Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร 393-399

 บทที่ 393 : ยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-7!

เฉิงเม่ยเฟิงคือบุคคลสำคัญที่สุดในเหตุการณ์ครั้งนี้ เมื่อเธอกลับไปที่บ้านตระกูลเฉิง ซันเทียนเปียวจึงจับตัวเธอไว้ทันที

เฉิงเม่ยเฟิงยืนอยู่ต่อหน้าซันเทียนเปียวและคนอื่นๆอย่างสงบนิ่ง แม้ว่าภายในใจของเธอจะรู้สึกสับสนวุ่นวาย แต่ภายนอกกลับมีเพียงความสงบเยือกเย็น..

การที่จิตใจของเธอสับสนวุ่นวายนั้น เกิดจากความเป็นห่วงหลิงหยุนที่หายตัวไปนานหลายวัน แต่แววตาของเธอกลับแน่วแน่คล้ายคนที่ได้ตัดสินใจอะไรบางอย่างเด็ดขาดแล้ว

ก่อนจะเดินทางมาที่นี่ เฉิงเม่ยเฟิงได้ประเมินสถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้นไว้แล้ว และเธอก็ได้เตรียมใจรอรับไว้แล้วเช่นกัน แต่ภายในใจลึกๆ ก็ยังเชื่อมั่นในตัวของหลิงหยุน!

แต่เมื่อเฉิงเม่ยเฟิงปรากฏตัว ซันเทียนเปียว และยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนทั้งสามคนก็ถึงกับตกใจไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งแม่ชีมี่ยื่อซึ่งเป็นยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-2 แห่งสำนักจิ้งซินที่ถึงกับตาเป็นประกายขึ้นมาทันที

นั่นเพราะเฉิงเม่ยเฟิงนั้นมีคุณสมบัติ และพรสวรรค์ที่เหมะสำหรับการบ่มเพาะพลังอย่างยิ่ง!

ยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนทั้งสี่คน ต่างก็มองทะลุปรุโปร่งว่า ร่างกายของเฉิงเม่ยเฟิงนั้น ได้ผ่านการชำระล้างภายในจนราวกับได้ร่างใหม่แล้ว และหากมีโอกาสได้ฝึกตนบ่มเพาะแล้วล่ะก็ เธอก็จะสามารถก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็วจนน่ากลัว และสามารถฝึกฝนจนเข้าสู่ขั้นที่สูงกว่าพวกเขาทั้งสี่คนได้!

แต่แม่ชีมี่ยื่อกลับมองทะลุได้มากกว่านั้น เพราะในจำนวนยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนทั้งสี่คนนั้น สามคนอยู่ในขั้นเซียงเทียน-1 ส่วนตัวนางนั้นอยู่ในขั้นเซียงเทียน-2 และเป็นผู้ที่มีกำลังภายในอยู่ในสูงที่สุดในสำนักจิ้งซินแล้ว

ผ่านใบหน้าที่สงบนิ่ง และแววตาที่แน่วแน่ แม่ชีมี่ยื่อสัมผัสได้ถึงจิตที่ทรงอำนาจของเฉิงเม่ยเฟิง!

ในสายตาของเม่ชีมี่ยื่อนั้น หากเธอจะต้องเลือกใครให้มาเป็นเจ้าสำนักจิ้งซินคนต่อไป ก็คงไม่มีใครที่จะเหมาะสมไปกว่าเฉิงเม่ยเฟิงอีกแล้ว!

แม่ชีมี่ยื่อลงจากเขามาครั้งนี้ แม้จะไม่สามารถตามหาแม่ชีมี่ซินพบ และไม่สามารถค้นหาสมุดและพู่กันจักรพรรดิเจอ แต่นางกลับได้พบหญิงสาวที่เหมาะสมจะมาเป็นผู้สืบทอดวิชาของสำนักจิ้งซินแล้ว..

ซันเทียนเปียวคาดไม่ถึงจริงๆ ก่อนหน้านี้เขาเองก็เคยพบกับเฉิงเม่ยเฟิงครั้งหนึ่ง ในตอนนั้นแม้ว่าเฉิงเม่ยเฟิงจะดูเป็นคนที่มีพรสวรรค์อยู่บ้าง แต่เขาในฐานะที่เป็นผู้ฝึกบ่มเพาะเช่นกัน กลับเห็นว่าเฉิงเม่ยเฟิงเป็นหญิงสาวที่สวยงาม แต่พรสวรรค์ด้านการบ่มเพาะของเธอนั้นหนือกว่าคนธรรมดาเพียงเล็กน้อย

อีกทั้งเฉิงเม่ยเฟิงก็อายุเกินสิบแปดปี และร่างกายก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แม้จะมีโอกาสได้ฝึกบ่มเพาะ และได้ทานยาเม็ดพลังชีวิตทุกวัน แต่ก็ยังยากที่จะฝึกไปจนถึงขั้นโฮ่วเทียน-7 ได้

นั่นเพราะจุดตันเถียน และเส้นลมปราณของเธอนั้นได้เติบโตเต็มที่แล้ว จึงไม่เหมาะกับการบ่มเพาะ

เว้นแต่ว่าจะมียอดฝีมือที่อยู่ในขั้นเซียงเทียน-7 ขึ้นไป ยอมถ่ายเทพลังชี่ของตนเองให้ และเสริมด้วยยาเม็ดที่ปรุงขึ้นมาเป็นพิเศษ ที่จะสามารถช่วยชะล้างของเสียภายในร่างกายอย่างเช่นกล้ามเนื้อ เนื้อเยื่อต่างๆ และไขกระดูกเป็นต้น

นอกเหนือจากวิธีเหล่านี้แล้ว ซันเทียนเปียวก็ไม่เห็นว่าจะมีหนทางอื่นอีก!

แต่ถึงอย่างนั้น จะสามารถหายอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-7 ขึ้นได้จากที่ใหน? แม้ตัวเขาเองก็ยังไม่เคยพบเห็นเลยสักครั้ง! และต่อให้สามารถหาจนพบ ยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-7 ขึ้นไปผู้นั้น จะยินยอมถ่ายเทพลังชี่ของตนเองให้อย่างนั้นหรือ? ใหนจะยังต้องมีเม็ดยาที่ปรุงขึ้นมาพิเศษ เพื่อชำระล้างภายในของร่างกายให้แตกต่างจากร่างกายของคนธรรมดาอีก!

และด้วยเหตุผลอะไร.. ที่ใครคนใดคนหนึ่งจะต้องลงทุนมากมาย เพียงเพื่อให้อีกคนสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้!?

เพราะนับว่าเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่าเลยแม้แต่น้อย ใครบ้างที่จะยอมทำเรื่องบ้าๆเช่นนี้?!

แต่ความจริงที่ปรากฏต่อหน้าซันเทียนเปียวในเวลานี้ก็คือ ร่างกายของเฉิงเม่ยเฟิงถูกชำระล้างภายใน และได้ถือกำเนิดใหม่เต็มตัวแล้ว ทำให้มีพรสวรรค์ในการบ่มเพาะได้อย่างน่าอัศจรรย์!

ดังนั้นสำหรับซันเทียนเปียวแล้ว มีเพียงเหตุผลเดียวที่เป็นไปได้ นั่นก็คือต้องมียอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-7 ขึ้นไปเป็นผู้ชำระล้างร่างกายให้กับเฉิงเม่ยเฟิง และดูเหมือนว่าคนผู้นั้นจะไม่สนใจใยดีกับพลังชี่มากนัก คล้ายกับว่าเขาชำระล้างร่างกายให้เฉิงเม่ยเฟิงโดยไม่ได้คาดหวังสิ่งใด!

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ซันเทียนเปียวก็ได้แต่ตกใจสุดขีด และในใจรู้สึกเสียใจเล็กน้อย เมื่อพบว่าตัวเขาเองกำลังเผชิญหน้าอยู่กับสถานการณ์ที่ยากลำบาก

เพราะหากเฉิงเม่ยเฟิงมียอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-7 ขึ้นไปเป็นผู้ที่คอยปกป้องคุ้มครองอยู่อย่างลับๆ แล้วการที่เขาเข้ามาจับกุมคนของตระกูลเฉิงไว้เช่นนี้ ไม่เท่ากับว่าเขากำลังรนหาที่ตายเช่นนั้นหรือ?

เพราะหากยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-7 ขึ้นไปผู้นี้ ต้องการจะสั่งสอนตระกูลซันแล้วล่ะก็ เขาก็ย่อมทำได้อย่างง่ายดาย ไม่เว้นแม้แต่จะทำลายล้างตระกูลซันด้วยซ้ำไป!

เมื่อนึกได้เช่นนี้ ซันเทียนเปียวถึงกับใจสั่น และหวั่นไหวขึ้นมาอย่างรุนแรง เขาไม่ได้หวาดกลัวเฉิงเม่ยเฟิง แต่หวาดกลัวยอดฝีมือที่ทำการชำระล้างร่างกายให้กับเธอต่างหาก!

ยอดฝีมือผู้นั้นคือใครกัน? ซันเทียนเปียวคิดจนหัวแทบระเบิด แต่ก็คิดไม่ออก!

ซันเทียนเปียวไม่รู้ตัวว่า ‘ยอดฝีมือ’ ที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้นก็คือหลิงหยุน คนที่เขากำลังพยายามสืบสาวหาตัวอยู่นั่นเอง หากเขารู้เข้าคงจะต้องกระอักเลือดอย่างแน่นอน!

ในเวลานั้น หลิงหยุนได้รับพลังอมตะจากพู่กันจักรพรรดิ ทำให้เขาสามารถเข้าสู่ขั้นพลังชี่-9 ได้ในทันที และพลังความแข็งแกร่งของเขาในตอนนั้นก็เหนือกว่ายอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-9 อีกทั้งยังมีพลังอมตะที่มากมายเหลือเฟือ ประกอบกับดัชนีห้าธาตุสลายลมปราณ การจะชำระล้างร่างกายให้ผู้คนจึงเป็นเรื่องที่ง่ายดายมากสำหรับเขา

นับว่าซันเทียนเปียววิเคราะห์ได้ไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย และหากหลิงหยุนไปที่ตระกูลซันในวันและเวลานั้น เขาแทบไม่ต้องลงมืออะไรเลยแม้แต่น้อย เพราะเพียงแค่หลิงหยุนใช้มังกรคำราม ก็สามารถฆ่าคนในตระกูลซันได้ทั้งหมดในคราวเดียว!

เพราะการที่หลิงหยุนใช้จิตหยั่งรู้สะกดจิตควบคุม และลบความทรงจำที่ต่างกันให้กับทุกคนในคราวเดียวนั้น มันยากยิ่งกว่าการฆ่าคนทั้งหมดพร้อมๆกันเสียอีก

แต่สิ่งที่ซันเทียนเปียวไม่คาดคิดก็คือ ความแข็งแกร่งที่เขาคิดว่าเป็นของยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-7 ขึ้นไปนั้น กลับเป็นเพียงแค่ของชั่วคราว และอยู่เพียงแค่หกชั่วโมง แล้วก็กลับคืนสู่สภาพปกติ

“ซันเทียนเปียวดูนี่ก่อน!”

เฉิงเม่ยเฟิงยืนนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งให้กับซันเทียนเปียว

ซันเทียนเปียวคือศัตรูที่จ้องเอาชีวิตของหลิงหยุน เฉิงเม่ยเฟิงจึงไม่จำเป็นต้องรักษามารยาทกับเขา และกล้าที่จะเรียกชื่อเขาตรงๆ

ซันเทียนเปียวได้ฟังก็รู้สึกเสียหน้า แต่กลับไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมาทางสีหน้าแม้แต่น้อย เขายกมือออกไปรับกระดาษแผ่นนั้น และค่อยๆคลี่ออกดู

กระดาษแผ่นนั้นเขียนด้วยลายมือของนางหนิวเฟิ่นเหยียว มีข้อความระบุว่าการหมั้นระหว่างสองตระกูลได้สิ้นสุดลงแล้ว

“เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา ภรรยาของคุณได้ประกาศยกเลิกงานแต่งงาน และเขียนหนังสือฉบับนี้ขึ้นต่อหน้าทุกคนไว้เป็นหลักฐาน ดังนั้น ตอนนี้ตระกูลเฉิงกับตระกูลซันจึงไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆต่อกันอีก!”

ใบหน้าของเฉิงเม่ยเฟิงช่างเย็นชาและน้ำเสียงก็ราบเรียบและสงบนิ่ง!

เธอนึกถึงเหตุการณ์ที่หลิงหยุนบังคับให้นางหนิวเฟิ่นหยียวเขียนสัญญายกเลิกการแต่งงานฉบับนี้ขึ้น และให้ยอดฝีมือทั้งสี่คนเป็นพยาน และเมื่อนึกถึงความพยายามของหลิงหยุน เฉิงเม่ยเฟิงก็รู้สึกภาคภูมิใจอย่างที่สุด

“ซันเทียนเปียว.. ลายมือในหนังสือยกเลิกการแต่งงานฉบับนี้ คุณจำได้ใช่ไม๊ว่าเป็นลายมือของใคร?” เฉิงเม่ยเฟิงจ้องซันเทียนเปียวพร้อมกับเอ่ยถาม

เฉิงเม่ยเฟิงเคยผ่านช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายมาแล้ว เธอจึงไม่รู้สึกหวาดกลัวต่อความตายแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น เธอยังไม่เห็นซันเทียนเปียวอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ

ตลอดระยะเวลาที่อาศัยอยู่กับหลิงหยุนมา เธอรู้ดีว่าแม้จะเต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่เลวร้ายเพียงใด หลิงหยุนก็ไม่เคยแสดงความพ่ายแพ้ออกมา เธอจึงไม่ต้องการสร้างความอัปยศให้กับหลิงหยุนในขณะที่ต้องเผชิญหน้าอยู่กับตระกูลซันที่ยิ่งใหญ่!

ซันเทียนเปียวนิ่งเงียบไป เขาจ้องมองตัวหนังสือที่อยู่ตรงหน้าอยู่นาน และในที่สุดก็พยักหน้า

“ฉันเชื่อว่าจดหมายฉบับนี้เป็นหนังสือยกเลิกการแต่งงานของเธอกับซันจิ้งจริง!”

เมื่อได้ยินว่าซันเทียนเปียวยอมรับการล้มเลิกการแต่งงานของเธอกับซันจิ้ง เฉินเม่ยเฟิงก็ได้แต่แอบคิดในใจว่า ก้าวแรกในการมาที่ตระกูลเฉิงของเธอได้ประสบความสำเร็จแล้ว!

คนจีนนั้นให้ความสำคัญมากกับสถานภาพของตนเอง ที่ผ่านมาข้อผูกมัดเรื่องการแต่งงานระหว่างเธอกับซันจิ้งนั้น เป็นสิ่งที่กัดกินใจเธอตลอดมา แม้ว่าซันจิ้งจะได้หายสาปสูญไปแล้ว และถึงแม้หลิงหยุนจะไม่สนใจและใส่ใจกับสถานภาพพวกนี้ แต่เฉิงเม่ยเฟิงให้ความสำคัญ!

เธอต้องการแต่งงานกับหลิงหยุนได้อย่างบริสุทธิ์โดยไม่มีพันธะผูกพันกับใคร เพื่อที่ว่าเมื่อถึงวันนั้น ตระกูลซันจะได้ไม่สามารถสบประมาท และเยาะเย้ยหลิงหยุนในเรื่องนี้ได้!

เฉิงเม่ยเฟิงมีความสุขอย่างมากที่ซันเทียนเปียวยอมรับ แต่ก็แอบเอะใจว่าเหตุใดเขาจึงยอมรับง่ายดายเช่นนี้!

เฉิงเม่ยเฟิงรีบประกาศชัยชนะและพูดต่อว่า “ในเมื่อการแต่งงานได้ถูกยกเลิกแล้ว ก็ปล่อยคนในครอบครัวของฉันได้แล้ว ปล่อยให้พวกเขาให้เป็นอิสระ!”

วันที่ซันเทียนเปียวมาที่เมืองจิงฉูนั้น ฝนก็ตกกระหน่ำลงมาอย่างหนัก เขาคิดไม่ถึงว่าเฉิงเม่ยเฟิงจะกล้ามาปรากฏตัว และมายืนกดดันเขาอยู่เช่นนี้ สีหน้าของเขาเกินจะทนยอมรับได้ แต่ก็ต้องอดทนรับไว้!

เพราะในใจของซันเทียนเปียวเองก็แอบหวาดกลัวยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-7 ขึ้นไปผู้นั้น..

ซันเทียนเปียวอดคิดไม่ได้ว่า การที่เฉิงเม่ยเฟิงกล้าแข็งกร้าวกับเขาเช่นนี้ ไม่แน่ว่ายอดฝีมือผู้นั้นอาจจะรออยู่ด้านนอกประตูก็เป็นได้ และหากจู่ๆยอดฝีมือผู้นั้นบุกเข้ามา แม้แต่เขาเองก็ยากที่จะรับมือได้!

แต่ถึงแม้จะหวาดกลัว แต่ซันเทียนเปียวในฐานะตัวแทนของตระกูลซัน เขาจำเป็นต้องสืบให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับภรรยา และลูกชายของเขากันแน่ เขาจึงตอบกลับไปว่า..

“ฉันไม่ได้ทำอันตรายคนในครอบครัวของเธอ พวกเขายังสบายดี อยู่ดีกินดี เพียงแต่ที่ต้องควบคุมตัวไว้ชั่วคราวเพื่อสืบหาคนของตระกูลซันที่หายตัวไป”

การที่ซันเทียนเปียวตอบเช่นนั้น เขาไม่ได้ตั้งใจพูดกับเฉิงเม่ยเฟิง แต่ต้องการสื่อสารกับยอดฝีมือที่เขาคิดว่าคอยแอบคุ้มครองเฉิงเม่ยเฟิงอยู่เงียบๆผู้นั้นต่างหาก

ซันเทียนเปียวเองก็ไม่มั่นใจว่า ยอดฝีมือผู้นั้นจะเป็นคนที่ชำระล้างร่างกายให้กับเฉิงเม่ยเฟิงหรือไม่ แต่เขาเองก็ไม่กล้าเสี่ยง จึงต้องเดาไว้ก่อนว่ายอดฝีมือผู้นั้นเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังการมาของเฉิงเม่ยเฟิงในครั้งนี้ด้วย

แน่นอนว่าบนโลกใบนี้ ผู้ที่แข็งแกร่งกว่าล้วนเป็นผู้ที่สามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ด้วยคำพูดเพียงไม่กี่ประโยค

วันนี้หากหลิงหยุนฝึกถึงขั้นพลังชี่-9 และกำลังอยู่ต่อหน้าซันเทียนเปียว พร้อมกับบอกซันเทียนเปียวไปตรงๆว่า นางหนิวเฟิ่นเหยียวและซันจิ้งได้ถูกเขาฆ่าตายไปแล้ว ซันเทียนเปียวคงทำได้เพียงแค่กลืนน้ำลาย และไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่คำเดียว อีกทั้งยังไม่รีรอที่จะเอาใจหลิงหยุนด้วยซ้ำ

และนี่คืออำนาจของพลังความแข็งแกร่ง!

“ถ้าฉันเดาไม่ผิด สัญญาฉบับนี้คงจะเขียนขึ้นหลังจากที่ภรรยาโทรหาฉัน ตอนนี้สัญญาก็อยู่ในมือเธอ แต่ภรรยาและลูกของฉัน รวมถึงยอดฝีมือของตระกูลซันกลับหายตัวไปถึงสี่วันแล้ว!”

“หลังจากที่ภรรยาของฉันโทรมาหาฉันแล้ว เกิดอะไรขึ้นในคืนนั้น? และตอนนี้คนของตระกูลซันอยู่ที่ใหน? นี่เป็นเรื่องที่ฉันยังต้องสืบหาความจริง!”

ซันเทียนเปียวไม่ใช่คนธรรมดา เขาวิเคราะห์จากเหตุการณ์ทั้งสองช่วงคือ ช่วงก่อนหน้าที่นางหนิวเฟิ่นเหยียวจะโทรหาเขา และหลังจากที่นางหนิวเฟิน่เหยียววางสายไป

ตอนนั้น.. ยอดฝีมือของตระกูลซันกลับหลิงหยุนกำลังปะทะกันอยู่ และช่วงที่ซันจิ้งถูกส่งตัวให้กับถังเทียนห่าวนั้น นางหนิวเฟิ่นเหยียวก็ได้โทรหาซันเทียนเปียว และเล่ารายละเอียดทุกอย่างให้เขาฟังทางโทรศัพท์ เขาจึงสามารถที่จะปะติดปะต่อเรื่องราวได้ไม่ยาก

ดังนั้น ซันเทียนเปียวจึงรู้ว่าคืนนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง และรู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตระกูลเฉิงน้อยมาก แต่เกี่ยวข้องกับหลิงหยุนเป็นส่วนใหญ่!

เพราะนางหนิวเฟิ่นเหยียวได้เล่าให้เขาฟังทางโทรศัพท์ว่า หลิงหยุนนั้นแข็งแกร่งมากมายเพียงใด และได้สังหารคนของตระกูลซันไปแล้วกี่คน และซันจิ้งลูกชายของเขาก็ตกอยู่ในเงื้อมือของหลิงหยุน..

เขาได้ฟังสถานการณ์ที่เลวร้ายผ่านทางโทรศัพท์อย่างละเอียด!

ดังนั้นการที่ซันเทียนเปียวมาที่เมืองจิงฉูเพื่อสืบสาวความจริงนั้นจึงเป็นเพียงแค่ข้ออ้าง แต่จุดประสงค์ที่เขามาที่นี่ก็เพื่อฆ่าหลิงหยุน!


บทที่ 394 : แผนการของสาวงาม!

การที่ซันเทียนเปียวมาที่เมืองจิงฉูนั้น เขามีจุดมุ่งหมายอยู่สามอย่าง หนึ่ง-คือมาตามหาคนของตระกูลซันที่หายตัวไป สอง-คือมาฆ่าหลิงหยุน และสามคือมาสืบหาสมุดและพู่กันจักรพรรดิแบบลับๆ

สำหรับเรื่องการแต่งงานอะไรที่นางหนิวเฟิ่นเหยียวเป็นผู้จัดการนั้น ซันเทียนเปียวไม่ได้สนใจด้วยเลยแม้แต่น้อย.. อีกทั้งความร่ำรวยเข้าขั้นมหาเศรษฐีของเฉิงเทียน ก็ไม่ได้ส่งผลต่อจิตใจของเขาเช่นกัน

ส่วนเรื่องการหายตัวไปอย่างลึกลับของนางหนิวเฟิ่นเหยียวกับซันจิ้งนั้น ซันเทียนเปียวก็ไม่ได้เป็นทุกข์เป็นร้อนแต่อย่างใด เพราะตระกูลซันยังมีสมาชิกอยู่อีกมากมาย

หลิงหยุนหายตัวไปตั้งแต่คืนวันอาทิตย์ และไม่มีข่าวคราวเลยแม้แต่น้อย ซันเทียนเปียวเข้าใจว่า หลิงหยุนคงจะหวาดกลัวอำนาจของตระกูลซันจนต้องหนีไปหลบซ่อนตัว เขาจึงจัดการกดดันหลิงหยุนจากหลายๆทาง เพื่อบีบบังคับให้หลิงหยุนยอมออกมาจากที่ซ่อน

แต่สองเรื่องนี้ยังไม่ใช่เรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับซันเทียนเปียว และยอดฝีมือคนอื่นๆ เรื่องสำคัญที่สุดของพวกเขานั้นก็คือข่าวคราวเรื่องสมุดกับพู่กันจักรพรรดิต่างหาก!

ส่วนทางด้านหลิงหยุนนั้น เรื่องกังวลที่สุดสำหรับเขา กลับไม่ใช่เรื่องที่ตระกูลซันจะสืบรู้ว่าเขาเป็นผู้ที่สังหารแม่ลูกตระกูลซันและยอดฝีมือคนอื่นๆ แล้วตระกูลซันจะกลับมาแก้แค้น แต่เขากลัวว่าความลับเรื่องที่เขาเป็นเจ้าของพู่กันจักรพรรดิจะรั่วไหลออกไปต่างหาก!

เฉิงเม่ยเฟิงนั่งลงบนโซฟาพร้อมกับยิ้มอย่างถือดี ก่อนจะพูดจาต่อรองกับซันเทียนเปียวต่อ

“ซันเทียนเปียว.. ถ้าคุณรับปากว่าจะไม่ทำอันตรายคนในครอบครัวของฉัน ฉันก็จะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในคืนนั้นให้คุณฟังทั้งหมด!”

ซันเทียนเปียวมองท่าทางที่สงบเยือกเย็นของเฉิงเม่ยเฟิงแล้วก็ได้แต่พยักหน้าเป็นการรับปาก “ได้.. ฉันสัญญา! เล่ามา..”

แต่เฉิงเม่ยเฟิงกลับตอบยิ้มๆ “หวังว่าคุณจะรักษาคำพูด..”

ซันเทียนเปียวตอบกลับทันที “คำพูดของฉัน-ซันเทียนเปียว.. ยังไม่สามารถทำให้เด็กสาวอย่างเธอเชื่อถือได้งั้นรึ?”

เฉิงเม่ยเฟิงรู้ดีว่าก้าวที่สองของเธอกำลังจะประสบความสำเร็จแล้ว แต่เธอเองก็รู้สึกประหลาดใจมาก ที่ดูเหมือนซันเทียนเปียวจะยอมรับปากง่ายๆ เพราะจากสถานการณ์ในตอนนี้ หากซันเทียนเปียวจะใช้กำลังบีบบังคับให้เธอพูด ก็ย่อมทำได้อย่างง่ายดาย..

ตอนนี้เฉิงเม่ยเฟิงเริ่มรู้สึกแปลกใจมากขึ้น และไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดซันเทียนเปียวจึงได้อดทนกับเธอ และให้โอกาสเธอพูดอะไรมากมายถึงเพียงนี้ ซันเทียนเปียวทำราวกับว่า เขาและเธอมีสถานภาพในระดับเดียวกัน และมีอำนาจในการพูดคุยต่อรองกัน!

แต่เฉิงเม่ยเฟิงหารู้ไม่ว่า ตอนนี้ซันเทียนเปียวได้ค้นพบว่า อาจมีศัตรูที่น่ากลัวเกินจินตนาการอยู่เบื้องหลังเธอ ทำให้เธอมีอำนาจขึ้นมาทันที!

แต่เฉิงเม่ยเฟิงไม่ต้องการคิดอะไรมาก อีกทั้งยังไม่ต้องการถามอะไรออกไปมากมาย เธอจึงเริ่มพูดสิ่งที่ได้ตกลงไว้กับเสี่ยวเม่ยเม่ยให้กับซันเทียนเปียวฟัง

“ฉันเชื่อว่าคนอย่างคุณต้องรู้ตื้นลึกหนาบางของประเทศจีนดี และต้องรู้จักองค์กรนักฆ่าด้วยเช่นกัน? ฉันจะบอกอะไรให้.. เหอซิงหยานคือหนึ่งในมือสังสารขององค์กรนักฆ่า และคนที่ลงมือสังหารคนของตระกูลซันในคืนนั้นก็คือองค์กรนักฆ่า!”

“อะไรนะ?! เหอซิงหยานนี่นะเป็นมือสังหารขององค์กรนักฆ่า?! นี่มัน..” ซันเทียนเปียวได้ฟังก็ถึงกับขมวดคิ้ว และอุทานขึ้นมาทันที

แม้แต่ยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนทั้งสามคนที่ยืนอยู่ด้านหลังของซันเทียนเปียว ต่างก็ถึงกับหันมามองหน้ากัน ยอดฝีมือทั้งสามท่านนั้นล้วนมาจากคนละสำนัก คนหนึ่งมาจากสำนักจิ้งซิน คนหนึ่งมาจากวัดเส้าหลิน และอีกคนก็มาจากสำนักเหมาซาน!

……

หลังจากที่หลิงหยุนได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย เฉิงเม่ยเฟิงและเสี่ยวเม่ยเม่ยเองต่างก็เป็นผู้หญิงที่เฉลียวฉลาด ไม่มีทางที่พวกเธอทั้งสองคนจะนั่งรอคอยอยู่ที่บ้านเฉยๆโดยไม่คิดทำอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคนของตระกูลซันได้เดินทางมาที่เมืองจิงฉู พวกเธอจึงต้องคิดหาวิธีรับมืออย่างมีสติ..

ความทรงจำของผู้คนในคืนนั้นต่างก็ถูกหลิงหยุนลบออกจนหมดสิ้น แต่ความทรงจำของเฉิงเม่ยเฟิงและเสี่ยวเม่ยเม่ยไม่ได้ถูกลบทิ้งไปด้วย พวกเธอจึงเป็นผู้ที่รู้เรื่องราวในคืนนั้นเป็นอย่างดี และหลังจากที่ปรึกษาไตร่ตรองกันอย่างรอบคอบด้วยเหตุด้วยผล หญิงสาวทั้งสองคนจึงตัดสินใจวางแผนขึ้นมา และแยกย้ายกันทำงาน

ถึงแม้ทั้งคู่จะรู้ดีว่าแผนการที่พวกเธอวางไว้นั้นเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเสี่ยง แม้จะได้ทำการวางแผนมาเป็นอย่างดีแล้ว แต่ก็มีช่องโหว่สูง และเป็นไปได้ที่จะล้มเหลว แต่เพื่อช่วยครอบครัวของเฉิงเม่ยเฟิง อย่างน้อยก็ต้องดึงเวลาไว้ให้ได้นานที่สุด จนกว่าหลิงหยุนจะกลับมา พวกเธอจึงไม่สนใจอะไรมาก!

และแผนการของพวกเธอก็คือการโยนความผิดทั้งหมดให้กับองค์กรนักฆ่า!

เสี่ยวเม่ยเม่ยยังจำได้ดีว่า หลังจากที่หลิงหยุนสังหารตี้ปาแล้ว เขาได้นำเครื่องมือสื่อสารที่ตี้ปาใช้สื่อสารกับองค์กรนักฆ่ากลับมาด้วย และได้สอบถามเธอว่า เขาสามารถใช้เครื่องมือสื่อสารนี้ปลอมตัวเป็นมือสังหารขององค์กรนักฆ่า เพื่อเข้าไปสืบหาคนที่จ้างวานฆ่าเขาได้หรือไม่?

และเธอเองก็ได้เตือนหลิงหยุนว่า หากเขาทำเช่นนั้น เขาจะต้องเผชิญหน้ากับมือสังหารระดับสวรรค์ขององค์กรนักฆ่า แต่หลิงหยุนกลับไม่แสดงท่าทีหวาดกลัวแม้แต่น้อย พร้อมตอบเธอกลับมาด้วยท่าทางที่แสนจะผยอง

และนั่นทำให้เสี่ยวเม่ยเม่ยรู้สึกประทับใจในตัวหลิงหยุนอย่างมาก เธอจึงคิดจะใช้เรื่องนี้ป้ายสีให้กับองค์กรนักฆ่าแทน!

และช่างโชคร้ายที่หนึ่งในสี่ยอดฝีมือที่ตระกูลซันเชิญมาในคืนนั้น กลับเป็นมือสังหารขององค์กรนักฆ่าจริงๆ!

และเขาก็คือเหอซิงหยาน – ยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-8!

ในคืนนั้นหลังจากที่หลิงหยุนจัดการฆ่าเหอซิงหยานแล้ว เขาก็ได้ประกาศต่อหน้าทุกคนว่า เหอซิงหยานคือมือสังหารขององค์กรนักฆ่า!

ในวันเสาร์และวันอาทิตย์ หลิงหยุนวุ่นวายอยู่กับการเตรียมตัวเพื่อลงไปสำรวจหลุมยักษ์ และเมื่อกลับไปที่อพาร์ทเมนท์ในตอนบ่าย ก็จัดแจงให้เฉิงเม่ยเฟิงและเสี่ยวเม่ยเม่ยไปอยู่กับแม่ของเขาที่บ้านเลขที่-9 แถวอ่าวจิงฉู หลิงหยุนจึงไม่มีเวลาได้พูดคุยกับหญิงสาวทั้งสองคนในรายละเอียดของเหตุการณ์ในคืนวันศุกร์

คืนนั้นเฉิงเม่ยเฟิงกลับไปถึงที่คฤหาสน์ตระกูลเฉิงอีกครั้งหลังเสียวเม่ยเม่ย เธอไปถึงจังหวะที่นางหนิวเฟิ่นเหยียวประกาศยกเลิกการแต่งงานพอดี ดังนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น เฉิงเม่ยเฟิงจึงไม่รู้เรื่อง

แต่เสี่ยวเม่ยเม่ยรู้ และรู้ดีกว่าทุกๆคนในที่นั้นว่า องค์กรนักฆ่านั้นทั้งลึกลับและแข็งแกร่งมากเพียงใด!

เธอจึงต้องการช่วยหลิงหยุนด้วยการหาแพะมารับผิดแทนเขา และเสี่ยวเม่ยเม่ยก็ได้จัดการให้องค์กรนักฆ่าเป็นผู้รับบทแพะรับบาปนี้!

อีกทั้งแผนการนี้ ยังจะช่วยให้ตระกูลเฉิงซึ่งเป็นเพียงคนธรรมดาไร้วรยุทธ สามารถอ้างได้เต็มปากว่า ไม่มีความสามารถที่จะหยุดยั้งสิ่งที่เกิดขึ้นกับตระกูลซันได้ และตระกูลซันก็ไม่อาจตำหนิตระกูลเฉิงได้เช่นกัน!

และหากมือสังหารขององค์กรนักฆ่าเป็นผู้สังหารคนของตระกูลซัน องค์กรนักฆ่าก็จะกลายเป็นศัตรูคนสำคัญของตระกูลซันแทนหลิงหยุนทันที!

แม้ว่าหลิงหยุนจะไม่สามารถพ้นข้อกล่าวหาได้อย่างสิ้นเชิง แต่อย่างน้อยซันเทียนเปียวก็จะไม่พุ่งเป้าไปที่หลิงหยุนฝ่ายเดียว

นี่เท่ากับยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว!

และเมื่อใดที่หญิงสาวทั้งสองคนสามารถติดต่อหลิงหยุนได้ พวกเธอก็เชื่อมั่นว่า ด้วยความแข็งแกร่งและเก่งกาจของหลิงหยุน เขาจะสามารถจัดการกับปัญหานี้ได้อย่างแน่นอน!

และสิ่งที่ทำให้หญิงสาวทั้งคู่เชื่อมั่นในตัวหลิงหยุนได้ถึงเพียงนี้ ก็คือภาพที่หลิงหยุนอยู่ท่ามกลางมังกรทองทั้งเก้าตัว ซึ่งเป็นภาพที่เกิดจากพลังอมตะจากพู่กันจักรพรรดินั่นเอง ภาพนี้ยังคงตราตรึงอยู่ในใจพวกเธอทั้งสองคน!

………..

“องค์กรนักฆ่างั้นเหรอ? เธอบอกว่าคนขององค์กรนักฆ่าปรากฎตัวในคืนนั้น.. ถ้างั้นก็ช่วยเล่าให้ฉันฟังหน่อยว่าพวกเขาจัดการกับคนของตระกูลซันยังไง?”

ซันเทียนเปียวขมวดคิ้ว และจ้องมองเฉิงเม่ยเฟิงที่พูดด้วยน้ำเสียงเบาคล้ายกำลังพึมพำ..

แม้เฉิงเม่ยเฟิงจะเตรียมตัวมาอย่างดี แต่ดูเหมือนซันเทียนเปียวจะไม่เชื่อ เพราะคนธรรมดาไม่น่าจะรู้ว่ามีองค์กรนักฆ่าอยู่ในโลกนี้ด้วย และคนที่เผลอไปรู้เข้า ก็ต้องสังเวยด้วยชีวิต!

เฉิงเม่ยเฟิงตอบยิ้มๆ “ใช่.. คนขององค์กรนักฆ่า!”

“ฉันยอมรับว่า เพื่อช่วยชีวิตฉันและเพื่อเอาตัวรอด หลิงหยุนได้ฆ่ายอดฝีมือขั้นต่ำของตระกูลซันไปบ้าง ทำร้ายจนบาดเจ็บบ้าง แต่นั่นก็เป็นความจำเป็น เพราะหลิงหยุนต้องการมาช่วยผู้หญิงของเขากลับไป และจัดการให้มีการยกเลิกการแต่งงาน!”

ระหว่างพูดเฉิงเม่ยเฟิงก็ยกแขนที่ยาวเรียวของเธอขึ้น และนิ้วเรียวงามก็ชี้ไปยังหนังสือฉบับนั้น และพูดต่อว่า

“นี่เป็นหนังสือที่ภรรยาของคุณเขียนขึ้นหลังจากที่คุยโทรศัพท์กับคุณ แต่มันก็สายไปแล้ว เพราะหลังจากที่ประกาศยกเลิกการแต่งงาน พวกเราก็เตรียมตัวที่จะกลับออกไป แต่ก็กลับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น!”

“จู่ๆ ก็มีมือสังหารที่แข็งแกร่งมากสามคนบุกเข้ามาฆ่าซันจิ้งลูกชายของคุณ และสมาชิกคนอื่นๆของตระกูลซัน!”

“ในตอนนั้น หลวงจีนมี่ฉิง และแม่ชีมี่ซิน รวมทั้งหลิวเต๋อหมิงก็อยู่ที่นั่นด้วย พวกเขาเองต่างก็งุนงงกันหมด..”

“หลังจากนั้นเหตุการณ์ก็เริ่มโกลาหลไปหมด จนไม่สามารถบอกได้ว่าใครเป็นใคร รู้เพียงแค่ว่ามีคนถูกทำร้ายและถูกฆ่ามากมาย!”

“แต่หลังจากที่ฉันได้ยินใครสักคนตะโกนว่า ‘พวกมันมาแล้ว’ ฉันก็เป็นลมไป แล้วก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย..”

เฉิงเม่ยเฟิงนั้นช่างยอดเยี่ยมมาก! เธอใช้ความจริงบางส่วน สร้างเรื่องเสมือนจริงบางส่วน ผสมกันได้อย่างกลมกลืน!

ก่อนที่จะมีการประกาศยกเลิกการแต่งงาน นางหนิวเฟิ่นเหยียวได้โทรหาซันเทียนเปียว เสี่ยวเม่ยเม่ยจึงบอกกับเฉิงเม่ยเฟิงว่าไม่มีประโยชน์ที่จะโกหกซันเทียนเปียว ให้เล่าไปตามความจริงโดยไม่ต้องปิดบัง..

และเฉิงเม่ยเฟิงก็ผลักภาระทั้งหมดให้เป็นหน้าที่ของตระกูลซันไปครุ่นคิดเอาเอง..

เธอได้ทำหน้าที่โยนความผิดทั้งหมดของหลิงหยุนให้กับเหอซิงหยาน และองค์กรนักฆ่าเรียบร้อยแล้ว และจากนี้ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของตระกูลซันไปจัดการต่อไป

เฉิงเม่ยเฟิงฉลาดพอที่จะสร้างเรื่องว่าตัวเธอเองเป็นลมในช่วงสถานการณ์ที่กำลังโกลาหล เพื่อที่จะเลี่ยงไม่ต้องตอบคำถามที่ว่าตอนนี้คนของตระกูลซัน และคนขององค์กรนักฆ่าอยู่ที่ใหน?

ระหว่างที่เฉิงเม่ยเฟิงเล่านั้น สายตาที่แหลมคมของซันเทียนเปียวก็จับตาดูแววตาของเธออยู่ตลอดเวลา พร้อมกับกำลังครุ่นคิดอย่างหนัก..

ปกติแล้ว.. ระหว่างตระกูลใหญ่ทั้งเจ็ดตระกูลนั้น ก็มักมีการหักหลังกันอย่างโหดร้ายอยู่แล้ว เพราะแต่ละตระกูลต่างก็ต้องการรักษาสถานภาพความมั่นคงของตระกูลตัวเองไว้

สถานภาพของตระกูลซันเองก็ไม่ได้ต่ำต้อยมากมาย อยู่ในลำดับที่สี่ อีกทั้งตระกูลซันเองยังมีมิตรภาพที่ดีทั้งกับตระกูลที่เหนือกว่า และตระกูลที่ต่ำกว่า มีหรือที่จะถูกโจมตีลับหลังโดยที่เขาไม่ระแคะระคาย

เหอซิงหยานเป็นผู้ที่มีวิชาตัวเบาคล่องแคล่วรวดเร็ว และมีอาวุธลับที่ทรงพลัง แต่เขาจะเป็นมือสังหารขององค์กรนักฆ่าจริงหรือไม่? หากใช่.. เพราะอะไรถึงได้มาหลบซ่อนตัวอยู่ในตระกูลซัน? แล้วตระกูลใหนกันที่แอบโจมตีตระกูลซันลับหลัง?

ตระกูลหลง? ตระกูลเฉิน? ยังมีตระกูลหลิงอีก?

ตระกูลเฉินเป็นตระกูลที่ค่อนข้างทะเยอทะยานที่จะไต่อันดับขึ้นไปด้วยวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวิธีที่ถูกกฎหมายหรือผิดกฏหมาย และตอนนี้ยังร่วมมือกับตระกูลโทคุงาวะในญี่ปุ่น..

แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่น่าใช่ตระกูลเฉิน หากตระกูลเฉินต้องการจัดการตระกูลซันจริง ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินให้กับองค์กรนักฆ่าเพื่อจัดการกับหนิวเฟิ่นเหยียวและซันจิ้งเพื่อมาบีบบังคับเขา มันดูไม่มีเหตุผล!

ซันเทียนเปียวมีผู้หญิงมากมายนับไม่ถ้วน และมีลูกชายถึงเจ็ดแปดคน หากคนพวกนั้นต้องการจัดการกับผู้หญิงของเขา และลูกชาย ก็เป็นเรื่องที่ง่ายนิดเดียว

“แน่ใจนะว่าเธอกำลังพูดความจริง?!”

ซันเทียนเปียวเป็นคนเจ้าเล่ห์ แม้เฉิงเม่ยเฟิงจะพูดได้ไหลลื่น แต่หลังจากที่ครุ่นคิดและลังเลอยู่นาน เขาก็เลือกที่จะไม่เชื่อ..

แต่จุดประสงค์ของเฉิงเม่ยเฟิงในวันนี้ ไม่ได้มาเพื่อมาโน้มน้าวให้ซันเทียนเปียวเชื่อ แต่แค่ซันเทียนเปียวเริ่มลังเล ก็ถือว่าเธอได้รับชัยชนะแล้ว!

เฉิงเม่ยเฟิงมองซันเทียนเปียวด้วยสายตาเย็นชา พร้อมตอบกลับไปอย่างหนักแน่น

“ฉันได้เล่าในสิ่งที่ฉันรู้แล้ว จะเชื่อหรือไม่.. เป็นเรื่องของคุณ!”


บทที่ 395 : เฉิงเม่ยเฟิง!

เฉิงเม่ยเฟิงไม่กลัวตาย แต่ซันเทียนเปียวกลับมองว่าเธอดูมีความมั่นใจมากจนเกินไป จึงทำให้เขาลังเลสงสัยในคำพูดของเธอ

หากคิดวิเคราะห์ตามคำบอกเล่าของเฉิงเม่ยเฟิงแล้ว ก็ดูเหมือนจะไม่พบช่องโหว่ตรงใหนเลย เพราะซันเทียนเปียวเองก็รู้ว่าเรื่องราวบางส่วนที่เธอเล่าล้วนเป็นความจริง

เหอซิงหยานเป็นใครมาก่อนนั้น แม้แต่ซันเทียนเปียวเองก็ไม่เคยรู้จักหัวนอนปลายเท้าของเขา แต่ความสัมพันธ์ของตระกูลซันกับเหอซิงหยานเริ่มต้นจากการที่เขาเข้ามาเป็นแขกของตระกูลซันก่อน หลังจากนั้นเขาก็ได้ช่วยเหลือตระกูลซันในสภาวะที่คับขัน และยากลำบากหลายครั้ง จนกระทั่งเป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจของตระกูลซัน

ซันเทียนเปียวเองก็เคยคิดว่า เหอซิงหยานน่าจะได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเก่าแก่ตระกูลไม่ตระกูลใดก็ตระกูลหนึ่ง แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่า เขาคือคนขององค์กรนักฆ่าที่ใหญ่โตกว่าหลายเท่านัก!

แต่เพียงแค่การที่มือสังหารระดับสวรรค์ขององค์กรนักฆ่าปรากฏตัวจริง เหตุผลเพียงแค่นี้จะเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าองค์กรนักฆ่าคือผู้ที่ลงมือสังหารคนของตระกูลซันเช่นนั้นหรือ?

คนวงในต่างก็รู้กันดีว่า องค์กรนักฆ่านั้นล้วนไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว ทุกอย่างมีเพียงเรื่องของธุรกิจและผลประโยชน์ องค์กรนักฆ่าจะไม่ยุ่งเรื่องส่วนตัวที่ไร้ผลประโยชน์!

เหอซิงหยานเป็นยอดฝึมือระดับสูงสุดขั้นโฮ่วเทียน-8 และการจะได้รับความไว้วางใจจากตระกูลซันก็เป็นเรื่องยากลำบาก และเขาเองก็ใช้เวลาแฝงตัวอยู่ในตระกูลซันมานาน แสดงให้เห็นว่า เขาต้องมีหน้าที่ และเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าแค่การสังหารหนิวเฟิ่นเหยียวและซันจิ้ง!

อีกทั้งที่ผ่านมา เหอซิงหยานก็ทำหน้าที่เป็นคนที่คอยติดตาม และคอยคุ้มครองความปลอดภัยส่วนตัวให้กับนางหนิวเฟิ่นเหยียว เขามีโอกาสมากมายหลายครั้งที่จะสามารถทำอันตรายหนิวเฟิ่นเหยียวจนถึงแก่ชีวิตได้ เหตุใดจู่ๆ จึงเปิดเผยสถานะของตนเอง และประกาศตัวเป็นปรปักษ์กับตระกูลซัน?!

และหากเป็นเช่นนั้นจริง เหตุใดที่ผ่านมาเหอซันจิ้ง และองค์กรนักฆ่าจึงไม่เคยลงมือเลย!?

เมื่อครู่เฉิงเม่ยเฟิงเล่าว่า ‘มีใครบางคนเพิ่มเข้ามา’ เรื่องนี้ก็น่าจะมีมูลความจริง เพราะจากที่เขาได้คุยกับหนิวเฟิ่นเหยียวทางโทรศัพท์ ทำให้รู้ว่าฝีมือของยอดฝีมือทั้งสองฝ่ายค่อนข้างสูสีกัน คนของแต่ละฝ่ายจึงต้องช่วยกันเต็มที่ ไม่เช่นนั้นหนิวเฟิ่นเหยียวคงจะไม่มีโอกาสโทรเล่าให้เขาฟังได้แน่..

นางหนิวเฟิ่นเหยียวเป็นภรรยาของซันเทียนเปียว แน่นอนว่าเขาย่อมรู้นิสัยใจคอของเธอดีกว่าใคร หากสถานการณ์ไม่เลวร้ายอย่างที่สุด มีหรือที่เธอจะยอมเสียหน้าประกาศยกเลิกการแต่งงาน!

ถ้าเช่นนั้น.. ยอดฝีมือที่มาใหม่คนนั้นเป็นใครกัน? หรือจะเป็นยอดฝีมือที่อยู่ขั้นเซียงเทียน-7 ขึ้นไปผู้นั้น?

และเพราะเหตุใดผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนแล้วแต่จำเหตุการณ์ในคืนนั้นไม่ได้ คล้ายกับคนที่สูญเสียความทรงจำไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง?

แต่เรื่องนี้ก็สลับซับซ้อนเกินกว่าที่ซันเทียนเปียวจะจินตนาการได้ และอยู่เหนือการควบคุมของเขา!

แม้ซันเทียนเปียวจะรู้สึกหงุดหงิดและผิดหวัง แต่ก็เขาก็ยังคงนิ่งไม่แสดงอารมณ์ใดๆออกมาทางสีหน้า สายตาของเขายังคงจับจ้องอยู่ที่เฉิงเม่ยเฟิง พร้อมกับพูดขึ้นมาว่า

“เธอกำลังพูดโกหก!”

ซันเทียนเปียวเคยเป็นศิษย์สำนักเส้าหลิน ประโยคที่เขาพูดออกไปเมื่อครู่นั้น เขาได้แอบใช้เสียงคำรามพูดกับเธอ ซึ่งแม้จะไม่ใช่เสียงที่ดังมากมาย แต่ก็มีพลังความถี่ของคลื่นเสียงสูงจนเสียดแทงเข้าไปในรูหูของเฉิงเม่ยเฟิง

ซันเทียนเปียวตั้งใจใช้เสียงคำรามจัดการกับเฉิงเม่ยเฟิง เพื่อหลอกล่อให้ยอดฝีมือที่คอยบงการเธออยู่เผยตัวออกมา!

ระหว่างยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-1 กับหญิสาวธรรมดาที่ไร้วรยุทธ มีหรือที่เธอจะสามารถต้านทานพลังที่แข็งแกร่งของซันเทียนเปียวได้ เฉิงเม่ยเฟิงไม่สามารถทนต่อคลื่นเสียงความถี่สูงเช่นนั้นไม่ได้ ร่างบอบบางของเธอถึงกับสั่นเทาขึ้นมาทันที!

เฒ่าเจ้าเล่ห์ไม่ต่างจากสุนัขจิ้งจอกอย่างซันเทียนเปียว ทำให้แววตาที่สงบนิ่งของเฉิงเม่ยเฟิงถึงกับเป็นประกาย และกระพริบถี่ด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะตะโกนตอบกลับไปว่า

“ฉันไม่ได้โกหก!”

สิ้นเสียงตะโกนของเฉิงเม่ยเฟิง ซันเทียนเปียวก็เดินลมปราณขั้นสูงสุด พร้อมกับจ้องมองไปยังประตูห้องรับแขก และอยู่ในท่าเตรียมพร้อมสำหรับรับมือกับการปรากฏตัวของสุดยอดฝีมือ!

บรรยากาศภายในห้องรับแขกเริ่มตึงเครียดขึ้นมาทันที และมีเพียงความเงียบเชียบที่ผิดปกติ ในเวลานี้.. หากมีเข็มตกลงพื้นสักเล่ม ทุกคนในห้องคงจะคิดว่าเป็นศัตรูอย่างแน่นอน!

หลังจากผ่านไปราวสิบห้าวินาที เมื่อไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ซันเทียนเปียวก็ได้แต่แอบถอนหายใจอย่างโล่งอก..

ดูเหมือนจะไม่มีสัญญาณผิดปกติใดๆ!

หลังจากที่สามารถควบคุมอารมณ์และความตระหนกตกใจของตัวเองได้แล้ว ซันเทียนเปียวก็นึกหัวเราะเยาะในความหวาดกลัวไปก่อนของตัวเอง เพราะหากมียอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-7 จริง เหตุใดเฉิงเม่ยเฟิงจึงไม่กล้าเปิดเผยความจริง?

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ซันเทียนเปียวก็ได้แต่นึกโกรธในใจ ตาของเขาเป็นประกาย และเต็มไปด้วยรังสีอำมหิต ตาของเขาหรี่เล็กเข้าหากัน และจู่ๆก็หันไปจ้องหน้าเฉิงเม่ยเฟิงพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“เธอคิดว่าฉันจะโง่ให้เธอหลอกงั้นรึ?!”

เสียงคำรามของซันเทียนเปียวนั้นเยือกเย็น และสายตาดูราวกับจะฆ่าแกงเธอ ทำให้เฉิงเม่ยเฟิงเข้าใจถึงความกดดันที่ต้องเผชิญหน้ากับยอดฝีมือ!

เธอจึงเข้าใจได้ทันทีว่า เพราะเหตุใดหลิงหยุนจึงต้องมุ่งมั่นฝึกฝนอย่างบ้าคลั่ง จนถึงกับไม่ยอมกลับมานอนที่อพาร์ทเมนท์เป็นเพื่อนเธอ!

ความจริงเธอเองก็พอจะรับรู้ได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกับหลิงหยุนแล้วว่า ภายใต้ท่าทางที่สงบนั้น เขาเองก็ต้องเผชิญกับความกดดันในลักษณะนี้ด้วยตัวคนเดียวเช่นกัน!

หลิงหยุนซ่อนเธอไว้ในอพาร์ทเมนท์ของเขา ปกป้องเธอจากสายลมและสายฝน แต่ตัวเขาเองกลับต้องเผชิญหน้ากับความเป็นความตายอยู่ทุกวัน และบางวันก็กลับมาถึงบ้านดึกๆดื่นๆในสภาพที่ร่างกายเต็มไปด้วยเลือด และเสื้อผ้าขาดวิ่น..

แม้ว่าหลิงหยุนจะมีรอยยิ้มจางๆอยู่บนใบหน้าอยู่ตลอดเวลา พร้อมกับคำพูดที่เธอได้ยินจนชินหู – ไม่ต้องห่วงผม ผมไม่เป็นอะไร..

เฉิงเม่ยเฟิงยังจำได้ว่า เธอยังเคยตัดพ้อต่อว่าหลิงหยุนให้เสี่ยวเม่ยเม่ยฟังว่า เขาเป็นคนป่าเถื่อนและใจคอโหดเหี้ยม..

แต่หลิงหยุนกลับปลอบเธอว่า – อย่าคิดมาก.. วันข้างหน้าคุณจะค่อยๆเข้าใจ และคุ้นเคยไปเอง..

เฉิงเม่ยเฟิงยังจำคืนวันเทศกาลเชงเม้งได้ เมื่อเธอถูกจับตัวไป หลิงหยุนก็รีบตามมาช่วยได้ทันเวลา และแม้จะเผชิญหน้าอยู่กับศัตรูมากมายที่เขาไม่รู้จัก แต่เขาก็ยังพูดปลอบปะโลมเธอ – ไม่ต้องกลัว.. สามีของคุณมาช่วยแล้ว!

และทันทีที่เธอได้ฟังคำพูดประโยคนั้นของหลิงหยุน เธอก็สะเทือนใจมากจนถึงกับร้องห่มร้องไห้ออกมามากมาย!

หลิงหยุนได้ทำเพื่อเธอหลายสิ่งหลายอย่าง แล้วมีอะไรบ้างที่เธอทำเพื่อเขา? เธอจะทำอะไรเพื่อเขาได้บ้าง? เธอทำได้เพียงแค่ใช้เรือนร่างของตัวเองทำให้เขามีความสุขบนเตียงแค่นั้นหรือ?

ดวงตาคู่งามของเฉิงเม่ยเฟิงเต็มไปด้วยน้ำตาที่ใสราวกับคริสตัล และแววตาของเธอก็เต็มไปด้วยความแน่วแน่มั่นคง เธอยังคงตอบกลับไปอย่างหนักแน่น

“ฉันพูดความจริง คุณจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่!”

และนั่นทำให้แม่ชีมี่ยื่อได้แต่แอบพยักหน้าอย่างชื่นชม แม้ซันเทียนเปียวจะส่งเสียงคำรามเพียงเบาๆ แต่ก็ใช่ว่าคนธรรมดาทั่วไปจะทนได้ แต่เฉิงเม่ยเฟิงกับมีจิตใจที่แน่วแน่และหนักแน่น นั่นเป็นการแสดงให้เห็นว่า นอกจากเธอจะมีพรสวรรค์แล้ว ยังมีจิตใจที่แข็งแกร่งอีกด้วย!

แววตาของซันเทียนเปียวเต็มไปความเจ้าเล่ห์ เขาเริ่มถามคำถามเฉิงเม่ยเฟิง!

“คุณบอกว่ามีใครบางคนโผล่เข้ามา – เขาคือใคร?”

“ตอนนั้นฉันเป็นลมไปแล้ว จะรู้ได้ยังไง?” เฉิงเม่ยเฟิงตอบ

“ระหว่างที่มือสังหารระดับสวรรค์ขององค์กรนักฆ่าต่อสู้กับคนของตระกูลซันอยู่.. แล้วตอนนั้นหลิงหยุนทำอะไร? แล้วตอนนี้เขาอยู่ใหน?”

“เรื่องนั้น..” เฉิงเม่ยเฟิงอ้ำอึ้ง

“และหลังจากเหตุการณ์คืนนั้น ทำไมคนขององค์กรนักฆ่า และคนของตระกูลซันถึงได้หายตัวไป แต่คนทางฝั่งเธอกลับไม่มีใครเป็นอะไร?!”

“และจากที่ฉันทำการสืบสวนมา คนในตระกูลเฉิงล้วนแล้วแต่จำเหตุการณ์ในคืนนั้นไม่ได้เลยสักคน รวมถึงพ่อแม่และน้องสาวของเธอด้วย เรื่องนี้เธอจะอธิบายว่ายังไง?”

นอกจากซันเทียนเปียวจะยิงคำถามชุดใหญ่ใส่เฉิงเม่ยเฟิงแล้ว เขายังแอบใช้เสียงคำรามที่หนักหน่วงกว่าเดิมพูดกับเธอ ทุกคำพูดที่ทะลุเข้าสู่แก้วหูของเธอนั้น จึงไม่ต่างจากค้อนที่ตอกลงกลางใจของเฉิงเม่ยเฟิง เธอเจ็บปวดราดร้าวจนใบหน้าเริ่มซีด!

แม้ว่าเฉิงเม่ยเฟิงจะได้เตรียมคำพูดมาอย่างดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ภายใต้ความกดดันที่ได้รับจากซันเทียนเปียว เธอสามารถทรุดได้ตลอดเวลา และไม่กล้าแม้แต่จะพูดอะไรออกมาอีก

กิริยาท่าทางของเฉิงเม่ยเฟิงในเวลานี้ไม่ต่างจากการยอมรับสารภาพ และสภาพของเธอในตอนนี้ไม่ต่างจากคนที่ไม่ได้นอนหลับพักผ่อนติดต่อกันมาหลายคืน เธอแทบอยากทรุดตัวลงหลับเพื่อที่จะไม่ต้องพูดอะไรอีก

ซันเทียนเปียวเป็นยอดถึงฝีมือขั้นเซียงเทียน เขาไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการที่ซับซ้อนยุ่งยากอะไร เพียงแค่เขาใช้เส้าหลินคำรามเขย่าจิตใจของเธอ  และรอให้เธอตกอยู่ในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น ถึงตอนนั้น เธอก็จะต้องเล่าเหตุการณ์ในคืนนั้นออกมาจนหมด

“ฉัน.. ไม่.. รู้..”

เฉิงเม่ยเฟิงรู้สึกราวกับว่าแก้วหูของเธอนั้นกำลังจะระเบิดฉีกขาด และสมองของเธอก็ว่างเปล่า ก่อนจะกัดฟันพูดสามคำนั้นออกมา!

“งั้นรึ!”

ซันเทียนเปียวพูดขึ้นมาด้วยเสียงเย็นชา และหยุดถามคำถาม แต่ยังคงพูดต่ออีกสองสามคำ หากเป็นคนธรรมดาคงต้องตกใจจนต้องพูดความจริงออกมาแล้ว แต่เฉิงเม่ยเฟิงที่เพิ่งจะได้ร่างกายที่เหมือนเกิดใหม่นี้กลับไม่ยอมพูด

“เฉิงเม่ยเฟิง เธอต้องคิดให้ถี่ถ้วน ภายใต้อาทิตย์ดวงนี้ ไม่มีเรื่องใดที่เป็นความลับ! ฉันมีศักยภาพพร้อมทุกอย่าง และสามารถสืบหาความจริงได้!”

“อีกสองสามวันข้างหน้า ฉันจะทำการสอบสวนเธออีกครั้งอย่างละเอียด ถ้าฉันพบว่าเธอยังกล้าโกหกฉันอีกล่ะก็ ฉันจะฆ่าครอบครัวของเธอทิ้งแน่!”

ซันเทียนเปียวพูดกับเฉิงเม่ยเฟิง และดวงตาของเขาก็จับจ้องอยู่ที่ใบหน้าซีดเซียวของเธอ

เฉิงเม่ยเฟิงนั้นนับว่าเป็นหญิงสาวที่สวยมาก และภาพที่เธอกัดฟันแน่น ทำให้เธอดูสวยเป็นพิเศษในสายตาของซันเทียนเปียว เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างน่าประหลาด

 “ซันเทียนเปียวคุณรับปากกับฉันแล้ว จะกลับคำพูดงั้นเหรอ? ไม่อายหรือยังไง?” เฉิงเม่ยเฟิงที่มีท่าทีสงบอยู่นาน กลับพูดออกมาด้วยความเกลียดชัง

ซันเทียนเปียวยิ้มอย่างเย็นชา “ใช่.. ฉันรับปากกับเธอ! แต่อย่าลืมว่า.. อยู่ในเงื่อนไขที่ว่าถ้าเธอพูดความจริงเท่านั้น!’

“คิดจะล้อเล่นกับคนอย่างซันเทียนเปียว เธอยังอ่อนหัดนัก!”

จากนั้นซันเทียนเปียวก็ยกมือขึ้นโบกพร้อมกับตะโกนออกไปว่า

“เข้ามา!”

ทันทีที่ได้ยินคำสั่งของซันเทียนเปียว ยอดฝีมือที่อยู่ด้านนอกก็เข้ามาทันที

“พาเฉิงเม่ยเฟิงกลับไปหาครอบครัวของเธอ ถ้าไม่มีคำสั่งของฉัน ห้ามไม่ให้เธอติดต่อกับโลกภายนอกเด็ดขาด!”

เมื่อเห็นว่าชายร่างใหญ่สองคนจะมาจับตัวเธอ เฉิงเม่ยเฟิงก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับจับโซฟาพยุงตัวไว้ ร่างบอบบางของเธอโซเซพร้อมกับร้องขึ้นมาว่า

“ฉันเดินเองได้.. กรุณาคืนหนังสือฉบับนั้นให้กับฉันด้วย!”

ต่อหน้ายอดฝีมือที่เก่งกาจทั้งสามคน ซันเทียนเปียวไม่กล้าทำตุกติกให้เสียชื่อ เขาจึงคืนหนังสือยกเลิกการแต่งงานให้กับเฉิงเม่ยเฟิงไป และมองตามยอดฝีมือทั้งคู่ที่กำลังพาเธอออกไป

“ทั้งสามท่านอย่าได้ติดใจในเรื่องนี้?”

หลังจากที่เฉิงเม่ยเฟิงออกไป ซันเทียนเปียวก็ปรับเปลี่ยนสีหน้า และรีบหันไปพูดคุยกับยอดฝีมือทั้งสามทันที

เจ้าอาวาสวัดเส้าหลินได้แต่พูดขึ้นว่า “อามิตตาพุทธ.. สาวน้อยผู้น่าสงสาร เรื่องนี้ช่างประหลาดนัก เกิดอะไรขึ้นในคืนนั้น สลับซับซ้อนเกินกว่าที่พวกเราจะเดาได้!”

นักพรตเต๋าแห่งสำหนักเหมาซานได้แต่พึมพำ “นั่นสิ.. เด็กสาวคนนั้นก็พูดจาคลุมเครือ ยังไงก็ต้องตรวจสอบให้รอบคอบ”

แม่ชีมี่ยื่อแห่งสำนักจิ้งซินกลับปัดแส้ในมือ และได้แต่เงียบไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ


บทที่ 396 : แย่งหลิงหยุน!

เฉิงเม่ยเฟิงถูกนำตัวไปที่บ้านอีกหลังหนึ่ง หลังจากผ่านไปสี่วัน เธอก็ได้พบกับครอบครัวอีกครั้ง

ทั้งพ่อ แม่ และน้องสาวต่างก็ปลอดภัย เพียงแค่ไม่มีอิสระภาพ!

“เม่ยเฟิง.. ลูกหายไปใหนมาตั้งหลายวัน รู้ไม๊ว่าคืนวันเชงเม้งเกิดเรื่องราวใหญ่โตขึ้นที่บ้าน?”

เมื่อลูกสาวคนโตเดินเข้าบ้านมา เฉิงเทียนก็ไม่พูดกับเธอแม้แต่คำเดียว พร้อมกับคิดในใจว่า หากเฉิงเม่ยเฟิงไม่ปฏิเสธการแต่งงาน และไม่หนีกลับมาจากปักกิ่ง เรื่องราวต่างๆก็คงไม่เกิดขึ้น!

เฉิงเม่ยเฟิงไม่สนใจเฉิงเทียน เธอเดินตรงเข้าไปกอดนางจ้าวฝัวหมี่แม่ของเธอ พร้อมกับปล่อยให้น้ำตาไหลพรากออกมา

หลังจากนั้นราวหนึ่งนาที เฉิงเม่ยเฟิงก็ค่อยๆผละออกจากอ้อมกอดของเม่ พร้อมกับหันไปสั่งคนที่ตามเธอมาว่า

“ฉันต้องการคุยกับคนในครอบครัว กรุณาออกไปได้แล้ว!”

แต่ผู้ติดตามทั้งสองคนกลับยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน พวกเขาต้องทำหน้าที่คอยสังเกตการณ์เฉิงเม่ยเฟิงทุกฝีก้าว จึงไม่ยอมออกไปจากห้องตามคำสั่ง

เฉิงเม่ยเฟิงได้แต่ถอนหายใจ และปล่อยให้พวกเขายืนอยู่อย่างนั้น จากนั้นก็ดึงมือของนางจ้าวฝัวหมี่ไปนั่งที่โซฟา

เธอมองเฉิงเทียนด้วยสายตาเย็นชาพร้อมกับวางหนังสือยกเลิกการแต่งงานไว้ตรงหน้าของเขา และพูดด้วยน้ำเสียงที่ห่างเหิน

“นี่เป็นหนังสือยกเลิกการแต่งงานของหนูกับซันจิ้ง!”

เฉิงเทียนหยิบหนังสือฉบับนั้นขึ้นมาอ่านดูอย่างละเอียดแล้วก็ได้แต่ตกตะลึง!

“เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่? แล้วทำไมพวกเราไม่มีใครรู้?”

เฉิงเม่ยเฟิงยังคงโกรธพ่อของเธออยู่ แต่ก็พูดออกไปว่า “อยากรู้ว่าเมื่อไหร่.. ก็ดูวันที่ที่ระบุในหนังสือฉบับนั้นเองสิคะ!”

เฉิงเทียนก้มดูวันที่ในหนังสือข้อตกลงฉบับนั้นอีกครั้ง จากนั้นก็ถึงกับร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ

“คืนวันที่ 4 เมษายนงั้นเหรอ? นี่มัน.. คืนวันเชงเม้งพอดี!”

ในคืนนั้นเฉิงเทียน จ้าวฝัวหมี่ และเฉิงเมี่ยน ต่างก็อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันที่บ้าน เพียงแต่ความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ในคืนนั้นของทั้งสามคน ได้ถูกหลิงหยุนลบทิ้งไปแล้ว พวกเขาจึงจำอะไรไม่ได้!

“หนังสือนี่เขียนขึ้นที่ใหน?” เฉิงเทียนเงยหน้าขึ้นมองเฉิงเม่ยเฟิงพร้อมกับร้องถามอย่างงุนงง..

เฉิงเม่ยเฟิงจงใจพูดให้ชายร่างใหญ่สองคนที่ยืนอยู่ได้ยิน “ที่บ้านเกิดเรื่องใหญ่โตไม่ใช่เหรอ?! ก็ต้องเขียนขึ้นที่บ้านสิ!”

เฉิงเทียน จ้าวฝัวหมี่ และเฉิงเมี่ยน ต่างก็หันไปมองหน้ากัน แววตาของทั้งสามคนเต็มไปด้วยความหวาดผวาและสยดสยองอย่างที่ไม่อาจอธิบายได้ และทุกคนก็นิ่งอึ้งไป

“แล้วทำไมพวกเราถึงไม่รู้อะไรเลย?”

เฉิงเม่ยเฟิงอยากจะบอกไปว่าพวกเขาถูกลบความทรงจำจะจำได้ยังไง? แต่เธอก็เพียงแค่ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“ตอนนั้นทุกคนตกใจจนสลบไป ก็เลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง..”

จากนั้นเฉิงเม่ยเฟิงก็เล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้กับพ่อแม่และน้องสาวของเธอฟัง เธอเล่าเหมือนกับที่เล่าให้ซันเทียนเปียวฟัง คือมีทั้งเรื่องจริง และเรื่องโกหก

เมื่อเฉิงเทียนกับจ้าวฝัวหมี่ได้ฟังก็ถึงกับอึ้งไป เฉิงเทียนร้องออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“อะไรนะ? นี่แกบอกว่าคืนวันเชงเม้งมีคนตายในบ้านของเรางั้นเหรอ? แล้วคนที่ตายก็เป็นคนของตระกูลซันอีก?! แล้วนี่ฉันจะทำยังไงดี?!”

เฉิงเทียนหวาดกลัวจนขาสั่นไปหมด เพราะหากเป็นเช่นนั้นจริง แล้วหนังสือยกเลิกการแต่งงานฉบับนี้ล่ะ?! อย่าบอกนะว่าที่ซันเทียนเปียวโมโหขนาดนี้ก็เพราะเรื่องหนังสือฉบับนี้ นี่ไม่เท่ากับเป็นการทำลายเฉิงเทียนจนไม่เหลืออะไรเลยงั้นหรือ?!

จ้าวฝัวหมี่ถึงกับตกใจจนหน้าซีด และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีในเวลานี้?!

“แม่คะ.. ไม่ต้องกังวลใจไป คนพวกนั้นเป็นพวกที่มีวรยุทธ แม่ไม่มีทางหยุดพวกเขาได้หรอกค่ะ อีกอย่างตอนนั้นทุกคนในครอบครัวของเราก็ล้วนหมดสติกันอยู่ เรื่องนี้เป็นเพราะหนู หนูจะจัดการเอง”

เฉิงเม่ยเฟิงเผชิญหน้ากับความเป็นความตายมาหลายต่อหลายครั้ง และตอนนี้เธอก็ได้กลายเป็นเสาหลักของครอบครัวไปแล้ว เธอจึงได้แต่ปลอบปะโลมแม่ของเธอที่กำลังถอนหายใจ

เมื่อเฉิงเมี่ยนหายตกใจ เธอจึงถามเฉิงเม่ยเฟิงอย่างสงสัย “พี่ใหญ่.. เมื่อครู่พี่บอกว่าแฟนพี่ที่ชื่อหลิงหยุนเป็นคนมาช่วยพี่?”

เฉิงเม่ยเฟิงยังจำท่าทางของน้องสาวตัวเองในคืนนั้นได้ดี จึงได้แต่ถอนหายใจ และพยักหน้า

เฉิงเมี่ยนถึงกับตระหนกตกใจและถามด้วยความกังวล “หลิงหยุนคนนี้.. เป็นหลิงหยุนใหนกัน? เพราะที่โรงเรียนของฉันก็มีคนชื่อหลิงหยุนเหมือนกัน..”

เฉิงเม่ยเฟิงเข้าใจอาการตกใจและกังวลของน้องสาวเธอดี เธอจึงได้แต่ถอนหายใจพร้อมกับตอบไปว่า

“เป็นเขา.. หลิงหยุนนักเรียนชายที่อยู่โรงเรียนมัธยมจิงฉูคนนั้น!”

“อะไรนะ?! เป็นเขาได้ยังไง? เป็นไปได้ยังไง?!”

เฉิงเมี่ยนสปริงตัวลุกขึ้นจากโซฟาทันที และอุทานออกมาด้วยสีหน้าที่ตกใจ

ตั้งแต่ที่หลิงหยุนเริ่มแสดงความสามารถที่โดดเด่นเหนือคนธรรมดา เฉิงเมี่ยนก็เริ่มตกหลุมรักเขา เธอเตรียมตัวที่จะตัดสัมพันธ์กับซันจิ้ง และเริ่มที่จะตามจีบหลิงหยุน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าพี่สาวของเธอได้กลายมาเป็นแฟนของหลิงหยุนเสียเอง!

อีกทั้งจากเรื่องที่พี่สาวของเธอเล่าให้ฟังนั้น หลิงหยุนยอมเสี่ยงชีวิตบุกเข้าไปที่บ้านตระกูลเฉิงเพื่อช่วยเฉิงเม่ยเฟิง และถึงกับต่อสู้กับยอดฝีมือของตระกูลซัน เพื่อบังคับให้พวกเขาปล่อยตัวพี่สาวของเธอ!

ความสัมพันธ์ระหว่างหลิงหยุนกับพี่สาวของเธอถึงขั้นใหนกันแน่? หากทั้งสองคนเป็นสามีภรรยากันไปแล้ว หลิงหยุนก็ต้องกลายมาเป็นพี่เขยของเธอน่ะสิ?

เฉิงเมี่ยนถึงกับใจสั่นอย่างรุนแรง เธอไม่สามารถยอมรับความจริงที่แสนเจ็บปวดนี้ได้ จนแทบร้องไห้ออกมา!

“ทำไมจะเป็นไปไม่ได้? ในวันทีซันจิ้งขับรถชนรถของพี่ หลิงหยุนเป็นคนช่วยพี่ไว้ และวันที่พี่จะถูกส่งตัวกลับไปให้ตระกูลซัน พี่ก็ไม่รู้ว่าจะหนีไปใหน จึงไปหาเขา แล้วก็อยู่กับเขาตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา..”

ด้วยอำนาจอิทธิพลของซันเทียนเปียว เรื่องพวกนี้คงต้องรู้ถึงหูของเขาอย่างแน่นอน เฉิงเม่ยเฟิงจึงไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไร และเลือกที่จะเล่าความจริงให้กับเฉิงเมี่ยนฟัง

เฉิงเม่ยเฟิงเล่าให้น้องสาวฟังว่า เธอไปอาศัยอยู่กับหลิงหยุน ไม่ได้บอกว่าไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่นั่น เพราะได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้วที่จะต้องบอกความจริง!

สำหรับเฉิงเม่ยเฟิงนั้น หลิงหยุนคือชายเพียงคนเดียวในใจของเธอ และไม่สามารถมีใครมาแทนที่ได้อีก!

เฉิงเมี่ยนนิ่งไป ก่อนจะถามต่อด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา “พี่.. นี่พี่อยู่กินกับหลิงหยุนแล้วงั้นเหรอ? แล้วมันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

เฉิงเม่ยเฟิงตอบเสียงเบา “ในคืนที่ฝนตกหนัก.. พี่หนีออกมาจากบ้านของเพื่อนสนิท และไปหาหลิงหยุนที่โรงเรียน แล้วทุกอย่างก็เริ่มต้นตั้งแต่วันนั้น”

เฉิงเม่ยเฟิงรู้ว่าเฉิงเมี่ยนเองก็แอบชื่นชอบหลิงหยุน แต่เธอรู้จักนิสัยของน้องสาวตัวเองดี เธอจึงต้องทำให้น้องสาวของเธอตัดใจเด็ดขาด อย่างน้อยก็จะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์ไปตลอดชีวิต

เธอไม่ตำหนิน้องสาว แล้วก็ไม่ตำหนิหลิงหยุน เพราะหลิงหยุนเป็นคนที่ทั้งเก่งและสมบูรณ์แบบในทุกๆด้าน อีกทั้งยังมีเสน่ห์มากมาย ยากนักที่หญิงสาวจะต้านทานแรงดึงดูดของเขาได้ ซึ่งเฉิงเม่ยเฟิงเองก็เรื่องนี้ดี!

แม้หลิงหยุนจะมีเสี่ยวเม่ยเม่ย เกาเฉินเฉิน และเสี่ยวเม่ยหนิง เธอยังยอมรับได้ แต่ต้องไม่ใช่เฉิงเมี่ยนที่เป็นน้องสาวของเธอ!

“นี่เธอคิดจะแย่งคนรักของพี่งั้นเหรอ?”

เฉิงเมี่ยนถึงกับล้มพับลงไปทันที ไม่มีเสียงร้องไห้คร่ำครวญ มีเพียงเสียงกรีดร้องออกมา!

เฉิงเมี่ยนไม่อาจยอมรับไม่ได้ เพราะอะไรน่ะหรือ? ก็เพราะพี่สาวของเธอได้ครอบครองทุกอย่าง..

เฉิงเม่ยเฟิงมองเฉิงเมี่ยนที่กำลังเจ็บปวด แต่ตัวเธอเองก็ทุกข์ระทมไม่ต่างกัน แต่ก็เพียงแค่พูดต่อด้วยสีหน้านิ่งเรียบ

“เธอชอบเสียเจิ้นเหยินมาตลอดไม่ใช่เหรอ? แล้วก็เริ่มคบกันฉันชายหญิงแล้วด้วย.. แต่ทำไมจู่ๆถึงมาชอบหลิงหยุนได้ล่ะ?”

“เท่าที่พี่รู้มา เธอกับน้องสาวของหลิงหยุนก็ไม่ถูกันไม่ใช่เหรอ?”

เฉิงเมี่ยนสวนขึ้นมาทันที “เสียเจิ้นเหยินเหรอ? อย่าพูดชื่อนี้ให้ฉันได้ยินอีก ไอ้คนชั่วนั่น! ฉันไม่ไปโรงเรียน แต่เขากลับไม่เคยสนใจห่วงใยฉันเลย เขาชอบแต่หนิงหลิงยู่น้องสาวของหลิงหยุน.. ไม่ใช่ฉัน!”

“งั้นเหรอ!”

เมื่อเฉิงเม่ยเฟิงได้ยินว่าเสียเจิ้นเหยินชอบหนิงหลิงยู่ เธอก็ได้แต่ยิ้มหยันออกมา

เมื่อบ่ายวันอาทิตย์ หลิงหยุนได้ขอให้เธอกับเสี่ยวเม่ยเม่ยไปอยู่ที่บ้านแม่ของเขา เพราะต้องการให้พวกเธอทั้งคู่ได้พบกับแม่สามีในอนาคต พร้อมกับสั่งให้พวกเธอแต่งตัวให้สวยที่สุดเพื่อให้แม่ของเขาพอใจ

แต่เมื่อทั้งคู่ไปถึงที่บ้านเลขที่-9 และเป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่ได้พบหนิงหลิงยู่ในร่างกายอัปสร หญิงสาวทั้งสองคนได้แต่ตกตะลึง นอกเหนือจากการยอมรับความพ่ายแพ้แล้ว พวกเธอก็ไม่ได้นึกอิจฉาริษยาแม้แต่น้อย!

แต่เมื่อหนิงหลิงยู่ได้รู้ฐานะของพวกเธอทั้งสองคน ดวงตากลมโตชวนฝันของเธอก็เปลี่ยนไปอย่างที่ไม่อาจเข้าใจได้ จากนั้นเหตุการณ์ก็ดำเนินไปอย่างปกติ แต่ในใจของเฉิงเม่ยเฟิงกับเสี่ยวเม่ยเม่ยนั้น กลับหม่นหมองลงทันที!

เสียเจิ้นเหยินคิดจะจีบหนิงหลิงยู่ซึ่งเป็นหญิงสาวที่สวยงามถึงเพียงนั้น ในความคิดของเฉิงเม่ยเฟิง เสียเจิ้นเหยินก็คงไม่ต่างจากสุนัขที่ได้แต่มองเครื่องบิน ทำได้เพียงแค่เห่าหอน และวิ่งไล่ตาม แต่ไม่มีทางเอื้อมถึง!

“เมี่ยน.. เธออายุสิบแปดแล้วนะ ไม่ใช่เด็กๆแล้ว เธอเคยชอบเสียเจิ้นเหยินเพราะเขามาจากตระกูลที่ดี แต่เพราะความร่ำรวยของซันจิ้ง เธอก็เปลี่ยนไปชอบเขา และตอนนี้หลิงหยุนเป็นคนเก่ง เธอก็มาชอบหลิงหยุนอีก นี่เธอต้องการจะแย่งแฟนพี่สาวตัวเองงั้นเหรอ?”

“เมื่อไหร่เธอจะโตเป็นผู้ใหญ่ซะที? เธอต้องเข้าใจว่าโลกใบนี้ไม่ใช่ว่าเราจะทำอะไรก็ได้ ตระกูลของเราร่ำรวยมหาศาลแค่ใหน แต่หากเทียบกับตระกูลซันที่ทั้งแข็งแกร่งและมีอำนาจ เงินของเราแทบไม่มีความหมายอะไรเลย!?”

แม้เฉิงเม่ยเฟิงจะพูดกับเฉิงเมี่ยน แต่พ่อกับแม่ของเธอที่ได้ฟัง กลับรู้สึกราวกับว่า ลูกสาวคนโตกับพูดอยู่กับพวกเขาทั้งคู่..

ตั้งแต่ได้พบกับหลิงหยุน เฉิงเม่ยเฟิงได้เห็นความแข็งแกร่งของเขา และเสี่ยวเม่ยเม่ย  ทั้งสองคนได้เปิดประตูโลกใหม่ให้กับเธอ หลังจากที่ทำใจยอมรับเรื่องที่เหลือเชื่อได้พักหนึ่ง จิตใจของเธอก็เปลี่ยนไปทันที!

เธอได้รู้ว่า.. ความทุกข์ระทมต่างๆที่เธอเคยได้รับนั้น ล้วนเกิดจากเพียงเหตุผลเดียวคือเธออ่อนแอ! เฉิงเม่ยเฟิงต้องการเปลี่ยนแปลงความจริงข้อนี้ และตั้งใจจะเอาชนะโชคชะตาของตัวเอง และฝึกฝนให้ตนเองมีคุณสมบัติที่เหมาะสมจะเป็นภรรยาของหลิงหยุน!

ต่อหน้าคนที่แข็งแกร่ง เงินจะมีความหมายอะไร?

“พี่ไม่ต้องมาสั่งสอนฉันมาก! พี่พูดง่ายเพราะสิ่งดีๆพี่ก็เอาไปหมด! ไม่รู้ล่ะ ฉันไม่สน! ยังไงฉันก็จะแย่งหลิงหยุนมาจากพี่!”

เฉิงเมี่ยนเต็มไปด้วยความเสียใจ และไม่สามารถทนฟังคำพูดของพี่สาวที่พูดราวกับไม่คิดถึงใจเธอได้อีก..

เฉิงเม่ยเฟิงรู้ดีว่าน้องสาวคงจะไม่ฟังคำแนะนำของเธอ เธอจึงได้แต่ส่ายหน้าแล้วพูดว่า

“พี่จะไม่แย่งหลิงหยุนกับเธอหรอก! ในเมื่อเธอชอบหลิงหยุน เธอก็ต้องทำให้หลิงหยุนชอบเธอให้ได้!”

ลูกสาวสองคนกำลังทะเลาะกันเรื่องผู้ชาย เฉิงเทียนไม่สามารถทนฟังได้อีกต่อไป จึงพูดขึ้นว่า..

“ดูเหมือนหลิงหยุนจะเป็นปัญหาใหญ่ของครอบครัวเราสินะ! พวกแกสองคนทะเลาะกันแย่งผู้ชายต่อหน้าคนอื่นนี่นะ.. ฉันพูดอะไรไม่ออกเลยจริงๆ?!”

“เม่ยเฟิง.. แกบอกว่าหลิงหยุนฆ่าคนของตระกูลซันไม่ใช่เหรอ? ถ้างั้นแกก็โทรไปหามัน ให้มันมาอธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้ตระกูลซันฟังด้วยตัวเอง! อย่าปล่อยให้มันทิ้งภาระให้กับตระกูลเฉิง!”

เฉิงเม่ยเฟิงเคยรู้สึกผิดหวังกับเฉิงเทียน เธอมองพ่อของเธอด้วยความสมเพช พร้อมกับตอบยิ้มๆ

“หลิงหยุนหายตัวไปแล้ว..”

“อะไรนะ?!”


บทที่ 397 : รักที่ไม่อาจลืม!

“อย่าบอกนะว่ามันกลัวจนต้องหนีความผิด!?”

ทันทีที่ได้ยินว่าหลิงหยุนหายตัวไป เฉิงเทียนก็กระเด้งขึ้นจากโซฟาทันที พร้อมกับร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ

เฉิงเม่ยเฟิงนึกหยันพ่อของเธออยู่ในใจ แต่ก็พูดออกมาด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง “หนีเพราะกลัวความผิดงั้นเหรอคะ? คนอย่างหลิงหยุนไม่เคยกลัวอะไร!”

เฉิงเม่ยเฟิงมั่นใจในในความแข็งแกร่งของคนรักมากพอๆกับที่จะเชื่อว่าพระอาทิตย์จะตกทางตะวันออกได้!

“แล้วถ้างั้นมันหายหัวไปใหนล่ะ? มันสร้างความหายนะไว้มากมายแล้วก็หนีไป ตอนนี้พวกเราจะทำยังไง?”

เฉิงเทียนทั้งกระวนกระวายใจ และโกรธหลิงหยุนอย่างมาก เขาเดินไปเดินวนไปวนมาราวกับสุนัขติดจั่น

เฉิงเม่ยเฟิงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “พ่อจะกังวลไปทำไม? ถึงหลิงหยุนจะหายตัวไป แต่หนูก็กลับมาแล้วนี่ไง พ่อสบายใจได้ ในเมื่อเรื่องทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะหนู หนูก็จะเป็นคนจัดการทุกอย่างแทนพ่อเอง!”

“หลิงหยุนหายตัวไปงั้นเหรอ? แล้วหายไปใหน?”

ทันทีที่ได้ยินว่าหลิงหยุนหายตัวไป เฉิงเมี่ยนก็ได้แต่ร้อนใจ เธอพูดออกมาอย่างไม่อายว่า มิน่าตอนอยู่ที่โรงเรียนเธอได้ไปเดินวนเวียนอยู่แถวระเบียงหน้าห้องเรียนของหลิงหยุน แต่กลับไม่พบแม้แต่เงาของเขา

เฉิงเม่ยเฟิงได้ฟังก็ได้แต่ถอนหายใจ พร้อมกับหมดเรี่ยวแรงที่จะทะเลาะกับน้องสาวของเธออีก

ตอนนี้เธอกับน้องสาวตกหลุมรักผู้ชายคนเดียวกัน แม้แต่ตัวเฉิงเม่ยเฟิงเองก็ไม่รู้ว่าจะจัดการกับเรื่องนี้ยังไง? จึงได้แต่รอให้หลิงหยุนกลับมาจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง

เธอกับหลิงหยุนผ่านช่วงความตายมาด้วยกัน ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเธอจึงแน่นแฟ้นเกินกว่าคู่รักธรรมดา เธอไม่ได้กังวลแม้แต่น้อยว่าน้องสาวของเธอจะสามารถแย่งหลิงหยุนไปจากเธอได้ หากจะกังวล ก็น่าจะเป็นสาวสวยอย่างเสี่ยวเม่ยหนิง หรือเกาเฉินเฉินมากกว่า

แต่เฉิงเม่ยเฟิงเองก็รู้ดีว่า รอบตัวหลิงหยุนนั้นมีสาวงามมากมาย ในคืนที่หลิงหยุนปะทะกับยอดฝีมือของตระกูลซันนั้น หญิงสาวทุกคนไม่ว่าจะเป็นเสี่ยวเม่ยหนิง เสี่ยวเม่ยเม่ย หรือเกาเฉินเฉิน แต่ละคนก็ล้วนยอมตายเพื่อเขาได้

ใหนจะยังมีหญิงสาวรูปร่างเซ็กซี่ที่ใช้ผ้าคลุมปิดบังใบหน้าไว้ ก็ยังมาช่วยหลิงหยุนต่อสู้ในคืนนั้นด้วย ยังมีเจ้าสุนัขจิ้งจอกสีขาวที่อีกหน่อยจะกลายร่างเป็นคนอีก!

นอกเหนือจากหญิงสาวในคืนนั้น ก็ยังมีหลินเมิ่งหานที่มีรูปร่างหน้าตาสะสวยกว่าใครๆ ตำรวจสาวแสนสวยที่เคยแก้ผ้าต่อหน้าหลิงหยุน

ยิ่งไปกว่านั้น จากที่เธอได้พูดคุยสนทนากับเสี่ยวเม่ยหนิงและเกาเฉินเฉิน ทำให้เฉิงเม่ยเฟิงรู้ว่า ยังมีหญิงสาวที่สวยมากอีกคน และเป็นคนที่มอบรถมาเซราติให้กับหลิงหยุนนั่นเอง!

แต่ต่อให้หญิงสาวเหล่านั้นจะสวยงามเลิศเลอเพียงใด ก็ต้องพ่ายแพ้ให้กับหญิงสาวอีกคนหนึ่งอย่างราบคาบ!

เธอคนนั้นก็คือ.. หนิงหลิงยู่!

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้หญิงด้วยกันจะอ่านกันออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงที่เฉลียวฉลาด!

เฉิงเม่ยเฟิงด้อยู่ร่วมกับหนิงหลิงยู่เพียงแค่สองวัน เธอก็พอจะอ่านความรู้สึกของหนิงหลิงยู่ออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันที่หลิงหยุนหายตัวไปนั้น หนิงหลิงยู่ถึงกับไม่ใส่ใจเธออีกเลย..

นั่นไม่ใช่ลักษณะท่าทางของน้องสาวที่ควรมีต่อพี่ชาย เพราะหนิงหลิงยู่นั้นทั้งกระวนกระวายและตื่นตระหนกอย่างมาก ยิ่งกว่าเฉิงเม่ยเฟิงกับเสี่ยวเม่ยเม่ยด้วยซ้ำไป!

เฉิงเม่ยเฟิงจึงเริ่มเข้าใจสีหน้าท่าทางของหนิงหลิงยู่ที่แสดงออกมาในวันที่เธอแนะนำตัวว่าเป็นแฟนของหลิงหยุนได้ทันที

เฉิงเม่ยเฟิงกับเสี่ยวเม่ยเม่ยเองก็เคยแอบคุยกันเรื่องนี้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากถามหนิงหลิงยู่

เรื่องแบบนี้ถึงแม้จะรู้ แต่เมื่อหนิงหลิงยู่ไม่พูด ก็ไม่มีใครกล้าถาม เพราะถึงแม้หนิงหลิงยู่กับหลิงหยุนจะไม่มีสายเลือดเดียวกัน แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นพี่น้องกัน..

แม้ว่าหนิงหลิงยู่จะหลงรักหลิงหยุน แต่จากการวิเคราะห์และสังเกตุการณ์ของเฉิงเม่ยเฟิง เธอสัมผัสได้ว่าหลิงหยุนนั้นรู้สึกกับหนิงหลิงยู่ในฐานะพี่ชายกับน้องสาวเท่านั้น ไม่มีความรู้สึกใดที่มากไปกว่านี้เลย

หลิงหยุนรักและห่วงใยหนิงหลิงยู่มากกว่าหญิงสาวคนอื่นๆอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เฉิงเม่ยเฟิงก็มั่นใจอย่างยิ่งว่า ความรู้สึกของหลิงหยุนนั้นก็ไม่ได้เกินเลยไปกว่าความรู้สึกของพี่ชายที่มีต่อน้องสาวเท่านั้น ไม่ใช่ความรู้สึกของชายหนุ่มที่มีต่อหญิงสาวเช่นเดียวกับที่เขามีให้เธอ

รอบกายของเฉิงเม่ยเฟิงล้อมรอบไปด้วย ‘ศัตรูหัวใจ’ ที่ยากจะเอาชนะได้ อีกทั้งทุกคนต่างก็ยินยอมพร้อมใจที่จะตายเพื่อหลิงหยุน เพียงแค่นั้นเธอเองก็ยังไม่รู้จะจัดการอย่างไรแล้ว? แต่กลับคิดไม่ถึงว่าน้องสาวของเธอเอง ก็ยังตกหลุมรักหลิงหยุนด้วยเช่นกัน!

“ไม่ต้องเป็นห่วงหลิงหยุนหรอก! ด้วยความสามารถของเขา เขาจะกลับมาได้อย่างปลอดภัยในอีกไม่ช้า!”

ถึงอย่างไรเฉิงเมี่ยนก็เป็นน้องสาวแท้ๆของเธอ เฉิงเม่ยเฟิงจึงไม่สามารถทนเห็นน้องสาวของตนเองตื่นตระหนกตกใจได้ จึงได้แต่บอกให้เธอคลายความกังวล

สำหรับเฉิงเม่ยเฟิงนั้น เธอเพิ่งจะจากครอบครัวไปเพียงแค่สี่วัน แต่สำหรับเฉิงเทียน และคนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกว่าไม่ได้พบหน้าเฉิงเม่ยเฟิงมานานกว่าสิบวันแล้ว นั่นเพราะความทรงจำในคืนนั้นของพวกเขาถูกลบทิ้งไป

หลังจากนั้น จ้าวฝัวหมี่ก็เริ่มถามถึงความเป็นอยู่ของเฉิยเม่ยเฟิงในช่วงที่หายตัวไป และเมื่อได้ฟังลูกสาวคนโตเล่าว่าได้พบเจออะไรมาบ้างนั้น เธอก็ได้แต่ถอนหายใจ

ในคืนนั้น ซันเทียนเปียวเองก็เริ่มใช้อำนาจอิทธิพลของตระกูลซัน สร้างสถานการณ์ปั่นป่วนมากมายในเมืองจิงฉูผ่านหัวหน้าสำนักงานรักษาความมั่นคง – หลัวจ้ง เพื่อกดดันให้หลิงหยุนเผยตัวออกมา..

หลังจากที่ซันเทียนเปียวทำการสืบหาความจริงอย่างหนักถึงสามวัน ก็ค้นพบเบาะแสบางอย่าง แต่ก็ไม่พบหลักฐานใดๆ ที่จะสามารถใช้เป็นเครื่องยืนยันได้

พลังจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนนั้นช่างทรงพลังอย่างไม่น่าเชื่อ! เพราะสามารถลบความทรงจำของทุกคนที่อยู่ใหนเหตุการณ์ออกจนหมด และไม่เหลือหลักฐานใดให้ตามสืบได้ อีกทั้งคนของตระกูลซันก็ล้วนถูกฆ่าตายจนหมด และศพก็ถูกเผาเป็นเถ้าถ่านด้วยยันต์อัคนีระดับแปด

เรียกได้ว่า ต่อให้หลิงหยุนยังอยู่ในเมืองจิงฉูตอนนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวว่าซันเทียนเปียวจะสืบพบหลักฐานอะไรได้ เว้นแต่ว่าซันเทียนเปียวจะพุ่งเป้ามาที่เขาโดยไม่สนใจหลักฐานใดๆ

หลิงหยุนหายตัวไปตั้งแต่วันจันทร์ จนกระทั่งวันศุกร์ก็ยังไม่กลับมา! นี่เป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายของเฉิงเม่ยเฟิง ความหวาดกลัวว่าหลิงหยุนจะได้รับอันตรายก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

อีกทั้งเธอเองก็ไม่สามารถติดต่อเขาได้ เธอทำได้เพียงแค่รอหลิงหยุนตามลำพัง ได้แต่อดทนรอด้วยความหวาดกลัวอยู่เงียบๆ จนกลายเป็นชินชาในที่สุด..

เฉิงเม่ยเฟิงไม่ได้กลัวตาย ไม่ได้หวาดกลัวการข่มขู่จากตระกูลซัน แต่เธอทนสูญเสียหลิงหยุนไปไม่ได้ เมื่อหลิงหยุนหายไป จิตใจของเธอก็ตายไปด้วยเช่นกัน

ในคืนนั้น หลังจากที่ซันเทียนเปียวอดทนกับเฉิงเม่ยเฟิงจนถึงที่สุดแล้ว เขาก็ให้ทางเลือกกับเธอเพียงสองทางเท่านั้น.. นั่นก็คือเลือกที่จะพูดความจริง หรือเลือกที่จะให้คนของตระกูลเฉิงทั้งสี่คนหัวหลุดจากบ่า!

เฉิงเม่ยเฟิงไม่มีทางยอมพูดออกไปอย่างแน่นอนว่า – หลิงหยุนเป็นคนสังหารยอดฝีมืของตระกูลซันทั้งหมด และลูกเมียของซันเทียนเปียวด้วย แต่เธอก็ไม่สามารถทนเห็นพ่อแม่และน้องสาวถูกฆ่าตายต่อหน้าต่อตาได้เช่นกัน ไม่ว่าทางใดเธอก็ไม่อาจเลือกได้ เธอจึงได้แต่ทนทุกข์ใจอย่างแสนสาหัส!

แต่ระหว่างนั้น.. จู่ๆ ทั่งทั้งเมืองจิงฉูและมณฑลเจียงหนาน ก็สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งปฐพี!

นั่นเป็นเพราะในตอนนั้นหลิงหยุนที่อยู่ภายในก้นหลุมยักษ์ ได้ใช้พลังลับหยินหยางเปิดแผนผังแปดทิศ จนเกิดเป็นจักรวาลขนาดใหญ่ขึ้นต่อหน้าเขา..

และจุดที่เป็นสาเหตุของแรงสั่นสะเทือนนั้น ก็อยู่ตรงตำแหน่งเขามังกร!

แรงสั่นสะเทือนในครั้งนั้น เรียกได้ว่าสะเทือนไปทั่วทั้งสวรรค์และปฐพีเลยก็ว่าได้ ซันเทียนเปียวสัมผัสได้ว่าแรงสั่นสะเทือนที่รุนแรงนี้ น่าจะเกิดขึ้นเพราะสมุดจักรพรรดิเป็นเหตุ  เขาจึงรีบหยุดบีบบังคับเฉิงเม่ยเฟิง และนำสามยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนพร้อมด้วยยอดฝีมือคนอื่นๆอีกราวสามสิบกว่าคน มุ่งหน้าไปยังเขามังกรทันที!

ในเวลานั้นน้ำที่ใต้พื้นดินได้ท่วมสูงขึ้นเป็นร้อยเมตรจาก้นหลุม และท่วมบริเวณนั้นทันที!

และนั่นเกิดจากการที่ค่ายกลพลังลับหยินหยางได้ถูกทำลายลงแล้ว!

เมื่อซันเทียนเปียวและยอดฝีมือต่างๆไปถึง และกำลังวิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่นั้น เขาก็ได้รับข้อความส่งมาบอกว่า – สมุดจักรพรรดิได้ถือกำเนิดแล้ว และได้พบกับจักรพรรดิแล้ว!

หลังจากที่ซันเทียนเปียวได้ทราบข่าว เขาก็กระวนกระวายใจอย่างหนัก แต่โชคร้ายที่น้ำในหลุมยักษ์ท่วม ไม่มีใครหนีออกมาได้ และก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปอีกเช่นกัน

ซันเทียนเปียวได้นำยอดฝีมือทั้งหมดสำรวจรอบเขามังกร และเขาหยกด้านใต้ตลอดทั้งคืน และพร้อมที่จะสังหารทุกคนที่ขึ้นมาจากหลุมยักษ์ ส่วนหลิงหยุนในเวลานั้นได้ไปอยู่ที่ป่าเสินหนงเจี๋ยซึ่งอยู่ห่างจากที่นั่นเป็นพันไมล์

ซันเทียนเปียวมาถึงเมืองจิงฉูหลายวันแล้ว แต่กลับไม่พบอะไรแม้แต่น้อย ทำให้เขารู้สึกโกรธและหงุดหงิดอย่างมาก!

เขานึกอยากจะระบายอารมณ์โกรธด้วยการฆ่าใครสักคนอยู่ในใจ! และคนที่อยู่ใกล้มือเขาที่สุดก็คงไม่พ้นคนของตระกูลเฉิง!

แต่เมื่อซันเทียนเปียวจะเริ่มทำการบีบบังคับเฉิงเม่ยเฟิงอีกครั้ง เขากลับนึกไม่ถึงว่าจะมียอดฝีมือคนหนึ่งที่ลุกขึ้นช่วยเหลือปกป้องเธอ ซึ่งก็คือแม่ชีมี่ยื่อนั่นเอง..

แม่ชีมี่ยื่อประกาศต่อหน้าทุกคนว่า ตระกูลเฉิงเป็นผู้บริสุทธิ์ และเฉิงเม่ยเฟิงเองก็ประสงค์ที่จะมาเป็นศิษย์ของสำนักจิ้งซิน!

แม่ชีมี่ยื่อมีใจชื่นชอบเฉิงเม่ยเฟิงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่เท่าที่นางเฝ้าสังเกตุมาตลอดนั้นกลับพบว่า เฉิงเม่ยเฟิงมีใจรักใคร่หลิงหยุนอย่างสุดซึ้ง คงไม่มีทางที่เฉิงเม่ยเฟงจะยอมรับปากมาเป็นศิษย์ของสำนักจิ้งซินอย่างแน่นอน นางจึงได้แต่รอคอยโอกาสที่เหมาะสม

และเมื่อถึงเวลาที่ซันเทียนเปียวบีบบังคับให้เฉิงเม่ยเฟิงต้องเลือก และเธอไม่สามารถเลือกได้นั้น กลับเป็นเวลาที่เหมาะสมที่แม่ชีมี่ยื่อรอคอยอยู่..

ส่วนเฉิงเม่ยเฟิงนั้น เธอกับหลิงหยุนฝ่าฝันความเป็นความตายมาด้วยกัน หากจะต้องให้เธอลืมความรักที่มีต่อหลิงหยุนเพื่อไปเป็นศิษย์ของสำนักจิ้งซิน เธอจะยอมได้อย่างไรกัน?

แต่สุนัขจิ้งจอกเฒ่าอย่างซันเทียนเปียวที่มีทั้งพลังอำนาจ กลับใช้ชีวิตของพ่อแม่และน้องสาวมาบีบบังคับเธอ ส่วนหลิงหยุนก็หายตัวไปถึงห้าวันแล้ว และเธอเองก็ไม่เคยได้ข่าวคราว

ในเวลานี้.. มีเพียงสำนักจิ้งซินที่จะสามารถปกป้องสมาชิกของตระกูลเฉิงได้ เธอไม่มีทางเลือกอื่น และนี่เป็นเพียงหนทางเดียวสำหรับเธอ!

ตอนนี้เฉิงเม่ยเฟิงกลายเป็นเป้าสายตาของทุกคน – เฉิงเทียนมองเธอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ แม่ชีมี่ยื่อมองเธอพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย ส่วนซันเทียนเปียวมองเธอด้วยแววตาไม่พอใจ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้!

ความแข็งแกร่งของสำนักจิ้งซินนั้นไม่ใช่เรื่องที่ตระกูลซันจะรับมือไหว! เพราะแม่ชีมี่ยื่อนั้นอยู่ในขั้นเซียงเทียน-2 และจำเป็นอย่างยิ่งที่ซันเทียนเปียวจะต้องไว้หน้า ดังนั้นทั้งซันเทียนเปียวเอง และยอดฝีมือคนอื่นๆจึงได้แต่นิ่งเงียบ

ซันเทียนเปียวไม่เพียงแค่ไม่สามารถแสดงความไม่พอใจออกมาได้ แต่ยังต้องฝืนยิ้มพร้อมกับแสดงความยินดีกับแม่ชีมี่ยื่อที่ได้ศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจในครั้งนี้ด้วย

แม่ชีมี่ยื่อน้อมรับการแสดงความยินดีจากตัวแทนสำนักต่างๆ พร้อมกับประกาศต่อหน้ายอดฝีมือทุกท่านว่า จากนี้ไปตระกูลเฉิงอยู่ในความคุ้มครองของสำนักจิ้งซิน หากใครกล้ารังควานคนของตระกูลเฉิง ก็เท่ากับเป็นศัตรูของสำนักจิ้งซินด้วย!

พูดจบเธอก็ขอให้ทุกคนออกจากห้องไป!

จากนั้น แม่ชีมี่ยื่อก็ถามเฉิงเม่ยเฟิงต่อหน้าสมาชิกตระกูลเฉิงทั้งสามคนว่า เธอสมัครใจที่ลืมความรัก และไปฝึกตนที่สำนักจิ้งซินใช่หรือไม่?

เฉิงเม่ยเฟิงได้แต่คิดในใจว่า จะให้เธอลืมหลิงหยุน เธอยอมตายเสียดีกว่า! แต่ทว่าตอนนี้เธอเป็นเสาหลักของครอบครัว เธอจึงได้แต่อดทนต่อความเจ็บปวดใจ และพยักหน้าเงียบๆ

เฉิงเม่ยเฟิงได้คิดวางแผนอยู่ในใจว่า เธอไม่มีวันยอมลืมหลิงหยุนแน่ เมื่อใดก็ตามที่หลิงหยุนกลับมา และรู้เรื่องราวของเธอ ต่อให้ต้องข้ามน้ำข้ามทะเล เขาก็ต้องมาพาตัวเธอกลับไปอย่างแน่นอน!

และต่อให้เธอต้องไปอยู่สำนักจิ้งซิน เมื่อมีโอกาสเธอก็จะหนีลงจากเขา แล้วกลับมาอยู่กับหลิงหยุน ถึงตอนนั้นใครก็ห้ามเธอไม่ได้!

“ฉันสมัครใจที่จะลืมความรัก..!”

แม้เฉิงเม่ยเฟิงจะแอบบอกกับตัวเองว่า เธอไม่มีวันที่จะลืมหลิงหยุน แต่เมื่อต้องพูดออกมาจริงๆ เธอก็รู้สึกเจ็บปวดจนต้องกัดฟันเพื่อกลั้นน้ำตาไว้..

“ดีมาก.. ถ้าเช่นนั้นก็กินโอสถเม็ดนี้ซะ! จากนั้นค่อยเดินทางกลับสำนัก”

แม่ชีมี่ยื่อยิ้มเล็กน้อย พร้อมกับยื่นยาเม็ดที่ได้เตรียมไว้ให้กับเฉิงเม่ยเฟิง..


บทที่ 398 : โอสถไร้ใจ!

“อาจารย์คะ.. นี่.. คืออะไร?”

เฉิงเม่ยเฟิงจ้องมองยาเม็ดสีใสราวกับคริสตัลที่อยู่ในฝ่ามือ แต่จู่ๆก็เกิดความรู้สึกที่ยากจะอธิบายได้ จึงได้แต่เอ่ยถามออกไปด้วยความสงสัย

แม่ชีมี่ยื่อตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “นี่เป็นโอสถเฉพาะที่ปรุงขึ้นสำหรับศิษย์สำนักจิ้งซินเท่านั้น และโอสถนี่จะช่วยให้กำลังภายในของเจ้าก้าวหน้าไปยี่สิบปีล่วงหน้า แม้เจ้าจะมีพรสวรรค์พื้นฐานที่ยอดเยี่ยม แต่เจ้าเพิ่งจะเริ่มมาฝึกเอาตอนอายุยี่สิบเอ็ด นับว่ายังช้าไปมาก! อาจารย์จึงต้องให้เจ้ากินโอสถเม็ดนี้..”

แต่เมื่อเห็นสายตาลังเลของเฉิงเม่ยเฟิง แม่ชีมียื่อจึงอธิบายต่อว่า “เจ้าอย่าได้กังวลไป โอสถเม็ดนี้ไม่มีผลข้างเคียงใดๆกับเจ้าอย่างแน่นอน..”

ในเมื่อรับหญิงสาวที่มีความรักมาเป็นศิษย์ แม่ชีมี่ยื่อจึงต้องใช้วิธีนี้ แม้นางจะเฝ้าถามเฉิงเม่ยเฟิง แต่ดูเหมือนเฉิงเม่ยเฟิงก็ไม่ต้องการจะลืมคนรัก อีกทั้งยังสามารถยอมตายแทนชายที่รักได้ เช่นนี้แล้ว.. เธอจะยินยอมตัดใจและลืมคนรักได้อย่างไรเล่า?

จริงอยู่ที่โอสถในมือของเฉิงเม่ยเฟิงนั้น สามารถทำให้กำลังภายในของเธอรุดหน้าได้รวดเร็วถึงยี่สิบปี นั่นเป็นความจริงเพียงแค่ครึ่งเดียว.. แต่ที่ถูกน่าจะเป็นความจริงเพียงแค่เสี้ยวเดียวมากกว่า!

เพราะความจริงแล้ว โอสถเม็ดนี้ก็คือ ‘โอสถไร้ใจ’ ของสำนักจิ้งซินที่ปรุงขึ้นมาโดยเฉพาะ หากหญิงสาวผู้ใดได้กินโอสถนี้เข้าไป ไม่เพียงแค่จะทำให้ลืมความรักและชายคนรักจนหมดสิ้น แต่นับจากนี้ไป โลกของหญิงสาวผู้นั้นจะไร้ซึ่งบุรุษไปจนตราบชั่วชีวิต เพราะจะกลายเป็นหญิงสาวที่ไม่มีอารมณ์ความรักให้กับชายใดอีก!

หากเฉิงเม่ยเฟิงรู้ เธอคงจะยอมตายมากกว่าที่จะยอมกินโอสถเม็ดนี้แน่ แต่ปัญหาก็คือเธอไม่รู้..!

“อาจารย์คะ.. คือฉันอยากฝึกวรยุทธด้วยตัวเองมากกว่าที่จะอาศัยโอสถที่ทำให้ก้าวหน้าเม็ดนี้..”

สัญชาติญาณของเฉิงเม่ยเฟิงบ่งบอกอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ เธอจึงเกิดความรู้สึกต่อต้านและไม่อยากกินโอสถเม็ดนี้เข้าไป

หากหลิงหยุนหายตัวไปและไม่กลับมาอีกตลอดกาล เธอก็ยินยอมที่จะอยู่สำนักจิ้งซินไปจนชั่วชีวิตเช่นกัน แต่หากหลิงหยุนกลับมา ยังไงเธอก็ต้องกลับไปอยู่กับหลิงหยุนให้ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และไม่มีกฏเกณฑ์และข้อบังคับใดๆ ที่จะสามารถหยุดยั้งเธอได้!

ยิ่งไปกว่านั้น หลิงหยุนเก่งกาจเพียงใด เฉิงเม่ยเฟิงก็ได้เห็นด้วยตาตัวเองแล้ว หากเธอต้องการฝึกวรยุทธ เธอก็ต้องการที่จะฝึกกับหลิงหยุนมากกว่าที่จะฝึกกับผู้อื่น!

เฉิงเมี่ยนเห็นว่าพี่สาวของเธอ มักได้รับแต่สิ่งดีๆมากกว่าเธอ ด้วยความอิจฉาริษยา จึงได้โพล่งออกไปว่า

“อาจารย์คะ ฉันก็อยากเป็นลูกศิษย์และไปอยู่ที่สำนักจิ้งซินด้วยเหมือนกัน ฉันเป็นน้องสาวของเธอ ถ้าเธอไม่อยากกินยาเม็ดนั้น ให้ฉันกินแทนก็ได้ค่ะ!”

ดูเหมือนเฉิงเมี่ยนจะสะกดคำว่าตายไม่เป็นจริงๆ!

แม่ชีมี่ยื่อตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ห้วน “พรสวรรค์ของเจ้ายังไม่เพียงพอ หากเจ้ากินโอสถนี่ลงไป ลมปราณในร่างกายของเจ้าจะแตกซ่าน และถึงตอนนั้นต่อให้เป็นเซียนก็ช่วยเจ้าไม่ได้!”

เฉิงเมี่ยนได้ฟังก็ถึงกับหวาดกลัวจนต้องดึงมือที่ยื่นออกไปกลับคืน..

“เม่ยเฟิง.. ต่อหน้าครอบครัวของเจ้า อาจารย์คงไม่กล้าทำร้ายเจ้าหรอกนะ เจ้าจะกินหรือไม่กิน?”

แม่ชีมี่ยื่อเห็นเฉิงเม่ยเฟิงที่ดูเหมือนจะไม่ยอมกิน ก็ได้แต่กระวนกระวายใจ และรู้สึกขุ่นเคืองอยู่ภายใน

เฉิงเม่ยเฟิงคิดในใจว่า ที่ผ่านมาเธอผ่านความทุกข์มามากมาย อันตรายถึงชีวิตก็เคยผ่านมาแล้ว กับเพียงแค่กินยาเม็ดช่วยให้การฝึกฝนก้าวหน้าแค่เม็ดเดียว จะเป็นอะไรไป?

เมื่อคิดได้เช่นนั้น.. เธอกัดฟันแน่น แล้วจึงยอมกลืนโอสถไร้ใจลงไปทันที!

ในที่สุดแม่ชีมี่ยื่อก็ทำสำเร็จ เธอพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่มีความสุข “เจ้าเป็นศิษย์ที่ว่านอนสอนง่าย เอาล่ะ.. ดื่มน้ำตามเข้าไปจะได้กลืนลงคอได้ง่ายๆ”

เฉิงเม่ยเฟิงดื่มน้ำและกลืนโอสถเม็ดนั้นลงไปในท้อง จากนั้นโอสถไร้ใจก็ได้กลายเป็นไอสีขาวกระจายอยู่ทั่วท้องของเฉิงเม่ยเฟิง แต่แทนที่จะไหลเข้าสู่จุดตันเถียน ไอสีขาวกลับพุ่งเข้าสู่จิตใจของเธอแทน!

“โอ๊ะ!”

จู่ๆ ใบหน้าของเฉิงเม่ยเฟิงก็ซีดราวกับศพ เธอรู้สึกปวดร้าวไปทั่วทั้งศรีษะ คล้ายกับมีเข็มนับพันกำลังทิ่มแทงอยู่!

เฉิงเม่ยเฟิงเจ็บปวดมากจนต้องเอามือสองข้างกุมศรีษะไว้แน่น ร่างกายของเธอของเธอขดงอเข้าหากันจนกลมคล้ายลูกบอล ก่อนจะลงไปดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นพรมเปอเชีย เพราะความเจ็บปวดแสนสาหัสที่ยากจะทนได้!

สมาชิกตระกูลเฉิงได้แต่ยืนมองเฉิงเม่ยเฟิงดิ้นรนไปมาเพราะความเจ็บปวดนั่น จนในที่สุดก็อดรนทนไม่ไหว!

“ซือไท่.. ใหนท่านบอกว่ายานี่จะช่วยให้การฝึกฝนก้าวหน้า แต่ตอนนี้ลูกสาวของผม.. ทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้?!”

เมื่อเห็นลูกสาวดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด เฉิงเทียนก็รู้สึกกระวนกระวายใจจนต้องร้องถามแม่ชีมี่ยื่อออกมา

“ไม่ผ่านช่วงเวลาแห่งพายุและลมฝน ไฉนเล่าจะได้พบสายรุ้งที่สวยงาม? หากไม่เจาะเปลือกที่แข็งแกร่งออก เหตุใดจึงจะกลายเป็นผีเสื้อแสนสวยได้!? ทักษะล่วงหน้ายี่สิบปี พวกเจ้าคิดว่าอยากจะได้ก็ได้ง่ายๆอย่างนั้นรึ?”

แม่ชีมี่ยื่อมองเฉิงเม่ยเฟิงที่กลิ้งไปมาอยู่บนพื้นด้วยสายตาที่ปราศจากความรู้สึกใดๆ พร้อมกับดุเฉิงเทียน

นางไม่ได้รู้สึกประทับใจในตัวเฉิงเทียนเลยแม้แต่น้อย แต่นางก็รู้ดีว่า หากไม่ใช่เพราะเฉิงเทียนบังคับลูกสาวแต่งงานเพื่อความรุ่งเรืองทางธุรกิจของตัวเอง นางก็คงจะไม่มีโอกาสได้รับลูกศิษย์ที่เพียบพร้อมอย่างเฉิงเม่ยเฟิง

หลังจากที่ยืนมองลูกสาวดิ้นทุรนทุรายเพราะความเจ็บปวด จ้าวฝัวหมี่ก็ไม่อาจทนดูได้อีก เธอวิ่งเข้าไปคุกเข่าข้างลูกสาว และอยากจะดึงตัวเธอเข้ามากอด แต่ก็ไม่กล้า.. จึงได้แต่เงยหน้าขึ้นถามด้วยสีหน้าตกอกตกใจ

“ซือไท่.. ลูกสาวของฉันจะต้องเจ็บปวดแบบนี้อีกนานไม๊?”

น้ำตาแห่งความทุกข์ระทมได้ไหลอาบแก้มคนเป็นแม่อย่างจ้าวฝัวหมี่ และหากไม่มีคนนอกอยู่ในที่นี้ด้วย เธอคงต้องทะเลาะกับเฉิงเทียนใหญ่โตอย่างแน่นอน!

แม่ชีมี่ยื่อยังคงมีสีหน้าที่นิ่งเรียบและไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก เธอตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“เมื่อไหร่ที่นางสลบไป ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเอง? นี่เป็นวิธีการฝึกอย่างหนึ่งของสำนักจิ้งซิน ข้าเองก็เคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว!”

แม่ชีมี่ยื่อเองก็เคยกินโอสถไร้ใจมาแล้วเช่นกัน แต่ตอนนั้นนางเพิ่งจะโตเป็นสาว และยังไม่มีความรู้สึกระหว่างชายหญิง จึงไม่เจ็บปวดเท่ากับเฉิงเม่ยเฟิงในยามนี้

สำหรับการชำระใจนั้น ยิ่งในใจมีอารมณ์ ความรัก ความรู้สึกมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งลืมยากมากขึ้นเท่านั้น และเมื่อลืมยากขึ้น ก็ยิ่งต้องเจ็บปวดเพราะฤทธิ์ของยาสลายใจมากขึ้นเช่นกัน

ยิ่งเฉิงเม่ยเฟิงรักและผูกพันกับหลิงหยุนมากเพียงใด และลึกซึ้งเพียงใด เธอก็จะยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น แต่นั่นก็มี ‘ประโยชน์’ เพราะจะยิ่งทำให้โอสถไร้ใจออกฤทธิ์รุนแรงมากขึ้นตามไปด้วย และยิ่งโอสถไร้ใจออกฤทธิ์รุนแรงมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งทำให้กำลังภายในของเธอก้าวหน้าเร็วมากขึ้นตามไปด้วย!

ผ่านไปสองชั่วโมง..

เฉิงเม่ยเฟิงต้องทนเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสอยู่นานถึงสองชั่วโมง นอกเหนือจากเหงื่อที่ท่วมตัวจนเสื้อผ้าเปียกไปหมดแล้ว ในที่สุดเธอก็สลบไป เหลือเพียงลมหายใจที่แผ่วเบา และร่างทั้งร่างก็แน่นิ่งไป..

ช่วงเวลาสองชั่วโมงนั้น สมาชิกทั้งสามคนของตระกูลเฉิงต่างก็ใจเต้นแรง และเมื่อได้เห็นผลลัพธ์จากการกินโอสถที่น่าสยดสยองนั่นแล้ว เฉิงเมี่ยนก็ได้แต่หวาดกลัวจนขนหัวลุก

ไม่มีอะไรในโลกที่ได้มาฟรีๆ!

เมื่อเห็นว่าโอสถไร้ใจสามารถออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มที่ แม่ชีมี่ยื่อก็คาดเดาได้ว่า หลังจากนี้หนึ่งเดือน อย่างน้อยเฉิงเม่ยเฟิงก็ต้องเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-9 ได้ หรือไม่ก็อาจจะสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนเลยก็เป็นได้

แม่ชีมี่ยื่อสูดลมหายใจเข้าลึก และในที่สุดก็คลายฝ่ามือที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อของตนเองออก..

มีคำพูดหนึ่งที่นางเองก็ไม่ได้บอกกับทุกคน นั่นก็คือ.. หากเฉิงเม่ยเฟิงไม่สามารถผ่านความเจ็บปวดที่แสนสาหัสนี้ได้ เธอก็ต้องตาย!

แม่ชีมี่ยื่อใช้ชีวิตของเฉิงเม่ยเฟิงเป็นเดิมพัน!

แต่นางหารู้ไม่ว่า.. ที่เฉิงเม่ยเฟิงสามารถผ่านพ้นความเจ็บปวดที่ยากจะทนมาได้นั้น เป็นเพราะพลังอมตะที่หลิงหยุนเคยถ่ายเทเข้าไปในร่างกายให้ ไม่เช่นนั้นไม่มีทางเลยที่เฉิงเม่ยเฟิงจะก้าวข้ามความเจ็บปวดไปได้!

นั่นเพราะเฉิงเม่ยเฟิงรักและผูกพันในตัวหลิงหยุนอย่างลึกซึ้ง หากจะให้ลืมหลิงหยุน แน่นอนว่ามีทางเดียวคือต้องแลกกับชีวิตของเธอเท่านั้น

“พวกเจ้าออกไปนอกห้องได้แล้ว และบอกกับทุกคนที่อยู่ข้างนอกว่า ใครก็ตามที่กล้าเข้ามาในห้องนี้ ข้าจะฆ่ามันทิ้งซะ!”

แม่ชีมี่ยื่อสั่งให้พ่อแม่ลูกทั้งสามคนออกไปข้างนอก!

หลังจากที่ทุกคนออกไปแล้ว แม่ชีมี่ยื่อก็มองเฉิงเม่ยเฟิงที่นอนสลบไสลอยู่บนพรมพร้อมกับพูดว่า

“เมื่อเจ้าตื่นขึ้นมา เจ้าจะลืมเด็กผู้ชายคนนั้นจนหมดสิ้น อย่าตำหนิอาจารย์เลย เพราะนี่จะเป็นผลดีต่อเจ้า!”

ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง แม่ชีมี่ยื่อก็อุ้มร่างของเฉงเม่ยเฟิงขึ้นมาจากพื้น และพาเธอขึ้นไปที่ห้องนอนชั้นสอง

แม่ชีมี่ยื่ออาศัยประโยชน์จากการเป็นยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-2 ของตนเอง ถ่ายเทพลังชี่ที่ได้บ่มเพาะมานานหลายสิบปีลงไปในร่างของเฉิงเม่ยเฟิง เพื่อให้พลังชี่นี้เคลื่อนเข้าสู่จุดตันเถียน และเส้นลมปราณต่างๆ

แต่แม่ชีมี่ยื่อก็ต้องประหลาดใจอย่างมาก เมื่อพบว่าหลังจากที่ได้ถ่ายเทพลังชี่ให้กับเฉิงเม่ยเฟิงแล้ว เธอก็สามารถเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-7 ได้ในทันที!

แม่ชีมี่ยื่อทั้งตกใจและดีใจในเวลาเดียวกัน นางรู้ได้ทันทีว่า.. เฉิงเม่ยเฟิงจะเป็นศิษย์ที่เก่งกาจอย่างที่สุด!

สำหรับแม่ชีมี่ซินนั้น ดูเหมือนว่าคงจะพบกับชะตากรรมที่เลวร้ายไปแล้ว นางจึงไม่สนใจอีก..

ในที่สุด เฉิงเม่ยเฟิงก็เข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-7 และแม่ชีมี่ยื่อก็หยุดถ่ายเทพลังชี่ และนั่งรอเฉิงเม่ยเฟิงที่กำลังจะฟื้นขึ้นมา

เพียงไม่นาน เฉิงเม่ยเฟิงก็รู้สึกตัว เธอค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างช้าๆ ดวงตาคู่สวยเปล่งประกายสดใส แววตาของเธอนั้นใสราวกับบ่อน้ำ เป็นแววตาที่ไร้ซึ่งตัณหา ไร้ซึ่งความคิด ไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกใดๆ

เฉิงเม่ยเฟิงได้ลืมหลิงหยุนไปจนหมดสิ้นแล้วจริงๆ ภายในใจของเธอไม่เหลือร่องรอยความประทับใจในตัวหลิงหยุนอีกเลย และชื่อ ‘หลิงหยุน’ ในเวลานี้ก็ไม่มีความหมายใดๆกับเธอแม้แต่น้อย

“อาจารย์..” เฉิงเม่ยเฟิงมองแม่ชีมี่ยื่อ และริมฝีปากบางก็เอ่ยเรียกด้วยความเคารพ

“เจ้ารู้สึกตัวแล้วรึ? ไป.. ไปบอกลาครอบครัวของเจ้าได้แล้ว อาจารย์จะพาเจ้ากลับไปที่สำนักจิ้งซิน”

แม่ชีมี่ยื่อไม่ต้องการล่าช้าเพราะเกรงว่าจะเกิดปัญหาตามมา เธอจึงรีบสั่งเฉิงเม่ยเฟิงให้ไปเก็บกระเป๋าและตามนางลงไปชั้นล่าง

เฉิงเม่ยเฟิงเอ่ยลาพ่อแม่และน้องสาวของตนเองด้วยท่าทีห่างเหิน  แล้วเดินตามแม่ชีมี่ยื่อออกไปอย่างว่าง่าย

“พี่ใหญ่.. พี่ไม่รอให้หลิงหยุนกลับมาก่อนเหรอ?!”

เฉิงเมี่ยนไม่เคยเห็นท่าทางที่สงบและเย็นชาจากพี่สาวของเธอเช่นนี้มาก่อน จึงได้แต่เอ่ยปากถามออกไป

แววตาของเฉิงเม่ยเฟิงเต็มไปด้วยความสงสัย พร้อมกับถามขึ้นว่า “ใครคือหลิงหยุน?”

“เอ่อ..?! เขาก็เป็น..”

เฉิงเมี่ยนกำลังจะหลุดปากออกไป แต่จู่ๆก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงรีบยกมือขึ้นตบปากตัวเอง..

แม่ชีมี่ยื่อมองคนในตระกูลเฉิงด้วยแววตาเป็นประกายพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ตอนนี้เม่ยเฟิงเป็นศิษย์สำนักจิ้งซินแล้ว หลังจากนี้สามปี ข้าจะให้นางกลับมาเยี่ยมเยียนพวกเจ้า”

หลังจากให้สัญญาแล้ว แม่ชีมี่ยื่อก็โอบร่างของเฉิงเม่ยเฟิงไว้ใต้แขน และพากระโดดหายไปต่อหน้าผู้คนอย่างรวดเร็ว!

“ลูกแม่!” “พี่ใหญ่!” จ้าวฝัวหมี่และเฉิงเมี่ยนต่างก็ร้องตะโกนออกไปพร้อมกัน!

“ซันเทียนเปียว.. จากนี้ไปตระกูลเฉิงอยู่ในความคุ้มครองของสำนักจิงซิน หากท่านกล้าทำอะไรพวกเขา อย่าได้ตำหนิข้าและสำนักจิ้งซินก็แล้วกัน!”

หลังจากที่ร่างหายลับไปแล้ว แต่เสียงของแม่ชีมี่ยื่อกลับดังขึ้นที่บ้านตระกูลเฉิง และทุกคนต่างก็ได้ยินกันเต็มสองหู

ซันเทียนเปียวได้แต่หรี่ตาเข้าหากัน!


บทที่ 399 : จับโจรต้องจับหัวหน้า!

“เชอะ.. แม่ชีเฒ่าคงจะคิดว่าตัวเองได้สมบัติล้ำค่าไปสินะ?! ไม่แน่ว่าเฉิงเม่ยเฟิงอาจจะเป็นระเบิดเวลา ที่รอคอยวันระเบิด และทำลายล้างสำนักจิ้งซินก็เป็นได้!”

ซันเทียนเปียวรู้สึกหงุดหงิดขุ่นเคืองเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ทำได้แค่เพียงรอคอยให้ยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-7 ผู้นั้น บุกถล่มสำนักจิ้งซินด้วยตัวเอง ถึงตอนนั้นคงจะสนุกน่าดู..

จากนั้น ซันเทียนเปียวก็ได้สั่งให้คนของเขาเพียงแค่ควบคุมตัวคนของตระกูลเฉิงไว้เท่านั้น และห้ามไม่ให้รบกวนพวกเขาอีกต่อไป

ซันเทียนเปียวรู้ดีว่าวิชาไร้ใจของสำนักจิ้งซินนั้นยากที่เขาจะรับมือได้ และศิษย์ของสำนักจิ้งซินแต่ละคนก็ล้วนฝีมือร้ายกาจ หากเขากล้าไปลองดี ตระกูลซันคงต้องถึงคราวสิ้นชื่อแน่!

ในคืนนั้น ซันเทียนเปียวจึงสั่งให้คนของเขานำเฉิงเทียนและครอบครัวไปไว้ที่บ้านในอ่าวจิงฉู และให้ยอดฝีมือคุมตัวไว้จนกว่าหลิงหยุนจะบุกมา และหลังจากที่เขาลงมือจัดการสังหารหลิงหยุนเรียบร้อยแล้ว จึงค่อยปล่อยตัวทั้งสามคน ส่วนตัวเขาก็จะกลับไปที่ปักกิ่ง

นอกเหนือจากความร่ำรวยมั่งคั่งเป็นหลายพันล้านแล้ว เฉิงเทียนก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดา เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์ของเขาคืนนั้น จะว่าไปก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคนของตระกูลเฉิงมากมาย ซันเทียนเปียวจึงไม่จำเป็นต้องฆ่าพวกเขาก็ได้

เขาไม่สังหารคนของตระกูลเฉิงได้ แต่ไม่ฆ่าหลิงหยุนไม่ได้!

ต่อให้หลิงหยุนหายตัวไป ซันเทียนเปียวก็ต้องสั่งคนของเขาให้ตามล่าหาตัวมาให้ได้ ไม่เช่นนั้นตระกูลซันคงต้องเสียหน้าอย่างมาก

แต่การที่ซันเทียนเปียวจ้องจะเล่นงานหลิงหยุนเช่นนี้ ก็ไม่ต่างจากการดึงหัวไชเท้าที่ย่อมต้องมีโคลนติดขึ้นมาด้วย เพราะเขากลับนึกไม่ถึงว่า ยิ่งเขาจ้องจะกดดันหลิงหยุนมากเท่าไหร่ คนทั่วทั้งเมืองจิงฉูกลับแสดงตัวยินยอมปกป้องหลิงหยุนมากขึ้นเท่านั้น!

เพราะไม่เพียงแค่หลี่ยี่เฟิงและถังเทียนห่าวซึ่งเป็นข้าราชการระดับสูงของจิงฉู แต่ยังมีแก๊งมังกรเขียวซึ่งทำธุรกิจใต้ดิน ที่คอยแอบปกป้องหลิงหยุนอยู่อย่างลับๆ แม้กระทั่งท่านเสี่ยวหมอเทวดาซึ่งเป็นแพทย์ที่เก่งที่สุดในประเทศนี้ ก็ยังออกหน้าให้หลิงหยุน เสี่ยวเจิ้งจี๋ถึงกับโทรหาตระกูลซันด้วยตัวเอง และแสดงออกอย่างชัดเจนว่าต้องการปกป้องเขา!

ในเมื่อมีอุปสรรคชิ้นใหญ่อย่างท่านเสี่ยวหมอเทวดา แผนการของซันเทียนเปียวจึงยิ่งยากเย็นขึ้นมาก และสองฝ่ายต่างก็เริ่มต้านทานอำนาจของกันและกัน แต่เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ซันเทียนเปียวก็ถึงกับเหน็ดเหนื่อย และต้องรอคอยโอกาสดีๆที่จะปรากฏ

ในคืนวันเสาร์ หลิงหยุนแอบกลับเข้าเมืองจิงฉูอย่างเงียบๆ และในเช้าวันอาทิตย์เขาก็เริ่มตอบโต้กลับอย่างรุนแรง ด้วยการรื้อถอนสำนักงานของกู่เหลียนเฉิง และบ้านของเถียนป๋อเตาถึงสองหลังต่อหน้าผู้คนมากมาย!

ซันเทียนเปียวได้ข่าวการตอบโต้ของหลิงหยุน แต่ก็ไม่สามารถลงมือจัดการได้ในช่วงกลางวัน หลังจากที่รู้ว่าหลัวจ้งพ่ายแพ้ให้กับหลิงหยุน เขาก็ถึงกับตบโต๊ะพร้อมกับกร่นด่า และสาปแช่งหลัวจ้งอย่างรุนแรง!

หลังจากที่เฉิงเม่ยเฟิงถูกแม่ชีมี่ยื่อนำตัวกลับไปที่สำนักจิ้งซิน ซันเทียนเปียวก็ได้ส่งยอดฝีมือมากมายไปรอจับตัวหลิงหยุนที่คฤหาสน์ของเฉิงเทียน รอคอยเพียงให้หลิงหยุนเดินเข้ามาในกับดักที่เขาวางไว้ ส่วนตัวเขาเองก็ไปจับตัวถังเทียนห่าว และนำไปกักขังไว้ที่บ้านในอ่าวจิงฉูเพื่อทำการสอบสวนด้วยตัวเอง

ซันเทียนเปียวคิดไม่ถึงว่ายอดฝีมือทั้งหมดที่อยู่ในคฤหาสน์ตระกูลเฉิงที่ชานเมืองด้านตะวันตก จะถูกหลิงหยุนถล่มราวกับพายุจนบาดเจ็บสาหัส และล้มตายกันมากมาย เหลือเพียงไป่หยวนเจียที่ไม่เป็นอะไร และได้ทำหน้าที่นำทางให้กับหลิงหยุน

ความจริงแล้วซันเทียนเปียวก็นับว่าโชคร้าย เพราะคนที่ยังคงมีความทรงจำในคืนนั้นอยู่ ไม่ได้มีเพียงแค่เฉิงเม่ยเฟิง แต่ยังมีถังเมิ่ง ตี้เสี่ยวอู๋ เสี่ยวเม่ยหนิง และเกาเฉินเฉินอีกที่รู้!

เสี่ยวเม่ยหนิงนั้นซันเทียนเปียวไม่กล้าแตะต้อง ส่วนเกาเฉินเฉินก็กลับไปบ้านที่ปักกิ่งแล้ว

ส่วนถังเมิ่งกับตี้เสี่ยวอู๋นั้น ซันเทียนเปียวเห็นว่าทั้งคู่เป็นเพียงแค่คนธรรมดาไม่มีวรยุทธอะไร เขาจึงไม่คิดว่าทั้งสองคนจะอยู่ร่วมในเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ

อีกทั้งคนหนึ่งก็ถูกสำนักงานรักษาความมั่นคงจับตัวไปแล้ว ส่วนอีกคนก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเพราะถูกเสียเจิ้นเหยินกระทืบ ซันเทียนเปียวจึงไม่สนใจคนไร้ค่าทั้งสองคนอีก..

แต่ซันเทียนเปียวกลับนึกถึงคนสำคัญอีกคนหนึ่งขึ้นมาได้ นั่นก็คือถังเทียนห่าวซึ่งดูเหมือนจะเป็นคนที่สำคัญมาก แต่เขากลับมองข้าม เขาจึงต้องไปจับตัวถังเทียนห่าวไปสอบสวนด้วยตัวเอง

ซันเทียนเปียวมองถังเทียนห่าวด้วยความรู้สึกประหลาดใจ พร้อมกับคิดในใจว่า ‘ทำไมคนพวกนี้ถึงได้มีร่างกายที่สะอาดราวกับเกิดใหม่เช่นนี้?’

และนั่นเป็นเพราะหลิงหยุนได้ใช้พลังอมตะชำระล้างภายในให้กับถังเทียนห่าวด้วยเช่นกัน ส่วนซันเทียนเปียวก็ได้แต่มองด้วยแววตาเป็นประกายพร้อมกับเหงื่อที่ไหลเปียกผมสีขาวบนศรีษะ

ช่างน่ากลัว!

“ผู้อำนวยการถัง.. คุณไม่ต้องกังวลอะไรมาก ผมพาคุณมาที่นี่ก็เพราะต้องการล่อหลิงหยุนมาเท่านั้น ผมรับรองว่าคุณจะปลอดภัยดี!”

ซันเทียนเปียวจับตัวคนที่เขาไม่สามารถบีบบังคับให้พูดได้มา จึงได้แต่ยอมรับว่าตนเองช่างโชคร้ายนัก! แต่เวลานี้หลิงหยุนปรากฏตัวออกมาแล้ว ตราบใดที่เขาจับตัวหลิงหยุนได้ ทุกอย่างก็จะกระจ่างแจ้งเอง เขาไม่จำเป็นต้องถามอะไรจากถังเทียนห่าวอีก..

แต่ถังเทียนห่าวกลับตอบซันเทียนเปียวด้วยสีหน้าท่าทางที่สงบนิ่ง “คุณซัน.. ความจริงคุณไม่ต้องพยายามมากมายขนาดนี้ก็ได้ เท่าที่ผมรู้จักหลิงหยุน ต่อให้คุณไม่จับตัวผมมา เขาก็ต้องมาหาคุณอยู่ดี!”

ซันเทียนเปียวตอบกลับยิ้มๆ “เอ่อ.. แต่ตอนนี้หลิงหยุนหายตัวไป คุณไม่นึกกังวลและเป็นห่วงเขาบ้างเลยรึ?”

ถังเทียนห่าวตอบกลับยิ้มๆ “ห่วงสิ.. ห่วงมากจริงๆ แต่ผมเป็นไม่ได้เป็นห่วงหลิงหยุนหรอกนะ แต่ห่วงคุณมากกว่า!”

“งั้นรึ? ถ้างั้นเราก็มาคอยดูกัน?”

ซันเทียนเปียวยิ้มเยือกเย็น และไม่สนใจถังเทียนห่าวที่เริ่มหลับตา

………..

ณ คฤหาสน์ตระกูลเฉิงที่อยู่ชานเมืองทางด้านตะวันตก

ศพมากมายนอนเกลื่อนกลาดอยู่ทั่วบริเวณ เลือดไหลเจิ่งนองราวกับสายน้ำ และสวนภายในบ้านก็มีแขนที่ขาดอยู่เต็มไปหมด หากคนธรรมดาได้มาเห็นภาพเช่นนี้ คงต้องอาเจียนออกมาแน่นอน

ชายคลุมผ้าปิดบังใบหน้าสองคนโผล่ออกมาที่สวนในบ้านอย่างเงียบๆที่ ทั้งคู่สำรวจร่างไร้วิญญาณที่เกลื่อนกลาดอยู่ตามพื้นอย่างละเอียด

“เหลยเชิ่ง พวกเรามาช้าไปก้าวเดียว ตระกูลซันโดนถล่มยับแล้ว!” ชายตัวเล็กสวมชุดดำพูดขึ้น

เหลยเชิ่งพยักหน้าไม่พูดอะไร แต่จู่ๆก็หันไปทางประตูพร้อมกับกระซิบว่า “ยังมีคนที่รอดชีวิตอยู่ ไปถามพวกเขาดูดีกว่า!”

ชายชุดดำตัวเล็กชื่อเจี่ยเฟยพยักหน้า แต่ร่างของเขานำได้นำหน้าไปไกลถึงสี่สิบเมตรแล้ว และเหลยเช่ยก็รีบตามไปที่หน้าประตูเช่นกัน

มียอดฝีมือที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่สองสามคน และยังไม่ตาย พวกเขาคือยอดฝีมือที่หลิงหยุนเมตตาไว้ชีวิต

เหลยเชิ่งยกมือขึ้นจับร่างยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-8 ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสคนหนึ่งขึ้นมาพร้อมกับถามว่า

“ใครกันที่สังหารผู้คนมากมายขนาดนี้? แล้วคนผู้นั้นหายไปใหน?”

“โลหิต.. กระบี่ปีศาจ อ่าวจิงฉู บ้าน.. เลขที่-1 รีบไป.. เร็วเข้า..”

“นี่เจ้าพูดถึงอะไร? กระบี่อะไร?” เหลยเชิ่งฟังด้วยความตกใจและรีบถามขึ้นอย่างงุนงง

“มันคือกระบี่โลหิตแดนใต้! กระบี่โลหิตแดนใต้กลับมาอีกครั้งแล้ว!”

ระหว่างที่รอคอยยอดฝีมือที่บาดเจ็บสาหัสตอบ ยอดฝีมือที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอีกคนที่อยู่ไกลออกไป ก็ตะโกนบอกแทน เขาก็คือคนที่ร้องขอชีวิตกับหลิงหยุน เขาถูกหักแขนขวา และโดนตะปูซัดเข้าที่หัวเข่าทั้งสองข้าง

“กระบี่โลหิตแดนใต้งั้นรึ? เป็นกระบี่โลหิตแดนใต้จริงๆงั้นรึ?!”

เหลยเชิ่งพึมพำอยู่สองสามคำจึงพูดกับเจี่ยเฟยว่า “เจ้าไปรายงานเรื่องนี้ให้หัวหน้าใหญ่รู้ก่อน ส่วนยอดฝีมือที่ยังไม่ตายนี่ เจ้าก็ช่วยดูแลพวกเขาไปก่อน ข้าจะไปที่หมู่บ้านในอ่าวจิงฉูตอนนี้ หวังว่าข้าจะไปทันเวลา!”

เหลยเชิ่งไม่รอช้า เขารีบใช้วิชาตัวเบากระโดดไปตามกิ่งไม้ และชั่วประเดี๋ยวเดียวก็กระโดดออกไปไกลถึงร้อยเมตร!

……………

ปี่หยวนเจียยกมือขึ้นชี้ไปที่บ้านใหญ่โตหลังหนึ่งพร้อมกับกระซิบว่า

“บ้านเลขที่-1 หลังที่ใหญ่ที่สุด คนของตระกูลเฉิงอยู่ข้างใน พวกถูกจับมาไว้ที่นี่เมื่อสองวันที่แล้ว”

หลิงหยุนคำนวณระยะทางระหว่างบ้านหลังนี้กับบ้านเลขที่-9 ของแม่เขา ก็พอจะทราบระยะทางคร่าวๆ จากนั้นก็พยักหน้าให้กับปี่หยวนเจีย และพูดขึ้นว่า

“เอาล่ะ.. เจ้าไปได้ วิชาตัวเบาของเจ้ายอดเยี่ยมมาก!”

ปี่หยวนเจียได้ฟังก็รู้สึกอัศจรรย์ใจอย่างมาก “นี่ท่านปล่อยข้าไปจริงๆงั้นเหรอ?”

หลิงหยุนฆ่าคนอย่างเหี้ยมโหดและไร้ความเมตตา แต่เพียงแค่เขานำทางมาที่นี่ เขากลับได้รับการปล่อยตัว ปี่หยวนเจียจึงแทบไม่อยากจะเชื่อ

หลิงหยุนเปลี่ยนมาถือกระบี่โลหิตแดนใต้ในมือซ้าย พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ทำไม.. หรือว่าเจ้าอยากตาย ข้าจะได้สนองให้!”

“ออกไปจากเมืองจิงฉูเดี๋ยวนี้! ยิ่งไปให้ไกลได้เท่าไหร่ก็จะยิ่งดีกับเจ้าเอง เข้าใจไม๊?”

ปี่หยวนเจียไม่กล้ามองหน้าหลิงหยุน เขารีบหันหลังกลับไปพร้อมกับโบกมืและร้องตะโกนว่า “ข้าไปแล้ว.. ข้าไปแล้ว.. ขอบคุณท่านมากที่ไว้ชีวิตข้า!”

หลังจากที่ปี่หยวนเจียพูดจบ เขาก็ไม่กล้าที่จะอยู่ต่อ ร่างของเขาไกลออกไปถึงเจ็ดสิบเมตร ปลายเท้าของเขาสัมผัสสยอดไม้อย่างนุ่มนวล และหายตัวไปอย่างรวดเร็ว

ปี่หยวนเจียใช้กำลังภายในทั้งหมดเท่าที่มี กระโดดหนีไปทางทิศตะวันออกอย่างสุดชีวิต ก่อนจะกระโจนลงกับพื้นพร้อมกับอาเจียนออกมา

ปี่หยวนเจียไม่เคยเห็นฆาตกรที่โหดเหี้ยมอย่างหลิงหยุนมาก่อน เขาไม่เคยเห็นใครสังหารคนมากมายได้ภายในหนึ่งลมหายใจ แต่นี่เขาเห็นกับตาตัวเอง

“นี่.. หลังจากเจ้าอาเจียนเสร็จแล้ว ก็บอกข้ามาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น? แล้วเหตุใดเจ้าจึงได้อาเจียนออกมาเช่นนี้?”

ปี่หยวนเจียอาเจียนจนรู้สึกว่าท้องไส้หายปั่นป่วนแล้ว ก็ได้ยินเสียงดังอยู่ด้านหลัง!

เขาหันกลับไปมองอย่างตกใจ และก็พบว่าบนยอดไม้ห่างไปราวสิบกว่าเมตร มีหญิงสาวถือกระบี่ สวมผ้าคลุมปิดบังผิวขาวราวหิมะไว้เผยให้เห็นคิ้วคู่สวย ส่วนกระโปรงสีขาวก็พริ้วไสวไปตามแรงลมราวกับเทพธิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์

………..

“ไม่มีประโยชน์ที่จะบุกเข้าไปช่วยคนก่อน เพราะจะต้องพบเจอเรื่องยุ่งยากมากมาย.. ก่อนอื่นเราต้องจัดการสังหารพวกมันก่อน แล้วจึงค่อยพูดจากันทีหลัง ไม่อย่างนั้นเราสามคนต้องตกที่นั่งลำบากแน่!”

หลังจากที่ปี่หยวนเจียจากไป หลิงหยุนก็นัดแนะวางแผนกับตู้กู่โม่และเหล่ากุ่ย..

ครั้งนี้ มียอดฝีมือขั้นเซียงเทียนถึงสามคน แม้หลิงหยุนอยู่ในภาวะอารมณ์ที่อยากจะฆ่าคนมาก แต่เขาก็ไม่สามารถรับมือเพียงคนเดียวได้

“แล้วจะฆ่าใครก่อนดี?!” ตู้กู่โม่ถามเสียงราบเรียบ

หลิงหยุนตอบยิ้มๆ “ถ้าจะจับโจรก็ต้องจับหัวหน้ามันก่อน พวกเราสามคนร่วมมือกันฆ่าซันเทียนเปียวก่อน พวกเจ้าสองมีหน้าที่คอยต้านคนอื่น!”

“เอาล่ะ.. เข้าไปกันได้แล้ว!”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม