Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร 379-385

 บทที่ 379 : รับผิดชอบไม่ไหว!

“แค่ข่าวลือจริงรึ..?”

หลัวจ้งอยู่ต่อหน้าผู้คนที่กำลังขุ่นเคืองใจ ต่อหน้าผู้ใต้บังคับบัญชาหลายร้อยนาย ต่อหน้าสื่อสำนักต่างๆอีกมากมาย และต่อหน้าหลิงหยุนที่กำลังยิ้มให้เขาอย่างเหยียดหยัน คอของเขาแห้งผากไปหมดขณะที่ย้ำว่า

“ใช่.. มันเป็นแค่ข่าวลือจริงๆ..”

หลัวจ้งรู้ตัวดีว่าได้พ่ายแพ้หลิงหยุนอย่างราบคาบแล้ว!

ตั้งแต่วันพุธที่ผ่านมา หลังจากที่ได้จัดการคู่แข่งที่แข็งแกร่งอย่างถังเทียนห่าวลงได้ หลัวจ้งก็ได้กระหน่ำโจมตีหลิงหยุนชุดใหญ่ และเฝ้ารอวันที่หลิงหยุนจะปรากฏตัวออกมา เพราะเมื่อถึงวันนั้น เขาก็จะได้กำจัดเสี้ยนหนามของตัวเองให้สิ้นซากเสียที!

และแน่นอนว่าหลังจากที่จัดการส่งหลิงหยุนให้กับตระกูลซันแล้ว ด้วยความดีความชอบของเขาในครั้งนี้ บ้านทั้งสองหลังมูลค่าหลายสิบล้าน และเงินสดในธนาคารของหลิงหยุน ก็ต้องตกเป็นของเขา-หลัวจ้งอย่างแน่นอน!

หลัวจ้งหวังวาดฝันไว้ต่างๆนานา แต่กลับคิดไม่ถึงว่า เมื่อหลิงหยุนกลับมาจริงๆ เขากลับกลายเป็นผู้ที่แส่เข้าไปหาความตายเอง!

เพราะเพียงแค่ระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงเต็มที่เขาเผชิญหน้ากับหลิงหยุนนั้น ความมืดมิดและตกต่ำก็เริ่มเข้ามาเยือนชีวิตของเขา!

แม้ว่าหลิงหยุนจะได้รับชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ไปแล้ว แต่มันยังไม่จบเพียงแค่นั้น!

“ตามฉันมา.. แกพูดเองไม่ใช่เหรอว่าทรัพย์สินมากมายของฉันล้วนไม่มีที่มาที่ไป  ถ้างั้นฉันก็จะให้แกได้รู้ว่าทรัพย์สินพวกนั้นฉันได้มายังไง?”

หลิงหยุนกระซิบบอกหลัวจ้งพร้อมกับพยักหน้าให้เดินตามเขามา แต่คำพูดของหลิงหยุนนั้นมีเพียงหลัวจ้งเท่านั้นที่ได้ยิน..

จากนั้นหลิงหยุนก็เดินไปหาเถียนป๋อเตาที่นอนตากแดดจนตัวแทบไหม้ และมองเถียนป๋อเตาด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ

“หัวหน้าหวัง.. เมื่อครู่คุณบอกว่าจะทำยังไงกับบ้านหลังที่สามนะ? พอดีผมความจำไม่ค่อยดี แล้วก็ได้ยินไม่ค่อยถนัด คุณช่วยพูดต่อหน้าทุกคนอีกครั้งซิ!”

เถียนป๋อเตาระล่ำระลักพูดอย่างไม่รอช้า “ฉันบอกว่าบ้านหลังสุดท้ายนั่น ฉันจะยกให้กับเธอเป็นค่าชดเชยที่ทุบบ้านของเธอทิ้งไป จากนั้นเธอจะทำยังไงกับบ้านหลังนั้นก็แล้วแต่เธอ เพราะฉันไม่ใช่เจ้าของอีกต่อไปแล้ว!”

หลิงหยุนยังคงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน และปล่อยให้เถียนป๋อเตาพูดซ้ำอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม เพื่อให้มั่นใจว่าทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นจะได้ยินกันทั่วถึงทุกคน จากนั้นก็หันหน้าไปทางหลัวจ้งพร้อมกับเอื้อมมือไปกดไหล่ของเขาไว้อีกครั้ง

“แกได้ยินชัดเจนแล้วใช่ไม๊? เขาบอกว่ายกบ้านหลังนั้นให้กับฉันแล้ว ในความเห็นของแก.. คิดว่านี่เป็นการกระทำที่เหมาะสมไม๊?”

หลัวจ้งไม่สามารถทนต่อความเจ็บปวดได้อีก เขารีบพยักหน้าพร้อมกับตอบไปว่า “เหมาะ.. เหมาะสมอย่างมาก เขาสมควรต้องจ่ายค่าชดเชยให้..”

หลิงหยุนจ้องหน้าหลัวจ้งอยู่ครู่หนึ่ แล้วจึงพยักหน้าพร้อมกับตอบไปว่า “ในเมื่อแกพูดเองว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องเหมาะสม ฉันก็จะรับบ้านหลังนั้นของหัวหน้าเถียนไว้ก็แล้วกัน!”

หลิงหยุนคิดในใจว่า ‘แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก!’

เขาหัวเราะพร้อมกับมองหน้าหลัวจ้ง “ในฐานะที่แกเองก็มีตำแหน่งสูงส่งเป็นที่เคารพของผู้คน ก็ช่วยเป็นพยานให้กับฉันก็แล้วกัน..”

หลัวจ้งฝืนยิ้ม แต่หัวใจของเขาเต็มไปด้วยความขมขื่น และได้แต่คิดในใจว่าเด็กคนนี้ต้องเป็นปีศาจอย่างแน่นอน

หลิงหยุนตะโกนบอกถังเมิ่งให้จัดการหากระดาษและปากกามา แต่ยังไม่ทันที่ถังเมิ่งจะได้ทำอะไร หลงหวู่ก็เดินถือปากกากับกระดาษเข้ามายื่นให้เขาพร้อมกับหัวเราะคิกคัก

หลงหวู่ยัดกระดาษและปากกาใส่มือหลิงหยุนพร้อมกับยิ้มกว้างให้และพูดว่า “ฉันให้!”

หลิงหยุนหันไปตอบอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส “ใช่สิ.. ผมลืมไปสนิทเลยว่าคุณเป็นนักกฏหมาย ถ้างั้นก็ช่วยเขียนให้ผมหน่อย..”

หลิงหยุนไม่ได้หวั่นเกรงว่าเถียนป๋อเตาจะกลับคำ แต่เขาเพียงแค่ต้องการยึดบ้านของเถียนป๋อเตาต่อหน้าหลัวจ้งเท่านั้น!

หลิงหยุนยิ้มกว้างพร้อมกับตอบว่า “ด้วยความยินดี!”

แต่ขณะที่หลงหวู่กำลังจะลงมือเขียน เธอก็ได้ยินหลิงหยุนพูดกับเถียนป๋อเตาว่า

“หัวหน้าเถียน..บ้านหลังนี้คุณยกให้เพื่อชดใช้หนี้ที่ทำการทุบบ้านของผมทิ้งใช่ไม๊?”

เถียนป๋อเตาเช็ดเหงื่อบนใบหน้าและรีบพยักหน้าตอบ “ใช่.. ใช่..”

แต่หลิงหยุนกลับหันไปตอบว่า “แต่ว่า.. มูลค่าของบ้านทั้งสามหลัง ยังไม่เพียงพอที่จะจ่ายค่าชดเชยให้กับบ้านของผม..”

“ห๊ะ?! อะไรนะ หมายความว่ายังไงกัน?”

เถียนป๋อเตาถึงกับงุนงง! แม้แต่ถังเมิ่ง ตู้กู่โม่ และทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ก็ถึงกับอึ้งไปเช่นกัน!

เพราะความจริงแล้ว บ้านของหลิงหยุนมีพื้นที่เพียงเล็กๆ และหลิงหยุนเองก็ได้ทุบบ้านของเถียนป๋อเตาไปแล้วถึงสองหลัง และตอนนี้ก็ได้บ้านของเขาไปอีกหนึ่งหลัง นั่นยังไม่เพียงพออีกหรือ?!

“นี่มัน.. ดูเหมือนหลิงหยุนจะทำเกินไปมาก?”

“นั่นสิ.. ต่อให้หัวหน้าเถียนเป็นฝ่ายผิด แต่หลิงหยุนก็ทุบบ้านของเขาไปแล้วตั้งสองหลัง.. แต่ตอนนี้กลับมาบอกว่าไม่เพียงพอ..”

“เด็กคนนี้.. จะค้ากำไรเกินควรแล้ว”

“ทำแบบนี้ไม่เป็นผลดีกับเขาเลย..”

……………

ขณะที่ผู้คนกำลังวิพากษ์วิจารณ์ และตำหนิความไร้เหตุผลของหลิงหยุนอยู่นั้น ทุกคล้วนเห็นตรงกันว่าครั้งนี้หลิงหยุนทำเกินไปจริงๆ

สีหน้าของเถียนป๋อเตาบิดเบี้ยวอย่างน่าเกลียด เขากัดฟันพร้อมกับพูดขึ้นว่า “หลิงหยุน.. นี่เธอ..”

แม้ว่าเถียนป๋อเตาจะไม่กล้าพูดออกมาว่าหลิงหยุนทำเกินไป แต่สีหน้าของเขาก็บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า เขาไม่สามารถยอมรับได้

ใบหน้าของซูหลิงเฟยก็เริ่มมีร่องรอยของความไม่พอใจปรากฏขึ้น เธอจึงถามหลิงหยุนขึ้นมาว่า

“หลิงหยุน.. ฉันคิดว่าบ้านของคุณยังไงก็มีมูลค่าไม่มากกว่าบ้านหลังนั้น?”

“อีกอย่างคุณเองก็ทุบบ้านของเขาทิ้งไปถึงสองหลังแล้ว และยังได้บ้านหลังนี้เป็นค่าชดเชยอีก แล้วคุณยังจะทำอย่างนี้อีกเพื่ออะไร?”

ซูหลิงเฟยสมกับเป็นนักข่าว ไม่เพียงยิงคำถามใส่หลิงหยุน แต่ไมโครโฟนในมือของเธอก็ยื่นจ่อที่ปากหลิงหยุนทันทีเช่นกัน

หลิงหยุนมองซูหลิงเฟยตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่ครู่หนึ่ง ซูหลิงเฟยสัมผัสได้ว่าสายตาของหลิงหยุนนั้นแหลมคม และยิ่งทำให้เธอรู้สึกไม่ชอบหลิงหยุนมากขึ้น แต่ก็เพียงแค่ขมวดคิ้วและทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจเพียงเบาๆ

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ถูกต้อง.. ตัวบ้านของผมมีมูลค่าน้อยกว่าบ้านทั้งสามหลังของเถียนป๋อเตาอยู่แล้ว..”

เสียงของหลิงหยุนผ่านเข้าไมโครโฟนในมือของซูหลิงเฟย และทุกคนต่างก็ได้ยินกันอย่างชัดเจน ทุกคนต่างก็งุนงง และตั้งหน้าตั้งตารอฟังคำอธิบายต่อไปของหลิงหยุน

หลิงหยุนพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “แล้วสิ่งของที่อยู่ในบ้านผมล่ะ? ตอนนี้อยู่ที่ใหน? ก่อนที่จะทำการทุบบ้านของผม มีใครเก็บของที่อยู่ภายในบ้านไว้ให้ผมไม๊? หัวหน้าเถียน.. กู่เหลียนซัน.. ถ้าเก็บไว้ ก็ช่วยนำมาคืนผมด้วย?”

เถียนป๋อเตากับกู่เหลียนซันถึงกับอึ้งและพูดอะไรไม่ออก อีกอย่างภายในบ้านก็พังเสียหายก่อนที่พวกเขาจะทำการทุบเสียอีก ส่วนสิ่งของที่อยู่ในบ้านนั้น ใครบ้างจะเสียเวลาไปเก็บให้?

นี่หลิงหยุนกำลังจะบอกว่ายาและอุปกรณ์การแพทย์ที่อยู่ด้านใน มีมูลลค่ามากกว่าตัวบ้านอย่างนั้นหรือ?”

ซูหลิงเฟยไม่รีรอ เธอยิงคำถามต่อทันที “หลิงหยุน.. จากคำพูดของคุณ คุณกำลังจะบอกว่ามูลค่าของเฟอร์นิเจอร์กับของที่อยู่ในบ้านนั้น มีมูลค่ามากกว่าบ้านของเถียนป๋อเตางั้นหรือคะ? แต่ดูจากการตกแต่งบ้านของเถียนป๋อเตา มูลค่าของเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ตกแต่ง ดูเหมือนจะมีมูลค่าสูงกว่าบ้านของคุณ?”

หลิงหยุนมองซูหลิงเฟยด้วยสายตาเหยียดหยันพร้อมกับตอบไปว่า “ผมว่าถ้าคุณตาไม่ถึง ก็อย่าออกความเห็นจะดีกว่า?”

ซูหลิงหเฟยเป็นถึงบุคคลสาธารณะ ในสายงานนักข่าวเธอก็นับว่าเป็นดาวเด่นดวงหนึ่ง เมื่อได้ยินคำพูดของหลิงหยุนเธอจึงโกรธจนตัวสั่น

“หลิงหยุน.. ต่อให้สิ่งที่คุณทำตอนแรกเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ตอนนี้คุณกำลังทำเกินไป และคุณต้องได้รับบทเรียน?!”

หลิงหยุนไม่สนใจที่จะตอบคำถามของซูหลิงเฟย เขาจึงถามกลับว่า “ทำไมคุณถึงคิดว่าครอบครัวผมไม่มีสิ่งของล้ำค่า?”

“ใบบ้านของผมซ่อนไข่มุกราตรีเม็ดใหญ่ไว้สิบกว่าเม็ด แม่ของผมเคยพูดไว้ว่า ไข่มุกราตรีเหล่านี้เป็นสมบัติล้ำค่าที่ไม่อาจประเมินค่าเป็นเงินได้ แม่ตั้งใจเก็บไว้ให้ภรรยาของผมในอนาคต และเก็บไว้เป็นของรับหมั้นให้กับน้องสาวผม แต่ตอนนี้กลับถูกทุบทิ้งป่นปี้หมด คุณบอกว่ามาว่าจะชดใช้ยังไง?”


บทที่ 380 : ตีงูต้องตีให้ตาย!

“อะไรนะ?! ไข่มุกราตรี?! นี่มัน..”

“จิวยื่อนี่นะมีไข่มุกราตรีอยู่ที่บ้านสิบกว่าเม็ด? เป็นไปได้ยังไง..”

“ถ้ามีไข่มุกราตรีอยู่ที่บ้านจริง ทำไมจิวยื่อถึงไม่เอาออกมาขาย? ทำไมต้องอยู่อย่างลำบากลำบนมาตั้งหลายปี?!”

“เด็กคนนี้เริ่มจะพูดจาเกินตัวมากขึ้นทุกที อยากได้เงินมากถึงกับกุเรื่องขึ้นมาเลยเหรอ..?”

คำพูดเพียงประโยคเดียวของหลิงหยุน ดูเหมือนจะสร้างความสั่นสะเทือนได้อย่างไม่คาดคิด ทุกคนต่างก็รู้สึกไม่ต่างกันว่า หลิงหยุนเปิดตัวยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม แต่สุดท้ายก็กลับฉวยโอกาสขูดรีดคนอื่น!

หลงคุนที่ยืนอยู่ด้านหลังหลิงหยุนนั้น แววตามีร่อยรอยของความผิดหวังอยู่เล็กน้อย แต่ก็ได้แต่นิ่งเงียบคล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรอยู่

ส่วนถังเมิ่งที่นิ่งเงียบมาตลอดก็ถึงกับเป่าลมออกจากปาก พร้อมกับอดที่จะคิดไมได้ว่า ‘พี่หยุน.. นี่ถึงกับกล้ากุเรื่องไข่มุกราตรีขึ้นมาเลยเหรอ.. น่าอายชะมัด!’

เหลียงเฟิงอี้เมื่อได้ฟังว่าหลิงหยุนได้เตรียมไข่มุกราตรีไว้ให้ภรรยาของเขา ก็ถึงกับหน้าแดงขึ้นมาทันที

ซูหลิงเฟยได้ยินผู้คนรอบๆตัวเธอ ต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์หลิงหยุน เธอจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาและเต็มไปด้วยความรังเกรียจ

“หลิงหยุน.. สิ่งที่คุณพูดดูจะไม่เกินความจริงไปหน่อยเหรอ? พอบ้านของคุณถูกทุบทิ้ง คุณก็อ้างว่าในบ้านมีไข่มุกราตรีที่ประเมินค่าไม่ได้อยู่เป็นร้อยๆเม็ด คุณคิดว่าคนอื่นจะเชื่อคำพูดของคุณง่ายๆหรือยังไง?”

แต่หลิงหยุนกลับบส่ายหน้าแล้วตอบกลับไปว่า “คุณอย่ากล่าวหาผมนะครับคุณนักข่าว! แม่ผมสอนเสมอว่าให้เป็นคนซื่อสัตย์ ไม่ให้เป็นคนโกหกหลอกลวง อีกอย่างผมบอกว่ามีไข่มุกราตรีแค่สิบกว่าเม็ด.. ไม่ใช่หลายร้อยเม็ดอย่างที่คุณพูด..”

ซูหลิงเฟยถูกหลิงหยุนฉีกหน้าก็ถึงกับขุ่นเคือง และไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเธอจึงต้องโกรธหลิงหยุนมากมายถึงเพียงนี้ อาจเป็นเพราะจู่ๆหลิงหยุนที่ดูเหมือนพระเอกที่กล้าหาญชาญชัย และกล้าต่อกรกับผู้มีอำนาจเมื่อครู่ กลับกลายเป็นคนโลภมากจ้องจะขูดรีดเอาเงินจากผู้อื่นราววกับปีศาจ ซูหลิงเฟยจึงรู้สึกผิดหวังและอึดอัดกับพฤติกรรมของหลิงหยุนอย่างมาก!

จากนั้นหลิงหยุนก็พูดกับซูหลิงเฟยต่อว่า “นี่คุณนักข่าว.. ผมว่าคุณอย่าเพิ่งรีบสอดเท้าเข้ามายุ่งเรื่องของคนอื่นให้เร็วนักจะดีกว่า..”

ซูหลิงเฟยได้ฟังก็โกรธมาก เธอถอนหายใจและร้องตะโกนใส่หลิงหยุน

“หลิงหยุน.. คุณบอกว่าที่บ้านของคุณมีไข่มุกราตรีสิบกว่าเม็ด มีอะไรพิสูจน์ได้บ้างว่าคุณมีจริง? ถ้าคุณพิสูจน์ได้ พวกเราถึงจะยอมเชื่อ!”

หลิงหยุนเพียงแค่ยิ้มและโต้กลับไปว่า “งั้นเหรอ? แล้วถ้าผมพิสูจน์ได้ว่ามีจริง คุณจะยอมขอโทษผม หรือจะยอมแต่งงานเป็นเมียผมไม๊ล่ะ?”

“นี่คุณ..!” ซูหลิงเฟยหน้าแดงด้วยความโกรธ และจู่ๆก็หันไปมองเหลียงเฟิงอี้ที่ยืนอยู่ข้างหลิงหยุนด้วยแววตาที่ผิดหวังและขุ่นเคือง

สายตาของซูหลิงเฟยนั้นเหลียงเฟิงอี้เข้าใจดี นั่นเพราะระหว่างทางที่เดินทางมาที่นี่ เธอได้เล่าเรื่องระหว่างฉางหลิงกับหลิงหยุนให้ซูหลิงเฟยฟัง ทำให้ซูหลิงเฟยค่อนข้างอยากจะรู้จักหลิงหยุน และคาดหวังในตัวของเขาสูง

ในตอนแรก ซูหลิงเฟยรู้สึกชื่นชมหลิงหยุนมากจนแอบยกนิ้วโป้งให้กับเหลียงเฟิงอี้ แต่ตอนนี้เธอกลับรู้สึผิดหวัง และรังเกียจหลิงหยุน

หล่อแล้วยังไง? ความหล่อกินไม่ได้ ซูหลิงเฟยทำงานในวงการทีวี เธอเคยพบเจอชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลามามากมาย และแทบจะทุกวัน! อีกทั้งยังมีหนุ่มๆวิ่งตามซูหลิงเฟยไม่เว้นแต่ละวัน..

ผู้คนที่พากันมุงดูอยู่นั้นต่างก็ไม่เชื่อว่าหลิงหยุนจะสามารถพิสูจน์ให้ทุกคนเชื่อได้ จึงพากันพูดขึ้นมาว่า

“นั่นสิหลิงหยุน! ถ้าเธอสามารถพิสูจน์ได้ว่าครอบครัวของเธอมีไข่มุกราตรีอยู่จริงๆ พวกเราก็จะเชื่อเธอ แต่ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ การที่เธอทุบบ้านของถังเทียนห่าวไปสองหลัง และยังได้บ้านไปฟรีๆอีกหนึ่งหลัง นั่นก็นับว่าเป็นการชดเชยที่ดีมากแล้ว..!”

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับเดินตรงยังฝูงชนที่มุงดูอยู่มากมาย และพูดขึ้นว่า

“พ่อแม่พี่น้อง วันนี้ผมจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นกับตาว่าผมไม่ใช่พวกสิบแปดมงกุฎอย่างที่ทุกคนคิด เอาล่ะ.. ดูกันให้เต็มตา..!”

พูดจบหลิงหยุนก็ทำท่าล้วงลงไปในกระเป๋า และมื่อดึงมือออกมา ก็มีไข่มุกราตรีอยู่ในฝ่ามือของเขาถึงสองเม็ด!

รอบตัวหลิงหยุนกลายเป็นแสงสีขาว แสงจากไข่มุกราตรีเปล่งประกายสว่างไสวราวกับคริสตัล และกลับสว่างไสวมากขึ้นเมื่อกระทบกับแสงแดดในยามบ่าย เป็นที่ดึงดูดสายตาและความสนใจของผู้คนจำนวนมาก!

หลิงหยุนพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น “ทุกท่านเห็นรึยังว่าผมพูดความจริง! ดีนะว่าก่อนออกมาจากบ้าน ผมได้แอบหยิบไข่มุกราตรีติดตัวไปด้วยสองเม็ด ไม่อย่างนั้นคงถูกเจ้าสวะเถียนป๋อเตาทุบจนเสียหายยับเยินแน่!”

“นี่น่ะเหรอไข่มุกราตรีที่เธอบอกว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่ประเมินค่าไม่ได้..?”

ตอนนี้สายตาของทุกคนต่างก็จับจ้องอยู่ที่ไข่มุกขนาดใหญ่ในมือหลิงหยุน ทุกคนต่างก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออก ไม่มีใครว่างพอที่จะถามอะไรหลิงหยุนอีกเลย

“นี่.. นี่มันไข่มุกราตรีจริงๆด้วย ทำไมถึงได้ใหญ่โตแบบนี้?”

“โอ้แม่เจ้า.. ดูจิวยื่อสิ เก็บงำเรื่องไข่มุกนี่มานนานหลายปี ที่แท้ครอบครัวของเธอก็มีสมบัติล้ำค่าอยู่นี่เอง..”

“มิน่าล่ะ.. จู่ๆหลิงหยุนก็มีเงินมากมายมาซื้อบ้านถึงสองหลัง ที่แท้ครอบครัวของเขาก็มีไข่มุกราตรีนี่เอง..”

“นั่นสิ.. ไม่แปลกเลยที่หลิงหยุนจะโกรธมากเมื่อมีคนมาทุบบ้านของเขา จนถึงกลับตามมาไล่ทุบคืนแบบนี้ จู่ๆสมบัติล้ำค่าแบบนี้ก็ต้องกลายเป็นผงไปในพริบตา ฉันเสียดายแทนเขาจริงๆ!”

“ช่างโชคร้ายจริงๆ เหลืออยู่แค่สองเม็ด..นี่หัวหน้าหวัง บ้านทั้งสามหลังยังเทียบเท่าไข่มุกหนึ่งเม็ดไม่ได้เลย แล้วคุณจะรับผิดชอบยังไง..?”

เมื่อชาวบ้านได้เห็นไข่มุกราตรีกับตา ทุกคนต่างก็ปักใจเชื่อคำพูดของหลิงหยุนทันที สีหน้าของทุกคนเปลี่ยนเป็นตกใจสุดขีด ทั้งอยากได้ ทั้งทึ่ง ทั้งเสียดาย ทุกคนต่างก็ได้แต่ส่ายหน้าไปมา ผู้คนที่รุมล้อมอยู่ต่างก็ตีวงเข้ามาใกล้หลิงหยุนเพื่อดูไข่มุกราตรีในมือของเขา!

แม้แต่เหลียงเฟิงอี้และหลงหวู่เองก็ตกตะลึงเมื่อได้เห็นไข่มุกราตรี ทั้งคู่ถึงกับเอามือปิดปากและวิ่งตรงไปหาหลิงหยุนทันที

มีผู้หญิงคนใหนบ้างที่จะไม่สนใจและหลงใหลเพชรนิลจินดา? ยากที่จะหาผู้หญิงแบบนั้นในโลกใบนี้ได้ และไข่มุกราตรีนั้นก็เป็นไข่มุกที่ยากจะได้พบเจอในชีวิต!

หลิงหยุนยื่นไข่มุกราตรีสองเม็ดในมือผ่านหน้าของซูหลิงเฟยไปมา และลูกตาของเธอก็กรอกไปมาตามมือที่เคลื่อนไหวของหลิงหยุน จากนั้นแสงของไข่มุกราตรีก็ดับไป และกลับเข้าไปอยู่ในแหวนพื้นที่ของหลิงหยุน

“นี่คุณนักข่าว.. คุณนักข่าว?!”

หลิงหยุนมองดูซูหลิงเฟยที่ยืนนิ่ง พร้อมกับร้องเรียกเธอถึงสองครั้งให้ตื่นจากอาการตกตะลึง

“อ้าว.. ไข่มุกราตรีหายไปใหนแล้วล่ะ?” ซูหลิงเฟยถามขึ้นพร้อมกับมองหน้าหลิงหยุน

หลิงหยุนยิ้มให้พร้อมกับตอบไปว่า “ผมเก็บไปแล้ว.. ตอนนี้เชื่อผมหรือยัง? ผมเอาไข่มุกราตรีออกมาพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้ว และมันก็เป็นสมบัติที่ไม่สามารถประเมินค่าได้ คงไม่คิดว่าผมเป็นพวกนักฉวยโอกาสแล้วสินะ?”

หลิงหยุนย้ำคำพูดของเขาต่อหน้าซูหลิงเฟย และทุกคนที่อยู่บริเวณนั้น

เถียนป๋อเตาและกู่เหลียนซันต่างก็หน้าซีดไปตามๆกัน ไม่เว้นแม้แต่หลัวจ้งที่ถึงกับตกใจจนนิ่งไปเช่นกัน!

ตอนนี้หลิงหยุนได้พิสูจน์ให้หลัวจ้งเห็นกับตาแล้วว่า ทรัพย์สินของเขานั้นมีที่มาที่ไปอย่างไร? หลัวจ้งจึงไม่สามารถกล่าวหาหลิงหยุนได้อีกว่าได้เงินมาด้วยวิธีที่ไม่ถูกต้อง เพราะเพียงแค่ไข่มุกราตรีสองเม็ดที่อยู่ในมือของหลิงหยุนนั้น เขาจะต้องการบ้านอีกกี่หลังก็ไม่ใช่ปัญหา!

นี่กลับกลายเป็นว่า.. หลัวจ้งเองที่เป็นคนรีบร้อนยึดบ้าน และอายัดบัญชีธนาคารของหลิงหยุนทั้งที่ยังไม่สอบสวน เขารนหาที่เองชัดๆ!

หลิงหยุนไม่สนใจซูหลิงเฟยที่ยังคงอยู่ในอาการตกตะลึงอีก เขาหันหลังกลับไปมองเถียนป๋อเตาที่กำลังสั่นไปทั้งตัวพร้อมกับถามเสียงดังว่า

“ไข่มุกราตรีสิบกว่าเม็ดที่แกทุบทิ้งไป แกยังกล้าพูดว่าบ้านทั้งสามหลังพอจ่ายอีกไม๊? แล้วแกจะรับผิดชอบยังไง?”

“ถ้าแม่ของฉันกลับมาแล้วรู้ข่าว และเสียใจจนป่วยกะทันหันล่ะ จะทำยังไง? แล้วของรับหมั้นสำหรับน้องสาวของฉันล่ะ?! ใหนจะยังสินสอดที่ฉันจะใช้แต่งเมียอีกล่ะ?!”

“ใช่แล้ว.. หลิงหยุนพูดถูก! ต้องให้มันชดใช้ให้!”

“ใช่ๆ นี่เหลือแค่สองเม็ดเอง!”

ผู้คนที่อยู่รอบๆต่างพากันส่งเสียงเชียร์ จากนั้นทุกคนต่างก็เรียกร้องให้เถียนป๋อเตาชดใช้ให้กับหลิงหยุน!

“เอ่อ.. ฉัน..”

เถียนป๋อเตาได้แต่นั่งคอตกอยู่ที่พื้น สีหน้าของเขาเศร้าสลดและร่างของเขาก็สั่นเทิ้ม ส่วนริมฝีปากก็สั่นจนไม่สามารถพูดออกมาได้จบประโยค

แต่ท่ามกลางผู้คนทั้งหมดนั้น คนที่โกรธมากที่สุดกลับเป็นหลงหวู่!

หลังจากที่หลงหวู่หายจากอาการตกตะลึงที่ได้เห็นไข่มุกราตรี เมื่อนึกถึงว่าไข่มุกราตรีที่จะต้องกลายเป็นของเธอในอนาคตเหลือเพียงแค่สองเม็ด เธอก็ยิ่งโมโห!

หลงหวู่วิ่งเข้าไปเตะเถียนป๋อเตาด้วยความโกรธพร้อมกับตะโกนด่า “แก.. แกทำไข่มุกราตรีของฉันหาย!”

“ห๊ะ..อะไรกัน?” หลิงหยุนได้ฟังคำพูดของหลงหวู่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่า

‘ไข่มุกของข้าต่างหาก กลายเป็นไข่มุกของเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?’

และในเมื่อโอกาสในการจัดการกับศัตรูของเขามาถึงแล้ว แน่นอนว่าหลิงหยุนย่อมไม่ปล่อยให้หลุดลอยไปอย่างแน่นอน เขาจึงย่อตัวลงพร้อมกับถามเถียนป๋อเตายิ้มๆ

“ตอบมา.. จะชดใช้ยังไง?”

ทันทีที่เห็นหลิงหยุนหยิบไข่มุกราตรีสองเม็ดออกมา เถียนป๋อเตาก็รู้ชะตากรรมของตัวเองได้ทันที เขารู้ว่าทุกอย่างมันจบลงแล้ว.. ทรัพย์สินทั้งหมดที่เขาได้มาจากการขูดรีดชาวบ้านนั้น ต่อให้นำมารวมกันทั้งหมด ก็ยังไม่เพียงพอที่จะชดใช้!

ตำแหน่งหน้าที่การงานของเขายังไม่ทันจะถูกทำลายย่อยยับ แต่เงินทองทรัพย์สินของเขากลับย่อยยับหมดเสียก่อน ภายในเวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว.. เขากลับกลายเป็นคนที่ไม่เหลืออะไรเลย!

“ชดใช้.. ฉันต้องชดใช้ให้แน่..” เถียนป๋อเตานั่งอยู่บนพื้นอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง และได้แต่พูดประโยคเดิมซ้ำไปซ้ำมา

หลิงหยุนแสยะยิ้มและลุกขึ้นเดินเข้าไปหากู่เหลียนซันที่นอนอยู่บนพื้น พร้อมกับพูดขึ้นว่า

“กู่เหลียนซัน.. อย่าลืมว่าแกเองก็มีส่วนในเรื่องนี้!”

หลังจากที่หลิงหยุนพูดจบ เขาก็หันไปทางถังเมิ่งให้มาจัดการส่วนที่เหลือกับหลงหวู่ต่อ เพราะรู้ตัวว่าเรื่องนี้ถังเมิ่งทำได้ดีกว่าเขา

ภายในเวลาเพียงแค่สิบห้านาที ถังเมิ่งก็เดินมาหาหลิงหยุนพร้อมกับคำพูดสัญญาข้อตกลงของเถียนป๋อเตา

“พี่หยุน.. นี่สัญญาข้อตกลง”

หลิงหยุนรับหนังสือสัญญามาจากถังเมิ่ง เขาเพียงแค่เหลือบมองและหันไปยิ้มกับถังเมิ่งพร้อมกับกระซิบว่า

“เอาล่ะ.. ได้เวลาถอนรากถอนโคนมันแล้ว!” หลิงหยุนกระซิบพร้อมขยิบตาให้ถังเมิ่ง

ถังเมิ่งและหลิงหยุนต่างก็เข้าใจกันดี เขาหันไปมองเถียนป๋อเตาที่นั่งอยู่บนพื้น จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ออกมา จากนั้นก็จัดการเปิดคลิปวีดีโอที่เถียนป๋อเตาอยู่กับหญิงสาวทั้งเก้าคนในห้องนอน และยื่นให้กับนักข่าวบันทึกภาพพร้อมกับร้องตะโกนว่า

“ทุกท่าน.. มาดูกันเร็วเข้า เมื่อเช้าเถียนป๋อเตาทำเรื่องงามหน้า!”

ระหว่างที่ถังเมิ่งหยิบโทรศัพท์มือถือออกมานั้น แววตาของเถียนป๋อเตาที่กำลังนั่งอยู่บนพื้น กลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัว และจากนั้นเขาก็ล้มตึงไปข้างหลังทันที ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นลม!


บทที่ 381 : ระเบิดสำหรับหลัวจ้ง!

“โอ้ว.. บัดสี.. นี่มีอะไรพร้อมกันทีเดียวตั้งหลายคนเลยเหรอนี่..”

“วิตถาร.. หัวหน้าหวังกล้าทำขนาดนี้เลยเหรอ..”

“แม่เจ้า.. นี่มันบ้านหรือว่าฮาเร็มกันแน่..?”

“เถียนป๋อเตาตายแน่คราวนี้.. ถูกหลิงหยุนถ่ายคลิปได้คาเตียงเลย!”

เมื่อเห็นถังเมิ่งเปิดคลิปวีดีโอที่เร่าร้อนนั่น บรรดานักข่าวต่างก็กรูกันเข้าไปล้อมรอบ พร้อมกันร้องออกมาด้วยความตกอกตกใจ

แทบไม่จำเป็นต้องพูดถึงชะตากรรมของเถียนป๋อเตา เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้เขาคงต้องสูญสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างจริงๆ!

หลิงหยุนแทบไม่ใส่ใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาเพียงแค่ชายตามองเถียนป๋อเตาด้วยแววตาที่เย็นชา พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น

“ต้องโทษตัวแกที่แส่หาเรื่องเอง!”

พูดจบหลิงหยุนก็เดินไปไปหาผู้ประกาศข่าวสาวคนสวยที่ชื่อซูหลิงเฟย

ซูหลิงเฟยเป็นผู้ประกาศข่าวของสถานทีโทรทัศน์ท้องถิ่น และตอนนี้ก็อยู่ในท่าเตรียมพร้อมที่สัมภาษณ์อยู่ตลอดเวลา แต่ในตอนกลับไม่มีฝูงชนรายล้อมตัวเธออยู่มากนัก

เธอมองคลิปวีดีโอของถังเมิ่งด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ และเต็มไปด้วยความอับอายแทน จากนั้นจึงเมินหน้าหนีพร้อมกับคิดในใจว่า เมื่อครู่เธอไม่น่าออกหน้าแทนเถียนป๋อเตาที่ไร้ยางอายคนนี้เลย

“นี่.. คุณมองอะไร?”

ซูหลิงเฟยร้องถามพร้อมยกมือขึ้นทาบอกไว้ทันที เมื่อเหลือบไปเห็นสายตาของหลิงหยุนที่จ้องมองมองมา

แต่หลิงหยุนกลับทำท่าทาง และพูดด้วยน้ำเสียงที่ดูมีลับลมคมใน “ผมมีข่าวลับสุดยอด คุณอยากจะได้ไม๊?”

ซูหลิงเฟยทำงานอยู่ที่สำนักข่าวของสถานีโทรทัศน์ท้องถิ่น เรื่องสกปรกในวงราชการแบบที่เถียนป๋อเตาทำนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดสำหรับเธอ อย่าว่าแต่นอนกับผู้หญิงครั้งละเก้าคนเลย สิ่งที่เธอเคยได้รู้ได้เห็นมานั้น ยิ่งกว่าเถียนป๋อเตาก็มีมากมาย

ทุกวันนี้ข้าราชการไม่ว่าจะระดับใหน ล้วนใช้อำนาจจากตำแหน่งหน้าที่ในการหาเงิน หรือไม่ก็หาผู้หญิงให้กับตัวเอง บางคนมีผู้หญิงเป็นร้อยด้วยซ้ำไป!

ซูหลิงเฟยที่ไม่ค่อยพอใจกับสายตาที่ลามกของหลิงหยุนอยู่แล้ว รีบถอยออกห่างเพื่อให้หน้าอกของเธอพ้นจากสายตาของเขา แล้วจึงพูดขึ้นว่า

“คลิปข้าราชการกำลังมีอะไรกับผู้หญิงพวกนั้น สำหรับฉันนั่นไม่ใช่ข่าว แต่เป็นเรื่องน่าทุเรศ!”

หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับตอบไปว่า “เรื่องของเถียนป๋อเตาไม่ใช่ข่าว แล้วเรื่องของผู้อำนวยการสำนักงานรักษาความมั่นคงล่ะ.. จะถือว่าเป็นข่าวได้ไม๊?”

สีหน้าของซูหลิงเฟยเปลี่ยนเป็นสนอกสนใจขึ้นมาทันที เธอมองหลิงหยุนด้วยแววตาครุ่นคิดก่อนจะรีบตอบกลับเสียงเบา

“ห๊ะ.. เมื่อครู่คุณบอกว่าเป็นเรื่องของผู้อำนวยการหลัวงั้นเหรอ? นอกจากเรื่องที่คุณทำให้เขาอับอาย แล้วยังจะมีเรื่องอะไรอีก?”

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับกระดิกนิ้ว “ตามผมมาสิ!”

จากนั้นก็เดินนำซูหลิงเฟยไปหาเหลียงเฟิงอี้ เมื่อไปถึงหลิงหยุนก็บอกกับเหลียงเฟิงอี้ว่า “คุณช่วยเปิดคลิปคำสารภาพที่อัดไว้ให้คุณนักข่าวคนสวยฟังหน่อยสิ..”

หลิงหยุนขอให้เหลียงเฟิงอี้ช่วยเปิดคลิปให้ซูหลิงเฟยฟัง แม้จะรู้ดีว่าเพียงแค่คลิปนี้อาจจะยังไม่สามารถดึงหลัวจ้งลงจากตำแหน่งได้ แต่อย่างน้อยก็คงจะสามารถสร้างรอยด่างพร้อยให้กับเขาได้บ้าง และอาจเป็นช่องทางให้หลิงหยุนสามารถหาทางกำจัดเขาได้ในอนาคต หรือไม่อย่างน้อยหลัวจ้งจะได้เกรงกลัวและไม่กล้าวุ่นวายกับเขาอีก

หลังจากผ่านไปหลายนาที หลิงหยุนก็ถามซูหลิงเฟยด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “คุณจะเอาคลิปนี้ไปออกอากาศได้ไม๊?”

ซูหลิงเฟยลังเลเล็กน้อยพร้อมกับเม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะตอบกลับไปว่า “นี่เป็นเรื่องพัวพันถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูง ต้องให้ทางสำนักงานข่าวตรวจสอบข้อเท็จจริงของคลิปนี้ก่อน ถึงจะออกอากาศได้..”

“อีกอย่าง.. ข่าวในลักษณะนี้ ต่อให้ทางสำนักข่าวอนุมัติให้ออกข่าวได้ แต่ก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงของฝ่ายรัฐบาลก่อน..”

มาถึงตอนนี้ หลิงหยุนเริ่มตระหนักถึงอิทธิพลและอำนาจของข้าราชการระดับสูงในประเทศนี้ และไม่เข้าใจถึงอาการกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกของนักข่าว

หลิงหยุนเริ่มรู้สึกผิดหวัง เย็นชา และรังเกียจ เขาจึงพูดออกมาอย่างขบขัน “ดูเหมือนท่าทางก้าวร้าวแข็งขันและเต็มไปด้วยความยุติธรรมของคุณเมื่อครู่ ก็คงเป็นแค่การแสดงสินะ..”

หลังจากพูดจบ.. หลิงหยุนก็ไม่สนใจซูหลิงเฟยที่กำลังโกรธจนหน้าแดงอีกเลย แต่กลับหันไปสั่งถังเมิ่งที่เพิ่งจะทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จ

ถังเมิ่งเดินฝ่าวงล้อมออกมาพร้อมกับยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อบนศรีษะออก “นักข่าวพวกนั้นโหดชะมัดเลย แทบจะดึงโทรศัพท์ของฉันไปด้วย!”

“ว่าแต่มีอะไรเหรอพี่หยุน?”

หลิงหยุนหยิบโทรศัพท์ออกมาจากมือของเหลียงเฟิงอี้ และวางลงในมือของถังเมิ่ง “พวกเราไปจัดการให้หลัวจ้งมันสารภาพด้วยตัวเองจะดีกว่า!”

ซูหลิงเฟยถูกกฎหมายของประเทศนี้ และกฎระเบียบของสำนักข่าวตีกรอบไว้ แต่ถังเมิ่งไม่ได้มีกรอบอย่างเธอ เขาแทบทนรอที่จะได้เห็นหลัวจ้งฉิบหายไปในตอนนี้ไม่ได้..

เหลียงเฟิงอี้และหลงหวู่เห็นทั้งสองคนเดินไปหาหลัวจ้ง หญิงสาวทั้งสองคนจึงได้แต่เดินตามไปพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ฉันจะไปเป็นเพื่อนด้วย..”

หลิงหยุนหันไปยิ้มให้หลงหวู่กับเหลียงเฟิงอี้ จากนั้นจึงพูดกับเหลียงเฟิงอี้ว่า “คุณไม่เหมาะที่จะออกหน้า ไม่งั้นผมคงไม่เรียกถังเมิ่งมา ไม่อย่างนั้นไอ้ชาติชั่วนั่นมันคงต้องหาทางเล่นงานคุณทีหลังแน่!”

เมื่อได้ฟังคำอธิบายที่เต็มไปด้วยความห่วงใยของหลิงหยุน เหลียงเฟิงอี้ถึงกับอ่อนไหวและใจสั่นเล็กน้อย เธอไม่รบเร้าหรือต่อต้าน และได้แต่พยักหน้าเงียบๆ

ในเมื่อหลี่ยี่เฟิงต้องพบกับความลำบาก หลัวจ้งเองก็ต้องพบกับความฉิบหายเช่นเดียวกัน หลิงหยุนรู้ดีว่าหลัวจ้งไม่กล้าที่จะแตะต้องแก๊งมังกรเขียว เขาจึงอนุญาตให้หลงหวู่ตามมาด้วย

เมื่อทั้งสามคนเดินเข้าไปยืนอยู่ต่อหน้าหลัวจ้งแล้ว แต่จู่ๆหลิงหยุนก็มองไปทางฝูงชนที่ล้อมรอบอยู่พร้อมกับพูดขึ้นมาอย่างดีใจ

“ฉางหลิงมาถึงแล้ว!”

“ตี้เสี่ยวอู๋ก็มาถึงเหมือนกันรึนี่? ไวชะมัด..!”

“ขอทางด้วยค่ะ.. ขอทางด้วย..” ฉางหลิงแทรกตัวฝ่าฝูงชนเข้ามาด้านใน!

หลังจากที่ได้รับโทรศัพท์จากเหลียงเฟิงอี้ เธอก็ตกใจอย่างมาก และรีบเรียกแท็กซี่ออกจากบ้านทันที

“นายรอฉันประเดี๋ยวนะ..”

หลิงหยุนบอกถังเมิ่ง จากนั้นก็ก้าวเท้าไปข้างหน้า เพื่อรีบเดินเข้าไปหาฉางหลิง

ฉางหลิงรีบร้อนวิ่งจนไม่ทันได้มองอะไร มารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่รู้สึกว่าได้วิ่งชนเข้ากับอ้อมแขนของชายหนุ่มคนหนึ่ง และเมื่อเงยหน้าขึ้นมอง เธอก็เห็นเป็นใบหน้าของหลิงหยุนที่กำลังก้มมองเธออยู่เช่นกัน

“หลิงหยุน.. นาย.. นี่นายหายไปใหนมา ฉันเป็นห่วงแทบตายรู้ไม๊..?”

ฉางหลิงไม่สนใจผู้คนที่อยู่รอบข้าง เธอซุกตัวเข้าไปในอ้อมแขนของหลิงหยุนพร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม

ฉางหลิงเองก็เป็นห่วงเป็นใยหลิงหยุนไม่น้อยไปกว่าเสี่ยวเม่ยหนิง เหยาลู่ และคนอื่นๆเลย

หลิงหยุนสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่ฉางหลิงมีให้กับเขา เขารู้สึกอ่อนไหวอย่างไม่สามารถอธิบายได้ จึงได้แต่ยิ้มอย่างรู้สึกผิด

“เอาล่ะ.. หยุดร้องไห้ได้แล้ว! ดูหน้าผมสิ.. ผมก็กลับมาแล้วนี่ไง!”

หลิงหยุนยกมือขึ้นตั้งใจจะเช็ดน้ำตาให้ฉางหลิง แต่กลับพบว่ามือของตัวเองเปื้อนไปด้วยฝุ่น จึงได้แต่ส่ายหน้าและพูดออกไปว่า

“แย่แล้ว.. ลืมไปว่าเนื้อตัวของผมมีแต่ฝุ่นเต็มไปหมด ผมจะพาคุณไปหาน้าเล็กดีกว่า.. เธออยู่ทางโน้น”

ฉางหลิงไม่สนใจว่าหลิงหยุนจะสกปรกแค่ใหน เธอยังคงกอดหลิงหยุนไว้แน่น เพราะกลัวว่าเขาจะหายไปอีก จากนั้นก็พูดขึ้นว่า

“นายกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่? กลับมาแล้วทำไมไม่โทรหาฉัน?”

หลิงหยุนอธิบายให้ฟังว่าโทรศัพท์ของเขาแบตหมดจึงโทรหาใครไม่ได้ เมื่อเห็นว่าฉางหลิงยังคงกอดเขาแน่นไม่ยอมปล่อย เขาจึงโอบเธอไว้และพากลับไปหาเหลียงเฟิงอี้

เหลียงเฟิงอี้มองดูหลิงหยุนที่ประคองฉางหลิงมา ก็ได้แต่นึกตำหนิในใจ และได้แต่แอบถอนหายใจ

หลิงหยุนจับฉางหลิงนั่งลงที่พื้นและพูดกับเธอว่า “คุณนั่งคุยกับน้าเล็กไปก่อน ไว้ให้ผมเสร็จภารกิจ พวกเราค่อยคุยกันต่อ”

“ได้สิ..”

ฉางหลิงตอบแต่มือยังคงจับแขนของหลิงหยุนไว้แน่นพร้อมกับทักทายเหลียงเฟิงอี้ และหันไปมองถังเมิ่งอย่างตกใจ

“ถังเมิ่ง.. นี่นายหายดีตั้งแต่เมื่อไหร่?” ฉางหลิงร้องถามด้วยสีหน้าตกใจสุดขีด

ตั้งแต่ถังเมิ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส และต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ฉางหลิงก็หมั่นไปเยี่ยมเยียนเขาอยู่หลายครั้ง และเธอย่อมดีว่าถังเมิ่งอาการสาหัสมากเพียงใด

ถังเมิ่งยิ้มให้พร้อมกับใช้มือลูบศรีษะโล้นๆของตัวเอง “พี่หยุนเป็นคนช่วยรักษาให้อาการบาดเจ็บให้!”

“แล้วหลิงหยุนกลับมาทำไมนายถึงไม่โทรบอกฉัน? นายนี่มันแย่ชะมัด!” ฉางหลิงจ้องมองถังเมิ่งอย่างไม่พอใจ

“เอ่อ.. ก็ตอนนั้นมันดึกมากแล้ว อีกอย่าง.. หลังจากนั้นฉันกับพี่หยุนก็มีแต่เรื่องยุ่งๆตลอด..”

แต่ถังเมิ่งก็ได้แต่คิดในใจว่า ‘เธอเองก็ไม่เคยบอกฉันว่าเป็นอะไรกับพี่หยุน ไม่งั้นก็คงจะส่งข้อความบอกไปแล้ว’

ด้านนอกฝูงชน เสียงรถเบรกดังเอี๊ยดลากเป็นทางยาว จนผู้คนต่างพากันหันหลังไปมอง และพวกเขาก็พบเห็นเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ราวกับตึกคนหนึ่งกำลังเดินออกมาจากรถ และเขาก็ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นตี้เสี่ยวอู๋นั่นเอง!

“พี่หยุน!”

ตี้เสี่ยวอู่ทั้งสูงใหญ่และดำคล้ำ เขามองหลิงหยุนที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนด้วยความตื่นเต้น

ใบหน้าของตี้เสี่ยวอู๋เต็มไปด้วยเหงื่อ แต่เขากลับไม่สนใจ ทันทีที่ก้าวลงจากรถ เขาก็รีบวิ่งฝ่าฝูงชนเข้าไปหาหลิงหยุนทันที แต่เพราะตี้เสี่ยวอู๋ต่างจากฉางหลิงมาก เพราะรูปร่างของเขาทั้งสูงใหญ่และกำยำ ทำให้ผู้คนต่างก็หวาดกลัวและพากันหลีกทางให้เองโดยไม่ต้องร้องขอ

“หมอนี่.. ดูเหมือนดารกะดายันจะก้าวหน้ามากแล้วสินะ นี่สามารถผ่านมาถึงสามระดับย่อยเชียวรึ..?”

ตี้เสียวอู๋วิ่งฝ่าฝูงชนเข้าไป เขาดึงร่างของตำรวจสองสามนายที่ขวางทางอยู่ออกไป พร้อมกับวิ่งตรงเข้าไปกอดหลิงหยุนทันที!

“พี่หยุน! กลับมาแล้วเหรอ? ฉันเป็นห่วงพี่แทบแย่.. ฉัน..”

ดวงตาที่ดุราวกับเสือของตี้เสี่ยวอู๋นั้นเริ่มมีน้ำตาเอ่อขึ้น และด้วยความตื้นตันเขาจึงพูดอะไรไม่ออกอีก

แต่ด้วยสายใยแห่งความเป็นพี่น้อง.. จึงไม่จำเป็นต้องมีคำพูดใดๆอีก!

“อยู่ในคุกเป็นไงบ้าง? มีใครทำอะไรนายรึเปล่า?” หลิงหยุนตบไหล่ของตี้เสี่ยวอู๋เบาๆ พร้อมกับถามด้วยความห่วงใย

ตี้เสี่ยวอู๋เช็ดน้ำตาพร้อมกับตอบไปว่า “ใครจะกล้า?! ฉันอยู่ในคุกก็ฝึกไปด้วย แต่ฉันก็มั่นใจว่ายังไงพี่ก็ต้องกลับมา..”

หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับบอกตี้เสียวอู่ว่า “หัวหน้าแก๊งมังกรเขียวก็มาที่นี่ นายไปพบและทักทายเขาหน่อยสิ..”

หากแก๊งมังกรเขียวกับหลิงหยุนเป็นศัตรูกัน แน่นอนว่าหลิงหยุนคงไม่ยอมให้ตี้เสี่ยวอู๋ทำเช่นนั้นแน่ แต่ตอนนี้พวกเขาต่างก็ยื่นมือเข้าช่วยเหลือหลิงหยุนอย่างไม่มีเงื่อนไข แม้แต่หลงคุนกับลูกสาวก็มาที่นี่ด้วยตัวเอง หลิงหยุนจึงต้องการให้ตี้เสี่ยวอู๋ได้กลับไปพบและทักทายเพื่อนเก่า

ตี้เสี่ยวอู๋ผละจากหลิงหยุนเข้าไปทำความเคารพหลงคุน “ลุงหลง.. ข้า..”

ทันทีที่ตี้เสี่ยวอู๋ปรากฏตัว หลงคุนก็เอาแต่หัวเราะ เมื่อเห็นตี้เสี่ยวอู๋เดินเข้ามาทำความเคารพและทักทายเขาเช่นนี้ หลงคุนจึงได้แต่พยักหน้าพร้อมกับตอบไปว่า

“เด็กน้อย.. เจ้าก้าวหน้าขึ้นมากเลยนะตั้งแต่ติดตามหลิงหยุน ต่อไปแก๊งมังกรเขียวคงต้องขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว..”

“….”

ตี้เสียวอู๋ถึงกับอึ้งไปและค่อนข้างงุนงงกับคำพูดของหลงคุน เขาไม่เข้าใจความหมายในคำพูดนั้น ในเมื่อเขาเลือกที่จะติดตามหลิงหยุน เหตุใดแก๊งมังกรเขียวยังต้องขึ้นอยู่กับเขาอีก?

หลงคุนนึกขึ้นมาได้ว่า นี่ไม่ใช่เวลาที่จะพูดถึงเรื่องนี้ “นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดเรื่องนี้ ตอนนี้เจ้าไปช่วยหลิงหยุนก่อนจะดีกว่า..”

ตี้เสี่ยวอู๋รับคำสั่งพร้อมกับเดินไปหาหลิงหยุนอย่างรวดเร็ว เขาส่งสายตาสำรวจเหตุการณ์รอบๆตัว ไม่เพียงแค่เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนมากมาย แต่ยังเห็นพี่น้องในแก๊งมังกรเขียวอีกหลายร้อยคน

เรื่องเกี่ยวกับแก๊งมังกรเขียวนั้น แน่นอนว่าตี้เสี่ยวอู๋รู้แทบทุกซอกทุกมุม

ตี้เสี่ยวอู๋ได้แต่นึกสยดสยองอยู่ในว่า ก่อนหน้านี้หลิงหยุนคงต้องเผชิญหน้ากับปัญหามากมาย!

“ตี้เสี่ยวอู๋.. นี่นายมาทันเวลาอาหารกลางวันพอดีเลย?” ถังเมิ่งหยอกเย้าตี้เสี่ยวอู๋พร้อมกับหัวเราะเสียงดัง

“นั่นสิ.. ฉันเองก็ยังไม่ได้กินอะไรเลย..”

ตี้เสียวอู่ยิ้มพร้อมกับต่อยถังเมิ่งด้วยความขุ่นเคือง “ถังเมิ่ง.. นายนี่แย่มาก ตั้งแต่ฉันถูกจับ นายไม่เคยไปเยี่ยมฉันเลย”

ความโกรธแค้นปะทุขึ้นในดวงตาของถังเมิ่ง “ไปเยี่ยมบ้าอะไรล่ะ? ฉันน่ะอาการสาหัสกว่านายอีก..! พอนายถูกจับ ฉันก็ถูกเสียเจิ้นเหยินกระทืบซะกระดูกหักจนต้องไปนอนโรงพยาบาลอยู่หลายวัน..

“ห๊ะ?! ไอ้สารเลว!” ตี้เสี่ยวอู่ร้องตะโกนออกมาอย่างโกรธแค้นเมื่อได้ฟังคำบอกเล่าของถังเมิ่ง เขาให้สัญญากับถังเมิ่งว่า

“ไม่ต้องห่วง.. ฉันจะไปล้างแค้นให้นายเอง!”

หลิงหยุนมองไปที่รถตำรวจที่เพิ่งมาถึงพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ และขัดขึ้นว่า

“เรื่องแก้แค้นไอ้กระจอกนั่นรอไว้ก่อน! ตอนนี้เรามาจัดการกับคนที่สั่งจับกุมนายก่อนจะดีกว่า!”

เสียงรถตำรวจเปิดไซเรนดังยาวขับตรงเข้ามายังฝูงชน ตำรวจสองนายเดินออกมาจากรถ หนึ่งในนั้นเดินตรงเข้าไปยืนอยู่หน้าหลัวจ้ง หลังจากพูดออกมาสองสามประโยค ก็ยื่นกุญแจสองดอกที่อยู่ในมือให้กับหลัวจ้ง

แทบไม่ต้องรอให้หลิงหยุนเดินเข้ามาหา หลัวจ้งเดินถือกุญแจทั้งสองดอกตรงไปหาหลิงหยุนพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า

“หลิงหยุน.. นี่เป็นกุญแจบ้านของเธอ ตอนนี้เรื่องเข้าใจผิดทั้งหมดก็ถูกแก้ไขแล้ว พวกเราก็รีบแยกย้ายเพื่อให้ทุกอย่างกลับคืนสู่ความสงบจะดีกว่า!”

พูดจบหลัวจ้งก็ส่งกุญแจสองดอกให้กับหลิงหยุน และร้องสั่งเจ้าหน้าที่ให้เตรียมแยกย้าย

หลิงหยุนโยนกุญแจใส่มือตี้เสี่ยวอู๋ และจับหลัวจ้งเบาๆ “ผู้อำนวยการหลัว ผมยังมีอีกเรื่อง และคุณคงต้องสนใจมาก..”

สีหน้าของหลัวจ้งเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทันที เขายิ้มให้หลิงหยุนอย่างกระอักกระอ่วน ก่อนจะพูดขึ้นราวกับขอร้อง

“หลิงหยุน.. กุญแจบ้านฉันก็คืนให้เธอแล้ว บัญชีธนาคารก็สั่งยกเลิกการการอายัดแล้ว อีกทั้งยังปล่อยตัวเพื่อนของเธอแล้ว.. แล้วยังจะ..”

“แกคิดว่าเรื่องจะจบแค่นี้หรือยังไง?”

หลิงหยุนเย้ยหยันก่อนจะสั่งถังเมิ่ง “เอาคลิปมาเปิดให้ผู้อำนวยการหลัวฟังซิ..”

ถังเมิ่งพยักหน้าอย่างตื่นเต้น และเริ่มเปิดคลิปคำสารภาพของกู่เหลียนซัน

“ได้โปรด.. หยุด.. หยุด.. อย่าเปิด!”

หลังจากที่ได้ยินเพียงแค่เล็กน้อย สีหน้าของหลัวจ้งก็เปลี่ยนไปทันที ดวงตาทีเต็มไปด้วยความตกใจของเขามองถังเมิ่งอย่างอ้อนวอน

และนี่คือระเบิดลูกใหญ่ที่หลิงหยุนเตรียมไว้ให้หลัวจ้อง!


บทที่ 382 : ลงมือคืนนี้!

“ได้โปรด.. งั้นเหรอ? ไม่มีประโยชน์หรอก.. มันช้าไปแล้วเว้ย!”

ถังเมิ่งจ้องหน้าหลัวจ้งอย่างแค้นใจ และพูดกับมันด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรังเกียจเหยียดหยัน

หลัวจ้งรีบหันไปมองหลิงหยุนพร้อมกับอ้อนวอนเสียงอ่อน “หลิงหยุน.. พวกเราไปหาที่อื่นคุยกันไม่ดีกว่าเหรอ?”

หลิงหยุนยิ้มมุมปากก่อนจะตอบไปด้วยน้ำเสียงค่อนข้างเบา “ตอนนี้แกรู้จักฉันดีหรือยัง? คิดจะจัดการกับฉันด้วยปืนกระจอกๆพวกนั้น ฉันจะบอกแกให้เอาบุญว่ายังห่างไกลนัก!”

“ฉัน.. ฉันผิดไปแล้ว! ฉันผิดไปแล้วจริงๆ..” น้ำเสียงของหลัวจ้งเต็มไปด้วยการวิงวอนร้องขอ

ในเมื่อเป็นฝ่ายเสียเปรียบและตกอยู่ในกำมือของอีกฝ่ายแล้ว เขาจึงไม่สนใจสถานะและตำแหน่งหน้าที่ที่สูงส่งของตนเองอีก หลัวจ้งจึงยอมก้มหัวงกๆให้กับหลิงหยุนอย่างสิโรราบ

“ไสหัวไปซะ!”

หลิงหยุนขี้เกียจที่จะฟังคำพูดไร้สาระของหลัวจ้งต่อ จึงรีบไล่เขาไป..

“พี่หยุน!”

เมื่อถังเมิ่งเห็นหลิงหยุนปล่อยหลัวจ้งไป ก็รู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมาทันที เพราะกว่าที่จะบีบหลัวจ้งให้จนมุมได้ หากปล่อยไปง่ายๆแบบนี้ ก็คงน่าเสียดายแย่

หลิงหยุนหันไปมองถังเมิ่งนิ่ง.. ถังเมิ่งจึงเริ่มเข้าใจว่าหลิงหยุนคงจะมีแผนอื่นรอรับอยู่ เขาจึงไม่พูดอะไรอีก

“แล้วคลิปนั่น..” หลัวจ้งพูดพร้อมกับมองไปยังโทรศัพท์ในมือของถังเมิ่ง

หลิงหยุนตอบกลับไปเพียงว่า “แกยังไม่รีบไสหัวไปอีกเหรอ? ฉันยุ่งมาก ไม่มีเวลามาฟังแกพล่ามไร้สาระหรอกนะ!”

หลิงหยุนพูดจบก็หันไปมองหัวหน้าแก๊งมังกรเขียว-หลงคุน และไม่สนใจหลัวจ้งอีก..

ดวงตาที่คมราวกับเหยี่ยวของตี้เสี่ยวอู๋จับจ้องอยู่ที่หลัวจ้ง และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ผู้อำนวยการหลัว.. ขอบคุณที่กักขังผมไว้ถึงสี่วันเต็มๆ ผม.. ตี้เสี่ยวอู๋รับรองว่าต้องตอบแทนคืนอย่างสาสมแน่!”

รูปร่างของตี้เสี่ยวอู๋นั้นสูงใหญ่กว่าหลัวจ้งมาก เขาจึงต้องโน้มตัวลงไปพูด และหลัวจ้งเองก็สัมผัสได้ถึงกระแสความดุร้ายที่แผ่ซ่านออกมา เขาถึงกับผงะและถอยหลังออกไปไกลถึงสองก้าว

หลัวจ้งจ้องมองหลิงหยุน ถังเมิ่ง และตี้เสี่ยวอู๋อยู่ครู่หนึ่งคล้ายครุ่นคิดอะไรอยู่ แต่แล้วก็กลับหน้าซีดขึ้นมาและร้องสั่งลูกน้องว่า

“ถอนกำลัง!”

ทันทีที่บรรดานักข่าวได้ยินว่าหลัวจ้งสั่งถอนกำลัง พวกเขาต่างก็เข้าไปรุมล้อมหลัวจ้งเพื่อสัมภาษณ์ แต่หลัวจ้งกลับเอาแต่เดินก้มหน้าไม่พูดไม่จา และผลักนักข่าวที่พากันกรูเข้ามารุมล้อมออกไป แล้วรีบเดินไปขึ้นรถตำรวจที่จอดอยู่ และรีบขับหนีนักข่าวอย่างรวดเร็ว

“เร็วเข้า.. รีบออกไปจากที่นี่!” ทันทีที่ขึ้นไปนั่งบนรถได้ หลัวจ้งก็ส่งคนขับรถทันที

รถตำรวจคันที่หลัวจ้งนั่งอยู่นั้น รีบกลับรถ และขับทะยานออกไปราวกับหมาป่าที่กำลังหนีการไล่ล่า!

ทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยพิเศษพร้อมอาวุธต่างก็ถอนกำลังออกจากที่เกิดเหตุด้วยความรู้สึกที่ไร้เกียรติและพ่ายแพ้อย่างยับเยิน

“ลุงหลงครับ.. ขอบคุณที่ช่วยเหลือผมในวันนี้ ถ้าวันนี้ไม่มีสมาชิกของแก๊งมังกรเขียวจำนวนมากมาย เรื่องราวอาจจะไม่จบลงราบรื่นแบบนี้แน่..” หลิงเอ่ยขอบคุณหลงคุณด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

ความสุภาพอ่อนน้อมของหลิงหยุนนั้น หลงคุนรับรู้ได้จากใจ เพราะลูกน้องที่เขานำมาด้วยนั้นแทบจะไม่ได้ช่วยเหลืออะไรหลิงหยุนเลย

หลิงคุนส่ายหน้าพร้อมตอบกลับไปอย่างยิ้มแย้มเช่นกัน “ไม่จริงหรอกหลิงหยุน.. เธอทำได้ดีมากต่างหาก เธอนี่เก่งมาก เก่งอย่างไม่น่าเชื่อ!”

“ไม่จริงหรอกครับลุงหลง.. หากไม่ใช่เพราะคุณลุงอยู่ที่นี่ หลัวจ้งคงจะไม่ยอมคุยกับผมดีๆแบบนี้แน่..”

หลิงหยุนพูดให้หน้าหลงคุนอีกครั้ง ก่อนจะพูดต่อว่า “ลุงหลงครับ.. วันนี้ผมยังมีธุระที่ต้องไปสะสางอีกมาก แต่ไม่มีคนเพียงพอที่จะจัดการกับขยะสองชิ้นนั่น..”

หลิงหยุนพูดคำว่าขยะสองชิ้นพร้อมกับโบ้ยปากไปทางกู่เหลียนซันและเถียนป๋อเตา..

หลงคุนเข้าใจคำพูดของหลิงหยุนได้ทันที เขาพยักหน้าพรัอมกับตอบไปว่า “ไม่เป็นไร.. เธอไปจัดการธุระของเธอให้เสร็จ ส่วนสองคนนั่นฉันจะเป็นคนจัดการให้เอง รับรองว่าพวกมันหนีไปใหนไม่ได้แน่..”

หลิงหยุนยิ้มออกมาพร้อมกับเอ่ยขอบคุณ “เป็นพระคุณมากครับลุงหลง ไว้ผมจัดการธุระเสร็จเรียบร้อยเมื่อไหร่ จะไปขอบคุณลุงหลงด้วยตัวเองอีกครั้ง”

หลงคุนพยักหน้ายิ้มๆ จู่ๆแขนยาวๆของหลงคุนก็เอื้อมไปคว้าตัวหลงหวู่เข้ามาพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“หลิงหยุน.. ฉันขอแนะนำเธออย่างเป็นทางการ นี่ลูกสาวของฉัน ชื่อ..หลงหวู่ หวังว่าพวกเธอทั้งคู่จะสามารถเข้ากันได้ดีนะ..”

“เอ่อ.. ครับผม.. ครับ!”

หลิงหยุนค่อนข้างงุนงงและไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรหลงคุนจึงต้องพูดว่า ‘เข้ากันได้ดี’ ออกมา แต่เขาก็ได้แต่พยักหน้ายิ้มๆ

หลงหวู่มองหลิงหยุนตาโต แต่จู่ๆก็ทำเสียงฮึดฮัดพร้อมกับเอยปากต่อว่าหลิงหยุน “หลิงหยุน.. นายสั่งให้คนตบหน้าฉัน ฉันจะคิดบัญชีนี้กับนายทีหลัง!”

เมื่อหลงหวู่พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ชายหนุ่มทั้งสามคนต่างก็ทำหน้าไม่ถูก เพราะตอนที่หลิงหยุนสั่งให้เสี่ยวเม่ยเม่ยตบหน้าหลงหวู่นั้น ทั้งตี้เสี่ยวอู๋และถังเมิ่งต่างก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วยทั้งคู่

แต่ชายหนุ่มทั้งสามคนก็ไม่เบาเลยทีเดียว เพราะการแสดงของพวกเขานั้นยิ่งกว่านักแสดงมืออาชีพ ทั้งสามคนต่างก็แสร้งทำเป็นมองหน้ากันด้วยสายตางุนงงไม่เข้าใจ และทำราวกับคนความจำเสื่อมที่จำอะไรไม่ได้แล้ว

หลงหวู่หันกลับไปมองเหลียงเฟิงอี้กับฉางหลิที่อยู่ไม่ไกลนัก จากนั้นก็หันกลับมามองหน้าหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“ส่วนบัญชีพวกนั้นก็จะเก็บไว้คิดกับนายทีหลังเหมือนกัน! ไปกันได้แล้ว!”

หลงคุนก้าวเข้าไปหาชายหนุ่มทั้งสามคนพร้อมพูดกับพวกเขาสองสามคำ จากนั้นก็ยิ้มและพยักหน้าให้กับหลิงหยุนและตี้เสี่ยวอู๋ ก่อนจะพาหลงหวู่เดินออกจากวงล้อมของฝูงชนและขึ้นรถกลับไป

ถังเมิ่งจ้องมองรถที่หลงคุนและหลงหวู่นั่งแล่นออกไปอย่างช้าๆ พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ

“พี่หยุน.. นี่มันเรื่องอะไรกัน? ฉันงงไปหมดแล้ว? ทำไมจู่ๆหัวหน้าแก๊งมังกรเขียวถึงได้ออกโรงช่วยพี่ด้วยตัวเอง และถึงกับประกาศตัวเป็นศัตรูกับหลัวจ้งอย่างไม่ลังเลด้วย?!”

หลิงหยุนมองตี้เสี่ยอู๋ด้วยสีหน้าประหลาดใจเช่นกัน “ฉันเองก็แปลกใจเหมือนกัน ฉันเดาว่าที่เขามาน่าจะเพราะต้องการรักษาหน้าของทายาทแก๊งมังกรเขียวอย่างตี้เสี่ยวอู๋นะ?”

ถังเมิ่งเองก็มองหลิงหยุนด้วยสายตางุนงงไม่ต่างจากตี้เสี่ยวอู๋พร้อมกับแย้งขึ้นว่า “เพราะตี้เสี่ยวอู๋งั้นเหรอ? เป็นไปไม่ได้! ตี้เสี่ยวอู๋ถูกจับไปขังที่สำนักงานรักษาความมั่นคงถึงสี่วัน แต่ไม่มีคนของแก๊งมังกรเขียวไปช่วยเขาเลยสักคน แต่พอพี่กลับมา หัวหน้าแก๊งมังกรเขียวถึงกับออกโรงมาช่วยด้วยตัวเอง.. เรื่องนี้น่าสงสัยมาก..”

ถังเมิ่งวิเคราะห์พร้อมกับมองหน้าตี้เสี่ยวอู๋ จากนั้นก็มองหน้าหลิงหยุนสลับกัน ก่อนจะพูดยิ้มๆว่า

“พี่หยุน.. ฉันว่านะ หัวหน้าแก๊งมังกรเขียวคงจะอยากได้พี่ไปเป็นลูกเขยแน่!”

หลิงหยุนกระพริบตาพร้อมกับร้องออกมาอย่างตกใจ “สมองนายนี่มีแต่เรื่องพวกนี้หรือยังไง? ระวังอย่าไปพูดให้หนิงน้อยได้ยินล่ะ ไม่งั้นนายซวยแน่..!”

หลิงหยุนนึกถึงเด็กสาวจอมวายร้ายแล้วก็ได้แต่เตือนถังเมิ่งให้ระวังคำพูด ไม่เช่นนั้นเสี่ยวเม่ยหนิงคงต้องเอาถังเมิ่งตายแน่

“พี่หยุน.. พี่อู๋.. หัวหน้าใหญ่สั่งให้เราสองคนมาพาตัวสองคนนั่นกลับไป? ถ้าพวกพี่ไม่มีอะไรกับมันสองคนแล้ว พวกเราจะได้พาตัวมันกลับไป..”

เมื่อหลงคุนกลับไป เขาก็ได้สั่งให้ลูกน้องสองคนให้จัดการพากู่เหลียนซันและเถียนป๋อเตาไปขังไว้

หลิงหยุนหันไปถามถังเมิ่งว่า “กุญแจบ้านหลังสุดท้ายของเถียนป๋อเตาอยู่ที่นายหรือยัง?”

ถังเมิ่งส่ายหน้าพร้อมกับตอบไปว่า “พี่หยุน.. ทั้งเนื้อทั้งตัวของมันมีแค่กางเกงในสีแดงตัวเดียว จะไปเอากุญแจบ้านมาจากใหนล่ะ?”

หลิงหยุนขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับสั่งว่า “ถ้างั้นหลังจากที่จัดการโอนบ้านหลังนั้นเรียบร้อยแล้ว ให้เปลี่ยนกุญแจบ้านก่อน จากนั้นค่อยประกาศขายทิ้ง แล้วค่อยเอาเงินจากการขายบ้านหลังนี้ไปซื้อบ้านหลังใหม่ให้กับหลิวลี่!”

ก่อนที่หลิงหยุนจะลงไปที่หลุมยักษ์ เขาได้ไปพบกับครอบครัวของหลิวลี่ และรับปากว่าจะซื้อบ้านหลังใหม่ให้ แต่จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่มีเวลาไปจัดการเลย เพราะมีเรื่องที่ต้องสะสางอีกมากมาย..

จากนั้นหลิงหยุนก็หันไปสั่งคนของแก๊งมังกรเขียวทั้งสองคน ให้นำตัวกู่เหลียนซันและเถียนป๋อเตากลับไปได้

เมื่อคนของแก๊งมังกรเขียวทั้งสองคนออกไปแล้ว หลิงหยุนก็หันไปพูดกับตี้เสี่ยวอู๋ว่า “ตี้เสี่ยวอู๋.. วันนี้เตาฉีก็ส่งคนของเขามาช่วย”

“ฉันเห็นแล้วพี่หยุน!” ตี้เสียวอู๋เงยหน้าขึ้นมอง ก็พบกับมังกรและพยัคฆ์

ตอนนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจต่างก็ถอนกำลังออกจากพื้นที่จนหมดแล้ว ส่วนพี่น้องแก๊งมังกรเขียวหลายร้อยคนก็ทยอยกลับไปแล้วเช่นกัน เหลือเพียงฝูงชนบางส่วน และนักข่าวจากสำนักต่างๆที่พากันกรูเข้ามาหลิงหยุน

“หลิงหยุน.. ตอนนี้คุณได้กลายเป็นฮีโร่ในสายตาของชาวบ้านแล้ว ไม่ทราบว่าคุณรู้สึกยังไงบ้างคะ?”

“หลิงหยุน.. พวกเราอยากให้คุณเปิดเผยว่า คุณทำการรื้อถอนบ้านทั้งสองหลังด้วยมือเปล่าได้ยังไงกัน?”

“หลิงหยุน.. คุณช่วยนำไข่มุกราตรีในตำนานออกมให้พวกเราได้ชมอีกครั้งจะได้ไม๊ครับ?”

“หลิงหยุน.. ทำไมคนของแก๊งมังกรเขียวถึงเลือกที่อยู่ข้างคุณ? คุณกับแก๊งมังกรเขียวมีความสัมพันธ์กันยังไงคะ?”

…………….

นักข่าวต่างพากันรุมล้อมหลิงหยุน และยื่นไมโครโฟนพร้อมกับคำถามที่ตามมามากมาย

หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า นักข่าวพวกนี้ช่างน่ากลัวจริงๆ เขาเพียงแค่ยิ้มบางๆ และเลือกที่จะปฏิเสธการให้สัมภาษณ์และตอบคำถามใดๆ

ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะแล้ว เขาก็ไม่จำเป็นต้องพูดและอธิบายอะไรอีก และสำหรับเรื่องของหลัวจ้งนั้น เขาก็ได้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการไปเรียบร้อยแล้ว โดยไม่ต้องใช้ความพยายามมากมายอะไรนัก

หลิงหยุนยกมือขึ้นแหวกวงล้อมของนักข่าวอย่างเบามือไม่ต่างจากกำลังแหวกวกิ่งไม้ที่ขวางหน้า และเพียงไม่นานเขาก็ฝ่าวงล้อมของนักข่าวออกไปได้

เขารีบวิ่งไปหาเหลียงเฟิงอี้และฉางหลิงพร้อมกับยิ้มให้ทั้งคู่ “เอาล่ะ.. ที่นี่ไม่มีอะไรแล้ว พวกเรากลับกันดีกว่า”

“ที่นี่มีคนมากเกินไป ผมจะออกไปก่อน และจะรอพวกคุณอยู่ที่หน้าทางเข้าหมู่บ้าน”

จากนั้นหลิงหยุนก็สั่งให้ตู้กู่โม่นำหน้าไปก่อน ส่วนฝูงชนที่เห็นหลิงหยุนกำลังจะเดินทางกลับ ต่างก็พากันหลีกทางให้ และบางคนถึงกับปรบมือให้พร้อมกับเอ่ยชื่นชม

“หลิงหยุน.. เธอเก่งมาก!”

“หลิงหยุนช่วยพวกเราจัดการกับมัจจุราชเถียน เขาคือฮีโร่ของพวกเรา!”

“คราวนี้พวกเราคงจะได้เงินชดเชยค่ารื้อถอนเพิ่มมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนแล้ว”

หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้ทุกคน และรีบเดินฝ่าฝูงชนออกไป เขาเร่งฝีเท้าและเพียงแค่สองนาทีก็เดินออกมาถึงหน้าหมู่บ้าน

หลิงหยุนวิ่งตามตู้กู่โม่มาอย่างรวดเร็ว และทั้งคู่ก็ไปถึงรถฮัมเมอร์เกือบจะพร้อมกัน ตู้กู่โม่พูดกับหลิงหยุนราวกับคนขวัญอ่อน

“หลิงหยุน.. ข้าตกใจแทบแย่ นึกว่าเจ้าจะจัดการฆ่าตำรวจพวกนั้นกลางวันแสกๆซะอีก!”

หลิงหยุนเกาศรีษะพร้อมกับพูดขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ “ก็ถ้าหลัวจ้งมันไม่ฉลาด และยืนยันที่จะจับฉันให้ได้ ฉันก็จะฆ่าพวกมันแน่!”

ตู้กู่โม่พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาและไม่พอใจ “นี่เจ้าทำแบบนั้นไม่ได้นะ.. ถ้าบรรดาผู้อาวุโสในตระกูลเห็นข้าทำแบบนั้นเข้า มีหวังพวกเขาคงต้องขับไล่ข้าออกจากตระกูลแน่..”

หลิงหยุนมองตู้กู่โม่อย่างครุ่นคิดก่อนจะยิ้มอย่างสบายอกสบายใจ และพูดขึ้นว่า “แล้วคืนนี้ล่ะ.. นายจะลงมือฆ่าคนได้ไม๊?”


บทที่ 383 : เตรียมตัวตาย!

มาถึงเวลานี้.. ทั้งหลิงหยุนและตระกูลซันต่างก็ต้องตายกันไปข้างหนึ่ง ไม่มีทางที่จะอยู่ร่วมโลกกันได้ หลิงหยุนตัดสินใจที่จะไปช่วยเฉิงเม่ยเฟิงและคนในครอบครัวของเธอภายในคืนนี้

ดังนั้น การตัดสินใจบุกเข้าตระกูลซันในคืนนี้ สำหรับหลิงหยุนแล้วมีจุดประสงค์เพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ.. สังหารคนในตระกูลซันให้สิ้นซากไปจากจิงฉู

ตู้กู่โมยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า “ตราบใดที่การสังหารไม่ได้เกิดขึ้นต่อหน้าประชาชนคนธรรมดา ข้าก็ไม่มีปัญหาอะไรที่จะตามเจ้าไปร่วมสังฆกรรมด้วย!”

ไม่นาน.. ทั้งตี้เสี่ยวอู๋กับถังเมิ่งต่างก็ตามมาถึงที่หน้าทางเข้าหมู่บ้านหลินเจียง และตามมาด้วยเหลียงเฟิงอี้กับฉางหลิง พร้อมด้วยนักข่าวสาวคนสวยที่ชื่อซูหลิงเฟย

ทันทีที่มาถึงทางเข้าหมู่บ้าน ฉางหลิงก็แทบจะพุ่งตรงเข้าไปหาอ้อมแขนของหลิงหยุน แต่เมื่อเห็นถังเมิ่งกับตี้เสี่ยวอู๋ยืนขยาบข้างหลิงหยุนอยู่ เธอก็ได้แต่ชะงักพร้อมกับใบหน้าที่เริ่มแดง

“หลิงหยุน.. แล้วนี่นายจะไปใหนต่อ?” ฉางหลิงกระซิบถามหลิงหยุนพร้อมกับก้มหน้าลงอย่างเอียงอาย

หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับยกนิ้วชี้เข้ามาหาตัวเองและตอบกลับไปว่า “ตัวผมสกปรกแบบนี้ จะให้ไปใหนได้ล่ะ? ก็ต้องกลับบ้านไปอาบน้ำน่ะสิ!”

ฉางหลิงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น และในใจอยากจะร้องบอกไปว่า ‘ฉันไปด้วย!’ แต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าคงจะดูใม่เหมาะสม เธอจึงได้แต่กลืนคำพูดดังกล่าวกลับลงคอไป

หลิงหยุนพูดต่อด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “เอาล่ะ.. พวกเรากลับเข้าเมืองกันก่อนดีกว่า ว่าแต่พวกคุณจะกลับยังไง?”

หลิงหยุนถามฉางหลิง แต่กลับส่งสายตาไปทางเหลียงเฟิงอี้เป็นเชิงถาม

“ฉางหลิง.. เธอกลับรถน้าเล็ก..” เหลียงเฟิงอี้ถึงกับอึ้งเมื่อเห็นสายตาของหลิงหยุน และรีบดึงฉางหลิงกลับมา

ฉางหลิงต้องการไปรถคันเดียวกับหลิงหยุน แต่เธอสัมผัสได้ว่าตู้กู่โม่ที่มากับหลิงหยุนดูเหมือนจะมีท่าทางอึดอัด และตอนนี้เหลียงเฟิงอี้ก็ดึงตัวเธอไปแล้ว จึงได้แต่ร้องบอกหลิงหยุนว่า

“นายอย่าลืมเปิดโทรศัพท์มือถือไว้ล่ะ!”

เมื่อเช้านี้หลิงหยุนไม่ได้หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาด้วย หากเขายังขืนไม่เปิดโทรศัพท์อีก หนิงหลิงยู่และเสี่ยวเม่ยหนิงอาจจะเป็นห่วง และคิดว่าเขาเป็นอะไรไปอีกแน่ หลิงหยุนไม่ต้องการให้ทั้งคู่ต้องเป็นกังวลในตัวเขาอีก

ฉางหลิงเดินขึ้นรถของเหลียงเฟิงอี้ไป ส่วนเหลียงเฟิงอี้ก็จ้องมองหลิงหยุนอย่างครุ่นคิดก่อนที่จะตามเข้าไปนั่งและสตาร์ทรถ

หลายสิ่งหลายอย่างเริ่มซับซ้อน และเริ่มมีเรื่องราวมากมาย หลิงหยุนได้แต่ครุ่นคิด แล้วจึงหันกลับไปสั่งถังเมิ่งให้ออกรถ

“พี่หยุน.. เมื่อครู่มีนักข่าวมากมาย ทำไมพี่ถึงไม่ให้ฉันเปิดคลิปคำสารภาพของกู่เหลียนซันล่ะ?” ถังเมิ่งถามขึ้นทันทีที่หลิงหยุนเข้ามาในรถ

หลิงหยุนที่นั่งอยู่เบาะหลังคู่กับตู้กู่โม่ตอบกลับไปเสียงเบา “มันก็เป็นแค่คลิปที่บันทึกคำสารภาพ คลิปนั่นคงจะไม่สามารถทำอะไรหลัวจ้งได้มากนัก และต่อให้บรรดานักข่าวได้ยิน พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะนำไปออกอากาศอยู่ดี”

“ไว้รอให้จัดการถล่มตระกูลซันเสร็จก่อน ถึงตอนนั้นค่อยเอาคลิปคำสารภาพนี่ให้พ่อของนายกับลุงหลี่ ฉันเชื่อว่าหากทั้งคู่ได้คลิปเสียงนี่ไป พวกเขาก็คงจะมีวิธีการจัดการกับหลัวจ้งได้อย่างแน่นอน!”

เมื่อถังเมิ่งได้ฟังคำอธิบายจากปากของหลิงหยุน เขาก็ได้แต่นึกในใจว่า ‘สมกับเป็นลูกพี่.. คิดได้เหนือกว่าฉันหนึ่งขั้นเสมอ!’

“โอ้โหพี่หยุน.. นายนี่โคตรมหัศจรรย์เลย! รับรองได้ว่าถ้าพ่อของฉันกับลุงหลี่กลับคืนตำแหน่งได้เมื่อไหร่ พวกเขาต้องมีวิธีที่จะกำจัดหลัวจ้งได้แน่ และหากการสอบสวนเริ่มขึ้นเมื่อไหร่แล้วล่ะก็ รับรองว่าทั้งสองคนต้องจัดหนักอย่างแน่นอน!”

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับสั่งถังเมิ่งให้ขับรถกลับไปที่อพาร์ทเมนท์ แล้วจึงถามต่อว่า “ถังเมิ่ง.. ตอนนี้บ้านทั้งสองหลังของฉันตกแต่งไปถึงใหนแล้ว?”

ถังเมิ่งตอบกลับยิ้มๆ “พี่หยุน.. ก่อนที่จะเกิดเรื่องกับฉันและตี้เสี่ยวอู๋ บ้านทั้งสองหลังก็ตกแต่งเกือบเสร็จแล้วล่ะ ฉันใช้เงินไปเกือบสามสิบล้าน รับรองว่าพี่เห็นแล้วต้องพอใจมากแน่!”

หลิงหยุนฟังถังเมิ่งพูดแล้วก็ได้แต่ปวดใจ จนถึงกับต้องร้องออกมาเสียงดัง “ถังเมิ่ง.. นี่นายใช้เงินไปเกือบสามสิบล้าน?! นั่นมันเงินฉันนะ!”

ถังเมิ่งตอบกลับไปยิ้มๆ “ก็พี่ให้ฉันมาแปดล้านก่อน จากนั้นก็ให้อีกห้าล้าน หนิงน้อยให้มาอีกยี่สิบล้าน แต่ตอนตกแต่งบ้านเลขที่-1ของพี่น่ะสิ หนิงน้อยมาคุมด้วยตัวเองเลย ความจริงเธออยากใช้เงินตกแต่งมากกว่านี้ เพราะดูเหมือนจะยังไม่ค่อยพอใจ!”

หลิงหยุนพยักหน้าอย่างช่วยไม่ได้ อีกอย่างก็เป็นเงินของเธอเอง จากนั้นหลิงหยุนก็ถามต่อว่า

“งั้นก็แสดงว่าบ้านฉันก็เข้าไปอยู่ได้แล้วสิ?”

ถังเมิ่งและตี้เสี่ยวอู๋ต่างก็พยักหน้าพร้อมกันทั้งคู่ ถังเมิ่งพูดต่อว่า “แน่นอน.. ตอนนี้บ้านของพี่ตกแต่งใหม่จนเสร็จทุกห้องแล้ว..”

หลิงหยุนจึงถามเรื่องรถแลนด์โรเวอร์ของเขาต่อ ถังเมิ่งตอบกลับมาว่าตอนนี้รถจอดอยู่ที่บ้านแม่ของเขาแล้ว หลิงหยุนจึงรู้สึกโล่งอก

“แล้วเมื่อครู่จัดการไถเถียนป๋อเตามาได้เท่าไหร่ล่ะ?”

“บ้านหลังที่สามหนึ่งกลังกับเงินในบัญชีอีกเก้าล้าน!” ถังเมิ่งตอบยิ้มๆ

หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับคิดว่าไม่เลวเลย! จากนั้นก็สั่งตี้เสี่ยวอู๋และถังเมิ่งว่า

“วันมะรืนค่อยไปจัดการสะสางบัญชีกับบริษัทชิงหยุนโปรดักชั่น ครั้งนี้ฉันไม่ปราณีพวกมันเหมือนครั้งที่แล้วแน่ ฉันต้องจัดการหวงเฟยหยางให้หนักกว่าครั้งแรกแน่!”

ถังเมิ่งร้องออกมาอย่างตื่นเต้น “ไปสะสางกับบริษัทชิงหยุนโปรดักชั่นงั้นเหรอ.. เยี่ยมเลย!”

หลิงหยุนพูดยิ้มๆ “เรามีเอกสารกู้ยืมที่มันทำไว้ครั้งที่แล้วใช่ไม๊? ครั้งนี้ฉันจะจัดการให้พวกมันชดใช้หนี้ตามเอกสารกู้ยืม ไม่ให้พลาดแม้แต่หยวนเดียวเลยล่ะ!”

หลังจากจบเรื่องนี้ หลิงหยุนก็หันไปอบรมตี้เสี่ยวอู๋ “ตี้เสี่ยวอู๋.. นายนี่โง่ชะมัด! นายอยู่ในแก๊งมังกรเขียวมาตั้งหลายปี ทำไมยังปล่อยให้ตำรวจจับตัวไปได้อีก?”

ตี้เสี่ยวอู๋เกาศรีษะพร้อมกับตอบไปว่า “พี่หยุน.. ตอนแรกฉันก็คิดจะหนี แต่กลัวว่ามันจะพัวพันไปถึงพี่ด้วย! ฉันกลัวว่าถ้าฉันหนีไป.. พอพี่กลับมาพวกมันจะไปจับพี่แทน”

“อีกอย่าง.. ตอนที่พวกมันมาจับฉัน ก็มีตำรวจพร้อมอาวุธถึงยี่สิบนายล้อมตัวฉันไว้ แล้วพวกมันก็ใช้ปืนจี้จับตัวฉันไปโดยไม่สอบถามอะไรด้วยซ้ำ”

หลิงหยุนได้แต่นิ่งฟังเงียบๆก่อนจะพูดต่อว่า “นั่นเพราะนายยังไม่เก่งพอ ถ้านายเก่งพอ คนพวกนั้นไม่มีทางทำอะไรได้? พวกมันจะไม่อยู่ในสายตาของนายแม้แต่น้อย!”

ทำไมผู้ที่ฝึกวรยุทธและกำลังภายใน จึงไม่ควรแสดงตนต่อหน้าคนธรรมดา และไม่ควรใช้กำลังกับคนธรรมดา? หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า.. เป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลสิ้นดี!

แม้แต่ตู้กู่โม่ที่พูดว่าจะไม่รังแกคนธรรมดาที่ไม่มีวรยุทธนั้น หากต้องเผชิญหน้ากับตำรวจพร้อมอาวุธครบมือที่จะเข้ามาจับกุมหรือยิงเขา หลิงหยุนก็ไม่เชื่อว่าตู้กู่โม่จะยอมอยู่นิ่งๆให้ตำรวจจับตัวไป!

วันนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่หลัวจ้งพามาด้วยนั้นไม่สามารถยิงได้เพราะมีฝูงชนมุงดูอยู่เป็นจำนวนมาก และหลิงหยุนก็แสดงให้หลัวจ้งเห็นว่าเขามีความสามารถที่จะทำให้หลัวจ้งตายได้ในทันที ทำให้หลัววจ้งไม่กล้าใช้กำลังล้อมจับหลิงหยุน หากหลัวจ้งกล้าใช้กำลังกับหลิงหยุนจริง เขาก็จะจับหลัวจ้งนี่ล่ะเป็นตัวประกัน และใช้เป็นเครื่องมือต่อรอง

“แล้วมีข่าวคราวจากเฉิงเม่ยเฟิงบ้างไม๊?”

ตอนนี้หลายเรื่องก็ถูกจัดการจนเกือบหมดแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดในเวลานี้คือการไปช่วยเฉิงเม่ยเฟิง..

ถังเมิ่งส่ายหน้าทันที “ยังไม่ได้ข่าวอะไรเลย! ตั้งแต่พี่สะใภ้กลับไปบ้านก็หายเงียบไปเลย จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าวคราวเลย”

หลิงหยุนพยักหน้า และสายตาของเขาก็เต็มไปด้วยรังสีของฆาตรกรและการสังหาร!

ตู้กู่โม่สัมผัสได้ถึงรังสีแห่งการสังหารที่แผ่ออกมาจากตัวหลิงหยุน เขาได้แต่เป่าปากพร้อมกับนึกถึงภาพที่หลิงหยุนฆ่ายอดฝีมือในป่าเสินหนงเจี๋ย

สัญญาณเช่นนั้นบ่งบอกว่าหลิงหยุนได้ตัดสินใจแน่วแน่แล้ว และยอดฝีมืออย่างตู้กู่โม่เองก็ได้แต่ถอนหายใจ!

‘คืนนี้ตระกูลซันคงต้องสิ้นชื่อแล้ว..’ ตู้กู่โม่ได้แต่ส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจ และเริ่มหลับตาลง

ทั้งสี่คนมุ่งหน้าไปยังอพาร์ทเมนท์ และทันทีที่ไปถึงหลิงหยุนก็รีบตรงเข้าไปอาบน้ำทันที เขาจัดการชำระล้างฝุ่นที่ติดอยู่เต็มร่างกายออก จากนั้นก็เปลี่ยนใส่ชุดกีฬาชุดใหม่ แล้วเดินมานั่งที่ห้องนั่งเล่น

หลิงหยุนยังคงกระวนกระวายใจอยู่มาก เพราะหลายสิ่งที่เขาลงมือจัดการไปแล้วนั้นก็เป็นเพียงแค่เรื่องเล็กๆ แต่เฉิงเม่ยเฟิง เสี่ยวเม่ยเม่ย และเกาเฉินเฉินก็ยังคงเงียบหายไปอย่างไร้ร่องรอย และไร้ข่าวคราว ทำให้หลิงหยุนอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้

แต่โชคดีที่เกาเฉินเฉินนั้นกลับไปที่บ้าน จึงไม่น่ามีอันตรายอะไรถึงชีวิต!

ส่วนเฉิงเม่ยเฟิงนั้น ชัดเจนแล้วว่าตระกูลซันเป็นผู้จับตัวไป และพวกมันก็กำลังรอให้หลิงหยุนบุกเข้าไปช่วยด้วยตัวเอง หากซันเทียนเปียวมีสมองแม้แต่น้อยนิด เฉิงเม่ยเฟิงก็ต้องยังไม่ตาย

ทางด้านเสี่ยวเม่ยเม่ยนั้นแตกต่างจากคนอื่นอย่างสิ้นเชิง! เพราะหลิงหยุนค่อนข้างมั่นใจถึงเก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์ว่า เธอจะต้องถูกองค์กรนักฆ่าจับตัวไป และคนพวกนั้นล้วนแล้วแต่เป็นนักฆ่าเลือดเย็น!

แม้ว่าความสนิทสนมระหว่างหลิงหยุนกับเสี่ยวเม่ยเม่ยจะเกิดขึ้นเพราะเธอคือนักฆ่าที่ถูกส่งมาสังหารหลิงหยุนก็ตาม แต่ทั้งคู่ก็ผ่านอันตรายถึงขั้นเฉียดความเป็นความตายมาด้วยกัน และเธอเองก็เกือบจะเสียชีวิตเพราะปกป้องเฉิงเม่ยเฟิง

อีกทั้งเขากับเสี่ยวเม่ยเม่ยก็ถึงขั้นถึงเนื้อต้องตัวกันแล้ว แม้ว่าหลิงหยุนจะยังไม่ได้สอดใส่เข้าไปในร่างกายของเธอ แต่เพียงแค่นั้นก็นับได้ว่าเธอเป็นผู้หญิงของหลิงหยุนไปแล้ว และตอนนี้เธอก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยและไร้ข่าวคราว มีหรือที่หลิงหยุนจะไม่เป็นห่วง?

“พี่หยุน.. นายต้องเปิดโทรศัพท์แล้วนะ หนิงน้อยโทรติดต่อพี่ไม่ได้เมื่อเช้าก็โทรเข้ามาด่าฉันแทน!”

เมื่อหลิงหยุนออกมาจากห้องน้ำ ถังเมิ่งก็รีบร้องบอกหลิงหยุนด้วยน้ำเสียงขมขื่นหลังจากที่ถูกเสี่ยวเม่ยหนิงต่อว่า

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับพยักหน้า และรีบไปหยิบโทรศัพท์ที่ชาร์จแบตไว้ออกมาเปิดทันที จากนั้นก็โทรหาเสี่ยวเม่ยหนิงบอกเธอให้สบายใจ แล้วจึงคุยกับหนิงหลิงยู่และเหยาลู่อีกสองสามคำ แต่ความจริงแล้ว พวกเธอเมื่อได้ยินเสียงของหลิงหยุนแล้ว ต่างก็ถอนหายใจกันด้วยความโล่งอก แล้วก็วางสายไป

“ไปหาอะไรอร่อยๆกินกันดีกว่า! เสร็จแล้วกลับไปที่บ้านของฉัน!” หลิงหยุนร้องบอกทั้งสามคน

“นี่หนุ่มๆ ข้าแค่ทิ้งพวกเจ้าให้จัดการกับปัญหาตอนเช้ากันลำพัง ถึงกับลืมชวนคนแก่ไปกินข้าวด้วยเชียวเหรอ น่าตีจริงๆ!”

ทันทีที่หลิงหยุนพูดจบ เสียงชายสูงอายุก็ดังออกมาจากสนามหญ้าด้านล่าง เขาก็คือเหล่ากุ่ยนั่นเอง!

หลิงหยุนหัวเราะอย่างมีความสุข “เหล่ากุ่ย.. ข้าเองก็อยากติดต่อท่านแต่ก็ไม่รู้จะติดต่อได้ยังไง?”

เหล่ากุ่ยหัวเราะ และส่งกระแสจิตบอกวิธีการติดต่อเขาให้กับหลิงหยุนรู้เพียงคนเดียว และสั่งหลิงหยุนว่าไม่ให้บอกผู้อื่น

หลิงหยุนจำได้อย่างแม่นยำ และรีบเชื้อเชิญเหล่ากุ่ยให้ออกไปทานข้าวด้วยกัน!

ทั้งห้าคนเดินออกจากอพาร์ทเมนท์ และขับรถไปหาอาหารมื้อใหญ่กินกันที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ทั้งหมดใช้เวลาในการกินไปเพียงแค่ชั่วโมงครึ่ง จากนั้นก็พากันมุ่งหน้าไปที่บ้านของหลิงหยุน

หลิงหยุนลงจากรถ และทันทีที่เขาเปิดประตูบ้านเข้าไป เงาสีขาวก็พุ่งเข้ามาหาเขาทันที เจ้าขาวปุยกระโดดออกมาจากลานบ้าน และกระโจนเข้ามาในอ้อมแขนของหลิงหยุนทันที

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับอุ้มเจ้าขาวปุยไว้ในอ้อมแขน และให้ตี้เสี่ยวอู๋เชิญทุกคนเข้าไปข้างใน

ภายในรั้วและนอกรั้วนั้นต่างกันราวกับคนอยู่คนละโลก!

ทันทีที่หลิงหยุนเดินเข้าไปในบ้าน เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังชีวิตจำนวนมาก เขาไม่จำเป็นต้องทำการดูดซับด้วยซ้ำ แต่พลังชีวิตเหล่านั้นกลับซึมซับเข้าไปในร่างกายของเขาได้เอง!

โดยปกติหลิงหยุนจะดูดซับพลังชีวิตพวกนี้อย่างบ้าคลั่ง แต่ตอนนี้จุดตันเถียนของเขาเต็มไปด้วยพลังและเส้นลมปราณก็แข็งแกร่ง อีกทั้งร่างกายของเขาก็สามารถซึมซับพลังชีวิตได้เอง!

หลิงหยุนสำรวจเจ้าขาวปุยที่เริ่มจะดูเหมือนคนมากขึ้นไปทุกที เขาเลิกคิ้วขึ้นสูง เพราะรู้ว่าเจ้าขาวปุยพร้อมที่จะกลายร่างได้ตลอดเวลา

จนป่านนี้หลิงหยุนยังไม่สามารถหาสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับให้เจ้าขาวปุยฝ่าด่านทดสอบที่แสนโหดเหี้ยมจากสวรรค์ได้เลย และเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าขาวปุยจะกลายร่างในบ้านหลังนี้ เพราะบ้านของเขาทั้งหลังจะต้องพังทลายยับเยินภายในเวลาเพียงแค่ชั่วพริบตา!

“นี่.. หลิงหยุน.. ที่ลานบ้านของเจ้า..”

ทันทีที่เข้าไปในบ้าน ทั้งเหล่ากุ่ยและตู้กู่โม่ต่างก็มองหน้ากันด้วยความตกใจ และทั้งคู่ต่างก็เห็นแววตาตื่นเต้นของกันและกัน!

ชำระกายเพื่อบ่มเพาะกำลังภายในหรือชี่ จากนั้นชำระชี่เพื่อบ่มเพาะจิตวิญญาณ เมื่อเข้าสู่ขั้นของการบ่มเพาะจิตวิญญาณ และเมื่อฝึกฝนต่อไปก็จะสามารถเข้าถึงขั้นที่มีความแข็งแกร่งทั้งภายในและภายนอก

ภายในและภายนอกเปรียบเหมือนสวรรค์กับโลก ที่แตกต่างกันเพียงแค่ชื่อเรียกและลักษณะ แต่แก่นแท้นั้นล้วนเป็นสิ่งเดียวกัน

หลิงหยุนเปลี่ยนลานบ้านให้กลายเป็นหลุมพลัง เขาไม่ได้กลับมาดูดซับพลังชีวิตที่นี่นานถึงเจ็ดวัน พลังชีวิตภายในลานบ้านตอนนี้จึงเข้มข้นอย่างมาก

หลิงหยุนหันไปบอกเหล่ากุ่ยกับตู้กู่โม่ว่า “ไม่ได้กลับมาที่นี่ซะหลายวัน ตอนนี้ลานบ้านกลับกลายเป็นลานฝึกวรยุทธอย่างดี ขอเชิญฝึกกันได้ตามสบาย รับรองว่าจะช่วยให้กำลังภายในรุดหน้าได้รวดเร็วกว่าเดิมหลายเท่ามาก!”

“แต่สำหรับเหล่ากุ่ย..”

หลิงหยุนพูดมาถึงตอนนี้ก็เปลียนมาใช้กระแสจิตคุยกับเหล่ากุ่ยแทน

‘ร่างกายของท่านเคยได้รับบาดเจ็บภายในสาหัสมาก่อน จึงมีผลกระทบกับเส้นลมปราณและจุดตันเถียน ส่งผลให้การฝึกเป็นไปอย่างลำบาก และยากที่จะผ่านเข้าสู่ขั้นที่สูงขึ้นไปได้ ถ้าท่านเชื่อใจข้า ข้าสามารถรักษาอาการบาดเจ็บนั้นให้หายได้’

“อ่อ..”

เหล่ากุ่ยถึงกับอึ้ง เขามองหลิงหยุนด้วยแววตาประหลาดใจและตกใจอย่างมาก ‘นี่พี่อหนุ่ม.. เจ้ามองออกด้วยรึว่าข้าได้รับบาดเจ็บภายใน?’

จากการต่อสู้ที่ดุเดือดเมื่อสิบแปดปีที่แล้ว คนในตระกูลหลิงล้วนแล้วแต่ได้รับบาดเจ็บสาหัสกันทุกคน แม้แต่เหล่ากุ่ยเองก็ไม่เว้น และตั้งแต่นั้นมาเขาเองก็ไม่สามารถก้าวข้ามขั้นที่เป็นอยู่นี้ได้มาเป็นเวลานานถึงสิบกว่าปีแล้ว!

หลิงหยุนหัวเราะแต่ไม่พูดอะไร แต่สีหน้าท่าทางของเหล่ากุ่ยนั้นกลับเต็มไปด้วยคำถามมากมาย

และไม่ต้องรอให้หลิงหยุนบอก ตู้กู่โม่ไปหาที่สำหรับนั่งฝึกเรียบร้อยแล้ว..

หลิงหยุนพาเหล่ากุ่ยไปที่ห้องนั่งเล่นและสั่งตี้เสสี่ยวอู๋ว่า “นายไปจัดการหาเลือดสุนัขให้ฉันครึ่งถ้วย!”

คืนนี้ยังมีการต่อสู้ที่ต้องเอาชีวิตเขาแลกรออยู่ หลิงหยุนไม่ต้องการพลาดพลั้งเหมือนครั้งที่แล้วอีก ครั้งนั้นเขามียันต์อัคนีมากมายแต่กลับขาดแคลนยันต์บำบัด ครั้งนี้เขาจึงจำเป็นต้องเตรียมยันต์บำบัดไปให้พอ

แต่ตอนนี้พู่กันจักรพรรดิได้ไปอยู่ในหว่างคิ้วของหลิงหยุนแล้ว และเวลานี้เขาเองก็ไม่มีจิตหยั่งรู้จึงไม่สามารถรับรู้ได้ เขาเคยพยายามเรียกพู่กันจักรพรรดิออกมา แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ

แต่ถึงแม้เขาจะไม่สามารถเรียกพู่กันจักรพรรดิออกมาใช้ได้ หลิงหยุนก็ได้เข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นปรับร่างกาย-4แล้ว อีกทั้งร่างกายของเขาก็มีพลังชีวิตหมุนเวียนอยู่ตลอด ต่อให้เขาใช้พู่กันขนหมาป่าธรรมดาแทน เขาก็น่าจะเขียนยันต์บำบัดในระดับเดียวกับที่ใช้พู่กันจักรพพรรดิเขียน

“เหล่ากุ่ย.. ข้าจะรักษาให้ท่านก่อน!”


บทที่ 384 : รักษาเหล่ากุ่ย

บ้านเลขที่-1 หลังนี้ มีเนื้อที่ทั้งหมดสีพันแปดร้อยตารางเมตร และตัวบ้านนั้นเป็นบ้านสองชั้น มีพื้นที่ใช้สอยกว่าหนึ่งพันสามร้อยตารางเมตร กว้างสามสิบเมตร และยาวสี่สิบเมตร

ห้องที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ที่สุดของชั้นล่างก็คือห้องนั่งเล่นที่ใหญ่โตถึงสี่ร้อยตารางเมตร นอกนั้นก็จะเป็นห้องครัวที่ค่อนข้างกว้างใหญ่ ห้องทานข้าวที่สว่างสดใส ห้องน้ำที่ใหญ่โตหรูหรา ห้องหนังสือ ห้องออกกำลังกาย และห้องพักสำหรับแขกเหรื่อ

ห้องหนังสือและห้องออกกำลังกายของหลิงหยุนนั้นแยกเป็นสัดส่วนกับห้องนั่งเล่น เรียกได้ว่าอยู่กันคนละฟากของตัวบ้านก็ว่าได้ แต่ห้องหนังสือของหลิงหยุนที่ว่ากว้างใหญ่ถึงหนึ่งร้อยตารางเมตรนั้น ยังเทียบกับห้องออกกำลังกายของเขาไม่ได้ เพราะมีพื้นที่กว้างใหญ่มากถึงสองร้อยตารางเมตร

สระว่ายน้ำภายในบ้านนั้นไม่ได้อยู่ชั้นล่าง แต่อยู่ตรงหัวมุมชั้นสองของบ้าน และหันหน้ารับแสงอาทิตย์ ตำแหน่งเดียวกันกับห้องออกกำลังกายที่อยู่ด้านล่างพอดี จึงมีบันได้จากห้องยิมตรงขึ้นไปที่สระว่ายน้ำได้โดยตรง

ขนาดของสระว่ายน้ำนั้นก็ไม่ได้เล็กเลย เพราะยาวถึงสิบห้าเมตรและกว้างกว่าสิบเมตร ต่อให้คนลงไปเล่นน้ำพร้อมกันเป็นสิบคน ก็ไม่ได้ทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย

เรียกได้ว่าบ้านหลังนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้อยู่อาศัยเกิดความรู้สึกผ่อนคลาย และมีความสุขเป็นพิเศษเมื่ออยู่ที่บ้าน

จินตนาการดูว่าหากเราได้อยู่ในบ้านหลังใหญ่โต ที่ตื่นเช้าขึ้นมาก็สามารถออกกำลังกายที่บ้านได้เลย เสร็จแล้วก็สามารถเดินขึ้นไปว่ายน้ำที่ชั้นสอง และรับแสงแดดยามเช้าที่สดชื่นได้อีก.. เราจะมีความสุขมากเพียงใด?

แต่หากคิดว่าสระว่ายน้ำภายในบ้านนั้นเล็กเกินไป ด้านนอกตัวบ้านก็ยังมีสระว่ายน้ำทรงน้ำเต้าขนาดสี่ร้อยตารางเมตรอีกหนึ่งสระ ที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ดอกไม้ และเพราะตั้งอยู่กลางแจ้งจึงสามารถมองเห็นท้องฟ้าสีคราม และเมฆขาวได้อย่างชัดเจน

ที่ชั้นล่างของบ้านนั้น นอกเหนือจากห้องครัว ห้องทานอาหาร ห้องออกกำลังกาย และห้องหนังสือแล้ว ยังมีห้องพักสำหรับแขกขนาดแตกต่างกันอีกหลายห้อง แต่ละห้องก็มีเนื้อที่แตกต่างกันไป และห้องที่เล็กที่สุดนั้นก็มีพื้นที่ราวห้าสิบตารางเมตร การตกแต่งของแต่ละห้องก็ล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะ

เห็นได้ชัดว่าผู้ที่ออกแบบบ้านนั้นได้ใคร่ครวญถึงผู้อยู่อาศัยอย่างแท้จริง เพราะหลังจากยอมควักเงินหลายสิบล้านเพื่อซื้อบ้านหลังนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนฝูงหรือแขกเหรื่อ ก็จะสามารถแวะเวียนมาเยี่ยมเยียนเจ้าของบ้านพร้อมกับค้างคืนต่อได้อีกด้วย

ส่วนด้านบนทั้งหมดนั้น ห้องที่ใหญ่ที่สุดก็คือห้องที่หลิงหยุนเป็นผู้อยู่เอง ส่วนห้องอื่นๆชั้นสอง ก็เอาไว้สำหรับให้คนในครอบครัวของหลิงหยุนมาพักค้างด้วย

อีกทั้งภายในบ้านยังมีระบบน้ำ ระบบแอร์ และระบบเครื่องทำความร้อนทั่วทั้งหลัง

บ้านหลังนี้ถูกออกแบบมาให้ผู้อยู่อาศัยสามารถใกล้ชิด และเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติให้มากที่สุด และมีผลต่อจิตใจของผู้อยู่อาศัย อีกทั้งยังเงียบสงบและเหมาะสำหรับการพักผ่อน และสามารถมองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นพระอาทิตย์ตกได้จากที่บ้าน

ด้วยบรรยากาศที่เรียบร่าย สัมผัสจากแสงอาทิตย์ ต้นไม้ ใบหญ้า และน้ำค้าง ทำให้รับรู้ได้ถึงอิสระที่แท้จริง

แต่เพราะบ้านหลังนี้ใหญ่โตเกินไป และหลิงหยุนก็ให้เวลาถังเมิ่งน้อยมาก อีกทั้งบ้านหลังนี้ก็ถูกยึดและสั่งปิดนานถึงห้าวัน ดังนั้นการตกแต่งจึงยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และยังต้องเก็บรายละเอียดอีกมาก

แต่ถึงอย่างนั้น.. ทันทีที่หลิงหยุนพาเหล่ากุ่ยเข้าไปในบ้าน เขากลับมีสีหน้าที่พึงพอใจอย่างมาก

ประตู และม่านหน้าต่างให้บรรยากาศของความเป็นผู้ดี เฟอร์นิเจอร์สีสันสว่างสดใสให้ความรู้สึกที่สะดวกสบายและหรูหรา ดอกไม้ประดิษฐ์จากผ้าที่ประดับประดาก็ให้ความรู้สึกที่โรแมนติคและอบอุ่น และการตกแต่งภายในนั้นก็ดูเป็นหนึ่งเดียว และเข้ากันกับบรรยากาศของสวนนอกบ้าน ให้ความรู้สึกที่สงบและเป็นธรรมชาติ

“ว้าว! สวยงามมาก!”

หลิงหยุนเหลือบมองห้องนั่งเล่นพร้อมกับพยักหน้า และอุทานออกมาอย่างชอบใจ จากนั้นก็หันไปร้องสั่งถังเมิ่งที่เดินตามมา

“เปิดห้องให้ฉันกับเหล่ากุ่ย..”

ถังเมิ่งเดินนำหลิงหยุนกับเหล่ากุ่ยไปที่ห้องนอนด้านล่าง และเลิกสนใจตี้เสี่ยวอู๋ที่กำลังกรีดเลือดจากสุนัขดำตัวใหญ่

“พ่อหนุ่ม.. เธอนี่ไม่เลวเลยนะ มีบ้านหลังใหญ่โตขนาดนี้เชียวรึ..” เหล่ากุ่ยเอ่ยขึ้นหลังจากเข้ามาในบ้าน และสอดส่ายสายตาสำรวจอยู่ครู่ใหญ่

หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับตอบไปว่า “ก็แค่เป็นที่สำหรับซุกหัวนอนเท่านั้นล่ะครับ ต่อให้เป็นบ้านหลังใหญ่แค่ใหน คนเราก็ใช้พื้นที่ในการนอนเพียงแค่ไม่กี่ฟุต ขอบอกตามตรงบ้านหลังนี้ซื้อมาเพื่อวัตถุประสงค์ในการฝึกฝน เพราะเป็นทำเลที่เงียบสงบและอยู่ห่างไกลจากผู้คน”

ขณะที่หลิงหยุนพูดประโยคนี้ เหล่ากุ่ยก็ได้แอบมองแววตาของหลิงหยุน และพบว่าสายตาของเขานั้นเต็มไปด้วยความสงบนิ่งและสงบสุขฉายออกมา ไม่มีร่องรอยของความเจ็บปวดอย่างคนยากจน และไม่มีร่องรอยของความหยิ่งจองหองอย่างคนร่ำรวย เหล่ากุ่ยได้แต่แอบพอใจอยู่เงียบๆ

หลิงหยุนยังคงต้องทำยันต์ต่อในคืนนี้ เขาจึงรีบบอกกับเหล่ากุ่ยว่า “เหล่ากุ่ย.. ข้าวินิจฉัยอาการของท่านได้ถูกต้องใช่ไม๊? ท่านได้รับบาดเจ็บภายในสาหัสมาเป็นเวลานาน ทำให้จุดตันเถียนและเส้นลมปราณเสียหาย แม้จะได้รับการดูแลรักษาอย่างดีมาเป็นเวลานาน และอาการบาดเจ็บได้ทุเลาลง แต่ความเสียหายของจุดตันเถียนและเส้นลมปราณล้วนยังคงอยู่ ทำให้มีผลอย่างใหญ่หลวงต่อการฝึกฝนของท่านใช่หรือไม่?”

“นี่พ่อหนุ่ม.. จุดอ่อนในร่างกายของข้า ต่อให้เป็นยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนก็ยังยากที่จะดูออก แล้วเจ้าที่ยังเด็กนักรู้ได้ยังไงกัน?!” เหล่ากุ่ยร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจสุดขีด

“สำนักหมอสวรรค์!”

หลิงหยุนตอบเพียงแค่สั้นๆ เขาได้ตัดสินใจแล้วว่า จากนี้ไปไม่ว่าใครก็ตามที่ถามเขาเรื่องนี้ เขาก็จะพูดเพียงคำว่า – สำนักหมอสวรรค์เท่านั้น!

“ข้าเคยได้ยินแต่สำนักหมอหุบเขาเทวะ แต่ไม่เคยได้ยินชื่อสำนักหมอสวรรค์เลย..”

เหล่ากุ่ยพึมพำพร้อมกับขมวดคิ้วเข้าหากัน เขาครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่นาน และจำได้ว่าตั้งแต่ฝึกวรยุทธมาก็ไม่เคยได้ยินชื่อสำนักนี้มาก่อน

หลิงหยุนมองแววตาที่ครุ่นคิดของเหล่ากุ่ยแล้วก็ได้แต่ยิ้ม “เหล่ากุ่ย.. บ่ายนี้ข้ามีบางอย่างต้องทำต่อ ให้ข้ารีบรักษาอาการบาดเจ็บของท่านก่อนเถอะนะ?”

“นี่เป็นอาการเจ็บป่วยที่ซ่อนมานานเกือบยี่สิบปี.. เจ้า..” เหล่ากุ่ยค่อนข้างลังเล แต่สายตาของเขากลับไม่มีอาการตื่นเต้นแต่อย่างใด

เหล่ากุ่ยไม่ได้กลัวว่าหลิงหยุนจะไม่สามารถรักษาเขาให้หายได้ เขาอยู่กับสภาพเช่นนี้มาถึงสิบแปดปีแล้ว จึงค่อนข้างคุ้นเคยกับมัน อาการบาดเจ็บนี้ไม่ได้ส่งผลกับการใช้ชีวิตของเขา เพียงแค่มีผลกระทบกับการฝึกฝนของเขาเท่านั้น เหล่ากุ่ยรู้ดีว่าเขาคงไม่สามารถก้าวข้ามสู่ขั้นที่สูงกว่านี้ได้ และได้ทำใจยอมรับตั้งนานแล้ว

ไม่เพียงหลิงลี่จะเป็นผู้มีพระคุณที่ได้ช่วยชีวิตเหล่ากุ่ยไว้เท่านั้น แต่ตัวหลิงหยุนเองก็เป็นถึงทายาทของตระกูลหลิง และเป็นถึงหลานชายของหลิงลี่ ต่อให้หลิงหยุนไม่สามารถรักษาเขาให้หายได้ หรือแม้แต่เขาต้องตายเพราะการรักษาครั้งนี้ เหล่ากุ่ยก็จะไม่นึกตำหนิหลิงหยุนเลยแม้แต่น้อย

แต่อาการตื่นเต้นของเหล่ากุ่ยนั้นเกิดจากความคิดที่ว่า หากหลิงหยุนสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของเขาให้หายได้ ก็เท่ากับว่าหลิงหยุนต้องรักษาอาการบาดเจ็บของหลิงลี่ หลิงเสี่ยว และสมาชิกคนอื่นๆของตระกูลหลิงให้หายได้เช่นเดียวกัน!

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพ่อของหลิงหยุน – หลิงเสี่ยว หากคุณชายสามสามารถหายจากอาการบาดเจ็บได้ การฝึกฝนกำลังภายในของเขาคงต้องก้าวหน้าไปเร็วกว่านี้เป็นพันเท่า และไม่นานก็จะสามารถเข้าสู่ขั้นสูงสุดเหมือนอย่างที่เคยเป็นในอดีตได้?!

ยิ่งคิดเหล่ากุ่ยก็ยิ่งตื่นเต้นจนสั่นไปทั่วทั้งร่าง เขาอดคิดไม่ได้ว่าจากนี้ไปตระกูลหลิงคงจะสามารถกลับมาเฟื่องฟูได้อีกครั้ง และทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับหลิงหยุน!

หลิงหยุนเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจของเหล่ากุ่ยจึงได้แต่ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“เมื่อข้าสามารถวินิจฉัยอาการบาดเจ็บของท่านได้ ข้าก็มั่นใจว่าจะรักษาท่านให้หายได้เช่นกัน แต่เพราะอาการบาดเจ็บนี้เกิดขึ้นมาเป็นเวลานาน จึงไม่สามารถที่จะรักษาให้หายขาดได้เพียงแค่ครั้งเดียว ต้องใช้เวลาในการรักษาอย่างต่อเนื่องราวครึ่งเดือน..”

เหล่ากุ่ยฟังด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุขพร้อมกับพยักหน้าอย่างตื่นเต้น “เยี่ยม! ข้าควรทำยังไงตอนนี้?”

หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ “ถอดเสื้อออก.. แล้วจัดการเดินลมปราณ”

เหล่ากุ่ยทำตามคำสั่งของหลิงหยุนอย่างว่าง่าย เขาถอดเสื้อและนั่งขัดสมาธิลงบนเตียง จากนั้นจึงหลับตาและเริ่มเดินลมปราณภายในร่างกาย

หลิงหยุนหยิบเข็มทองทั้งเก้าเล่มออกมา และเริ่มฝังเข็มให้กับเหล่ากุ่ย เขาทำการฝังเก้าเข็มปลุกชีพให้เหล่ากุ่ยทั้งหมดแปดสิบเอ็ดรอบ และแต่ละครั้งที่ฝังเข็มลงบนร่างกายของเหล่ากุ่ยนั้น หลิงหยุนก็ได้ถ่ายเทพลังชีวิตของเขาลงไปด้วยเช่นกัน

จุดฝังเข็ม เส้นลมปราณ และจุดตันเถียนในร่างกายมนุษย์นั้น สำหรับทางด้านวิชากายวิภาคแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ถูกอธิบายไว้..

จึงจำเป็นต้องอธิบายเพื่อให้เห็นภาพได้ชัดเจน สำหรับผู้ที่ฝึกกำลังภายในนั้น ภายในร่างกายจะมีพลังชี่ (พลังปราณ หรือพลังชีวิต) ซึ่งเปรียบเหมือนกับสายน้ำ และจุดฝังเข็มต่างๆนั้นก็เปรียบเหมือนกับบ่อน้ำ ธรรมชาติของกระแสน้ำนั้นจะไหลลงบ่อผ่านเส้นทางน้ำซึ่งก็คือหลอดเลือดดำ ส่วนจุดตันเถียนนั้น ก็เปรียบเหมือนบ่อที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุด เพราะเป็นศูนย์รวมที่สายน้ำต่างๆจะไหลมารวมกัน ซึ่งก็คือศูนย์รวมของเส้นลมปราณหลักทั้งแปดเส้นนั่นเอง

อาการบาดเจ็บของเหล่ากุ่ยนั้นทำให้จุดฝังเข็มหลายแห่งแห้งไป และทำให้เส้นลมปราณบางเส้นหดตัว และจุดตันเถียนก็ไม่สามารถขยายกว้างได้อีก จึงเกิดสภาวะที่พลังชี่ต้องไหลผ่านเส้นลมปราณที่ตีบตันหลายเส้น และจุดตันเถียนที่ไม่สามารถขยายกว้างได้อีก และมีพลังชี่เดิมอยู่เต็มแล้ว จึงม่สามารถรองรับพลังชี่ใหม่ได้อีก จึงแทบไม่ต้องพูดถึงการข้ามสู่ขั้นที่สูงขึ้นเลย เพราะเพียงแค่ฝึกก็ยากเย็นมากแล้ว

สิ่งที่หลิงหยุนต้องในทำเวลานี้ก็คือ ใช้ทักษะเก้าเข็มปลุกชีพและถ่ายทอดพลังชีวิตในร่างกายของเขาเพื่อรักษาจุดตันเถียน จุดฝังเข็ม และเส้นลมปราณของเหล่ากุ่ยให้กลับคืนสู่สภาพที่ดีเหมือนเดิมก่อน!

แน่นอนว่าหากโชคดีว่าเหล่ากุ่ยเป็นคนที่มีพื้นพรสวรรค์เดิมดีมาก หลังจากการรักษาของหลิงหยุน เหล่ากุ่ยก็จะสามารถพัฒนาเข้าสู่ขั้นที่สูงขึ้นได้ในทันที

หลิงหยุนใช้เวลาในการฝังเข็มให้กับเหล่ากุ่ยไปร่วมหนึ่งชั่วโมง หลังจากที่ได้ทำการฝังเก้าเข็มปลุกชีพให้เหล่ากุ่ยรอบสุดท้าย หลิงหยุนก็ได้พูดกับเหล่ากุ่ยที่ยังคงนั่งทำสมาธิเดินลมปราณด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า

“เหล่ากุ่ย.. นี่เป็นการรักษาครั้งแรก เพื่อให้ได้ผลที่ดีที่สุด ข้าต้องไปเดินลมปราณครู่หนึ่งก่อน หลังจากนั้นจะกลับมาถอนเข็มออกจากร่างกายให้กับท่าน และหลังจากนั้นท่านก็จะสามารถลงไปฝึกที่ลานบ้านข้างนอกได้”

พูดจบ หลิงหยุนก็เดินออกไปจากห้อง และตรงไปยังห้องนั่งเล่น

“ฮู่ว!! ข้าใช้พลังชีวิตไปตั้งมากมาย” หลิงหยุนนั่งลงบนโซฟาในห้องรับแขก และเริ่มทำการดูดซับพลังชีวิตเข้าไปพร้อมกับถอนใจ

แม้ว่าตอนนี้หลิงหยุนจะมีพลังชีวิตจำนวนมากอยู่ในร่างกาย แต่เขาก็ได้ใช้พลังในการรักษาเหล่ากุ่ยไปมาก

“ตี้เสี่ยวอู๋ นายไปจัดการหาซื้อกระดาษยันต์และสมุนไพรมาเพิ่มรึยัง?”

หลังจากที่หลิงหยุนดูดซับพลังชีวิตเข้าไปได้ถึงสามสิบเปอร์เซ็นต์ เขาก็เริ่มสอบถามตี้เสี่ยวอู๋

เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา หลิงหยุนได้จัดการปลุกเสกยันต์นับหลายพันแผ่นในคราวเดียว วัสดุอย่างกระดาษยันต์ ชาด และสมุนไพรต่างๆก็เริ่มหมดแล้ว เขาจึงได้สั่งให้ตี้เสี่ยวอู๋ให้ปจัดการหาซื้อมาเพิ่มเป็นสองเท่า

ตี้เสี่ยวอู๋ยิ้ม “ฉันซื้อมาทิ้งไว้ตั้งแต่วันจันทร์แล้วล่ะ ตอนนี้อยู่ในห้องเก็บของ!”

หลิงหยุนสั่งตี้เสี่ยวอู๋ให้ไปนำของทั้งหมดออกมา และเริ่มทำหมึก ทั้งสามคนวุ่นกันจนถึงบายสามโมงครึ่ง หลิงหยุนจึงเริ่มเขียนลงมือเขียนยันต์

หลิงหยุนจำเป็นต้องใช้พู่กันขนหมาป่าเท่านั้น อีกทั้งตอนนี้ก็ไม่มีใครบาดเจ็บ หากเขียนยันต์บำบัดก็ไม่รู้ว่าจะนำไปทดลองกับใครได้ หลิงหยุนจึงเขียนยันต์อัคนีแทน

หลังจากใช้พู่กันขนหมาป่าปลุกเสกยันต์อัคนีเสร็จแล้ว หลิงหยุนก็เรียกยันต์อัคนีที่เขียนด้วยพู่กันจักรพรรดิออกมาจากแหวนพื้นที่

ในมือของเขาถือยันต์ไว้ข้างละแผ่น จากนั้นก็จัดการโยนออกไปข้างนอกพร้อมกัน และร้องในใจ

“โอ้โห!!”

หลิงหยุนร้องอุทานออกมาทันทีเมื่อเห็นลูกไฟที่กำลังลุกโขนเผาผลาญไปพร้อมๆกัน

หลิงหยุนมองยันต์อัคนีที่เขียนขึ้นด้วยความตกตะลึง และใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น!


บทที่ 385 : เข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-5!

หลิงหยุนซัดยันต์ทั้งสองแผ่นออกไปด้านนอกพร้อมกัน เพื่อต้องการเปรียบเทียบประสิทธิภาพของยันต์ทั้งคู่ แต่เมื่อยันต์ทั้งสองแผ่นกลายเป็นลูกไฟ กลับทำให้หลิงหยุนประหลาดใจอย่างมาก!

ยันต์อัคนีที่เขียนด้วยพู่กันจักรพรรพินั้น ยังคงมีขนาดเท่าลูกบาสเก็ตบอล และเปลวไฟเป็นสีแดง

ส่วนยันต์อัคนีที่หลิงหยุนเพิ่งเขียนขึ้นมานั้น ขนาดของลูกไฟนั้นเล็กกว่านิดหน่อย เพราะมีขนาดเท่ากับลูกฟุตบอล แต่สีของเปลวไฟนั้นกลับแตกต่าง เพราะในเปลวไฟสีแดงนั้น ที่ปลายของเปลวไฟกลับเป็นสีฟ้าอ่อน

เปลวไฟที่มีสีฟ้าอ่อนนั้นเป็นเปลวไฟของยันต์อัคนีในระดับสอง และถ้าเปลวไฟทั้งหมดเป็นสีฟ้าอ่อน ย่อมหมายความว่าหลิงหยุนสามารถปลุกเสกยันต์อัคนีระดับสองได้แล้ว!

“พี่หยุน.. มีอะไรผิดพลาดรึเปล่า? ยันต์ที่พี่เขียนขึ้นใหม่ทำไมลูกเล็กลง..”

ถังเมิ่งเห็นหลิงหยุนจ้องมองลูกไฟที่มีขนาดเล็กลง แต่ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น จึงได้แต่สงสัย?!

ครึ่งนาทีต่อมา ยันต์อัคนีที่เขียนด้วยพู่กันจักรพรรดิก็เริ่มดับลง แต่ยันต์ที่หลิงหยุนเพิ่งเขียนขึ้นมาใหม่นั้น ยังคงสว่างไสวต่ออีกราวสิบวินาทีจึงค่อยดับลง

หลิงหยุนหันไปพูดกับถังเมิ่งและตี้เสี่ยอู๋ว่า “พวกนายคงจะงงแล้วก็ไม่เข้าใจสินะ..  สำหรับไฟนั้น.. ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่มีขนาดใหญ่หรือเล็ก แต่อยู่ที่ระยะเวลาในการเผาไหม้ และความร้อนของไฟต่างหาก ยิ่งเผาไหม้ได้นานมากเท่าไหร่ และมีความร้อนที่สูงมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี!”

“แม้เปลวไฟสีฟ้านั่นจะลูกเล็กกว่า แต่ความร้อนของมันนั้นกลับสูงกว่าลูกไฟสีแดงถึงสองเท่า ถ้าปาไปโดนแขนของพวกนายแล้วล่ะก็ รับรองได้ว่าแขนของพวกนายคงต้องกลายเป็นรูขนาดใหญ่และลึกเข้าไปจนถึงกระดูกแน่นอน!”

ถังเมิ่งถึงกับร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ “นี่.. ประสิทธิภาพของมันร้ายกาจแบบนั้นเลยเหรอ?!”

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับพยักหน้า “แน่นอน.. ลองคิดดูนะว่าระหว่างที่ต่อสู้กันอยู่ แค่ศัตรูของนายโดนยันต์ที่เผาไหม้ได้เพียงแค่ผิวหนัง พวกมันก็เจ็บปวดจนไม่มีกะจิตกะใจจะสู้กับนายแล้ว แต่ถ้าโดนยันต์ที่สามารถเผาเข้าไปถึงกระดูกได้แล้วล่ะก็ นายคิดว่าศัตรูของนายจะเป็นยังไง?!”

หลิงหยุนอธิบายให้ทั้งสองคนฟังอย่างพออกพอใจในผลงานของตนเอง ตอนนี้หลิงหยุนกำลังใคร่ครวญอยู่ว่า เพราะเหตุใดยันต์ที่เขียนด้วยพู่กันธรรมดาจึงได้มีประสิทธิภาพรุนแรงกว่ายันต์ที่เขียนด้วยพู่กันจักรพรรดิ!

เหตุผลหลักเลยก็คือระดับขั้นของกำลังภายในที่พัฒนาขึ้นมากของหลิงหยุน หากตอนนี้กำลังภายในของเขาอยู่เพียงแค่ระดับสูงสุดของขั้นปรับร่างกาย-3 เขาก็คงจะไม่สามารถถ่ายเทพลังชีวิตจากร่างกายผ่านพู่กันขนหมาป่าลงไปในยันต์อัคนีได้

แต่ตอนนี้กำลังภายในของหลิงหยุนอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นปรับร่างกาย-4แล้ว และต่อให้ตอนนี้ในมือของเขาเป็นกิ่งไม้ที่ตายแล้ว หรือใบไม้ที่เขียวสด เขาก็สามารถที่จะถ่ายเทพลังชีวิตในร่างกายออกไปได้!

เดิมทีนั้น.. พู่กันจักรพรรดิจดจำว่าหลิงหยุนคือเจ้านายของมัน และยอมให้หลิงหยุนใช้มันถ่ายเทพลังชีวิตลงไปในยันต์ แต่ตอนนี้ ด้วยพู่กันขนหมาป่าธรรมดาๆ หลิงหยุนก็สามารถปลุกเสกยันต์ที่มีประสิทธิภาพดีกว่าเดิมเล็กน้อยได้ ก็เพราะนอกเหนือจากระดับกำลังภายในที่เพิ่มขึ้นของหลิงหยุน ก็ยังมีปัจจัยอย่างอื่นอีก

มีเหตุผลหลายข้อว่าเพราะเหตุใดหลิงหยุนจึงต้องใช้วัตถุดิบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกระดาษเขียนยันต์ หมึก และสมุนไพรที่เก็บไว้ในห้องเก็บของภายในบ้าน อีกทั้งยังใช้เลือดสุนัขทั้งสี่ตัวที่อยู่ในสวน

หลิงหยุนได้จัดการเปลี่ยนบ้านเลขที่ -1 ของเขาให้กลายเป็นหลุมพลัง และด้วยพลังชีวิตที่เข้มขนภายในบ้านของเขานั้น ทำให้สัตว์และต้นไม้ใบหญ้าต่างๆที่อยู่ภายในบ้าน ได้รับการชำระล้างด้วยพลังชีวิตอยู่ตลอดทั้งวันทั้งคืน สัตว์ต่างๆและต้นไม้ใบหญ้าเหล่านั้น จึงเต็มไปด้วยพลังชีวิตมากกว่าสิ่งอื่นที่อยู่นอกบ้าน!

ทั้งสมุนไพร และเลือดของสุนัขทั้งสี่ตัวที่อยู่ในบ้านของหลิงหยุน ล้วนมีพลังชีวิตปะปนอยู่ ดังนั้นกระดาษเขียนยันต์และหมึกเขียนยันต์ที่ทำขึ้นจากวัตถุดิบเหล่านี้ ยังไงก็ต้องดีกว่ากระดาษและหมึกที่เขาทำก่อนหน้านี้

จึงสรุปได้ว่าสาเหตุที่ยันต์อัคนีที่หลิงหยุนเพิ่งเขียนขึ้นนั้นมีประสิทธิภาพที่รุนแรงกว่า ก็เพราะระดับกำลังภายในที่เพิ่มมากขึ้น และวัตถุดิบอย่างกระดาษและหมึกที่มีคุณภาพดีกว่านั้นเอง

แต่นี่เป็นยันต์ที่หลิงหยุนเพียงแค่เขียนขึ้นมาเพื่อทดลองเปรียบเทียบประสิทธิภาพเท่านั้น เขายังไม่ได้ผสมสมบัติล้ำค่าอย่างโสมพันปีที่อยู่ในแหวนพื้นที่ลงไปด้วย หากเขาผสมมันลงไปในระหว่างทำหมึกแล้วล่ะก็ ประสิทธิภาพของมันก็จะยิ่งรุนแรงกว่านี้หลายเท่า

ในเมื่อยันต์อัคนีที่เขาเขียนขึ้นมาใหม่นั้น มีประสิทธิภาพที่รุนแรงขึ้น หลิงหยุนจึงเชื่อว่ายันต์บำบัดของเขาก็ต้องมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้นด้วยเช่นกัน!

“เอาล่ะ.. เริ่มปลุกเสกยันต์กันได้แล้ว!”

หลิงหยุนเดินไปที่ห้องนั่งเล่นด้วยความตื่นเต้น และพร้อมมากสำหรับการลงมือเขียนยันต์ แต่ก่อนที่จะเริ่มลงมือนั้น เขาก็สั่งถังเมิ่งให้ออกไปหาซื้อชุดดำมาสองสามชุด

“ชุดดำงั้นเหรอ?” ถังเมิ่งกำลังงงว่าหลิงหยุนจะเอาชุดดำไปทำไม

หลิงหยุนตอบยิ้มๆ “ใช่.. ถ้ามีผ้าปิดหน้าด้วยก็ยิ่งดี ส่วนรองเท้านั้น ดูเหมือนพวกเราจะตัวเท่าๆกัน นายก็ซื้อไซส์ของนายมาเลยก็แล้วกัน”

พูดจบหลิงหยุนก็ยกมือขึ้นชี้ไปที่ลานบ้านที่ตู้กู่โม่กำลังนั่งขัดสมาธิเดินลมปราณอยู่ “แล้วช่วยหาซื้อเสื้อคลุมแบบที่เขาใส่มาด้วย..”

หลิงหยุนกำลังจัดเตรียมชุดที่เหมาะสำหรับภารกิจในคืนนี้ให้กับเหล่ากุ่ยและตู้กู่โม่ นั่นก็คือชุดที่เหมาะกับการต่อสู้..

“พี่หยุน.. แล้วฉันจะไปหาซื้อเสื้อคลุมแบบนั้นได้ที่ใหน..” ถังเมิ่งไม่เคยพบเห็นเสื้อสไตล์นี้ในร้านเสื้อที่ใหนมาก่อนเลย

แต่หลิงหยุนกลับไม่สนใจถังเมิ่ง เขาเริ่มลงมือเขียนยันต์บำบัดทันที

เมื่อเห็นถังเมิ่งกำลังตาอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก ตี้เสี่ยวอู๋ก็ยิ้มให้พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ให้ฉันช่วยไม๊..”

ตี้เสี่ยวอู่อยู่กับแก๊งมังกรเขียวมาหลายปี และชอบการต่อสู้เป็นที่สุด และมีความสนใจในเรื่องพวกนี้มากกว่าถังเมิ่งที่เป็นเพียงแค่หนุ่มเจ้าสำราญ

หลิงหยุนเขียนยันต์บำบัดจำนวนสิบกว่าแผ่นเสร็จภายในเวลาสามนาที จากนั้นก็หันมาพูดกับตี้เสี่ยวอู๋ว่า

“นายไปกับถังเมิ่ง.. ถ้าพวกนายชอบก็ซื้อให้ตัวเองด้วย แต่ก่อนจะไป นายสองคนเอายันต์นี่ไปจัดการรักษาบาดแผลให้กับสุนัขทั้งสี่ตัวก่อน”

ตี้เสี่ยวอู๋กับถังเมิ่งหยิบยันต์บำบัดไปพร้อมกับพยักหน้าแล้วเดินออกไปจากห้องนั่งเล่น ส่วนหลิงหยุนยังคงหมกมุ่นกับการเขียนยันต์บำบัดต่อไป

หลิงหยุนใช้เวลาไปร่วมสองชั่วโมงในการเขียนยันต์บำบัดและยันต์อัคนีอย่างละสามร้อยแผ่น และเวลาของหลิงหยุนก็หมดไปกับการทำกระดาษเขียนยันต์และหมึก

หลังจากที่ปลุกเสกยันต์เรียบร้อยแล้ว หลิงหยุนก็ลุกขึ้นยืดแข้งยืดขา และเริ่มดูดซับพลังชีวิตเข้าไปในร่างกายอีกครั้ง

“นี่มัน.. ดูเหมือนข้าใกล้จะทะลวงเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-5แล้ว..” หลิงหยุนใจสั่น คิ้วขมวดเข้าหากัน แต่ก็ยังคงสงบนิ่ง และรู้สึกดีใจ..

หลิงหยุนตื่นเต้นดีใจ และต้องการจะไปที่ลานบ้านเพื่อจัดการฝึกฝนให้เข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-5ในตอนนี้เลย แต่กลับนึกขึ้นมาได้ว่าเหล่ากุ่ยยังคงอยู่ในห้องนอน และเขาเองก็ยังไม่ได้ถอนเข็มทองออกให้

ผ่านไปกว่าสองชั่วโมงแล้ว ก็ได้เวลาพอดี หลิงหยุนจึงเปิดประตูเข้าไปในห้อง

“ห๊ะ! เหล่ากุ่ย.. นี่ท่านกำลังจะกลายเป็นมารแล้ว!” หลิงหยุนร้องอุทานออกมาอย่างตกใจสุดขีดเมื่อเปิดประตูห้องเข้าไป และสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที!

ใบหน้าของเหล่ากุ่ยเป็นสีแดงและขาว เปลือกตาทั้งสองข้างสั่นอย่างรุนแรง และร่างกายก็สั่นเทิ้มรุนแรงไม่ต่างกัน เหงื่อเม็ดโป้งไหลออกมาเต็มหน้า เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าธาตุไฟของเขากำลังจะแตก และกำลังจะกลายร่างเป็นมารในที่สุด!

หลิงหยุนสามารถเข้าใจเรื่องราวได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องสอบถามด้วยซ้ำ เหล่ากุ่ยน่าจะรู้สึกว่าการฝังเก้าเข็มปลุกชีพของหลิงหยุนนั้นได้ผลดีมาก และรู้สึกว่าจุดตันเถียนและเส้นลมปราณต่างๆของตนเองถูกฟื้นฟูแล้ว จึงต้องการเดินลมปราณในร่างกายให้สามารถทะลวงสู่ขั้นต่อไป!

แต่เหล่ากุ่ยคงจะลืมไปว่า.. บนร่างกายของเขายังคงมีเข็มทองทั้งเก้าเล่มปักอยู่!

เข็มทองทั้งเก้าเล่มนี้ใช้รักษาจุดอ่อนในร่างกายของเหล่ากุ่ย ไม่ได้ใช้ในการฝึกฝน หากเข็มทั้งเก้าเล่มยังไม่ถูกดึงออก ไม่มีทางที่เหล่ากุยจะฝึกได้

หลิงหยุนคิดไม่ถึงว่า จากบุคลิกของเหล่ากุ่ยเขาไม่น่าเป็นคนใจร้อนถึงเพียงนี้ หลิงหยุนขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับลงไปนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านหลังเหล่ากุ่ย!

“เหล่ากุ่ย.. ทำใจให้สบาย แล้วหยุดเดินลมปราณ และปล่อยให้พลังชี่ในร่างกายค่อยๆไหลคืนสู่เข็มทองทั้งเก้าเล่ม!”

“ข้าจะช่วยท่านอีกแรง!”

พูดจบ.. หลิงหยุนก็วางฝ่ามือลงไปบนแผ่นหลังของเหล่ากุ่ย พร้อมกับใช้วิชาพลังลับหยินหยาง และพลังหยินและพลังหยางในจุดตันเถียนของหลิงหยุนก็ไหลผ่านเส้นลมปราณเยิ่น และเส้นลมปราณตูผ่านเข้าสู่ร่างกายของเหล่ากุยทางแผ่นหลัง

พลังชี่ในร่างกายของเหล่ากุ่ยตอนนี้มีคุณสมบัติเป็นไฟ หลิงหยุนจึงใช้พลังหยินของเขาเข้าไปต้านไว้ ในขณะเดียวกันก็ใช้พลังหยางที่บริสุทธิ์ของเขาช่วยฟื้นฟูพลังชี่ในร่างกายของเหล่ากุ่ยทีละนิดๆ

ในขณะเดียวกันนั้น ตู้กู่โม่ที่กำลังฝึกฝนอยู่ที่ลานหน้าบ้าน ก็ได้ยินเสียงผิดปกติภายในบ้าน เขาจึงรีบลืมตาขึ้นและวิ่งตรงเข้าไปในบ้านทันที จากนั้นก็ค่อยๆเปิดประตูห้องนอนออกดู

ตู้กู่โม่มองไปที่เตียงนอนพร้อมกับขมวดคิ้วอยู่เงียบๆ ก่อนจะกลับมายืนอยู่ที่หน้าประตูห้องทำหน้าที่คอยคุ้มกันหลิงหยุนกับเหล่ากุ่ย

ตู้กู่โม่ยืนอยู่อย่างนั้นราวสองชั่วโมง จนกระทั่งหลิงหยุนเอาฝ่ามือออกจากแผ่นหลังของเหล่ากุ่ย เขาจึงสูดลมหายใจยาวอย่างโล่งอก

หลิงหยุนกัดฟันลุกขึ้นจากเตียง และเดินออกมาจากห้อง ตู้กู่โม่ที่ยืนอยู่ด้านนอกเดินตามออกไปอย่างเงียบๆ

“นี่เจ้าเหนื่อยมากใช่ไม๊?” ตู้กู่โม่ถามด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม

“หากเหล่ากุ่ยธาตุไฟแตก จนต้องกลายเป็นมาร เจ้าจะทำยังไง?!”

หลิงหยุนพูดกับตู้กู่โม่ในขณะที่เดินตรงเข้าไปที่หน้าต้นสมุนไพรชีฉียู่ เขานั่งลงขัดสมาธิและเริ่มฝึกฝนโดยไม่สนใจตู้กู่โม่อีก

หลังจากที่หลิงหยุนได้เขียนยันต์ไปร่วมหกร้อยแผ่น ยังไม่ทันที่เขาจะได้มีเวลาดูดซับพลังชีวิตเข้าไปใหม่ ก็พบว่าเหล่ากุ่ยธาตุไฟแตกและกำลังจะกลายเป็นมาร เขาจึงต้องใช้พลังหยินและหยางในร่างกายของตนเองเข้าช่วยแก้ไข

แต่หลิงหยุนกลับคาดไม่ถึงว่าพลังชี่ของยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนนั้นจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ เขาจึงต้องใช้พลังหยินและหยางในร่างกายของตนเองไปจนหมดเพื่อดึงเหล่ากุ่ยกลับมาก่อนที่จะเดินเข้าประตูแห่งความตาย

ตอนนี้หลิงหยุนแทบหมดเรี่ยวหมดแรง เขาจึงต้องอาศัยพลังชีวิตในการเดินวิชาพลังลับหยินหยางในร่างกาย

แต่ภายในระยะเวลาเพียงแค่สั้นๆที่กำลังดูดซับพลังชีวิตนั้น หลิงหยุนก็สัมผัสได้ว่าร่างกายของเขากำลังจะทะลวงเข้าสู่ขึ้นที่สูงขึ้นแล้ว!

แต่ในเวลานี้ แม้แต่พลังชีวิตจากต้นสมุนไพรชีฉียู่ที่สะสมมานานถึงเจ็ดวัน ยังไม่เพียงพอให้เขาดูดซับเข้าไปถึงยี่สิบเปอร์เซ็นต์เลย

หลิงหยุนไม่รอช้า เขาจัดการเรียกน้ำเต้าวิเศษออกมาจากแหวนพื้นที่ และรีบยกขึ้นดื่มทันที

อึก.. อึก.. อึก.. อึก..

เพียงแค่หนึ่งลมหายใจ หลิงหยุนก็ดื่มน้ำลายมังกรเข้าไปกว่าสองกิโลกรัมได้ จากนั้นก็รีบเดินวิชาพลังลับหยินหยางภายในร่างกายอีกครั้ง!

เพียงไม่นาน หลิงหยุนก็สัมผัสได้ว่ามัจฉาหยินและมัจฉาหยางที่อยู่ในสัญลักษณ์ไท่จี๋นั้นเริ่มหมุนอีกครั้ง และค่อยๆเร็วขึ้น และเร็วขึ้น!

ผ่านไปสิบนาที ยี่สิบนาที และครึ่งชั่วโมง!

ที่จุดตันเถียนของหลิงหยุนในตอนนี้ พลังหยางพุ่งขึ้นจำนวนมาก แต่พลังหยินกลับไม่เพียงพอ แต่เพราะหลิงหยุนได้ฝึกวิชาพลังลับหยินหยางสำเร็จแล้ว ภายในจุดตันเถียนจึงสามารถปรับสมดุลได้เอง

เมื่อพลังหยินและหยางภายในร่างกายเข้าสู่จุดสมดุลอีกครั้ง ก็เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นปังอีกครั้ง!

หลิงหยุนยิ้มอย่างพอใจเมื่อร่างกายของเขาพัฒนาขึ้นสู่ขั้นปรับร่างกาย-5ได้แล้ว!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม