Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร 358-364
บทที่ 358 : ล้างบางเมืองจิงฉู (7)
“ห๊ะ?! ค่าเสียหายอะไรกัน? นี่มัน..”
กลุ่มชายเซียงซีสิบกว่าคนถึงกับงุนงงเมื่อได้ยินหลิงหยุนทวงถามถึงเรื่องค่าเสียหายขึ้นมา ทุกคนได้แต่คิดในใจว่า พวกเขาต่างหากที่เป็นฝ่ายเกือบถูกหลิงหยุนฆ่าตาย แต่กลับกลายเป็นว่าพวกเขาต้องเป็นฝ่ายชดใช้ค่าเสียหายให้กับหลิงหยุน?!
เหล่ากุ่ยเองก็งุนงงไม่ต่างจากคนอื่นๆ และได้แต่คิดในใจเช่นกันว่า นายน้อยมาที่นี่ก็เพื่อมาทวงค่าเงินชดใช้เสียหายงั้นรึ?!
แม้ว่าตอนนี้ตระกูลหลิงจะอยู่ในฐานะตกต่ำ แต่ก็ยังคงเป็นหนึ่งในเจ็ดตระกูลใหญ่ของปักกิ่ง และยังเป็นผู้ดูแลฝ่ายพาณิชย์ของกระทรวงทรัพยากรน้ำในประเทศจีน ซึ่งก็นับว่าใหญ่โตเกินกว่าที่จะมานั่งทวงค่าเสียหายจากการมีเรื่องแบบนี้
เหล่ากุ่ยเห็นใบหน้าที่อึ้งไปของตู้กู่โม่ ดูเหมือนเขาจะกำลังงุนงงและคิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะกลายเป็นคนแบบนี้ไปได้
เมื่อครั้งที่อยู่ในป่าเสินหนงเจี๋ย หลิงหยุนสังหารศัตรู แล้วก็ค้นตามตัวผู้ตายเพื่อเอาเงิน แต่ตอนนี้ยังทำกับคนเป็นๆอีก!
“ใช่.. ค่าเสียหาย! เจ้าทำร้ายร่างกายแฟนสาวของข้าจนได้รับบาดเจ็บสาหัส แล้วยังถล่มคลีนิคของข้าจนเสียหายย่อยยับไปหมด พวกเจ้าลืมเรื่องนี้กันหมดแล้วหรือยังไง?”
หลิงหยุนมองสีหน้าตกอกตกใจของคนพวกนี้แล้ว ก็ได้แต่นึกหยันอยู่ในใจว่า.. นี่เพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น!
ชายวัยกลางคนเริ่มรู้สึกเสียใจที่หาเรื่องใส่ตัว เขาไอออกมาเป็นเลือดก่อนจะดิ้นขลุกขลักอยู่ที่พื้น..“เขาเป็นเจ้าของร้าน..”
“อ่อ.. หมอนี่เองรึ? อาการไม่ต่างจากเจ้า! ซี่โครงหักสองซี่!”
หลิงหยุนมองไปทางชายหน้ายาวอายุสามสิบเจ็ด รูปร่างผอมแห้ง ที่สั่งให้ลูกน้องรุมเขาเมื่อครู่ ด้วยความรู้สึกหมั่นไส้ชายหน้ายาวมากกว่าคนอื่นๆ หลิงหยุนจึงจัดการเขาอย่างหนักหน่วงจนซี่โครงหักถึงสองซี่
แค้ก! แค้ก! ชายหน้ายาวถูกหลิงหยุนต่อยจนซี่โครงหนัก และกำลังไอออกมาเป็นเลือด..
ปัง!!
หลิงหยุนย่อตัวลงตรงหน้าชายผู้นั้นพร้อมกับตบพื้นเสียงดัง และพูดขึ้นว่า “บอกมา.. เจ้าชื่ออะไร?”
“หลันเจิ้งเหอ..”
หลันเจิ้งเหอแทบไม่อยากนึกถึงความฝันของเขาอีกต่อไป เขาตั้งใจมาเปิดร้านขายเสื้อผ้าในเมืองจิงฉู แต่เพราะไม่สามารถเอาชนะคู่แข่งทางการค้าได้ จึงได้เชิญลุงของเขามาจัดการกับคู่แข่ง ขณะที่ทุกอย่างกำลังไปได้สวย และใกล้จะประสบความสำเร็จ จู่ๆ เด็กหนุ่มคนนี้ก็เข้ามาทำลายแผนการของเขาจนพัง อีกทั้งยังจัดการกับลุงของเขาจนพ่ายแพ้ยับเยินกลับไป
หลังจากที่ทั้งคู่กลับไปยังบ้านเกิดที่เซียงซี หลันเจิ้งเหอและลุงของเขาก็คับแค้นใจจนแทบกระอักเลือด พวกเขาจึงไปหายอดฝีมือให้มาจัดการแก้แค้นหลิงหยุนแทน
ยอดฝีมือที่เขาว่าจ้างมานี้ เป็นชายวัยกลางคนที่อยู่ในขั้นโฮ่วเทียน-8 แต่ตอนนี้กลับพ่ายแพ้ให้กับหลิงหยุนหลังจากปะทะกันเพียงแค่สองหมัดเท่านั้น
เมื่อคนเซียงซีกลุ่มนี้กลับเข้ามาที่เมืองจิงฉู พวกเขาก็จัดการเปิดร้านที่หรูหราใหญ่โตกว่าเดิม จากนั้นชายวัยกลางคนก็พากลุ่มคนเซียงซีเหล่านี้ไปบุกคลีนิคของหลิงหยุน
ในเวลานั้น.. หลิงหยุนยังอยู่ที่ค่ายกลมังกรหยินหยางที่ก้นหลุมยักษ์ พวกมันจึงคว้าน้ำเหลว และได้จัดการถล่มและทำลายคลีนิคของหลิงหยุนจนยับเยินแทน
เหยาลู่ที่ต้องทุ่มเทอย่างหนักในการตกแต่งทีละเล็กทีละน้อย และที่สำคัญมันเป็นคลีนิคของหลิงหยุน เหยาลู่จึงเอาชีวิตเข้าปกป้องราวกับว่ามันเป็นคลีนิคของเธอเอง เธอเข้าขัดขวางอย่างสุดกำลังที่เธอจะสามารถทำได้
ชายวัยกลางคนที่เลี้ยงหนอนกู่ไว้เป็นอาวุธ ไม่เพียงทำร้ายเหยาลู่จนบาดเจ็บสาหัส แต่ยังตั้งใจให้เหยาลู่ได้รับความทุกข์ทรมาน และหมดหนทางในการรักษาอีกด้วย! นับว่าเป็นการกระทำที่เหี้ยมโหดนัก!
เรื่องบาดหมางเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับช่างที่มาตกแต่งคลีนิคให้กับหลิงหยุนแม้แต่น้อย วันนั้นพวกเขาเพียงแค่มาเก็บงานและส่งมอบงาน แต่เพราะจิตใจที่ดีมีเมตตาของพวกเขา ทำให้ไม่อาจทนเห็นหญิงสาวตัวเล็กๆที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจให้กับการตกแต่งร้านต้องถูกรังแก พวกเขาจึงเข้าไปช่วยเหลือ และก็ถูกชายวัยกลางคนใช้พิษจากตัวหนอนกู่ทำร้ายไปด้วย
เหยาลู่ได้รับบาดเจ็บสาหัส คนงานต่างก็ได้รับพิษของหนอนกู่เช่นกัน คลีนิคที่เพิ่งจะตกแต่งเสร็จก็ถูกทำลายจนราบเป็นหน้ากอง หลังจากที่กลุ่มคนเซียงซีได้ระบายความเกลียดชังลงที่คนบริสุทธิ์และร้านแล้ว ก็กลับไปที่ร้านเสื้อผ้าของตัวเอง
เมื่อพวกเขากลับไปที่ร้านแล้ว ผ่านไปหนึ่งวันก็ยังไม่เห็นวี่แววของหลิงหยุน พวกเขาจึงได้ปักหลักรออยู่ที่ร้านเพื่อรอแก้แค้นหลิงหยุน!
การกลับมาของหลันเจิ้งเหอในครั้งนี้ นับว่าเขาประสบชัยชนะที่ยิ่งใหญ่! เขามั่นใจว่าตนเองคิดไม่ผิดที่จ้างชายวัยกลางคนมาช่วยแก้แค้น เขามั่นใจอย่างยิ่งว่าชายวัยกลางคนผู้นี้จะสามารถเอาชนะหลิงหยุนได้ และทุกวันหลันเจิ้งเหอจะเดินไปที่คลีนิคของหลิงหยุนเพื่อชื่นชมผลงานชิ้นเอกของตนเอง
พวกเขาเพียงแค่อดทนรอให้หลิงหยุนกลับมาแก้แค้นถึงที่ และถึงตอนนั้นจะจัดการกับหลิงหยุน!
แต่สิ่งที่ทำให้หลันเจิ้งเหอตกใจอย่างมาก ก็คือยอดฝีมือที่เขาเชิญมานั้น เพียงแค่ปะทะกับหลิงหยุนไม่ถึงหนึ่งนาที ก็พ่ายแพ้ให้กับหลิงหยุนอย่างยับเยิน!
“หลันเจิ้งเหอ..” หลิงหยุนหันไปแสยะยิ้มให้พร้อมกับถามขึ้นว่า “บอกมาว่าจะจ่ายค่าเสียหายให้ข้าเท่าไหร่?”
“หนึ่ง.. หนึ่งแสน?” หลันเจิ้งเหอรู้ดีว่าชีวิตของเขาอยู่ในกำมือของหลิงหยุน จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด
แววตาของหลิงหยุนเย็นชาขึ้นมาทันที “อะไรนะ?! หนึ่งแสนงั้นเหรอ?!”
หลิงหยุนตะโกนใส่หน้าหลันเจิ้งเหอ “ยอดฝีมือที่เจ้าพามา ทำร้ายแฟนสาวของข้าจนได้รับบาดเจ็บสาหัสนะ..?”
สิ่งที่เหยาลู่ได้รับนั้น มันคือความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสที่คนคนหนึ่งจะสามารถทนได้ เหยาลู่ต้องอยู่ในสภาพที่ตายก็ไม่ได้ อยู่ก็ทรมาน!
หลิงยหยุนมองหลันจิ้งเหอด้วยแววตาแค้นเคืองและอาฆาต เมื่อได้ยินว่าเขาจะชดใช้ค่าเสียหายให้เพียงแค่หนึ่งแสน.. ช่างไร้สาระสิ้นดี?!
หลันเจิ้งเหอเห็นสีหน้าและแววตาของหลิงหยุนแล้วถึงกับเหงื่อตก! และรีบร้องขึ้นมาว่า “สาม.. สามแสน?”
หลิงหยุนเริ่มรู้สึกรำคาญ “ดูท่าเจ้าจะไม่รู้ชะตาของตัวเองดีสินะ.. หรือว่ารู้แต่แกล้งโง่? เจ้าคิดว่าข้ากำลังพูดคุยต่อรองธุรกิจกับเจ้าอยู่หรือยังไงกัน?”
หลิงหยุนกวาดสายตามองคนอื่นๆที่กำลังดิ้นขลุกขลักอยู่บนพื้น และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ชีวิตของคนพวกนั้นรวมถึงชีวิตของเจ้าเอง คิดเอาเองว่าควรจะมีมูลค่าสักเท่าไหร่?!”
หลิงหยุนยังมีเรื่องที่ต้องทำอีกมาก เขาไม่ต้องการเสียเวลากับเรื่องไร้สาระพวกนี้..
หลันเจิ้งเหอกลัวจนหน้าซีดตัวสั่น บ้านเมืองมีกฏหมาย และนี่ก็อยู่ในเมือง คิดจะฆ่าใครก็ได้งั้นหรือ?!
“ให้เขาไป.. เขาอยากได้อะไรก็ให้เขาไป!” ชายวัยกลางคนที่นั่งพิงกำแพงอยู่รีบร้องบอกขึ้นมา เพราะเขาเห็นว่าหากหลันเจิ้งเหอขืนพูดอะไรไร้สาระอีก คงต้องตายกันหมดอย่างแน่นอน!
เมื่อหลันเจิ้งเหอได้ยินเช่นนั้น เขาจึงรู้ตัวว่าต้องเลือกว่าจะรักษาชีวิต หรือจะรักษาทรัพย์สิน เขาจึงรีบคุกเข่าพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ได้โปรดเถอะ.. อย่าฆ่าพวกเราเลย เจ้าอยากได้อะไรข้ายินดีให้ทั้งหมด!”
หลิงหยุนแสยะยิ้ม “ก็ถ้าพวกเจ้าพูดง่ายๆแบบนี้ตั้งแต่แรก ก็คงไม่ต้องลงเอยแบบนี้! ฟังนะ.. กลับไปอยู่ป่าอยู่เขาเหมือนเดิม อย่าคิดจะกลับมาหาเรื่องที่นี่อีก!”
หลันเจิ้งเหอคำนับลงที่พื้นพร้อมกับร้องออกมาอย่างหวาดกลัว “ไม่กล้า.. พวกเราไม่กล้าแล้ว..”
หลิงหยุนไม่ต้องการฟังคำพูดไร้สาระอีกต่อไป “เอาล่ะ.. คราวนี้บอกมาว่าจะชดใช้ให้ยังไง ถ้าเจ้าบอกตัวเลขน้อย ก็เตรียมตัวตายได้เลย!”
ตอนนี้หลันเจิ้งเหอหน้าซีดหน้าเซียวไปหมด “ได้ๆ ข้ามีเงินสดอยู่สองล้านไว้สำหรับซื้อของ..”
“อะไรนะ?! เงินสดแค่สองล้าน? เสียใจด้วย.. เงินจำนวนนั้นเพียงพอสำหรับสองชีวิตเท่านั้น แล้วที่เหลืออีกสิบชีวิตล่ะ?”
เหล่ากุ่ยได้แต่คิดในใจว่า นายน้อยก็สามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้ไม่ยาก อีกทั้งค่าตกแต่งร้านก็ไม่น่าจะมากมายสักเท่าไหร่ เงินสองล้านซื้อได้เพียงแค่สองชีวิตเองหรือ?!
“ห๊ะ.. สองชีวิตเหรอ?!” หลันเจิ้งเหอตาโต และเกือบจะลืมความเจ็บปวดที่เกิดจากซี่โครงหักจนสิ้น!
“แต่.. แต่ข้าไม่เงินจริงๆ!”
หลันเจิ้งเหอหันไปมองคนอื่นๆที่อยู่ในบ้าน ทุกคนต่างก็จ้องมองเขาด้วยสายตาวิงวอน..
สายตาวิงวอนเช่นนั้น.. ต่อให้เป็นคนดีหรือคนเลว แต่ก็เป็นคนเหมือนกัน ใครบ้างจะไม่ใส่ใจได้!
หลิงหยุนมองไปรอบๆ แต่ก็แสร้งพูดอย่างไม่สนใจว่า “เอาล่ะ.. ร้านนี้น่าจะมีมูลค่าพอ.. เจ้าทำลายคลีนิคของข้า เจ้าก็ลองคิดเอาเอง..”
คำพูดของหลิงหยุนนั้นใครบ้างฟังแล้วจะไม่เข้าใจความหมาย หลันเจิ้งเหอได้แต่ยิ้มขมขื่น
ร้านของเขามีพื้นที่กว่าหกร้อยตารางเมตรรวมเสื้อผ้าในร้านมูลค่าก็มากกว่ายี่สิบล้าน แต่นั่นก็เทียบไม่ได้กับชีวิตอีกสิบชีวิต!
ในใจของหลันเจิ้งเหอคล้ายโดนมีดกรีด แต่ก็ต้องกัดฟันพูดออกไปว่า “ข้าจะยกร้านนี้ให้เป็นการชดเชยค่าเสียหาย!”
หลิงหยุนยิ้ม “เร็วเข้า.. ถ้างั้นก็รีบบไปเอาเงินสดมา แล้วก็เขียนสัญญามา! ในสัญญาให้ทำเป็นสัญญาซื้อขายว่าข้าซื้อร้านของเจ้าเป็นจำนวนเงินสามสิบล้าน เข้าใจไม๊?”
หลิงหยุนโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้ มีใครบ้างจะกล้าขัดขืน!
“เข้าใจ.. ข้าเข้าใจแล้ว!”
หลันเจิ้งเหอทั้งกลัวทั้งสิ้นหวัง และคิดว่าเป็นเพราะเขาเองที่คิดจะกลับมาแก้แค้น แต่กลับต้องมาพบเจอเทพแห่งปีศาจอย่างหลิงหยุนเข้า เขาอดคิดไม่ได้ว่าหลิงหยุนนั้นน่ากลัวกว่าเทพแห่งปีศาจเสียอีก!
หลันเจิ้งเหอเดินเข้าไปในห้องนอนหยิบเงินสดสองล้านมาให้หลิงหยุน เขารับมาและเรียกมันเก็บเข้าไปในแหวนพื้นที่ทันที
หลันเจิ้งเหอเห็นเงินสองล้านของเขาหายวับเข้าไปในมือของหลิงหยุน ก็ถึงกับตกตะลึงพร้อมกับแอบคิดว่า.. นี่เขาเป็นเทพแห่งปีศาจ หรือว่าเป็นเซียนกันแน่!?
ตอนนี้หลันเจิ้งเหอทั้งหวาดกลัว และตกใจ เขาต้องการออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด และคิดว่าชั่วชีวิตนี้ขอให้ไม่ต้องพบเจอหลิงหยุนอีก!
จากนั้นก็รีบหากระดาษปากกามาเขียนสัญญาซื้อขายร้านและเสื้อผ้าในร้านให้กับหลิงหยุน โดยมีมูลค่าซื้อขายในราคาสามสิบร้านตามคำสั่งของหลิงหยุน
หลับจากเซ็นต์ชื่อและประทับรอยนิ้วมือ หลิงหยุนก็หยิบสัญญาซื้อขายขึ้นมา และเดินกลับไปยืนที่เดิม
บทที่ 359 : ล้างบางเมืองจิงฉู (8) – ประกาศสงคราม!
ก่อนที่หลิงหยุนจะเดินกลับไปยืนที่เดิมนั้น เขาก็ได้ผลักหลันเจิ้งเหอล้มลงกระแทกพื้นอีกครั้ง!
รูปร่างผอมแห้งของหลันเจิ้งเหอนั้นไม่อาจทานทนต่อแรงผลักของหลิงหยุนได้ จึงกระเด็นล้มลงกระแทกพื้นอย่างแรง และคล้ายกับว่าอัวยวะภายในของเขาจะสะเทือนจนสลับที่สลับทางกันไปหมด ก่อนจะกระอักออกมาเป็นเลือดอีกครั้ง
หลิงหยุนหันไปมองยอดฝีมือวัยกลางคน พร้อมกับแสยะยิ้มให้และพูดขึ้นว่า “เห็นแก่คนแซ่เหอที่ยอมจ่ายเงินซื้อชีวิตเจ้า ไม่งั้นอย่าหวังว่าจะมีโอกาสได้พูดอีกเลย!”
ยอดฝีมือวัยกลางคนได้ยินเช่นนั้น จึงได้แต่แอบดีใจอยู่ลึกๆ ว่าในที่สุดเขาก็สามารถรักษาชีวิตของตัวเองไว้ได้ แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ดีใจอะไรมากมาย ร่างของหลิงหยุนก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้า
และเมื่อได้เห็นรอยยิ้มหยันของหลิงหยุน ชายวัยกลางคนก็ถึงกับตกใจจนสั่นไปทั้งตัว “ข้าได้รับบาดเจ็บขนาดนี้ เงินเจ้าก็เอาไปแล้ว นี่เจ้ายังจะ..?!”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า “เจ้าลืมคำพูดของตัวเองแล้วรึไง? คนอ่อนแอย่อมเป็นเหยื่อของคนที่แข็งแรงกว่า! เจ้าไม่ต้องกลัว.. ในเมื่อข้ารับปากแล้วว่าจะไม่ฆ่าเจ้า ข้าก็จะไม่ฆ่า!”
ปัง.. ปัง.. ปัง..
หลิงหยุนไม่รู้ว่าชายวัยกลางคนผู้นี้มีกำลังภายในอยู่ในขั้นใหนกันแน่ แต่จากจากฝ่ามือพิษที่ปะทะกับหมัดปีศาจเถียนกังของเขานั้น หากเขาไม่โคจรดารกะดายันป้องกันไว้ ตัวเขาเองก็อาจบาดเจ็บได้เช่นกัน
และถึงแม้ชายวัยกลางคนจะโดนหมัดปีศาจเถียนกังที่เขาชกไปอย่างสุดกำลังถึงสองครั้ง แต่เขากลับดูเหมือนไม่ได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสเท่าที่ควร หลิงหยุนจึงคิดว่ายอดฝีมือวัยกลางคนผู้นี้น่าจะเข้าใกล้ขั้นเซียงเทียนแล้ว!
หลิงหยุนไม่ต้องการปล่อยยอดฝีมือที่มีกำลังภายในสูงส่งแบบนี้เพื่อให้สามารถกลับมาแว้งกัดเขาได้อีก อีกทั้งเขามาที่นี่ก็เพื่อแก้แค้น และถอนรากถอนโคนพวกมันด้วย!
เมื่อครั้งที่ปะทะกับหมัดของหลิงหยุนสองครั้งแรกนั้น ยอดฝีมือวัยกลางคนผู้นี้ได้ใช้กำลังภายในของตนเองต้านทานหมัดของหลิงหยุนได้ แต่ตอนนี้เขากำลังได้รับบาดเจ็บ จึงไม่สามารถต้านทานหมัดของหลิงหยุนได้อีกต่อไป
หมัดของหลิงหยุนที่ชกตรงเข้าจุดตันเถียนของชายวัยกลางคนสองครั้งนั้น ทำให้เขาถึงกับล้มลงไปนอนกับพื้น และหมัดที่สามนั้น ชายวัยกลางคนก็ถึงกับกระอักออกมาเป็นเลือดอีกครั้ง!
เมื่อหมัดทั้งสามของหลิงหยุนได้ทำลายจุดตันเถียนของชายวัยกลางคน พร้อมกับทำให้กระดูกซี่โครงของเขาที่หักอยู่แล้วถึงกับแตกละเอียด หลิงหยุนจึงค่อยหยุด!
ทุกคนต่างก็มองชายวัยกลางคนที่กำลังหายใจรวยรินคล้ายคนกำลังใกล้ตาย ร่างของเขาในตอนนี้อ่อนปวกเปียกไม่ต่างจากโคลนนุ่มนิ่ม
“เจ้าเคยทำให้คนอื่นต้องเหมือนตายทั้งเป็น! วันนี้ข้าจะให้เจ้าตกอยู่ในสภาพตายทั้งเป็นแบบเดียวกันดูบ้าง!”
หลิงหยุนเพียงแค่เหลือบตามอง.. จากนั้นเสียงฟิ้ว.. ฟิ้ว.. ก็ดังขึ้น และเข็มเล่มใหญ่ก็พุ่งออกจากมือของหลิงหยุนเข้าสู่ดวงตาทั้งสองข้างของยอดฝีมือวัยกลางคน!
อ๊าก!!
ชายวัยกลางคนกรีดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดเมื่อเข็มสองเล่มพุ่งเข้าใส่ดวงตาทั้งสองข้างของเขา และเป็นลมล้มพับไปในที่สุด!
“ข้า.. ข้าไม่ได้ทำอะไร.. ข้าเพียงแค่ติดตามเขามา..” ชายที่มีชื่อว่าฉางหมาเหลี่ยนมองหลิงหยุนด้วยความหวาดผวาพร้อมกับกรีดร้องออกมาอย่างหวาดกลัว
เขารู้สึกราวกับกำลังอยู่ต่อหน้าเทพแห่งปีศาจที่ผุดมาจากขุมนรก และเมื่อหลิงหยุนเดินเข้าไปใกล้ เขาถึงกับตกใจกลัวจนต้องลุกขึ้นนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้น
“เจ้าช่วยเจ้าคนชั่วนั่นทำเรื่องเลวร้าย!” หลิงหยุนพุ่งเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้าของฉางหมาเหลี่ยนอย่างรวดเร็ว และยกเท้าถีบเข้าไปที่จุดตันเถียนของเขาอย่างไม่ปราณี
อ๊าก..!!
จุดตันเถียนของฉางหมาเหลี่ยนถูกทำลาย และแรงถีบที่รุนแรงทำให้เขาถึงกับกระอักเลือดออกมา!
“ร้านนั่นข้าใช้เงินลงทุนตกแต่งไปมากมาย ได้เวลาที่ข้าต้องเอาคืนแล้ว!”
หลิงหยุนไม่ยอมยกโทษให้ เขาใช้เท้ากระทืบขาทั้งสองข้างของฉางหมาเหลี่ยนจนแตกละเอียด!
แกร๊บ.. แกร๊บ..
เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของฉางหมาเหลี่ยนดังจนน่าสยดสยอง และในที่สุดเขาก็เป็นลมล้มลงไปที่พื้นอีกคน
กลุ่มคนเซียงซีที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดต่างก็พากันหวาดกลัวสุดขีด ทุกคนต่างก็กลัวว่าหลิงหยุนจะตรงมาที่พวกเขาคนใดคนหนึ่งอีก..
คนเซียงซีที่เหลือนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นคนธรรมดาไม่มีวรยุทธ และไม่ใช่คนต้นเรื่อง หลิงหยุนจึงแค่กวาดตามองพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า
“พวกเจ้าเป็นแค่ลูกน้อง ในเมื่อมีคนชดใช้หนี้แทนแล้ว ข้าก็ไม่อยากให้พวกเจ้าต้องเจ็บตัวมากไปกว่านี้”
พูดจบ.. หลิงหยุนก็เดินตรงเข้าไปยืนตรงหน้าหลันเจิ้งเหอ พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ฟังนะ! นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าให้โอกาสเจ้า หากเจ้ายังกล้ากลับมาทำมาหากินที่นี่อีก ข้าหลิงหยุนจะไม่ปราณีเจ้าแน่! และถ้าเจ้าคิดจะหายอดฝีมือมาจัดการกับข้า หรือทำร้ายแฟนสาวของข้าอีกล่ะก็ อย่าหาว่าข้าโหดเหี้ยมก็แล้วกัน!”
หลิงหยุนยกมือขึ้นชี้ไปที่หัวมุมถนนทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ฟังนะ! ข้าจะเปิดคลีนิคอยู่ที่เดิม และจะไม่ย้ายไปใหนแน่ หากเจ้าคิดจะกลับมาแก้แค้น ก็มาได้เลย ข้าจะคอย!”
“แต่ถ้าเจ้าจะกลับมาแก้แค้นข้าเป็นครั้งที่สาม แล้วไม่สามารถเอาชนะข้าได้แล้วล่ะก็ เจ้าจงจำไว้ให้ดีว่า ถึงเวลานั้น.. เงินจำนวนมากแค่ใหนก็ยากที่จะรักษาชีวิตของเจ้าไว้ได้! เข้าใจแล้วใช่ไม๊?”
หลันเจิ้งเหอตกใจกลัวมากและได้แต่พยักหน้าหงึกๆ “ขะ.. เข้าใจ ข้าเข้าใจ! ข้าไม่กล้าแล้ว ไม่กล้าแล้วจริงๆ!”
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยและพูดต่อว่า “ตอนนี้ร้านก็กลายเป็นของข้าแล้ว พวกเจ้าไสหัวออกไปได้! ข้าให้เวลาพวกเจ้าหนึ่งชั่วโมงสำหรับเดินทางออกจากเมืองจิงฉู พวกเจ้าจะใช้วิธีใหนก็แล้วแต่.. หลังจากนั้น หากให้ข้าพบเข้า พวกเจ้ามีทางเลือกเดียวคือความตาย..!”
พูดจบ.. หลิงหยุนก็ยกมือชี้ไปที่บันได้พร้อมกับร้องสั่งว่า “ไสหัวไป!!”
ในเวลาเดียวกัน เขาก็ส่งกระแสจิตบอกเจ้าขาวปุยให้คลายวิชาพรางตา ไม่เช่นนั้นคนพวกนี้จะหาทางออกไม่พบ..
กลุ่มคนเซียงซีที่แสนจะยะโสโอหัง.. ต่างก็ไม่มีใครสนใจความเจ็บปวดหรืออาการบาดเจ็บอีกเลย พวกมันต่างช่วยกันแบกคนที่บาดเจ็บออกไป และช่วยกันลากหลันจิ้งเหอออกจากร้านเสื้อผ้าของตัวเอง เพื่อกลับไปยังบ้านเกิด!
ทุกคนต่างเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและขนหัวลุกกับความดุร้ายของหลิงหยุน! แล้วยังจะมีใครกล้าคิดเรื่องกลับมาแก้แค้นได้อีก?
เหล่ากุ่ยที่เห็นเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างตั้งแต่ต้นจนจบ ได้แต่แอบยิ้มมุมปาก พร้อมกับคิดอยู่เงียบๆว่า ‘นายน้อยแห่งตระกูลหลิงผู้นี้ ช่างเป็นความหวังและเป็นอนาคตของตระกูล! บุตรชายของคุณชายสามคนนี้ ช่างเป็นผู้ที่มีนิสัยประหลาดและคาดเดาได้ยากยิ่งนัก!’
หากหลิงหยุนกลับไปเมืองหลวงเมื่อไหร่ ทุกอย่างจะต้องเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมืออย่างแน่นอน อีกทั้งนายผู้เฒ่าหลิงจะได้หลุดพ้นจากวันเวลาที่แย่ๆเสียที..
แต่จะว่าไปแล้ว.. หลิงหยุนก็ไม่ใช่คนโหดเหี้ยมอะไร เห็นได้ชัดว่า กับคนธรรมดาที่ไม่มีวรยุทธ เขาก็เพียงสั่งสอนพอหอมปากหอมคอ อีกทั้งยังไม่ได้ลงมือสังหารใครแม้แต่คนเดียว
มีเพียงยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-8 และยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-5 ที่ถูกเขาทำลายวรยุทธ ส่วนชายวัยกลางคนแม้จะถูกทำให้ตาบอดด้วย แต่อาการบาดเจ็บเหล่านี้ไม่ถึงอาทิตย์ก็หาย นั่นนับว่าเป็นโชคดีมากแล้ว!
แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญสำหรับหลิงหยุนมากที่สุดเท่าที่เหล่ากุ่ยสังเกตุเห็น นั่นก็คือนายน้อยของเขาดูเหมือนจะชื่นชอบเงินอย่างมาก!!
เพียงแค่เวลาชั่วประเดี๋ยวเดียว.. ห้องแถวสองชั้นที่มีพื้นที่กว้างขวาง และมีมูลค่ามากกว่ายี่สิบล้านก็ตกเป็นของหลิงหยุนแล้ว! ถ้าหากเปรียบเป็นโจร เขาก็เป็นโจรที่สามารถปล้นเงินได้ภายในเวลาที่รวดเร็วมาก!
เหล่ากุ่ยอดนึกถึงเด็กหนุ่มเพลย์บอยที่อยู่เมืองหลวงไม่ได้.. เด็กหนุ่มพวกนั้นเอาแต่รังแกคนอื่นไปวันๆ ไม่ว่าชายหรือหญิง ไม่สามารถเทียบกับนายน้อยที่อยู่ตรงหน้าของเขาคนนี้ได้เลยแม้แต่น้อย..
เหล่ากุ่ยเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่า หากหลิงหยุนได้กลับไปตระกูลหลิง ตระกูลหลิงจะต้องพ้นจากความทุกข์ที่เกิดจากความอัปยศได้อย่างแน่นอน และเขาจะสามารถนำความแข็งแกร่งกลับมาให้กับตระกูลหลิงได้..
หลิงหยุนมีวรยุทธที่น่าอัศจรรย์ เคลื่อนไหวรวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของหลิงหยุนคือ.. การฉวยโอกาส!
หากหลิงหยุนอยู่ในฐานทายาทตระกูลหลิง จะยิ่งทำให้หลิงหยุนน่าเกรงขามเพียงใด?
ตอนนี้เหล่ากุ่ยได้เห็นแล้วว่า มีอย่างหนึ่งที่หลิงหยุนไม่เหมือนคุณชายสามเลยแม้แต่น้อย! นั่นก็คือ.. นายน้อยผู้นี้ดูเหมือนจะไม่อยู่ภายใต้กฏเกณฑ์อะไรทั้งนั้น หากเขาไม่แยแสกฏเกณฑ์เช่นนี้ ใครก็บังคับอะไรเขาไม่ได้!
แต่นิสัยข้อนี้ของหลิงหยุนกลับเหมือนแม่แท้ๆของเขามาก เมื่อเหล่ากุ่ยนึกถึงแม่ของหลิงหยุน เขาก็ได้แต่แอบถอนหายใจอย่างเงียบๆ
หลิงหยุนยืนชื่นชมร้านเสื้อผ้าที่เพิ่งจะตกเป็นของเขาอยู่ครู่หนึ่ง และดูเหมือนเขาจะพอใจมาก เพราะผู้จัดการหวังเองก็ทำธุรกิจเสื้อผ้าสำหรับชนชั้นสูงจนร่ำรวย
“พวกเราไปที่คลีนิคกันดีกว่า! น่าจะต้องตกแต่งใหม่หมด พวกโง่นั่นคงทำลายซะเละไปหมดแล้ว!”
หลิงหยุนร้องบอกเหล่ากุ่ยและตู้กู่โม่ที่ดูหน้าตาเบื่อหน่าย ทั้งหมดเดินลงบันไดไปด้านล่าง แล้วจึงข้ามถนนไปที่คลีนิคฝั่งตรงข้ามพร้อมเจ้าขาวปุย
“แย่ชะมัด.. นี่คงต้องตกแต่งใหม่หมด!” หลิงหยุนพึมพำอย่างเสียดาย ในขณะที่เหล่ากุ่ยกับตู้กู่โม่เดินตามมาข้างหลัง
แต่เมื่อหลิงหยุนเดินไปถึงกลางถนน จู่ๆ เขาก็เงยหน้าขึ้นช้าๆ จ้องมองกล้องวงจรปิดที่อยู่ด้านบนพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย
เหล่ากุ่ยและตู้กู่โม่ที่เดินตามหลังมา ได้แต่หยุดตามและมองหลิงหยุนอย่างงงๆ เพราะไม่รู้ว่าหลิงหยุนต้องการทำอะไรกันแน่?!
หลิงหยุนยกมือขวาที่เปื้อนเลือดชี้ไปที่กล้องวงจรปิดพร้อมกับยิ้มยะเยือก!
“เหลาจ้ง.. ข้าหลิงหยุนกลับมาแล้ว เจ้าอยากจับข้าไม่ใช่เหรอ? ถ้ามีปัญญาก็มาจับได้เลย!”
พูดจบ.. หลิงหยุนก็เอามือไขว้หลังแล้วเดินตรงไปที่คลีนิค
บทที่ 360 : ล้างบางเมืองจิงฉู (9)
เวลาตีหนึ่ง ที่หัวมุมทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของสี่แยกถนนจิงฉีและถนนกู่เฟิง..
หลิงหยุนยืนเอามือไขว้หลังอยู่หน้าคลีนิค จ้องมองความเสียหายที่เกิดขึ้น แล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้ว..
“พวกมันพังคลีนิคซะยับเยิน.. มีทางเดียวคือต้องเริ่มตกแต่งใหม่ทั้งหมด..”
ไม่จำเป็นที่หลิงหยุนต้องเดินเข้าไปดูข้างในด้วยซ้ำไป เพราะกระจกหน้าต่างและประตูร้าน ได้ถูกกลุ่มคนเซียงซีรื้อถอนออกมาจนหมด ยังคงมีเศษกระจกที่แตกกระจายอยู่เต็มพื้น โต๊ะเก้าอี้ที่เพิ่งซื้อมาใหม่ ก็ถูกพังเสียหายและทิ้งกองไว้กับพื้น สภาพคลีนิคในเวลานี้เรียกได้ว่าเละเทะไม่มีชิ้นดี
ตามบันไดขึ้นไปชั้นสอง ยังคงมีคราบเลือดจำนวนมากติดอยู่ เป็นภาพที่เห็นแล้วชวนให้ตกใจอย่างมาก
ในวันที่เกิดเหตุนั้น.. เหยาลู่อยู่ที่อยู่ชั้นสองได้วิ่งลงมาขวางกลุ่มคนเซียงซีไว้ จนกระทั่งตัวเองได้รับบาดเจ็บสาหัส
“ชั่วช้า! ข้าไม่น่าปล่อยพวกมันไปเลย!”
หลิงหยุนร้องตะโกนออกมาอย่างเคียดแค้น หลังจากที่เห็นภาพความเละเทะเสียหายของคลีนิค และคราบเลือดที่บันได คิ้วตรงคล้ายดาบของหลิงหยุนขมวดเข้าหากันแน่น..
“เอาล่ะ.. พวกมันก็ได้รับการลงโทษอย่างสาสมแล้ว!” เหล่ากุ่ยเห็นหลิงหยุนเริ่มโมโหขึ้นมาอีกครั้ง จึงรีบเข้าไปปลอบให้เย็นลง
“คลีนิคสามัญ..! หลิงหยุน นี่เป็นชื่อคลีนิคของเจ้างั้นรึ? เป็นชื่อที่ดีมากทีเดียว แต่ข้าว่ามันไม่เข้ากับนิสัยของเจ้าเลย..” ตู้กู่โม่เงยหน้าขึ้นมองป้ายชื่อด้านบนพร้อมกับบ่นพึมพำ
หลิงหยุนหันไปมองที่ฟากถนนอีกด้านทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ฉางหลิงอาศัยอยู่ เขาคิดในใจว่าฉางหลิงอาจจะกำลังกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่เขาหายตัวไปอยู่ก็ได้?!
เมื่อนึกถึงฉางหลิง.. หลิงหยุนก็อดที่จะนึกถึงเกาเฉินเฉินขึ้นมาด้วยไม่ได้ พร้อมกับคิดว่าตั้งแต่กลับมาเขายังไม่ได้ข่าวคราวของเกาเฉินเฉินเลยแม้แต่น้อย ช่างเป็นเรื่องที่แปลก! เขาคงต้องหาโอกาสสอบถามเรื่องนี้จากถังเมิ่งอีกที
“กลับกันเถอะ! ข้าต้องแวะไปดูอาการของช่างที่ตกแต่งคลีนิคต่อ”
กระจกของประตูหน้าต่างถูกทุบ และข้างล่างก็ถูกถล่มจนยับเยินแบบนี้ ชั้นสองก็คงจะมีสภาพไม่ต่างกัน จึงไม่จำเป็นที่หลิงหยุนจะต้องขึ้นไปสำรวจอีก
หลิงหยุนเรียกแท๊กซี่ที่ขับผ่านมาพอดี แล้วทั้งสามคนก็นั่งรถแท๊กซี่กลับไปที่บ้านของหลิงหยุน
ถังเมิ่งไม่มีกุญแจบ้าน เขาจึงไม่สามารถเข้าไปด้านในได้ เลยได้แต่นั่งรอหลิงหยุนอยู่ภายในรถ
เมื่อมาถึง.. หลิงหยุนก็ตรงเข้าไปถามถังเมิ่งทันที “ถังเมิ่ง ตอนนี้กุญแจบ้านอยู่ที่ใหน?”
ถังเมิ่งกรอกตาพร้อมกับตอบไปว่า “พี่หยุน.. บ้านถูกทางการยึดไปแล้ว! กุญแจบ้านก็ต้องอยู่ที่สำนักงานรักษาความมั่นคงสิ กุญแจบ้านทั้งสองหลังถูกยึดไปหมดแล้ว!”
หลิงหยุนกัดฟันกรอดพร้อมกับคิดในใจว่า ‘หลัวจ้ง.. ในเมื่อเจ้ากล้าลองดีกับข้า.. พรุ่งนี้ข้าจะให้เจ้าได้ผยองจนพอใจเลยล่ะ!’
แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เขาจะไปจัดการกับเหลาจ้ง หลิงหยุนสั่งถังเมิ่งให้โทรหาเสี่ยวเม่ยหนิงสอบถามที่อยู่ของคนงานว่าตอนนี้พวกเขาพักอยู่ที่ใหน จากนั้นก็ให้ถังเมิ่งขับรถมุ่งหน้าไปยังที่พักของคนงานเหล่านั้น
แต่ก่อนที่จะออกเดินทางไปที่บ้านคนงาน หลิงหยุนขอให้เหล่ากุ่ยและตู้กู่โม่กลับไปก่อน และค่อยพบกันอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ แต่ทั้งสองคนกลับปฏิเสธและยืนยันไม่ยอมกลับไป!
ทางด้านเหล่ากุ่ยนั้น หลิงหยุนคือนายน้อยของเขาที่พลัดพรากจากตระกูลหลิงไปถึงสิบแปดปี อีกทั้งในความคิดเห็นของเขาตอนนี้ หลิงหยุนคือผู้ที่เหมาะสมที่สุดที่จะเป็นทายาทสืบทอดตระกูลหลิงคนต่อไป และในเมื่อเขาได้พบหลิงหยุนแล้ว เขาจะไม่มีทางแยกจากหลิงหยุนเป็นอันขาด!
ไม่ว่าหลิงหยุนจะแข็งแกร่งเพียงใด แต่เหล่ากุ่ยก็ยังคงต้องทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด นั่นก็คือการปกป้องคุ้มครองความปลอดภัยของหลิงหยุน เขาไม่สามารถปล่อยให้หลิงหยุนได้รับอันตรายหรือบาดเจ็บได้แม้แต่นิดเดียว!
หากหลิงหยุนตกอยู่ในอันตรายและได้รับบาดเจ็บ หรือว่าเกิดปัญหาอะไรขึ้นกับเขา เหล่ากุ่ยจะมีหน้ากลับไปพบและรายงานนายผู้เฒ่าหลิงและคุณชายสามได้อย่างไรกัน?
ดังนั้นเหล่ากุ่ยจึงได้ตัดสินใจแล้วว่า นับแต่นี้ไปเขาจะไม่ยอมแยกจากหลิงหยุนเป็นอันขาด และจะคอยตามปกป้องคุ้มครองหลิงหยุนตลอดไป
ตู้กู่โม่เองก็กำลังเบื่อหน่ายอย่างมาก เพราะกลับไปที่โรงแรมนอกเหนือจากการทำสามธิ เขาก็ได้แต่นั่งดูทีวี จึงไม่มีทางที่เขาจะยอมกลับไปนั่งเบื่ออยู่ที่โรงแรมเช่นกัน!
เมื่อเห็นท่าทางที่ขึงขังของคนทั้งคู่ หลิงหยุนจึงไม่มีทางเลือกอื่น และได้แต่ให้ทั้งสองคนตามเขาไปด้วย
คนงานทั้งเจ็ดอาศัยอยู่ที่ชานเมืองทางฝั่งตะวันตก พวกเขาเลี้ยงชีพด้วยการหางานรับเหมาในเมืองจิงฉู ดังนั้นจึงได้ไปหาเช่าบ้านเก่าๆอยู่แถวชานเมือง และสภาพของบ้านก็ซอมซ่อมากกว่าบ้านเช่าของหลิวลี่เสียอีก
ถังเมิ่งขับรถมาตามคำแนะนำของเสี่ยวเม่ยหนิงและเหยาลู่ ในที่สุดก็มาถึงบ้านของคนงาน และรถของถังเมิ่งก็มาจอดอยู่หน้าบ้านที่เก่าจนใกล้จะพังเต็มทีหลังหนึ่ง
เมื่อคนทั้งสี่ลงมาจากรถ หลิงหยุนก็ตรงเข้าไปเคาะประตูบ้านทันที..
หลิงหยุนได้ยินเสียงคนอยู่ในบ้านมากมาย และหนึ่งในนั้นก็ร้องตะโกนถามออกมา หลิงหยุนจำได้ว่าเป็นเสียงของหัวหน้าคนงาน จึงรีบตอบกลับไปทันที
“ผมเองครับ.. เจ้าของคลีนิคที่คุณไปตกแต่งร้านให้!”
ประตูบ้านเปิดออกอย่างรวดเร็ว และชายหน้าตาท่าทางซื่อๆคนหนึ่งก็เปิดประตูออกมา เขาคือหัวหน้าช่างที่หลิงหยุนรู้จัก ทันทีที่มองเห็นหลิงหยุนกับคนแต่งตัวประหลาดอีกสองสามคน เขาก็กลัวจนหน้าซีด และเกือบจะปิดประตูหนี
จะไม่ให้เขากลัวได้อย่างไรกัน? ในเมื่อเหล่ากุ่ยก็สวมชุดสีดำดูลึกลับ ส่วนตู้กู่โม่ก็สวมเสื้อคลุมดูแปลกประหลาด ถังเมิ่งก็หัวล้าน แถมยังมีสุนัขจิ้งจอกสีขาวตัวใหญ่อีกหนึ่งตัว!
เมื่อเห็นสีหน้าของหัวหน้าคนงาน หลิงหยุนก็รู้ได้ทันทีว่าเขากำลังตกใจกลัวอย่างมาก หลิงหยุนจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ไม่ต้องกลัวครับ.. พวกเขาเป็นเพื่อนผมเอง! แล้วนั่นก็ถังเมิ่งไงล่ะครับ..”
หัวหน้าช่างหันไปมองถังเมิ่งอีกครั้ง และก็จำได้ว่าชายหัวโล้นที่แท้ก็คือถังเมิ่งจริงๆ เขาจึงร้องขึ้นมาเสียงดัง
“ที่แท้ก็คุณถังนี่เอง.. ไม่ได้เจอกันหลายวัน โกนผมเลยเหรอครับ?”
ก่อนที่จะเกิดเรื่องกับถังเมิ่งนั้น เขาได้แวะเวียนไปที่คลีนิคเกือบจะทุกวัน เพื่อไปตรวจสอบความคืบหน้าของการตกแต่งร้าน จึงค่อนข้างคุ้นเคยกับหัวหน้าช่างอย่างมาก
ถังเมิ่งได้แต่ยกมือขึ้นลูบศรีษะพร้อมกับตอบยิ้มๆ “ดูเท่ห์ดีไม๊ครับ? ผมว่าโกนหัวแบบนี้ก็ดูแฟชั่นดีนะครับ แล้วก็ดูเท่ห์ด้วย..”
ถังเมิ่งพูดไปก็ยิ่งเพิ่มความเกลียดชังในตัวเสียเจิ้นเหยินเพิ่มมากขึ้น เขานึกเสียดายผมยาวที่เก๋ไก๋ของตนเอง และคิดว่าถึงทีของเขาเมื่อไหร่ เขาจะจับเสียเจิ้นเหยินโกนหัวเช่นเดียวกับเขา!
“เข้ามาข้างในก่อนดีกว่าครับ.. เชิญ เชิญ ว่าแต่ทำไมถึงได้มากันดึกดื่นแบบนี้ล่ะครับ?!”
หัวหน้าช่างเห็นหลิงหยุนกับถังเมิ่งมาหาเขากลางดึก ก็พอจะเดาได้ว่าทั้งคู่คงไปพบคลีนิคที่มีสภาพยับเยินมากมาแล้ว ถึงได้รีบเร่งมาหาเขาถึงที่บ้าน
คนงานคนอื่นๆต่างก็ลุกขึ้นใส่เสื้อเช่นกัน พวกเขาต่างก็กระตือรือร้นหาเก้าอี้ให้หลิงหยุนและคนอื่นๆนั่ง แต่สายตาทุกคู่กลับจับจ้องอยู่ที่สุนัขจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง..
หลิงหยุนเหลือบมองภายใต้แสงไฟ ก็พบว่าหน้าผากของคนงานแต่ละคนล้วนเป็นสีเขียวเข้ม แน่นอนว่าพวกเขาต่างก็โดนพิษหนอนกู่เข้าไปแล้ว!
แต่จากท่าทางการเคลื่อนไหวของคนงานแต่ละคนนั้น เห็นได้ชัดว่าอาการไม่ได้หนักหนาสาหัสมากนัก และดูเหมือนว่าชายวัยกลางคนไม่ได้ต้องการให้คนงานพวกนี้ตายทันที แต่ต้องการให้หนอนกู่ในร่างของพวกเขาค่อยๆดูดกินเลือดเนื้อในตัวไปเรื่อยๆ และพวกเขาก็จะค่อยๆอ่อนแอและหมดเรี่ยวแรงลงไปทุกวันเอง
“เฮ้อ.. สาวน้อยที่ชื่อเหยาลู่ช่างน่าสงสารนัก! ถูกกลุ่มชายที่มาจากเซียงซีทำร้าย พวกเราเป็นชายร่างใหญ่แต่กลับช่วยอะไรเธอไม่ได้ แล้วคลีนิคก็ถูกพวกมันทุบทำลายจนหมด..”
หลังจากที่หัวหน้าช่างนั่งลง เขาก็เอ่ยขอโทษหลิงหยุนที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้..
หลิงหยุนจ้องมองหัวหน้าช่างที่แสนซื่อผู้นี้พร้อมกับยิ้มให้ “อย่ากังวลเรื่องนั้นไปเลยครับ เดี๋ยวพวกเราค่อยลงมือตกแต่งร้านใหม่!”
“ที่ผมมาวันนี้ก็เพื่อช่วยถอนพิษให้กับทุกคน!” หลิงหยุนตรงเข้าประเด็นทันทีเพราะไม่อยากเสียเวลา
“อะไรนะ?! ถอนพิษให้พวกเรางั้นเหรอ?!”
คนงานที่ได้ฟังต่างก็พากันงุนงง หัวหน้าคนงานจึงถามขึ้นอย่างแปลกใจ “ท่านหมออาวุโสท่านนั้นทำการรักษาให้พวกเราแล้วนี่ครับ? ตอนนี้พวกผมก็ไม่มีใครเป็นอะไร?!”
ท่านเสี่ยวหมอเทวดาได้เล่าให้หลิงหยุนฟังแล้วว่าเขาได้จัดการควบคุมหนอนกู่ในตัวของคนงานเหล่านี้ไว้แล้ว แต่ที่ท่านหมอเสี่ยวไม่บอกความจริงให้กับคนงานรู้เพราะไม่อยากให้พวกเขาตกใจ
หลิงหยุนจึงตอบยิ้มๆ “พวกคุณไม่รู้สึกกันบ้างเหรอว่า หลังจากเหตุการณ์วันนั้น พวกคุณจะกินอาหารมากขึ้น แต่ร่างกายกลับค่อยๆอ่อนแรงลง?”
หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของหลิงหยุน หัวหน้าคนงานและคนอื่นๆต่างก็มองหน้ากัน พร้อมกับคิดในใจว่า หลิงหยุนช่างวิเคระห์ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ!
หลิงหยุนรีบอธิบายต่อว่า “นั่นเพราะทุกคนได้ถูกพิษหนอนกู่ของชาวเซียงซีเข้าแล้ว มันเป็นพิษที่ไม่ออกฤทธิ์ในระยะเวลาสั้นๆ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปทุกคนจะสามารถตายได้ตลอดเวลา!”
“ห๊ะ?!” “อะไรนะ?!”
เมื่อคนงานได้ยิน ทุกคนต่างก็ตกใจและงุนงง หัวหน้าคนงานจึงถามต่อว่า “หลิงหยุน.. แล้วพวกเราจะทำยังไงดี?”
หลิงหยุนเพียงแค่ตอบยิ้มๆ “ไม่ต้องกังวลไปครับ.. ที่ผมมาที่นี่ก็เพราะเรื่องนี้!”
ระหว่างที่พูดกับหัวหน้าคนงาน หลิงหยุนก็แอบเรียกเข็มเงินออกมาจากแหวนพื้นที่ และตอบหัวหน้าคนงานยิ้มๆว่า
“ถ้าคุณเชื่อมั่นในตัวผม.. ก็ถอดเสื้อออก ผมจะฝังเข็มจัดการเอาพิษออกให้ รับรองว่าคุณจะหายเป็นปกติอย่างแน่นอน!”
หัวหน้าคนงานมองเข็มเงินในมือหลิงหยุน เขามีอาการหวาดระแวงเล็กน้อยพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าอย่างแรง ท่าทางเขาดูลังเลอยู่บ้าง
ถังเมิ่งเห็นแล้วถึงกลับพูดติดตลก “พี่ชาย.. อย่ากลัวไปเลย! พี่ลู่บาดเจ็บสาหัสขนาดนั้น พี่หยุนยังรักษาจนหายได้เลย คุณยังจะกลัวอะไรอีก?!
“อะไรนะ?! เด็กสาวคนนั้นหายดีแล้วงั้นเหรอ?! นี่มัน..”
ภาพเหตุการณ์ในวันนั้นเขายังจำได้ติดตา เขาจำได้ว่าเหยาลู่ได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก แต่เมื่อได้ยินว่าตอนนี้เหยาลู่หายดีจนสามารถเดินเหินได้แล้ว จึงอดที่จะประหลาดใจไม่ได้
“พี่ชายสบายใจได้.. ผมใช้เวลาไม่เกินสามนาที!” หลิงหยุนหยิบเข็มเงินขึ้นมาพร้อมกับยิ้มให้หัวหน้าคนงานอย่างสดใส
หัวหน้าคนงานพยักหน้าพร้อมกับถอดเสื้อของเขาออก และรอให้หลิงหยุนฝังเข็มลงบนร่างกายของเขา
ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที หลิงหยุนก็สามารถใช้เก้าเข็มปลุกชีพจัดการเอาหนอนกู่สีเขียวเข้มออกจากร่างของหัวหน้าคนงานได้
“ตายซะ!” หลิงหยุนร้องพร้อมกับใช้นิ้วหยิบหนอนกู่ขึ้นมาวางลงบนฝ่ามือของเขา พร้อมกับร้องบอกทุกคนว่า
“ดูให้เต็มตา! เจ้าตัวนี้ล่ะที่อยู่ในร่างกายของทุกคน ตอนนี้คุณรู้สึกยังไงบ้าง?”
เมื่อคนงานเห็นหนอนตัวเขียวเข้มถูกหลิงหยุนบี้จนตาย ต่างก็พากันตกอกตกใจไปตามๆกัน
บทที่ 361 : ล้างบางเมืองจิงฉู (10) – เสน่ห์ของหลิงหยุน!
บรรดาคนงานต่างก็โกรธแค้น และพากันสาปแช่งชายวัยกลางคนด้วยความรู้สึกที่ชิงชัง!
หลิงหยุนหัวเราะหึหึพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องโมโหไป.. ผมจัดการล้างแค้นแทนทุกคนแล้ว ตอนนี้ตาของมันบอดและคงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน..!”
หัวหน้าคนงานจ้องมองหนอนกู่สีเขียวเข้มในมือหลิงหยุน แววตาของเขาทั้งตกใจและหวาดกลัว เขากัดฟันกรอดพร้อมกับพูดออกมาอย่างเคียดแค้น
“ไอ้ชาติชั่ว! คิดไม่ถึงจริงๆว่ามันจะใช้พิษทำร้ายพวกเรา น้องหลิงหยุน.. ขอบคุณที่มาช่วยพวกเราในวันนี้ ไม่อย่างนั้นพวกเราคงต้องตายเพราะปีศาจตัวนั้นแน่!”
หลิงหยุนตอบกลับไปยิ้มๆ “ไม่ต้องขอบคุณผมหรอกครับ! เป็นเพราะผมต่างหาก พวกคุณทุกคนถึงต้องมารับกรรมไปด้วย การมาช่วยทุกคนในวันนี้ จึงเป็นเรื่องที่ผมควรต้องทำอยู่แล้ว! เอาล่ะ.. คนต่อไปเลยครับ!”
หัวหน้าคนงานลุกขึ้นยืน คนงานคนต่อไปก็เข้ามานั่งแทนที และหลิงหยุนก็จัดการเอาหนอนกู่ออกจากร่างของคนงานทุกคนจนหมด
เมื่อหลิงหยุนจัดการเอาหนอนกู่ออกจากร่างของคนงานคนสุดท้ายแล้ว ยอดฝีมือวัยกลางคนที่กำลังหนีออกจากเมืองจิงฉูก็ถึงกับกระอักออกมาเป็นเลือด และคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกินสองวัน!
หลังจากที่จัดการถอนพิษให้กับทุกคนแล้ว หลิงหยุนก็ขอตัวไปล้างมือ แต่ความจริงแล้วเขาหลบไปจัดการใช้ยันต์อัคนีเผาซากหนอนกู่ทั้งเจ็ดตัว แล้วจึงกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้ง
ระหว่างที่เดินเข้าไปในบ้าน หลิงหยุนก็เรียกเงินสดจำนวนสองแสนหยวนออกมาจากแหวนพื้นที จากนั้นก็วางเงินจำนวนนั้นลงบนโต๊ะพร้อมกับพูดขึ้นท่ามกลางความงุนงงของทุกคน
“เป็นเพราะผม.. ทำให้ทุกคนเกือบต้องเสียชีวิต! เงินจำนวนนี้ถือว่าเป็นค่าทำขวัญ.. ผมขอมอบให้จากใจจริงของผม!”
“นี่.. นี่.. น้องหลิงหยุน! จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง? พวกเราจะรับเงินก้อนนี้ไว้ได้ยังไงกัน?!” หัวหน้าคนงานร้องปฏิเสธเสียงดัง และรีบหยิบเงินกลับไปคืนให้กับหลิงหยุน
หลิงหยุนรีบร้อนมาหาพวกเขาในยามดึกดื่นค่ำคืน ไม่เพียงมาช่วยชีวิตของพวกเขา แต่กลับเอาเงินมาให้พวกเขาอีกด้วย อีกทั้งจำนวนเงินที่ให้ก็มากมายเหลือเกิน!
เหล่ากุ่ยและตู้กู่โม่ไม่สามารถทำความเข้าใจหลิงหยุนได้ทัน เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ที่หลิงหยุนเผชิญหน้ากับกลุ่มคนเซียงซี หลิงหยุนกลับดูดุร้ายและโหดเหี้ยมจนได้ฉายาว่าเทพแห่งปีศาจ แต่เพียงแค่พริบตาเดียว เขาก็กลับกลายเป็นเด็กหนุ่มที่มีเมตตาช่วยเหลือผู้ที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก!
เมื่อไหร่ก็ตามที่หลิงหยุนนำเงินออกมาแล้ว เขาจะไม่มีทางนำกลับไปคืนอย่างเด็ดขาด! เขายกมือโบกไปมาพร้อมกับตอบยิ้มๆ
“พี่ชายครับ.. ยังไงคุณก็ต้องรับเงินก้อนนี้ไว้ เพราะนี่เป็นเงินค่าจ้างตกแต่งคลีนิค คุณไม่ต้องการหรือยังไง?”
หัวหน้าคนงานถึงกับงุนงงพร้อมกับตอบไปว่า “แต่ว่า.. คลีนิคถูกทำลายจนพังแล้ว! อีกอย่าง.. ค่าแรงตกแต่งที่คุยกันไว้ตั้งแต่แรกก็แค่สามหมื่นหยวนเท่านั้น ทำไมถึงได้ให้เงินผมมากมายแบบนี้ล่ะ!?”
“อีกอย่าง.. น้องชายมาที่นี่กลางดึกก็เพื่อมาช่วยชีวิตของพวกเราทั้งเจ็ดคน ถ้าเรายังกล้ารับเงินของคุณไว้ พวกเราคงจะรู้สึกไม่ดีแน่!”
หลิงหยุนได้ฟังหัวหน้าคนงานพูดแล้ว จึงได้แต่หันไปมองถังเมิ่งพร้อมกับขยิบตาให้เขา..
ถังเมิ่งเก่งในเรื่องการเจราจาโน้มน้าวใจผู้คนอยู่แล้ว.. เขายิ้มพร้อมกับเดินตรงเข้าไปตบไหล่หัวหน้างคนงานพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“พี่ชาย.. ยากมากนะที่คนอย่างพี่หยุนจะยอมให้เงินใครง่ายๆ ผมว่ารีบรับๆไว้เถอะ!”
“อีกอย่าง.. คลีนิคของพี่หยุนก็ถูกพังราบเป็นหน้ากองไปแล้ว ยังไงก็ต้องเริ่มตกแต่งใหม่ ยังไงเดือนนี้พี่ชายก็ยังหางานไม่ได้ไม่ใช่เหรอ? พักผ่อนอีกสักสองสามวัน เมื่อฟื้นตัวดีแล้วก็ค่อยกลับไปตกแต่งคลีนิคให้พี่หยุนใหม่ แบบนี้เป็นไง?”
หัวหน้าคนงานรีบพยักหน้าพร้อมกับตอบกลับไปอย่างดีใจ “ได้ๆ เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง! ผมรับรองว่าจะจัดการตกแต่งร้านให้สวยกว่าเดิมและดีกว่าเดิม แล้วก็ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาดูแลก็ได้ครับ ผมจะดูแลให้เอง แต่ถึงยังไงจำนวนเงินที่ให้มาก็มากเกินไปอยู่ดี!”
คนงานคนอื่นๆต่างก็จ้องมองเงินจำนวนสองแสนพร้อมกับส่ายหน้าเช่นกัน พวกเขาล้วนเป็นคนที่ซื่อสัตย์มาก ต่างก็ปฏิเสธที่จะรับเงินก้อนนี้ไว้
หลิงหยุนจึงพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ.. พวกคุณรับเงินก้อนไปเถอะ ถ้าภายในหนึ่งเดือนสามารถตกแต่งคลีนิคเสร็จ ผมจะมีงานให้พวกคุณทำต่อ!”
“แต่ว่า..”
หัวหน้าคนงานจ้องมองหลิงหยุนอยู่นาน ก่อนจะหันไปมองคนงานคนอื่นๆ ทุกคนต่างมีสีหน้าตื่นเต้นตกใจ และแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น!
ถังเมิ่งจึงพูดต่อ “เอาล่ะ.. ในเมื่อพี่ชายยอมรับแล้ว พวกก็ต้องขอตัวกลับเหมือนกัน!”
หัวหน้าคนงานรีบวางเงินลงบนโต๊ะ แล้วรีบเอื้อมมือไปคว้ามือหลิงหยุนไว้พร้อมกับพูดอย่างตื่นเต้น..
“น้องหลิงหยุน.. สบายใจได้ พวกเราจะตกแต่งคลีนิคให้เสร็จโดยเร็วที่สุด พวกเราจะพยายามให้คุณเปิดคลีนิคให้ได้เร็วที่สุด!”
“ช่างเป็นคนดีจริงๆ..” “อย่างกับเทพมาโปรด..”
คนงานคนอื่นๆต่างก็พากันสรรเสริญหลิงหยุน พวกเขาได้แต่คิดเหมือนกันว่า จะตั้งใจตกแต่งคลีนิคของหลิงหยุนอย่างสุดความสามารถ!
“โอ้.. นายน้อยแห่งตระกูลหลิง..” เหล่ากุ่ยพยักหน้าพึมพำอย่างซาบซึ้งใจ หลิงหยุนทำให้เขาประหลาดใจอย่างมากทีเดียว!
เหล่ากุ่ยได้ติดตามนายผู้เฒ่าแห่งตระกูลหลิงมานานหลายปี เห็นเงินทองมาเยอะแยะมากมาย เงินไม่กี่แสนของหลิงหยุนไม่ได้มีความหมายอะไรกับเขาเลยแม้แต่น้อย..
แต่เรื่องที่ทำให้เหล่ากุ่ยประหลาดใจอย่างมากนั้นก็คือ.. ทักษะทางการฝังเข็มที่น่าอัศจรรย์ของหลิงหยุนต่างหาก! ไม่เพียงเท่านั้น หลิงหยุนยังไม่มีทีท่าเกรงกลัวพิษหนอนกู่แม้แต่น้อย อีกทั้งยังมีเสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์ที่ยากจะอธิบายได้!
ไม่ว่าจะเป็นการสังหารศัตรู หรือช่วยชีวิตผู้คน หลิงหยุนจะทำด้วยท่าทางที่มั่นอกมั่นใจ และเป็นธรรมชาติ!
ตู้กู่โม่เคยเห็นทักษะทางการแพทย์ของหลิงหยุนด้วยการใช้ยันต์บำบัดรักษาอาการบาดเจ็บสาหัสมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ก็ยังไม่เคยเห็นทักษะการฝังเก้าเข็มปลุกชีพของเขา จึงอดที่จะทึ่งในสำนักหมอสวรรค์ไม่ได้!
‘นี่เจ้าสามารถรักษาได้ทุกโรคเลยหรือยังไงกัน?’
เมื่อได้ยินหัวหน้าคนงานยืนยันเช่นนั้น หลิงหยุนก็หัวเราะดีใจและพูดออกมาอย่างตื่นเต้น “ถ้าอย่างนั้น.. คลีนิคของผมคงต้องยกให้พี่ชายช่วยดูแลแล้วสินะครับ?”
หัวหน้าคนงานพยักหน้าอย่างมั่นใจ “สบายใจได้.. ตอนนี้ร่างกายของพวกเรามีเรี่ยวมีแรงแล้ว ไม่จำเป็นต้องพัก พรุ่งนี้พวกเราจะเข้าไปที่คลีนิคตั้งแต่เช้าตรู่ รับรองว่าภายในสิบวันต้องเปิดกิจการได้อย่างแน่นอน!”
ตอนนี้.. ในสายตาของพวกเขาหลิงหยุนไม่ใช่นายจ้าง แต่คือผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่ที่นอกจากจะช่วยชีวิตแล้วยังให้เงินกับพวกเขาอีกด้วย..
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับชูกำปั้นขึ้นและคนอื่นๆก็ทำตาม จากนั้นก็เอ่ยลาทุกคนและออกจากบ้านไป
ภายในรถ.. หลิงหยุนใช้มือลูบขนนุ่มของเจ้าขาวปุยเป็นการเอาใจ จากนั้นจึงหันไปทางเหล่ากุ่ยพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“เหล่ากุ่ย.. สองสามวันนี้ข้าต้องไปสะสางบัญชี และอาจต้องปะทะกับยอดฝีมือมากมาย และต้องเสี่ยงอันตรายไม่น้อย ไม่ทราบว่าเหล่ากุ่ยจะยินดีช่วยเหลือหรือไม่?”
เหล่ากุ่ยได้ฟังถึงกับแอบถอนหายใจ แต่ก็พูดติดตลกว่า “พ่อหนุ่ม.. ดูเหมือนเจ้าจะไม่มีตัวเลือกอื่นให้ข้าสินะ?!”
เหล่ากุ่ยสืบรู้มาว่าตระกูลซันได้เดินทางเข้ามาในเมืองจิงฉูก็เพื่อมาจัดการกับหลิงหยุน แน่นอนว่าต้องมีการปะทะกันอย่างดุเดือดแน่นอน ต่อให้หลิงหยุนไม่ร้องขอให้เขาช่วย เขาก็ต้องช่วยอยู่แล้ว!
เมื่อหลิงหยุนเห็นเหล่ากุ่ยแสดงออกชัดเจนว่าอยู่ข้างเขา เขาจึงรู้สึกดีใจอย่างมากและหัวเราะกับอารมณ์ขันของเหล่ากุ่ยเสียงดัง
‘ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครมาจากใหน ตราบใดที่เจ้าต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับข้า ข้าหลิงหยุนก็ไม่จำเป็นต้องถามอะไรมาก!’
สำหรับตู้กู่โม่นั้น หลิงหยุนไม่จำเป็นต้องถาม เพราะตู้กู่โม่ต้องมาเป็นองค์รักษ์ให้กับเขาเพียงเพราะอาหารมื้อเดียว.. ช่างคุ้มค่าเสียจริง!
ทั้งสี่คนเดินทางกลับไปที่อพาร์ทเมท์ หลิงหยุนไม่เสียเวลาขึ้นบันไดไป เขากระโดดจากสนามหญ้าขึ้นไปที่ระเบียงทันที ส่วนเหล่ากุ่ยกับตู้กู่โม่ก็ไม่รอให้หลิงหยุนเชื้อเชิญ ทั้งคู่ต่างก็กระโดดตามหลิงหยุนไปทันที
ทั้งสี่คนนั่งรวมกันอยู่ที่ห้องนั่งเล่นในอพาร์ทเมนท์ หลิงหยุนนั่งลงบนโซฟาและส่งโทรศัพท์ของเขาให้กับถังเมิ่ง เขามองหัวโล้นใสของถังเมิ่งพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ถังเมิ่ง.. ฉันว่านายหัวโล้นแบบนี้ก็เก๋ดีนะ นายทำผมทรงนี้ไปตลอดก็ดีเหมือนกัน!”
หลังจากที่กลับมาถึงเมืองจิงฉูตอนทุ่มครึ่ง หลิงหยุนก็ไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดของหนิงน้อย จากนั้นก็ไปรักษาอาการบาดเจ็บให้กับถังเมิ่งและเหยาลู่ ตามด้วยการบุกร้านของเคนเซียงซี และจัดการไล่พวกมันออกไปจากเมืองจิงฉู ต่อด้วยการไปถอนพิษให้กับคนงานทั้งเจ็ด และตอนนี้เขาต้องการพักผ่อน!
ถังเมิ่งเอามือลูบหัวโล้นพร้อมกับร้องเสียงดัง “ไม่ล่ะพี่หยุน.. หัวล้านแบบนี้ไม่ใช่สไตล์ของฉัน..”
หลิงหยุนลุกขึ้นไปชงชาหลงจิ่งที่เฉิงเม่ยเฟิงซื้อมา และนำมาวางไว้ที่โต๊ะด้านหน้า จากนั้นก็มองถังเมิ่งพร้อมกับถามขึ้นว่า..
“ถังเมิ่ง.. ทำไมตั้งแต่ฉันกลับมายังไม่ได้ข่าวเกาเฉินเฉินเลยล่ะ?”
เมื่อเหล่ากุ่ยและตู้กู่โม่ได้ยินชื่อของเกาเฉินเฉิน ทั้งคู่ต่างก็มองหน้ากัน!
เมื่อถังเมิ่งได้ยินคำถามของหลิงหยุนก็ถึงกับอึ้งไป “พี่หยุน.. ฉันเห็นพี่ไม่ถามก็นึกว่าพี่คงจะรู้เรื่องแล้ว นี่พี่ยังไม่รู้อีกเหรอ..?!”
หลิงหยุนตกใจมากและเกือบจะถามออกไปว่าเกาเฉินเฉินไม่ได้รับอันตรายอะไรใช่ไม๊? แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าตระกูลเกาเป็นถึงหนึ่งในเจ็ดตระกูลใหญ่ ใครจะกล้ายุ่งกับเธอ?
หลิงหยุนจึงได้แต่ถอนหายใจและตอบกลับไปว่า “ไม่มีใครบอกฉัน แล้วฉันจะรู้ได้ยังไง? นายไม่เห็นหรือไงว่าตั้งแต่กลับมาฉันก็ยุ่งมาตลอดทั้งคืน?!”
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?!”
ถังเมิ่งอดคิดไม่ได้ว่า.. หนิงน้อยน่าจะเป็นคนแรกที่บอกเรื่องนี้กับหลิงหยุนนี่นา แล้วจึงตอบไปว่า
“ความจริงก็ไม่มีอะไรมาก.. เกาเฉินเฉินก็แค่กลับไปที่ปักกิ่ง!”
“เธอกลับไปตั้งแต่เช้าวันอังคาร ตอนที่เธอกลับไปพวกเรายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่เองก็หายตัวไปด้วย!”
“แล้วเธอกลับไปทำไมกัน?” หลิงหยุนถาม
“เธอก็กลับไปดูตัวน่ะสิ! จะเป็นเรื่องอะไรไปได้ล่ะ?”
บทที่ 362 : ล้างบางเมืองจิงฉู (11) – รื้อถอนบ้าน!
“อะไรนะ?! ดูตัวงั้นเหรอ?!”
หลิงหยุนฟังแล้วถึงกับต้องถามย้ำอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าฟังไม่ผิด!
เขากับเกาเฉินเฉินอาบน้ำในอ่างด้วยกัน นอนกอดกันอยู่บนเตียงของเธอ แม้ว่าเขาจะไม่ได้กระทำการที่ล่วงเกินเกาเฉินเฉินมากไปกว่านั้น แต่จะต่างอะไรกันมากมาย!
ให้หลิงหยุนเชื่อว่าพระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตก ยังเป็นไปได้มากกว่าจะให้เชื่อว่าเกาเฉินเฉินยอมไปให้คนอื่นดูตัว!
“แต่จะเรียกว่าดูตัวก็ไม่ถูกนัก.. ความจริงเกาเฉินเฉินกลับไปเพื่อล้มเลิกการหมั้นหมายมากกว่า!”
หลิงหยุนได้ฟังคำพูดวกไปวนมาของถังเมิ่งก็หงุดหงิดขึ้นมาทันที เขาเขกหัวถังเมิ่งไปสองทีพร้อมกับพูดออกไปอย่างโมโห
“นายพูดให้มันตรงประเด็นจะดีกว่า! ไปดูตัวกับไปล้มเลิก.. มันคนละความหมายกันเลย!”
แต่จะตำหนิว่าหลิงหยุนใจร้อนเกินไปก็ไม่ถูกนัก เพราะเป็นใครฟังก็ต้องโมโห หากรู้ว่าผู้หญิงของตัวเองไปให้คนอื่นดูตัว!
ถังเมิ่งลูบหัวล้านของตัวเอง เขาฉีกยิ้มให้หลิงหยุนพร้อมกับเล่าต่อว่า “ตอนเธอไปก็ดูเหมือนไม่มีอะไรนี่นา แต่ทำไมป่านนี้แล้วยังไม่กลับมาอีก?!”
ถังเมิ่งเริ่มจริงจังมากกว่าเดิม “ตอนนั้นเธอติดต่อนายไม่ได้ ก็เลยโทรหาฉัน แล้วฝากฉันให้บอกนายแทนว่า นายไม่ต้องเป็นห่วง หลังจากเสร็จธุระแล้ว เธอจะรีบกลับมาหานายแน่นอน!”
“แต่วันนี้ฉันก็ติดต่อเธอไม่ได้เลยเหมือนกัน ไม่แน่เธออาจจะกำลังอยู่บนเครื่องก็ได้ เลยไม่ได้เปิดโทรศัพท์..”
หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้ว และคิดว่าจะต้องมีปัญหาเกิดขึ้นกับเกาเฉินเฉินอย่างแน่นอน เขายังจำคืนที่ไปเต้นรำกับเกาเฉินเฉินได้ คืนนั้นระหว่างที่เขาและเธอนั่งคุยกันอยู่ที่สนาม ก็มีสายจากต่างประเทศโทรเข้ามือถือของเธอพอดี
เกาเฉินเฉินบอกกับเขาว่าเป็นญาติของเธอเอง ผู้ชายคนนั้นเป็นคนตระกูลเฉิน และคอยโทรมารังควานเธอเป็นเดือนแล้ว!
ตระกูลเฉินงั้นเหรอ?!
‘หรือเขาจะกลับมาขอหมั้นเฉินเฉินแล้วงั้นเหรอ? ตระกูลเฉินเองก็นับว่ามีหน้ามีตาไม่แพ้ตระกูลเกา’ หลิงหยุนคิดอยู่ในใจเงียบๆ
เหล่ากุ่ยได้ฟังแล้วถึงกับถอนหายใจ พร้อมกับแอบคิดว่านายน้อยของเขามีคนรักกี่คนกันแน่?!
ที่หลิงหยุนต้องกลายเป็นศัตรูกับตระกูลซันก็เพราะสาวสวยแห่งตระกูลเฉิงที่ชื่อเฉิงเม่ยเฟิง ใหนจะยังมีเสี่ยวเม่ยหนิง และเหยาลู่ที่เหล่ากุ่ยเคยเห็น แต่มาตอนนี้ยังได้ยินหลิงหยุนพูดถึงตระกูลเกาอีก และดูเหมือนว่าลูกสาวตระกูลเกาคงจะต้องเป็นคนรักของหลิงหยุนอีกคน!
เหล่ากุ่ยได้แต่คิดว่าอุปนิสัยข้อนี้ของหลิงหยุนนั้น ไม่เหมือนทั้งหลิงเสี่ยวและแม่ผู้ให้กำเนิดเขาเลยแม้แต่น้อย แต่จะเหมือนใครเขาเองก็ไม่อาจรู้ได้?
หลิงหยุนคิดว่าเกาเฉินเฉินนั้นมีสถานะที่สูงส่งในตระกูลเกา และอำนาจอิทธิพลของตระกูลเกาและตระกูลเฉินก็ไม่น่าจะเหนือกว่ากันนัก จึงไม่น่าจะมีอะไรที่ต้องหนักใจ!
แต่อาจเป็นเพราะการกลับไปล้มเลิกการหมั้นของเกาเฉินเฉิน ทำให้อาวุโสในตระกูลขุ่นเคืองอย่างมาก จึงได้กักขังเธอไว้ไม่ให้กลับมาที่เมืองจิงฉูอีกก็เป็นได้..
เมื่อคิดได้แบบนี้ หลิงหยุนก็รู้สึกโล่งใจมากขึ้น เขาภาวนาขอให้เกาเฉินเฉินอดทนรอเขาก่อน หลังจากที่เขาสะสางปัญหาที่นี่เสร็จสิ้นแล้ว เขาจะไปตามหาเธอที่เมืองหลวงเอง
แต่ตอนนี้ยังมีเรื่องที่เขาต้องสจัดการอีกมากมาย เขาจึงหยุดคิดเรื่องของเกาเฉินเฉินไว้ก่อน..
“ถังเมิ่ง.. นายรู้ไม๊ว่าใครอยู่เบื้องหลังการรื้อถอนบ้านที่ถนนหลินเจียงของแม่ฉัน?”
หลิงหยุนจำได้ว่าตามกฏหมายที่ดินนั้น การจะรื้อถอนบ้านต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของบ้านเสียก่อน หากเจ้าของบ้านไม่ยินยอม.. ก็ไม่สามารถเข้าทำการรื้อถอนได้!
ถังเมิ่งแทบไม่ต้องหยุดคิด เขาตอบกลับไปทันที “พี่หยุน.. ยังจำเถียนป๋อเตาที่เราสองคนรุมกระทืบมันที่หน้าคลีนิคได้ไม๊?”
หลิงหยุนพยักหน้า “จำได้สิ.. อย่าบอกนะว่าเป็นมัน?”
หลิงหยุนจำได้ว่าเขาไม่เพียงจัดการเถียนป๋อเตาจนแทบลุกไม่ขึ้น แต่ยังกระทืบหลานของมันที่ชื่อเถียนเสี่ยวกวงด้วย
ถังเมิ่งทำเสียงเยาะหยัน “หมอนั่นน่ะเหรอจะมีปัญญา.. แต่เป็นบริษัทที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนถนนหลินเจียงต่างหาก แล้วนายรู้ไม๊ว่าเป็นบริษัทของใคร?”
ใจของหลิงหยุนเต้นแรง ดวงตาเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่งก่อนจะตอบไปว่า “กู่เหลียนเฉิงสินะ?!”
ถังเมิ่งพยักหน้า “ใช่แล้ว.. เป็นบริษัทเหลียนเฉิงเอสเตทซึ่งเป็นของกู่เหลียนเฉิง! นายเตะมันจนไอ้นั่นใช้การไม่ได้ ทั้งกู่เหลียนเฉิงและกู่หยุนฟะต่างก็เกลียดนายเข้ากระดูกดำ แถมตอนนี้มันยังสนิทกับคนของสำนักงานรักษาความมั่นคงอีก มันจ้องจะเอาคืนนายอยู่แล้ว พอรู้ว่านายหายตัวไปหลายวันแล้ว มีหรือมันจะไม่รีบฉวยโอกาสนี้ล้างแค้น!”
หลิงหยุนได้ฟัง ก็เริ่มเข้าใจทุกอย่างได้ชัดเจนแจ่มแจ้งขึ้น เถียนเสี่ยวกวงกับเถียนป๋อเตาซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ร่วมมือกับกู่หยุนฟะและกู่เหลียนเฉิงซึ่งเป็นเจ้าของบรษัทผู้รับเหมาอย่างเหลียนเฉิงเอสเตท จัดการรื้อถอนบ้านของเขาตอนที่เขาหายตัวไป!
“ตอนนี้ทั้งพ่อของฉันแล้วก็ลุงหลี่ ต่างก็ถูกริดรอนอำนาจไปแล้ว เสียเจิ้นติง หลัวจ้ง และกู่เหลียนเฉิง ถึงได้โห่ร้องดีใจได้อีกครั้ง พวกมันร่วมมือกัน และควบคุมทำอย่างไว้ในกำมือของพวกมัน ไม่อย่างนั้น.. มีเหรอกู่หยุนฟะและเสียเจิ้นเหยินจะกร่างและสารเลวได้ยิ่งกว่าเดิม พวกมันมีเรื่องกับคนอื่นได้ไม่เว้นแต่ละวัน!”
“พวกมันช่างกล้าดีนี่!” หลิงหยุนพูดยิ้มๆพร้อมกับพยักหน้า “ถ้างั้น.. ก็ได้เวลาไปหาพวกมัน และต้องตอบแทนพวกมันอย่างสาสมแล้ว!”
ถังเมิ่งถึงกับตกใจจนพูดไม่ออกครู่หนึ่ง ก่อนจะถามกลับไปว่า “พี่หยุน.. นี่พี่หมายความว่า…?!”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า “ในเมื่อมันรื้อบ้านของฉัน ฉันก็จะรื้อบ้านของมันออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย!”
ตู้กู่โม่ถึงกับเหลือบมองหลิงหยุนเมื่อได้ฟังข้อสรุปที่ว่า.. เขาจะไปรื้อถอนบ้านของคนที่รื้อบ้านเขา!
ส่วนเหล่ากุ่ยนั้นตกใจสุดขีด พร้อมกับคิดว่าการที่คนพวกนั้นกล้ามารื้อถอนบ้านของนายน้อยเขาโดยที่ไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของบ้านได้นั้น แสดงว่าคนพวกนั้นก็ต้องเตรียมการมาอย่างดี และต้องวางแผนรับมือไว้ทุกช่องทางแล้วเช่นกัน ไม่ว่าจะโดยถูกกฏหมายหรือผิดกฏหมาย..
แต่การที่จู่ๆหลิงหยุนจะไปรื้อถอนบ้านของคนอื่นนั้น.. ไม่ใช่ว่านึกอยากจะรื้อถอนบ้านใคร ก็จะสามารถรื้อถอนกันได้ง่ายๆตามอำเภอใจ!
เหล่ากุ่ยรีบอ้าปากเพื่อจะห้ามปรามหลิงหยุน และต้องการให้หลิงหยุนหาวิธีอื่นสั่งสอนศัตรูแทน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะพูดดักขึ้นมาก่อน
“เหล่ากุ่ย.. ไม่ต้องเกลี้ยกล่อมอะไรทั้งนั้น ทำตามที่ข้าตัดสินใจ!”
‘พวกเจ้ากล้าทุบบ้านของข้าทิ้ง.. อย่าว่าแต่เป็นบ้านเลย ต่อให้เป็นสิ่งของของข้า หากข้าไม่ยินดีให้พวกเจ้าแตะต้อง ใครก็จะเคลื่อนย้ายไปใหนไม่ได้! ข้าต้องตอบแทนพวกเจ้าอย่างสาสมแน่ และหลังจากที่ข้ารื้อถอนบ้านของพวกเจ้าแล้ว พวกเราค่อยมานั่งคุยกันเรื่องเงินชดเชยค่าเสียหายอีกที!’
‘หากไม่ทำเช่นนี้.. ข้าหลิงหยุนจะผงาดขึ้นมาอีกครั้งได้อย่างไร?’
“เอาล่ะ.. พักผ่อนกันดีกว่า! พรุ่งนี้ค่อยไปหาพวกมันที่บ้าน” หลิงหยุนจบบทสนทนาในคืนนั้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
ความจริงแล้ว.. การรื้อบ้านของพวกมันไม่ใช่จุดประสงค์ที่แท้จริงของหลิงหยุน จุดประสงค์ที่แท้จริงของหลิงหยุนก็คือการทำเรื่องราวให้มันใหญ่โต เพื่อล่อให้กู่เหลียนเฉิง และหลัวจ้งโผล่หัวออกมาต่างหาก เมื่อไหร่ที่ทั้งคู่โผล่หัวออกมาแล้ว พวกมันจะได้เจอดีแน่!
หลังจากพูดจบ.. หลิงหยุนก็ร่ำลาทั้งสามคน แล้วเดินเข้าไปในห้องนอนพร้อมกับเจ้าขาวปุย
เหล่ากุ่ย ตู้กู่โม่ และถังเมิ่งต่างก็มองหน้ากัน จากนั้นตู้กู่โม่ก็เดินแยกตัวออกไปฝึก ส่วนเหล่ากุ่ยก็เพียงแค่พยักหน้าให้ถังเมิ่ง แล้วก็หลับตาเดินลมปราณเช่นกัน
ถังเมิ่งนั้นตั้งแต่ฟื้นจากอาการบาดเจ็บหลังจากที่หลิงหยุนรักษาให้ เขาก็ออกไปตะลอนๆอยู่ข้างนอกหลายชั่วโมง อีกทั้งตั้งแต่ได้รับบาดเจ็บ เขาก็นอนหลับไม่สนิทมาตลอด เมื่อถึงเวลานอน จึงล้มตัวลงนอนหลับบนโซฟาทันที
หลังจากที่เข้าไปห้องนอน หลิงหยุนก็ปิดประตูและสำรวจไปรอบๆห้องนอน เขามองเห็นเสื้อผ้าของเฉิงเม่ยเฟิง จากนั้นก็มองไปที่คอมพิวเตอร์ และพบจดหมายวางอยู่ ที่หน้าซองเขียนไว้ว่า – หลิงหยุน
หลิงหยุนจำได้ว่าเป็นลายมือของเฉิงเม่ยเฟิง เขารีบดึงจดหมายที่อยู่ด้านในออกมาอ่าน
-สามี.. คุณหายไปใหนกันแน่? ใหนนายเคยสัญญากับฉันว่าจะไม่ทิ้งฉันไปใหนอีก? ฉันเป็นห่วงนายมากจริงๆ.. –
-สามี.. ผ่านมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว ยังติดต่อนายไม่ได้อีก ฉัน น้องสาวนาย-หลิงยู่ แล้วก็น้องเสี่ยว พวกเราสามคนต่างก็เป็นห่วงนายมาก ส่วนป้าฉินก็ออกจากบ้านไปตั้งแต่เมื่อวานตอนเช้าตรู่ หลิงยู่ก็ติดต่อไม่ได้เหมือนกัน?-
-สามี.. ตระกูลซันกลับมาที่นี่อีกแล้ว ตอนนี้พวกมันจับพ่อแม่และน้องสาวของฉันไว้ เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะฉันคนเดียว ฉันไม่สามารถหนีเอาตัวรอดคนเดียวได้ ฉันต้องกลับไปเผชิญหน้ากับมัน ถ้านายกลับมา ก็อย่าได้ตำหนิที่ฉันต้องทำแบบนี้เลยนะ..-
-สามี.. จนถึงตอนนี้ฉันยังคงไม่สามารถติดต่อนายได้ น้องสาวของนายตกใจกลัวมากรู้ไม๊? เธอเอาแต่ร้องไห้ ส่วนน้องเสี่ยวก็กระวนกระวายร้อนใจมากเหมือนกัน พวกเราเป็นห่วงนายมากนะ!
-สามี.. ฉันคงต้องกลับไปบ้านแล้วจริงๆ นี่เป็นปัญหาของฉัน ฉันไม่สามารถปล่อยให้คนในครอบครัวต้องมารับเคราะห์แทนฉันได้! นายมั่นใจได้ว่าฉันเป็นของนายคนเดียว และหากต้องเป็นของคนอื่น ฉันยอมตายแน่นอน!-
-ฉันไม่รู้ว่าจะเป็นหรือตาย ถ้านายกลับมา ไม่ว่าฉันจะตกอยู่ในสภาพใหน อย่าได้กลับไปช่วยฉันอีก ฉันไม่ต้องการให้นายต้องไปตกอยู่ในอันตรายเพราะฉันอีก!-
-รักเสมอ! เม่ยเฟิง – วันที่ 8 เมษายน เวลาสองทุ่ม-
จดหมายฉบับนั้นไม่ยาว และไม่ใช่ข้อความที่เขียนรวดเดียวจบ แต่เฉิงเม่ยเฟิงเขียนทิ้งไว้ตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุที่บ้าน และหลังเกิดเหตุที่บ้าน เธอรอจนกระทั่งเวลาสองทุ่มของวันอังคาร เมื่อเห็นว่ายังไม่สามารถติดต่อหลิงหยุนได้ เธอจึงตัดสินใจบุกเข้าถ้ำเสือด้วยตัวเอง
“ซันเทียนเปียว. ครั้งนี้ถ้าเฉิงเม่ยเฟิงเป็นไรแม้แต่ปลายผม ข้าจะทำให้ตระกูลของเจ้าสูญหายไปจากปักกิ่ง!”
หลิงหยุนพึมพำพร้อมกับพับจดหมายวางลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ค่อยๆใช้วิชาพลังลับหยินหยางเดินลมปราณในร่างกาย
เช้าวันอาทิตย์ที่ 13 เมษายน เวลาหกโมงเช้า หลิงหยุนออกจากสมาธิ และลุกขึ้นจากเตียงเดินไปที่ระเบียง แล้วเริ่มฝึกดารกะดายัน
เขาไม่รู้ว่าตระกูลซันจะพายอดฝีมือมากี่คน ตอนนี้หลิงหยุนจึงต้องรีบพัฒนากำลังภายในของตนเองให้สูงขึ้นมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อที่เขาจะได้แข็งแกร่งมากกว่าเดิม
ตอนนี้หลิงหยุนเองก็ไม่รู้ว่ากำลังภายในของตนเองอยู่ในขั้นใหนกันแน่ เขารู้เพียงว่าร่างกายของตอนนี้เข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นปรับร่างกาย-4 แล้ว!
ความแข็งแกร่งของขั้นปรับร่างกาย-4บนโลกนี้ ดูเหมือนจะแข็งแกร่งมากกว่าเมื่ออยู่ในโลกบ่มเพาะ นั่นอาจเป็นเพราะจุดตันเถียนแลเส้นลมปราณที่ขยายขึ้นมากมายหลายเท่า
หลิงหยุนหันกลับไปมองเหล่ากุ่ยและตู้กู่โม่ ที่กำลังเดินอยู่ในห้องรับแขก เขายิ้มให้กับคนทั้งคู่แล้วพูดขึ้นว่า
“ปลุกเจ้าหมูขี้เซาถังเมิ่ง แล้วออกเดินทางกันได้แล้ว!”
บทที่ 363 : ล้างบางเมืองจิงฉู (12) – อยู่เคียงข้างเสมอ!
วันนี้เมืองจิงฉูดูเหมือนจะอากาศร้อนมากเป็นพิเศษ ดวงอาทิตย์ส่องแสงร้อนแรงทำให้ผืนดินร้อนระอุไม่ต่างจากเตาไฟ เพียงช่วงเวลาแปดโมงเช้า อุณหภูมิก็ขึ้นไปถึงสามสิบองศา!
หลังจากหลิงหยุน ถังเมิ่ง เหล่ากุ่ย และตู้กู่โม่ ทานอาหารเช้าเสร็จ ถังเมิ่งก็ทำหน้าที่คนขับรถพาทุกคนรวมทั้งเจ้าขาวปุยกลับไปที่บ้านของตัวเองก่อนเพื่อเปลี่ยนมาใช้รถฮัมเมอร์ของเขาแทน จากนั้นก็พาทุกคนมุ่งหน้าสู่ถนนหลินเจียงทันที!
ระหว่างทางถังเมิ่งก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วพูดขึ้นมากว่า “พี่หยุน.. เราไม่มีรถแมคโครเลย เครื่องมืออะไรก็ไม่มี แล้วจะไปรื้อถอนบ้านได้ยังไง?!”
เหล่ากุ่ยและตู้กู่โม่มองหน้ากัน ทั้งคู่ต่างก็เห็นด้วยกับถังเมิ่ง..
และต่อให้มีเงินไปจ้างบริษัทมารื้อถอนจริงๆ หากไม่ใช่บ้านของคนที่ว่าจ้าง บริษัทที่รับจ้างก็คงไม่กล้าทำโดยพละการเช่นกัน ใครบ้างจะไม่กลัวว่าจะต้องกลายเป็นผู้รับผิดชอบค่าเสียหายที่เกิดขึ้น!
หลิงหยุนหัวเราะเสียงดังพร้อมกับตอบไปว่า “ใครบอกนายล่ะว่าจะต้องใช้รถยกรถขุดอะไรพวกนั้น ฉันนี่ล่ะ.. จะเป็นคนรื้อถอนด้วยตัวเอง รับรองว่าจะเอาให้ราบเป็นหน้ากองเลย!”
ไม่จำเป็นที่หลิงหยุนจะต้องใช้รถขุดหรือเครื่องมืออะไรในการรื้อถอนทั้งนั้น เพราะหม้อเสินหนงที่หนักหลายพันกิโลกรัม เขายังหิ้วได้อย่างสบาย อีกทั้งเขายังมีตัวช่วยอย่างกระบี่โลหิตแดนใต้ และยันต์อัคนี เพียงแค่นี้เขาก็สามารถรื้อถอนบ้านทั้งหลังได้อย่างง่ายดายแล้ว!
กระบี่โลหิตแดนใต้นั้น เป็นกระบี่วิเศษ สามารถตัดของแข็งได้ไม่ต่างจากตัดเต้าหู้นิ่มๆ!
การที่หลิงหยุนตั้งใจรื้อถอนบ้านด้วยตัวเองโดยไม่ใช้รถขุด เพราะต้องการให้เสียเจิ้นติง หลัวจ้ง และกู่เหลียนเฉิง ได้เห็นความแข็งแกร่งของเขา อีกทั้งเพื่อต้องการป่าวประกาศให้ทุกคนรู้ว่า.. หลิงหยุนได้กลับมาแล้ว! ดังนั้น.. การรื้อถอนบ้านจึงจำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้!
ครั้งนี้.. หลิงหยุนไม่จำเป็นต้องหลบกล้องวงจรปิดอีกต่อไป อีกทั้งยุคสมัยนี้ยังมีโทรศัพท์มือถือที่สามารถบันทึกภาพเคลื่อนไหวต่างๆได้อีกด้วย ในเมื่อเขาต้องการขึ้นมาผงาดอีกครั้ง การให้ผู้คนจำนวนมากได้รู้ได้เห็นจึงเป็นเรื่องจำเป็น และยิ่งคนรู้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น ไม่เช่นนั้น.. การปฏิบัติการของเขาในครั้งนี้จะเรียกว่าล้างบางได้อย่างไร?
หลิงหยุนต้องการให้คนทั้งเมืองจิงฉูได้เห็นว่า.. ใครก็ไม่มีสิทธิ์รื้อทำลายบ้านของเขา!
เวลาแปดโมงเช้า.. เป็นช่วงเวลาที่การจราจรค่อนข้างเคลื่อนตัวได้ไม่ดีนัก แต่หลิงหยุนเองก็ไม่ได้รีบร้อนอะไร เขาจึงนั่งฮัมเพลงไปในรถอย่างอารมณ์ดี แต่หารู้ไม่ว่าทั้งถังเมิ่งและเหล่ากุ่ยต่างก็เครียดกันจนเหงื่อตก..
ความเครียดของถังเมิ่งนั้นเกิดจากความตื่นเต้น เลือดในตัวของเขาพลุ่งพล่าน และเหงื่อก็ไหลออกมาเต็มฝ่ามือที่จับพวงมาลัย เดาไม่ออกว่าถังเมิ่งเหงื่อออกเพราะอากาศร้อน หรือว่าตื่นเต้นเกินไปกันแน่
แต่ความเครียดของเหล่ากุ่ยนั้น เกิดขึ้นเพราะความห่วงใย!
เขารู้ดีว่าการที่หลิงหยุนจะรื้อถอนบ้านด้วยมือเปล่านั้นเป็นเรื่องที่ไม่เกินความสามารถ!
แต่ตอนนี้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า หลิงหยุนเป็นบุตรชายของหลิงเสี่ยว! อีกทั้งในเวลานี้ตระกูลหลิงก็ไม่ได้มีอำนาจอิทธิพลยิ่งใหญ่เหมือนเมื่อครั้งในอดีต หากหลิงหยุนไปรื้อถอนบ้านของผู้คนตามอำเภอใจเช่นนี้ แล้วเกิดปัญหาขึ้นกับเขา ตระกูลหลิงคงมีอำนาจไม่พอที่จะช่วยเหลือได้!
เหล่ากุ่ยกำลังครุ่นคิดว่า เขาควรจะเปิดเผยฐานะของตนเองกับหลิงหยุนดีหรือไม่? เพราะดูแล้วว่าหลิงหยุนได้ตัดสินใจจะลงมือรื้อถอนบ้านคนอื่นอย่างแน่นอน หากมีทีมข่าวในเมืองจิงฉูพากันออกมาทำข่าว และเผยแพร่ภาพของหลิงหยุนออกไป แน่นอนว่าคนทั่วทั้งประเทศจะต้องรู้จักหลิงหยุนอย่างแน่นอน!
และเมื่อใดก็ตามที่ภาพของหลิงหยุนถูกเผยแพร่ทางอินเทอร์เนต ตระกูลใหญ่ต่างๆในเมืองหลวงรวมทั้งตระกูลหลิงเองก็ต้องได้เห็นเช่นเดียวกัน และไม่ว่าใครก็ตามที่ได้เห็นหลิงหยุน ก็ต้องเข้าใจได้ทันทีว่าหลิงหยุนต้องมีความสัมพันธ์ทางใดทางหนึ่งกับตระกูลหลิงอย่างแน่นอน!
วันนี้ดูเหมือนจะเป็นวันใหญ่อีกทั้งท้องฟ้าแจ่มใส เหล่ากุ่ยได้แต่ใช้ผ้าปิดหน้าอำพรางตัวตน!
เหล่ากุ่ยกำลังใคร่ครวญว่าจะเอ่ยปากห้ามหลิงหยุนดีหรือไม่? แต่จากที่เขาสังเกตุเห็นบุคลิกและอุปนิสัยใจคอของหลิงหยุนนั้น หลิงหยุนเป็นคนที่พูดคำใหนคำนั้น และเมื่อตัดสินใจทำอะไรแล้ว เขาจะไม่ยอมเปลี่ยนใจเด็ดขาด! อีกทั้งเป็นคนที่ชัดเจน!
เหล่ากุ่ยได้แต่คิดในใจว่า ‘เอาเถอะ.. อย่างน้อยการรื้อถอนบ้าน ก็น่าจะดีกว่าการแอบไปฆ่าคน! และดูเหมือนว่าตลอดระยะเวลาสิบแปดปีที่นายน้อยต้องใช้ชีวิตข้างนอก ก็น่าจะได้รับความทุกข์มากมาย คงต้องปล่อยให้เขาได้กู้ศักดิ์ศรีของตนเองคืนบ้าง..’
หลังจากเหล่ากุ่ยครุ่นคิดอยู่นาน.. เขาก็กระแอมออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นว่า “หลิงหยุน.. คนอื่นรื้อทำลายบ้านของเจ้า แล้วเจ้ากลับไปรื้อบ้านของพวกมันคืน นับว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง! แต่ถึงอย่างไร ก็ไม่ควรลงมือในเวลากลางวัน มันโจ่งแจ้งเกินไป..”
หลิงหยุนหัวเราะอย่างมีความสุข “เหล่ากุ่ย.. ดูจากการแต่งตัวของท่าน ทั้งชุดสีดำกับผ้าปิดหน้า คงไม่สะดวกจะเปิดเผยตัวสินะ ถ้ายังไง.. ท่านกลับไปพักที่อพาร์ทเมนท์ก่อนจะดีไม๊? ส่วนเรื่องรื้อถอนบ้าน ปล่อยให้เป็นเรื่องของเด็กๆอย่างพวกเราก็แล้วกัน! อีกอย่างคืนนี้ยังต้องเผชิญหน้ากับการต่อสู้ที่ดุดเดือดอีก!”
ตอนนี้ยังไม่รู้ชะตากรรมของเฉิงเม่ยเฟิงว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรหลังจากที่ถูกตระกูลซันจับตัวไว้ ส่วนเสี่ยวเม่ยเม่ยก็หายตัวไป ทางด้านเกาเฉินเฉินก็ไร้ข่าวคราว หลิงหยุนไม่สามารถรอคอยได้อีก! เขาจึงต้องจัดการกับหลัวจ้งและคนอื่นๆก่อน และในคืนนี้ เขาตั้งใจจะบุกเข้าไปที่บ้านตระกูลเฉิง และจัดการถอนรากถอนโคลนตระกูลซัน เพื่อให้เมืองจิงฉูกลับเข้าสู่ความสงบเสียที
เหล่ากุ่ยหัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ไว้รอให้รถไปถึงที่ก่อน พวกเจ้าเด็กๆก็ลงไปจัดการก็แล้วกัน!”
ในเมื่อเขายังไม่อยู่ในฐานะที่จะแสดงตัวได้ เขาจึงไม่ต้องการเป็นจุดสนใจของคนทั่วไป และไม่ต้องการให้ใครเห็นเขาปรากฏตัวพร้อมกับหลิงหยุน แต่เขาก็ยังคงต้องคอยคุ้มครองความปลอดภัยให้หลิงหยุนอยู่ลับๆ
เพราะหากตระกูลซันปรากฏตัว และต้องการสร้างปัญหาให้กับหลิงหยุนในช่วงกลางวันแสกๆนี้ แน่นอนว่าเหล่ากุ่ยจะต้องปรากฏตัวขึ้นขัดขวางอย่างแน่นอน
ถังเมิ่งขับรถฮัมเมอร์ของเขามุ่งหน้าไปทางฝั่งตะวันออก หลังจากขับเข้าสู่ถนนวงแหวนรอบนอกตะวันออกแล้ว ปริมาณรถบนถนนก็ค่อยๆลดลงตามลำดับ ถังเมิ่งจึงเหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็วให้เร็วขึ้น และเพียงสี่สิบนาที รถฮัมเมอร์ก็มาหยุดอยู่ที่หน้าคลีนิคประชาชน
หลิงหยุนนั่งอยู่ในรถฮัมเมอร์ สำรวจคลีนิคประชาชนที่ต้อนนี้ถูกทุบทำลายไม่เหลือแม้แต่ซาก!
“เยี่ยมมาก..! เพียงแค่สองวัน พวกแกก็สามารถทุบบ้านของแม่ฉันจนราบเป็นหน้ากองแบบนี้ได้ ช่างเป็นมืออาชีพจริงๆ!”
แต่ถึงอย่างนั้น.. หลิงหยุนก็ไม่ได้รู้สึกเศร้าโศกเสียใจแม้แต่น้อย เขายังมีบ้านอีกตั้งสองหลัง มีคลีนิค และยังมีร้านเสื้อผ้าที่เขา ‘ซื้อ’ ไว้ตั้งแต่เมื่อคืน
แน่นอนว่า.. บ้านหลังนี้ไม่ได้มีความหมายอะไรกับเขานัก!
“หลิงหยุน.. ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จำไว้ว่าคนแก่เช่นข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าเสมอ! ข้าต้องไปก่อนแล้ว!”
ทันทีที่พูดจบ.. เหล่ากุ่ยก็เปิดประตูรถลงไป และหายตัวไปทันที!
หลิงหยุนยิ่งสับสนและอยากรู้ว่าเหล่ากุ่ยเป็นใครกันแน่? หลิงหยุนเริ่มรู้สึกกระหายใคร่รู้มากยิ่งขึ้น หากเป็นแม่หรือท่านหมอเสี่ยวพูดประโยคนี้ เขาจะไม่นึกแปลกใจเลยแม้แต่นิดเดียว แต่นี่เป็นชายชราลึกลับที่อยู่กับเขาเพียงแค่คืนเดียว กลับแสดงตัวยืนอยู่ข้างเขาอย่างชัดเจน?
‘ไม่ว่าจะเกิดเรื่องอะไร เขาจะอยู่เคียงข้างข้าเสมองั้นรึ? หรือว่าเขาต้องการรับข้าเป็นลูกศิษย์กันแน่?’
แต่คนที่แปลกใจและประหลาดใจยิ่งกว่าหลิงหยุนกลับเป็นถังเมิ่งและตู้กู่โม่ เมื่อเหล่ากุ่ยลงจากรถไปแล้ว ทั้งคู่ก็หันมาถามหลิงหยุน
“พี่หยุน.. คนแก่ที่ดูเก่งกาจมากคนนี้เป็นใครกัน น้ำเสียงก็ดูมีพลังมาก?”
หลิงหยุนมองถังเมิ่งพร้อมกับขยิบตาให้ “ก็ถ้านายมีวรยุทธ นายก็จะมีน้ำเสียงที่ทรงพลังแบบนั้นเหมือนกัน!”
หลิงหยุนตอบกลับไป แต่ในใจของเขากลับนึกถึงคำพูดของเหล่ากุ่ย.. น้ำเสียงของเขาไม่เพียงทรงพลังอย่างคนมีวรยุทธที่สูงส่ง แต่ยังดูมีอำนาจพอที่จะหนุนเขาได้อีกด้วย..! ใช่แล้ว!
‘แก๊งมังกรเขียว.. ถ้าขอให้แก๊งมังกรเขียวมาช่วยข้าได้ คงจะสนุกกว่านี้แน่..’
หลิงหยุนหยุดคิดเรื่องนี้ไว้ก่อน.. จากนั้นทั้งเขา ถังเมิ่ง ตู้กู่โม่ และเจ้าขาวปุย ต่างก็ลงจากรถและตรงไปที่ร้านของนางหลี่หงเม่ย
ทันทีที่นางหลี่หงเม่ยเห็นรถฮัมเมอร์ก็จำได้ทันที เพราะถังเมิ่งขับรถคันนี้มาที่นี่หลายครั้งแล้ว
หลิงหยุนก้าวเท้าเข้าไปในร้านขายของชำด้วยท่วงท่าสง่างาม ด้านซ้ายเป็นถังเมิ่งที่ตอนนี้หัวโล้น ด้านขวาเป็นชายผมยามสวมเสื้อคลุมซึ่งก็คือตู้กู่โม่ ชายหนุ่มทั้งสามล้วนสูงกว่าหนึ่งเมตรแปดสิบ เมื่อพวกเขาเดินเข้ามาพร้อมๆกันเช่นนั้น จึงเป็นภาพที่ดูน่าเกรงขามมากทีเดียว!
“หลิงหยุนมาแล้วเหรอ.. เกิดเรื่องใหญ่กับครอบครัวของเธอแล้วรู้ไม๊..?” หลี่หงเม่ยร้องออกมาอย่างกระตือรือร้นเมื่อเห็นหลิงหยุนเดินเข้ามา จากนั้นก็ทำเสียงเบากระซิบกระซาบ
หลิงหยุนพยักหน้าและยิ้มทักทาย “ป้าหลี่ครับ.. ผมเห็นแล้ว! พอจะรู้ไม๊ครับว่าเป็นฝีมือใคร?”
หลี่หงเม่ยถอนหายใจเสียงดังก่อนจะพูดขึ้นว่า “เฮ้อ.. จะเป็นใครไปได้ล่ะ! ก็ไอ้มัจจุราชคนนั้นนั่นล่ะ มาถึงมันก็ตรงเข้าไปรื้อบ้านของเธอโดยไม่สนใจใครเลย!”
หลิงหยุนยิ้มเย็นชาพร้อมกับถามเสียงเรียบ “แล้วตั้งแต่พวกมันมาจนเข้าไปทุบทำลายบ้าน ไม่มีใครเข้าไปห้ามเลยเหรอครับ?”
หลี่หงเม่ยถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก “มันมีหนังสืออนุญาตรื้อถอนมาด้วยน่ะสิ! ใหนจะพาทีมงานมาอีกเป็นสิบคน ใครจะกล้าขัดขวาง? เถียนป๋อเตามันคุมถนนเส้นนี้มานานหลายปี อย่าว่าแต่บ้านเธอไม่มีคนอยู่เลย ต่อให้อยู่กันครบทั้งสามคน ก็หยุดพวกมันไม่ได้หรอก!”
จากนั้นหลี่หงเม่ยก็หยุดถอนหายใจอีกครั้งก่อนจะเล่าต่อว่า “ฉันก็พูดกับไอ้มัจจุราชเถียนไปแล้วว่า ต่อให้มีหนังสืออนุญาตรื้อถอน ก็ต้องให้แม่ของเธอยินยอมและต้องได้รับเงินค่าชดเชยก่อน เพราะแม่ของเธอเป็นเจ้าของบ้าน แต่มันกลับตอบว่า.. ตอนนี้แม่ของเธอไม่อยู่ในจิงฉู ติดต่อไม่ได้ การรื้อถอนบ้านก็ล่าช้าไม่ได้เหมือนกัน พวกมันจึงต้องรื้อถอนก่อน!”
หลิงหยุนแสยะยิ้มพร้อมกับคิดในใจว่า ดูเหมือนเถียนป๋อห่าวจะรู้รายละเอียดทุกอย่างเป็นอย่างดี เหล่ากุ่ยพูดได้ถูกต้อง พวกมันวางแผนกันมาอย่างดีแล้ว!
เจ้าหน้าที่ของทางราชการเข้ามารื้อถอนบ้านของเขา สำนักงานรักษาความมั่นคงก็ยึดบ้านของเขาที่เพิ่งซื้อทั้งสองหลัง อีกทั้งยังอายัดบัญชีธนาคารของเขาไว้ด้วย ไม่เพียงเท่านั้น พวกมันยังจับกุมตี้เสี่ยวอู๋ไว้อีก ส่วนเสียเจิ้นเหยินก็รังควานน้องสาวของเขา เรียกว่าพวกมันร่วมมือกันเป็นขบวนการเลยทีเดียว!
“นั่นสิหลิงหยุน.. แล้วแม่ของเธอไปใหน? ฉันโทรหาตั้งหลายครั้งก็ติดต่อไม่ได้?”
หลี่หงเม่ยแสดงความเป็นห่วงฉินจิวยื่อ..
หลิงหยุนรู้ดีว่าหลี่หงเม่ยนั้นมีความสนิทสนมกับแม่ของเขา เขาจึงตอบกลับไปยิ้มๆ “ผมก็ไม่รู้ครับพอดีแม่ไม่ได้เอาโทรศัพท์มือถือติดตัวไปด้วย แต่นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ผมจัดการได้ ขอบคุณนะครับป้าหลี่!”
หลิงหยุนถามต่อว่า “แล้วพอรู้ไม๊ครับว่าบ้านของเถียนป๋อห่าวกับบริษัทรื้อถอนนั่นอยู่ที่ใหน?”
“รู้สิ.. เธอไปทางตะวันออกราวหกร้อยเมตร ทางขวามือเป็นสำนักงานชั่วคราวของบริษัทรื้อถอน อีกไม่นานคงจะย้ายแล้ว..”
“ส่วนบ้านของเถียนป๋อห่าว.. มีใครบ้างไม่รู้จัก! มันนะมีบ้านตั้งหลายหลังอยู่ในเมือง แต่นั่นคงจะไกลไป พวกมันเลยพากันมาอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ในหมู่บ้านหลินเจียง หลานของมัน – เถียนเสี่ยวกวงก็อยู่ที่นั่นด้วย!”
บทที่ 364 : ล้างบางเมืองจิงฉู (13) – การกลับมาของหลิงหยุน!
หลี่หงเม่ยพูดจบ ก็มองหน้าหลิงหยุนพร้อมกับยิ้มกว้างให้ เธอรู้สึกงุนงงมากที่หลิงหยุนเอาแต่ยิ้มแล้วก็หัวเราะ..
“หลิงหยุน.. เธอ.. นี่เธอไม่เป็นอะไรมากใช่ไม๊? ป้าจะบอกอะไรให้นะ เธอไม่ต้องไปตามหาเถียนป๋อเตาให้ลำบากหรอก ทุกอย่างรอแม่เธอกลับมาจัดการจะดีกว่า เชื่อฟังป้าเถิดนะ!”
“เถียนป๋อเตามันประกาศไว้ว่าจะแก้แค้นเธอสองคนที่ทำร้ายมันเมื่อครั้งก่อน ถ้าเธอไปหามันตอนนี้ ก็เท่ากับไปรนหาที่นะ!”
หลิงหยุนยิ้มให้หลี่หงเม่ยพร้อมกับตอบไปว่า “ป้าหลี่ครับ.. เดี๋ยวจะมีอะไรสนุกๆให้ดู ป้าอยากเห็นไม๊ครับ?”
หลี่หงเม่ยตอบกลับไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ “เช้าๆแบบนี้จะมีอะไรสนุกให้ดูกัน? ป้าว่าเด็กๆอย่าไปมีเรื่องกับเถียนป๋อเตาจะดีกว่านะ?”
หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับขยิบตาให้หลี่หงเม่ยและพูดขึ้นว่า “ไว้แม่กลับมาเมื่อไหร่ ผมจะเชิญป้าหลี่ไปทานข้าวที่บ้านนะครับ.. ผมขอตัวก่อนนะครับ!”
พูดจบ.. หลิงหยุนก็เร่งให้ถังเมิ่งและตู้กู่โม่เดินออกจากร้านขายของชำเล็กๆของหลี่หงเม่ย และรีบตรงไปที่รถฮัมเมอร์
“เด็กคนนี้.. นับวันยิ่งคบแต่คนแปลกๆ! ส่วนหมาจิ้งจอกสีขาวนั่นก็สวยงาม ท่าทางเหมือนคนไม่มีผิด!” หลังจากที่หลิงหยุนและทุกคนเดินออกไปจากร้าน หลี่หงเม่ยก็บ่นพึมพำกับตัวเอง
“นั่น..?! เด็กๆเลี้ยวรถไปทางตะวันออกนี่.. อย่าบอกนะว่าจะไปหมู่บ้านหลินเจียงกัน?!”
หลี่หงเม่ยถึงกับนิ่งอึ้งไปทันที!!
….
ที่ทางฝั่งตะวันออกของถนนหลินเจียง สำนักงานชั่วคราวของบริษัทรื้อถอน..
วันนี้เป็นวันหยุดนักขตฤกษ์ หลายคนได้หยุดงานพักผ่อน แต่สำนักงานแห่งนี้กลับเปิดทำงาน
เวลาเก้าโมงตรง พนักงานต่างก็มาทำงานกันเต็มออฟฟิศ หนึ่งในนั้นเป็นผู้ชายร่างสูงใหญ่อายุราวสามสิบเจ็ดปี ผมที่ใส่น้ำมันเงางามของเขาถูกหวีไว้อย่างเรียบร้อยพิถีพิถัน คิ้วรูปสามเหลี่ยมทั้งสองข้างซ่อนอยู่หลังกรอบแว่นสีทอง และกำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
ชายคนผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นลุงแท้ๆของกู่หยุนฟะชื่อกู่เหลียนซัน!
เมื่อเถียนป๋อเตาแจ้งไปว่า คลีนิคของนางฉินจิวยื่อบนถนนหลินเจียงนั้น ตารางการรื้อถอนได้กำหนดไว้ในเดือนพฤษภาคม แต่เพราะเป็นความต้องการของกู่เหลียนเฉิง การรื้อถอนจึงต้องร่นมาเร็วขึ้นก่อนกำหนดถึงครึ่งเดือน
กู่หยุนฟะต้องการเงินไปวางเดิมพันกับหลิงหยุน จึงต้องขอให้พ่อเขานำเงินสดออกมาหนึ่งร้อยล้าน ทำให้กู่เหลียนเฉิงผู้ร่ำรวยถึงกับขาดสภาพคล่องทางการเงิน จนต้องขายกิจการโรงแรมขนาดใหญ่ไป เพื่อนำเงินมาหมุน
เท่านั้นยังไม่พอ.. กู่เหลียนเฉิงยังต้องทำเรื่องกู้เงินจากธนาคารเป็นการเร่งเด่วน และการที่ธนาคารจะอนุมัติเงินกู้ให้เขาได้นั้น เขาจำเป็นต้องมีโปรเจคบางอย่างอยู่ในมือเพื่อนำเสนอให้กับทางธนาคารพิจารณาปล่อยเงินกู้ให้ การเร่งลงมือรื้อถอนบ้านเรือนบนถนนหลินเจียงจึงต้องรวบรัดให้เร็วขึ้น เพื่อที่เขาจะได้นำเอกสารการทำงานไปนำเสนอให้กับทางธนาคารได้
ยิ่งไปกว่านั้น กู่เหลียนเฉิงยังถูกหลิงหยุนเตะผ่าหมากจนต้องกลายเป็นขันที เมื่อไหร่ก็ตามที่เขาคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็จะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จนแทบล้มทั้งยืนไปเสียทุกครั้ง!
จนถึงตอนนี้กู่เหลียนเฉิงยังคงต้องนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล แม้ตอนนี้เขาจะสามารถลุกเดินไปใหนมาใหนได้ เพราะเจ้าโลกของเขาได้ถูกตัดทิ้งไปแล้ว จึงไม่รู้สึกเจ็บปวดเหมือนเดิมอีก แต่ร่างกายท่อนล่างตั้งแต่เอวลงมาก็ยังไร้เรี่ยวแรง และไม่สามารถเดินยืดตัวตรงได้ แต่ก็สามารถสั่งการได้..
กู่เหลียนเฉิงจึงได้มอบงานรื้อถอนที่ถนนหลินเจียงให้กับน้องชายแท้ๆของเขา – กู่เหลียนซันเป็นผู้จัดการแทน กู่เหลียนซันรู้แล้วว่า หลิงหยุนคือคนที่ทำร้ายหลานชายของเขา-กู่หยุนฟะ และเป็นคนที่เตะพี่ชายของเขาจนต้องกลายเป็นขันที ด้วยเหตุผลเพียงเท่านี้ ก็เพียงพอที่เขาจะจัดการรื้อถอนทำลายบ้านของหลิงหยุนเป็นหลังแรก!
และยิ่งไม่ต้องพูดถึงค่าชดเชยในการรื้อถอนที่เขาจะไม่จ่ายให้! อีกทั้งไม่จำเป็นต้องให้นางฉินจิวยื่อยินยอมให้รื้อถอนด้วย เพราะเวลานี้ทั้งรองนายกเทศมนตรี และหัวหน้าสำนักงานรักษาความมั่นคงในจิงฉู ล้วนเป็นพวกเดียวกับเขา!
อีกทั้งตอนนี้ฉินจิวยื่อเองก็หายตัวไป ส่วนหลิงหยุนอยู่ที่ใหนก็ยังไม่มีใครรู้ ตอนนี้ครอบครัวของหลิงหยุนเหลือน้องสาวของเขา–หนิงหลิงยู่อยู่เพียงคนเดียวเท่านั้น และอีกไม่นานก็คงจะตกเป็นของลูกชายของเสียเจิ้นติง–เสียเจิ้นเหยินอย่างแน่นอน ไม่ช้า..ก็เร็ว!
กู่หยุนฟะเองก็ได้บอกกับกู่เหลียนซันไว้เรียบร้อยแล้วว่าต้องทำอย่างไรบ้าง?
ตอนแรกกู่เหลียนซันคิดว่าเรื่องการรื้อถอนโดยไม่รับความยินยอมจากเจ้าของบ้านนั้น ไม่น่าจะสามารถทำได้ง่ายๆ! แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่า เมื่อได้แจ้งทางเถียนป๋อเตาว่าจะขอรื้อบ้านของหลิงหยุนก่อนเป็นหลังแรก เขากลับยินยอมพร้อมใจเปิดทางให้แต่โดยดี!
เมื่อกู่เหลียนซันสอบถามรายละเอียด จึงได้รู้ว่าทั้งเถียนป๋อเตาและหลานชายของเขา ล้วนเคยถูกหลิงหยุนกระทืบจนปางตาย และพวกเขาก็กำลังรอเวลาแก้แค้นอยู่พอดี!
นับว่าเป็นโชคดีของกู่เหลียนซันที่ทั้งสองฝ่ายมีเรื่องรุนแรงกันมาก่อน ในตอนเที่ยงตรงของวันพฤหัสบดี พวกวเขาก็พากันไปดื่มกินเพื่อสานไมตรี และตอนบ่ายก็พากันมาจัดการรื้อถอนบ้านของหลิงหยุน!
หลังจากรื้อถอนบ้านของหลิงหยุนสำเร็จแล้ว กู่เหลียนซันก็ถึงกับถอนหายใจอย่างโล่งอก พร้อมกับโทรรายงานกู่เหลียนเฉิงและกู่หยุนฟะ จากนั้นก็เอ่ยชมเถียนป๋อเตา ที่ตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงว่าจะผยองพองขนเพียงใด!
นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องแก้แค้นหลิงหยุน แต่ยังเป็นการผูกสัมพันธไมตรีกับเถียนป๋อเตา ซึ่งต่อไปจะเป็นประโยชน์กับงานของกู่เหลียนซันในวันข้างหน้าด้วย!
ความจริงที่ปรากฏในสองวันที่ผ่านมานี้ ชี้ชัดว่าการทำงานทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น แม้ว่าพวกเขาจะได้ค่าจ้างในการรื้อถอนที่ไม่สูงนัก แต่พวกเขายังมีหนทางหาเงินได้จากทางอื่นอีก..
วันนี้เป็นวันอาทิตย์ แม้ว่ากู่เหลียนซันเพิ่งจะไปหาเมียน้อยคนที่ห้าของเขามาเมื่อคืนนี้ แต่ก็ยังสามารถตื่นมาทำงานได้ตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะเช้านี้มีประชุมเรื่องงาน
กู่เหลียนซันมัวแต่ยืนพูดเสียงดังโผงผางอยู่ในสำนักงาน จนไม่ทันสังเกตุเห็นว่ามีรถฮัมเมอร์มาจอดอยู่ที่ถนนด้านนอกสำนักงาน
“ที่นี่สินะ.. สำนักงานรื้อถอน?”
หลิงหยุนที่นั่งอยู่ข้างคนขับอ่านป้ายสำนักงานที่แขวนอยู่หน้าประตู และเขาก็สังเกตุเห็นว่ามีพนักงานอยู่ด้านในกันมากมาย หลิงหยุนรู้สึกพอใจอย่างมาก!
คำพูดของกู่เหลียนซันทุกคำนั้น หลิงหยุนได้ยินอย่างชัดเจน! เขาได้ยินน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจของกู่เหลียนซันที่พูดว่า – “พวกเราต้องไม่ปล่อยให้เจ้าของบ้านหลังอื่นๆมาต่อรองขอเงินชดเชย ถ้าจำเป็นต้องจ่าย ก็จ่ายในจำนวนที่ต่ำที่สุด แต่ฉันว่า.. หลังจากที่พวกเราจัดการเชือดไก่ให้ลิงดูไปแล้ว พวกมันคงจะไม่กล้ามาเรียกร้องอะไรมาก..”
หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่ขมวดคิ้วพร้อมกับคิดในใจว่า ‘เชือดไก่ให้ลิงดูงั้นรึ? นี่เจ้าเห็นครอบครัวของข้าเป็นเพียงแค่ไก่สินะ? แล้วเจ้าจะต้องเสียใจที่คิดแบบนั้น!’
“เอาล่ะ.. เข้าไปหาพวกมันได้แล้ว!”
หลิงหยุนแสยะยิ้มพร้อมกับเปิดประตูรถแล้วเดินออกไปโดยไม่รอถังเมิ่งและตู้กู่โม่ หลิงหยุนเดินตรงไปยังสำนักงานทันที
กู่เหลียนซันเดินถอยหลังไปยืนที่ประตู เสียงของเขายังคงดังก้อง และยังคงไม่ทันสังเกตุเห็นหลิงหยุน ในขณะที่คนอื่นๆที่กำลังฟังเขาพูดอยู่นั้น ต่างก็เห็นหลิงหยุนเดินตรงมาที่ประตู พร้อมกับชี้ให้กู่เหลียนซันดู..
กู่เหลียนซันหันไปมองตาม ก็เห็นหลิงหยุนเดินดุ่มๆเข้ามา จึงได้แต่คิดในใจว่า ‘หมอนี่เป็นใครกัน?’
คนในสำนักงานรื้อถอนต่างก็งุนงง และต่างก็มองหน้ากัน พร้อมกับคิดว่าใครกันมาสำนักงานตั้งแต่เช้า?
แต่เมื่อกู่เหลียนซันมองเลยไป เขาก็เห็นรถฮัมเมอร์จอดอยู่ด้านนอก ดูจากรถที่ขับเขาก็เดาได้ว่าน่าจะไม่ใช่คนไม่มีฐานะ เขาจึงได้แต่เก็บซ่อนความโกรธและความไม่พอใจไว้ใต้หน้ากากพร้อมกับถามขึ้นอย่างสุภาพ
“สวัสดีครับ.. ผมกู่เหลียนซันเป็นกรรมการของบริษัทรื้อถอนแห่งนี้ ไม่ทราบว่าคุณมาที่นี่มีธุระอะไร?”
“กู่เหลียนซัน?” หลิงหยุนคิดในใจว่าช่างบังเอิญเสียจริง ชื่อแซ่คล้ายกับกู่เหลียนเฉิง คงจะต้องเป็นพี่น้องกันอย่างแน่นอน!
หลิงหยุนยิ้มและตอบกลับไปว่า “ก็ไม่มีอะไรมาก.. ฉันก็แค่มาหาอะไรสนุกๆทำที่นี่ก็เท่านั้นเอง แล้วก็มีเรื่องบางอย่างจะถาม!”
เมื่อเข้าไปถึงหลิงหยุนก็เดินสำรวจไปรอบๆสำนักงาน กู่เหลียนซันและพนักงานคนอื่นๆต่างก็ยืนงง พร้อมกับคิดในใจว่า.. คนที่เดินอยู่นี้น่าจะยังเป็นแค่เด็กนักเรียน?!
ใบหน้าของกู่เหลียนซันเปลี่ยนเป็นไม่พอใจขึ้นมาทันทีพร้อมกับตะโกนไล่ “ไปๆ ออกไปได้แล้ว! ที่นี่ไม่ใช่สำนักงานสอบถาม ไม่เห็นหรือไงว่าพวกเรากำลังประชุมกันอยู่?”
หลิงหยุนหัวเราะ จากนั้นจึงตอบกลับไปยิ้มๆ “ประชุมเรื่องจะกดเงินค่าชดเชยน่ะเหรอ แล้วก็เรื่องเชือดไก่ให้ลิงดูสินะ? กู่เหลียนซัน.. ตอบฉันมา! คลีนิคประชาชนที่อยู่ทางด้านตะวันตกนั่น แกเป็นคนรื้อถอนใช่ไม๊?
หลิงหยุนไม่ต้องการเสียเวลากับเรื่องไร้สาระกับกู่เหลียนซันอีก เขาจึงตรงเข้าประเด็นทันที!
“ฉันไปกับคนอีกคนหนึ่ง.. แล้วมีอะไร? ว่าแต่.. แกน่ะเป็นใคร? แล้วมาถามเรื่องนี้ทำไม?!”
กู่เหลียนซันเริ่มรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ และรู้สึกคุ้นหน้าเด็กคนนี้ขึ้นมา คล้ายกับว่าเขาเคยเห็นที่ใหนมาก่อน..
ไม่นาน.. กู่เหลียนซันก็เริ่มจำได้! เขาเห็นรูปเด็กหนุ่มคนนี้ในโทรศัพท์มือถือของกู่หยุนฟะ! และเขาก็คือหลิงหยุน!! หลิงหยุนกลับมาแล้วเหรอ!!
‘ชิบหายแล้ว!!! ใหนกู่หยุนฟะบอกว่าหลิงหยุนหายสาบสูญไปเป็นอาทิตย์แล้วไง? แล้วมันกลับมาได้ยังไงกัน? กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?’
กู่เหลียนซันจำได้ว่ากู่หยุนฟะเคยเล่าให้เขาฟังว่าหลิงหยุนทั้งน่ากลัวและน่าสยดสยองเพียงใด เหงื่อเย็นๆค่อยๆไหลออกมาจากศรีษะของเขา!
หลิงหยุนเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของกู่เหลียนซันแล้วก็ได้แต่แสยะยิ้ม พร้อมกับพูดเสียงเบาว่า “ค่อยๆคิดสิ!”
กู่เหลียนซันร้องตะโกนออกมาอย่างคลุ้มคลั่ง “นี่แกคือหลิงหยุนใช่ไม๊? แกยังกล้ามาปรากฏตัวที่นี่อีกเหรอ? ไม่รู้หรือไงว่าตอนนี้สำนักงานรักษาความมั่นคงกำลังตามล่าตัวแกอยู่?!”
“งั้นเหรอ.. ฉันก็เพิ่งรู้ข่าวนี่ล่ะ! ยังไงก็ต้องขอบใจแกด้วยที่บอกฉันให้รู้!” หลิงหยุนแสยะยิ้มพร้อมกับเดินเข้าไปหากู่เหลียนซันช้าๆ
“แก.. นี่แกต้องการอะไร?!” ทันทีที่หลิงหยุนเดินตรงเข้ามาหา กู่เหลียนซันก็ร้องเสียงดังถามขึ้นทันที
“ในเมื่อแกเป็นคนรื้อถอนบ้านของฉัน.. แกรู้ใช่ไม๊ว่าฉันจะทำยังไงกับแก?”
หลิงหยุนยื่นมือซ้ายออกไป และรวบลำคอของกู่เหลียนซันไว้ จากนั้นก็ยกเขาขึ้นราวกับจับคอไก่
“ความจริงแล้วฉันก็ไม่ได้มีปัญหากับแก แต่มีปัญหากับหลานชายของแก แต่เอาเถอะ.. ฉันจะไม่ทำให้แกต้องถึงตายก็แล้วกัน!”
พูดจบ.. หลิงหยุนก็ใช้นิ้วจี้ไปตามจุดชีพจรสิบกว่าแห่งบนร่างกายของกู่เหลียนซันอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็พูดขึ้นว่า
“ฉันจัดการจี้จุดชีพจรต่างๆของแกไว้แล้ว แกจะไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ และทุกๆสามหรือห้านาที เส้นลมปราณของแกจะหดตัวหนึ่งครั้ง และมันจะทำให้แกเจ็บปวดจนแทบไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อเลยล่ะ”
จากนั้นหลิงหยุนก็ลากกู่เหลียนซันไปที่ประตู แล้วจัดการโยนเขาออกไปข้างถนนราวกับขยะชิ้นหนึ่ง
“ทุกคนยังจะเฉยอยู่ทำไม.. ออกไปข้างนอกได้แล้ว!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น