Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร 386-392

 บทที่ 386 : หลิงหยุนผู้แข็งแกร่ง!

ขณะที่หลิงหยุนกำลังจะเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-5นั้น ตู้กู่โม่ที่ยืนดูอยู่ห่างๆ ก็สามารถสัมผัสได้ถึงความแปรปรวนที่รุนแรงระหว่างสวรรค์กับพื้นโลก และสายลมที่อยู่รอบๆก็ถูกดูดเข้าหาบริเวณที่หลิงหยุนอยู่!

เวลานี้.. หลิงหยุนได้กลายเป็นจุดศูนย์กลางของกระแสพลังชีวิตที่หมุนวนอยู่รอบตัวเขา พลังชีวิตที่อยู่ในบริเวณบ้านทั้งหมด ต่างก็ถูกดูดไปรวมกันจนกลายเป็นพลังชีวิตลูกมหึมาหมุนวนอยู่รอบตัวหลิงหยุน

และภายในเวลาเพียงแค่ห้านาที พลังชีวิตภายในบ้านที่ถูกดูดมารวมไว้ในหลุมพลัง และเก็บสะสมมานานถึงเจ็ดวัน ก็ถูกร่างกายของหลิงหยุนดูดเข้าไปจนหมดไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว!

ตู้กู่โม่เอาแต่ครุ่นคิดเรื่องของหลิงหยุนจนลืมสิ่งที่อยู่รอบๆตัว และได้แต่พึมพำออกมาเบาๆ

“อย่าบอกนะว่า.. กำลังภายในของหมอนี่ก้าวหน้าอีกแล้ว? เมื่อครู่เขาเพิ่งจะสูญเสียกำลังภายในไปมากมายจนยากที่จะฟื้นตัวได้ภายในคืนเดียว.. แต่นี่กลับสามารถพัฒนาขึ้นสู่ขั้นต่อไปได้แล้วงั้นเหรอ?!”

หลิงหยุนที่ยังคงนั่งอยู่หน้าต้นสมุนไพรชีฉียู่รู้สึกพอใจอย่างมาก เพราะน้ำลายมังกรที่เขาดื่มเข้าไปนั้น ไม่เพียงช่วยให้เขาสามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-5 ได้เท่านั้น แต่กลับเป็นแรงส่งให้เขาพัฒนาขึ้นไปจนถึงระดับกลางของขั้นปรับร่างกาย-5 เลยทีเดียว!

แต่น่าเสียดายที่พลังชีวิตภายในบ้านของเขามีน้อยเกินไป ไม่เช่นนั้นจุดตันเถียนและเส้นลมปราณของเขาคงจะขยายขึ้นอีกเป็นสองเท่า..

หลิงหยุนได้แต่ขมวดคิ้ว แม้เขาจะดูดซับเอาพลังชีวิตภายในบ้านไปจนหมด แต่กลับไม่ถึงสี่สิบเปอร์เซ็นต์ที่ร่างกายของเขาสามารถรองรับได้ และนี่คือปัญหาที่ค่อนข้างใหญ่สำหรับเขา

เมื่อเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-5 นั้น อัตราการความเร็วในการดูดซับพลังชีวิตของร่างกายหลิงหยุนก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่ากลัว พลังชีวิตจำนวนมหาศาล แต่ร่างกายของเขากลับใช้เวลาในการดูดซับได้หมดภายในเวลาเพียงแค่ห้านาที..

แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่หลิงหยุนจะมานั่งครุ่นคิดเรื่องนี้ เพราะนี่เป็นเวลาสองทุ่มตรงแล้ว พระจันทร์และดวงดาวน้อยใหญ่ต่างก็เริ่มทอแสงระยิบระยับอยู่บนท้องฟ้า แสงจันทร์สาดส่องลงมาราวกับสายน้ำ และดวงดาวนับไม่ถ้วนก็กำลังทอประกายเจิดจ้าอยู่บนร่างกายของหลิงหยุน!

ตู้กู่โม่ถึงกับตกใจเมื่อเห็นร่างกายของหลิงหยุนเปล่งประกายสว่างไสว!

วิชาดารกะดายัน!

แม้ว่าหลิงหยุนจะสามารถเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-5แล้ว แต่ก็ไม่มีผลกับดารกะดายันแต่อย่างใด!

หลิงหยุนเรียกน้ำเต้าวิเศษออกมาอีกครั้ง และจัดการยกน้ำลายมังกรขึ้นดื่มอย่างบ้าคลั่ง แต่ไม่ว่าจะดื่มไปมากเท่าไหร่ เขาก็ไม่รู้สึกอะไร..

พลังชีวิตจากน้ำลายมังกรได้หลั่งไหลเข้าสู่จุดตันเถียนของหลิงหยุน และเส้นโค้งรูปมังกรทองซึ่งเกิดจากการรวมตัวของพลังอมตะกับปราณมังกรจากหว่างคิ้วของหลิงหยุน ก็เริ่มเปล่งประกายไปทั่วทั้งจุดตันเถียนทันที!

เส้นโค้งรูปมังกรทองนั้นสั่นเบาๆคล้ายกับมีชีวิต หากเปรียบจุดตันเถียนของหลิงหยุนเป็นจักรวาล เส้นโค้งรูปมังกรทองนี้ ก็คงจะเป็นมังกรทองที่กำลังโบยบินอยู่บนฟากฟ้า!

แสงจันทร์ที่ส่องลงมาเป็นทางราวกับสายน้ำ และดวงดาวที่กำลังทอประกายระยิบระยังอยู่ในเวลานี้ ดูเหมือนจะตั้งใจสาดส่องไปที่หลิงหยุนเพียงผู้เดียว!

น้ำลายมังกรที่หลิงหยุนดื่มเข้าไปนั้น ให้พลังชีวิตโดยที่ร่างกายของเขาไม่จำเป็นต้องดูดซับอีก หลิงหยุนจึงจดจ่ออยู่กับการโคจรดารกะดายัน และเพียงแค่หนึ่งชั่วโมง ดารกะดายันของหลิงหยุนก็สามารถพัฒนาขึ้นมาได้อีกหนึ่งระดับย่อยแล้ว!

ตอนนี้.. วิชาดารกะดายันของหลิงหยุนก็พัฒนาเข้าสู่ระดับ-12 เรียบร้อยแล้ว!

“โอ้ว..! ร่างกายหลิงหยุนสว่างไสวกว่าเดิมอีก? สว่างจนสามารถใช้แทนโคมไฟในเวลากลางคืนได้เลย นี่มันวิชาอะไรกัน?!”

ตู้กู่โม่ถึงกับอึ้งไปและพึมพำออกมาอย่างงุนนงง เขามัวแต่สนใจหลิงหยุนจนไม่รู้ตัวว่าตอนนี้ถังเมิ่งและตี้เสี่ยวอู๋ต่างก็เข้ามายืนอยู่ที่ลานบ้านแล้วเช่นกัน

แต่ดูเหมือนหลิงหยุนจะยังไม่พอใจ เขายังคงยืนดูดซับพลังจันทราและพลังดวงดาวต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งดารกะดายันของเขาใกล้จุดสูงสุดของระดับย่อย12 เขาจึงหยุดการฝึกฝนไว้เพียงเท่านั้น!

หลิงหยุนค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ ภายในดวงตาคู่งามของเขานั้น ลูกตาทั้งสองข้างเป็นสีขาวและสีดำ อีกทั้งยังเปล่งประกายสว่างไสว! แต่เพียงวูบเดียวก็กลับสู่สภาพปกติที่ไม่แตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป

แต่เพราะร่างกายของหลิงหยุนถูกปกคลุมด้วยแสงจันทร์ ตู้กู่โม่จึงไม่ทันสังเกตุเห็นความผิดปกตินี้ อีกทั้งเขาเองยังจดจ่ออยู่เพียงแค่การสังเกตและวิเคราะห์ระดับขั้นกำลังภายในของหลิงหยุนเท่านั้น

ในระหว่างที่หลิงหยุนยังอยู่ในขั้นปรับร่างกาย-4 นั้น ตู้กู่โม่ยังไม่สามารถบอกได้ว่ากำลังภายในของเขาอยู่ในระดับใหน จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมื่อหลิงหยุนเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-5 แล้ว

“เอาล่ะ.. รับฝ่ามือของฉันให้ได้ล่ะ!”

พูดจบ.. ทั้งไหล่และขาของหลิงหยุนแทบไม่ได้เคลื่อนไหว แต่ร่างใหญ่โตของเขากลับลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มืดมิดหลายเมตรไม่ต่างจากเหยี่ยวราตรี จากนั้นก็ซัดฝ่ามือทั้งสองข้างเข้าใส่ตู้กู่โม่ทันที!

ระหว่างที่ร่างของหลิงหยุนพุ่งเข้าหาตู้กู่โม่นั้น ฝ่ามือของเขาก็ลอยอยู่กลางอากาศ สร้างความสับสนงุนงงให้ผู้พบเห็นอย่างมาก และมันก็คือวิชาฝ่ามือสวรรค์!

หลิงหยุนเกรงว่าตู้กู่โม่จะไม่สามารถรับฝ่ามือของเขาได้ จึงใช้กำลังไปเพียงแค่หกสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น!

“นี่มันวิชาอะไร!” ตู้กู่โม่ถึงกับตกใจสุดขีด เพราะเขาสัมผัสได้ถึงพลังทำลายล้างที่สูงมาก!

ฝ่ามือของหลิงหยุนทั้งสองข้างนั้น คล้ายกับว่าเกิดจากการรวมตัวของพลังชี่ แต่ตู้กู่โม่รู้ดีว่านั่นไม่ใช่พลังชี่ที่แท้จริง!

และมันก็คือพลังหยินหยางในขั้นปรับร่างกาย-5!

ตู้กู่โม่ไม่มีเวลาที่จะพูดอะไรออกมา เพราะยังไม่ทันที่เขาจะอ้าปาก ฝ่ามือของหลิงหยุนก็หล่นลงจากฟากฟ้า และเหนือฝ่ามือทั้งสองข้างของหลิงหยุนนั้นก็ปกคลุมด้วยแสงจันทร์ที่สว่างไสวอีกชั้นหนึ่ง!

‘พลังของมันร้ายกาจมาก!’

ตู้กู่โม่รีบเดินกำลังขั้นสุด ขาหน้างอเข่าเล็กน้อย ขาหลังยืดตรง ฝ่ามือทั้งสองข้างยกขึ้น อยู่ในท่าเตรียมพร้อมรอรับฝ่ามือทั้งสองข้างของหลิงหยุน

ปัง!

เสียงฝ่ามือทั้งสี่ปะทะกันจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว แต่ไม่ใช่เสียงฝ่ามือปะทะกันโดยตรง แต่เป็นเสียงของพลังชี่จากฝ่ามือปะทะกัน!

‘แย่แล้ว.. พลังรุนแรงมาก!’

ตู้กู่โม่สัมผัสได้ถึงพลังรุนแรงและอันตรายจากฝ่ามือของหลิงหยุนที่พุ่งตรงเข้าสู่ร่างกายของเขา ฝ่ามือหนึ่งร้อน แต่อีกฝ่ามือหนึ่งกลับเย็น!

ฝ่ามือที่ร้อนก็ร้อนจนน่ากลัว แต่ที่เย็นก็เย็นจนแข็ง!

ตู้กู่โม่เริ่มรู้สึกตัวว่าเขาไม่สามารถทนรับพลังรุนแรงของหลิงหยุนได้ และตอนนี้ร่างของเขาก็ไถลถอยหลังออกไปไกลถึงสิบห้าเมตร และไปหยุดอยู่ที่ขอบสระน้ำพอดี!

หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า และมือขวาของเขาก็เปลี่ยนเป็นกำปั้น ก่อนจะปล่อยหมัดปีศาจเถียนกังตรงเข้าใส่ใบหน้าของตู้กู่โม่!

“หยุด! ฉันยอมแพ้แล้ว!”

ตู้กู่โม่เห็นพละกำลังที่มหาศาลของหลิงหยุนก็ได้แต่ชูมือขึ้นทั้งสองข้างเป็นสัญลักษณ์ของการยอมแพ้ และยังคงยกค้างไว้อย่างนั้น

“นี่ฉันยังไม่ได้เอาจริงเลยนะ..”

หลิงหยุนพูดยิ้มๆ พร้อมกับวางฝ่ามือของเขาลงบนฝ่ามือของตู้กู่โม่ เพื่อถอนพลังหยินหยางจากฝ่ามือของตนเองออกจากร่างของตู้กู่โม่ทันที

ตอนนี้หลิงหยุนที่อยู่ในระดับกลางของขั้นปรับร่างกาย-5 และดารกะดายันอยู่ในระดับ-12 เขาใช้กำลังภายในไปเพียงแค่หกสิบเปอร์เซ็นต์ แต่กลับสามารถทำให้ยอดฝีมือเซียงเทียนระดับเริ่มต้นยอมแพ้ได้ภายในสองกระบวนท่า หลิงหยุนจึงรู้สึกพอใจและภูมิอกภูมิใจอย่างมาก!

อย่าลืมว่าตู้กู่โม่ได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะในการฝึกวรยุทธแห่งตระกูลตู้กู่ที่เก่าแก่ แม้เขาจะอยู่ในระดับเริ่มต้นของขั้นเซียงเทียน แต่ก็สามารถรับมือกับยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-1 ได้

ถังเมิ่งมองตู้กู่โม่ที่ไถลออกไปไกลถึงสิบห้าเมตร และตอนนี้เท้าของตู้กู่โม่ก็เต็มไปด้วยโคลน เขาจึงได้แต่พึมพำเบาๆว่า

“ดินเป็นร่องลึกขนาดนี้ เอาเมล็ดดอกไม้มาโปรยปลูกได้เลย!”

ตี้เสี่ยวอู๋ถึงกับตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก ฝ่ามือของหลิงหยุนช่างน่ากลัว เขาได้แต่ยืนตื่นเต้นพร้อมกับคิดในใจว่า!

‘เฮ้อ.. เมื่อไหร่จะเก่งได้แบบนี้บ้าง!?’

ผ่านไปสองนาที ตู้กู่โม่ที่ทั้งตกใจและตกตะลึงก็พูดขึ้นมาว่า

“หลิงหยุน.. วันนี้เจ้าต้องบอกข้ามาว่าเจ้าอยู่ขั้นใหนกันแน่? ข้าทนต่อไปไม่ไหวแล้ว! เจ้านี่ชอบแกล้งคนชะมัด! ข้าฝึกอยู่ตลอดทั้งบ่าย ส่วนเจ้ามาฝึกเพียงแค่ครึ่งชั่วโมง กลับก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก!”

หลิงหยุนเห็นอาการของตู้กู่โม่แล้วก็นึกรำคาญ แต่ก็ตอบกลับไปยิ้มๆ

“ฉันน่ะเหรอ..? เอาเป็นว่าถ้านายเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-1 ก็ต้องใช้ดาบสู้กับฉันที่ใช้เพียงแค่มือเปล่า แล้วนายก็ต้องลงมือกับฉันแบบเต็มที่ ส่วนฉันก็แค่ใช้กำลังในระดับปกติ แต่แค่นี้นายก็แทบจะทำอะไรฉันไม่ได้แล้ว..”

ตู้กู่โม่ถึงกับร้องออกมาอย่างตกใจ “อะไรนะ?! ถ้าข้าอยู่ในขั้นเซียงเทียน-1 ยังต้องใช้ดาบสู้กับเจ้าที่ใช้มือเปล่า? แต่ก็ยังแทบเอาชนะเจ้าไม่ได้..”

หลิงหยุนย้ำต่อว่า “ใช่.. และต้องอยู่ในเงื่อนไขที่ว่านายต้องโจมตีฉันอย่างสุดกำลังด้วย แต่ฉันแค่ลงมือปกติ..”

ตู้กู่โม่ได้ยินก็ได้แต่โกรธและหงุดหงิดพร้อมกับพูดขึ้นด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ

“เป็นไปไม่ได้.. ยังไงก็เป็นไปไม่ได้.. ถ้าอย่างนั้น กำลังภายในของเจ้าไม่เทียบเท่ายอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-2 หรือยังไง?”

หลิงหยุนยิ้มอย่างสบายอกสบายใจ และไม่ตอบปฏิเสธ อีกเพียงแค่สามชั่วโมง เขาก็จะบุกไปถล่มตระกูลซันแล้ว และตอนนี้เขาก็มั่นใจอย่างมาก!

ต่อให้ศัตรูของเขาเป็นยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-2 ก็เถอะ! ตอนนี้หลิงหยุนมีกระบี่โลหิตแดนใต้อยู่ในมือ เขามั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะทุกคนได้อย่างแน่นอน

นี่ยังไม่พูดถึงร่างกายที่แข็งแกร่งของเขา ต่อให้เป็นยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-2 ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลิงหยุน!

ตู้กู่โม่ร้องออกมาเสียงดัง “ถ้างั้น.. คืนนี้ตอนลงมือ ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะสังหารคนพวกนั้นยังไง?”

หลิงหยุนเดินตรงเข้าไปหาตู้กู่โม่พร้อมกับพูดขึ้นว่า “คืนนี้ถ้านายต้องได้รับบาดเจ็บ.. ไม่ว่าจะเป็นบาดเจ็บภายใน หรือบาดแผลภายนอก ฉันก็สามารถรักษานายให้หายได้ทันที นายสบายใจได้..”

“ข้าจะไปกับเจ้า..” ตู้กู่โม่ตอบพร้อมกับนั่งยองๆลงที่พื้น เขาจ้องมองหลิงหยุนและแอบคิดอย่างสงสัยว่า หลิงหยุนเป็นศิษย์เพียงคนเดียวของสำนักหมอสวรรค์หรือยังไง?

‘แต่เดี๋ยวก่อน.. หมอนี่เพิ่งจะดื่มน้ำลายมังกรไปถึงสองรอบ ดื่มของเย็นเข้าไปมากมายแบบนั้น แต่ทำไมถึงไม่เป็นอะไรเลย?!’

ตู้กู่โม่มองหลิงหยุนที่อยู่ใต้แสงจันทร์ด้วยแววตาที่ทั้งสงสัยและตกใจไปพร้อมๆกัน

จากนั้นหลิงหยุนก็เดินเข้าไปหาถังเมิ่งและตี้เสี่ยวอู๋แล้วถามขึ้นว่า “เสื้อผ้าที่ให้ไปซื้อมาเรียบร้อยหรือยัง?”

ถังเมิ่งพยักหน้า “เรียบร้อย.. ฉันมาให้คนละสองชุด ส่วนของพี่มีทั้งหมดเจ็ดแปดชุด รองเท้าก็อยู่ตรงนั้น พี่หยุนพี่น่าจะใส่ได้..”

“โอ้โห.. ทำไมมากมายขนาดนี้ นี่นายไปซื้อมาจากที่ใหน?” หลิงหยุนถามขึ้นด้วยความแปลกใจ

 ตี้เสี่ยวอู๋จึงอธิบายว่า “พี่หยุน.. ในจิงฉูมีร้านตัดเสื้อสไตล์นี้ส่งให้กับพวกที่ทำหนังทำละครย้อนยุค มันก็จะมีเสื้อผ้าพวกนี้อยู่พอดี แต่ครั้งนี้เร่งรีบไปหน่อย ไม่มีเวลาตัด ก็ต้องเอาที่ตัดไว้แล้วมา อาจจะไม่พอดีนัก..”

หลิงหยุนพยักหน้า “ถ้างั้นคราวหน้า นายก็ไปหาซื้อผ้า และส่งให้เขาตัดตามขนาดตัวของพวกเราสามคน ครั้งนี้ก็ใส่ไปก่อน!”

หลิงหยุนพูดจบก็ถามตี้เสี่ยวอู๋ต่อว่า ฉันให้นายไปท่องจำเรื่องจุดฝังเข็มบนร่างกายคน นายจำได้หมดหรือยัง?

ทันทีที่ตี้เสี่ยวอู๋ได้ยิน และนึกถึงว่าหลิงหยุนเคยบอกไว้ว่าจะสอนเขาจี้จุด เขาจึงตอบกลับไปอย่างตื่นเต้น “ฉันจำได้หมดแล้ว!”

หลิงหยุนจึงชี้ไปตามจุดต่างๆบนตัวของตี้เสี่ยวอู๋ และเขาก็สามารถตอบได้ทันที ทำให้หลิงหยุนพอใจอย่างมาก

“รอให้ฉันสะสางเรื่องในคืนนี้ก่อน แล้วฉันจะเริ่มสอนวรยุทธให้กับนาย!” หลิงหยุนบอกตี้เสี่ยวอู๋ยิ้มๆ

“ขอบคุณพี่หยุน!” ตี้เสี่ยวอู๋ตอบกลับอย่างตื่นเต้น

หลิงหยุนใช้วิชาตัวเบากระโดดเหาะไปไกลหลายสิบเมตรราวกับนกนางแอ่น และพุ่งตรงเข้าไปในบ้าน จากนั้นจึงเดินเข้าไปในห้องเหล่ากุ่ยทันที

เหล่ากุ่ยเพิ่งจะผ่านพ้นวิกฤตจากการต้องกลายเป็นมาร หลิงหยุนเข้าไปดึงเข็มทองทั้งเก้าออกจากร่างกาย จากนั้นจึงยิ้มให้พร้อมกับถามขึ้นว่า

“เหล่ากุ่ย เป็นยังไงบ้างครับ?”


บทที่ 387 : ตื่นตระหนกกับโลก!

เหล่ากุ่ยยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงพร้อมกับยิ้มให้หลิงหยุนและตอบกลับไปว่า “ตอนนี้อาการบาดเจ็บภายในดีขึ้นถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว ส่วนจุดตันเถียนกับเส้นลมปราณก็ค่อยๆฟื้นตัวขึ้นมากเช่นกัน ฉันก็เลยคิดว่าน่าจะมีพลังลมปราณพอที่สามารถทะลวงเข้าสู่ขั้นต่อไปได้เลย แต่กลับคิดไม่ถึงว่า..”

หลิงหยุนช่วยหยิบเสื้อที่วางอยู่ด้านข้างให้กับเหล่ากุ่ยพร้อมกับตอบยิ้มๆว่า “เหล่ากุ่ย.. ท่านอย่าได้กังวลไปเลย ข้ารับรองว่าเมื่อใดที่อาการบาดเจ็บของท่านหายดี กำลังภายในของท่านจะต้องก้าวหน้าขึ้นทันทีเช่นกัน!”

ตอนนี้อาการบาดเจ็บภายในของเหล่ากุ่ยยังคงไม่หายสนิท อีกทั้งยังเพิ่งผ่านพ้นนาทีแห่งความเป็นความตาย และหลุดรอดจากการต้องกลายเป็นมารเพราะธาตุไฟแตกมาได้อย่างฉิวเฉียด ทำให้เส้นลมปราณต่างๆที่เพิ่งฟื้นตัวนั้น ไม่สามารถรองรับพลังชีวิตที่เข้มข้นของน้ำลายมังกรได้ หลิงหยุนจึงจำเป็นต้องรอให้ร่างกายของเหล่ากุ่ยฟื้นตัวดีกว่านี้ก่อน และถึงตอนนั้น เขาจึงจะสามารถให้เหล่ากุ่ยดื่มน้ำลายมังกรเพื่อช่วยพัฒนากำลังภายในให้ก้าวหน้าขึ้นได้

“ห๊ะ.. เจ้าพูดว่าอะไรนะ?!”

เหล่ากุ่ยมองหลิงหยุนด้วยแววตาประหลาดใจ สายตาของเขามองหลิงหยุนจากหัวจรดเท้า ก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยความขุ่นเคือง

“เฮ้อ.. ข้านี่ใช้ไม่ได้เอาซะเลย! มีชีวิตอยู่มาตั้งหกสิบปี แต่กลับต้องเป็นหนี้ชีวิตให้กับครอบครัวของเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า!”

หลิงหยุนถึงกับใจสั่นเมื่อได้ฟังคำพูดของเหล่ากุ่ย และได้แต่คิดในใจว่า เหล่ากุ่ยเป็นคนที่แม่ของเขาขอให้มาช่วยดูแลคุ้มครองเขางั้นหรือ?

‘นี่แม่เคยช่วยชีวิตเหล่ากุยไว้งั้นเหรอ..?’

“เอาล่ะ.. พวกเราอย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้กันเลย ข้าได้ยินว่าคืนนี้เจ้าจะไปสังหารใครบางคน คนแก่อย่างข้าก็จะขอตามไปช่วยด้วย..” เหล่ากุ่ยพูดกับหลิงหยุนในระหว่างที่ลุกขึ้นใส่เสื้อผ้า

หลิงหยุนตอบกลับอย่างลังเล “เหล่ากุ่ย แต่อาการบาดเจ็บของท่าน..?!”

เหล่ากุ่ยหันกลับไปมองหลิงหยุน พร้อมกับเอื้อมมือออกไปแตะไหล่ของเขาอย่างอ่อนโยนพร้อมกับถอนหายใจเบาๆ และพูดขึ้นว่า

“หลิงหยุน.. ความจริงเจ้าเป็นเด็กที่มีจิตใจงดงามนัก แต่เจ้าแค่แสร้งทำเป็นคนไม่ดีเท่านั้นเอง!”

หลิงหยุนได้แต่ยิ้มอย่างกระอักระอ่วนพร้อมกับอดคิดในใจไม่ได้ว่า ‘คำว่า-คนดี คงจะหล่นทับข้าสักวัน’

จากนั้นก็ยกมือขึ้นเกาศรีษะพร้อมกับตอบเหล่ากุ่ยไปว่า “ฮ่า..ฮ่า.. คนที่เคยถูกรังแกบ่อยๆ โตขึ้นถ้าไม่เป็นคนดี ก็จะกลายเป็นคนเลวไปเลย..”

เหล่ากุ่ยจ้องมองหลิงหยุนอยู่นาน หลังจากนั้นเขาก็สูดหายใจอย่างมาความสุขแล้วพูดขึ้นว่า

“ก่อนจะไปปฏิบัติภารกิจ พวกเราไปหาอะไรกินให้อิ่มกันก่อนจะดีกว่า กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เจ้าเคยได้ยินใช่ไม๊!”

“เหล่ากุ่ย.. แน่ใจนะว่าจะไม่มีปัญหาอะไรกับอาการบาดเจ็บของท่าน?”

เหล่ากุ่ยหัวเราะ “เจ้าเองก็เป็นแพทย์ฝีมือดีไม่ใช่รึ? ทำไมยังดูไม่ออกว่าข้าแข็งแรงแค่ใหน? ทำใจให้สบายเถอะนะ!”

หลิงหยุน เหล่ากุ่ย และคนอื่นๆ รวมเป็นห้าคน พร้อมด้วยสุนัขจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง ต่างก็พากันเดินไปทานอาหารที่ภัตตาคารแถบทะเลสาบจิงฉู พวกเขาจองห้องส่วนตัวที่ดีที่สุด และเริ่มลงมือกินอาหารกันอย่างเอร็ดอร่อย

ระหว่างที่ทานอาหารกันอยู่นั้น ถังเมิ่งก็ได้เล่าเรื่องปรากฏการณ์มังกรเล่นน้ำที่เกิดขึ้นเมื่อหลายอาทิตย์ที่ผ่านมาให้เหล่ากุ่ยและตู้กู่โม่ฟัง ทั้งสองคนต่างก็ได้แต่พยักหน้าเงียบๆ

เวลาสี่ทุ่มตรง ทั้งห้าคนต่างก็ทานอาหารเสร็จพอดี และกำลังเดินกลับไปที่บ้าน ระหว่างทางหลิงหยุนก็ได้โทรหาหนิงหลิงยู่ เพื่อไม่ให้เธอเป็นห่วง และจะได้นอนหลับพักผ่อนได้อย่างสบายใจ เพราะพรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียน

แม้ว่าหนิงหลิงยู่จะต้องการพบหน้าหลิงหยุนมาก แต่เธอก็รู้ดีว่าช่วงนี้หลิงหยุนค่อนข้างยุ่ง ท่านหมอเสี่ยวเองก็ได้บอกกับหนิงหลิงยู่ว่าไม่ต้องกังวลอะไร เธอจึงได้แต่ต้องรอคอยอย่างอดทน..

ทันทีที่กลับไปถึงบ้าน ตู้กู่โม่ก็เริ่มลงมือฝึกฝนอย่างจริงจังต่อ ส่วนเหล่ากุ่ยก็กำลังช่วยสอนวรยุทธให้กับตี้เสี่ยวอู๋ และดูเหมือนเขาจะชื่นชอบตี้เสี่ยวอู๋เป็นพิเศษ

หลิงหยุนลากถังเมิ่งเข้าไปในห้องนั่งเล่นพร้อมกับถามขึ้นทันที “ถังเมิ่ง.. นายพอจะรู้ไม๊ว่าใกล้ๆกับเจียงหนานมีเกาะร้างอยู่บ้างไม๊?”

สุนัขจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางตัวนี้ อีกเพียงแค่หนึ่งอาทิตย์ก็ต้องกลายร่างแล้ว หลิงหยุนได้แต่ครุ่นคิด และก็คิดได้เพียงว่าต้องหาเกาะร้างเล็กๆที่ใหนสักแห่งให้กับเจ้าขาวปุย

แต่เมื่อถังเมิ่งได้ฟัง ก็ถึงกับร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ

“พี่หยุน.. อย่าบอกนะว่าพี่จะหายตัวไปอีก? ฉันจะบอกอะไรให้ ถ้าพี่หายตัวไปอีกครั้ง ต่อให้พวกเราทนได้ หนิงน้อยทนได้ แต่หนิงหลิงยู่ต้องไม่มีทางทนได้อย่างแน่นอน!”

การที่หลิงหยุนหายตัวไปนั้น ภายใต้ความกดดันมากมาย ใครกันล่ะที่จะเป็นกันวลมากที่สุดหากไม่ใช่หนิงหลิงยู่!

คำพูดของถังเมิ่งทำให้หลิงหยุนกระอักระอ่วนด้วยความรู้สึกผิด เขาจึงรีบตอบกลับไปว่า

“นายสบายใจได้..! ฉันจะพาเจ้าขาวปุยไปทำอะไรบางอย่างที่นั่นสักสองสามวัน เสร็จแล้วก็จะรีบกลับ แค่บอกมาว่ามีสถานที่แบบที่ฉันต้องการไม๊? เป็นเกาะที่ไม่มีคนอยู่ก็จะยิ่งดี!”

ถังเมิ่งเกาศรีษะพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่ามันจะเรียกว่าเกาะที่ไม่มีคนอยู่ได้ไม๊? แต่ที่แน่ๆ มันเป็นเกาะที่ไม่มีความสงบสุขเลย”

หลิงหยุนไม่ได้สนใจว่ามันจะสงบสุข หรือไม่สงบสุข เขาจึงถามขึ้นทันที “แล้วมันคือเกาะอะไร?!”

ถังเมิ่งตอบยิ้มๆ “จะเป็นเกาะอะไรไปได้ล่ะ.. ก็เกาะเตียวหยูไง! เกาะที่พวกญี่ปุ่นทึกทักว่าเป็นของพวกมัน จนทุกวันนี้ยังเป็นกรณีพิพาทกันอยู่เลย!”

ตอนนี้ความรู้ทางด้านภูมิศาสตร์ของหลิงหยุนนับว่ากว้างขวางมาก เขาจึงนึกภาพออกว่าเกาะเตียวหยูนั้นอยู่ตำแหน่งใน แต่เรื่องกรณีพิพาทอะไรนั้นเขาไม่รู้ เพราะไม่เคยดูข่าวในทีวีมาก่อน จึงไม่รู้ว่าเกาะนั่นเป็นดินแดนที่อยู่ในการปกครองของพวกญี่ปุ่น

“ญี่ปุ่นอีกแล้วเหรอ?!”

หลิงหยุนนึกถึงโทคุงาวะ ทาเคซูกะขึ้นมาทันที และได้แต่รู้สึกรังเกียจ จึงได้ตัดสินใจแน่วแน่ที่จะพาเจ้าขาวปุยไปที่เกาะเตียวหยูแห่งนี้ และปล่อยให้เจ้าขาวปุยกลายร่างที่นั่น ให้เกาะนี้พังราบเป็นหน้ากองไปเลย

“แต่ว่าพี่หยุน ตอนนี้ฉันได้ยินมาว่ามีทหารญี่ปุ่นเฝ้าอยู่..” ถังเมิ่งพูดอย่างลังเล

แต่หลิงหยุนกลับส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วยกมือขึ้นตบไหล่ถังเมิ่ง และพูดกับเขาด้วยท่าทางที่ไร้กังวล “อาทิตย์หน้าช่วยจัดการเช่าเรือให้ฉันด้วย!”

หลังจากสั่งงานถังเมิ่งเสร็จแล้ว ยังไม่ทันที่หลิงหยุนจะบอกให้เขาออกไปได้ โทรศัพท์ของถังเมิ่งก็ดังขึ้นมาเสียก่อน

ถังเมิ่งรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู และเมื่อพบว่าเป็นแม่ของเขาโทรมา ถังเมิ่งจึงรีบกดรับสายทันที แต่แล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปหลังจากได้ฟัง!

“ไม่ต้องกังวลนะครับแม่ ทุกอย่างปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมกับพี่หยุนเอง!” พูดจบถังเมิ่งก็รีบกดวางสายไป

ถังเมิ่งกำลังจะอ้าปากเล่าให้หลิงหยุนฟังว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หลิงหยุนกลับชิงพูดขึ้นมาก่อน พร้อมกับสีหน้าแววตาที่เต็มไปด้วยรังสีอำมหิต

“นายไม่ต้องเล่า ฉันได้ยินทุกอย่างหมดแล้ว ซันเทียนเปียวมันกล้าทำกับลุงหวังแบบนี้ แสดงว่ามันจงใจฉีกหน้าฉัน และบีบบังคับให้ฉันต้องลงมือ!”

“พี่หยุน.. เรื่องนี้.. ฉันควรทำยังไงดี?!”

แม่ของถังเมิ่งโทรมาบอกกับเขาว่า ถังเทียนห่าวถูกคนของตระกูลซันจับตัวไปแล้ว และเธอก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี?

หลิงหยุนตบบ่าถังเมิ่งอย่างอ่อนโยน พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ถังเมิ่ง.. นายเชื่อในตัวฉันไม๊?”

ถังเมิ่งพยักหน้า “พี่หยุน.. ฉันไม่ใช่แค่เชื่อ แต่ศรัทธาเลยล่ะ?!”

หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อย “เยี่ยมมาก.. ถ้าอย่างนั้นนายก็ต้องเชื่อฟังฉัน ตอนนี้เรื่องของพ่อนาย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉัน ส่วนนายต้องรีบกลับไปทำเรื่องที่สำคัญที่สุด.. นายรีบกลับไปอยู่ดูแลแม่! ฉันสัญญาว่าคืนนี้จะต้องช่วยพ่อของนายออกมาให้ได้!”

แม้ถังเมิ่งจะเป็นห่วงความปลอดภัยของถังเทียนห่าวมาก แต่เขาเป็นคนที่มีเหตุมีผล เขานึกถึงเหตุการณ์ที่หลิงหยุนบุกไปช่วยเฉิงเม่ยเฟิงเมื่อครั้งที่แล้ว และจำได้ว่าหลิงหยุนต้องเผชิญกับอะไรบ้าง และต้องเสี่ยงแค่ใหน เขาจึงไม่ต้องการไปเป็นภาระให้กับหลิงหยุน และได้แต่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง

หลิงหยุนหยิบยันต์อัคนีและยันต์บำบัดออกมาอย่างละสิบกว่าแผ่น แล้วยัดลงไปในมือของถังเมิ่งพร้อมกับสั่งว่า

“นายเก็บไว้ใช้ในยามจำเป็น? นี่คือยันต์อัคนี และนี่คือยันต์บำบัด อย่าใช้ผิดล่ะ!”

หลิงหยุนพูดจบก็เดินไปส่งถังเมิ่งนอกบ้าน และรอจนเขาขับรถฮัมเมอร์ออกไปรอฟังข่าวดีอยู่ที่บ้าน

“ตี้เสี่ยวอู๋.. คืนนี้นายมีหน้าที่อยู่ดูแลบ้าน! แล้วก็ตั้งใจฝึกวรยุทธให้ดี!” หลิงหยุนหยิบยันต์อัคนีและยันต์บำบัดอย่างละสิบกว่าแผ่นให้กับตี้เสี่ยวอู๋

กำลังภายในของตี้เสี่ยวอู๋ยังไม่ถึงขั้นโฮ่วเทียน-4 ด้วยซ้ำไป หลิงหยุนจึงไม่อนุญาตให้เขาตามไปที่บ้านตระกูลฉางในคืนนี้ด้วย

เมื่อจัดการสั่งการทุกอย่างจนเรียบร้อยแล้ว หลิงหยุน เหล่ากุ่ย และตู้กู่โม่ ต่างก็เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าชุดดำพร้อมกับคาดผ้าปิดบังใบหน้า แล้วจึงออกจากบ้านไป

ในเมื่องทั้งสามคนต่างก็สวมชุดดำและมีผ้าสีดำปิดบังใบหน้าไว้ พวกเขาจึงใช้ความเร็วสูงสุดตรงไปยังบ้านตระกูลเฉิงทันที

ระหว่างทาง หลิงหยุนแบ่งยันต์อัคนีและยันต์บำบัดให้ทั้งสองคนไว้สำหรับใช้ป้องกันตัวในกรณีฉุกเฉิน

แต่ระหวางนั้น คำพูดของเหล่ากุ่ยก็ทำให้หลิงหยุนถึงกับตกใจสุดขีด!

เหล่ากุ่ยได้บอกกับหลิงหยุนว่า.. ซันเทียนเปียวนั้นอย่างน้อยก็ต้องเป็นยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-1 ส่วนยอดฝีมือสองคนที่ทำหน้าที่เป็นองครักษ์คอยคุ้มครองซันเทียนเปียวนั้น ก็เป็นยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-1 ทั้งคู่ด้วยเช่นกัน

องค์รักษ์ทั้งสองคนของซันเทียนเปียว ก็มีผู้ติดตามอีกสี่คน และทุกคนล้วนเป็นยอดฝีมือที่อยู่ในระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-9

และยังมีผู้ติดตามของยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-9 อีกทั้งหมดแปดคน ที่แต่ละคนล้วนอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-8

รวมแล้ว.. ซันเทียนเปียวมียอดฝีมือขั้นต่างๆที่คอยอารักขาคุ้มกันอยู่ถึงสิบสี่คน!

ยังไม่หมดเพียงเท่านั้น ยังมียอดฝีมือคนอื่นๆอีกเกือบสามสิบคนที่อยู่ในขั้นต่ำกว่าขั้นโฮ่วเทียน-8 ลงไป

“เหล่ากุ่ย.. ทำไมตระกูลซันถึงได้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ล่ะ!?” หลิงหยุนถามอย่างตกใจสุดขีด

จะไม่ให้หลิงหยุนตกใจได้อย่างไรกัน ในเมื่อเกาเฉินเฉินเคยเล่าให้เขาฟังว่าตระกูลหนึ่งจะมียอดฝีมือจากตระกูลเก่าแก่ หรือจากนิกายลับไปเป็นแขกพิศษได้ไม่มากนักและเมื่อคราวที่แล้ว หลิงหยุนก็ได้ฆ่ายอดฝีมือของตระกูลซันไปแล้วถึงสี่คน จึงไม่น่าจะมีเหลืออยู่มากมายขนาดนี้?!

หลิงหยุนได้แต่นึกในใจว่า.. โชคดีที่ตัวเขาเองได้เข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-5 ในคืนนี้พอดีและดารกะดายันก็พัฒนาขึ้นมาอีกหนึ่งระดับย่อย ครั้งนี้หลิงหยุนจึงน่ากลัวกว่าครั้งที่แล้วหลายเท่านัก!

“หลิงหยุน.. เจ้าไม่รู้อะไร ปกติคนพวกนี้จะไม่ปรากฏตัวหรอก แต่เป็นเพราะข่าวเรื่องพู่กันจักรพรรดิกับสมุดจักรพรรดิที่ได้ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกนั่นล่ะ เลยทำให้ทั้งตระกูลเก่าแก่ นิกายลับ และแม้แต่นิกายมารก็พากันออกมา!

“โดยปกติแล้วตระกูลเก่าแก่ และนิกายลับจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนในเมือง แต่ก็ใช่ว่าจะตัดขาดไปเลยซะทีเดียว เพราะยังต้องพึ่งพาตระกูลที่อยู่ในเมืองในเรื่องของการสื่อสาร การเดินทาง และการเงิน”

“ซันเทียนเปียวเองก็มีภรรยาหลายคนแทบนับไม่ถ้วน และมีลูกชายราวเจ็ดหรือแปดคนได้ เพียงแค่หนิวเฟิ่นเหยียวกับซันจิ้ง คงไม่ได้มีค่าพอที่จะทำให้ซันเทียนเปียวถึงกับต้องเกณฑ์ยอดฝีมือมามากมายถึงเพียงนี้หรอก แต่พวกเขามาเพราะเรื่องพู่กันจักรพรรดิกับสมุดจักรพรรดิต่างหากเล่า!”

หลิงหยุนถามอย่างงุนงง “เพราะพู่กันจักรพรรดิกับสมุดจักรพรรดิงั้นเหรอ? แล้วตระกูลอื่นๆไม่ได้ข่าวเรื่องนี้บ้างหรือไง ถึงได้ปล่อยให้ตระกูลซันออกค้นหาอยู่ฝ่ายเดียว?”

หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า ตระกูลซันขนยอดฝีมือมากมายขนาดนี้ ตระกูลใหญ่ๆในเมืองหลวงอย่างตระกูลหลง ตระกูลเฉิน ตระกูลเย่ ตระกูลเกา แล้วก็ตระกูลอื่นๆ เหตุใดจึงทำเหมือนคนหูหนวกตาบอดอยู่ได้?!

เหล่ากุ่ยยิ้มเล็กน้อย “พ่อหนุ่ม.. ก็เจ้าเป็นคนทำให้เมืองจิงฉูวุ่นวายปั่นป่วน และประกาศตัวเป็นปฏิปักษ์กับตระกูลซัน ตระกูลซันมาที่นี่ก็ถูกแล้ว ถ้าตระกูลซันไม่มา แล้วใครจะมา?”

ระหว่างทาง.. หลิงหยุนจึงได้หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาท่านเสี่ยวหมอเทวดา

ดูเหมือนจะมียอดฝีมือมากมายกว่าที่เขาคาดไว้มาก หากยังมียอดฝีมือซ่อนอยู่มากกว่านี้อีก หลิงหยุนคงจะรับมือไม่ไหวแน่!

หลังจากท่านหมอเสี่ยวได้รับโทรศัพท์ ก็ได้แต่ยิ้มเล็กและพูดขึ้นว่า “เธอไม่ต้องกังวลอะไร!”


บทที่ 388 : ฆ่าคนราวผักปลา!

หลิงหยุนวางสายไป จากนั้นก็จ้องมองเหล่ากุ่ยและตู้กู่โม่ด้วยความนับถือจากใจ..

ในใจหลิงหยุนต้องการจะถามเหล่ากุ่ยว่าเขาไปเอาข่าวพวกนี้มาจากใหน และเพราะอะไรตู้กู่โม่เมื่อได้รู้ข่าวกลับไม่หวั่นไหว?

เหล่ากุ่ยเป็นใครกันแน่? ตู้กู่โม่ก็เช่นกัน!?

ตู้กู่โม่เห็นหลิงหยุนจ้องมองเขาอยู่ครู่ใหญ่แล้ว จึงได้แต่ยกมือขึ้นเกาศรีษะพร้อมกับถามขึ้นอย่างงงๆ

“นี่.. เจ้าจ้องข้าทำไมกัน?”

แต่หลิงหยุนกลับพูดเตือนตู้กู่โม่ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

“นายได้ยินแล้วไม่ใช่เหรอ.. ที่นั่นมียอดฝีมือเซียงเทียนถึงสามคน! นายไม่กลัวหรือยังไง? แล้วยังมียอดฝีมืออีกสี่คนที่ฝีมืออยู่ในระดับเดียวกับนาย ใหนจะยอดฝีมือที่อยู่ในระดับสูงของขั้นโฮ่วเทียน-8 อีกถึงยี่สิบคน แต่พวกเรามีกันแค่สามคน!”

ตู้กู่โม่ตอบกลับยิ้มๆ “เจ้ามาที่นี่เพื่อช่วยคนไม่ใช่รึ? อีกอย่าง.. เจ้าก็เป็นคนช่วยชีวิตข้าไว้! ที่ผ่านมาพวกเราก็ผ่านอันตราย และความยากลำบากมาด้วยกัน แล้วทำไมข้าจะไปเป็นเพื่อนเสี่ยงตายกับเจ้าอีกสักครั้งไม่ได้ล่ะ?”

คำตอบของตู้กู่โม่ทำให้หลิงหยุนไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้อีก ส่วนเหล่ากุ่ยที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ได้แต่อแอบถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า

หลิงหยุนหันหน้าไปทางเหล่ากุ่ยพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เหล่ากุ่ย.. ท่านมาช่วยข้าไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่คืนนี้จะเป็นการต่อสู้ที่มีแค่คำว่าอยู่หรือตายเท่านั้น.. ข้าว่าท่าน..”

เหล่ากุ่ยหัวเราะหึหึ “หลิงหยุน.. ฟังนะ! ถ้าข้ากลัวตาย ข้าคงจะไม่มาที่นี่ในคืนนี้ เจ้าเข้าใจที่ข้าพูดใช่ไม๊?”

“อีกอย่าง.. การต่อสู้ที่มีแค่คำว่าอยู่หรือตายนั้น คนแก่อย่างข้าก็ผ่านมาแล้วทั้งนั้น!”

หลิงหยุนไม่สามารถโต้แย้งคำพูดของเหล่ากุ่ยได้อีกเช่นกัน และได้แต่คิดสงสัยในใจว่าเหล่ากุ่ยจะเป็นคนที่แม่ของเขาส่งมาดูแลคุ้มครองตัวเขาหรือไม่!?

ตู้กู่โม่เสริมขึ้นว่า “นั่นสิ.. ยอดฝีมืออย่างพวกเราก็ต้องออกมาหาประสบการณ์จากการต่อสู้ที่ดุเดือดช่วงชิงความเป็นความตายบ้าง ถ้าเห็นการต่อสู้แล้วกลัวจนต้องวิ่งหนี ก็ไม่ต้องฝึกวรยุทธจะดีกว่า กลับไปนอนกอดเมียเจ็ดแปดคนอยู่ที่บ้านไม่ดีกว่าหรือยังไง?!”

หลิงหยุนหัวเราะอย่างมีความสุข “ใหนนายบอกว่าผู้หญิงเปรียบเหมือนเสือไง? แล้วยังจะกล้ามีมากขนาดนั้นเลยเหรอ?”

ตู้กู่โม่ทำเสียงฟึดฟัดพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า “ขนาดเถียนป๋อเตายังมีเป็นสิบ ฉันก็ต้องมีให้เท่ากับมันบ้าง..”

หลิงหยุนจ้องมองตู้กู่โม่ด้วยสายตาแน่วแน่พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“ถ้างั้นก็ขอต้อนรับทุกคนด้วยความยินดี ถึงแม้พวกมันจะมีหลายคน แต่พวกเราก็จะไม่ยอมตายอย่างแน่นอน!”

“พวกเราไม่เพียงแค่มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน แต่ยังมีเป้าหมายที่ชัดเจนคือการช่วยเหลือคน ช่วยเหลือคนก่อน ส่วนเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง! ไปกันได้แล้ว!”

หลิงหยุนเดินนำหน้าไป จากนั้นก็ตามมาด้วยเหล่ากุ่ยและตู้กู่โม่ และทั้งสามคนก็มุ่งหน้าสู่บ้านของตระกูลเฉิง

……..

“พวกเจ้าเป็นใครกัน?!”

แม้ทั้งสามคนจะสวมชุดดำและมีผ้าปิดบังใบหน้า แต่ก็ไม่ได้ไปอย่างหลบๆซ่อนๆ ดังนั้นเมื่อพวกเขาปรากฏตัวอยู่ที่หน้าประตูบ้านของตระกูลเฉิง ใครบางคนก็วิ่งออกมาตะโกนถามทันที พร้อมด้วยยอดฝีมืออีกสี่คนตามมาติดๆ

“ยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-6 หนึ่งคน ส่วนอีกสี่คนอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-5!” เหล่ากุ่ยส่งกระแสจิตบอก

หลิงหยุนเดินลมปราณด้วยวิชาพลังลับหยินหยาง และใช้มังกรพรางร่างไปโผล่ตรงหน้าคนที่ถามพร้อมกับร้องตอบไปว่า

“ข้าก็คือยมบาลไง!”

“นี่เจ้า..!”

ยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-6 ผู้น่าสงสาร ยังไม่ทันที่จะได้โต้ตอบอะไร ก็ถูกหมัดปีศาจเถียนกังของหลิงหยุนซัดเข้าที่หน้าอกจนกระดูกหักเจ็ดแปดท่อน ตับและถุงน้ำดีแตก และเลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด

หลิงหยุนไม่ต้องการเสียเวลาไปกับการโต้ตอบทางวาจา มือขวาของเขาซัดตะปูยาวออกไปราวกับห่าฝน และยอดฝีมืออีกสี่คนก็ล้มลงกับพื้นทันที ช่างเป็นภาพที่น่าเวทนานัก!

หลิงหยุนเดินหลังตรงเข้าไปในบริเวณบ้านอย่างรวดเร็ว และทันทีที่เท้าของเขาสัมผัสกับพื้นดินภายในบ้าน หลิงหยุนก็ถูกยอดฝีมือที่ซ่อนตัวอยู่ตามต้นไม้กระโจนออกมาล้อมไว้ทันที

ที่น่าแปลกคือยอดฝีมือทั้งเจ็ดคนที่กระโดดออกมาล้อมหลิงหยุนไว้นั้น กลับมีใบหน้าสีดำกันทุกคน ดูเหมือนว่าใครๆก็ไม่ต้องการที่จะเปิดเผยใบหน้าของตัวเองกันทั้งนั้น

“สองคนอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-8!” เหล่ากุ่ยและตู้กู่โม่ที่ตามเข้ามาร้องเตือนหลิงหยุน!

สำหรับเหล่ากุ่ยแล้ว.. คืนนี้เขาไม่สนใจเรื่องอื่น นอกจากภารกิจในการปกป้องคุ้มครองหลิงหยุนซึ่งเป็นนายน้อยแห่งตระกูลหลิงเท่านั้น!

ความจริงแล้ว.. หากยอดฝีมือคนใหนยังไม่เข้าสู่ขั้นเซียงเทียน ตัวหลิงหยุนเองก็สามารถจะมองออกว่าฝีมืออยู่ขั้นใด โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยเหล่ากุ่ยคอยเตือน

หลิงหยุนโคจรดารกะดายัน และแสงสว่างไสวของดวงจันทร์ก็ปกคลุมร่างที่อยู่ในชุดดำของหลิงหยุนไว้ ทำให้เขาดูโดดเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางความมืด

ปัง.. ปัง..!

ความดุร้ายของหลิงหยุนยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เขาซัดฝ่ามือทั้งสองข้างใส่ยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-8 ทั้งสองคนพร้อมกัน ฝ่ามือซ้ายคือพลังหยิน และฝ่ามือขวาคือพลังหยาง!

ยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-8 ทั้งสองคน ต่างก็ไม่คิดว่าฝ่ามือของหลิงหยุนนั้นจะรุนแรงและมีพลังมากมายถึงเพียงนี้ ทั้งคู่ได้ยินเสียงแกร๊ก.. แกร๊ก.. ดังขึ้นพร้อมกัน จากนั้นพวกเขาก็กรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด พร้อมกับร่างที่ลอยละลิ่วออกไปพร้อมกัน!

แม้ยอดฝีมือทั้งสองคนจะได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว แต่หลิงหยุนยังไม่ปล่อยพวกมันไป เขาพุ่งตามไปซ้ำร่างของทั้งคู่ โดยที่ยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-8 ทั้งสองคนยังไม่ทันที่จะได้ตกถึงพื้น อีกทั้งยังไม่ทันได้แม้แต่จะหายใจ..

หลิงหยุนประกาศไว้แล้วว่า คืนนี้จะเป็นคืนแห่งการสังหารเท่านั้น!

ระหว่างหลิงหยุน เหล่ากุ่ย และตู้กู่โม่นั้น กำลังภายในของหลิงหยุนแม้จะอยู่ในขั้นที่ต่ำที่สุด แต่กลับแข็งแกร่งที่สุด อีกทั้งครั้งนี้เขายังลงมือโจมตีคู่ต่อสู้อย่างไม่ปราณีเลยแม้แต่น้อย

ระหว่างที่หลิงหยุนจัดการกับยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-8 เหล่ากุ่ยก็จัดการกับยอดฝีมืออีกสามคน ส่วนตู้กู่โม่ก็จัดการกับยอดฝีมืออีกสองคน แม้ทั้งคู่จะไม่ได้สังหารยอดฝีมือทั้งห้าคน แต่พวกมันก็สูญเสียพลังและไม่อาจต่อสู้ได้อีก!

“ใครกัน.. กล้าบุกรุกตระกูลซัน?!” ยอดฝีมืออีกสามคนร้องตะโกนถามเสียงดัง

“ยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-9 เจ้าจะเป็นรายต่อไป!”

หลิงหยุนไม่รอให้เท้าของยอดฝีมือผู้นั้นได้สัมผัสพื้นด้วยซ้ำ เขาพึมพำด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก จากนั้นก็ใช้มังกรพรางร่างเหาะขึ้นสูง และพุ่งตรงเข้าหายอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-9 ที่กำลังพุ่งตรงเข้ามาหาหลิงหยุนเช่นกัน!

“โอ๊ะ..!”

ยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน 9 ร้องออกมาด้วยความตกใจ เมื่อจู่ๆหลิงหยุนก็พุ่งเข้าไปโดยที่เขาเองก็ยังไม่ทันได้ตั้งตัว แต่ระหว่างที่อยู่กลางอากาศนั้น เขาก็ซัดฝ่ามืออย่างสุดกำลังเข้าใส่ร่างของหลิงหยุน!

แต่หลิงหยุนกลับเพียงแค่ยื่นมืออกไปคว้าข้อมือของอีกฝ่ายไว้ แล้วจึงรูดฝ่ามือไปตามแขนและซัดฝ่ามือของตนเองเข้าที่หน้าอกของยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-9 อย่างแรง!

ปัง!

หลังจากที่ยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-9 ถูกหลิงหยุนฟาดเข้าที่หน้าอก เขาก็รู้สึกไม่ต่างจากการถูกอุกาบาตลูกใหญ่วิ่งชนเข้าอย่างรุนแรง!

สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นก็คือ หน้าอกที่ถูกหลิงหยุนฟาดฝ่ามือใส่นั้นถึงกับแบนราบติดแผ่นหลัง จนกระทั่งอวัยวะภายในหลักทั้งห้าชิ้นมีเลือดไหลคั่งอยู่ภายใน และร่างก็ร่วงลงสู่พื้นดินทันที!

 “โอ้ะ..”

ไม่เพียงเท่านั้น หลิงหยุนยังจัดการซัดตะปูอีกสองดอกเข้าใส่ดวงตาของยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-9 และด้วยพละกำลังที่มหาศาลของหลิงหยุน ทำให้ตะปูที่ซัดออกไปนั้น พุ่งทะลุดวงตาทั้งสองข้างผ่านกะโหลกศรีษะ และไปปักอยู่ที่พื้นหินอ่อนด้านหลัง!

ในเวลานี้เอง ตู้กู่โม่และเหล่ากุ่ยก็กำลังช่วยหลิงหยุนจัดการกับยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-8 อีกสองคน ซึ่งกว่าทั้งคู่จะเอาชนะได้ ก็ใช้เวลาครู่ใหญ่อยู่เหมือนกัน

หลิงหยุนมองเห็นว่าด้านหน้าเขานั้น มีคนกลุ่มหนึ่งเดินออกมา และเขาสัมผัสได้ว่าช่วงเวลาแห่งการต่อสู้กำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว หลิงหยุนจึงเรียกกระบี่โลหิตแดนใต้ออกมาพร้อมกับใช้มังกรพรางร่างพุ่งตรงเข้าหายอดฝีมือกลุ่มนั้นทันที

ยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-8 สองคนที่วิ่งเข้ามานั้น จู่ๆก็รู้สึกว่าร่างของตนเองเบาขึ้น และก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อพบว่าที่เบาขึ้นนั้น เพราะขาทั้งสองข้างของพวกเขาถูกตัดจนขาดไปแล้ว และตอนนี้เลือดก็กำลังพุ่งกระฉูดออกจากขาของพวกเขาทั้งคู่!

ระหว่างที่ทั้งคู่มัวแต่ตกใจนั้น หลิงหยุนก็สะบัดกระบี่โลหิตแดนใต้ในมือเข้าใส่ลำคอของยอดฝีมือทั้งสองคน ทั้งคู่ต่างก็กรีดร้องด้วยความหวาดกลัวและเจ็บปวดก่อนจะสิ้นใจตายในที่สุด!

ในเมื่อหลิงหยุนตัดสินใจที่จะลงมือสังหารแล้ว แววตาของเขาจึงไม่มีแม้แต่ร่องรอยของความเมตตาปราณี หรือความสงสารเลยแม้แต่น้อย มีเพียงรังสีอำมหิตซึ่งแตกต่างจากมือฆาตกรทั่วไป!

สำหรับหลิงหยุนในเวลานี้.. ในสมองของเขามีเพียงเรื่องของการช่วยคนสองคน นั่นก็คือเฉิงเม่ยเฟิง และถังเทียนห่าว!

“นั่นมัน..” เมื่อเหล่ากุ่ยได้เห็นกระบี่สีดำในมือหลิงหยุน เขาก็ได้แต่อึ้งจนพูดอะไรไม่ออก

“พวกเราบุก!”

หลิงหยุนยกกระบี่ชี้ขึ้นฟ้าพร้อมกับร้องสั่งให้ตู้กู่โม่และเหล่ากุ่ยให้บุกเข้าไปจัดการกับยอดฝีมืออีกแปดคนที่กรูเข้ามาพร้อมกัน!

“ถึงคราวของเจ้า!”

สายตาของหลิงหยุนจับจ้องอยู่ที่ยอดฝีมือผู้หนึ่งที่เคลื่อนไหวได้รวดเร็วที่สุด และดูเหมือนว่าผู้ที่ออกมาต้อนรับหลิงหยุนนั้น จะเป็นยอดฝีมือที่อยู่ในระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-9!

สิ้นเสียงร้องตะโกนของหลิงหยุน ร่างของเขาก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า มือทั้งสองข้างกำด้ามกระบี่โลหิตแดนใต้ไว้แน่น พุ่งตรงไปทางด้านหน้าของยอดฝีมือที่อยู่ในระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-9

“ระวัง!”

“ระวัง!”

เสียงร้องตะโกนดังออกมาจากทั้งสองฝ่าย เสียงร้องเตือนครั้งแรกดังออกจากปากของเหล่ากุ่ยที่ร้องเตือนหลิงหยุน ส่วนเสียงร้องเตือนที่ตามมานั้น เป็นเสียงของคนฝั่งตระกูลซันที่ร้องเตือนยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-9 ของตนเอง

สามในแปดยอดฝีมือที่กรูเข้ามานั้น ได้ซัดอาวุธลับใส่หลิงหยุนกลางอากาศ ทำให้หลิงหยุนต้องเปลี่ยนเป้าโจมตีกลางคัน เขาจัดการปัดอาวุธลับที่ซัดมาจนกระเด็นออกไปทางประตูบ้าน ส่วนอาวุธลับบางส่วนที่ซัดโดนร่างกายของหลิงหยุนนั้น ดูเหมือนหลิงหยุนจะไม่ใส่ใจนัก!

ติ๊ง.. ติ๊ง.. เสียงคล้ายวัตถุกระทบกันนี้เกิดจากอาวุธลับบางส่วนที่ซัดโดนร่างกายของหลิงหยุน และทุกคนต่างก็เห็นกับตาว่า หลิงหยุนยังคงปลอดภัยดี ไม่มีแม้แต่บาดแผลเกิดขึ้น ทุกคนต่างก็ร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ!

“ดูเหมือนเขาจะสวมเสื้อเกราะทองคำ!”

ยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-9 แสยะยิ้ม.. เขาเงื้อดาบเล่มใหญ่ในมือขึ้นกลางอากาศฟันใส่กระบี่โลหิตแดนใต้ในมือของหลิงหยุน!

ดาบเล่มใหญ่ของยอดฝีมือผู้นี้ทำจากทองคำ และหากนำไปขายเป็นเงินก็จะสามารถซื้อบ้านหลังใหญ่โตได้เลยทีเดียว เขาจึงมั่นใจอย่างมากว่าดาบทองคำของเขาจะสามารถฟันกระบี่ของหลิงหยุนให้หักได้อย่างแน่นอน!

แต่เขายังไม่รู้ตัวว่าได้ประเมินตนเองไว้สูงจนเกินไป!

ชัวะ!

กระบี่โลหิตแดนใต้ของหลิงหยุนตัดดาบเล่มใหญ่ที่ทำจากทองคำได้อย่างง่ายดายราวกับตัดเต้าหู้ และดูเหมือนกระบี่สีดำของหลิงหยุนจะไม่หยุดอยู่แค่นั้น เพราะทันทีที่ยอดฝีมือผู้นั้นได้ยินเสียง ‘ชัวะ’ กระบี่สีดำที่มีกระแสเย็นยะเยือกก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าก่อนจะฟันเข้าที่ศรีษะด้านบนของเขาทันที!

“อ๊าก!” เขากรีดร้องออกมาด้วยความตกใจสุดขีด!

ท่ามกลางความหวาดกลัว ยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-9 ผู้นี้ ได้แต่หันศรีษะไปตามสัญชาติญาณเพื่อหลบหนีการโจมตีที่เหี้ยมโหดของหลิงหยุน!

ชัวะ!

หลิงหยุนไม่ได้ฟันพลาด.. แต่เขาตั้งใจใช้กระบี่โลหิตแดนใต้ตัดแขนข้างหนึ่งของยอดฝีมือผู้นี้จนร่วงลงไปกับพื้น และเลือดก็กระฉูดออกไปทั่วทุกทิศทาง!

จากนั้นหลิงหยุนก็พูดขึ้นว่า.. “ตายซะ!”

ตั้งแต่มาถึง.. หลิงหยุนก็ลงมือสังหารยอดฝีมือคนแล้วคนเล่า จนล้มตายราวกับผักปลา!


บทที่ 389 : ฆ่า.. ฆ่า.. แล้วก็ฆ่า!

หลิงหยุนตวัดดาบในมือขวากลับหลังฟันใส่ลำคอของยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-9 และเลือดสีแดงสดก็พุ่งกระฉูดออกจากลำคอ พร้อมกับที่ศรีษะของเขาก็ตกลงบนพื้นไม่ห่างจากร่างนัก

หลังจากที่ร่างที่ไร้ศรีษะของเขาโอนเอนกลับไปกลับมาอยู่สองรอบ ก็ค่อยๆร่วงลงไปกองกับพื้นเช่นกัน และเลือดก็ยังคงไหลนองอยู่เต็มพื้นดิน

กระบี่สีดำของหลิงหยุนในตอนนี้ ถูกเคลือบด้วยเลือดสีแดงเข้ม เขาเงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาเย็นชา จากนั้นจึงถือกระบี่ค่อยๆย่างกรายเข้าไปหายอดฝีมือที่เหลืออีกเจ็ดคน

ในจำนวนยอดฝีมือที่เหลือทั้งเจ็ดคนนั้น มีสองคนที่อยู่ในขั้นโฮ่วเทียน-9 และอีกสามคนอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-8 แต่แววตาของพวกเขากลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัว มือที่ถืออาวุธอยู่ก็สั่นไปหมด และค่อยๆก้าวถอยหลังออกไป!

“ดูเหมือนกระบี่ที่เขาถืออยู่ในมือ.. จะเป็นเป็นกระบี่โลหิตแดนใต้ เขาน่าจะเป็นคนของนิกายมาร!”

หนึ่งในกลุ่มยอดฝีมือทั้งเจ็ดคนจำกระบี่สีดำในมือของหลิงหยุนได้ จึงร้องตะโกนออกมา

“เก่งนี่!”

หลิงหยุนเอ่ยชมพร้อมกับใช้มังกรพรางร่างเคลื่อนที่เข้าไปหา และในระยะห่างถึงยี่สิบเมตร หลิงกลับไปโผล่อยู่ท่ามกลางยอดฝีมือทั้งเจ็ดคนได้อย่างรวดเร็วราวกับหายตัว

และเมื่อทั้งหมดได้ยินเสียงของหลิงหยุน กระบี่มือของเขาก็เงื้อขึ้นอยู่ตรงหน้าแล้ว หลิงหยุนในเวลานี้ไม่ต่างจากพยัคฆ์ร้ายที่อยู่ท่ามกลางคนธรรมดา เขาแกว่งกระบี่ในมือเข้าใส่ทันที

ความเร็วของกระบี่สีดำในมือหลิงหยุนพร้อมด้วยไอเย็นที่กระจายออกมา ทำให้กระบี่ในมือดูไม่ต่างจากผ้าม่านสีดำที่ทั้งน่าสยดสยองและเย็นยะเยือกเข้าไปถึงกระดูก!

และแล้วกระบี่วิเศษในมือหลิงหยุนก็ได้ดื่มเลือดจากแขนที่ขาด จนเลือดพุ่งกระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง เสียงกรีดร้องดังโหยหวนไปทั่วทั้งบริเวณอย่างน่าสงสาร และในยามค่ำคืนที่เงียบสงัดนี้ ก็ยิ่งทำให้ได้ยินเสียงกรีดร้องนั้นดังไปได้ไกลมากขึ้น!

หลิงหยุนเดินถือกระบี่โลหิตแดนใต้ตรงเข้าไป แม้แต่ยอดฝีมือที่อยู่ในระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-9 ยังตายในด้วยกระบี่ในมือของหลิงหยุนจากการสู้กันเพียงแค่สองดาบ จึงไม่จำเป็นต้องพูดถึงยอดฝีมือทั้งเจ็ดคนนี้?

ยอดฝีมือสองคนถูกฆ่าตายในทันที ส่วนอีกสองคนได้รับบาดเจ็บสาหัส!

มีเพียงยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-9 สองคน และยอดฝีมือระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-8 อีกหนึ่งคนที่สามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็วกว่าคนอื่น และสามารถหลบกระบี่ที่น่าสยดสยองของหลิงหยุนได้!

“หนีเร็ว!”

ทั้งสามคนร้องตะโกนออกมาพร้อมกัน เพราะหลิงหยุนในเวลานี้ไม่ต่างจากยมทูตที่กำลังไล่ล่าเอาชีวิตของมนุษย์!

ขณะที่วิ่งหนีเพื่อจะเอาชีวิตรอดนั้น ยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นโฮ่วเทียน-8 ก็เห็นกระบี่ของหลิงหยุนพุ่งตรงมาที่เขา ด้วยความตกใจกลัวจึงได้ตะโกนร้องขอชีวิตออกมาอย่างขาดสติ

“ได้โปรดไว้ชีวิตข้าด้วย!”

หลิงหยุนเห็นแววตาที่ตื่นตระหนกและสิ้นหวังในดวงตาของชายผู้นั้น เขาจึงเพียงใช้กระบี่ฟันเข้าที่ไหล่ข้างขวาของยอดฝีมือผู้นั้นเพียงเบาๆ

และท่ามกลางความเงียบงันนั้น.. แขนขวาของยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-8 ก็ขาดออก และเลือดก็ไหลพุ่งออกมาราวกับน้ำตก!

“…..”

หลิงหยุนยกมือขึ้นซัดตะปูสองดอกใส่เข่าของเขา และซัดอีกสี่ดอกเข้าใส่ยอดฝีมืออีกสองคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส

หลังจากที่หลิงหยุนลงมือฆ่ายอดฝีมือไปหลายคน เขาก็อดที่จะใจอ่อนยอมไว้ชีวิตยอดฝีมือเหล่านี้ไม่ได้ แต่ก็ต้องจัดการให้พวกมันไม่สามารถย้อนกลับมาต่อสู้กับเขาได้อีก..

จากนั้นหลิงหยุนก็เงยหน้าขึ้นมองยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-9 สองคนที่กำลังสู้กับตู้กู่โม่ และเหล่ากุ่ยอยู่ และพบว่าทั้งสองคนกำลังเป็นฝ่ายเสียเปรียบ แม้ว่าเหล่ากุ่ยและตู้กู่โม่จะอยู่ในขั้นที่เหนือกว่าหลิงหยุน แต่กลับไม่แข็งแกร่งเช่นเดียวกับหลิงหยุน

ร่างสูงใหญ่ของหลิงหยุนเดินตรงเข้าไปหาคนทั้งสี่ที่กำลังต่อสู้กันอยู่ และกระบี่สีดำในมือของหลิงหยุนก็ไม่ปราณีต่อชีวิตของศัตรูทั้งสองคนเลยแม้แต่น้อย

ยอดฝีมือทั้งแปดคนถูกหลิงหยุนกับพรรคพวกอีกสองคนจัดการจนหมดภายในเวลาเพียงแค่สองนาที สามคนเป็นยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-9 สามคนเป็นยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นโฮ่วเทียน-8 ส่วนอีกสองคนเป็นยอดฝีมือธรรมดา เสียชีวิตห้าคน บาดเจ็บสาหัสอีกสามคน คนที่บาดเจ็บสาหัสนั้นต้องบอกว่าเป็นเพราะความใจอ่อนของหลิงหยุนจริงๆ..

“เข้าไปข้างในกัน!”

หลิงหยุน เหล่ากุ่ย และตู้กู่โม่ต่างก็มองหน้ากัน ทั้งสามคนพยักหน้าพร้อมกัน และเดินตรงเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ที่อยู่ข้างหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน

ระหว่างทางที่เดินเข้าไปนั้น.. ไม่มีใครออกมามาขัดขวางพวกเขาแม้แต่คนเดียว ทั้งสามคนเดินไปได้ไกลราวสองร้อยเมตร ก็ไปหยุดยืนอยู่บนสนามหญ้าที่อยู่หน้าบ้านของเฉิงเทียน ทั้งสามคนยืนหันหลังให้กันเป็นรูปสามเหลี่ยม..

หลังจากที่ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เหล่ากุ่ยก็จ้องมองไปยังเงาดำทะมึนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ดูเหมือนจะมียอดฝีมืออยู่มากกว่ายี่สิบคนขึ้นไป เขาจึงรีบส่งกระแสจิตบอกหลิงหยุนทันที

“ในกลุ่มนั้นมียอดฝีมือที่อยู่ในขั้นโฮ่วเทียน-9 อยู่แปดคน สามคนอยู่ในระดับสูงสุดแล้ว ส่วนอีกห้าคนอยู่ในระดับเริ่มต้น แล้วก็ยังมีอีกเก้าคนที่อยู่ในระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-8”

ที่เหลือล้วนเป็นยอดฝีมือที่ต่ำกว่าระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-8 ซึ่งเหล่ากุ่ยและตู้กู่โม่สามารถฆ่าพวกเขาได้ และความจริงเหล่ากุ่ยก็ไม่จำเป็นต้องคอยบอกหลิงหยุนด้วยซ้ำ

หลิงหยุนพยักหน้ารับรู้ ตั้งแต่เข้ามาที่นี่ หลิงหยุนยังไม่ได้ลงมืออย่างเป็นจริงเป็นจังเลยด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้น.. ต่อให้ข้างหน้าหลิงหยุนมีศัตรูจำนวนมาเพียงใด ก็คงจะไม่คณามือเขาแน่!

และหากยอดฝีมือที่อยู่ตรงหน้าไม่คิดที่จะหนี หลิงหยุนก็สามารถฆ่าพวกเขาตายได้ในทันทีที่ลงมือ อีกทั้งยังมั่นใจอย่างยิ่งว่าภายในเวลาเพียงแค่ห้านาที คนพวกนี้จะต้องกาลายเป็นศพทั้งหมดอย่างแน่นอน..

ยอดฝีมือระดับสูงสุดในขั้นโฮ่วเทียน-9 ของตระกูลซันนั้นล้วนมีกระบี่ในมือกันทุกคน และต่างก็จ้องมองกระบี่โลหิตแดนใต้ในมือของหลิงหยุนอยู่ตาไม่กระพริบ แววตาของพวกเขาล้วนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว!

“นั่นมันกระบี่โลหิตแดนใต้นี่!” หนึ่งในนั้นส่งกระแสจิตบอกเพื่อน

“เป็นไปไม่ได้.. กระบี่โลหิตแดนใต้หายสาบสูญไปเป็นหลายพันปีแล้ว จู่ๆจะมาโผล่ที่นี่ได้ยังไงกัน? ข้าว่าน่าจะเป็นแค่กระบี่อะไรสักอย่างที่สามารถตัดเหล็กได้.. ก็เท่านั้น แล้วก็เอามาแหกตาพวกเรา!” อีกคนร้องบอกอย่างไม่เชื่อ

คนที่สามนั้นหลังจากนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ ก็พูดออกมาอย่างมั่นใจว่า “กระบี่เล่มนั้นเป็นกระบี่โลหิตแดนใต้จริงๆ ที่สำนักแดนใต้ของเขาก็มีรายละเอียดเกี่ยวกับกระบี่เล่มนี้อยู่ ข้าจึงมั่นใจว่าใช่แน่นอน!”

ยอดฝีมือทั้งสามคนต่างก็คุยกันผ่านกระแสจิตซึ่งคนอื่นๆไม่ได้ยิน..

หลังจากที่ยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นโฮ่วเทียน-9 จากสำนักแดนใต้เป็นผู้ยืนยันด้วยตัวเองแล้ว จึงอ้าปากพูดขึ้นว่า

“เจ้าคนตัวสูง.. พวกเราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกัน และไม่เคยเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน เหตุใดจู่ๆเจ้าจึงบุกเข้ามาที่บ้านหลังนี้ในยามวิกาล?”

หลิงหยุนถือกระบี่สีดำกระโดดออกมาจากสนามหญ้า แล้วชี้กระบี่ไปทางยอดฝีมือทั้งสามสิบคนพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“อย่ามาทำเป็นไม่รู้เรื่องหน่อยเลย! ไม่ได้เป็นปฏิปักษ์ต่อกันงั้นเหรอ? พูดได้อย่างไม่อายปาก!”

“ถ้าพวกเจ้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องจริง.. ก็ส่งคนของตระกูลเฉิงทั้งหมด รวมทั้งถังเทียนห่าวที่ถูกจับตัวไปออกมาให้ข้า แล้วก็รีบไสหัวออกไปจากเมืองจิงฉูซะ! ไม่เช่นนั้นก็อย่าตำหนิที่ข้าต้องลงมือสังหารพวกเจ้า!”

หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของหลิงหยุน  ยอดฝีมือจากสำนักแดนใต้ก็แสยะยิ้มออกมาอย่างรังเกียจพร้อมตอบกลับไปว่า

“เจ้าคิดจะเปิดศึกกับพวกเรา เพียงเพราะแค่มีกระบี่โลหิตแดนใต้อยู่ในมือ กับมียอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-9 อยู่ข้างๆอีกแค่สองคนนี่นะ? ข้าอยากแค่นจะหัวเราะ!”

หลิงหยุนนิ่งฟังอยู่เงียบๆโดยไม่ตอบโต้อะไรอีกพร้อมกับจ้องมองด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะกระโจนเข้าไปในกลุ่มยอดฝีมือกว่าสามสิบคน!


บทที่ 390 : ซากศพเกลื่อนกลาด – เลือดเจิ่งนอง!

ยอดฝีมือร่วมสามสิบคนของตระกูลซันนี้ ล้วนมาจากตระกูลเก่าแก่หลายตระกูล และมาจากนิกายลับหลากหลายนิกาย พวกเขาจึงยืนจับกลุ่มแยกกันเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย สามคนบ้าง ห้าคนบ้าง และต่างฝ่ายต่างก็ดูระมัดระวังตัวมาก

จะว่าไปแล้วหลิงหยุนก็พูดได้ถูกต้อง ยอดฝีมือเหล่านี้ล้วนได้รับคำสั่งและภารกิจมาจากนิกายและตระกูลของตนเอง แม้ตระกูลซันจะสามารถนำยอดฝีมือเหล่านี้มารวมกันได้ชั่วคราว แต่พวกเขาต่างก็มีความเห็นแก่ตัว และมุ่งมั่นที่จะทำตามเป้าหมายและภารกิจที่ได้รับมาเท่านั้น อีกทั้งต่างคนก็ต่างก็ต่อต้านกันเองอยู่ลึกๆ

ด้วยความเร็วของมังกรพรางร่างที่หลิงหยุนใช้เคลื่อนไหว ทำให้แต่ละคนยังคงเห็นหลิงหยุนยืนอยู่ที่เดิม ทั้งที่ความจริงแล้วร่างของเขาได้พุ่งไปยืนอยู่ตรงหน้าของยอดฝีมือทั้งห้าคนเรียบร้อยแล้ว

ความเร็วขั้นสูงสุดของวิชามังกรพรางร่างที่หลิงหยุนใช้นั้น สามารถเทียบเท่ากับการเคลื่อนไหวของยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-2 ได้เลยทีเดียว ดังนั้นยอดฝีมือทั้งห้าคนที่อยู่ตรงหน้าหลิงหยุนนั้น จึงไม่ต่างจากเด็กน้อยที่กำลังเพิ่งหัดเดินหากเทียบกับเขา

พวกเขาต่างก็คิดไม่ถึงว่า หลังจากพูดจาเพียงแค่สองสามคำ หลิงหยุนก็พุ่งเข้ามาจะฆ่าจะแกงทันที และยังไม่ทันที่ทุกคนจะทันได้ตั้งตัวด้วยซ้ำไป กระบี่สีดำของหลิงหยุนก็ตวัดเข้ากลางลำตัวของยอดฝีมือทั้งห้าคนภายในดาบเดียวอย่างเลือดเย็น

“หลบเร็ว.. กระบี่ของมันเป็นกระบี่โลหิตแดนใต้” ใครบางคนร้องตะโกนออกมา

แต่ก็สายไปเสียแล้ว เพราะเพียงแค่พริบตาเดียวหลิงหยุนก็มายืนอยู่ด้านหน้าของยอดฝีมือทั้งห้าคนเรียบร้อยแล้ว ในขณะที่บางคนยังครุ่นคิดอยู่ว่าจะรับมือ หรือจะถอยหนีดี และบางคนยังแอบคิดว่าจะไปซุ่มโจมตีหลิงหยุนจากด้านหลัง..

ชัวะ! ชัวะ! ชัวะ! ชัวะ!

สิ้นเสียงดังที่ฟังคล้ายกับคนฟันลูกแตงโมจนขาดเป็นสองท่อนนั้น ก็ตามมาด้วยเสียงกรีดร้อง และแขนที่ถูกฟันขาดกระเด็นลอยออกไป ช่างเป็นภาพที่น่าสยดสยองยิ่งนัก!

ในจำนวนยอดฝีมือทั้งห้าคนนั้น.. ตายทันทีสอง และบาดเจ็บอีกสอง ส่วนยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-9 นั้น ได้ใช้ความเร็วสูงสุดเท่าที่จะเร็วได้ของตนเอง หลบหลีกกระบี่สีดำในมือหลิงหยุนได้ แต่กระบี่ในมือของเขาก็ถึงกับหักเป็นสองท่อน!

แต่หลิงหยุนไม่สนใจที่จะหยุดชื่นชมชัยชนะของตนเอง เขากระโดดเข้าไปในกลุ่มยอดฝีมืออีกสี่คนทันที และจัดการโจมตียอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นโฮ่วเทียน-8 ก่อนคนอื่น

กระบี่วิเศษในมือของหลิงหยุนนั้น นอกจากจะคมกริบแล้ว ยังรวดเร็วอย่างมากด้วย และได้ตวัดฟันเข้ากับร่างของยอดฝีมืออีกสองคน ส่วนมือซ้ายของหลิงหยุนก็ส่งหมัดปีศาจเถียนกังเข้าที่ไหล่ด้านซ้ายของยอดฝีมืออีกหนึ่งคนอย่างแรง!

จากนั้นกระบี่วิเศษสีดำในมือของหลิงหยุน ก็ตัวดข้ามไหล่ซ้ายของตัวเองไปฟันเข้ากับร่างของยอดฝีมืออีกหนึ่งคนจนขาดเป็นสองท่อน และในเวลาเดียวกันก็ตวัดใส่ขาทั้งสองข้างของยอดฝีมือที่อยู่ทางด้านขวาของเขาจนขาดออกเช่นกัน!

ชัวะ!

กระบี่ในมือของหลิงหยุนยังคงกวัดแกว่งฟันเข้ากับยอดฝีมือสองคน และมือขวาก็ชกเข้าที่ไหล่ซ้ายของพวกมันจนต้องกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด!

หลิงหยุนเรียกตะปูยาวออกมาอีกสิบกว่าเล่ม และซัดออกไปพร้อมกันทีเดียวใส่ยอดฝีมืออีกกลุ่มหนึ่งที่มีอยู่หกคน และสามคนก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสทันที!

“เหล่ากุ่ย.. ตู้กู่.. ช่วยจัดการกับคนที่ได้รับบาดเจ็บต่อด้วย หน้าที่สังหารพวกมันข้ายกให้พวกเจ้า!” หลิงหยุนที่กำลังต่อสู้อยู่ ไม่ลืมที่จะส่งกระแสจิตบอกคนทั้งคู่

บรรดายอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-8 ถูกหลิงหยุนซัดจนล้มลงกับพื้น และไม่สามารถลุกขึ้นได้อีก

ตู้กู่โม่ตอบกลับหลิงหยุนไปเพียงแค่ว่า “ได้!” จากนั้นก็กระโดดหลบกระบี่ของยอดฝีมือคนอื่น และพุ่งเข้าไปทางหลิงหยุน ตู้กู่โม่จัดการใช้กระบี่ในมือแทงคอหอยของพวกมันเพื่อช่วยหยุดความเจ็บปวดให้

“พวกเรา.. จัดการกับเจ้าคนที่ถือกระบี่โลหิตแดนใต้ก่อน!”

หลังจากที่เห็นว่าหลิงหยุนนั้นเก่งกาจอย่างน่าอัศจรรย์ เหล่ายอดฝีมือจากตระกูลซันต่างก็พากันตกอกตกใจ และหวาดผวา เพราะไม่ว่ายอดฝีมือกี่คนต่อกี่คน ก็ล้วนถูกหลิงหยุนฟันทิ้งไม่ต่างจากผักปลา เช่นนี้แล้ว.. ใครจะยอมยืนนิ่งๆเป็นหุ่นให้หลิงหยุนฟันได้!

ยอดฝีมือระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-9 ทั้งสามคนของกลุ่มนั้น ต่างก็จ้องมองหลิงหยุนนิ่ง และต้องการที่จะสังหารหลิงหยุนให้ได้ก่อน!

แต่หลิงหยุนกลับไม่ได้รู้สึกตกใจหรือตื่นตระหนกแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่ส่งกระแสจิตออกไป

“ตู้กู่เจ้าถือกระบี่ของข้าไว้ก่อน ข้าจะจัดการกับยอดฝีมือทั้งสามคนนี้เอง.. ส่วนเหล่ากุ่ยจัดการที่เหลือ!”

เนื่องจากมีคู่ต่อสู้จำนวนมาก หลิงหยุนจึงจำเป็นต้องสังหารยอดฝีมือที่มีวรยุทธและมีกำลังภายในสูงส่งให้ได้มากที่สุดและเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อน เขาไม่สามารถปล่อยให้เหล่ากุ่ยและตู้กู่โม่ต้องปะทะกับยอดฝีมือขั้นสูงเหล่านี้ได้

หลิงหยุนแทบจะไม่ต้องบอกเหล่ากุ่ย เพราะเขาได้พุ่งเข้าหายอดฝีมือที่หลิงหยุนสั่งเรียบร้อยแล้ว และได้ลงมือสังหารพวกมันไปถึงสามคนในคราวเดียว

จากที่เหล่ากุ่ยเห็นนั้น ด้วยความเก่งกาจและแข็งแกร่งของหลิงหยุน ยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นโฮ่วเทียนเก้าแต่ละคนนั้น ล้วนไม่มีทางต้านทานหลิงหยุนได้เกินสามดาบ เขาจึงค่อนข้างโล่งอกมาก..

ในเวลานี้ ยอดฝีมือมากกว่าสิบคนซึ่งนำโดยยอดฝีมือระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-9 ทั้งสามคน ต่างก็พากันล้อมหลิงหยุนและพรรคพวกไว้ในทันที!

หลิงหยุนหยุดนิ่งมองเหล่ายอดฝีมือทั้งหมดที่อยู่ห่างจากเขาไปราวหนึ่งเมตร ก่อนจะแสยะยิ้มพร้อมกับเดินกวัดแกว่างกระบี่โลหิตแดนใต้ในมือเข้าไปหา

และแน่นอนว่า.. ทันทีที่กระบี่ในมือของหลิงหยุนกวัดแกว่ง ร่างของยอดฝีมืออีกสี่คนก็ถูกฟันขาดสองท่อนทันทีเช่นกัน!

“ช่างเป็นการจู่โจมที่รวดเร็ว และรุนแรงนัก!”

ยอดฝีมือระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-9 ทั้งสามคนนั้น คนหนึ่งใช้กระบี่จู่โจมหลิงหยุนทางด้านซ้าย อีกคนซึ่งเป็นยอดฝีมือจากสำนักแดนใต้รูปร่างผอมสูง หน้าตาไม่ซื่อนั้น พุ่งเข้าจู่โจมหลิงหยุนทางด้านหน้า ฝ่ามือทั้งสองข้างของมันได้เปลี่ยนเป็นกรงเล็บพุ่งเข้าใส่หน้าอกของหลิงหยุนอย่างรวดเร็ว

“กรงเล็บวิญญาณ!”

ส่วนยอดฝีมือระดับสูงของขั้นโฮ่วเทียน-9 คนที่สาม ถือกระบี่พุ่งเข้าใส่ศรีษะของหลิงหยุนทางด้านบนอย่างบ้าคลั่ง!

“ระวัง!”

เหล่ากุ่ยร้องตะโกนออกไปเสียงดัง เมื่อเห็นสามยอดฝีมือกำลังรุมจู่โจมหลิงหยุนจากทุกทิศทาง เขาตกใจสุดขีด และรีบพุ่งกระบี่ในมือของตนเองเข้าสังหารยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-7 ที่กำลังปะทะอยู่ทันที

จากนั้นก็รีบพุ่งตัวออกไปเพื่อช่วยเหลือหลิงหยุน.. แต่ดูเหมือนเหล่ากุ่ยก็ยังช้าเกินไป เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นภายในเวลาที่รวดเร็วเหลือเกิน!

หลิงหยุนเองก็รับรู้ได้ถึงความเร็วของกระบี่ที่พุ่งเข้ามา แต่เขากลับดูไม่รีบร้อน หลิงหยุนจัดการโคจรดารกะดายันขั้นสุด ก่อนจะโน้มลำตัวด้านบนไปข้างหน้าเล็กน้อยเพื่อหลบกระบี่ที่โจมตีเข้ามาทางซ้าย แต่ก็ปะทะเข้ากับกรงเล็บวิญญาณที่พุ่งเข้าใส่หน้าอก!

ในเวลานั้นหลิงหยุนก็ได้เอียงศรีษะเล็กน้อย และยื่นมือซ้ายดันขึ้นไปบนศรีษะ ดูเหมือนหลิงหยุนกำลังจะใช้มือเปล่ารับกระบี่ของคู่ต่อสู้!

ยอดฝีมือทั้งสามคนต่างก็มั่นใจว่า พวกเขาสามารถโจมตีหลิงหยุนได้สำเร็จ และร้องออกมาอย่างมั่นใจ!

“ไปลงนรกซะ!”

ยอดฝีมือที่จู่โจมหลิงหยุนจากด้านบนศรีษะนั้น คำรามออกมาด้วยความมั่นใจว่ากระบี่ของเขาจะสามารถปลิดชีวิตของหลิงหยุนได้

แต่ดูเหมือนว่าเขาจะด่วนดีใจจนเกินไป.. เพราะในขณะที่ทุกคนกำลังตกใจอยู่นั้น จู่ๆ มือซ้ายของหลิงหยุนที่ยกขึ้นนั้น กลับมีกระบี่สีขาวเหมือนหิมะพุ่งออกมา!

“นี่มัน..”

เมื่อได้เห็นกระบี่ในมือหลิงหยุน.. ยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นโฮ่วเทียน-9 ที่ทางศรีษะด้านบน ก็มีสีหน้าตกใจ และเปลี่ยนเป็นหวาดผวา จนดวงตาของเขาเบิกโพลงทันที!

เพราะเขาไม่มีโอกาสที่จะหลบหลีกกระบี่สีขาวในมือหลิงหยุนที่ชูขึ้นกลางอากาศได้อีก!

ชัวะ!

กระบี่มังกรขาวที่คมกริบ แทงเข้าที่จุดตันเถียนของยอดฝีมือที่อยู่กลางอากาศ จนปลายของกระบี่ทะลุผ่านท้องน้อยไปทางด้านหลัง!

“แม่เจ้า.. จู่ๆทำไมเขาถึงมีกระบี่ในมือได้?!”

ยอดฝีมือที่ล้อมรอบหลิงหยุนอยู่นั้น ต่างก็พากันคิดว่าครั้งนี้หลิงหยุนคงต้องตายใต้คมดาบอย่างแน่นอน แต่จู่ๆ สถานการณ์กลับพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ทุกคนจึงได้แต่ตกตะลึงจนพูดอะไรไม่ออก!

ยอดฝีมือจากสำนักแดนใต้นั้นกลับยิ่งงุนงงและตกใจกว่าใครๆ เพราะเขาฝึกฝนกรงเล็บวิญญาณมากว่าสี่สิบปี กรงเล็บของเขานั้นสามารถทำลายได้แม้กระทั่งหิน และทองคำ เขาพุ่งกรงเล็บใส่อกของหลิงหยุนอย่างสุดกำลัง แต่กลับดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับหลิหยุน เพราะเขาไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย!

“นี่เขาไม่ได้สวมเสื้อเกราะไหมทองคำ!”

ร่างกายของหลิงหยุนไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว แต่เสื้อสีดำของเขากลับถูกกรงเล็บทั้งสิบนิ้วฉีกออกจนเป็นรูใหญ่ เผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่สมบูรณ์แข็งแรงต่อสายตาของทุกคน

“อ๊ะ!”

ตอนนี้แม้ยอดฝีมือจากสำนักแดนใต้ต้องการจะหลบ แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ทันการแล้ว เขาจึงรีบคว้าร่างของยอดฝีมือธรรมดาสองคน และทุ่มใส่กระบี่ของหลิงหยุนแทน จนกลายเป็นภาพที่น่าสยดสยอง!

จากนั้นจึงรวบรวมกำลังภายในขั้นสูงสุด และรีบกระโดดหนีหลิงหยุนไปทันที!

ชัวะ.. ชัวะ..!

กระบี่มังกรขาวที่คมกริบแทงทะลุเข้าที่คอหอยของยอดฝีมือทั้งสองคนทันที และเสียบร่างของทั้งคู่ห้อยติดกันอยู่ในกระบี่เล่มยาว

แต่นั่นไม่สามารถหยุดหลิงหยุนได้ เขายังคงเคลื่อนที่ตามไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วไม่ต่างจากพายุหมุน!

และด้วยนิสัยของหลิงหยุน เขาไม่สามารถปล่อยยอดฝีมือจากสำนักแดนใต้ผู้นี้ไปได้ เพราะเขากล้าเอาเปรียบคนที่ด้อยกว่า!

แน่นอนว่ายอดฝีมือเหล่านี้ไม่อาจเทียบกับหลิงหยุนได้ และถึงแม้ยอดฝีมือจากสำนักแดนใต้จะกระโดดหนีไปได้ไกลแล้ว แต่หลิงหยุนกลับสามารถไปดักรออยู่ข้างหน้าได้แล้ว!

ยอดฝีมือแดนใต้ตาเบิกโพลงด้วยความตกใจกลัว และยังไม่ทันที่เขาจะได้พูดอะไร ก็ถูกกระบี่ของหลิงหยุนแทงเข้าที่ลำคอตายคาที่!

ชัวะ! ร่างทั้งสามร่างห้อยต่องแต่งอยู่ในกระบี่ของหลิงหยุน ก่อนที่จะร่วงพื้นในที่สุด!

ภายในเวลาเพียงแค่ไม่กี่นาที หลิงหยุนสามารถจัดการสังหารยอดฝีมือไปแล้วทั้งหมดสิบเจ็ดคน ช่างเป็นความสำเร็จที่น่ากลัว!

ส่วนเหล่ากุ่ยเองก็สังหารไปสี่คน ส่วนตู้กู่โม่ก็สังหารไปห้าคน และตอนนี้ก็มีร่างไร้วิญญานนอนเกลื่อนกลาดอยู่ที่พื้นถึงยี่สิบกว่าศพ เลือดก็ไหลเจิ่งนองเต็มพื้นราวกับสายน้ำ!

สนามหญ้าหน้าบ้านตระกูลเฉิงในเวลานี้ ได้กลายเป็นนรกบนดินของเหล่ายอดฝีมือไปในพริบตา

ยอดฝีมือตระกูลซันที่เหลืออยู่อีกสี่คนยังคงยืนนิ่ง.. พวกเขาล้วนเป็นยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-9 และขั้นโฮ่วเทียน-8

แต่ไม่ใช่ว่าพวกเขาจะไม่ต้องการหลบหนี แต่เพราะหลิงหยุนเคลื่อนไหวได้รวดเร็วเกินไปจนพวกเขาไม่มีโอกาสหนีได้!

แน่นอนว่าในการต่อสู้ครั้งนี้หลิงหยุนมีข้อได้เปรียบมาก เพราะเขาได้โคจรดารกะดายันไว้ป้องกันตัวในกรณีที่ไม่สามารถหลบหลีกการสังหารได้ทัน หน้าอกของเขานั้นไม่รู้ว่าโดนกระบี่เข้าไปกี่ครั้ง จนเสื้อของเขาเป็นรู และขาดจนเผยให้เห็นกล้ามเนื้อหน้าอกที่สมบูรณ์แข็งแรง

และด้วยดาระกะดายันที่หลิงหยุนฝึกจนถึงระดับสิบสองนั้น ร่างกายของเขาจึงยังไม่มีเลือดออกให้เห็นแม้แต่หยดเดียว!

“ปีศาจ.. เขาเป็นปีศาจ!”

หนึ่งในยอดฝีมือของตระกูลซันร้องออกมาอย่างตกอกตกใจ เขาเลียริมฝีปากที่แห้งผาก และมือที่ถือกระบี่ชี้ไปทางหลิงหยุนก็สั่นไปหมด

หลิงหยุนยืนอยู่ท่ามกลางแขนที่ขาดกระเด็นอยู่เต็มพื้น หน้าตาท่าทางของเขาไม่ต่างจากเทพที่ผุดมาจากแดนนรก พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ

“ข้าเตือนพวกเจ้าแล้ว.. แต่พวกเจ้าไม่ฟังกัน แล้วจะให้ข้าทำยังไง?!”


บทที่ 391 : เทพธิดาชุดขาว!

ยอดฝีมือของตระกูลซันตอนนี้เหลืออยู่เพียงแค่สี่คน และแต่ละคนก็กำลังตกใจกลัวจนพูดอะไรไม่ออก..

หลิงหยุนได้เตือนและให้โอกาสกับทุกคนแล้ว ตราบใดที่พวกเขาส่งตัวคนของตระกูลเฉิงทั้งหมด และถังเทียนห่าวให้กับหลิงหยุน แล้วออกไปจากเมืองจิงฉู หลิงหยุนก็จะไว้ชีวิตพวกเขาทุกคน

อีกทั้งพวกเขายังมีกันมากมายถึงสามสิบคน ส่วนหลิงหยุนนั้นมีกันเพียงแค่สามคน แต่พวกเขากลับพ่ายให้หลิงหยุนอย่างย่อยยับจนไม่น่าเชื่อ และนั่นได้สร้างความอับอายขายหน้าให้กับพวกเขามากมาย

พวกเขาต่างก็คิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะแข่งแกร่ง และมีวิชาตัวเบาที่สามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังเก่งกาจจนน่ากลัว!

หลิงหยุนให้โอกาสพวกเขาเลือกแล้วระหว่างความเป็นกับความตาย.. แต่โอกาสก็มีเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น!

แต่เมื่อทุกคนไม่ฟัง.. หลิงหยุนจึงจัดการมอบความตายให้กับยอดฝีมือหลายสิบคนภายในเวลาเพียงแค่ชั่วพริบตา และตอนนี้ก็มีศพมากมายนอนเกลื่อนกลาดอยู่เต็มพื้น เลือดก็ไหลเจิ่งนองไปทั่ว เวลานี้.. คฤหาสน์ตระกูลเฉิงได้กลายเป็นนรกไปในชั่วเวลาสั้นๆ!

 “เจ้า.. เจ้ารู้ไม๊ว่าเจ้าฆ่าใครไปบ้าง?”

มือกระบี่ขั้นโฮ่วเทียน-9 คนหนึ่งร้องตะโกนถามออกมา ในขณะที่ใช้ปลายดาบยันพื้นเพื่อช่วยพยุงร่างที่กำลังสั่นเทาของตนเองไว้ ส่วนมืออีกข้างก็ชี้ไปทางศพที่นอนเกลื่อนกลาดอยู่รอบตัว

“รู้สิ.. ก็คนที่ขวางทางข้าไงล่ะ!” หลิงหยุนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก

“เจ้าไม่กลัวที่จะต้องเป็นศัตรูกับคนทั้งโลกหรือยังไง?”

แต่หลิงหยุนก็แสยะยิ้มออกมา และแววตาของเขาก็เต็มไปดวยความเหยียดหยัน  พร้อมกับพูดออกมาอย่างจองหอง

“ข้ากลัวแต่ว่าคนทั้งโลกจะไม่มีใครกล้าเป็นศัตรูกับข้ามากกว่าน่ะสิ?”

“นี่เจ้า..” ยอดฝีมือผู้นั้นถึงกับอึ้งและเงียบไปในที่สุด

ด้วยนิสัยที่เป็นคนตรงของหลิงหยุน เขาจึงพูดอีกว่า “เจ้าก็รู้นี่.. หากข้าไม่สังหารพวกเจ้า พวกเจ้าก็ต้องเป็นฝ่ายสังหารข้า! และบนโลกใบนี้.. ความจริงมักอยู่ข้างผู้ชนะและผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด เจ้าไม่จำเป็นต้องพล่ามอะไรไร้สาระ..!”

จากนั้น.. หลิงหยุนก็มอบรอยยิ้มที่เย็นยะเยือกให้ก่อนจะถามมือกระบี่ผู้นั้นว่า

“ฟังนะ.. ข้าจะให้เวลาเจ้าหนึ่งนาที บอกข้ามาว่าซันเทียนเปียว รวมทั้งคนของตระกูลเฉิง และถังเทียนห่าวตอนนี้อยู่ที่ใหน ไม่แน่.. ข้าอาจจะพิจารณาไว้ชีวิตเจ้าก็ได้..”

ด้วยความสามารถของหลิงหยุนในเวลานี้ เขาสามารมองเห็นและได้ยินในระยะรัศมีที่ค่อนข้างไกล อีกทั้งเขาเองก็เคยบุกมาที่คฤหาสน์ตระกูลเฉิงครั้งหนึ่งแล้ว เขาจึงสัมผัสได้ว่าที่นี่นั้น นอกเหนือจากยอดฝีมือของตระกูลซันแล้ว ก็ไม่มีคนอื่นอยู่อีกเลย จุดประสงค์ที่หลิงหยุนมาที่นี่ ก็เพื่อต้องการช่วยคนกลับไป แต่ดูเหมือนเขาจะรีบร้อนจนเกินไป!

ทันทีที่ได้ยินคำถามของหลิงหยุน มือกระบี่ขั้นโฮ่วเทียน-9 ผู้นี้ ก็ไม่ลังเลที่จะตอบเลยแม้แต่น้อย

“คนของตระกูลเฉิงทั้งหมดถูกนำตัวไปไว้ที่บ้านของตระกูลเฉิงอีกหลัง ซันเทียนเปียวได้ให้ยอดฝีมือธรรมดาคอยเฝ้าไว้ ส่วนถังเทียนห่าวที่เจ้าพูดถึงนั้น ก็น่าจะถูกนำตัวไปที่นั่นด้วยเหมือนกัน..”

เขาครุ่นคิดอยู่อีกครู่หนึ่งจึงรีบพูดต่อว่า “แต่เจ้าสบายใจได้ เพราะคนของตระกูลเฉิงล้วนไม่มีใครรู้ว่าหนิวเฟิ่นเหยียวและซันจิ้งอยู่ที่ใหน ซันเทียนเปียวไม่ได้ทำร้ายพวกเขา เพียงแค่ควบคุมตัวไว้ชั่วคราวเท่านั้น”

หลิงหยุนพยักหน้าและถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “แล้วตัวซันเทียนเปียวล่ะ.. มันอยู่ที่ใหน?”

ยอดฝีมือผู้นั้นรีบตอบไปตามความจริง “ซันเทียนเปียว เป็นคนไปจับตัวถังเทียนห่าวด้วยตัวเอง และตอนนี้ก็น่าจะนำตัวไปไว้ที่บ้านหลังเดียวกันนั่นแล้ว!”

“หลิงหยุน.. รอบๆบ้านไม่มียอดฝีมือเหลืออยู่เลยแม้แต่คนเดียว..”

ตู้กู่โม่ทำการสำรวจบริเวณรอบคฤหาสน์ของตระกูลเฉิงจนทั่วแล้ว จึงรีบกลับมาแจ้งให้หลิงหยุนรู้

หลิงหยุนพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นจึงรีบถามยอดฝีมือคนอื่นๆว่า “พวกเจ้าทั้งสี่คน มีใครเคยไปที่บ้านหลังนั้นบ้าง?”

ยอดฝีมือทั้งสี่คนต่างก็มองหน้ากัน แล้วยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-8 ก็ตอบกลับมาว่า “ข้าเคยไปที่นั่น..”

หลิงหยุนคิดในใจว่า.. ‘ก็ดี.. ช่วยข้าได้มาก!’

หลิงหยุนยกมือขึ้นชี้ไปทางยอดฝีมืออีกสามคน พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ

“พวกเจ้าสามคน.. อยากมีชีวิตอยู่ หรือว่าอยากตาย!”

“ข้ายังไม่อยากตาย!”

ยอดฝีมือทั้งสามคนต่างก็ตื่นตระหนกตกใจสุดขีด ทุกคนต่างก็หวาดกลัวจนฟันกระทบกัน และไม่มีใครต้องการที่จะกลายเป็นศพนอนขึ้นอืดอยู่ที่พื้นอีก

หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับสั่งว่า “ถ้าพวกเจ้าอยากมีชีวิตอยู่ ก็จัดการทำลายวรยุทธของตัวเองซะ จากนั้นก็รีบไสหัวออกไปจากเมืองจิงฉู!”

ยอดฝีมือทั้งสี่คนต่างก็อยู่กันคนละสำนัก และยอดฝีมือที่หลิงหยุนเพิ่งจะลงมือสังหารไปหลายสิบคนนั้น ก็คงเป็นคนในสำนักเดียวกับพวกเขาบ้าง หลิงหยุนจึงไม่ต้องการส่งพวกเขาไปนอนกองรวมกันอีก

“ห๊ะ.. อะไรนะ?!”

ยอดฝีมือทั้งสามคนต่างก็หันไปมองหน้ากัน และต่างก็เห็นแววตาที่สิ้นหวังและไม่เต็มใจของกันและกัน..

พวกเขาฝึกวรยุทธมาจนถึงเข้าโฮ่วเทียน-9 แล้ว และในอนาคตพวกเขาก็มีโอกาสที่จะก้าวเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้ แต่หลิงหยุนกลับต้องการให้พวกเขาทำลายวรยุทธของตัวเอง ซึ่งก็ไม่แตกต่างจากการบังคับให้พวกเขาฆ่าตัวตาย

“หนี!”

ยอดฝีมือทั้งสามคนต่างก็ใช้วิชาตัวเบากระโดดหนีอย่างไม่คิดชีวิต และแยกออกเป็นสามทาง!

“ฆ่าพวกมัน!”

หลิงหยุนที่เตรียมพร้อมอยู่แล้ว ได้ใช้มังกรพรางร่างพุ่งเข้าหามือกระบี่ระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-9 ในขณะที่เหล่ากุ่ยและตู้กู่โม่ก็แยกกันไล่ตามยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-9 อีกสองคนไป

มือกระบี่ระดับสูงสุดขั้นโฮ่วเทียน-9 นั้น รู้ถึงพลังความร้ายกาจของกระบี่โลหิตแดนใต้ดีว่า หากเทียบกันแล้ว กระบี่ในมือของเขาก็ไม่ต่างจากไม้จิ้มฟันดีๆนี่เอง แต่ในเมื่อเขาเองก็ไม่มีหนทางอื่น จึงได้แต่ใช้มันป้องกันการโจมตีจากหลิงหยุน และหวังว่ามันจะช่วยอะไรเขาได้บ้าง..

“หมอนี่กระจอกมาก!”

เมื่อหลิงหยุนเห็นว่ามือกระบี่ผู้นั้นกำลังจะวิ่งหลบไปทางขวา ก็รีบใช้มังกรพรางร่างเข้าไปดักหน้าไว้ และจัดการสังหารภายในสามดาบ!

ดาบแรกนั้นหลิงหยุนฟันกระบี่ยาวในมือของเขาทิ้งไป ดาบที่สองหลิงหยุนเพียงแค่ยื่นกระบี่ออกไปขวางหน้าไว้ และดาบที่สามกระบี่ของหลิงหยุนก็ฟันเข้าที่ร่างของยอดฝีมือผู้นั้น!

อ๊าก! ทันทีที่ร่างของมือกระบี่ขั้นโฮ่วเทียน-9 ขาดเป็นสองท่อน เลือดก็พุ่งกระฉูดออกจากร่างของเขาทันที

หลิงหยุนไม่ปล่อยให้ยอดฝีมือที่เหลืออีกสองคนหนีไปได้ เขาใช้มังกรพรางร่างตามเข้าไปสังหารคนทั้งคู่ ก่อนจะมาหยุดอยู่หน้ายอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-8

“เจ้าชื่ออะไร? ทำไมเจ้าจึงไม่หนี?” หลิงหยุนถามเสียงเบา

“หนีงั้นเหรอ? ขนาดยอดฝีมือโฮ่วเทียน-9 ยังหนีท่านไม่พ้น แล้วข้าจะหนีพ้นได้ยังไง?”

ยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-8 ตอบอย่างหมดท่าพร้อมกับยิ้มให้หลิงหยุน และแนะนำตัวเอง “ข้าชื่อปี่หยวนเจีย”

ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ หลิงหยุนได้ฟันกระบี่ของปี่หยวนเจียหักไปแล้ว และได้ซัดตะปูใส่เขาด้วย แต่เขาก็สามารถหลบได้

แต่ก็นับว่าโชคดีที่ปี่หยวนเจียตระหนักถึงวิชาตัวเบาที่ว่องไวของหลิงหยุน และเลือกที่จะไม่หนี..

หลิงหยุนหัวเราะอย่างพอใจพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ความจริงวิชาตัวเบาของเจ้าก็ไม่เลวเลยนี่! เอาล่ะตอนนี้พาข้าไปหาซันเทียนเปียวได้แล้ว!”

ปี่หยวนเจียมองหลิงหยุนพร้อมกับเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า “บ้านของซันเทียนเปียวมียอดฝีมือขั้นเซียงเทียนอยู่ถึงสามคนเชียวนะ ท่านแน่ใจนะว่าจะไปที่นั่นจริงๆ?”

“ไม่ต้องถามมาก.. พาข้าไปที่นั่นก็พอ!”

ปี่หยวนเจียเหลือบมองร่างที่ไร้วิญญาณ ก่อนจะสงบปากสงบคำ และมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้

………….

ทั้งสี่คนมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ และนั่นเป็นเส้นทางที่ตรงไปยังหมู่บ้านอ่าวจิงฉู แสดงว่าบ้านอีกหลังของเฉิงเทียนก็ต้องอยู่ที่นั่น

ปี่หยวนเจียนั้นแม้จะยังอยู่เพียงระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-8 แต่วิชาตัวเบาของเขานั้นก็ไม่ได้ด้อยกว่ายอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-9 เลยแม้แต่น้อย

หลิงหยุนใช้เท้าทองคำหมื่นลี้ เดินตามปี่หยวนเจียไปอย่างสบายๆ เขาเอามือไขว้หลังเดินตามไปเรื่อยๆ ท่าทางการเดินของหลิงหยุนนั้นดูสบายๆ ราวกับกำลังเดินเล่นอยู่ในห้องรับแขก แต่ก็รวดเร็วจนทิ้งระยะห่างจากเหล่ากุ่ย และตู้กู่โม่ถึงยี่สิบเมตร

ระหว่างทางนั้นปี่หยวนเจียก็อดรนทนไม่ได้ และบรรยากาศก็ไม่ได้กดดันเหมือนตอนอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลเฉิง ความรู้สึกกลัวตายก็จางหายไปแล้ว เขาจึงเริ่มถามคำถามที่คาใจ และคิดว่าอยากจะรู้ก่อนตาย

“ท่านไม่ได้สวมเสื้อเกราะไหมทองคำใช่ไม๊..?!”

หลิงหยุนตอบยิ้มๆ “ไม่!”

“แต่ข้าเห็นร่างกายของท่าน แม้จะโดนดาบ โดนหมัด หรือว่าโดนอาวุธต่างๆ กลับไม่เป็นอะไรเลย ไม่บาดเจ็บแม้แต่น้อยด้วยซ้ำ..”

“แล้วตอนนั้นกระบี่ยาวของท่านออกมาจากมือได้ยังไง? แล้วตอนนี้กระบี่ของท่านทั้งสองเล่มอยู่ที่ใหน?”

“ความลับ..”

“ท่านเป็นใครกันแน่? ท่านมีกระบี่โลหิตแดนใต้ นี่ท่านเป็นคนของนิกายมารใช่ไม๊?”

“ข้าว่าเจ้าคงอยากจะตายมาก..”

“…..”

ทันทีที่ได้ยินประโยคนั้นจากปากหลิงหยุน ปี่หยวนเจียก็เร่งความเร็วทันที เพราะเกรงว่าหลิงหยุนจะจัดการเอาชีวิตของเขา

…………..

ในบริเวณหมู่บ้านอ่าวจิงฉูที่มีกลิ่นอายทะเลจางๆ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากชายหาดมากนัก จึงสามารถได้ยินเสียงคลื่นที่ซัดเข้าฝั่งเบาๆราวกับเสียงกระซิบของคนรักได้อย่างชัดเจน

หากเทียบกับบ้านหลังอื่นๆที่อยู่ในหมู่บ้าน บ้านเลขที่-9 เป็นเพียงหลังเดียวที่ปิดเงียบและมืดสนิท เพราะหลังจากที่ถูกทางการยึดและสั่งปิดมาสี่วัน ก็ไม่มีใครเข้ามาที่นี่อีกเลย

แต่ตอนนี้กลับมีหญิงสาวสวมชุดกระโปรงสีขาวที่มือข้างขวาถือระบี่ ร่างบอบบาง และเท้าที่เบากำลังกระโดดไปตามกิ่งไม้ที่เปราะบาง ท่าทางของหญิงสาวนั้นดูราวกับเทพธิดาที่กำลังเหาะอยู่บนฟ้า

นอกจากจะสามารถกระโดดได้เร็วอย่างน่าอัศจรรย์แล้ว ยังกระโดดได้ไกลอีกด้วย รูปร่างสวยงามที่เคลื่อนไหวราวกับเหาะได้นั้น กำลังมุ่งหน้าไปทางบ้านเลขที่-9

คิ้วของหญิงสาวโค้งอย่างสวยงาม ผิวขาวราวหิมะ แก้มนวลเนียนราวกับชิ้นหยก และริมฝีปากเผยอออกเป็นรอยยิ้มบางๆ ระหว่างที่กำลังยืนอยู่บนยอดไม้ กระโปรงยาวก็ปลิวไสว ทำให้ดูคล้ายกับเทพธิดาที่ศักดิ์สิทธิ์จนไม่กล้าจ้องมองเพราะเกรงจะเป็นบาป

“ดีนะที่พี่ใหญ่ได้บอกไว้ก่อนว่าเจ้าเด็กวายร้ายนั่นได้วางค่ายกลไว้ จึงไม่สามารถเข้าทางประตูปกติได้..”

ร่างสีขาวราวเทพธิดายืนพึมพำอยู่บนกิ่งไม้ และเมื่อลบพัดกระทบเข้ากระโปรงสีขาวก็ปลิวไสว ดวงตาคู่สวยของเธอกวาดมองเข้าไปในบ้านเลขที่-9 แล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้ว

เสียงหวานและนุ่มนวลนั้นช่างคล้ายกับเสียงของธรรมชาติที่น่าฟัง และเป็นเสียงที่ฟังแล้วก็ยากที่จะลืมเลือน

“บ้านถูกยึดด้วย ดูเหมือนเด็กคนนี้กำลังเจอปัญหาสินะ..”

ร่างขาวราวเทพธิดานั้นได้แต่ยิ้มกว้าง เมื่อสังเกตไปเห็นป้ายคำสั่งยึดบ้านที่ปิดไว้ ก่อนจะกระโดดไปตามกิ่งไม้ และลมที่พัดมาก็ทำให้ชุดขาวสะบัดไปมาอยู่กลางอากาศราวกับเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังลอยละล่องลงสู่พื้นดินอย่างช้าๆ


บทที่ 392 : สมาชิกตระกูลเฉิง!

ทางด้านเหนือสุดของมณฑลเจียงหนาน ภายในหมู่บ้านที่หรูหราแห่งหนึ่งในอ่าวจิงฉู บ้านหลังใหญ่โตที่สุดสีขาวคือบ้านของท่านประธานแห่งบริษัท เฉิง เมดิคัลกรุ๊ป – เฉิงเทียน

ภายในบ้านเลขที่-1 ของเฉิงเทียนหลังนี้ มีสนามม้าส่วนตัวอยู่ภายในด้วย จึงแทบไม่ต้องจินตนาการว่ามันจะใหญ่โตมากเพียงใด

บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ท้ายสุดทางด้านตะวันตกของหมู่บ้าน และสร้างอยู่บนเนินหันหน้าไปทางทิศใต้ ผู้ที่อาศัยอยู่ในบ้านจะสามารถมองเห็นทุ่งหญ้ากว้างสุดลูกหูลูกตาที่อยู่ทางด้านทิศตะวันออกได้อย่างชัดเจน เป็นภาพที่ใครเห็นก็ต้องมีความสุข

และบ้านหลังนี้ก็อยู่ห่างจากบ้านเลขที่-9 ของหลิงหยุนไปเพียงเก้ากิโลเมตร

พื้นที่ทั้งหมดของบ้านหลังนี้รวมแล้วเกือบสองหมื่นตารางเมตร ภายในมีบ้านหรูหราอยู่สองหลัง หลังใหญ่หนึ่งหลัง และหลังที่เล็กลงมาอีกหนึ่งหลัง ทั้งสองหลังอยู่ห่างกันราวสามสิบเมตร

ตอนนี้รอบๆบ้านมีคนของตระกูลซันคอยเฝ้าดูแลอยู่เต็มไปหมด เพราะสมาชิกของตระกูลเฉิงได้ถูกตระกูลซันควบคุมตัวไว้

แม้ตอนนี้จะเป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว แต่บ้านทั้งสองหลังกลับยังคงสว่างไสว ที่สนามหญ้าด้านนอกมียอดฝีมือหนุ่มฝีมือธรรมดาสี่คนคอยเฝ้าอยู่ พวกเขาต่างก็เดินตรวจตราไปมาอยู่ตลอดเวลา และสลับกันเดินเข้าไปดูในบ้านเป็นครั้งคราว

ภายในห้องรับแขก ทีวีจอยักษ์กำลังฉายรายการที่ดูน่าเบื่ออยู่..

เฉิงเทียนพร้อมด้วยสมาชิกอีกสองคน ต่างก็นั่งอยู่บนโซฟาหรูภายในห้องนั่งเล่น แม้ทั้งสามคนจะกำลังนั่งดูทีวี แต่สีหน้าของพวกเขากลับแตกต่างกันไป

ใบหน้าของเฉิงเทียนนั้นซีดขาว เต็มไปด้วยร่องรอยของความเครียดและเศร้าโศก อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความตื่นเต้นกังวล

ทางด้านจ้าวฝัวหมี่ซึ่งเป็นแม่ของเฉิงเม่ยเฟิงนั้น สีหน้าและแววตาล้วนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว มีอาการตระหนกตกใจและกังวลเป็นครั้งคราวจากความเป็นห่วงเป็นใยลูกสาวคนโตของเธอ

ส่วนเฉิงเมี่ยนที่อยู่ในชุดนอนกระโปรงเนื้อดี และกำลังนั่งเป็นเพื่อนพ่อแม่อยู่บนโซฟาพร้อมกับถือรีโมตทีวีไว้ในมือนั้น สีหน้าแววตาของเธอเต็มไปด้วยความหงุดหงิด อิจฉาริษยา และแสดงอาการเหยียดหยันออกมาอยู่ตลอดเวลา พร้อมกับบ่นพึมพำเบาๆอยู่เป็นครั้งคราว

และในที่สุดเธอก็ไม่สามารถทนได้ และระเบิดออกมาใส่พ่อของเธอในที่สุด!

“ทำไมคะพ่อ? ทำไมต้องเป็นพี่ใหญ่อีกแล้ว? ทำไมพี่ใหญ่ต้องสวยกว่าหนู สูงกว่าหนู เรียนเก่งกว่าหนู และเหนือกว่าหนูทุกอย่าง ทำไมทุกคนไม่เลือกหนู? ทำไมทุกคนเลือกแต่พี่ใหญ่?!”

เฉิงเมียนคร่ำครวญเบาๆในตอนแรก แต่ยิ่งนานน้ำเสียงก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ และท่าทางก็เต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง

“พูดเสียงเบาๆหน่อย.. อย่าให้คนข้างนอกได้ยิน!”

เฉิงเทียนรีบสะกิดต้นขาของเฉิงเมี่ยน และเตือนเธอให้หรี่เสียงเบาลงพร้อมกับหันหน้าออกไปมองทางประตูห้องนั่งเล่น

เฉิงเมี่ยนหันหน้าไปมองทางประตูเช่นกัน พร้อมกับพูดเสียงเย้ยหยัน “จะไปกลัวอะไรนักหนา! ใหนแม่ชีมี่ยื่อที่อยู่สำนักจิ้งซินบอกเองไม่ใช่เหรอคะว่าจะช่วยพวกเรา..”

“เมี่ยน.. สถานการณ์แบบนี้ อย่างสร้างปัญหาให้กับครอบครัวมากไปกว่านี้เลย อย่าทำให้ตระกูลซันต้องขุ่นเคืองไปมากกว่านี้” จ้าวฝัวหมี่มองหน้าสามีที่กำลังนั่งขบฟันแน่น พร้อมกับกระซิบบอกลูกสาวคนเล็ก

จ้าวฝัวหมี่นึกถึงเฉิงเม่ยเฟิงลูกสาวคนโตของเธอ ที่ถูกพาตัวไป และตอนนี้เธอเองก็มีรู้ว่าเฉิงเม่ยเฟิงอยู่ที่ใหน จึงได้แต่ถอนหายใจออกมา

“หนูก็แค่บอกว่าพี่ใหญ่เกิดมามีพรสวรรค์ดีทุกด้าน ส่วนหนูไม่มีอะไรดีเลยหรือยังไง?! หรือว่าแม่ชีนั่นตาบอดมองไม่เห็น?!”

ยิ่งพูดเฉิงเมี่ยนก็ยิ่งโกรธมากขึ้น แต่เธอก็กลัวว่าคนของตระกูลซันที่เฝ้าอยู่ด้านนอกจะได้ยิน จึงได้แต่ลดเสียงให้เบาลง

เฉิงเทียนยิ่งกังวลและเครียดหนักมากขึ้นไปอีก “แม่ชีมี่ยื่อก็บอกอยู่แล้ว่า ร่างกายของพี่สาวแกได้ถูกชำระล้างราวกับเกิดใหม่แล้ว.. แล้วก็เหมาะกับการฝึกในสำนักจิ้งซินมากกว่า เธอก็เลยพาพี่สาวของแกกลับไปที่นั่น”

อาทิตย์นี้เฉิงเมี่ยนไม่ได้ไปโรงเรียนทั้งอาทิตย์ ความจริงเธอเองก็เห็นด้วยกับพ่อของเธอทุกอย่างแต่ใจไม่อาจยอมรับ เธอจึงพูดขัดขึ้นมาด้วยเสียงเย็นชาว่า

“ชำระล้างอะไรกัน? แล้วเกิดใหม่คืออะไร? นี่ไม่ใช่หนังแฟนตาซีนะคะพ่อ? หนูว่าสำนักจิ้งซิงคงจะขาดคนต่างหาก คงจะเห็นว่าพี่ใหญ่สวยก็เลยพากลับไปด้วย!”

“เรื่องทุกอย่างเป็นเพราะพี่ใหญ่คนเดียว! แต่สุดท้ายพี่ใหญ่ก็เป็นคนที่ได้ประโยชน์มากที่สุด ตรงข้าม.. หนูกลับต้องขาดเรียนเป็นอาทิตย์ นี่มันเรื่องอะไรกัน?!”

จ้าวฝัวหมี่ลูบไล้แขนของเฉิงเมี่ยนพร้อมกับขมวดคิ้ว “เมี่ยน.. ลูกอย่าพูดถึงพี่ใหญ่แบบนั้น? ลูกไม่เห็นตอนที่สาวของลูกกลืนยานั่นเหรอ มันดูเจ็บปวดอย่างมาก ถ้าเป็นไปได้ แม่ก็อยากพาพี่สาวของลูกกลับบ้าน..”

เฉิงเทียนเองก็ได้แต่พึมพำด้วยความกระวนกระวายใจ “ใช่แล้วเมี่ยน.. พ่อจะบอกอะไรให้ แกไม่ต้องไปอิจฉาพี่สาวของแกมากนักหรอก! ฟังจากชื่อสำนัก – จิ้งซิง.. แกก็น่าจะพอเดาออกว่าเป็นสถานที่อะไร? สถานที่ที่ผู้คนไปชำระล้างจิตใจ ไปถือศีล สถานที่แบบนี้แกอยู่ได้เหรอ? แกหยุดดูทีวี หยุดฟังเพลงสักสองสามวันได้ไม๊ล่ะ? แล้วก็ห้ามกินเนื้อสัตว์.. แกทำได้ไม๊? แล้วก็ยังห้ามเจอเสียเจิ้นเหยินอีก.. แกทนได้ไม๊ล่ะ?”

“หนู..”

เมื่อได้ยินว่าไม่ให้ดูทีวี ไม่ให้ฟังเพลง ไม่ให้กินเนื้อสัตว์ เฉิงเมี่ยนก็ถึงกับอึ้งและไม่สามารถโต้แย้งได้ แต่เมื่อได้ยินชื่อของเสียเจิ้นเหยิน.. เธอก็ร้อนรุ่มใจราวกับถูกไฟเผา!

เฉิงเมี่ยนปารีโมตทีวีในมือลงบนโต๊ะพร้อมกับกัดฟันกรอด

“ต่อไปอย่าพูดชื่อเสียเจิ้นหยินให้หนูได้ยินอีก หนูไม่โทรไป ไม่ไปโรงเรียน เขาก็ไม่เคยคิดที่จะมาหาหนู ยังจะนับญาติอะไรกันอีก!”

“อีกอย่าง.. ตอนนี้ที่โรงเรียนก็มีคนที่เก่งกว่าเสียเจิ้นเหยินหลายเท่าแล้ว เขาเทียบหลิงหยุนไม่ได้แม้แต่ปลายเล็บ!”

ทันทีที่ได้ยินชื่อ ‘หลิงหยุน’ สีหน้าของเฉิงเทียนก็เปลี่ยนไปทันที เขารีบกระโจนลุกขึ้นจากโซฟา และเอามือปิดปากเฉิงเมี่ยนไว้!

ในคืนวันศุกร์ หลังจากที่หลิงหยุนได้พลังอมตะจากพู่กันจักพรรดิ กำลังภายในของเขาก็เข้าสู่ขั้นพลังชี่-9 และหลังจากที่จัดการทุกอย่างภายในบ้านตระกูลเฉิงจนเรียบร้อยแล้ว เขาก็ใช้มังกรคำรามสะกดจิตทุกคน และทำการลบล้างความทรงจำในคืนนั้นของทุกคนจนหมด

รวมทั้งสมาชิกทั้งสามคนของตระกูลเฉิงด้วยเช่นกัน และตอนนี้ทั้งสามคนก็ไม่สามารถจดจำเหตุการณ์ในคืนนั้นได้!

หลังจากที่ทุกคนออกจากคฤหาสน์ตระกูลเฉิงไปแล้ว สมาชิกทั้งสามคนของตระกูลเฉิงก็ฟื้นขึ้นมา และเฉิงเทียนก็พบว่ายอดฝีมือของตระกูลซันที่นางหนิวเฟิ่นเหยียวพามานั้นได้หายไปหมดแล้ว รวมทั้งตัวของนางหนิวเฟิ่นเหยียว และซันจิ้งก็หายไปด้วยเช่นกัน

จู่ๆก็หายไปในอากาศ!

สมาชิกทั้งสามของตระกูลเฉิง – เฉิงเทียน นางจางฝัวหมี่ และเฉิงเมี่ยน ต่างก็ค่อนข้างแปลกใจ พวกเขาได้ช่วยกันค้นหาจนทั่ว แต่ก็ไม่พบใครเลยสักคน ทั้งสามคนต่างก็ตกใจสุดขีด!

นั่นเพราะหลังจากที่หลิงหยุนทำการลบความทรงจำของทุกคนแล้ว เขาก็ได้ใช้ยันต์อัคนีระดับ-8 จัดการเผาทำลายซากศพจนเป็นเถ้าถ่าน แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่สามารถกลบร่องรอยความเสียงหายที่เกิดขึ้นภายในบริเวณบ้านได้หมด

ยกตัวอย่างเช่น.. เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ได้รับบาดเจ็บ หลุมใหญ่ที่หลิวเต๋อหมิงระเบิดก่อนตาย และคราบเลือดบนพื้น..

เฉิงเทียนไม่ใช่คนโง่ เขารู้ได้ทันทีว่าที่บ้านของเขาต้องเกิดเรื่องใหญ่โตเกิดขึ้น เขาจึงรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหานางหนิวเฟิ่นเหยียวเป็นคนแรก แต่ก็ไม่สามารถติดต่อได้

เฉิงเทียนเต็มไปด้วยความหวาดกลัวมากกว่าทุกครั้ง และเมื่อได้สอบถามเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ได้รับบาดเจ็บ กลับพบว่าเขาเองก็จำอะไรไม่ได้ และไม่รู้แม้กระทั่งว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร

เฉิงเทียนเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงคนหนึ่ง แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น เขาเองก็ไม่กล้าติดต่อตระกูลซัน และไม่กล้ารายงานเหตุการณ์ไปที่สำนักงานรักษาความมั่นคง และหลังจากที่ปรึกษากับภรรยาและลูกสาว เขาก็ตัดสินใจที่จะคอย..

เพราะนอกเหนือจากการรอคอยแล้ว พวกเขาก็ไม่กล้าทำอะไรมากไปกว่านั้น และไม่สามารถทำอะไรได้มากไปกว่านั้นด้วย!

และในเช้าวันต่อมา ยังไม่ทันที่สำนักงานรักษาความมั่นคงจะเปิดทำการ เฉิงเทียนก็สั่งให้คนนำรถแลนด์โรเวอร์ไปจอดไว้ที่นั่นโดยไม่ให้คำอธิบายใดๆ

ในความทรงจำของสมาชิกตระกูลเฉิงทั้งสามคนนั้น พวกเขายังจำได้ว่าเฉิงเม่ยเฟิงได้หายตัวไปและไม่สามารถติดต่อได้ พวกเขาไม่มีความทรงจำในช่วงที่เฉิงเม่ยเฟิงถูกจับตัวมาที่บ้าน เพราะหลิงหยุนได้จัดการลบความทรงจำในคืนนั้นของพวกเขาทิ้งไปจนหมดแล้ว

แต่นึกไม่ถึงว่าเฉิงเทียนรอถึงสามวัน ก็ยังไม่สามารถติดต่อนางหนิวเฟิ่นเหยียวได้ และไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆจากทางฝั่งตระกูลซัน เจ้าหน้าที่ของสำนักงานรักษาความมั่นคงก็ไม่ได้เข้ามาสอบถามอะไร

ทุกอย่างเป็นไปอย่างสงบ เฉิงเทียนแอบคิดในใจว่าสถานการณ์อาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่เขากังวล หนิวเฟินเหยียวอาจจะปิดโทรศัพท์มือถือเพราะไม่สามารถจับตัวลูกสาวของเขาได้ จึงได้พายอดฝีมือทั้งหมดกลับไปที่ปักกิ่ง และได้ตัดขาดความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเฉิงกับตระกูลซันไปแล้ว

เฉิงเทียนรู้ดีว่าแผนการที่ขยายบริษัทยาของตัวเองไปที่ตลาดทางตอนเหนือนั้นคงจะล้มเหลว ถึงแม้เขาจะรู้สึกเจ็บปวด แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าที่จะมีเหตุการณ์อะไรร้ายแรงเกิดขึ้น

แต่เฉิงเทียนก็มีความสุขได้เพียงไม่นาน เพราะในวันอังกคาร ซันเทียนเปียวก็ได้ขึ้นเครื่องมาที่จิงฉู และตรงมาหาเขาทันที

คนที่ตระกูลซันต้องการตัวนั้นกลับเป็นหลิงหยุน!

เพราะระหว่างที่ปะทะกันนั้น นางหนิวเฟิ่นเหยียวได้โทรขอความช่วยเหลือจากซันเทียนเปียว และได้เอ่ยชื่อหลิงหยุนออกมา อีกทั้งนางหนิวเฟิ่นเหยียวยังได้โทรหาซันเทียนเปียวเป็นครั้งที่สอง และได้แจ้งว่าถังเทียนห่าวจะนำตัวซันจิ้งไปอีกด้วย

ทันทีที่ซันเทียนเปียวมาถามหานางหนิวเฟิ่นเหยียวกับซันจิ้งจากเฉิงเทียนนั้น เฉิงเทียนก็กลัวจนแทบฉี่ราดกางเกง เขาหวาดกลัวจนพูดอะไรไม่ออก..

ซันเทียนเปียวจึงได้จัดการควบคุมสมาชิกของตระกูลเฉิงทั้งสามคนไว้เป็นการลงโทษ นอกเหนือจากการให้กินอาหารตามปกติแล้ว พวกเขาก็ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก และตัดขาดการติดต่อทุกทาง

ซันเทียนเปียวข่มขู่ว่า ถ้าเขาไม่สามารถหาหนิวเฟิ่นเหยียวกับซันจิ้งพบ เมืองจิงฉูจะต้องราบเป็นหน้ากอง และคนแรกที่จะต้องตายก็คือเฉิงเทียนและครอบครัว!

เฉิงเทียนรู้ตัวดีว่าเป็นเพราะการตัดสินใจที่โง่เขลาของเขา ตระกูลเฉิงจึงต้องพบกันปัญหาหนักเช่นนี้ และพวกเขาคงต้องตายอย่างแน่นอน!

ซันเทียนเปียวจัดการทุกอย่างได้รวดเร็วมาก เขาสามารถควบคุมสถานการณ์ในเมืองจิงฉูได้ทั้งหมด และค่อยๆสอบสวนล้วงลึกลงไปเรื่อยๆ

หลิงหยุน!

ยิ่งเขาทำการสืบสวนและสาวลึกไปได้มากเท่าไหร่ เขาก็จะได้ยินชื่อ ‘หลิงหยุน’ เข้ามาเกี่ยวข้องในทุกๆเรื่อง

และนี่เป็นชื่อที่เฉิงเทียนได้ยินมากที่สุดตั้งแต่ถูกซันเทียนเปียวควบคุมตัวไว้ ทำให้เขาหวาดผวากับชื่อนี้มาก!

แต่แล้ว.. ในเย็นวันเดียวกันนั้น ลูกสาวคนโตของเฉิงเทียน-เฉิงเม่ยเฟิงก็กลับมาที่บ้านเพียงลำพัง

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม