Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร 344-357

 บทที่ 344 : หัวเราะทีหลังดังกว่า (2)

“เยี่ยมมากเลยพี่หลิงหยุน! พี่นี่เก่งที่สุดเลย!”

เสี่ยวเม่ยหนิงไม่จำเป็นต้องไปส่องกระจกก็รู้ว่าดวงตาของเธอนั้นหายบวมแล้ว เธอกระโดดกอดหลิงหยุนอย่างดีอกดีใจ!

หลิงหยุนได้แต่นึกอยู่ในใจว่า โชคดีที่เขายังเหลือยันต์บำบัดจากการรักษาอาการบาดเจ็บให้กับเจ้าขาวปุย ไม่เช่นนั้นแล้วเขาคงต้องมีปัญหาแน่..

เพราะไม่ใช่ว่าเก้าเข็มปลุกชีพจะสามารถใช้รักษาได้ผลในทุกกรณี อย่างเช่นการรักษารอยช้ำรอบดวงตานั้น แม้ว่าการรักษาด้วยเก้าเข็มปลุกชีพจะให้ผลที่รวดเร็วก็จริง แต่ก็ไม่คงเร็วและให้ผลดีเยี่ยมเท่ากับยันต์บำบัด

เสี่ยวเม่ยหนิงทั้งดีใจและมีความสุข แม้เธออยากจะหอมแก้มหลิงหยุนมาก แต่ก็ไม่กล้าทำเช่นนั้น เพราะเธออายที่จะทำต่อหน้าปู่และพ่อแม่ของเธอเอง

ฮู๋เซ่าป๋ายได้แต่ยืนนิ่งด้วยความตกตะลึง! เขาแทบไม่รู้ว่าจะเอากระปุกทองคำในมือไปวางไว้ที่ใหน และได้แต่ยืนมองหลิงหยุนอ้าปากค้างพร้อมกับสมองที่ว่างเปล่า!

นั่นมันยาอะไรกัน? เหตุใดหมอนั่นจึงมีทักษะทางการแพทย์ที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้! นี่เป็นการเตรียมการมาเพื่อฉีกหน้าเขางั้นหรือ? หรือว่าเป็นเพียงแค่การเล่นกล?

ไม่เพียงแค่ฮู๋เซ่าป๋ายที่ทำอะไรไม่ถูก.. ทั้งหลงเทียนยู่ หลี่ยั่วหมิง และคนอื่นๆไม่ว่าชายหรือหญิงก็ล้วนแล้วแต่อยู่ในอาการตกตะลึงทั้งสิ้น!

เด็กหนุ่มคนนี้เป็นใครมาจากใหนกัน? ลักษณะท่าทางก็ดูธรรมดาๆ แต่กลับมีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศ และดูเหมือนจะเก่งกว่าท่านหมอเสี่ยวเสียอีก!

เพราะหากท่านหมอเสี่ยวทำได้ เขาก็คงจะรักษาดวงตาที่บวมช้ำให้กับหลานสาวไปแล้ว คงจะไม่ปล่อยให้คนอื่นมาแสดงฝีมือข้ามหน้าข้ามตาในโอกาสสำคัญเช่นนี้!

ท่านหมอเสี่ยวรักษาไม่ได้ แต่หลิงหยุนกลับรักษาได้! เช่นนี้แล้วไม่หมายความว่าทักษะด้านการแพทย์ของหลิงหยุนนั้นเหนือกว่าท่านหมอเสี่ยวงั้นหรือ? ช่างเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ!

ผู้รู้หลายท่านโดยเฉพาะเพื่อนเก่าแก่ของท่านหมอเสี่ยว ต่างก็ถึงกลับต้องขยี้ตาอีกครั้ง!

‘เด็กคนนี้.. เป็นใครมาจากใหนกัน?!’ หลายคนต่างก็คิดเหมือนกัน

เสี่ยวเฉิงเยี่วยและจางเม่ยหยิวนต่างก็มองหน้ากัน และต่างฝ่ายต่างก็เห็นสีหน้าแววตาที่ประหลาดใจและตกใจของกันและกัน ทั้งคู่หันไปมองหน้าลูกสาวสุดที่รักของตนเองอีกครั้ง และก็พบว่าดวงตาของหนิงน้อยกลับมาสวยงามและเป็นประกายสดใสเหมือนเดิมแล้ว!

ท่านหมอเสี่ยวถึงกับหัวเราะเสียงดังและลุกขึ้นยืน พร้อมกับร้องบอกเสี่ยวเม่ยหนิงว่า “เอาล่ะหนิงน้อย.. ตอนนี้พี่หลิงหยุนของเจ้าก็ทำให้สวยเหมือนเดิมแล้ว มาเป่าเทียนวันเกิดเร็วเข้า ทุกคนกำลังคอยอยู่!”

“ได้ค่ะคุณปู่!”

เสี่ยวเม่ยหนิงร้องบอกด้วยความตื่นเต้น จากนั้นก็ตรงไปที่เค้กวันเกิดก้อนใหญ่สวยงาม และไม่ลืมที่จะลากแขนหลิงหยุนไปด้วย

แต่เธอไม่เพียงแค่ดึงหลิงหยุนไปเท่านั้น เสี่ยวเม่ยหนิงหันไปบอกหลิงหยุนว่า “พี่หลิงหยุน.. ยืนเฉยทำไม ไปช่วยฉันเป่าเทียนเร็วเข้า!”

หลิงหยุนสำรวจสายตาไปรอบๆพร้อมกับยิ้มอ่อนโยนให้กับเสี่ยวเม่ยหนิง และตอบกลับไปว่า

“หนิงน้อย.. พ่อกับแม่ของคุณตั้งใจเตรียมงานนี้เพื่อคุณ ผมนั่งดูตรงนี้จะดีกว่า..”

เสี่ยวเม่ยหนิงตอบกลับไปว่า “มาเถอะน่า.. ฉันอยากให้พี่ช่วย พรที่ฉันขอจะได้เป็นจริง..”

พูดจบ.. เสี่ยวเม่ยหนิงก็ลากแขนหลิงหยุนที่ยืนกอดอกอยู่ตรงไปที่เค้กวันเกิด

คนอื่นๆที่ยังคงไม่หายตกใจจากเหตุการณ์เมื่อครู่ เมื่อเห็นเสี่ยวเม่ยหนิงลากหลิงหยุนตรงไปที่เค้กวันเกิดก็ถึงกับงุนงง โดยเฉพาะหนุ่มๆ ที่นอกจากจะตกใจแล้ว ยังเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาและเกลียดชัง เด็กหนุ่มในโต๊ะต่างมองตากัน และเห็นพ้องต้องกันว่าจะไม่ปล่อยให้หลิงหยุนจองหองพองขนอยู่แบบนี้แน่!

หลิงหยุนจะผยองอยู่ได้อีกไม่นานหรอก.. รอให้เป่าเค้กวันเกิดก่อน มันจะต้องเสียหน้าแน่!

“คุณลุง.. คุณป้า.. ดูสิครับ!” หลิงหยุนที่ถูกเสี่ยวเม่ยหนิงลากออกไป ได้แต่ร้องบอกเสี่ยวเฉิงเยี่วยและจางเม่ยหยิวน..

เสี่ยวเฉิงเยี่วยเองก็เป็นคนที่ท่านหมอเสี่ยวหวังจะให้เป็นทายาทสืบทอดวิชาความรู้ทางการแพทย์แผนจีนของเขา และถึงแม้เขาเองจะมีความรู้เรื่องการแพทย์เช่นกัน แต่ก็ไม่สามารถรู้ได้ว่าหลิงหยุนใช้วิธีใหนรักษาดวงตาบวมช้ำให้กับหนิงน้อย

เวลานี้.. ความคิดที่เขามีต่อหลิงหยุนก็เริ่มเปลี่ยนไป ส่วนจางเม่ยหยิวนนั้นไม่ต้องพูดถึง แววตาของเธอที่มองหลิงหยุนนั้น ไม่ต่างจากแววตาของแม่ภรรยาที่กำลังมองลูกเขยของตัวเอง

“เด็กคนนี้ไม่เพียงหน้าตาหล่อเหลา แต่ยังมีทักษะทางการแพทย์ที่สูงส่ง ฉันชักจะชอบพ่อหนุ่มคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆแล้วล่ะ”

ท่านหมอเสี่ยวเดินยิ้มเข้ามาพร้อมกับใช้มือลูบไหล่ของหลิงหยุน และพูดขึ้นว่า “ในเมื่อหนิงน้อยต้องการ เธอก็ช่วยหลานฉันหน่อยก็แล้วกัน..”

ท่านหมอเสี่ยวพูดเช่นนั้นก็เพราะว่าต้องการเร่งรัดให้งานวันเกิดของหนิงน้อยสิ้นสุดเร็วๆ เพราะยังมีอีกหลายเรื่องที่เขาต้องการบอกกับหลิงหยุน และมันก็มากมายพอที่จะทำให้หลิงหยุนปวดหัวได้มากอย่างแน่นอน!

“ครับ.. ถ้างั้นผมจะไปช่วยหนิงน้อยเอง!”

แสงไฟในห้องรับแขกดับลง.. หลิงหยุนยืนถือเค้กวันเกิดที่จุดเทียนไว้ทั้งหมดสิบเจ็ดเล่ม ส่วนเสี่ยวเม่ยหนิงก็ยืนกอดแขนหลิงหยุนแน่นพร้อมกับหลับตาอธิษฐานขอพรอยู่ในใจ..

‘ขอให้คุณปู่มีสุขภาพแข็งแรง ขอให้พ่อกับแม่มีแต่ความสุข และขอให้พี่หลิงหยุนอยู่เคียงข้างหนิงน้อยตลอดไป..’

เสี่ยวเม่ยหนิงอธิษฐานเสร็จแล้ว ก็เริ่มเป่าเทียนที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นทุกคนก็ร่วมร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ทเดย์ให้กับเธอ น้ำตาของเธอไหลอาบแก้มและเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ความเจ็บปวดตลอดหลายวันที่หลิงหยุนได้หายตัวไปนั้น มลายหายไปทันที!

“พี่หลิงหยุน.. แค่พี่มาอยู่ข้างๆฉันในวันเกิดก็พอแล้ว เรื่องของขวัญวันเกิดไม่สำคัญเลย ไม่มีอะไรสำคัญกับฉันมากไปกว่าการที่พี่มาอยู่ข้างๆ..”

ท่ามกลางความมืดและเสียงเพลงแฮปปี้เบิร์ทเดย์ เสี่ยวเม่ยหนิงกระซิบข้างหูของหลิงหยุน และรีบหอมแก้มเขาก่อนที่แสงไฟจะสว่าง!

ทันทีที่เสียงเพลงจบ แสงไฟภายในห้องก็สว่างขึ้นอีกครั้ง เสี่ยวเม่ยหนิงยกมีดในมือขึ้นตัดเค้กด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ..

พร้อมกันนั้น.. ก็มีการเปิดแชมเปญที่ได้เตรียมไว้แล้วเป็นการเฉลิมฉลอง กลิ่นของแชมเปญอบอวลไปทั่วทั้งห้อง บรรยากาศในห้องนั่งเล่นเต็มไปด้วยความสุข และความอบอุ่น!

เสี่ยวเม่ยหนิงไม่ใช่คนที่มีความอดทนสูงมาก เธอตัดเค้กเพียงแค่สองสามชิ้นให้ปู่กับพ่อและแม่ของเธอ จากนั้นก็หยิบอีกชิ้นขึ้นมากัดกิน ก่อนจะยื่นเค้กในมือป้อนหลิงหยุน..

 “กินสิพี่หลิงหยุน..”

แน่นอนว่าหลิงหยุนเต็มใจอย่างยิ่ง เขาอ้าปากกัดเค้กสองสามครั้งจนหมดชิ้น จากนั้นก็พูดกับหนิงน้อยว่า

“หนิงน้อย.. ตอนนี้ก็กินเค้กเรียบร้อยแล้ว มีแขกเหรื่อมากมายรออวยพรเธออยู่ เธอตามคุณลุงคุณป้าไปขอบคุณแขกก่อน ส่วนผมก็จะกลับไปนั่งที่โต๊ะ ว่างแล้วเราค่อยคุยกัน!”

หลังจากพูดจบ หลิงหยุนก็ผลักเสี่ยวเม่ยหนิงเบาๆ และเดินกลับไปนั่งที่โต๊ะ..

เมื่อหลิงหยุนกลับไปนั่งที่เก้าอี้ของตนเอง เขาก็ได้ยินเสียงพูดที่เต็มไปด้วยความเย็นชาดังขึ้นมา แต่เขากลับไม่ใส่ใจ และตั้งหน้าตั้งตากินและดื่มเพียงอย่างเดียว โดยไม่สนใจกับสายตาไม่พอใจที่กำลังจ้องมองมา

ท่ามกลางความมืดนั้น.. หลิงหยุนได้ยินท่านหมอเสี่ยวกระซิบบอกได้อย่างชัดเจนว่า สองสามวันนี้มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น แต่ขอให้เขาไม่ต้องกังวลใจ รอให้งานวันเกิดของหนิงน้อยสิ้นสุดลงก่อน แล้วเขาจะเล่าให้ฟัง!

เมื่อไม่เห็นคนอื่นๆมาร่วมงานวันเกิดของหนิงน้อย.. หลิงหยุนก็พอจะเดาได้แต่แรกแล้วว่าต้องมีบางอย่างไม่ปกติ เขารู้ดีว่าหลังจากเสร็จสิ้นงานวันเกิดของหนิงน้อย เขาคงจะต้องเผชิญกับคลื่นลูกใหญ่อย่างแน่นอน หลิงหยุนนั่งลงที่เก้าอี้ เตรียมกายใจให้พร้อมกับความท้าทายที่กำลังจะต้องเผชิญ

ไม่แน่ว่าสิ่งที่เขากังวลอาจจะไม่เกิด แต่หากมันเกิดขึ้นแล้ว ก็คงต้องหาทางแก้ไขต่อไป แต่ตอนนี้เขาต้องกินก่อน แล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง

หลังจากนั้นราวยี่สิบนาที เสี่ยวเม่ยหนิงก็เดินขอบคุณแขกเหรื่อที่มาอวยพรทั้งสามโต๊ะเรียบร้อย อีกทั้งยังได้รับของขวัญวันเกิดมากมาย และตอนนี้เธอก็ได้ตามพ่อกับแม่มาที่โต๊ะของหลิงหยุน

ทุกคนในโต๊ะต่างก็รู้ว่าเวลาที่น่าตื่นเต้นได้มาถึงแล้ว!

เด็กหนุ่มในโต๊ะต่างก็รอคอยที่จะให้ของขวัญวันเกิดที่นำมากับมือของหนิงน้อย ด้วยความหวังว่าจะเอาชนะใจเธอได้ แต่พวกเขากลับคิดไม่ถึงว่าคืนนี้กลับเป็นคืนที่โดดเด่นของหลิงหยุน และในเวลานี้ทุกคนต่างก็รอคอยที่จะให้หลิงหยุนเสียหน้า

หลิงหยุนยังคงนั่งกินและดื่มไม่หยุด เขาไม่ได้กินอาหารอร่อยแบบนี้มาหลายวัน และตอนนี้ก็มีอาหารทะเลอยู่เต็มโต๊ะราวกับว่าทำมาเพื่อหลิงหยุนโดยเฉพาะ

“ตระกูลหลิวจากเจียงหนาน.. หลิวหงอี้ ขอมอบสร้อยหยกให้เป็นของขวัญของหนิงน้อย สุขสันต์วันเกิดนะครับหนิงน้อย..”

“ตระกูลไช่จากเจียงตง ไช่ยิง ขอมอบพระพุทธรูปหยกที่สง่างามให้เป็นของขวัญวันเกิด สุขสันต์วันเกิดครับหนิงน้อย..”

……..

ไม่ว่าหนุ่มในโต๊ะคนใหนจะมอบของขวัญวันเกิดให้หนิงน้อย ทุกคนก็จะเหลือบมองไปที่หลิงหยุนอย่างจงใจ และสีหน้าของพวกเขาล้วนเต็มไปด้วยความเหยียดหยัน

ของขวัญวันเกิดของชายหนุ่มแต่ละคนที่นำมาให้นั้น เห็นได้ชัดว่าผ่านการคัดเลือกมาอย่างดี และแต่ละชิ้นก็ล้วนมีค่ามีราคา เพราะพวกเขาทุกคนล้วนแล้วแต่มาจากตระกูลที่ร่ำรวยมั่งคั่ง ของขวัญเพียงแค่นี้จึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับพวกเขา

แต่ของขวัญที่เป็นไฮไลท์ของงานคืนนี้เป็นของคุณชายทั้งสามจากสำหนักหมอหุบเขาเทวะ ตระกูลหลง และตระกูลหลี่!

เสี่ยวเม่ยหนิงกับพ่อแม่มาหยุดยืนอยู่หน้าหลี่ยั่วหมิง แต่เสี่ยวเม่ยหนิงกลับไม่สนใจอะไร ดวงตาของเธอจับจ้องอยู่ที่หลิงหยุนเพียงคนเดียว และแทบจะไม่ใส่ใจกับของขวัญวันเกิดที่ผู้คนมอบให้เลยด้วยซ้ำ เธอเพียงแค่ยื่นมือออกไปรับและกล่าวขอบคุณราวกับหุ่นยนต์

หลี่ยั่วหมิงยิ้มพร้อมกับลุกขึ้นยืน และพูดกับเสี่ยวเม่ยหนิงว่า “หนิงน้อยอายุสิบเจ็ดปีแล้ว ได้ใบขับขี่แล้วด้วย ผมไม่ได้นำของขวัญวันเกิดมาที่นี่ด้วย แต่จะส่งมายบัค 62 มาให้เป็นของขวัญวันเกิด หวังว่าเธอจะชอบนะ!”

เมื่อพูดจบ.. คนที่อยู่ในโต๊ะต่างก็ตกใจ และต่างก็พึมพำกันเสียงดัง!



บทที่ 345 : หัวเราะทีหลังดังกว่า (3)

“Maybach 62!! รถรุ่นนี้ราคาในตลาดอย่างต่ำก็ต้องสิบสองล้านหยวน.. มันไม่มากไปหน่อยเหรอ!”

“ไม่หรอก.. นี่ไม่ใช่เรื่องของราคา! ในเมื่อตระกูลหลี่ตั้งใจจะให้ Maybach เป็นของขวัญวันเกิดกับหนิงน้อย แน่นอนว่าก็ต้องเลือกรุ่นลิมิเต็ดอิดิชั่นอยู่แล้ว ดูหลี่ยั่วหมิงสิ.. เขาเป็นคนทันสมัยจะตายไป!”

“ก็แน่นอนอยู่แล้ว.. ตระกูลหลี่ร่ำรวยล้นฟ้า เงินแค่ไม่กี่สิบล้านหยวน ขนหน้าแข้งไม่ร่วงหรอก!”

“พวกเราเทียบหลี่ยั่วหมิงไม่ได้จริงๆ!”

………

“นี่เฒ่าเสี่ยว.. ครั้งนี้ได้กำไรมหาศาล ท่านจะไม่พูดอะไรหน่อยรึ?”

ท่านหมอเสี่ยวนั่งอยู่ท่ามกลางเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ ต่างคนต่างก็คุยกันไปดื่มกันไป ทุกคนต่างก็หัวเราะกันอย่างมีความสุข พร้อมกับหยอกเย้าท่านหมอเสี่ยวไปด้วย

แต่ท่านหมอเสี่ยวเพียงแค่ยิ้มและตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ฉันเคยรักษาและฟื้นฟูร่างกายให้กับปู่ของเขา แต่ก็คงเทียบไม่ได้กับรถนั่นกระมัง? นับว่าโชคดีที่ตระกูลหลี่ยังไม่ลืมตาแก่อย่างฉัน..”

อาวุโสชายคนหนึ่งที่มีผมสีขาวและใบหน้าแดงก่ำพูดขึ้นอย่างอารมณ์ดี “เฒ่าเสี่ยว.. ท่านก็ถ่อมตัวจนเกินไป ใครบ้างที่จะกล้าลืมท่านหมอเสี่ยว! ดูสิ.. ใครๆต่างกอยากจะมาร่วมงานวันเกิดหลานสาวท่านหมอเสี่ยวกันทั้งหมด ข้าว่าท่านน่าจะลองให้โอกาสเด็กหนุ่มคนนี้ ให้ทั้งสองคนลองคบกันดู..”

สีหน้าของท่านหมอเสี่ยวเปลี่ยนไปทันที พร้อมกับหันไปมองชายชราผมขาว และตอบกลับไปว่า “อย่ามาหว่านล้อมให้ยากเลย.. เรื่องการแต่งงานของหนิงน้อย ต้องให้เจ้าตัวเขาเป็นคนจัดการเอง ถ้าหนิงน้อยรักใคร ปู่อย่างฉันก็ไม่ปฏิเสธ..”

ชายชราผมขาวสวนขึ้นมาทันที “นี่ท่านคงหมายถึงเด็กหนุ่มหน้าไม่อายแต่งตัวไร้กาละเทศะคนนั้นสินะ! ไม่น่าเชื่อที่เขายังกล้าเข้ามานั่งในงานเลี้ยง อีกทั้งยังอยู่ท่ามกลางเด็กหนุ่มที่ร่ำรวยพวกนั้น ท่าทางของเขาก็ดูยะโสโอหังไม่น้อย ฉันไม่เชื่อว่าหมอนั่นจะเก่งอย่างที่แสดงออกจริงๆ!”

ชายชราอีกคนสวมเสื้อสูทคอจีนก็อดรนทนไม่ได้ต้องพูดออกมาเช่นกัน “เด็กหนุ่มนั่นดูแตกต่างจากเด็กหนุ่มคนอื่นจริงๆ หน้าตาของเขาดูหล่อเหลา ลักยิ้มบนหน้าก็ดูมีเสน่ห์ ดูท่าจะมีเด็กสาวมาชอบเยอะ! แต่มารยาทบนโต๊ะอาหารนี่ไม่ไหวจริงๆ”

ชายชราอีกคนที่สวมชุดสูทคอจีนสีน้ำเงินก็แสดงความเห็นไปในทางเดียวกัน “นั่นสินะ.. ฉันก็ว่าแววตาของเด็กหนุ่มคนนี้ไม่เหมือนเด็กหนุ่มคนอื่นๆ ฉันเองก็บอกไม่ถูกว่าดูคล้ายอะไร ส่วนลักยิ้มบนแก้มนั่น รับรองว่าแค่นั่งเฉยๆก็มีสาวๆยิ่งตามแล้วล่ะ! ส่วนเรื่องมารยาทในการกินนี่เหลือทน!”

ชายสวมเสื้อคอจีนทั้งสองคนให้ความสำคัญอย่างมากกับมารยาทบนโต๊ะอาหาร แม้จะไม่ชื่นชอบมารยาทในการกินของหลิงหยุนนัก แต่ก็ยอมรับว่าหลิงหยุนนั้นมีใบหน้าที่หล่อเหลามาก..

ชายชราท่าทางอารมณ์ดีพูดขึ้นมา “แต่ฉันว่านะ.. เด็กคนนี้มีพรสวรรค์ที่หาได้ยาก! ว่าแต่เฒ่าเสี่ยวท่านไปรู้จักกับเด็กหนุ่มคนนี้ได้ยังไง? แล้วดูสิ.. ในขณะที่คนอื่นๆอวดรวยกัน พ่อหนุ่มนั่นกลับเอาแต่กินไม่สนใจใคร! แต่ถึงยังไงครั้งนี้ดูท่าพ่อหนุ่มนั่นคงต้องยอมรับความพ่ายแพ้แล้วล่ะ เพราะคงจะไม่มีของขวัญแพงๆเหมือนคนอื่นๆ..”

ท่านหมอเสี่ยวเหลือบมองชายแก่อารมณ์ดีพร้อมกับตอบยิ้มๆ “อย่าพูดอะไรแบบนั้น.. แม้เด็กคนนี้จะมาจากครอบครัวที่ยากจน แต่แล้วยังไง? หนิงน้อยไม่ใช่คนที่ดูถูกคนที่ต่ำต้อยกว่า แล้วก็ไม่ได้ชื่นชมคนเพราะความร่ำรวย ไม่มีของขวัญมาให้ก็ไม่เป็นไร แค่หลิงหยุนมาร่วมงานก็เพียงพอแล้ว!”

ท่านหมอเสี่ยวคิดเช่นนั้นจริงๆ เพียงแค่หลิงหยุนมาร่วมงานก็เพียงพอแล้ว เพราะหากหลิงหยุนไม่มาปรากฏตัว ไม่รู้ว่าป่านนี้หลานสาวของเขาจะเป็นอย่างไร?

ท่านหมอเสี่ยวแม้ว่าจะไม่ได้เชียร์ใครออกหน้าออกตา แต่ก็พูดออกตัวแทนหลิงหยุน แล้วใครกันที่จะกล้าไม่ฟังคำพูดของเขา?

ชายชราหลายคนได้แต่ขมวดคิ้วพร้อมกับยกแก้วไวน์ในมือขึ้นแล้วพูดว่า “เอาล่ะ.. ดื่มกันดีกว่า! ปล่อยให้เป็นเรื่องของเด็กๆ ดูเหมือนวันนี้เฒ่เสี่ยวจะแก่แล้วเลยหงุดหงิดมากไปหน่อย.. ฮ่า ฮ่า”

………

แม้ว่าในห้องนั่งเล่นจะเสียงดังอึกทึก และโต๊ะของเด็กหนุ่มจะอยู่ห่างจากโต๊ะของท่านหมอเสี่ยวพอสมควร แต่หลิงหยุนกลับได้ยินคำพูดและเสียงหัวเราะได้อย่างชัดเจน แต่เขาก็เพียงแค่ยิ้มและยังคงตั้งหน้าตั้งตากินอาหารต่อไป..

“พี่ชายคะ.. ของขวัญนี่แพงเกินไป ฉัน..”

ทันทีที่เสี่ยวเม่ยหนิงได้ยินว่าหลี่ยั่วหมิงจะมอบรถ Maybach ให้ เธอก็ตั้งใจที่จะปฏิเสธ ด้วยความเฉลียวฉลาดของเธอ ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าของขวัญวันเกิดที่เขาให้นั้นมีความหมายอะไรซ่อนอยู่

แต่จู่ๆ เธอก็คล้ายได้ยินเสียงของหลิงหยุนพูดข้างหูว่า “ของขวัญส่งมาให้ถึงหน้าประตูบ้านแล้ว จะปฏิเสธทำไมกัน? ห้ามปฏิเสธ!”

เสี่ยวเม่ยหนิงได้แต่คิดในใจ.. หลิงหยุนก็ยังคงเป็นหลิงหยุน ไม่เคยยอมที่เสียผลประโยชน์เลย เธอมองใบหน้าหล่อเหลาของหลิงหยุนแล้วก็ได้แต่เงียบ และไม่พูดอะไรอีก..

หลี่ยั่วหมิงที่คิดว่าเขาคงต้องถูกปฏิเสธอย่างแน่นอน เมื่อเห็นเสี่ยวเม่ยหนิงจู่ๆก็หยุดพูดค้างไว้แค่นั้น แล้วก็ไม่พูดอะไรต่ออีก เขาจึงรีบฉวยโอกาสส่งกุญแจรถให้กับเธอด้วยความดีอกดีใจ..

เสี่ยวเฉิงเยี่วยได้แต่ยิ้มขอบคุณหลี่ยั่วหมิง..

หลี่ยั่วหมิงนั่งลงอย่างพอใจ จากนั้นหลงเทียนยู่ก็ลุกขึ้นมาทันที เขาหยิบกล่องของขวัญที่สวยงามออกมาจากกระเป๋า พร้อมกับยื่นไปตรงหน้าเสี่ยวเม่ยหนิง และเปิดออกต่อหน้าทุกคน และพูดขึ้นว่า

“หนิงน้อย.. นี่เป็นสร้อยไข่มุกที่ตรงกลางเป็นเพชรสีชมพูเก้ากะรัต หวังว่าหนิงน้อยจะชอบ พี่ขอมอบให้เป็นของขวัญวันเกิดหนิงน้อย สุขสันต์วันเกิดนะครับ!”

หลงเทียนยู่เกิดในตระกูลหลง แม้ท่าทางของเขาจะดูสงบเสงี่ยม แต่ท่าทางการพูดก็เต็มไปด้วยความมั่นใจและค่อนข้างถือตัว ทุกคนที่ได้ยินต่างก็พากันตกใจ และปรบมือเสียงดัง!

ภายใต้แสงไฟสว่างไสว เพชรสีชมพูยิ่งส่องประกายระยิบระยับเจิ้ดจ้า อีกทั้งมุกแต่ละเม็ดนั้นก็ใหญ่โตขาวใส เรียกได้ว่าแค่มุกหนึ่งเม็ดก็มีราคาหลายแสนแล้ว

ของขวัญแบบนี้หากไม่โง่จนเกินไป ก็ต้องดูออกว่ามันคือของล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง  แม้แต่เสี่ยวเม่ยหนิงเองเมื่อได้เห็นสร้อย ก็นึกปฏิเสธอยู่ในใจ แต่กลับได้ยินเสียงของหลิงหยุนดังอยู่ข้างหูอีกครั้งว่า.. “ห้ามปฏิเสธ!”

และโดยมารยาท การรับของขวัญลักษณะนี้ ต้องให้ผู้มอบเป็นผู้สวมให้ทันที! และหลงเทียนยู่ก็ไม่รอช้า เขายิ้มกว้างพร้อมกับพูดขึ้นว่าว่า

“หนิงน้อย.. ถ้าเธอชอบ พี่จะสวมให้เธอเดี๋ยวนี้เลย!”

เสี่ยวเม่ยหนิงได้แต่กระอักกระอ่วนใจ เธออยากให้หลิงหยุนเป็นคนสวมสร้อยคอเส้นนี้ให้กับเธอ แต่นี่เป็นของขวัญของหลงเทียนยู่ เธอจึงได้แต่ละล้าละลังพร้อมกับนึกตำหนิหลิงหยุนในใจ..

‘ไม่ยอมให้ฉันปฏิเสธ ตอนนี้จะให้ทำยังไง?!’ เสี่ยวเม่ยหนิงเหลือบมองหลิงหยุน และเห็นสายตาของเขามองไปทางจางเม่ยหยิวน เธอจึงหันไปพูดกับแม่ของเธอว่า

“แม่คะ.. ช่วยสวมสร้อยให้หนูหน่อยได้ไม๊คะ?!”

ช่างเป็นของขวัญที่ล้ำค่าและหาได้ยาก แม้แต่จางเม่ยหยิวนเองก็ชื่นชอบอย่างมาก เรียกได้ว่าไม่ว่าผู้หญิงคนใหนที่ได้เห็นก็ยากที่จะปฏิเสธได้ จางเม่ยหยิวนเข้าใจความหมายของเสี่ยวเม่ยหนิงดี จึงได้แต่หัวเราะ และเข้าไปช่วยสวมสร้อยคอให้กับลูกสาวด้วยตัวเอง

สร้อยนั้นเข้ากับชุดราตรีเปิดไหล่สีแดงของเสี่ยวเม่ยหนิงอย่างมาก ทันทีที่สวมสร้อยลงไป ผิวขาวของเธอก็ยิ่งส่งให้เพชรที่สวมใส่นั้นโดดเด่นสู่สายตาของผู้คนมากขึ้น!

ช่างงดงามเหลือเกิน! ดูสวยสง่าสามกับเป็นชนชั้นสูง!

หลิงหยุนมองแล้วได้แต่แอบพยักหน้า เขาได้ยินว่าตระกูลหลงเป็นตระกูลอันดับหนึ่งในเมืองหลวง จึงน่าจะเป็นผู้ที่มีอำนาจและอิทธิพลไม่น้อยเลยทีเดียว!

แม้ว่าหลงเทียนยู่จะไม่ได้สวมสร้อยคอให้กับเสี่ยวเม่ยหนิงด้วยตนเอง แต่เขาก็รู้สึกพอใจอย่างมากที่เห็นเสี่ยวเม่ยหนิงสวมสร้อยที่เขามอบให้ เพราะมันทำให้เขากลายเป็นที่สนอกสนใจของผู้คนในงานทันที จากนั้นก็เหลือบมองหลิงหยุนอย่างจองหอง และยิ้มอย่างภูมิอกภูมิใจ..

“ตระกูลหลงก็ยังเป็นตระกูลหลงอยู่ดี ของขวัญแต่ละชิ้นล้วนพิเศษ และเป็นสิ่งทีคนทั่วไปหาได้ยาก..”

ส่วนทางด้านโต๊ะของบรรดาผู้สูงอายุ ดวงตาของชายชราอารมณ์ดีกระพริบถี่ พร้อมกับถอนหายใจอย่างแรง..

“เฒ่าเสี่ยว.. ท่านดูสิเด็กโง่นั่นสิ เขายังนั่งกินอยู่อีก! จนถึงตอนนี้ยังไม่เอาของขวัญออกมาอีก เอาแบบนี้ดีไม๊.. ท่านก็ไปเรียกหลิงหยุนมา แล้วก็แอบเอาของมีค่าของท่านให้เขานำไปเป็นของขวัญวันเกิดให้หนิงน้อย เขาจะได้มีหน้ามีตา! ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ เด็กนั่นคงต้องถูกหัวเราะเยาะแน่.. ท่านจะทนดูได้รึ..”

ไม่ต้องพูดถึง ท่านหมอเสี่ยวเองก็คิดเช่นนั้น แต่หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ท้ายที่สุดเขาก็ตัดสินใจปล่อยให้ทุกอย่างเป็นอย่างที่ควรจะเป็น! เขาดูออกว่าหลิงหยุนไม่ได้คบคนที่ความมั่งคั่ง และตัวเขาเองก็เป็นคนเช่นนั้น ครั้งแรกที่เขาพบหลิงหยุน เขาก็รู้ว่าหลิงหยุนเป็นคนที่มีความเคารพตัวเองสูงมาก และมันก็ป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับเขา!

เมื่อครั้งที่หลิงหยุนจะใช้เก้าเข็มปลุกชีพรักษาอาการเจ็บป่วยให้กับเขา แต่เพียงเพราะหนิงน้อยไม่เชื่อในตัวของหลิงหยุน หลิงหยุนถึงกับเดินออกจากบ้านไปทันที!

ท่านหมอเสี่ยวส่ายหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ไม่.. ของขวัญวันเกิดไม่ใช่สิ่งสำคัญ ไม่ว่าวันนี้หลิงหยุนจะให้อะไรหนิงน้อย ต่อให้เป็นของไม่มีราคา ฉันก็เชื่อว่าหลานของฉันจะมีความสุขอย่างมาก!”

ชายชราที่สวมสูทคอจีนสีน้ำเงินพูดยิ้มๆ “ดูเหมือนท่านจะเข้าใจจิตใจของหลานสาวมากนะ..”

ท่านหมอเสี่ยวกระพริบตาพร้อมกับตอบไปว่า “ฉันเลี้ยงหนิงน้อยมาสิบกว่าปี ถ้าฉันไม่เข้าใจจิตใจของเธอ ฉันจะเป็นปู่ได้ยังไง?”

หลังจากที่หลงเทียนยู่นั่งลง เสี่ยวเฉิงเยี่วยก็เดินมาถึงหลิงหยุน เสี่ยวเม่ยหนิงรู้ดีว่าหลิงหยุนไม่มีของขวัญมาให้เธอ เธอแอบกระซิบบอกพ่อแม่ของเธอให้รีบเดินผ่านไป อย่าทำให้หลิงหยุนต้องอับอาย!

เมื่อเสี่ยวเฉิงเยี่วยเห็นว่าหลิงหยุนยังคงนั่งกิน เขาจึงเดินข้ามหลิงหยุนไป และไปหยุดอยู่ที่ฮู๋เซ่าป๋าย!

น้ำเสียงเย็นชาและเยาะหยันดังเข้าหูของหลิงหยุน แต่เขาก็แกล้งทำเหมือนไม่ได้ยิน และยังคงกินต่อไป

ฮู๋เซ่าป๋ายรอดูหลิงหยุนอยู่นาน เมื่อเห็นว่าหลิงหยุนยังคงไม่ลุกขึ้น เขาจึงลุกขึ้นยืนพร้อมกับกล่าวทักทายเสี่ยวเฉิงเยี่วยและจางเม่ยหยิวนก่อน จากนั้นจึงหยิบของขวัญออกมา

เขาหยิบกล่องหยกสามเหลี่ยมสีเขียวออกมา และเปิดต่อหน้าทุกคน “หนิงน้อย สำนักหมอหุบเขาเทวะอาจไม่มีของล้ำค่า ข้ามีเพียงโสมเก้าร้อยปีมาให้ หวังว่าของขวัญวันเกิดเล็กน้อยนี้จะทำให้หนิงน้อยเป็นสาวตลอดกาล และสวยเช่นนี้ตลอดไป!”

“อะไรนะ! โสมเก้าร้อยปีงั้นเหรอ?! ฉันเคยได้ยินแต่ในตำนานว่าเป็นโสมของฮ่องเต้!”

เมื่อโสมเกือบพันปีถูกหยิบออกมา คนแก่สูงวัยที่โต๊ะผู้สูงอายุต่างก็พากันลุกขึ้นยืนมอง..

แม้แต่ท่านหมอเสี่ยวเองยังถึงกับขยับตัวเมื่อได้ยิน พร้อมกับคิดในใจว่า ‘ดูท่าสำนักหุบหมอหุบเขาเทวะคงจะโหยหาการออกสู่โลกภายนอกมากสินะ!’



บทที่ 346 : หัวเราะทีหลังดังกว่า (4)

ท่านหมอเสี่ยวเองก็มาจากสำนักหมอหุบเขาเทวะ เขาศึกษาและประสบความสำเร็จทางด้านการแพทย์ได้นั้นส่วนหนึ่งก็มาจากความรู้ที่ได้จากสำนักหุบเขาเทวะแห่งนี้ จากนั้นก็ท่องเที่ยวเดินทางไปทั่วโลกตลอดระยะเวลาสี่สิบปี และได้ช่วยเหลือผู้คนมามากมาย ในที่สุดก็สร้างชื่อเสียงในฐานะแพทย์จนโด่งดังไปทั่วโลก

จนท้ายที่สุดจึงได้ฉายาว่าหมอเทวดา เพราะความสามารถที่เทียบเท่าท่านเปี่ยนเชี่วยหมอเทวดาในประวัติศาสตร์!

สืบเนื่องจากอายุที่มากขึ้น และการได้พบกับเหมี่ยวเฟิงหวงจนถูกพิษหนอนกู่เข้าไป ทำให้ร่างกายของท่านหมอเสี่ยวไม่อาจต้านทานได้ พละกำลังจึงค่อยๆอ่อนแอลงเรื่อยๆ ท่านหมอเสี่ยวจึงได้ยกกิจการและทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้กับลูกชายของเขา – เสี่ยวเฉิงเยี่วย เป็นผู้ดูแลต่อไป

จากนั้น.. เขาก็ได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองจิงฉู เพื่อจะค้นหาวิธีควบคุมหนอนกู่ในร่างกาย ท่านหมอเสี่ยวยังได้พาเสี่ยวเม่ยหนิงหลานสาวที่รักสุดหัวใจมาอยู่ที่นี่กับเขาด้วย และได้ถ่ายทอดวิชาการแพทย์ให้กับเธอตั้งแต่เล็กๆ ในตอนนี้นับได้ว่าความรู้ทางด้านการแพทย์แผนจีนของเสี่ยวเม่ยหนิงนั้น อยู่ในขั้นที่ดีมาก..

อาจารย์ของท่านหมอเสี่ยวที่เป็นเจ้าสำนักหมอหุบเขาเทวะคนก่อนนั้น ได้เสียชีวิตไปนานแล้ว แต่เขาก็ยังคงติดต่อกับสำนักหุบเขาเทวะอยู่เรื่อยมา อีกทั้งยังกลับไปคาราวะป้ายวิญญาณของอาจารย์เป็นประจำทุกปี

‘ฮู๋เซ่าป๋ายอายุยังไม่ถึงยี่สิบ แต่กลับสามารถเข้าสู่ระดับเริ่มต้นของขั้นโฮ่วเทียน-9ได้แล้ว! ฮู๋ชิงซานเจ้าเองก็หมกตัวอยู่ในสำนักหุบเขาหมอเทวะมาได้ตั้งนาน แล้วจู่ๆเหตุใดจึงคิดจะออกสู่โลกภายนอก?!’

‘เจ้าส่งฮู๋เซ่าป๋ายมาแบบนี้ คงจะเตรียมการมาล่วงหน้าแล้วสินะ! คิดจะมาเป็นหลานเขยของข้า ก็ไม่ต่างจากการยิงปืนนัดเดียวแต่ได้นกถึงสองตัวหรอกรึ?’

แน่นอนว่าท่านหมอเสี่ยวย่อมต้องอ่านแผนการณ์ของฮู๋ชิงซานออก หากฮู๋เซ่าป๋ายได้แต่งงานกับเสี่ยวเม่ยหนิง กิจการที่ท่านหมอเสี่ยวทำมากว่าสี่สิบปี ไม่ต้องตกไปอยู่ในมือของฮู๋ชิงซานอย่างง่ายด้ายงั้นรึ?

‘เฮอะ.. โสมเก้าร้อยปีที่แม้แต่ฮ่องเต้เองยังยากที่จะหาได้ นี่ไม่เท่ากับเป็นการเอาโสมมาแลกกับธุรกิจของข้า-เสี่ยวเจิ้งจี๋งั้นรึ?! เจ้าช่างคิดการใหญ่นัก!’

ท่านหมอเสี่ยวยิ้มเย็นชาและค่อยๆนั่งลง หลังจากที่ผุดลุกขึ้นดูโสมเก้าร้อยปีในกล่องหยกนั่น!

แขกทุกคนที่อยู่ในบ้านต่างก็พากันอิจฉาตระกูลเสี่ยว และพากันถอนหายใจทุกคนต่างก็ปราถนาอยากจะได้โสมนั่นมาเป็นของตัวเอง

ของขวัญชิ้นนี้ล้ำค่าจนเกินไป! แม้แต่เสี่ยวเฉิงเยี่วยเองยังไม่กล้าที่จะรับไว้ จึงได้แต่หันไปมองพ่อของเขา..

ของขวัญชิ้นอื่นๆนั้น ถ้าหนิงน้อยชื่นชอบและรับรับไว้ เมื่อใดที่ตระกูลของผู้ที่มอบให้มีงานมงคล เสี่ยวเฉิงเยี่วยก็สามารถจัดหาของขวัญที่มูลค่าเสมอกันไปมอบคืนให้ได้ แต่สำหรับโสมเก้าร้อยปีที่ไม่อาจประเมินค่าได้เช่นนี้ เขาจะไปหาจากที่ใหนได้!

ท่านหมอเสี่ยวเองก็กระอักกระอ่วนใจ เพราะโสมเก้าร้อยปีนั้นนับว่าเป็นของที่ดีมาก เขาเองก็ชื่นชอบไม่น้อย! แต่หากเขารับของขวัญชิ้นนี้ไว้ นั่นก็เท่ากับเป็นการเปิดทางให้ฮู๋ชิงซานเปิดปากพูดเรื่องการแต่งงานของเด็กทั้งสองคน และแน่นอนว่าเขาไม่ต้องการให้เกิดขึ้น!

ในเวลานั้นเอง.. หลิงหยุนก็อิ่มพอดี! เขาหยิบผ้าขึ้นมาเช็ดปาก และส่งกระแสจิตบอกเสี่ยวเม่ยหนิงว่า “ของขยะแบบนี้.. ห้ามรับ!”

ในแหวนพื้นที่ของเขาเวลานี้ มีทั้งโสมและสมุนไพรเหอโชวูที่เติบโตมาหลายพันปี หลิงหยุนตั้งใจนำกลับมาให้แม่ของเขากับท่านหมอเสี่ยว เช่นนี้แล้วจะไม่ให้เรียกโสมที่มีอายุยังไม่ถึงพันปีนี้ว่าขยะได้อย่างไร?

‘ห๊ะ.. ไม่ให้รับงั้นเหรอ!?’ เสี่ยวเม่ยหนิงสูดลมหายใจลึก พร้อมกับอดคิดไม่ได้ว่า การที่หลิงหยุนปฏิเสธรับของนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ!

แต่ถึงแม้หลิงหยุนจะไม่ให้รับไว้ แต่เธอก็อดคิดไม่ได้ว่าของขวัญชิ้นนี้ล้ำค่ายิ่งกว่าสร้อยเพชรสีชมพูนั่นเสียอีก เพราะมันเป็นของที่ไม่สามารถประเมินมูลค่าได้ แต่หลิงหยุนกลับเรียกว่าขยะ!

เธอมองหน้าหลิงหยุนด้วยสายตางุนงงปนสังสัย แต่ในที่สุดก็เอ่ยปฏิเสธออกไปเสียงเบา “พี่ฮู๋คะ.. ของขวัญชิ้นนี้ล้ำค่าเกินไป ฉันรับไว้ไม่ได้จริงๆ..”

เสี่ยวเม่ยหนิงไม่คิดที่จะถามความคิดเห็นของปู่หรือพ่อกับแม่ของเธอเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อเธอเอ่ยปากปฏิเสธไม่รับของขวัญ ทุกคนในครอบบครัวต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย พร้อมกับคิดในใจว่าสมแล้วที่เป็นแก้วตาดวงใจของตระกูลเสี่ยว!

เมื่อฮู๋เซ่าป๋ายเห็นเสี่ยวเม่ยหนิงไม่กล้ารับไว้ ความจริงแล้วเขานึกพอใจอยู่เงียบๆ แต่ในเมื่อเขามีหน้าที่ต้องส่งโสมนี้ให้กับตระกูลเสี่ยว เขาจึงได้แต่หันไปโน้มน้าวต่อ แต่ก็ไม่วายที่จะเหลือบมองหลิงหยุนด้วยสายตาเหยียดหยัน

“หนิงน้อย.. นี่เป็นเพียงแค่ของขวัญวันเกิด ทำไมถึงรับไว้ไม่ได้? แม้ว่าโสมนี่จะเป็นของหายากและไม่สามารถประเมินค่าได้ แต่ผมก็ตั้งใจนำมาเป็นของขวัญวันเกิดให้กับคุณ!”

พูดจบ.. ฮู๋เซ่าป๋ายก็หันไปมองผู้คนรอบๆตัวอย่างภาคภูมิใจ!

ห้องทั้งห้องเงียบกริบ.. และดูเหมือนทุกคนกำลังรอคอยการตัดสินใจของเสี่ยวเม่ยหนิงอีกครั้ง แม้ทุกคนต่างก็อิจฉา แต่ก็กลัวว่าเธอจะปฏิเสธอีก..

แต่ในระหว่างที่ทุกคนกำลังรอคอยอย่างใจจดใจจ่อยู่นั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา!

“โสมนั่นจะเป็นของหายากจริงงั้นรึ? อย่าได้โอ้อวดจนเกินจริง! สิ่งใหนที่เจ้ามี ก็อย่าคิดว่าคนอื่นไม่มี เดี๋ยวจะถูกคนอื่นเขาหัวเราะเยาะเอา!”

และนี่คือคำพูดที่ฮู๋เซ่าป๋ายเพิ่งจะพูดกับหลิงหยุนก่อนหน้านี้ เขาจึงตั้งใจหยิบคำพูดเขาฮู๋เซ่าป๋ายมาย้อนคืนกลับไปในสถานการณ์นี้!

ทุกคนในงานรวมถึงหนิงน้อยและพ่อแม่ของเธอ แม้กระทั่งท่านหมอเสี่ยวเองยังถึงกับตกใจกับคำพูดของหลิงหยุน!

“โสมเก้าร้อยปีต้นนี้ยังไม่เรียกว่าเป็นของหายากอีกเหรอ? หลิงหยุนกล้าพูดแบบนั้นออกมาได้ยังไงกัน?”

“ฉันว่าเด็กคนนี้ท่าทางจะกินยาผิด? ถึงแม้เขาจะทำให้ทุกคนประหลาดใจก่อนหน้านี้ได้ แต่การพูดราวกับว่าโสมเก้าร้อยปีเป็นของไร้ค่าแบบนี้ มันไม่สมควรจริงๆ!”

ในเวลานั้นเอง.. ชายชราสวมสูทคอจีนสีน้ำเงินก็ไม่สามารถอดรนทนได้อีกต่อไป เขาถึงกับอ้าปากสั่งสอนหลิงหยุน

“พ่อหนุ่ม.. โสมนี่เป็นของที่ล้ำค่ามากนะ และไม่ใช่จะหามาได้ง่ายๆ มีเงินยังหาซื้อไม่ได้เลย!”

ท่านหมอเสี่ยวเองเมื่อได้ยินคำพูดของหลิงหยุนก็ถึงกับใจสั่น พร้อมกับคิดในใจว่าครั้งนี้หลิงหยุนพลาดอย่างมากเลยทีเดียว!

เมื่อฮู๋เซ่าป๋ายเห็นปฏิกิริยาของทุกคนที่ต่างก็ชี้นิ้วไปที่หลิงหยุน เขาจึงยิ่งผยอง และหันไปพูดกับหลิงหยุนว่า

“หลิงหยุน.. หนิงน้อยคงจะรอของขวัญวันเกิดจากเจ้าอยู่? ของขวัญวันเกิดของเจ้าล่ะอยู่ที่ใหน? ตอนนี้พวกเราทุกคนต่างก็มอบของขวัญวันเกิดให้กับหนิงน้อยหมดแล้ว แต่เจ้ากลับเอาแต่นั่งกิน!”

“ในเมื่อเจ้าบอกว่าโสมของข้าเป็นของไร้ค่า เจ้าก็เอาของขวัญของเจ้าออกให้พวกเราได้เชยชมหน่อยสิ!”

เมื่อฮู๋เซ่าป๋ายพูดจบ ทุกคนก็พยักหน้าเห็นด้วย เสี่ยวเม่ยหนิงและท่านหมอเสี่ยวต่างก็ใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกมา ในใจก็คิดว่าหลิงหยุนไม่น่าทำให้ตนเองต้องตกเป็นเป้าสายตาเลย!

“พ่อหนุ่ม.. ข้าชอบเจ้ามากก็จริง! แต่ในเมื่อเจ้าบอกว่าของขวัญของคนอื่นไร้ค่า งั้นก็เอาของขวัญของเจ้าออกมาให้ทุกคนได้ดูหน่อย ไม่อย่างนั้นวันนี้ต้องถือว่าเจ้าทำเรื่องผิดมหันต์..”

ชายชราอารมณ์ดีที่ยืนขึ้นอยู่ข้างเสี่ยวเฉิงเยี่วยนั้น สายตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ต้นโสมเก้าร้อยปีเพียงอย่างเดียว พร้อมพูดกับหลิงหยุนอย่างไม่พอใจนัก

หลิงหยุนเลียริมฝีปากพร้อมกับส่ายหน้าแล้วก็ถอนหายใจ “ความจริงแล้วที่ผมไม่เอาของขวัญออกมาก็เพราะมันไม่ใช่ของมีค่าอะไร แต่ในเมื่อทุกคนอยากจะเห็นนัก ผมก็จะเอาออกมาให้ทุกคนได้เห็น!”

หลิงหยุนได้กระตุ้นต่อมอยากรู้อยากเห็นของทุกๆคน พวกเขาต่างก็อยากรู้ว่าหลิงหยุนที่ไม่ได้พกมาแม้แต่กระเป๋าเงินนั้น จะนำของขวัญมีค่าอะไรมาให้หนิงน้อย!

“แต่ของทั้งหมดอยู่ในรถด้านนอก ผมไม่ได้นำเข้ามาในงานด้วย ทุกคนอดใจรออยู่ที่นี่ก่อน ผมจะเดินออกไปหยิบมาเดี๋ยวนี้!”

“หนิงน้อย.. ช่วยไปหยิบถุงใบใหญ่ๆให้ผมหน่อยสิ ของมากมาย.. ผมถือมาไม่หมด!”

เสี่ยวเม่ยหนิงยืนนิ่งพร้อมกับคิดในใจว่า ‘นี่พี่หลิงหยุนเอาของขวัญวันเกิดมาให้จริงๆเหรอนี่.. ไม่อยากจะเชื่อเลย?!’

ฮู๋เซ่าป๋ายพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หลิงหยุน ข้าว่าเจ้าไม่มีของขวัญวันเกิดมากกว่า ถ้าเจ้าคิดจะใช้วิธีนี้หลบหนีไปล่ะก็ ข้าขอบอกไว้ก่อนว่าไม่สำเร็จแน่ เพราะเจ้าไม่มีทางหนีไปใหนได้!”

ฮู๋เซ่าป๋ายเริ่มโกรธและตั้งใจจะสร้างความอับอายให้กับหลิงหยุน ด้วยกำลังภายในของเขาในเวลานี้ การจะจัดการกับหลิงหยุนนั้นง่ายยิ่งกว่าฆ่ามดตัวหนึ่ง..

หลิงหยุนยิ้มจนเห็นลักยิ้มบนใบหน้า เป็นรอยยิ้มที่ไม่ว่าใครเห็นก็ต้องละลาย แล้วจึงพูดเสียงไม่ดังนักว่า

“คุณชายแห่งสำนักหมอหุบเขาเทวะผู้ยิ่งใหญ่ เจ้าคิดว่าถ้าข้าต้องการจะไปจากที่นี่จริงๆ เจ้าจะมีปัญญาหยุดข้ารึไง?”

ฮู๋เซ่าป๋ายคิดว่าหลิงหยุนกำลังแสร้งปกปิดจุดอ่อนของตัวเอง เขาจึงพูดออกไปอย่างถือดี “เจ้ายังไม่รู้จักข้าดี.. แต่พูดราวกับว่าตัวเจ้าเองนั้นเก่งกาจสามารถ หากเจ้าหนีไปจริงๆ ก็อย่าตำหนิที่ข้าต้องจับเจ้ากลับมาก็แล้วกัน!”

หลิงหยุนตอบกลับไปยิ้มๆ “ดูเหมือนเจ้าจะมั่นใจมากนะว่าข้าจะไม่มีของขวัญให้กับหนิงน้อย ไม่ต้องห่วง.. รับรองว่าข้าไม่หนีไปใหนแน่!”

จากนั้นหลิงหยุนก็หันไปมองเสี่ยวเม่ยหนิง และพบว่าเธอกำลังมองเขาด้วยสายตาที่เป็นห่วงและกังวล!

หลิงหยุนยิ้มให้เสี่ยวเม่ยหนิงพร้อมกับขยิบตาให้ จากนั้นก็ร้องบอกเธอให้ไปหยิบถุงใส่ของมา

เมื่อเห็นท่าทางของหลิงหยุน เสี่ยวเม่ยหนิงที่ยังคงตกอกตกใจ ก็รีบวิ่งไปเอาถุงพลาสติสีดำมาให้

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับเหลือบมองฮู๋เซ่าป๋ายและพูดขึ้นว่า “เจ้ากล้าให้ข้ายืมกล่องหยกนั่นไม๊ล่ะ?”

ฮู๋เซ่าป๋ายเหลือบมองหลิงหยุน ก่อนจะค่อยๆหยิบโสมออกมาอย่างระมัดระวัง แล้วยื่นกล่องหยกในมือให้กับหลิงหยุน

ท่านเสี่ยวหมอเทวดาไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว แต่เขากำลังรอดูว่าหลิงหยุนกำลังจะทำอะไรกันแน่!?

“กรุณาหลีกทางให้ผมหน่อยครับ ผมจะออกไปเอาของขวัญวันเกิดให้กับหนิงน้อย แล้วจะรีบกลับมาก!”

ผู้คนที่อยู่ในห้องต่างพากันหลบให้หลิงหยุน และทุกสายตากลับจับจ้องอยู่ที่ร่างของหลิงหยุนที่กำลังเดินออกนอกลานบ้านไป

หลิงหยุนไม่ได้ขับรถมาที่นี่ แต่เหตุผลที่เขาต้องออกมาด้านนอกนั้น เพราะไม่ต้องการให้ผู้คนเห็นว่าเขาเอาของออกมาจากแหวนพื้นที่ เพราะจะทำให้ทุกคนตกอกตกใจมากจนเกินไป จึงต้องหาที่เงียบๆเพื่อจัดการเรียกของออกมาจากแหวนพื้นที่

ตอนนี้หลิงหยุนอยู่นอกประตูรั้วของบ้านท่านหมอเสี่ยวเพียงคนเดียว เขาหันไปมองรอบตัวก่อนจะเรียกของทั้งหมดออกมา และใส่ทุกอย่างลงไปในถุงพลาสติกสีดำ จากนั้นก็เดินกลับไปยังห้องนั่งเล่น



บทที่ 347 : หัวเราะทีหลังดังกว่า (5)

“นี่หลิงหยุนมันมีของขวัญวันเกิดจริงๆเหรอ?!”

“ดูเหมือนจะมีมากด้วย.. ถุงใหญ่ขนาดนั้นคงจะหนักน่าดู!”

“แต่ก็ไม่รู้ว่าของข้างในจะเป็นของมีค่าจริงรึเปล่าน่ะสิ?!”

“นายเห็นอะไรไม๊..? คล้ายมีแสงสว่างอยู่ในถุงพลาสติกสีดำนั่นด้วย อย่าบอกนะว่าหลิงหยุนจะทำโรแมนติคจุดพลุไฟที่นี่ ฮ่า ฮ่า!”

ทุกคนในห้องต่างก็เห็นหลิงหยุนกลับมาพร้อมกับถุงใบใหญ่ในมือ สีหน้าของเขาสงบนิ่ง และดูมั่นอกมั่นใจอย่างมาก ระหว่างเดินเข้ามาก็ร้องขอทางเสียงดัง!

“ทุกคนกรุณาหลีกทางหน่อยครับ.. เพราะถ้าใครชนแตกหรือเสียหาย คงไม่สามารถชดใช้ได้แน่! และถึงตอนนั้นถ้าหนิงน้อยโกรธ ผมคงช่วยอะไรไม่ได้!”

หลิงหยุนเดินเข้าไปในบ้าน แต่กลับไม่ตรงไปที่โต๊ะของตัวเอง เขาเดินไปยืนอยู่ตรงกลางห้องซึ่งมีโต๊ะรับประทานอาหารทั้งสี่โต๊ะล้อมรอบอยู่ เพราะเป็นบริเวณที่มีพื้นที่กว้างขวางที่สุด

หลิงหยุนย่อตัวลง และค่อยๆวางถุงพลาสติกลงบนพื้นอย่างระมัดระวัง เขาสำรวจสายตาไปรอบๆตัว ก่อนจะร้องบอกเสี่ยวเม่ยหนิงที่ยืนอยู่ข้างๆ

“หนิงน้อย.. ผมเตรียมของขวัญมาให้คุณถึงสามอย่าง อยากเห็นอะไรก่อนล่ะ?!”

แม้เสี่ยวเม่ยหนิงจะไม่รู้ว่าหลิงหยุนกำลังจะทำอะไรกันแน่? แต่เมื่อเห็นว่าเขาตั้งใจเตรียมของขวัญวันเกิดมาให้เธอจริงๆ เพียงแค่นั้นใบหน้าของเธอก็เปี่ยมไปด้วยความสุขอย่างมากมาย และร้องออกมาอย่างดีใจ

“พี่ให้อะไรฉันก็ชอบหมดล่ะ!”

หลิงหยุนหัวเราะเสี่ยวเม่ยหนิงที่ดูร่าเริงอย่างออกหน้าออกตา พร้อมกับหยอกเย้าว่า “ไม่โลภมากเลยนะ..”

หลงเทียนยู่ที่ทำท่าทางรังเกียจเดียดฉันท์หลิงหยุนตั้งแต่แรกนั้น เป็นคนแรกที่ไม่อาจอดรนทนได้จนต้องร้องตะโกนออกมาเสียงดัง

“หลิงหยุน.. รีบๆหน่อย! หลายคนรอนายจนไม่ได้กินอะไรแล้ว!”

หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับเดินออกไปปิดไฟ แล้วกลับมาหยิบของในถุงพลาสติกยื่นให้กับหนิงน้อย!

“โอ้โห..!! นั่นมันไข่มุกราตรีนี่! ทำไมถึงได้เม็ดใหญ่ขนาดนั้น?!”

ทันทีที่หลิงหยุนหยิบไข่มุกราตรีออกมา เขาก็ได้ยินผู้หญิงคนหนึ่งร้องตะโกนเสียงดังออกมา

“ใช่แล้ว..! เป็นไข่มุกราตรีจริงๆด้วย ขนาดของมั่นเท่ากับดวงตามังกรเลย!”

“นี่เป็นไปได้ยังไงกัน?!”

เสียงผู้หญิงคนอื่นๆต่างก็ร้องตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้นตกใจ ผู้หญิงทุกคนล้วนชื่นชอบเพชรพลอย จึงไม่ต้องพูดถึงไข่มุกราตรี!

ผู้คนที่อยู่ในงานเวลานี้ ล้วนเป็นผู้มีอันจะกินที่รู้จักของล้ำค่าแบบนี้ดี ไม่มีใครในห้องที่ไม่รู้ว่าไข่มุกเป็นของมีค่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งไข่มุกราตรีที่สามารถส่องสว่างได้ในตัวเองเม็ดนี้  ที่ทุกคนต่างรู้ว่ามันเป็นของล้ำค่า อีกทั้งขนาดของมันนั้นยังใหญ่โตเท่ากับดวงตามังกร!

ทันทีที่หลิงหยุนแบมือออก แสงของไข่มุกราตรีที่ส่องประกายสว่างไสวอยู่ท่ามกลางความมืด ก็ได้สร้างความตกตะลึงให้กับสายตาทุกคู่ ทุกคนในห้องต่างมีสีหน้าที่ตกใจสุดขีด และดวงตาเบิกโพลงราวกับไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น!

ณ วินาทีนั้น.. ภายในห้องที่เงียบกริบ ไม่มีเสียงอื่นใดนอกจากเสียงกรีดร้องของผู้หญิงทุกวัยและทุกคนที่อยู่ในนั้น ส่วนผู้ชายเพียงแค่มองดูด้วยความตื่นเต้นตกใจ!

จางเม่ยหยิวนเองก็ชื่นชอบเพชรพลอยเป็นทุนอยู่แล้ว แต่เธอก็ยืนเพียงแค่อยู่ด้านหลังห้องอย่างไม่ใส่ใจนัก แต่เมื่อหลิงหยุนหยิบไข่มุกราตรีออกมา เธอถึงกับวิ่งขึ้นมาด้านหน้าทันที!

เสี่ยวเม่ยหนิงมีความสุขอย่างมาก เธอวิ่งเข้ามาพร้อมกับทิ้งตัวลงไปในอ้อมแขนของหลิงหยุน ก่อนจะร้องเรียกชื่อของเขาด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา

 “พี่หลิงหยุน!!”

“ผมมอบให้คุณ!”

หลิงหยุนพูดพร้อมกับยื่นไข่มุกราตรีในมือให้กับเสี่ยวเม่ยหนิง เธอรีบยื่นสองมืออกไปรับไว้อย่างระมัดระวังและทะนุถนอม สายตาของเธอเต็มเปี่ยมไปด้วยความยอนดีและซาบซึ้งใจ!

ไข่มุกราตรีอยู่ในมือที่สวยงามของเสี่ยวเม่ยหนิง แสงสว่างนวลของมันส่องกระทบใบหน้าที่สวยงามของเธอ ทำให้เธอดูราวกับเจ้าหญิงในเทพนิยาย!

“นี่มันไข่มุกราตรีของจริง! โอ้.. คืนนี้เป็นค่ำคืนอะไรกันแน่ ฉันถึงมีโอกาสได้เห็นไข่มุกราตรีในตำนานแบบนี้!”

ผู้หญิงในห้องต่างพากันร้องออกมาอย่างตื่นเต้น ส่วนผู้ชายนั้นต่างก็นั่งกันนิ่งเงียบไปหมด รวมทั้งฮู๋เซ่าป๋าย หลงเทียนยู่ และหลี่ยั่วหมิง แม้แต่โต๊ะของบรรดาผู้อาวุโสทั้งหลายต่างก็เงียบสนิทเช่นกัน รวมถึงท่านเสี่ยวหมอเทวดาด้วย!

นี่เป็นไข่มุกราตรีของจริง! และเป็นของขวัญวันเกิดที่ทำให้หนิงน้อยตกใจมากกว่าของขวัญชิ้นใหนๆ!

แต่เดี๋ยวก่อน.. นี่เพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น!!

หลิงหยุนล้วงเข้าไปในถุงหยิบไข่มุกราตรีออกมาอีกหนึ่งเม็ด เป็นขนาดเดียวกับเม็ดแรก และแสงของมันก็เป็นประกายนุ่มนวลอ่อนโยน!

“โอ้.. ดูสิยังมีอีกหนึ่งเม็ด?!”

“นี่ฉันไม่ได้ตาฝาดไปใช่ไม๊? ยังมีไข่มุกราตรีอีกหนึ่งเม็ด?!”

ครั้งนี้ไม่เพียงผู้หญิงเท่านั้นที่พากันกรีดร้องออกมา แม้แต่ผู้ชายต่างก็ตื่นเต้นจนถึงกับส่งเสียงฮือฮาออกมาเช่นกัน!

ตอนนี้ภายในห้องกลับยิ่งสว่างไสวมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะบริเวณที่ผู้คนพากันเข้ามาล้อมรอบ หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับยื่นไข่มุกราตรีอีกเม็ดให้กับเสี่ยวเม่ยหนิง

“ตายแล้ว.. นี่ยังไม่หมดนะ! ดูในถุงนั่นสิ ยังมีแสงสว่างไสวอยู่เลย!” เสียงผู้หญิงอีกคนร้องออกมา!

ตอนนี้รอบตัวหลิงหยุนไม่มีผู้ชายอยู่เลยแม้แต่คนเดียว มีเพียงผู้หญิงหลากวัยที่กำลังกรีดร้องเมื่อห็นหลิงหยุนหยิบไข่มุกราตรีออกมาเม็ดแล้วเม็ดเล่า!

เรียกได้ว่า.. เหตุการณ์ในวันนี้คงจะทำให้ทุกคนไม่มีวันลืมเลือนได้อย่างแน่นอน!

เม็ดที่สาม.. สี่.. ห้า.. หก.. และไข่มุกราตรีทั้งหมดสิบแปดเม็ดก็อยู่ในมือของเสี่ยวเม่ยหนิง แต่เนื่องจากไข่มุกราตรีแต่ละเม็ดนั้นใหญ่มาก เธอจึงไม่สามารถถือไว้ในมือได้หมด และได้แบ่งไปไว้ในมือของนางจางเม่ยหยิวนหกเม็ด เสี่ยวเม่ยหนิงตื่นเต้นดีใจอย่างที่สุด!!

อย่าว่าแต่เสี่ยวเม่ยหนิงจะตื่นเต้นเลย แม้แต่จางเม่ยหยิวนและเสี่ยวเฉิงเยี่วยเองก็ตื่นเต้นไม่แพ้ลูกสาวเช่นกัน!

ไข่มุกราตรีขนาดเท่าดวงตามังกรตั้งสิบแปดเม็ด.. เพียงแค่เม็ดเดียวก็นับว่าเป็นของล้ำค่าที่หาได้ยากมากแล้ว แต่นี่กลับมีถึงสิบแปดเม็ด!

“หนิงน้อย.. วันนี้เป็นวันเกิดปีที่สิบเจ็ดของคุณ ผมจึงให้ไข่มุกราตรีทั้งสิบแปดเม็ดนี้เป็นของขวัญวันเกิดในปีนี้กับคุณ อีกหนึ่งเม็ดผมจะเก็บไว้ให้คุณเป็นของขวัญวันเกิดปีหน้านะ!”

แสงสว่างไสวของไข่มุกราตรีทั้งสิบแปดเม็ด ส่องประกายสดใสไปทั่วทั้งห้อง ทำให้สามารถมองเห็นสีหน้าของผู้คนในห้องได้อย่างชัดเจนว่า ในเวลานี้ทุกคนล้วนมีสีหน้าตกใจสุดขีด!

ฮู๋เซ่าป๋าย หลงเทียนยู่ และหลี่ยั่วหมิง ต่างก็ไม่เคยเห็นไข่มุกราตรีมาก่อนเช่นกัน และยิ่งไม่เคยเห็นไข่มุกที่เม็ดใหญ่ขนาดนี้มาก่อน และต่อให้เคยเห็นเม็ดใหญ่ขนาดนี้ ก็ไม่เคยเห็นไข่มุกขนาดใหญ่เท่าๆกันถึงสิบแปดเม็ด!!”

แทบไม่ต้องพูดถึงว่ามันจะเป็นของล้ำค่ามากแค่ใหน? และเป็นของหายากที่ไม่อาจประเมินค่าได้มากเพียงใด!!

ภายในห้องมีแต่ความเงียบ และได้ยินแต่เสียงกลืนน้ำลายบ้าง เสียงดื่มน้ำบ้าง และเสียงหายใจอย่างตื่นเต้นบ้าง และพวกผู้ชายก็ได้แต่นั่งทำตาปริบๆ

“พี่หลิงหยุน.. ฉันไม่อยากได้ไข่มุกราตรี! ฉันอยากให้พี่กอดฉันไว้..”

เสี่ยวเม่ยหนิงมีความสุขมากจนแทบยืนไม่อยู่ เธอรู้สึกราวกับว่าตนเองจะเป็นลมล้มลงไปได้ทุกขณะ เธอจึงอยากให้หลิงหยุนโอบกอดเธอไว้ เพราะต้องการล้มลงในอ้อมแขนของผู้ชายที่เธอรักเท่านั้น..

“เอาล่ะ.. เปิดไฟได้แล้ว!” หลิงหยุนร้องบอก

ตอนนี้ไม่มีใครกล้าพูดอีกแล้วว่าเขาแต่งตัวไม่เหมาะสม ไม่มีใครคิดอีกแล้วว่าเขามีดีแค่หน้าตา!

เมื่อแสงไฟสว่างขึ้น ทุกคนต่างก็กลั้นหายใจมองหลิงหยุน สายตาเกือบทุกคู่เป็นประกายด้วยความชื่นชมในตัวหลิงหยุน

ตอนนี้แม้แต่สร้อยเพชรในคอเสี่ยวเม่ยหนิงที่หลงเทียนยู่เป็นผู้ให้นั้น เมื่ออยู่ภายใต้แสงสว่างไสวของไข่มุกราตรีทั้งสิบแปดเม็ด ประกายที่เคยเจิดจ้าแวววาวของเพชรสีชมพูก็ถูกกลบด้วยรัศมีของไข่มุกจนสิ้น!

นี่ต่างหากจึงเป็นของล้ำค่าที่หายากอย่างแท้จริง และเพียงแค่เม็ดเดียวก็สามารถเอาชนะเพชรสีชมพูเม็ดนั้นได้แล้ว แต่นี่กลับมีถึงสิบแปดเม็ด!!

ฮู๋เซ่าป๋ายนั่งนิ่ง และไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้แม้แต่คำเดียว!!

ฮู๋เซ่าป๋ายได้แต่คิดในใจว่า แต่หากเป็นเรื่องของสมุนไพรแล้ว เขาไม่มีทางพ่ายแพ้ให้กับผู้ใดอย่างแน่นอนแม้แต่หลิงหยุน แต่ในใจก็ยอมรับว่าไข่มุกราตรีนั้นเป็นสมบัติล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่งจริงๆ และก็ทำให้หลิงหยุนได้หน้าไปอย่างมาก

หลี่ยั่วหมิงไม่มีอะไรจะพูด ตระกูลของเขาร่ำรวย สิ่งที่มีมากคือเงิน! แต่ของล้ำค่าหายากเช่นนี้ หากตระกูลของเขาได้ครอบครองสักหนึ่งหรือสองเม็ด ก็คงไม่กล้าที่จะนำออกมาเป็นของขวัญ!

เพราะมันคือไข่มุกราตรี ไม่ใช่เสื้อผ้าแบรนด์เนมที่มีเงินก็หาซื้อได้!

แต่ต่อให้ตระกูลของเขามีปัญญาหาไข่มุกราตรีมาได้ ก็คงไม่มีปัญญาหามาได้มาถึงสิบแปดเม็ด แต่เหตุใดหลิงหยุนจึงได้มีมากมายถึงเพียงนี้?!

จางเม่ยหยิวนประคองไข่มุกราตรีทั้งหกเม็ดไว้ในมืออย่างทะนุถนอม ดูเธอจะหลงใหลมันมาก เธอมองไข่มุกราตรีในมือสลับกับใบหน้าของหลิงหยุนไปมา ในใจตื่นเต้นจนไม่อาจอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้!

เสี่ยวเฉิงเยี่วยจ้องมองไข่มุกราตีในมือของภรรยา นอกจากรอยยิ้มที่อัศจรรย์ใจ เขาก็ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้เช่นกัน หลิงหยุนทำให้เขาทึ่งอย่างที่สุด!

“เฒ่เสี่ยว.. หลานสาวของท่านช่างโชคดีอะไรเช่นนี้!”

ชายชราอารมณ์ดีถึงกับอึ้งไปครู่ใหญ่ เขาตื่นเต้นมาก และมองหน้าท่านหมอเสี่ยวด้วยความอิจฉา!

“เด็กหนุ่มคนนี้ช่างน่าทึ่ง! เขาไปหามาได้ยังไงกัน? นี่ถ้าข้าแนะนำหลานสาวให้รู้จักบ้าง ข้าจะได้ไข่มุกราตรีบ้างไม๊?”

ท่านหมอเสี่ยวถึงกับกลืนน้ำลาย และหันไปทำเสียงดุใส่ว่า “ฝันไปก่อนก็แล้วกัน.. ท่านไปหาหนุ่มคนอื่นให้หลานสาวท่านก็แล้วกัน อย่ามาแย่งของหลานสาวข้า!”



บทที่ 348 : หัวเราะทีหลังดังกว่า (6)

“หลิงหยุน.. ข้ายอมรับว่าไข่มุกราตรีของเจ้านั้นเป็นสมบัติล้ำค่าจริง แต่มันก็คือไข่มุกราตรี ไม่ใช่โสม.. แต่เจ้ากล้าพูดว่าโสมของข้าไม่..”

หลังจากที่ฮู๋เซ่าป๋ายเห็นไขมุกราตรีเม็ดใหญ่ทั้งสิบแปดเม็ดแล้ว เขาก็ตกใจสุดขีด และถึงกับอึ้งไปนาน ใบหน้าที่บิดเบี้ยวน่าเกลียดเพราะความโกรธนั้น เริ่มแดงขึ้นเรื่อยๆ จนเปลี่ยนเป็นสีม่วงในที่สุด แต่มาถึงขั้นนี้เขาเองก็ไม่ต้องการที่จะยอมรับความพ่ายแพ้

จากที่ทุกคนเคยจับตามองฮู๋เซ่าป๋าย ตอนนี้สายตาทุกคู่กลับไปจับจ้องอยู่ที่หลิงหยุนแทน

“มาถึงขึ้นนี้แล้ว เจ้ายังจะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้อีกรึ! ใครๆในที่นี้ต่างก็เห็นพ้องต้องกันว่า โสมของเจ้าไม่อาจเทียบกับไข่มุกราตรีล้ำค่าทั้งสิบแปดเม็ดนั้นได้ เจ้ายอมรับซะเถิดว่ามันเหนือกว่าโสมของเจ้ามากมายนัก!

“ยอมรับความพ่ายแพ้เถอะ.. อย่าพยายามอีกเลยพ่อหนุ่ม!”

ตอนนี้เหตุการณ์กลับตาลปัตร.. เพราะทุกเสียงเปลี่ยนมาเข้าข้างหลิงหยุนกันหมด!

หลิงหยุนมองฮู๋เซ่าป๋ายด้วยสายตาเฉยเมยพร้อมกับยิ้มอย่างสบายอกสบายใจ “ของขวัญของข้ายังไม่หมด.. นั่นน่ะแค่เรียกน้ำย่อย เจ้าจะรีบร้อนแก้ตัวไปทำไม?!”

“โสมแค่เก้าร้อยปีของเจ้าจะมีค่าอะไรกันนักเชียว? ข้าจะให้เจ้าดูเป็นขวัญตาว่าราชาแห่งโสมของจริงนั้นเป็นยังไง?”

พูดจบหลิงหยุนก็ล้วงมือเข้าไปในถุงพลาสติคสีดำ และหยิบโสมต้นใหญ่ออกมา..

พลังชีวิตในห้องรับแขกพุ่งขึ้นมาทันที และแน่นอนว่าท่าหมอเสี่ยวที่อยู่ในขั้นเซียงเทียนย่อมสัมผัสได้อย่างแน่นอน

“โอ้นั่น..! โสมนั่นต้นใหญ่เหลือเกิน?!”

“ไม่น่าเชื่อ.. ทำไมโสมถึงได้ต้นใหญ่ถึงเพียงนั้น? ไม่ธรรมดา.. ไม่ธรรมดาจริงๆ”

ครั้งนี้.. กลับกลายเป็นว่าผู้ชายทุกวัยต่างก็ร้องเสียงดังออกมาอย่างตกอกตกใจ!

บางคนมองเห็นเหมือนหลิงหยุนกำลังหิ้วเด็กทารากแรกคลอดไว้ในมือ บางคนมองว่าเป็นใบหน้าของชายชราที่มีเครา มีจมูก มีคิ้ว และกำลังห้อยหัวลงมา แต่ที่เหมือนกันคือ.. ทุกคนต่างก็ชื่นชอบอย่างมาก!

“โอ้.. โสมนั่นต้นใหญ่มากๆ ฉันว่ามันน่าจะหนักราวสามหรือสี่กิโลได้! ทำไมถึงได้ใหญ่ขนาดนั้น?”

“หลิงหยุน.. เจ้าวางลงก่อนจะดีไม๊ อย่าทำมันหักล่ะ!”

บางคนเห็นหลิงหยุนคว้าโสมต้นใหญ่ขนาดนั้นออกมา ก็ทั้งตื่นเต้น ทั้งกลัวว่าหลิงหยุนจะทำหลุดมือและหล่นลงบนพื้นเสียหาย

ท่านเสี่ยวหมอเทวดาไม่สามารถอดรนทนได้อีกต่อไป เขาเดินเข้ามายืนอยู่ตรงหน้าหลิงหยุน พร้อมกับเอื้อมมือที่สั่นมาหยิบโสมไปพิจารณา และเขาก็ต้องตกใจอย่างมากเมื่อพบว่าโสมต้นนี้มีอายุมากกว่าสองพันปีได้

“เร็วเข้า.. ตามเฒ่าเสี่ยวไปดูกัน!” ชายชราอารมณ์ดีไม่สนใจอะไรอีก เขารีบเดินตามท่านหมอเสี่ยวออกไปทันที

ผู้อาวุโสคนอื่นๆต่างก็เดินตามมาด้วยเช่นกัน ทุกคนต่างก็ต้องการยลโมโสมต้นใหญ่ที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์!

“โสมต้นนี้น่าจะต้องมีอายุไม่ต่ำกว่าสองพันห้าร้อยปี เพราะดูเหมือนมันจะโตเต็มที่แล้ว หากปล่อยไว้โตกว่านี้ มันคงวิ่งได้แล้ว..”

“หลิงหยุน.. เจ้าไปเอามาจากใหน?” ท่านหมอเสี่ยวถึงกับยืนตัวสั่น และร้องถามออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ!

“นี่เฒ่าเสี่ยว.. ท่านถือให้แน่นๆหน่อย สั่นแบบนั้นเดี๋ยวก็ตกหรอก!”

ชายชราอีกคนร้องบอกท่านหมอเสี่ยวที่กำลังมือสั่น และรีบยื่นมือออกไปช่วยจับโสมไว้อย่างระมัดระวัง..

หลิงหยุนเพียงแค่ยิ้ม แล้วล้วงมือลงไปในถุงพลาสติหยิบโสมขึ้นมาอีกต้น แล้วเดินเข้าไปหาชายชราอารมณ์ดีพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“อาวุโส.. ท่านไม่ต้องกังวลไป ผมยังมีอีกต้นครับ!?”

ปรากฏว่าโสมต้นนี้กลับใหญ่กว่า หนักกว่า และเป็นรูปร่างที่ชัดเจนกว่าโสมต้นแรก และดูไม่แตกต่างจากคนแก่เลยแม้แต่น้อย!

“โอ้.. นี่มันอะไรกันพ่อหนุ่ม! เจ้ามีราชาโสมถึงสองต้นเชียวรึ?!”

ชายชราอารมณ์ดีถึงกับมือสั่น และเกือบจะเป็นลมล้มลงไปที่พื้น แต่โชคดีที่ตลอดหลายปีมานี้เขาฝึกมวยไทเก๊กอยู่เป็นประจำ จึงยังสามารถทรงตัวได้อย่างรวดเร็ว  เขาจ้องมองโสมที่อยู่ในมือจนตาแทบถลนออกมาจากเบ้า!

ไม่เพียงแค่ชายชราอารมณ์ดีที่มีอาการเช่นนั้น แต่ทุกคนที่อยู่ในห้องรับแขก รวมทั้งฮู๋เซ่าป๋ายที่กำลังมีปัญหากับหลิงหยุน และคนอื่นๆก็ถึงกับมีอาการจุก!

‘หลิงหยุนมันมีถึงสองต้น?! เป็นไปได้ยังไงกัน?’ ฮู๋เซ่าป๋ายตกใจจนแทบช็อค เขาเป็นถึงคุณชายแห่งสำนักหมอหุบเขาเทวะ เขาย่อมรู้ดีว่าราชาโสมต้นที่ชายชราถือยอยู่นั้น มีอายุเกือบสามพันปีเลยทีเดียว!

ฮู๋เซ่าป๋ายรับรู้ถึงความพ่ายแพ้ได้ทันที!

ในเวลานั้นเอง บางคนก็กำลังโต้เถียงกันเกี่ยวกับราชาโสมทั้งสองต้น และหลายคนก็ละสายตาจากต้นโสม และหันไปจ้องหน้าหลิงหยุนแทน!

ในที่สุด.. ทุกคนในห้องต่างก็ยอมรับในความน่าทึ่งและอัศจรรย์ของเด็กหนุ่มคนนี้ และต่างก็คิดตรงกันว่าหลิงหยุนนั้นมีค่ามากพอที่ท่านหมอเสี่ยวจะเปิดทางให้คบหาดูใจกับเสี่ยวเม่ยหนิง

ครั้งแรกที่อาวุโสทั้งหลายได้เห็นหลิงหยุนนั้น ทุกคนต่างคิดว่านอกเหนือจากหน้าตาที่หล่อเหลา เขาก็ไม่มีอะไรโดดเด่น ไม่ว่าจะเป็นสถานะทางครอบครัว การแต่งเนื้อแต่งตัวที่ดูปอนๆ ทางบ้านก็ไม่มีธุรกิจอะไร อีกทั้งมาถึงก็เอาแต่กินไม่สนใจอะไร ทุกคนได้แต่รู้สึกผิดหวังและไม่พอใจอยู่เงียบๆ

แต่ในตอนนี้ ไม่มีใครกล้าดูถูกหลิงหยุนอีก.. พวกเขาต่างก็คิดว่าสิ่งที่มีค่าที่สุดภายในห้องนั่งเล่นแห่งนี้ ไม่ใช่ไข่มุกราตรีทั้งสิบแปดเม็ด แล้วก็ไม่ใช่ราชาโสมทั้งสองต้นนี้ แต่เป็นเด็กหนุ่มที่นำของเหล่านี้มาต่างหาก!

ทุกคนล้วนแล้วแต่รู้ดีแก่ใจว่า.. นี่เป็นเรื่องที่เหนือกว่าเงินทอง เพราะไม่ว่าจะมีเงินทองมากสักเพียงใหน ก็ใช่ว่าจะหาซื้อสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะทั้งหมดนั้นล้วนเป็นสมบัติที่ไม่สามารถประเมินค่าได้!

เสี่ยวเฉิงเยี่วยและจางเม่ยหยิวนเอง ก็ตกใจจนแทบช็อคเช่นกัน! ก่อนหน้านี้เสี่ยวเม่ยหนิงโทรหาพวกเขาทุกวัน วันละสามเวลา เพื่อสอบถามความคืบหน้าเรื่องการเตรียมงานวันเกิด เพราะปีนี้เธอบอกว่าแฟนของเธอจะมาร่วมงานด้วย ทั้งคู่ต่างก็คิดว่าคงจะไม่มีอะไรมาก แต่ดูตอนนี้สิ..

ตอนนี้ทั้งคู่ต่างก็รู้สึกว่าพวกเขาประเมินทุกอย่างผิดไปมาก!

ส่วนเสี่ยวเม่ยหนิงนั้น.. ยังคงนั่งประคองไข่มุกราตรีไว้ในมือ เธอมีความสุขอย่างล้นหลามจนไม่สามารถลุกขึ้นยืนได้ หลิงหยุนไม่เพียงนำของขวัญวันเกิดมาให้กับเธอ แต่เรียกได้ว่าหลิงหยุนให้ทุกอย่างที่มีกับเธอจนหมด ดังนั้น.. ในเวลาปลาบปลื้มใจเช่นนี้ ไม่ว่าหญิงสาวคนใหนก็คงรู้สึกอยากจะร้องไห้ เธอเองก็เช่นกัน!

“หลิงหยุน.. ที่เธอหายไปนานหลายวัน ก็เพื่อไปหาของขวัญวันเกิดพวกนี้ให้หนิงน้อยงั้นรึ? นี่.. ของขวัญวันเกิดพวกนี้มันช่าง..”

ท่านหมอเสี่ยวถึงกับจุกอยู่ในลำคอจนพูดอะไรไม่ออก เขามองราชาโสมในมือ พร้อมกับหันไปมองหลิงหยุนด้วยสีหน้าตกใจ!

ราชาโสมต้นใหญ่ขนาดนี้ เขาเองก็เพิ่งจะเห็นกับตาเป็นครั้งแรกในชีวิตเช่นกัน!

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับล้วงเข้าไปในถุงพลาสติกอีกครั้ง และทุกคนในห้องต่างก็ใจเต้นตุบตับ เพราะกำลังลุ้นว่าครั้งนี้หลิงหยุนจะหยิบอะไรออกมา!

ครั้งนี้เขาจะหยิบอะไรออกมาอีก?!

หลิงหยุนหยิบสมุนไพรเหอโชวูอายุสองพันปีออกมา และก็มีหลายคนที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร จึงได้แต่รอคอยให้หลิงหยุนพูดออกมา..

ท่านหมอเสี่ยวมองสมุนไพรในมือหลิงหยุนด้วยความตกใจพร้อมกับงุนงง.. เขาถือราชาโสมไว้ในมือข้างหนึ่ง และเอื้อมมืออีกข้างหนึ่งไปหยิบสมุนไพรเหอโชวูขึ้นมาพิจารณา ก่อนจะร้องเสียงดังว่า

“นี่มันสมุนไพรเหอโชวูที่มีอายุนานกว่าสองพันปี! มันเป็นสมุนไพรที่มีพลังชีวิตเข้มข้น สามารถเปลี่ยนผมสีขาวของคนแก่ให้กลายเป็นสีดำได้ ไม่เพียงเท่านั้น ยังสามารถใช้รักษาโรคต่างๆได้มากมาย อีกทั้งยังเป็นยาอายุวัฒนะอีกด้วย หลิงหยุน.. นี่เธอไปได้มาจากใหน?”

และเมื่อทุกคนได้ยินท่านหมอเสี่ยวอธิบายถึงสรรพคุณของมัน ทุกคนต่างก็ส่งเสียงดังอื้ออึง!

หลิงหยุนประคองหนิงน้อยไว้พร้อมกับตอบไปว่า “อาวุโสครับ.. นี่ไม่ใช่ของหนิงน้อย ผมนึกหาโอกาสที่จะตอบแทนบุญคุณของอาวุโสมาตลอด กรุณารับของขวัญที่ผมนำมาให้ไว้ด้วยครับ”

ทุกคนที่ได้ฟังคำพูดของหลิงหยุน ต่างก็พากันนึกชื่นชมเขาอย่างจริงใจ หลิงหยุนไม่เพียงมีใบหน้าที่หล่อเหลา แต่จิตใจของเขายังงดงามด้วยเช่นกัน จึงไม่มีเหตุผลใดที่ผู้คนจะไม่นึกชื่นชมเด็กคนนี้!

เด็กหนุ่มคนอื่นๆที่นำของขวัญวันเกิดมานั้น ต่างก็นึกถึงแต่ความสุขของเสี่ยวเม่ยหนิง แต่หลิงหยุนไม่เพียงแค่นำของล้ำค่ามาให้เสี่ยวเม่ยหนิง แต่ยังเตรียมของขวัญมาให้กับท่านหมอเสี่ยวด้วย สะท้อนให้เห็นถึงความกตัญญูที่หลิงหยุนมี!

ในช่วงเวลานั้น ทุกคนต่างก็ช็อคแล้วช็อคอีกจนจิตใจด้านชาไปหมด เพราะหากยังคงตื่นเต้นไม่หยุด หัวใจของพวกเขาอาจจะไม่สามารถทานทนได้!

เสี่ยวเฉิงเยี่วยและจางเม่ยหยิวนได้นำไข่มุกราตรีไปเก็บแล้ว พวกเขาต่างก็มองหลิงหยุนด้วยความปลื้มปิติ หลิงหยุนดูสง่างามไม่ต่างจากราชสีห์!

อาจพูดได้ว่า.. หากหลิงหยุนเอ่ยปากขอหนิงน้อยในตอนนี้ ทุกคนในครอบครัวคงจะยินดีและเต็มใจอย่างมาก ส่วนหนิงน้อยเองนั้นแทบไม่ต้องพูดถึง เธอคงจะดีใจอย่างมาก!

หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า หากคืนนี้ฮู๋เซ่าป๋ายและหลงเทียนยู่ไม่หยิ่งจองหองจนเข้าขั้นก้าวร้าว เขาคงจะไม่ทำแบบนี้ เพราะเขาตั้งใจจะแอบเอาของเหล่านี้ไปมอบให้กับท่านหมอเสี่ยวและหนิงน้อยอย่างเงียบๆอยู่แล้ว

ท่านหมอเสี่ยวได้ฟังก็ได้แต่หัวเราะออกมาอย่างมีความสุข “สมุนไพรเหอโชวูดูเหมือนจะไม่เหมาะกับฉัน.. น่าจะเหมาะกับผู้หญิงมากกว่า!”

ท่านหมอเสี่ยวพูดพร้อมกับมองตาหลิงหยุน และหลิงหยุนก็เข้าใจความหมายของท่านหมอเสี่ยวได้ทันทีว่า ท่านหมอเสี่ยวต้องการให้เขานำไปให้แม่ของหนิงน้อยแทนเพื่อเป็นการผูกสัมพันธ์..

แต่หลิงหยุนเองก็ได้เตรียมมาพร้อมแล้วเช่นกัน เขาล้วงเข้าไปหยิบสมุนไพรเหอโชวูที่มีขนาดใหญ่ออกมาจากถุงพลาสติก จากนั้นก็วางลงในมือของจางเม่ยหยิวนพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“ท่านป้าครับ.. นี่เป็นการคาราวะท่านป้าครับ!”

‘อะไรนะ?! ของฉันก็มีเหรอ? เด็กคนนี้ช่าง..’

จางเม่ยหยิวนรู้สึกกระอักระอ่วน เมื่อต้องตกเป็นเป้าสายตา!

ความจริงแล้วการมอบของให้กับตระกูลเสี่ยวก็เท่ากับมอบให้ทุกคนอยู่แล้ว แต่เมื่อมีคนจำนวนมากกำลังจ้องมองดู ทำให้จางเม่ยหยิวนได้หน้า และมีความสุขอย่างมาก!

เธอรู้สึกว่าเธอช่างเป็นแม่ยายที่มีความสุขมากที่สุดในโลก!

เสี่ยวเม่ยหนิงพูดพร้อมกับกอดแขนหลิงหยุนไว้แน่นอย่างรักใคร่ แล้วพูดขึ้นว่า “พี่หลิงหยุน.. พี่เอาของขวัญวันเกิดมาให้ฉันมากมายขนาดนี้ ฉันไม่กล้า..”

หลิงหยุนหัวเราะ “หนิงน้อย.. ก่อนหน้านี้คุณพูดเองว่า ไม่ว่าผมให้อะไรคุณก็ชอบหมด!”.

เสียงปรบมือดังสนั่นไปทั่วทั้งห้องนั่งเล่น.. ดังแล้วดังอีกอยู่เป็นานสองนาน!!



บทที่ 349 : สิ้นสุดงานเลี้ยง

เสียงปรบมือดังสนั่นหวั่นไหวอยู่นานราวสองนาที หลิงหยุนโค้งศรีษะลงน้อมรับการปรบมือจากทุกคน  เสี่ยวเม่ยหนิงทิ้งตัวลงในอ้อมแขนของหลิงหยุนอย่างมีความสุข

เสียงปรบมือที่ดังอย่างต่อเนื่องนั้น ไม่ได้เกิดจากความชื่นชมที่หลิงหยุนนำของขวัญมีค่ามากมายมาในวันนี้  แต่เพราะทุกคนต่างทึ่งในตัวหลิงหยุน และประทับใจในการวางตัวที่สบายๆ สงบเสงี่ยม แต่เต็มไปด้วยความเอื้ออาทร และความกตัญญูของหลิงหยุนที่ค่อยๆแสดงออกมาให้เห็นอย่างจริงใจนั่นเอง

ในขณะที่ทุกคนต่างก็กำลังชื่นชมหลิงหยุนกันด้วยความจริงใจ มีหนึ่งคนที่กำลังยืนยิ้มอย่างกระอักระอ่วนใจอยู่

เพราะหลังจากที่ทุกคนได้เห็นของขวัญล้ำค่าที่หลิงหยุนนำมาทั้งหมดแล้ว ซึ่งแต่ละชิ้นล้วนเป็นของที่หาได้ยากยิ่งบนโลกใบนี้ ทำให้โสมเก้าร้อยปีของฮู๋เซ่าป๋ายนั้นแทบจะกลายเป็นของที่ไร้ราคาไปทันที

แม้โสมเก้าร้อยปีจะเป็นของชั้นยอด และหาได้ยากมากบนโลกใบนี้ แต่ก็ไม่สามารถเทียบได้กับราชาโสมที่หลิงหยุนนำมาได้แม้แต่น้อย ไม่เพียงราชาโสมสองต้น แต่หลิงหยุนยังได้นำสมุนไพรเหอโชวูมามอบให้อีกถึงสองต้น

ตอนนี้หลายคนได้ทยอยกลับไปนั่งที่เก้าอี้ของตนเอง ทำให้มีพื้นที่ว่างมากพอที่ทุกคนจะต้องตกตะลึง และอัศจรรย์ในตัวหลิงหยุนกันอีกครั้ง

ระหว่างที่หลิงหยุนกำลังนั่งยองๆ มองดูเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วนั้น ฮู๋เซ่าป๋าย-คุณชายแห่งสำนักหมอหุบเขาเทวะก็หันไปพูดกับหลิงหยุนว่า

“หลิงหยุน.. ในเมื่อเจ้านำของขวัญออกมาจนหมดแล้ว จะคืนกล่องหยกให้ข้าได้หรือยัง? จุดประสงค์ของข้าที่มาในวันนี้ คือการนำของขวัญวันเกิดมาให้กับหนิงน้อย ถึงเวลาที่ข้าต้องมอบของขวัญให้กับนางแล้ว!”

เสี่ยวหนิงยิ้มหวานและกำลังจะอ้าปากปฏิเสธ แต่เสียงของหลิงหยุนก็ดังขึ้นมาข้างหูของเธอ “ตอนนี้รับได้แล้ว!”

โสมเก้าร้อยปีนั้น นับว่าเป็นโสมชั้นยอดที่หาได้ยากเช่นกัน แน่นอนว่าถึงตอนนี้หลิงหยุนก็ไม่ต้องการให้หนิงน้อยปฏิเสธ! เพราะเขาได้จัดการกำราบความยะโสโอหังของฮู๋เซ่าป่ายลงแล้ว และหากฮู๋เซ่าป๋ายต้องการจะโอ้อวดอะไรอีก ก็คงต้องใคร่ครวญอย่างหนักเสียก่อน!

หลังจากที่ได้ยินคำพูดของหลิงหยุน เสี่ยวเม่ยหนิงจึงยิ้มพร้อมกับพยักหน้าให้กับฮู๋เซ่าป๋าย เป็นการยอมรับของขวัญวันเกิดที่เขานำมาให้

แต่จู่ๆ หลิงหยุนก็เกาศรีษะพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เมื่อครู่.. ข้าได้นำกล่องหยกของเจ้าไปใส่อะไรบางอย่างให้เป็นของขวัญวันเกิดอีกชิ้นของหนิงน้อย!”

จากนั้นหลิงหยุนก็ปล่อยมือที่โอบเสี่ยวเม่ยหนิง และก้มลงหยิบกล่องหยกในถุงพลาสติคสีดำออกมา และนำมันไปวางไว้บนโต๊ะ

กล่องหยกของฮู๋เซ่าป๋ายนั้นเป็นกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ยาวสี่สิบเซ็นติเมตร และกว้างยี่สิบเซ็นติเมตร และด้านในนั้นหลิงหยุนได้บรรจุน้ำลายมังกรเอาไว้..

“ยังมีอะไรที่ล้ำค่ากว่าไข่มุกราตรีกับราชาโสมอีกเหรอ? ไม่อย่างนั้นหลิงหยุนคงไม่เลือกที่จะนำออกมาให้เป็นชิ้นสุดท้ายอย่างแน่นอน! ของขวัญชิ้นนี้น่าจะเป็นของล้ำค่าที่น่าประทับใจกว่าชิ้นอื่นๆแน่ๆ!”

ตอนนี้หลายคนก็ได้กลับไปนั่งที่โต๊ะกันเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงกลุ่มของผู้อาวุโสที่ยังคงยืนห้อมล้อมหลิงหยุนอยู่

“พ่อหนุ่มหลิงหยุน.. ข้างในมีอะไรงั้นรึ?!” ชายชราอารมณ์ดีไม่สามารถอดทนรอจนหลิงหยุนเปิดฝากล่องได้ จึงได้ถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น!

“อาวุโสครับ.. อย่ารีบร้อนไป ถึงผมเปิดให้ดูตอนนี้อาวุโสก็คงจะไม่รู้จัก!” หลิงหยุนตอบพร้อมกับยิ้มให้อย่างสดใส

สำหรับน้ำลายมังกรแล้ว.. ต่อให้เป็นไข่มุกราตรี ราชาโสม หรือสมุนไพรเหอโชวู ก็ล้วนแล้วแต่ไม่อาจเทียบกับมันได้!

ทุกคนจ้องมองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น ทุกคนต่างก็กลั้นหายใจในขณะที่หลิงหยุนค่อยๆเปิดกล่องหยกออก..

“มันคืออะไรกัน? ทำไมถึงได้มีกลิ่นหอมหวลแบบนี้?!”

คนที่ไม่รู้จักถึงกับร้องถามออกมาด้วยความสงสัย ในขณะที่หลายคนก็กำลังสูดดมกลิ่นหอมของน้ำลายมังกรที่อบอวลไปทั่วทั้งห้องกันจนเต็มปอด และตอนนี้พลังชีวิตของน้ำลายมังกรแผ่กระจายออกมาเต็มไปหมด

ไม่เพียงแค่ทุกคนจะประหลาดใจ แม้แต่หลิงหยุนเองก็แปลกใจเช่นเดียวกัน เพราะโดยปกติแล้ว น้ำลายมังกรสีขาวคล้ายนมนั้น จะไร้รสไร้กลิ่น แต่เพราะเหตุใดตอนนี้มันจึงได้ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้องเช่นนี้?

หลิงหยุนเองก็แอบดูดซับพลังชีวิตที่กระจายออกมาจากน้ำลายมังกรอยู่เงียบๆ และหลังจากนึกเปรียบกับเมื่อครั้งที่อยู่ในค่ายกลมังกรหยินหยาง ก็พบว่าคุณภาพและคุณสมับติของมันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร

‘แต่ไม่สิ.. ครั้งนี้ดูเหมือนน้ำลายมังกรจะมีพลังชีวิตที่บริสุทธิ์มากกว่า..’ หลิงหยุนครุ่นคิดอย่างหนัก แล้วก็นึกไปถึงน้ำเต้าที่บรรจุน้ำลายมังกรมา

‘หรือจะเป็นเพราะน้ำเต้าลูกนั้น?! ช่างน่าประหลาดนัก?!’

‘ใช่แล้ว.. ต้องเป็นเพราะน้ำเต้าลูกนั้นแน่ๆ!!’ หลิงหยุนตื่นเต้นดีใจอย่างมาก แต่ก็ยังคงรักษาใบหน้าและท่าทางที่สงบนิ่งไว้ได้

ทุกคนในห้องต่างก็พากันสูดดมกลิ่นหอมหวลกันอย่างไม่ลืมหูลืมตา แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่ามันคืออะไร และต่างก็กำลังรอคำตอบจากหลิงหยุน

มีเพียงท่านหมอเสี่ยว ฮู๋เซ่าป๋าย และหลงเทียนยู่ที่ตื่นเต้นจนเก็บอาการไม่อยู่ ทั้งสามคนต่างก็พุ่งมาด้านหน้า และตรงไปที่กล่องหยกใส่น้ำลายมังกรทันที ทั้งสามคนได้แต่อึ้งและพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว…

ขณะที่หลิงหยุนหัวเราะ และกำลังจะเอ่ยปากอธิบายนั้น เขาก็สังเกตุเห็นว่าดูเหมือนทั้งทั้งสามคนจะรู้จักน้ำลายมังกร การที่ท่านหมอเสี่ยวและฮู๋เซ่าป๋ายรู้จักนั้น หลิงหยุนไม่ได้รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย แต่การที่หลงเทียนยู่ที่อายุยังน้อย กลับรู้จักน้ำลายมังกรเช่นกัน ทำให้หลิงหยุนนึกแปลกใจไม่น้อยทีเดียว!

ท่านหมอเสี่ยว ฮู๋เซ่าป๋าย และหลงเทียนยู่ ต่างก็มองตากัน แล้วริมฝีปากของท่านหมอเสี่ยวก็ขยับเล็กน้อยคล้ายกับกำลังพูดอะไรบางอย่างกับสองคนนั่น จากนั้นทั้งคู่ก็พยักหน้า..

หลิงหยุนรู้ได้ทันทีว่าท่านหมอเสี่ยวได้ใช้กระแสจิตคุยกับฮู๋เซ่าป๋ายและหลงเทียนยู่!

ท่านหมอเสี่ยวยกมือขึ้นป้องปากแล้วทำเสียงกระแอมก่อนจะพูดขึ้นว่า “หลิงหยุน.. นี่เป็นน้ำลายมังกรใช่ไม๊?”

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับพยักหน้า แต่เขาไม่ได้บอกว่าตนเองยังมีน้ำลายมังกรอยู่อีกจำนวนมากแค่ใหน..!

ร่างของท่านหมอเสี่ยวสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง และโอนเอนอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อทรงตัวได้เขาก็หันไปพูดอะไรบางอย่างกับทั้งสองคน แล้วลงมือปิดกล่องหยก และนำมันกลับไปเก็บที่ห้องลับของตนเอง

ทุกคนต่างก็ลงความเห็นว่าของขวัญที่หลิงหยุนนำมาในครั้งนี้ ช่างเป็นสมบัติที่ล้ำเลิศ และเป็นสิ่งที่คู่ควรกับท่านหมอเสี่ยวอย่างมาก?!

แม้ท่านหมอเสี่ยวจะลับตาไปแล้ว แต่กลิ่นหอมก็ยังคงอบอวลอยู่ภายในห้อง..

ฮู๋เซ่าป๋ายและหลงเทียนยู่ต่างก็มองท่านหมอเสี่ยวที่ถือกล่องหยกออกไปด้วยความอิจฉา ทันทีที่ท่านหมอเสี่ยวลับสายตาไป ทั้งคู่ก็หันกลับมามองหลิงหยุนเกือบจะพร้อมกัน!

กำลังภายในของหลงเทียนยู่นั้นอยู่ในขั้นโฮ่วเทียน-8!

“พี่หลิงหยุน.. นั่นมันคืออะไรคะ? ทำไมถึงได้มีกลิ่นหอมจัง!?” เสี่ยวเม่ยหนิงกระซิบถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น

หลิงหยุนใช้กระแสจิตอธิบายให้เธอฟังว่า มันเป็นสิ่งที่จะช่วยเพิ่มระดับกำลังภายในให้กับผู้ฝึกฝนวิทยายุทธได้

เสี่ยวเม่ยหนิงถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจ แต่ก็ไม่ได้ร้องอุทานออกมาเสียงดัง เพราะเธอเองก็มีภูมิคุ้มกันในเรื่องแปลกประหลาดของหลิงหยุนตั้งแต่ครั้งที่เห็นมังกรบินวนรอบตัวของเขามาแล้ว..

ท่านหมอเสี่ยวหายไปเกือบยี่สิบนาทีจึงได้เดินออกมา เขาสั่งให้เสี่ยวเฉิงเยี่วยนำไข่มุกราตรี โสม และสมุนไพรเหอโชวูที่หลิงหยุนมอบให้ไปเก็บไว้อย่างดี จากนั้นก็เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะพร้อมกับร้องบอกทุกคนว่า

 “ทุกท่าน..! พวกเรามาดื่มฉลองกันได้แล้ว!”

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่.. แขกเหรื่อต่างก็พากันทยอยลุกขึ้นขอตัวกลับ ก่อนกลับทุกคนก็เดินร่ำลาเสี่ยวเม่ยหนิง และอวยพรให้กับเธอ แต่ความจริงน่าจะเรียกได้ว่า ทุกคนไปร่ำลาหนิงน้อย และกล่าวชื่นชมหลิงหยุนน่าจะถูกกว่า!

“พี่หลิงหยุน.. คืนนี้พี่ทำได้ยอดเยี่ยมมากเลย! พี่ทำให้ทุกคนในงานช็อคได้!” เสี่ยวเม่ยหนิงกระซิบข้างหูหลิงหยุน

ในที่สุด หลี่ยั่วหมิ ฮู๋เซ่าป๋าย และหลงเทียนยู่ก็มาร่ำลาเสี่ยวเม่ยหนิง ระหว่างที่เดินออกไปนั้น หลงเทียนยู่ก็จ้องลึกลงไปในดวงตาของหลิงหยุนพร้อมกับยิ้มให้อย่างเปิดเผย

“หลิงหยุน.. ถ้านายไปเมืองหลวงเมื่อไหร่ อย่าลืมแวะไปหาฉันที่บ้านตระกูลหลงด้วยนะ! บอกเขาว่ามาหาหลงเทียนยู่ ใครๆก็รู้จัก!”

“ได้สิ!” หลิงหยุนตอบกลับอย่างจริงใจเช่นกัน และพยักรับคำเชิญของหลงเทียนยู่

ความจริงแล้ว หลิงหยุนเองก็ต้องการจะบอกหลงเทียนยู่ว่า ให้ระวังตระกูลเฉินไว้ให้ดี! แต่หลังจากใคร่ครวญดูแล้ว เรื่องของตระกูลใหญ่ในเมืองหลวง ไม่ใช่เรื่องที่เขาควรจะยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยในเวลานี้ เขาจึงล้มเลิกความตั้งใจ!

หลี่ยั่วหมิงเองก็เอ่ยชวนหลิงหยุนอย่างสุภาพเช่นกัน “หลิงหยุน.. ถ้านายไปเมืองหลวง ก็อย่าลืมแวะไปเยี่ยมฉันที่ตระกูลหลี่ด้วยล่ะ! พวกเรายินดีต้อนรับนายอย่างมาก!”

หลิงหยุนพยักหน้ารับคำเชิญเช่นกัน!

ในที่สุดก็ถึงคราวของฮู๋เซ่าป๋าย เขามองหลิงหยุนและเสี่ยวเม่ยหนิงอยู่นาน ในที่สุดก็ได้แต่ถอนหายใจ! เพราะแผนการณ์ของพ่อเขา – ฮู๋ชิงซาน เจ้าสำนักหมอหุบเขาเทวะ ได้ล้มเหลวลงอย่างไม่เป็นท่า..

ท่านหมอเสี่ยวคาดเดาได้อย่างแม่นยำว่า ฮู๋ชิงซานนั้นต้องการที่จะรวมตระกูลฮู๋และตระกูลเสี่ยวเข้าไว้ด้วยกัน เพราะหากทำได้สำเร็จ เขาไม่เพียงจะประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงไปทั่วโลก แต่ยังจะสามารถเพิ่มอำนาจและอิทธิพลให้กับสำนักหมอหุบเขาเทวะได้อีกด้วย

แต่ตอนนี้มีหลิงหยุนเข้ามาข้องเกี่ยวกับตระกูลเสี่ยว ถ้าไม่โง่จนเกินไปนัก ก็ต้องดูออกว่าถนนเส้นนี้ได้มีอุปสรรค์เสียแล้ว!

“หลิงหยุน.. บอกข้าได้หรือไม่ว่ากำลังภายในของเจ้าอยู่ขั้นใหน?” ฮู๋เซ่าป๋ายส่งกระแสจิตถามหลิงหยุน

ฮู๋เซ่าป๋ายไม่ใช่คนโง่ หากหลิงหยุนเป็นคนธรรมดา เขาจะมีปัญญานำสมบัติล้ำค่าที่ทั้งชีวิตของคนธรรมดาก็ไม่มีวันได้เห็นเหล่านี้มาได้ยังไง?

แต่ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร ฮู๋เซ่าป๋ายก็ไม่สามารถมองเห็นกำลังภายในของหลิงหยุนเลยแม้แต่น้อย เขาจึงเลือกที่จะถามออกไปตรงๆ

ฮู๋เซ่าป๋ายยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่ได้รับคำตอบจากหลิงหยุน จึงรู้ว่าหลิงหยุนไม่ต้องการเปิดเผยความแข็งแกร่งของตนเอง เขาจึงได้แต่ส่ายหน้าแล้วเดินจากไป..

แขกเหรื่อภายในห้องต่างพากันทยอยกลับ เหลือเพียงพ่อแม่ของเสี่ยวเม่ยหนิง และคนงานอีกไม่กี่คนที่จ้างมาจากข้างนอก..

และแล้วเวลาแห่งความวุ่นวายก็สิ้นสุดลง!

ใบหน้าของหลิงหยุนกลับคืนสู่ความสงบนิ่ง เขาถามหนิงน้อยขึ้นทันทีว่า “หนิงน้อย.. ตอนนี้บอกผมมาได้แล้วว่า หลายวันที่ผมไม่อยู่ มีเกิดอะไรขึ้นบ้าง?”

สีหน้าของเสี่ยวเม่ยหนิงเปลี่ยนไปทันที เธอกำลังจะเอ่ยปากเล่า แต่จางเม่ยหยิวนก็เดินออกมาเรียกหลิงหยุนซะก่อน..

“หลิงหยุน คุณปู่ของหนิงน้อยเรียกเธอให้เข้าไปพบในห้องลับ เห็นว่ามีเรื่องสำคัญต้องคุยกับเธอ!”

หลิงหยุนรีบพยักหน้าและเดินตรงเข้าไปด้านในทันที

“ฉันไปด้วย!” เสี่ยวเม่ยหนิงรีบลุกขึ้นและวิ่งตามหลิงหยุนไปทันที

“ดูเหมือนตอนนี้สาวน้อยของเรา คงต้องกลายเป็นของคนอื่นจริงๆแล้วสินะ..”

เสี่ยวเฉิงเยี่วยมองหนิงน้อยพร้อมกับหันไปพูดกับจางเม่ยหยิวนพร้อมกับส่ายหน้ายิ้มๆ

จางเม่ยหยิวนยิ้มให้สามีแล้วตอบกลับไปว่า “อย่าทำพูดไปเลยค่ะ ฉันรู้ว่าคุณก็มีความสุขไม่แพ้ฉันหรอก! ฉันมีความสุขมากจนอยากจะหัวเราะออกมาดังๆ!”

แล้วเสียงหัวเราะของจางเม่ยหยิวนก็ดังลั่นไปทั่วทั้งห้อง..



บทที่ 350 : เกิดเรื่องน่าเศร้า!

ห้องลับของท่านหมอเสี่ยวนั้นกว้างขวางใหญ่โตมาก ภายในยังแบ่งเป็นห้องย่อยๆอีกสามห้อง ห้องหนึ่งสำหรับไว้ประชุมในเรื่องที่เป็นความลับ ห้องที่สองคือห้องฝึกวิทยายุทธของท่านหมอเสี่ยว และห้องที่สามคือห้องเก็บสมบัติล้ำค่าต่างๆ

ทันทีที่หลิงหยุนเข้าไปในห้อง เขาจึงพบว่าผนังห้องด้านในทั้งหมดทำจากเหล็กที่แข็งแรง หากใครต้องการที่เข้าไปเพื่อขโมยของแล้วล่ะก็ คงทำได้แค่ฝัน!

อีกทั้งภายในห้องประชุมนี้ ก็บุฉนวนกันเสียงอย่างดี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นด้านใน ไม่มีทางที่คนภายนอกจะได้ยินอย่างเด็ดขาด

หลิงหยุนเดินตามเสี่ยวเม่ยหนิงเข้าไปในห้องประชุม และนั่งลงตรงข้ามท่านหมอเสี่ยว..

ตั้งแต่เข้ามาในห้องลับแห่งนี้ เสี่ยวเม่ยหนิงก็เกาะแขนหลิงหยุนไว้แน่น แววตาของเธอที่มองเขานั้นเต็มไปด้วยความท้อแท้ และกระวนกระวายใจ ทุกครั้งที่เธอกำลังจะอ้าปากพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็เงียบไปทุกครั้ง..

ส่วนท่านหมอเสี่ยวนั้น ตั้งแต่พบหลิงหยุนในงาน เขาไม่ถามหลิงหยุนด้วยซ้ำว่าหลายวันที่ผ่านมาหลิงหยุนหายตัวไปใหน แต่กลับมองหลิงหยุนด้วยสายตากังวล ดูคล้ายกับว่ากำลังครุ่นคิดว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี..

หลิงหยุนขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นพร้อมกับจ้องมองท่านหมอเสี่ยวด้วยสายตาที่แน่วแน่ ในใจของเขาไม่มีความกังวลตื่นเต้น เพราะได้เตรียมใจมาก่อนหน้านี้แล้ว..

“อาวุโสเสี่ยว.. เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ได้โปรดพูดออกมาตรงๆ ผมรับได้!”

เพราะตั้งแต่ที่หลิงหยุนสังเกตุเห็นว่ามีเพียงท่านหมอเสี่ยวกับหนิงน้อยที่เขารู้จักอยู่ในงานวันเกิด เขาก็คาดเดาไว้อยู่แล้วว่าต้องมีเรื่องราวใหญ่โตเกิดขึ้นอย่างแน่นอน!

“พี่หลิงหยุน.. ฟังแล้วพี่ก็อย่าโมโหมากนะ..” เสี่ยวเม่ยหนิงมองหลิงหยุนด้วยแววตาเคร่งเครียด และพูดกับหลิงหยุนด้วยความระมัดระวัง

ท่านหมอเสี่ยวกระแอมเบาๆ จากนั้นก็หันไปพูดกับเสี่ยวเม่ยหนิงว่า “หนิงน้อย.. หกวันที่ผ่านมานี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง หลานก็เล่าให้หลิงหยุนฟังให้หมดเถอะ.. หลานเองก็รู้เรื่องราวทั้งหมดดีกว่าปู่!”

เสี่ยวเม่ยหนิงกัดริมฝีปากแน่น และกำลังรวบรวมความคิดว่าจะเริ่มต้นจากเรื่องใหนก่อนดี แต่หลิงหยุนก็ถามขึ้นมาก่อนว่า..

“หนิงน้อย.. บอกผมมาก่อนว่าแม่กับหลิงยู่เป็นยังไง?”

คนที่หลิงหยุนเป็นห่วงมากที่สุดก็คือแม่กับน้องสาวของเขา และตราบใดที่เขาได้ยินว่าแม่กับน้องสบายดี ที่เหลือก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรสำหรับเขา!

อีกทั้งนางฉินจิวยื่อเองก็เป็นถึงยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนที่ใกล้จะเข้าสู่ขั้นสามแล้ว ซึ่งเหนือกว่าท่านหมอเสี่ยวด้วยซ้ำไป

แต่กลับคิดไม่ถึงว่า ทันทีที่เสี่ยวเม่ยหนิงได้ยินคำถามของหลิงหยุน เธอกับส่ายหน้าไปมา และนั่นทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงด้วยความตกใจ..

เพราะหากแม่ของเขาเป็นอะไรไป หนิงหลิงยู่ก็ต้องขาดที่พึ่ง แล้วหากศัตรูของเขาบุกมาถึงที่บ้าน แน่นอนว่าหนิงหลิงยู่ย่อมไม่สามารถที่จะเอาตัวรอดได้!

หลิงหยุนหน้าเครียดและบีบมือของเสี่ยวเม่ยหนิงแน่น พร้อมกับถามขึ้นว่า “เกิดอะไรขึ้นกันแน่หนิงน้อย? เกิดอุบัติเหตุกับแม่ผมงั้นเหรอ? บอกผมมาเดี๋ยวนี้!”

เสี่ยวเม่ยหนิงส่ายหน้าแล้วก็พยักหน้า แล้วพูดตะกุกตะกักว่า “ป้าฉิน.. ไม่ได้เกิดอุบัติเหตุอะไรกับป้าฉิน แต่.. จู่ๆป้าฉินก็หายตัวไป..”

“อะไรนะ?!!” หลิงหยุนไม่สามารถสงบนิ่งได้อีกต่อไป เขาผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที พร้อมกับร้องถามเสียงดังว่า “หายไปได้ยังไง?”

เสี่ยวเม่ยหนิงก็ลุกขึ้นยืนตามหลิงหยุน “พี่หลิงหยุน.. พี่อย่าเพิ่งกังวลไป นั่งลงฟังฉันเล่าให้จบก่อน ปัญหาทุกอย่างเราจะค่อยๆแก้ไขไป!”

ดวงตาของหลิงหยุนเต็มไปด้วยความเย็นชาและเย็นยะเยือก เขาค่อยๆนั่งลงอย่างสงบนิ่งพร้อมกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

ผ่านไปตั้งหกวัน อะไรที่เกิดขึ้น.. ก็ได้เกิดขึ้นไปแล้ว! ร้อนรนมากไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้คือ ทำความเข้าใจกับเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นก่อน!

“ป้าฉินหายไปในคืนเดียวกับที่พี่หายตัวไป.. แต่จะเรียกว่าหายตัวไปก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะป้าฉินได้เขียนโน้ตทิ้งไว้ให้กับพี่หลิงยู่”

เมื่อได้ยินว่าฉินจิวยื่อทิ้งโน๊ตไว้ให้กับหนิงหลิงยู่ หลิงหยุนก็ถามขึ้นมาทันที “แล้วโน๊ตนั่นเขียนอะไรไว้?”

เหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในหกวันนี้ เสี่ยวเม่ยหนิงจำได้ขึ้นใจ! เธอแทบไม่ต้องนึกทบทวน และสามารถเล่าให้หลิงหยุนฟังได้ทันที

“พี่หลิงยู่เล่าให้ฉันฟังว่า เธอตื่นขึ้นมาในเช้าวันจันทร์ ก็พบว่ามีโน๊ตของป้าฉินติดไว้บนหัวเตียง เขียนไว้ว่าจะออกไปทำธุระสำคัญ ถ้าเสร็จเร็ว.. ก็จะกลับมาภายในสองหรือสามวัน และภายในสองสามวันนี้ ไม่ว่าที่บ้านจะเกิดเรื่องอะไร ให้พี่หลิงยู่จัดการเองได้เลย”

หลิงหยุนคิดทบทวนอยู่ในใจ คืนที่เขาลงไปสำรวจหลุมยักษ์นั่นเป็นคืนสุดท้ายของวันหยุดเทศกาลเชงเม้ง และวันรุ่งขึ้นก็เป็นวันจันทร์..

ฉินจิวยื่อคงต้องคิดว่าเขาต้องไปโรงเรียนตามปกติ และแม่ของเขาก็น่าจะรู้ถึงความแข็งแกร่งของเขาดี จึงคิดว่าตราบใดที่มีเขาอยู่ด้วย คงไม่มีเรื่องราวใหญ่โตเกิดขึ้นที่บ้าน

ก่อนที่หลิงหยุนจะไปสำรวจหลุมยักษ์นั้น เขาได้ให้เฉิงเม่ยเฟิงและเสี่ยวเม่ยเม่ยไปอยู่ที่บ้านแม่ เพื่อให้แม่ของเขาคุ้มครองหญิงสาวทั้งสองคนแทน ในขณะที่แม่ของเขามีเรื่องรีบด่วนที่ต้องไปทำ และนางเองก็คงคิดว่าหลิงหยุนที่อยู่บ้านก็จะสามารถดูแลครอบครัวได้! ทั้งคู่คลาดกันไปเพียงนิดเดียว!

ก่อนที่หลิงหยุนจะลงไปสำรวจก้นหลุมยักษ์นั้น เขาก็ได้สร้างศัตรูไว้มากมาย หลิงหยุนอดคิดไม่ได้ว่า เมื่อเขากับแม่ไม่อยู่บ้าน จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่บ้านหรือไม่?

หลิงหยุนรีบถามต่อว่า “แม่ไม่ได้บอกไว้เหรอว่าจะไปที่ใหน? แล้วมันสำคัญมากยังไง?”

เสี่ยวเม่ยหนิงส่ายหน้าและตอบไปว่า “ไม่ได้บอกไว้.. พี่หลิงยู่เล่าให้ฟังว่า ดูจากลายมือของป้าฉินแล้ว ดูเหมือนจะเร่งรีบมาก และโน๊ตก็เขียนไว้เพียงสั้นๆ!”

หลิงหยุนพยักหน้าและถามต่อว่า “แล้วทำไมหลิงยู่ไม่โทรเข้ามือถือแม่ล่ะ?”

เสี่ยวเม่ยหนิงส่ายหน้าและตอบกลับไปว่า “ป้าฉินไม่ได้เอาโทรศัพท์ไปด้วย!”

หลิงหยุนพึมพำออกมา “แม่บอกว่าจะไปสองสามวัน แต่นี่ผ่านมาหกวันแล้ว แต่ก็ยังไม่กลับมา..”

หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางฉินจิวยื่ออาจจะล่าช้าเพราะมีบางอย่างเกิดขึ้นกะทันหันก็ได้ แต่จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เห็นใครที่มีกำลังภายในเหนือกว่าแม่ของเขาเลย

“แล้วหลิงยู่ล่ะ? ตอนนี้น้องของผมเป็นยังบ้าง?”

“ตอนนี้พี่หลิงยู่ย้ายไปอยู่ที่อพาร์ทเมนท์แล้ว และกำลังดูแลผู้หญิงที่ชื่อเหยาลู่อยู่ คนที่พี่จ้างมาดูแลคลีนิคนั่นล่ะ..”

หลิงหยุนได้ฟังถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจ เพราะสองคนนั้นไม่เคยพบเจอกันมาก่อนด้วยซ้ำไป แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเหยาลู่

“นี่มันเรื่องอะไร?!” ดูเหมือนเรื่องราวจะใหญ่โตเกินกว่าที่หลิงหยุนคาดคิดไว้มาก เพราะน้ำเสียงที่เสี่ยวเม่ยหนิงพูดถึงเหยาลู่นั้นไม่มีแม้แต่ความอิจฉาด้วยซ้ำไป

เสี่ยวเม่ยหนิงถอนหายใจพร้อมกับส่ายหน้า “พี่หลิงหยุน.. พี่อย่าเพิ่งถามอะไร! ฉันจะค่อยๆเล่าให้พี่ฟังทีละเรื่อง แล้วพี่จะเข้าใจเอง!”

“ตลอดหกวันมานี้…” เสี่ยวเม่ยหนิงเริ่มเล่าเรื่องราวทุกอย่างให้หลิงหยุนฟังตั้งแต่ต้นเป็นลำดับไป ว่ามีเกิดอะไรขึ้นบ้างในหกวันนี้..

ในวันที่ 7 เมษายน หนิงหลิงยู่ตื่นขึ้นมาและพบว่านางฉินจิวยื่อทิ้งโน๊ตไว้ เธอจึงได้โทรหาหลิงหยุน แต่ก็ไม่สามารถติดต่อหลิงหยุนได้

นั่นเพราะในเวลานั้น หลิงหยุนอยู่ในค่ายกลมังกรหยินหยางที่อยู่ลึกลงไปใต้ดินถึงสี่ร้อยเมตร จึงไม่มีสัญญาณโทรศัพท์

และเพราะหลิงหยุนเองก็มัวแต่ตื่นเต้นกับการสำรวจภายใต้หลุมยักษ์จนไม่ได้นึกถึงใครเช่นกัน

ในวันที่ 8 เมษยาน.. ครอบครัวของเฉิงเม่ยเฟิงก็เกิดปัญหาขึ้น ตระกูลซันได้ส่งคนเข้าไปควบคุมธุรกิจของตระกูลเฉิงทั้งหมด เพื่อคาดคั้นให้เฉิงเทียนตอบมาว่านางหนิวเฟิ่นเหยียว ซันจิ้ง และยอดฝีมือคนอื่นๆหายไปใหน

เมื่อเฉิงเม่ยเฟิงได้ข่าว ด้วยความเป็นห่วงแม่และน้องสาว เธอจึงรีบกลับไปที่บ้านตระกูลเฉิง และตระกูลซันก็ได้จับตัวเธอไว้!

และในวันเดียวกัน.. ทุกคนต่างก็พากันร้อนใจและช่วยกันตามหาหลิงหยุน แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถติดต่อหลิงหยุนได้ และทุกคนก็เริ่มหมดหวัง..

ในเย็นวันนั้น.. เสี่ยวเม่ยเม่ยก็รีบร้อนออกจากบ้านของนางฉินจิวยื่อ เพื่อไปตามหาหลิงหยุนในเมือง แต่ก็หายตัวไปในคืนนั้นเช่นกัน และจนถึงวันพุธก็ยังไม่ได้ข่าวคราวของเธอ

ในวันพุธที่ 9 เมษายน.. หลี่ยี่เฟิงถูกตรวจสอบโดยหน่วยงานตรวจสอบของทางราชการ ในกรณีที่ช่วยหลิงหยุนซื้อบ้านในราคาเพียงครึ่งเดียว

ในวันเดียวกัน.. พ่อของถังเมิ่ง – ถังเทียนห่าว ก็ถูกจับกุมและกักตัวไว้ชั่วคราว จากการถูกกล่าวหาว่าดำเนินคดีโดยมิชอบและไม่เป็นธรรม

ตอนนี้คนที่ขึ้นมาดูแลสำงานรักษาความมั่นคงแทนถังเทียนห่าวก็คือหลัวจ้ง และทันทีที่เข้ามาปฏิบัติหน้าที่ สิ่งแรกที่เขาทำก็คือการสั่งยึดและปิดบ้านของหลิงหยุนทั้งสองหลัง

จากนั้นก็เข้าจับกุมตี้เสี่ยวอู๋ ด้วยข้อหาเป็นผู้ต้องสงสัยเกี่ยวข้องกับคดีกรรโชกทรัพย์ของบริษัทชิงหยุนโปรดักชั่น

และสุดท้าย.. หลัวจ้งบอกว่าแหล่งที่มาของทรัพย์สินและอสังหาริมทรัพย์ของหลิงหยุนนั้น มีที่มาของเงินไม่ชัดเจน จึงได้สั่งอายัดเงินในบัญชีของหลิงหยุนไว้ทุกบัญชี และหลิงหยุนยังเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีที่ทำให้คนของบริษัทชิงหยุนโปรดักชั่นต้องกลายเป็นขันทีอีกด้วย

หลังจากที่เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างกะทันหัน และหลิงหยุนก็หายตัวไปไม่สามารถติดต่อได้ หนิงหลิงยู่จู่ๆก็ต้องกลายเป็นคนไร้บ้านไร้ที่อยู่  อีกทั้งหลิงหยุนและนางฉินจิวยื่อก็หายตัวไปนานถึงสามวันแล้ว ในเวลานั้นหนิงหลิงยู่เองก็แทบจะไม่ต่างจากคนบ้า เธอไปโรงเรียนในสภาพที่จิตใจเลื่อนลอย..

และในเวลานั้น.. หัวหน้าห้องของเธอ – เสียเจิ้นเหยิน ก็เริ่มเข้ามาวุ่นวายพัวพันกับหนิงหลิงยู่อีก เมื่อถังเมิ่งรู้ข่าว เขาจึงไปหาเสียเจิ้นเหยินเพื่อจัดการเคลียร์เรื่องนี้ แต่ผลปรากฏว่าถังเมิ่งได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส!

วันพฤหัสบดีที่ 10 เมษายน..  คลีนิคของหลิงหยุนตกแต่งจนเกือบจะเสร็จแล้ว แต่ก็ถูกกลุ่มคนเซียงซีที่เคยมีปัญหากับหลิงหยุนบุกเข้าไปทำลาย และเหยาลู่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเพราะพยายามปกป้องคลีนิคไว้อย่างสุดความสามารถ และจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สามารถรักษาได้ ไม่เพียงเหยาลู่ที่ถูกพิษ แต่คนงานอีกเจ็ดแปดคนก็ถูกพิษเข้าไปด้วยเช่นกัน

ในวันเดียวกันนั้น หนิงหลิงยู่ก็ได้รับข่าวจากเพื่อนบ้านที่ชื่อหลี่หงเม่ยว่า คลีนิคของนางฉินจิวยื่อนั้น ได้ถูกทีมงานรื้อถอนจัดการเอารถแมคโครมารื้อถอนจนหมดแล้ว!

“และเมื่อวานนี้.. ที่โรงเรียน..”

ปัง!!!

หลิงหยุนกระแทกหมัดลงไปบนโต๊ะหินอ่อนที่อยู่ด้านหน้าจนเป็นรูขนาดใหญ่ และเศษหินอ่อนก็กระเด็นออกมาเต็มไปหมด!

“ไม่ต้องเล่าแล้ว!!”

หลิงหยุนไม่อาจทนฟังต่อได้อีก เส้นเลือดสีเขียวปูดขึ้นตามหน้าผากของเขาเต็มไปหมด หลิงหยุนกัดฟันและกำหมัดแน่น ดวงตาของเขาแดงก่ำ!!

ตอนนี้หลิงหยุนโกรธจนแทบคลั่ง!!

ร่างสูงใหญ่ของหลิงหยุนผุดขึ้นจากเก้าอี้ทันที ร่างกายของหลิงหยุนสั่นอย่างรุนแรง จนแทบจะยืนไม่อยู่!

“พี่หลิงหยุน.. พี่หลิงหยุน..”

เสี่ยวเม่ยหนิงเห็นท่าทางของหลิงหยุนแล้วก็ทั้งตกใจและหวาดกลัว เธอเอื้อมมือไปจับแขนหลิงหยุนไว้พร้อมกับเขย่าเบาๆ แล้วพูดขึ้นว่า

“พี่หลิงหยุน.. ปัญหาครั้งนี้ใหญ่โตมาก เรียกว่ากระทบไปทั่วทั้งเมือง ฉันกับท่านปู่คาดว่าตระกูลซันน่าจะเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องราวทั้งหมด ปู่พยายามโทรหาเส้นสายที่มีทั้งหมดระหว่างที่พี่หายตัวไป แต่ตระกูลซันกลับมีอิทธิพลและอำนาจเหนือกว่าท่านปู่..”

เลือดในตัวหลิงหยุนพลุ่งพล่านอย่างรุนแรง เขาขบฟันเข้าหากันแน่นพร้อมกับพยักหน้า “เรื่องนั้นผมเข้าใจ..”

“หลิงหยุน.. เธอนั่งลงก่อน! นี่ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะจัดการด้วยตัวคนเดียวได้!”

ท่านหมอเสี่ยวเข้าใจความโกรธในใจของหลิงหยุนดี..


บทที่ 351 : บุคคลลึกลับ!

“ฉันไปสืบมาแล้ว.. ครั้งนี้ตระกูลซันเดินหน้าประกาศศึกกับเธออย่างไม่รอมชอม! พ่อของซันจิ้ง – ซันเทียนเปียว ถึงกับมาที่จิงฉูด้วยตัวเอง และพายอดฝีมือที่เก่งกาจมาด้วยอีกมากมาย เขาตั้งใจมาตามหาหนิวเฟิ่นเหยียวและซันจิ้ง!”

“ฉันเองก็ได้บอกกับตระกูลซันไปแล้วว่า ตอนนี้เธอเองก็ยังไม่กลับมา ถ้าเขากล้าแตะต้องคนในครอบครัวของเธอ ก็เท่ากับเป็นปฏิปักษ์กับฉัน – เสี่ยวเจิงจี๋ ซันเทียนเปียวเองก็ยังพอมีความเกรงใจฉันอยู่บ้าง จึงไม่กล้าโอหังนัก!”

ท่านหมอเสี่ยวรีบพูดเพื่อให้หลิงหยุนสบายใจ แต่เมื่อเห็นหลิงหยุนยังคงยืนนิ่งไม่ยอมนั่งลง ท่านหมอเสี่ยวจึงต้องลุกขึ้นยืน และพูดต่อว่า

“หลิงหยุน.. ฉันรู้ว่าตอนนี้เธอกำลัโมโหจนแทบคลั่ง! แต่ก่อนที่เธอจะออกไปจัดการอะไร ฉันมีเรื่องสำคัญที่ต้องบอกกับเธอก่อน!”

ในที่สุดหลิงหยุนก็มองหน้าเสี่ยวเจิ้งจี๋พร้อมกับถามขึ้นว่า “อาวุโส.. มีเรื่องสำคัญอะไรหรือครับ?”

เสี่ยวเจิ้งจี๋ลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นว่า “ห้าหกวันที่ผ่านมานี้ ดูเหมือนจะมีชายอายุราวห้าสิบมาถามหาเธอ และเขาก็ไปปรากฏตัวอยู่แถวๆบ้านเลขที่หนึ่งของเธออยู่หลายครั้ง ฉันเคยแอบตามเขาไปเงียบๆ ดูเหมือนเขาจะเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนแล้วเหมือนกัน!”

หลิงหยุนรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทันที เพราะนอกจากท่านหมอเสี่ยวแล้ว เขาเองไม่เคยรู้จักกับคนสูงวัยที่ใหนเลย แล้วชายสูงอายุคนั้นมาถามหาเขาทำไมกัน?

เสี่ยวเจิ้งจี๋พูดต่อว่า “ดูเหมือนว่าเขาจะรู้จักอพาร์ทเมนท์ที่เธอเช่าอยู่ด้วยนะ เพราะสองสามวันที่ผ่านมา เขาไปคอยด้อมๆมองๆอยู่แถวนั้น แต่น่าแปลกที่เขาจะคอยแอบตามคุ้มครองน้องสาวของเธออยู่เงียบๆ”

 “ถ้าเธอมีโอกาสได้พบกับเขา.. อย่าลืมแสดงตัวกับเขาล่ะ เผื่อเขาจะสามารถช่วยอะไรพวกเราได้!”

หลิงหยุนพยักหน้าแต่ก็ยังคงสงสัยจึงถามขึ้นว่า “อาวุโส.. รูปลักษณ์ของเขาเป็นยังไงหรือครับ?”

ท่านหมอเสี่ยวอธิบายไปตามที่เห็น “เป็นชายอายุราวห้าสิบได้ สูงปานกลาง ผมสั้น ผิวคล้ำ คิ้วหนา จมูกโด่งและใหญ่ กำลังภายในของเขาก็อยู่ในขั้นเซียงเทียน แต่จากที่ฉันเห็น เขาน่าจะสามารถเอาชนะยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-1ได้อย่างสบายเลยล่ะ!”

“อ่อ.. ไม่เพียงแค่เรื่องของชายสูงวัยนั่นนะ.. แม้กระทั่งแก๊งมังกรเขียวที่ทรงอิทธิพลในเมืองจิงฉู ยังแอบตามหาเธออยู่ลับๆ แล้วก็คอยตามปกป้องคุ้มครองคนในครอบครัวของเธออย่างเงียบๆด้วย แต่เพราะอะไรพวกเขาถึงต้องทำแบบนั้น.. ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน?!”

หลิงหยุนเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดแก๊งมังกรเขียวจึงต้องปกป้องคนในครอบครัวของเขา? หรือเป็นเพราะตี้เสี่ยวอู๋ แต่ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะตี้เสี่ยวอู๋นับว่าเป็นคนทรยศของแก๊งมังกรเขียว แต่หากจะเป็นเพราะตัวเขาเอง ก็ยิ่งไม่น่าเป็นไปได้ เพราะเขาเองก็เพิ่งจะให้คนตบหน้าหลงหวู่ซึ่งเป็นลูกสาวของหัวหน้าแก๊งมังกรเขียวไป แต่น่าแปลก..ไม่เพียงแก๊งมังกรเขียวไม่มาวุ่นวายกับเขา แต่กลับแอบช่วยเหลือเขาอยู่อย่างลับๆ!

แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งวิเคราะห์เรื่องพวกนี้ เขาจึงหันไปถามหนิงน้อยว่า “หนิงน้อย.. ตอนนี้ถังเมิ่งอยู่ที่ใหน? อาการของเขาไม่ได้ร้ายแรงมากใช่ไม๊?”

เสี่ยวเม่ยหนิงถอนหายใจและตอบไปว่า “ครั้งนี้ถังเมิ่งอาการสาหัสมาก.. และทุกวันนี้เสียเจิ้นเหยินก็ยะโสโอหังมาก เขาไม่เพียงเข้าไปวุ่นวายกับพี่หลิงยู่ แต่ยังบอกถังเมิ่งว่าพี่ได้ตายแล้วก็หายสาบสูญไปแล้ว! ถังเมิ่งโกรธจนมีเรื่องกับเสียเจิ้นเหยิน แล้วก็ถูกเขาหักแขนหักขา! แต่เสียเจิ้นเหยินเก่งมากจริงๆนะ”

“เยี่ยม.. เยี่ยมมาก! ในที่สุดหางของแกก็โผล่ออกมาแล้วสินะ! กล้าทำร้ายน้องชายของฉัน ถ้างั้นแกก็อย่าตำหนิว่าฉันโหดร้ายก็แล้วกัน!” หลิงหยุนแสยะยิ้มและกำหมัดแน่นก่อนจะคำรามออกมาอย่างโกรธแค้น

สีหน้าของหลิงหยุนเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและเคียดแค้น เขาร้องถามเสี่ยวเม่ยหนิงเสียงดัง

“เสียเจิ้นเหยินทำถังเมิ่งหนักหนาสาหัสขนาดนั้น ตำรวจไม่จัดการอะไรบ้างเลยหรือยังไง?”

เสี่ยวเม่ยหนิงถึงกับกัดฟันกรอด “พ่อของเสียเจิ้นเหยิน – เสียเจิ้นติง ตอนนี้เป็นถึงรองนายกเทศมนตรีของเมืองจิงฉู อีกทั้งยังสนิทสนมกับหลัวจ้งที่ตอนนี้ได้ขึ้นมาคุมสำนักงานรักษาความมั่นคงแทนพ่อของถังเมิ่ง มีหรือจะมาสนใจจัดการเรื่องนี้?”

เสี่ยวเจิ้งจี๋ขมวดคิ้วพร้อมกับพูดขึ้นว่า “หลิงหยุน.. ถังเมิ่งได้รับบาดเจ็บภายในค่อนข้างสาหัส ฉันจัดการรักษาอาการบาดเจ็บภายนอก และต่อกระดูกที่หักให้แล้ว และได้ให้เขานอนพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล ทักษะทางการแพทย์ของเธอเหนือกว่าฉันมาก ยังไงก็รีบหาทางรักษาให้เขากลับสู่สภาพเดิมให้เร็วที่สุดก็แล้วกัน..”

หลิงหยุนพยักหน้า และได้บอกให้ท่านหมอเสี่ยววางใจ..

ตอนนี้หลิงหยุนยังมียันต์บำบัดเหลืออยู่อีกราวหกหรือเจ็ดแผ่น ซึ่งน่าจะเพียงพอสำหรับรักษาอาการบาดเจ็บของกับถังเมิ่ง

“แล้วเหยาลู่กับคนงานล่ะครับ?” หลิงหยุนถามต่อ

ท่านหมอเสี่ยวขมวดคิ้วพร้อมกับพูดเสียงเครียด “พิษหนอนกู่ของพวกมันไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ฉันทำได้แค่ควบคุมพิษของพวกเขาไว้ได้ชั่วคราวเท่านั้น แต่ไม่สามารถรักษาที่ต้นเหตุได้ อาการของพวกคนงานไม่หนักมากเท่าไหร่ แต่เด็กสาวคนนั้นสิ โดนพิษหนอนกู่เข้าไปค่อนข้างรุนแรง! แต่ร่างกายของน้องสาวเธอน่ะสิน่าแปลกมาก! ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงสามารถต้านทานพิษของหนอนกู่ได้ และตอนนี้น้องสาวของเธอก็ช่วยดูแลเด็กสาวคนนั้นมาได้สองสามวันแล้ว!

แววตาของหลิงหยุนนั้นเคร่งเครียดมากขึ้นเรื่อยๆ เขาแทบจะทนอยู่ที่นี่ต่อไปอีกไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว จึงรีบอำลาท่านหมอเสี่ยว

“อาวุโส.. ผมคงต้องขอตัวไปสะสางกับพวกมันก่อน! ครั้งนี้คงจะเป็นการล้างแค้นครั้งใหญ่ที่สุดของผม!”

หลิงหยุนอยากจะฆ่า.. เขาอยากจะฆ่าคนพวกนั้นให้ตายหมดทุกคน!

เสี่ยวเจิ้งจี๋พยักหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า “บางเรื่องฉันเองก็ไม่อยากจะออกหน้ามากนัก ถ้าเธอเผชิญหน้ากับยอดฝีมือที่ต่ำกว่าขั้นเซียงเทียน เธอก็สามารถจัดการพวกมันได้ แต่ถ้าต้องปะทะกับยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน ก็รีบบอกให้ฉันรู้ทันที แล้วฉันจะรีบไป!”

หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับเอ่ยปากขอบคุณท่านหมอเสี่ยวอย่างซาบซึ้งใจ “หลายวันมานี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ขอบคุณอาวุโสที่ช่วยเหลือ! ผมคงต้องไปแล้ว!”

“พี่หลิงหยุน.. ฉันจะไปกับพี่ด้วย!” เสี่ยวเม่ยหนิงรีบวิ่งไปจับมือหลิงหยุนไว้แน่น

หลิงหยุนลังเลนิดหน่อย ก่อนจะหันไปห้าม “หนิงน้อย.. วันนี้เป็นวันเกิดของคุณ ผมว่าคุณควรจะอยู่ที่บ้านกับครอบครัวถึงจะถูก!”

เสี่ยวเม่ยหนิงส่ายหน้าพร้อมกับพูดอย่างดื้อดึง “วันเกิดของฉันแล้วยังไง? ถ้าวันนี้พี่ไม่มา ฉันก็ไม่ลงมาในงานด้วยซ้ำ!”

หลิงหยุนได้แต่เกาศรีษะพร้อมกับขมวดคิ้วแล้วพูดออกไปตรงๆ “แต่คุณช่วยอะไรผมไม่ได้..”

เสี่ยวเม่ยหนิงร้องเสียงหลง “ทำไมฉันจะช่วยอะไรพี่ไม่ได้? ฉันจะเป็นคนขับรถให้พี่ พี่หลิงหยุน.. พี่รู้เหรอว่าถังเมิ่งอยู่ที่ใหนตอนนี้? ยังมีรายละเอียดอีกหลายอย่างที่ฉันยังไม่ได้บอกพี่ด้วยซ้ำ!”

ท่านหมอเสี่ยวพูดขึ้นมาว่า “หลิงหยุน.. คืนนี้เธอยังไม่ควรไปที่บ้านตระกูลซัน! ไปพบถังเมิ่งกับน้องสาวของเธอก่อนก็พอ! หนิงน้อยจะพาเธอไปพบพวกเขาเอง!”

หลิงหยุนใคร่ครวญตามที่ท่านหมอเสี่ยวบอก และคิดได้ว่าเขาไม่ควรปล่อยให้ถังเมิ่งต้องนอนเจ็บปวดอยู่บนเตียง และไม่ควรต้องปล่อยให้น้องสาวของเขาต้องวิตกกังวลไปมากกว่านี้ เมื่อคิดได้เช่นนี้.. หลิงหยุนก็รู้สึกเจ็บปวดใจอย่างมาก..

“พี่หลิงหยุน.. พี่รอฉันเดี๋ยวนะ! ฉันจะขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน!”

ทันทีที่หลิงหยุนตอบตกลง เสี่ยวเม่ยหนิงก็รีบวิ่งขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าบนบ้านทันที

เมื่อเสี่ยวเม่ยหนิงลงมา ท่านหมอเสี่ยวก็ได้แต่ถอนหายใจ แล้วพูดกับหลิงหยุนว่า “หลิงหยุน.. ครั้งนี้ศัตรูของเธอไม่ใช่ธรรมดาเลย! ตระกูลลซันที่มีทั้งอำนาจและอิทธิพลมากมาย แม้แต่ชื่อเสียงหมอเทวดาของฉันยังยากที่จะสู้ได้ ไม่เพียงเท่านั้น.. ตระกูลซันยังเป็นพวกเล่ห์เหลี่ยมจัด ไม่ทำอะไรตรงไปตรงมาแน่ และด้วยอำนาจอิทธิพลของพวกเขา เพียงแค่ยกโทรศัพท์หาผู้มีอำนาจในวงราชการ ก็เพียงพอที่จะเปลี่ยนแปลงเมืองจิงฉูทั้งเมืองได้เลยทีเดียว ฉันช่วยอะไรเธอได้ไม่มากนัก เธอก็อย่าได้ตำหนิฉันเลยนะ!”

หลิงหยุนผสานมือเขาด้วยกันพร้อมกับโน้มตัวลง และพูดขึ้นอย่างซาบซึ้งใจ “อาวุโส.. อย่าได้พูดเช่นนั้นเลยครับ ผมรู้ดีว่าอาวุโสทำอย่างสุดความสามารถแล้ว อาวุโสเป็นเพียงหมอคนหนึ่ง ได้ใช้เส้นสายทั้งหมดที่มีแล้ว ต่างจากตระกูลซันที่มีอำนาจ เงินทอง และนักฆ่าในมือมากมาย เท่าที่ช่วยผมมาจนถึงตอนนี้ ผมก็ซาบซึ้งใจมากแล้วล่ะครับ!”

“อีกอย่าง.. ผมเองที่รู้เรื่องราวทั้งหมดดีกว่าทุกคน! เรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น ต้นเหตุล้วนมาจากผม ศัตรูพวกนี้ก็มาเพราะต้องการตัวผม แต่คนบริสุทธิ์รอบตัว กลับต้องมาพบเจอกับความหายนะในครั้งนี้ด้วย..”

ท่านหมอเสี่ยวพยักหน้า “หลิงหยุน.. เธอก็อย่าได้ตำหนิตัวเองแบบนั้น ครั้งนี้หากเธอจัดการทุกอย่างได้เหมาะสม ฉันเชื่อว่าเธอจะสามารถรอดพ้นจากอันตรายและผ่านวิกฤติในครั้งนี้ไปได้อย่างแน่นอน!”

“อ่อ.. อย่าลืมว่าเธอต้องช่วยชีวิตเด็กสาวที่ชื่อเหยาลู่นั่นก่อนนะ เพราะฉันเองยังอดชื่นชมในความอุตสาหะของเธอไม่ได้!”

หลิงหยุนพยักหน้าอย่างเข้าใจ พร้อมกับกับตอบไปว่า “อาวุโสครับ.. ผมต้องไปแล้ว!”

พูดจบหลิงหยุนก็เดินออกไปจากห้อง แต่ก็ได้ยินเสียงของท่านหมอเสี่ยวตะโกนตามหลังมาว่า “หลิงหยุน.. ครั้งนี้เธออยากทำอะไรก็ทำให้เต็มที่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะอยู่ข้างเธอเอง!”

…………

หลิงหยุนกลับไปที่ห้องนั่งเล่น รอจนกระทั่งเสี่ยวเม่ยหนิงเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เธอสวมเสื้อเชิ้ตและกางเกงยีนส์ วิ่งถือโทรศัพท์ไว้ในมือข้างหนึ่ง และถือกุญแจรถอีกข้างหนึ่งลงมาจากชั้นสอง

หลิงหยุนไม่พูดอะไรมาก เขาเดินตามเสี่ยวเม่ยหนิงออกไปนอกบ้าน ทั้งคู่เดินตรงไปที่โรงรถ จากนั้นก็นั่งรถเฟอรารี่ของเสี่ยวเม่ยหนิงออกจากหมู่บ้านไป

“พี่หลิงหยุน.. เราจะไปที่ใหนก่อน?” เสี่ยวเม่ยหนิงถามหลิงหยุน

หลิงหยุนใคร่ครวญก่อนจะตอบไปว่า “ถังเมิ่งอยู่ใกล้มากไม๊? ถ้าอยู่ไม่ไกล ก็ไปหาถังเมิ่น และจัดการรักษาอาการบาดเจ็บให้กับเขาก่อน!”

“ได้!”

พูดจบเสี่ยวเม่ยหนิงก็เหยียบคันเร่ง และเร่งเครื่องมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลที่ถังเมิ่งรักษาตัวอยู่ทันที!

ในเวลาสี่ทุ่มตรง.. การจราจรค่อนข้างโล่ง และโรงพยาบาลก็อยู่ไม่ห่างจากหมู่บ้านนัก ห่างกันเพียงแค่ห้ากิโลเมตรเท่านั้น และเพียงเดี๋ยวเดียวทั้งคู่ก็ไปถึงที่หน้าโรงพยาบาล

“คุณปู่เป็นคนให้ถังเมิ่งมารักษาตัวอยู่ที่นี่ เพราะผู้อำนวยการของโรงพยาบาลรู้จักกับปู่ ถังเมิ่งจะได้รู้สึกสบายใจ!”

ระหว่างทางที่ไปนั้น เสี่ยวเม่ยหนิงก็ได้เล่ารายละเอียดต่างๆเพิ่มเติมให้หลิงหยุนฟังไปด้วย และนั่นยิ่งทำให้หลิงหยุนยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก!

“ถังเมิ่งอยู่ห้องใหน?!” หลิงหยุนเดินจ้ำอย่างรวดเร็ว

“ห้อง 203 ชั้นสอง แผนกศัลยกรรม ตามฉันมา!”

ทันทีที่เข้าไปในตึกศัลยกรรม หลิงหยุนและเสี่ยวเม่ยหนิงต่างก็ไม่รอลิฟท์ หลิงหยุนโอบเอวของเสี่ยวเม่ยหนิงไว้ และพาวิ่งขึ้นบันไดไปชั้นสองอย่างรวดเร็ว

จากนั้นก็วิ่งตรงไปที่ห้อง 203 และรีบเปิดประตูเข้าไปทันที หลิงหยุนมองเห็นถังเมิ่งนอนนิ่งอยู่บนเตียง!

“ถังเมิ่ง!”

“พี่หยุน!!”



บทที่ 352 : ล้างบางเมืองจิงฉู (1)

ท่านหมอเสี่ยวจัดให้ถังเมิ่งอยู่ให้ห้องเดี่ยวที่ไมต้องปะปนกับผู้อื่น เพื่อความสะดวกสบายและอุ่นใจของคนไข้!

ถังเมิ่งกำลังนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย ผมที่เคยยาวสลวยเป็นเอกลักษณ์ ถูกนางพยาบาลโกนทิ้งไปแล้ว ตอนนี้หัวโล้นๆของถังเมิ่งถูกห่อหุ้มด้วยผ้าก๊อซจำนวนมาก เห็นได้ชัดว่าเสียเจิ้นเหยินทำร้ายถังเมิ่งจนอาการโคม่า

ดวงตาข้างขวาของถังเมิ่งนั้น เป็นรอยเขียวช้ำและบวมเปล่งจากการถูกเสียเจิ้นเหยินชกเข้าที่เบ้าตาอย่างรุนแรง ตอนนี้ดวงตาทั้งสองข้างของถังเมิ่งแทบลืมไม่ขึ้น แม้จะพยายามอย่างมากแล้ว ก็ยังมองเห็นได้เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น

แต่ทั้งหมดที่พูดมานั้น เป็นเพียงแค่อาการบาดเจ็บที่เล็กน้อยเท่านั้น เพราะส่วนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสที่สุดก็คือแขนและขาข้างขวาของเขา ที่ต้องเข้าเฝือกแข็ง และนอนนิ่งอยู่บนเตียงโดยไม่สามารถขยับเขยื้อนได้แม้แต่น้อย สภาพของถังเมิ่งนั้นดูช่างน่าสงสารมากเหลือเกิน!

เมื่อหลิงหยุนได้เห็นภาพที่น่าเวทนาของถังเมิ่ง จิตใจของเขาจึงเหมือนถูกบีบคั้นอย่างรุนแรง พลังหยินในจุดตันเถียนของเขาพลุ่งพล่าน และไหลกระจายไปตามเส้นลมปราณทั่วทั้งร่างกาย และบรรยากาศรอบๆตัวก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเย็นยะเยือกขึ้นมาทันที!

“ลูกพี่! ใช่ลูกพี่จริงๆเหรอ? ลูกพี่.. นายกลับมาแล้วจริงๆเหรอ? นี่.. นี่ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไม๊?!” ถังเมิ่งยกมือข้างซ้ายชี้ไปทางหลิงหยุน และทำท่าดิ้นรนอยากจะลุกขึ้นนั่ง!

ตลอดหกวันที่ผ่านมานี้.. หลิงหยุนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับจมหายไปในท้องทะเล ถังเมิ่งเองก็ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน! จนแม้แต่เขาเองก็แทบจะล้มทั้งยืนเช่นกัน!

แต่ตอนนี้หลิงหยุนกลับมาปรากฏตัวตรงหน้า.. ถังเมิ่งจึงแทบไม่อยากเชื่อว่ามันคือความจริง!

แต่ในระหว่างที่ถังเมิ่งกำลังดิ้นขลุกขลักเพื่อที่จะลุกขึ้นนั่งอยู่นั้น ความเจ็บปวดทั่วทั้งร่างกายที่เกิดขึ้นกับเขา กลับเป็นเครื่องยืนยันอย่างดีว่าสิ่งที่เขาเห็นอยู่ในตอนนี้มันคือความจริง! หลิงหยุนกลับมาแล้วจริงๆ!

เขาไม่ได้ฝันไป!!

“ถังเมิ่ง.. ฉันเป็นต้นเหตุให้น้องชายที่แสนดีอย่างนายต้องได้รับบาดเจ็บสาหัส ตอนนี้นายอย่างเพิ่งพูดอะไร.. ฉันจะรักษาอาการบาดเจ็บของนายก่อน!”

หลิงหยุนยื่นมือออกไปกดไหล่ของถังเมิ่งให้นอนลงไปนิ่งๆอย่างนุ่มนวล และอ่อนโยน!

“ฉันไม่ได้ฝันจริงๆด้วย.. ว้าว!!”

และเมื่อถังเมิ่งหันไปเห็นเสียวเม่ยหนิงที่วิ่งตามเข้ามาในห้องอย่างรีบร้อน เขาก็ยิ่งมั่นใจว่าลูกพี่ของเขากลับมาแล้วจริงๆ หลังจากที่เขาเฝ้ารอคอยมาเป็นเวลาหลายวัน ในที่สุดหลิงหยุนก็มาปรากฏตัวตรงหน้าของเขาแล้วจริงๆ

ถังเมิ่งไม่อาจกลั้นน้ำตาลูกผู้ชายไว้ได้อีกต่อไป น้ำตาของเขาได้ระเบิดและพร่างพรูออกมาราวกับเขื่อนแตก!

ตลอดหกวันที่ผ่านมานั้น ถังเมิ่งต้องเผชิญหน้ากับความหวาดผวาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน ความทุกข์ในจิตใจที่เกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน การถูกรุมกระทืบจนร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส การถูกเยาะเย้ยถากถาง และทำให้ได้รับความอับอายจากฝ่ายตรงข้าม อีกทั้งยังต้องหวาดกลัวว่าหลิงหยุนจะตายและหายสาปสูญไปจริงๆ ฝันร้ายมากมายเหล่านี้ทำให้ถังเมิ่งต้องกัดฟันอดทนเพื่อที่จะผ่านพ้นมันไปให้ได้..!

เมื่อหลิงหยุนกลับมา.. เขาจึงปล่อยให้น้ำตาที่อดกลั้นไว้เป็นเวลาหลายวัน ได้พลร่างพรูออกมาโดยไม่คิดที่จะเช็ดมันออกด้วยซ้ำ!

ถังเมิ่งกัดฟันแน่น! เขาเชื่อมาตลอดว่าลูกพี่ของเขาต้องไม่เป็นอะไร และเชื่อว่าลูกพี่ของเขาจะต้องกลับมาแก้แค้นให้กับเขาอย่างแน่นอน! และด้วยความเชื่อมั่น และความหวังนี้ ทำให้ถังเมิ่งสามารถอดทนอยู่มาได้จนถึงตอนนี้!

และในที่สุด.. เมื่อหลิงหยุนปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าเขาจริงๆ! ถังเมิ่งจึงได้แต่ปล่อยให้น้ำตาที่อดกลั้นไว้มานานนั้น พร่างพรูออกมาราวกับสายน้ำ จนเปียกเสื้อของหลิงหยุนไปหมด!

การที่ถังเมิ่งจะผ่านความทุกข์ที่แสนขมขื่นเหล่านี้มาได้ เขาเองก็ต้องอาศัยความเข้มแข็งไม่น้อยเช่นกัน!

ศรีษะของถังเมิ่งทั้งระบมและเจ็บปวด ใบหน้าก็บวมเปล่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาข้างขวาที่ถูกเสียเจิ้นเหยินชกจนบวม การร้องไห้ในครั้งนี้จึงได้สร้างความเจ็บปวดอย่างมากมายให้กับเขา แต่ถังเมิ่งก็ไม่สนใจ และยังคงร้องไห้ไม่หยุด!

ตอนนี้ถังเมิ่งไม่ต่างจากเด็กที่ได้รับอุบัติเหตุจนบาดเจ็บ เขาเอาแต่ร้องไห้น้ำตาไหลอย่างน่าสงสาร!

“ลูกพี่.. นายหายไปใหนมา?.. ฉันคิดว่านายไม่ต้องการพวกเรา แล้วก็ทิ้งพวกเราไปซะแล้ว.. นายทำแบบนี้ได้ยังไง..”

ดวงตาของหลิงหยุนแดงก่ำ ลำคอของเขาตีบตันไปหมด และพยายามกลั้นน้ำตาของตนเองไว้! หลิงหยุนทำได้เพียงแค่ใช้มือลูบไหล่ของถังเมิ่งอย่างอ่อนโยน

เสี่ยวเม่ยหนิงเองเมื่อได้เห็นภาพสะเทือนใจเช่นนี้ ใบหน้าสวยงามของเธอก็ถึงกับเปื้อนไปด้วยน้ำตา จนต้องใช้หลังมือเช็ดออก..

“ไม่เป็นไรแล้ว.. ฉันกลับมาแล้ว! ฉันผิดเอง.. พี่ชายของนายคนนี้ขอสาบานว่าจะต้องจัดการกับคนที่ทำร้ายนายจนได้รับบาดเจ็บสาหัสแบบนี้ ใครก็ตามที่ทำให้นายได้รับความอับอาย พวกมันจะต้องได้รับกลับคืนไปเป็นร้อยเท่า!”

หลิงหยุนจัดการแกะผ้าพันแผลของถังเมิ่งออกโดยไม่พูดอะไรอีก ระหว่างที่ถังเมิ่งไม่ทันได้รู้ตัวนั้น หลิงหยุนก็จัดการฝังเข็มลงไปตามบาดแผลบนศรีษะของเขา!

ศรีษะของถังเมิ่งเย็บถึงสิบสามเข็ม! และเมื่อหลิงหยุนดึงเข็มออกมา เลือดตามบาดแผลก็เริ่มซึมออกมาทันที และศรีษะของเขาก็เริ่มมีเลือดไหลเปื้อนไปหมด!

จากนั้นหลิงหยุนก็เรียกยันต์บำบัดออกมาสามสี่แผ่น และไม่รอให้ถังเมิ่งกรีดร้องออกมาเพราะความเจ็บปวด เขารีบใช้ยันต์บำบัดวางลงไปตรงบาดแผล และร้องสั่งให้ยันต์ทำงานทันที!

ถังเมิ่งที่กำลังรู้สึกร้อนและเจ็บปวดที่บาดแผล แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ร้องออกมา เขาก็สัมผัสได้ถึงความเย็นบริเวณบาดแผล หลังจากนั้นครู่หนึ่ง บาดแผลบนศรีษะของถังเมิ่งก็ค่อยๆหายไป และกลับคืนสู่สภาพปกติราวกับไม่เคยมีบาดแผลเกิดขึ้นมาก่อน ไม่เหลือแม้แต่ร่องรอยของแผลเป็นให้เห็น จะมีก็เพียงคราบเลือดเพียงนิดหน่อยที่ติดอยู่บนศรีษะเท่านั้น

หลิงหยุนใช้ยันต์บำบัดรักษาอาการบวมเปล่งที่ใบหน้าให้กับถังเมิ่งต่อ ดวงตาข้างขวากับใบหน้าที่บวมเปล่งก็เริ่มยุบลง และกลับคืนสู่สภาพปกติอย่างรวดเร็ว

ในระหว่างงานเลี้ยงวันเกิดของเสี่ยวเม่ยหนิงนั้น หลิงหยุนก็ได้รักษาอาการตาบวมให้กับเธอเช่นกัน แต่เธอไม่ได้เห็นวิธีการรักษากับตาตัวเอง แต่เมื่อเธอได้เห็นหลิงหยุนรักษาอาการบวมที่ดวงตาและใบหน้าให้กับถังเมิ่ง เธอจึงได้แต่ตกตะลึงและลืมเรื่องร้องไห้เมื่อครู่ไปทันที!

“อย่าเพิ่งขยับ! เดี๋ยวพอหายดีแล้วนายตามฉันไปแก้แค้น!”

เมื่อหลิงหยุนเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจของถังเมิ่ง เขาก็ได้แต่ยิ้มพร้อมกับร้องเรียกเสี่ยวเม่ยหนิงให้เข้ามาช่วย..

หลิงหยุนจัดการบีบเฝือกที่แขกและขาของถังเมิ่งให้แตก ส่วนเสี่ยวเม่ยหนิงก็ช่วยแกะผ้าพันแผลที่ห่อหุ้มอยู่ออก จากนั้นหลิงหยุนก็ใช้ยันต์บำบัดรักษาอาการบาดเจ็บที่ขาให้กับถังเมิ่งทันที!

เพียงแค่ครึ่งนาที ถังเมิ่งก็สามารถยกแขนขวาและขาขวาขึ้นได้ เขายืดขาออก และเริ่มลุกขึ้นจากเตียง!

“ฮ่า ฮ่า.. ฉันหายเป็นปกติแล้วพี่หยุน! พี่เก่งมากเลยจริงๆ ทักษะทางการแพทย์ของพี่โคตรเหลือเชื่อเลย!”

ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม หากต้องนอนเจ็บป่วยอยู่บนเตียงและไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวได้ แต่จู่ๆ ความเจ็บปวดและอาการทุกอย่างกลับหายไปในพริบตา และสามารถกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิมได้นั้น แน่นอนว่าเขาย่อมต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดา!

“ฮ่า.. ฮ่า.. เสียเจิ้นเหยิน! ถ้าฉันไม่กลับไปกระทืบนายคืน อย่ามาเรียกฉันว่าถังเมิ่งอีก!”

ถังเมิ่งลุกขึ้นยืน และร้องตะโกนออกมาด้วยความโกรธแค้น!

“จัดการไอ้สวะนั่นไม่ใช่เรื่องยากหรอก!” หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับตอบถังเมิ่งไป แต่เมื่อพบว่าอาการบาดเจ็บภายในของถังเมิ่งไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง เขาจึงค่อยรู้สึกโล่งอก

สมกับเป็นท่านหมอเสี่ยว.. แม้ว่าจะไม่มีความสามารถที่น่าอัศจรรย์ใจอย่างหลิงหยุน แต่ก็สามารถรักษาอาการบาดเจ็บภายในได้เป็นอย่างดี

“นายไปจัดการอาบน้ำทำความสะอาดคราบเลือดตามตัวออกก่อน แล้วเปลี่ยนชุดคนไข้ออก พวกเราต้องรีบกลับไปที่อพาร์ทเมนท์ให้เร็วที่สุด!”

ความจริงแล้ว.. อาการบาดเจ็บของถังเมิ่งนั้นเข้าขั้นโคม่า การรักษาจึงค่อนข้างยากและต้องใช้เวลา แต่หลิงหยุนกลับสามารถใช้ยันต์บำบัดรักษาให้หายเป็นปกติได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว!

ตอนนี้เหยาลู่อยู่ที่อพาร์ทเมนท์ของหลิงหยุน และกำลังรับทุกข์ทรมานจากพิษหนอนกู่อยู่ เขาจึงต้องรีบกลับไปรักษาให้เธออย่างเร่งด่วนที่สุด!

หลิงหยุนนึกถึงร่างกายที่บอบบางและอ่อนแอของเหยาลู่ แต่กลับนึกไม่ถึงว่าเธอจะเป็นหญิงสาวที่ภายนอกแม้จะดูนุ่มนวล แต่จิตใจกลับแข็งแกร่งเกินกว่าที่จะหาใครจะเทียบได้! ตอนนี้เมื่อคิดว่าเหยาลู่ต้องทนอยู่กับความเจ็บปวดที่ยากจะทนได้แล้ว หลิงหยุนก็รู้สึกราวกับมีเข็มเป็นร้อยๆเล่มทิ่มแทงหัวใจ!

“ได้เลยลูกพี่!”

ตอนนี้หลิงหยุนกลับมาแล้ว ร่างกายและจิตใจของถังเมิ่งก็กลับคืนสู่สภาพปกติอีกครั้ง เขากระโดดลงจากเตียงอย่างรวดเร็ว และรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำจัดการอาบน้ำแต่งตัวอย่างรวดเร็ว

“หนิงน้อย.. มาช่วยผมเก็บเสื้อผ้าของถังเมิ่ง จะได้รีบออกไปจากที่นี่กัน!”

ทันทีที่ถังเมิ่งเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ หลิงหยุนก็สั่งหนิงน้อยให้มาช่วยเขาจัดการเก็บของของถังเมิ่ง และเธอก็ทำตามคำสั่งของเขาอย่างเชื่อฟัง!

“นี่พวกเธอทำอะไร?! อ้าวหนิงน้อยเองเหรอ.. นี่มัน..”

“แล้วถังเมิ่งล่ะ..?”

ขณะที่คนทั้งคู่กำลังก้มหน้าก้มตาเก็บของให้กับถังเมิ่งอยู่นั้น หญิงวัยกลางคนอายุราวสี่สิบปี ก็เดินถือกระติกน้ำร้อนเข้ามยืนอยู่ข้างหน้า เธอไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นแม่ของถังเมิ่ง – นางชว่างเหวินฮุ่ยนั่นเอง

แน่นอนว่าชว่างเหวินฮุ่ยต้องรู้จักเสี่ยวเม่ยหนิงดี เธอเพิ่งกลับจากไปเอากระติกน้ำร้อน  และเมื่อกลับเข้ามาในห้องก็พบว่าลูกชายของเธอหายไปจากเตียงคนไข้แล้ว เธอจึงตกใจอย่างมาก!

“ป้าชว่างคะ.. ถังเมิ่งกำลังอาบน้ำอยู่ค่ะ พวกเรากำลังช่วยเขาเก็บของ..” เสี่ยวเม่ยหนิงเงยหน้าขึ้นพูดกับนางชว่างเหวินฮุ่ย

“ถังเมิ่งยังต้องรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล แล้วจะเก็บของไปทำไมกัน..? ห๊ะ.. หลานบอกว่าอะไรนะ.. ถังเมิ่งกำลังอาบน้ำงั้นเหรอ? เขาจะอาบน้ำได้ยังไง?”

ชว่างเหวินฮุ่ยถึงกับอึ้ง.. ถังเมิ่งได้รับบาดเจ็บเข้าขั้นโคม่า แล้วจะลุกลงจากเตียงไปอาบน้ำได้ยังไงกัน?!

“แม่ครับ.. ผมหายดีแล้ว! พี่หยุนรักษาให้ผมจนหายแล้ว ผมกำลังอาบน้ำอยู่!”

ถังเม่งที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ และกำลังเช็ดตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ในห้องน้ำร้องตะโกนออกมา

“อะรไรนะ?! หายแล้วเหรอ?!” นางชว่างเหวินฮุ่ยถึงกับร้องเสียงดังออกมาอย่างตกใจ และสีหน้าของเธอก็บ่งบอกว่าไม่อยากจะเชื่อ มือไม้ของเธออ่อนแรง และของในมือก็เกือบจะร่วงลงพื้น!

หลิงหยุนรีบก้าวไปยืนด้านหน้าของนางชว่างเหวินฮุ่ย และรีบเอื้อมมือไปรับกาน้ำร้อนมาจากมือของเธอมา จากนั้นก็ยิ้มให้พร้อมกับโค้งคำนับและเอ่ยทักทาย

“ท่านป้าครับ.. ผมหลิงหยุนครับ!”

หลิงหยุนไม่อาจเสียมารยาทกับแม่ของถังเมิ่งได้ ที่เขาเปิดบัญชีเล่นหุ้นได้ก็เพราะแม่ของถังเมิ่งช่วย

อีกทั้งในคืนที่เขาเผชิญหน้ากับศัตรู ถังเทียนห่าวก็ได้นำกองกำลังตำรวจหลายสิบนายบุกไปช่วยเขา จนเป็นสาเหตุให้ตระกูลถังต้องประสบกับสถานการณ์ที่เลวร้ายอยู่ในตอนนี้ เช่นนี้แล้ว หลิงหยุนจะกล้าเสียมารายาทกับนางได้อย่างไร?

ยิ่งไปกว่านั้น.. ถังเมิ่งเองก็เป็นดั่งน้องชายของเขา!

“เธอคืหลิงหยุนงั้นเหรอ!?” ชว่างเหวินฮุ่ยมองหลิงหยุนอย่างพินิจพิเคราะห์ และได้แต่ถอนหายใจ

เขาช่างดูเหมือนมังกรในหมู่มวลมนุษย์จริงๆ! แต่เด็กคนนี้กลับต้องกำลังเผชิญหน้ากับความหายนะที่ยิ่งใหญ่!

ชว่างเหวินฮุ่ยรู้สึกสับสน แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เธอจะมาครุ่นคิดเรื่องพวกนี้ สิ่งที่เธอกังวลมากที่สุดก็คืออาการของถังเมิ่ง!

“เธอเป็นคนรักษาให้กับถังเมิ่งงั้นเหรอ?!”



บทที่ 353 : ล้างบางเมืองจิงฉู (2)

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับหันหน้าไปทางห้องน้ำ..

ถังเมิ่งที่เพิ่งอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็เดินออกมาพอดี เมื่อความจริงปรากฏต่อหน้า หลิงหยุนจึงไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรอีก

“ลูก..?!” นางชว่างเหวินฮุ่ยที่เพิ่งกลับเข้ามาในห้อง รีบเดินดิ่งเข้าไปหาลูกชาย และกอดเข้าไว้แน่น1

ถังเมิ่งเองก็กำลังตื่นเต้นอย่างมาก เขาซบศรีษะลงบนไหล่ของนางชว่างเหวินฮุ่ย พร้อมกับพูดขึ้นว่า

“แม่ครับ.. ผมไม่เป็นไรแล้ว ผมหายดีแล้วครับ! ผมเคยบอกแม่หลายครั้งแล้วไง.. ถ้าพี่หลิงหยุนกลับมาเมื่อไหร่ เขาจะต้องรักษาอาการบาดเจ็บของผมได้!”

ตั้งแต่ที่นางชว่างเหวินฮุ่ยมาเฝ้าถังเมิ่งที่โรงพยาบาลนั้น เธอก็ได้ยินถังเมิ่งพูดถึงหลิงหยุนนับครั้งไม่ถ้วน และคอยปลอบใจเธออยู่เสมอว่า อาการบาดเจ็บเล็กน้อยเพียงแค่นี้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตสำหรับหลิงหยุนเลย เธอเองก็ฟังลูกชายพูดจนรู้สึกสบายใจและมั่นใจไปด้วย..

แต่ถึงอย่างนั้น เธอเองก็รู้ดีว่าถังเมิ่งคงจะพูดปลอบใจเพื่อให้เธอสบายใจเท่านั้นเอง เพราะสภาพที่แขนขาเข้าเฝือกและอาการโคม่าแบบนี้ ต่อให้เป็นหมอที่เก่งกาจเพียงใหน ก็ไม่มีทางที่จะทำให้คนที่กระดูกหักสามารถหายและวิ่งได้ในทันที!

แต่ตอนนี้.. ลูกชายของเธอกลับลุกขึ้นมาจากเตียง และกำลังเดินอยู่ต่อหน้าเธอ ชว่างเหวินฮุ่ยรู้สึกราวกับมีปาฏิหารย์เกิดขึ้น เธอได้แต่ยิ้มออกมาอย่างมีความสุข!

สำหรับหัวอกของคนเป็นแม่นั้น.. การที่ลูกชายได้รับการรักษาจนกระทั่งหายดีนั้น นับว่าเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด!

ถังเมิ่งยังคงซบอยู่ที่ไหล่ของแม่เขาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงลุกขึ้นยืดตัวตรง และพูดกับนางชว่างเหวินฮุ่ยว่า

“แม่ครับ.. พี่หลิงหยุนกลับมาแล้ว มีธุระอีกหลายเรื่องที่พวกเราต้องรีบไปจัดการ..”

เวลานี้.. ทั้งสามคนยังต้องไปช่วยคนอื่นต่อ พวกเขาจึงไม่สามารถชักช้าได้!

ชว่างเหวินฮุ่ยช่างเป็นคนที่เข้าใจอะไรได้ง่าย! เธอเองก็เคยได้ยินความอัศจรรย์ของหลิงหยุนจากปากสามีและลูกชายของเธออยู่บ่อยครั้ง และตอนนี้หลิงหยุนก็กลับมาแล้วจริงๆ คงถึงเวลาที่ถังเมิ่งต้องกลับไปแก้แค้น เธอจึงพยักหน้าพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย แล้วพูดขึ้นว่า

“ลูกไปเถอะ.. ไม่ต้องห่วงที่นี่หรอก เดี๋ยวแม่จะให้คนมาเก็บของเอง!”

ชว่างเหวินฮุ่ยคิดว่า.. ในเมื่อหลิงหยุนสามารถรักษาอาการบาดเจ็บเข้าขั้นโคม่าของถังเมิ่งได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว ยังจะมีอะไรที่เขาจะทำไม่ได้อีก!

“ขอบคุณครับแม่!” ถังเมิ่งได้แต่ลูบหัวโล้นของตัวเองพร้อมกับยิ้มให้แม่ของเขา

ชว่างเหวินฮุ่ยลูบไหล่ถังเมิ่งอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็หันไปยิ้มให้หลิงหยุน และพูดกับเขาว่า

“หลิงหยุน.. หลายวันมานี้ถังเมิ่งเอาแต่เล่าเรื่องของเธอให้ฉันฟัง ป้าได้แต่ฝากให้เธอช่วยดูแลเรื่องความปลอดภัยของถังเมิ่งแทนป้าด้วย หวังว่าเธอจะช่วยดูแลเขาแทนป้าด้วยนะ!”

หลิงหยุนคิดไม่ถึงว่าแม่ของถังเมิ่จะเป็นคนเปิดเผยเช่นนี้ เขาจึงพยักหน้ารับปากเพื่อให้นางชว่างเหวินฮุ่ยมั่นใจและสบายใจ..

เมื่อทั้งสามคนหันหลังและกำลังจะเดินออกจากห้องไป พวกเขาก็ได้ยินเสียงของชว่างเหวินฮุ่ยร้องตามหลังมาว่า

“ถ้าพวกเธอได้เจอกับเสียเจิ้นเหยิน จำไว้ว่าอย่าได้ทำอะไรรุนแรงเกินไป..”

เมื่อทั้งสามคนได้ยิน ต่างก็หันมามองหน้ากัน ถังเมิ่งอดคิดไม่ได้ว่าแม่ของเขากลายเป็นคนใจดีแบบนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? ส่วนหลิงหยุนก็ได้แต่ขมวดคิ้วเช่นกัน.. จากนั้นเสียงของนางชว่างเหวินฮุ่ยก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“แค่หักแขนหักขาทั้งสองข้างก็พอ.. จะได้ไม่ไปสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นอีก..”

ส่วนถังเมิ่งนั้น ทันทีที่เขาได้ยินคำพูดของแม่ เขาถึงกับหันไปพูดกับเธอว่า “แม่ครับ.. ผมว่าแม่ก็ทำปากดีไปแบบนั้นเองล่ะ คงไม่ได้อยากให้ทำอย่างนั้นจริงๆใช่ไม๊ล่ะ.. เห็นไหว้พระสวดมนต์ทุกวัน..”

หลิงหยุนได้แต่หัวเราะเสียงดังพร้อมกับหันไปตอบนางชว่างเหวินฮุ่ยว่า “ป้าชว่างครับ.. ผมจะให้ถังเมิ่งเป็นคนตัดสินใจเองว่าจะลงโทษเสียเจิ้นเหยินยังไง?”

หลิงหยุนคิดในใจว่า.. นางชว่างเหวินฮุ่ยเป็นคนแบบนี้นี่เอง ถึงได้อบรมเพลย์บอยอย่างถังเมิ่งได้อยู่หมัด แม่แบบนี้ต่างหากจึงสมควรที่จะมีลูกชาย!

แม้แต่เด็กสาวตัวแสบเอาแต่ใจอย่างเสี่ยวเม่ยหนิงยังอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ เธอได้แต่ส่ายหน้าพร้อมกับขยิบตาให้ชว่างเหวินฮุ่ย..

……..

ทั้งสามคนรีบร้อนออกจากโรงพยาบาลทันที และครั้งนี้ถังเมิ่งทำหน้าที่เป็นคนขับรถ และกำลังมุ่งหน้าไปยังอพาร์ทเมนท์ของหลิงหยุน

ตอนนี้บ้านของหลิงหยุนทั้งสองหลังถูกสั่งปิดไปแล้ว ส่วนคลีนิคก็ถูกคนบุกรุกและทำลายจนพังเสียหาย แต่โชคดีที่อพาร์ทเมนท์เป็นห้องที่หลิงหยุนเช่าจากคนอื่นอีกที มิเช่นนั้นแล้ว.. ก็คงถูกทางราชการสั่งปิดเช่นกัน!

“แล้วลุงถังเป็นไงบ้าง?” ทันทีที่ขึ้นไปบนรถ หลิงหยุนก็ถามเรื่องของถังเทียนห่าวจากถังเมิ่งทันที

ใบหน้าของถังเมิ่งเต็มไปด้วยความโกรธแค้น “ตอนนี้ก็ถูกพักราชการชั่วคราว แล้วก็ถูกหลัวจ้งตรวจสอบ ครั้งนี้พวกเราถูกโจมตีโดยที่ไม่ทันตั้งตัวเลย พวกเราถูกโจมตีจากทุกทาง และพวกมันก็ใช้อำนาจทุกอย่างเข้ามาจัดการกับพวกเรา!”

หลิงหยุนเชื่อว่าศัตรูของเขาเลือกที่จะจู่โจมคนรอบตัวเขาในช่วงที่เขาหายตัวไป พวกมันคงจะปะติดปะต่อเรื่องราวต่างๆได้ จึงได้ใช้ทุกวิถีทางควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดไว้!

หากคุณสามารถมองเห็นความไม่มีเหตุผลในสิ่งที่มีเหตุผล คุณก็จะสามารถตรวจสอบหน่วยงานราชการได้ ภายในวันเดียวกัน ถังเทียนห่าวทั้งถูกปลดจากตำแหน่ง และถูกควบคุมตัวไว้เพื่อสอบปากคำ นอกจากตระกูลซันแล้ว คงจะไม่มีใครที่มีอำนาจอิทธิพลได้มากถึงเพียงนี้..

หลิงหยุนและทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเขากำลังถูกอำนาจรัฐบีบบังคับ และนั่นเป็นผลมาจากการสั่งการของตระกูลซันอีกที!

ตอนนี้หลิงหยุนพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับศัตรูแล้ว แต่เขาต้องค่อยๆแก้ไขไปทีละเรื่อง และสิ่งที่เขาต้องทำก่อนเป็นอันดับแรกในเวลานี้คือการช่วยชีวิต!

“แล้วตี้เสี่ยวอู๋ล่ะ?!” หลิงหยุนถามถึงตี้เสี่ยวอู๋ต่อ

ถังเมิ่งตอบด้วยน้ำเสียงเคียดแค้น “เท่าที่ฉันรู้.. หวงเฟยหยางมันหนีไปตั้งแต่ตอนที่พวกเราไปบุกบริษัทชิงหยุนโปรดักชั่น แต่ไม่รู้ว่ามันกลับมาตอนใหน แต่พอมันปรากฏตัว ตี้เสี่ยวอู๋ก็ถูกจับในข้อหากรรโชกทรัพย์ คนที่สั่งจับกุมก็คือหลัวจ้ง และตอนนี้ตี้เสี่ยวอู๋ก็ถูกขังอยู่ที่สถานีตำรวจ!”

หลิงหยุนรู้สึกผิดอย่างที่สุด เขาเองเป็นคนต้นคิดในเรื่องนี้ และหลังจากที่ได้เงินทั้งหมดจากบริษัทชิงหยุนโปรดักชั่น เขาก็สั่งให้ปล่อยหวงเฟยหยางไป..

แต่หลิงหยุนกลับคิดไม่ถึงว่า หวงเฟยหยางจะยังคงซ่อนตัวอยู่ในเมืองจิงฉู และปรากฏตัวออกมาแจ้งความตี้เสี่ยวอู่ในเวลาเดียวกันกับที่เกิดเรื่องอื่นๆด้วย จนทำให้ตี้เสี่ยวอู๋ถูกจับกุมในที่สุด!

“เป็นความผิดของฉันเอง! เป็นเพราะฉันใจดีปล่อยมันไป..”

หลิงหยุนรู้สึกผิดอย่างที่สุด หากครั้งนั้นเขาจัดการจี้จุดหวงเฟยหยางไว้ ต่อให้มันกล้าหาญชาญชัยแค่ใหน มันก็คงไม่กล้าที่จะแว้งกัดเขาอย่างแน่นอน

“อ้อ.. พี่หยุน! ลูกน้องคนสนิทของพ่อฉันที่ชื่อกังหลิวหย่ง คนที่พาตำรวจหลายสิบนายบุกไปที่บ้านตระกูลเฉิงในคืนนั้น ก็โดนสั่งพักงานด้วยเหมือนกัน..”

หลิงหยุนได้แต่ถอนหายใจและพูดขึ้นมาว่า “ถังเมิ่ง.. ฉันมั่นใจว่าเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้น ตระกูลซันคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังทั้งสิ้น แต่ไม่ว่าเรื่องราวจะซับซ้อนแค่ใหน หรือแม้แต่ตระกูลซันจะลงมาสั่งการด้วยตัวเองก็ตาม ปัญหาทุกอย่างจะต้องแก้ไขได้อย่างแน่นอน!”

ตระกูลซันแอบติดต่อกับหน่วยงานราชการของเมืองจิงฉูที่เป็นคนของรองนายกเทศมนตรีเสียเจิ้นถิงอย่างลับๆ และร่วมมือกับหลัวจ้ง ใช้โอกาสนี้จัดการกับหลี่ยี่เฟิงและถังเทียนห่าว ด้วยการอ้างการกระทำที่น่าสัยของทั้งคู่เเล่นงานพวกเขา!

และเพียงแค่ตระกูลซันจัดการปลดหลี่ยี่เฟิงและถังเทียนห่าว ก็สามารถพลิกสถานการณ์ในเมืองจิงฉูทั้งเมืองได้แล้ว!

ต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดก็คือตระกูลซัน!

หลิงหยุนมีความคิดที่จะบุกไปที่เมืองหลวง และจัดการปลดชื่อของตระกูลซันออกจากตระกูลใหญ่ทั้งเจ็ด แต่เขาก็ต้องยับยั้งใจไว้ชั่วคราวก่อน เพราะเมืองหลวงเต็มไปด้วยเสือสิงห์ หากเขาเข้าไปตอนนี้ ก็ไม่ต่างจากการเดินเข้าไปในกับดักที่ตระกูลซันวางไว้

“หนิงน้อย.. วันนี้วันเกิดของคุณ ผมยังไม่ได้อวยพรเลย สุขสันต์วันเกิด ขอให้คุณมีความสุขมากๆ..”

ทันทีที่หลิงหยุนปรากฏตัว ถังเมิ่งก็ไม่กลัวอะไรอีก และตอนนี้สภาพจิตใจของเขาก็กลับสู่ปกติเหมือนเช่นเคยแล้ว

เสี่ยวเม่ยหนิงซุกตัวลงในอ้อมแขนของหลิงหยุน พร้อมกับพูดออกมาว่า “พี่หลิงหยุน.. เกิดเรื่องมากมายขนาดนี้ ฉันจะมีความสุขได้ยังไงกัน!? แต่แค่ฉันได้รับของขวัญวันเกิดจากพี่ ฉันก็มีความสุขมากแล้วล่ะ!”

ถังเมิ่งหัวเราะพร้อมกับหยอกล้อเสี่ยวเม่ยหนิง “แค่พี่หยุนให้หลอดสักอัน เธอก็คงมีความสุขแล้วล่ะหนิงน้อย..”

เสี่ยวเม่ยหนิงกอดหลิงหยุนแน่นขึ้นพร้อมกับพึมพำว่า.. “ใช่แล้ว..”

หลิงหยุนโอบไหล่เสี่ยวเม่ยหนิงไว้แน่น พร้อมกับสั่งถังเมิ่งว่า “นายขับให้เร็วกว่านี้หน่อย!”

หลิงหยุนรู้สึกเป็นกังวลและกระวนกระวายใจอย่างมาก แม้ตอนนี้ถังเมิ่งจะขับรถด้วยความเร็วเกือบจะสูงสุดแล้ว เขาก็ยังรู้สึกว่ายังช้าเกินไป

ถังเมิ่งจึงรีบเหยียบคันเร่งให้เร็วขึ้น และตอนนี้รถเฟอรารี่ก็ไม่ต่างจากลูกศรที่พุ่งทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง..

สิบนาทีต่อมา.. ถังเมิ่งก็ขับมาถึงหน้าอพาร์ทเมนท์ และยังไม่ทันที่รถจะจอดสนิท หลิงหยุนก็รีบเปิดประตูออกไป จากนั้นก็ยื่นกุญแจห้องให้กับถังเมิ่งและเสี่ยวเม่ยหนิง ส่วนเขาก็เตรียมกระโดดขึ้นไปที่ระเบียงชั้นสองแทน

กลิ่นเหม็นฉุนโชยออกมาจากห้อง หลิงหยุนรู้ดีว่ามันคือพิษที่กระจายออกมา เขาจึงสั่งให้ถังเมิ่งและเสี่ยวเม่ยหนิงคอยอยู่ในรถก่อน!

ท่านหมอเสี่ยววิเคราะห์ได้ถูกต้อง พิษหนอนกู่ช่างรุนแรง หากคนธรรมดาได้สูดดมเข้าไปเพียงเล็กน้อย ก็สามารถถูกพิษได้แล้ว

แต่กายอัปสรของหนิงหลิงยู่นั้นกลับสามารถต้านทานพิษหนอนกู่ที่ร้ายแรงนี้ได้ ส่วนคนอื่นอย่าหวังที่จะเข้าใกล้ได้เลย

……

ภายในห้องนอนของหลิงหยุน..

หนิงหลิงยู่กำลังนั่งอยู่ที่ขอบเตียง แววตาของเธอเต็มไปด้วยความสับสนและโศกเศร้า หนิงหลิงยู่นั่งมองเหยาลู่ที่นอนอยู่บนเตียงด้วยความเหนื่อยล้า ในมือถือผ้าขนหนู และกำลังเช็ดตัวให้กับเหยาลู่

เมื่อวานซืน เหยาลู่ได้รับอุบัติเหตุที่คลีนิค ท่านหมอเสี่ยวได้จัดการฝังเข็มเพื่อยับยั้งพิษของหนอนกู่ไว้ จากนั้นจึงพาเหยาลู่มาพักที่นี่ และขอให้หนิงหลิงยู่ช่วยดูแลเธอ

ตั้งแต่เมื่อคืนก่อนจนถึงตอนนี้ หนิงหลิงยู่เองก็ต้องคอยดูแลเหยาลู่อยู่ตลอดเวลา.. ตั้งแต่เช็ดตัวให้เธอด้วยน้ำอุ่น และต้องคอยนำปัสสาวะของเธอไปทิ้ง ช่างเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับหนิงหลิงยู่อย่างมาก และเธอเองก็ไม่ได้นอนพักผ่อนมาเป็นเวลาสามวันสามคืนแล้ว..

เหยาลู่ไม่เพียงถูกพิษหนอนกู่ที่ร้ายแรง แต่เธอยังได้รับบาดเจ็บสาหัสจาการเข้าขัดขวางกลุ่มคนเซียงซี จนถูกยอดฝีมือคนหนึ่งซัดฝ่ามือเข้าที่หน้าอก!

แต่เพราะชายผู้นั้นไม่กล้าฆ่าคนตอนกลางวันแสกๆ และดูเหมือนยอดฝีมือผู้นั้นก็ไม่ต้องการให้เหยาลู่ได้ตายอย่างสบาย มันจึงได้แสดงความโหดเหี้ยมด้วยการทำให้ร่างกายของเหยาลู่ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ และทำให้เธอไม่สามาถตายได้ และต้องทุกข์ทรมานจากพิษของหนอนกู่อีกเป็นเวลานาน

ที่หน้าอกของเหยาลู่มีรอยฝ่ามือสีเขียวคล้ำ และตอนนี้มันก็เริ่มเน่าและมีหนอง จนส่งกลิ่นเหม็นเน่าออกมา..

เหยาลู่ต้องทนเจ็บปวดกับความรู้สึกที่ราวกับมีมดเป็นฝูงมารุมกัดอยู่ตามร่างกาย แม้อยากจะนอนหลับก็ยังไม่สามารถทำได้ ตอนนี้เหยาลู่ได้แต่นอนสั่นเทิ้มไปทั่วทั้งร่าง ส่วนริมฝีปาก็ขบกันแน่นด้วยความเจ็บปวด!

หลิงหยุนย่องเข้าไปในห้องอย่างเงียบๆ หลังจากที่ได้เห็นสภาพของหญิงสาวทั้งสอง สายตาของเขาที่มองไปนั้น ก็เต็มไปด้วยรังสีแห่งความอำมหิตและไอสังหาร!

“หลิงยู่.. พี่กลับมาแล้ว!”



บทที่ 354 : ล้างบางเมืองจิงฉู (3)

ทันทีที่ได้ยินเสียงของหลิงหยุน ร่างของหนิงหลิงยู่ก็สั่นอย่างรุนแรง มือที่กำลังยื่นออกไปเพื่อเช็ดตัวให้กับเหยาลู่นั้นชะงักทันที ใบหน้าที่นิ่งอย่างคนเลื่อนลอยค่อยๆหันกลับมา และหยุดนิ่งราวกับรูปปั้นเทพธิดา

หลังจากที่แน่ใจว่าหลิงหยุนได้หายตัวไปแล้วจริงๆ และเกิดเรื่องน่าเศร้ามากมายขึ้นกับครอบครัวของเธอ  หนิงหลิงยู่ก็ไม่เคยได้ข่มตาให้นอนหลับได้อีกเลย ในใจของเธอเต็มไปด้วยความวิตกกังวล และยังคงตั้งตารอคอยการกลับมาของหลิงหยุน!

ในใจของเธอนั้น เป็นห่วง กระวนกระวายใจ และร้อนใจเกี่ยวกับหลิงหยุนมากกว่าเรื่องอื่นๆ! แต่เธอก็แข็งแกร่งได้อย่างไม่น่าเชื่อ!

หนิงหลิงยู่ค่อยๆหันหน้าไปมองหลิงหยุนที่จู่ๆก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า ดวงตาทั้งสองข้างของเธอเริ่มแดงก่ำ และคลอไปด้วยน้ำตา

“พี่ใหญ่.. พี่กลับมาแล้ว..” ใบหน้าที่อ่อนล้ายิ้มอย่างสดใส และแววตาเป็นประกาย เธอลุกขึ้นยืนและกำลังจะวิ่งเข้าไปหาอ้อมแขนของหลิงหยุน

แต่เพียงแค่ลุกขึ้นยืน ร่างบอบบางของเธอก็โยกเยก และรู้สึกว่าทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้ากลับมืดมิดไปหมด คล้ายกับท้องฟ้ากำลังถล่มทลาย!

ภายใต้แรงบีบคั้นที่รุนแรงมากมายในช่วงหลายวันนี้ หนิงหลิงยู่เองก็แทบล้มไปอีกคน ร่างกายและจิตใจของเธอแบกรับแรงกดดันที่บีบคั้นมานานจนเกินที่จะรับได้ไหวอีก ดังนั้นเมื่อเห็นหลิงหยุนมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า ความงุนงงสับสนที่เกิดขึ้นในใจ ทำให้เธอไม่อาจทนรับได้ และเป็นลมล้มพับไปทันที!

“หลิงยู่!”

หลิงหยุนรีบพุ่งเข้าไปรับร่างที่อ่อนนุ่มของหนิงหลิงยู่ไว้ จากนั้นก็ช้อนร่างที่สลบไสลของเธอไว้ในอ้อมแขน และอุ้มไปวางไว้บนเตียงอ่อนนุ่มในห้องของเสี่ยวเม่ยเม่ย แล้วจัดการห่มผ้าให้กับเธอ

“หลับซะนะหลิงยู่.. พักผ่อนให้เต็มที่ น้องพี่แบกรับทุกอย่างมานานเกินไปแล้ว..”

หลิงหยุนไม่ปลุกหนิงหลิงยู่ที่เป็นลมล้มพับไป แต่เลือกที่จะให้เธอได้นอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่ ทั้งร่างกายและจิตใจของหนิงหลิงยู่ได้ผ่านความเหนื่อยากและบีบคั้นมามาก จนตอนนี้ได้หมดเรี่ยวหมดแรงลงแล้ว!

หลิงหยุนนึกสภาพของหนิงหลิงยู่ที่ผ่านมาได้ดี จู่ๆสมาชิกในครอบครัวก็หายไปโดยไม่ทันได้ร่ำลา และไม่รู้แม้กระทั่งว่าพี่ชายของตนเองหายไปอยู่ที่ใหน หลังจากนั้นก็ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันจากหน้ามือเป็นหลังมือ แน่นอนว่าหนิงหลิงยู่ย่อมต้องได้รับความกดดันและความเครียดอย่างมากมายแน่นอน แต่การที่เธอสามารถยืนหยัดมาได้จนถึงเวลานี้นั้น นับว่าเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์อย่างมากทีเดียว!

หากไม่ใช่เพราะหลิงหยุนใช้พลังอมตะเปลี่ยนร่างของหนิงหลิงยู่ให้เป็นกายอัปสรแล้วล่ะก็ รับรองว่าป่านนี้เธอคงต้องล้มไปนานแล้ว!

แต่แน่นอนว่า การที่หนิงหลิงยู่ยืนหยัดมาได้จนถึงตอนนี้ และสามารถยอมรับกับเรื่องราวน่าเศร้าที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันได้นั้น ส่วนหนึ่งก็คือความแข็งแกร่งและความเข้มแข็งในตัวของเธอนั่นเอง ไม่เช่นนั้นแล้ว ลำพังกายอัปสรของเธอเพียงอย่างเดียวนั้น ก็คงจะไม่สามารถพาเธอให้ยืนหยัดมาจนถึงเวลานี้ได้

“เฮ้อ..!!”

หลิงหยุนถอนหายใจออกมาเสียงดัง ในใจของเขารู้สึกผิดและนึกตำหนิตัวเองอย่างมาก เขาเก็บงำและอดกลั้นต่อความเคียดแค้นทั้งหมดไว้ภายในใจ แล้วเดินออกจากห้องไปเงียบๆ

หลิงหยุนกลับไปที่ห้องนอนของตนเอง และพบว่าเหยาลู่กำลังนอนลืมตามองเขาอยู่ และร่างบอบบางของเธอก็กำลังดิ้นขลุกขลักเพื่อจะลุกขึ้นจากเตียง

“เหยาลู่.. คุณอย่าขยับตัว และอย่าเพิ่งพูดอะไร! ให้ผมจัดการรักษาอาการบาดเจ็บของคุณก่อน!”

ตอนนี้ร่างของเหยาลู่เปลือยเปล่า มีเพียงผ้าห่มผืนบางที่คลุมร่างกายท่อนล่างไว้เท่านั้น ตอนนี้ทั่วทั้งร่างกายของเธอเริ่มเขียวคล้ำไปหมด ระหว่างหน้าอกทั้งสองข้างมีรอยฝ่ามือสีเขียวเข้มประทับอยู่ ไม่มีอาการบวมเปล่งแม้แต่น้อย แต่รอยฝ่ามือกลับจมลึกเข้าไปในเนื้อ และเนื้อบริเวณนั้นก็เริ่มเน่าเปื่อยเป็นหนองจนส่งกลิ่นเหม็นออกมา

หลิงหยุนมองภาพที่อยู่ตรงหน้าด้วยดวงตาร้อนผ่าว และแทบจะระเบิดออกมา เขาตัดสินใจแล้วว่า หลังจากที่จัดการรักษาเหยาลู่แล้ว เขาจะไปหากลุ่มคนเซียงซีในคืนนี้เลย!

ระหว่างที่หลิงหยุนพูดกับเหยาลู่ เขาก็ได้เรียกเข็มทองทั้งเก้าเล่มออกมา และเริ่มใช้เก้าเข็มปลุกชีพรักษาอาการบาดเจ็บให้กับเธอ!

หลังจากที่ฝึกวิชาลับหยินหยางสำเร็จ และเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-4 ได้แล้วนั้น จุดตันเถียนและเส้นลมปราณในร่างกายของหลิงหยุน ก็ได้ขยายเพิ่มขึ้นอีกหลายร้อยเท่า และพลังที่อยู่ในร่างกายของเขานั้นเรียกได้ว่าไร้ขีดจำกัด อีกทั้งยังมีพลังชีวิตจากน้ำลายมังกรอีกด้วย!

การรักษาพิษของหนอนกู่ด้วยพลังชีวิตจากน้ำลายมังกรนั้น เป็นเรื่องที่ง่ายนิดเดียว หลิงหยุนเพียงแค่ใช้เก้าเข็มปลุกชีพรักษาได้ไม่นาน ก็พบว่ารอยเขียวคล้ำตามร่างกายได้หายไปในพริบตา!

“คิดจะหนีงั้นรึ? มันสายไปแล้ว!”

หลิงหยุนพูดด้วยเสียงเย้ยหยัน และยื่นมือซ้ายออกไปอย่างรวดเร็ว และนิ้วชี้กับนิ้วกลางของเขาตวัดอยู่กลางอากาศ แล้วก็คีบได้หนอนกู่ที่กำลังจะหนีไป..

บางอย่างที่มีรูปร่างน่าเกลียดสีเขียวคล้ำกำลังดิ้นรนไปมา เมื่อเห็นว่าไม่สามารถหนีได้ มันจึงพยายามจะไชเข้าในนิ้วของหลิงหยุนแทน

แต่ทว่าตอนนี้หลิงหยุนได้ฝึกดารกะดายันผ่านมาถึงสิบเอ็ดขั้นย่อยแล้ว หนอนกู่ตัวเล็กที่มีพิษเพียงแค่นี้ ไม่มีทางที่จะเข้าไชเข้าไปในเนื้อของเขาได้อย่างแน่นอน

“คิดจะฆ่าข้างั้นรึ!”

ในเมื่อหลิงหยุนได้พบกับศัตรูคนแรกของเขาแล้ว เขาจึงระบายความโกรธทั้งหมดลงบนหนอนกู่สีเขียวเข้มตัวนั้น หลิงหยุนใช้นิ้วมือทั้งสามบี้หนอนกู่จนตายคาที่!

จากนั้น ก็ไม่รอให้น้ำสีเขียวเข้มกระเด็นออกมาจากตัวมันมัน หลิงหยุนจัดการใช้ยันต์อัคนีเผาหนอนกู่จนไม่เหลือแม้แต่ซาก!

….

เกือบจะในเวลาเดียวกันนั้นเอง ที่สี่แยกซึ่งเป็นจุดตัดระหว่างถนนจิงฉีและถนนกู่เฟิง ตรงหัวมุมถนนทางทิศตะวันออกเฉียงใต้นั้น กลุ่มคนเซียงซีได้กลับมาเปิดร้านเสื้อผ้าอีกครั้ง

ชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบปีใบหน้าคล้ายปีศาจนั้น กำลังกระอักเลือด แต่เขากัดฟันกลั้นไว้ไม่ให้พุ่งออกมา และใบหน้าของเขาก็เขียวคล้ำไปหมด

“เด็กสาวคนนั้นมีคนมาช่วยไว้แล้ว แล้วมันก็ได้ฆ่าหนอนกู่ของข้าแล้ว!” ชายเซียงซีวัยกลางคนเอ่ยขึ้น

ภายในบ้าน ยังมีชายหน้ายาวเหมือนม้าอยู่อีกคน เขาพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ถ้าข้าเดาไม่ผิด.. น่าจะเป็นเด็กผู้ชายที่เคยช่วยชีวิตเจ้าของร้านเสื้อผ้าคนเก่าไว้ และทำร้ายผู้เฒ่าจนได้รับบาดเจ็บสาหัส!”

ชายวัยกลางคนอายุสี่สิบตอนนี้หน้าผากเป็นสีเขียวคล้ำ กำลังยิ้มอย่างเย็นชาและพูดขึ้นว่า

“ถ้ามันกล้ามาที่นี่ ข้าจะให้มันได้ลิ้มรสชาติของการมีชีวิตอยู่อย่างทรมาน!”

…..

หลังจากที่หลิงหยุนจัดการขับหนอนกู่ออกจากร่างของเหยาลู่และฆ่ามันทิ้งแล้ว เขาก็ใช้เก้าเข็มปลุกชีพรักษาอาการบาดเจ็บภายในให้กับเหยาลู่ ด้วยพลังของหลิงหยุน เพียงไม่นานรอยฝ่ามือเขียวคล้ำบนหน้าอกของเหยาลู่ก็ได้อันตธานหายไปจนหมด ผิวของเหยาลู่ก็กลับมาใสสว่างราวกับคริสตัลเช่นเดิม

“หลิงหยุน.. คุณหายไปใหนมา รู้ไม๊ว่าพวกเราเป็นห่วงมากแค่ใหน!”

ตอนนี้ร่างกายของเหยาลู่หายสั่นแล้ว เพราะอาการบาดเจ็บภายในได้หายแล้ว และไม่ได้รับความเจ็บปวดจากพิษของหนอนกู่อีกแล้ว

และทันทีที่สามารถอ้าปากขึ้นพูดได้ เหยาลู่กลับไม่พูดเรื่องของตนเอง แต่กลับเป็นห่วงหลิงหยุนก่อนสิ่งอื่น เห็นได้ชัดว่า.. หลิงหยุนคือคนที่สำคัญที่สุดสำหรับเธอ!

“อย่าเพิ่งพูดอะไร.. รอให้ผมรักษาอาการบาดเจ็บให้หายสนิทเสียก่อน!”

หลังจากที่หลิงหยุนดึงเข็มออกจากร่างกายของเหยาลู่ เขาก็ใช้ยันต์บำบัดปิดไปตามบาดแผลตามร่างกายของเธอ และบาดแผลต่างๆก็หายไปในพริบตาไม่เหลือร่องรอยทิ้งไว้ให้เห็นแม้แต่น้อยม

“ผมไม่ได้ทำให้คุณเจ็บตรงใหนใช่ไม๊? เหยาลู่ของผมสวยที่สุดเลย..”

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับมองดูเหยาลู่ที่ตอนนี้ลุกขึ้นนั่งได้แล้ว จากนั้นเธอก็ถึงกับตกใจและอึ้งไป เมื่อพบว่าร่างของเธอเปลือยเปล่า จึงรีบเอามือปิดหน้าอกที่สั่นไว้ เธอมองหลิงหยุนแล้วพูดขึ้นว่า “คุณเห็นหมดแล้วใช่ไม๊..”

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับจ้องมองเหยาลู่ เขาเอื้อมมือดึงเหยาลู่เข้ามกอดพร้อมกับพูดขึ้นอย่างเสียใจ

“ผมไม่รู้สึกเสียใจเรื่องคลีนิคเลย วันหลังคุณอย่าทำแบบนี้อีกนะ!”

ดวงตาของเหยาลู่แดงก่ำ แล้วน้ำตาก็ไหลพร่างพรูออกมา “หลิงหยุน.. ฉันรักษาคลีนิคไว้ไม่ได้..”

หลิงหยุนยิ้มแต่ในแววตานั้นเต็มไปด้วยรังสีเพชรฆาต “เหยาลู่.. คุณทำใจให้สบาย ผมรับรองว่าใครก็ตามที่มันทำลายคลีนิคของผม มันจะต้องได้รับการตอบแทนกลับไปอย่างสาสม ผมจะให้มันชดใช้เป็นพันเท่า และรู้สึกเสียใจไปตลอดชีวิต!”

“คุณรอดูก็แล้วกัน!”

หลิงหยุนพูดกับเหยาลู่อย่างอ่อนโยน จากนั้นก็ลุกขึ้นไปหยิบชามและเดินกลับเข้าไปในห้องนอนอีกครั้ง หลิงหยุนเรียกน้ำเต้าวิเศษออกมา และจัดการเทน้ำลายมังกรลงไปในถ้วยใบเล็กนั้น

กลิ่นหอมหวลของน้ำลายมังกรโชยไปทั่วบริเวณ..

“กลิ่นหอมจัง!”

เหยาลู่ต้องทนกลับกลิ่นเนื้อเน่าที่โชยออกมาจากร่างกายของเธอเป็นเวลานานหลายวัน เมื่อได้กลิ่นที่หอมหวลเช่นนี้ เธอจึงอดที่จะสูดดมเข้าไปไม่ได้

หลิงหยุนใช้ส่งกระแสจิตบอกถังเมิ่งกับเสี่ยวเม่ยหนิงที่รออยู่ในรถให้ขึ้นมาที่ห้องได้แล้ว ทั้งคู่นั่งคอยอยู่ในรถนานกว่ายี่สิบนาที ทันทีที่ได้รับคำสั่งของหลิงหยุน ทั้งคู่จึงรีบพุ่งออกจากรถทันที

เมื่อได้ยินเสียงของคนทั้งคู่เดินเข้ามาในห้อง เหยาลู่จึงรีบกลับลงไปนอนบนเตียง และรีบดึงผ้าห่มผืนบางนั้นขึ้นมาห่มร่างที่เปลือยเปล่าไว้ทันที หลิงหยุนจึงรีบร้องตะโกนบอกถังเมิ่งว่า

“ถังเมิ่ง.. นายอย่าเข้ามาในห้อง!”

ส่วนเสี่ยวเม่ยหนิงนั้นผลุนผลันเข้าไปในห้องทันทีที่เข้ามาถึง และเมื่อเธอได้เห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไปทันที และได้แต่ยืนกัดริมฝีปากเพื่อระงับอารมณ์ด้านลบที่กำลังพวยพุ่งขึ้นมา..

ความสัมพันธ์ระหว่างเสี่ยวเม่ยหนิงกับหลิงหยุนนั้น ตอนนี้ครอบครัวของทั้งสองฝ่ายก็ได้รับรู้แล้ว เมื่อมาเห็นภาพเช่นนี้ในห้องนอน หากเธอไม่รู้สึกอะไรก็คงจะเป็นเรื่องที่แปลกมาก..

เหยาลู่มองเสี่ยวเม่ยหนิงอย่างระมัดระวัง เธอกำลังอ้าปากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็เลือกที่จะทิ้งศรีษะลงบนหมอนแทน และไม่พูดอะไรอีก..

บรรยากาศภายในห้องนอนค่อนข้างกระอักกระอ่วน หลิงหยุนยกมือขึ้นเกาศรีษะอยู่นานก่อนจะพูดขึ้นว่า

“หนิงน้อย.. เหยาลู่อายุมากกว่าคุณ คุณก็เรียกเธอว่าพี่ก็แล้วกัน”

ในเมื่อไม่อาจเลี่ยงได้ หลิงหยุนก็ไม่ต้องการปิดบัง และอาศัยโอกาสนี้พูดออกไปตรงๆ เพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหาในอนาคต!

เสี่ยวเม่ยหนิงนั้นมีพื้นฐานจิตใจที่ดีและโอบอ้อมอารี หลิงหยุนเชื่อว่าการที่ทั้งคู่จะก้าวข้ามกำแพงนี้ได้นั้น คงไม่มีโอกาสใหนจะดีและเหมาะสมไปกว่าช่วงเวลาที่เหยาลู่ได้รับบาดเจ็บสาหัสนี่แล้ว

เสี่ยวเม่ยหนิงไม่ต้องการที่จะเกรี้ยวกราดกับหลิงหยุน แต่ไม่ได้หมายความว่าเธอจะยอมถอย! เธอรู้ดีว่าตอนนี้ความโกรธของหลิงหยุนมาถึงขึ้นสูงสุด และต้องการจะออกไปแก้แค้น เธอจึงไม่ต้องการให้หลิงหยุนมีความกังวลใจอะไรอีก

“เอ่อ..”

เสี่ยวเม่ยหนิงเกือบจะหัวเราะออกมาเมื่อเห็นท่าทางของเหยาลู่ที่กระอึกกระอัก และพูดอะไรไม่ออก

ในที่สุดเหยาลู่ก็พยายามมองเสี่ยวเม่ยหนิงด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ “หนิงน้อย.. พี่อายุมากกว่าเธอ พี่จะไม่แย่ง.. ไม่..”

หลังจากกระอึกกระอักอยู่นาน เหยาลู่ก็อายเกินกว่าจะพูดชื่อหลิงหยุนออกมา..

“พี่ลู่คะ.. พี่หลิงหยุนน่ะร้ายกาจมาก ต่อไปพี่กับฉันต้องช่วยกันจับตาดูพี่หลิงหยุนให้ดี.. รู้ไม๊คะ?!”

เสี่ยวเม่ยหนิงใคร่ครวญอยู่นาน เธอนึกถึงเฉิงเม่ยเฟิง และเสี่ยวเม่ยเม่ย.. เธอจึงรู้สึกว่า ยิ่งเธอไม่สามารถยอมรับได้มากเท่าไหร่ เธอก็จะยิ่งท้อแท้หมดหวังมากเท่านั้น!

“คุณสองคนคุยกันไปก่อน ผมจะออกไปคุยธุระกับถังเมิ่ง!”

หลิงหยุนเดินยิ้มกริ่มออกไปจากห้อง..



บทที่ 355 : ล้างบางเมืองจิงฉู (4)

“พี่หยุน.. นี่มันกลิ่นอะไรทำไมหอมจัง ฉันดมจนเคลิ้มไปหมดแล้ว..!”

ถังเมิ่งที่อยู่ในห้องนั่งเล่น กำลังนั่งสูดกลิ่นหอมของน้ำลายมังกรอย่างบ้าคลั่ง เขาไม่เพียงสูดดมเข้าทางจมูกอย่างเดียว แต่กลับอ้าปากดูดเอาอากาศเข้าไปด้วย

หลิงหยุนยิ้มบาง “มันเป็นกลิ่นหอมของน้ำลายมังกร ต่อไปฉันจะใช้มันเปลี่ยนร่างกายของนาย!”

ถังเมิ่งได้ยินถึงกับนิ่งอึ้งไป “พี่หยุน.. พี่หายไปใหนมากันแน่? แล้วไปเอาของพวกนี้มาได้ยังไง?”

หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และตัดสินใจว่าไม่เล่าน่าจะเป็นการดีกว่า เขาจึงเพียงแค่ยิ้มสบายๆ แล้วตอบถังเมิ่งกลับไปว่า

“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะมาพูดเรื่องนี้ นายคิดว่าจากนี้ไปเราควรทำยังไง?”

หลิงหยุนได้รักษาถังเมิ่งกับเหยาลู่จนหายดีแล้ว ส่วนหนิงหลิงยู่นั้นมีเพียงเรื่องของสภาพจิตใจ แต่ร่างกายนั้นไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง จากนี้ไป.. สิ่งที่เขาคิดไว้ก็คือ การบุกรังของยอดฝีมือเซียงซีในคืนนี้!

แต่ตอนนี้ยังไม่ดึกมากพอ หลิงหยุนตั้งใจไว้ว่าหลังเที่ยงคืนเขาจะบุกเข้าไปสังหารพวกมัน เขาจึงอยากฟังความเห็นของถังเมิ่งก่อน

ถังเมิ่งตอบกลับมาว่า “พี่หยุน.. พี่สะใภ้และตระกูลเฉิง ถูกตระกูลซันควบคุมไว้หมดแล้ว..”

ถังเมิ่งที่เห็นเฉิงเม่ยเฟิงเป็นพี่สะใภ้ของเขามาตั้งแต่ต้น ดังนั้นคำว่าพี่สะใภ้ของเขาจะหมายถึงใครไปไม่ได้นอนจากเฉิงเม่ยเฟิง

“ส่วนพี่เสี่ยว.. หลังจากออกไปตามหานายตั้งแต่คืนวันอังคาร จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้รับข่าวคราว หรือแม้แต่ข้อความจากเธอเลย..”

หลิงหยุนมั่นใจเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ว่าเสี่ยวเม่ยเม่ยนั้นต้องกลับไปที่องค์กรนักฆ่าอย่างแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าในตอนนี้เธอจะถูกองค์กรนักฆ่าจับตัวไว้ หรือว่าถูกสังหารไปแล้ว หรือเธออาจจะหนีรอดออกมาได้ แต่ที่ยังไม่ยอมปรากฏตัวเพราะยังไม่รู้ข่าวว่าเขาได้กลับมาแล้ว จึงต้องหลบซ่อนตัวอยู่ก่อน หลิงหยุนนึกถึงความเป็นไปได้เพียงเท่านี้

“ส่วนลุงหลี่กับพ่อของฉัน.. มันก็เป็นเกมการเมืองของข้าราชการด้วยกัน พวกเราคงยื่นมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวมากไม่ได้ แต่ฉันว่าทั้งพ่อฉันกับลุงหลี่ก็คงกำลังคิดหาวิธีรับมือยู่ล่ะ”

“ตอนนี้เหลือนายเพียงแค่คนเดียว.. คนอื่นๆคงยากที่จะรับมือกับอำนาจและอิทธิพลของตระกูลซันได้ แต่การที่นายจะบุกเดี่ยวไปเหมือนเมื่อครั้งที่แล้ว ก็ไม่น่าจะเป็นวิธีที่ดีนัก”

เมื่อถังเมิ่งนึกถึงเหตุการณ์ที่หลิงหยุนลุยเดี่ยวเข้าไปจัดการกับตระกูลซันในคืนนั้น เขาก็รู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที เพราะครั้งนี้ซันเทียนเปียวเป็นได้นำยอดฝีมืออีกมากมายมาที่จิงฉูด้วยตัวเอง ดังนั้นครั้งนี้ถังเมิ่งจึงไม่ต้องการให้หลิงหยุนบุกเดี่ยวเข้าไปเหมือนเมื่อครั้งที่แล้วอีก

แต่ถังเมิ่งกลับได้ยินหลิงหยุนหัวเราะและตอบกลับมาว่า “ใครบอกล่ะว่าฉันจะบุกเข้าไปคนเดียว?”

หลิงหยุนยังมีตู้กู่โม่อีกคน อีกทั้งยังมีเจ้าขาวปุยที่ใกล้จะกลายร่างแล้ว ในตอนนี้นอกจากความเร็วที่น่าอัศจรรย์ของมัน เจ้าขาวปุยยังสามารถใช้วิชาล่องหนและพรางตาได้อีกด้วย และด้วยกำลังภายในของมันตอนนี้ มันสามารถรับมือกับยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-9ได้อย่างไม่ยากนัก

ถังเมิ่งได้ยินถึงร้องออกมาอย่างตกใจ “อะไรนะ.. ครั้งนี้นายมีผู้ช่วยมาด้วยเหรอ?!”

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับพยักหน้า แต่ถังเมิ่งกลับพูดต่อว่า “แต่มีเพียงแค่ผู้ช่วยคงจะไม่พอ นายต้องศึกษาฝ่ายตรงข้ามให้ดีด้วย รู้เขารู้เรา.. ยิ่งรู้จักฝ่ายตรงข้ามดีมากเท่าไหร่ โอกาสที่เราจะชนะก็มีมากเท่านั้น!”

หลิงหยุนอดชื่นชมถังเมิ่งไม่ได้ แต่ก็อดที่จะหัวเราะออกมาเสียงดังไม่ได้เช่นกัน พร้อมกับพูดแหย่ถังเมิ่งว่า

“ทำเป็นพูดดี.. รู้เขารู้เรางั้นเหรอ? ฉันเคยบอกนายแล้วว่านายสู้เสียเจิ้นเหยินไม่ได้ ยังจะกล้าไปมีเรื่องกับมันอีก?!”

ถังเมิ่งทำน้ำเสียงไม่พอใจ “เชอะ.. ฉันปล่อยมันไว้ไม่ได้หรอก นายไม่รู้อะไร เดี๋ยวนี้มันทำตัวกร่างมากตอนอยู่ที่โรงเรียน! มันกล้ามาวุ่นวายกับหลิงยู่ ฉันก็ต้องจัดการกับมันสิ!”

“นายก็ไม่อยู่ ตี้เสี่ยวอู๋ก็ถูกจับอีก.. ถึงฉันจะได้รับบาดเจ็บปางตายก็เถอะ แต่อย่างน้อยฉันก็ได้ชกหน้ามันไปทีนึง!” ถังเมิ่งพูดพร้อมกับกัดฟันกรอด

หลิงหยุนถึงกับหัวเราะเสียงดัง.. เสียเจิ้นเหยินเป็นแค่กังฟูนิดๆหน่อยๆ ยังไม่ได้ขั้นโฮ่วเทียน-1ด้วยซ้ำไป  แต่ถังเมิ่งกลับไม่สามารถเอาชนะมันได้..

“พี่หยุน.. ครั้งนี้เพื่อจัดการกับพวกเรา ตระกูลซันถึงกับใช้อิทธิพลปลดพ่อของฉัน แล้วตั้งหลัวจ้งขึ้นมาดูแลสำนักงานรักษาความมั่นคงแทน และการที่คนของพวกมันได้ขึ้นมามีอำนาจแบบนี้ พวกมันก็ได้เปรียบพวกเราอย่างมากเลยล่ะ..”

“แต่ถ้าพวกเราสามารถทำให้หลัวจ้งยกเลิกคำสั่งต่างๆที่เป็นผลเสียกับฝั่งเราได้ ถึงตอนนั้นโอกาสก็จะกลับมาเป็นของพวกเราทันที!”

หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบกลับไปว่า “ได้.. ถ้างั้นก็เอาตามนั้น พวกเราจะจัดการกับหลัวจ้งก่อน ฉันมีวิธีที่จะทำให้มันยอมยกเลิกคำสั่งทั้งหมด และช่วยตี้เสี่ยวอู๋ได้!”

พูดจบ.. หลิงหยุนก็ยิ้มเหยียดอย่างเย็นชา และรังสีอำมหิตก็ปรากฏขึ้นวูบหนึ่งในแววตาของเขา

ในเวลานั้นเอง เสี่ยวเม่ยหนิงกับเหยาลู่ก็แต่งตัวเสร็จและเดินออกมาจากห้องนอนพอดี หลิงหยุนจึงรีบเข้าไปหาหนิงน้อยพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“หนิงน้อย.. ถังเมิ่งจะตามผมไปสะสางปัญหาเอง ส่วนคุณไม่ต้องตามผมไป และถ้าหลิงยู่กับเหยาลู่ไปอยู่ที่บ้านของคุณ ผมก็จะได้หมดห่วง คุณช่วยดูแลทั้งสองคนแทนผมจะได้ไม๊?”

แน่นอนว่า.. ตอนนี้หลิงหยุนไม่เห็นว่าจะมีที่ใหนปลอดภัยเท่ากับบ้านของท่านหมอเสี่ยว เขาจึงอยากจะฝากหญิงสาวทั้งสองคนให้อยู่ในความดูแลของหนิงน้อย

หลายวันมานี้.. ทั้งหนิงหลิงยู่ เสี่ยวเม่ยหนิง และเหยาลู่ ต่างก็ต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องของเขามากจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน อีกทั้งเหยาลู่ก็เพิ่งฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ หลิงหยุนรู้ดีว่าร่างกายของหญิงสาวทั้งสามคนต้องการการพักผ่อน และที่บ้านหมอเสี่ยวก็เป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด

เสี่ยวเม่ยหนิงเองก็คิดเช่นเดียวกันกับหลิงหยุน เธอจึงพูดขึ้นมาอย่างขุ่นเคือง “ฉันก็คิดแบบนี้อยู่แล้ว และก็เพิ่งจะบอกพี่ลู่เหมือนกัน พี่ไม่ต้องมาสั่งฉันก็ได้!”

หลิงหยุนรีบเข้าไปในห้องนอนของเสี่ยวเม่ยเม่ย จัดการอุ้มหนิงหลิงยู่ที่กำลังนอนสลบไสลอยู่บนเตียงขึ้นมา พร้อมกับตะโกนสั่งถังเมิ่ง

“ถังเมิ่ง.. นายจัดการปิดประตูให้เรียบร้อยด้วย!”

ทั้งห้าคนต่างก็รีบเร่งออกจากอพาร์ทเมนท์และมุ่งหน้าไปยังบ้านของท่านหมอเสี่ยว ระหว่างทางหลิงหยุนรับรู้ได้ว่ามียอดฝีมือแอบสะกดรอยตามพวกเขามา

หลิงหยุนสัมผัสได้ว่ายอดฝีมือที่ติดตามเขามานั้นเป็นคนที่มีกำลังภายในสูง และดูเหมือนจะไม่ต้องการเปิดเผยตัวด้วยเหตุผลบางอย่าง คนผู้นั้นแอบสะกดรอยตามมาห่างๆ

หลิงหยุนคิดว่ายอดฝีมือผู้นี้ น่าจะเป็นยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนที่คอยตามปกป้องคุ้มครองหนิงหลิงยู่อยู่เงียบๆอย่างที่ท่านหมอเสี่ยวบอก

‘เขาเป็นใครกันนะ?!’

หลิงหยุนค่อนข้างงุนงงอย่างมาก.. และเขาเองก็ไม่ต้องการมีปัญหากับยอดฝีมืออายุห้าสิบท่านนี้ หรือจะเป็นยอดฝีมือที่แม่ของเขาส่งมาคุ้มครองหนิงหลิงยู่?

นี่คือความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวที่หลิงหยุนคิดออก! แต่ก็ไม่น่าจะถูกต้อง.. เพราะหากเป็นคนของแม่เขาส่งมาจริง ที่บ้านของเขาคงจะไม่เกิดเรื่องมากมายถึงเพียงนี้ เพราะชายสูงวัยผู้นี้น่าจะช่วยปกป้อง แต่นี่ดูเหมือนเขาจะไม่ได้ทำอะไรเลย!

ตลอดทางที่หลิงหยุนเร่งรีบไปที่บ้านของท่านหมอเสี่ยว ชายสูงวัยที่คอยสะกดรอยตามเขามาก็หายตัวไปแล้ว แต่หลิงหยุนไม่สนใจนัก เพราะมั่นใจว่าเขาจะต้องปรากฏตัวอีกอย่างแน่นอน

ท่านหมอเสี่ยวได้ยินเสียงแตรรถ จึงรีบออกมาต้อนรับทุกคนด้วยตัวเอง เมื่อเขาเห็นเหยาลู่ปรากฏตัวพร้อมกับถังเมิ่ง เขาจึงส่งกระแสจิตคุยกับหลิงหยุน

“เก่งมาก.. แม้กระทั่งเด็กสองคนที่อาการเป็นตายเท่ากัน เธอก็ยังสามารถรักษาพวกเขาให้หายได้ คนแก่อย่างฉันไม่มีอะไรจะพูดแล้วจริงๆ!”

หลิงหยุนหัวเราะ และตอบท่านหมอเสี่ยวกลับทางกระแสจิตเช่นกัน และอธิบายถึงเหตุผลที่เขาต้องพาหลิงยู่และเหยาลู่มาให้อยู่ในการดูแลของท่านหมอเสี่ยว

ท่านหมอเสี่ยวพยักหน้าพร้อมตอบกลับไปว่า “ยอดฝีมือผู้นั้นยังอยู่ในบริเวณนี้ เธอต้องระวังตัวให้มาก”

ทั้งสองคนพูดคุยแลกเปลี่ยนกันทางกระแสนจิตอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นหลิงหยุนก็อุ้มหนิงหลิงยู่เข้าไปในบ้าน และขึ้นไปยังห้องนอนของเสี่ยวเม่ยหนิง

ตอนนี้ทุกคนที่เขาเป็นห่วงก็อยู่ในที่ที่ปลอดภัยแล้ว หลิงหยุนจึงเดินออกมาจากบ้านของท่านหมอเสี่ยวด้วยแววตาที่เป็นประกายด้วยรังสีอาฆาต!

“พี่หยุน.. พวกเราจะไปที่ใหนต่อดี?”

ถังเมิ่งขับรถเฟอรารี่ออกไปพร้อมกับหันไปถามหลิงหยุนที่นั่งอยู่ด้านข้าง

หลิงหยุนขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะหันไปตอบว่า “ไปที่บ้านฉันก่อน!”

หลังจากที่แยกย้ายกับตู้กู่โม่ หลิงหยุนก็สั่งให้เจ้าขาวปุยไปคอยเขาอยู่ที่บ้าน แต่ตอนนี้เขาต้องไปจัดการสังหารศัตรูจึงต้องกลับมาพาเจ้าขาวปุยไปด้วย

เนื่องจากบ้านของท่านหมอเสี่ยวนั้นอยู่ใกล้กับบ้านหลิงหยุนมาก เพียงแค่หนึ่งหรือสองนาที รถเฟอรารี่ก็มาถึงหน้าประตูบ้าน

หลิงหยุนลงจากรถ และเห็นป้ายติดอยู่ที่หน้าประตูบ้านสองอัน เขาจัดการดึงมันออก และฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

“หลัวจ้ง.. เจ้ากล้ายึดบ้านของข้า! เจ้าคงจะกินอิ่มเกินไปแล้วอยากหาเรื่องใส่ตัวสินะ!” หลิงหยุนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา

เงาสีขาวปรากฏขึ้น เจ้าขาวปุยวิ่งออกมาจากมุมบ้านตรงเข้าหลิงหยุน พร้อมกับสะบัดหางไปมาอย่างดีใจ

ถังเมิ่งถึงกับงุนงง เขาชี้ไปทางเจ้าขาวปุยพร้อมกับร้องเสียงดัง “พี่หยุน.. เจ้าขาวปุยมีสองหางนี่ แล้วทำไมตอนนี้เหลือแค่หางเดียวแล้วล่ะ”

หลิงหยุนคิดในใจว่าตอนนี้มีสามแล้วต่างหาก แต่กลับตอบถังเมิ่งไปว่า “มันรวมกันเป็นหางเดียวแล้วไง แล้วต่อไปก็จะไม่มีหาง..”

เจ้าขาวปุยใกล้ที่จะกลายร่างเป็นมนุษย์แล้ว และเมื่อไหร่ก็ตามที่มันกลายร่างเป็นคน ก็จะไม่มีหางแล้วจริงๆ

“ไปกันได้แล้ว..”

หลิงหยุนสั่งถังเมิ่งให้ขับรถไปยังโรงแรมที่ตู้กู่โม่พักอยู่..

อีกไม่นานก็จะเที่ยงคืน.. ใกล้เวลาที่หลิงหยุนจะบุกเข้าไปที่รังของคนเซียงซีแล้ว ไม่ต้องพูดถึงความแข็งแกร่งของฝ่ายตรงข้าม สำหรับหลิงหยุนในเวลานี้ ไม่ต่างจากราชสีห์ที่กำลังจะสู้กับกระต่ายตัวน้อย และเขาจะสังหารทุกคน!

หลิงหยุนจะใช้เหตุการณ์ในคืนนี้ ป่าวประกาศให้ดังกึงก้องไปทั่วทั้งเมืองจิงฉูว่า ข้า..หลิงหยุนได้กลับมาแล้ว!

ถังเมิ่งขึ้นไปนั่งประจำที่คนขับบนรถ ส่วนหลิงหยุนก็สั่งเจ้าขาวปุยให้ขึ้นไปรอบนรถเช่นกัน จากนั้นก็ยิ่งไปยังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ห่างออกไป เขายืนยิ้มพร้อมกับประสานมือพร้อมกับน้อมศรีษะลงและพูดขึ้นว่า

“อาวุโส.. ท่านสะกดรอยตามข้ามา ข้ารู้สึกไม่สบายใจนัก ถ้าอย่างไรให้ข้าไปส่งท่านจะดีหรือไม่?”

“พี่หยุน.. พี่พูดกับใครน่ะ?!” ถังเมิ่งตะโกนถามออกมาจากรถ

ยังไม่ทันที่จะสิ้นเสียงตะโกนถามของถังเมิ่ง เงาสีดำก็โผล่ออกมาจากหลังต้นไม้ที่อยู่ห่างไปราวเจ็ดสิบเมตร

หลิงหยุนจ้องเขม็ง และพบว่าเป็นชายชราอายุราวห้าสิบปี สูงปานกลาง ผมสั้น ผิวคล้ำ คิ้วหน้า จมูกโด่งเป็นสัน ไม่ต่างจากที่ท่านหมอเสี่ยวบอกไว้แม้แต่น้อย!

“ข้าชื่อกุ่ย.. ท่านเรียกข้าว่าเหล่ากุ่ยก็ได้!”

ทันทีที่ชายชราปรากฏตัว หลิงหยุนก็สำรวจเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า สีหน้าชื่นชมและประหลาดใจปรากฏออกมาบนใบหน้าของหลิงหยุนอย่างชัดเจนพร้อมกับพยักหน้าแทนคำตอบ!



บทที่ 356 : ล้างบางเมืองจิงฉู (5) – เหล่ากุ่ยปรากฏตัว

หลิงหยุนไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยอมปรากฏตัวง่ายดายเช่นนี้ หนำซ้ำเมื่อปรากฏตัวแล้ว ก็รีบแนะนำตัวเองโดยที่หลิงหยุนยังไม่ทันได้ถาม

เหล่ากุ่ยจ้องมองหลิงหยุนอย่างพินิจพิเคราะห์ และเพราะความมืดทำให้มองเห็นหลิงหยุนไม่ชัดเจนนัก เหล่ากุ่ยขยับขึ้นมาด้านหน้าอีกสองก้าว และในที่สุดเขาก็มองเห็นทุกอย่างชัดเจนขึ้น

ดวงตาของเหล่ากุ่ยเป็นประกายสดใสราวกับได้พบสมบัติล้ำค่า แววตาของเขาในตอนนี้ ไม่ต่างจากแววตาของหนิงน้อยตอนที่ได้พบเห็นไข่มุกราตรีทั้งสิบแปดเม็ด ได้พบเห็นสมุนไพรเหอโชวูและโสมสองพันปี มันเป็นแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความสุขและความตื่นเต้นดีใจ!

แม้แต่หลิงหยุนเองยังอดที่จะงุนงงกับท่าทางของเหล่ากุ่ยไม่ได้ เขายกมือขึ้นเกาศรีษะพร้อมกับแอบคิดอยู่ในใจว่า ‘นี่ข้าหล่อเหลาจนเจ้าต้องจ้องเขม็งเช่นนี้เชียวรึ!?’

“พี่หยุน.. นี่ใครกัน?”

ถังเมิ่งมองเห็นการเคลื่อนไหวของเหล่ากุ่ยที่ดูเหมือนจะเหนือกว่ายอดฝีมือทั้งสามคนที่เขาพบในคืนนั้น เขาจึงคิดว่านี่อาจจะเป็นผู้ช่วยที่หลิงหยุนพูดถึงก็ได้

หลิงหยุนมองถังเมิ่งที่ถามขึ้นพร้อมกับตอบไปว่า “นายถามฉัน.. แล้วจะให้ฉันไปถามใคร?”

จากนั้นหลิงหยุนก็เดินตรงเข้าไปหาเหล่ากุ่ยพร้อมกับประสานมือเข้าด้วยกัน เขายิ้มให้เหล่ากุ่ยพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“เหล่ากุ่ย.. อาวุโสสะกดรอยตามข้ามา ไม่ทราบท่านมีสิ่งใดต้องการชี้แนะข้าหรือไม่?”

เหล่ากุ่ยไม่มีสนใจที่จะตอบคำถามของหลิงหยุน เขาเอาแต่ยิ้มพร้อมกับจ้องมองหลิงหยุนด้วยใจที่ตื่นเต้น และได้แต่พึมพำกับตัวเองในใจ

‘ใช่แล้ว.. รอยยิ้มแบบนี้ช่างเหมือนนัก จริงอย่างที่หลิงห่าวพูด ไม่จำเป็นต้องตรวจดีเอ็นเอเลย! แค่เห็นหน้าก็รู้แล้วว่าเป็นลูกของคุณชายสาม!’

เหล่ากุ่ยก็คือคนที่หลิงลี่สั่งให้มาพาหลิงหยุนกลับไปบ้านตระกูลหลิงนั่นเอง!

เหล่ากุ่ยมาถึงเมืองจิงฉูตั้งแต่คืนวันจันทร์ ทันทีที่มาถึง เขาก็ใช้ช่องทางต่างๆเพื่อสืบข่าวคราวของหลิงหยุน และในที่สุดก็พบว่าข้อมูลของหลิงห่าวนั้นเป็นจริงทั้งหมด เขามั่นใจทันทีว่าหลิงหยุนก็คือลูกของคุณชายสามแห่งตระกูลหลิงอย่างแน่นอน!

แต่ในเวลานั้นหลิงหยุนได้หายตัวไป ไม่มีใครสามารถติดต่อเขาได้ ทุกคนต่างก็พากันออกตามหาหลิงหยุน แม้แต่เหล่ากุ่ยเองก็ได้ออกตามหาเขาอยู่อย่างลับๆด้วยเช่นกัน

ผ่านไปราวห้าหกวัน.. เพื่อนๆของหลิงหยุนและคนอื่นๆต่างก็พากันหมดหวัง แต่เหล่ากุ่ยกลับยังคงออกตามหาอย่างไม่ย่อท้อ และคอยสังเกตุการณ์อยู่อย่างเงียบๆ อีกทั้งยังคอยตามคุ้มครองหนิงหลิงยู่อยู่ลับๆด้วย

จากการสำรวจอย่างลึกซึ้งและละเอียดละออของเหล่ากุ่ย เขาจึงค้นพบว่าเหตุการณ์ใหญ่ๆหลายเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองจิงฉูนั้น ล้วนเกี่ยวข้องกับเด็กหนุ่มที่ชื่อหลิงหยุนทั้งสิ้น!

แน่นอนว่าเหล่ากุ่ยต้องรู้สึกตกใจอย่างที่สุด! เพราะแม้แต่ซันเทียนเปียวก็เดินทางมาที่เมืองจิงฉูเพื่อมาจัดการกับหลิงหยุนด้วยตัวเองเช่นกัน!

เนื่องจากเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับหลิงหยุนนั้นค่อนข้างร้ายแรงและพัวพันกับหลายฝ่าย อีกทั้งยังไม่รู้แน่ชัดว่าฝ่ายใหนเป็นผู้ที่สร้างปัญหากันแน่ เหล่ากุ่ยจึงเลือกที่จะไม่เปิดเผยฐานะของตนเอง แต่ในเมื่อหนิงหลิงยู่เป็นน้องสาวตามกฏหมายของหลิงหยุน เป็นลูกสาวแม่ของแม่บุญธรรมที่ตอนนี้ก็หายตัวไปด้วยเช่นกัน สามวันมานี้ เขาจึงต้องแอบอยู่แถวอพาร์เมนท์เพื่อคอยคุ้มครองความปลอดภัยให้กับเธอ

จนกระทั่งวันนี้ หลิงหยุนที่หายตัวไปหกวันเต็มๆก็กลับมา! เหล่ากุ่ยจึงรู้สึกมีความสุขอย่างมาก และไม่ต้องการที่จะหลบๆซ่อนๆอีก

ส่วนตัวแล้วเหล่ากุ่ยเองก็ชื่นชอบหลิงหยุนอย่างมาก อาจจะเป็นเพราะความรักและความผูกพันที่เขาเองมีต่อตระกูลหลิงก็เป็นได้ อีกอย่างตัวเขาเองก็มีความสนิทสนมอย่างมากกับหลิงเสี่ยวซึ่งเป็นพ่อแท้ๆของหลิงหยุน เช่นนี้แล้วจะไม่ให้เหล่ากุ่ยดีใจอย่างสุดซึ่งได้อย่างไร?

เหตุผลอีกข้อหนึ่งก็คือ.. เหล่ากุ่ยพบว่าหลิงหยุนเป็นผู้ที่ฝึกฝนวิทยายุทธเช่นกัน เขาเห็นหลิงหยุนใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นไปบนห้อง เหล่ากุ่ยรู้สึกมีความสุขอย่างมาก เพราะจากวิชาตัวเบาของหลิงหยุนนั้น เขาพอจะเดาได้ว่ากำลังภายในของหลิงหยุนนั้นน่าจะอยู่ในขั้นโฮ่วเทียน-5แล้ว!

ยิ่งไปกว่านั้น ภายในอพาร์เมนท์ของหลิงหยุนก็มีเด็กสาวคนหนึ่งนอนป่วยเพราะถูกพิษร้ายแรง ผ่านมาสามวันแล้ว.. ก็ยังไม่มีใครรักษาได้! แต่หลิงหยุนกลับมาได้เพียงไม่นาน เด็กสาวคนนั้นก็สามารถพูดได้ หัวเราะได้ และเดินเหินได้ราวกับไม่เคยถูกพิษมาก่อน เช่นนี้แล้วจะมีความหมายเป็นอื่นไปได้อย่างไรกัน?

นอกเหนือจากว่า.. หลิงหยุนนั้นเป็นผู้ที่มีทักษะทางด้านการแพทย์ที่ลึกล้ำอย่างยิ่ง!

นี่.. นี่ไม่ใช่เพราะสวรรค์มีตาหรอกหรือ? เหล่ากุ่ยเฝ้าติดตามหลิงหยุนมาถึงที่นี่ด้วยความตื่นเต้น!

“นาย.. เอ่อ.. หลิงหยุน! เจ้ารู้ได้ยังไงว่าข้าแอบอยู่หลังต้นไม้?” เหล่ากุ่ยถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น และเกือบจะพลั้งปากเรียกหลิงหยุนว่านายน้อยออกไป

หลิงหยุนยิ้มสดใสพร้อมกับตอบไปว่า “เหล่ากุ่ย.. ทำไมท่านถึงรู้ว่าข้าชื่อหลิงหยุน?”

เหล่ากุ่ยถึงกับอึ้งและอดคิดไม่ได้ว่า ‘บุคลิคท่าทางของเด็กคนนี้ช่างห้าวหาญนัก! ขนาดข้าซึ่งเป็นถึงยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนยืนอยู่ตรงหน้า ยังกล้าพูดจากับข้าเช่นนี้!’

‘บุคลิคท่าทางแบบนี้ช่างเหมือนกับแม่ของเขานัก! ไม่เพียงดวงตา อีกทั้งบุคลิกที่ยากจะอธิบายนี้ก็ยิ่งคล้ายคลึงนัก!’

แต่เมื่อนึกถึงแม่แท้ๆของหลิงหยุน เหล่ากุ่ยก็ได้แต่แอบถอนใจ แล้วอธิบายว่า “ข้าก็เรียกตามที่เพื่อนของเจ้าเรียก..”

เหล่ากุ่ยพูดพร้อมกับชี้ไปที่รถเฟอรารี่..

หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับพูดว่า “ผิดไปแล้วอาวุโส.. ถังเมิ่งไม่เคยเรียกชื่อข้าเต็มๆเลยสักครั้ง เขาจะเรียกข้าว่าพี่หยุน.. อาวุโสรู้ได้ยังไงว่าข้าแซ่หลิง?”

นี่เป็นคำถามสำคัญ! หลิงหยุนไม่รู้ว่าเหล่ากุ่ยเป็นใครมาจากใหน แต่เขาก็สัมผัสได้ว่าเหล่ากุ่ยไม่ได้ประสงค์ร้ายต่อเขาและคนอื่นๆ อีกทั้งยังแสดงออกว่าชื่นชอบและเมตตาเขาอย่างมาก หลิงหยุนเองก็ไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องนี้มากจนเกินไป แต่ที่ถามก็เพราะความอยากรู้เท่านั้นเอง

เหล่ากุ่ยอดคิดไม่ได้ว่า.. คุณชายน้อยช่างเป็นคนละเอียดและช่างสังเกตุยิ่งนัก! แม้แต่รายละเอียดเล็กๆน้อยๆก็สามารถสังเกตุเห็นได้ เขาจึงยิ่งรู้สึกตื่นเต้นดีใจมากขึ้นไปอีก!

แต่ในเมื่อถังเมิ่งปรากฏตัว.. เหล่ากุ่ยจึงไม่สามารถบอกวัตถุประสงค์ของเขาอย่างที่ตั้งใจได้ เขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง..

“นาย.. เอ่อ.. หลิงหยุน! สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ไม่น่าจะใช่เรื่องของข้า แต่น่าจะเป็นเรื่องที่เจ้าจะอนุญาติให้ข้าตามเจ้าไปด้วยได้หรือไม่ต่างหาก?”

ในเมื่อเห็นว่าเหล่ากุ่ยไม่ต้องการตอบคำถาม หลิงหยุนก็ไม่ต้องการคะยั้นคะยอ เขาจึงยิ้มและตอบกลับไปว่า

“อาวุโส.. ข้าจะไปจัดการกับศัตรู.. ไม่ทราบเหล่ากุ่ยต้องการจะไปช่วยเหลือข้าหรือไม่?”

ช่วยน่ะหรือ? ยังต้องถามอะไรอีก เหล่ากุ่ยพยักหน้ารับคำทันทีพร้อมกับตอบไปว่า “เจ้าทำให้คนแก่อย่างข้าคันไม้คันมือขึ้นมาทันที ข้าไม่เคยปะทะฝีมือกับใครมานานมากแล้ว ไปกันได้แล้ว!”

หลิงหยุนหัวเราะ เขาคิดในใจว่าท่านหมอเสี่ยวช่างคาดการณ์ได้ถูกต้องแม่นยำนัก อาวุโสท่านี้ไม่เพียงเป็นมิตร แต่ยังยอมมาเป็นผู้ช่วยเขาง่ายๆ

คืนนี้หลิงหยุนจะบุกไปที่บ้านของพวกสารเลวที่เข้าไปทำลายคลีนิคของเขา และเขาจะไม่ปราณีพวกมันอย่างแน่นอน หลิงหยุนรีบเชื้อเชิญเหล่ากุ่ยขึ้นรถทันที

“ยังมีผู้ช่วยที่เก่งกาจอีกหนึ่งคน เราจะไปรับเขาก่อนจะดีไม๊ครับเหล่ากุ่ย?” ทันทีที่ขึ้นรถมา หลิงหยุนก็หันไปถามเหล่ากุ่ยที่นั่งอยู่ด้านหลัง

“แล้วแต่เจ้า!”

“ครับ!”

ถังเมิ่งเหยียบคันเร่ง และเพียงไม่ถึงห้านาที รถเฟอรารี่ก็มาถึงหน้าโรงแรมที่ตู้กู่โม่พักอยู่ บ้านของหลิงหยุนกับโรงแรมนั้นอยู่ห่างกันเพียงแค่สองสามกิโลเมตร

เมื่อตู้กู่โม่มาถึงเมืองจิงฉู เพื่อให้สะดวกต่อการไปสำรวจหลุมยักษ์ เขาจึงเลือกพักที่โรงแรมห้าดาวแห่งนี้ เพราะเป็นโรงแรมที่ใกล้กับเขามังกรมากที่สุด

หลิงหยุนบอกเหล่ากุ่ยกับถังเมิ่งให้คอยอยู่ในรถ เขาลงจากรถและเข้าไปในโรงแรมเพียงคนเดียว และรีบตรงไปที่ห้องพักของตู้กู่โม่ทันที

หลังจากที่กลับมาถึงโรงแรม ตู้กู่โม่ก็จ่ายค่าที่พักล่วงหน้าสองอาทิตย์ จากนั้นก็ขึ้นไปอาบน้ำและนั่งดูทีวีบนเตียง แต่เมือได้ยินเสียงคนเคาะประตู เขาก็ได้แต่บ่นพึมพำ

“อย่าบอกนะว่าเป็นผู้หญิงมาเสนอให้บริการอีก? ข้าจะบ้าตาย.. ผู้หญิงเปรียบดั่งเสือร้าย..” ตู้กู่โม่บ่นอุบอิบ

ทันทีที่เปิดประตูออก ตู้กู่โม่ก็พูดขึ้นว่า “ข้าไม่ต้องการบริการอะไรทั้งนั้น.. อ้าว! หลิงหยุน.. เจ้ามาที่นี่ทำไม?”

หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับชูแหวนในมือให้กับตู้กู่โม่ดูพร้อมกับพูดขึ้นว่า “บอดี้การ์ดของฉัน.. ตามฉันออกไปฆ่าคนได้แล้ว?”

นี่อยู่ในเมือง.. จะฆ่าคนง่ายๆได้ยังไงกัน?

“หลิงหยุน.. นี่มันอยู่ในเมืองนะ ไม่ใช่ก้นหลุมยักษ์.. ไม่ใช่ว่าจะฆ่าใครตามใจก็ได้..” ตู้กู่โม่กำลังจะร่ายยาว..

หลิงหยุนยิ้มกว้างพร้อมกับขู่ตู้กู่โม่ว่า “ฉันว่านายคงไม่อยากดื่มน้ำลายมังกรสินะ? ถ้าอยากดื่ม.. ก็รีบใส่เสื้อผ้าแล้วก็ตามฉันมา! แต่ถ้าไม่อยากดื่ม ก็นั่งดูทีวีของนายต่อไป..”

“ดื่มสิดื่ม!! ใครบอกว่าข้าไม่อยากดื่มน้ำลายมังกร! เจ้ารอข้าเดี๋ยวนะ ข้าจะรีบตามเจ้าลงไป!”

เมื่อได้ยินคำว่าน้ำลายมังกร ตู้กู่โม่ก็ไม่สนใจอะไรอีก เขารีบลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้า และตามหลิงหยุนลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว!

ทั้งคู่เดินออกจากห้องตรงไปที่รถทันที แต่เมื่อตู้กู่โม่และเหล่ากุ่ยได้พบหน้ากัน ต่างคนต่างก็ตกใจสุดขีด!

เพราะทั้งคู่ต่างก็พบว่าอีกฝ่ายนั้นอยู่ในขั้นเซียงเทียนแล้วเช่นกัน!

เหล่ากุ่ยอดคิดไม่ได้ว่า.. นายน้อยของเขากำลังคิดจะทำอะไรกันแน่ เหตุใดจึงสามารถพายอดฝีมือขั้นเซียงเทียนมาด้วยได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังหนุ่มยังแน่นและอายุไม่น่าเกินยี่สิบ!

‘เด็กหนุ่มคนนี้..’ หลิงหยุนทำให้เหล่ากุ่ยเหนือความคาดหมายได้หลายเรื่อง!

‘เรื่องน่าเศร้าที่ตระกูลหลิงพบเจอมา คงต้องฝากความหวังไว้กับลูกๆของคุณชายทั้งสามแล้วล่ะ?’

ตู้กู่โม่เองก็ออกจะงุนงงเล็กน้อยเช่นกัน เมื่อพบว่ามียอดฝีมือขั้นเซียงเทียนนั่งอยู่ในรถติดตามหลิงหยุนไปสังหารศัตรูในคืนนี้ด้วย!

ในที่สุดก็ถึงเวลาเที่ยงคืน เมื่อนึกถึงเรื่องแก้แค้น หลิงหยุนก็ไม่อาจทนรอต่อไปได้อีก!

ทุกคนต่างก็ขึ้นไปบนรถ ตู้กู่โม่ทักทายเหล่ากุ่ยอย่างนอบน้อม “ผู้น้อยตู้กู่โม่คาราวะท่านอาวุโส!”

เหล่ากุ่ยถึงกับถามขึ้นว่า “พ่อหนุ่ม.. เจ้ามาจากตระกูลตู้กู่งั้นรึ?”

ตู้กู่โม่ไม่ปิดบัง เขาพยักหน้าแทนคำตอบ และเหล่ากุ่ยได้แต่อุทานอยู่ในใจว่า ‘เป็นความจริงหรือนี่?!’

ในอดีตนั้น.. ตระกูลเก่าแก่ต่างก็มีมติเป็นเอกฉันท์ให้โดดเดี่ยวตระกูลหลิง แม้แต่ตระกูลตู้กู่เอง ถึงแม้จะไม่ได้มีส่วนร่วมในการต่อสู้ในครั้งนั้น แต่ก็มีส่วนร่วมในการบีบบังคับให้หลิงเสี่ยวต้องถูกทำลายวิทยายุทธ และทำให้เขาไม่สามารถพบกับแม่ของหลิงหยุนอีกตลอดชีวิต!

‘เฮ้อ.. ข้าเริ่มจะไม่แน่ใจแล้วว่า จะให้นายน้อยได้รู้จักกับครอบครัวของตนเองดีหรือไม่?!’

เหล่ากุ่ยนิ่งเงียบไป และไม่ทันสังเกตุว่ารถเฟอรารี่ได้มาหยุดอยู่ที่หัวมุมฝั่งตะวันตกเฉียงแต่ของสี่แยก!

“พวกมันเชี่ยวชาญเรื่องการใช้พิษ.. ทุกคนต้องระวังตัวให้ดี!”

“ถังเมิ่ง.. นายขับรถกลับไปที่บ้านฉันก่อน! นายอยู่ที่นี่อาจถูกพิษเข้าไปได้!”



บทที่ 357 : ล้างบางเมืองจิงฉู (6) – เทพแห่งปีศาจ

ถังเมิ่งไม่อยากกลับไป แต่หลิงหยุนกลับขยิบตาให้พร้อมกับบอกเขาว่า “นายไม่กลัวโดนพิษอย่างเหยาลู่หรือยังไง? ถ้านายโดนพิษหนอนกู่เข้า ฉันจะบอกกับแม่ของนายว่ายังไง?”

ถังเมิ่งครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะคิดได้ว่าตนเองไม่ควรอยู่ที่นี่ เพราะอาจได้รับพิษจากหนอนกู่นั่นได้ และถึงตอนนั้นเขาก็ต้องกลายเป็นภาระของหลิงหยุนอีก เมื่อไม่สามารถโต้แย้งได้ ถังเมิ่งจึงได้แต่พยักหน้าเงียบๆ

หลิงหยุนและยอดฝีมืออีกสองคนพากันลงจากรถ และเมื่อถังเมิ่งขับรถกลับไปแล้ว หลิงหยุนได้ส่งกระแสจิตบอกกับเจ้าขาวปุยว่า

“ขาวปุย.. หลังจากที่พวกเราเข้าไปข้างในแล้ว เจ้าจัดการใช้วิชาพรางตาปิดประตูหน้าต่างไว้ อย่าให้มีใครหนีออกมาได้แม้แต่คนเดียว!”

เมื่อเจ้าขาวปุ่ยพยักหน้าเข้าใจในคำสั่ง หลิงหยุนก็โบกมือส่งสัญญาณให้ตู้กู่โม่กับเหล่ากุยตามเขามา ทั้งหมดเดินตรงเข้าไปยังร้านของคนเซียงซีที่ตอนนี้ปิดประตูไว้

เหล่ากุ่ยใช้ผ้าปิดบังใบหน้าไว้ เขาไม่ต้องการเปิดเผยตัวต่อหน้าคนอื่น..

ปัง!!

หลิงหยุนจัดการถีบประตูร้านเสื้อผ้าของคนเซียงซี แล้วเดินเข้าไปด้านในทันที เหล่ากุ่ยและตู้กู่โม่ต่างก็วิ่งตามเข้าไป

เจ้าขาวปุยรีบใช้วิชาพรางตา และจากนี้ไปคนที่อยู่ด้านในจะไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ด้านนอกได้อีก

ร้านเสื้อผ้าของคนเซียงซีในตอนนี้ใหญ่กว่าคลีนิคของหลิงหยุนมาก ชั้นสองตกแต่งไว้เป็นที่อยู่อาศัย และแน่นอนว่ากลุ่มคนที่เข้าไปบุกทำลายคลีนิคของหลิงหยุนนั้น ตอนนี้ก็อยู่ที่ชั้นสองกันหมดทุกคน

“พวกเจ้ายังจะมุดหัวอยู่ในรูอีกหรือไง.. ข้ามาจัดการกับพวกเจ้าแล้ว ออกมาแล้วก็เตรียมตัวตายได้แล้ว.. เร็วเข้า!”

หลิงหยุนตรงเดินเข้าไปยืนอยู่กลางร้านที่ชั้นล่าง และเมื่อไม่พบใครอยู่ที่ชั้นล่างเลยแม้แต่คนเดียว เขาก็ใช้มังกรพรางร่างไปโผล่ที่ตีนบันได้!

เหล่ากุ่ยได้แต่จ้องมองพร้อมกับคิดในใจว่า นายน้อยของเขานั้นดูเหมือนจะมีกำลังภายในล้ำเลิศกว่าที่เขาคิดไว้ ดูแล้วน่าจะอยู่ในขั้นโฮ่วเทียน-6!

หลิงหยุนที่ยืนอยู่ตีนบันไดเงยหน้าขึ้นไปทางชั้นสอง เขาพบชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบปีกำลังจ้องมองมาด้านล่างเช่นกัน ชายวัยกลางคนผู้นั้นกำลังยืนแสยะยิ้มให้กับหลิงหยุนอย่างเย็นชา

หลิงหยุนเห็นชัดว่า หน้าผากของชายวัยกลางคนผู้นั้นเป็นสีเขียวเข้ม และกำลังเดินลงบันไดมาทีละขั้น

หลิงหยุนจึงร้องออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าเป็นเจ้าของคลีนิคฝั่งตรงข้ามที่แกพาคนเข้าไปบุกทำลาย!”

ชายวัยกลางคนนิ่งอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับมาว่า “ที่แท้ก็เป็นเจ้าเด็กที่ฆ่าหนอนกู่ของข้านี่เอง คิดไม่ถึงว่าข้าไม่ต้องเสียเวลาไปหาเจ้า แต่เจ้ากลับมาหาข้าที่นี่ซะเอง.. ช่างรนหาที่แท้ๆ!”

หลิงหยุนไม่ตอบแต่ถามต่อว่า “เจ้าต้องการพังคลีนิคของข้า.. แต่ทำไมต้องทำร้ายเด็กสาวบริสุทธิ์ด้วยวิธีที่โหดเหี้ยมแบบนั้น ใหนจะคนงานอีก พวกเขาไปขัดขวางอะไรเจ้า เจ้าถึงต้องทำร้ายพวกเขาแบบนั้น?”

ชายวัยกลางคนทำท่าทางราวกับกำลังฟังเรื่องตลก แล้วตอบหลิงหยุนไปว่า “คนอ่อนแอย่อมเป็นเหยื่อของคนที่แข็งแรงกว่า! ใครให้พวกมันอยู่ที่นั่นขวางทางข้า!”

“พูดได้ดี!”

หลิงหยุนไม่คิดที่จะพูดคุยกับคนพรรณนี้อีก เขาก้าวขึ้นบันไดไปทีละขั้น..

“คนอ่อนแอย่อมเป็นเหยื่อของคนที่แข็งแรงกว่างั้นรึ? ถ้างั้น.. แกก็เตรียมตัวตายด้วยฝีมือของข้าได้แล้ว!”

พูดจบ.. หลิงหยุนก็ใช้หมัดปีศาจเถียนกังชกใส่ชายวัยกลางคน แต่เขาเพียงแค่ยิ้มและยืนนิ่งไม่หลบหมัดของหลิงหยุนที่พุ่งเข้ามา แต่กลับกางฝ่ามือสีเขียวดำของตนเองขึ้นรับหมัดของหลิงหยุนแทน

 “หลิงหยุนระวัง!”

เหล่ากุ่ยที่มองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจนนั้น เขารู้ดีว่ากำลังภายในของชายวัยกลางคนผู้นี้อยู่ในขั้นโฮ่วเทียน-8 และสามารถเอาชนะหลิงหยุนได้อย่างสบาย แต่การที่หลิงหยุนใจกล้าบุกเข้าไปจู่โจมแบบนั้น ไม่เท่ากับรนหาที่ตายหรือยังไง?

เหล่ากุ่ยคิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะพุ่งเข้าไปด้วยความรวดเร็วแบบนั้น และตอนนี้ถึงเขาจะห้าม ทุกอย่างก็สายเกินไปเสียแล้ว!

ปัง!!! เสียงหมัดของหลิงหยุนปะทะเข้ากับฝ่ามือของชายวัยกลางคนอย่างรุนแรง!

เหล่ากุ่ยหลับตาแน่นเพราะไม่ต้องการเห็นภาพสยดสยองของหลิงหยุน แต่ตู้กู่โม่กลับยืนมองการต่อสู้ที่ตื่นเต้นนั้น และกำลังรอดูความโชคร้ายของชายวัยกลางคนด้วยท่าทีสงบนิ่ง

อ๊าก!!

เสียงกรีดร้องของชายวัยกลางคนดังขึ้น และร่างของเขาก็ลอยละลิ่วออกไปไกลถึงสี่เมตรจากการปะทะกับพลังหมัดของหลิงหยุน ร่างของเขาลอยไปกระแทกเข้ากับกำแพงที่อยู่ด้านหลัง แล้วจึงหล่นลงบนพื้น!

“เจ้าคนอ่อนแอ! เอาล่ะ.. ข้าจะให้เจ้าได้รู้ว่าใครที่เป็นคนอ่อนแอ และใครที่เป็นคนแข็งแรง?!”

พูดจบหลิงหยุนก็ใช้มังกรพรางร่างไปโผล่ตรงหน้าของชายวัยกลางคน และชกเข้าที่หน้าอกของเขาอย่างแรงอีกหนึ่งหมัด!

พลังหยินในร่างกายของหลิงหยุนพุ่งจากจุดตันเถียน ผ่านขึ้นมาทางเส้นลมปราณเยิ่น และทะลักเข้าสู่หมัดขวาของเขา ทำให้หมัดปีศาจเถียนกังของหลิงหยุนยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น!

อ๊าก!

เลือดสีแดงสดพุ่งออกจากปากของชายวัยกลางคน และตอนนี้เขาก็เริ่มหวาดกลัวอย่างมาก!

หลิงหยุนกระโดดถอยหลังเพื่อหลบเลือดที่พุ่งออกมาจากปากของชายวัยกลางคน และยืนมองร่างของมันที่นอนนิ่งอยู่ข้างกำแพง สภาพไม่ต่างจากสุนัขที่ตายแล้วตัวหนึ่ง หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับพูดต่อว่า

“การถูกคนอื่นรังแกไม่ใช่ความรู้สึกที่ดีเลยใช่ไม๊ล่ะ?”

“นี่มันอะไรกัน..?!”

เหล่ากุ่ยคิดว่าหลิงหยุนคงจะอยู่ในสภาพที่น่าสยดสยองไปแล้ว แต่เมื่อลืมตาขึ้น เขากลับพบว่าหลิงหยุนยังปลอดภัยดี เพียงแค่สองหมัด.. หลิงหยุนก็สามารถทำให้คู่ต่อสู้ที่อยู่ในขั้นโฮ่วเทียน-8 ได้รับบาดเจ็บสาหัส..

เหล่ากุ่ยจึงได้แต่ยืนตะลึงด้วยความงุนงง!

‘หลิงหยุนใช้มือเปล่า และเพียงแค่โจมตีคู่ต่อสู้แค่สองหมัด ก็สามารถทำให้ยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-8 ถึงกับบาดเจ็บสาหัส นี่หมายความว่ายังไงกัน?!’ เหล่ากุ่ยทั้งตกใจและประหลาดใจจนไม่อาจบรรยายออกมาได้..

‘นับว่าสวรรค์เมตตา! คุณชายสาม – หลิงเสี่ยว ก็เข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-3ได้ตั้งแต่อายุยังไม่ถึงยี่สิบ แต่ข้า..เหล่ากุ่ยกลับนึกไม่ถึงว่าหลิงหยุนที่อายุเพียงแค่สิบแปด จะสามารถเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-9ได้เช่นกัน!?’

แน่นอนว่า.. ข้อมูลเหล่านี้หลิงห่าวเองก็ไม่รู้..

หลังจากที่เกิดการเปลี่ยนแปลงในจุดตันเถียนของหลิงหยุน แม้แต่เหล่ากุ่ยเองก็ไม่สามารถมองออกว่ากำลังภายในของหลิงหยุนอยู่ในระดับใหนกันแน่ เขาทำได้เพียงแค่วิเคราะห์จากศักยภาพที่หลิงหยุนได้แสดงออกมาระหว่างการต่อสู้เท่านั้น!

ตัวเขาเองไม่สามารถมองออก ทำให้เหล่ากุ่ยอดคิดไม่ได้ว่า.. เป็นไปได้หรือไม่ว่ากำลังภายในของหลิงหยุนนั้นสูงกว่าของเขา? เป็นไปได้หรือไม่ว่าหลิงหยุนจะเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนแล้ว?!

เหล่ากุ่ยอดคิดไม่ได้ว่า หากเขาส่งข่าวเรื่องนี้ไปให้นายผู้เฒ่าหลิงและคุณชายสามแล้วล่ะก็ ทั้งคู่จะตื่นเต้นดีใจกันสักเพียงใด?!

แม้แต่เหล่ากุ่ยเอง.. ตอนนี้ก็ตื่นเต้นดีใจอย่างมาก เขาได้แต่คิดว่าตระกูลหลิงมีผู้สืบทอดแล้ว!

ที่ผ่านมานั้น.. คนในตระกูลหลิงล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีพรสวรรค์ในด้านการฝึกวิทยายุทธ! เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมเลยก็ว่าได้ และเรื่องนี้ก็เป็นที่จดจำของเหล่านิกายลับและตระกูลเก่าแก่

อีกทั้งแต่ละคนก็ล้วนสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนกันได้ตั้งแต่อายุเพียงแค่ยี่สิบ ไม่มีใครสักคนในตระกูลที่จะไม่สนใจกับการฝึกวิทยายุทธ

ในช่วงที่ตระกูลหลิงเฟื่องฟูอย่างที่สุดนั้น หัวหน้าตระกูลหลิง – หลิงลี่ ยังอยู่ในขั้นเซียงเทียน-4 หลิงเสี่ยวเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-3 ได้ตั้งแต่อายุยังไม่ถึงยี่สิบ และหลิงเจิ้นเองก็อยู่ในขั้นเซียงเทียน ในขณะที่หลิงเย่วก็อยู่ในระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-9!

หลังจากเหตุการณ์เจ็บปวดเมื่อสิบแปดปีที่แล้ว ตระกูลหลิงก็ค่อยๆตกต่ำลง ไม่เพียงแค่ตระกูลหลิงไม่ได้รับการสนับสนุนจากนิกายลับและตระกูลเก่าแก่ กำลังภายในของหลิงลี่เองก็ตกลงไปสู่ขั้นเซียงเทียน-1 ส่วนหลิงเสี่ยวเองก็ต้องทำลายวรยุทธของตนเอง ถึงแม้จะกลับมาเริ่มฝึกฝนใหม่ แต่จุดตันเถียนและเส้นลมปราณต่างๆ ก็ได้ถูกทำลายเสียหายไปมาก จนกระทั่งตอนนี้ เขายังคงอยู่เพียงแค่ขั้นโฮ่วเทียน-5 และการจะก้าวข้ามขึ้นไปแต่ละขั้นก็ช่างลำบากยากเย็น!

แต่ตอนนี้.. ดูเหมือนตระกูลหลิงน่าจะได้ยอดฝีมือที่อยู่ในขั้นเซียงเทียน-2อีกคน เช่นเดียวกับผู้นำตระกูลหลิงคนปัจจุบัน – หลิงเจิ้น!

หลิงหยุนซึ่งเป็นลูกนอกสมรสของตระกูลหลิง ได้ทำให้เหล่ากุ่ยตกใจอย่างมากเมื่อได้เห็นภาพการต่อสู้ที่เกิดขึ้นตรงหน้า เพราะมันแสดงให้เห็นถึงกำลังภายในที่แข็งแกร่ง!

คนเซียงซีที่อยู่ชั้นสองต่างก็วิ่งกรูออกมาพร้อมกัน แต่กลับพบว่าหลิงหยุนได้จัดการชายวัยกลางคนจนลงไปกองอยู่กับพื้นอย่างง่ายดาย!

“เจ้า.. เหตุใดเจ้าจึงไม่ถูกพิษ?” ชายวัยกลางคนที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสชี้ไปทางหลิงหยุน สีหน้าของเขาดูตกใจ และร้องออกมาอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

สำหรับร่างกายของหลิงหยุนที่ฝึกดารกะดายันผ่านมาถึงสิบเอ็ดระดับย่อยแล้วนั้น แม้แต่ดักแด้ทองคำของเหมี่ยวเสี่ยวเหมา ก็ยังไม่สามารถทำอะไรเขาได้ จึงแทบไม่ต้องพูดถึงหนอนกู่กระจอกของชายวัยกลางคนผู้นี้

“ช่างน่าอัศจรรย์นัก!?”

“ก็เพราะข้าเป็นผู้ที่จะมาปราบหนอนกู่ของเจ้าไง!” หลิงหยุนยิ้มเยือกเย็นพร้อมกับก้าวเท้าเข้าไปหาช้าๆ

หนอนกู่สามตัวทะยานออกมาจากฝ่ามือของชายวัยกลางคน พุ่งตรงเข้าใส่หน้าของหลิงหยุน..

หลิงหยุนไม่รีบร้อน เขาเอื้อมมือคว้าหนอนกู่ทั้งสามตัวกลางอากาศ จากนั้นจึงโยนมันลงไปที่พื้น แล้วใช้เท้าบี้หนอนกู่จนตายทั้งสามตัว แล้วพูดด้วยเสียงเย็นชาว่า

“ดูท่าคนอย่างเจ้าไม่เห็นโลงศพ คงจะไม่หลั่งน้ำตาสินะ!”

ชายอีกคนที่มีใบหน้ายาวเหมือนม้าตะโกนสั่งคนอื่นๆ “พวกเรา.. ฆ่ามัน!”

“ใช่แล้วพวกเรา.. ฆ่ามัน!” คนเซียงซีคนอื่นๆ ต่างก็พากันส่งเสียงร้อง และวิ่งกรูเข้าใส่หลิงหยุนพร้อมกัน!

เห็นได้ชัดว่า.. หลังจากที่ชายชราได้พ่ายแพ้ให้กับหลิงหยุนเมื่อครั้งก่อน คงจะกลับไปเล่าความแข็งแกร่งของหลิงหยุนให้ชายวัยกลางคนผู้นี้ฟัง และได้เชิญเขาผู้นี้ซึ่งเป็นยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-8 ให้มาจัดการกับหลิงหยุน

จากการประเมินครั้งนั้น พวกเขาคงคิดว่ายอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-8นี้ จะสามารถเอาชนะหลิงหยุนได้อย่าง่ายดาย แต่ช่างโชคร้าย.. เพราะเมื่อหลิงหยุนกลับมาจากก้นหลุมยักษ์ ความแข็งแกร่งของเขาก็เพิ่มทวีขึ้นอีกหลายเท่า และยากที่หยั่งถึง!

หลิงหยุนร้องบอกตู้กู่โม่กับเหล่ากุ่ยว่า “ไม่ต้องรบกวนพวกท่านทั้งสองแล้ว ข้าคนเดียวก็จัดการกับพวกมันได้!”

ปัง.. ปัง.. ปัง..

หลิงหยุนจัดการชกคนที่วิ่งกรูเข้ามาหาเขาทีละคนจนกระเด็นออกไป บางคนกระดูกหัก บางคนกระอักเลือด และกำลังนอนดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด เรียกได้ว่าหลิงหยุนไม่คิดที่จะปราณีใครแม้แต่คนเดียว!

ในจำนวนคนทั้งหมดนั้น ชายหน้ายาวเป็นผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสที่สุด และหมัดของหลิงหยุนก็ได้ทำลายจุดตันเถียนของมันไปพร้อมกันด้วย

หลิงหยุนปัดมือเบาๆ และยกมือขึ้นชี้ไปที่ชายวัยกลางคน พร้อมกับพูดยิ้มๆ

“เจ้าเป็นคนพูดเองว่า.. คนอ่อนแอย่อมเป็นเป็นเหยื่อของคนที่แข็งแรงกว่า..  ตอนนี้เรามาคุยกันเรื่องที่จะกินเหยื่อยังไงกันได้หรือยัง?”

“ปีศาจ.. เจ้ามันปีศาจชัดๆ!” ชายวัยกลางคนยกมือขึ้นชี้หน้าหลิงหยุน แววตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว!

สายตาของหลิงหยุนมีแต่ความเย็นชา หลิงหยุนบีบมือของชายวัยกลางคนจนเสียงดังกร๊อบ! มือของเขาแตกละเอียดและสาหัสยิ่งกว่าถูกหินทับเสียอีก!

ฝ่ามือของหลิงหยุนนั้นมีแรงบีบที่รุนแรง จนชายวัยกลางคนถึงกับร้องเสียงหลง!

อ๊าก!!

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “อย่าเรียกข้าว่าปีศาจ.. แต่เจ้าควรจะเรียกข้าว่าเทพแห่งปีศาจ หรือไม่ก็ราชาแห่งปีศาจต่างหาก!”

เมื่อเห็นหลิงหยุนทั้งดุดันและมีอารมณ์ขัน เหล่ากุ่ยจึงได้แต่ตกใจและหันไปมองตู้กู่โม่ที่ไม่มีท่าทีประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย

นั่นเพราะตู้กู่โม่เคยชินกับภาพพวกนี้แล้ว เมื่อครั้งที่เจ้าขาวปุยได้รับบาดเจ็บจากโทคุงาวะ ทาเคซุกะ หลิงหยุนแสดงความโกรธเกรี้ยวมากกว่านี้เสียอีก..

“เอาล่ะ.. ตอนนี้บอกข้ามาว่าใครเป็นเจ้าของร้านนี้ ส่วนเรื่องที่เจ้าไปถล่มคลีนิคของข้า เรายังต้องคุยเรื่องชดใช้ค่าเสียหายกันต่อ..”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม