Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร 372-378
บทที่ 372 : ล้างบางเมืองจิงฉู (21) – สำเร็จ!
“ห๊ะ..!” “นี่มัน..”
ตำรวจที่อยู่ตรงนั้นต่างก็พากันตกตะลึงเมื่อหลงหวู่ปรากฏตัวขึ้น ทุกคนถึงกับอึ้งเมื่อเห็นหลิงหยุนมีทนายความส่วนตัว!
แล้วพวกเขาจะทำอย่างไรต่อไป? เพราะเพียงแค่หลิงหยุนคนเดียว ก็ทำเอาเจ้าหน้าที่ตำรวจต่างก็พูดอะไรไม่ออก.. แต่นี่เป็นถึงทนายมืออาชีพ!
หลิงหยุนได้ยินหลงหวู่พูดคุยกับตำรวจด้วยน้ำเสียงจริงจั “คุณตำรวจคะ.. ฉันมีสิทธิ์ปกป้องลูกความของฉันที่ได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมจากเจ้าหน้าที่..”
เธอพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยภาษากฎหมาย จากนั้นก็หยิบเอกสารบางอย่างออกจากกระเป๋าให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดู เพื่อยืนยันการเป็นทนายอาชีพกับตำรวจเหล่านั้น
หลิงหยุนเริ่มรู้สึกสนุกกับเหตุการณ์ที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงเอื้อมมือไปสัมผัสไหล่ของหลงหวู่พร้อมกับพูดยิ้มๆ
“คิดไม่ถึงจริงๆว่าคุณจะมีอาชีพทนาย..!”
ร่างบอบบางของหลงหวู่ถึงกับสั่นสะท้าน แต่เธอกลับเอื้อมมือขึ้นไปจับฝ่ามือของหลิงหยุนที่วางอยู่บนไหล่ของเธอออกอย่างสุภาพ พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ไม่เห็นรึไงว่าฉันกำลังทำงานอยู่ คุณมีอะไรจะทำก็ไปทำ อย่ามาวุ่นวายกับงานของฉันตรงนี้!”
หลิงหยุนหัวเราะอย่างมีความสุข เขาพยักหน้าอย่างภูมิอกภูมิใจ จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ถ้างั้นคุณไปหาที่ร่มๆ ค่อยๆคุยกับตำรวจไปจะดีกว่า ตรงนี้แดดจัด เดี๋ยวผิวจะคล้ำหมด..”
พูดจบ.. หลิงหยุนก็เดินตรงไปยังบ้านที่อยู่ติดกันอีกหลังหนึ่ง เพื่อไปจัดการทุบทิ้ง และวันนี้ไม่ว่าใครจะมา ต่อให้เป็นเทพก็ไม่สามารถหยุดหลิงหยุนได้อย่างแน่นอน
หลิงหยุนรู้ดีว่าวันนี้จะต้องมีคนใหญ่คนโตมาที่นี่มากมาย แต่ใครจะมาเขาก็ไม่สนใจทั้งนั้น เพราะทั้งหมดที่เขาทำในวันนี้ ก็เพื่อล่อคนคนหนึ่งให้ออกมาเท่านั้นเอง ซึ่งก็คือหัวหน้าสำนักงานรักษาความมั่นคงคนใหม่ที่ชื่อหลัวจ้ง!
ตอนนี้ตี้เสี่ยวอู๋อยู่ในเงื้อมือของมัน และหากหลัวจ้งไม่หูหนวกตาบอด เขาก็ต้องได้ข่าวเรื่องนี้แล้วอย่างแน่นอน
หลิงหยุนเดินฝ่าฝูงชนออกไป เขาสังเกตเห็นว่าทันทีที่หลงหวู่มาถึง ก็มีคนเพิ่มขึ้นมาอีกเป็นร้อย และเด็กหนุ่มเหล่านี้ดูเหมือนจะอายุยังไม่เกินยี่สิบปีทั้งนั้น ทุกคนล้วนมีสีหน้าท่าทางที่ดุดัน หลิงหยุนรู้ได้ทันทีว่าพวกเขาล้วนเป็นคนของแก๊งมังกรเขียว
“นี่แก๊งมังกรเขียวมาช่วยข้าจริงๆด้วย มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ข้าตบหน้าหลงหวู่ไป นางไม่โกรธแค้นบ้างหรือยังไง?”
“แต่คิดไม่ถึงจริงๆว่าแม่สาวคนนี้หลังจากลบเครื่องสำอางออกจะสวยและน่ามองถึงเพียงนี้ แต่อารมณ์ของนางก็ยังเกรี้ยวกราดและหยิ่งจองหองเหมือนเดิม ดูเหมือนข้าจะควบคุมนางได้ยาก..”
หลิงหยุนครุ่นคิดในระหว่างที่เดินฝ่าฝูงชนออกไปยังบ้านที่อยู่ติดกันทางฝั่งตะวันออก และเมื่อไปถึงหน้าประตู ฝูงชนก็พากันถอยห่างเพราะรู้ว่าหลิงหยุนกำลังจะทำการทุบบ้านหลังนั้นทิ้ง
หลิงหยุนมองประตูบ้านที่ถูกล็อกไว้ เขายิ้มเย็นชาก่อนจะยกเท้าขึ้นถีบประตูจนพัง แล้วเดินเข้าไปข้างใน
ตูม.. ตูม.. ตูม.. ครืน.. ครืน..
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวคล้ายกับการทุบบ้านหลังแรกดังขึ้นอีกครั้ง บ้านหลังนี้เล็กกว่าหลังตรงกลาง แต่โครงสร้างและแบบบ้านนั้นเหมือนกัน และจากประสบการณ์ที่ทุบบ้านหลังตรงกลาง ทำให้หลิงหยุนทำงานได้เร็วขึ้นกว่าเดิมมาก เพียงไม่ถึงสามนาที บ้านทั้งหลังก็ถล่มครืนลงมา!
“แม่เจ้า..! บ้านอีกหลังกำลังจะถล่มลงมาแล้ว..”
“หลิงหยุนทำไมถึงได้มีเรี่ยวแรงมหาศาลแบบนี้ ถ้าเขาทุบบ้านทั้งสามหลังของเถียนป๋อเตาทิ้ง เถียนป๋อเตาจะทำยังไง นั่นมันหมายถึงชีวิตของเขาทั้งชีวิตเชียวนะ!”
“นั่นสิ.. บ้านสามหลังรวมกันก็ไม่น่าต่ำกว่าสิบห้าล้าน นอกเหนือจากบ้านทั้งสามหลังนี้ เขาคงไม่มีทรัพย์สินอื่นเหลือแล้วล่ะ นี่กลับถูกทุบทิ้งทั้งหมดเลย..”
“กรรมตามสนอง.. มันทำตัวเองทั้งนั้น ใครให้มันไปทุบบ้านของคนอื่นก่อน ตอนนี้เขาก็กลับมาทุบบ้านของมันบ้าง?”
“ใช่.. สาสมแล้ว! มันข่มเหงชาวบ้านมาหลายปี แต่ตอนนี้ดันไปสะดุดตอเข้า ฉันแค่คิดไม่ถึงว่า คนที่จะจัดการกับมันจะเป็นลูกชายของจิวยื่อเท่านั้นเอง..”
ระหว่างที่ผู้คนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ก็มีเสียงดังครืนออกมาจากบ้านหลังที่อยู่ทางตะวันออก และบ้านทั้งหลังก็พังครืนลงมาเช่นเดียวกับบ้านหลังตรงกลาง!
เถียนป๋อเตาที่นอนอยู่บนพื้นห่างไกลออกไปนั้น มองบ้านหลังที่สองของเขาถูกทุบทิ้งด้วยดวงตาที่แดงก่ำ และจิตใจที่ทุกข์ระทม!
“ไม่….!!!”
เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดใจของเถียนป๋อเตาดังไปก้องไปทั่วทั้งบริเวณ.. แต่หลิงหยุนยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น เขาเดินตรงไปยังบ้านหลังสุดท้ายที่อยู่ทางด้านตะวันตก!
ระหว่างบ้านที่อยู่ทางด้านตะวันออกกับหลังที่อยู่ทางฝั่งตะวันตกนั้น ห่างกันเพียงแค่สองร้อยเมตรเท่านั้น และตรงกลางก็คือฝูงชนที่พากันมามุงดูเหตุการณ์ ทุกคนต่างก็มองหลิงหยุนด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความงุนงง แต่ก็ไม่มีใครสักคนเดียวที่จะกล้าเข้าใกล้เด็กผู้ชายที่เนื้อตัวมอมแมมไปด้วยฝุ่น
หลิงหยุนช่างน่ากลัวมาก!
เมื่อมีคนไปทุบทำลายบ้านของเขาทิ้ง เขาก็กลับมาทุบทำลายบ้านของคนผู้นั้นทิ้งเช่นกัน อีกทั้งยังไม่ยอมฟังอะไรจากใครทั้งนั้น และไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เขาใช้วิธีตอบโต้ที่ธรรมดาที่สุดและยุติธรรมที่สุดในการแก้ปัญหาที่ซับซ้อนที่สุด!
ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เพื่อห้ามปรามหลิงหยุนแม้แต่คนเดียว และสิ่งที่หลิงหยุนทำนั้น ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องหวาดกลัวจนพูดอะไรไม่ออก!
ทุกคนต่างก็ตระหนักว่า.. หลิงหยุนไม่ใช่คนที่ใครจะรังแกได้ง่ายๆ และไม่ใช่คนที่ใครจะลองดีด้วยได้!!
หมู่บ้านหลินเจียงอยู่แถวชานเมืองทางด้านตะวันออกของเมืองจิงฉู จากตัวเมืองมาที่นี่ก็ต้องขับรถราวสิบห้านาทีเป็นอย่างน้อย ข่าวคราวเรื่องหลิงหยุนจัดการทุบบ้านไปแล้วถึงสองหลังนั้น ได้ดังกระฉ่อนไปทั่วทั้งเมืองจิงฉูแล้ว!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลิงหยุนจะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งใจไว้หรือไม่? เพราะแม้แต่ข้าราชการตำแหน่งเล็กๆอย่างเถียนป๋อเตา ที่ไม่ได้มีลูกน้องหรือมีหูมีตามากมาย ก็ยังรู้ว่าในเมืองจิงฉูแห่งนี้มีเด็กหนุ่มที่ชื่อหลิงหยุนอยู่
หลิงหยุนโคจรดารกะดายันระหว่างที่เดินแทรกฝูงชนเข้าไปยังบ้านหลังตะวันตก เขาเดินใกล้เข้าไปเรื่อยๆ และเมื่อเดินไปจนเกือบจะถึงหน้าประตูบ้านแล้ว เสียงค่อนข้างเย็นชาก็ดังขึ้นทางด้านหลังของเขา!
“หลิงหยุน.. หยุดเดี๋ยวนี้! เธอห้ามเข้าไปในบ้าน!”
หลิงหยุนขมวดคิ้วพร้อมกับคิดว่าเสียงนี้ช่างคุ้นหูนัก เขายังคงก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าต่อไป พร้อมกับร้องถามขึ้นโดยที่ไม่หันกลับไปมอง
“ทำไมถึงจะเข้าไปไม่ได้?”
หลิงหยุนได้ยินเสียงฝีเท้าดังเร็วขึ้น และค่อยๆเข้าใกล้เขามากขึ้น เสียงร้องตะโกนของผู้หญิงดังขึ้นกว่าเดิม
“หลิงหยุน.. เธอกำลังทำผิดกฎหมาย และเธอจะต้องติดคุก..”
หลิงหยุนรู้สึกขบขันกับคำพูดที่ได้ยิน จึงรีบหันกลับไปมองทันที ผู้หญิงที่วิ่งเข้ามาด้านหลังของหลิงหยุนนั้น คิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะหยุดและหันกลับมากะทันหัน เธอจึงชนเข้ากับร่างของหลิงหยุนอย่างจัง และตกอยู่ในอ้อมแขนของเขา!
“เหลียงเฟิงอี้! คุณมาที่นี่ได้ยังไงกัน?”
ร่างที่มีกลิ่นหอมจางๆของหลิงหยุนเบียดเสียดอยู่กับหน้าอกนุ่มนิ่มของเหลียงเฟิงอี้ เธอเห็นสายตาที่อบอุ่นของหลิงหยุน จึงรีบระล่ำระลักถอยออกจากอ้อมแขนของเขา
“นี่.. เธอกล้าเรียกชื่อฉันเฉยๆได้ยังไง.. ยังไม่ปล่อยฉันอีก!”
เหลียงเฟิงอี้หัวใจเต้นแรงเมื่อหลุดเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของหลิงหยุนอย่างไม่ตั้งใจ
ผิวพรรณที่สะอาดสะอ้าน และเสื้อผ้าของเธอล้วนเปื้อนไปด้วยฝุ่นจากตัวของหลิงหยุน แต่เธอกลับไม่สนใจและพูดกับหลิงหยุนด้วยความโมโห
“หลิงหยุน.. เธอทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไง? นี่มัน.. เธอรู้ไม๊ว่าบ้านสองหลังนี้ราคาอย่างต่ำก็ต้องมากกว่าสิบล้าน เธอไปทุบทิ้งแบบนี้ เธอมีปัญญารับผิดชอบงั้นเหรอ?”
หลิงหยุนกลับตอบยิ้มๆ “รับผิดชอบอะไร? ผมไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบ.. ฉางหลิงสบายดีไม๊ครับ?”
เหลียงเฟิงอี้มองหลิงหยุนด้วยแววตาสีหน้าที่บ่งบอกว่า ใช่เวลาที่จะมาถามเรื่องนี้หรือ? เธอจ้องหน้าหลิงหยุนอย่างขุ่นเคืองแต่ก็ตอบกลับไปว่า
“ยังจะมีหน้ามาถามอีก! ฉันนึกว่าเธอจะลืมฉางหลิงไปแล้วซะอีก! ตอนนี้หลานสาวฉันเอาแต่ร้องห่มร้องไห้!”
หลิงหยุนได้แต่ขอโทษ “สองสามวันนี้ผมยุ่งมาก.. ยังไม่มีเวลาแวะไปหาเธอเลย..”
เหลียงเฟิงอี้เลียริมฝีปากเซ็กซี่ ก่อนที่จะขบริมฝีปากอวบอิ่มเข้าหากัน และพูดต่อว่า “เธอหายไปใหนมา รู้ไม๊ว่าฉัน.. ฉางหลิงไม่ยอมไปโรงเรียนก็เพราะเธอ..”
หลิงหยุนตอบกลับไปว่า “ถ้างั้นคุณก็ช่วยโทรบอกเธอให้ผมหน่อย.. บอกกับเธอว่าผมกลับมาแล้ว ไว้เสร็จธุระแล้วผมจะไปแวะหาเธอ”
ร่างเล็กบอบบางของเหลียงเฟิงอี้ถึงกับสั่น และตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา “นี่.. ฉันไม่ต้องรอให้เธอมาสั่งฉันหรอกนะ ฉันโทรบอกฉางหลิงไปแล้ว และตอนนี้เธอก็กำลังเดินทางมาที่นี่แล้ว!”
หลิงหยุนรู้สึกว่าเหลียงเฟิงอี้ดูอารมณ์เสียและกระวนกระวายมาก เขาจึงพยักหน้า “ก็ดี.. ฉางหลิงก็ยังมาไม่ถึง ผมกำลังจะทุบบ้านหลังที่สาม คิดว่าคงเสร็จภายในสามนาที น่าจะยังทัน..”
“อะไรนะ?! สามนาทีงั้นเหรอ?”
เหลียงเฟิงอี้เพิ่งมาถึงและเพิ่งลงจากรถ เธอจึงไม่เห็นว่าหลิงหยุนทุบบ้านทั้งสองหลังได้ยังไง แต่เมื่อได้ยินหลิงหยุนพูดว่าจะทุบบ้านทั้งหลังทิ้งภายในสามนาที เธอก็ไม่อยากจะเชื่อ!
แต่เหลียงเฟิงอี้ก็ร้องห้าม “หลิงหยุน.. ฟังฉันนะ! อย่าทำอย่างนี้อีกเลย ทีวีกำลังจะมาถ่ายทอด พวกเขากำลังถ่ายรูปเธอ รูปของเธอจะออกอากาศไปทั่วทั้งเมือง คิดดูให้ดีนะ คนทั้งเจียงหนานจะรู้จักเธอ!”
หลิงหยุนยิ้มให้เหลียงเฟิงอี้แล้วตอบกลับไปว่า “แล้วทำไมผมต้องฟังคุณด้วย?”
เหลียงเฟิงอี้ถึงกับอึ้ง “ก็เพราะฉันเป็นน้าของฉางหลิงไง! แล้วฉันก็อายุมากกว่าเธอ เหตุผลเพียงแค่นี้ยังไม่พอหรือไง..?!”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า “ไม่พอ.. ไม่พอแน่นอน.. คุณคงต้องหาเหตุผลอื่นที่ดีกว่านี้..”
“นี่เธอ..?!”
เหลียงเฟิงอี้ถึงกับงุนงงกับท่าทีที่ไม่เกรงกลัวกฎหมายของหลิงหยุน เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นอย่างชาญฉลาด เธอมองหน้าหลิงหยุนแล้วพูดอย่างช้าๆ
“เพราะฉันทนเห็นเธอทำผิดกฎหมายไม่ได้ ตลอดทางที่ฉันขับรถมา ฉันเห็นรถตำรวจเต็มไปหมด และทุกคันก็มุ่งหน้ามาที่นี่ อีกอย่าง.. ซูหลิงเฟยเพื่อนของฉันก็บอกว่า หัวหน้าสำนักงานรักษาความมั่นคงก็กำลังเดินทางมาจับกุมเธอที่นี่ด้วยตัวเอง?!”
ทันทีที่ได้ยินว่าหลัวจ้งกำลังเดินทางมาที่นี่ หลิงหยุนก็ถึงกับใจเต้นแรงด้วยความดีใจ เขาหัวเราะอย่างมีความสุขพร้อมกับปัดฝุ่นที่มือไปมาและพูดขึ้นว่า
“ได้ๆ เพื่อเห็นแก่หน้าของหัวหน้าสำนักงานรักษาความมั่นคงที่กำลังเดินทางมา ผมจะรอทุบบ้านหลังที่สามต่อหน้าเขาก็แล้วกัน!”
บทที่ 373 : ไพ่ในมือ!
หลิงหยุนพูดสบายๆไม่มีท่าทีเดือดร้อนแม้แต่น้อย แต่จู่ๆเขาก็รู้สึกว่าเหลียงอี้เฟิงที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นช่างเซ็กซี่และมีเสน่ห์อย่างมาก แต่น่าเสียดายที่เธอเป็นน้าสาวของฉางหลิง ไม่เช่นนั้น..
เหลียงเฟิงอี้เห็นหลิงหยุนยืนนิ่งไม่พูดอะไร แต่สายตากลับจับจ้องมาที่เธอ ทำให้เธอเริ่มรู้สึกอึดอัดกับสายตาที่เร่าร้อนนั่น จึงรีบดุเสียงเบาว่า
“นี่เธอมองอะไร?! ฉันไม่รู้จริงๆนะว่าเด็กนักเรียนอย่างเธอไปเอาความบ้าบิ่นมาจากที่ใหน ถึงได้กล้าไล่ทุบบ้านของคนอื่นทิ้งแบบนี้.. แล้วนี่บาดเจ็บตรงใหนบ้างไม๊?!”
เหลียงอี้เฟยพูดจบ ก็เดินเข้าไปใกล้หลิงหยุน พร้อมกับยื่นหน้าไปสำรวจตามร่างกายที่มีแต่ฝุ่นของเขาอย่างละเอียด
แม้ว่าเหลียงเฟิงอี้จะสวมรองเท้าส้นสูง แต่ตัวก็ยังเตี้ยกว่าหลิงหยุน จังหวะที่โน้มตัวไปข้างหน้านั้น เสื้อชีฟองคอลึกของเธอจึงเผยให้เห็นหน้าอกขาวนวลเนียนราวกับคริสตัล ทันทีที่สายตาของหลิงหยุนเหลือบไปเห็นเข้า ความคิดชั่วร้ายก็ผุดขึ้นมาทันที
ระหว่างที่แอบมองอยู่นั้น หลิงหยุนก็แสร้งทำเป็นพูดคล้ายไม่สนใจ “ผมไม่เป็นอะไร.. ว่าแต่อาการบาดเจ็บที่ข้อเท้าของคุณล่ะ ต้องการให้ผมช่วยรักษาให้ไม๊?”
คำพูดของหลิงหยุนทำให้เหลียงเฟิงอี้เพิ่งนึกถึงข้อเท้าที่พลิก ดวงตาคู่สวยของเธอเบิกโพลงด้วยความตกใจ..
หลิงหยุนพูดต่อทันที “ข้อเท้าของคุณบวมมาก.. คุณไม่รู้สึกเจ็บบ้างเลยหรือไง?”
หลิงหยุนเอื้อมมือออกไปจับแขนของเหลียงเฟิงอี้ “เอาล่ะ.. ผมว่าเราไปหาที่ร่มๆคุยกันจะดีกว่า ตรงนี้แดดร้อนเกินไป!”
หลิงหยุนเพิ่งจะได้รับกระแสจิตจากตู้กู่โม่แจ้งว่า กู่เหลียนซันเป็นลมไปแล้ว..
เหลียงเฟิงอี้เอื้อมมือมาแกะมือของหลิงหยุนที่กำลังช่วยประคองออก และด้วยความเจ็บปวด เธอจึงสูญเสียการทรงตัวและเกือบจะล้มลงไป แต่หลิงหยุนตาไว จึงรีบคว้าเอวของเหลียงเฟิงอี้ไว้ และโอบเธอไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง
“เร็วเข้า.. ผมยังมีอย่างอื่นต้องทำอีก อย่ามัวชักช้า..”
หลิงหยุนพูดขึ้นโดยไม่สนใจท่าทีดิ้นรนของเหลียงเฟิงอี้ เขาโอบร่างของเธอและใช้มังกรพรางร่างหลบออกจากฝูงชน
ฝูงชนที่ยืนมองอยู่ถึงกับงุนงง เมื่อจู่ๆหลิงหยุนที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็หายตัวไป!
โอ๊ะ! เหลียงเฟิงอี้ร้องออกมาเมื่อรู้สึกว่าร่างของเธอลอยแกว่งไปมาในอากาศ เธอกลัวจนต้องหลับตา แต่เมื่อลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่า เธอกับหลิงหยุนไม่ได้อยู่ที่เดิมแล้ว แต่กลับมาอยู่ในบริเวณที่ค่อนข้างเงียบสงบและห่างไกลจากผู้คน..
“นี่มัน..”
เหลียงเฟิงอี้เผยอปากเซ็กซี่ขึ้นพูดพร้อมกับจ้องมองหลิงหยุนด้วยความงุนงง แววตาของเธอเต็มไปด้วยความตกใจราวกับว่าได้เห็นผีในตอนกลางวันเข้า
“นี่เป็นวิชาตัวเบา..”
หลิงหยุนพูดยิ้มๆ และไม่อธิบายอะไรมากกว่านั้น แต่กลับวางร่างบอบบางของเหลียงเฟิงอี้ไว้บนสนามหญ้าอย่างเบามือ จากนั้นก็นั่งลงพร้อมกับยกเท้าของเหลียงเฟิงอี้ขึ้นและจัดการถอดรองเท้าส้นสูงให้กับเธอ
เหลียงเฟิงอี้สวมถุงน่องสีสดใส หลิงหยุนจับเท้าที่นุ่มนวลของเธอไว้ และสัมผัสได้ถึงผิวที่นุ่มนวล เขาวางเท้าของเหลียงเฟิงอี้ลงในมืออย่างอ่อนโยน เธอรีบสะบัดขาเบาๆพร้อมกับร้องถามว่า
“นี่เธอจะทำอะไร?!”
เหลียงเฟิงอี้หายใจถี่พร้อมกับถอนหายใจเล็กน้อย คิ้วของเธอย่นเข้าหากันเพราะรู้สึกปวดที่ข้อเท้า
หลิงหยุนจึงตอบไปว่า “ไม่เป็นไรมาก.. แค่ข้อเท้าแพลง แต่ถ้าปล่อยไว้ก็จะบวมจนเดินไม่ได้ แต่หลังจากที่ผมรักษาให้แล้ว คุณก็จะสามารถขยับเท้าได้ และจะค่อยๆดีขึ้นเอง!”
“เธอจะรักษาได้ยังไง? พลาสเตอร์ก็ไม่มี ยาทาแก้ปวดก็ไม่มี เธอจะใช้วิธีอะไรในการรักษา?”
แม้เหลียงเฟิงอี้จะเคยได้ยินมาว่า หลิงหยุนมีทักษะด้านการแพทย์ที่สูงส่งมาก แต่เธอเองก็ไม่เคยเห็นกับตา จึงไม่อยากจะเชื่อนัก!
หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า หากเขามียันต์บำบัดก็จะยิ่งทำให้อาการข้อเท้าแพลงของเหลียงเฟิงอี้หายเร็วขึ้นกว่านี้ แต่เขาได้ใช้มันรักษาเหยาลู่ไปจนหมดแล้ว ดังนั้นตอนนี้จึงต้องใช้การฝังเข็มแทน
หลิงหยุนยกมือขึ้นพร้อมกับเข็มทองทั้งเก้าเล่มในมือ จากนั้นก็พูดกับเหลียงเฟิงอี้ยิ้มๆ “เอาล่ะ.. อยู่นิ่งๆ อย่าขยับ ผมจะฝังเข็มให้!”
แค่อาการข้อเท้าแพลงธรรมดาๆ หลิงหุยนเพียงแค่ใช้เก้าเข็มปลุกชีพลดอาการเจ็บปวด และใช้เข็มทองฝังลงไปรอบๆข้อเท้าของเหลียงเฟิงอี้ จากนั้นก็ถ่ายเทพลังชีวิตของตัวเองลงไปเล็กน้อย ข้อเท้าที่บวมเปล่งของเหลียงเฟิงอี้ก็ค่อยๆหายบวมราวกับเล่นกล
“เอาล่ะ.. ลองลุกยืนดู..” หลิงหยุนดึงเข็มทองทั้งเก้าเล่มออกพร้อมกับยิ้มให้เหลียงเฟิงอี้
เหลียงเฟิงอี้ลุกขึ้นยืนอย่างไม่ค่อยเชื่อนัก เธอลองหมุนข้อเท้าของตัวเองไปมา แต่กลับพบว่าไม่รู้สึกเจ็บปวดอีก เธอจึงได้แต่มองหลิงหยุนด้วยสีหน้าและแววตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ฉางหลิงไม่ได้โกหกเธอจริงๆด้วย! วิชาการแพทย์ของหลิงหยุนนั้นช่างน่าอักศจรรย์ และวันนี้เธอเองก็ได้ประจักษ์ด้วยสายตาตัวเอง!
“ไปกันได้แล้ว!”
หลิงหยุนไม่พูดอะไรมาก เขาหันหน้าและเดินตรงไปที่สนามหญ้าไกลๆซึ่งตู้กู่โม่นั่งอยู่
เมื่อเห็นหลิงหยุนเดินเข้ามา ตู้กู่โม่ก็ยิ้มให้พร้อมกับพูดขึ้นว่า “วันนี้นายทุบบ้านคนอื่นไปถึงสองหลัง ฉันว่าวันนี้นายต้องมีปัญหาใหญ่แน่!”
หลิงหยุนหัวเราะอย่างมีความสุข “ใครว่าฉันทุบแค่สองหลังล่ะ.. ยังต้องทุบอีกหลัง แต่ฉันจะรอทุบต่อหน้าหัวหน้าสำนักงานรักษาความมั่นคงคนใหม่ ฉันก็อยากจะรู้ว่าเขาจะห้ามฉันได้ยังไง?”
เหลียงเฟิงอี้ที่เดินตามหลิงหยุนมาติดๆ และเมื่อได้ยินว่าหลิงหยุนยังคงคิดที่จะทุบบ้านของคนอื่นอีกหนึ่งหลัง เธอจึงรีบร้องออกมาอย่างกระวนกระวายใจ
“หลิงหยุน.. ทำไมเธอถึงไม่ใช้วิธีอื่น? เพราะแค่สองหลังที่ทุบไปนั้น วันนี้ยังไงเธอก็คงต้องถูกจับกุมไปที่สำนักงานรักษา..”
ยังไม่ทันที่เหลียงเฟิงอี้จะพูดจบ หลิงหยุนก็เหลือบมองเธอพร้อมกับชี้ไปทางกู่เหลียนซันที่กำลังนอนอยู่บนพื้น แล้วพูดขึ้นว่า
“เอาล่ะ.. คุณลองฟังมันพูดก่อน แล้วค่อยคิดว่าผมควรจะทุบบ้านของเถียนป๋อเตาทิ้งไม๊..?”
พูดจบ.. หลิงหยุนก็เตะเข้าที่จุดตามร่างกายของกู่เหลียนซันสองสามแห่ง เพื่อทำการคลายจุดเจ็บปวดให้กับเขาชั่วคราว จากนั้นจึงพูดกับกู่เหลียนซันยิ้มๆ
“เอาล่ะ.. ทีนี้จะบอกฉันได้รึยังว่าใครเป็นคนสั่งให้แกรื้อบ้านของฉัน หน้าอย่างแกไม่กล้าคิดเรื่องแบบนี้หรอก? ใครอยู่เบื้องหลังแกกันแน่ พูดมา?”
พูดจบหลิงหยุนก็หันไปบอกเหลียงเฟิงอี้ “คนสวย.. คุณมีเครื่องมืออะไรที่ใช้อัดเสียงได้บ้าง ถ้ามี.. ช่วยผมบันทึกคำสารภาพของมันไว้ด้วย?”
โทรศัพท์มือถือของเหลียงเฟิงอี้เป็นซัมซุงรุ่นล่าสุด แน่นอนว่าต้องสามารถใช้บันทึกเสียงได้อยู่แล้ว เธอรู้ว่าเรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องสำคัญสำหรับหลิงหยุน เธอจึงพยักหน้าพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถืออกมา และกดไปที่ปุ่มบันทึก
“พี่ชายกับหลานชายของฉันเป็นคนสั่ง.. เขาบอกให้ฉันทำแบบนี้เพื่อเป็นการแค้น พวกเขาบอกกับฉันว่ามีทั้งพ่อของเสียเจิ้นเหยินที่เป็นถึงนายกเทศมนตรี และหัวหน้าสำนักงานความมั่นคง-หลัวจ้งให้การสนับสนุน พี่ชายกับหลานชายของฉันยังบอกอีกว่า ถ้าเธอกลับมาแล้วกล้าสร้างปัญหาให้กับฉัน พวกเขาก็จะจับตัวเธอเขาคุก..”
กู่เหลียนซันเกือบจะพูดไปร้องไห้ไป ไม่มีทางที่พี่ชายกับหลานชายจะยอมยกโทษให้กับเขาแน่ แต่ก็ดีกว่าการถูกหลิงหยุนทรมานแบบเมื่อครู่เป็นสิบเท่า ผ่านไปแค่สี่สิบนาที เขาก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไปแล้ว!
ตอนนี้กู่เหลียนซันแทบอยากจะรีบๆตายให้จบๆไป และเขาไม่ต้องการทนทรมานกับความเจ็บปวดแบบเมื่อครู่อีก!
หลิงหยุนได้ฟังเพียงเท่านั้นก็ขี้เกียจฟังต่อ เขายิ้มพร้อมกับเดินตรงไปยืนทางด้านข้าง เขากำลังรอคอยการมาถึงของหลัวจ้ง ตอนนี้หลิงหยุนมีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว และมีไพ่อยู่ในมือหลายใบ ต่อให้เขาไม่สามารถปลดหลัวจ้งลงได้ แต่อย่างน้อยเขาก็สามารถทำให้หลัวจ้งไม่สามารถทำอะไรได้สักสองสามวัน
เหลียงเฟิงอี้รับรู้ได้ว่าเรื่องราวในครั้งนี้ค่อนข้างใหญ่โตสำหรับหลิงหยุนมาก เธอจึงไม่กล้าพูดอะไรไร้สาระอีก เธอจัดการบันทึกคำสารภาพของกู่เหลียนซันทุกคำตั้งแต่ต้นจนจบ และหลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวทุกอย่างแล้ว เธอก็เข้าใจได้ทันทีว่าเพราะเหตุใดหลิงหยุนจึงต้องลงมือทุบบ้านของเถียนป๋อเตา!
“ชั่วช้าที่สุด.. เป็นฉันฉันก็คงทุบทิ้งเหมือนกัน!”
เหลียงเฟิงอี้ร้องออกมาทันทีหลังจากที่กู่เหลียนซันพูดจบ และสีหน้าของเธอก็เปลี่ยนเป็นเย็นชา
หลิงหยุนหัวเราะเสียงดังพร้อมกับเอื้อมมือไปลูบไหล่ของเหลียงเฟิงอี้เพื่อปลอบปะโลม “อย่าเพิ่งโมโหไปครับ..! รอหลัวจ้งมาก่อน แล้วค่อยไปทุบบ้านหลังที่สามกัน!”
เหลียงเฟิงอี้จ้องมองหลิงหยุนพร้อมกับดุเขาไป “ทำไมเธอชอบลูบไหล่ของคนอื่นแบบนี้..? ไม่รู้จักเด็ก ไม่รู้จักผู้ใหญ่..”
หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับหันไปทางตู้กู่โม่ “ตรงนั้นมีคนมากเกินไป.. พูดคุยไม่สะดวกเท่าไหร่ นายช่วยไปพาเถียนป๋อเตามาที่นี่หน่อย แล้วพอหลัวจ้งมาถึง พวกเราค่อยคุยกับมันที่นี่ก็แล้วกัน..!”
ตู้กู่โม่พยักหน้าแล้วลุกขึ้นยืน หลิงหยุนนั่งลงพร้อมกับโน้มตัวลงไปแสยะยิ้มให้กับกู่เหลียนซัน
“กู่เหลียนซัน.. ถ้าแกสารภาพเร็วกว่านี้ ก็คงไม่ต้องเจ็บปวดนานถึงขนาดนี้!”
กู่เหลียนซันมองหลิงหยุนราวกับเห็นปีศาจ แววตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แม้จะรู้สึกโกรธ แต่ก็ไม่กล้าที่จะแสดงความโกรธออกมาแม้แต่นิดเดียว
หากเขารู้มาก่อนว่าหลิงหยุนเก่งกาจและดุร้ายถึงเพียงนี้ อย่าว่าแต่เป็นพี่ชายของเขาหรือเป็นญาติของเขาเลยที่โดนกระทำ ต่อให้เป็นตัวเขาเองที่ถูกหลิงหยุนกระทำ เขาก็คงไม่กล้าแม้แต่จะคิดกลับมาแก้แค้นแน่!
ไม่มีทาง.. หลิงหยุนเป็นคนที่เก่งกาจและแข็งแกร่งมาก และสามารถเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ด้วยตนเองเพียงลำพัง อย่างเช่นวันนี้.. เขาใช้เพียงแค่มือเปล่า ก็สามารถทุบบ้านทั้งหลังจนไม่เหลือแม้แต่ซากได้!
“หลิงหยุน.. ฉันขอโทษแทนพี่ชายและหลานด้วย! ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตระกูลกู่จะไม่ยุ่งกับเธออีก และจะไม่คิดเรื่องแก้แค้นอีกแล้ว ได้โปรดยกโทษให้พวกเราจะได้ไม๊?!”
กู่เหลียนซันครุ่นคิดอยู่ในใจ เขายอมเสียหน้าเพื่อรักษาตระกูลให้มีทางรอดจะดีกว่า..
หลิงหยุนเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย “กู่เหลียนซัน ดูเหมือนว่าแกจะเป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมที่สุด แต่ฉันบอกได้คำเดียวว่ามันสายเกินไปแล้ว! ฉันให้โอกาสกับพวกแกถึงสองครั้งสองครา.. ตอนนี้ถือว่าเป็นคราวเคราะห์ของพวกแกก็แล้วกัน..”
หลิงหยุนไม่สนใจที่จะฟังคำต่อรองใดๆอีก เขามีขอบเขตของตัวเอง ใครก็ตามที่กล้ายุ่งกับเขาจนเกินขอบเขต เขาต้องตอบโต้คืนอย่างสาสม และต้องให้พวกมันได้รับบทลงโทษอย่างสาสมเช่นกัน จากนั้นก็ปล่อยไปไม่คิดที่จะฆ่าแกง..
ไม่เว้นแม้แต่เถียนป๋อเตา เถียนเสี่ยวกวง กู่หยุนฟะ กู่เหลียนเฉิง และบริษัทชิงหยุนโปรดักชั่น ที่หลิงหยุนเพียงแค่จัดการสั่งสอนแล้วก็ปล่อยตัวไป ไม่คิดถึงขั้นที่จะฆ่าให้ตายเช่นกัน
แต่หลังจากที่หลิงหยุนกลับออกมาจากหลุมยักษ์ เขากลับไม่นึกไม่ฝันว่าบรรดาศัตรูทั้งหลายกลับไม่ยอมปล่อยเขา และฉวยโอกาสที่เขาไม่อยู่นี้ รุมโจมตีอย่างพร้อมเพรียงกัน!
แม้แต่ท่านหมอเสี่ยว หลี่ยี่เฟิง และถังเทียนห่าวที่มีอำนาจมากมายยังไม่สามารถต้านทานได้ และทุกคนกลับได้รับผลกระทบไปด้วย ทำให้หลิงหยุนโกรธมาก และตัดสินใจที่จะฆ่าทุกคนทิ้ง!
ดังนั้นหลิงหยุนจึงต้องประกาศก้องที่จะล้างบางเมืองจิงฉู ไม่เช่นนั้นในอนาคต หากเขามีความจำเป็นต้องออกจากจิงฉู เขาคงจะรู้สึกไม่สบายใจ และต้องคอยกังวลไปเสียทุกครั้งว่าจะเกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้นอีกหรือไม่?
เมื่อกู่เหลียนซันเห็นว่าหลิงหยุนดูหมือนจะไม่ยอมปล่อยพวกเขาไป จึงได้แต่ยิ้มอย่างหมดหวัง และปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามโชคชะตา!
ตู้กู่โม่กลับมาอย่างรวดเร็ว แต่เขาไม่ได้เป็นคนนำตัวเถียนป๋อเตามาด้วยตัวเอง เป็นลูกน้องของเตาฉีอุ้มมาแทน
เหลียงเฟิงอี้เห็นเถียนป๋อเตาที่สวมแค่กางเกงในตัวเดียว ก็รีบทำสีหน้ารังเกียจ และหันหน้าหนีไปทางอื่นทันที
หลิงหยุนหันไปทางเถียนป๋อเตาที่นอนแน่นิ่งและพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “คนแซ่เถียน.. ตอนนี้ฉันรื้อบ้านแกแล้ว ยังรู้สึกสนุกอยู่ไม๊? รู้สึกยังไงบ้างล่ะ? สนุกเหมือที่แกรื้อบ้านของฉันไม๊?”
เถียนป๋อเตาถูกจับโยนลงบนพื้นสนามหญ้า เขาทั้งเจ็บทั้งคันไปทั่วทั้งตัว แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เมื่อได้พบหลิงหยุน เขาก็ได้แต่ร้องของความเมตตาอีกครั้ง
“หลิงหยุน.. ฉันทุบบ้านของเธอทิ้งหนึ่งหลัง แต่เธอทุบบ้านของฉันไปแล้วสองหลัง จะทุบหลังที่สามอีกก็ได้ ฉันรับรองว่าจะไม่เอาเรื่อง แล้วต้องการเงินชดเชยเท่าไหร่ก็บอกมา ฉันยินดีจ่ายให้! แต่ขอร้องได้โปรดปล่อยฉันไปเถอะนะ.. ต่อไปฉันจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับเธออีก.. ฉันสัญญา!”
หลิงหยุนได้จัดการส่งกระแสจิตบอกเหลียงเฟิงอี้ให้บันทึกคำสารภาพ จากนั้นก็เดินเข้าไปหาเถียนป๋อเตา
“ปล่อยแกงั้นเหรอ? ต้องดูความสามารถของแกซะก่อน รอให้หัวหน้าสำนักงานรักษาความมั่นคงมาถึงที่นี่ก่อน ฉันจะดูว่าแกจะพูดยังไง”
เถียนป๋อเตานอนอยู่ที่พื้นและอดแปลกใจไม่ได้ว่า หลิงหยุนรื้อบ้านทั้งสองหลังของเขาได้อย่างไร และสุดท้ายเขาจึงได้แต่สรุปเอาเองว่าหลิงหยุนต้องไม่ใช่คนธรรมดา!
คนที่ไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือะไรสักอย่าง แต่กลับสามารถทุบบ้านหลังใหญ่ได้ภายในเวลาเพียงแค่สามถึงห้านาที ถ้าเขายังอยากมีชีวิตอยู่ต่อ เขาจะต้องไม่โยกโย้กับหลิงหยุนอีก
ยังดีที่หลิงหยุนเลือกมาทุบบ้านของเขาในเวลากลางวัน หากหลิงหยุนลงมือในตอนกลางคืน หลิงหยุนอาจะฆ่าเขาทิ้งไปแล้วก็ได้ ตอนนี้เขาไม่สนใจเรื่องบ้านหรือเรื่องตำแหน่งหน้าที่การงานอีกแล้ว ไม่สนใจแม้แต่คอนเน็คชั่นบ้าบออะไรอีก
มีเงิน มีอำนาจ มีผู้หญิง แล้วสิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์กับคนตาย?
ในฐานะที่เป็นผู้อำนวยการเขตถนนหลินเจียง เถียนป๋อเตาสามารถหาผลประโยชน์บนถนนเส้นนี้ได้อย่างชาญฉลาด แต่ตอนนี้เขาเพิ่งจะรู้ตัวว่าได้สะดุดตอต้นใหญ่เข้าแล้ว และตอนนี้หลิงหยุนก็เป็นผู้กุมชะตาชีวิตของเขาว่าจะอยู่หรือตาย!
หลิงหยุนมองกู่เหลียนซันแล้วหันไปมองเถียนป๋อเตา พร้อมกับแสยิ้มแต่ไม่พูดอะไร..
สองคนนี้ล้วนเป็นคนฉลาด พวกเขาเคยผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก แต่ชะตากรรมของทั้งคู่ไม่ได้อยู่ในมือของหลิงหยุน แต่อยู่ในมือของหลัวจ้ง!
เสียงไซเรนดังกระหึ่มมาแต่ไกล และค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ หลิงหยุนและตู้กู่โม่หันไปมองหน้ากัน และต่างก็รู้ว่าไฮไลท์ของวันนี้กำลังจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว..
บทที่ 374 : สร้างความอัปยศให้หลัวจ้ง!
รถตำรวจนับสิบคันเปิดไซเรนเสียงดังมาตลอดเส้นทางบนถนนหลินเจียง และมาหยุดอยู่ตรงหน้าหมู่บ้าน..
ทันทีที่รถตำรวจจอด เจ้าหน้าที่หน่วยพิเศษ และเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมอาวุธ ต่างก็กรูกันออกมาจากรถทันที แต่ละนายล้วนมีอาวุธครบมือ และเพียงไม่นานหน้าหมู่บ้านหลินเจียงก็ห้อมล้อมไปด้วยตำรวจหลายนาย
รถของหลัวจ้งก็มาถึงในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่เขาไม่ลงจากรถ เพียงแค่นั่งสั่งการให้ตำรวจบุกเข้าไปด้านในเพื่อควบคุมสถานการณ์ก่อน
ความจริงแล้ว.. ไม่จำเป็นที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะต้องเข้าไปควบคุมสถานการณ์ในหมู่บ้านเลยด้วยซ้ำไป เพราะด้านในนั้นมีลูกน้องของหลงคุนหลายร้อยคนดูแลความเรียบร้อยอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีคนของเตาฉีอีกร่วมสามสิบคนที่ช่วยดูแลด้วยเช่นกัน
ในเวลานั้น.. หลิงหยุนได้จัดการทำลายบ้านของเถียนป๋อเตาไปแล้วถึงสองหลัง อีกทั้งเขายังมีไพ่อยู่ในมืออีกหลายใบ ตอนนี้หลิงหยุนเพียงแค่รอคอยการมาถึงของหลัวจ้ง เพื่อสร้างความอัปยศให้กับเขาเท่านั้นเอง
เหลียงเฟิงอี้มองใบหน้ามอมแมมของหลิงหยุน และระล้าระลังอยู่นาน จึงตัดสินใจเรียกหลังหยุนให้หันหน้ามา แล้วจัดการปัดฝุ่นบนศรีษะของเขาออกให้
“เธอนี่นะ.. ตัวใหญ่ซะเปล่า รู้จักแต่เรื่องใช้กำลัง แต่ไม่รู้จักสนใจตัวเองเลย..”
เหลียงเฟิงอี้จัดแจงปัดฝุ่นให้กับหลิงหยุนพร้อมกับบ่นพึมพำ แต่ก็สังเกตุเห็นสายตาของหลิงหยุนที่จับจ้องอยู่เพียงแค่เนินอกขาวเนียนของตนเอง หลิงหยุนพยายามจะไม่มองและเมินสายตาออกจากจุดนั้น
เหลียงเฟิงอี้ก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเธอถึงไม่อยากดุว่าเด็กชายตัวโตคนนี้ จึงได้แต่ถอนหายใจเบาๆพร้อมกับคิดในใจว่าอยากมองก็มองไป ก็แค่ก้อนเนื้อสองก้อน!
“นี่.. ฉันทำหน้าที่เป็นทนายส่วนตัวให้กับนายอยู่ทางโน้น แถมยังต้องจัดการกับนักข่าวพวกนั้นอีก แต่นายกลับมาอี๋อ๋ออยู่กับสาวสวยตรงนี้เนี่ยนะ?!”
หลิงหยุนไม่รู้ว่าหลงหวู่เสร็จงานของเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เมื่อมองไปตามเสียงแหลมๆของเธอ เขาก็พบถังเมิ่งเดินตามมาด้วย
หลิงหยุนได้ฟังคำพูดของหลงหวู่ จึงตอบกลับเธอด้วยความภูมิอกภูมิใจ “นี่คุณทนายคนสวย! ถ้ารู้สึกอิจฉา.. ก็จับเนื้อจับตัวผมได้นะ รับรองว่าผมจะไม่ขัดขืนเลย!”
แม้หลิงหยุนจะไม่เข้าใจว่าเหตุใดหลงหวู่จึงปรากฏตัวขึ้นที่นี่ อีกทั้งยังยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเขา แต่หลิงหยุนก็เริ่มรู้สึกชื่นชอบเธอ ตั้งแต่ที่เห็นเธอเช็ดรองพื้นหนาเตอะนั่นออก
แต่หลงหวู่กลับตอบยิ้มๆ “ฉันไม่มีเวลามานั่งเล่นกับนายหรอก.. อีกอย่างที่ฉันมาเป็นทนายให้กับนายครั้งนี้ ฉันไม่ได้ทำให้ฟรีๆหรอกนะ นายต้องจ่ายค่าจ้างให้กับฉันด้วย!”
หลิงหยุนยกมือขึ้นทำนิ้วเป็นสัญลักษณ์ Ok จากนั้นก็ตอบกลับไปอย่างอารมณ์ดี “ไม่มีปัญหาครับคุณทนาย..”
ทั้งคู่คุยกันอย่างสนุกสนานอยู่พักหนึ่ง แต่จู่ๆเสียงของฝูงชนก็เงียบลง และทุกคนต่างก็อยู่ในความสงบเรียบร้อย จากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมอาวุธหลายนายเดินเข้ามา
“นั่นมันหลัวจ้ง.. หัวหน้าสำนักงานรักษาความมั่นคงคนใหม่นี่ ถึงกับต้องมาด้วยตัวเองเลยเหรอ..?” ถังเมิ่งเห็นเพียงแค่ป้ายทะเบียนรถตำรวจก็จำได้ จึงรีบร้องบอกหลิงหยุน
แววตาของหลิงหยุนเป็นประกายขึ้นมาทันที และยิ้มมุมปากอย่างพอใจ ลักยิ้มมหาเสน่ห์ปรากฏขึ้นที่แก้มซ้ายของเขา และสองสาวต่างก็มองหลิงหยุนด้วยความตะลึง
“พวกเราไม่ต้องไปใหน.. รออยู่ตรงนี้ล่ะ ให้พวกมันเป็นฝ่ายมาหาเราที่นี่เอง!” พูดจบหลิงหยุนก็ทรุดตัวลงนั่งบนพื้นหญ้า สายตาของเขาจับจ้องไปทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ท่ามกลางฝูงชนแออัด เจ้าหน้าที่ตำรวจปรากฏตัวพร้อมอาวุธครบมือ ผู้คนที่ยืนมุงอยู่ต่างก็พากันหลีกทางให้ และต่างก็รู้สึกว่าครั้งนี้หลิงหยุนคงต้องกลายเป็นของเล่นของตำรวจพวกนี้แน่
หลัวจ้งนั่งในรถตำรวจที่ขับตรงเข้าไปยังโซนใต้สุดของหมู่บ้าน และไปหยุดอยู่หน้าบ้านหลังกลางที่ถูกทุบทิ้งจนแทบไม่เหลือซาก
ทันทีที่เขาก้าวขาลงจากรถ นักข่าวจากสำนักต่างๆ ต่างก็พากันมารุมล้อมเพื่อสัมภาษณ์เขาเกี่ยวกับเหตุการณ์ในครั้งนี้
หลัวจ้งยกมือขึ้นโบกพร้อมกับตอบนักข่าวว่า “ผมได้รับแจ้งมาว่า มีคนฝ่าฝืนกฏหมายด้วยการเข้ารื้อถอนทำลายทรัพย์สินของผู้อื่น ตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังเข้าตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ และจะทำการจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยทั้งหมดไปสอบสวน..”
หลิงหยุนและตู้กู่โม่ต่างก็ได้ยินอย่างชัดเจน และทั้งสองคนก็หันมามองตากันพร้อมกับแสยะยิ้มออกมาอย่างรังเกียจ
หลังจากที่ได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันในป่าเสินหนงระยหนึ่ง ทำให้ตู้กู่โม่ได้เรียนรู้นิสัยของหลิงหยุนหลายอย่าง จากที่เขารู้จักหลิงหยุนนั้น ดูเหมือนหลัวจ้งจะรีบดีใจเร็วไปหน่อย คิดจะจับคนอย่างหลิงหยุน.. ฝันกลางวันชัดๆ!
หลิงหยุนหันไปพูดกับหลงหวู่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ดูเหมือนหัวหน้าสำนักงานรักษาความมั่นคงจ้องจะจับผมอย่างเดียวเลย ตอนนี้ผมคงต้องพึ่งคุณทนายคนเดียวแล้วล่ะ..”
หลงหวู่กลับถอนหายใจแล้วประชดกลับไปว่า “นายมีวิธีที่ดีกว่านี้ไม่ใช่เหรอ? วิธีโง่ๆที่นายถนัดไง อย่างเช่นการใช้กำลัง?”
แต่หลิงหยุนกลับอย่างภูมิอกภูมิใจ “นั่นสิ.. ผมแข็งแรงมากเลยนะ! แค่สามนาทีผมก็ทุบบ้านทั้งหลังจนพังได้ คุณทำได้อย่างผมไม๊ล่ะ?”
หลงหวู่ทำหน้าหงิกพร้อมกับตอบไปอย่างระอา “ฉันขี้เกียจต่อปากต่อคำกับคนโง่แบบนาย..” จากนั้นก็หันหลังกลับไปไม่สนใจหลิงหยุนอีก
หลังจากที่สอบถามผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจที่นำทีมโดยหลัวจ้งก็เข้าใจสถานการณ์ในที่เกิดเหตุได้เป็นอย่างดี เขาจึงสั่งให้ตำรวจพร้อมอาวุธสิบกว่านายเข้าไปจับกุมหลิงหยุน
ทันทีที่ได้รับคำสั่ง ตำรวจทั้งสิบกว่านายก็เดินถือปืนชี้ไปที่หลิงหยุน และค่อยๆก้าวเข้าไปล้อมเขาไว้ สถานการณ์ดูเหมือนจะเริ่มตึงเครียดขึ้นมาทันที
หลัวจ้งสวมเสื้อผ้าสีพื้นและมีตำรวจที่มีฝีมือสองสามนายอยู่ข้างๆ และมีนักข่าวเดินตามมาเป็นพรวน แต่ละคนต่างก็เดินตามกันมาติดๆ เพราะเกรงว่าจะพลาดเหตการณ์สำคัญไป
หลัวจ้งเดินมาถึงวงล้อมของตำรวจ ก็เห็นหลิงหยุนกำลังนั่งอยู่บนพื้น..
หลิงหยุนนั่งเอามือซ้ายเท้าพื้นไว้ด้วยท่าทางสบายๆ พร้อมกับมองหลัวจ้งที่กำลังเดินเข้ามาด้วยสายตาเหยียดหยัน หลิงหยุนยิ้มมุมปากอย่างรังเกียจ ก่อนจะฉีกยิ้มกว้างอย่างสดใส!
แต่จู่ๆหลิงหยุนก็ยกมือขวาขึ้นชี้หน้าหลัวจ้ง! ท่าทางของหลิงหยุนนั้นทั้งเย็นชา ดุดัน จองหอง และไม่มีความเกรงกลัวแม้แต่น้อย!
หลัวจ้งคิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะแสดงท่าทางเช่นนี้ต่อหน้าเขา กล้องจำนวนมากต่างก็กดถ่ายภาพของหลิงหยุน หลัวจ้งรู้สึกกลัวจนต้องหยุดกะทันหัน และไม่กล้าก้าวเท้าเข้าไปใกล้หลิงหยุนอีกแม้แต่ก้าวเดียว!
ตำรวจหลายนายที่ล้อมหลิงหยุนไว้นั้น ต่างก็ไม่รู้ว่าหลิงหยุนต้องการจะทำอะไรกันแน่ แต่ดูจากท่าทางแล้ว ดูเหมือนหลิงหยุนต้องการจะเล่นงานหัวหน้าหลัวมากกว่า ตำรวจทุกนายต่างก็หวาดกลัว จึงรีบสับไกปื้นเสียงแกร๊กๆไปทั่วทั้งบริเวณ และเล็งปืนไปทางหลิงหยุน
ใบหน้าสวยงามของหลงหวู่ปรากฏขึ้นพร้อมกับร้องบอกหลัวจ้งว่า “หัวหน้าหลัว.. นี่เห็นพวกเราเป็นอาชญากรตั้งแต่เมื่อไหร่ ถึงได้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเล็งปืนมาทางพวกเราแบบนี้?”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลวหวู่ หลัวจ้งก็ถึงกับอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะตอบไปว่า “อ่อ.. คุณคงจะยังไม่รู้อะไรสินะ? ผมได้รับแจ้งว่ามีการก่ออาชญากรรมขึ้นที่นี่ และพวกเขาก็เป็นผู้ต้องสงสัย ผมจึงต้องสั่งให้ตำรวจเตรียมพร้อม..”
หลงหวู่ยิ้มพร้อมกับเหลือบมองหลิงหยุนที่กำลังนั่งอยู่ที่พื้นอย่างเกียจคร้าน จากนั้นก็หันไปพูดต่อว่า “ไม่ทราบว่าใครกันที่เป็นผู้ต้องสงสัยคนนั้น?”
หลัวจ้งอดที่จะทึ่งในตัวลูกสาวของหลงคุนไม่ได้ และไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดแก๊งมังกรจึงต้องกระโดดเข้ามาช่วยหลิงหยุน แต่ก็ตอบกลับไปว่า
“คนที่ไปทุบทำลายสำนักงานรื้อถอน และบ้านของคนอื่น คนคนนั้นก็คือผู้ต้องสงสัย ไม่ถูกต้องตรงใหน?”
หลงหวู่ยิ้มหวานและตอบกลับไปว่า “งั้นเหรอคะ.. แล้วใครกันนะที่ทำเรื่องแบบนั้น?”
ดูเหมือนหลัวจ้งจะถูกหลงหวู่ยั่วโมโหเข้าให้แล้ว เขาจึงตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจนัก
“หลงหวู่.. ฉันรู้ว่าเธอเป็นลูกสาวของหัวหน้าแก๊งมังกรเขียว เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ฉันไม่มีเวลามาเล่นลิ้นกับเธอหรอกนะ! ตอนนี้ฉันต้องพาตัวหลิงหยุนกลับไปสอบสวนก่อน หวังว่าเธอจะไม่เข้ามายุ่งอีก!”
“หัวหน้าหลัวคงจะกลัวเกินเหตุไป! การจะจับกุมคนก็ต้องมีหลักฐาน และมีเหตุผลที่เพียงพอ ไม่ใช่จับตามอำเภอใจ อีกอย่างนี่ก็อยู่ต่อหน้าผู้คนมากมาย ระวังจะกลายเป็นการกลั่นแกล้งประชาชน..!”
เสียงดังขึ้นมาจากด้านหลัง หลัวจ้งรีบหันกลับไปมองตามต้นเสียง ขณะที่หลิงหยุนและตู้กู่โม่เองต่างก็หันมามองหน้ากัน
ตู้กู่โม่ส่งกระแสจิตบอกกับหลิงหยุนว่า ‘น่าจะจะป็นยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-7’
เมื่อหลัวจ้งเห็นหน้าคนที่พูด ใบหน้าของเขาก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันทีพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พระอาทิตย์คงจะขึ้นทางตะวันตกสินะ? คิดไม่ถึงว่าเรื่องแค่นี้จะทำให้หัวหน้าแก๊งมังกรเขียวถึงกับต้องออกโรงด้วยตัวเอง!”
เจ้าของเสียงนั่นกลับไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นพ่อของหลงหวู่ หัวหน้าแก๊งมังกรเขียว-หลงคุนนั่นเอง!
หลงคุนเดินเข้าไปในวงล้อมของเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างช้าๆ และไปยืนเผชิญหน้ากับหลัวจ้งในระยะห่างกันไม่ถึงสองเมตร พร้อมกับพูดเบาๆว่า
“ฉันก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าเรื่องเล็กๆแบบนี้ จะทำให้หัวหน้าสำนักงานรักษาความมั่นคงถึงกับต้องออกโรงด้วยตัวเองเหมือนกัน.. ”
หลงคุนนั้นเป็นชายร่างสูงอย่างไม่น่าเชื่อ เขาสูงถึงหนึ่งเมตรเก้าสิบ แต่รูปร่างกลับไม่แข็งแกร่งเท่ากับตี้เสี่ยวอู๋ และดูเหมือนจะผอมกว่าเล็กน้อย
หลัวจ้งพูดต่อว่า “นี่หัวหน้าหลง.. ผมว่าคุณกับลูกสาวอย่ายื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้จะดีกว่า เพราะคดีนี้ผมเป็นผู้ดูแล ผมไม่มีเวลามาเล่นสนุกกับพวกคุณหรอกนะ!”
หลงคุนได้ฟังถึงกับหัวเราะเสียงดัง “นี่หัวหน้าหลัว.. แม้แต่การทำธุรกิจ ก็ยังต้องปฏิบัติตามขั้นตอน ผม-หลงคุนอยู่จิงฉูมาหลายสิบปี พวกเราสองคนต่างก็รู้จักกันเป็นส่วนตัวมาเป็นสิบปี และต่างคนต่างก็คุ้นเคยกัน แต่การที่คุณจะจับกุมคนโดยไม่แยกผิดแยกถูกแบบนี้ ผม-หลงคุนไม่เห็นด้วยจริงๆ!”
พูดจบ.. หลงคุนก็ผายมือไปทางด้านหลังของหลัวจ้ง เป็นการส่งสัญญาณให้เขาหันหลังกลับไปมอง..
หลัวจ้งหันไปมองด้านหลังก็พบคนของแก๊งมังกรเขียวหลายร้อยคนยืนอยู่ล้อมรอบตำรวจไว้อีกชั้นหนึ่ง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีอาวุธ แต่ใบหน้าของทุกคนก็บ่งบอกว่าเอาเรื่อง รอยยิ้มที่น่ากลัวของแต่ละคนดูเหมือนจะไม่แยแสกับตำรวจสิบบกว่านายนี้เลย
คนเหล่านั้นล้วนเป็นลูกน้องของหลงคุนที่พร้อมจะเป็นโล่ป้องกันให้กับเขา พวกเขาล้วนไม่กลัวตาย หลัวจ้งเห็นแล้วก็อดหวั่นไหวไม่ได้!
หลงคุนยิ้มพร้อมกับพูดต่อว่า “ผมไม่ได้ต้องการจะมาขัดขวางการทำงานของหัวหน้าหลัว แต่กรณีนี้หลิงหยุนเป็นเพียงแค่ผู้ต้องสงสัย หากมีคนยืนยันว่าหลิงหยุนทำผิดจริง คุณก็สามารถควบคุมตัวเขาไปได้เลย แต่คุณไม่สามารถใช้ความคิดของตัวเองตัดสินคนอื่น มันไม่ถูกต้อง..!”
หลัวจ้งโกรธจนหน้าเขียว เขายกมือขึ้นชี้หน้าหลิงหยุนที่ยังคงนั่งยิ้มแล้วพูดว่า “หลิงหยุนมันเข้าไปรื้อทำลายสำนักงานของกู่เหลียนซัน จับตัวเถียนป๋อเตา แล้วรื้อทำลายบ้านของเขาถึงสองหลัง ตอบมาสิว่า.. นี่ไม่ใช่การกระทำความผิดหรือยังไง? หลิงหยุนไม่สมควรถูกจับงั้นหรือ?”
หลงคุนพยักหน้าพร้อมตอบกลับไปด้วยสีหน้าจริงจัง “เอาล่ะ.. ถ้าเขาทำผิดหลายคดีขนาดนั้นจริงๆ คุณก็จับกุมตัวเขาไปได้เลย แต่..
แล้วหลงคุนก็หันไปถามหลงหวู่ “ลูกสาว.. ลูกเรียนกฎหมายมานี่นา ใหนลองบอกพ่อหน่อยสิว่า กรณีแบบนี้ตำรวจควรจะจัดการยังไง?”
หลงหวู่ตอบยิ้มๆ “แน่นอน.. สิ่งแรกที่ต้องมีคือหลักฐาน!”
หลงคุนผายมือพร้อมกับยักไหล่แล้วพูดขึ้นว่า “หัวหน้าหลัว.. ได้ยินแล้วใช่ไม๊? คุณกล่าวหาหลิงหยุนเป็นจำเลยในหลายคดี แล้วใหนล่ะหลักฐาน?”
หลัวจ้งกัดฟันกรอดและพูดขึ้นมาอย่างโมโห “เรื่องนี้ได้มีการตรวจสอบอย่างกระจ่างชัดแล้ว ทุกคนในที่นี้ก็เป็นพยานได้ จำเป็นต้องมีหลักฐานอะไรอีก?”
แต่จู่ๆก็มีเสียงดังฟังชัดแทรกขึ้นมา “หัวหน้าหลัว.. ทำไมถึงได้โง่ขนาดนี้! แค่ฟังคนพูดไม่กี่คนก็เชื่อว่าเป็นความจริง!”
หลิงหยุนที่นั่งฟังอยู่นาน จู่ๆก็โพล่งขึ้นมาอย่างไม่พอใจ แต่ก็ทำให้หลัวจ้งถึงกับเถียงไม่ขึ้นเช่นกัน
หลัวจ้งจ้องเล่นงานหลิงหยุนแบบนี้ มีหรือที่หลิงหยุนจะไม่หาโอกาสสร้างความอัปยศให้กับเขา ไม่เช่นนั้นคงจะไม่ใช่หลิงหยุนแน่นอน!
หลังจากที่หลิงหยุนพูดจบ บรรดานักข่าวและตำรวจแทบทุกนาย ต่างก็ทำท่าทางกระอักกระอ่วน และเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา แต่ก็ต้องกลั้นไว้..
หลงหวู่และเหลียงเฟิงอี้ต่างก็จ้องหน้าหลิงหยุนพร้อมกับคิดในใจว่า นี่เขากล้าพูดถึงขนาดนี้เชียวหรือ?
ทันทีที่หลัวจ้งได้ฟังคำพูดของหลิงหยุน เขาก็แทบจะหยุดหายใจ หลัวจ้งโกรธจนยกนิ้วขึ้นชี้หน้าหลิงหยุน และแทบอยากจะร้องตะโกนด่า แต่เพราะอยู่ต่อหน้าสาธารณชนเขาจึงต้องควบคุมอารมณ์ และรักษาภาพพจน์ของการเป็นหัวหน้าสำนักงานรักษาความมั่นคง และพูดออกมาแค่เพียงว่า
“แก..” แล้วก็พูดอะไรไม่ออกอีก
หลิงหยุนสปริงตัวลุกขึ้นจากพื้น เขายิ้มพร้อมกับก้าวเท้าเข้าไปข้างหน้า และพูดกับหลัวจ้งอย่างไม่เกรงกลัว
“แกคิดว่าแกเป็นใคร? คิดว่าเป็นหัวหน้าสำนักงานรักษาความมั่นคงแล้วทุกคงต้องให้ความเคารพ และพูดกับแกอย่างสุภาพหรือยังไง? ฉันจะบอกอะไรให้.. ถ้าแกทำในสิ่งที่ถูกต้อง ฉันถึงจะสุภาพกับแก!”
“ลุงหลงครับ.. ลุงพูดได้ถูกต้อง การจะจับกุมคนก็ต้องมีหลักฐาน ไม่ใช่จับตามอำเภอใจ ถ้าไม่มีหลักฐานแล้วมาจับ ขอให้แกตายไวๆไอ้สารเลว!”
จากนั้นหลิงหยุนก็หันไปถามหลงหวู่ “ทนายหลงครับ.. การสาปแช่งคนไม่ผิดกฎหมายใช่ไม๊?”
หลงหวู่หัวเราะคิกคักจนหน้าอกกระเพื่อม “ไม่ผิดหรอก.. แต่เขาเป็นถึงหัวหน้าสำนักงานรักษาความมั่นคงเชียวนะ..”
หลิงหยุนผายมือและพูดต่อ “งั้นก็ดี.. ในเมื่อผมด่าเขาได้ เขาก็ต้องด่าผมได้เหมือนกัน!”
บทที่ 375 : วาทะศิลป์!
“หลิงหยุน.. นี่เจ้า!”
ท่ามกลางผู้คนมากมาย และใครๆต่างก็รู้ว่าเขาคือหัวหน้าสำนักงานรักษาความมั่นคง หลัวจ้งคิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะกล้าพูดกับเขาอย่างไร้มารยาทต่อหน้าผู้คนเช่นนี้ เขาโกรธจนแทบกระอักออกมาเป็นเลือด!
ผู้คนทั่วไปที่พากันมามุงดูนั้นยังไม่เท่าไหร่ แต่ที่สำคัญคือ.. ตอนนี้มีทั้งสื่อหนังสือพิมพ์ สื่อโทรทัศน์ และผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาอีกหลายนาย นั่นต่างหากที่สำคัญกับหลัวจ้ง!
สำหรับหลัวจ้งผู้ที่ชอบสร้างภาพการเป็นฮีโร่ให้กับตัวเองนั้น การกระทำของหลิงหยุนในครั้งนี้ เจ็บปวดยิ่งกว่าการทำร้ายร่างกายของเขาเสียอีก
แต่หลัวจ้งก็ไม่มีทางเลือกอื่น เพราะหลงหวู่ก็พูดในสิ่งที่ถูกต้องว่า หลัวจ้งควรจะทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฏหมาย!
หลัวจ้งจึงได้แต่เก็บงำความโกรธแค้นไว้ในใจ และยิ่งรู้สึกเกลียดชังในตัวหลิงหยุนมากยิ่งขึ้น แต่เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว เขาเองก็ไม่อาจถอยหลังกลับไปได้เช่นกัน จึงได้แต่ต้องอดทน!
ตราบใดที่เขายังไม่สามารถจับกุมตัวหลิงหยุนกลับไปที่สำนางานรักษาความมั่นคงได้แล้วล่ะก็ เขาก็ทำได้แค่เพียงบากหน้าอยู่ต่อไป..
แล้วคนธรรมดาจะไม่กล้ากร่นด่าสาปแช่งหัวหน้าสำนักงานรักษาความมั่นคงงั้นหรือ? แน่นอนว่าพวกเขาต้องกล้าอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่กล้ากร่นด่าต่อหน้าเหมือนที่หลิงหยุนทำอยู่ในตอนนี้เท่านั้นเอง
หลิงหยุนยืนเผชิญหน้าอยู่กับหลัวจ้ง และใช้มังกรคำรามพูดกับเขา ดังนั้นแม้น้ำเสียงของหลิงหยุนจะดูเหมือนอยู่ในระดับปกติ แต่ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์กลับได้ยินทุกคำพูดได้อย่างชัดเจนเต็มสองรู้หู!
ผู้คนต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนานา!
“วันนี้หลิงหยุนเป็นอะไรกันแน่? ครั้งแรกก็ไปทุบสำนักงานรื้อถอน ตามด้วยบ้านของมัจจุราชหวัง แล้วตอนนี้ยังเปิดศึกกับหัวหน้าสำนักงานรักษาความมั่นคงอีก..”
“เขากล้าชี้หน้าหัวหน้าสำนักงานรักษาความมั่นคงแล้วเรียกว่า ‘ไอ้สารเลว’ เชียวเหรอ หลิงหยุนนี่ช่างกล้ามากจริงๆ!”
“แต่ฉันว่าหลิงหยุนชักทำเกินไปแล้ว แรกๆก็ฟังดูมีเหตุผล แต่ตอนนี้เริ่มไร้เหตุผลแล้วล่ะ..”
“ไม่เกินไปหรอก.. หลิงหยุนไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล แต่หลัวจ้งต่างหากที่ยังไม่ทันจะได้สอบถามเรื่องราวอะไร ก็เอาแต่จะจับหลิงหยุนกลับไปท่าเดียว เป็นฉันฉันก็คงด่าสาปแช่งเหมือนกันนั่นล่ะ เขาไม่ฟังความจากอีกฝ่ายเลยด้วยซ้ำ..”
“นั่นน่ะสิ.. ตอนที่เถียนป๋อเตาพาคนไปทุบบ้านของหลิงหยุน ทำไมหัวหน้าหลัวไม่เห็นส่งตำรวจไปจับพวกเขาบ้างเลย? ตอนนี้เกิดเรื่องกับพรรคพวกของตัวเอง ก็เป็นฟืนเป็นไฟแทน ไม่ยุติธรรมเลย!”
“ใช่ๆ หลิงหยุนไม่ใช่คนที่จะเที่ยวไปด่าว่าคนอื่นแบบนี้ ฉันว่าต้องมีเหตุผลอื่นซ่อนอยู่แน่ๆ”
“พวกเราคอยดูไปก่อนก็แล้วกัน ฉันว่าคนอย่างหลิงหยุนไม่ยอมให้ใครจับง่ายๆหรอก!”
……..
หลังจากที่ได้ฟังผู้คนวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆนานา หลิงหยุนก็เดินยิ้มเข้าไปยืนเผชิญหน้ากับหลัวจ้งในระยะเดียวกับหลิงคุน เขาเดินขึ้นไปยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับหัวหน้าแก๊งมังกรเขียว พร้อมกับหันไปทักทายด้วยความเคารพ
“ลุงหลง!”
หลงคุนหันไปมองหลิงหยุนพร้อมกับพยักหน้าและยิ้มให้อย่างพอใจ แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะสถานที่แห่งนี้ไม่เหมาะสมกับการพูดคุยเรื่องส่วนตัว
จากนั้นหลิงหยุนก็หันไปทางหลัวจ้งพร้อมกับยกมือขึ้นชี้หน้า “หลัวจ้ง.. ไอ้คนชั่ว ฉันจะเล่าความจริงให้แกฟัง!”
“สำนักงานรื้อถอนนั่นเป็นเพียงแค่สำนักงานชั่วคราว โครงสร้างก็ไม่ค่อยแข็งแรง ฉันผ่านไปเห็นสำนักงานโอนเอนจะพังแหล่มิพังแหล่ ฉันก็รีบเข้าไปบอกพนักงานที่อยู่ในสำนักงานให้รีบหนีออกไป แกคิดว่าถ้าฉันไม่เข้าไปบอก ป่านนี้พนักงานพวกนั้นก็คงถูกสำนักงานถล่มทับตายไปแล้วก็ได้!”
ทุกคนได้ฟังก็ถึงกับอึ้งไปทันที!
นี่สิถึงจะเรียกว่ามวยถูกคู่! หลิงหยุนเป็นคนพังสำนักงานนั่นกับมือตัวเองแท้ๆ แต่ตอนนี้กลับพูดราวกับว่าตัวเขาเป็นพระเอกที่เข้าไปช่วยผู้อื่นให้รอดชีวิตจากเหตุการณ์สำนักงานถล่ม!
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับชี้หน้าหลัวจ้งและตะโกนใส่หน้าว่า “ถ้าแกไม่เชื่อ.. ก็ลองถามพนักงานที่บริษัทรื้อถอนดูก็ได้ว่าฉันเข้าไปไล่พวกเขาออกจากสำนักงานจริงไม๊? แล้วพอพวกเขาวิ่งออกมา สำนักงานก็ถล่มลงมาทันทีจริงไม๊?”
ความจริงแล้ว. หลังจากที่จับกู่เหลียนซันโยนออกมานอกออกฟิศแล้ว หลิงหยุนก็ไม่ได้พูดอะไรกับพนักงานอีก
แต่ระหว่างที่หลิงหยุนอยู่ในสำนักงานคนเดียวนั้น คนที่อยู่ข้างนอกก็ไม่มีใครมองเห็นว่าเขาทำอะไรอยู่ด้านใน แต่เมื่อเขาเดินออกมา และใช้ฝ่ามือผลักเพียงเบาๆ สำนักงานก็ถล่มลงมาต่อหน้าต่อตา จากนั้นหลิงหยุนก็ใช้มังกรพรางร่างหนีออกมา ซึ่งยากที่สายตาคนธรรมดาจะสามารถจับความเร็วของเขาได้!
และต่อให้ทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่าหลิงหยุนเป็นคนทำให้สำนักงานถล่มลงมา แต่พวกเขาและแม้แต่พนักงานบริษัทเองต่างก็ไม่มีหลักฐาน
ตรงกันข้าม.. คำพูดของหลิงหยุนกลับตรงกับความจริงที่เกิดขึ้นมากกว่า เพราะทันทีที่พนักงานวิ่งออกมาหมด สำนักงานก็ถล่มลงมาทันที!
“ห๊ะ?! อะไรนะ..”
คำพูดของหลิงหยุนทำให้หลัวจ้งถึงกับอึ้งจนพูดอะไรไม่ออก เพราะเขาเองก็ไม่มีหลักฐานว่าหลิงหยุนเป็นคนทำ
“ใช่.. หลิงหยุนพูดได้ถูกต้อง! พวกเราก็เห็นกับตาว่าหลิงหยุนช่วยให้พวกพนักงานไม่ต้องถูกสำนักงานถล่มทับตาย!”
“นั่นสิ.. ถ้าไม่ใช่เพราะหลิงหยุน ป่านนี้พนักงานพวกนั้นคงจะอยู่ใต้ซากตึกไปแล้ว เป็นถึงบริษัทรับเหมาแท้ๆ แม้แต่สำนักงานตัวเองยังสร้างไม่แข็งแรง แล้วต่อไปจะไปไว้วางใจให้ไปสร้างตึกรามบ้านช่องให้คนอื่นได้ยังไงกัน?”
“นี่แค่เจอลมพัดแรงๆเท่านั้นนะ.. ยังเกิดเรื่องน่าเศร้าแบบนี้ได้..”
หลิงหยุนได้ยินเสียงผู้คนที่เริ่มวิพากษ์วิจารณ์ไปในทิศทางที่เข้าข้างเขาอีกครั้ง!
ประชาชนที่ตามหลิงหยุนมานั้น ล้วนเป็นผู้คนที่อาศัยอยู่ในย่านนี้มานาน มีใครบ้างที่ไม่เคยไปรักษากับนางฉินจิวยื่อ? และมีใครบ้างที่ไม่รู้จักนางฉินจิวยื่อ?
นางฉินจิวยื่อเปิดคลินิกในชุมชนแออัดบนถนนหลินเจียงแห่งนี้มานานหลายปี และความดีที่เธอได้สั่งสมมาตลอดหลายปี ก็ได้ออกดอกออกผลให้หลิงหยุนได้เก็บเกี่ยวพอดี!
อีกทั้งที่ผ่านมา ผู้คนในย่านนี้ก็ถูกมัจจุราชเถียนกดขี่ห่มเหงมาเป็นเวลานาน การรื้อถอนก็เต็มไปด้วยการเอารัดเอาเปรียบ หากพวกเขาไม่เข้าข้างหลิงหยุน แล้วจะให้พวกเขาไปเข้าข้างใครกัน? และตอนนี้หลิงหยุนก็ตัวคนเดียวไม่มีอาวุธอะไร คนมือเปล่าจะสามารถทุบบ้านทั้งหลังได้ยังไง?
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับหันไปมองเหลียงเฟงอี้และหลงหวู่ แล้วขยิบตาให้หญิงสาวทั้งสองคน หลงหวู่ถึงกับยกนิ้วให้หลิงหยุนอย่างไม่ลังเล
หลิงหยุนหันกลับไปกล่าวขอบคุณประชาชนที่อยู่ข้างเขา จากนั้นก็หันไปมองหลัวจ้งที่ยังคงมีสีหน้างุนงงและไม่เข้าใจ..
“หลัวจ้ง.. แกมาถึงก็ไต่ถามอะไร แต่กลับสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรงเข้ามาจับกุมฉัน แกมันก็แค่คนชั่วคนหนึ่งที่จ้องแต่จะรังแกคนอื่น?!”
หลัวจ้งถึงกับมึนงง.. เพราะทุกอย่างกลับตาลปัตรในเวลาอันรวดเร็ว และไม่มีใครสักคนที่มีหลักฐานเอาผิดหลิงหยุนได้ และยิ่งนานก็ยิ่งดูเหมือนหลิงหยุนเป็นฝ่ายถูกต้อง และได้รับแรงสนับสนุนจากผู้คนมากขึ้นด้วย!
หลังจากที่ถูกหลิงหยุนฉีกหน้าต่อหน้าสาธารณชน หลัวจ้งก็ไม่สนใจอะไรอีก เขาจ้องหน้าหลิงหยุนพร้อมกับพูดอย่างขุ่นเคือง
“เอาล่ะ.. ในเมื่อแกบอกว่าสำนักงานนั่นถล่มลงมาเอง แล้วแกจับตัวกู่เหลียนซันมาด้วยทำไม? หรือแกยังจะปฏิเสธอีก?!”
พูดจบหลัวจ้งก็ยกมือขึ้นชี้ไปทางกู่เหลียนซันที่นอนกองอยู่กับพื้น แล้วแสยะยิ้มให้หลิงหยุนราวกับว่าตนเองสามารถจับหลิงหยุนได้คาหนังคาเขา
นักข่าวต่างก็พากันมองไปทางกู่เหลียนซัน พร้อมกับถ่ายภาพไว้..
หลิงหยุนส่ายหน้ายิ้มๆ แล้วพูดกับหลัวจ้งอย่างอารมณ์ดีว่า “ใหน.. ใครบอกแกว่าฉันจับตัวกู่เหลียนซันมา?”
หลัวจ้งตอบกลับทันที “ความจริงก็คือความจริง ทุกคนก็เห็นกับตา แกยังจะแก้ตัวอีกหรือยังไง?!”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับชี้หน้าหลัวจ้งและพูดว่า
“แกนี่มันชั่วช้าจริงๆ! นี่แกยังไม่เชื่อคำพูดของฉันอีกหรือยังไง? กู่เหลียนซันสมัครใจมาที่นี่เอง จู่ๆเขาก็เกิดไม่สบายขึ้นมากะทันหัน ขยับเขยื้อนตัวไม่ได้แล้วก็เจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างกายจนเหงื่อไหลท่วมตัวไปหมด ถึงแม้เขาจะเป็นคนรื้อบ้านของฉันทิ้งกับมือ แต่ฉันในฐานะที่เป็นหมอและมีจรรยาบรรณแพทย์อยู่เต็มเปี่ยม ก็เลือกที่จะโยนความโกรธแค้นทิ้งไป และช่วยรักษาให้กับเขา ระหว่างนั้นก็ฝากให้เพื่อนของฉันช่วยดูแลอย่างใกล้ชิด ตอนนี้อาการของเขาดีขึ้นแล้ว สามารถเคลื่อนไหวได้เป็นปกติแล้ว! นี่แกคงคิดว่าฉันจับเขามาเป็นตัวประกันสินะ?!”
“อะไรนะ?! นี่แก..”
หลัวจ้งถึงกับมึนจนไปไม่ต่อไม่ถูก แม้กระทั่งตำรวจที่เขาพามาด้วยก็มึนไปตามๆกัน นักข่าวที่ตามมาทำข่าวเองก็ถึงกับงุนงงเช่นเดียวกัน!
นั่นเพราะสิ่งที่อยู่ต่อหน้าทุกคนนั้น ดูเหมือนจะตรงข้ามกับคำพูดของหลิงหยุนทั้งหมด
ครั้งแรก.. หลิงหยุนก็อ้างว่าเป็นเพราะสำนักงานรื้อถอนสร้างไม่แข็งแรงและกำลังจะถล่ม จึงเข้าไปไล่พนักงานออกมา
ครั้งนี้.. กลับบอกว่ากู่เหลี่ยนซันป่วยกะทันหันจนขยับตัวไม่ได้ และเขาซึ่งเป็นแพทย์ทีมีจรรยาบรรณ ก็ได้เข้าไป ‘ช่วยชีวิต’ ของศัตรูไว้..
เช่นนี้แล้วหลิงหยุนจะเป็นอาชญากรได้อย่างไร? เขาเป็นคนดีที่เข้าไปช่วยเหลือผู้อื่นต่างหาก!
แม้แต่ตู้กู่โม่เองก็ถึงกับตกตะลึงจนแทบล้มตึงลงไปกับพื้น เขากลายเป็นผู้ที่คอยดูแลกู่เหลียนซัน ทั้งที่เขาเพียงแค่นั่งมองกู่เหลียนซันดิ้นรนด้วยความเจ็บปวดจนตัวสั่นอยู่นานถึงสี่สิบนาที แต่ตอนนี้หลิงหยุนกลับบอกว่าตัวเองเป็นผู้ที่ช่วยชีวิตกู่เหลียนซันไว้!?
ตู้กู่โม่ทึ่งในความสามารถของหลิงหยุนอย่างที่สุด.. หลิงหยุนมีทักษะในการกลับดำเป็นขาวได้อย่างมีชั้นเชิง และมีสีหน้าที่นิ่งเรียบ!
แต่ถึงแม้จะกำลังตกตะลึง ตู้กู่โม่ก็ไม่ลืมสิ่งที่เขาควรจะต้องทำ เขาใช้กระแสจิตบอกกับกู่เหลียนซันว่า
‘ถ้าหลัวจ้งถาม.. เจ้าคงรู้นะว่าต้องตอบยังไง? คงไม่ต้องให้ข้าสอนหรอกนะ!’
ก่อนหน้านี้กู่เหลียนซันก็ได้สารภาพกับหลิงหยุนไปหมดแล้ว และเหลียงเฟิงอี้ก็ได้บันทึกคำสาภาพของเขาไว้แล้วด้วย ตอนนี้สภาพของเขาก็ไม่ต่างจากหมูกลัวน้ำร้อนตัวหนึ่ง..
เขาไม่ต้องการปกป้องเสียเจิ้นติงกับหลัวจ้ง จนทำให้ตัวเองต้องได้รับทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดแบบเมื่อครู่อีกแล้ว ต่อให้ตู้กู่โม่ไม่สั่ง เขาก็รู้ว่าควรทำอย่างไร?
หลิงหยุนพูดกับหลัวจ้งที่ตอนนี้หน้าซีดจนขาว “ถ้าไม่เชื่อ ก็ลองถามกู่เหลียนซันดูเองก็ได้ ตอนแรกเขาป่วยถึงขั้นพูดไม่ได้ แต่ตอนนี้ฉันรักษาจนเขาพูดได้แล้ว..”
หลัวจ้งลังเล.. และเริ่มรู้สึกว่าการที่เขามาที่นี่ด้วยตัวเองนั้น เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งใหญ่เลยทีเดียว
เขารู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังถูกคลื่นซัดลูกแล้วลูกเล่า จนถึงตอนนี้ก็ยิ่งไกลออกจากฝั่งไปทุกที.. ทุกที..!
หลิงหยุนมองดวงตาที่หรี่ลงของหลัวจ้งด้วยรอยยิ้มที่เยือกเย็น และสั่งให้ตู้กู่โม่ให้พาตัวกู่เหลียนซันเข้ามา จากนั้นจึงก้มลงถามกู่เหลียนซันที่นั่งอยู่บนพื้น
“ช่วยบอกคนชั่วช้าหลัวจ้งหน่อยสิว่า ผมเป็นคนช่วยชีวิตคุณไว้รึเปล่า?”
กู่เหลียนซันพยักหน้าอย่างว่าง่าย พร้อมกับตอบไปว่า
“หัวหน้าหลัว.. สิ่งที่หลิงหยุนพูดเป็นความจริง จู่ๆผมก็ป่วยกะทันหัน แล้วเขาก็เข้ามาช่วยผมไว้จริงๆ ไม่ได้จับตัวผมไว้อย่างที่คุณกล่าวหา..”
น้ำเสียงของกู่เหลียนซันนั้นดูจริงใจและจริงจังอย่างมาก ขณะที่พูดถึงหลิงหยุนใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความซาบซึ้งในบุญคุณ จนหลัวจ้งแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง!
แต่สิ่งที่กู่เหลียนซันพูดนั้นก็ดูเหมือนจะไม่เกินจริงนัก เพราะหากหลิงหยุนไม่คลายจุดให้กับเขา ป่านนนี้กู่เหลียนซันจะอยู่หรือตายก็ไม่อาจรู้ได้!
“หลัวจ้ง.. แกเป็นผู้อำนวยการสำนักงานรักษาความมั่นคงได้ยังไงกัน? เที่ยวไล่จับคนทั้งที่ไม่มีหลักฐาน อีกทั้งยังไม่คิดที่จะสอบสวนหาความจริง!”
“แล้วแบบนี้จะไม่ให้ฉันเรียกแกว่า.. ไอ้คนชั่วช้าได้ยังไง?!”
หลิงหยุนไม่เพียงมีฝีปากที่เก่งกาจ แต่ยังมีวาทศิลป์ในการพูดชักจูงโน้มน้าวได้อย่างไม่น่าเชื่อ จนแม้แต่หลัวจ้งเองก็ถึงกับจนมุม!
บทที่ 376 : น่าสมเพช!
หลิงหยุนยืนชี้หน้าหลัวจ้งที่ถึงกับนิ่งเงียบหมดคำพูด ใบหน้าของเขาเปลี่ยนจากขาวเป็นแดง และจากแดงเป็นเขียวจนถึงขั้นม่วงคล้ำ และท้ายที่สุดก็เปลี่ยนจากสีหน้าที่โกรธแค้นเป็นเศร้าสลดแทน และเหงื่อเย็นก็เริ่มไหลออกตามใบหน้าและร่างกาย!
ตอนนี้เป็นเวลาสิบเอ็ดโมง และแสงแดดก็เริ่มเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้อุณหภูมิที่สูงถึง 34 องศา แต่ละคนล้วนชุ่มไปด้วยเหงื่อจากความร้อน แต่หลัวจ้งกลับชุ่มไปด้วยเหงื่อที่เย็นเฉียบ!
ทันทีที่หลัวจ้งมาถึงที่เกิดเหตุ เขาก็ให้สัมภาษณ์กับสื่อด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสว่า หลิงหยุนเป็นผู้ต้องสงสัยที่เขาต้องทำการจับกุม
นักข่าวจากหลายสำนักทั้งทีวีและหนังสือพิมพ์ ต่างก็บันทึกคำให้สัมภาษณ์ของหลัวจ้ง แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องจับกุมจริงๆ เขากลับไม่มีหลักฐานที่จะสามารถใช้จับกุมตัวหลิงหยุนได้ และยังถูกชี้หน้าด่าว่าเป็นคนชั่วช้าอีกด้วย!
หลัวจ้งต้องการจับหลิงหยุน แต่คำตอบของหลิงหยุนกลับทำให้หลัวจ้งกลายเป็นตัวตลกในทันที! หลัวจ้งพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย!
เขาไม่มีพยานหลักฐานอะไรสักอย่าง แต่หลิงหยุนกลับมีทั้งพยานและหลักฐานครบถ้วน เขากล่าวหาว่าหลิงหยุนจับกู่เหลียนซันเป็นตัวประกัน แต่เจ้าตัวกลับยืนยันปฏิเสธแทนหลิงหยุน เช่นนี้แล้วหลัวจ้งยังจะพูดอะไรได้อีก?!
ซูหลิงเฟย – นักข่าวคนสวยจากสถานีท้องถิ่นเดินขึ้นไปด้านหน้า เธอจ้องมองหลิงหยุนพร้อมกับรีบยกไมโครโฟนจ่อปากหลัวจ้ง และยิงคำถามที่ไม่ต่างจากการจงใจตีแสกหน้าหลัวจ้ง
“ผู้อำนวยการคะ.. คุณรู้สึกอย่างไรที่สถานการณ์กลับตาลปัตรไปแบบนี้?”
ในใจของหลัวจ้งนั้นรู้สึกโกรธและรำคาญนักข่าวสาวคนนี้มาก ที่จู่ๆก็ถามคำถามนี้ขึ้นมา นี่ไม่เท่ากับยิ่งเป็นการตั้งใจฉีกหน้าเขางั้นหรือ?
แต่ถึงแม้หลัวจ้งจะรู้สึโกรธ แต่เขาก็ผ่านประสบการณ์ในการเผชิญหน้ากับสถานการณ์ใหญ่ๆมามากมาย เขาจึงเพียงแค่ยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อเย็นที่ผุดขึ้นบนหน้าผากเบาๆ พร้อมกับตอบไปว่า
“เอ่อ.. ดูเหมือนเรื่องนี้จะค่อนข้างซับซ้อนกว่าที่ผมคิดไว้มาก.. คงต้องใช้เวลาในการสืบสวนและสอบสวนนานกว่านี้..”
ซูหลิงเฟยเป็นนักข่าวที่ใจเย็นและค่อนข้างถามตรงประเด็น เธอจึงถามต่อว่า
“ผู้อำนวยการหลัวคะ.. คุณไม่คิดว่ามันเป็นการไม่ยุติธรรมไปหน่อยเหรอคะ? ตอนนี้ทุกอย่างก็ดูเหมือนจะกระจ่างชัดแล้วว่า หลิงหยุนไม่น่าจะใช่ผู้กระทำความผิด แต่กลับเป็นคนดี ต้องเรียกว่าดีมาก และเป็นแพทย์ที่มืออาชีพมาก แต่ทำไมคุณยังคิดจะจับกุมตัวเขาไปที่สำนักงานรักษาความมั่นคงอีก..”
หลัวจ้งได้แต่โบกไม้โบกมือพร้อมกับตอบไปว่า “เอ่อ.. ตอนนี้ผมยังไม่สะดวกที่จะตอบคำถามของคุณ ผมยังต้องใช้เวลาในการสอบสวนในคดีนี้อีก..”
ซูหลิงเฟยพยักหน้า แต่ก็ไม่ยอมปล่อยหลัวจ้งไป เธอชิงถามต่อว่า “ถ้าอย่างนั้น.. ไม่ทราบว่าขั้นตอนในการสอบสวนต่อไปของผู้อำนวยการหลัวคืออะไรคะ?”
หลัวจ้งครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงตอบไปว่า “เอ่อ.. ยังมีเรื่องที่หลิงหยุนทุบทำลายบ้านของผู้อำนวยการเถียนถึงสองหลัง ทุกคนก็เห็นกับตา.. ผมเชื่อว่าเขาคงยากที่จะปฏิเสธ..”
พูดจบ.. หลัวจ้งก็เงยหน้าขึ้นมองหลิงหยุนพร้อมกับถามเสียงดัง
“หลิงหยุน.. เรื่องสำนักงานรื้อถอนและเรื่องของกู่เหลียนซัน ฉันจะพักไว้ก่อน และจะสอบสวนทีหลัง แต่..”
หลัวจ้งยกมือชี้ไปทางบ้านที่เหลือแต่ซากทั้งสองหลังของเถียนป๋อเตา พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“บ้านสองหลังที่ถล่มลงมานั่นเป็นฝีมือของแกใช่ไม๊? ถ้าไม่มีคำอธิบายที่สมเหตุสมผลแล้วล่ะก็ วันนี้สำนักงานรักษาความมั่นคงคงต้องจับแกขังไว้ก่อนชั่วคราวแล้วล่ะ! ถ้าแกอธิบายเรื่องนี้ไม่ได้ ยังไงวันนี้ฉันก็ต้องจับกุมแกให้ได้!”
“หลัวจ้ง.. แกนี่มันชั่วช้าไม่มีที่ติจริงๆ!” หลิงหยุนหันหน้าไปพูดใส่ไมโครโฟนของซูหลิงเฟยที่อยู่หน้าหลัวจ้ง
หลิงหยุนมองหลัวจ้งที่ข้างนอกทำท่าแข็งแกร่ง แต่ความจริงข้างในกำลังหวั่นไหวอย่างมาก ข้างนอกดุดัน แต่ข้างในหวาดกลัว แต่เขากก็ต้องฝืนปฏิบัติหน้าที่อย่างกระอักกระอ่วนใจอยู่ที่นี่! หลัวจ้งคงคิดว่าคำพูดของเขาจะทำให้หลิงหยุนรู้สึกกดดันได้บ้าง แต่หลิงหยุนยังมีเป้าหมายที่ต้องทำให้สำเร็จอีกหลายอย่าง แน่นอนว่าเขายังปล่อยหลัวจ้งให้กลับไปตอนนี้ไม่ได้อย่างแน่นอน!
หลิงหยุนยิ้มมุมปากให้หลัวจ้ง แล้วจึงหันไปร้องสั่งถังเมิ่งเสียงดัง “ถังเมิ่ง.. นายให้ใครไปพาตัวท่านเถียนมาที่นี่ซิ!”
ถังเมิ่งที่ยืนอยู่ด้านหลัง และได้ยินหลิงหยุนเรียกหลัวจ้งว่าไอ้ชาติชั่วอยู่ตลอดเวลานั้น ทั้งตื่นเต้นและดีใจอย่างบอกไม่ถูก!
ตอนนี้หลิงหยุนให้เขาร่วมวงสนุกด้วยแล้ว เขาจึงรีบสั่งคนให้ไปพาตัวเถียนป๋อเตามาที่นี่
“ลุงหลัวครับ.. ที่พี่ชายของผมหลิงหยุน เรียกคุณลุงว่าไอ้ชาติชั่ว คุณลุงอย่าโกรธเลยนะครับ เพราะมันจะไม่เป็นผลดีกับสุขภาพของคุณลุง ถ้าไง.. ผมขอโทษแทนพี่ชายของผมด้วยนะครับ..”
แม้ว่าถังเมิ่งจะทำท่าทางเสียใจและเอ่ยขอโทษหลัวจ้ง แต่ในใจของเขากลับชื่นชมยินดีที่ได้เรียกหลัวจ้งว่าไอ้ชาติชั่ว แต่คนอื่นๆนั้นไม่ได้รู้ความนัยของถังเมิ่งไปด้วย
จะไม่ให้ถังเมิ่งฉวยโอกาสกร่นด่าได้อย่างไร? เพราะตอนนี้เสียเจิ้นเหยินก็ใหญ่โตในหน่วยงานราชการ ส่วนหลัวจ้งก็กุมมเมืองจิงฉูไว้ทั้งเมืองก็ว่าได้ อีกทั้งยังใช้อำนาจอิทธิพลปลดหลี่ยี่เฟิงและถังเทียนห่าว ยากที่สองฝั่งจะประนีประนอมกันได้อีก ตอนนี้เหลือเพียงแค่หนทางเดียวคือสู้กันจนตายไปข้าง และสองฟากฝั่งก็เริ่มฉีกหน้ากันและกัน!
หลัวจ้งรู้ดีว่าคำของโทษของถังเมิ่งนั้นล้วนเป็นการแสดง แต่ตอนนี้เขากำลังคิดหาวิธีที่จะออกไปจากที่นี่ให้ได้ก่อน จึงไม่ต้องการที่จะต่อปากต่อคำกับถังเมิ่งต่อ
หลิงหยุนเดินขึ้นไปด้านหน้า พร้อมกับยอมรับออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “ครั้งนี้แกพูดได้ถูกต้อง! บ้านสองหลังนั้นฉันเป็นคนทุบทิ้งเองล่ะ!”
ผู้คนที่พากันรอคอยให้หลิงหยุนหาเหตุผลมาปฏิเสธเพื่อปกป้องตนเอง และรอคอยให้หลิงหยุนตอกหน้าหลัวจ้งกลับไปเหมือนเมื่อครู่อีกครั้ง แต่จู่ๆ หลิงหยุนกลับยอมรับว่าตนเองเป็นคนทำจริง! หลายคนต่างก็รู้สึกผิดหวัง..
“หลิงหยุนยอมรับงั้นเหรอ?!”
“แม่เจ้า.. นี่เขายอมรับได้ยังไง?”
“ในที่สุดหลัวจ้งก็หาเหตุจับกุมคนจนได้สินะ..”
แม้แต่หลงหวู่และเหลียงเฟิงอี้เองก็คิดไม่ถึงว่าอยู่ๆหลิงหยุนจะยอมรับง่ายๆแบบนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนักข่าวอีกหลายๆสื่อ โดยเฉพาะซูเหลียงเฟย!
ซูเหลียงเฟยได้แต่มองหน้าหลิงหยุนพร้อมกับแอบคิดในใจว่า ‘หมอนี่จู่ๆทำไมถึงกลายเป็นคนโง่แบบนี้ไปได้? นี่เขายอมรับออกมาได้ยังไงกัน?’
หลังจากที่หลัวจ้งได้ยิน.. เขาก็มีสีหน้าดีอกดีใจอย่างออกหน้าออกตา ‘ในที่สุดแกก็ยอมรับแล้วสินะ! แต่ถึงแกไม่ยอมรับ ฉันก็หาเหตุมาจับกุมแกจนได้ล่ะน่า!’
แต่ยังไม่ทันที่หลัวจ้งจะได้พูดอะไร เขาก็ได้ยินหลิงหยุนพูดต่อว่า “ฉันไม่เพียงแค่ทุบบ้านทั้งสองหลังของมัจจุราชหวังนะ แต่ยังจะทุบบ้านหลังที่สามของมันด้วย หัวหน้าหลัว.. อย่าเพิ่งรีบกลับล่ะ รอดูฉันทุบบ้านหลังที่สามซะก่อน..”
หลัวจ้งร้องออกมาเสียงดัง “หลิงหยุน.. นี่แกยังจะไล่ทุบบ้านของคนอื่นอีกหรือไง? แค่สองหลังนั่นก็มีมูลค่าหลายล้านแล้ว และมันก็เพียงพอที่จะจำคุกแกได้หลายปีเลยล่ะ! เอาตัวมันไป!”
เหลียงเฟิงอี้และหลงหวู่ที่ฟังอยู่ได้แต่กระวนกระวายใจ ใบหน้าสวยงามของหญิงสาวทั้งสองคนต่างก็มีเหงื่อไหลออกมาเต็มไปหมด
หลิงหยุนหัวเราะเสียงดังก่อนจะพูดขึ้นว่า “ไอ้คนชั่วช้า! แกคิดจะทำอะไร? อย่าด่วนดีใจนัก.. รอฟังคำตอบของคนแซ่เถียนนี่ก่อนไม่ดีกว่ารึ?”
พูดจบ.. หลิงหยุนก็ใช้เท้าเตะร่างของเถียนป๋อเตาที่นอนกองอยู่กับพื้น และพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า
“คนแซ่เถียน.. ลุกขึ้นมาพูดได้แล้ว! ไม่ต้องแกล้งนอนตายแบบนี้..”
ขณะที่หลิงหยุนใช้เท้าเตะเถียนป๋อเตานั้น เขาก็ได้จัดการคลายจุดให้แล้ว และเถียนป๋อเตาก็สามารถขยับร่างกายได้ เขาดิ้นขลุกขลักเพื่อลุกขึ้นยืน และโอนเอนแทบจะล้มลงไปกับพื้น
หลิงหยุนไม่ต้องการเสียเวลาไปกับการเตือนเถียนป๋อเตา แต่จะปล่อยให้เขาเป็นฝ่ายเลือกที่จะพูดด้วยตัวเอง เพราะถึงอย่างไรหลิงหยุนก็มีคำสารภาพของกู่เหลียนซันและเถียนป๋อเตาอยู่แล้ว ทั้งสองคนต่างก็สารภาพแล้วว่ามีใครบ้างที่อยู่เบื้องหลัง ตราบใดที่เขาเอาคำสารภาพออกมาเปิดเผยกับสื่อ แน่นอนว่าหลัวจ้งก็คงต้องย่อยยับไปด้วยอย่างแน่นอน หลิงหยุนจึงไม่มีอะไรต้องกังวลอีก!
“หัวหน้าหลัว.. เรื่องนี้จะตำหนิหลิงหยุนไม่ได้ ผมมีความแค้นส่วนตัวกับเขา และได้ฉวยโอกาสนี้รื้อทำลายบ้านของเขาทั้งที่ยังไม่ได้รับความยินยอมจากครอบครัวของเขา ดังนั้น.. สิ่งที่หลิงหยุนทำอยู่ตอนนี้ จึงเป็นสิ่งที่ผมสมควรต้องได้รับ และหลิงหยุนก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งนั้น..”
เถียนป๋อเตายืนต่อหน้าหลัวจ้งด้วยท่าทางเคารพนบนอบ พร้อมกับพูดต่อว่า “และผมได้ตัดสินใจยกบ้านหลังที่ยังเหลืออยู่นี้ให้กับหลิงหยุนเป็นค่าชดเชยที่ได้รื้อถอนบ้านของเขาโดยพละการ จากนี้ไปก็แล้วแต่หลิงหยุนจะจัดการยังไงกับบ้านหลังนั้น เพราะไม่ใช่บ้านของผมอีกต่อไปแล้ว!”
“……” ทุกคนได้แต่ยืนตกตะลึง..
ก่อนหน้านั้น.. เถียนป๋อเตาเอาแต่ข่มเหงรังแกประชาชนตาดำๆ แม้กระทั่งเห็นเถียนป๋อเตาเดินมา พวกเขายังต้องหลีกทางให้ และเลียงไปเดินห่างๆ แต่ตอนนี้กลับลายเป็นว่า ผู้ที่เคยข่มเหงรังแกพวกเขา กลับเป็นฝ่ายยอมรับความผิดเสียเอง?!
หลิงหยุนกับถังเมิ่งได้ยิน ก็ได้แต่มองหน้ากันยิ้มๆ จากนั้นหลิงหยุนก็หันไปมองเถียนป๋อเตาพร้อมกับพึมพำในใจ ‘อืมม..’
เถียนป๋อเตาต้องการทำให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็ก และหลัวจ้งก็จะได้รีบออกไปจากที่นี่!
เพราะแม้ว่าเถียนป๋อเตาจะนอนนิ่งอยู่ที่พื้น แต่ก็ได้ฟังวาทะศิลป์ของหลิงหยุนมาตลอด และได้เห็นหลิงหยุนสร้างความอัปยศให้กับหลัวจ้งครั้งแล้วครั้งเล่า เขาจึงรู้สึกว่าหากปล่อยให้หลัวจ้งยังอยู่ที่นี่ต่อไป ก็ไม่เป็นผลดีกับหลัวจ้งอย่างแน่นอน!
เขาเป็นฝ่ายรื้อทำลายบ้านของหลิงหยุนก่อน และหลิงหยุนกลับมาทุบบ้านของเขาคืน แม้จะฟังดูไม่ถูกต้อง แต่ก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล และถึงแม้มูลค่าของบ้านจะต่างกัน แต่ก็เป็นบ้านเหมือนกัน
ไม่เพียงเท่านั้น.. หากหลัวจ้งยังดึงดันที่จะจับกุมตัวหลิงหยุนไปอย่างไม่มีเหตุผล อย่าว่าแต่แก๊งมังกรเขียวจะไม่ยินยอม แม้แต่ประชาชนจำนวนมากที่มุงดูอยู่นี้ ก็คงไม่ยินยอมเช่นกัน!
อีกอย่าง.. หลิงหยุนยังมีไพ่ตายในมืออีก ตราบใดที่หลิงหยุนเอาวีดีโอของเขากับบรรดาหญิงบริการออกมาเผยแพร่ ใหนจะยังบันทึกคำสารภาพของเขาที่บอกว่าหลัวจ้งมีส่วนเกี่ยวข้องอีก ถึงตอนนั้นต่อให้หลัวจ้งอยากจะออกไปจากนี่นี่ ก็คงยากที่จะทำได้!
และถึงตอนนั้น แม้แต่ตัวเขาเองก็คงต้องกลายเป็นหมาตายอยู่ข้างถนน!
หลังจากที่คำพูดของเถียนป๋อเตาดูเหมือนจะช่วยหลิงหยุนนั้น หากหลัวจ้งฉลาดพอ เขาก็น่าจะเดาสถานการณ์ออกว่า ไม่เหลือเหตุผลอะไรที่จะจับกุมหลิงหยุนได้อีกแล้ว และเขาควรจะรีบถอยกลับออกไปทันที!
และนี่คือแผนการของเถียนป๋อเตา หลิงหยุนได้ทุบบ้านของเขาทิ้งถึงสองหลังแล้ว และไม่เห็นว่าจะมีใครหยุดยั้งหลิงหยุนได้ หากหลิงหยุนต้องการจะทุบหลังที่สามอีก มันก็คงจะพังราบภายในเวลาเพียงแค่สองสามนาทีอย่างแน่นอน ดังนั้น น่าจะเป็นการดีกว่าหากเขาใส่พานถวายหลิงหยุนไปเลย อย่างน้อยก็น่าจะพอบรรเทาความโกรธแค้นของหลิงหยุนลงได้บ้าง!
อีกทั้งยังเป็นการหยุดยั้งปัญหาที่กำลังจะบานปลายมากขึ้นเพราะการกระทำของหลัวจ้ง หลังจากหลัวจ้งกลับไป และรอจนคนอื่นๆกลับไปด้วย ถึงตอนนั้นเขาจะต่อรองอะไรกับหลิงหยุนต่อก็ยังพอที่จะทำได้!
เถียนป๋อเตานับว่าเป็นคนหัวดีและช่างวางแผน แต่เขาประเมินเรื่องหนึ่งผิดไปอย่างมาก!
เขาประเมินความฉลาดปราดเปรื่องของหลิงหยุนต่ำเกินไป และประเมินผิดไปว่าหลิงหยุนมาวันนี้เพื่อจัดการกับเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น!
หารู้ไม่ว่า.. ทุกสิ่งที่หลิงหยุนทำลงไปนั้น ก็เพื่อเป็นการใช้ปลาเล็กล่อปลาใหญ่อย่างหลัวจ้งให้มาติดเบ็ด หลิงหยุนยังมีเป้าหมายอีกหลายอย่างที่เขาต้องทำให้สสำเร็จ แล้วเขาจะปล่อยให้หลัวจ้งกลับไปง่ายๆได้อย่างไร?
ดังนั้น.. หลิงหยุนจึงเพียงแค่ยิ้มให้กับถังเมิ่ง และคร้านที่จะเปิดโปงแผนการของเถียนป๋อเตา เขากำลังรอดูปฏิกิริยาของหลัวจ้งอยู่
หลัวจ้งเองก็ไม่ใช่คนโง่.. เขารู้ความนัยที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของเถียนป๋อเตาดี จึงแสร้งทำเป็นโมโหพร้อมกับร้องตะโกนออกไปว่า
“หุบปาก! ผู้อำนวยการเถียน คุณเป็นถึงข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ แต่กลับใช้กำลังบีบบังคับรื้อบ้านคนอื่นแบบนี้? เรื่องนี้ผมต้องสอบสวนอย่างเคร่งครัด!”
จากนั้นก็หันไปพูดกับหลิงหยุน “หลิงหยุน.. เขาใช้อำนาจบีบบังคับรื้อถอนบ้านของเธอ เธอก็ต้องไปฟ้องร้องเอา ไม่ใช่มาใช้กำลังแก้แค้นเองส่วนตัวแบบนี้ ไม่อย่างนั้นสังคมเราจะอยู่กันอย่างสงบสุขได้ยังไง?”
“อีกอย่าง.. การกระทำของเธอก็เป็นการรบกวนชาวบ้านคนอื่นไปด้วย..”
ดูเหมือนหลัวจ้งจะสามารถฟื้นภาพลักษณ์เจ้าหน้าที่ที่สูงส่งของเขาขึ้นมาได้อีกครั้ง หลังจากที่พูดกับหลิงหยุนแล้ว เขาก็หันไปพูดกับนักข่าวว่า
“ในเมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้นเช่นนี้ สำหรับหลิงหยุนที่ถูกผู้อำนวยการเขตรื้อบ้านโดยไม่ได้รับความยินยอม ทางเราจะทำการสอบสวนเรื่องนี้กันอีกครั้ง และทางสำนักงานรักษาความมั่นคงจะแจ้งความคืบหน้าในการสอบสวนให้ทุกท่านทราบต่อไป ตอนนี้ขอให้ทุกท่านแยกย้ายกันได้แล้ว…”
หลัวจ้งสรุปเหตุการณ์ครั้งนี้ด้วยคำพูดที่แสนเรียบง่าย พร้อมกับหันไปสั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า “ทุกคนกลับได้!”
และนี่คือความต้องการของหลัวจ้ง ในเมื่อไม่มีเหตุผลที่จะจับกุมตัวหลิงหยุน และพบว่าหลิงหยุนไม่ใช่คนที่เขาจะจัดการได้ง่ายๆอย่างที่คิดไว้!
ตอนแรกเขาคิดว่าหลิงหยุนคงจะใช้กำลังและความรุนแรงในการขัดขืนการจับกุม เพราะหากเป็นเช่นนั้น เขาก็ไม่ลังเลที่จะสั่งจับตายเช่นกัน!
แต่กลับกลายเป็นว่า.. ไม่เพียงหลิงหยุนไม่ใช้ความรุนแรงในการขัดขืน แต่กลับใช้คำพูดเพียงไม่กี่คำ ก็สามารถพลิกสถานการณ์กลับมาเป็นฝ่ายมีชัยชนะอย่างสวยงามได้!
หลัวจ้งที่กำลังหน้าดำคร่ำเครียด เมื่อได้โอกาสก็ต้องการที่จะหลีกหนีจากสถานการณ์ตรงนี้ แต่หลิงหยุนไม่มีทางปล่อยให้เขาได้ทำตามใจต้องการแน่!
หลิงหยุนยกมือขึ้นกดลงบนไหล่ของหลัวจ้งเพียงเบาๆ แต่สายตากลับเต็มไปด้วยความเย็นชาพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ
“คนชั่ว.. เรื่องของแกจบแล้ว แต่เรื่องของฉันยังไม่จบ!”
หลัวจ้งผู้น่าสงสาร!
หลัวจ้งรู้สึกราวกับว่าไหล่ของเขานั้นมีของหนักหลายพันกิโลกรัมทับอยู่ ทำให้เขาไม่สามารถที่จะก้าวขาต่อไปได้ และไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้ หลัวจ้งถึงกับตกใจสุดขีด!
หลิงหยุนเพียงแค่วางมือลงบนไหล่ของเขาเบาๆ เพื่อให้เขาไม่สามารถขยับตัวได้ จากนั้นก็พูดขึ้นว่า
“ไม่อยู่บังคับใช้กฏหมายต่อหรือไง? ใหนๆเจ้าหน้าที่ตำรวจก็อยู่ที่นี่เต็มไปหมด ฉันจะได้ร้องเรียนเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด แล้วก็จะได้คุยกับเจ้าคนชั่วนี่แบบต่อหน้า!”
หลัวจ้งถึงกับหน้าเสีย เขาดิ้นรนเพื่อให้หลุดจากฝ่ามือของหลิงหยุน แต่กลับพบว่าไร้ประโยชน์ จึงได้แต่ตอบกลับไปว่า
“หลิงหยุน.. ฉันต้องรีบกลับไปที่สำนักงานเพื่อประชุมด่วน อย่าให้มันมากเกินไปนัก..!ถ้าอยากจะฟ้องร้อง ก็ไปที่สำนักงาน..”
หลิงหยุนแสยะยิ้มและตอบกลับไปว่า “ประชุมด่วนงั้นเหรอ? ประชุมเรื่องที่จะหาวิธีจับฉันยังไงต่อไปสินะ? วันนี้เป็นวันหยุด มีคนมาทำงานด้วยเหรอ?”
“เรื่องที่บ้านของฉันถูกรื้ออย่างไม่เป็นธรรม.. ฉันรู้อยู่แล้วว่าต้องไปร้องเรียนที่สำนักงาน แต่เรื่องที่ฉันต้องการจะร้องเรียนในตอนนี้ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับหัวหน้าสำนักงานรักษาความมั่นคงโดยตรง และใหนๆแกก็อยู่ที่นี่แล้ว ฉันก็จะร้องเรียนกับแกตรงนี้เลยก็แล้วกัน แกพร้อมจะรับเรื่องไม๊ล่ะ?!”
หลิงหยุนต้องการคิดบัญชีกับหลัวจ้งที่นี่!
“ฉันขอถามว่า.. ตอนที่บ้านของฉันถูกรื้อถอนอย่างไม่เป็นธรรม ทำไมถึงไม่มีตำรวจไปห้ามและไม่มีใครไปตรวจสอบ แต่พอฉันมาทุบบ้านของคนอื่นบ้างเท่านั้นล่ะ สำนักงานรักษาความมั่นคงถึงกลับออกโรงมาจัดการทันที?!”
“คลินิกของฉันถูกคนบุกไปทำลาย ผู้จัดการกับคนงานตกแต่งร้านก็ถูกทำร้ายบาดเจ็บสาหัส เรื่องนี้ทางสำนักงานรักษาความมั่นคงไม่รู้ไม่เห็นบ้างหรือยังไง?!”
“ฉันอยากจะถามว่า.. แกจับน้องชายของฉันที่ชื่อตี้เสี่ยวอู๋ไปด้วยข้อหาอะไร? และใช้กฎหมายข้อใหน?! มีหลักฐานหรือไม่? หากไม่มีหลักฐาน และเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ ทำไมสี่สิบแปดชั่วโมงแล้วถึงยังไม่ปล่อยตัวอีก?”
“ฉันอยากจะถามว่า.. ทำไมแกถึงได้สั่งยึดและปิดตายบ้านทั้งสองหลังของฉัน แล้วรู้ได้ยังไงว่าทรัพย์สินของฉันไม่มีที่มาที่ไป?! แล้วทำไมถึงสั่งอายัดบัญชีธนาคารของฉัน?!”
หลิงหยุนใช้มังกรคำรามพูดกับหลัวจ้ง และเพิ่มพลังเสียงให้ดังขึ้น!
ทุกคำพูด และทุกประโยคที่ออกจากปากของหลิงหยุนนั้น ทุกคนต่างก็ได้ยินกันอย่างชัดแจน และทิ่มแทงเข้าไปในจิตใจของทุกคน!
หลังจากที่ตั้งคำถามมากมายกับหลัวจ้ง หลิงหยุนก็ยิ้มอย่างเยือกเย็นก่อนจะสั่งเขาเสียงดังว่า
“ตอบมา!”
เสียงของหลิงหยุนดังกึกก้องไปทั่วทั้งบริเวณ!
“โอ้โห.. หลัวจ้งมันทำกับหลิงหยุนมากมายถึงเพียงนี้ เรียกมันว่าไอ้ชาติชั่วยังน้อยไปด้วยซ้ำ!”
“ใช่แล้ว.. หลัวจ้ง! คุณเป็นถึงผู้อำนวยการสำนักงานรักษาความมั่นคง แต่กลับทำเรื่องชั่วช้าแบบนี้ จงใจกลั่นแกล้งประชาชนชัดๆ..”
“นั่นสิ.. น่าอายชะมัด! ใช้อำนาจจัดการกับประชาชนตาดำๆ”
บทที่ 377 : สะดุดตอ!
“……….”
คนฝั่งหลิงหยุน.. ไม่ว่าจะเป็นถังเมิ่ง เหลียงเฟิงอี้ หลงหวู่ หลงคุน และตู้กู่โม่ ต่างก็เดินขึ้นมาข้างหน้า และมาหยุดยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับหลิงหยุน ทำให้บรรยากาศในสนามหญ้าดูน่าเกรงขาม และเป็นภาพที่น่าประทับใจอย่างมาก!
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนที่พากันมามุงดูนั้นเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ คลื่นแห่งความไม่พอใจทวีความรุนแรงมากขึ้น และบางคนก็เริ่มสาปแช่ง
เดิมทีหลัวจ้งคิดว่าตนเองเป็นฝ่ายได้เปรียบ จึงรีบนำกำลังตำรวจพร้อมอาวุธมาจับกุมหลิงหยุนด้วยความตื่นเต้นดีใจ พร้อมกับคิดว่าหลิงหยุนคงหนีเงื้อมือตนไม่พ้นอย่างแน่นอน
แต่เมื่อเขาได้เผชิญหน้ากับหลิงหยุนจริงๆ หลิงหยุนกลับสร้างความอัปยศให้กับเขา และยังสามารถชี้แจงข้อเท็จจริงได้อย่างแจ่มแจ้งจนแม้แต่หลัวจ้งเองก็ไม่อาจโต้แย้งได้ แต่ที่น่าตกใจที่สุดก็คือตอนที่เขารู้ตัวว่า ตนเองไม่ใช่ผู้ควบคุมสถานการณ์อีกต่อไป..
และเมื่อเขารู้ตัวว่ากำลังเสียท่าให้กับหลิงหยุน และต้องการจะหลบหนีไปจากสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เขากลับคิดไม่ถึงว่า หลิงหยุนจะปล่อยระเบิดลูกใหญ่โจมตีเขาทันที!
หลัวจ้งที่ตอนนี้อยู่ท่ามกลางสายตาที่นับไม่ถ้วน และกำลังถูกสาธรณชนตัดสินอยู่ฝ่ายเดียว!
หลัวจ้งตกใจ และตื่นตระหนกถึงขีดสุด!
เขาไม่คาดคิดว่าหลิงหยุนไม่เพียงไม่ใช้กำลังตอบโต้ แต่กลับใช้คำพูดที่ชาญฉลาดไม่กี่คำ ประกอบกับตัวแปรอื่นๆที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว พลิกกลับมาเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ และยังสามารถตอบโต้เขากลับอย่างรุนแรงได้ จนกระทั่งตัวเขาเองแทบไม่อยากทนอยู่ที่นี่ต่อไป!
ตอนนี้ในหัวของหลัวจ้งมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือ.. การหาข้ออ้างออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วค่อยหาทางแก้แค้นหลิงหยุนต่อไป
แต่ตอนนี้ฝ่ามือขนาดใหญ่ของหลิงหยุนที่วางอยู่บนไหล่ของเขานั้น ทั้งแข็งและหนักราวกับแท่งเหล็ก ไม่เพียงทำให้หลัวจ้งก้าวขาไปข้างหน้าต่อไม่ได้ แต่ยังไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้อีกด้วย!
“หลิงหยุน.. ก็.. ก็บอกแล้วไงว่าพวกเรากำลังสอบสวนเรื่องนี้อยู่ และยังไม่มีข้อสรุป..”
หลัวจ้งสัมผัสได้ถึงความหนักหน่วงและแข็งแกร่งของฝ่ามือที่วางอยู่บนไหล่ ขาของเขาทั้งสองข้างเริ่มสั่นจนไม่อาจควบคุมได้ และตัวเขาเองก็เริ่มพูดติดอ่าง
หลิงหยุนยิ้มให้อย่างเยือกเย็น ก่อนจะเพิ่มแรงกดลงบนไหล่ของหลัวจ้งเพียงเล็กน้อย พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“งั้นเหรอ? ยังจะต้องสอบสวนอะไรอีกล่ะ? ทำไมไม่ใช้วิธีเดียวกับที่ใช้กับฉัน? ทีกับฉัน.. ไม่เห็นว่าแกต้องสอบสวนอะไรก่อนเลย แถมยังออกโรงนำกำลังตำรวจมากมายมาจับฉันด้วยตัวเองซะอีก!”
“ถ้าอยากจะสอบสวนนัก ก็สอบสวนตอนนี้เลยสิ! ในเมื่อตอนสั่งยึดบ้านและอายัดบัญชีของฉัน แกยังทำทุกอย่างได้อย่างง่ายดายและรวดเร็ว?!”
หลิงหยุนพูดจบ.. ก็หันกลับไปมองหลงหวู่พร้อมกับถามขึ้นว่า “ทนายหลง.. ไม่ทราบว่าทางราชการมีอำนาจสั่งยึดบ้านและอายัดบัญชีของผมได้ง่ายๆแบบนี้เลยเหรอครับ?”
หลงหวู่ยิ้มสดใส เธอถอนหายใจแล้วตอบกลับไปว่า “แน่นอน.. ทำไม่ได้อยู่แล้ว ก่อนจะสั่งการอะไร ก็ต้องมีข้อสรุปพร้อมหลักฐาน ไม่เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฏหมายเหมือนกัน!”
หลิงหยุนยิ้มสบายๆ ก่อนจะหันกลับไปมองหลัวจ้งด้วยสายตาเย็นชา “แกได้ยินชัดแล้วใช่ไม๊ว่า สิ่งที่แกทำมันผิดกฏหมาย!”
“เอ่อ..”
หลัวจ้งโกรธจนหน้าเขียว เขาไม่สนใจหลิงหยุนอีก แต่ร้องสั่งคนของตัวเองว่า “เร็วเข้า.. เข้ามาห้ามนักข่าวไว้ อย่าให้พวกเขาถ่ายอะไรได้อีก บางคนกำลังถ่ายทอดสดอยู่..”
ตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญไปว่าตัวเขาเอง.. หากทุกอย่างในที่นี้ถูกถ่ายทอดออกไป หลัวจ้งรู้ดีว่าหน้าที่การงานของเขาก็คงต้องจบลงด้วยเช่นกัน!
หากไม่มีศัตรูที่มีอำนาจและแข็งแกร่งอย่างหลี่ยี่เฟิงกับถังเทียนห่าว เวลานี้หลัวจ้งคงจะไม่สนใจอะไรทั้งนั้น หลังจากเหตุการณ์นี้เขาก็แค่หาโฆษกออกมาแถลงอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก็เท่านั้นเอง!
หากทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ออกอากาศไป ชีวิตของเขาคงต้องมีรอยด่างพร้อยขึ้นอย่างแน่นอน
แม้ว่าหลี่ยี่เฟิงและถังเทียนห่าวจะไม่มีอำนาจเหมือนก่อน แต่พวกเขาทั้งคู่ก็กำลังหาทางรับมือเสียเจิ้นติง และแก้ไขปัญหาต่างๆอยู่ เพื่อรอเวลาเอาคืน!
เดินหมากผิดตาเดียว ล้มทั้งกระดาน!
ความจริงแล้ววันนี้หลัวจ้งไม่จำเป็นต้องมาด้วยตัวเองก็ได้ เพราะไม่ใช่เหตุการณ์ที่สะเทือนขวัญอะไร แต่เพราะวันนี้เป็นวันจับกุมตัวหลิงหยุน! และหลิงหยุนก็คือปัญหาใหญ่ของเมืองจิงฉู!
หลัวจ้งและเสียเจิ้นติงจึงต้องระมัดระวังอย่างมาก อีกทั้งหลิงหยุนก็เป็นเหตุที่ทำให้หลี่ยี่เฟิงต้องถูกสอบสวน และถังเทียนห่าวต้องถูกกักบริเวณ!
ตราบใดที่หลัวจ้งสามารถจับกุมตัวหลิงหยุนกลับไปได้ นั่นก็หมายความว่าเขาได้แก้ปัญหาเรื่องหลิงหยุนได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากนั้นจึงค่อยจัดการหลี่ยี่เฟิงกับถังเทียนห่าวต่อไป..
ดังนั้น..ในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ การจับกุมหลิงหยุนจึงเป็นเรื่องของการต่อสู้ระหว่างขั้วอำนาจสองขั้วของเจ้าหน้าที่ระดับสูงในเมืองจิงฉู!
เพราะความสำคัญของหลิงหยุน ทำให้หลัวจ้งที่มีตำแหน่งสูงถึงกับต้องเดินทางมาที่เกิดเหตุด้วยตัวเอง และมาถึงก็ไม่พูดพล่ามอะไร จ้องแต่จะจับกุมหลิงหยุนเพียงอย่างเดียว
เพราะสำหรับเขา นี่คือขั้นตอนที่สำคัญอย่างที่สุด!
ไม่เช่นนั้น.. หลัวจ้งคงไม่เสียเวลามาใส่ใจกับคดีเรื่องรื้อบ้านเล็กๆเพียงไม่กี่หลังหรอก แต่เขาตั้งใจนำทีมมาเพื่อจับหลิงหยุนต่างหาก!
แต่หลัวจ้งกลับคิดไม่ถึงว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น เป็นแผนที่เนียบเนียนของหลิงหยุน ที่ใช้ล่อเขาให้ออกมา!
เขาคิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะไม่มีความเกรงกลัวเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เขานำมาด้วยแม้แต่น้อย ไม่เพียงไม่เกรงกลัว แต่ยังสามารถพูดคุยหัวเราะได้อย่างปกติ อีกทั้งยังทำให้เขาอับอายได้อย่างที่สุดด้วย
ไม่เพียงหลัวจ้งจะไม่สามารถทำให้หลิงหยุนหวั่นไหวได้ แต่ตัวเขาเองกลับตกหลุมพรางของหลิงหยุน และกลายเป็นตัวตลกต่อหน้าผู้คนมากมาย!
เมื่อนึกถึงผลกระทบรุนแรงที่จะตามมา หลัวจ้งจึงต้องสั่งคนของเขาให้จัดการหยุดนักข่าวไว้ก่อน
แต่น่าเสียดาย.. เพราะทุกอย่างสายเกินไปแล้ว! ไม่เพียงสายเกินไป แต่ยังไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีก นั่นเพราะคนที่อยู่ต่อหน้าเขาไม่ใช่ตาสีตาสา แต่คือหลิงหยุน!
ทันทีที่ได้รับคำสั่งของหลงคุน คนของแก๊งมังกรเขียวหลายร้อยคนก็เข้าขัดขวาง ไม่ให้เจ้าหน้าที่กีดกันนักข่าวได้..
หลงคุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ทำไมล่ะหลัวจ้ง? ตอนที่คุณจะจับกุมคน คุณกลับให้สื่อถ่ายรูป แต่เมื่อสถานการณ์พลิกผลัน คุณกลับไม่ยอมให้นักข่าวถ่ายงั้นรึ?!”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับรับช่วงต่อทันที “นี่แกคิดว่าจะสามารถปิดหูปิดตาผู้คนในเมืองจิงฉูได้งั้นรึ?”
พูดจบ.. หลิงหยุนก็ยกมืออีกข้างขึ้นจับไหล่อีกข้างของหลัวจ้ง พร้อมกับพูดว่า “เอาล่ะ.. ถึงเวลาที่ต้องจัดการกับข้อร้องเรียนของฉันได้แล้ว?”
ไหล่ทั้งสองข้างของหลัวจ้งที่ถูกหลิงหยุนกดไว้นั้นเริ่มบวมเปล่ง หลัวจ้งเหลือบมองไหล่ที่ปวดร้าวของตนเอง และกำลังครุ่นคิดว่าจะหาวิธีออกจากสถานการณ์ที่ยากลำบากนี้ได้อย่างไร?
หลัวจ้งรู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะออกจากที่นี่ได้ หากปัญหาของหลิงหยุนไม่ถูกจัดการแก้ไขในตอนนี้
หลัวจ้งคิดว่าเขาคงต้องหาทางทำให้หลิงหยุนใจเย็นลงก่อน เพื่อที่ตัวเขาเองจะได้ออกจากที่นี่ได้เร็วที่สุด และหลังจากที่ออกไปได้แล้ว ค่อยคิดหาหนทางกลับมาแก้แค้นหลิงหยุนคืน
“หลิงหยุน.. ฉันคิดว่าเธอคงจะเข้าใจผิดในหลายๆเรื่อง ความจริงแล้ว เรื่องที่เกิดกับเธอนั้น เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของฉันทำกันเองโดยพละการ ฉันเองไม่ได้รู้เห็นในเรื่องพวกนั้นด้วย..”
หลังจากที่ใคร่ครวญสถานการณ์อยู่ในใจ หลัวจ้งคิดว่าก่อนอื่นเขาคงต้องโยนความผิด และความรับผิดชอบให้ผู้อื่นก่อน
“แต่ในเมื่อเธอมาร้องเรียนด้วยตัวเอง ฉันก็คิดว่าเป็นไปได้ที่เจ้าหน้าที่อาจจะทำงานกันเถรตรงจนเกินไป..”
“ฉันเองก็เพิ่งจะได้ยินเรื่องนี้จากปากของเธอ..”
หลิงหยุนกับถังเมิ่งต่างก็หันมายิ้มให้กัน แต่ก็ไม่คิดโต้แย้งหลัวจ้ง หลิงหยุนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเบาๆ “ฉันไม่ได้ต้องการฟังคำอธิบายของแก ฉันแค่อยากฟังว่าแกจะจัดการเรื่องนี้ยังไง?”
หลิงหยุนต้องการผลลัพธ์! เขาต้องการพลิกสถานการณ์ให้ตนเป็นฝ่ายได้เปรียบให้มากที่สุด!
สีหน้าของหลัวจ้งเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาทันที พร้อมกับพูดอย่างจริงจังว่า “เรื่องบ้านของเธอนั้น ฉันจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ก่อนเรื่องอื่น จะรีบกลับไปสอบสวนหาต้นสายปลายเหตุอย่างละเอียด และผู้ที่กระทำความผิดจะต้องได้รับบทลงโทษที่รุนแรง และต้องได้รับคำอธิบายจนกว่าเธอจะพอใจ!”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับร้องเตือนว่า “อย่าลืมว่าเรื่องนี้มีข้าราชการระดับสูงของเมืองจิงฉูเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยนะ!”
ใบหน้าของหลัวจ้งชะงักงันขึ้นทันทีและดูเหมือนทำอะไรไม่ถูก จากนั้นจึงพูดต่อว่า
“ส่วนเรื่องที่มีคนไปบุกรุกและทำลายคลินิกของเธอนั้น เรื่องนี้สำนักงานยังไม่ได้รับรายงาน แต่ในเมื่องเธอร้องเรียนเข้ามาแล้ว ฉันก็จะส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจสอบ..”
หลิงหยุนรู้ดีว่าตอนนี้หลัวจ้งกำลังเล่นบทผู้บริสุทธิ์อยู่ แต่เขาก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ทัน และยังคงพยักหน้าต่อไป “แล้วยังไงต่อ?!”
เรื่องคลินิกนั้นหลิงหยุนได้จัดการด้วยตัวเองจนเรียบร้อยไปแล้ว แน่นอนว่าเขาไม่ได้ต้องการให้หลัวจ้งไปจัดการอะไรอีก แต่เรื่องต่อไปต่างหากที่เป็นเรื่องสำคัญ..
หลัวจ้งพ่นลมหายใจออกทางปากก่อนจะพูดต่อว่า “ส่วนเรื่องเพื่อนของเธอที่ชื่อตี้เสี่ยวอู๋นั่น?”
หลิงหยุนกำลังรอว่าหลัวจ้งจะจัดการอย่างไร?
หลังจากที่หลัวจ้งสามารถสงบจิตใจได้บ้างแล้ว เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ช้าไปและไม่เร็วจนเกินไป
“เรื่องนี้ฉันเองได้รับรายงานมาเหมือนกัน ดูเหมือนว่าเพื่อนของเธอจะถูกจับในข้อหาเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีข่มขู่และขูดรีดทรัพย์จากบริษัทแห่งหนึ่ง..”
หลิงหยุนฟังแล้วได้แต่แสยะยิ้ม “อย่าพล่ามให้มากนักเลย! แล้วก็ไม่ต้องพยายามดึงเวลาด้วย ฉันจะบอกอะไรให้ ฉันกับถังเมิ่งก็อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น บริษัทนั่นติดหนี้เรา เราก็แค่ไปทวนหนี้ ก็เท่านั้นเอง!”
หลิงหยุนเห็นหลัวจ้งกำลังจะเริ่มเยิ่นเย้อและชักแม่น้ำทั้งห้า เขาจึงรีบขัดขึ้นเสียก่อน!
หลัวจ้งขมวดคิ้วพร้อมกับตอบไปว่า “แต่ผู้จัดการทั่วไปของบริษัทชิงหยุนโปรดักชั่น ให้ปากคำว่าบริษัทไม่ได้เป็นหนี้คุณ แต่คุณบังคับให้เขาเซ็นต์เอกสารกู้ยืม..”
หลิงหยุนตอบกลับไปว่า “อ่อ.. หมายความว่าแกฟังความข้างเดียวสินะ? สิ่งที่พวกเขาพูดเป็นความจริง แต่สิ่งที่ฉันพูดไม่จริงหรือยังไง? ทางเรามีเอกสารกู้ยืมที่บริษัทชิงหยุนเป็นผู้ลงนาม แต่เมื่อเราไปเก็บเงิน ทางเรากลับเป็นฝ่ายผิด?”
หลัวจ้งไม่สามารถโต้แย้งได้ เขาได้แต่เช็ดเหงื่อที่หน้าผากพร้อมกับพูดต่อว่า “เรื่องนี้.. ฉันจะสอบสวนอีกที..”
หลิงหยุนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “สอบสวนงั้นรึ? มีเอกสารกู้ยืม ยังจะเรียกว่าขูดรีดอีกรึไง?”
ยังไม่ทันที่หลัวจ้งจะพูดจบประโยค หลิงหยุนก็พูดขัดขึ้นมา พร้อมกับออกแรงกดลงบนไหล่ของหลัวจ้งอีกครั้ง
หลิงหยุนเริ่มเบื่อหน่ายและไม่อยากเสียเวลากับหลัวจ้งมากนัก เขาคิดในใจว่าคนอย่างหลัวจ้งไม่เห็นโลงศพคงจะไม่หลั่งน้ำตา ครั้งนี้เขาจะไม่ปรากณีมันแน่
หลัวจ้งรู้สึกเจ็บจี๊ดที่ไหล่ขึ้นมาทันที เขาได้แต่กรีดร้องออกมา และสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด!
ทางด้านกู่เหลียนซันและเถียนป๋อเตาที่มองดูหลัวจ้งกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดอยู่นั้น ทั้งคู่แทบอยากจะร้องบอกให้เขาอย่าได้โยกโย้อีก เพราะไม่มีประโยชน์อะไร!
ก่อนที่หลิงหยุนจะเอาคำสารภาพที่บันทึกไว้ออกมาเปิดเผย นับว่าเรื่องราวยังเล็กพอที่จะสามารถจัดการได้ หลัวจ้งควรจะรีบหาทางออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด..
ใบหน้าของหลัวจ้งซีดเผือด และมองหลิงหยุนอย่างอัศจรรย์ใจ ‘ทำไมเด็กนี่ถึงได้มีพละกำลังมากมายขนาดนี้?’
หลิงหยุนจ้องมองหลัวจ้งด้วยสายตาเยือกเย็น และเต็มไปด้วยรังสีของฆาตกร พลังหยินในร่างกายของเขาก็เริ่มหมุนเวียน!
หลัวจ้งรู้สึกว่าจู่ๆอุณหภูมิรอบตัวเขาก็ลดลงอย่างกะทันหัน ทำให้เขารู้สึกเย็นยะเยือกเข้าไปถึงกระดูก
เขารู้สึกหวาดกลัวอย่างไม่สามารถอธิบายได้ และถึงกับพูดออกมาอย่างไม่รู้สึกตัว “ในเมื่อมีเอกสาร ก็ต้องไม่ใช่การขูดรีด..”
หลัวจ้งพูดจบก็ได้แต่บอกกับตัวเองว่า.. ครั้งนี้เขาสะดุดตอต้นใหญ่มากเข้าแล้วจริงๆ!
บทที่ 378 : ชนะขาดลอย!
หลัวจ้งเริ่มรู้สึกสำนึกผิด!
เขาและหลิงหยุนต่างก็ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน แต่การที่เขาเอาตัวเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ ก็เพียงเพราะเหตุผลสามประการ
เหตุผลข้อแรกคือ.. ผลประโยชน์จำนวนมากที่เขาได้รับจากกู่เหลียนซัน
เหตุผลข้อที่สองก็คือ.. ทั้งเขาและเสียเจิ้นเหยินล้วนชิงดีชิงเด่น และเป็นปฏิปักษ์กับหลี่ยี่เฟิงและถังเทียนห่าวมานานหลายปี
หลี่ยี่เฟิงควบคุมดูแลทั่วทั้งจิงฉู อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากถังเทียนห่าว ทำให้มีอำนาจในมืออย่างเหลือเฟือ จนบทบาทของหลัวจ้งค่อยๆถูกลดทอนลงเรื่อยๆ
แต่เพราะนางหนิวเฟิ่นเหยียวและซันจิ้ง ต่างก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในระหว่างที่อยู่จิงฉู ตระกูลซันโกรธแค้นเป็นอย่างมาก และซันเทียนเปียวก็ได้ใช้อำนาจ และคอนเน็คชั่นที่มีอยู่ จัดการปลดหลี่ยี่เฟิงและถังเทียนห่าวที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับหลิงหยุน เรียกได้ว่าพายุลูกใหญ่กำลังพัดทำลายเมืองจิงฉู!
พายุแห่งความโกรธแค้นของตระกูลซัน ทำให้หลี่ยี่เฟิงที่มีอำนาจและอิทธิพลมากมายอยู่ในมือ กลับถูกตระกูลซันปลดลงภายในเวลาชั่วประเดี๋ยวเดียว!
เสียเจิ้นติงกับหลัวจ้งรู้ว่าโอกาสของพวกเขามาถึงแล้ว จึงรีบปรึกษากันและตัดสินใจที่จะฉวยโอกาสจากสถานการณ์นี้ ทั้งคู่เลือกที่จะยืนอยู่ข้างตระกูลซัน และประกาศตัวเป็นศัตรูกับหลิงหยุน
และหากหลัวจ้งสามารถจับกุมหลิงหยุนได้ และแอบส่งตัวให้กับซันเทียนเปียวได้เร็วมากเท่าไหร่ นั่นก็เท่ากับว่าเขาได้สร้างความดีความชอบอย่างใหญ่หลวงให้กับตระกูลซัน และด้วยอำนาจอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่ของตระกูลซัน รับรองได้ว่าตำแหน่งของหลัวจ้งคงต้องขึ้นพรวดพราดอย่างแน่นอน!
ไม่เพียงแค่หลัวจ้งจะมีอนาคตที่ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน แต่เขายังสามารถเหยียบศัตรูคู่แข่งให้จมดินได้ด้วยการสนับสนุนจากตระกูลซัน และนี่คือเหตุผลข้อที่สามของหลัวจ้ง!
แต่หลัวจ้งกับเสียเจิ้นติงกลับลืมคิดถึงจุดเล็กๆน้อยๆไป แต่กลับกลายเป็นจุดที่อันตรายถึงชีวิต! บางทีพวกเขาอาจจะคิด แต่ไม่ได้ใส่ใจและให้ความสำคัญกับมันมากนัก
นั่นก็คือ.. พวกเขาทั้งคู่ลืมคิดไปว่า หลิงหยุนคือผู้ที่ทำให้ตระกูลซันโกรธแค้นได้จนถึงขนาดที่ซันเทียนเปียวต้องลงมาจัดการกับเขาด้วยตัวเองได้ เช่นนี้แล้วหลิงหยุนจะเป็นเพียงแค่คนธรรมดาๆไปได้อย่างไร?
ทั้งหลัวจ้งและเสียเจิ้นติงต่างก็คิดถึงเรื่องนี้อยู่บ้าง และไม่ใช่เพียงแค่คิด แต่ยังเคยได้ยินเรื่องกำลังและความสามารถเกินมนุษย์ของของหลิงหยุนที่ได้แสดงต่อหน้าผู้คนมาแล้ว
แต่น่าเสียดายที่ทั้งคู่กลับไม่คิดจริงจังอะไรมาก พวกเขาต่างก็คิดว่าหลิงหยุนคงจะไม่แข็งแกร่งถึงขั้นที่จะสามารถต่อกรกับตระกูลซันได้!
ก่อนหน้านี้หลัวจ้งคิดว่าไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร ตราบใดที่หลิงหยุนปรากฏตัว เขาก็จะเข้าจับกุมตัวส่งให้กับตระกูลซันทันที หลังจากนั้นก็หมดธุระของเขาแล้ว!
แต่ช่างโชคร้าย.. ที่ทุกอย่างกลับตรงข้ามกับสิ่งที่หลัวจ้งคิดไว้ ไม่เพียงไม่สามารถหาเหตุผลในการจับกุมตัวหลิงหยุนได้ แต่ความแข็งแรงและแข็งแกร่งของหลิงหยุนกลับค่อยๆปรากฏให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้นหลัวจ้งจึงเริ่มรู้สึกตัวว่า ครั้งนี้เขารีบร้อนกระโจนลงมาร่วมสังฆกรรมรวดเร็วเกินไป อย่างน้อยเขาก็ยังไม่ควรต้องปรากฏตัวในเวลานี้
หลัวจ้งกวาดสายตามองไปด้านหลัง และพบว่าตำรวจหลายนายที่เขาสั่งการให้มานั้น ค่อยๆถอยห่างออกไปอย่างเงียบๆ
เป็นธรรมดาของโลกใบนี้.. เมื่อผู้คนพบว่าคุณกำลังจะสิ้นชื่อ ต่างก็ไม่มีใครสนใจคุณอีก พวกเขาต่างก็กลัวว่าจะได้รับความเดือดร้อนไปด้วย ดังนั้นยิ่งอยู่ให้ห่างได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี!
หลัวจ้งเริ่มรับรู้ได้ทันทีว่า เขากำลังตกลงสู่สถานการณ์ที่ถูกลูกน้องโดดเดี่ยวอย่างช่วยไม่ได้ เขาทั้งรู้สึกเสียใจและตกใจ จึงรีบตอบคำถามของหลิงหยุนทันที
“หากคดีนี้ไม่ใช่การข่มขู่รีดไถอย่างที่ถูกร้องเรียน ฉันก็จะโทรหาลูกน้องให้จัดการปล่อยตัวผู้ต้องสงสัยซะ.. ปล่อยตอนนี้เลย!”
หลิงหยุนได้แต่คิดเย้ยหยันอยู่ในใจว่า ‘ถ้ารู้จักฉลาดอย่างนี้ตั้งแต่แรก ก็คงไม่ต้องให้ข้าลำบากถึงเพียงนี้?’
จากนั้นก็ดึงฝ่ามือที่วางอยู่บนไหล่ของหลัวจ้งออกพร้อมกับพูดเบาๆว่า “เร็วหน่อยก็แล้วกัน! อย่าให้เลยเวลากินข้าวเที่ยงของฉันกับตี้เสี่ยวอู๋ล่ะ เขาอยู่ในความรักผิดชอบของแก เพราะฉะนั้นหากเกิดอะไรขึ้นกับตี้เสี่ยวอู๋ แกจะต้องเป็นคนรับผิดชอบเต็มๆ!”
ทันทีที่หลิงหยุนเอามือออกจากไหล่ หลัวจ้งก็รู้สึกหายเจ็บปวดทันที และรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรเข้าไปที่สถานีตำรวจ
“สั่งคนให้ปล่อยตัวตี้เสี่ยวอู๋ทันที.. เดี๋ยวนี้!”
“ใช่.. ตอนนี้ตรวจสอบชัดเจนแล้วว่าผู้จัดการทั่วไปของบริษัทชิงหยุนโปรดักชั่น เป็นคนจ่ายเงินชำระหนี้เอง แต่เขาถูกปรักปรำ ปล่อยตัวเขาตอนนี้เลย!”
หลัวจ้งรีบวางสายและหันไปมองหลิงหยุนพร้อมกับถามว่า “เธอ.. ยังมีเรื่องอื่นอีกไม๊?”
หลิงหยุนมองหลัวจ้งด้วยสายตาเหยียดหยันพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ยังจะถามอีก? แล้วเรื่องบ้านสองหลังของฉันที่ถูกยึดกับบัญชีธนาคารที่ถูกอายัดล่ะ แกจะจัดการเรื่องนี้ยังไง?”
“เอ่อ.. เรื่องนี้เป็นเรื่องเข้าใจผิด เป็นเรื่องเข้าใจผิดมากๆ ฉันจะรีบโทรไปจัดการให้!”
พูดจบหลัวจ้งก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรอีกครั้ง และได้ชี้แจงว่าไม่พบปัญหาเรื่องที่มาที่ไปของบ้านและบัญชีธนาคารของหลิงหยุน พร้อมกับสั่งให้ยกเลิกการอายัดบัญชีทันที และจัดการส่งมอบกุญแจบ้านทั้งสองหลังคืนให้กับหลิงหยุน
มีเพียงความพ่ายแพ้แล้วพ่ายแพ้อีก! เพียงแค่ปกป้องคุ้มครองตัวเองก็ยากแล้ว จึงไม่มีทางที่เขาจะทำอะไรหลิงหยุนได้อีก..
ตอนนี้หลิงหยุนกลับพลิกสถานการณ์ทุกอย่างให้ตนเองเป็นฝ่ายได้เปรียบทุกประตู เขาเพียงแค่พูดยิ้มๆ “ดีมาก..”
หลัวจ้งไม่พูดอะไร ได้แต่เช็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นตามใบหน้า และอยากจะออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
มาถึงขั้นนี้แล้ว หลัวจ้งก็ไม่กล้าคิดที่จะทำอะไรอีก แต่เขาคิดเพียงแค่ว่า เขาจะกู้ภาพพจน์กลับคืน และลบล้างภาพที่น่าสมเพชนี้ออกได้อย่างไร?
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับหันไปถามหลัวจ้งว่า “ฉันได้ยินมาว่าแกกำลังสอบสวนคดีที่คนของบริษัทชิงหยุนโปรดักชั่นถูกทำร้ายบาดเจ็บด้วยใช่ไม๊? แล้วจับตัวผู้ต้องสงสัยได้รึยังล่ะ?”
ตอนนี้หลิงหยุนกำลังพูดถึงเรื่องที่เขาเตะกู่เหลียนเฉิงและคนของบริษัทชิงหยุนโปรดักชั่นจนต้องกลายเป็นขันทีทั้งหมด
และนี่เป็นข้อกล่าวหาที่หลัวจ้งตั้งใจจะใช้เป็นข้ออ้างในการจับกุมตัวหลิงหยุนตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุการรื้อทุบบ้าน แต่ตอนนี้หลิงหยุนกลับเป็นฝ่ายถามเรื่องนี้ขึ้นมาเอง
ความจริงเรื่องนี้ทั้งตระกูลหลิน หลี่ยี่เฟิง และถังเทียนห่าว ต่างก็ได้จัดการเรื่องนี้จนเงียบไปแล้ว และไม่มีใครพูดถึงอีก อีกทั้งยังไม่มีผลกระทบใดๆกับหลิงหยุ เพราะหลินเมิ่งหานได้ให้การว่าเรื่องนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหลิงหยุน และเธอก็ออกจากเมืองจิงฉูไป
แต่เมื่อตระกูลซันซึ่งนำโดยซันเทียนเปียวได้จัดการกับถังเทียนห่าว และหลี่ยี่เฟิง ส่วนตระกูลหลินก็อยู่คนละเมือง หลัวจ้งจึงดึงคดีนี้ขึ้นมาเพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการจับกุมตัวหลิงหยุนทันที
แต่หลัวจ้งไม่กล้ากระโตกกระตากในเรื่องนี้นัก เพราะเกรงว่าจะสร้างความขุ่นข้องหมองใจให้กับตระกูลหลิน เพราะหากตระกูลหลินและตระกูลซันต้องบาดหมางกันเพราะเรื่องนี้แล้วล่ะก็ ตัวเขาเองนี่ล่ะที่จะเป็นฝ่ายที่ต้องพบกับจุดจบ..!
หากเปรียบเทียบความสำคัญของตระกูลหลินกับหลัวจ้งนั้น เขาเป็นเพียงแค่เศษดินที่ไร้ความหมาย เพราะถึงแม้เขาจะทำงานให้กับตระกูลซัน แต่หากตระกูลซันต้องมีเรื่องบาดหมางกับตระกูลหลินเพราะหลัวจ้ง แต่นอนว่าตระกูลซันคงไม่เลือกปกป้องเขาอย่างแน่นอน
และหลัวจ้งเองก็เข้าใจในจุดนี้ดี! อีกทั้งตอนนี้หลัวจ้งก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ให้กับหลิงหยุน จึงไม่มีเหตุผลต้องพูดถึงเรื่องนี้อีก
“หลิงหยุน.. เรื่องที่เธอพูดนั้นเป็นข่าวลือ ไม่มีความจริงแม้แต่น้อย จึงไม่จำเป็นต้องสอบสวนอะไรอีก..”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น