสุดฝีมือ และเป็นข้อตกลงที่ได้คุยกันไว้ว่า เหล่ากุ่ยกับตู้กู่โม่รู้ว่าระหว่างพวกเขาทั้งสามคนนั้น คนที่เก่งที่สุดและแข็งแกร่งที่สุดก็คือหลิงหยุน ใครก็ตามที่หลิงหยุนปะทะด้วย พวกเขามีหน้าที่ช่วยหลิงหยุนสะกัดคนอื่นไว้เท่านั้น

ร่างของหลิงหยุนไปโผล่ที่ด้านหลังของซันเทียนเปียว ก่อนจะยกกระบี่ในมือขึ้นฟันอย่างไม่ปราณี กระบี่ของหลิงหยุนตวัดโค้งจากขวาไปซ้าย และเป้าหมายอยู่ที่ไหล่ด้านซ้ายของซันเทียนเปียว!

ซันเทียนเปียวที่กำลังรับมือเหล่ากุ่ยอย่างเคร่งเครียด เมื่อได้ยินเสียงกระบี่ของหลิงหยุนฟันลงมา เขาก็ตกใจกลัวอย่างมาก และกำลังจะใช้แขนอีกข้าเข้าไปกันไว้!

ซันเทียนเปียวเองก็ฝึกวรยุทธอย่างจริงจังจากสำนักเส้าหลิน เขาจึงชำนาญในเรื่องหมัดมวย ฝ่ามือ และดัชนี อีกทั้งยังมีทักษะเท้าที่เคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วว่องไว โดยปกติซันเทียนเปียวมักจะใช้วรยุทธที่ถนัดในการต่อสู้ และก่อนหน้านี้เขาก็คิดว่ากำลังภายในของหลิงหยุนนั้นคงไม่น่าจะเกินขั้นโฮ่วเทียน-9 เขาจึงไม่ได้จริงจังกับหลิงหยุนมาก แต่ที่ใหนได้.. คืนนี้เขากลับเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ยับเยิน!

 “อย่าทำเช่นนั้น!”

หลวงจีสิงฉีรีบร้องเตือนซันเทียนเปียวที่เพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่า หลิงหยุนเพิ่งจะใช้กระบี่เล่มนี้ฟันคทาของหลวงจีนหักเป็นสองท่าน เขาจึงรีบเดินลมปราณขั้นสุด และกระชากร่างกายไปทางซ้ายอย่างรวดเร็ว ส่วนมือขวากำหมัดพุ่งออกไปกระแทกเข้ากับด้านข้างของกระบี่โลหิตแดนใต้สุดกำลัง!

และหมัดเส้าหลินของซันเทียนเปียวก็มีพลังรุนแรง จนสามารถทำให้กระบี่ในมือของหลิงหยุนเปลี่ยนทิศทาง และร่างของเขาก็รอดพ้นจากคมกระบี่ได้

แต่สิ่งที่ซันเทียนเปียวไม่นึกไม่ฝันก็คือว่า.. หลิงหยุนไม่ได้ตั้งใจใช้กระบี่เล่มนี้สังหารเขา!

ทันทีที่ร่างของซันเทียนเปียวเคลื่อนไปทางซ้าย ในมือซ้ายที่ว่างเปล่าของหลิงหยุนก็มีกระบี่เล่มยาวที่เต็มไปด้วยไอเย็นพุ่งออกมา และกระบี่เล่มนั้นก็กำลังสั่นไหวราวกับมังกรเริงระบำ..

“โอ๊ะ!”

ซวบ!

“อ๊าก..!”

เสียงกรีดร้องดังขึ้นพร้อมกับเลือดที่พุ่งกระจายออกมา กระบี่ของหลิงหยุนแทงเข้าที่ซี่โครงด้านซ้ายของซันเทียนเปียวจนเป็นบาดแผลลึกเข้าไปถึงกระดูก!

กระบี่มังกรขาวของหลิงหยุนนั้น หากเทียบแล้วก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากระบี่โลหิตแดนใต้เลยแม้แต่น้อย มันสามารถตัดทองคำ เหล็ก และแม้แต่พลังชี่ของซันเทียนเปียวก็ยังไม่อาจตานท้านได้!

“ยังมีอีก!”

หลิงหยุนดึงกระบี่ออกจากแผ่นหลังของซันเทียนเปียว พร้อมกับใช้มังกรพรางร่างมาโผล่ที่ด้านหน้าของซันเทียนเปียวในลักษณะยืนหันหลังให้เขา แล้วจัดการแทงกระบี่ผ่านทางด้านข้างเข้าไปที่หน้าอกของซันเทียนเปียวอีกครั้ง

“อ๊าก!!”

ซันเทียนเปียวกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด เขากัดฟันใช้ข้อศอกทั้งสองข้างกระแทกเข้าที่แผ่นหลังของหลิงหยุนอย่างสุดกำลัง

ปัง.. ปัง..

หลิงหยุนฟันซันเทียนเปียวเข้าไปหลายดาบแล้ว เขาจึงอาศัยจังหวะที่ซันเทียนเปียวกระแทกข้อศอกทั้งสองข้างเข้าใส่แผ่นนั้น เป็นแรงส่งให้เขาพุ่งเข้าไปอยู่ท่ามกลางการต่อสู้ที่ดุเดือดระหว่างนักพรตเต๋ากับตู้กู่โม่..

“นี่.. เจ้ายังจัดการกับมันไม่ได้อีกรึ?! หลิงหยุนถอยหลบนักบวชเต๋า พร้อมกับหันไปล้อเลียนตู้กู่โม่..

“นี่เจ้าคิดว่าข้าไม่อยากจะจัดการให้จบๆหรือยังไ? แต่นักพรตนี่ก็ไม่ธรรมดา เจ้าจะให้ข้าทำยังไง?” ตู้กู่โม่ตอบอย่างหงุดหงิน

ทั้งสองคนมัวแต่ล้อเลียนกันไปมา ซันเทียนเปียวจึงได้โอกาสกระโดดหลบออกจากวงต่อสู้เพื่อสำรวจบาดแผลสาหัสของตนเอง..

ซันเทียนเปียวจี้จุดตามร่างกายของตัวเองสองสามแห่ง เพื่อทำการหยุดเลือดที่กำลังไหลออกจากบาดแผล ระหว่างที่มองดูบาดแผลตามร่างกาย เขาก็อดคิดไม่ได้ว่า เพียงแค่หลิงหยุนจู่โจมเขาไม่กี่ครั้ง ก็สามารถทำให้เขาได้รับบาดเจ็บได้ถึงเพียงนี้!

“ฝีมือของมันเหนือกกว่าที่ข้าคิดไว้มาก.. เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง?” ซันเทียนเปียวมองหลิงหยุนที่จนป่านนี้ยังไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย

ระหว่างที่ถูกแทงนั้น เพื่อเอาชีวิตรอด ซันเทียนเปียวถึงกับเดินลมปราณทั้งหมดที่มี และใช้ข้อศอกทั้งสองข้างกระแทกเข้าใส่แผ่นหลังของหลิงหยุนอย่างสุดกำลัง จนตัวเขาเองก็ได้รับบาดเจ็บภายใน แต่หลิงหยุนกลับไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วจะไม่ให้เขารู้สึกแปลกใจได้อย่างไรกัน?!

เหล่ากุ่ยไม่วิ่งไล่ตามซันเทียนเปียวไป แต่ร่างของเขาหลบการจู่โจมของหลวงจีนสิงฉี และพุ่งเข้าไปช่วยหลิงหยุนกับตู้กู่โม่จัดการกับนักพรตเต๋าทันที และตอนนี้ก็กลายเป็นสามต่อหนึ่ง!

“ฮ่า.. ฮ่า..” หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับใช้กระบี่มังกรขาวในมือซ้ายแทงเข้าที่ซี่โครงด้านขวาของนักพรตเต๋า!

นักพรตเต๋ารู้ซึ้งถึงประสิทธิภาพของกระบี่เล่มนี้ดี เขาจึงไม่กล้าใช้แส้ในมือปัดป้อง แต่กลับหันไปใช้แส้ตวัดกระบี่ในมือของตู้กู่โม่เพื่อดึงเข้าไปป้องกันแทน!

นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาด เพราะหากกระบี่ของตู้กู่โม่ถูกปะทะเข้ากับกระบี่มังกรขาวของหลิงหยุน กระบี่ยาวของตู้กู่โม่ก็จะต้องหักเป็นสองท่อนในทันที!

แต่ถึงอย่างนั้น นักพรตเต๋าก็ไม่สามารถหลบกระบี่ของเหล่ากุ่ยไปได้ คมกระบี่ได้แทงทะลุจีวรของเขาขาด ทำให้ได้รับบาดเจ็บเป็นแผลใหญ่ที่ไหล่ข้างซ้าย และเลือดก็พุ่งออกมาทันที!

“ข้าจะส่งเจ้าไปเกิดใหม่!”

ระหว่างที่กระบี่ของตู้กู่โม่กำลังจะปะทะเข้ากับกระบี่ของหลิงหยุนนั้น จู่ๆกระบี่มังกรงขาวในมือซ้ายของหลิงหยุนก็หายไปทันที หลิงหยุนโคจรดารกะดายันไปทั่วร่าง แสงจันทร์สาดส่องมายังร่างของเขา แต่หลิงหยุนกลับไม่ยอมหลบกระบี่ในมือของตู้กู่โม่ที่ถูกแส้ตวัดเข้าไป!

“แย่แล้ว.. นี่เจ้าไม่กลัวตายเลยหรือไง!” ตู้กู่โม่มองหลิงหยุนที่พุ่งเข้ามาอย่างตกใจ และรีบปล่อยกระบี่ในมือทิ้งทั้นที

แต่หลิงหยุนกลับใช้เท้าเตะกระบี่ของตู้กู่โม่เข้าใส่ร่างนักพรตเต๋า หลังจากนั้นก็พุ่งเข้าไปประชิดตัวพร้อมกับกระแทกหมัดปีศาจเถียนกังออกไปอย่างสุดกำลัง!

ปัง!!

หมัดนี้หลิงหยุนใช้กำลังทั้งหมดที่มี ชกเข้าไปที่ไหล่ซ้ายของนักพรตเต๋าจนได้รับบาดเจ็บ!


บทที่ 401 : ตระกูลซัน.. แล้วยังไง?!

อั้ก!

นักพรตเต๋าถึงกับกระอักเลือดออกมาทันที พร้อมกับร่างที่ผอมบางของเขาก็ถูกหมัดของหลิงหยุนกระแทกจนกระเด็นออกไปหลายสิบก้าว ร่างของเขาสั่นสะท้านจนแทบจะยืนไม่อยู่!

หมัดปีศาจเถียนกังที่หลิงหยุนชกออกไปอย่างสุดกำลังนั้น มีพลังรุนแรงจนใครก็ยากที่จะต้านทานได้!

หลิงหยุนมีพละกำลังมหาศาลอย่างน่าอัศจรรย์! ขนาดหม้อทองแดงที่หนักเป็นพันกิโลกรรม เขายังสามารถใช้มือเพียงข้างเดียวยกขึ้นแกว่งไปมาได้อย่างสบาย จึงแทบไม่ต้องคิดว่า หมัดที่หลิงหยุนชกออกไปนั้นจะมีพลังมากมายมหาศาลเพียงใด!

นักพรตเต๋าได้รับบาดเจ็บหลายแห่ง และใบหน้าของเขาก็เริ่มซีดเซียว ระหว่างที่ยืนโอนเอนไปมาอยู่นั้น สายตาก็เหลือบไปเห็นบาดแผลที่ไหล่ซ้ายของตนเอง เขาถึงกับตกใจจนต้องกรีดร้องออกมา!

หมัดของหลิงหยุนนั้น กระแทกเข้ากับไหล่ซ้ายของนักพรตเต๋าอย่างรุนแรง จนกระทั่งกระดูก กล้ามเนื้อ และเส้นเลือดตรงส่วนนั้นพังเสียหายยับเยิน จากนั้นร่างของเขาก็ค่อยๆทรุดและอ่อนระทวยลงที่พื้นไม่ต่างจากโคลนนุ่มนิ่มก้อนหนึ่ง!

ที่นักพรตเต๋ากรีดร้องออกมาเสียงดังนั้น ไม่ใช่เพราะความเจ็บปวด แต่เป็นความหวาดกลัว!

หมัดของหลิงหยุนได้ทำลายไหล่ซ้ายของเขาจนไม่เหลือชิ้นดี!

บาดแผลฉกรรจ์ของนักพรตเต๋าในตอนนี้นั้น แม้กระทั่งยันต์บำบัดระดับสี่ของหลิงหยุน ก็ยังไม่สามารถที่จะรักษาได้

 “โอ้ว.. นี่มันหมัดอะไรกัน น่าเสียวไส้ชะมัด!”

ตู้กู่โม่จ้องมองผลลัพธ์จากหมัดของหลิงหยุนด้วยความตกตะลึง จนลืมมองว่ากระบี่ของตนเองลอยไปทางใหนแล้ว..

“เด็กคนนี้.. ฆ่าได้แล้วทำไมไม่ฆ่า..” เหล่ากุ่ยได้แต่ยืนมองพร้อมกับกลั้นลมหายใจ

นี่เป็นวิธีการวิเคราะห์คู่ต่อสู้ของหลิงหยุน เขาใช้มังกรพรางร่างเข้าจู่โจมคู่ต่อสู้อย่างรวดเร็วและรุนแรงจนได้รับบาดเจ็บ แล้วจึงถอยออกมา!

“อมิตาพุทธ.. ช่างลงมือได้เหี้ยมโหดนัก!”

หลวงจีนสิงฉีเห็นนักพรตเต๋าถูกทำร้าย ร่างสูงใหญ่ของเขาก็เคลื่อนเข้าไปขวางไว้ทันที!

“นี่หลวงจีนเฒ่า.. เจ้าคิดว่าจะรับมือข้าได้หรือไง?” หลิงหยุนร้องบอกพร้อมกับยกกระบี่โลหิตแดนใต้ขึ้นชี้หน้าหลวงจีนสิงฉี

“กระบี่ของเจ้ารวดเร็วไม่น้อยเลย!”

พูดจบหลวงจีนสิงฉีเดินลมปราณไปทั่วร่างกาย สิ้นเสียงดังฟรึบ.. ฟรึบ.. ร่างของหลวงจีนก็ลอยขึ้นไปบนอากาศ!

หลวงจีนสิงฉีเองก็ไม่กล้าที่จะใช้มือเปล่าต่อสู้กับหลิงหยุน เพราะหากพลาดพลั้งไป กระบี่ในมือของหลิงหยุนคงต้องสับลงไปบนร่างของเขาอย่างแน่นอน!

หลิงหยุนมีพละกำลังมากมาย กระบี่ในมือที่หนักกว่าแปดสิบกิโลกรัม เขากลับถือได้อย่างสบายราวกับคนธรรมดาถือตะเกียบหนึ่งข้าง หลิงหยุนแทบไม่ต้องออกแรงมากมาย เพราะเพียงแค่เขาเหวี่ยงแขน หรือบิดข้อมือเบาๆ ก็ยากที่คู่ต่อสู้จะต้านทานได้!

“ฮ่า.. ฮ่า.. คิดจะหนีงั้นรึ? ดูซิว่าเจ้าจะหลบไปใหนได้!”

หลิงหยุนพลิกกระบี่ในมือพร้อมกับตวัดไปมาจนเกิดเสียงดังหวีดหวิว ความเร็วของการตวัดกระบี่ในมือของหลิงหยุน ทำให้เกิดภาพซ้อนคล้ายมู่ลี่สีดำที่เรียงซ้อนกันไปเรื่อยๆ และไล่ตามร่างของหลวงจีนสิงฉีที่กำลังกระโดดหนีไป!

 “ส่งคทมาให้ข้า!”

หลวงจีนสิงฉีที่กระโดดหนีขึ้นไปกลางอากาศร้องตะโกนบอก และซันเทียนเปียวที่อยู่ด้านล่างก็ได้เตรียมพร้อมอยู่แล้ว เขารีบหยิบคทาอีกครึ่งหนึ่งที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา แล้วโยนให้หลวงจีนสิงฉีทันที!

หลวงจีนสิงฉีไม่รอช้า รีบยกมือขึ้นรับคทาอีกครึ่งหนึ่งไว้ทันที จากนั้นจึงเดินลมปราณทั่วสรรพางกาย และถ่ายเทพลังทั้งหมดลงไปที่คทาพร้อมกับยื่นออกไปปะทะกับกระบี่โลหิตแดนใต้ของหลิงหยุนที่ไล่ล่ามา..

และเพียงแค่สัมผัสเข้ากับคมของกระบี่โลหิตแดนใต้ คทาของหลวงจีนก็ไม่ต่างจากเต้าหู้ชิ้นหนึ่งที่ถูกตัดขาดได้อย่างง่ายดาย

เคร้ง! เสียงกระบี่ และคทากระทบกัน

หลวงจีนสิงฉีอาศัยจังหวะที่หลิงหยุนชะลอตัวนี้ กระโดดลงที่พื้นทันที แต่หลิงหยุนกลับไม่ไล่ตามหลวงจีนไป เขากระโดดลงไปยืนอยู่ระหว่างตู้กู่โม่กับเหล่ากุ่ยที่กำลังยืนดูนิ่งด้วยความตกตะลึง

“พวกท่านสองคนเป็นอะไรไป? โอกาสดีๆแบบนี้ ทำไมไม่จัดการสองคนนั่น?!”

หลิงหยุนยืนมองเหล่ากุ่ยกับตู้กู่โม่ที่ยังคงยืนนิ่ง จนเขาได้แต่กรอกตาไปมา..

ตู้กู่โม่ยิ้มอายๆ “ข้าคิดไม่ถึงว่าเจ้าจะยอดเยี่ยมขนาดนี้.. ก็เลยได้แต่ยืนมอง!”

ซันเทียนเปียวก็ถูกหลิงหยุนแทงจนได้บาดแผลถึงสองแห่ง ส่วนนักพรตเต๋าก็ถูกหมัดของเขาชกเข้าจนได้รับบาดเจ็บสาหัส มีเพียงหลวงจีนฉิงสีที่แค่คทาหัก

เห็นได้ชัดว่าหลิงหยุนเป็นฝ่ายชนะอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาทั้งคู่จึงไม่จำเป็นต้องกังวลเหมือนก่อนหน้านี้

ตอนนี้ยอดฝีมือทั้งสามคนในฝ่ายของซันเทียนเปียว ต่างก็ไปยืนรวมกันอยู่อีกด้านหนึ่ง นักพรตเต๋ากำลังยืนหน้าซีดและกำลังหยิบยันต์ออกมาทำการรักษาบาดแผลที่ไหล่ซ้าย ส่วนซันเทียนเปียวก็กำลังห้ามเลือดที่บาดแผลซึ่งยังคงไหลไม่หยุด

“ข้าให้เวลาเจ้าจัดการกับตัวเองก่อน แล้วค่อยมาสู้กันต่อ!” หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับให้เวลาซันเทียนเปียว

ซันเทียนเปียวกัดฟันอดทนกับความเจ็บปวดจากบาดแผลทั้งสองแห่ง และรีบจัดการทำแผล จากนั้นก็หันหน้าไปมองหลิงหยุน

“พวกเจ้าทั้งสามคนเป็น..”

หลิงหยุนเพียงแค่ตอบกลับยิ้มๆ “เจ้าไม่จำเป็นต้องเดา! ข้าจะบอกอะไรให้ ลูกน้องกระจอกที่เจ้าเตรียมไว้จัดการกับข้าที่คฤหาสน์ตรงชานเมืองตะวันตกนั้น ถูกข้าสังหารหมดแล้ว และที่ข้ามาที่นี่ก็เพื่อฆ่าสุนัขอย่างเจ้า!”

“เจ้าว่าอะไรนะ?!”

ร่างของซันเทียนเปียวสั่นด้วยความโกรธ ใบหน้าของเขาแดงก่ำก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีขาวซีด และความหวาดกลัวก็เริ่มแทรกซึมเข้าไปถึงขั้วหัวใจ จนถึงกับต้องถอยหลังกลับไป!

ตอนนี้ซันเทียนเปียวไม่เหลือหนทางอื่นอีกแล้ว นอกจากความหวาดกลัว!

หากสิ่งที่หลิงหยุนพูดเป็นความจริง นี่คงถึงคราวที่ตระกูลซันต้องพินาศฉิบหายแน่ อีกทั้งคงกระทบกระเทือนต่อสถานะของตระกูลซันในฐานะหนึ่งในเจ็ดตระกูลใหญ่อีกด้วย

“ที่นั่นมียอดฝีมือหลายสิบคนจากเจ็ดถึงแปดสำนัก นี่เจ้า..”

ซันเทียนเปียวร้องตะโกนถามหลิงหยุนปากสั่น พร้อมกับชี้นิ้วที่สั่นเทาใส่หน้าหลิงหยุน! เขาจ้องมองหลิงหยุนอย่างพินิจพิเคราะห์ และเริ่มรู้สึกว่ารูปร่างแบบนี้ ลักษณะท่าทางเช่นนี้ เขาเคยพบเห็นที่ใหนมาก่อน

“เจ้าไม่ใช่มือสังหารขององค์กรนักฆ่า! เจ้า.. เจ้าคือ..”

หลิงหยุนส่ายหน้าพร้อมกับตอบไปว่า “โอ้โห.. แย่จัง! นี่เจ้ารู้แล้วเหรอเนี่ย ข้าอุตส่าห์ปกปิดเจ้าได้ตั้งนาน!”

หลังจากพูดจบ หลิงหยุนก็ถอดผ้าปิดหน้าของตนเองออก เผยให้เห็นรอยยิ้มที่มั่นใจ แต่ไร้ซึ่งอันตราย..

“หลิงหยุน!” ซันเทียนเปียวร้องอุทานออกมาเสียงดัง

“เจ้าปีศาจ!”

หลวงจีนสิงฉีเห็นใบหน้าของหลิงหยุน ก็ร้องตะโกนออกมาด้วยความโกรธ

หลิงหยุนหัวเราะไปพูดไป “พวกเจ้าอย่าเสียเวลา.. อยากจะสังหารข้าก็รีบๆเข้ามา ข้าต้องรีบกลับบ้านไปนอน เพราะพรุ่งนี้น้องชายคนนี้ต้องไปเรียนหนังสือ!”

เขาตวัดกระบี่โลหิตแดนใต้ในมือพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ใครจะเป็นคนแรก? แต่ขอบอกไว้ก่อนนะว่ากระบี่ของข้าต้องสังหารคนแน่!”

จากการปะทะกันก่อนหน้านี้ หลิงหยุนได้ทำการทดสอบกำลังภายในของทั้งสามคนแล้ว ต่อให้ทั้งหมดจู่โจมเขาพร้อมกันทีเดียว เขาก็สามารถสังหารยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนทั้งสามคนนั่นได้อย่างแน่นอน!

วันนี้กระบี่โลหิตแดนใต้ได้ดื่มเลือดไปมากมาย แต่ตัวกระบี่สีดำยังคงดำสนิท  แม้สีของมันจะเป็นสีดำเหมือนถ่าน แต่หากดูดีๆ จะเห็นว่ามีมีสีแดงเข้มแทรกอยู่ด้านใน และดูราวกับว่ากระบี่เล่มนี้มีจิตวิญญาณ และสามารถดื่มเลือดได้!

“ระวัง..! กระบี่สีดำในมือของเขาน่าจะเป็นกระบี่โลหิตแดนใต้ที่เคยมีในตำนาน!”

อีกฝ่ายจ้องมองกระบี่โลหิตแดนใต้ในมือของหลิงหยุน และเมื่อแน่ใจว่าใช่ ทุกคนต่างก็เต็มไปด้วยความสยดสยอง!

“ไม่ใช่น่าจะ.. แต่มันคือกระบี่โลหิตแดนใต้จริงๆ!”

หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อย พร้อมกับจ้องมองกระบี่โลหิตแดนใต้ที่อยู่ในมืออย่างมีความสุข

สำหรับหลิงหยุน ยอดฝีมือทั้งสามคนนี้ได้กลายเป็นเพียงแค่โครงกระดูกไปแล้ว เพราะเป็นไปไม่ได้เลยที่หลังจากหลิงหยุนได้สังหารยอดฝีมือไปตั้งมากมายหลายสิบคน แต่จู่ๆจะเกิดเมตตาปล่อยพวกเขาทั้งสามคนไป..

อีกทั้งในวันข้างหน้า หลิงหยุนก็ตั้งใจจะใช้กระบี่โลหิตแดนใต้เล่มนี้อยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นที่เขาจะต้องปิดบังอะไร

หลิงหยุนมีความคิดเสมอว่า หากมีสมบัติล้ำค่าให้ใช้ แต่เรากลับเอาแต่ปกปิด นั่นไม่เท่ากับทำให้สมบัติชิ้นนั้นต้องแปดเปื้อนอย่างนั้นหรือ?

ในอนาคตหลิงหยุนก็ตั้งใจจะใช้ทั้งกระบี่โลหิตแดนใต้ และกระบี่มังกรขาวสร้างอาณาจักรของตัวเอง!

“เจ้าปีศาจ.. ที่แท้เจ้าก็เป็นคนของนิกายมารนี่เอง มิน่าร่างกายของเจ้าถึงได้แข็งแกร่งผิดมนุษย์ และท่าทางก็หยิ่งจองหอง!”

หลวงจีนสิงฉีเดือดาลอย่างมากถึงกับก้าวออกมาข้างหน้า เท้าของเขากระแทกเข้ากับหินใต้ฝ่าเท้าจนแตกออก..

“ข้าเป็นคนของนิกายมาร.. แล้วเจ้ามีปัญหาอะไร!?”

หลิงหยุนพูดออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชาพร้อมกับก้าวเท้าออกไปข้างหน้าสามก้าว ลักษณะท่าทางของหลิงหยุนเต็มไปด้วยรังสีแห่งการสังหาร และท่าทางของเขาก็พร้อมที่จะลงมืออย่างมาก!

“เจ้าปีศาจ.. ข้าดูจากสีหน้าที่ยังสว่างไสวของเจ้าแล้ว ดูเหมือนเจ้าคงจะเพิ่งกลายร่างเป็นปีศาจได้ไม่นาน ถ้ายังไง.. เจ้ารีบทิ้งกระบี่เล่มนั้นไปจะดีกว่า? ส่วนเรื่องบาดหมางระหว่างเจ้ากับตระกูลซันนั้น ข้ารับปากว่าทุกอย่างจะเป็นอันสิ้นสุด และจากนี้ไปน้ำบ่อจะไม่ข้องเกี่ยวกับน้ำลำธารอีก!”

“ข้าเกรงกลัวตระกูลซันงั้นรึ?! เรื่องระหว่างข้ากับตระกูลซัน ไม่ต้องให้หลวงจีนปากเหม็นอย่างเจ้ามาจัดการให้!”

“คิดจะยุติปัญหาตอนนี้.. มันสายไปแล้วล่ะ!”

พูดจบ.. หลิงหยุนก็หันไปยิ้มให้กับซันเทียนเปียว..

หลิงหยุนมั่นใจเต็มร้อยว่าภายในอาทิตย์นี้ เขาจะต้องเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-6 ได้อย่างแน่นอน ถึงตอนนั้น เขาจะแข็งแกร่งกว่านี้เป็นสองเท่า ยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-2 เขาก็สามารถฆ่าได้ ตระกูลซันไม่มีประโยชน์อะไรกับเขาแล้ว เขาจึงไม่ต้องสนใจอะไรอีก..

‘หากนายน้อยจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ตระกูลหลิงก็คงจะมีความหวังแล้ว!’

เหล่ากุ่ยที่อยู่ด้านหลังได้ฟังหลิงหยุนที่พูดออกมาด้วยความเดือดดาล ก็ได้แต่ดีใจจนเนื้อเต้น!


บทที่ 402 : ความแข็งแกร่งที่แท้จริง!

“นั่น.. นั่น.. นั่นมันหลิงหยุน!” เฉิงเมี่ยนร้องตะโกนออกมา

ภายในบ้านหลังเล็ก.. คนในตระกูลเฉิงต่างก็ได้ยินเสียงกรีดร้องและเสียงการต่อสู้ พวกเขาจึงรีบลุกจากโซฟา และวิ่งไปดูที่หน้าประตู แต่ก็ไม่กล้าที่จะวิ่งออกไปดูนอกบ้าน จึงได้แต่แอบดูอยู่ในบ้านเงียบๆ บรรยากาศดุเดือดเช่นนั้น ใครบ้างที่จะกล้าออกไป?

จนกระทั่งหลิงหยุนถอดผ้าที่ปิดบังใบหน้าออก เฉิงเมี่ยนจึงได้เห็นว่าชายร่างใหญ่ที่ถือกระบี่ยาวสีดำยืนสง่างามอยู่กลางสนามนั้น ที่แท้ก็คือหลิงหยุนั่นเอง!

“นี่เขา.. เขามาช่วยจริงๆด้วย แล้วยังสามารถทำให้ซันเทียนเปียวบาดเจ็บได้อีก..!?”

แม้เฉิงเมี่ยนจะร้องอุทานออกมาด้วยสีหน้าที่หวาดผวาและสยดสยอง แต่ภายในใจกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข

หลิงหยุนสังเกตเห็นว่ามีคนอยู่ในบ้านหลังเล็กนั้น และได้ยินเสียงร้องอุทานของเฉิงเมี่ยนได้อย่างชัดเจน เขาจึงยิ้มพร้อมกับหันไปโบกมือให้เธอ ก่อนจะร้องตะโกนออกไปว่า

“น้องเมีย.. ไปหลบอยู่ตรงนั้นทำไมกันล่ะ? รีบไปเรียกพี่สาวของคุณออกมาได้แล้ว เธอจะได้ออกมาดูว่าผมจะสังหารซันเทียนเปียวยังไง?”

เฉิงเมี่ยนนิ่งไปเล็กน้อย และมีท่าทางกระอึกกระอัก พร้อมกับคิดในใจว่า ‘จะให้ฉันไปเรียกพี่ใหญ่จากที่ใหนล่ะ? แม่ชีมี่ยื่อเอาตัวกลับสำนักจิ้งซินไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว!’

เมื่อคิดได้เช่นนั้น ในใจของเฉิงเมี่ยนกลับมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก เพราะตอนนี้พี่สาวของเธอไม่ได้อยู่เป็นคู่แข่งกับเธออีกแล้ว!

เฉิงเมี่ยนจ้องมองเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่ยืนสง่าอยู่กลางสนาม และในเวลานี้หัวใจของเธอก็กำลังเต้นแรง เลือดภายในกายสูบฉีดไปทั่วทั้งร่าง เธอกรีดร้องออกมาด้วยความดีใจอย่างไม่แยแสคนรอบข้าง ก่อนจะวิ่งออกประตูไปโดยไม่สนใจพ่อแม่ที่ได้แต่ร้องห้าม

ลมทะเลที่พัดมาทั้งเย็นและชื้น เฉิงเมี่ยนสวมเพียงชุดนอนกระโปรงบางเบา เธอไม่ได้วิตกังวลว่าหลิงหยุนจะมองเห็นสัดส่วนแต่อย่างใด กลับภูมิอกภูมิใจที่ได้อวดหน้าอกใหญ่โต และหน้าทองแบนเรียบของตัวเอง เธอวิ่งตรงเข้าไปหาหลิงหยุนทันที

เฉิงเมี่ยนกล้าที่จะวิ่งออกไปด้านนอก แต่เฉิงเทียนกับภรรยาต่างก็ไม่กล้า และพากันหลบซ่อนอยู่ด้านหลังประตู พร้อมกับร้องตะโกนเรียกเฉิงเมี่ยนที่วิ่งออกไปให้กลับมาอย่างกระวนกระวายใจ

ในเวลานั้น ถังเทียนห่าวที่อยู่ในห้องรับแขกของบ้านหลังใหญ่ก็กำลังยืนยิ้มกว้างมองหลิงหยุนที่ยืนสง่าอยู่กลางสนาม

หลิงหยุนสำรวจไปทุกทิศทางอย่างละเอียด และกวาดตามองไปทั่วบริเวณ เมื่อพบว่าถังเทียนห่าวไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย ก็รู้สึกโล่งอก แต่เพราะแผนของเขาไม่ใช่การบุกเข้าไปช่วยถังเทียนห่าวในเวลานี้ ทั้งคู่จึงยังไม่มีโอกาสแม้แต่จะทักทายกัน

ถังเทียนห่าวเองก็เข้าใจแผนการของหลิงหยุนดี เขาจึงไม่ได้ออกมาเพื่อความปลอดภัย

หลิงหยุนมองเฉิงเมี่ยนที่กำลังวิ่งออกมา แต่เมื่อไม่เห็นเฉิงเม่ยเฟิงวิ่งตามออกมาด้วย หัวใจของเขาก็เริ่มเต้นแรง!

หากเฉิงเม่ยเฟิงอยู่ที่นี่ และได้ยินเสียงเรียกของเขา เธอจะต้องวิ่งออกมาอย่างแน่นอน แต่นี่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของเธอ!

หลิงหยุนได้ยินเสียงลมหายใจของคนสองคนที่อยู่ภายในบ้าน ก็รู้ได้ทันทีว่าจะต้องเป็นพ่อกับแม่ของเธอที่อยู่ด้านใน?!

สีหน้าของหลิงหยุนเปลี่ยนอย่างฉับพลันทันที น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา พร้อมกับร้องถามเฉิงเมี่ยนว่า “แล้วพี่สาวของคุณล่ะ?!”

“เอ่อ..” เฉิงเมี่ยนไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นตรงใหนก่อนดี และใบหน้าของเธอก็เริ่มนิ่งไป

ซันเทียนเปียวเห็นว่าสบโอกาสพอดี จึงรีบพูดเย้ยหยันหลิงหยุนว่า “หลิงหยุน ถ้าเจ้าอยากจะช่วยเฉิงเม่ยเฟิง ข้าแนะนำให้เจ้าถนอมกำลังไว้จะดีกว่า เธอไม่ได้อยู่ที่นี่!”

แววตาของหลิงหยุนยิ่งเย็นชามากขึ้น รังสีอำมหิตก็เปล่งประกายรุนแรงยิ่งขึ้นเช่นกัน พลังหยินหยางในท้องของเขาเริ่มหมุนอย่างรวดเร็ว ม่านตาที่หดและขยายอย่างรวดเร็วจนเป็นสีดำและขาวสลับกันนั้น ปรากฏขึ้นเพียงวูบเดียวแล้วก็หายไป!

“ตอนนี้เธออยู่ที่ใหน?” หลิงหยุนถามด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่สงบนิ่ง มือที่กำกระบี่จนแน่นนั้นเริ่มซีดขาว

ตู้กู่โม่รู้ดีว่า ลักษณะท่าทางเช่นนี้ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าหลิงหยุนเริ่มหมดความอดทนแล้ว!

ซันเทียนเปียวหัวเราะพร้อมกับตอบไปว่า “หลิงหยุน เรื่องนี้เจ้าโทษข้าไม่ได้ ข้าจะบอกอะไรให้ ตอนนี้เฉิงเม่ยเฟิงได้ไปเป็นศิษย์ของแม่ชีมี่ยื่อแห่งสำนักจิ้งซินเรียบร้อยแล้ว และนางก็พากลับเธอไปที่สำนักของตัวเองแล้ว!”

“เจ้าพล่ามอะไร? ถ้าไม่ได้พบข้า นางไม่มีทางยอมไปกับคนอื่นแน่!” หลิงหยุนมั่นใจในตัวเฉิงเม่ยเฟิงอย่างมาก

เฉิงเม่ยเฟิงเป็นศิษย์สำนักจิ้งซินอย่างนั้นหรือ? ต่อให้ใช้กำลังบีบบังคับเธอก็คงไม่ยอมแน่ เพราะเฉิงเม่ยเฟิงคงยอมตายมากกว่าที่จะยอมไปเป็นศิษย์สำนักจิ้งซิน!

ซันเทียนเปียวช่างไม่รู้เลยว่า หลิงหยุนได้มาถึงจุดที่ใกล้ระเบิดแล้ว เขายักไหล่พร้อมกับตอบไปว่า

“ถ้าไม่เชื่อ.. เจ้าก็ถามน้องเมียของเจ้าดูสิ! พวกเขาทั้งครอบครัวก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย..”

หลิงหยุนเริ่มเห็นภาพเรื่องราวชัดเจนขึ้น ร่างของเขาไปปรากฏอยู่ตรงหน้าของเฉิงเมี่ยนทันที เขายื่นมือเข้าไปจับไหล่เฉิงเมี่ยนพร้อมกับถามขึ้นว่า

“ตอบมาว่ามันเกิดบ้าอะไรขึ้นมากันแน่?”

“โอ๊ย.. นี่ฉันเจ็บนะ!”

เฉิงเมี่ยนกัดฟันด้วยความเจ็บปวด และก็ไม่สามารถทนได้ จึงได้แต่ร้องออกมา!

แต่หลิงหยุนก็ยังคงบีบไหล่บอบบางของเฉิงเมี่ยน ภายใต้ฝ่ามือที่ทรงพลังของหลิงหยุน เฉิงเมี่ยนกลับรู้สึกพอใจ ร่างกายของเธอรุ่มร้อนไปหมดอย่างไม่อาจอธิบายได้ จนถึงกับต้องหนีบต้นขาของตนเองไว้แน่น!

หลิงหยุนรู้ดีว่าเฉิงเมี่ยนกำลังรู้สึกเช่นไร เขาจึงออกแรงบีบมากขึ้นพร้อมกับถามขึ้นอีกครั้งว่า

“ตอบมาเร็วเข้า.. เกิดอะไรขึ้น?”

เฉิงเมี่ยนไม่ต่างจากโทรโข่ง และด้วยนิสัยที่เป็นคนช่างพูด หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอจึงตัดสินใจเล่าทุกอย่างให้หลิงหยุนฟังอย่างละเอียด

หลังจากที่หลิงหยุนได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด เขาก็หัวเราะออกมาด้วยความโกรธ รอบตัวเขาเต็มไปด้วยกลิ่นอายสังหาร ริมฝีปากเหยียดออกเป็นรอยยิ้มที่ดุร้าย พร้อมกับพูดออกมาเพียงแค่สามคำ..

“เยี่ยม.. เยี่ยม.. เยี่ยม..”

“แม่ชีมี่ยื่อแห่งสำนักจิ้งซิน.. โอสถไร้ใจ.. พวกเจ้าคงอยากเห็นสำนักตัวเองถูกข้าถล่มมากสินะ.. ได้.. ข้าจะจัดให้ตามที่เจ้าต้องการ!”

ทันทีที่พูดจบ ร่างของหลิงหยุนและใบหน้าที่ดุร้ายของเขา ก็ไปโผล่อยู่ตรงกลางระหว่างยอดฝีมือทั้งสามคนที่ห่างไปราวสิบกว่าเมตร แล้วยกมือขึ้นชี้ไปที่หน้าของซันเทียนเปียวพร้อมกับพูดว่า

“คนตระกูลซัน.. เจ้าทำให้ข้าโกรธได้สำเร็จแล้ว! วันนี้ถ้าข้าไม่สับเจ้าเป็นชิ้นๆ ข้าคงไม่ใช่คนแซ่หลิงแน่!”

หลังจากที่ได้ฟังหลิงหยุนพูดอย่างจองหองนั้น เหล่ากุ่ยที่ยืนอยู่ด้านหลังได้แต่แอบคิดในใจว่า ‘นายน้อยพูดราวกับรู้อนาคต – ข้าคงไม่ใช่คนตระกูลหลิงแน่?!’

หลิงหยุนส่งกระแสจิตบอกเหล่ากุ่ยและตู้กู่โม่ให้ทำหน้าที่คอยคุ้มครองความปลอดภัยของถังเทียนห่าวกับคนตระกูลเฉิง ส่วนเขาก็เริ่มใช้วิชาพลังลับหยินหยาง และโคจรดารกะดายันขั้นสุด!

“โอ้ว.. นั่น.. ร่างกายของหลิงหยุนสว่างไสวราวกับหลอดไฟ!”

ตอนนี้หลิงหยุนโคจรดารกะดายันขั้นสูงสุด แสงแห่งจันทราจึงเปล่งประกายรุนแรง!

หลวงจีนสิงฉีและซันเทียนเปียวได้แต่คิดในใจว่า ‘นี่มันวิชาอะไรกัน? ถึงได้ทำให้ร่างกายเปล่งแสงสว่างได้ขนาดนี้?!’

‘หรือว่า.. นี่จะเป็นเคล็ดวิชาบ่มเพาะตนในตำนานที่ชื่อว่า-เก้าดารา แต่ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีใครฝึกได้จนถึงขั้นนี้นี่นา!’

ตอนนี้กลิ่นอายแห่งการสังหารในตัวหลิงหยุนสูงมาก หญ้าสีเขียวที่อยู่รอบตัวเขาในระยะสามเมตรนั้นได้กลายเป็นน้ำแข็ง ซึ่งเป็นผลจากพลังหยินที่กระจายออกมาจากร่างกายของหลิงหยุน!

กระบี่โลหิตแดนใต้ดูเหมือนจะรับรู้ถึงจิตใจที่ปกคลุมไปด้วยกลิ่นอายสังหารของหลิงหยุน ใบมีดของกระบี่ถึงกับกระตุกเล็กน้อย และเสียงหวีดหวิวเบาๆก็ดังออกมาเช่นกัน

ซันเทียนเปียวไม่สามารถยิ้มต่อได้อีก เขายืนนิ่งมองหลิงหยุนด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัว!

“หนีเร็ว!”

 หลวงจีนสิงฉีสัมผัสได้ถึงรังสีอำมหิตของหลิงหยุน และรู้ได้ทันทีว่าพวกเขาต่างก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลิงหยุน จึงรีบร้องบอกซันเทียนเปียว!

เพื่อเอาตัวรอด หลวงจีนสิงฉีรีบรวบรวมลมปราณทั้งหมดกระโดดเข้าไปหาร่างของนักพรตเต๋าที่นอนหมดสติอยู่ พร้อมกับหนีบเขาไว้ใต้แขน และเตรียมตัวที่จะหนีอย่างเต็มที่!

ซันเทียนเปียวรู้ดีว่าไม่มีใครที่จะสามารถต้านทานหลิงหยุนได้ จึงได้แต่พาร่างที่บาดเจ็บสาหัสหนีเอาชีวิตรอด!

หลิงหยุนยังคงนิ่ง เปลือกตาของเขาขยับเพียงเล็กน้อย และปล่อยให้ร่างจริงเคลื่อนไหว แต่เงายังคงอยู่ที่เดิม!

ตู้กู่โม่ถึงกับตกใจสุดขีด!

เขาเห็นร่างของหลิงหยุนสองร่างแยกออกจากร่างเดิม และร่างหนึ่งกำลังไล่ตามหลวงจีนสิงฉีไป ส่วนอีกร่างพุ่งเข้าใส่ซันเทียนเปียว!

หลิงหยุนทั้งสามร่างในตอนนี้ ในมือทั้งสองข้างต่างก็ถือกระบี่ไว้ข้างละเล่ม ดูราวกับมีจอมยุทธถึงสามคน

เงาลวงตา!

และนี่คือมังกรพรางร่างขั้นสูงสุด ภายใต้ความโกรธที่รุนแรง และไม่สามารถควบคุมได้นั้น ในที่สุดหลิงหยุนก็ไม่อาจเก็บงำความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตนเองไว้ได้อีก

“เจ้าหนีไม่รอดหรอก!”

กระบี่ในมือซ้ายของหลิงหยุนคือเพลงกระบี่นวะสังหาร ส่วนมือขวาคือเพลงกระบี่พายุ กระบี่ในมือทั้งสองข้างนั้นกวัดแกว่งอย่างรวดเร็ว จนปรากฏเป็นภาพใบมีดของกระบี่ที่ทับซ้อนกันจนคล้ายม่านดำ ครอบคลุมหลวงจีนสิงฉี และซันเทียนเปียวไว้

ด้วยการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วของหลิงหยุนนั้น แม้แต่สายตาของเหล่ากุ่ยกับตู้กู่โม่ ก็ยังเห็นเป็นภาพหลิงหยุนแยกร่างออกไปจับทั้งสองคนไว้

“สวรรค์! นี่มันวิชาอะไรกัน?!” ตู้กู่โม่ถึงกับร้องออกมาด้วยความตกใจ

“นี่น่ะเหรอคือพลังและความสามารถที่แท้จริงของนายน้อยที่เก็บซ่อนไว้..?!” เหล่ากุ่ยถึงกับตกตะลึง

แม้เหล่ากุ่ยจะไม่รู้ว่าหลิงหยุนมีกำลังภายในอยู่ขั้นใหน แต่จากพลังกับความแข็งแกร่งอันน่าหวาดกลัว และวรยุทธที่เขาใช้นั้น ดูเหมือนน่าจะอยู่ในขั้นเซียงเทียน-4!

ฉึก  “อ๊ะ..”

ชัวะ “โอ๊ย”

เสียงร้องดังขึ้นมาเกือบจะพร้อมกัน ทั้งหลวงจีนสิงฉีและซันเทียนเปียวต่างก็คิดไม่ถึงว่า ไม่เพียงหลิงหยุนจะวิ่งตามพวกเขาทั้งคู่ทัน แต่กลับไปยืนดักหน้าไว้ก่อนแล้ว ทำให้ความหวังในการหลบหนีต้องดับสลายลง เพราะไม่รู้ว่าจะหนีไปทางใหนได้อีก?!

อีกทั้งแขนข้างหนึ่งของหลวงจีนสิงฉีก็แบกนักพรตเต๋าไว้ จึงมีภาระหนักและสามารถรับมือหลิงหยุนได้เพียงมือข้างเดียว เขามัวแต่หลบกระบี่โลหิตแดนใต้ในมือหลิงหยุน แต่ที่หน้าอกของเขากลับถูกกระบี่มังกรขาวแทงเข้าจนเป็นรูใหญ่!

ซันเทียนเปียวถูกหลิงหยุนไล่ล่าจนเหนื่อยหอบ เพราะเพิ่งจะถูกกระบี่โลหิตแดนใต้ฟันเข้าที่ไหล่ก่อนหน้านี้

เลือดสีแดงจากร่างของหลวงจีนสิงฉีและซันเทียนเปียว ต่างก็กระจายเต็มท้องฟ้า เพราะแรงจากลมทะเลที่พัดเข้ามาพอดี และกลิ่นคาวเลือดก็คละคลุ้งไปทั่วทั้งบริเวณ

หลิงหยุนค่อนข้างภูมิใจกับการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วของตนเอง จนดูคล้ายกับสามารถแยกออกเป็นสองร่างได้..

ฮวู่!

หลิงหยุนกระโดดลงพื้นพร้อมกับถอนหายใจเฮือกใหญ่ พลังหยินหยางภายในจุดตันเถียนของเขาเริ่มหมดแล้ว และมัจฉาหยินและมัจฉาหยางภายในวงกลมไท่จี๋ก็เริ่มหมุนอย่างรวดเร็วอีกครั้ง!

และพลังหยินหยางก็ไหลเวียนขึ้นมาตามเส้นลมปราณในร่างกายของหลิงหยุนอีกครั้ง!

การที่หลิงหยุนหยุดยั้งอยู่แค่ขั้นปรับร่างกาย-3 อยู่นาน และไม่ยอมที่จะเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-4 เสียทีนั้น ก็เพื่อที่จะรอฝึกวิชาพลังลับหยินหยางนี่เอง

และความลับของวิชาพลังลับหยินหยางนี้ก็อยู่ที่ พลังหยินหยางที่พึ่งพาอาศัยกัน และไม่ว่าจะใช้ไปมากแค่ใหน ก็ไม่มีวันหมด..

ในเวลานั้น เหล่ากุ่ยและตู้กู่โม่ก็ได้สติ และทั้งคู่ต่างก็วิ่งไปขวางหน้าหลวงจีนสิงฉี และซันเทียนเปียว เพื่อช่วยหลิงหยุนสกัดไม่ให้ทั้งคู่หนีไปได้

“พวกเจ้าสองคนเป็นสหายที่ดีต่อกัน ข้าจะส่งพวกเจ้าทั้งสองคนไปอยู่ในนรกก็แล้วกัน!” หลิงหยุนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาก่อนจะก้าวเข้าไปหานักพรตเต๋า

นักพรตเต๋ารู้ดีว่าเขาไม่สามารถหนีรอดได้ เขาได้แต่กรีดร้องพร้อมกับหัวเราะ และนั่งลงรอคอยความตาย..

“ก่อนตายข้าจะบอกเจ้าให้เอาบุญ หลิวเต๋อหมิงถูกข้าสังหารแล้ว!”

แววตาของหลิงหยุนเต็มไปด้วยความเย็นชา และกระบี่ของเขาก็แทงเข้าที่คอหอยของนักพรตเต๋าทันที และรอจนกระทั่งร่างของนักพรตเต๋าล้มไปกองกับพื้น จึงหันไปทางหลวงจีนสิงฉี

“อมิตาพุทธ..”

หลวงจจีนสิงฉีจ้องมองบาดแผลของตนเอง ก่อนจะถามหลิงหยุนว่า “ถ้าเช่นนั้นศิษย์น้องของข้าหลวงจีนมี่ฉิงคงจะถูกเจ้าสังหารเช่นกันสินะ?”

หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับตอบกลับไปว่า “ฉลาดนี่!”

หลวงจีนสิงฉียกมือขึ้นชี้ไปที่กระบี่โลหิตแดนใต้ในมือหลิงหยุน แล้วพูดขึ้นว่า

“ประสก.. กระบี่มารในมือเจ้านั้นโหดเหี้ยมนัก! เจ้าฟังข้าซึ่งเป็นศิษย์ของพระพุทธองค์สักครั้งเถิด ทิ้งกระบี่เล่มนั้นซะ ก่อนที่กระบี่นั่นจะควบคุมเจ้าในวันข้างหน้า และก่อนที่เจ้าจะกลายเป็นมารเต็มตัว..”

“ประสก.. เจ้าสามารถบ่มเพาะกำลังภายในมาถึงขึ้นนี้ได้ตั้งแต่อายุยังน้อย หลวงจีนเฒ่าอย่างข้าหากต้องตายลงไปในวันนี้ก็ไม่เสียใจ! แต่ข้าอยากจะขอร้องเจ้าว่า ได้โปรดวางกระบี่มารนั่นลงซะ แล้วหันหน้าเข้าสู่ทางธรรม!”

หลิงหยุนกลับยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า..

“ดูเหมือนจะมีคนมากมายที่แนะนำให้ข้าทิ้งกระบี่เล่มนี้ แต่ข้าขอถามท่านสักประโยค สังหารคนด้วยกระบี่ที่เลื่องชื่อ ด้วยกระบี่วิเศษ หรือแม้แต่ด้วยหมัด มันต่างกันอย่างไร?”

“เรื่องนั้น..” หลวงจีนสิงฉีที่ถูกหลิงหยุนถามถึงกับนั่งนิ่ง

หลิงหยุนจึงถามต่อว่า “หากข้าทิ้งกระบี่โลหิตแดนใต้เล่มนี้ไป และต่อให้ข้าวางมือไม่สังหารใครอีกในวันข้างหน้า ท่านสามารถยืนยันได้หรือไม่ว่า นับแต่นี้ไปผู้คนบนโลกใบนี้จะไม่เข่นฆ่ากันอีก?”

สีหน้าของหลวงจีนมี่สิงเปลี่ยนไปทันที เขานิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนจะถอนหายใจออกมา และตอบกลับไปยิ้มๆ

“หลวงจีนเฒ่าอย่างข้าไม่อาจมั่นใจและยืนยันเช่นนั้นได้ และดูเหมือนว่าประสกเองก็ไม่ใช่คนธรรมดา ได้โปรดไตร่ตรอง..”

หลังจากที่หลวงจีนสิงฉีพูดจบ เขาก็เอามือออกจากบาดแผลของตนเอง ก่อนจะนั่งลงขัดสมาธิ ปล่อยให้เลือดไหลออกจากอก และปากก็พล่ามแต่ – อมิตาพุทธ!

แม้ว่าหลวงจีนสิงฉีจะไม่ต่อต้านแล้ว แต่หลิงหยุนก็ไม่สามารถปล่อยเขาไปได้ กระบี่ในมือหลิงหยุนเงื้อขึ้นอีกครั้ง และชี้ไปยังหน้าอกของหลวงจีนสิงฉี


บทที่ 403 : สมบัติพุทธองค์!

“โอม มา นี แปะ หมี่ ฮง..”

หลวงจีนสิงฉีนั่งขัดสมาธิ ฝ่ามือสองข้างปะกบเข้าหากัน พร้อมกับสวด – โอมมานีแปะหมี่ฮง ทั้งหกคำนี้ด้วยท่าทางสงบ และปราศจากความหวาดกลัว

แต่นั่นก็ไม่สามารถหยุดความตั้งใจที่จะสังหารของหลิงหยุนได้ กระบี่มังกรขาวในมือของเขาพุ่งเข้าใส่คอหอยของหลวงจีนสิงฉีอย่างรวดเร็ว!

แต่ทันใดนั้นเอง.. จู่ๆลูกปะคำที่อยู่ในแหวนพื้นที่ของหลิงหยุน ก็พุ่งออกมาด้วยความเร็วที่ไม่น่าเชื่อ และเข้าไปสกัดปลายกระบี่ที่แหลมคมของหลิงหยุนไว้ได้ทันท่วงที!

ลูกปะคำที่พุ่งออกมานั้น ไม่มีประกายแสงเจิดจ้า หรือมีพลังพุทธะแต่อย่างใด เพราะหลังจากที่พุ่งออกมาจากแหวนพื้นที่แล้ว สีของมันก็ยังคงเป็นสีเทาธรรมดา อีกทั้งยังไม่มีปรากฏการณ์อื่นๆตามมาอีกด้วย!

ลูกปะคำนั่นเพียงแค่พุ่งออกมาสกัดปลายกระบี่ที่กำลังแทงเข้าลำคอของหลวงจีนสิงฉีเท่านั้น!

กระบี่มังกรขาวมีความแหลมคมเพียงใดนั้นย่อมเป็นที่รู้กันดี และยิ่งผนวกกับกำลังภายในที่แข็งแกร่งของหลิงหยุนแล้ว จึงแทบไม่ต้องพูดถึงประสิทธิภาพของมัน

แต่น่าแปลกที่ไม่ว่าหลิงหยุนจะออกแรงมากเพียงใด หรือแม้แต่เปลี่ยนทิศทางการโจมตี หลิงหยุนก็ไม่สามารถแทงทะลุลูกปะคำลูกนั้นไปได้!

 “โอม มา นี แปะ หมี่ ฮง”

คำสวดทั้งหกคำของหลวงจีนสิงฉีดูเหมือนจะมีพลังมหาศาล ผู้คนที่อยู่ในบ้านต่างก็รับรู้ได้ถึงพลังความเมตตา สีหน้าของหลวงจีนในยามนี้กลับกลายเป็นสงบเยือกเย็น และน่าศรัทธายิ่งนัก!

หลวงจีนสิงฉีสัมผัสได้ถึงพลังพุทธองค์ที่แข็งแกร่ง เขาจึงเปิดเปลือกตาขึ้นมอง แต่แล้วก็ต้องตกใจสุดขีดกับภาพที่อยู่ตรงหน้า!

“อมิตาพุทธ.. นี่มัน..”

ทันทีที่ได้เห็นลูกปะคำลอยอยู่ตรงหน้า สีหน้าแววตาของหลวงจีนสิงฉีก็เต็มไปด้วยความตกใจ จนถึงกับหยุดสวดมนต์ไป!

แต่ดูเหมือนคนที่ตกใจที่สุดจะเป็นหลิงหยุน! เขาได้แต่คิดว่า เหตุใดสมบัติที่เขานำขึ้นมาจากก้นหลุมยักษ์ จึงได้พุ่งออกจากแหวนพื้นที่เองได้?

คนอื่นๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์อาจไม่รู้ แต่หลิงหยุนนั้นรู้กระจ่างแจ้งแก่ใจดี เพราะสมบัติชิ้นนี้เขาได้มาจากวัดเล็กๆที่อยู่ในดวงตามังกร และลูกปะคำเม็ดนี้ ก็เป็นลูกปะคำที่อยู่ในมือของหลวงจีนกายเพชรผู้นั้น!

หลิงหยุนใช้กระบี่ในมือโจมตีไปที่หลวงจีนสิงฉีอีกครั้งด้วยความโมโห..

ชัวะ.. ชัวะ.. ชัวะ..! แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะกระบี่ของเขาล้วนถูกลูกปะคำสะกัดกั้นไว้ได้ทุกครั้ง!

ลูกปะคำเม็ดน้ำก็เริ่มเปล่งพลังพุทธะออกมา และค่อยๆสลายแรงสังหารที่รุนแรงในจิตใจของหลิงหยุนลงทีละน้อย!

หลวงจีนสิงฉีไม่ได้สนใจกระบี่ของหลิงหยุนที่ฟาดฟันลงมาแม้แต่น้อย เพราะหลังจากที่เขาหายตกใจและตกตะลึงแล้ว เขาก็รีบลุกจากท่านั่งขัดสมาธิมาเป็นคุกเข่า พร้อมกับก้มศรีษะจนหน้าผากจรดพื้น เพื่อสักการะลูกปะคำที่ลอยอยู่กลางอากาศเม็ดนั้น

หลวงจีนสิงฉีทำการโขกศรีษะลงพื้นถึงเก้าครั้ง จากนั้นก็ยกฝ่ามือทั้งสองข้างประกบกันพร้อมกับขอร้องหลิงหยุนว่า

“ประสก.. ได้โปรดเก็บกระบี่ของเจ้าก่อน อาตมามีคำพูดบางอย่างอยากจะพูดกับเจ้า..”

หลิงหยุนเองก็รู้เช่นเดียวกันว่า เขาไม่สามารถสังหารหลวงจีนรูปนี้ได้ จึงได้แต่เก็บกระบี่มังกรขาวเข้าไปในแหวนพื้นที่ ทันทีที่เก็บกระบี่ ลูกปะคำก็ลอยกลับเข้าไปหาหลิงหยุน และหายเข้าไปในแหวนพื้นที่อีกครั้ง

“น่าแปลก.. ทำไมถึงได้เป็นเช่นนี้..”

หลิงหยนได้แต่นึกประหลาดใจ พร้อมกับกำลังคิดว่าเขาคงจะต้องเอาลูกปะคำนี้ไปทิ้งที่ใหนสักแห่งแล้ว

‘หลวงจีนที่มรณภาพในท่านั่งรูปนั้น ดูเหมือนจะเก่งกาจและแข็งแกร่งอย่างน่าเหลือเชื่อ ไม่แน่ว่าต่อให้ข้าฝึกถึงขั้นที่สูงกว่านี้ ก็ใช่ว่าจะรับมือกับลูกปะคำที่เขาทิ้งไว้ข้างหลังได้ ดูท่าสมบัติชิ้นนี้คงจะอยู่กับข้าไม่ได้แล้ว!’

สมบัติต่อให้ล้ำค่าเพียงใด หากหลิงหยุนไม่สามารถใช้งานได้ เขาก็พร้อมที่จะทิ้งมันไปได้ทันที!

“เจ้าพูดมา!”

หลิงหยุนจัดการเก็บกระบี่โลหิตแดนใต้อีกด้าม พร้อมกับยืนเอามือไขว้หลังอยู่ต่อหน้าหลวงจีนสีฉิงที่กำลังพูดด้วยน้ำเสียงที่เบามาก

“ประสกไม่ใช่คนของนิกายมาร! ไม่เพียงแค่ไม่ใช่เลย..! แต่ยังมีชะตาต้องกับพุทธองค์..” หลวงจีนสิงฉีพูดเพียงแค่นั้น

หลิงหยุนตกใจกลัวจนต้องรีบพูดขึ้นมาว่า “นี่หลวงจีนเฒ่า.. ท่านไม่ต้องอ้างเรื่องนี้เลย ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องอ้างเรื่องชะตาต้องกับพุทธองค์อะไรนี่เลย!”

ตลกสิ้นดี.. รอบกายของเขามีสาวงามรายล้อมอยู่มากมายที่เขายังไม่เคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งด้วย แต่หลวงจีนเฒ่านี่กลับบอกว่าเขามีชะต้องกับพุทธองค์..

แต่หลวงจีนสิงฉีได้แต่ยิ้มพร้อมตอบกลับมาว่า “ประสก.. เจ้าสามารถใช้กระบี่มารนี่สังหารข้าได้ แต่เหตุใดเจ้าจึงเลือกที่จะใช้กระบี่อีกเล่มแทนล่ะ?”

หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า หลวงจีน.. ยังไงก็เป็นหลวงจีนอยู่วันยันค่ำ พูดจาน่าเบื่อหน่าย! จะสังหารใครสักคน จะต้องสนใจทำไมว่าใช้กระบี่เล่มใหนสังหาร?

หลวงจีนสิงฉีเห็นหลิงหยุนนิ่งไม่ตอบ จึงได้แต่ยิ้มและพูดต่อ “ข้าขอถามประสก.. เจ้าได้ลูกประคำนั่นมาจากที่ใด?”

หลิงหยุนได้แต่ตอบส่งๆไป “ตามถนน.. ข้าเห็นเข้า นึกสนุกก็เลยเก็บขึ้นมาดู แต่ตอนนี้กำลังคิดว่าหมดสนุกแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะโยนมันทิ้งไป!”

หลวงจีนสิงฉีรู้ว่าหลิงหยุนตั้งใจตอบส่งๆไปเท่านั้นเอง จึงไม่ใส่ใจกับคำพูดของเขานัก จึงได้แต่ตอบกลับไปว่า

“เช่นนั้นก็แล้วแต่ประสกเถิด.. อยากจะเก็บไว้ หรืออยากจะโยนทิ้งไปก็ตามใจ แต่อาตมาอยากจะบอกกับเจ้าว่า.. ลูกประคำนี่เป็นสมบัติล้ำค่าสูงสุดของพุทธศาสนา – เรียกว่าโพธิ!”

“โพธิ?!” สมองของหลิงหยุนทำงานอย่างหนัก เขาพยายามค้นหาข้อมูลจากความทรงจำมหาศาลของตนเอง แต่ก็ไม่พบคำนี้ในความทรงจำของเขาเลย

และดูเหมือนตอนที่อยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้น เขาเองก็ไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อนเช่นกัน

หลวงจีนสิงฉีมองหลิงหยุนด้วยความเมตตาเต็มเปี่ยมพร้อมกับอธิบายต่อว่า

“โพธิในที่นี้ไม่ใช่ต้นไม้ แต่คือจิตที่ว่างเปล่าปราศจากกิเลส – ประสก.. เจ้าได้ครอบครองสมบัติล้ำค่าอย่างโพธิ หากไม่ใช่เพราะเจ้ามีชะตาต้องกับพุทธองค์แล้ว จะเป็นอย่างอื่นไปได้อย่างไร? เจ้าอย่าได้หลอกตัวเองอีกเลย!”

“จะเป็นสมบัติล้ำค่าของใครก็ช่างเถอะ! พรุ่งนี้ข้าจะโยนมันทิ้งไป!” หลิงหยุนโต้ด้วยความดื้อรั้น

แม้หลิงหยุนจะฝึกตน แต่เขาก็ฝึกตามแนวทางเต๋า และไม่ใช่ว่าเขาจะเดินตามแนวทางเต๋าทั้งหมด จะเรียกว่ามีเต๋าเพียงครึ่งเดียวก็ได้!

การฝึกฝนของเขานั้นเป็นไปตามแนวทางของเขาเอง เป็นการฝึกเพื่อที่จะทำให้ตัวเขาอยู่ยงคงกะพัน แต่จะไม่ข้องเกี่ยวใดๆกับพุทธองค์ทั้งสิ้น

“โอ้.. ดูเหมือนว่าประสกจะไม่ต้องการโพธิจริงๆ ถ้าเช่นนั้นอาตมาขอถามเรื่องพู่กันและสมุดจักรพรรดิที่อยู่กับเจ้าก็แล้วกัน?” ใบหน้าและรอยยิ้มของหลวงจีนดูลึกลับและเป็นปริศนาขณะที่ถามหลิงหยุน

หลิงหยุนตกใจ แต่ก็ทำเป็นไม่ใส่ใจ พร้อมกับคิดว่าหลวงจีนเฒ่ารูปนี้ไม่ธรรมดาเลย ตอนนี้พู่กันจักรพรรดิอยู่ที่หว่างคิ้วของเขา ส่วนสมุดจักรพรรดิก็อยู่ที่จุดตันเถียน เรื่องนี้.. หลวงจีนรูปนี้รู้ได้อย่างไรกัน?!

จู่ๆม่านตาทั้งสองข้างของหลิงหยุนก็ปรากฏเป็นสีขาวดำขึ้นมาวูบหนึ่ง มันเป็นแววตาสังหาร – หลิงหยุนกำลังคิดในใจว่า ในเมื่อโพธิสะกัดกั้นเฉพาะเขาไม่ให้สังหารหลวงจีนรูปนี้ เขาก็จะให้เหล่ากุ่ยกับตู้กู่โม่เป็นผู้สังหารแทน!

เพราะกระบี่มังกรขาวสามารถเปิดเผยให้ผู้คนรู้ได้ กระบี่โลหิตแดนใต้ก็เช่นกัน อีกทั้งแหวนพื้นที่ น้ำเต้าวิเศษ น้ำลายมังกร และของล้ำค่าอื่นๆล้วนเปิดเผยได้ทั้งสิ้น เว้นแต่สมุดและพู่กันจักรพรรดิเท่านั้น ที่ไม่สามารถเปิดเผยให้ใครรู้ได้!

เพราะทุกวันนี้ ใครๆต่างก็ต้องการครอบครอง และเป็นเจ้าของสองสิ่งนี้ อีกทั้งความแข็งแกร่งของหลิงหยุนในเวลานี้ก็ยังต่ำเกินไป หากข่าวนี้แพร่สะพรัดออกไป ชีวิตของเขาคงต้องกลายเป็นเป้าหมายของทุกคนแน่!

“เจ้าพูดเรื่องอะไรข้าไม่เข้าใจ ข้าไม่เคยได้ยินเรื่องพวกนี้มาก่อน..”

แววตาสังหารของหลิงหยุนปรากฏขึ้นมาวูบหนึ่งแล้วก็ดับไป และโชคดีที่หลวงจีนสิงฉีไม่เห็น! แต่ถึงจะเห็น หลิงหยุนก็ไม่ได้หวั่นแม้แต่น้อย..

“หลิงหยุน.. เจ้ามาที่นี่ด้วยความสิ้นหวัง พร้อมด้วยภารกิจมากมายที่เจ้าเองก็ไม่อาจละทิ้งได้..”

หลวงจีนสิงฉีพูดจาแปลกประหลาดอีกราวสี่ห้าประโยค หลิงหยุนฟังดูแล้วไร้เหตุผลสิ้นดี แต่ก็น่าแปลกที่คำพูดเหล่านั้นกับกระทบจิตใจหลิงหยุนอย่ารุนแรง

โลกใบนี้ช่างลึกลับและเป็นปริศนา หลิงหยุนได้แต่ลังเลสงสัย!

“ทุกชีวิต.. ล้วนว่างเปล่า มันเป็นเช่นนั้น! ฮ่า.. ฮ่า..”

เสียงพูดของหลวงจีนสิงฉีค่อยๆเบาลงเรื่อยๆ และหลังจากสิ้นเสียงหัวเราะ ร่างของเขาก็นั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหว และไม่มีเสียงใดๆอีกเลย..

“หลวงจีน.. ท่าน!” หลิงหยุนฟังด้วยความงงงวย แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ถามอะไร หลวงจีนสิงฉีก็นั่งนิ่งไม่ไหวติงแล้ว

หลวงจีนสิงฉีได้ดับขันธ์ของตัวเอง และมรณภาพไปในท่านั่งที่ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้มที่สงบ!

“นี่..”

หลิงหยุนจ้องมองร่างของหลวงจีนสิงฉีพร้อมกับครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่นานจนไม่รู้ว่าล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ จากนั้นจึงถอนหายใจออกมา

ในเมื่อโพธิไม่ยอมให้สังหารหลวงจีนสิงฉี หลิงหยุนก็ตั้งใจที่จะไว้ชีวิตของเขาอยู่แล้ว แต่ดูเหมือนหลวงจีนจะรู้เรื่องราวทุกอย่างดี เพราะหลังจากที่เกิดจิตสังหารขึ้นในใจหลิงหยุนวูบหนึ่งนั้น หลวงจีนสิงฉีไม่ต้องการให้เขาเป็นผู้ลงมือ จึงได้จัดการดับขันธ์ตัวเองและมรณภาพด้วยความเต็มใจ!

“ขอบคุณท่านมาก!” หลังจากผ่านพ้นไปนานชั่วระยะหนึ่ง หลิงหยุนก็ผละจากร่างที่นิ่งเงียบของหลวงจีนสิงฉี และตรงเข้าหาซันเทียนเปียว

“ซันเทียนเปียว.. ถึงคราวของเจ้าแล้ว..”

หลิงหยุนมองซันเทียนเปียวที่กำลังนั่งอยู่ที่พื้นพร้อมกับยิ้มด้วยแววตาสนุกสนาน

เหล่ากุ่ยและตู้กู่โม่ต่างก็รวมตัวกันเพื่อไม่ให้ซันเทียนเปียวหลบหนี

“หลิงหยุน.. เจ้าทำอะไรกับหลวงจีนเฒ่านั่น? แล้วเกิดอะไรขึ้นกับลูกปะคำนั่น?” ตู้กู่โม่อดรนทนไม่ไหว ในที่สุดก็ร้องถามออกมาด้วยความอยากรู้อยากเห็น

เมื่อครู่ทั้งหลิงหยุนและหลวงจีนสิงฉีต่างก็พูดคุยกันผ่านกระแสจิต จึงไม่มีใครได้ยินบทสนทนาระหว่างพวกเขาทั้งสองคน

“ข้าคุยกับหลวงจีนเรื่องของชีวิต..” หลิงหยุนตอบไปเรื่อยเปื่อย

ตู้กู่โม่ถึงกับเกาศรีษะอย่างงุนงงพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เจ้าคุยกับหลวงจีนเรื่องชีวิต แล้วเขาตายได้ยังไงกัน?”

หลิงหยุนไม่ต้องการพูดถึงเรื่องของหลวงจีนสิงฉีอีก เขาพูดเพียงว่า “ทุกคนมีชีวิตเป็นของตัวเอง มีจิตใจเป็นของตัวเอง เขาตัดสินใจเช่นนั้น เจ้าจะให้ข้าทำยังไง?”

จากนั้นหลิงหยุนก็ไม่เสียเวลาพูดกับตู้กู่โม่อีก เขาถือกระบี่โลหิตแดนใต้ไว้ในมือพร้อมกับหมุนข้อมือและชี้ไปทางซันเทียนเปียว

“ซันเทียนเปียว.. ข้าเพิ่งพูดว่าจะสับเจ้าเป็นชิ้นๆ เจ้ายังจำได้ไม๊?!”

แววตาของหลิงหยุนเย็นยะเยือกไม่ต่างจากกระบี่ในมือที่เย็นราวกับน้ำแข็ง

ซันเทียนเปียวรู้ดีว่าหลิงหยุนไม่ต่างจากฆาตกร จะเรียกว่าราชันแห่งมารก็คงจะไม่เกินไป!

“หลิงหยุน ในคืนวันเชงเม้ง เจ้า..”

หลิงหยุนตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่เบาแต่ชัดเจน “ใช่แล้ว.. คนของเจ้าถูกข้าสังหารตายหมด รวมทั้งเมียที่แสนจองหองกับลูกชายที่ชั่วช้าของเจ้าด้วย ยอดฝีมือทั้งสี่คน ข้าก็เป็นคนฆ่าตายกับมือ ถ้าเจ้าต้องการจะล้างแค้นให้กับพวกเขา ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว เข้ามาจัดการล้างแค้นให้กับพวกเขาได้เลย”

“เพราะไม่ว่าจะยังไงเจ้าก็ต้องตายอยู่ดี!” หลิงหยุนพูดเสียงดังฟังชัด

เป็นเพราะการบีบบังคับของซันเทียนเปียว ทำให้เฉิงเม่ยเฟิงไม่มีทางเลือก และต้องยอมตัวเป็นศิษย์ของสำนักจิ้งซิน และเรื่องนี้ได้ทำลายความอดทนของหลิงหยุนไปแล้วจนหมดสิ้น!


บทที่ 404 : สังหารซันเทียนเปียว – กลุ่มเทพอินทรี

ซันเทียนเปียวถูกกระบี่มังกรขาวแทงเข้าที่ซี่โครงด้านซ้ายและหน้าอกตั้งแต่เริ่มปะทะกับหลิงหยุน และหลังจากนั้นไหล่ซ้ายก็ถูกฟันด้วยกระบี่โลหิตแดนใต้ ตอนนี้เลือดกำลังไหลท่วมตัวของเขา..

เลือดจำนวนมากไหลออกจากร่างของยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนไม่หยุด จนใบหน้าซีดเซียวไปหมด และหน้าผากก็มีเหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นมามากมาย

ซันเทียนเปียวใช้มือข้างขวาปิดบาดแผลที่ไหล่ไว้ ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด พร้อมกับจ้องมองหลิงหยุน และร้องถามขึ้นอย่างไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น

“หลิงหยุน.. เมื่อสิบวันก่อนหน้านี้เจ้ายังไม่เข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-8 ด้วยซ้ำไป แต่ทำไมตอนนี้เจ้าจึงสามารถสังหารยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-1 ถึงสองคนได้?”

หลิงหยุนยิ้มบางก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงดุดัน “พรสวรรค์.. เจ้ารู้จักไม๊? ข้าเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ คงไม่ต้องอธิบายมาก!”

ตู้กู่โม่ได้ยินถึงกับกรอกตาไปมาพร้อมกับคิดในใจว่า ‘ข้าเองก็ได้ชื่อว่าเป็นยอดฝีมือที่มีพรสวรรค์อย่างหาได้ยากแห่งตระกูลตู้กู่เหมือนกัน แต่หากเทียบกับพรสวรรค์ดั่งปีศาจประทานของเจ้าแล้ว ความเก่งของข้าแทบไม่มีอะไรเลย..’

ซันเทียนเปียวได้แต่ยิ้มอย่างขมขื่น เพราะรู้ดีว่าตระกูลซันได้สะดุดตอต้นใหญ่มากเข้าแล้วจริงๆ แม้ฝีมือและความแข็งแกร่งของหลิงหยุนในเวลานี้ จะไม่สามารถถึงกับทำให้ตระกูลซันต้องสิ้นชื่อได้ในทันที แต่หากหลิงหยุนใช้วิธีแอบซุ่มโจมตี ก็อาจสามารถสังหารสมาชิกและยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-2 ของตระกูลซันได้ หรืออาจจะมากกว่านั้น!

แต่นั่นยังไม่ใช่เรื่องที่น่าหวาดกลัวเท่ากับความก้าวหน้าที่รวดเร็วอย่างมากของหลิงหยุน!

เมื่อสิบวันที่แล้ว ดูเหมือนหลิงหยุนจะยังอยู่เพียงแค่ขั้นโฮ่วเทียน-8 แต่หลังจากนั้นสิบวัน เขากลับสามารถสังหารยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-1 ได้! กำลังภายในของเขาช่างรุดหน้าได้อย่างก้าวกระโดด!

หากกำลังภายในของหลิงหยุนจะก้าวหน้าได้รวดเร็วเช่นนี้ อีกสิบวันข้างหน้า.. หลิงหยุนคงจะสามารถทำลายล้างตระกูลซันจนสิ้นซากได้อย่างแน่นอน?

“หลิงหยุน.. ทั้งหมดเป็นความผิดของลูกชายข้า – ซันจิ้ง! วันนี้หากเจ้าปล่อยข้าไป ไม่ว่าเจ้าต้องการสิ่งใด หรือมีเงื่อนไขอะไร ข้า-ซันเทียนเปียวยินดีที่จะปฏิบัติตามทุกอย่าง!”

ซันเทียนเปียวเป็นฝ่ายเอ่ยของขมาหลิงหยุน และร้องขอให้เขายกโทษให้!

ปัง!

เท้าของหลิงหยุนกระแทกเข้าที่ท้องน้อยของซันเทียนเปียวอย่างแรง ซันเทียนเปียวที่ไม่กล้าแม้แต่จะหลบ ถึงกับลงไปนอนขดเป็นกุ้งอยู่ที่พื้นด้วยความเจ็บปวด..

“เจ้าไม่มีคุณสมบัติที่จะมาต่อรองกับข้า ถ้าวันนี้ข้าไม่ฆ่าเจ้า ข้าคงต้องเปลี่ยนไปใช้แซ่อื่นแล้ว!” หลิงหยุนตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา

หากตอนนี้เฉิงเม่ยเฟิงปลอดภัยเช่นเดียวกับสมาชิกคนอื่นๆในตระกูลเฉิง หลิงหยุนอาจจะเมตตาไว้ชีวิตของซันเทียนเปียวเมื่อเขาร้องขอก็เป็นได้ แต่อย่างน้อยก็ต้องทำลายวรยุทธของเขาเสียก่อน

แต่นี่เป็นเพราะถูกซันเทียนเปียวบีบบังคับ ผู้หญิงของเขาจึงต้องถูกนำตัวกลับไปที่สำนักจิ้งซิน และตอนนี้แม่ชีมี่ยื่อก็ได้พาเธอไปจนไกลแล้ว หากหลิงหยุนเมตตาปล่อยเขาไป ก็คงจะเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก!

“ตอนนี้เจ้าอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อ ก็เป็นไปไม่ได้แล้ว! แต่หากเจ้าต้องการจะส่งข่าวบอกครอบครัวของเจ้า ก็รีบตัดสินใจซะ ข้าไม่ได้มีความอดทนสูงนัก!”

เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ซันเทียนเปียวรู้ดีว่าตนหมดโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแน่แล้ว ความกลัวตายจึงเข้าปกคลุมจิตใจของเขาขึ้นมาทันที ร่างทั้งร่างของเขาอ่อนระทวย และสั่นเทาไปหมด!

โดยปกติแล้ว ผู้ใดที่ฝึกตนจนสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้ อย่างน้อยก็จะต้องมีอายุยืนยาวถึงร้อยปี แต่นี่เขากลับต้องมาจบชีวิตในวัยเพียงแค่ห้าสิบ!

“หลิงหยุน.. ข้าจะไม่บอกเรื่องนี้กับครอบครัวของข้า ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด..”

ซันเทียนเปียวทั้งตกใจ และหวาดกลัวต่อความตาย จนต้องคุกเข่าลงขอร้องหลิงหยุนให้ปล่อยตนเองไป

ตอนนี้ใบหน้าของยอดฝีมือที่เก่งกาจแห่งตระกูลใหญ่ในปักกิ่ง กลับเต็มไปด้วยความหวาดผวาและกลัวตาย!

ซันเทียนเปียวในเวลานี้ไม่ต่างจากสัตว์ร้ายที่กำลังดิ้นรนเอาชีวิตรอด หลิงหยุนเกรงว่าเขาจะหลบหนีไป จึงได้โคจรดารกะดายันทั่วร่าง พร้อมกับค่อยๆเงื้อกระบี่โลหิตแดนใต้ในมือขึ้นช้าๆ!

“ปล่อยเขาไปซะ!”

จู่ๆ เสียงดังก้องราวกับพายุก็ดังขึ้นห่างออกไปราวสองสามร้อยเมตร และร่างสูงก็ปรากฏตัวขึ้นกระโดดไปมาตามกิ่งไม้อย่างคล่องแคล่ว และตอนนี้ก็อยู่ห่างไปไม่ถึงหนึ่งร้อยเมตร!

“ข้าเกลียดคำพูดแบบนี้ที่สุด!”

หลิงหยุนพูดเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจ พร้อมกับแทงกระบี่โลหิตแดนใต้เข้าไปที่ร่างของซันเทียนเปียวทันที

“อ๊าก..”

เสียงกรีดร้องโหยหวนอย่างน่าสังเวชของซันเทียนเปียวดังขึ้น พร้อมกับร่างที่คลานหนีคมกระบี่สีดำของหลิงหยุนอย่างรวดเร็ว!

หลิงหยุนเตรียมพร้อมอยู่แล้ว แววตาของเขาเยือกเย็น และตะปูในมือสิบกว่าเล่มก็ถูกซัดออกไป พร้อมกับใช้มังกรพรางร่างไปโผล่ขวางหน้าซันเทียนเปียวที่กำลังเตรียมตัวกระโดดหนี!

“โอ๊ย…”

ซันเทียนเปียวคิดแต่จะหนีจนลืมที่จะเดินลมปราณป้องกันร่างกายของตนเองไว้ ตะปูหลายเล่มของหลิงหยุนจึงพุ่งเข้าใส่แผ่นหลังของเขาจนกรีดร้องเสียงดังออกมาด้วยความเจ็บปวด!

กระบี่โลหิตแดนใต้ในมือหลิงหยุนฟันลงมาอีกครั้ง และครั้งนี้ความเร็วของกระบี่เร็วกว่าครั้งแรกเป็นเท่าตัว..

ชัวะ!

เลือดสีแดงพุ่งออกมาจากแขนข้างขวาของซันเทียนเปียวที่ถูกคมกระบี่ของหลิงหยุนตัดจนขาด!

“และนี่เป็นการลงโทษที่เจ้าบังคับให้คนของข้าเปลี่ยนไปใช้แซ่ของเจ้า.. ข้าจะให้เจ้าลิ้มรสของการถูกสับเป็นชิ้นๆ!”

ชัวะ.. ชัวะ.. ชัวะ..! หลิงหยุนร้องบอกพร้อมกับตรงเข้าฟันไปตามร่างของซันเทียนเปียวไม่เลือก ส่วนซันเทียนเปียวก็ถูกฟันจนแทบไม่เหลือร่างเดิม!

“หลิงหยุน.. เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง?”

ยอดฝีมือที่เพิ่งมาถึงร้องตะโกนออกไปทันที เมื่อเห็นหลิงหยุนกระหน่ำฟันซันเทียนเปียว ความโกรธของเขาพุ่งขึ้นจนต้องตวัดแส้ยาวสีดำในมือใส่ข้อมือขวาของหลิงหยุน!

“ฮึ่ม!” หลิงหยุนทำเสียงไม่พอใจ พร้อมกับบิดข้อมือ และกระบี่โลหิตแดนใต้ก็ปะทะเข้ากับแส้ยาวที่ฟาดมาทางด้านหลังของเขาได้อย่างพอดิบพอดี

เหล่ากุ่ยมองเห็นปีกอินทรีบนหน้าอกข้างซ้ายของเหลยเชิ่ง จึงรีบส่งกระแสจิตบอกหลิงหยุนทันที “เขาเป็นคนของกลุ่มเทพอินทรี เป็นหนึ่งในองค์กรลี้ลับแห่งประเทศจีน อย่าได้ทำร้ายเขาล่ะ!”

เหลยเชิ่งเป็นยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-1 เขารู้ดีว่ากระบี่ในมือของหลิงหยุนนั้นคือกระบี่โลหิตแดนใต้ แส้ยาวสีดำในมือสะบัดหลบได้อย่างนุ่มนวล มันยืดหยุ่นได้ราวกับงู และสามารถหลบคมกระบี่ของหลิงหยุนได้อย่างอัศจรรย์!

จากนั้นเหลยเชิ่งก็กระโดดลงมากลางสนามห่างจากหลิงหยุนไปราวเจ็ดเมตร และหยุดโจมตีหลิงหยุน เขากวาดสายตามองไปรอบๆเพื่อประเมินสถานการณ์

เขาพบยอดฝีมือขั้นเริ่มต้นสี่คนที่ได้รับบาดเจ็บจากตะปูอยู่ที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง ทั้งสี่คนกำลังดูแลซึ่งกันและกัน พวกเขาได้แต่มองหลิงหยุนและยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนทั้งสามคนต่อสู้กัน ไม่เพียงไม่กล้าเขาไปช่วย แต่ยังไม่กล้าหลบหนีอีกด้วย

เหลยเชิ่งเห็นร่องรอยการต่อสู้ที่ดุเดือดในสนาม จึงรู้ว่าตนเองมาช้าเกินไปหนึ่งก้าวอีกแล้ว ตระกูลซันพายอดฝีมือมาที่เมืองจิงฉูมากมาย แต่กลับถูกสังหารตายจนเกือบหมด เหลือเพียงยอดฝีมือขั้นต้นเพียงไม่กี่คนเท่านั้น

เหลยเชิ่งมองกระบี่ในมือของหลิงหยุนพร้อมกับพูดว่า “หลิงหยุน ข้าคงไม่จำเป็นต้องคุยอะไรกับเจ้าอีกแล้ว เจ้าอายุเพียงแค่สิบแปด แต่กลับเหี้ยมโหดได้ถึงเพียงนี้ เจ้าทำเกินไปแล้วจริงๆ!”

หลิงหยุนยิ้มเย็นชาพร้อมกับก้าวเท้าไปข้างหน้า “เกินไปงั้นรึ? ข้ากลับไม่รู้สึกเช่นนั้น!”

“กลุ่มเทพอินทรี หนึ่งในองค์กรลี้ลับของประเทศจีน ฟังดูใหญ่โตดีนี่! แต่ก่อนที่ข้าจะต้องลงมือสะสางปัญหาพวกนี้ด้วยตัวเอง พวกเจ้าไปอยู่ที่ใหนมา?”

เหลยเชิ่งได้แต่อึ้งและผงะไปเล็กน้อย.. “นี่เจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้าเป็นคนของกลุ่มเทพอินทรี?”

แต่หลิงหยุนไม่ตอบแต่กลับย้อนถามว่า “เราสองคนไม่เคยพบกันมาก่อน แล้วเจ้ารู้จักชื่อของข้าได้ยังไง?!”

เหลยเชิ่งถึงกับอึ้งเมื่อถูกหลิงหยุนย้อนถาม ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวน่าเกลียดด้วยความไม่พอใจ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาสนใจเรื่องพวกนี้ เขายกมือขึ้นและชี้ไปยังร่างของซันเทียนเปียวที่ถูกฟันเละอยู่บนพื้นพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“หลิงหยุน นี่เจ้ารู้ตัวบ้างไม๊ว่ากำลังจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่หลวงแล้ว!”

หลิงหยุนยังคงยิ้มและตอบกลับไปว่า “รู้สิ! ข้าจะบอกเจ้าตามตรงก็ได้ว่า สามคนนี้ล้วนถูกข้าสังหารทั้งสิ้น! แล้วมีอะไรไม๊?”

สีหน้าและแววตาของหลิงหยุนเริ่มไม่พอใจ และหากเหลยเชิ่งกล้าวุ่นวายกับเขามากกว่านี้ เขาก็ไม่สนใจและไม่ลังเลที่จะทำให้เหลยเชิ่งไปนอนกองอยู่ที่พื้นอีกคน

“เจ้า..! เจ้ามันช่างไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริงๆ เจ้าไม่รู้หรือยังไงว่าบ้านเมืองมีกฏหมาย และการฆ่าคนตายก็ผิดกฎหมายอาญา แล้วจ้ายังฆ่าคนไปตั้งมากมายด้วย!”

“งั้นรึ?”

หลิงหยุนยกมือขึ้นเกาศรีษะ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ทำผิดกฎหมายบ้านเมืองงั้นรึ? ใครเป็นคนออกกฏหมาย!”

“เฮ้อ.. ข้าไม่อยากเสียเวลาอธิบายให้เจ้าฟัง! เจ้าฆ่าซันเทียนเปียว และยอดฝีมืออีกมากมาย เจ้ามีโทษทางอาญา ยังไงวันนี้ข้าก็ต้องพาตัวเจ้ากลับไปให้ได้!”

หลิงหยุนถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “คิดจะเอาตัวข้ากลับไป? เจ้าคิดว่าเจ้ามีปัญญาและมีความสามารถพอที่จะพาข้ากลับไปได้งั้นรึ?”

พูดจบหลิงหยุนก็ยกกระบี่โลหิตแดนใต้ในมือ ชี้ไปที่หน้าของเหลยเชิ่งพร้อมกับโบกไปมาช้าๆ

สีหน้าของเหล่ยเชิ่งเต็มไปด้วยกระอักกระอ่วน เพราะคิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะเป็นคนที่ยั่วโมโหได้เก่งถึงเพียงนี้

เหลยเชิ่งมองออกว่าเหล่ากุ่ยและตู้กู่โม่ที่สวมผ้าปิดบังใบหน้าไว้นั้น เพิ่งจะเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้ยังไม่ถึงระดับเริ่มต้นด้วยซ้ำ

ส่วนหลิงหยุนนั้น เหลยเชิ่งมองไม่ออก แต่หากประเมินจากการที่หลิงหยุนสามารถสังหารยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-1 ได้ถึงสามคน แสดงว่าเขาต้องอยู่ในขั้นที่เหนือกว่าเซียงเทียน-1 อย่างแน่นอน!

“หลิงหยุน คนผู้นี้เป็นคนขององค์กรลี้ลับ เจ้าอย่าได้ต่อปากต่อคำกับเขาให้มากนัก และอย่าได้สร้างความอับอายให้เขามากจนเกินไป” เหล่ากุ่ยส่งกระแสจิตเตือนให้หลิงหยุนระวังคำพูด

หลิงหยุนฟังแล้วจึงได้แต่ฉีกยิ้มให้กับเหลยเชิ่งพร้อมกับถามขึ้นว่า “ไม่ทราบว่าท่านมีชื่อแซ่อะไร..?”

“เหล่ยเชิ่ง!”

หลิงหยุนยิ้มและพูดต่อว่า “อ่อ.. พี่เหล่ย.. ข้า-หลิงหยุนมีคำถามอยากจะถามท่านสักหน่อย..”

“เจ้าถามมา!” เหล่ยเช่ยรู้ตัวดีว่าไม่สามารถตามอารมณ์ของหลิงหยุนทัน

หลิงหยุนยิ้มด้วยรอยยิ้มที่สดใสดูแล้วแทบไม่เป็นอันตรายต่อคนและสัตว์เลยแม้แต่น้อย

“ถ้ามีคนต้องการจะฆ่าท่าน ท่านจะทำอย่างไร?

เหล่ยเชิ่งอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะตอบอย่างมีสติ  “เรื่องนี้.. ก็ต้องไปแจ้งความ..”

หลิงหยุนหัวเราะเสียงดังพร้อมกับยกมือขึ้นชี้ไปทางถังเทียนเห่าว “หากแม้แต่ผู้อำนวยการสำนักงานความมั่นคงยังถูกจับตัวมาที่นี่ล่ะ แล้วข้าจะไปแจ้งความกับใคร? แล้วแจ้งความไปจะมีประโยชน์อะไร?”

เหล่ยเชิ่งมองถังเทียนห่าวด้วยความตกตะลึง..

คนที่มาเอาแฟ้มประวัติของหลิงยุนไปจากสำนักงานรักษาความมั่นคงในวันนั้นก็คือเหล่ยเชิ่งและเจี่ยเฟย! แน่นอนว่าพวกเขาต้องเคยได้พบกับถังเทียนห่าวมาก่อนแล้ว

หลิงหยุนยิ้มและพูดต่อว่า “แล้วระหว่างยืนยืดคอให้พวกมันฆ่าข้า กับข้าที่เป็นฝ่ายสังหารพวกมัน ท่านคิดว่าข้าควรเลือกทำแบบใหน?”

“พูดได้ดี!”

ทันทีที่หลิงหยุนพูดจบ เสียงไพเราะก็ดังมาจากป่าไกลนอกหมู่บ้าน!

ทุกคนในที่นั้นต่างก็เงยหน้าขึ้นมองไปทางต้นเสียงพร้อมกัน และทุกคนก็ได้พบกับหญิงชุดขาวที่มีผ้าคลุมปิดหน้า กระโปรงยาวพริ้วสะบัดลอยละลิ่วลงมาจากท้องฟ้ายามค่ำคืน!


บทที่ 405 : ฉินตงเฉี่วย – น้าหญิงที่แข็งแกร่ง!

แรงของลมทะเลพัดปะทะร่างของหญิงชุดขาว จนเสื้อผ้าแนบเข้ากับเรือนร่างเผยให้เห็นร่างกายที่บอบบางชวนให้จินตนาการต่อ..

มือขวาของนางถือกระบี่ บนใบหน้ามีผ้าสีขาวปกคลุมไว้ครึ่งหนึ่ง ทำให้เห็นเพียงแค่คิ้วคู่สวยและผิวที่ขาวราวหิมะ ร่างในชุดกระโปรงสีขาวเดินอยู่กลางอากาศอย่างช้าๆ และมุ่งหน้าไปทางหลิงหยุน!

“เดินบนอากาศ.. จะทำเช่นนี้ได้ก็ต้องฝึกถึงขั้นเซียงเทียน-3!” เหลยเชิ่งจ้องมองร่างของหญิงชุดขาวด้วยความตกใจ!

‘นี่แม่กลับมาแล้วรึ?!’

หลิงหยุนได้แต่รำพึงรำพันในใจเมื่อได้เห็นคิ้วสวยที่คล้ายคลึงกับคิ้วของนางฉินจิวยื่อ แต่กลับไม่เหมือนเสียทีเดียว เพราะมีความแตกต่างกันอยู่เล็กน้อย

‘สามารถเดินบนอากาศเป็นระยะทางไกลได้ขนาดนี้ ดูเหมือนจะไม่ธรรมดาแน่! หากอยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ นางคงจะต้องอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นปรับร่างกาย-9 แล้วเป็นแน่’ หลิงหยุนได้แต่แอบคิดอยู่ในใจเงียบๆ

แน่นอนว่า เมื่อครั้งที่อยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้น หลิงหยุนเองก็เคยฝึกจนถึงระดับสูงสุดของขั้นปรับร่างกาย-9 มาแล้ว

หญิงสวมชุดขาวที่เดินอยู่บนอากาศนั้น ไม่เดินเร็วจนเกินไป แต่ก็ไม่ช้าจนเกินไปเช่นกัน  แต่ละก้าวของเธอนั้นไกลถึงสิบเมตร และเพียงแค่เจ็ดก้าวก็มาหยุดอยู่บนพื้นตรงหน้าผู้คนพอดี

ทุกคนต่างก็ตกตะลึงกับการปรากฏตัวของหญิงสาวชุดขาวที่ดูราวกับเทพธิดาผู้นี้  รูปร่างของนางนั้นสวยงามราวกับนางฟ้านางสวรรค์ และเมื่อนางมายืนอยู่ต่อหน้าทุกคน หลิงหยุนและคนอื่นจึงหายตกตะลึงและเริ่มรู้สึกตัว..

“ข้าขอถามว่าแม่นางท่านนี้คือ..?”

เหลยเชิ่งรู้ดีว่ากำลังภายในของเขานั้นไม่อาจเทียบเท่าหญิงชุดขาวได้ และนางสามารถสังหารเขาได้เพียงแค่ชั่วลัดนิ้วมือ เขาจึงไม่กล้าที่จะทำนิ่งเฉย

“ฉินตงเฉี่วย – แห่งตระกูลฉิน!” น่าแปลกที่หญิงชุดขาวกลับไม่คิดที่จะปิดบังชื่อแซ่ แต่กลับเปิดเผยต่อทุกคนในทันที!

“ห๊ะ…”

ไม่เพียงแค่หลิงหยุน แม้แต่เหล่ากุ่ย เหลยเชิ่ง และตู้กู่โม่เอง ก็ถึงกับร้องอุทานกันเสียงหลง จากนั้นแต่ละคนก็เหมือนรู้สึกหายใจไม่ออก

คนตระกูลฉิน!

สำหรับเหล่ากุ่ยนั้น จะเรียกว่าตกใจสุดขีดเลยก็ได้! เพราะสิ่งที่เขาและผู้นำตระกูลหลิง – หลิงลี่ ได้เคยคาดคะเนไว้ ตอนนี้กลับกลายเป็นความจริงไปแล้ว!

ที่แท้.. ฉินจิวยื่อก็คือหญิสาวผู้น่าสงสารที่ถูกขับไล่ออกจากตระกุลเมื่อสิบแปดปีที่แล้ว!

ทางด้านเหลยเชิ่งและตู้กู่โม่นั้น จนถึงตอนนี้ยังกลั้นหายใจอยู่ แต่ไม่ใช่เพราะหวาดกลัวในตัวฉินตงเฉี่วย แต่เป็นเพราะได้ยินชื่อของตระกูลฉินต่างหาก!

เมื่อสิบแปดปีที่แล้ว ประเทศจีนมีตระกูลใหญ่เป็นที่นับหน้าถือตาของผู้คนอยู่สามตระกูล ซึ่งก็คือตระกูลหลงที่อยู่ปักกิ่ง และตระกูลหลิงกับตระกูลฉินที่อยู่เจียงหนาน!

ในเวลานั้น ประเทศจีนมีตระกูลใหญ่อยู่มากมายหลายตระกูล แต่ที่นับว่าผู้คนต่างให้ความเคารพนับถือนั้น ก็มีเพียงแค่สามตระกูลนี้!

แต่เป็นเพราะเหตุการณ์สองเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อสิบแปดปีที่แล้ว ทำให้ตระกูลหลิงและตระกูลฉินต่างก็ค่อยๆตกต่ำลง และทั้งสองเรื่องล้วนเกี่ยวข้องกับความรัก!

เหลยเชิ่งในฐานะที่เป็นคนของกลุ่มเทพอินทรีแห่งองค์กรลี้ลับ และตู้กู่โม่ซึ่งเป็นลูกหลานของตระกูลเก่าแก่ ทั้งคู่ต่างก็รุ้เรื่องราวของตระกูลฉินดี ในตอนนี้พวกเขากลับมีโอกาสได้พบเห็นทายาทตระกูลฉินตัวจริง มีหรือที่ทั้งสองคนจะไม่ตกใจ?!

ฉินตงเฉี่วยคลุมผ้าสีขาวปิดบังใบหน้าไว้ หลิงหยุนจึงไม่สามารถรู้อายุที่แท้จริงของนางได้ แต่หากคาดคะเนจากคิ้วและรูปร่างแล้ว ฉินตงเฉี่วยคงจะอายุราวยี่สิบกว่าๆ

เหลยเชิ่งผงะถอยหลังกลับไปหนึ่งก้าวด้วยความตกใจ เขาใคร่คาวญครู่หนึ่งก่อนจะถามต่อว่า

“แม่นางฉิน.. ข้าได้ยินมาว่าตระกูลฉินมีหญิงสาวคู่หนึ่งคล้ายกันราวกับแฝด และทั้งคู่ล้วนเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธเข้าขั้นอัจฉริยะ ล่ำลือกันว่าคนน้องนั้นสามารถเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-6 ได้ตั้งแต่อายุเพียงเก้าขวบ..”

แววตาของฉินตงเฉี่วยเป็นประกายขึ้นมาทันทีที่ได้ฟัง พร้อมกับชายตามองไปทางเหลยเชิ่ง จากนั้นเสียงใสกังวานราวกับระฆังก็ดังออกจากปากนาง

“เจ้าอย่ามาจงใจเปลี่ยนเรื่องหน่อยเลย.. คนที่เจ้าพูดถึงก็คือข้าเอง!”

จากนั้น ฉินตงเฉี่วยก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างเย็นชา

“คำพูดของหลิงหยุน คิดว่าเจ้าคงจะได้ยินชัดเจนแล้ว เรื่องที่เกิดขึ้นในจิงฉูคืนนี้ เจ้าอย่าได้ดึงกลุ่มเทพอินทรีเข้ามายุ่งเกี่ยว เจ้ามาทางใหนก็กลับไปทางนั้นซะ! ข้าจะได้ไม่ต้องทำให้เจ้าได้รับความอับอาย!”

หลังจากฉินตงเฉี่วยพูดจบ เขาก็ไม่สนใจกับเหลยเชิ่งอีกเลย แต่กลับเดินเข้าไปยืนอยู่ต่อหน้าหลิงหยุน จากนั้นก็ยกมือซ้ายที่อ่อนช้อยและขาวราวหิมะของนางขึ้นพร้อมกับหยิกแก้มหลิงหยุนด้วยความรักและเอ็นดู

“เจ้าเด็กดื้อ.. นึกไม่ถึงจริงๆว่าเจ้าจะเล่นอะไรแบบนี้ ยังไม่เรียกน้าหญิงอีก!”

แก้มของหลิงหยุนถูกฉินตงเฉี่วยหยิก และนางก็เป็นน้องสาวของแม่เขา เขาจึงได้แต่ปล่อยให้ฉินตงเฉี่วยขยำแก้มของเขาเล่น และปากก็ได้แต่ร้องเรียก

“น้าหญิง!”

แทบจะไม่ต้องอธิบายว่าฉินตงเฉี่วยเป็นใครกันแน่ ในเมื่อนางให้หลิงหยุนเรียกนางว่าน้าหญิง ก็แสดงว่าต้องเป็นน้องสาวของแม่เขาเอง..

“น่ารักจริงๆ ใบหน้าของเจ้านี่ขาวกว่าใบหน้าของหญิงสาวอีก ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว?!” ฉินตงเฉี่ยวยังคงหยิกแก้มของหลิงหยุนอย่างเอ็ดนดู และดูเหมือนจะไม่สามารถหยุดได้

“สิบแปด.. ปีหน้าก็สิบเก้า..น้าหญิง ท่านดูคล้ายกับเด็กสาวที่เพิ่งจะอายุสิบแปด” หางตาของหลิงหยุนเหลือบไปมองที่ข้อมือขาวข้างแก้ม

น้าหญิงของเขาไม่เพียงแข็งแกร่งเหนือคนธรรมดา แต่ยังจะเป็นคู่แข่งของเขาในเรื่องไม่ใส่ใจกับสิ่งรอบข้าง และดูเหมือนว่าหลิงหยุนเองก็ต้องพ่ายแพ้ให้แก่นางในเรื่องนี้

ฉินตงเฉี่วยฟังแล้วก็ได้แต่หัวเราะคิกคัก จากนั้นก็หยุดสำรวจไปทั่วร่างกายของหลิงหยุนแล้วพูดขึ้นว่า

“เอาล่ะ.. ตัวของเจ้าเปื้อนเลือดเต็มไปหมด น้าหญิงจะพาเจ้าไปล้างทำความสะอาด!”

“ห๊ะ?!”

หลิงหยุนได้ฟังถึงกับร้องออกมาด้วยความตกใจ เขายังมีอีกหลายเรื่องที่ต้องสะสางและต้องไปจัดการ แต่จู่ๆน้าหญิงก็บอกว่าจะพาเขาไปอาบน้ำด้วยตัวเอง?

“ทำไม? เจ้าจะไปหรือไม่ไป?” ดวงตาคู่สวยของฉินตงเฉี่วยจ้องมองหลิงหยุนพร้อมกับถามด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง

เหลยเชิ่งหน้าตาบิดเบี้ยวยิ่งกว่าเก่า พร้อมกับพูดขึ้นว่า “แม่นางฉิน.. เรื่องนี้..”

แววตาของฉินตงเฉี่วยเปลี่ยนไปทันที พร้อมกับหันไปทางเหลยเชิ่ง และตวาดไปว่า “เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือยังไง? ถ้าเจ้าไม่รู้จะทำอะไร ก็ใช้อำนาจขี้ปะติ๋วในมือของเจ้าหาทางออกไปจากที่นี่ซะ! แล้วเรื่องศพที่เกิดจากฝีมือของหลิงหยุน หากเจ้ากล้าปากสว่าง ก็ระวังกระบี่ในมือของข้าก็แล้วกัน!”

ตู้กู่โม่ได้แต่เงียบและคิดในใจว่า คนในครอบครัวของหลิงหยุนแต่ละคนล้วนแล้วแต่น่าเหลือเชื่อ! เขาคิดว่าหลิงหยุนเป็นคนที่ไร้เหตุผลที่สุดแล้ว แต่น้าหญิงของเขากลับดุร้ายและไร้เหตุผลยิ่งกว่าเสียอีก

เหล่ากุ่ยได้แต่ยืนนิ่งไม่พูดอะไร แต่สมองของเขากำลังทำงานอย่างรวดเร็ว และคิดว่าจะต้องรายงานข่าวนี้ให้หลิงลี่รู้ในคืนนี้

เหล่ากุ่ยไม่รู้ว่าตนเองนั้นกำลังตื่นเต้น หรือว่าตื่นตระหนกกันแน่ ในอดีตแม้ตระกูลหลิงและตระกูลฉินจะเคยเป็นตระกูลที่ผู้คนให้การนับหน้าถือตา แต่ตลอดสิบแปดปีที่ผ่านมาก็ไม่เคยติดต่อกันเลยสักครั้ง อีกทั้งยังแอบชิงดีกันอยู่ลับๆ แต่ตอนนี้กลับมีหลิงหยุนเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูล!

แม้ว่าหลิงหยุนจะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของหลิงเสี่ยว แต่ที่ผ่านมาตระกูลหลิงก็ไม่เคยได้เลี้ยงดูหลิงหยุนเลย แต่กลับเป็นฉินจิวยื่อแห่งตระกูลฉินที่เลี้ยงดูหลิงหยุนมาเพียงลำพัง นี่ไม่เท่ากับเป็นการตบหน้าคนตระกูลหลิงเช่นนั้นหรือ!

แต่ในใจของเหล่ากุ่ยเวลานี้กลับนึกหวาดกลัวมากกว่าที่จะตื่นเต้น ตระกูลหลิงอยู่ในช่วงตกต่ำ ส่วนตระกูลฉินก็อยู่ช่วงเผชิญกับพายุเช่นกัน ตอนนี้ไม่เท่ากับหลิงหยุนต้องแบกภาระของทั้งสองตระกูลไว้บนบ่าเช่นนั้นหรือ? ในวันข้างหน้า หลิงหยุนคงต้องแบกภาระอันหนักอึ้งของทั้งสองตระกูลนี้ไว้อย่างแน่นอน!

“น้าหญิง.. อย่างหยิกหน้าข้าเล่นแบบนี้สิ หยิกเอา.. หยิกเอา..” หลิงหยุนร้องบอกให้ฉินตงเฉี่วยปล่อยแก้มเขา จากนั้นก็หันไปพูดกับถังเทียนห่าวที่ยังคงยืนเงียบไม่พูดอะไร

“ลุงถังครับ.. ที่คฤหาสน์ตระกูลเฉิงฝั่งชานเมืองตะวันตก ยังมีศพอีกมากมาย รบกวนคุณลุงช่วยจัดการให้ผมด้วยนะครับ คงต้องรบกวนคุณลุงแล้ว..”

ถังเทียนห่าวมองหลิงหยุนด้วยแววตารักใคร่ไม่น้อยไปกว่าลูกชายของตัวเอง เขายิ้มพร้อมกับพยักหน้า “ไม่ต้องห่วง ลุงถังจะจัดการให้เอง เธอสบายใจได้!”

หลิงหยุนมองเหลยเชิ่งพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พี่เหลย.. เรื่องระหว่างเรา..”

เหลยเชิ่งมองฉินตงเฉี่วยอย่างระมัดระวัง “เอิ่ม.. ปล่อยให้เป็นเรื่องของวันข้างหน้าก็แล้วกัน..”

ฉินตงเฉี่วยถอนหายใจพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ยังต้องเป็นเรื่องของวันข้างหน้าอะไรอีก? เจ้าฟังคำพูดของข้าให้ดี เรื่องวันนี้ให้จบเพียงเท่านี้! ข้าจะอยู่ในจิงฉูระยะหนึ่ง หากข้ายังพบคนของเจ้ามาวอแวกับหลิงหยุนอีกล่ะก็ อย่าหาว่าข้ารังแกพวกเจ้าก็แล้วกัน!”

เหลยเชิ่งถึงกับเหงื่อออกเต็มหน้าผาก และได้แต่ยิ้มไม่กล้าพูดอะไรอีก!

ช่างเป็นน้าหญิงที่แข็งแกร่งมากเหลือเกิน ยอดเยี่ยมจริงๆ! หลิงหยุนเห็นเหลยเชิ่งที่ดูเหมือนจะพูดอะไรไม่ออก และไม่มีทางเลือกอื่น จึงได้แต่รู้สึกดีใจ

หลิงหยุนหันไปพูดกับเหล่ากุ่ยและตู้กู่โม่ “คืนนี้ไม่มีอะไรแล้ว พวกท่านกลับไปก่อน ถ้าต้องการฝึกวิชาให้ไปที่บ้านของข้าได้เลย แล้วเรื่องอื่นไว้ค่อยคุยกันพรุ่งนี้!”

เหล่ากุ่ยและตู้กู่โม่ต่างก็พยักหน้า แล้วตู้กู่โม่ก็ขยิบตาให้หลิงหยุน แต่ฉินตงเฉี่วยกลับเห็น และจ้องมองจนตู้กู่โม่รู้สึกเกรงกลัว

“เอาล่ะ.. ตอนนี้เจ้าก็ไปกับน้าหญิงได้แล้ว!” ฉินตงเฉี่วยบอกหลิงหยุน จากนั้นร่างของเธอก็ห่างออกไปไกลราวสิบเมตร กระโปรงยาวที่ปลิวไสว และท่วงท่าการเดินเหินนั้นช่างสวยงามยิ่งนัก

หลิงหยุนใช้มังกรพรางร่างตามฉินตงเฉี่วยไปติดๆ ทั้งคู่ต่างก็หายวับไปจากบ้านคนตระกูลเฉิง แล้วจึงหายเข้าไปในป่าที่อยู่ด้านนอก

“หลิงหยุน!” เฉิงเมียนยืนมองหลิงหยุนที่ตามฉินตงเฉี่วยออกไปไกล จึงได้แต่ร้องตะโกนเรียก

หลิงหยุนออกไปไกลราวสองสามร้อยเมตรแล้ว มีหรือจะสนใจใยดีกับเสียงร้องเรียกของเฉิงเมี่ยน?

“พวกเรากลับกันเถอะ!”

เหล่ากุ่ยและตู้กู่โม่ต่างก็มองหน้ากัน ทั้งคู่แยกย้ายกันออกไปจากหมู่บ้าน และมุ่งหน้าเข้าไปในเมืองจิงฉู

เหลยเชิ่งถึงกับถอนหายใจอย่างแรง พร้อมกับหันไปพูดกับถังเทียนห่าวว่า “เรื่องในคืนนี้คงจะเกินกำลังที่สำนักงานรักษาความมั่นคงของเจ้าจะรับผิดชอบได้ แต่ข้าคงต้องวานให้เจ้าช่วยจัดการเก็บศพและทำความสะอาดทุกอย่างให้เสร็จก่อนรุ่งสาง และต้องไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป!”

ถังเทียนห่าวได้รับปากหลิงหยุนแล้วเขาจึงยิ้มและตอบกลับไปว่า “คุณเหลย.. สบายใจได้ ผมจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย!”

……….

“น้าหญิง.. พวกเราจะไปที่ใหนกันแน่?” หลิงหยุนร้องถาม

ฉินตงเฉี่วยหันมาตอบหลิงหยุนว่า “ไปอาบน้ำไง.. ด้านหน้าเป็นทะเล มีน้ำมากพอให้เจ้าอาบ!”

หลังจากนั้น ฉินตงเฉี่วยก็พาหลิงหยุนไปที่ชายทะเล..

สายลมอ่อนๆ เสียงคลื่นกระทบฝั่ง ประกอบกับท้องฟ้าที่มืดมิด ทำให้ทะเลแห่งนี้ดูช่างลึกลับ!

นับตั้งแต่หลิงหยุนได้เกิดใหม่อีกครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้มาสัมผัสกับท้องทะเลอย่างใกล้ชิด เขาจึงเกิดความรู้สึกมากมายผสมปนเปกัน..

แสงสลัวในยามค่ำคืน และท้องทะเล สามารถกระตุ้นให้คนเราเกิดความคิดได้มากมาย และหลิงหยุนในตอนนี้ก็เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งที่มีธรรมชาติช่างคิด!

“เจ้าเด็กดื้อ.. จู่ๆทำไมถึงทำสีหน้าแบบนั้น นี่เจ้าคิดอะไรอยู่?”

ฉินเตงเฉี่วยเห็นสีหน้าท่าทางของหลิงหยุน จึงสงสัยว่าเขาคงกำลังครุ่นคิดเรื่องที่สังหารผู้คนเมื่อครู่ จึงอดที่จะถามออกไปไม่ได้

แต่หลิงหยุนยังคงนั่งนิ่งมองทะเลที่กว้างสุดลูกหูลูตา เขาจ้องมองคลื่นที่ซัดมาไม่สิ้นสุด พร้อมกับถามขึ้นว่า

“ข้ากำลังแปลกใจ และอยากรู้ว่าดวงตาทะเลอยู่ตรงใหนกันแน่..”

ฉินตงเฉี่วยถึงกับอัศจรรย์ใจพร้อมกับคิดว่าหลิงหยุนช่างเป็นคนที่มีความคิดแปลกประหลาดนัก

ผ้าคลุมสีขาวบนใบหน้าของฉินตงเฉี่วยขยับตามริมฝีปากพร้อมกับตอบออกไปยิ้มๆ “ทะเลไร้ขอบเขต ดวงตาทะเลจึงน่าจะเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา เจ้าต้องการจะทำอะไร?”

หลิงหยุนหันหน้าไปหาฉินตงเฉี่วยและตอบไปว่า “น้าหญิง.. น้าไม่เข้าใจ ในดวงตาทะเลมีสมบัติ!”

ฉินตงเฉี่วยอึ้งกับคำพูดของหลิงหยุน ดวงตาของเธอฉงน จึงได้แต่สั่งว่า “เร็วเข้า.. รีบไปล้างเนื้อล้างตัวได้ซะ เสร็จแล้วจะได้ขึ้นมาคุยกับข้า!”

หลิงหยุนได้แต่อ้ำอึ้งก่อนจะถามออกไปตรงๆ “จะให้ข้าอาบจริงๆน่ะเหรอ? แต่ข้าต้องถอดเสื้อผ้านะ..”

แต่ฉินตงเฉี่วยกลับจ้องมองหลิงหยุนนิ่งพร้อมกับตอบไปด้วยสีหน้านิ่งเรียบ “นี่เจ้าพูดอะไร? อายุแค่สิบแปด.. จะมีอะไรให้มอง! รีบไปอาบน้ำเร็วเข้า น้าหญิงจะนั่งดูเจ้าอยู่ตรงนี้!”

“ห๊ะ..” หลิงหยุนได้แต่อึ้งไป และไม่รู้ว่าจะตอบโต้อะไรได้อีก จึงได้แต่กระโดดลงทะเลไป หลิงหยุนกระโดดไปไกลราวสิบกว่าเมตร และเมื่อร่างของเขาตกลงไป น้ำทะเลก็กระเซ็นออกมาเป็นฟองขาว!

“นี่.. ระวังตัวด้วยล่ะ!” ฉินตงเฉี่วยเห็นหลิงหยุนกระโดดจนน้ำกระเซ็นขึ้นมา จึงได้แต่ร้องเตือน

หลังจากที่หลิงหยุนกระโดดลงไป เขาก็สัมผัสได้ว่าตรงจุดที่เขายืนอยู่นั้นน่าจะลึกราวสิบเมตร และคลื่นก็ลูกใหญ่มาก น้ำทะเลด้านล่างก็เชี่ยวกราดไม่น้อย

หลิงหยุนจัดการกลั้นหายใจ และเดินพลังหยินหยางในร่างกาย ตอนนี้เขาอยู่ในระดับกลางของขั้นปรับร่างกาย-5 จึงสามารถกลั้นหายใจอยู่ในน้ำได้นานราวเจ็ดถึงแปดนาที

“ที่นี่เหมาะกับการฝึกฝนอย่างมาก!” หลิงหยุนยืนอยู่ใต้ทะเล รับรู้ได้ถึงแรงปะทะที่รุนแรงของน้ำทะเล

จู่ๆ หลิงหยุนก็พลิกฝ่ามือเรียกหม้อเสินหนงที่หนักกว่าพันกิโลกรัมออกมา เขาใช้แขนทั้งสองข้างถือหม้อไว้ พร้อมกับแกว่งไปมาอยู่ใต้น้ำทะเล

ในเวลานี้หม้อเสินหนงเต็มไปด้วยน้ำทะเลก็ยิ่งหนักขึ้นไปอีก หลิงหยุนหมุนตัวอยู่ใต้น้ำราวกับน้ำวน และนั่นทำให้พลังชี่ในร่างกายของเขาถูกใช้หมดไปอย่างรวดเร็ว

ฉินตงเฉี่วยที่เห็นหลิงหยุนกระโดดลงไปในน้ำทั้งเสื้อผ้านานถึงสามนาทีแล้ว แต่จนป่านนี้ยังไม่ขึ้นมา จึงรู้สึกกระวนกระวายใจไม่น้อย!

“เจ้าเด็กดื้อ ข้าคอยเลี้ยงอาหารดีๆเจ้าอยู่นะ”

ฉินตงเฉี่วยกระวันกระวายใจ  และด้วยนิสัยใจร้อน นางจึงใช้วิชาตัวเบาที่หาใครเทียบได้นั้น เดินไปบนน้ำทะเลห่างจากฝั่งไปราวยี่สิบเมตร เพื่อหาหลิงหยุน

ลมทะเลที่พัดเข้าสู่ร่างของนาง ทำให้กระโปรงสีขาวสะบัดไปมา ภาพของฉินตงเฉี่วยในเวลานี้ไม่ต่างจากเทพธิดาที่กำลังเดินอยู่บนคลื่น ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก!

เพียงแค่หนึ่งนาทีต่อมา คลื่นลูกใหญ่ก็พุ่งขึ้นจากทะเล หลิงหยุนเก็บหม้อเสินหนง และร่างของเขาก็โผล่ขึ้นมาจากน้ำทะเล

“โอ้โห.. น้าหญิงท่านช่างงดงามมาก!”

หลิงหยุนที่จู่ๆก็โผล่ขึ้นมาจากน้ำทะเลทำให้ฉินตงเฉี่วยตกใจ ส่วนตัวเขาเองก็ตกตะลึงกับภาพที่เห็น นางจัดการทุบหลังหลิงหยุนพร้อมกับดุว่า “เจ้าเด็กตัวแสบ..”

“อะไรกัน..”

ฉินตงเฉี่วยทั้งโกรธทั้งกระวนกระวายใจ จนลืมว่าตัวเองเดินอยู่บนน้ำทะเลนานเป็นนาทีแล้ว และพลังชี่ในร่างกายก็เริ่มหมดแล้ว จึงได้ร้องตะโกนออกมาว่า

“ข้ากำลังจะตกน้ำ?!”

ตูม!

ฉินตงเฉี่วยตกลงไปในน้ำทะเล!


บทที่ 406 : เจ้าห้ามมอง!

ร่างอ่อนช้อยบอบบางของเทพธิดาฉินตกลงไปในทะเลที่เย็นยะเยือก ก่อนจะค่อยๆจมลึกลงไปถึงเอวที่คอดเว้า โชคดีที่ชุดกระโปรงบานสีขาวพอตัวขึ้น ทำให้ร่างที่สวยราวเทพธิดานั้นจมลงไปเพียงแค่ครึ่งเดียว

ร่างขาวกระเพื่อมขึ้นกระเพื่อมลงตามแรงคลื่น ดูคล้ายกับดอกบัวสีขาวสวยงามที่กำลังลอยอยู่กลางทะเล จากนั้นร่างของเทพธิดาฉินก็ถูกคลื่นซัดจมลงไปในน้ำ

หลิงหยุนที่อยู่ห่างออกไปราวสิบเมตรได้แต่ตกตะลึงในความงดงาม และมัวแต่จ้องมองด้วยความชื่นชม ก่อนจะพบว่าฉินตงเฉี่วยมีอาการตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด!

“อะไรกัน? นี่น้าหญิงว่ายน้ำไม่เป็นจริงรึ?!”

ท้องทะเลในยามนี้ ลมและคลื่นค่อนข้างรุนแรง คลื่นลูกแล้วลูกเล่าซัดเข้าใส่ฉินตงเฉี่วยไม่หยุดหย่อน มือขวาของนางถือกระบี่ในมือชูขึ้น และกระโปรงที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำก็ค่อยๆจมหายไป นางเริ่มสูญเสียการทรงตัว และร่างก็ค่อยๆเอียงลงเรื่อย..

ในที่สุดร่างของฉินตงเฉี่วยก็จมลงในน้ำทะเลทันที..

“ช่วยข้าด้วยสิ! นี่…”

ดูเหมือนฉินตงเฉี่วยจะว่ายน้ำไม่เป็นจริงๆ ทันทีที่จมลงไปในทะเล นางก็กรีดร้องพร้อมกับตะโกนของความช่วยเหลือ ระหว่างที่ร้องตะโกนนั้น คลื่นก็ยังคงซัดเข้าที่ใบหน้าไม่หยุดหย่อน และน้ำก็เริ่มเข้าไปในปากของนาง แต่หลังจากที่ได้ลิ้มรสเค็มของน้ำทะเล นางก็ไม่กล้าอ้าปากร้องตะโกนอีกเลย และร่างของนางก็ค่อยๆจมหายไปในที่สุด!

‘นี่นางว่ายน้ำไม่เป็นจริงๆงั้นรึ!’

หลิงหยุนได้แต่ครุ่นคิดเมื่อได้ยินเสียงร้องตะโกนขอความช่วยเหลือกจากนาง ทันทีที่ได้สติเขาก็รีบว่ายเข้าไปยังตำแหน่งที่ฉินตงเฉี่วยจมหายไป และดำดิ่งตามลงไปทันที

หลิงหยุนดำลงไปในทะเลลึกพร้อมกับลืมตาเพื่อมองหาร่างของฉินตงเฉี่วย ใต้ท้องทะเลนั้นทั้งมืดและกระแสก็น้ำเชี่ยวกราก แต่ถึงกระนั้นก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการมองเห็นของหลิงหยุนแม้แต่น้อย เขามองเห็นร่างของฉินตงเฉี่วยที่กำลังจมดิ่งลงใต้ทะเลลึกอย่างรวดเร็วอยู่ด้าหน้า!

“ฮ่า.. ฮ่า.. จะจมน้ำตายอยู่แล้วยังห่วงแต่กระบี่ในมือ น้าหญิงนี่จริงๆเลย!”

หลิงหยุนเห็นฉินตงเฉี่วยที่กำลังดิ้นรนอยู่ใต้น้ำ แต่มือขวายังคงกำกระบี่ด้ามนั้นไว้แน่น เขาถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมา และรีบว่ายเข้าไปหาร่างของนางอย่างรวดเร็ว

ภายใต้ท้องทะเลที่เต็มไปด้วยกระแสน้ำที่รุนแรง ประกอบกับฉินตงเฉี่วยที่ดิ้นรนด้วยความตระหนกตกใจ จึงทำให้นางจมลึกลงไปราวเจ็ดถึงแปดเมตรในเวลาอันรวดเร็ว กระโปรงสีขาวกระเพื่อมไปตามแรงน้ำ และผมยาวสีดำก็สยายออก ร่างสีขาวที่ลอยกระเพื่อมตามนั้นดูแล้วช่างสวยงามยิ่งนัก

ยิ่งฉินตงเฉี่วยตระหนกตกใจมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งดิ้นรนมากเท่านั้น จึงยิ่งทำให้จมลงไปลึกและรวดเร็วมากขึ้น ภายในเวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาที นางก็จมลงไปลึกถึงเจ็ดหรือแปดเมตรแล้ว

โดยธรรมชาติของผู้ที่ว่ายน้ำไม่เป็นนั้น จะมีความหวาดกลัวการจมน้ำอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกับว่าจะเป็นยอดฝีมือขั้นใหน อีกทั้งตอนนี้พลังชี่ในร่างของนางก็หมดลงแล้ว และตอนนี้ร่างทั้งร่างก็จมอยู่ใต้ทะเล นางจึงไม่ต่างจากคนธรรมดาคนหนึ่ง!

หลิงหยุนนั้นว่ายน้ำเก่งมาก ร่างของเขาคล่องแคล่วไม่ต่างจากปลา และเพียงในเวลาไม่ถึงสองสามวินาที เขาก็สามารถคว้าร่างของฉินตงเฉี่วยที่กำลังจมลงไปขึ้นมาได้ แขนที่แข็งแรงของหลิงหยุนงอล็อคร่างของนางไว้ ก่อนจะพาทะยานขึ้นสู่ผิวน้ำ

ในเวลานั้นเอง ผ้าคลุมสีขาวที่ฉินตงเฉี่วยใช้ปิดบังใบหน้าไว้นั้น ก็ถูกกระแสน้ำพัดพาไปแล้ว และนางเองก็หวาดกลัวจนต้องกอดแขนหลิงหยุนไว้แน่น!

ระหว่างที่ทั้งสองคนทะยานพุ่งขึ้นสู่ผิวน้ำนั้น หลิงหยุนเองก็ถึงกับตกใจเมื่อได้เห็นใบหน้าที่สวยงามอย่างหาใครเปรียบไม่ได้ของฉินตงเฉี่วย และเห็นนางกำลังสำลักน้ำทะเลอย่างรุนแรง..

หลิงหยุนได้แต่หวาดกลัวจนใจสั่นไปหมด เขาได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้น้าหญิงของเขาเป็นอะไรไปเลย ไม่เช่นนั้นแล้วแม่คงต้องฆ่าเขาตายแน่?

อีกทั้งหากยอดฝีมือระดับสูงสุดของขั้นเซียงเทียน-3 จมน้ำทะเลตาย คงจะเป็นข่าวลือที่แพร่สะพรัดและพูดกันอย่างสนุกปากแน่?

หลิงหยุนจำเป็นต้องช่วยชีวิตคนอย่างเร่งด่วน! เขาจึงหมุนร่างของฉินตงเฉี่วยให้หันหน้ามาเผชิญกับหน้าของตัวเอง

หลิงหยุนมองใบหน้าสวยงามที่อยู่ในระยะกระชั้นชิดด้วยความหวาดกลัว แต่เมื่อเห็นฉินตงเฉี่วยที่กำลังสำลักน้ำทะเลอย่างรุนแรง เขาจึงตัดสินใจแนบริมฝีปากของตนเองลงบนริมฝีปากเล็กของฉินตงเฉี่วยไว้ และริมฝีปากของทั้งคู่ก็สัมผัสกัน!

ในระหว่างนั้น หลิงหยุนยังคงพาร่างของทั้งเขาและฉินตงเฉี่วยทะยานขึ้นสู่พื้นน้ำ..

“…!”

ฉินตงเฉี่วยดิ้นรน และจู่ๆก็สัมผัสได้ถึงไออุ่นจากริมฝีปากของหลิงหยุน จากนั้นน้ำทะเลก็หยุดทะลักเข้าไปในปากของนางอีก และนางก็หยุดสำลักน้ำทันที! แต่ดวงตาของนางกลับเบิกโพลงแทน!

ดวงตาสองข้างของเทพธิดาฉินจ้องมองหลิงหยุนด้วยความตกใจยิ่งกว่าตอนนที่ตกลงไปในน้ำทะเลเสียอีก อีกทั้งยังดิ้นรนหนักกว่าเดิม!

มือซ้ายของหลิงหยุนโอบเอวของฉินตงเฉี่วยไว้แน่น ส่วนมือขวาก็ทำการแหวกว่ายอยู่ในน้ำ หลิงหยุนมองเห็นอากัปกิริยาทุกอย่างของนางได้อย่างชัดเจน – แววตาของนางนั้นเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว และดุร้ายราวกับปีศาจ!

ระหว่างที่ริมฝีปากประกบกันอยู่นั้น หลิงหยุนก็ได้ถ่ายเทอากาศเข้าไปในช่องปากของนางเพื่อช่วยในการหายใจ ขณะเดียวกันก็รีบทะยานตัวขึ้นสู่ผิวน้ำให้เร็วที่สุด แม้ว่าหลิงหยุนจะใช้กำลังเต็มที่ แต่ก็ยังใช้เวลาไปเกือบสี่วินาที!

และทันทีที่ทั้งคู่โผล่พ้นน้ำ หลิงหยุนก็รีบดึงริมฝีปากของตนเองออกจากริมฝีปากปากของฉินตงเฉี่วยทันที พร้อมกับรีบอธิบายอย่างไม่รีรอ..

“น้าหญิง.. อย่างเพิ่งด่าข้า ข้าทำแบนนั้นเพื่อช่วยชีวิตท่าน!”

ฉินตงเฉี่ยวที่หัวเพิ่งจะโผล่พ้นน้ำ จึงรีบตะกุยตะกายกอดหลิงหยุนไว้แน่น จนลืมไปว่าร่างของเธอกำลังแนบอยู่กับร่างของหลิงหยุน..

หลิงหยุนรีบผละร่างของตนเองออกห่างจากร่างของฉินตงเฉี่วยเล็กน้อย และรีบเอ่ยปากขอโทษนางพร้อมกับบอกไปว่า

 “น้าหญิง ท่านไม่เป็นไรแล้ว ข้าจะพาท่านขึ้นฝั่งก่อน!”

หลังจากที่ฉินตงเฉี่วยหายใจเอาอากาศเข้าไปได้สองสามเฮือก นางก็นึกถึงภาพที่น่าอายเมื่อครู่ขึ้นมาได้ จึงเงื้อมือซ้ายขึ้นเตรียมตบหน้าหลิงหยุน!

หลิงหยุนรู้ดีว่าฉินตงเฉี่วยกำลังโกรธสุดขีด! ระหว่างที่กำลังว่ายน้ำเข้าฝั่งนั้น มือซ้ายของหลิงหยุนยังคงโอบเอวของนางไว้แน่น แต่ดวงตากลับจ้องมองฉินตงเฉี่วยแน่วแน่ พร้อมกับรอรับการลงโทษจากนาง..

มือของฉินตงเฉี่วยเงื้อค้างอยู่กลางอากาศ นางพายายามอยู่หลายครั้ง แต่กลับตบลงไปที่ผิวน้ำแทนใบหน้าของหลิงหยุน

สำหรับฉินตงเฉี่วยในเวลานี้ อาการสำลักน้ำทะเลกลายเป็นเรื่องเล็กไปแล้ว แต่จูบแรกของนางในวัยยี่สิบเจ็ดปี กลับตกเป็นของเจ้าเด็กตัวแสบ และนางก็ไม่สามารถลงโทษเขาได้

ฉินตงเฉี่วยกัดริมฝีปากแน่น และรับรู้ได้ว่าหลิงหยุนยังคงกอดเอวของนางนิ่งอยู่กลางทะเล จึงดุใส่เขา

“เจ้าจะนิ่งอยู่ทำไม? ยังไม่รีบพาข้าเข้าฝั่งอีก!”

เมื่อสัมผัสได้ว่าน้าหญิงไม่คิดที่จะทำโทษเขาแล้ว หลิงหยุนก็ได้แต่ยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาว และพูดขึ้นว่า

“น้าหญิง.. ถ้าท่านอยากจะไปให้ถึงฝั่งเร็วๆ การว่ายคู่กันไปแบบนี้จะช้ามาก!”

ฉินตงเฉี่วยถามกลับเสียงดุ “แล้วแบบใหนถึงจะเร็ว!?”

หลิงหยุนยกมือขึ้นเช็ดน้ำบนใบหน้าออก พร้อมกับจ้องมองเทพธิดาฉินที่สวยงามและตอบไปว่า

“ท่านต้องนอนหงายหน้าขึ้นด้านบน ส่วนข้าที่อยู่ด้านล่างจะเป็นคนพาท่านเข้าฝั่งเอง แบบนี้จึงจะเป็นการลดแรงต้านทานของกระแสน้ำได้”

ฉินตงเฉี่วยคิดถึงการเคลื่อนไหวในแบบที่หลิงหยุนพูดแล้วก็ได้แต่หน้าแดง แต่ก็ตอบกลับไปเสียงห้วน

“ถ้างั้นก็รีบๆเร็วเข้า แต่อย่าให้โดนพื้นที่ส่วนตัวของข้าเข้าล่ะ! ไม่เช่นนั้นเจ้าจะได้รู้แน่ว่าขึ้นฝั่งแล้วข้าจะลงโทษเจ้ายังไง?!”

หลิงหยุนยิ้มกว้างพร้อมกับโอบร่างของฉินตงเฉี่วยไว้ด้วยแขนหนึ่งข้าง ปล่อยให้ร่างของนางลอยตัวอยู่ด้านบน ส่วนร่างของเขาอยู่ใต้น้ำ และใช้มือขวาว่ายตรงเข้าฝั่ง

ระยะทางที่ห่างจากฝั่งราวสิบเมตรนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่โตสำหรับหลิงหยุนแม้แต่น้อย และเพียงแค่สิบวินาที หลิงหยุนก็มาถึงบริเวณที่เท้าสามารถเหยียบพื้นทรายด้านล่างได้แล้ว และเมื่อไปถึงตรงตำแหน่งที่ระดับน้ำทะเลอยู่เพียงแค่หน้าท้อง เขาก็ค่อยๆ ปล่อยร่างของฉินตงเฉี่วย แล้วเพียงแค่ประคองนางขึ้นฝั่ง

“เอาล่ะ.. ปล่อยข้าได้แล้ว!”

เมื่อใกล้ถึงหาดทราย ฉินตงเฉี่ยวก็ปลดแขนของหลิงหยุนออก และทั้งคู่ก็เดินขึ้นฝั่งไป

หลิงหยุนเดินตามฉินตงเฉี่วยไปอย่างระมัดระวัง!

ตอนนี้ฉินตงเฉี่วยเปียกชุ่มไปทั่วทั้งร่าง และชุดสีขาวของนางก็แนบเข้ากับร่างที่สวยงาม รูปร่างงดงามสมส่วนของนางกำลังเปิดเผยต่อสายตาของหลิงหยุน

เมื่อฉินตงเฉี่วยเดินออกไปได้ราวเจ็ดแปดก้าว และเมื่อเท้าของนางก็สัมผัสเข้ากับพื้นชายหาดที่แห้งสนิท จิตใจของนางจึงกลับสู่ความสงบอีกครั้ง

นางสังเกตเห็นว่าหลิงหยุนไม่เดินตามมา จึงได้แต่หันหลังกลับไปมองพร้อมกับร้องถามขึ้นว่า

“ทำไมเจ้ายังไม่ขึ้นมาจากน้ำอีก? มาเถอะ.. น้าหญิงไม่ทำโทษเจ้าหรอก!”

ฉินตงเฉี่วยรู้ดีว่าที่หลิงหยุนทำลงไปนั้น เพราะตั้งใจที่จะไม่ให้นางสำลักน้ำทะเล และทำไปด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์ อีกทั้งสายตาของหลิงหยุนในเวลานั้นตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่ได้บ่งบอกว่ามีความคิดที่ชั่วช้าลามกแม้แต่น้อย ซึ่งนางเองก็เห็นอย่างชัดเจน!

“อะไรกัน?!”

ทันทีที่ฉินตงเฉี่วยเพ่งมองสายตาของหลิงหยุน นางจึงได้สติและก้มมองดูร่างของตนเอง และพบว่าชุดกระโปรงสีขาวของนางนั้น ได้แนบสนิทกับเรือนร่างบอบบางจนแทบเป็นเนื้อเดียวกัน!

ฉินตงเฉี่วยถึงกับตกใจและอึ้งไป! จากนั้นร่างของนางก็เคลื่อนที่ไปอยู่ตรงหน้าหลิงหยุนอย่างรวดเร็ว พร้อมกับยกเท้าขึ้นถีบร่างของหลิงหยุนจนกระเด็น และลอยออกไปกลางทะเลไกลถึงเมตร!

“ใครให้เจ้ามอง!”

ฉินตงเฉี่วยร้องขึ้นด้วยความโมโห จากนั้นร่างของเธอก็หายไปท่ามกลางความมืด และไปโผล่อยู่ในกลางป่าลึกห่างออกไปไกลถึงสี่ร้อยเมตร!

 “ช่างน่าอับอายที่สุด!” ฉินตงเฉี่วยทั้งอับอายและขุ่นเคือง นางโกรธจนตัวสั่นและทั่วทั้งร่างตั้งแต่หัวจรดเท้าก็แดงไปหมด

ฉินตงเฉี่วยรีบเงี่ยหูฟังการเคลื่อนไหวรอบๆตัว เมื่อเห็นว่าเงียบสงัดไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ นางจึงถอดเสื้อผ้ามาบิดน้ำทะเลออกให้แห้ง แล้วจึงใส่กลับเข้าไปอีกครั้ง

จากนั้นก็จัดการบิดน้ำทะเลออกจากผมที่เปียก เพื่อให้น้ำไม่หยดลงตามเสื้อผ้าของนางอีก

“มันยังคงแนบร่างของข้าอยู่นิดหน่อย ข้าจะทำอย่างไรดีล่ะ?” นางมองเสื้อผ้าที่ยังคงแนบร่างบอบบางแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ

“เฮ้อ.. วันนี้เป็นครั้งแรกที่ข้ารู้สึกอับอายและเสียหน้าที่สุด!”

ฉินตงเฉี่วยเดินไปแล้วก็คอยดึงเสื้อผ้าที่แนบร่างออกจากตัว มุ่งหน้ากลับไปที่ทะเลอีกครั้ง

ฉินตงเฉี่วยเห็นหลิงหยุนที่ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย กำลังนั่งเหม่อมองท้องทะเลอยู่ที่ชายหาด คล้ายกับว่ากำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่

“เจ้าเด็กดื้อ.. ยังไม่มาขอขมาข้าอีก!”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม