Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร 325-343
บทที่ 325 : หมอที่เปี่ยมด้วยเมตตา
หลิงหยุนรีบวางเจ้าขาวปุยลงที่พื้น จากนั้นก็เรียกยันต์อัคนีออกมาจากแหวนพื้นที่ แล้วโน้มตัวไปพูดกับตงฟางถิงว่า
“พี่ตงฟาง.. ท่านบาดเจ็บตรงใหน ข้าจะรักษาให้!”
“น้องหลิงหยุน.. ข้าขอบใจเจ้ามาก แต่ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก! หลังกับขาของข้าถูกกระบี่ศิลาแทงเข้าหลายจุด ตอนนี้ข้าไม่สามารถขยับเขยื้อนได้!”
หลิงหยุนไม่สนใจฟังคำพูดไร้สาระของตงฟางถิง เขาใช้ยันต์บำบัดแปะเข้าไปที่บาดแผลของตงฟางถิง จากนั้นก็ร้องสั่งยันต์อยู่ในใจ
ตงฟางถิงไม่รู้ว่าหลิงหยุนทำอะไรกับเขา แต่เขารับรู้ได้ถึงความความเย็นที่แปลกประหลาดบนบาดแผล จากนั้นบาดแผลตามร่างกายก็หายไปเองได้อย่างน่าอัศจรรย์ ตงฟางถิงทั้งตกใจและดีใจ!
“น้องหลิงหยุน.. นี่เจ้า..” ตงฟางถิงร้องออกมาด้วความดีใจและประหลาดใจ
หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ “อย่าเพิ่งพูดอะไรกันตอนนี้เลย พวกเราทั้งหมดต้องรีบยืนเอาหลังแนบกำแพงไว้ก่อน หากข้าเดาไม่ผิด.. ครั้งนี้กระบี่ศิลาจะพุ่งขึ้นมาจากด้านล่าง!”
หลังจากนั้น หลิงหยุนก็อุ้มเจ้าขาวปุยขึ้นมา และพาตู้กู่โม่กับตงฟางถิงกระโดดไปยืนอยู่ข้างผนังหิน แล้วจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สงบนิ่ง
“พายุกระบี่ในครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายของค่ายกลกระบี่สังหารแล้ว หากพวกเราสามารถเอาชีวิตรอดไปได้ ค่ายกลก็จะหยุดทำงานเอง!”
ตู้กู่โม่สวนขึ้นมาทันที “แต่ครั้งนี้กระบี่ศิลาจะพุ่งขึ้นจากพื้นดิน แล้วพวกเราจะหลบได้ยังไง?”
หลิงหยุนกัดฟันตอบกลับไปว่า “ไม่มีวิธีอื่นแล้ว.. นอกจากต้องพยายามรักษาส่วนสำคัญของร่างกายไม่ให้ได้รับบอันตราย..”
ตู้กู่โม่รู้สึกหวาดกลัวมากอย่างมาก.. และรีบใช้มือขวากุมน้องชายของเขาไว้ ส่วนมือซ้ายก็ปิดก้นของตนเองไว้ทันที
หลิงหยุนเห็นท่าทางของตู้กู่โม่แล้วถึงกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “นี่นายทำบ้าอะไร!? เอามือปิดไว้แบบนั้นจะช่วยอะไรได้ ต้องใช้อาวุธปัดป้อง!”
ตู้กู่โม่ถามขึ้นมาทันทีเช่นกัน “เจ้าใช้กระบี่มารในมือเจาะเข้าไปในผนังให้เป็นรู แล้วพวกเราก็เข้าไปหลบในนั้นไม่ได้รึยังไง?”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมตอบกลับไปว่า “นี่นายพูดอะไรไม่คิดเลย! ขืนใช้กระบี่นี่ทำลายกำแพง ไม่ยิ่งเป็นการกระตุ้นกลไกให้ทำงานรุนแรงกว่าเดิมหรือยังไง!”
หลิงหยุนรู้แล้วว่าค่ายกลมรณะแห่งนี้มีทั้งค่ายกลกระบี่สังหาร และค่ายกลลวงตา สำหรับค่ายกลมังกรหยินหยางแห่งนี้แล้ว นี่นับว่าเป็นเพียงค่ายกลเล็กๆน้อยๆเท่านั้น
“ตอนนี้ต่างคนต่างก็สนใจป้องกันแต่ตัวเองก็พอ! เอาล่ะ.. พายุกระบี่ลูกที่สามกำลังจะมาแล้ว!” หลิงหยุนร้องเตือนทั้งสองคน และทันใดนั้นเองเสียงครืน.. ก็ดังขึ้น
และก็เป็นอย่างที่หลิงหยุนบอกไว้จริงๆ ครั้งนี้กระบี่ศิลาพุ่งทะลุจากพื้นขึ้นมา ทำให้การปัดป้องยิ่งยากขึ้นไปอีก
หลิงหยุนโคจรดารกะดายันไปทั่วร่าง ส่วนเจ้าขาวปุยก็ขดตัวแน่นอยู่บนหน้าอกของเขา จากนั้นกระบี่ศิลาก็พุ่งขึ้นมาจากพื้นทั้งด้านหน้าและด้านหลังของหลิงหยุนทันที
หลิงหยุนสามารถปัดป้องได้ถึงเพียงแค่ช่วงเข่าของเขาเท่านั้น และตอนนี้น่องและเท้าของเขากลับถูกกระบี่ศิลาแทงทะลุจนเลือดไหลออกมาเป็นทาง!
หลิงหยุน ตู้กู่โม่ และตงฟางถิง.. ต่างก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสกันทุกคน!
หลิงหยุนไม่สามารถทนได้อีกต่อไป หลังจากที่ยืนหยัดต่อสู้อยู่นาน กัดฟันทนต่อความเจ็บปวดฟาดฟันกระบี่หินมากมายที่พุ่งขึ้นมา และในที่สุดก็ล้มลงกับพื้นเสียงดังปัง!
ปัง.. ปัง.. เสียงปังดังขึ้นอีกสองครั้งติดๆกัน ตู้กู่โม่และตงฟางถิงต่างก็ล้มลงพื้นเกือบจะพร้อมกัน เว้นแต่เจ้าขาวปุยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บเพราะหลิงหยุนป้องกันมันไว้ และในเวลานี้ทั้งสามคนต่างก็นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น
ส่วนเจ้างูเหลือมยักษ์นั้น ตอนนี้นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้นไม่ขยับเขยื้อน และไม่มีแม้แต่เสียงร้อง
หลังจากที่พายุกระบี่ลูกที่สามผ่านไป กำแพงหินก็หายไปด้วย และหมอกสีขาวหนาก็จางหายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน ผนังถ้ำหินก็กลับไปอยู่ในสภาพเดิม และบรรยากาศภายในก็เต็มไปด้วยความมืดมิดเช่นเดิม หากไม่มีคนนอนตายอยู่กับพื้น และไม่มีบาดแผลตามร่างกาย สภาพภายในถ้ำก็แทบจะดูเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นด้วยซ้ำ
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ และหลิงหยุนมั่นใจว่าค่ายกลได้หยุดทำงานแล้ว เขาจึงค่อยๆลืมตาขึ้น และวางเจ้าขาวปุยลงไปบนพื้นข้างๆอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ
หลิงหยุนทำการรักษาบาดแผลตามร่างกายของตนเองด้วยยันต์บำบัด แล้วจึงค่อยลุกขึ้นเดินไปหาตู้กู่โม่กับตงฟางถิง และตอนนี้ทั้งคู่ก็สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนว่า หลิงหยุนได้ใช้ยันต์บำบัดทำการรักษาบาดแผลตามร่างกายให้กับพวกเขาทั้งคู่ และบาดแผลต่างๆก็ค่อยๆเลือนหายไป
ตู้กู่โม่และตงฟางถิงต่างก็ยิ้มให้กันอย่างตื่นเต้นดีใจ และลุกขึ้นเกือบจะพร้อมกัน ตู้กู่โม่ถามขึ้นทันที
“นี่เจ้าใช้ยันต์ของสำนักเหมาซานด้วยเหรอ? แล้วนี่ก็เป็นวิธีการรักษาคนไข้ของสำนักหมอสวรรค์ด้วยรึเปล่า?”
ตงฟางถิงกำหมัดทั้งสองมือแน่นพร้อมกับสำรวจไปทั่วร่างกาย แล้วรีบเอ่ยขอบคุณหลิงหยุน “น้องชาย.. ข้าขอบใจเจ้ามากที่ช่วยชีวิตของข้าไว้ จากนี้ไปเจ้าจะสั่งให้ข้าบุกน้ำลุยไฟ ข้าก็จะทำเพื่อตอบแทนบุญคุณของเจ้า!”
หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับตอบไปว่า “เรื่องเล็กน้อยเองพี่ตงฟาง! ท่านอย่าได้เกรงใจไป อีกอย่างข้าก็ต้องขอบคุณที่ท่านเชื่อว่าข้าไม่ใช่คนของนิกายมาร ฮ่า.. ฮ่า..”
ตู้กู่โม่ไม่ใช่คนสุภาพแบบตงฟางถิง เขาหันกลับไปหาหลิงหยุนอย่างตื่นเต้นพร้อมกับถามขึ้นว่า “นี่นายมาจากสำนักหมอสวรรค์จริงๆเหรอ? อีกอย่างยันต์ของเจ้าก็เยี่ยมมากเลย แบ่งให้ข้าบ้างสิ?!”
หลิงหยุนไม่สนใจตู้กู่โม่ เขามองไปยังประตูศิลาอีกครั้ง และเห็นร่างไร้ลมหายใจของชางกวนเจี๋วยกับคนอื่นๆอีกสี่คนนอนเรียงรายอยู่บนพื้น แต่ละคนล้วนมีเลือดไหลออกตามร่างกายจำนวนมาก สภาพของพวกเขาตายอย่างน่าสมเพช
“เจ้าพวกโง่นี่เกือบจะทำให้พวกเราทั้งหมดต้องตายอยู่ในนี้ด้วย!” หลิงหยุนสบถออกมาอย่างขุ่นเคือง และตงฟางถิงก็ขมวดคิ้วพร้อมกับส่ายหน้า
ร่างของตู้กู่โม่ลอยขึ้นไปแตะที่กำแพง และแตะที่พื้น แล้วถามขึ้นว่า “กระบี่ศิลานี่ก็ไม่ใช่กระบี่จริงๆใช่ไม๊?”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า “ใช่แล้ว.. กระบี่พวกนี้ล้วนไม่ใช่กระบี่จริงๆ แต่มันคือค่ายกล ไม่ว่าจะเป็นกำแพงเคลื่อนที่ หมอกสีขาว และแม้แต่กระบี่ศิลา ทุกอย่างล้วนไม่มีอยู่จริง..”
ตู้กู่โม่ถามขึ้นอีกว่า “แต่กำแพงเคลื่อนที่ แล้วก็กระบี่ศิลาก็ทำให้พวกเราเจ็บปวดได้จริงๆ! เรื่องนี้จะอธิบายว่ายังไง?”
หลิงหยุนขมวดคิ้วเล็กน้อยและตอบกลับไปว่า “กำแพงเคลื่อนที่นั้นเป็นการทำงานของค่ายกลลวงตาที่มีผลต่อจิตใจของเรา เพราะนายจะคิดว่ากำแพงหินพวกนั้นกำลังบีบรัดร่างกายของนายอยู่ นายจึงพยายามที่จะใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีต่อต้านมัน และแน่นอนว่าการทำแบบนั้น ย่อมทำให้เกิดการบาดเจ็บภายใน..”
“แล้วกระบี่ศิลาล่ะ?” ตู้กู่โม่ยังคงคาใจ
หลิงหยุนอธิบายต่ออย่างใจเย็น “นายไม่ได้ถูกกระบี่ศิลาทำให้บาดเจ็บหรอก.. หลังจากที่ค่ายกลเริ่มทำงาน พลังงานในค่ายกลแห่งนี้ก็ได้รวมตัวกันและมีรูปร่างคล้ายกระบี่ เพราะฉะนั้น พลังงานในค่ายกลแห่งนี้ต่างหากที่ทำร้ายทุกคนจนบาดเจ็บ ไม่ใช่กระบี่! กระบี่ศิลาเป็นของปลอม แต่พลังงานในค่ายกลต่างหากคือของจริง!”
“ยอดคนจริงๆ! นี่นายรู้ได้ยังไงกัน? ที่สำนักหมอสวรรค์ของนายสอนเรื่องค่ายกลพวกนี้ด้วยเหรอ?”
“เลิกไร้สาระได้แล้ว!”
หลิงหยุนรู้สึกทนกับความหน้าไม่อายของตู้กู่โม่ไม่ได้อีก เขาหันไปมองเจ้างูยักษ์ที่นอนขดอยู่รอบบ่อน้ำลายมังกร และเดินถือกระบี่โลหิตแดนใต้เข้าไปยืนอยู่ตรงหน้ามัน
ตอนนี้ทุกคนต่างก็เห็นว่าเจ้างูยักษ์หมดเรียวแรงที่จะจู่โจมใครได้อีก แม้ว่ามันจะยังไม่ตาย แต่ก็ไม่สามารถทำอันตรายใครได้แล้ว เพราะตามลำตัวของมันนั้นถูกกระบี่ศิลาทิ่มแทงจนเป็นรูไปหมด ตามลำตัวของเจ้างูยักษ์ในตอนนี้ จึงมีแต่บาดแผลที่เกิดจากกระบี่เต็มไปหมด และเลือดก็ไหลออกมาจำนวนมาก!
หลิงหยุนสังเกตุดูอย่างละเอียด เมื่อเห็นว่าเจ้างูยักษ์ยังไม่ตาย เขาก็หยิบยันต์บำบัดออกมา
“ข้าว่าเจ้าอย่าช่วยมันจะดีกว่า!” ตู้กู่โม่ร้องขึ้นมาอย่างตกใจ
ตงฟางถิงถึงกับยิ้มและเอ่ยออกมาอย่างชื่นชม “นึกไม่ถึงจริงๆว่าน้องหลิงหยุนจะมีจิตใจที่เมตตาสงสารผู้อื่นเช่นนี้.. ข้านับถือเจ้าจริงๆ!”
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อย “มันบาดเจ็บมาก.. จะช่วยได้หรือไม่ข้าก็ยังไม่รู้ แต่ข้าจะพยายามสุดความสามารถ จากนั้นก็แล้วแต่ชะตากรรมของมันแล้ว!”
หลังจากพูดจบ หลิงหยุนก็เริ่มวางยันต์บำบัดไปตามบาดแผลฉรรจ์บนลำตัวของมันอย่างใจเย็น เจ้างูยักษ์ตัวนี้ใหญ่โตจนเกินไป พายุกระบี่ศิลาทั้งสามครั้ง จึงสร้างบาดแผลให้มันอย่างแสนสาหัส ยันต์บำบัดเป็นร้อยๆแผ่นของหลิงหยุนก็ยังไม่เพียงพอกับบาดแผลทั้งหมดตามลำตัวของมัน หลิงหยุนจึงต้องเลือกรักษาเฉพาะบาดแผลที่ฉกรรจ์ที่สุดเท่านั้น
ตำแหน่งบาดแผลที่ใหญ่ ฉกรรจ์ และสาหัสที่สุดของเจ้างูยักษ์นั้นอยู่ที่หัว และอีกเจ็ดแห่งตามลำตัวของมัน..
หลิงหยุนหยิบยันต์บำบัดออกมาทีละแผ่น และค่อยๆวางไปตามบาดแผลของเจ้างูยักษ์ และทุกครั้งที่วางยันต์ลงไปตำแหน่งต่างๆ เขาก็ร้องสั่งยันต์ให้ทำงานอยู่ในใจเงียบๆ
เจ้างูเหลือมตัวนี้ใหญ่มหึมามาก หากหลิงหยุนวางยันต์บำบัดไว้ที่เกล็ดของมัน ก็จะไม่ส่งผลอะไรต่อการรักษา เขาจึงจำเป็นต้องยัดยันต์บำบัดลงไปในบาดแผลทีละแผ่น และเลือกรักษาเฉพาะบาดแผลฉกรรจ์เท่านั้น
แต่ในเวลานี้ เจ้างูเหลือมยักษ์ดูเหมือนลมหายใจจะอ่อนระทวยลงไปมาก เรียกว่าเข้าใกล้ความตายมากแล้ว เพราะบาดแผลที่เกิดจากกระบี่ศิลานั้นนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นลำตัวหรือหัวใจ แต่หลิงหยุนนั้นมีจิตใจที่เป็นหมออย่างสมบูรณ์ เขายังคงรักษามันอย่างไม่ย่อท้อ
ตู้กู่โม่และตงฟางถิงที่เห็นหลิงหยุนตั้งใจรักษาเจ้างูยักษ์อย่างจริงจัง ทั้งคู่จึงได้แต่มองหน้ากันแล้วร้องออกไปว่า
“หลิงหยุน.. พวกเราจะช่วยเจ้าเอง..”
หลิงหยุนส่ายหน้าพร้อมกับตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “มันใกล้ตายแล้ว อีกอย่างพวกท่านก็ไม่รู้ว่าต้องวางยันต์บำบัดไว้ที่จุดใหนถึงจะเป็นผลดีกับการรักษา ข้าทำเองจะดีกว่า!”
หลิงหยุนใช้เวลารักษาเจ้างูยักษ์ไปนานถึงสามชั่วโมง และใช้ยันต์บำบัดไปจนหมด..
ตู้กู่โม่และตงฟางถิงที่ยืนมองหลิงหยุนใช้ยันต์บำบัดในมือจนไปจนหมดทั้งมัดแล้ว แต่จู่ๆก็มียันต์มัดใหม่อยู่ในมือของหลิงหยุนอีก ทั้งคู่ต่างก็รู้สึกตกใจและประหลาดใจ แต่ก็ไม่คิดที่จะถาม..
ความสามารถของหลิงหยุนนั้นช่างน่าอัศจรรย์ เขาปรากฏตัวพร้อมกับกระบี่โลหิตแดนใต้ในมือ และแสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วในแบบที่พวกเขาทั้งคู่ไม่สามารถเทียบได้ อีกทั้งยังช่วยพวกเขาทั้งคู่ให้รอดชีวิตจากค่ายกลมรณะที่น่ากลัวนี้ได้ และในตอนนี้เขากลับนั่งรักษาเจ้างูยักษ์ในสภาพที่ร่างกายยังคงเต็มไปด้วยเลือด
หลังจากทำการรักษาให้กับเจ้างูยักษ์เรียบร้อยแล้ว หลิงหยุนก็เดินตรงไปที่บ่อน้ำลายมังกร
หลิงหยุนหันไปทางตู้กู่โม่และตงฟางถิงพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ด้วยกำลังของพวกเราสามคน ไม่มีทางที่จะเปิดประตูศิลาได้แน่! ข้าได้ยินพวกท่านพูดถึงสมุดจักรพรรดิอะไรนั่น ข้าว่าอย่าไปคิดถึงมันเลยจะดีกว่า ตอนนี้พวกท่านมาดื่มน้ำนี่จะดีกว่า ดื่มเข้าไปเพียงนิดหน่อยก็จะทำให้การฝึกวิทยายุทธของพวกท่านทั้งสองก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว!”
“นี่มันคืออะไร?!” ตู้กู่โม่และตงฟางถิงถามขึ้นมาพร้อมกัน ความจริงแล้วทั้งคู่ต่างเห็นน้ำลายมังกรนี้ตั้งแต่เข้ามาแล้ว พวกเขารู้ว่าสิ่งนี้ต้องเป็นของดีแน่ แต่ในใจของพวกเขาคิดแต่เรื่องสมุดจักรพรรดิเท่านั้น อีกทั้งยังมีเจ้างูยักษ์นี่คอยปกป้องไว้อีก จึงไม่มีใครกล้าที่จะแตะต้อง
แต่ตอนนี้หลิงหยุนได้ช่วยชีวิตพวกเขาทั้งสองคนไว้ หลิงหยุนจึงกลายมาเป็นผู้มีพระคุณของพวกเขาไปแล้ว แม้ทั้งคู่จะเป็นคนที่มีบุคลิกแตกต่างกัน แต่ก็เป็นคนเปิดเผยไม่ต่างกัน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าที่จะทำอะไรตามใจ และรอคอยให้หลิงหยุนเป็นผู้สั่งการ
หลิงหยุนยิ้มบางๆ “ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ตำแหน่งหัวใจมังกรของค่ายกลมังกรหยินหยาง ข้าคิดว่านี่น่าจะเป็นน้ำลายมังกร บอกตามตรงข้ามาที่นี่เพราะสิ่งนี้..”
“น้ำลายมังกรงั้นรึ.. มิน่าเจ้างูยักษ์นี่ถึงได้ปกป้องจนตัวตายก็ไม่ยอมให้พวกเราเข้าใกล้..” ตู้กู่โม่พึมพำออกมา
“แต่พวกเราไม่ได้นำภาชนะอะไรเข้ามาด้วย แล้วจะดื่มน้ำลายมังกรนี่ได้ยังไง?” ตู้กู่โม่ถามขึ้นอย่างเสียดาย
หลิงหยุนหัวเราะเสียงดัง ก่อนจะเรียกขวดน้ำแร่ออกมาให้คนทั้งคู่ล้างมือ จากนั้นก็เรียกขวดน้ำดื่มออกมาอีกสองขวดแบ่งให้ทั้งคู่คนละขวด
“พวกท่านไม่ได้ดื่มน้ำมานานมากเลยสินะ.. ดื่มน้ำนี่ให้หมดขวด แล้วค่อยเอาไปตักน้ำลายมังกร…” หลิงหยุนหัวเราะ เขารู้สึกภูมิใจที่ได้อวดแหวนพื้นที่ต่อหน้าทั้งสองคน
ทั้งคู่รับขวดน้ำดื่มมาด้วยความดีใจ ตู้กู่โม่ดื่มน้ำจนหยดสุดท้ายแก้กระหาย พวกเขาไม่ได้ดื่มน้ำมาหนึ่งวันเต็มๆ ไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือขั้นใหน เมื่อถึงคราวกระหายน้ำขึ้นมา ต่อให้น้ำลายมังกรก็เทียบเท่าน้ำเปล่าไม่ได้
“อย่าดื่มมากจนเกินไป! เหลือท้องไว้ดื่มน้ำลายมังกรด้วย..” หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับร้องเตือน
ตู้กู่โม่ดื่มน้ำจนเหลือก้นขวดโดยไม่หยุดหายใจ จากนั้นก็ร้องออกมาพร้อมกับกระทืบเท้าอย่างเสียดาย “นี่ถ้าข้ารู้ว่าเจ้าจะลงมาที่นี่ด้วย ข้าก็คงจะรอเจ้าอยู่ที่ผาพยัคฆ์แล้วล่ะ..”
หลิงหยุนเป็นคนที่ชอบยั่วโมโหคนอื่นอยู่แล้ว เขาจึงสมน้ำหน้าพร้อมกับยิ้ม “
นั่นสิ.. ความจริงฉันก็อยากลงมาที่นี่กับนายเหมือนกัน แต่ใครจะคิดว่านายมันจะเป็นพวกใจเร็วด่วนได้แบบนี้..?!”
สีหน้าของตู้กู่โม่เต็มไปด้วยความเสียดายหนักขึ้น และผิดหวังมากขึ้น..
“เอาล่ะ.. ตอนนี้ก็รีบๆดื่มน้ำลายมังกรเข้าไปซะ! หลังจากดื่มเข้าไปแล้ว ก็ให้เดินลมปราณที่นี่เลย ข้าจะคุ้มครองเจ้าเอง! แต่อย่านานนักล่ะ!”
แม้ว่าน้ำลายมังกรนี้จะมีมาก แต่มันก็เป็นสิ่งที่หลิงหยุนไม่สามารถนำไปเก็บไว้ในแหวนมังกรได้ น้ำลายมังกรมีจำนวนมากขนาดนี้ ต่อให้ทั้งสามคนดื่มครึ่งเดือนก็ไม่หมด หลิงหยุนจึงไม่รู้สึกหวงแหน!
ตู้กู่โม่และตงฟางถิงต่างก็ดีใจมาก พวกเขารีบเข้าไปตักน้ำลายมังกรส่งให้กันและกัน และเริ่มดื่ม..
หลังจากที่ทั้งคู่ดื่มเข้าไปแล้ว พวกเขาก็พยักหน้าให้หลิงหยุนพร้อมกัน แล้วต่างคนต่างก็หาที่บริเวณนั้นนั่งเดินลมปราณอยู่เงียบๆ
ทั้งคู่รู้ตัวดีว่าได้ฝากชีวิตไว้ในเงื้อมมือของหลิงหยุน แต่ชีวิตของพวกเขาทั้งคู่ก็เพิ่งจะถูกหลิงหยุนช่วยไว้ พวกเขาจึงไว้เนื้อเชื่อใจหลิงหยุนอย่างมาก
หลังจากที่ทั้งคู่เริ่มเดินลมปราณ หลิงหยุนก็ยิ้ม และเรียกกล่องหยกวิญญาณออกมา!
บทที่ 326 : ขั้นรู้แจ้ง
กล่องหยกนี้หลิงหยุนแกะสลักเป็นหลุมพลังไว้ถึงสี่สิบเก้าชั้น ในระหว่างที่ฝึกวิชาพลังลับหยินหยางนั้น เขาได้ใช้พลังอมตะในกล่องหยกนี้ไปจนหมดแล้ว ตอนนี้เขาจึงนำออกมาเพื่อให้มันดูดซับพลังชีวิตจากน้ำลายมังกรเข้าไปแทน
หลิงหยุนวางกล่องหยกไว้ที่ขอบบ่อน้ำลายมังกร ปล่อยให้มันทำการดูดซับพลังชีวิตไปเรื่อยๆ และเมื่อเห็นว่ากล่องหยกดูดซับพลังชีวิตเข้าไปได้อย่างรวดเร็ว หลิงหยุนก็รู้สึกพอใจอย่างมาก
หลังจากเสร็จสิ้นแล้ว หลิงหยุนก็โบกมือเรียกเจ้าขาวปุยให้เข้าไปหาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มบ่งบอกว่ากำลังอารมณ์ดี
“น้ำลายมังกรนี่มีประโยชน์ต่อการฝึกของเจ้ามาก ดื่มเข้าไปเร็วเข้า..”
เจ้าขาวปุยมองน้ำลายมังกรที่อยู่ในบ่อหิน แต่ก็ไม่ยอมเดินเข้าไป ดวงตาคู่สวยมีเสน่ห์ของมันจ้องมองหลิงหยุนราวกับจะถาม..
“นี่เป็นของดีจริงๆ เร็วเข้า..” หลิงหยุนใช้ขวดน้ำแร่ในมือของเขาตักน้ำลายมังกรขึ้นมา และนำไปป้อนให้กับเจ้าขาวปุย
เจ้าขาวปุยเริ่มดื่ม ดวงตาของมันเปี่ยมไปด้วยความสุขและพอใจ มันตั้งใจจะดื่มให้ถึงครึ่งขวด แต่หลิงหยุนดึงกลับไปคืน..
“ระดับขั้นของเจ้ายังไม่สูงพอ ดื่มมากเกินไปก็จะไม่เป็นผลดีต่อการฝึกของเจ้า เรื่องแบบนี้ต้องค่อยเป็นค่อยไป..” หลิงหยุนยิ้มให้กับเจ้าขาวปุย
หลิงหยุนสังเกตุเห็นว่ากำลังภายในของเจ้าขาวปุยได้พัฒนาขึ้นในระหว่างที่ฝึกฝนอยู่ที่ดวงตามังกรหยิน ตอนนี้มันดื่มน้ำลายมังกรเข้าไปแล้ว หลังจากกลับไปฝึกฝนต่อที่บ้านอีกสักระยะหนึ่ง หางที่สามของมันก็จะงอกและโตเต็มที่
ถึงตอนนั้น เขาจะพาเจ้าขาวปุยไปหาที่สำหรับซ่อนตัว หลังจากที่มันสามารถผ่านบททดสอบที่เหี้ยมโหดได้แล้ว เจ้าขาวปุยก็จะสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้
เมื่อเห็นหลิงหยุนดึงขวดน้ำลายมังกรกลับไป เจ้าขาวปุยก็มองหลิงหยุนอย่างไม่พอใจนัก แต่นัยน์ตามีเสน่ห์ของมันกลับมีรอยยิ้ม จากนั้นจึงเดินไปนั่งฝึกอยู่ข้างๆสองคนนั้น
ก่อนหน้าที่เจ้าขาวปุยจะมาพบหลิงหยุนนั้น มันเองก็ไม่เคยสัมผัสกับมนุษย์มาก่อน แต่เมื่อมาอยู่กับเฉิงเม่ยเฟิงและเสี่ยวเม่ยเม่ย นิสัยและลักษณะท่าทางของมันก็เริ่มเหมือนคนมากเข้าไปทุกที
ความจริงแล้วตัวหลิงหยุนเองไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำลายมังกรก็ได้ เพราะจุดประสงค์ของการดื่มน้ำลายมังกรนั้น ก็เพื่อต้องการพลังชีวิตของมัน แต่ร่างกายของหลิงหยุนสามารถดูดซับพลังชีวิตจากน้ำลายมังกรได้เอง จึงไม่มีความแตกต่างอะไรระหว่างดูดซับเข้าไปกับการดื่มเข้าไป
เจ้างูเหลือมยักษ์ได้รับบาดเจ็บอย่างแสนสาหัส ตอนนี้มันยังคงนอนสลบไสลไม่รู้สึกตัว หลิงหยุนมองมันด้วยสีหน้าเคร่งเครียดครู่หนึ่ง ก่อนจะนำขวดไปบรรจุน้ำลายมังกร แล้วเอาไปรินใส่ปากของมัน
หลังจากที่รินน้ำลายมังกรให้เจ้างูยักษ์ดื่มแล้ว หลิงหยุนก็โยนขวดน้ำแร่ทิ้งไปพร้อมพูดกับมันว่า “นี่อาจเป็นชะตากรรมของเจ้าก็ได้ หากเจ้าสามารถรอดชีวิตได้ ก็นับว่าเป็นโชคของเจ้า! ข้าเองก็ได้พยายามสุดความสามารถของข้าแล้ว!”
หลังจากพูดกับเจ้างูยักษ์จบแล้ว หลิงหยุนก็เริ่มมองสำรวจไปตามกำแพงหินอีกครั้ง เขาไม่เชื่อว่าจะไม่มีกลไกสำหรับเปิดประตูศิลานั่นได้
“มันต้องมีกลไกอยู่ที่ใหนสักแห่ง!”
หลิงหยุนหันไปมองรอบๆกำแพงหิน กระโดดขึ้นไปสำรวจเพดานถ้ำ แต่ก็พบเพียงแค่แผ่นหินที่ว่างเปล่า ไม่มีปุ่มหรือกลไกใดๆให้เห็นเลย
“เข้าไปด้านในไม่ได้จริงๆหรือนี่? ไม่น่าเป็นไปได้ ผู้ที่สร้างค่ายกลแห่งนี้ช่างล้ำลึกนัก..” หลิงหยุนเดินวนแล้ววนอีกอย่างไม่ย่อท้อ
หลิงหยุนมาที่นี่เพื่อตั้งใจจะมาฝึกวิชาลับหยินเท่านั้น แต่เขากลับมีผลพลอยได้อย่างอื่นกลับไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นจุดตันเถียนและเส้นลมปราณที่ขยายและแกร่งขึ้นจากเดิมหลายเท่า และยังสามารถเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-4 ได้อีกด้วย นอกจากนั้นยังได้สมบัติล้ำค่าอย่างกระบี่โลหิตแดนใต้ กระบี่มังกรขาว อีกทั้งของวิเศษจากหลวงจีนชรากลับไปด้วย
หลวงจีนชรารูปนั้นมรณภาพในท่านั่งเช่นนั้นมานานเท่าไหร่แล้วไม่อาจรู้ได้ แต่สิ่งของต่างๆของเขาที่อยู่ภายใต้อุณหภูมิที่ติดลบเป็นสิบองศา กลับไม่บุบสลายลงไปแม้แต่น้อย หากไม่เรียกว่าของวิเศษ จะให้เรียกว่าอะไร?
นอกเหนือจากนั้นแล้ว หลิงหยุนยังได้ไข่มุกราตรีในตำนานกลับไปถึงเก้าสิบเก้าเม็ด เพียงแค่นี้เขาก็ควรจะดีใจและพอใจอย่างมากแล้ว..
แต่เมื่อได้ยินเรื่องสมุดจักรพรรดิ! หลิงหยุนกลับรู้สึกว่ามันน่าจะเป็นสมบัติล้ำค่า และมีความอัศจรรย์กว่าสมบัติชิ้นใหนๆ เขาจึงอดไม่ได้ที่อยากจะได้มันกลับไปด้วย!
‘พู่กันจักรพรรดิและสมุดจักรพรรดิ น่าจะต้องเป็นของวิเศษที่มีคุณสมบัติในระดับเดียวกัน และน่าจะเป็นของคู่กัน!’
หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่เงียบๆ แต่แล้วก็กลับเปลี่ยนใจ เพราะเมื่อครู่ที่อยู่ในดวงตามังกรหยินหยางนั้น พู่กันจักรพรรดิก็ได้ถ่ายเทพลังอมตะกับปราณมังกรลงไปในร่างกายของเขาแล้ว หากเขาได้เป็นเจ้าของสมบัติล้ำค่าทั้งสองชิ้น คงจะสะเทือนไปทั้งโลกและสวรรค์!
การที่หลิงหยุนได้ครอบครองพู่กันจักรพรรดิ ก็ไม่ต่างจากการได้ครอบครองดวงตามังกรทั้งสองข้างและหัวใจมังกรของค่ายกลมังกรหยินหยางแห่งนี้
‘ว่าแต่.. มังกรหายไปใหน? หรือมันหนีออกไปจากที่นี่ตั้งนานแล้ว? แล้วก็เอาสมุดจักรพรรดิไปด้วย?’
หลิงหยุนนั่งครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ไปๆมาๆ เขาเดินครุ่นคิดจนมาหยุดอยู่หน้าประตูศิลาทั้งสามบาน
‘พายุกระบี่.. เกิดจากพลังงานในค่ายกลแห่งนี้.. ’ หลิงหยุนคิดว่าประตูศิลาทั้งสามบานนี้ไม่น่าจะเหมือนประตูธรรมดาทั่วไป เขาคิดว่าการทำงานของมันน่าจะไม่เหมือนค่ายกลปกติ ต้องมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับพลังงานลึกลับในที่แห่งนี้
ดูเหมือนว่าพลังงานในค่ายกลแห่งนี้ น่าจะเหนือกว่าพลังแห่งพุทธะที่อยู่ในอารามตรงตำแหน่งดวงตามังกรหยิน ไม่เช่นนั้นแล้วหลวงจีนรูปนั้นก็คงจะเข้าไปด้านในประตูได้แล้ว
ค่ายกลมังกรหยินหยางแห่งนี้น่าจะเกิดขึ้นก่อน จากนั้นไม่รู้เวลาล่วงเลยไปนานเท่าไหร่ หลวงจีนนั่นจึงได้เข้ามาอยู่ที่ดวงตามังกรหยิน และหลังจากมรณภาพไปนาน เจ้าของโลงศพทองแดงสัมฤทธิ์นั่นจึงตามเข้ามา..
แล้วมังกรล่ะ? มังกรนั่นหนีออกไปจากค่ายกลแห่งนี้ก่อนหรือหลังที่หลวงจีนจะเข้ามาที่นี่กัน?
‘ค่ายกลแห่งนี้สร้างขึ้นมานานเท่าไหร่แล้ว? สามพันปี หรือว่าห้าพันปี..?” หลิงหยุนอดที่จะประหลาดใจกับยอดฝีมือที่แข็งแกร่งขนาดนี้ไม่ได้
‘หรือมันจะเป็นเพียงแค่เทพนิยาย..’
หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่นาน แต่ถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีทางคิดหาคำตอบในเรื่องลี้ลับเหล่านี้ได้ เพราะตอนนี้ตัวเขาเองยังอยู่ในขั้นที่ต่ำเกินไป ต้องรอจนกว่าจะเข้าสู่ขั้นที่แข็งแกร่งกว่านี้ จึงค่อยหาทางหาคำตอบจะดีกว่า
ในที่สุด.. หลิงหยุนก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาดูดซับพลังชีวิตจากน้ำลายมังกรเข้าไปจนเต็มแล้ว
‘นี่ข้าใช้เวลาดูดซับไปนานเท่าไหร่กัน? น่าจะเจ็ดหรือแปดชั่วโมงเป็นอย่างน้อย? ขนาดพลังชีวิตที่เข้มข้นอย่างน้ำลายมังกรยังใช้เวลาดูดซับนานถึงเพียงนี้ อยากรู้นักว่าจุดตันเถียนของข้าจะมีพลังชีวิตอยู่มากมายแค่ใหน?’
การที่ร่างกายของเขาเข้าสู่ขั้นที่สูงขึ้นในครั้งนี้นั้น ค่อนข้างอยู่เหนือความรู้ที่เขามีในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นกำลังภายในที่แข็งแกร่งกว่าเดิมมาก หลิงหยุนรู้สึกแปลกใจ แต่ก็มีความสุข
แต่ถึงแม้จะไม่รู้ หลิงหยุนก็สัมผัสได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นผลดีสำหรับเขาอย่างแน่นอน เขาจะเข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้งเองเมื่อเข้าสู่ขั้นพลังชี่ และได้จิตหยั่งรู้
เจ้าขาวปุยเดินลมปราณเสร็จเป็นรายแรก มันตื่นขึ้นมาและวิ่งมาหาหลิงหยุนทันที หางใหญ่ๆของมันโบกสะบัดไปมา
หลิงหยุนก้มมองเจ้าขาวปุย และรู้ว่ามันก้าวหน้าขึ้นแล้ว เขาจึงได้แต่พยักหน้าและยิ้มให้..
เจ้าขาวปุยเห็นหลิงหยุนยิ้ม มันจึงยกขาหน้าขึ้นทั้งสองข้างขึ้นแตะหลิงหยุน เขารู้ว่ามันต้องการให้อุ้ม จึงก้มลงอุ้มมันขึ้นมาในอ้อมแขน และลูบไล้ขนที่นุ่มนวลของมัน แล้วเดินไปนั่งข้างบ่อหิน
เจ้างูยักษ์ยังคงแน่นิ่งสลบไสล.. หลิงหยุนได้รินน้ำลายมังกรเข้าปากของมันไปแล้วถึงสามขวด เขาไม่กล้าที่จะให้มันดื่มมากกว่านี้ เพราะหากดื่มเข้าไปมากจนเกินไปกลับจะยิ่งไม่เป็นผลดี
ตงฟางถิงที่เพิ่งเดินลมปราณเสร็จ ลุกขึ้นมาอย่างกะปรี้กะเปร่า!
เขายืดเส้นยืดสายเล็กน้อย แล้วรีบเดินไปคาราวะหลิงหยุนพร้อมกับเอ่ยออกมาจากใจ “หลิงหยุน.. บุญคุณที่เจ้าช่วยชีวิต และมอบน้ำลายมังกรให้กับข้า ข้าตงฟางถิงซาบซึ้งและจะขอจดจำไว้ วันข้างหน้าข้าต้องตอบแทนเจ้าอย่างแน่นอน!”
จากที่เกาเฉินเฉินเคยเล่าให้เขาฟังนั้น ตระกูลเก่าแก่ล้วนมีอำนาจ ตอนนี้เขาก็ได้ทำดีกับตระกูลเก่าแก่ถึงสองตระกูล เขาคงไม่ต้องเกรงกลัวตระกูลซันกับองค์กรนักฆ่าที่คอยสร้างปัญหาให้กับเขาอีกแล้ว!
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พี่ตงฟาง.. ตอนนี้พี่อยู่ขั้นใหนแล้ว?”
ตงฟางถิงตอบพร้อมกับยิ้มอายๆ “ก่อนที่ข้าจะลงมาที่ก้นหลุมแห่งนี้ ข้ายังอยู่ในระดับต้นของขั้นโฮ่วเทียน-9 แต่ตอนนี้กลับสามารถเข้าสู่ระดับกลางได้แล้ว น้ำลายมังกรมีพลังมากก็จริง แต่กลับให้ผลกับข้าน้อยนัก หรือข้าอาจจะไม่มีพรสวรรค์ก็เป็นได้..”
หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ “พี่ตงฟางอย่างเพิ่งรีบร้อน ข้าคาดว่าพี่จะต้องเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้ภายในสองเดือนนี้อย่างแน่นอน?”
ตงฟางถิงถึงกับเกาศรีษะพร้อมกับตอบอายๆ “น้องหลิงหยุน.. เจ้านี่รอบรู้มากจริงๆ ใช่แล้ว.. อีกสองเดือนข้างหน้าข้าก็จะสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้จริงๆ!”
หลิงหยุนรีบแสดงความยินดีล่วงหน้า “ข้ายินดีด้วยจริงๆ..”
“หลิงหยุน.. ข้าจะบอกที่อยู่และเบอร์ติดต่อให้กับเจ้า เจ้าไปหาข้าได้ตลอดเวลา!” พูดจบตงฟางถิงก็บอกที่อยู่และเบอร์โทรให้กับหลิงหยุน
หลิงหยุนฟังแค่รอบเดียวก็สามารถจดจำทุกอย่างได้ และได้ให้เบอร์โทรของเขากับตงฟาถิงเช่นกัน
ตงฟางถิงถามหลิงหยุนว่า “หลิงหยุน.. ข้ามีคำถามที่อยากรู้ ข้าพบว่าตัวข้าเองไม่สามารถดูกำลังภายในของเจ้าออก แต่สัญชาติญาณของข้าก็บอกว่า เจ้ายังไม่อยู่ในขั้นที่สูงนัก..”
หลังจากที่จุดตันเถียนของหลิงหยุนได้ขยายอย่างประหลาดนี้ ผู้ที่มีกำลังภายในเหนือกว่าเขาก็ดูไม่ออกว่าเขาอยู่ในขั้นใหน
หลิงหยุนได้แต่หัวเราะ “กำลังภายในของข้าน่าจะไม่เกินขั้นโฮ่วเทียน-8 แต่ข้าเองก็ไม่มั่นใจนัก..”
แม้แต่หลิงหยุนเองยังคลุมเคลือไม่แน่นใจ เขารู้เพียงว่าตนเองอยู่ในขั้นปรับร่างกาย-4 แต่หลังจากที่ฝึกพลังลับหยินหยางไปแล้ว กำลังภายในของเขาก็ดูประหลาดไม่ชัดเจน
‘ข้าคงจะไม่สามารถเทียบท่านแม่ได้ แต่หากเป็นยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-1 แม้ข้าจะไม่สามารถสู้ได้ แต่ก็น่าจะหลบหนีได้’
ตอนนี้หลิงหยุนไม่มีโซ่ตรวนแห่งพลังชีวิตคอยล่ามเขาไว้อีกแล้ว เขาจะหนีเอาตัวรอดเมื่อไหร่ และไปที่ใหนๆก็ได้ตามแต่ใจปรารถนา
“กำลังภายในก็ยากที่จะคาดเดา วิชาแพทย์ของเจ้าก็เป็นเลิศหาใครเทียบไม่ได้ อีกทั้งยังมีสุนัขจิ้งจอกสองหางที่สวยงามคอยติดตาม ที่สำคัญเจ้ายังมีใบหน้าที่หล่อเหลามากอีกด้วย ไม่ทราบว่าน้องชายมีหญิงสาวรู้ใจหรือยัง? หากยังไม่มี ข้าจะแนะนำน้องสาวของข้าให้รู้จัก นางเป็นความภาคภูมิใจของตระกูลเลยทีเดียว..” ตงฟางถิงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ได้ฟังคำชื่นชมของตงฟางถิง หลิงหยุนถึงกับพูดไม่ออก ขนาดหลิงหยุนที่เป็นคนหน้าหนาอย่างมากยังแทบรับไม่ได้ เขารีบโบกมือและพูดขึ้นว่า
“พี่ตงฟาง.. พี่ชมข้าเกินไป! อย่าล้อข้าเล่นแบบนี้..”
หญิงสาวรู้ใจน่ะเหรอ.. เป็นเรื่องที่ปวดหัวสำหรับหลิงหยุนมาก!
ตงฟางถิงถึงกับหัวเราะเสียงดัง เขาหันไปมองตู้กู่โม่ที่ยังคงเดินลมปราณอยู่ด้วยสีหน้าที่ประหลาดใจ “เหตุใดกำลังภายในของตู้กู่โม่จึงสามารถก้าวหน้าได้เร็วเช่นนั้น? ดูเหมือนว่า.. เขาจะเข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-9 แล้วสินะ!”
หลิงหยุนแสร้งทำเป็นตกใจ “โอ้ว.. จริงด้วย! นี่เขาคงดื่มน้ำลายมังกรเข้าไปมากสินะ?”
ตงฟางถิงพึมพำออกมาด้วยความอิจฉา “ตู้กู่โม่อายุน้อยกว่าข้าถึงห้าปี แต่เขากลับสามารถมีกำลังภายในอยู่ในระดับเดียวกับข้าได้ พวกเราทั้งคู่ดื่มน้ำลายมังกรเหมือนกัน แต่ข้ากลับเข้าสู่เพียงแค่ระดับกลาง แต่เขาขึ้นไปสู่ระดับสูงสุดแล้ว.. ตระกูลตู้กู่ช่างล้ำเลิศนัก!”
หลิงหยุนรู้ดีว่าที่ตู้กู่โม่ก้าวหน้าได้เร็วนั้น เป็นเพราะพลังอมตะที่เขาถ่ายเทให้ มันสามารถช่วยเร่งรัดให้ตู้กู่โม่ก้าวกระโดดจากขั้นโฮ่วเทียน-8 ไปถึงขั้นเซียงเทียน-2 ได้ทันที และหากเขาไม่สามารถทำได้ ก็เท่ากับเขาล้มเหลว!
“พี่ตงฟาง.. ที่นี่มีน้ำลายมังกรมากมาย ท่านฝึกต่ออีกดีหรือไม่?” หลิงหยุนเสนอ
ตงฟางถิงยักไหล่ “ข้าไม่ฝึกแล้วล่ะ.. ข้ารู้สึกว่าใต้พื้นดินลึกห้าร้อยเมตรแห่งนี้มีเรื่องเหลือเชื่อมากมาย อีกอย่างถ้าข้าให้เจ้าคอยคุ้มครอบให้แบบนี้ ข้าเองรู้สึกเกรงใจ! ในเมื่อหาสมุดจักรพรรดิไม่พบ ข้าก็จะรอตู้กู่โม่และร่ำลาเขาก่อน”
ได้ยินเช่นนั้น หลิงหยุนจึงไม่ห้ามตงฟางถิง พร้อมกับบอกให้เขานำน้ำลายมังกรกลับไปให้มากที่สุดด้วย
“เจ้าช่างรู้ใจข้านัก!” นั่นเป็นสิ่งทีตงฟางถิงต้องการ เขาหยิบขวดน้ำแร่สองขวดขึ้นมา และตักน้ำลายมังกรใส่จนเต็มพร้อมกับปิดฝาไว้แน่น
เมื่อเห็นว่าตู้กู่โม่ยังคงฝึกไม่เสร็จ หลิงหยุนก็หันไปถามตงฟางถิงว่า “พี่ตงฟาง ระหว่างนี้พี่ช่วยเล่าเรื่องตระกูลเก่าแก่ และนิกายลับให้ข้าฟังหน่อยจะได้ไม๊?”
หลิงหยุนอยากรู้เรื่องเกี่ยวกับตระกูลเก่าแก่และนิกายลับมากที่สุดในตอนนี้ ยิ่งรู้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีประโยชน์กับเขามากเท่านั้น
ตงฟางถิงไม่มีอะไรที่จะต้องปิดบังหลิงหยุน ดังนั้นไม่ว่าหลิงหยุนถามอะไร เขาก็บอกทุกอย่างที่รู้ และนั่นทำให้หลิงหยุนเข้าใจและตระหนักถึงอำนาจและอิทธิพลในประเทศจีนนี้ดียิ่งขึ้น
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ทั้งคู่ก็คุยกันเรื่องขั้นเซียงเทียน และหลิงหยุนก็ถามขึ้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น “ขั้นเซียงเทียนมีทั้งหมดเก้าระดับ หากผ่านระดับเก้าที่สูงสุดไปแล้ว ต่อจากนั้นจะเป็นขั้นอะไร?”
ตงฟางถิงหัวเราะ “ข้าเองก็เคยถามเรื่องนี้กับคนเก่าแก่ในตระกูลของข้าเช่นกันกัน แต่พวกเขาบอกว่าการจะเข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นเซียงเทียนนั้นเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญมาก แต่ปู่ก็บอกว่าหลังจากนั้นจะเข้าสู่ขั้นรู้แจ้ง..”
“ขั้นรู้แจ้งงั้นรึ..?” หลิงหยุนร้องถามขึ้นมา
“ใช่แล้ว.. ขั้นรู้แจ้ง! ผู้ใดที่เข้าสู่ขั้นนี้แล้ว จิตวิญญาณของคนผู้นั้นจะคืนกลับสู่โลกแห่งความเป็นจริง และเมื่อถึงขั้นนั้นแล้ว คนผู้นั้นก็จะกลายเป็นหนึ่งในกลุ่มคนพวกนั้น”
เป็นอีกครั้งที่หลิงหยุนได้ยินคำว่า ‘คนพวกนั้น’ ในใจก็อดคิดสงสัยไม่ได้ว่าตระกูลก่าแก่กับนิยายลับไม่ใช่ ‘คนพวกนั้น’ อย่างที่เกาเฉินเฉินบอกงั้นหรือ? ถ้าใช่.. แล้วเหตุใดตงฟางถิงยังพูดถึง ‘คนพวกนั้น’ เช่นกัน?
“คนพวกนั้น.. หมายถึงใคร?” หลิงหยุนรีบถาม
“พวกเขาก็คือบุคคลในตำนานไงเล่า.. เป็นผู้ฝึกตนเพื่อความรู้แจ้งอย่างแท้จริง!”
หลิงหยุนถึงกับอึ้ง.. ตื่นเต้นจนพูดไม่ออก!
บทที่ 327 : เป็นเพียงแค่ตำนาน
“ครั้งแรกที่ข้าได้ฟังเรื่องนี้ ข้าตกใจแล้วก็ตื่นเต้นมากกว่าเจ้าในตอนนี้เสียอีก และข้าก็ตั้งใจว่าจะต้องฝึกไปให้ถึงขั้นรู้แจ้งให้ได้”
แน่นอนว่าตงฟางถิงย่อมไม่รู้ว่าที่หลิงหยุนตื่นเต้นนั้น เป็นเพราะเขาได้ยินคำว่า ‘คนพวกนั้น’ ต่างหาก ตงฟางถิงคิดว่าหลิงหยุนเพิ่งจะได้ยินเรื่องผู้บ่มเพาะตนเพื่อความรู้แจ้งเป็นครั้งแรก เขาจึงยิ้มและเริ่มเล่าต่อ..
“เมื่อมาคิดดูแล้ว.. ตอนนั้นข้าเองก็ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่ไร้เดียงสานัก ใครๆต่างก็พากันหัวเราะเยาะข้าว่า แค่ฝันยังไม่มีทางเป็นไปได้เลย มันเป็นเพียงแค่ตำนาน..”
แต่หลิงหยุนกลับถามแปลก.. “การฝึกตนเพื่อมุ่งสู่ขึ้นรู้แจ้งตามแนวทางแห่งเต๋า มันลำบากยากเข็ญขนาดนั้นเลยรึ?”
ตงฟางถิงยิ้มฝืดๆ “มันยิ่งกว่ายากเสียอีก.. พวกเราก็รู้ดีว่าการฝึกวิทยายุทธนั้นเริ่มต้นที่การบ่มเพาะร่างกายให้แข็งแกร่ง และฝึกฝนจนมีกำลังภายใน จากนั้นจึงใช้กำลังภายในชำระล้างจิตวิญญาณ เพื่อบ่มเพาะจิตวิญญาณให้เกิดความรู้แจ้ง และคืนกลับสู่โลกแห่งความจริง เพื่อเข้าสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ”
‘ขั้นตอนการฝึกตนก็ไม่ต่างกัน’ หลิงหยุนพยักหน้ารับรู้
“ในประเทศนี้มีตระกูลเก่าแก่และนิกายลับมากมาย แต่จะมีสักกี่คนที่จะฝึกฝนจนสามารถเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-7 ได้? และต่อให้สามารถเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-7 ได้ แล้วจะมีสักกี่คนที่สามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้?”
หลิงหยุนรีบยกมือขึ้นขัดตงฟางถิงพร้อมกับแย้งขึ้นว่า “ถ้าการเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนเป็นเรื่องที่ยากเย็นขนาดนั้น แล้วเหตุใด…”
หลิงหยินุชี้นิ้วไปที่ตงฟาถิงและตู้กู่โม่ที่ยังคงเดินลมปราณอยู่ แล้วพูดต่อว่า “ท่านกับตู้กู่โม่ถึงได้เข้าสู่ขั้นเซียงทันกันทั้งคู่แล้วล่ะ?”
จากนั้นก็ชี้ไปทางประตูศิลาที่มีร่างไร้วิญญาณของซีเหมินกัง ชางกวนเจี๋วย และคนอื่นๆ พร้อมกับถามขึ้นว่า “ที่นอนตายอยู่ทั้งหมดนั่นก็อยู่ในขั้นโฮ่วเทียน-8 ขึ้นไปไม่ใช่รึ?”
ตงฟางถิงยิ้มพร้อมกับพยักหน้าแล้วตอบกลับไปว่า “เป็นคำถามที่ดีมาก!” จากนั้นก็อธิบายต่อด้วยรอยยิ้ม “พวกนั้นน่ะเหรอ.. ยังไม่เข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-1 ด้วยซ้ำไป และยังไม่มีแม้แต่กำลังภายในนด้วยซ้ำ.. อย่าไปพูดถึงคนพวกนั้นจะดีกว่า!”
“ผู้ที่จะเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-1 ไปจนถึงขั้นโฮ่วเทียน-3 ได้นั้น จะต้องเป็นผู้ที่มีพลังชี่แล้วเท่านั้น และหากผู้ใดสามารถเดินลมปราณได้อย่างคล่องแคล่ว ก็จะสามารถฝึกพลังชี่จนสามารถเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-3 ได้ในเวลาอันรวดเร็ว”
“ขั้นโฮ่วเทียน-4 ขึ้นไปนั้นก็จะมีอุปสรรคเยอะหน่อย แต่เมื่อใดที่สามารถเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-4 ได้ คนผู้นั้นก็จะสามารถใช้พลังชี่หรือกำลังภายในนี้ เข้าไปขยายเส้นลมปราณและจุดตันเถียนของตนเองได้ และการบ่มพลังชี่ก็จะแตกต่างไปจากเดิม..”
“หลิงหยุน.. เจ้ารู้หรือไม่ว่าร่างกายของคนเรานั้นแตกต่างกัน จุดตันเถียนและเส้นลมปราณของแต่ละคนจึงแตกต่างกันด้วย!”
“แม้จะมีกำลังภายในอยู่ในระดับเดียวกัน แต่หากจุดตันเถียนและเส้นลมปราณพัฒนาแตกต่างกัน ก็จะทำให้การฝึกฝนก้าวหน้าต่างกันด้วย สิ่งนี้เรียกว่าพรสวรรค์!”
“นี่ยังไม่รวมถึงความเฉลียวฉลาดของแต่ละคน ความสามารถในการทำความเข้าใจ ความพากเพียรอุตสาหะ และปัจจัยอื่นๆอีกมากมาย ทั้งหมดนี้รวมกันอาจเรียกว่าพรสวรรค์ของแต่ละคนก็ได้..”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ ตงฟางถิงก็จ้องมองหลิงหยุนอย่างไม่สะทกสะท้าน สายตาของเขาเปิดเผยอย่างชัดเจนว่าทั้งอิจฉาและตื่นเต้น แล้วพูดขึ้นว่า
“หลิงหยุน.. ยกตัวอย่างเช่นเจ้า! เจ้าเป็นคนที่มีพรสวรรค์อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เรียกได้ว่าหาใครมีพรสวรรค์เช่นเจ้าไม่ได้อีกแล้ว..”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า “พี่ตงฟาง.. ท่านกล่าวชมข้าเกินไปแล้ว..”
ตงฟางถิงยิ้มและพูดต่อ “นอกเหนือจากการฝึกฝนอย่างหนักแล้ว ก็มีพรสวรรค์นี่ล่ะ ที่จะทำให้ผู้ฝึกตนนั้นก้าวหน้าและประสบความสำเร็จเพียงใด”
“แม้ความอุตสาหะในการฝึกฝนและพรสวรรค์จะเป็นส่วนสำคัญ แต่ก็ไม่ใช่เป็นเพียงปัจจัยเดียว ยังมีเรื่องของพฤติกรรมและอุปนิสัยของแต่ละคนด้วย อีกทั้งปัจจัยส่งเสิรมต่างๆอย่างเช่น สมุนไพรเพิ่มพลังชี่ สมุนไพรปรับสภาพ ของวิเศษ..”
ขณะที่พูดนั้น ตงฟางถิงก็ชี้ไปที่บ่อน้ำลายมังกรพร้อมกับยิ้ม “ยกตัวอย่างเช่นน้ำลายมังกรนี่..”
“เจ้าเห็นหรือไม่ว่าแม้แต่พรสวรรค์ตามธรรมชาติ ก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ด้วยสิ่งเหล่านี้!”
“นี่คือเคล็ดลับการฝึกตนของแต่ละคน และนี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมจึงมีตระกูลเก่าแก่และนิกายลับอยู่มากมาย นั่นเพราะแต่ละคนก็มีเคล็ดลับในการฝึกตนแตกต่างกันไป แม้ว่าสุดท้ายแล้วจะมีจุดมุ่งหมายอย่างเดียวกัน ขั้นตอนการฝึกตนย่อมมีทั้งยากและง่าย วิธีการฝึกตนที่แตกต่างกัน ก็ทำให้ความรวดเร็วในการก้าวหน้าของพลังภายในแตกต่างกันด้วย..”
“การจะเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-4 ได้นั้น ต้องเริ่มด้วยการซ่อมแซมรักษาเส้นลมปราณ ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการกินสมุนไพรปรับสภาพ แต่จะเร็วหรือช้าก็ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์ โอกาส และวิธีการฝึกตนของแต่ละคน”
“บางคนอายุสี่สิบหรือห้าสิบ หรือแม้กระทั่งชั่วชีวิตยังไม่สามารถเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-7 ได้ด้วยซ้ำไป”
หลิงหยุนนึกถึงมือสังหารตี้ปา และหลวงจีนมี่ฉิง หลิวเต๋อหมิงและคนอื่นๆแล้วก็ได้แต่แอบยิ้มอยู่ในใจ
“ส่วนพวกเราสองคน..” ตงฟางถิงเหลือบมองไปทางตู้กู่โม่ แล้วชี้มาที่ตัวเอง
“พวกเราทั้งคู่ต่างก็เกิดในตระกูลเก่าแก่เหมือนกัน แน่นอนว่าพรสวรรค์ย่อมมีมากกว่าคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งแวดล้อมความเป็นอยู่ การฝึกวิทยายุทธ ใหนจะสมุนไพรที่เพิ่มพลังชี่ สมุนไพรอื่นๆของตระกูล คนเก่าแก่ในตระกูลที่จะคอยฝึกสอนให้ และเคล็ดลับการฝึกตนที่เหมาะสมของแต่ละตระกูล..”
“ปัจจัยบวกเหล่านี้ย่อมทำให้การฝึกฝนก้าวหน้าได้รวดเร็วกว่าคนทั่วไป ในขณะที่คนอื่นอาจต้องฝึกฝนหนักกว่าหลายเท่า..”
“ดังนั้นหากพรสวรรค์ที่มีอยู่ไม่เลวนัก คนในตระกูลเก่าแก่ล้วนแต่สามารถผ่านขั้นโฮ่วเทียน-7 ได้ตั้งแต่อายุยังไม่ถึงยี่สิบ!”
“แต่จากขั้นโฮ่วเทียน-7 ไปจึงถึงระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-9 นั้น เรียกว่าเป็นขั้นสุดท้ายของการชำราะล้างพลังชี่ให้บริสุทธิ์ และมีช่วงที่กว้างมาก หากผู้ใดสามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-9 ได้ตั้งแต่อายุยังไม่ถึงยี่สิบ เรียกได้ว่าคนผู้นั้นเป็นยอดของยอดคนเลยทีเดียว!”
“การฝึกฝนในช่วงนี้ พรสวรรค์เป็นปัจจัยสำคัญเพียงปัจจัยเดียวเลยก็ว่าได้ ยิ่งมีพรสวรรค์ที่ดีมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งสามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-9 ได้เร็วเท่านั้น และยิ่งสามารถก้าวขึ้นสู่ขั้นโฮ่วเทียน-9 ได้เร็วเท่าไหร่ ก็จะยิ่งได้รับความสนใจจากคนในตระกูลมากเท่านั้น!”
“และแน่นอนว่าเมื่อผ่านขั้นโฮ่วเทียน-7 มาได้ หากเข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-9 ความแตกต่างก็จะอยู่ที่จุดอ่อน และจุดแข็งของแต่ละคน..”
“และต่อไปนี้ก็คือคำตอบของคำถามแรก.. จากระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-9 จะขึ้นสู่ขั้นเซียงเทียนนั้น นับว่าเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญมาก เพราะขั้นนี้เป็นผลมาจากการฝึกฝนตั้งแต่ขั้นปรับร่างกายขึ้นมาจนถึงขั้นที่มีกำลังภายใน และจากขั้นที่ใช้กำลังภายเข้าสู่ขั้นการชำระจิตวิญญาณ การจะก้าวขึ้นสู่ขั้นเซียงเทียนได้นั้นสิ่งที่ต้องมีคือความฉลาดในการเข้าใจตนเอง!”
“พรสวรรค์เป็นสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ วิธีการฝึกฝนก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ แต่ความเข้าใจตนเองได้นั้น! เป็นเรื่องที่ใครก็ช่วยไม่ได้!”
“เมื่อสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้แล้ว คนผู้นั้นก็จะสามารถหายใจภายในร่างกายได้ ซึ่งจะคล้ายๆกับเด็กทารกที่อยู่ในท้องแม่ และจะมีจิตหยั่งรู้ที่เกิดจากการขัดเกลาจิตวิญญาณ และเป็นขั้นเริ่มต้นของการฝึกจิตหยั่งรู้ที่สูงขึ้น!”
“ผู้ฝึกตนหลายคนฝึกฝนอย่างหนักเพื่อให้เข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-9 แต่กลับถูกประตูที่มองไม่เห็นกักขังไว้ จึงไม่สามารถทะลุทะลวงขึ้นสู่ขั้นเซียงเทียนได้จนชั่วชีวิต หากคิดเป็นอัตราส่วนแล้วล่ะก็ ในจำนวนสิบคนที่เมื่อมาถึงระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-9 แล้ว ผู้ที่แข็งแกร่งจนสามารถทะลุทะลวงเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้มีเพียงแค่สองคนท่านั้น!”
“เช่นเดียวกับตระกูลเก่าแก่อย่างข้า ที่หลายปีมานี้ได้สร้างทายาทที่สืบทอดตระกูลหลายคนที่สามารถเข้สู่ระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-9 ด้วยอายุที่แตกต่างกันไป.. แต่ในขั้นเซียงเทียนนั้น กลับมีเพียงแค่สิบกว่าคน บางตระกูลมีเพียงแค่สองสามคนเท่านั้น”
ตงฟางถิงยิ้ม หลิงหยุนคิดในใจว่าพลังชีวิตบนโลกนั้นเบาบางมาก อีกทั้งสภาพแวดล้อมในการฝึกก็โหดร้าย ตระกูลเก่าแก่สามารถมีกำลังภายในได้ถึงขั้นนี้นับว่าแข็งแกร่งมากแล้ว
“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง..” หลิงหยุนพูดออกมาในที่สุด พร้อมกับคิดในใจว่าการที่จะฝึกฝนจนสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนได้โดยไม่อาศัยพลังชีวิตจากภายนอกนั้น กว่าจะผ่านระดับย่อยแต่ละระดับก็นับว่าเป็นเรื่องที่ยากเย็นมากแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องพูดถึงขั้นใหญ่..
“เมื่อเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนแล้ว ตอนนี้มีสักกี่คนที่สามารถเข้าสู่รับสูงสุดของขั้นนี้ได้?”
ตงฟางถิงยิ้มพร้อมกับส่ายหน้า “ก่อนจะพูดถึงระดับสูงสุดของขั้นเซียงเทียน-9 นั้น แค่แต่ละตระกูลมีผู้ที่สามารถผ่านขั้นเซียงเทียน-7 ได้แค่นี้ก็นับว่าเป็นสมบัติล้ำค่าของตระกูลแล้ว หากตระกูลใหนมีมากกว่าสองคน ก็นับว่าสุดยอดแล้ว!”
“แล้วข้าเองก็ไม่เคยได้ยินว่ามีใครเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-9 มาก่อน!”
“ไม่เคยมีใครเข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นเซียงเทียน-9 มาก่อนเลยงั้นรึ? ถ้าเช่นนั้นขั้นรู้แจ้งก็คงไม่ต้องพูดถึง คงจะยากยิ่งกว่าสอยดาวบนฟ้า แล้วมันก็คงเป็นแค่ตำนานเล่าขานเท่านั้นเอง..”
หลิงหยุนได้แต่ผิดหวัง ในใจอดคิดไม่ได้ว่า ผู้ที่ฝึกตนที่แท้จริงนั้นเป็นเพียงแค่ตำนานเท่านั้นหรือ? ตัวเขาเองก็เคยเข้าสู่ขั้นพลังชี่-9 มาแล้ว ไม่เห็นว่าจะอยู่ยงคงกะพันเลย?
“แล้วมีใครเคยฝึกถึงขั้นคืนจิตวิญญาณสู่โลกแห่งความเป็นจริง หรือขั้นรู้แจ้งบ้างเลยรึ?” หลิงหยุนยังคงไม่ย่อท้อ
ทั้งคู่มัวแต่คุยกันอย่างตั้งอกตั้งใจจนไม่ทันสังเกตุว่าตู้กู่โม่นั้นเดินลมปราณเสร็จแล้ว แต่ยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่อย่างนั้น เขาตอบขึ้นมาว่า
“มีสิ.. ท่านปรมาจารย์จางซานฟงไง!”
ตงฟางถิงเองก็พยักหน้าพร้อมกับตอบไปว่า “ใช่แล้ว.. ท่านจางซานฟงเข้าสู่ขั้นรู้แจ้งแล้วจริงๆ นี่เป็นเรื่องที่ตระกูลเก่าแก่และนิกายลับต่างก็รู้ดี”
“อย่างน้อยก็มีอยู่หนึ่งคน..” หลิงหยุนพยักหน้าอย่างสบายอกสบายใจพร้อมกับถามต่อว่า “แล้วท่านผู้นี้เป็นแค่เรื่องเล่าในตำนานอีกหรือเปล่า?”
ตู้กู่โม่ตอบกลับไปทันที “เอาจริงๆนะ การฝึกตนก็เป็นเพียงเรื่องในตำนานจริงๆนั่นล่ะ! เพราะผู้ที่ฝึกตนตามลัทธิเต๋าจนสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนนั้น ดูเหมือนจะต้องมีเคล็ดลับในการฝึกแบบเต๋าเท่านั้น และพวกเขาจะไม่เรียกตัวเองว่าจอมยุทธ แต่จะเรียกตัวเองว่าผู้ฝึกตน แต่ก็ยากที่จะแยกแยะ..”
เรื่องนี้ยากที่จะแยกแยะอย่างอย่างตู้กู่โม่บอกจริง.. อีกทั้งขั้นของผู้ฝึกตกก็มีทั้งสูงและต่ำ ยกตัวอย่างเช่นหลิงหยุนที่ตอนนี้อยู่ในขั้นปรับร่างกาย-4 เขาก็นับว่าเป็นผู้ฝึกตนอย่างแท้จริง
“ยินดีด้วยน้องตู้กู่.. เจ้าดื่มน้ำลายมังกรไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะสามรถเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-9ได้ ช่างน่าตกใจจริงๆ”
ตู้กู่โม่ลุกขึ้นยืน เขาขมวดคิ้วพร้อมกับเกาศรีษะ และพูดขึ้นมาอย่างแปลกใจ
“น่าอัศจรรย์มาก..! สองสามวันนี้ข้าเองก็งุนงงและอธิบายไม่ถูก เมื่อข้าตื่นขึ้นมา ข้าก็พบว่าอยู่ในสถานที่แปลกๆ และเมื่อกลับไปฝึกเดินลมปราณในตอนดึก ข้าก็รู้สึกว่ากำลังภายในของตัวเองแข็งแกร่งมาก และจู่ๆก็สามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-8 ต่อด้วยขั้นโฮ่วเทียน-9 ในคืนเดียวข้าสามารถก้าวขึ้นสูงได้ถึงสองขั้น มันช่างเหลือเชื่อ! การหายใจก็แข็งแรงกว่าเดิม และเมื่อ่ได้ดื่มน้ำลายมังกรเข้าไปก็ยิ่งแกร่งกว่าเดิม..”
“นี่หลิงหยุน.. ตอนข้าตื่นขึ้นมาในที่ประหลาด ข้าเห็นสาวสวยที่เต้นรำกับเจ้าคืนนั้นอยู่ที่นั่นด้วย..”
บทที่ 328 : น้ำเต้าวิเศษ
หลิงหยุนรู้ว่าตู้กู่โม่กำลังพูดถึงเกาเฉินเฉิน เขาจึงแกล้งแหย่ตู้กู่โม่อย่างอารมณ์ดี “อ่อ.. นายกำลังพูดถึงเกาเฉินเฉินสินะ! ใช่แล้ว.. เธอก็เล่าให้ฉันฟังว่าเห็นคนเอานายมาโยนทิ้งไว้ที่นั่น”
ตู้กู่โม่ถึงกับร้องออกมาด้วยความตกใจ “ห๊ะ?! ข้านี่นะ.. ถูกจับไปโยนทิ้งไว้ที่นั่น? นี่ข้าหมดสติไม่รู้เรื่องขนาดนั้นเชียวรึ? แล้วทำไมมันถึงไม่ฆ่าข้าเลยล่ะ? ไม่ได้แล้ว.. หลิงหยุนเจ้าช่วยหาทางให้กำลังภายในของข้าก้าวหน้าเร็วกว่านี้หน่อยสิ?”
หลิงหยุนตอบกลับไปทันที “นายขอให้ฉันช่วย.. แล้วใครจะช่วยฉัน? แต่จะว่าไปแล้ว คนคนนั้นอาจจะเป็นยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนที่เห็นพรสวรรค์ของนาย เลยอยากจะรับไว้เป็นศิษย์ก็ได้นะ?!”
ตู้กู่โม่ครุ่นคิดอยู่นาน จากนั้นก็ทำท่าทางคล้ายกับว่าคำพูดของหลิงหยุนนั้นมีเหตุผล จึงพยักหน้าและตอบกลับไป
“นั่นสินะ! พรสวรรค์ของข้าก็สูงเข้าขั้นล้ำเลิศซะด้วยสิจึงไม่น่าแปลกใจ ว่าแต่ทำไมยอดฝีมือท่านนั้นต้องแอบช่วยเหลือข้าอย่างลับๆด้วยล่ะ ทำไมถึงไม่ทำอย่างเปิดเผย!?”
ตงฟางถิงถึงกับหัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า “น้องตู้กู่ช่างมีโอกาสที่ดีนัก ข้าเองยังรู้สึกอิจฉาอยู่ในใจ ข้าอายุมากกว่าเจ้าตั้งห้าปี แต่เจ้ากลับมีกำลังภายในที่เหนือกว่าข้าซะแล้ว!”
ขณะที่พูดตงฟางถิงก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับยิ้มให้หลิงหยุนและตู้กู่โม่ “ครั้งนี้แม้ข้าจะไม่พบสมุดจักรพรรดิ แต่ก็ได้ดื่มน้ำลายมังกรและมีกำลังภายในที่ก้าวหน้าขึ้น เอาล่ะ.. ข้าคงต้องลาน้องชายทั้งสองกลับก่อน!”
ตู้กู่โม่เงยหน้าขึ้นมองพร้อมกับถามขึ้นว่า “ทำไมล่ะ.. นี่ท่านจะออกไปตอนนี้เลยงั้นรึ?”
จากนั้นก็ชี้ไปทางบ่อน้ำลายมังกร แล้วพูดต่อว่า “ในบ่อหินนั่นยังมีน้ำลายมังกรอยู่อีกตั้งมากมายนะ!”
ตงฟางถิงตอบยิ้มๆ “สมบัติล้ำค่าเช่นนี้ ย่อมตกเป็นของผู้ชนะ! น้ำลายมังกรนี่น้องหลิงหยุนเป็นผู้พบ เขาจึงควรเป็นผู้ที่มีสิทธิ์จัดสรรแบ่งปัน ข้าได้จัดการตักไปสองขวดแล้ว และมันเพียงพอสำหรับข้าที่จะใช้ไปได้อีกนาน ตอนนี้หมดเวลาของข้าแล้ว!”
หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่พยักหน้าอยู่ในความมืด พร้อมกับอดคิดไม่ได้ว่าตงฟางถิงเป็นคนที่เปิดเผยและเถรตรงมาก น้ำลายมังกรในบ่อหินตรงหน้ามีอยู่อีกตั้งมากมาย แต่เขากลับไม่มีความโลภ..
หลิงหยุนรีบร้องบอกเสียงดัง “พี่ตงฟาง.. ในน้ำลายมังกรนี้มีพลังชีวิต ไม่ควรเก็บไว้ในขวดน้ำแร่แบบนั้น หากท่านกลับถึงบ้านแล้ว ให้หาภาชนะหยกชั้นดีที่มีฝาปิดใส่แทน”
ตงฟางถิงยิ้มพร้อมกับเอ่ยขอบคุณ และพูดกับหลิงหยุนว่า “น้องหลิงหยุน.. กระบี่สีดำในมือของเจ้านั้น ข้ายืนยันได้ว่ามันเป็นกระบี่โลหิตแดนใต้อย่างแน่นอน หากเจ้านำออกไปใช้ในโลกภายนอก ข้าเกรงว่าเจ้าจะต้องพบเจอกับปัญหามากมาย และหากคนของนิกายมารรู้เรื่องนี้เข้า พวกมันจะต้องมาช่วงชิงไปจากเจ้าแน่ เจ้าต้องระมัดระวังในการใช้ให้มาก..”
หลิงหยุนรู้สึกขอบคุณและซาบซึ้งใจ เขาจึงตอบกลับไปยิ้มๆ “ขอบคุณสำหรับคำเตือนของท่าน ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเทพหรือฝ่ายมาร ใครที่กล้ามาแตะต้องของของข้า ข้าจะทำให้มันกินไม่ได้เดินไม่ได้อย่างแน่นอน!”
เมื่อเห็นท่าทางที่ก้าวร้าวโอ้อวดของหลิงหยุน ทั้งตู้กู่โม่และตงฟางถิงต่างก็ได้แต่เอาใจช่วยอยู่เงียบๆ!
ตงฟางถิงพยักหน้าพร้อมกับพูดต่อว่า “ในเมื่อน้องหลิงหยุนมั่นใจถึงเพียงนี้ ข้าก็จะไม่พูดอะไรมากมายแล้วล่ะ ข้าลงมาก้นหลุมนานแล้ว ได้เวลาต้องกลับซะที! นี่ข้าก็ได้น้ำลายมังกรกลับไปแล้ว กลับถึงบ้านเมื่อไหร่ ข้าก็จะได้เร่งฝึกฝนให้เข้าสู่ขั้นเซียงเทียนซะที!”
ตงฟางถิงรู้ดีว่าหลิงหยุนกับตู้กู่โม่คงจะไม่ออกไปพร้อมกับเขาอย่างแน่นอน เขาจึงร่ำลาทั้งคู่โดยไม่เสียเวลาพูดชักชวนให้ไร้สาระ
ทั้งสามคนล้วนเป็นชายหนุ่มที่เฉลียวฉลาด จึงไม่ต้องพล่ามอะไรมากมาย! หลิงหยุนและตู้กู่โม่ต่างก็ยกมือขึ้นคาราวะตงฟางถิงพร้อมกัน
“ท่านก็ระวังตัวให้มาก!”
หลังจากที่ร่ำลาตงฟางถิงเรียบร้อยแล้ว หลิงหยุนก็เดินตรงไปที่ร่างของเจ้างูยักษ์ทันที เขาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดขึ้นว่า “มันไม่น่าจะตายนี่นา..”
“กล่องหยกนี่เยี่ยมมากเลย.. หลิงหยุนเจ้าไปได้กล่องหยกนี่มาจากที่ใหน? ว่าแต่มันจะพอใส่น้ำลายมังกรเหรอ ข้าว่ามันเล็กไปนะ?”
หลิงหยุนเรียกกล่องหยกวิญญาณออกมา และปล่อยให้มันดูดซับพลังชีวิตจากน้ำลายมังกรไปเรื่อยๆ และหลังจากผ่านไปหลายชั่วโมง กล่องหยกก็ดูดซับพลังชีวิตเข้าไปจนเต็ม แต่หลิงหยุนก็ยังไม่เก็บมันกลับเข้าไป เพราะตั้งใจใช้มันส่องแสงสว่าง
ทั้งตู้กู่โม่และตงฟางถิงต่างก็เป็นผู้ที่ผ่านโลกมามาก พวกเขาต่างก็รู้ว่าหยกชิ้นนี้เป็นของล้ำค่า แต่พวกเขากลับไม่ใส่ใจ
เมื่อไม่พบสมุดจักรพรรดิ ตู้กู่โม่ก็ไม่ต้องการที่จะอยู่ที่นี่ต่ออีกแล้วเช่นกัน แต่ที่นี่มีน้ำลายมังกรมากมาย และเขาก็ไม่มีภาชนะใหญ่พอที่จะใส่กลับไปได้หมด ตู้กู่โม่ลังเลเพราะรู้สึกเสียดาย จึงเปลี่ยนใจอยู่ต่อ
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า “ใช้มันบรรจุน้ำลายมังกรน่ะเหรอ? ใส่ในขวดน้ำแร่จะไม่ดีกว่ารึไง?”
ตู้กู่โม่กระทืบเท้าพร้อมกับร้องออกมาทันที “ไม่ดีหรอก.. ที่นี่มีน้ำลายมังกรตั้งมากมาย พวกเราดื่มให้หมดก่อนแล้วค่อยออกไปจะดีไม๊? แต่มันก็มีมากจนดื่มได้เป็นเดือน..”
หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับตอบไปว่า “ดื่มให้หมดงั้นรึ? ระวังร่างกายของนายจะรับไม่ไหวล่ะ มีหวังชีพจรฉีกขาดก่อนแน่!”
ตู้กู่โม่เข้าใจได้ทันที เขาได้แต่เกาศรีษะพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ก็จริงอย่างที่เจ้าพูด! แต่ไม่ว่ายังไง เจ้าก็ไม่ควรทิ้งของล้ำค่าไว้ที่นี่..”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ.. เราจะหาวิธีที่จะนำมันกลับไปให้ได้มากที่สุดก็แล้วกัน แต่นายต้องหัดเอาอย่างพี่ตงฟางบ้างนะ เขาก็นำกลับไปเพียงแค่พอใช้ ที่เหลือเขาก็ปล่อยทิ้งไว้โดยไม่สนใจใยดี..”
เมื่อตู้กู่โม่ได้ฟังก็ถึงกับอึ้งและพูดอะไรไม่ออก..
“เอาล่ะ.. ตอนนี้นายเลิกคิดเรื่องน้ำลายมังกรนี่ก่อน แล้วมาช่วยฉันหากลไกเปิดประตูอีกครั้ง..”
ประตูศิลาทั้งสามบานยังดึงดูดความสนใจของหลิงหยุนมากกว่าน้ำลายมังกรเสียอีก เขายังไม่ต้องการออกไปตอนนี้
ครั้งนี้ทั้งสองคนแยกกันสำรวจดูรอบๆบริเวณ ทั้งคู่ต่างสำรวจทั่วทั้งถ้ำหินอย่างละเอียดยิบ ไม่ปล่อยให้หลุดรอดไปได้แม้แต่ตารางนิ้ว
สองชั่วโมงผ่านไป ตู้กู่โม่นั่งลงกับพื้นพร้อมกับร้องออกมาอย่างโมโห “ข้าหาไม่พบเลย.. มันไม่มีอะไรผิดปกติจริงๆ ไม่แน่ตำนานที่เล่าต่อกันมาอาจจะเป็นเรื่องโกหก และพู่กันจักรพรรดก็อาจจะยังไม่ปรากฏจริง เรื่องสมุดจักรพรรดิจึงยิ่งไม่ต้องพูดถึง..”
หลังจากที่สำรวจดูอย่างละเอียดละออ ทั้งคู่ก็ยังคงไม่พบสิ่งใดอีก หลิงหยุนเริ่มหมดหวังเช่นกัน เขาเดินไปหาตู้กู่โม่พร้อมกับโน้มตัวลงไปถามว่า
“อะไรคือพู่กันจักรพรรดิ และอะไรคือสมุดจักรพรรดิ? หน้าตาของมันเป็นยังไง? แล้วก็ใช้ทำอะไรได้บ้าง? นายลองเล่าให้ฉันฟังหน่อยสิ!”
ตู้กู่โม่จึงเริ่มเล่าให้หลิงหยุนฟัง..
“พู่กันจักรพรรดิและสมุดจักรพรรดิก็คือพู่กันกับสมุดที่จักรพรรดิแห่งมวลมนุษยชาติ และจักรพรรดิแห่งผืนดินในตำนานเป็นผู้คิดค้นขึ้นใช้ ว่ากันว่าผู้ที่ครอบครองได้นั้นจะต้องเป็นผู้สืบเชื้อสายจักรพรรดิเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นนอกเหนือจากนี้.. ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะข้าเองก็ไม่เคยได้เห็น!”
หลังจากหยุดไปครู่หนึ่ง ตู้กู่โม่ก็เล่าต่อ “แต่ท่านปู่เคยเล่าให้ฟังว่า พู่กันจักรพรรดินั้นเป็นพู่กันหิน หากไปอยู่ในมือของคนธรรมดา มันก็จะไม่มีอะไรแตกต่างไปจากพู่กันธรรมดาๆ แต่หากมันตกอยู่ในมือของจักรพรรดิและมันจดจำได้ มันจะกลายเป็นสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดในโลก และใครก็ไม่สามารถทำลายได้..”
หลิงหยุนขมวดคิ้ว “แล้วสมุดจักรพรรดิล่ะ?”
ตู้กู่โม่เกาศรีษะพร้อมกับตอบไปว่า “สมุดจักรพรรดิน่ะรึ.. ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน! เอาเป็นว่าหากพวกเราพบเจอสมุดที่นี่ มันก็น่าจะเป็นสมุดจักรพรรดินั่นล่ะ..! ฮ่า.. ฮ่า..”
ท้องของตู้กู่โม่ร้องเสียงดังเขาจึงถามขึ้นมาว่า “หลิงหยุน.. มีอะไรกินบ้างไม๊? ข้าไม่ได้กินอะไรมานานแล้ว ท้องข้าร้องเสียงดังเชียว..”
ตู้กู่โม่เอามือลูบท้องพร้อมกับมองหน้าหลิงหยุน..
“นายหิวเหรอ? งั้นก็ไปดื่มน้ำลายมังกรสิ.. มีเต็มบ่อเลย!” หลิงหยุนแกล้งแหย่ตู้กู่โม่
“เจ้านี่..!! คิดว่าข้าโง่นักรึยังไง?” ตู้กู่โม่พูดพร้อมกับถลึงตาใส่หลิงหยุน
หลิงหยุนกินมื้อสุดท้ายไปเมื่อแปดหรือเก้าชั่วโมงที่แล้ว เมื่อตู้กู่โม่พูดเรื่องนี้ขึ้นมา เขาเองก็เริ่มหิวเช่นกัน จึงหันไปพูดกับตู้กู่โม่อย่างอารมณ์ดี
“ถ้างั้นก็ไปหาที่นั่งกินอะไรกันก่อน อิ่มแล้วค่อยออกไปจากที่นี่!”
ตู้กู่โม่ได้ฟังหลิงหยุนพูด เขาก็รีบกระโดดเข้ามาหาหลิงหยุนพร้อมกับเร่งเร้า “เจ้ายังจะรออะไรอยู่อีก? เร็วเข้าสิ!”
หลิงหยุนยกมือขวาขึ้น จากนั้นก็ชูนิ้วชี้และนิ้วกลางขึ้นต่อหน้าตู้กู่โม่พร้อมกับส่ายไปมา “หนึ่งมือ.. สองเดือน!”
“สองเดือนอะไรของเจ้า?!” ตู้กู่โม่ที่กำลังหิวถามขึ้นอย่างงงๆ
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า “ฉันให้อาหารกับนายหนึ่งมือ แต่นายต้องมาเป็นบอดี้การ์ดให้ฉันสองเดือน.. ตกลงไม๊?”
“ห๊ะ?! นี่เจ้า.. เจ้านี่มันช่างเอารัดเอาเปรียบ! ให้ข้าวข้ากินแค่มื้อเดียว แต่ให้ข้าไปเป็นองค์รักษ์ให้เจ้าถึงสองเดือน? ไม่.. ตอนนี้ข้าเป็นถึงยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-9 เชียวนะ! ข้อแลกเปลี่ยนนี้มีมูลค่าไม่พอ!”
หลิงหยุนหันหลังกลับทันที และเดินตรงไปหาเจ้าขาวปุย เขานั่งลงที่พื้นลูบขนเจ้าขาวปุยอย่างสนิทสนม จากนั้นก็เรียกอาหารออกมาจากแหวนพื้นที่
หลิงหยุนวางถุงพลาสติกใหญ่สองสามใบลงบนพื้น จากนั้นก็หยิบแฮม เนื้อวัวหมักซอส ปีกไก่ ถั่วลิสง น้ำอัดลม แล้วก็ตะเกียบอีกสองสามคู่ออกมา..
“โอ้โห.. เป็นไปได้ยังไงกัน ทำไมเจ้าถึงได้มีของกินมากมายราวกับมีซุปเปอร์มาร์เก็ตอยู่ที่นี่?” ตู้กู่โม่อ้าปากร้องออกมาอย่างตกใจ เขาอ้าปากหวอและแทบไม่เชื่อสายตาตนเอง
หลิงหยุนไม่พูดอะไร เขาเริ่มฉีกถุงใส่อาหาร แล้วป้อนให้กับเจ้าขาวปุยก่อน..
กลิ่นหอมของอาหารโชยไปทั่วทั้งบริเวณ ตู้กู่โม่เดินดมกลิ่นอาหารไปจนถึงหน้าหลิงหยุน และยกมือขึ้นจะหยิบปีกไก่ขึ้นมากิน
หลิงหยุนคว้ามือของตู้กู่โม่ไว้พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ไม่มีของฟรีในโลก.. ว่าไงนายจะรับข้อเสนอไม๊?”
“ได้ๆๆ ข้าตกลง! แต่ไม่ใช่สองเดือน แค่สองสามวันเท่านั้น..”
ตู้กู่โม่ยุ่งมาก เขาไม่มีเวลาที่จะไปดูแลหลิงหยุนได้ถึงสองเดือน เขาตอบไปพร้อมกับหยิบปีกไก่ขึ้นมาสองปีก และเนื้อหมักซอสอีกสองสามชิ้น แล้วรีบยัดเขาไปในปากอย่างรวดเร็ว
ความจริงแล้วทั้งคู่ต่างก็แกล้งกันสนุกๆเท่านั้นเอง หลิงหยุนให้พลังอมตะกับตู้กู่โม่ และช่วยชีวิตเขา สิ่งเหล่านั้นมากกว่าอาหารหนึ่งมื้อเสียอีก และต่อให้ตู้กู่โม่มาเป็นบอดี้การ์ดให้หลิงหยุนสองเดือนก็ยังนับว่าน้อยไป
ทั้งคู่ตกลงกันไว้ว่ากินอาหารเสร็จก็จะออกจากที่นี่.. หลิงหยุนจึงได้นำอาหารทั้งหมดที่เตรียมไว้ออกมาจนหมด แล้วชายหนุ่มทั้งสองคนกับเจ้าขาวปุยก็จัดการกินกันจนหมดเกลี้ยง
ตู้กู่โม่ทั้งกินทั้งดื่ม เขากินมากกว่าหลิงหยุนกับเจ้าขาวปุยเสียอีก และท้ายที่สุดเขาก็นั่งกุมท้องด้วยความอิ่ม เขารู้สึกว่าอาหารมื้อนี้ช่างเป็นมื้อที่อร่อยที่สุด!
“นี่หลิงหยุน.. เจ้านี่รอบคอบชะมัด! รู้จัดเตรียมของพวกนี้มาในที่แบบนี้ด้วย.. แต่น่าเสียดาย.. ถ้ามีไวน์ด้วยก็จะเยี่ยมมากเลยล่ะ..”
หลิงหยุนฟังแล้วได้แต่เหน็บ “พ่อรูปหล่อ.. นายกินเข้าไปจุกขนาดนั้น ยังมีท้องใส่ไวน์ได้อีกรึไง..”
ทั้งสองคนต่างก็หัวเราะออกมาเสียงดัง จากนั้นตู้กู่โม่ก็ถามขึ้นว่า “หลิงหยุน.. ในท้องเจ้ามีอะไรกันแน่? เจ้าเอาของพวกนี้มาจากใหน? เสกมาหรือยังไง?”
หลิงหยุนพยักหน้ายิ้มๆ แล้วทำเสียงกระซิบให้ฟังดูลึกลับ “นี่เป็นสมบัติของสำนักหมอสวรรค์ ฉันขโมยมันมาจากอาจารย์ นายอย่าแพร่งพรายไปเชียวล่ะ..”
ตู้กู่โม่ร้องออกมาอย่างตื่นเต้น “ถ้างั้นเจ้าก็เอาน้ำลายมังกรใส่ไว้ในร่างกายของเจ้าได้ไม๊? น้ำลายมังกรตั้งมากมาย ถ้าเจ้าทิ้งไว้ที่นี่ก็น่าเสียดายแย่..”
หลิงหยุนส่ายหน้าและตอบกลับไปว่า “ยังมีขวดน้ำแร่อีกตั้งเจ็ดแปดขวด.. เราจะเอามันใส่น้ำลายมังกรกลับไป!”
แน่นอนว่าแหวนพื้นที่สามารถใส่น้ำลายมังกรได้ แต่เพราะมันเป็นของเหลว หลิงหยุนจึงไม่สามารถนำมันใส่เข้าไปแบบนั้นได้
ตู้กู่โม่ถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วจึงหยิบขวดพลาสติกบนพื้นขึ้นมา “ขวดพวกนี้ก็ใส่ไปได้ตั้งมากมายแล้ว..”
หลิงหยุนยกมือขึ้นและเรียกน้ำเต้าออกมา “ฉันยังมีน้ำเต้าใหญ่อยู่อีกใบ น่าจะใส่น้ำลายมังกรได้มากเลยล่ะ..”
น้ำเต้าใบนี้หลิงหยุนได้มาจากอารามของหลวงจีนชรา แม้ว่าจะไม่จุกสำหรับปิดปากน้ำเต้า แต่ขนาดที่ใหญ่ของมันก็สามารถบรรจุน้ำลายมังกรได้ถึงสามลิตรทีเดียว
หลิงหยุนสามารถใช้แหวนพื้นที่ควบคุมตำแหน่งของวัตถุที่อยู่ด้านในได้ แม้ว่าน้ำเต้านี้จะไม่มีจุกปิดปากขวด แต่มันก็จะไม่ร่วงหรือล้มลงจนทำให้น้ำลายมันกรหกออกมาอย่างแน่นอน
เมื่อตู้กู่โม่ได้ยินเช่นนั้น เขาก็รีบร้องบอกหลิงหยุนอย่างตื่นเต้น “เยี่ยมเลย.. ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ใช้น้ำเต้านี่ใส่น้ำลายมังกร ส่วนข้าจะใช้ขวด..”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับเดินตรงไปที่บ่อหิน เขาเรียกไข่มุกราตรีออกมาห้าหกเม็ด และใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อเพื่อให้มันส่องแสงสว่าง จากนั้นก็เรียกกล่องหยกเข้าไปเก็บ
แสงสว่างจากไข่มุกราตรีนั้นเจิดจ้ากว่าแสงสลัวๆจากกล่องหยก และไข่มุกเพียงแค่ห้าหกเม็ดก็ทำให้รัศมียี่สิบเมตรรอบๆบ่อหินสว่างไสวไปทั่ว
“นี่มัน..?!!” น้ำลายมันกรในบ่อหินลดลงจำนวนมาก
ดวงตาของหลิงหยุนเป็นประกาย.. นั่นเพราะน้ำลายมังกรในบ่อหินลดปริมาณลงไปมาก ในบ่อหินนั้นมีน้ำลายมังกรมากกว่าสิบลิตร แต่น้ำเต้ากลับของเขากลับไม่เต็มสักที
ยังจะต้องสงสัยอะไรอีก?! น้ำเต้าที่อยู่ในแหวนพื้นที่นั้นสามารถบรรจุของเหลวได้มากกว่าขนาดของมัน เพราะมันคือน้ำเต้าวิเศษ!
หลิงหยุนหย่อนน้ำเต้าลงในมือลงไปลึกขึ้นและลึกขึ้นเรื่อยๆ จนไปถึงก้นบ่อหิน..
หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ไม่มีขวดข้าก็สามารถใส่น้ำลายมังกร
ทั้งหมดลงไปในน้ำเต้านี้ได้!”
หลิงหยุนพูดพร้อมกับชูน้ำเต้าในมือให้ตู้กู่โม่ดู น้ำลายมังกรทั้งหมดอยู่ในนี้แล้ว
“ห๊ะ?! เจ้าว่าอะไรนะ..”
“ช่างน่าอัศจรรย์!” ตู้กู่โม่ร้องออกมาด้วยความตกตะลึง
บทที่ 329 : ครอบครองสมุดจักรพรรดิ
“นี่…” ตู้กู่โม่ทิ้งขวดน้ำแร่ในมือลงพื้นทันที แล้วรีบหันไปคว้าน้ำเต้าในมือของหลิงหยุนแทน
หลิงหยุนปล่อยให้ตู้กู่โม่คว้าไป และได้แต่ยืนยิ้มมองความตลกขบขันของเขา..
“นี่มัน!” เมื่อตู้กู่โม่แบกน้ำเต้าไว้ในมือ เขารับรู้ได้ถึงน้ำหนักหลายกิโลกรัมของมัน จนมือสั่นตัวสั่นไปหมด และแทบจะหัวคะมำ!
ตู้กู่โม่รีบเดินลมปราณจากจุดตันเถียนเพื่อเพิ่มกำลัง มือขวาของเขาจับอยู่ที่คอน้ำเต้า ส่วนมือซ้ายประคองที่ก้นน้ำเต้า พร้อมกับก้าวเท้าขวาออกไปด้านหน้าเพื่อทรงตัวไว้ไม่ให้หน้ำคะมำลงไปกับพื้น
สีหน้าของตู้กู่โม่มีอาการตกใจสุดขีดพร้อมกับร้องขึ้นมาเสียงดัง “หนักมากจริงๆ!”
ข้างในน้ำเต้ามีน้ำลายมังกรอยู่ อย่างน้อยๆก็หลายกิโลกรัม..
หลิงหยุนมองตู้กู่โม่พร้อมกับกลั้นหัวเราะจนปวดท้อง จากนั้นจึงชี้ไปที่บ่อหินทรงกลมที่ลึกเกือบสองเมตร แล้วจึงอ้าปากพูดขึ้นว่า
“นายนี่มันโลภมากจริงๆ ไม่เห็นรึไงว่าบ่อนี้ใหญ่แค่ใหน น้ำลายมังกรทั้งหมดก็อยู่ในน้ำเต้า คิดสิว่าน้ำเต้านั่นจะหนักแค่ใหนกัน!”
น้ำลายมังกรนั้นมีน้ำหนักมากกว่าน้ำเปล่าถึงสองเท่า และตอนนี้น้ำลายมังกรในบ่อที่ใหญ่ขนาดนี้ก็เข้าไปอยู่ในน้ำเต้าจนหมดแล้ว คิดดูว่าสิว่ามันจะหนักถึงเพียงใด?
ตู้กู่โม่กัดฟันอยู่ครู่หนึ่งจนใบหน้าของแดงก่ำ ท้ายที่สุดเขาก็ไม่สามารถทนได้ จึงค่อยๆโน้มตัววางมันลงบนพื้น พร้อมกับหายใจหอบ..
“ไม่น่าเชื่อว่ามันจะหนักถึงเพียงนี้! เจ้าช่างน่ากลัวนักหลิงหยุน!?”
ก่อนที่หลิงหยุนจะเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-4 นั้น ร่างกายของเขาก็แข็งแกร่ง และแขนหนึ่งข้างก็สามารถยกของหนักได้หลายกิโลกรัม แต่ตอนนี้เขาเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-4 แล้ว อีกทั้งยังสำเร็จวิชาพลังลับหยินหยางจึงทำให้พลังหยินและหยางในร่างกายสมดุลย์อยู่ตลอดเวลา จึงแทบไม่ต้องพูดถึงเรื่องกำลังภายในและความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์!
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับเอื้อมมือไปยกน้ำเต้าขึ้นมา และเรียกมันเก็บเข้าไปในแหวนพื้นที่
หลิงหยุนสัมผัสได้ว่าน้ำเต้าวิเศษใบนี้ดูจะดื้อมากทีเดียว เขาจึงยังไม่ต้องการใช้พลังวิเศษจากมัน หากเขาสามารถเรียนรู้วิธีการใช้งานมันได้แล้ว หลังจากที่บรรจุน้ำลายมังกรจำนวนมากเข้าไป เหตุการณ์ลักษณะนี้จะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ตอนนี้หลิงหยุนทำได้เพียงแค่เก็บมันเข้าไปในแหวนพื้นที่ก่อน และหยุดคิดเรื่องลักษณะพิเศษของมันไว้ก่อน
ยกตัวอย่างแหวนพื้นที่.. หลังจากที่เก็บน้ำเต้าที่บรรจุน้ำลายมังกรจำนวนมากเข้าไปเก็บด้านในแล้ว เขาก็ไม่รู้สึกหนักอีกเลย และนี่คือความวิเศษหรือลักษณะพิเศษของแหวนพื้นที่ เพราะไม่ว่าของที่เก็บอยู่ด้านในจะมีน้ำหนักมากเพียงใด แต่เมื่อเข้าไปอยู่ในแหวนพื้นที่แล้ว ของสิ่งนั้นจะไร้น้ำหนักทันที
นั่นเพราะแหวนพื้นที่เป็นเหมือนอีกมิติหนึ่งที่อิสระ พื้นที่ในแหวนพื้นที่นั้นไม่ใช่มิติเดียวกับพื้นที่บนผืนโลกแห่งนี้ ดังนั้นสิ่งของที่อยู่ในแหวนพื้นที่จึงไม่มีผลต่อแรงดึงดูดของโลก
แต่ตัวแหวนพื้นที่เองนั้นก็ยังคงอยู่ภายใต้แรงโน้มถ่วงของโลก ดังนั้นแหวนในมือของหลิงหยุนจึงยังคงมีน้ำหนักตามสภาพจริงของมัน นี่ช่างเป็นเรื่องที่วิเศษและน่าทึ่งมาก!
ตู้กู่โม่อ้าปากค้างอยู่นานก่อนที่จะค่อยๆหุบลง เขาหันไปทางหลิงหยุนอยู่หลายครั้งพร้อมกับจ้องมองหลิงหยุนอยู่นาน
“น่าแปลก.. เจ้าเอาน้ำลายมังกรจำนวนมากแบบนั้นใส่ลงไปในสมบัติของสำนักหมอสวรรค์ที่เจ้าขโมยมาได้ยังไงกัน?”
หลิงหยุนทำให้ตู้กู่โม่ทึ่งสุดขีด คล้ายกับได้เห็นการเคลื่อนภูเขาย้ายทะเลก็ไม่ปาน จนทำให้สมองของเขาถึงกับคิดอะไรไม่ออก
หลิงหยุนไม่สนใจตู้กู่โม่อีก เขามองบ่อหินที่ว่างเปล่าอย่างพอใจ และดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่ง ราวกับว่าเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นมาได้!
“มีอะไรผิดปกติงั้นรึ? เจ้าจ้องมองบ่อน้ำลายมังการที่แห้งหมดแล้วทำไมกัน?” ตู้กู่โม่ถามขึ้นอย่างงุนงง และก็มองตามสายตาของหลิงหยุนลงไปในบ่อหิน
ด้านในบ่อน้ำลายมังกรนั้น กลับไม่ได้แห้งผากอย่างเคย และตอนนี้มันก็มีน้ำลายมังกรผุดขึ้นมาอีก แต่น้ำลายมังกรจำนวนนั้นไม่สามารถหยุดสายตาที่แหลมคมของหลิงหยุนและตู้กู่โม่ได้
“นี่.. ดูเหมือนว่าบ่อหินแห่งนี้จะเป็น..” ดวงตาของตู้กู่โม่เป็นประกายขึ้นมาและอ้าปากหวออีกครั้ง จากนั้นก็ยกมือชี้ไปที่บ่อหิน ปากก็พึมพำว่า
“นี่.. นี่ดูเหมือนจะเป็นแผนผังแปดทิศ!”
หลิงหยุนผลุนผลันไปที่ขอบบ่อหินทันที เขาเรียกยันต์อัคนีออกมาสองแผ่น และตะโกนสั่งอยู่ข้างบ่อ ลูกไฟขนาดใหญ่เท่าลูกบาสเก็ตบอลลุกโชติช่วงอยู่ข้างบ่อหิน
ตอนนี้หลิงหยุนรู้สึกปลาบปลื้มดีใจอย่างที่สุด และเริ่มสำรวจจที่ก้อนหลุมอย่างกระตือรือร้น
“นี่.. ของวิเศษของเจ้าเป็นอะไรกันแน่?! ของวิเศษของสำนักหมอสวรรค์ของเจ้าเป็นอะไรกันแน่?” ตู้กู่โม่มองหลิงหยุนที่เรียกยันต์ออกมาอย่างอึ้งๆ
“เจ้าเห็นมาตั้งหลายครั้งแล้ว ยังไม่ชินอีกรึ!”
ก้นบ่อแห่งนี้เป็นรูปทรงกลม และดูเหมือนว่าบ่อแห่งนี้จะถูกแกะสลักมาจากหินทั้งก้อน ซึ่งเป็นหินชนิดเดียวกับที่อยู่ในถ้ำแห่งนี้
ที่ก้นหลุมไม่มีตัวหนังสือ มีเพียงสัญลักษณ์แปดทิศที่มีความหมายว่า..
เฉียน – คือทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
คุน – คือทิศตะวันตกเฉียงใต้
เจิ้น – คือทิศตะวันออก
ซวิ่น – คือทิศตะวันออกเฉียงใต้
ตุ้ย – คือทิศตะวันตก
เกิ้น – คือทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
ขั่น – คือทิศเหนือ
หลี – คือทิศใต้
ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้ลายเส้นธรรมดา ตรงกลางเป็นสัญลักษ์ ‘ไท่จี๋’ซึ่งเป็นสัญลักษณ์รูปวงกลมและมีเส้นโค้งแบ่งเป็นสองส่วน อุปมาว่าเป็นมัจฉาคือปลาสองตัว ปลาสีขาวและปลาสีดำ โดยมีเส้นมังกรโค้งอยู่ตรงกลาง แยกสองฝั่งออกเป็นสัดส่วนเท่าๆกัน และตรงกลางของมัจฉาแต่ละตัวก็มีก้อนหินอยู่ตรงกลางคล้ายดวงตา
แม้จะแกะสลักจากหินที่หยาบแบบเรียบง่าย แต่ก็เป็นแผนผังแปดทิศที่สมบูรณ์อย่างเหลือเชื่อ
หลิงหยุนถึงกับอ้าปากค้าง สีหน้าของเขาทั้งตกใจและมีความสุขในเวลาเดียวกัน แต่ในใจของเขานั้นกลับรู้สึกมากกว่าที่แสดงออกมาทางสีหน้าเสียอีก
หากไม่ใช่เพราะน้ำเต้าวิเศษลูกนั้น เขาคงจะตักเอาน้ำลายมังกรไปเท่าที่จะทำได้ จากนั้นก็คงออกไปจากที่นี่พร้อมกับเจ้าขาวปุยและตู้กู่โม่แล้ว
หากเขาทำเช่นนั้น น้ำลายมังกรก็จะยังคงเหลืออยู่ในบ่ออีกมากมาย และทำให้เขาไม่สามารถมองเห็นสัญลักษณ์ที่อยู่ก้นบ่อนี้ได้อย่างแน่นอน
และหากไม่ใช่เพราะเจ้างูยักษ์ได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว พวกเขาคงจะไม่สามารถมานั่งตักน้ำลายมังกรกันได้อย่างสบายอกสบายใจเช่นนี้ และก็คงไม่ได้เห็นก้นบ่ออยู่ดี
แสงสว่างจากยันต์อัคนีดับไปแล้ว หลิงหยุนจึงเรียกออกมาเพิ่มอีกสองสามแผ่น และเริ่มสำรวจแผนผังแปดทิศที่ก้นบ่ออีกครั้ง จากนั้นก็มองไปยังประตูศิลาทั้งสามบาน
‘ข้าเกือบจะพลาดไม่สามารถเปิดประตูศิลาได้แล้วสินะ!’
แผนผังแปดทิศนี้ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับประตูศิลาทั้งสามบาน นี่เป็นสิ่งที่หลิงหยุนคาดเดา และจำเป็นต้องอาศัยการสำรวจและสังเกตุอย่างละเอียดรอบคอบ
“นี่.. พ่ออัจฉริยะแห่งสำนักหมอสวรรค์ สมุดจักรพรรดิของข้าต้องอยู่ในนั้นแน่!” ตู้กู่โม่ตื่นเต้นจนตัวสั่น
“นายหยุดส่งเสียงดังรบกวนฉันซะที!” หลิงหยุนมองตู้กู่โม่ด้วยสายตาตำหนิ และเริ่มมองไปที่ก้นหลุมและสำรวจอย่างละเอียดอีกครั้ง
หลิงหยุนชี้ไปที่ดวงตามัจฉาหยิน-หยางใต้ก้นบ่อ พร้อมกับกำลังคิดว่าดวงตามังกรหยิน-หยางของค่ายกลมังกรหยินหยางแห่งนี้ ก็เป็นตำแหน่งเดียวกันกับดวงตามัจฉาหยิน-หยางที่อยู่ก้นบ่อ
‘ข้าพอจะเข้าใจกลไกของค่ายกลแห่งนี้แล้ว!’
เส้นมังกรโค้งที่อยู่ตรงกลางระหว่างมัจฉาหยินและมัจฉาหยางนั้น ก็คือเส้นทางจากหลุมฝังศพมาที่นี่
“แล้วมันเกี่ยวข้องกันยังไง?” หลิงหยุนขมวดคิ้วพร้อมกับครุ่นคิดอยู่เงียบๆ
หลิงหยุนสั่งตู้กู่โม่โดยไม่หันกลับไปมอง “นายดูแลเจ้าขาวปุยให้ดีด้วย!”
พูดจบหลิงหยุนก็กระโดดลงไปที่ก้นบ่อทันที..
หลิงหยุนคุกเข่าลงพร้อมกับใช้มือสัมผัสสัญลักษณ์ขนาดใหญ่นั้นด้วยมือ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“มันน่าจะเป็นที่นี่เท่านั้นนี่นา..” หลิงหยุนมองหินกลมสองก้อนที่ดูเหมือนจะเป็นดวงตามัจฉาหยิน และมัจฉาหยาง
“นายกลัวตายไม๊?!” หลิงหยุนหันไปถามตู้กู่โม่ที่ชักกระบี่ออกมา
ตู้กู่โม่เดาว่าหลิงหยุนน่าจะพบกลไกสำหรับเปิดประตูศิลาแล้ว เขาจึงตอบกลับไปอย่างตื่นเต้น
“ข้ากลัวว่าจะไม่ได้เข้าไปมากกว่าน่ะสิ?!”
หลิงหยุนพูดยิ้มๆ “ถ้าฉันเดาไม่ผิด หินสองก้อนนี้จะต้องเป็นดวงตาหยินและดวงตาหยาง และก็น่าจะเป็นกลไกสำหรับทำลายค่ายกลมังกรหยินหยางแห่งนี้ และแน่นอนว่าหลังจากค่ายกลถูกทำลายไปแล้ว ค่ายกลมรณะก็จะสลายไปพร้อมๆกัน ถ้าสิ่งที่ฉันคาดเดาถูก.. พวกเราก็จะได้สมบัติล้ำค่าที่สุดไปจากที่นี่ แต่หากคาดเดาผิด.. พวกเราทั้งหมดก็จะต้องตายอยู่ที่นี่แน่ รับรองว่าจะไม่มีใครสามารถหนีรอดไปได้อย่างแน่นอน!”
ตู้กู่โม่ถามขึ้นมาว่า “เจ้ามั่นใจแค่ใหน?” เขาบอกกับตัวเองว่าต้องไม่กลัวตาย ในนาทีวิกฤตเช่นนี้ เขาต้องไม่กลัวตาย จึงได้แต่ถามหลิงหยุนออกไป
หลิงหยุนส่ายหน้าพร้อมกับตอบยิ้มๆ “ทิศทางของมัจฉาหยินหยาง และตำแหน่งของค่ายกลมังกรหยินหยางแห่งนี้กลับหน้ากลับหลัง จึงยากที่จะคาดเดาได้ ห้าสิบห้าสิบ.. และหากเดาผิด ก็เท่ากับเป็นการเปิดค่ายกลใหม่ให้ทำงาน และถึงเวลานั้นฉันเองก็ควบคุมอะไรไม่ได้..”
ตู้กู่โม่ถามต่อว่า “เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่ายังไง?!”
หลิงหยุนตอบอย่างภาคภูมิใจ “ก็ในเมื่อพบกลไกเข้าแล้ว หากไม่ลองเปิดดู กลับไปฉันก็คงนอนไม่หลับอยู่ดี ฉันอยากจะลองดู! แต่ถ้านายไม่อยากเสี่ยง ก็รีบออกไปจากที่นี่ตอนนี้เลย นายน่าจะคุ้นเคยกับทางออกดีอยู่แล้วนี่ ฉันจะให้เวลานายหกชั่วโมง หลังจากผ่านไปหกชั่วโมงฉันถึงจะเปิดกลไกนี้!”
ตู้กู่โม่หัวเราะ “หลิงหยุน.. เจ้ายังเด็กเกินไปที่จะมาสั่งข้านะ! เจ้าเองยังกล้าเสี่ยง หากข้าไม่กล้วแล้วล่ะก็ ข้าจะยังเป็นคุณชายผู้มีพรสวรรค์แห่งตระกูลตู้กู่ได้ยังไง? ก่อนหน้านี้ ถ้าไม่มีเจ้าช่วยไว้ ข้าก็คงตายไปแล้วเช่นกัน แล้วข้ายังต้องกลัวอะไรอีก?”
“อีกอย่าง.. หากข้าได้ตายพร้อมกับเจ้า ก็จะไม่เสียดายเลยจริงๆ! เอาล่ะข้าพร้อมจะไปเป็นเพื่อนองค์ชายเอง!”
หลิงหยุนได้แต่ยิ้มพร้อมกับเหลือบมองเจ้าขาวปุยอีกครั้ง แต่เมื่อเห็นสายตาของมันที่มองเขาอย่างมุ่งมั่นว่าไม่ต้องการออกไป เขาจึงพยักหน้าให้กับเจ้าขาวปุย..
“เอาล่ะ.. ข้าจะเริ่มเปิดแล้วนะ!”
สายตาของตู้กู่โม่และเจ้าขาวปุยจับจ้องอยู่ที่แผนผังแปดทิศในบ่อหิน.. และลมเริ่มหายใจติดขัด
หลิงหยุนใช้มือทั้งสองข้างโอบหินหยินและหยางทั้งสองก้อน พร้อมกับหมุนมันพร้อมๆกัน
มันหมุนไม่ได้! หลิงหยุนออกแรงหมุนอย่างสุดกำลัง แต่ก็ไม่สามารถหมุนได้!
“ทำไมถึงหมุนไม่ได้ล่ะ..?” หลิงหยุนปล่อยมือจากหินทั้งสองก้อน พร้อมกับจ้องมองแผนผังแปดทิศอีกครั้ง เขาอดคิดไม่ได้ว่า หรือยอดฝีมือที่สร้างค่ายกลแห่งนี้ จะจงใจสร้างแผนผังแปดทิศขึ้นมาเพื่อความสนุกกันแน่?!
“บางทีอาจจะหมุดผิดด้าน ลองหมุนกลับข้างดู!”
หลิงหยุนลองหมุนหินที่เป็นดวงตาหยินไปทางซ้าย และหินที่เป็นดวงตาหยางไปทางขวา และออกแรงหมุนอีกครั้ง แต่ก็ไม่สามารถทำได้!
หลิงหยุนผิดหวังเล็กน้อย และเริ่มโมโห..
“ข้าไม่อยากจะเชื่อจริงๆ!”
แต่จู่ๆดวงตาของหลิงหยุนเป็นประกายคล้ายตัดสินใจเด็ดขาด จากนั้นเขาก็ใช้วิชาลับหยินหยางหมุนเดินลมปราณทั่วร่างกาย และเริ่มหมุนหินทั้งสองก้อนอีกครั้ง
และครั้งนี้ จู่ๆหลิงหยุนก็รู้สึกว่าจุดตันเถียนของเขานั้นหมุนเป็นวงกลมอย่างรุนแรง พลังหยินพุ่งผ่านเส้นลมปราณเยิ่น และพลังหยางพุ่งผ่านเส้นลมปราณตู แล้วพลังทั้งสองก็รวมตัวกันเป็นสายเดียวพุ่งเข้าสู่มือและแขนของเขาทั้งสองข้าง แล้วพุ่งสู่หินหยิน-หยางทั้งสองก้อนอย่างมากมาย!
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง.. ตู้กู่โม่กับเจ้าขาวปุยที่ได้เห็นก็ถึงกับตกใจสุดขีด เมื่อร่างของหลิงหยุนที่อยู่ตรงกลางระหว่างมัจฉาหยิน-หยางนั้น ค่อยๆหมุนช้าๆและเริ่มเร็วขึ้นๆ!
และในเวลาเดียวกันนั้นเอง ประตูศิลาทั้งสามบานที่อยู่ห่างออกไป ก็เริ่มปกคลุมไปด้วยบรรยากาศที่เยือกเย็นและดูลึกลับ ก่อนจะกระจายไปทั่วทั้งตำแหน่งหัวใจมังกร เสียงกึกก้องดังสนั่นไปทั่วทั้งบริเวณ เสียงระฆังกังวานสดใส ราวกับว่าระยะเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนานได้ส่งผ่านเข้าสู่จิตวิญญาณของทุกคน!
แผนผังแปดทิศที่ก้นบ่อหินเริ่มเปล่งแสงสว่าง และจากหินหยาบก็เปลี่ยนเป็นคริสตัลใส แล้วสัญลักษณ์ต่างๆบนแผนผังแปดทิศก็เปล่งประกายเป็นแสงที่นุ่มนวลอยู่ที่ก้นบ่อ!
ร่างของหลิงหยุนหมุนเร็วขึ้นแล้วก็เร็วขึ้น จนกระทั่งไม่สามารถมองได้ทัน และยิ่งหมุนเร็วก็ยิ่งเพิ่มประกายแห่งแสงสว่าง แม้แต่ดวงตาของตู้กู่โม่ยังถึงกับพล่าไปหมด
แกร๊ก.. แกร๊ก..!
แผ่นหินแผนผังแปดทิศที่อยู่ก้นสระแตกออกจากกันทันที และสัญลักษณ์ที่อยู่ก้นบ่อก็พุ่งขึ้นมาราวกับมีชีวิต..
จากนั้นบนเพดานถ้ำและรอบๆผนังหิน ก็ปรากฏอักษรโบราณขึ้นมากมาย อักษรโบราณแต่ละตัวนั้น ล้วนเปล่งประกายแวววาวราวกับทำจากโลหะ และกำลังล่องลอยอยู่กลางอากาศ
ในเวลาต่อมา.. ถ้ำหินที่เป็นรูปหม้อขนาดใหญ่แห่งนี้ก็หายวับไปทันที และกลับกลายเป็นจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลขึ้นมาแทน ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวมากมายปรากฏอยู่เหนือศรีษะของทุกคน ถ้ำทั้งถ้ำเปล่งประกายสว่างไสว!
ครั้งนี้แตกต่างจากหมอกสีขาวในค่ายกลมรณะเมื่อครู่ นี่จึงเป็นแสงสว่างที่แท้จริง! ขณะที่ทุกคนกำลังตื่นตกใจและได้แต่ตกตะลึงนั้น จู่ๆตู้กู่โม่และเจ้าขาวปุยก็เป็นลมล้มลงไปกับพื้น!
ภายใต้ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวนับไม่ถ้วนนั้น ร่างของหลิงหยุนที่กำลังหมุนอย่างเร็วนั้นก็มีแสงสว่างเปล่งประกายออกมาเช่นกัน!
มันคือการโคจรของดารกะดายัน!
อักขระโบราณเป็นพันๆที่กำลังปรากฎอยู่ภายใต้แสงสว่าง และกำลังล่องลอยอยู่ท่ามกลางจักรวาลที่กว้างใหญ่นั้น ต่างก็ค่อยๆลอยเข้าสู่ดวงตาที่สามตรงหว่างคิ้วของหลิงหยุนทีละตัวๆ
และเมื่ออักขระโบราณตัวสุดท้ายลอยเข้าสู่หว่างคิ้วของหลิงหยุนแล้ว ประตูศิลาทั้งสามก็เปิดออกทันที แสงสว่างและแสงสีหลากหลายก็ทอประกายออกมาราวกับในเทพนิยาย
ในเวลานั้นเอง แขนทั้งสองของหลิงหยุนที่กำลังหมุนอยู่ก็หยุดทันที จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืน!
เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ขาดวิ่นไปหมด และถูกเผาไหม้จนเป็นเถ้าถ่าน ตอนนี้ร่างของหลิงหยุนเปลือยเปล่าอยู่ที่ก้นบ่อ ภาพที่เห็นราวกับว่าภายใต้จักรวาลที่กว้างใหญ่แห่งนี้ เทพแห่งมารที่ผ่านกาลเวลามาเนิ่นนานกำลังปรากฏตัว..
ฟิ้ว..
พู่กันจักรพรรดิพุ่งออกจากแหวนพื้นที่ของหลิงหยุน พลังอมตะจำนวนมากพวยพุ่งออกมาพร้อมกับขยายใหญ่ขึ้นทันที แล้วอักขระโบราณที่ถูกแกะสลักอยู่บนด้ามพู่กัน ก็เปล่งประกายเป็นตัวอักษรสะท้อนลงที่พื้นดิน มันคือคำว่า ‘ข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น’
พู่กันจักรพรรดิขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดใหญ่กว่าดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ และตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางของโลก! จากนั้นพู่กันจักรพรรดิก็ลดขนาดลงมาเล็กน้อย ก่อนจะพุ่งหายเข้าไปในดวงตาที่สามตรงหว่างคิ้วของหลิงหยุนทันที!
เกือบจะในเวลาเดียวกันนั้นเอง สมุดโบราณเล่มยักษ์ก็พุ่งออกมาจากประตูศิลาที่อยู่ตรงกลาง สมุดเล่มนี้ไม่ได้ทำจากทอง หยก ทองแดง หรือว่าหิน แต่มันเป็นสมุดเจ็ดสี สมุดจักรพรรดิหมุนวนอยู่รอบตัวหลิงหยุนครู่ใหญ่ ก่อนจะพุ่งหายเข้าไปในจุดตันเถียนของหลิงหยุนเช่นกัน!
สมุดจักรพรรดิ!
หลิงหยุนเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน แต่เขากลับไม่สนใจสิ่งเหล่านั้น จิตใจของเขาจดจ่อตั้งใจฟังเพียงแค่เสียงกังวานใสของระฆัง และเสียงของมรรคาแห่งเต๋า!
“มันคือมรรคาแห่งเต๋า.. เต๋าสร้างหนึ่ง หนึ่งแตกเป็นสอง สามสิ่งสร้างอีกมากมาย..”
บทที่ 330 : เส้นทางแห่งจักรพรรดิ – มังกรน้ำ
พื้นที่ภายในบริเวณตำแหน่งหัวใจมังกร เต็มไปด้วยเมฆสีขาวล่องลอย สวยงามเคลิบเคลิ้มราวกับความฝัน และคล้ายดั่งเทพนิยาย!
เสียงมรรคาแห่งเต๋ายังคงดังกังวานสดใสราวกับเสียงระฆัง แต่ละคำ.. แต่ละประโยคนั้นหนักแน่นดั่งหินและทองคำ ซึมซับและตราตรึงเข้าไปในจิตใจของหลิงหยุน ราวกับถูกขีดเขียนลงในจิตใจของเขาโดยไม่พลาดแม้แต่คำเดียว!
เสียงมรรคาแห่งเต๋าเริ่มเบาลงเรื่อยๆจนกระทั่งไม่สามารถได้ยินอีก พลังอมตะที่น่าหลงใหลก็เริ่มจางหายไป จักรวาลที่แสนกว้างใหญ่เวิ้งว้าง ดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ต่างก็สลายหายไปพร้อมๆกัน!
แล้วจักรวาลทั้งจักรวาลก็เริ่มมืดมิด เหลือไว้เพียงแค่ดวงดาวที่ทอประกายระยิบระยับอยู่ห่างไกล! ดูช่างลี้ลับ!
สัญลัษณ์ต่างๆบนแผนผังแปดทิศลอยเคว้างคว้างหมุนไปหมุนมาอยู่กลางอากาศ จากนั้นไม่นานแผนผังแปดทิศขนาดใหญ่ก็ลอยขึ้นไปบนฟ้า และสัญลักษณ์ไท่จี๋ หรือสัญลักษณ์วงกลมที่ภายในมีมัจฉาหยิน-หยางโอบกอดกัน ก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศเช่นกัน!
รอบๆสัญลักษณ์ไท่จี๋นั้นทอประกายแสงที่น่าหลงใหล และสัญลัษณ์ทั้งแปดได้แก่
เฉียน – คือทิศตะวันตกเฉียงเหนือ
คุน – คือทิศตะวันตกเฉียงใต้
เจิ้น – คือทิศตะวันออก
ซวิ่น – คือทิศตะวันออกเฉียงใต้
ตุ้ย – คือทิศตะวันตก
เกิ้น – คือทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
ขั่น – คือทิศเหนือ
หลี – คือทิศใต้
ก็ทอประกายสว่างไสวให้ความรู้สึกลี้ลับเช่นกัน
มัจฉาหยิน-หยางในสัญลักษณ์ไท้จี๋ทั้งสองตัวสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง และค่อยๆแยกตัวออกจากกันอย่างช้าๆ
แสงสว่างเจิดจ้ายังคงเปล่งประกาย และหลังจากที่พลิกแพลงไปมาอยู่กลางอากาศ จู่ๆสัญลักษณ์ทั้งแปดก็เปล่งแสงเจิดจ้าขึ้นพร้อมกัน
ตูม!!
เสียงตูมดังขึ้นสนั่นหวั่นไหวและสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งบริเวณ มัจฉาหยิน-หยางในสัญลักษณ์ไท้จี๋ซึ่งอยู่ตรงกลางของแผนผังแปดทิศนั้น ค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆ ระหว่างนั้นแสงจากดวงดาวก็ทอประกายพาดผ่านลงมาราวกับเส้นทางสายดวงดาว
ปัง!!
สิ้นเสียงดังสนั่นนั้น.. พู่กันจักรพรรดิพุ่งออกจากหว่างคิ้วของหลิงหยุนเข้า ตรงเข้าใส่ประตูมัจฉาหยิน-หยางที่กำลังเปิดออก ปลายพู่กันชี้ไปที่ดาวเคราะห์สีฟ้าดวงหนึ่ง
พู่กันจักรพรรดิเริ่มต้นจากดาวเคราะห์สีฟ้าดวงนั้น และเคลื่อนที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มดาวมากมาย!
หลิงหยุนตกตะลึงอย่างมาก ระหว่างที่พู่กันจักรพรรดิยังคงเคลื่อนที่ไปมานั้น เขาก็เห็นดวงดาวต่างๆที่พู่กันจักรพรรดิเคลื่อนที่ผ่านนั้น ร้อยเรียงกันเป็นเส้นและเชื่อมต่อกันเข้าเป็นถนนดวงดาวที่ทอดยาว!
“นั่นมันอะไรกัน?! มันคือ..”
ท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดมิด มัจฉาหยิน-หยางแยกออกจากกันอย่างประหลาด พู่กันจักรพรรดิยังคงเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และได้เชื่อมดวงดาวแต่ละดวงเข้าด้วยกัน จนเป็นเส้นทางดวงดาวที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ให้ความรู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างไม่มีที่สิ้นสุด!
ในใจของหลิงหยุนตอนนั้นต้องการจะพุ่งเข้าไปในช่องว่างแปลกประหลาดที่แยกออกจากกัน แต่สมุดจักรพรรดิในจุดตันเถียนของเขา กลับทอประกายเจิดจ้า และยึดร่างของเขาไว้แน่นจนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้แม้แต่นิ้วมือ!
หลิงหยุนจึงทำได้เพียงแค่มองและจดจำเส้นทางของพู่กันจักรพรรดิ ดวงดาวที่ถูกนำมาร้อยเรียงเป็นเส้นทางที่ทอดยาวนั้นมีจำนวนมากมาย จนแม้แต่ความทรงจำอันยอดเยี่ยมของหลิงหยุนก็ยังไม่เพียงพอที่จะจดจำ!
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนาน พู่กันจักรพรรดิร้อยเรียงดวงดาวได้มากมายนับไม่ถ้วน ก่อนจะหยุดเคลื่อนที่ในที่สุด!
หลิงหยุนเห็นชัดเจนว่าดวงดาวที่ส่องแสงอยู่ใกล้ดาวฤกษ์นั้น มีดวงดาวเล็กๆอยู่ห้าดวงที่มีสีสรรแตกต่างกัน!
“นี่มัน…”
หลิงหยุนยิ้มออกมาด้วยความตกตะลึง.. ร่างทั้งร่างของเขาสั่นอย่างรุนแรง น้ำตาเริ่มไหลเอ่อออกจากดวงตาคู่สวยทั้งสองข้าง และหยดลงอย่างเงียบๆ!
ระหว่างนั้น.. หลิงหยุนก็พยายามที่จะจะจำเส้นทางดวงดาวที่วาดโดยพู่กันจักรพรรดิ!
“พู่กันนั่น..”
แล้วพู่กันจักรพรรดิที่เป็นตำนานนับพันปี ก็พุ่งกลับเข้าสู่หว่างคิ้วของหลิงหยุน! แล้วประตูประหลาดที่มัจฉาหยิน-หยางเป็นผู้เปิดนั้น ก็ปิดลง..
ตูม!
เขามังกรและผาหยกด้านใต้สั่นสะเทือนไปทั้งลูก! แรงสั่นสะเทือนที่รุนแรงนั้นเกิดขึ้นหลายครั้ง และนับว่ารุนแรงกว่าครั้งที่เกิดหลุมยักษ์แห่งนี้เสียอีก!
ที่ก้นหลุมยักษ์แห่งนี้ ทั้งคางคก งู และสัตว์ประหลาดใหญ่ยักษ์อื่นๆ ต่างก็พากันกรีดร้องออกมา เสียงนกบินกันแตกตื่นด้วยความตระหนกตกใจ น้ำในแม่น้ำพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และค่อยๆท่วมหลุมยักษ์จนลึกกว่าร้อยเมตร!
ก้นหลุมยักษ์ที่มีความลึกกว่าสี่ร้อยเมตร จู่ๆก็เหลือความลึกเพียงแค่สามร้อยเมตร เพราะอีกหนึ่งร้อยเมตรคือน้ำที่ท่วมสูงขึ้น!
หลังจากที่เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นนั้น หัวใจแห่งค่ายกลมังกรหยิน-หยางแห่งนี้ ถ้ำหินที่หลิงหยุนและคนอื่นๆเคยอยู่นั้น ก็ได้จมอยู่ใต้น้ำที่มืดมิดไปหนึ่งร้อยเมตร
แต่หลิงหยุนกลับไม่ได้รู้สึกหวั่นไหวในใจแม้แต่น้อย เขาไม่ได้หวาดกลัวตัวสั่น แต่แล้วจู่ๆ ทุกอย่างตรงหน้าเขากลับหายวับไปกับตา!
มัจฉาหยิน-หยางที่แปลกหลาดเมื่อครู่ก็หายไป สัญลักษณ์แปลกประหลาดต่างๆก็หายไป จักรวาลที่กว้างใหญ่เวิ้งว้างและเต็มไปด้วยดวงดาวก็หายไป ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวหลิงหยุนตอนนี้กลับคืนสู่สภาพเดิมและมืดมิดเช่นเดิม!
หลังจากที่หลิงหยุนหลับตาลงอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง และรีบปรับสายตาให้คุ้นเคยกับความมืดจนสามารถมองเห็นทุกอย่างรอบๆตัว
“โอ้.. ถ้ำทั้งหกที่เคยเป็นเส้นทางมาสู่ที่แห่งนี้ได้หายไปแล้ว..”
หลิงหยุนเห็นเพียงกำแพงหินที่ว่างเปล่า ส่วนถ้ำาทั้งหกที่เคยเป็นเส้นทางมาสู่หัวใจแห่งนี้ก็หายวับไปกับตา เขาได้แต่ตกตะลึง!
หลิงหยุนหันไปมองประตูศิลาทั้งสามบาน ประตูศิลาตรงกลางและด้านขวาได้ปิดสนิทกลับไปอยู่ในสภาพเดิม แต่ประตูทางซ้ายมือยังคงเปิดอยู่ พร้อมกับเส้นทางที่ด้านในมืดมิด และไม่รู้ว่าจะนำไปสู่ที่แห่งใหน
หลิงหยุนมองตู้กู่โม่และเจ้าขาวปุยที่นอนหมดสติอยู่บนพื้น เขารู้ว่าทั้งคู่เพียงแค่สลบไปเท่านั้นเอง
ทั้งพลังอมตะ แสงไฟที่เป็นประกายเจิดจ้าสวยงามราวกับเทพนิยาย และเสียงมรรคาแห่งเต๋า ได้ให้ประโยชน์อย่างมากมายมหาศาลกับพวกเขา และการฝึกฝนของพวกเขานับจากนี้ ก็จะก้าวหน้าได้รวดเร็วขึ้นอีกหลายพันเท่าเลยทีเดียว
หลิงหยุนหันหน้าไปดูเจ้างูยักษ์ เขาพบว่าร่างของเจ้างูยักษ์ที่นอนอ่อนระทวย และเต็มไปด้วยบาดแผลจากกระบี่ศิลานั้นได้กลับมาอยู่ในสภาพเดิมแล้ว เกล็ดสีดำขนาดเท่าอ่างกลับมาเป็นประกายสดใสเช่นเคย ดวงตาสองดวงที่เป็นประกายราวกับหลอดไฟคู่นั้นดูเหมือนกำลังจ้องมองหลิงหยุน
“ทำไมเจ้าตัวเล็กลง?!”
หลิงหยุนพบว่าร่างใหญ่ยักษ์ของเจ้างูเหลือมนั้นเล็กลงกว่าเดิมมากไม่รู้กี่เท่า! ตอนนี้ร่างของมันเล็กลงจนลำตัวของมันมีเส้นผ่าศูนย์กลางไม่ถึงครึ่งเมตร และยาวไม่เกินสิบเมตร ซึ่งเล็กกว่าขนาดเดิมหลายเท่ามาก
และหลิงหยุนเองก็เพิ่งสังเกตุเห็นว่าหัวของเจ้างูนั้นเปลี่ยนไป ตอนนี้หัวของมันมีเขาสีขาวอมเหลืองคู่หนึ่งงอกขึ้นมา ช่างน่ารักน่าชัง!
“ความจริงแล้ว.. กลับมีความโชคดีซ่อนอยู่ในความโชคร้าย! ทั้งสองอย่างต่างซ่อนอยู่ในกันและกัน ในที่สุดเจ้ามังกรน้ำก็สามารถกลายร่างได้สำเร็จ!” หลิงหยุนพูดพร้อมกับพยักหน้าให้มัน..
ที่แท้เจ้างูตัวนี้ก็คือมังกรน้ำนั่นเอง! แม้มันจะไม่สามารถขี่เมฆขี่หมอกได้ แต่มันก็สามารถว่ายวนอยู่ในแม่น้ำลำธารได้อย่างไร้ขีดจำกัด
เจ้างูเหลือมตัวน้อย.. ไม่ใช่สิ! ต้องเรียกว่าเจ้ามังกรน้ำตัวน้อย มันจ้องมองหลิงหยุนด้วยความซาบซึ้งใจ เมื่อเห็นหลิงหยุนพยักหน้าให้กับมัน แววตาของมันก็เปี่ยมล้นไปด้วยความสุข และเลื้อยเข้ามาหาหลิงหยุนด้วยความรวดเร็วที่น่าอัศจรรย์!
เจ้ามังกรน้ำตัวน้อย.. ก่อนที่มันจะกลายมาเป็นมังกรน้ำนั้น มันค่อนข้างฉลาดมากอยู่แล้ว ตอนนี้ได้กลายร่างเป็นมังกรน้ำที่สมบูรณ์แล้ว ปัญญาญาณของมันก็ได้เปิดออกแล้ว มันจึงรู้ว่าหลิงหยุนคือผู้ที่ช่วยชีวิตของมันไว้!
เมื่อเห็นร่างสีดำขลับเลื้อยเข้ามาหา หลิงหยุนกลับไม่รู้สึกหวาดกลัว เขาเพียงแค่มองมันยิ้มๆ
เจ้ามังกรน้ำตัวน้อยเลื้อยเข้ามาที่ร่างของหลิงหยุน และพันรัดไปรอบๆร่างของเขาสองรอบ และลำตัวท่อนบนของมันก็ชูขึ้น แต่ก็ไม่กล้าที่จะชูหัวของมันให้สูงกว่าศรีษะของหลิงหยุน จากนั้นก็ทำการโค้งคำนับให้เขา..
หลิงหยุนรู้ว่ามันกำลังทำความขอบคุณที่เขาได้ช่วยชีวิตของมันไว้ หลิงหยุนรู้สึกสนุกจึงหัวเราะออกมาพร้อมกับยกแขนขึ้นสัมผัสเขาที่เพิ่งงอกใหม่ของมัน..
เขาของเจ้ามังกรน้ำตัวน้อยนี้ ถึงแม้ว่าจะเพิ่งงอกแต่ก็แข็งมากเลยทีเดียว!
เขาของมังกรนั้นนับว่าเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของมันเช่นเดียวกับเกล็ด หากตู้กู่โม่กล้าที่จะจับเขาของมันเหมือนเช่นหลิงหยุนแล้วล่ะก็ เจ้ามังกรน้ำตัวน้อยนี้คงไม่ไว้ชีวิตของตู้กู่โม่แน่!
เจ้ามังกรน้อยแสนเชื่องรีบโน้มลงให้หลิงหยุนสัมผัสหัวของมัน แต่จู่ๆก็ม้วนหางรัดรอบตัวหลิงหยุน และเลื้อยไปอยู่บนหลังของหลิงหยุนแทน!
หลิงหยุนหัวเราะอย่างมีความสุข เขาพูดกับมันอย่างอ่อนโยน “ในเมื่อเกล็ดของเจ้าเป็นสีดำ ข้าจะตั้งชื่อให้เจ้าว่า ‘สีนิล’ ก็แล้วกันนะ!”
เจ้ามังกรน้อยพยักหน้า มันเข้าใจในสิ่งที่หลิงหยุนพูดดี จากนั้นก็เลื้อยออกไปด้วยความเร็ว และความเร็วของมันนั้นต่อให้หลิงหยุนใช้เท้าทองคำหมื่นลี้ขั้นสุดก็ยังไม่สามารถตามมันทันได้
หลังจากวิ่งเล่นกับมันอยู่ครู่หนึ่ง หลิงหยุนก็ห้ามเจ้าสีนิลไม่ให้ลงไปในบ่อหิน ที่ตอนนี้แผนผังแปดทิศที่ก้นบ่อได้หายไปแล้ว
ทั้งคู่กลับมาตรงที่ตู้กู่โม่และเจ้าขาวปุยนอนขดอยู่ หลิงหยุนเรียกกระบี่ในมือของตู้กู่โม่เข้าไปเก็บไว้ในแหวนพื้นที่ ก่อนที่จะใช้มือขวาหนีบร่างของเขาไว้ใต้รักแร้ ส่วนมือซ้ายก็อุ้มเจ้าขาวปุยขึ้นมา
“สีนิล.. ไปที่ประตูศิลากัน!” หลิงหยุนขึ้นขี่ร่างของเจ้าสีนิล และให้เจ้าสีนิลเลื้อยเข้าประตูศิลาทางซ้ายมือ
จุ่ๆร่างของเจ้าสีนิลก็หยุดนิ่งไปเฉยๆ มันมองไปที่ประตูศิลาตรงกลางอย่างหวาดกลัว เพราะมันเพิ่งจะได้รับบาดเจ็บจากกระบี่ศิลา..
หลิงหยุนปลอบมันด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “สีนิล ค่ายกลแห่งนี้ได้ถูกข้าทำลายไปแล้ว อีกอย่าง.. ประตูนี้ก็เป็นทางเดียวที่จะพาพวกเราออกไปจากที่นี่ และมันจะทำร้ายเจ้าไม่ได้อีกแล้ว!”
หลังจากนั้น หลิงหยุนก็ลูบหัวเจ้าสีนิลอย่างอ่อนโยน และกระตุ้นให้มันเข้าไปภายในประตูศิลา..
หลิงหยุนเองก็ไม่รู้ว่าภายในประตูศิลแห่งนี้จะมีอะไร แต่ในเมื่อถ้ำทั้งหกที่เคยเป็นเส้นทางเข้ามาที่นี่ได้หายวับไปอย่างน่าอัศจรรย์แล้ว จึงเหลือประตูนี้เพียงบานเดียวที่จะเป็นทางออกได้
เจ้าสีนิลลังเลครู่หนึ่ง แต่ในที่สุดมันก็รีบพุ่งออกไปจากประตูศิลาทันที!
ช่างแตกต่างจากมนุษย์ ความมืดกลับไม่มีอิทธิต่อมันแม้แต่น้อย เจ้าสีนิลจึงสามารถเคลื่อนที่ไปได้อย่างรวดเร็ว
ประตูศิลาแห่งนี้ไม่ใช่ห้องศิลา แต่มันคือถ้ำที่มีขนาดยาว โค้งและชัน ไม่มีทางแยก และไม่มีอันตรายอะไร..
ในไม่ช้า หลิงหยุนก็สัมผัสได้ถึงแรงลม และความเย็นสดชื่นของภูเขา อีกทั้งยังเต็มไปด้วยพลังชีวิต
ภายในถ้ำเริ่มสว่างขึ้น แม้มันจะยังคงมืดอยู่ แต่ก็ไม่ใช่ความมืดมิดสนิท แต่เป็นความมืดธรรมดาของยามค่ำคืน และท่ามกลางความมืดในยามค่ำคืนเช่นนี้ สำหรับหลิงหยุนคนปัจจุบันแล้ว สายตาของเขาสามารถมองเห็นได้ไม่แตกต่างจากเวลากลางวัน
หลิงหยุนสูดหลมหายใจเข้าไปอย่างสดชื่น.. เขารู้ว่าอีกไม่นานก็จะออกไปสู่หุบเขา หลิงหยุนไม่รู้ว่าตัวเองได้ลงมาที่นี่นานมากเท่าไหร่แล้ว.. หนิงน้อย เฉิงเม่ยเฟิง และใครๆคงจะกำลังร้อนใจ?
เจ้าสีนิลราวกับรู้ว่าเจ้านายของมันคงอยากจะออกไปจากถ้ำเต็มที มันจึงเร่งความเร็วอย่างสุดกำลัง และพุ่งไปตามแสงไฟที่อยู่ปากทาง!
บทที่ 331 : หม้อทองแดง
หลิงหยุนอยู่ในก้นหลุมมานาหลายวัน เมื่อจะได้กลับออกไปข้างนอก จึงรู้สึตื่นเต้นเป็นพิเศษ เขาเกือบจะร้องตะโกนออกมาระหว่างที่นั่งอยู่บนหลังของเจ้าสีนิล
มันคือช่วงเวลาใกล้ค่ำ.. ความมืดของยามค่ำคืนเน้นให้เห็นแสงระยิบระยับของดวงดาว และดวงจันทร์ที่อยู่บนฟากฟ้าได้อย่างชัดเจน หลิงหยุนกำลังโคจรดารกะดายัน และพลังจันทราก็กำลังถ่ายเทเข้าสู่ร่างกายของเขา ทำให้ร่างทั้งร่างของหลิงหยุนเปล่งประกายสดใส..
ในเวลานี้.. ภายในร่างกายของหลิงหยุนคล้ายเกิดการระเบิดปังขึ้น และดารกะดายันของเขาก็ทะลุทะลวงเข้าสูงขึ้นไปอีกสามระดับย่อย เรียกได้ว่าตอนนี้หลิงหยุนได้ผ่านระดับย่อยๆมาทั้งหมดสิบเอ็ดระดับแล้ว!
“ช่างรวดเร็วอะไรเช่นนี้?!”
หลิงหยุนทั้งมีความสุขและทั้งตกใจไปพร้อมๆกัน นั่นเพราะว่าหากดารกะดายันของเขาสามารถทะลุทะลวงได้พร้อมกันทีเดียวถึงสามระดับย่อย จะส่งผลให้เขาสามารถเข้าสู่ดารกะดายันขั้นสามได้อย่างรวดเร็ว!
และนี่คือความสำเร็จของวิชาลับหยินหยาง ที่ได้ดูดซับเอาพลังชีวิตจากน้ำลายมังกรจำนวนมาก พลังสุริยัน พลังจันทรา และพลังดวงดาวเข้าไปในเวลาเดียวกันและพร้อมๆกัน
แต่จะว่าไปแล้ว.. ทั้งหมดที่เกิดขึ้นล้วนเป็นผลมาจากค่ายกลมังกรหยินหยางแห่งนั้นนั่นเอง ทำให้เมื่อร่างกายปะทะเข้ากับดวงจันทร์และดวงดาวในธรรมชาติ ดารกะดายันของหลิงหยุนจึงสามารถก้าวหน้าขึ้นได้อย่างรวดเร็ว
ร่างกายของหลิงหยุนในเวลานี้ปกคลุมไปด้วยแสงของดวงดาวระยิบระยับ แต่กระแสยังคงอ่อนจึงไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
หุบเขาแห่งนี้สวยงาม อีกทั้งยังเงียบสงัด เสียงน้ำไหลช่างไพเราะและน่าฟัง..
สายลมบางเบาพัดกระทบใบหน้าของหลิงหยุน ดอกไม้และต้นไม้หายากหลากหลายชนิดเจริญงอกงาม พลังชีวิตที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยละล่องเข้าสู่ร่างกายของหลิงหยุน รูขุมขนบนร่างกายเปิดกว้างพร้อมรับอย่างปิติ
ท้องฟ้าแจ่มใส เมฆหมอกและดอกไม้แปลกตารายล้อมรอบตัวหลิงหยุน ให้ความรู้สึกราวกับอยู่ในดินแดนแห่งเทพนิยาย อีกทั้งยังรู้สึกราวกับได้กลับไปยังโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ ที่ที่มีพลังชีวิตหนาแน่นสมบูรณ์กว่าที่ใหนๆ
หลิงหยุนมองดอกไม้และต้นไม้ที่มีอยู่มากมาย เขาจำได้ว่ามันล้วนแล้วแต่เป็นสมุนไพรที่ให้พลังชีวิต
หลิงหยุนได้แต่ตกตะลึง! ที่นี่ไม่ใช่หุบเขาที่อยู่ระหว่างเขามังกรกับเขาหยกด้านใต้อย่างที่เขาคิด!
สถานที่แห่งนี้มีผาชันอยู่รอบๆหุบเขา มีต้นไม้ใบหญ้าที่เขียวชะอุ่ม และดูเหมือนว่ายอดเขาแห่งนี้จะสูงกว่าเขามังกรและเขาหยกด้านใต้เสียอีก ต้นไม้บนยอดเขานี้ก็เขียวชะอุ่มกว่ามาก และดูเหมือนว่าจะไม่มีผู้คนเข้ามาที่แห่งนี้เนิ่นนานมากแล้ว
“นี่ข้าอยู่ห่างจากเมืองจิงฉูกี่พันไมล์กันแน่?!”
แต่หลิงหยุนก็ไม่ประหลาดใจอยู่นานนัก เขากำลังคิดว่าที่นี่ก็น่าจะเป็นอีกฉากหนึ่งที่ยอดฝีมือผู้น่าเกรงขามซึ่งเป็นผู้สร้างค่ายกลมังกรหยินหยางนั้น เป็นผู้สร้างขึ้นมา..
แม้หลิงหยุนจะมีความได้เปรียบบที่มาจากโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ แต่หลังจากที่เขาได้ทำการหมุนก้อนหินที่อยู่ในสัญลักษณ์ไท่จี๋ที่ก้นบ่อ ก็ปรากฏภาพอัศจรรย์ต่างๆยิ่งกว่าที่เขาเคยเห็นในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่เสียอีก
ยอดฝีมือในอดีตผู้ยิ่งใหญ่ท่านนั้น กำลังภายในของเขาคงต้องผ่านขั้นอมตะ หรือขั้นเซียนในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่แล้วอย่างแน่นอน!
หลิงหยุนหันไปมองเจ้าขาวปุยที่อยู่ด้านของตนเอง จากนั้นจึงค่อยๆวางร่างของตู้กู่โม่ และร่างของเจ้าขาวปุยลงบนพื้น ก่อนจะเดินตรงไปยังเสาหินที่อยู่ไกลออกไป
ตอนนี้พู่กันจักรพรรดิได้เข้าไปอยู่ในหว่างคิ้วของเขา ส่วนสมุดจักรพรรดิก็เข้าไปอยู่ที่จุดตั้นเถียน หลิงหยุนจึงไม่สามารถนำมันออกมาใช้ได้ จึงต้องใช้กระบี่โลหิตแดนใต้ หรือกระบี่มังกรขาวแทน
แต่ภายในสถานที่แห่งนี้ หลิงหยุนไม่กล้าที่จะหยิบกระบี่มารอย่างกระบี่โลหิตแดนใต้ออกมาใช้ เพราะเขาสัมผัสได้ถึงพลังเต๋าที่รุนแรง..
หากเขาหยิบกระบี่โลหิตแดนใต้ออกมา เกรงว่าจะได้รับการต่อต้านจากพลังเต๋า และอาจถูกโจมตีกลับได้ ซึ่งหลิงหยุนเองก็ไม่ต้องการที่จะเสี่ยง
บ้านศิลาที่ดูแปลกตาหลังนี้ ดูเหมือนจะมีเพียงแค่สองห้อง หลิงหยุนเดินสำรวจไปรอบๆบ้าน
บ้านศิลาหลังนี้มีดอกไม้ พืชพรรณแปลกตา และหญ้าที่สูงกว่าหนึ่งเมตรขึ้นอย่างแน่นหนาจนเต็มรอบบ้านไปหมด และไม่รู้ว่าขึ้นมาเนิ่นนานเท่าไหร่แล้ว มันขึ้นหนาแน่นจนขนาดที่ว่าหากผู้ใดสวมเสื้อผ้าหนาเข้ามา คงจะไม่สามารถเดินผ่านต้นไม้เหล่านี้ไปได้อย่างแน่นอน เพราะคงจะเคลื่อนไหวได้อย่างลำบาก
แต่ตอนนี้หลิงหยุนอยู่ในสภาพร่างกายเปลือยเปล่า และกำลังโคจรดารกะดายัน จึงไม่รู้สึกเจ็บปวดกับร่างที่เสียดสีกับต้นไม้เหล่านั้น
“พลังที่นี่ช่างรุนแรงนัก!”
หลิงหยุนอุทานออกมาเบาๆ เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังพุทธะที่แข็งแกร่งรอบบ้านศิลาแห่งนี้ ที่ดูเหมือนจะเทียบเท่าพลังพุทธะที่กระจายออกมาจากร่างของหลวงจีนชรา แม้พลังจะรุนแรงแต่ก็อ่อนโยนทำให้หลิงหยุนรู้สึกสบาย
“ดูเหมือนจะไม่มีอันตรายอะไร..” หลิงหยุนไม่รู้สึกถึงอันตรายใดๆ เขาจึงเก็บกระบี่มังกรขาว และเดินตรงเข้าไปในบ้านศิลาเหมือนคนธรรมดาคนหนึ่ง เขามองสำรวจไปรอบๆแต่ก็ไม่พบอะไร
แต่หลิงหยุนไม่ย่อท้อ เขาเดินออกมาสำรวจบริเวณรอบๆบ้านอีกครั้งว่าจะพบเจออะไรใหม่ๆอีกหรือไม่?
เคล้ง!
หลิงหยุนรู้สึกว่าเท้าข้างขวาของเขาไปกระแทกกับของแข็งบางอย่างเข้า เขาตกใจมากและรีบแหวกหญ้าออกดู..
“นี่มันอะไรกัน? สนิมที่ขึ้นก็ดูแปลก..” หลิงหยุนเห็นวัตถุรูปเกือกม้าที่เปื้อนไปด้วยโคลน และมันคือสิ่งที่เขาเดินเตะเมื่อครู่นี้
หลิงหยุนเอื้อมมือออกไปหยิบขึ้นมาดู เขาออกแรงสุดกำลังเพื่อดึงมันขึ้นมา!
พื้นโคลนนิ่มได้กลายเป็นพื้นดินอัดแน่นเล็กน้อย เขาสังเกตุเห็นว่าพื้นดินมีคราบโลหะผสมกับสนิม และพบว่ามันเป็นโลหะประเภททองแดง
“ดูเหมือนว่ามันจะเป็นชิ้นส่วนของวัตถุบางอย่างที่ทำจากทองแดง” หลิงหยุนขุดลึกลงไปในดินอีก เขารู้สึกตื่นเต้นเมื่อเห็นว่ามันคืออะไร
“นี่.. นี่มันดูเหมือนขาตั้ง!” เพียงแค่เห็นหลิงหยุนก็มั่นใจว่ามันต้องเป็นหม้อที่ทำจากทองแดง!
หลิงหยุนตื่นเต้นดีใจอย่างที่สุดที่ได้พบของแบบนี้ เพราะมันจะทำให้เรื่องการปรุงยาของเขาในวันข้างหน้าสะดวกมากยิ่งขึ้น ดีกว่าที่จะต้องไปใช้หม้อโลหะใบเล็กๆเหมือนปัจจุบัน
หลิงหยุนรู้สึกเบื่อหน่ายกับหม้อโลหะใบเล็กๆพวกนั้นมานานแล้ว เขารีบใช้มือขุดลงไปดู และดึงออกมาทั้งชิ้น
หม้อทองแดง..! แม้จะขึ้นสนิมและดูเก่ามาก แต่ก็ยังคงความสวยงาม
หม้อทองแดงใบนี้ถูกแกะสลักไว้ แต่ก็ถูกโคลนดำและสนิมปิดบังไว้ จนหลิงหยุนเองก็มองได้ไม่ชัดเจน
“หนักมากจริงๆ! นี่มันหนักกว่าน้ำเต้าที่บรรจุน้ำลายมังกรเสียอีก หลิงหยุนออกแรงยกขึ้นมาจากโคลน และมาวางไว้บนพื้น”
หม้อทองแดงใบนี้มีขนาดใหญ่มาก และมีเส้นผ่าศูนย์กลางจากหูจับข้างหนึ่งไปถึงหูจับอีกข้างหนึ่งก็ราวเจ็ดสิบหรือแปดสิบบเซ็นติเมตร และสูงราวแปดสิบเมตร
“ช่างเหมาะสำหรับนำมาปรุงยายิ่งนัก” หลิงหยุนชื่นชอบอย่างมาก
“ไม่สิ.. มันต้องมีฝาปิดด้วย..” หลิงหยุนเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าหม้อสามขาใบนี้ไม่มีฝาปิด เขารีบกระโดดลงไปในหลุม และขุดดูรอบๆ
หลิงหยุนใช้มือขุดลึกลงไปอีกหนึ่งเมตร ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้กระบี่มังกรขาวฟันลงไปในโคลนสีดำแทน แต่ท้ายที่สุดก็ไม่พบฝาของมัน
“ขาตั้งก็อยู่ใกล้ๆกับหม้อ เหตุใดจึงไม่พบฝาของมัน” เมื่อไม่สามารถหาฝาพบหลิงหยุนจึงรู้สึเสียดายเล็กน้อย
“หรืออาจจะไม่มีผา หรือไม่ก็มีแต่ไม่ได้อยู่ที่นี่..”
หลิงหยุนยังคงสำรวจต่ออีกสองสามรอบ แต่เมื่อไม่พบเขาจึงล้มเลิก
“ก่อนอื่นคงต้องจัดการล้างโคลนนี่ออกก่อน..”
หลิงหยุนก้มลงไปหยิบหม้อขึ้นมา.. จากนั้นก็เดินออกจากบริเวณบ้านศิลากลับไปหาตู้กู่โม่และเจ้าขาวปุย เมื่อพบว่าทั้งคู่ยังคงนอนสลบไสล หลิงหยุนจึงได้แต่ยิ้ม
เขาเดินตรงไปที่น้ำพุพร้อมกับพูดกับเจ้าสีนิลที่กำลังเล่นน้ำอย่างสนุกสนานอยู่ว่า “ฉีดน้ำให้ข้าหน่อย!” เขาพูดพร้อมกับชี้ไปที่หม้อทองแดงในมือ
เจ้าสีนิลเลื้อยเล่นอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เลื้อยไปรัดร่างของหลิงหยุนไว้ แล้วจัดการฉีดน้ำใส่ตัวหลิงหยุนและตัวของมันเอง
เมื่อเห็นว่าเจ้าสีนิลช่างดื้อนัก หลิงหยุนก็ได้แต่ส่ายหน้า พร้อมกับชี้ไปที่หม้อทองแดงอีกครั้ง แล้วพูดขึ้นว่า “ไม่ใช่ข้า.. ที่หม้อนี่!”
เจ้าสีนิลพ่นน้ำใส่หม้อทองแดง และหลิงหยุนก็เริ่มขัดถูทำความสะอาด
ส่วนที่เป็นสนิมยังไม่สามารถขัดออกได้ หลิงหยุนจึงยังไม่มีโอกาสได้เห็นลวดลายและอักษรที่แกะสลักอยู่บนหม้อทองใบนี้
หลิงหยุนสำรวจหม้อและขาตั้งของมันอย่างละเอียดอยู่นาน พร้อมกับครุ่นคิดว่ามันมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แต่ในที่สุดก็ล้มเลิกที่จะหาคำตอบชั่วคราว
“แค่นี้ก็เพียงพอกับการปรุงยาแล้วล่ะ น่าจะใช้ได้แล้ว..”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับจัดสถานที่ภายในแหวนพื้นที่ และจัดการเรียกหม้อทองแดงใบใหญ่เข้าไปเก็บไว้ด้านใน และมันก็กินพื้นที่ถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์ของแหวนพื้นที่ หลิงหยุนจัดการใส่ทุกอย่างลงไปในนั้น
“ที่นี่มีสมุนไพรที่ให้พลังชีวิตอยู่มากมาย.. ที่นี่นับว่าเป็นขุมทรัพย์สมุนไพรขนาดใหญ่เลยทีเดียว แต่น่าเสียดายที่ข้านำกลับไปด้วยไม่ได้..”
หลิงหยุนกำลังคิดว่าในวันข้างหน้า หากเขาฝึกถึงขั้นที่สามารถปรุงยาได้แล้ว เขาจะกลับมาที่นี่อีกครั้ง
หลิงหยุนไม่ได้อาบน้ำมาหลายวัน เขาจึงลงไปเล่นน้ำพุกับเจ้าสีนิล และทำการชำระล้างร่างกาย จากนั้นก็เดินไปหาตู้กู่โม่ และวางกระบี่ของเขาไว้ข้างตัว
แม้ตู้กู่โม่จะไม่ได้ครอบครองสมุดจักรพรรดิ แต่ก็ได้รับประโยชน์มากมายกลับไป ไม่เพียงได้แค่น้ำลายมังกร เขายังได้รับพลังอมตะมากมาย ได้ยินเสียงระฆังกังวาน และเสียงมรรคาแห่งเต๋า เพียงแค่นี้ก็เพียงพอที่จะใช้ไปจนชั่วชีวิตแล้ว
ในเวลานั้นเอง หลิงหยุนก็หันไปมองเจ้าขาวปุย มันลืมตาขึ้นมองหลิงหยุนช้าๆ มันรู้สึกตัวได้เร็วกว่าตู้กู่โม่
พรึบ!
เจ้าขาวปุยตื่นขึ้นมา และหางที่สามของมันก็งอกต่อหน้าหลิงหยุน ไม่แตกต่างจากหางทั้งสอง ที่โบกสะบัดไปมาอยู่กลางอากาศ!
บทที่ 332 : ความลับที่ยิ่งใหญ่!
หางที่สามของสุนัขจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางได้งอกออกมาแล้ว พลังชีวิตในตัวของมันก็เพิ่มสูงขึ้นทันทีด้วย อีกทั้งยังเข้มข้นกว่าพลังชีวิตจากสมุนไพรที่นี่เสียอีก!
เจ้ามังกรน้อยที่กำลังเล่นน้ำพุอยู่อย่างสนุกสนาน จู่ๆก็เกิดอาการหวาดกลัวขึ้นมา มันรีบเลื้อยไปหลบอยู่ด้านหลังกอหญ้าที่สูงใหญ่ และไม่กล้าปรากกฏตัวออกมาอีกเลย!
และนี่คือความแข็งแกร่งของจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางหลังจากหางที่สามได้งอกออกมาแล้ว! ในขณะที่มันยังมีเพียงแค่สองหางนั้น ก็ไม่ได้สร้างความหวาดกลัวให้กับเจ้ามังกรน้อยแม้แต่นิดเดียว แต่เมื่อหางที่สามของมันงอกออกมา เจ้าสีนิลมังกรน้อยก็ถึงกับหวาดกลัวจนต้องหนีไปซ่อนไม่ให้เห็นแม้แต่เงา!
หลิงหยุนรู้ดีว่าหางที่สามของเจ้าขาวปุยนั้นเพิ่งจะเริ่มงอกเท่านั้น และยังต้องอาศัยระยะเวลาอีกสักพักกว่าที่หางของมันจะเติบโตเต็มที่ จนพร้อมที่จะเข้าสู่ขั้นตอนการกลายร่างเป็นมนุษย์ และต้องเผชิญกับด่านทดสอบที่เหี้ยมโหด ดังนั้นตอนนี้จึงไม่มีอะไรต้องกังวลนัก
หลังจากที่มันได้ติดตามหลิงหยุนลงไปสำรวจก้นหลุมยักษ์ในครั้งนี้ เจ้าขาวปุยเองก็ได้รับประโยชน์อย่างมากมายจนทำให้ก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ยังน้อยกว่าตู้กู่โม่ที่ได้ประโยชน์มากกว่านัก ไม่เพียงแค่กำลังภายในของเขาก้าวหน้าขึ้นหลังจากที่ดื่มน้ำลายมังกรเข้าไป แต่ยังได้รับพลังอมตะเข้าไปอีกครั้ง และยังมีโอกาสได้ฟังเสียงมรรคาแห่งเต๋าที่กังวาลใสอีกด้วย..
หากไม่ได้รับพลังชีวิตที่มากพอ เจ้าสุนัขจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางจะเติบโตได้ช้ามาก และต้องใช้เวลานานหลายปีกว่าจะโตเต็มที่ แต่ตอนนี้ไม่เพียงเจ้าขาวปุยจะได้รับพลังชีวิตเข้าไปอย่างมากมาย แต่มันยังได้รับพลังอมตะเข้าไปอีกด้วย!
ทันทีที่เจ้าขาวปุยรู้สึกตัว.. มันก็กระพริบตาถี่ และจิตใต้สำนึกของมันก็ต้องการมองหาหลิงหยุนก่อนสิ่งอื่น แต่เมื่อมันเห็นหลิงหยุนยืนอยู่ในสภาพเปลือยกายเช่นนั้น ใบหน้าที่มีเสน่ห์แสนหวานของมันก็ยิ้มออกมาอย่างอายๆ สุนัขจิ้งจอกที่กำลังเอียงอายคล้ายกับมนุษย์ หลิงหยุนเองก็เพิ่งเคยจะเห็นมาก่อน..
หากมันกลายร่างเป็นมนุษย์เมื่อไหร่แล้วล่ะก็ เจ้าขาวปุยจะต้องกลายเป็นหญิงสาวที่สวยงามจนไม่อาจหาคำพูดมาอธิบายได้อย่างแน่นอน
นี่น่ะเหรอสุนัขจิ้งจอก.. สุนัขจิ้งจอกเก้าหาง!
ดวงตาคู่สวยของเจ้าขาวปุยมองหลิงหยุนอย่างเอียงอาย แต่ก็ไม่กล้าที่จะมองเต็มตา จึงได้แต่จับจ้องที่ใบหน้าของหลิงหยุนแทน หลิงหยุนเองที่เห็นสายตาของมันยังรู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาเช่นกัน พร้อมกับแอบคิดในใจว่า
‘นี่นอกเหนือจากรูปร่างที่ใช่มนุษย์จริงๆ เจ้าขาวปุยก็รู้เรื่องทุกอย่างไม่ต่างจากหญิงสาวคนหนึ่ง ข้าคงไม่สามารถปฏิบัติกับมันราวกับสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งได้อีกแล้วสินะ..”
ใบหน้าของหลิงหยุนเริ่มมีอาการอึดอัด และจู่ๆก็รีบเอามือปิดของสงวนของตัวเองไว้ แล้วก็รีบเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อย
“ขาวปุย.. อย่าจ้องมองข้าแบบนั้น? รีบไปตามเจ้ามังกรน้อยกลับมาให้ข้า.. เร็วเข้า!”
หลิงหยุนรีบหางานให้กับเจ้าขาวปุยทำ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองหาใบไม้เพื่อมาทำเป็นที่ปิดบังของสงวนของเขา..
ระหว่างที่มองหานั้น หลิงหยุนก็มองไปเห็นตู้กู่โม่ที่นอนสลบไสลอยู่บนพื้น พร้อมกับมองเสื้อคลุมที่มีคราบเลือดและคราบสกปรกที่เขาสวมอยู่
“เหตุใดเจ้ายังคงหลับอยู่อีก..” หลิงหยุนขมวดคิ้วเล็กน้อย และอดคิดไม่ได้ว่าตู้กู่โม่มีกำลังภายในอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-9 แต่เหตุใดจึงยังคงนอนหลับไหลไม่ได้สติจนถึงตอนนี้
หลิงหยุนรู้ว่าไม่ควรขยับตัวตู้กู่โม่อีก เพราะนี่ไม่ใช่อาการบาดเจ็บแต่อย่างใด การสลบไสลของเขานั้นเป็นเพียงแค่อาการ และเป็นโอกาสที่จะสามารถบรรลุได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับพรสวรรค์และความเข้าใจในธรรมชาติของตัวตู้กู่โม่เองด้วย
เวลานี้ ดวงดาวบนท้องฟ้าก็ได้สลายหายไป ท้องฟ้าตอนนี้เปลี่ยนเป็นสีขาว และท้องฟ้าก็สว่างไสวยิ่งกว่าที่เคย
หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่ในใจว่านี่มันกี่วันเข้าไปแล้วที่เขาลงมาที่นี่?
หากคำนวนจากเวลาของตู้กู่โม่ที่บอกว่าวันนั้นเป็นช่วงเย็นของวันที่ 10 เมษายน ตอนนี้ก็ผ่านมานานมากแล้ว อย่างน้อยวันนี้ก็น่าจะเป็นวันที่ 12 เมษายน?
“อะไรนะ?! วันนี้เป็นวันที่ 12 เมษายนงั้นรึ..? เป็นวันเกิดหนิงน้อยนี่นา! ข้าต้องไปงานวันเกิดของนาง ไม่เช่นนั้นยัยเด็กปีศาจนั่นต้องเอาข้าตายแน่?!”
หลิงหยุนลงมาที่ก้นหลุมยักษ์ในวันที่ 6 เมษายน แต่ออกจากหลุมยักษ์อีกทีในวันที่ 12 เมษายน ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะใช้เวลาอยู่ที่ก้นหลุมนานถึงเพียงนี้!
เมื่อวันที่เสี่ยวเม่ยหนิงไปหาหลิงหยุนที่บ้านด้วยความขุ่นเคืองนั้น เธอก็ได้ย้ำกับหลิงหยุนหลายครั้งว่า เขาจะต้องไปงานเลี้ยงวันเกิดของเธอ และหลิงหยุนเองก็ได้รับปากเธอทุกครั้ง.. เขาจึงจำได้แม่นยำ!
“ฟ้าดิน.. ขออย่าให้วันนี้เป็นเช้าวันที่สิบสามเลย..”
หลิงหยุนมองขึ้นไปบนยอดเขารอบๆหุบเขาใกล้ๆ เขารู้สึกว่าที่นั่นสูงกว่าที่นี่อย่างน้อยก็สองกิโลเมตร ส่วนลูกที่สูงที่สุดนั้นน่าจะสูงราวสามพันเมตร เขาได้แต่ใคร่ครวญระยะทางอยู่ในใจเงียบๆ พร้อมกับครุ่นคิดว่าที่นี่คือที่ใหน?
หลิงหยุนไม่ได้รู้สึกลัวหรือกังวลว่าจะออกไปจากที่นี่ไม่ได้ เพราะด้วยความสามารถของตู้กู่โม่ ต่อให้เป็นหน้าผาไป่จ้างที่ว่าสูงนักหนา ก็สามารถปีนได้อย่างง่ายดาย
“นี่..” ในที่สุดตู้กู่โม่ก็ตื่นขึ้นมา และทำเสียงอู้อี้พร้อมกับลืมตาขึ้น
“พวกเราอยู่ที่ใหน? แล้วสมุดจักรพรรดิล่ะ เจ้าเห็นมันหรือไม่?” ตู้กู่โม่ลืมตามาก็ตั้งคำถามมากมาย
“ยอดเขาแห่งนี้ช่างดูคุ้นเคยนัก.. นี่พ่อยอดคนแห่งสำนักหมอสวรรค์ เจ้ากำลังทำอะไรอยู่? กำลังเล่นเป็นชีเปลือยอยู่ในเขาลึกหรือยังไง?”
ดวงตาทั้งคู่ของตู้กู่โม่ที่จ้องมองส่วนล่างของหลิงหยุนนั้นเต็มไปด้วยความประหลาดใจ พร้อมกับคิดในใจว่า
‘เจ้านั่นของเจ้าเด็กคนนี้ เหตุใดจึงช่างใหญ่โตนัก? นั่นมันใหญ่โตเกินไปแล้ว?!’
หลิงหยุนถามขึ้นทันที “ตื่นได้แล้วเหรอ?” จากนั้นก็ส่ายหน้าพร้อมกับยิ้มให้ตู้กู่โม่แล้วพูดขึ้นว่า
“เล่นเป็นชีเปลือยบ้าอะไรกัน? นายนอนหลับอุตุเหมือนหมู แต่ฉันสิ.. ต้องยืนแก้ผ้าตากลมอยู่ที่นี่คนเดียวมานานกว่าชั่วโมงแล้ว!”
“รีบๆถอดเสื้อคลุมของนายมาให้ฉันเร็วเข้า!” หลิงหยุนเดินเข้าไปหาตู้กู่โม่เพื่อถอดเสื้อคลุมของเขาออก
“นี่.. เจ้าจะถอดเสื้อคลุมของข้าไปไม่ได้ มันเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวข้า..” ตู้กู่โม่ดิ้นรนไม่ยอมให้หลิงหยุนถอดเสื้อคลุมของเขาออก
เสื้อคลุมตัวนี้ตู้กู่โม่สวมมันมานานกว่าสามปีแล้ว และตลอดสามปีนี้เขาก็ไม่เคยถอดไปซักเลยสักครั้ง เรียกได้ว่าถ้าถอดออกมาก็สามารถตั้งกับพื้นได้เลย เขามองว่าเสื้อคลุมนี่เป็นสัญลักษณ์ของยอดฝีมือที่ล้ำเลิศ
ทั้งคู่ทะเลาะกอดฟัดกันราวกับเด็ก แต่ตู้กู่โม่ก็สู้แรงของหลิงหยุนไม่ได้ ในที่สุดหลิงหยุนก็ถอดเสื้อคลุมของตู้กู่โม่ออกมาจนได้
แต่ก็ยังโชคดี.. เพราะถึงแม้ตู้กู่โม่จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และดูตลกเมื่อไม่ได้สวมเสื้อคลุม แต่ก็ยังดีที่เขาไม่ต้องเปลือยร่างเป็นชีเปลือยเหมือนหลิงหยุน
หลิงหยุนไม่สนใจ และรีบสวมเสื้อคลุมของตู้กู่โม่อย่างถือวิสาสะ แต่ถึงแม้จะสวมเสื้อคลุมแล้ว เขาก็ยังรู้สึกได้ถึงความเย็นของร่างกายส่วนล่าง แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่ได้ปิดบังของสงวนจากสายตาของเจ้าขาวปุย
“นี่พวกเราอยู่ที่ใหนกัน? ที่นี่มีสมุนไพรพลังชีวิตอยู่มากมาย ว่าแต่เจ้าพบสมุดจักรพรรดิบ้างไม๊?!”
หลิงหยุนพูดหน้าตาเศร้าสร้อย “สมุดจักรพรรดิบ้าบออะไรกัน? พวกเราดันไปเปิดค่ายกลจักรวาลเข้าน่ะสิ แล้วค่ายกลนั่นก็พาพวกเรามาที่นี่ นายไม่เห็นหรือไงว่าพวกเราทั้งหมดไม่ได้อยู่ในถ้ำแล้ว..”
หลิงหยุนยกมือขึ้นชี้ไปทางที่พวกเขาออกมา เรื่องอื่นๆตู้กู่โม่เองก็รู้เห็นเองกับตาแล้ว ส่วนเรื่องสมุดจักรพรรดิ และพู่กันจักรพรรดินั้น เขาไม่สามารถบอกตู้กู่โม่ได้จริงๆ
การฝึกพลังลับหยินหยาง การใช้พลังหยินหยางเปิดสัญลักษณ์ไท่จี๋ พู่กันจักรพรรดิที่พุ่งออกจากแหวนพื้นที่และพุ่งเข้าไปในหว่างคิ้วของเขา สมุดจักรพรรดิที่พุ่งเข้าสู่จุดตันเถียนของเขา อีกทั้งอักขระโบราณมากมายที่เปล่งประกายสีทองสดใส รวมถึงถนนดวงดาวที่พู่กันจักรพรรดิบรรจงร้อยขึ้น..
เรื่องราวเหล่านี้ล้วนเป็นความลับ และเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่และสำคัญสำหรับหลิงหยุนมาก!
ยิ่งไปกว่านั้น.. การที่สมุดจักรพรรดิพุ่งออกจากประตูศิลา และหายเข้าไปในจุดตันเถียนของเขานั้น เป็นการบ่งบอกที่ชัดเจนว่า หลิงหยุนคือเจ้าของของสิ่งของเหล่านี้ ต่อให้ผู้อื่นอยากจะแย่งชิงไป ก็คงไม่สามารถทำได้
และเหตุการณ์เหล่านี้ยิ่งกระตุ้นให้หลิงหยุนต้องการฝึกฝนให้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เพื่อที่เขาจะได้สามารถมีญาณเข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับจุดตันเถียนของเขากันแน่
ตอนนี้เขารับรู้ได้เพียงว่ามันมีพลังชี่หมุนเวียนอยู่ภายใน แต่มันก็เป็นเพียงพลังหยินและพลังหยางเท่านั้น ส่วนพลังอมตะที่อยู่ในร่างกายของเขานั้น ก็ยังคงอยู่เหนือการควบคุมของเขาอยู่ดี
“ค่ายกลจักรวาล.. ค่ายกลนี้มีพลังอำนาจมากมายเหลือเกิน แสงที่ทอประกายสวยงามเหล่านั้นคือแสงอะไรกัน? เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าตนเองได้เข้าสู่ขั้นเซียงเทียนแล้ว?”
ตู้กู่โม่ประหลาดใจอย่างมาก เขาอธิบายกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไม่ได้เลย กำลังภายในของเขาก้าวกระโดดอย่างไร้ขอบเขตหลังจากที่ดื่มน้ำลายมังกรเข้าไป เหตุการณ์หลังจากนั้นก็ดูวุ่นวายโกลาหล
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับถามตู้กู่โม่ว่า “นายได้ยินเสียงอะไรบ้างไม๊? ถ้าได้ยิน.. ได้ยินเสียงอะไรบ้าง แล้วจำอะไรได้บ้างไม๊?”
ตู้กู่โม่นึกใคร่ครวญ แล้วตอบอย่างไม่ลังเล “ดูเหมือนจะได้ยินเสียงหนึ่งก่อนที่ข้าจะเป็นลมสลบไป เสียงนั้นยังก้องอยู่ในใจของข้า แต่ข้ากลับไม่เข้าใจ ไม่รู้แม้แต่ว่ามันคือะไร..”
เสียงมรรคาแห่งเต๋านั้น กลับตราตรึงลงในจิตใจของหลิงหยุน เขายังไม่เข้าใจในตอนนี้ แต่รู้ว่าสิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่
หลิงหยุนยิ้มให้กับตู้กู่โม่แล้วพูดขึ้นว่า “ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน แต่มันน่าจะเป็นกฏสวรรค์! หรืออาจจะเป็นเนื้อหาในสมุดจักรพรรดิ มันน่าจะมีประโยชน์อย่างนายอย่างที่สุดสำหรับการฝึกฝนในวันข้างหน้า นายอย่าได้ลืมเด็ดขาดล่ะ!”
ตู้กู่โม่ทั้งตื่นเต้นและตกใจ “นั่นก็หมายความว่าเราได้สมุดจักรพรรดิแล้วสิ?!”
หลิงหยุนคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบกลับไปว่า “ก็เกือบจะใช่นะ..”
เจ้าขาวปุยไปตามจับเจ้าสีนิลมาจนได้ หลิงหยุนเห็นมันกำลังยืนอย่างภูมิใจอยู่บนหัวของเจ้าสีนิล ใบหน้าที่มีเสน่ห์ของเจ้าสุนัขจิ้งจอกเต็มไปด้วยความร่าเริง และสายตาที่กระตือรือร้น
“จิ้งจอกตัวนี้ช่างสวยงามนัก แล้วก็ยังมีถึงสองหางอีก.. แล้วเหตุใดเจ้างูเหลือมตัวนี้ถึงได้มีเขาอยู่บนหัว?”
ตอนนี้ท้องฟ้าสว่างไสว ตู้กู่โม่จึงมองเห็นเจ้าขาวปุยได้อย่างชัดเจน และอดที่จะชื่นชมไม่ได้ และสังเกตุเห็นเจ้าสีนิลมังกรน้อยด้วย
หลิงหยุนอธิบายให้ตู้กู่โม่ฟังว่าสีนิลไม่ใช่งูเหลือม แต่เป็นมังกรที่กำลังจะกลายร่าง และตอนนี้มันก็กลายร่างสำเร็จแล้ว และร่างกายก็เล็กลงเหลือเพียงแค่ห้าฟุต
“มิน่าเจ้าถึงได้ใช้เวลามากมายไปกับการพยายามรักษามัน ที่แท้มันก็เป็นมังกรนี่เอง..”
จู่ๆ ทั้งหลิงหยุน ตู้กู่โม่ เจ้าขาวปุย และเจ้าสีนิลต่างก็ได้ยินเสียงดังต่อเนื่องกันอยู่ทางหุบเขาด้านตะวันออก!
“แย่แล้ว..!! ข้าก็คิดอยู่ว่าที่นี่ช่างคุ้นตานัก ที่แท้ก็เป็นป่าดงดิบเสินหนงเจี๋ย!”
ตู้กู่โม่ร้องออกมา!
บทที่ 333 : หกสาวชาวป่า – ออกจากเสินหนงเจี๋ย
แสงรุ่งอรุณยามเช้าปรากฏขึ้น.. ทางด้านตะวันออกของหุบเขาแห่งหนึ่งซึ่งภูมิประเทศมีลักษณะสูงชันเล็กน้อย เป็นป่าทึบที่มีต้นไม้ขึ้นเขียวชะอุ่ม
ชายคนป่าผู้หนึ่งที่มีร่างกายสูงใหญ่ราวสองเมตร ยืนถัดไปจากต้นไม้ใหญ่ ร่างของเขาสูงใหญ่ และผมสีน้ำตาลแดงก็ยาวลงมาปกคลุมร่างกาย จมูกค่อนข้างโด่งและใบหน้าค่อนข้างน่าเกลียด กำลังจ้องมองหลิงหยุนด้วยสายตาดุร้าย และอยากรู้อยากเห็น
ตระกูลของตู้กู่โม่นั้นอยู่บนเทือกเขาเหิงต้วนที่กว้างใหญ่ไพศาล เป็นเทือกเขาที่ยาวที่สุดและกว้างใหญ่ที่สุดจากเหนือจรดใต้ของประเทศจีน ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นส่วนหนึ่งของที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบต
ตู้กู่โม่รักการเดินทางและการผจญภัยมาตั้งแต่เด็ก เขาไม่เพียงเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ด้านฝึกตน แต่วิทยายุทธของเขานั้นยังล้ำลึกอีกด้วย อีกทั้งยังเป็นคนหนึ่งที่ศึกษาเรื่องค่ายกลต่างๆ การทำนายโชคชะตาในแบบโบราณ และแผนผังแปดทิศ ที่เขาศึกษาเรียนรู้ทั้งหมดนั้น ก็เพื่อให้ตนเองสามารถท่องเที่ยวผจญภัยไปตามภูเขา และแม่น้ำที่มีชื่อเสียงต่างๆได้
ตู้กู่โม่สามารถเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-7 ได้ตั้งแต่อายุสิบสี่ปี จากนั้นก็เริ่มผจญภัยไปรอบๆเทือกเขาเหิงต้วนก่อน เขาจึงเคยพบเจอคนป่าตามแนวที่ราบสูงจิงฉี-ทิเบตมาแล้วหลายครั้ง
ระหว่างเทือกเขาเหิงต้วนและเสินหนงเจี๋ยนั้น คือมณฑลปาซันที่ตู้กู่โม่มักจะไปเล่นที่แม่น้ำอยู่บ่อยๆ อีกทั้งยังชอบวิ่งเล่นในป่าเสินหนงเจี๋ยแห่งนี้ด้วย เขาจึงคุ้นเคยกับเสินหนงเจี๋ยอย่างมาก
ตู้กู่โม่ตกใจมาก.. แต่ไม่ใช่เพราะเขาพบคนป่า แต่เพราะเขารู้ว่าเสินหนงเจี๋ยนั้นอยู่ทางเหนือของมณฑลหูเป่ยต่างหาก!
จากใต้ผืนดินของเขามังกรในเมืองจิงฉู มณฑลเจียงหนาน เขามาโผล่ที่ป่าเสินหนงเจี๋ยที่อยู่ทางด้านเหนือของมณฑลหูเป่ย แล้วจะไม่ให้เขาตกใจได้อย่างไรกัน?!
ตอนนี้ทั้งสองคน.. คนหนึ่งอยู่ในขั้นปรับร่างกาย-4 ส่วนอีกคนก็ดูเหมือนจะเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องพูดถึงกำลังภายในที่แข็งแกร่ง และการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว แน่นอนว่าทั้งคู่ย่อมมีฝีมือเหนือกว่าคนป่าอย่างแน่นอน
เพราะฉะนั้น ทั้งคู่จึงไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวคนป่านี้แม้แต่น้อย และตอนนี้สายตาของคนป่าที่จ้องมองพวกเขานั้น ก็ไม่ต่างจากกำลังจ้องมองสัตว์ในสวนสัตว์เลยแม้แต่น้อย
“เสินหนงเจี๋ยงั้นเหรอ? นี่พวกเรามาถึงมณฑลหูเป่ยเลยรึ?!” หลิงหยุนตกใจจนใจสั่น
ตอนนี้เรื่องภูมิศาสตร์หลิงหยุนคล่องหมดแล้ว ก่อนที่เขาจะลงไปสำรวจหลุมยักษ์ เขาได้ทำการศึกษาตำนานและเรื่องลี้ลับที่เกี่ยวกับประเทศจีน เขาจึงรู้จักเสินหนงเป็นอย่างดีว่าเป็นชื่อของจักรพรรดิแห่งผืนดิน เสินหนงใช้เวลาคิดค้นเรื่องสมุนไพรอยู่เป็นเวลานาน และมันก็เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษยชาติอย่างมาก!
ตู้กู่โม่ยกมือขึ้นชี้ไปที่ยอดเขาสูงสุดซึ่งอยู่ไกลออกไป “นั่นคือยอดเขาเสินหนงที่สูงที่สุด สูงถึงสามพันหนึ่งร้อยเมตร! ข้าขึ้นไปเที่ยวเล่นเมื่อปีที่แล้ว!”
จากนั้นตู้กู่โม่ก็ร้องขึ้นอย่างตกใจ “ตามตำนาน.. เสินหนงก็เป็นจักรพรรดิแห่งผืนแผ่นดิน แล้วจู่ๆพวกเราก็มาโผล่ที่นี่ หรือว่าสมุดจักรพรรดิจะอยู่ที่นี่?!”
ในเวลานั้นเอง จู่ๆคนป่าผู้นั้นก็กระโจนออกจากหลังต้นไม้ใหญ่ และกระโดดได้ไกลถึงเจ็ดแปดเมตร อีกทั้งยังมีความรวดเร็วว่องไวอย่างน่าอัศจรรย์! และปรากฏว่าเป็นหญิงชาวป่า..
“จากที่ข้าอ่านมา.. หญิงชาวป่าที่เสินหนงจะจับผู้ชายกลับไปเพื่อทำลูกให้พวกเธอ นายว่าเธอกำลังคิดจะทำแบบนั้นอยู่ไม๊?”
ตู้กู่โม่ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัว แต่กลับนึกขำคำพูดของหลิงหยุน..
ทันทีที่เขาพูดจบ หญิงชาวป่าก็เดินตรงมาหาพวกเขาทั้งคู่ พร้อมกับจ้องมองด้วยสายตาที่ไม่ต่างจากกระทิงดุ หญิงสาวมองตู้กู่โม่ และหลิงหยุน จากนั้นก็หันมาหยุดอยู่ที่ใบหน้าของหลิงหยุน พร้อมกับอ้าปากยิ้ม
“นี่พ่อยอดคน! ในเมื่อเจ้าหล่อเหลามากเหลือเกิน แล้วก็หล่อเหลากว่าข้ามากมายนัก งั้นก็ลองให้พวกนางจับเจ้าไป แล้วเจ้าก็ลองเล่นกับพวกนางดูหน่อยก็แล้วกัน..”
ตู้กู่โม่ชี้ไปที่หลิงหยุนพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง แต่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังกระหึ่มขึ้น ปรากฏว่าเพียงแค่พริบตาเดียว ก็มีหญิงชาวป่าอีกหลายคนปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าคนทั้งคู่ และล้อมพวกเขาไว้
แต่หลิงหยุนกลับไม่ใส่ใจ เขาร้องบอกตู้กู่โม่ “ตอนนี้มีมากกว่าหนึ่งแล้ว.. นายคงไม่รอดแล้วล่ะ?”
ตู้กู่โม่มองหลิงหยุนพร้อมกับตอบไปว่า “เจ้าไม่รู้อะไร? พวกนางต้องการมีลูก เจ้าหล่อเหลากว่าข้ามากนัก พวกนางไม่ต้องการข้าหรอก!”
แล้วก็เป็นอย่างที่ตู้กู่โม่พูดจริงๆ หญิงชาวป่าทั้งหกคนต่างก็ไม่สนใจตู้กู่โม่ พวกนางต่างพากันล้อมหลิงหยุนไว้ พร้อมกับอ้าปากใหญ่ๆและกรีดร้องออกมาอย่างดีใจ
“ท่าทางแบบนี้แปลว่าเลือกข้าแล้วใช่ไม๊?!” หลิงหยุนถึงกับอึ้ง
จากนั้น.. สาวชาวป่าคนหนึ่งก็ยื่นฝ่ามือที่มีขนาดใหญ่เท่าใบพัดออกมาให้หลิงหยุน..
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า.. นี่นางต้องการให้เจ้าไปนอนกับนางในถ้ำนะ นางไม่ได้ต้องการเงิน อย่าเข้าใจผิดล่ะ! ฮ่า ฮ่า!” ตู้กู่โม่ได้แต่หัวเราะเยาะและล้อเลียนหลิงหยุน
“หุบปากไปเลย..!! พวกนางต้องนอนกับนายต่างหาก..” หลิงหยุนรู้ว่านี่เป็นสัญชาติญาณและวิถีชีวิตตามธรรมชาติของพวกเธอ เขาไม่ต้องการทำร้ายหญิงสาวเหล่านี้ จึงได้แต่ใช้มังกรพรางร่างหนีออกจากวงล้อมของหญิงสาวทั้งหกคน
หญิงสาวชาวป่าทั้งหกที่กำลังดีใจราวกับได้เห็นดอกไม้แสนสวยที่อยู่ตรงหน้าพวกเธอ แต่จู่ๆ หลิงหยุนก็หายตัวไป และไม่รู้ว่าหายไปใหน
เมื่อพวกเธอหาหลิงหยุนไม่พบ จึงหันไปทางตู้กู่โม่แทน แต่ครั้งนี้พวกเธอเรียนรู้แล้วว่าตู้กู่โม่จะหนีไปเช่นเดียวกับหลิงหยุน จึงเพิ่มความรวดเร็วในการจู่โจมตู้กู่โม่
แต่ถึงอย่างนั้น.. พวกเธอก็ไม่สามารถเร็วไปกว่าตู้กู่โม่ที่เข้าสู่ขั้นเซียงเทียนแล้วได้ ร่างของเขาเคลื่อนที่ไปไกลถึงสิบเมตร ปล่อยให้พวกเธออยู่กับความว่างเปล่า..
“วันนี้คู่ต่อสู้เป็นหญิงสาวชาวป่า ข้าไม่ต้องการต่อสู้กับพวกเจ้า” ตู้กู่โม่หลบออกมาได้ก็เอาแต่หัวเราะ
หลิงหยุนอุ้มเจ้าขาวปุยยืนอยู่บนหลังของเจ้าสสีนิล ดูช่างสง่างามอย่างมาก หลิงหยุนตะโกนเร่งตู้กู่โม่ “เร็วเข้า.. รีบออกไปจากที่นี่กันได้แล้ว!”
“อะไรนะ?! แล้วจะไปที่ใหน? นายไม่ไปหาสมุดจักรพรรดิแล้วหรือไง?!” ตู้กู่โม่ร้องถาม
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า “ข้าเดินสำรวจดูทั่วแล้ว นอกจากหม้อทองแดงเก่าๆที่พบในบ้านศิลาหลังหนึ่ง ก็ไม่มีอะรอีก พวกเราไปกันได้แล้ว!”
ในวันข้างหน้าหลิงหยุนจำเป็นต้องใช้หม้อทองแดงนี้บ่อยครั้ง เขาจึงไม่ต้องการที่จะปิดบังตู้กู่โม่
“หม้อทองแดงงั้นรึ?! เจ้าว่าหม้อนั่นจะเกี่ยวอะไรกับตำนานเสินหนงหรือไม่?” ตู้กู่โม่ร้องตะโกนตามหลังหลิงหยุนไป
หลิงหยุนบอกกับเจ้าสีนิลให้พาพวกเขาไปทางด้านใต้ของหุบเขาแห่งนี้ แล้วจึงหันไปตอบตู้กู่โม่
“หม้อเสินหนง? นี่นายกำลังฝันหวานอะไรกัน!”
“ข้าไม่สนใจ! ไม่รู้ล่ะ.. เจ้าต้องแบ่งของที่ได้ให้กับข้าครึ่งหนึ่ง.. ว่าแต่.. เจ้ายืนบนหลังมังกรแบบนั้น ลมคงจะเย็นสดชื่นน่าดูสิท่า! ข้าขึ้นไปยืนเล่นบ้างจะได้ไม๊?” ตู้กู่โม่มองเจ้าสีนิลที่กำลังเลื้อยไปทางภูเขา ด้วยความรู้สึกอจิฉาจนอยากขึ้นไปยืนบ้าง
แต่เมื่อเห็นสายตาดุร้ายของเจ้าสีนิลที่หันกลับมามองด้วยความขุ่นเคือง ตู้กู่โม่ก็รู้สึกกลัวขึ้นมาทันที และไม่กล้าพูดเรื่องนี้อีก ได้แต่ใช้วิชาตัวเบาของตัวเองแทน
หลิงหยุนภูมิอกภูมิใจจนถึงกับต้องหัวเราะออกมา “เห็นไม๊.. ของบางอย่าง ถึงแม้ข้าจะให้เจ้า เจ้าก็ใช้ไม่ได้อยู่ดี เจ้ารู้ไม๊ว่าเพราะอะไร?”
ตู้กู่โม่เกาหัวพร้อมกับตอบไปว่า “ถึงใช้ไม่ได้ แค่มองก็ยังดี..”
หลิงหยุนดุตู้กู่โม่ “เจ้านี่เพ้อเจ้อ!” จู่ๆ เขาก็หันไปเจอสาวชาวป่าทั้งหกคนกำลังกระโดดเข้ามา เขาจึงร้องบอกเจ้าสีนิลเสียงดัง “สีนิลเร็วเข้า พวกนางตามมาทันแล้ว!”
จิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง และเจ้าสีนิลหันไปมองด้านหลัง เจ้าขาวปุยถึงกับถอนหายใจออกมาพร้อมกับวิ่งตามหลิงหยุนไป
หญิงชาวป่ายังคงไม่หมดหวัง พวกนางยังคงวิ่งตามหลิงหยุนไปอย่างรวดเร็ว แต่จู่ๆพวกนางก็รู้สึกว่าต้นไม้และก้อนหินกำลังเคลื่อนที่มาขวางไว้ จนไม่สามารถวิ่งตามทุกคนไปได้อีก
หญิงสาวชาวป่าทั้งหกกรีดร้องออกมาอย่างเสียดาย ที่ไม่สามารถวิ่งตามหลิงหยุนและคนอื่นๆไปได้
เจ้าขาวปุยได้ใช้วิชาลวงตาซึ่งเป็นวิชาที่สุนัขจิ้งจอกถนัดที่สุด!!
“ข้าว่าเสน่ห์ของเจ้าแรงเกินไป สาวชาวป่าทั้งหกคนไม่มีใครเลือกข้าเลย ข้ารู้สึกเสียใจและขาดความมั่นใจไปมาก..” ตู้กู่โม่พูดแหย่หลิงหยุน
หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ “นายจะเสียใจทำไม? ถ้านายกลับไปตอนนี้ รับรองว่าพวกนางยังคงรอนายอยู่แน่!”
ชายหนุ่มทั้งสองคนต่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา จากนั้นหลิงหยุนก็พูดขึ้นว่า “ฉันต้องกลับไปให้ถึงจิงฉูตอนเย็น แต่ไม่ได้เอาบัตรประชาชนมา ฉันต้องทำยังไง?”
สองสามวันนี้บัตรประชาชนของหลิงหยุนอยู่ที่ถังเมิ่ง เพราะต้องนำไปใช้ในการจัดการโอนรถแลนด์โรเวอร์ และจัดการเรื่องใบทะเบียนการค้าของคลีนิค จึงเป็นปัญหาใหญ่สำหรับหลิงหยุน..
“นายว่านี่มันวันที่เท่าไหร่แล้ว?” หลิงหยุนยังคงกังวลเรื่องวันเกิดของหนิงน้อย
ตู้กู่โม่ขมวดคิ้วพร้อมกับพูดขึ้นว่า “จากที่ข้าคำนวนดูแล้ว ต้องเลยวันที่ 11 มาแล้วแน่นอน วันนี้ก็น่าจะเป็นวันที่ 12 แต่ถ้าเจ้าไม่มีบัตรประชาชน ก็เป็นเรื่องใหญ่ เพราะไม่ว่าจะขึ้นเครื่องบิน หรือรถไฟ ก็ต้องใช้บัตรประชาชน เว้นแต่จะขับรถยนต์กลับไป..”
หลิงหยุนพูดขึ้นอย่างหมดหวัง “จากแผนที่.. เสินหนงอยู่ห่างจากจิงฉูอย่างน้อยก็สองพันไมล์ แล้วจะขับรถไปได้ยังไง?”
“สองพันไมล์ก็น่าจะใช้เวลามากกว่าสิบชั่วโมง? หรือไม่ก็ต้องใช้วิชาตัวเบาวิ่งกลับไป? แต่วิ่งไปได้แค่สองสามร้อยไมล์ก็จะหมดแรงน่ะสิ..”
หลิงหยุนและตู้กู่โม่สามารถวิ่งได้ด้วยความเร็วหลายร้อยไมล์ต่อชั่วโมง เรียกได้ว่าเร็วกว่ารถยนต์เสียอีก
แต่วิธีเหล่านี้ใช้สำหรับในการต่อสู้เท่านั้น แต่หากมาใช้วิ่งในระยะทางไกลหลายพันไมล์เช่นนี้ ต่อให้เป็นยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนก็ไม่น่าจะเป็นผลดี!
พูดง่ายๆก็คือว่า พลังชี่ยังไม่เพียงพอ! เพราะถึงอย่างไรทั้งคู่ก็คือคน.. ที่สามารถหมดเรี่ยวหมดแรงได้ ต่างจากเครื่องจักร!
ทั้งคู่ต่างก็เดินคุยกันเรื่องดินฟ้าอากาศไปเรื่อยๆ และในที่สุดก็มาถึงที่ยอดเขาสูงสุด ทางลงนั้นค่อนข้างชัน แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับหลิงหยุนและตู้กู่โม่ ส่วนเจ้าขาวปุยและสีนิลก็ไม่มีปัญหาเช่นเดียวกัน
ช่างโชคดีที่ภูเขาลูกนี้อยู่ห่างจากยอดเขาเสินหนงมาก และพวกเขาก็มาถึงตอนที่พระอาทิตย์ขึ้น พวกเขาจึงสามารถชื่นชมดื่มด่ำกับทิวทัศน์ที่สวยงามได้
หลิงหยุนตั้งใจที่จะปล่อยเจ้าสีนิลไว้ที่เสินหนงเจี๋ยแห่งนี้ หากมันชอบที่นี่ มันก็สามารถอาศัยอยู่ที่หุบเขาแห่งนี้ได้ เพราะที่นี่จะช่วยให้มันเติบโตได้ดี และหลิงหยุนก็จะมาหามันคราวหลัง
เจ้าสีนิลไม่ค่อยเต็มใจ แต่หลังจากที่หลิงหยุนโน้มน้าวใจมันอยู่หลายครั้ง พร้อมกับห้ามไม่ให้ติดตามไป มันจึงยอมพยักหน้าตกลง
“ไปกันได้แล้ว.. ส่วนเจ้าอยู่ที่นี่ไปก่อนนะ!”
หลิงหยุนยังคงกังวลเรื่องวันเกิดของเสี่ยวเม่ยหนิง และเกรงว่าจะไม่สามารถไปได้ทันเวลา จึงไม่มีจิตใจที่จะชื่นชมทิวทัศน์ และรีบคว้าเจ้าขาวปุยพร้อมกับบอกตู้กู่โม่ให้วิ่งลงไป
บทที่ 334 : ยอดฝีมือชาวญี่ปุ่น
หลิงหยุนและทุกคนต่างก็ยังอยู่ในพื้นที่ที่กว้างใหญ่ของป่าดงดิบเสินหนงเจี๋ย..
หลิงหยุนและตู้กู่โม่ต่างก็วิ่งนำหน้าไป ผ่านแม่น้ำลำธารถึงสี่สาย และปีนป่ายภูเขาสูงหลายลูก
ระหว่างเดินทางนั้น ทั้งคู่ต่างก็ได้เห็นสัตว์หายากมากมาย ไม่ว่าจะเป็นไก่ฟ้าสีขาว ลิงเผือก กวางเผือก งูเผือก หมีสีขาว และอีกมากมายรวมทั้งลิงขนทองสองสามตัวที่พวกเขาเองก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเช่นกัน พวกมันล้วนไม่เกรงกลัวคน แต่กลับวิ่งตามหลิงหยุนไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น พวกมันช่างน่ารักน่าชังนัก!
หลิงหยุนยืนอยู่บนเขาสูง มองฝ่าหมอกหนาลงไปด้านล่าง ท่ามกลางป่าดงดิบที่มีต้นไม้หนาแน่น หลิงหยุนกับตู้กู่โม่ต่างก็ใช้วิชาตัวเบาราวกับเหาะออกมา แต่ก็ใช่ว่าจะออกจากป่าดงดิบที่หนาแน่นนี้ได้อย่างง่ายดาย เพราะสามารถหลงทางได้อยู่ตลอดเวลา
“ฉันเริ่มจะไม่เชื่อแล้วสิว่านายอยู่ในเทือกเขาเหิงต้วน! ดูเหมือนนายจะไม่รู้จักเส้นทางด้วยซ้ำ..”
ตู้กู่โม่เกาศรีษะพร้อมกับตอบไปว่า “เทือกเขาเหิงต้วนน่ะข้าคุ้นเคยดี แต่ที่นี่มันเสินหนงเจี๋ย ข้าเคยมาเที่ยวที่นี่แค่สามครั้งเท่านั้นเอง และแต่ละครั้งที่มาก็ไปตรงจุดท่องเที่ยว ไม่ได้เข้ามาในป่าลึกแบบนี้..”
เสินหนงเจี๋ยเป็นสถานที่ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากแห่งหนึ่ง แต่จุดที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวนั้น เป็นบริเวณไม่ถึงหนึ่งในสิบของเสินหนงเจี๋ยวด้วยซ้ำไป ตู้กู่โม่เองก็เคยมาเที่ยวเล่นแค่สามครั้ง และทุกครั้งก็ไปเที่ยวเล่มชมวิว เขาจึงไม่ได้รู้เส้นทางมากไปกว่าหลิงหยุนนัก
หลิงหยุนรู้สึกร้อนใจ เขาจึงรีบถามขัดขึ้นมาทันที “แล้วนี่จะทำยังไงดี?”
ตู้กู่โม่ยิ้มพร้อมตอบกลับไปว่า “มันมีอยู่สองเส้นทาง!”
เขายกมือขึ้นชี้ไปทางยอดเขาเสินหนงที่อยู่ไกลๆ “เส้นทางแรก.. นายเห็นยอดเขานั่นไม๊ เราเดินไปที่ยอดเขาลูกนั้น ด้านล่างจะเป็นถนนและมีนักท่องเที่ยวอยู่มากมาย..”
จากนั้นเขาก็ชี้ไปทางพระอาทิตย์ขึ้น “เส้นทางที่สอง.. เส้นทางนี้ต้องอาศัยความสามารถมากหน่อย เพราะต้องข้ามภูเขา ข้ามแม่น้ำ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออกก็จะพบถนน แล้วค่อยโบกรถไปต่อ..”
“คนที่จะเดินทางมาเที่ยวเสินหนงเจี๋ย จะต้องผ่านผ่านตัวเมืองมู่หยู และตัวเมืองมู่หยูก็อยู่ทางทิศตะวันออกพอดี ถ้าพวกเราไปตามเส้นทางตะวันออก ก็จะไม่ไกลนัก..”
ทั้งสองเส้นทางนั้นล้วนเป็นเส้นทางที่อ้อมมาก แต่ในเมื่อทั้งคู่ต่างก็ไม่สันทัดกับภูมิประเทศของที่นี่ และก็ไม่มีเข็มทิศติดตัวมาด้วย ดังนั้นหากต้องการจะออกจากป่าดงดิบแห่งนี้ พวกเขาก็ต้องใช้สองเส้นทางนี้เท่านั้น
หลิงหยุนมองไปยังเส้นทางที่ตรงไปยังยอดเขาเสินหนง.. หากเขาเลือกไปเส้นทางนี้ ก็ต้องปีนป่ายภูเขาสูงอีกเจ็ดแปดลูก และแต่ละลูกก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ทางฝั่งตะวันออกนั้น แม้ว่าจะไกลกว่า แต่ภูเขาแต่ละลูกก็เตี้ยลงเรื่อยๆ
“ไปทางฝั่งตะวันออกนี่ดีกว่า!” หลิงหยุนตัดสินใจทันที จากนั้นทั้งคู่ก็ใช้วิชาตัวเบาเคลื่อนที่ไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับปีนหน้าผาได้อย่างไร้ปัญหา
ตู้กู่โม่รู้สึกแปลกใจจึงถามขึ้นมาว่า “นี่พ่อคนเก่ง.. ข้าไม่เข้าว่าทำไมเจ้าจึงต้องรีบร้อนกลับถึงเพียงนี้ เราสองคนกว่าจะมาโผล่ที่เสินหนงเจี๋ยได้ก็ลำบากยากเย็น ทำไมไม่อยู่เที่ยวเล่นก่อน จะต้องรีบกลับไปทำไมกัน?”
หลิงหยุนอธิบายเสียงเรียบ “ตอนนี้ฉันเองก็ไม่รู้ว่าวันนี้มันวันที่เท่าไหร่กันแน่ แต่ฉันได้รับปากกับหนิงน้อยไว้แล้วว่าจะไปงานเลี้ยงวันเกิดของเธอ ฉันก็ต้องกลับไปให้ทัน”
ความจริงแล้ว หลิงหยุนมีเหตุผลอื่นที่สำคัญกว่านั้น หลิงหยุนลงไปสำรวจก้นหลุมยักษ์โดยที่ไม่ได้บอกใครไว้ จู่ๆเขาก็หายตัวไปหลายวัน ทั้งฉินจิวยื่อและหนิงหลิงยู่ต่างก็ไม่สามารถติดต่อเขาได้เป็นเวลาหลายวันแล้ว
“หนิงน้อยคือใครกัน?”
“เอาเป็นว่าฉันต้องออกจากเสินหนงเจี๋ยเร็วที่สุดก็แล้วกัน นายอย่าถามมากมาย..”
หลิงหยุนไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะมานั่งอธิบาย เขาอุ้มเจ้าขาวปุยมุ่งหน้าไปทางหุบเขาด้านตะวันออกอย่างรวดเร็ว และตู้กู่โม่ก็แทบจะต้องเหาะตามให้ทัน..
หลังจากผ่านไปยี่สิบนาที.. ทั้งคู่ก็มาถึงหุบเขาที่เต็มไปด้วยพืชพรรณเขียวชะอุ่ม นกหลากหลายพันธุ์ต่างก็พากันส่งเสียงร้อง และปรากฏตัวออกมาให้เห็น
“ดูนั่นสิ.. ทางทิศใต้มีกลุ่มควันลอยขึ้นมา!” ตู้กู่โม่ร้องบอก
ระหว่างที่ทั้งคู่เดินเลาะไปตามป่าไม้และลำธาร แต่เมื่อมาถึงยอดเขาแห่งหนึ่งทางด้านตะวันออก พวกเขากลับพบกลุ่มควันพวยพุ่งมาจากทิศใต้
จุดที่มีควันไฟลอยขึ้นมานั้น น่าจะต้องมีคนอยู่.. หลิงหยุนกระโดดขึ้นไปบนยอดไม้ และมองไปทางทิศใต้ของหุบเขา เขาก็เห็นกลุ่มควันที่หนาแน่นอยู่ไกลออกไปราวหนึ่งกิโลเมตร
บนภูเขาสูงนั้น.. จะสว่างและเช้าเร็วกว่าพื้นข้างล่าง และนี่ก็เพิ่งจะหกโมงเช้า หลิงหยุนอดคิดไม่ได้ว่าใครกันที่จะเข้ามาก่อไฟในป่าเสินหนงเจี๋ยแห่งนี้?
“หรือว่าจะเป็นนายพรานที่อาศัยอยู่ใกล้ๆกับป่าแห่งนี้.. ลองเข้าไปถามทางจากพวกเขาก็น่าจะดี..”
หลิงหยุนเดาว่าน่าจะเป็นนายพรานที่เข้ามาล่าสัตว์ในเสินหนงเจี๋ย เขาจึงต้องการที่จะไปถามทาง เพราะอย่างน้อยก็น่าจะดีกว่าอ้อมแบบนี้
หลิงหยุนกระโดดลงไปที่พื้น แล้วทั้งสองคนต่างก็รีบมุ่งหน้าไปยังทิศทางของควันไฟ
เพียงแค่สองสามนาที ทั้งคู่ก็เดินไปได้ราวเจ็ดร้อยเมตร หลิงหยุนหยุดฟังเสียงเคลื่อนไหวที่อยู่ด้านหน้า
“มีอะไรเหรอ?” ตู้กู่โม่หยุดตามหลิงหยุนพร้อมกับร้องถามขึ้นมา
ด้วยความสามารถของพวกเขาทั้งคู่เวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่อาจหยุดพวกเขาทั้งคู่ได้แน่นอน
“ดูเหมือนจะเป็นเสียง..”
ตู้กู่โม่นั้นไม่ได้ยินเสียงอะไร แต่หลิงหยุนกลับได้ยินเสียงได้ในระยะไกล เขาจึงอดคิดไม่ได้ว่า หลิงหยุนนั้นน่าจะมีกำลังภายในที่เหนือกว่าตนเอง
“ดูเหมือนจะไม่ใช่ชาวจีน พวกเราต้องช้าลงหน่อย.. รอฟังดูว่าพวกเขากำลังคุยเรื่องอะไรกัน!”
ที่นี่เป็นป่าไม้ดั้งเดิม.. จึงค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพรรณไม้นานา การจะมองในระยะไกลจึงค่อนข้างลำบาก เพราะถูกบดบังด้วยต้นไม้พวกนั้น
หลิงหยุนเริ่มระมัดระวังตัวมากขึ้น เพราะคนเหล่านั้นไม่ได้พูดภาษาจีน จึงน่าจะเป็นชาวต่างชาติ แต่ชาวต่างชาติพวกนี้มาทำอะไรในป่าลึกแห่งนี้?
คนสองคนกับสุนัขจิ้งจอกหนึ่งตัว ต่างก็แอบดูเหตุการณ์อยู่ในระยะห่างไกราวสสองร้อยเมตร และตอนนี้ตู้กู่โม่เองก็เริ่มจะได้ยินเสียงบ้างแล้ว
ไม่ใช่คนจีนจริงๆด้วย ฟังจากเสียงแล้วก็น่าจะมีหลายคน และดูเหมือนพวกเขากำลังพูดถึงอะไรบางอย่าง
“นั่นมันคนญี่ปุ่น! หรือจะเป็นนักฆ่า?!” ตู้กู่โม่เคยดูภาพยนต์แอคชั่นของญี่ปุ่น และจำได้ว่าภาษาที่พวกเขาใช้พูดนั้น เป็นภาษาญี่ปุ่นอย่างแน่นอน
แต่แล้วตู้กู่โม่เริ่มมีสีหน้าที่ขุ่นเคือง และเคียดแค้นจนถึงกัดกรามแน่น!
เมื่อเจ็ดสิบปีที่แล้ว ตระกูลตู้กู่ของเขาอาศัยอยู่บนเทือกเขาเหิงต้วน แต่เพราะการรุกรานของชาวญี่ปุ่นในอดีต ทำให้ผู้คนไม่สามารถอาศัยอยู่ได้ แม้ตระกูลตู้กู่จะมียอดฝีมือมาก แต่ก็ยากที่จะต้านทานต่อการโจมตีของระเบิดที่ญี่ปุ่นใช้เครื่องบินนำมาทิ้งใส่ ยอดฝีมือของตระกูลตู้กู่ต้องตายลงอย่างมากมาย จนตระกูลตู้กู่แทบจะสูญสิ้น และต้องล่าถอยไปในที่สุด
แต่ถึงอย่างนั้น สุดท้ายแล้วพวกญี่ปุ่นก็ถูกขับไล่ออกไปจากผืนแผ่นดินจีน และตระกูลตู้กู่ก็ได้ตั้งรกรากอยู่ที่ตีนเขาแทน เพราะยังเคยชินกับการอยู่ตามเทือกเขา
แต่ความเกลียดชังชาวญี่ปุ่นก็ไม่ได้เลือนหายไป และความเกลียดชังนี้ก็ถูกปลูกฝังจากรุ่นสู่รุ่น แม้แต่ตู้กู่โม่เองที่เป็นเด็กรุ่นใหม่ ยังเห็นคนญี่ปุ่นเป็นศัตรู แล้วจะไม่ให้เขารู้สึกโกรธแค้นได้อย่างไรกัน?
หลิงหยุนเองก็เคยได้ยินได้ฟังมาเช่นกัน..
คนกลุ่มนี้พูดภาษาญี่ปุ่น และเขาก็ได้ยินเสียงของคนราวเจ็ดหรือแปดคน หลิงหยุนได้แต่ขมวดคิ้ว..
แน่นอนว่าคนพวกนี้ไม่ได้เพิ่งมาถึงตอนเช้า เพราะมันยังเช้าเกินไปที่คนกลุ่มนี้จะเดินเข้ามาในป่าลึกได้ถึงเพียงนี้! แต่พวกเขาน่าจะเข้ามาในป่าแห่งนี้ได้ระยะหนึ่งแล้ว..
‘น่าแปลก.. คนพวกนี้เข้ามาในป่าแห่งนี้ทำไมกัน?’
“เราเข้าไปใกล้อีกนิดจะดีกว่า จะได้เห็นว่าพวกเขามาทำอะไร..” หลิงหยุนบอกตู้กู่โม่ด้วยท่าทีที่สงบบนิ่ง จากนั้นก็ยกมือขึ้นแตะริมฝีปากส่งสัญญาณให้เดินเบาๆ
ทั้งคู่เดินเข้าไปใกล้อีก และตอนนี้คนพวกนั้นก็อยู่ห่างจากทั้งคู่ราวสี่สิบเมตร ทั้งสองคนอาศัยต้นไม้อำพรางกาย และแอบบมองคนพวกนั้นอย่างระมัดระวังจากช่องว่างระหว่างพุ่มไม้
หลิงหยุนเห็นคนทั้งหมดเก้าคน.. เจ็ดคนกำลังยืนล้อมรอบลังไม้ขนาดใหญ่ และแต่ละคนก็ล้วนพกมีดยาวคนละเล่ม และปืนที่มีลักษณะคล้ายอาวุธสงคราม ดูเหมือนกำลังมีการแลกเปลี่ยนอะไรบางอย่าง
รอบๆแค้มป์ไฟ มีเต๊นท์สนามเล็กๆอยู่สิบเต๊นท์ ดูจากลักษณะแล้ว คนพวกนั้นเพิ่งจะตื่นนอน และกำลังก่อไฟ
‘เป็นการเดินทางที่มีอุปกรณ์ค่อนข้างครบถวน!’
‘เหตุใดจึงเห็นเพียงแค่เก้าคน ในเมื่อมีเต้นท์ถึงสิบเต๊นท์? อีกคนอยู่ที่ใหนกัน?’
“พวกเขาน่าจะเป็นยอดฝีมือชาวญี่ปุ่น! ดูเหมือนหกคนนั่นจะอยู่ในขั้นโฮ่วเทียน-7ขึ้นไป!” ตู้กู่โม่มองฝ่ายตรงข้ามที่มีอาวุธครบมืออย่างขุ่นเคืองใจ
แม้จะสังเกตุการณ์อยู่ไกลๆ แต่หลิงหยุนก็ได้ยินเสียงพูดของทุกคนได้อย่างชัดเจน เขาต้องการรอดูอีกหน่อยว่าจะพบอะไรที่มากกว่านี้หรือไม่?
หลิงหยุนและตู้กู่โม่ต่างก็ไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่น ทั้งคู่เห็นพวกมันคุยกันไปแล้วก็หัวเราะกันไป แล้วจู่ๆก็มีคนเดินเข้ามาสมทบอีกหนึ่งคน
ไม่รู้ว่าผู้ที่เข้ามาใหม่พูดอะไร แต่ท่าทางของเขาดูลึกลับ และสีหน้าก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้น เขาทำเสียงเบาคล้ายกับกำลังพูดอะไรที่เป็นความลับ
หลิงหยุนพยายามตั้งใจฟังที่คนพวกนั้นพูดกัน และสามารถจับใจความจากปากของหัวหน้าทีมที่ย้ำคำว่า “หม้อ.. ฝา.. แล้วก็สมุด..”
หลิงหยุนถึงกับอ้าปากกว้างอย่างตกใจ คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน และดูเหมือนจะเริ่มเข้าใจอะไรได้บ้าง!
คนญี่ปุ่นกลุ่มนี้น่าจะมาตามหาหม้อทองแดง และสมุดจักรพรรดิ?! และที่อยู่ในมือของคนผู้นั้นก็น่าจะเป็นฝาของหม้อทองแดง?!
หลิงหยุนถึงกับเหงื่อออกตามหน้าผาก.. ไม่ใช่เพราะความหวาดกลัว แต่เพราะความหวั่นใจ!
หลิงหยุนอดคิดไม่ได้ว่า.. โชคดีที่เขานึกจะเข้ามาถามเส้นทาง จึงได้ตัดสินใจเข้ามาที่นี่ ไม่เช่นนั้นแล้ว หากคนญี่ปุ่นเหล่านี้ไปค้นพบหุบเขาที่พวกเขาเพิ่งจากมา รับรองว่าสมุนไพรในหุบเขานั่น ต้องไม่ปลอดภัยอย่างแน่นอน! และนี่คือสิ่งที่เขาหวั่นใจ!
หัวหน้าทีมพูดพร้อมกับหยิบรูปถ่ายออกมาจากเสื้อ และจัดการวงกลมอะไรบางอย่างไว้ จากนั้นก็หันไปมองรอบๆดูลับๆล่อๆ ก่อนจะพูดอะไรบางอย่าง และคนอื่นๆต่างก็แสยะยิ้มออกมา!
หลังจากนั้น.. หลิงหยุนก็ได้ยินเสียงฝีเท้ากำลังเดินเข้ามา และคนญี่ปุ่นพวกนั้นต่างก็พากันหยุดพูดทันที และเริ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน
หลิงหยุนและตู้กู่โม่รู้ได้ทันทีว่าคนที่สิบได้กลับมาแล้ว! ฟังจากเสียงที่เดินด้วยความเร็วหลิงหยุนก็รู้ได้ว่าเป็นคนผู้นี้เป็นยอดฝีมือเช่นกัน
“คุณโทคุงาวะครับ ผมได้ไปสำรวจเส้นทางข้างหน้าแล้ว จากแผนที่นี้เราต้องเลี้ยวกลับไปที่เขาลูกที่เราผ่านมา และจากนั้นอีกไม่ไกลก็ใกล้ถึงจุดหมายที่เราจะไปแล้วล่ะครับ..”
เมื่อชายผู้นั้นปรากฏตัว เขาก็เดินไปยืนอยู่อยู่ด้านข้างของชายคนที่เก้า จากนั้นก็หันไปพูดกับชายญี่ปุ่นวัยกลางคน และทุกคนก็หัวเราะออกมา
หลิงหยุนหันมองไปตามนิ้วที่ชายคนนั้นชี้ไป และพบว่าพวกมันตั้งใจจะไปที่หุบเขาเล็กๆแห่งนั้นจริงๆด้วย ในใจของหลิงหยุนตกใจและต้องการจะฆ่าคนเหล่านี้มากยิ่งกว่าตู้กู่โม่เสียอีก
“พวกมันมีแผนที่ด้วยงั้นรึ?!”
“ข้าจะไปจัดการกับเจ้าคนทรยศศนั่น! หลิงหยุน.. หมอนั่นปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า ข้าจะฆ่ามันด้วยตัวข้าเอง!” ตู้กู่โม่ร้องบอกหลิงหยุน
ชายคนที่สิบนั้นพูดภาษาจีน ตู้กู่โม่เพียงแค่เห็นหน้าก็รู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นชาวจีน จึงรู้สึกโกรธแค้นอย่างมาก
“มั่นใจได้ว่าพวกมันหนีไม่รอดแน่ แต่หมอนั่นต้องเก็บไว้ฆ่าเป็นคนสุดท้าย ฉันมีเรื่องต้องถามมันหลายอย่าง!”
หลิงหยุนพูดกับตู้กู่โม่ตรงๆ และแน่นอนว่าคนเหล่านี้จะไม่สามารถมีชีวิตรอดออกไปได้อย่างแน่นอน!
“คุณเฉิน.. คุณทำงานได้ดีมากเลยทีเดียว ผมเชื่อว่าความร่วมมือระหว่างตระกูลโทคุงาวะของผม และตระกูลเฉินของคุณจะเป็นไปกันได้ด้วยดี!” โทคุงาวะพูดภาษาจีนได้อย่างคล่องแคล่ว
หัวหน้าทีมโทคุงาวะพยักหน้าอย่างพออกพอใจ แม้เขาจะยิ้มและพูดจาสุภาพดูเป็นมิตรต่อมิสเตอร์เฉิน แต่สายตาของเขานั้นกลับเต็มไปด้วยความเหยียดหยัน!
สายตาของโทคุงาวะที่มองมิสเตอร์เฉินนั้น ไม่ต่างจากสายตาที่มองสุนัขตัวหนึ่ง!
“ขอบคุณคุณโทคุงาวะมากครับ ผมตั้งใจที่จะช่วยงานคุณ และมั่นใจว่าคุณจะได้ของที่ต้องการ!”
มิสเตอร์เฉินยิ้มอย่างประจบสอพลอให้กับโทคุงาวะราวกับทาสผู้ซื่อสัตย์ หลิงหยุนและตู้กู่โม่ต่างก็มองอย่างสะอิดสะเอียน..
โทคุงาวะหัวเราะและชาวญี่ปุ่นคนอื่นๆก็หัวเราะด้วย
“คุณเฉิน.. นี่เป็นสัตว์ป่าที่พวกเราเพิ่งจับได้ มาย่างกินกันดีกว่า! ประเทศจีนมีผืนแผ่นดินที่กว้างใหญ่ และในป่าเสินหนงเจี๋ยแห่งนี้ก็มีสัตว์หายากอยู่มากมาย ช่างเป็นการเปิดหูเปิดตาจริงๆ!”
ทันทีที่โทคุงาวะพูดจบ คนอื่นๆต่างก็พากันหัวเราะและลุกขึ้นยืน และเดินตรงไปยังพุ่มไม้ แต่ละคนต่างก็ถือสัตว์ที่มีเลือดอาบในมือ แต่ละตัวล้วนมีสีขาว.. และแม้มีแม้แต่ลิงขนทอง..
สัตว์ที่หายากเหล่านี้.. พวกมันไม่รู้จักแม้แต่จะหลบซ่อนจากผู้คน จึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับยอดฝีมือเหล่านี้ที่จะล่าพวกมัน
“คุณเฉิน.. ผมนี่ชอบกินสมองลิงที่สุดเลย! นี่เป็นลิงขนทองแห่งเสินหนงเจี๋ย ผมจับได้เพียงแค่ตัวเดียว คุณเฉินอยากจะลองบ้างไม๊?”
โทคุงาวะชี้ไปยังลิงสีทองที่กำลังดิ้นรนอย่างดุร้าย พร้อมกับถามมิสเตอร์เฉินอย่างสุภาพ
เมื่อหลิงหยุนเห็นว่าพวกมันกำลังจะเตรียมอาหารเช้า เขาจึงไม่จำเป็นต้องรออีกต่อไป และถามตู้กู่โม่ว่า “พวกมันมีกันทั้งหมดสิบคน เราจะจัดการพวกมันยังไง?”
ตู้กู่โม่พูดอย่างกะตือรือร้นหลังจากที่รอมานาน “ข้าจะหาทางจัดการกับคนญี่ปุ่นทั้งสี่คนที่ไม่มีวิทยายุทธก่อน จากนั้นที่เหลือยอดฝีมืออีกหกคน แบ่งกันคนละสาม!”
หลิงหยุนจัดการหักนิ้วพร้อมกับกระซิบว่า “ไม่ได้.. พวกมันมีอาวุธติดตัวกันมาทุกคน ฉันคนเดียวสามารถจัดการได้พร้อมกันหกคน ฉันจะออกไปก่อน จากนั้นก็จะเหลือแค่สาม ฉันจัดการหนึ่ง นายจัดการอีกสอง?”
ตู้กู่โม่ตอบว่า “ข้ายังไม่เห็นกำลังภายในของโทคุงาวะ ดูเหมือนมันน่าจะเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนแล้ว ข้าจะจัดการกับมันเอง มันเป็นหัวหน้า คงต้องมีผู้คุ้มกันอยู่แล้ว เจ้าจัดการคนอื่นๆเสร็จแล้วค่อยกลับมาช่วยข้า!”
หลิงหยุนหัวเราะอย่างมั่นใจ “ไม่ต้องห่วงข้ามีเจ้าขาวปุยอยู่ด้วย”
หลิงหยุนแอบส่งสัญญาณบอกเจ้าขาวปุยว่า ระหว่างที่เขากับตู้กู่โม่กำลังต่อสู้กับคนพวกนั้น ให้มันทำหน้าที่คอยระวังอย่าให้มีใครหนีออกไปได้ เจ้าขาวปุยและหลิงหยุนเคยต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันมา ทั้งคู่จึงเข้าใจกันได้ดี มันจึงพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“เอาล่ะ.. เข้าไปข้างหน้าอีกสิบเมตร!”
หลิงหยุนจัดการโคจรดารกะดายันทั่วทั้งตัว จึงไม่สนใจกับขวากหนามของต้นไม้ จากนั้นก็ใช้มังกรพรางร่างเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอีกสิบเมตร
ลักษณะของหลิงหยุนราวกับมังกรที่แข็งแกร่ง และคล้ายกับเทพที่ลงมาจากสวรรค์!
หลิงหยุนเรียกตะปูออกมาสิบกว่าดอกเพื่อทำการซัดใส่คนพวกนั้น..
ฟิ้ว.. ฟิ้ว.. ฟิ้ว.. ความเร็วของตะปูในมือหลิงหยุนนั้นรวดเร็วอย่างที่สุด เพราะเพียงแค่พริบตาเดียว คนที่ไม่มีวิทยายุทธก็ถูกตะปูของหลิงหยุนพุ่งเข้าใส่!
อีกทั้งยอดฝีมือญี่ปุ่นอีกสองคนที่ใช้มือเปล่าจับตะปู แต่ก็ยังช้าเกินไปนั้น ก็ได้รับบาดเจ็บจนเหลือดไหลออกมาเช่นกัน!
ส่วนอีกสามคนรวมทั้งมิสเตอร์เฉิน พวกเขาต่างก็มีปฏิกิริยาที่รวดเร็วกว่า และสามารถหลบตะปูซัดของหลิงหยุนได้..
แต่หลิงหยุนเองก็รวดเร็วมากเช่นกัน เขาสะบัดข้อมืออีกครั้ง และตะปูจำนวนมากก็พุ่งออกจากมือของเขา คนญี่ปุ่นอีกสองคนได้รับบาดเจ็บ พวกมันต่างก็พากันเอามือกุมที่ใบหน้า!
หลิงหยุนเป็นนักสู้ และเขาไม่เคยปราณีใคร! และยิ่งมีเจ้าขาวปุยอยู่ด้วย เขาก็ยิ่งไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครหลบหนีไปได้!
ยอดฝีมือชาวญี่ปุ่นสองคนที่บาดเจ็บนั้น ก็เพิ่งผ่านเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-8มา แต่ยังมีการเคลื่อนไหวที่เชื่องช้า จึงไม่สามารถหนีพ้น และถูกตะปูซัดเข้าเช่นกัน!
“นี่มันอะไรกัน?” โทคุงาวะไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้พบยอดฝีมือเช่นนี้ในป่าลึกของเสินหนงเจี๋ย
ยอดฝีมืออีกสองคนที่ทำหน้าที่คุ้มครองโทคุงาวะนั้นมีความรับผิดชอบในหน้าที่สูงมาก และเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน ทั้งคู่หยิบอาวุธออกมา และกระโจนเข้าหาหลิงหยุนที่อยู่ไกลออกไปยี่สิบเมตร!
พวกมันต่างก็ไม่รู้ว่าฝั่งหลิงหยุนนั้นมีกี่คน และคิดว่าหลิงหยุนน่าจะเป็นคนขององค์กรลับของจีนเป็นผู้ส่งมาขัดขวางพวกเขา
ชัวะ!!
เสียงกระบี่ของตู้กู่โม่ที่รอจังหวะอยู่แล้ว แทงเข้าใส่ยอดฝีมือของโทคุงาวะ
และนี่คือลักษณะของตู้กู่โม่เมื่อเขาเผชิญหน้ากับศัตรู ตู้กู่โม่เผยให้เห็นอีกด้านที่เหี้ยมโหดของตนเอง เขาไม่พูดพล่ามทำเพลงอะไร และจัดการลงมือสังหารฝ่ายตรงข้ามทันที
ระหว่างนั้น.. มิสเตอร์เฉินเองที่กำลังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ด้วยความรวดเร็ว เขาได้ไปหลบซ่อนอยู่หลังต้นไม้ใหญ่เพื่อดูว่าเป็นใครกันแน่ที่กำลังโจมตีพวกเขาอยู่
ฝั่งเขาถูกโจมตีอย่างรุนแรง มิสเตอร์เฉินกำลังดูท่าทีว่าฝ่ายใดจะชนะ หากโทคุงาวะเป็นฝ่ายได้เปรียบ เขาก็จะกระโดดออกไปช่วย แต่หากไม่.. เขาก็เตรียมที่จะหนีเอาตัวรอด..
คนที่เพิ่งผ่านขั้นโฮ่วเทียน-7มา คงยากที่จะหนีการไล่ล่าที่รวดเร็วของเจ้าขาวปุยได้ หลิงหยุนไม่พอใจคนสกุลเฉินมาก
สองยอดฝีมือที่คุ้มครองโทคุงาวะนั้น เข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-9 ขั้นสูงสุดแล้ว ต่างก็ร้องบอกกัน และพุ่งเข้าโจมตีตู้กู่โม่พร้อมกัน
หลิงหยุนมองตู้กู่โม่ที่กำลังถูกคนทั้งสามรุม เขาจึงใช้มังกรคำรามส่งเสียงออกมาเพื่อยับยั้งความรวดเร็วของพวกมันให้เคลื่อนที่ได้ช้าลง จากนั้นก็เรียกกระบี่โลหิตแดนใต้ออกมา และใช้มังกรพรางร่างเคลื่อเข้าไปอย่างรวดเร็ว!
“นั่นมันกระบี่จักรวาล!”
โทคุงาวะและยอดฝีมือทั้งสองที่คุ้มครองเขาอยู่ เมื่อได้เห็นกระบี่ของหลิงหยุนก็ถึงกับเย็นยะเยือกไปทั่วทั้งสันหลัง และเมื่อหันกลับไปมอง ก็พบกระบี่สีดำยาวพร้อมด้วยสัญญาณการสังหารที่เลือดเย็น
บทที่ 335 : ฆ่าโตโยโทมิ และเผายากิอุ
กระบี่โลหิตแดนใต้.. สีดำสนิทของมันกำลังจะเปลี่ยนเป็นหลุมดำที่เยือกเย็นขนาดใหญ่!
ครั้งนี้แตกต่างจากกรณีของชางกวนเจี๋วยกับคนอื่นๆ เพราะครั้งนี้เขาตั้งใจให้กระบี่เล่มนี้ได้สำแดงฤทธิ์เดชของมันอย่างเต็มที่!
ศัตรูของหลิงหยุนคราวนี้เป็นชาวต่างชาติ อีกทั้งยังอยู่ในป่าลึกอย่างเสินหนงเจี๋ย เขาจึงไม่จำเป็นต้องแสดงความเมตตาปราณีกับคนพวกนี้ และไม่คิดจะยั้งมือแม้แต่น้อย!
พลังหยินในจุดตันเถียนของหลิงหยุน พุ่งผ่านเส้นลมปราณเยิ่น และวิ่งตรงเข้าสู่กระบี่โลหิตแดนใต้ที่อยู่ในมือของเขา ทำให้กระบี่สีดำยิ่งดูเย็นยะเยือกมากยิ่งขึ้น!
โทคุงาวะและคนอื่นๆ ต่างก็จ้องมองหลิงหยุนด้วยความรู้สึกเย็นวาบ เพราะเพียงแค่เริ่มต้น ก็แทบไม่มีใครกล้าต้านทานเขาอีก
ยอดฝีมือชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งกำลังดึงดาบที่อยู่ข้างตัวออกมา แต่กลับพบว่าเสื้อผ้าของตนเองนั้นขาด เพราะถูกตู้กู่โม่ฟันเข้านั่นเอง
“ยากิอุ.. คุณเป็นยังไงบ้าง?” คนที่ทำหน้าที่คุ้มครองโทคุงาวะกระโดดถอยหลังออกไปไกลหลายเมตรเพื่อหลบกระบี่ที่ทรงพลังของหลิงหยุน โทคุงาวะรีบตรงเข้าไปถามยอดฝีมือขาวญี่ปุ่นด้วยความเป็นห่วง
“นี่..” ยอดฝีมือชาวญี่ปุ่นผู้นั้นก้มมองดูตนเองที่เกือบจะได้รับบาดเจ็บอย่างไม่ทันตั้งตัว เขารู้สสึกทั้งโกรธและทั้งอายจนร้องตะโกนด่าตู้กู่โม่ และดวงตาเล็กหรี่ก็จ้องมองตู้กู่โม่ด้วยความโกรธ..
หลิงหยุนและตู้กู่โม่ยืนเคียงข้างกัน ต่างฝ่ายต่างก็เตือนให้ระมัดระวังยอดฝีมือชาวญี่ปุ่นพวกนี้ เพราะดูเหมือนพวกมันต่างก็มีกำลังภายในสูงส่ง!
โทคุงาวะเห็นว่าน่าจะเป็นการปลอดภัยกว่า หากเขาและพรรคพวกจะยอมเป็นฝ่ายถอย เพราะทั้งคู่ดูเหมือนจะเป็นยอดฝีมือที่ไม่ธรรมดา!
“สหาย.. ท่านทั้งสองคนดูไม่เหมือนเจ้าหน้าที่ขององค์การลี้ลับเลย! พวกคุณโจมตีทำร้ายพวกเราทำไมกัน? คุณสองคนไม่เกรงว่าการกระทำเช่นนี้จะเป็นการทำลายมิตรภาพของพวกเราทั้งสองประเทศงั้นหรือ?”
ทันทีที่หลิงหยุนปรากฏตัว เขาก็สังหารชาวญี่ปุ่นไปแล้วถึงหกคน เป็นนักโบราณคดีสี่คน ส่วนที่เหลืออีกสองคนเป็นนักวิจัยซากวัตถุโบราณ เช่นนี้แล้วจะไม่ให้โทคุงาวะรู้สึกขุ่นเคืองได้อย่างไรกัน?!
หลังจากที่โทคุงาวะสำรวจหลิงหยุนและตู้กู่โม่อยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พบว่าทั้งคู่นั้นแต่งตัวประหลาด และเสื้อผ้าก็ขาดวิ่น เขาจึงค่อนข้างมั่นใจว่าทั้งคู่นั้นไม่น่าจะใช่คนขององค์กรลี้ลับ จึงค่อยรู้สึกโล่งอก และต้องการไต่ถามความเป็นมาของทั้งคู่
หลิงหยุนที่ยืนถือกระบี่ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “สหายเหรอ?! ใครเป็นสหายกับพวกแก? แล้วพวกแกขนยอดฝีมือพร้อมอาวุธมากมายเข้ามาในป่าลึกเสินหนงเจี๋ยทำไมกัน?”
โทคุงาวะจ้องมองหลิงหยุนพร้อมกับตอบไปว่า “พวกเราเป็นนักวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์จากประเทศญี่ปุ่น มาที่นี่ก็เพื่อเปิดเผยเรื่องลี้ลับของป่าแห่งนี้ให้กับชาวโลกได้รู้ สิ่งที่พวกเราทำนั้น นับว่าเป็นการเสียสละให้กับโลกของเรา และเสียสละให้กับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ของประเทศคุณ! และพวกเราก็ได้รับอนุญาติจากทางการของจีนแล้วด้วย!”
หลิงหยุนหัวเราะเสียงดัง “อย่ามาโกหกข้างๆคูๆหน่อยเลย! มาสำรวจและวิจัยเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์งั้นเหรอ? แล้วทำไมต้องพายอดฝีมือและอาวุธมามากมายด้วย? แล้วสัตว์หายากที่พวกแกล่ามานี่.. เกี่ยวกับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ด้วยสินะ?!”
โทคุงาวะตอบโต้กลับไปทันที “พวกเราเข้ามาผจญภัยในป่าลึกอย่างเสินหนงเจี๋ย พกอาวุธมาป้องกันตัวก็ไม่แปลกอะไร ส่วนสัตว์ที่ล่ามานั้นก็เพื่อทำการศึกษาเกี่ยวกับเรื่องของสัตว์ดึกดำบรรพ์..”
ตู้กู่โม่ตะโกนสวนออกไปทันที “ศึกษาเรื่องของสัตว์ดึกดำบรรพ์งั้นรึ? การศึกษาคงต้องกินสมองลิงขนทองด้วยสินะ?”
เมื่อโทคุงาวะเห็นว่าอีกฝ่ายดูเหมือนจะรู้เห็นทุกอย่างหมดแล้ว ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที เขาหันไปมองรอบๆตัวแล้วพูดขึ้นยิ้มๆว่า
“กินสมองลิงขนทองแล้วจะเป็นอะไรไป? ไม่มีใครเห็นสักหน่อย? แล้วทำไมเสื้อผ้าของพวกแกถึงได้ขาดรุ่งริ่ง…?! พวกแกเป็นใคร?”
หลิงหยุนก้าวเท้าไปข้างหน้าพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง “ฉันก็เป็นผู้ทักษ์ป่าฝ่ายซ้ายของเสินหนงเจี๋ยน่ะสิ!” จากนั้นก็ยกมือขึ้นชี้ไปทางตู้กู่โม่แล้วพูดว่า “ส่วนนั่นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา!”
เสินหนงเจี๋ยมีผู้พิทักษ์ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? โทคุงาวะได้ฟังถึงกับต้องถามขึ้นอย่างงุนงง “ผมไม่เคยได้ยินว่ามีผู้พิทักษ์เสินหนงเจี๋ยด้วย..”
หลิงหยุนยิ้มหยันและพูดต่อว่า “นั่นเพราะแกไม่รู้และไม่เคยพบต่างหาก แต่รู้ตอนนี้ก็สายไปแล้วล่ะ!”
โทคุงาวะเองก็หวังว่าจะหาข้อมูลว่าฝ่ายของหลิงหยุนเป็นใครกันแน่ ส่วนหลิงหยุนเองก็พยายามจะหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากโทคุราวะให้มากที่สุด!
หลังจากที่หลิงหยุนสำเร็จวิชาลับหยินหยาง และเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-4นั้น จุดตันเถียนของเขาก็แปลกไป แม้แต่เขาเองยังยากที่จะคาดเดากำลังภายในของตนเองออก จึงไม่จำเป็นต้องพูดถึงโทคุงาวะที่ย่อมไม่มีทางดูออกเช่นกัน..
แต่โทคุงาวะก็ดูออกว่าตู้กู่โม่นั้นมีกำลังภายในอยู่ขั้นใหน เขาดึงเวลาจนมั่นใจว่าอีกฝ่ายมากันเพียงแค่สองคนเท่านั้น และไม่มีกองหลังตามมาสนับสนุนอย่างแน่นอน ในใจจึงค่อยรู้สึกผ่อนคลาย
โทคุงาวะยกมือขึ้นชี้หน้าหลิงหยุน “โตโยโทมิ ยากิอุ พวกคุณสองคนจัดการกับเด็กที่ใช้กระบี่สีดำประหลาดนั่น ช่วยผมจัดการหยุดมันไว้ชั่วคราวก่อน หลังจากผมจัดการฆ่าผู้พิทักษ์ฝ่ายขวานี่แล้ว ผมจะเข้าไปช่วยพวกคุณสองคน!”
จากนั้นโทคุงาวะก็มองไปทางมิสเตอร์เฉินที่กำลังซ่อนอยู่หลังต้นไม้ พร้อมกับคิดในใจว่า หลังจากจัดการเรื่องนี้เสร็จ จึงค่อยจัดการกับมิสเตอร์เฉินเป็นรายต่อไป
โตโยโทมิและยากิอุพยักหน้าพร้อมกัน จากนั้นทั้งสามคนก็ชักดาบยาวออกมา และแยกกันไปจัดการกับตู้กู่โม่และหลิงหยุน!
ระหว่างนั้น หลิงหยยุนกับตู้กู่โม่เองก็ได้แอบตกลงกันเช่นกัน เมื่อเห็นพวกมันวิ่งเข้ามา..
หลิงหยุนก็ปล่อยให้ตู้กู่โม่ปะทะกับโทคุงาวะ และได้บอกเขาให้ใช้ความหนาแน่นของต้นไม้ในป่าให้เป็นประโยชน์ หลิงหยุนบอกตู้กู่โม่ให้ใช้วิชาที่เคลื่อนไหวได้รวดเร็วหลบโทคุงาวะไปก่อน หลังจากที่เขาสังหารยอดฝีมือชาวญี่ปุ่นสองคนตายแล้ว แน่นอนว่ารายต่อไปก็คือโทคุงาวะ!
โตโยโทมิ ยูจิ และยากิอุ ซาบุโร่ ยกมือที่ถือดาบขึ้นและวิ่งเข้าใส่หลิงหยุน ต้องยอมรับว่าพวกมันเคลื่อนไหวได้รวดเร็วได้อย่างน่าอัศจรรย์!
แต่หลิงหยุนเพียงแค่แสยะยิ้มและยืนสงบนิ่ง รอคอยให้ดาบยาวทั้งสองเล่มพุ่งเข้าใส่ร่างของเขา และสำหรับหลิงหยุนแล้ว มันไม่ต่างจากดาบเก่าๆเล่มหนึ่งเท่านั้นเอง
ชัวะ!!
หลิงหยุนบิดเอวเงื้อกระบี่โลหิตแดนใต้สีดำในมือฟันเข้าที่ดาบยาวทั้งสองด้ามเพียงแค่ครั้งเดียว!
แต่มันทั้งรวดเร็วและรุนแรง!
ทั้งโตโยโทมิ ยูจิ และยากิอุ ซาบุโร่ ต่างก็คิดเอาเองว่าพวกตนจะไม่ถูกหลิงหยุนฟันเข้าอย่างแน่นอน แต่ทั้งคู่กลับต้องตกใจสุดขีด เมื่อพบว่ากระบี่สีดำของหลิงหยุนนั้นพุ่งเข้าใส่หน้าอกของตนเอง พวกเขาจึงรีบกระโดดหลบกระบี่ยาวที่ฟันลงมาได้อย่างรวดเร็ว!
“มันสายเกินไปแล้ว!” หลิงหยุนร้องบอกพร้อมกับใช้มังกรพรางร่างพุ่งเข้าหาร่างของโตโยโทมิอย่างรวดเร็วราวกับสายลม!
“ห๊ะ?!” โตโยโทมิเพิ่งได้เห็นความเร็วที่แท้จริงของหลิงหยุน เขาคาดไม่ถึงจริงๆว่าหลิงหยุนจะเคลื่อนไหวได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ ดังนั้นเมื่อจู่ๆหลิงหยุนก็มายืนอยู่ตรงหน้า เขาจึงกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว!
หลิงหยุนเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย มือขวาถือกระบี่จ่อเข้าไปที่คอหอยของโตโยโทมิที่กำลังกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว และแล้วกระบี่สีดำก็แทงทะลุเข้าที่ลำคอของโตโยโทมิ!
เสียงกรีดร้องของโตโยโทมิขาดหายไปทันที และเลือดสีแดงสดก็ค่อยๆไหลออกมาจากลำคอของเขา มือชี้ไปที่กระบี่วิเศษของหลิงหยและทำท่าจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ในที่สุดก็ล้มฟุบลงไปในพุ่มไม้!
เลือดพุ่งออกมาจากลำคอของโตโยโทมิอย่างมากมาย จนพุ่มไม้นั้นกลายเป็นสีแดงเกือบจะทันที!
หลิงหยุนขยับตัวเพียงแค่สองครั้ง โตโยโทมิก็ตายซะแล้ว!
ท่าทางของหลิงหยุนและกระบี่ในมือนั้น ได้สร้างความหวาดกลัวให้ผู้ที่พบเห็นอย่างมาก แต่เขายังคงไม่หยุดนิ่ง หลิงหยุนใช้มังกรพลางร่างเคลื่อนที่ไปอยู่ตรงหน้าของยากิอุ จากนั้นจึงเงื้อมือขึ้นฟันกระบี่ลงไป!
ยากิอุรู้ดีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น เขาจึงไม่กล้าที่จะให้หลิงหยุนเข้าปะชิดตัวได้ และได้ส่งเสียงร้องบบอกโทคุงาวะให้ทำอะไรบางอย่าง จากนั้นก็กระโดดเข้าไปอยู่ระหว่างต้นไม้ใหญ่เพื่อหลบการไล่ล่าของหลิงหยุน!
ร่างของหลิงหยุนเคลื่อนที่ราวเจ็ดแปดครั้ง แต่ก็ยังไม่สามารถจับตัวยากิอุได้ ระหว่างที่ไล่ล่ากันอยู่นั้นเอง หลิงหยุนก็เรียกตะปูออกมา และหยุดมองว่ายากิอุกำลังจะวิ่งไปยังทิศทางใด แล้วจึงซัดตะปูในมือออกไป!
ยากิอุวิ่งหนีราวกับคนคลุ้มคลั่ง และเขาก็เปลี่ยนทิศทางการวิ่งอีกครั้ง แต่หลิงหยุนได้ดักทางของเขาไว้แล้ว!
“เตรียมตัวตายได้แล้ว!” หลิงหยุนใช้มังกรพรางร่างเข้าไปยืนอยู่ด้านข้างของยากิอุพร้อมกับยกกระบบี่ในมือขึ้นมา!
ทันใดนั้นเอง.. โทคุงาวะที่เลิกสนใจตู้กู่โม่ และเลือกที่จะไม่วิ่งตามเขาไป ได้เคลื่อนตัวไปอยู่ด้านหลังของหลิงหยุนแทน พร้อมกับเงื้อมือฟันดาบในมือลงกลางแผ่นหลังของหลิงหยุนอย่างสุดกำลัง! แต่เล้วเขาก็ฟันโดนเพียงแค่ลม!
ความเร็วของโทคุงาวะนั้นก็ไม่ได้ช้าไปกว่ามังกรพรางร่างของหลิงหยุนนัก!
หลิงหยุนรู้ดีว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะจัดการกับยากิอุในตอนนี้ เขายกกระบี่ในมือขึ้นสูง เพื่อจัดการตัดกระบี่ยาวของโทคุงาวะก่อน!
เช้ง!!
กระบี่โลหิตแดนใต้ของหลิงหยุน และดาบยาวของโทคุงาวะปะทะกันเข้าอย่างแรงจนเสียงดังสนั่นหวั่นไหว หลิงหยุนเองถึงกับถอยหลังไปถึงเก้าก้าว จนร่างกระแทกเข้ากับต้นไม้ใหญ่!
หลิงหยุนรู้สึกว่าเลือดของเขากำลังไหลออกมา เขาสูดลมหายใจลึก และเมื่อเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่า ดาบยาวของโทคุงาวะนั้นกลับไม่ถูกตัดขาด แต่มีเพียงแค่รอยบิ่นที่ลึกเท่านั้น..
‘ดาบของมันยอดเยี่ยมจริงๆ!’
หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่าไม่ใช่เพราะโทคุงาวะมีดาบที่ดีเยี่ยมอยู่ในมือ แต่เป็นเพราะเขามีกำลังภายในที่แข็งแกร่งต่างหาก กระบี่ของหลิงหยุนจึงไม่สามารถฟันดาบของเขาขาดได้
โทคุงาวะเพิ่งรู้ตัวว่าตนเองได้คาดการณ์ไว้ผิดพลาด เมื่อเห็นโตโยโทมิถูกหลิงหยุนสังหาร ในใจก็รู้สึกเสียใจอย่างมาก เพลงดาบของเขานั้นก็เป็นเพลงดาบที่ยอดเยี่ยม แต่กลับคิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะสามารถต้านทานได้
“หลิงหยุน.. นายเป็นไงบ้าง?!”
หลังจากที่เล่นวิ่งไล่จับกับโทคุงาวะอยู่ครู่หนึ่ง ก็ต้องขอบคุณความเร็วและความคล่องแคล่วของเขาเอง อีกทั้งต้นไม้ที่หนาแน่นของป่าแห่งนี้ ทำให้เขาสามารถเอาชีวิตรอดมาได้ ตู้กู่โม่รู้ดีว่าฝีมือของโทคุงาวะนั้นไม่ธรรมดา เขาจึงรู้สึกเป็นห่วงหลิงหยุนอย่างมาก
หลิงหยุนจัดการเดินวิชาลับหยินหยาง ไม่ช้าเลือดที่กำลังไหลอยู่ก็ค่อยๆหยุดลง เขายิ้มมุมปากให้กับตู้กู่โม่
หลิงหยุนเดินไปหาตู้กู่โม่พร้อมกับยัดยันต์อัคนีเจ็ดแปดแผ่นลงไปในมือขเงเขา จากนั้นก็บอกวิธีการใช้ยันต์ให้กับตู้กู่โม่ แล้วจึงพูดขึ้นว่า
“ฉันจะจัดการขวางโทคุงาวะไว้ให้เอง ส่วนนายจัดการสังหารยากิอุซะ!”
ตู้กู่โม่ร้องออกมาอย่างมีความสุข “มีของดีแบบนี้ทำไมไม่รีบเอาออกมา.. ไม่เช่นนั้นข้าคงจัดการเผาโทคุงาวะไปเรียบร้อยแล้ว!”
“อย่ามาทำปากดี.. กำลังภายในในขั้นเซียงเทียนของโทคุงาวะไม่ธรรมดาเลย นายยังไม่ทันได้แปะยันต์เข้าที่ตัวเขาหรอก เขาก็ซัดนายกระเด็นออกมาแล้ว!”
หลังจากพูดกับตู้กู่โม่จบ หลิงหยุนก็เลิกคิ้วขึ้นพร้อมกับเดินตรงไปหาโทคุงาวะ!
โทคุงาวะจัดการเดินลมปราณเพื่อใช้กำลังภายในที่เหนือกว่านี้ป้องกันร่างกายของตนเอง จากนั้นจึงยกดาบสีขาวขึ้นกวัดแกว่งไปมาหลายสิบครั้ง!
ตอนนี้ยากิอุได้โยนดาบในมือที่ถูกหลิงหยุนฟันขาดทิ้งไปแล้ว ส่วนตู้กู่โม่ที่เพิ่งถูกโทคุงาวะไล่ล่าเมื่อครู่ ก็ยังคงแค้นอยู่และไม่คิดที่จะออมมือให้กับยากิอุอย่างแน่นอน ตู้กู่โม่เริ่มใช้เพลงกระบี่นวะของตระกูลตู้กู่!
“ดาบหัก! กระบี่หัก! ปืนเสีย!”
ตู้กู่โม่ใช้เพลงกระบี่นวะของตระกูลตู้กู่เข้าโจมตียากิอุจนต้องล่าถอย และระหว่างที่ล่าถอยเพื่อหลบกระบี่ของตู้กู่โม่นั้น ยันต์อัคนีในมือของเขาก็พุ่งใส่ร่างของยากิอุ ซาบุโร่..
โทคุงาวะและหลิงหยุนกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ระหว่างที่รับมือหลิงหยุนอยู่นั้น โทคุงาวะก็คอยเหลือบตามองยากิอุที่กำลังสู้กับตู้กู่โม่ไปด้วย!
“ยากิอุ มีอะไรอยู่บนตัวของคุณ?!” โทคุงาวะเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงรีบร้องบอกยากิอุทันที
หลังจากที่ตู้กู่โม่แปะยันต์ลงไปบนตัวของยากิอุแล้ว และทันทีที่ได้ยินเสียงร้องบอกของโทคุงาวะ เขาก็ร้องสั่งยันต์ให้ทำงานทันที
ตูม! ตูม!
เปลวไฟสีแดงขนาดเท่าลูกบาสเก็ตบอลราวห้าหรือหกลูกลุกโชนเผาร่างของยากิอุซาบุโร่พร้อมๆกัน และร่างของเขาก็โชติช่วงไปด้วยเปลวไฟภายในพริบตา!
อ๊าก!!!
เสียงกรีดร้องของยากิอุดังขึ้นมา พร้อมกับล้มตัวลงกลิ้งที่พื้นเพื่อดับไฟ..
“ฮ่า.. ฮ่า.. มันเยี่ยมมากเลย!”
ตู้กู่โม่มองยากิอุที่กำลังถูกย่างสดอย่างตื่นเต้น พร้อมกับกำลังคิดว่าหลิงหยุนเตรียมยันต์นี่มามากเพียงใด
เวลานี้ก็ช่างเป็นโอกาสที่ดี และหลิงหยุนก็ไม่ยอมพลาดโอกาสดีๆเช่นนี้อย่างแน่นอน ขณะที่รับมือกับโทคุงาวะ หลิงหยุนก็แอบซัดตะปูเข้าใส่ร่างของยากิอุที่กำลังดิ้นอยู่บนพื้น!
หลังจากที่ยากิอุล้มตัวลงที่พื้น เขาก็สนใจอยู่กับการกลิ้งตัวไปมาเพื่อดับไฟบนร่างกาย จึงไม่สามารถหลบตะปูที่หลิงหยุนซัดเข้าใส่ในระยะใกล้ได้ เขาถูกตะปูเจ็ดดอกซัดเข้าใส่จนเลือดไหลออกตามร่างกาย!
ตู้กู่โม่กระโดดเข้าไปและใช้กระบี่แทงซ้ำลงไปที่ลำคอของยากิอุทันที และเพียงไม่นาน ร่างที่เกรี้ยวกราดของยากิอุก็ค่อยๆนิ่งเงียบไป ทั้งหลิงหยุนและตู้กู่โม่ต่างก็หันกลับไปทางโทคุงาวะที่ทั้งตกใจและทั้งโกรธ..
ในเวลาเพียงแค่เจ็ดแปดนาทีที่หลิงหยุนและตู้กู่โม่ปรากฏตัว ยอดฝีมือที่โทคุงาวะนำมาด้วยก็ตายหมด และเวลานี้ก็เหลือเพียงแค่เขาคนเดียว!
สองต่อหนึ่ง! โทคุงาวะรู้ตัวดีว่าไม่มีทางชนะ เขาตกใจกลัวเล็กน้อย แต่ในใจก็คิดหาวิธีหลบหนี..
“คุณเฉิน.. ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับผม ตระกูลเฉินของคุณจะบอกกับตระกูลโทคุงาวะของผมได้ยังไง!”
เขารู้ว่ามิสเตอร์เฉินยังไม่หนีไปใหน เขาจึงต้องการให้มิสเตอร์เฉินถูกทั้งคู่จู่โจมแทน
หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่หัวเราะ “โทคุงาวะ.. แกคิดว่าแกจะหนีไปได้งั้นรึ?!”
บทที่ 336 : หม้อเสินหนง
มิสเตอร์เฉินซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไกลออกไป เมื่อเห็นหลิงหยุนและตู้กู่โม่สังหารยอดฝีมือชาวญี่ปุ่นตายหมดภายในเวลาเพียงแค่สองสามนาที เขาก็รู้ทันทีว่าได้เกิดวิกฤตขึ้นแล้ว เขาไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว และเตรียมตัวที่จะวิ่งหนีเอาตัวรอด
ตู้กู่โม่และหลิงหยุนต่างก็รู้ดีว่าคนสกุลเฉินผู้นี้ไม่มีทางที่จะหนีรอดได้อย่างแน่นอน ทั้งคู่จึงยังคงยืนเฝ้าโทคุงาวะไว้ไม่ขยับ
สำหรับยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนนั้น หากใช้วิชาตัวเบาหลบหนีไปท่ามกลางป่าดงดิบที่หนาทึบเช่นนี้ ไม่มีทางที่พวกเขาทั้งคู่จะไล่ตามได้ทันอย่างแน่นอน
เมื่อมิสเตอร์เฉินเห็นว่าตู้กู่โม่และหลิงหยุนต่างก็ไม่มีใครสนใจเขา จึงรีบหันหลังเพื่อที่จะวิ่งหนีไป แต่ก็ต้องพบว่าภาพที่อยู่ด้านหลังของเขานั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว!
ใบหน้าของมิสเตอร์เฉินเปลี่ยนไป และเต็มไปด้วยความงุนงง เขาพบว่าตอนนี้ด้านหลังของเขามีต้นไม่อยู่หนาทึบ จนไม่มีช่องว่างให้มองเห็นท้องฟ้าแม้แต่น้อย และไม่มีทางที่จะหนีออกไปได้
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?!”
มิสเตอร์เฉินครุ่นคิดอยู่นาน เขาหันกลับไปกลับมา และมองไปรอบๆตัว แต่ก็พบว่าทุกอย่างที่เขาเห็นก่อนหน้านี้ได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว หากเขาต้องการจะวิ่งหนีในตอนนี้ มีเพียงแค่หนทางเดียวก็คือ วิ่งผ่านหน้าตู้กู่โม่และหลิงหยุนไปเท่านั้น
แต่เขาได้เห็นความแข็งแกร่งและเก่งกาจของทั้งสองคนด้วยตาตัวเองแล้ว ดังนั้นไม่ว่าใครคนใดคนหนึ่งก็สามารถฆ่าเขาได้เพียงแค่กระบี่เดียวอย่างแน่นอน เขาจึงไม่กล้าที่จะเสี่ยง
ดวงตาของเขาเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่งเมื่อคิดได้ว่า เวลานี้มีเพียงอยู่ข้างโทคุงาวะจึงจะมีโอกาสรอดตาย เขาจึงกระโดดออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ไปยืนอยู่ข้างกายโทคุงาวะ
“คุณเฉิน.. พวกเราถูกโจมตี แต่คุณกลับไปหลบซ่อนดูอย่างสนุกสนาน คุณยังมีอะไรจะอธิบายไม๊?”
ใบหน้าของโทคุงาวะบูดบึ้งไม่พอใจ แต่ตอนนี้ศัตรูกำลังอยู่ตรงหน้า เขาจึงทำได้เพียงแค่พูดถึงคนสกุลเฉินขึ้นมาเพื่อให้เขากลายเป็นเป้าหมายใหม่แทน ส่วนริมฝีปากก็แสยะยิ้มอย่างเหยียดหยัน
“คุณโทคุงาวะอย่าได้พูดเช่นนั้น? สองคนนี้เป็นใครก็ไม่รู้ ผมก็ไม่สะดวกที่จะแสดงตัว ได้โปรดเข้าใจผมด้วย..”
ใบหน้าของคนแซ่เฉินยังคงยิ้ม และโทคุงาวะก็ได้แต่พยักหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“เอาล่ะ.. ในเมื่อพวกคุณทั้งหมดก็เป็นคนจีนเหมือนกัน ส่วนคุณในฐานะตัวแทนของตระกูลเฉิน ผมจะยกเรื่องนี้ให้คุณจัดการก็แล้วกัน!”
โทคุงาวะไม่ลังเลที่จะปัดความรับผิดชอบทั้งหมดให้กับคนตระกูลเฉิน และการกระทำของโทคุงาวะนั้น ก็เท่ากับเป็นการดึงเอาตระกูลเฉินเข้ามาข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว มิสเตอร์เฉินที่ต้องการจะหลบหนี จึงได้แต่ต้องหันมาเผชิญหน้ากับปัญหา
‘แกช่างกล้าพูดนัก..!’
มิสเตอร์เฉินได้แต่สบถอย่างขุ่นเคืองอยู่ในใจ แต่ใบหน้าของเขายังคงยิ้มเอาอกเอาใจอย่างทาสผู้ซื่อสัตย์ จากนั้นก็หันไปทางหลิงหยุนและตู้กู่โม่พร้อมกับยกมือขึ้นผสานกันด้วยความนอบน้อม
“ไม่ทราบว่าท่านทั้งสองเป็นใคร มาจากตระกูลใหน หรือว่าสำนักใหนกัน?!”
หลิงหยุนทำเสียงขึ้นจมูกพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เมื่อกี้ข้าก็บอกไปแล้ว เจ้าไม่ได้ยินรึยังไง? ผู้พิทักษ์เสินหนงเจี๋ยฝ่ายซ้ายกับฝ่ายขวา!”
มิสเตอร์เฉินถึงกลับกลืนน้ำลายดังเอื๊อก แต่เขาก็ไม่ใส่ใจกับท่าทางของหลิงหยุน และยังคงพูดพร้อมกับหัวเราะว่า..
“ในเมื่อพวกท่านทั้งสองไม่ต้องการบอก.. ผมก็จะไม่ถาม! ส่วนผมมาจากตระกูลเฉิน หนึ่งในเจ็ดตระกูลที่ยิ่งใหญ่แห่งปักกิ่ง ผมชื่อเฉินเจี้ยนเหยิวน.. ขอให้ท่านทั้งสองเห็นแก่หน้าสกุลเฉินของเราจะได้หรือไม่..?”
หลิงหยุนเองก็เคยได้ฟังเรื่องเจ็ดตระกูลใหญ่แห่งปักกิ่งจากปากเกาเฉินเฉินมาก่อนแล้ว เขาจึงรู้ว่าตระกูลเฉินก็เป็นหนึ่งในนั้น อีกทั้งยังได้ยินจากปากของโทคุงาวะก่อนหน้านี้ แต่เขาก็เพียงแค่ยิ้มและตอบกลับไปว่า
“ตระกูลเฉินงั้นเหรอ? ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน! แต่ชื่อของเจ้านี่สิ.. ช่างอัปมงคลจริงๆ!”
เมื่อเฉินเจี้ยนเหยิวนเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมไว้หน้า เขาเองก็รู้สึกเสียหน้าเป็นอย่างมาก สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็ฝืนพูดต่อว่า
“ส่วนคนผู้นี้คือมิสเตอร์โทคุงาวะ เป็นทายาทของตระกูลโทคุงาวะที่ยิ่งใหญ่แห่งญี่ปุ่น หากท่านทั้งสองยอมลามือจากพวกเราทั้งคู่ในวันนี้ พวกเราทั้งสองตระกูลรับปากว่าจะตอบแทนพวกท่านด้วยทรัพย์สินเงินทองจำนวนมากมายมหาศาล..”
เฉินเจี้ยนเหยิวนรีบเปลี่ยนกลยุทธ์มาเป็นการต่อรองทันที และยื่นข้อเสนอที่น่าสนใจให้กับหลิงหยุนและตู้กู่โม่
ตู้กู่โม่โกรธจนไม่สามารถทนรอให้หลิงหยุนพูดได้ เขาหยิบกระบี่ขึ้นมา และชี้ไปที่หน้าของเฉินเจี้ยนเหยิวน
“เจ้าสุนัขรับใช้! มีความสุขอยู่บนทรัพย์สมบัติของพวกญี่ปุ่น? ข้าจะสังหารเจ้าด้วยกระบี่นี่ ดูซิว่าเจ้าจะยังมีความสุขอยู่อีกไม๊!”
หลิงหยุนส่งสัญญาณให้ตู้กู่โม่ใจเย็นกว่านี้ เขายิ้มให้เฉินเจี้ยนเหยิวนแล้วพูดขึ้นว่า
“คนสกุลเฉิน หากเจ้าบอกความจริงมาว่า เข้ามาในป่าลึกเสินหนงเจี๋ยแห่งนี้มีวัตถุประสงค์อะไรกันแน่? ข้าก็จะไว้ชีวิตเจ้า และจะปล่อยเจ้าไป!”
เฉินเจี้ยนเหยิวนหันไปมองโทคุงาวะ ทาเคสุกะ แล้วจึงตอบอย่างไม่ลังเลว่า “ความจริงแล้ว.. พวกเรามาที่นี่เพื่อมาหาสิ่งของบางอย่าง แต่ก็ไม่พบ และพวกเราก็กำลังจะกลับออกจาเสินหนงเจี๋ย แล้วก็ยังไม่มีเป้าหมายที่อื่นอีก!”
หลิงหยุนเข้าใจได้อย่างแจ่มแจ้ง แต่ก็แสร้งทำเป็นสนใจและถามขึ้นว่า “มาหาสิ่งของบางอย่างในเสินหนงเจี๋ยนี่งั้นรึ? พวกเจ้ามาหาอะไรกัน?”
เมื่อเห็นว่าหลิงหยุนเริ่มยอมเจราจา โทคุงาวะก็รีบฉวยโอกาสนี้ต่อรองกับเขาทันที โทคุงาวะก้าวเท้าขึ้นไปด้านหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ฟังนะ.. ผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้าย พวกเรามาหาอะไรนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะในป่าเสินหนงเจี๋ยแห่งนี้มีเรื่องลี้ลับอยู่มากมาย แต่หลักๆที่พวกเราเข้ามาที่นี่ก็เพื่อการศึกษา.. พวกท่านดูคนพวกนั้นสิ!”
โทคุงาวะยกมือขึ้นชี้ไปทางศพที่อยู่รอบๆกองไฟ แม้ในใจจะรู้สึกโกรธแค้นอย่างมาก แต่กลับแสร้งทำสีหน้าสงบนิ่ง..
“คนพวกนั้นล้วนเป็นนักโบราณคดี เป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางต่างๆ ส่วนพวกเราติดตามคนพวกนั้นมาที่นี่ ก็เพื่อดูแลความปลอดภัยให้กับพวกเขา!”
หลิงหยุนและตู้กู่โม่ต่างก็ทำสีหน้ารังเกียจเมื่อได้ยินคำพูดไร้สาระของโทคุงาวะ หลิงหยุนส่ายหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ในเมื่อพวกเจ้าไม่ต้องการพูดความจริง ทุกอย่างก็จบ!”
เมื่อหลิงหยุนเห็นว่าทั้งคู่ต่างก็ไม่มีใครยอมพูดเรื่องหม้อทองแดง หลิงหยุนจึงไม่ต้องการพูดอะไรต่ออีก และกำลังคิดหาหนทางให้ทั้งคู่ได้ไปเกิดใหม่ พร้อมกับคิดหาวิธีเจ็บๆให้พวกมันยอมพูดความจริง!
หลิงหยุนได้หม้อทองแดงมาจากหุบเขาใกล้ๆนี้ แต่กลับหาฝาของมันไม่พบ ในใจก็นึกเสียดายอยู่แล้ว และเมื่อได้ยินคนพวกนี้พูดเรื่องฝา แน่นอนว่าในใจของเขาก็นึกอยากได้เช่นกัน
หลิงหยุนกระซิบบอกตู้กู่โม่ให้เล่นงานเฉินเจี้ยนเหยิวนบีบให้มันยอมพูดความจริงก่อน..
หลิงหยุนไม่ต้องการเสียเวลาไปมากกว่านี้ เขาหันหน้าไปพร้อมกับใช้มังกรพรางร่างไปโผล่อยู่ตรงหน้าของโทคุงาวะ พร้อมกับยกกระบี่ในมือขึ้น!
โทคุงาวะและเฉินเจิ้นเหยิวนเห็นหลิงหยุนที่จู่ๆก็มาโผล่อยู่ตรงหน้า โทคุงาวะไม่ได้หวาดกลัวมากนัก แต่เฉินเจี้ยนเหยิวนนั้นถึงกับขนหัวลุก
แม้ว่าเฉินเจิ้นเหยิวนจะอยู่เพียงแค่ขั้นโฮ่วเทียน-7 แต่เทคนิคการเคลื่อนไหวของเขานั้นก็รวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ เพียงเดี๋ยวเดียว เขาวิ่งหนีตู้กู่โม่ที่มีกำลังภายในเหนือกว่าได้หลายต่อหลายครั้ง
ตู้กู่โม่มองเฉินเจี้ยนเหยิวนเป็นคนทรยศตั้งแต่แรกแล้ว เมื่อเห็นเฉินเจี้ยนเหยิวนหลบหนีได้อย่างไหลลื่น และใช้ต้นไม้ในป่าให้เป็นประโยชน์ต่อการหลบซ่อน ตู้กู่โม่จึงโมโหอย่างมาก..
“ดูซิว่าคราวนี้เจ้าจะซ่อนอย่างไร?”
ตู้กู่โม่จัดการฟันต้นไม้ใหญ่ทิ้งไปถึงสิบสองต้น และเฉินเจี้ยนเหยิวนก็ไม่สามารถซ่อนตัวได้อีกต่อไป ป่าดงดิบที่อยู่ห่างไกลออกไปนั้น เป็นภาพลวงตาที่เจ้าขาวปุยสร้างขึ้นมา เขาจึงไม่กล้าที่จะวิ่งเข้าไป และได้แต่วิ่งหลบไปหลบมา
แต่ตู้กู่โม่กลับหงุดหงิดมากขึ้น ในขณะที่ต้นไม้ใหญ่ล้มลงอย่างง่ายดาย แต่เฉินเจิ้นเหยิวนกลับวิ่งไปซ่อนได้ และเขาก็จับตัวได้ยากขึ้น
‘เหตุใดจึงได้ยากเย็นนักนะ?!’
คิ้วเส้นตรงของหลิงหยุนขมวดเข้าหากัน เขายกกระบี่ในมือขึ้นรับดาบที่โทคุงาวะฟันเข้ามา และอาศัยแผ่นหลังของโทคุงาวะส่งตัวเองไปหาเฉินเจี้ยนเหยิวน และจัดการซัดตะปูใส่ทั้งหนึ่งกำมือ!
หลิงหยุนซัดตะปูไปดักทางหนีของเฉินเจี้ยนเหยิวนไว้ เขาจึงรีบเปลี่ยนเส้นทางทันที แต่หลิงหยุนก็ซัดตะปูออกไปหกดอกสะกัดไว้อีกครั้งเช่นกัน
“แกตาย..!!” กระบี่ในมือของตู้กู่โม่สั่น พร้อมกับชี้หน้าเฉินเจี้ยนเหยิวน
ฟิ้ว.. ฟิ้ว.. ฟิ้ว..
หลิงหยุนซัดเข็มหกเจ็ดเล่มเข้าใส่จุดฝังเข็มของเฉินเจี้ยนเหยิวน พร้อมกับร้องตะโกนขึ้นว่า
“ข้าไม่มีทางให้เจ้าหนีรอดอยู่แล้ว.. เจ้ายืนรอความตายได้เลย!”
“ตามโทคุงาวะไปเร็วเข้า มันกำลังจะจะหนี!” ตู้กู่โม่ร้องขึ้นมา
ขณะที่หลิงหยุนไปช่วยตู้กู่มีจับเฉินเจี้ยนเหยิวนอยู่นั้น โทคุงาวะก็ได้ใช้วิชาตัวเบากระโดดขึ้นไปตามยอดไม้ และค่อยๆห่างออกไปไกลเรื่อยๆ!
“ขาวปุย.. ตามไปหยุดมันไว้!”
โทคุงาวะนั้นเคลื่อนไหวได้รวดเร็วกว่ามังกรพรางร่างของหลิงหยุน ในครั้งนี้เขาจึงต้องพึ่งเจ้าขาวปุย
เจ้าขาวปุยทำตามคำสั่งหลิงหยุน มันมองร่างของโทคุงาวะที่กำลังกระโดดหนีไป จากนั้นมันก็พุ่งร่างสีขาวขึ้นไปบนยอดไม้ และกระโดดไล่ตามโทคุงาวะไปอย่างรวดเร็ว
“เจ้าสุนัขจิ้งจอกขาว วิชาลวงตาของเจ้าไม่มีทางสู้วิชานินจาของเราชาวญี่ปุ่นได้หรอก?!”
โทคุงาวะเงื้อดาบขึ้นเตรียมฟันลงใส่เจ้าขาวปุย!
“ขาวปุย.. ระวัง!”
เจ้าขาวปุยที่อยู่กลางอากาศสามารถหลบดาบยาวของโทคุงาวะที่ฟันลงมาได้ แต่ไม่สามาถหลบฝ่ามือซ้ายที่ซัดตามมาได้ ร่างของมันจึงถูกฝ่ามือของโทคุงาวะซัดเข้าอย่างแรงจนได้รับบาดเจ็บ และร่วงตกลงไปบนพื้น!
“ตายซะเถอะ!”
เมื่อเห็นเจ้าขาวปุยได้รับบาดเจ็บ หลิงหยุนก็โกรธสุดขีด! มือซ้ายที่กำตะปูไว้ซัดเข้าใส่ร่างของโทคุงาวะอย่างรวดเร็ว และร่างของเขาก็พุ่งเข้าโทคุงาวะทันทีเช่นกัน!
ตะปูซัดของหลิงหยุนไม่สามารถทำอะไรโทคุงาวะที่มีกำลังภายในที่แข็งแกร่งได้ สิ่งเดียวที่เขาจะสามารถต่อกรกับโทคุงาวะได้จึงมีเพียงกระบี่วิเศษในมือเล่มนี้!
โทคุงาวะไม่สะทกสะท้านกับตะปูซัดของหลิงหยุน มือทั้งสองข้างของโทคุงาวะยกดาบขึ้นต้านกระบี่วิเศษในมือของหลิงหยุนที่ฟันลงมา แต่ครั้งนี้ดาบยาวของเขาไม่สามารถต้านทานได้ และถูกหลิงหยุนฟันขาด!
ในขณะเดียวกันก็ไม่ทันได้ระวังกระบี่ยาวในมือของตู้กู่โม่ที่แทงเข้ามา เขาทำได้แค่บิดตัวหลบ แต่กระบี่ของตู้กู่โม่ก็แทงเข้าที่แขนซ้ายของเขาจนเป็นบาดแผลค่อนข้างลึก และเลือดสีแดงก็พุ่งออกมาทันที!
ตู้กู่โม่ไม่หยุดเพียงแค่นั้น เขาแทงกระบี่เข้าใส่โทคุงาวะอีกครั้งจนได้รับบาดเจ็บอีก
หลิงหยุนใช้เพลงกระบี่พายุที่ตัวกระบี่จะหมุนด้วยความเร็วดั่งพายุ จากนั้นกระบี่สีดำก็หมุนปกคลุมไปทั่วร่างของโทคุงาวะ
โทคุงาวะ ทาเคซุกะ ที่ได้รับบาดเจ็บและไม่มีบอดี้การ์ดคอยปกป้อง ถูกหลิงหยุนฟันเข้าที่ร่างกายถึงสี่ครั้ง และในที่สุดการต่อสู้ที่ยาวนานก็สิ้นสุดลง และร่างของเขาก็ร่วงลงพื้น
ปัง!
หลิงหยุนซัดตะปูใส่ร่างที่ล้มลงของโทคุงาวะอีกครั้ง เจ้าขาวปุยได้รับบาดเจ็บเพราะโทคุงาวะ หลิงหยุนรุ้สึกเสียใจอย่างมาก และตอนนี้เขาก็เป็นห่วงความปลอดภัยของมันอย่างมากเช่นกัน
โทคุงาวะตกใจมาก และรีบยกมือขวาขึ้นปัดป้อง
ชัวะ!
กระบี่โลหิตแดนใต้ฟันเข้าที่แขนขวาของโทคุงาวะตรงกลางระหว่างหัวไหล่กับข้อศอก เลือดสีแดงพุ่งออกมาเป็นทาง และร่างทั้งร่างก็แดงฉานไปด้วยเลือด!
อ๊าก!
โทคุงาวะกรีดร้องออกมาอย่างเจ็บปวด และรีบใช้กำลังภายในห้ามเลือดไว้ แต่แล้วตู้กู่โม่ก็ใช้กระบี่แทงเข้าไปที่แขนซ้ายของเขาอีกครั้ง!
โทคุงาวะไม่สามารถหลบได้ทัน เขารู้ว่าตุ้กู่โม่และหลิงหยุนต่างก็ต้องการชีวิตของเขา เขารีบบิดแขนซ้าย และพุ่งตัวกระโดดขึ้นเพื่อต้องการหลบหนี
“เจ้าไม่มีทางหนีไปได้!” หลิงหยุนร้องบอก กระบี่วิเศษในมือของเขาฟันเข้าที่เอวของโทคุงาวะ!
โทคุงาวะหวาดกลัวอย่างมาก และรีบใช้มือคว้ากิ่งไม้ที่อยู่บนศรีษะเพื่อพยุงร่างไว้!
ชัวะ!!
หลิงหยุนฟันเข้าที่ขาของโทคุงาวะทั้งสองข้าง!
“นายเฝ้ามันไว้ให้ดี!” หลิงหยุนสั่งตู้กู่โม่ จากนั้นก็เดินไปหาเจ้าขาวปุยที่นอนอยู่เพื่อตรวจดูอาการบาดเจ็บของมัน
หลิงหยุนรีบตรวจดูอาการของเจ้าขาวปุย และพบว่าฝ่ามือของโทคุงาวะนั้นไม่รุนแรงนัก มันได้รับบาดเจ็บเพียงแค่เล็กน้อย และไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ชั่วคราว เขาจึงค่อยรู้สึกโล่งอก
หลิงหยุนเรียกเข็มทองออกมา และทำการใช้เก้าเข็มปลุกชีพรักษาอาการบาดเจ็บให้กับเจ้าขาวปุย จากนั้นก็ใช้ยันต์บำบัดรักษาร่องรอยของฝ่ามือ เขาค่อยๆประคองร่างของเจ้าขาวปุยขั้น และเดินตรงไปหาเฉินเจี้ยนเหยิวน
“พาโทคุงาวะมาที่นี่!” หลิงหยุนพูดกับตู้กู่โม่
ตู้กู่โม่แทบอยากจะเตะโทคุงาวะให้กระเด็นไปไกลสักยี่สิบเมตร เขาผลักร่างของโทคุงาวะให้เดินไป!
“นี่เป็นโทษที่เจ้ากินสมองของลิงขนทอง นี่เป็นโทษที่เจ้าทำร้ายเจ้าขาวปุยที่สวยงาม” ตู้กู่โม่เตะโทคุงาวะอย่างโกรธแค้น เขาเตะจนกระทั่งร่างของโทคุงาวะเดินไปยืนอยู่ข้างๆเฉินเจี้ยนเหยิวนจึงค่อยหยุด
หลิงหยุนไม่สนใจเลือดของโทคุงาวะ เขายกมือขึ้นหยิบรูปถ่ายจากกระเป่าเสื้อของโทคุงาวะ และเพียงแค่เหลือบดูก็รู้ว่ามันเป็นรูปฝาของหม้อทองแดง
“ตอนนี้จะบอกได้หรือยัง? พวกเจ้ามาที่เสินหนงเจี๋ยทำไม?” หลิงหยุนพูดพร้อมกับยิ้มสดใสให้กับคนทั้งคู่
“นี่.. ฉันเป็นทายาทของตระกูลโทคุงาวะที่ร่ำรวยที่สุดในญี่ปุ่น พวกแกไม่มีสิทธิ์ฆ่าฉัน.. และฉันก็จะไม่บอกอะไรทั้งนั้น!”
โทคุงาวะ ทาเคซุกะเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน กำลังภายในของเขาแข็งแกร่งอย่างมาก แขนขวาข้างหนึ่ง กับน่องอีกสองข้างถูกฟันจนบาดเจ็บ เลือดก็ยังไหลออกมาไม่หยุด แต่เขากลับยังสามารถใช้กำลังภายในหล่อเลี้ยงร่างกาย และยังมีชีวิตอยู่ได้
หลิงหยุนได้แต่นึกเย้ยหยันอยู่ในใจ.. จากนั้นก็เรียกหม้อทองคำใบใหญ่ออกมาจากแหวนพื้นที่ เขาจับหูของหม้อทองคำวางลงบนพื้น พร้อมกับถามขึ้นว่า
“พวกเจ้ามาที่นี่เพื่อหาสิ่งนี้ใช่ไม๊?”
“นั่นมัน.. หม้อเสินหนง!”
บทที่ 337 : ถึงเวลาตายของเจ้าแล้ว!
ทันทีที่ได้เห็นหม้อทองแดงที่หลิงหยุนวางลงบนพื้น โทคุงาวะ ทาเคซุกะถึงกับรีบใช้มือเช็ดเลือดที่ไหลอาบดวงตาออกทันที และพยายามจะคลานเข้าไปแตะ!
ส่วนเฉินเจี้ยนเหยิวนที่ถูกเข็มซัดของหลิงหยุนจี้จุดไว้จนไม่สามารถขยับตัวได้นั้น ก็พยายามดิ้นรนเช่นกัน แต่เมื่อเห็นสภาพของตนเองก็ได้แต่หมดหวัง
ตู้กู่โม่ใช้เท้าเหยียบร่างของโทคุงาวะที่พยายามเอื้อมมือออกไปไว้ แต่ก็ไม่สามารถหยุดความตื่นเต้นในดวงตาของโทคุงาวะได้
“โอ้พระเจ้า!! นี่มันหม้อเสินหนงจริงๆด้วย ช่างเป็นบุญตาของข้าจริงๆ! ฮ่า.. ฮ่า..”
โทคุงาวะร้องออกมาอย่างตื่นเต้นดีใจราวกับว่าตนเองได้เป็นเจ้าของหม้อเสินหนงใบนี้
ในเวลานี้.. แม้แต่ตู้กู่โม่เองก็ถึงกับตกใจสุดขีดเช่นกัน! นับแต่ที่เขาได้พบหลิงหยุนนั้น หลิงหยุนก็มีทั้งกระบี่ของนิกายมารอย่างกระบี่โลหิตแดนใต้ มีน้ำเต้าวิเศษ มียันต์ที่สามารถใช้รักษาอาการบาดเจ็บ มียันต์อัคนีที่น่ากลัว และยังมีสมบัติล้ำค่าที่สามารถเก็บสิ่งของเหล่านี้อีกด้วย ซ้ำยังเป็นผู้ที่มีความรู้เรื่องค่ายกลอย่างลึกซึ้ง!
หลิงหยุนผู้นี้เป็นใครกันแน่? เขาเป็นศิษย์สำนักหมอสวรรค์จริงๆงั้นหรือ? เพราะแม้แต่เขาเองก็ไม่เคยได้ยินชื่อสำนักนี้มาก่อนเช่นกัน?
ตอนนี้หลิงหยุนมีกำลังภายในที่แข็งแกร่งและน่ากลัวมาก.. แต่เท่าที่ตู้กู่โม่จำได้ เมื่อครั้งที่เขาพบกับหลิงหยุนที่ไนท์คลับคืนนั้น กำลังภายในของหลิงหยุนยังอยู่เพียงแค่ขั้นโฮ่วเทียน-5 เท่านั้น
แต่ผ่านไปเพียงแค่ห้าหกวัน.. เมื่อเขาได้พบกับหลิงหยุนที่ก้นหลุมยักษ์อีกครั้ง กำลังภายในของหลิงหยุนกลับแข็งแกร่งขึ้นมาก จนแม้แต่เขาเองยังดูไม่ออกว่าตอนนี้หลิงหยุนอยู่ในขั้นใหนกันแน่
ในยามที่หลิงหยุนมีสีหน้าสงบนิ่ง.. เขาก็ดูไม่แตกต่างจากเด็กวัยรุ่นธรรมดาทั่วไป ซ้ำยังมีใบหน้าที่หล่อเหลาอย่างมาก อีกทั้งในยามที่เขายิ้มและหัวเราะก็มีเสน่ห์น่าดึงดูดอย่างมากเช่นกัน นอกเหนือจากนั้นก็ดูไม่มีอะไรพิเศษ!
ในยามที่เขาไม่โมโห.. แววตาของเขากลับยิ่งอ่อนโยน และสงบนิ่งอย่างเหลือเชื่อ ในยามที่เขาแย้มยิ้มหรือหัวเราะ ก็มีแต่ความบริสุทธิ์สดใส จนทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นต่างก็อยากจะเข้าใกล้
หากเปรียบเทียบการพบกันของเขากับหลิงหยุนครั้งนี้กับครั้งแรก ตู้กู่โม่ก็ไม่สามารถสรรหาคำพูดใดมาบรรยายความพิเศษของหลิงหยุนได้ และในยามนี้เขาก็รู้สึกดีกับหลิงหยุนมากกว่าครั้งแรกที่ได้พบกันมาก!
ยิ่งไปกว่านั้น ความเป็นเลิศของหลิงหยุนในหลายๆด้าน ก็ทำให้ตู้กู่โม่ถึงกับอึ้ง และได้แต่ยอมรับหลิงหยุนโดยที่เขาเองก็ไม่อาจอธิบายได้ เขารู้แต่ว่าตนเองต้องยอมรับคำสั่งของหลิงหยุนไปเองโดยปริยาย
‘นี่มันอะไรกัน..? ข้าตู้กู่โม่ก็เป็นยอดคนแห่งตระกูลตู้กู่ แต่เหตุใดจึงไม่สามารถเทียบหลิงหยุนได้ในทุกๆด้าน?’
“หลิงหยุน.. ถ้าคุณปล่อยผมไป และมอบหม้อเสินหนงนั่นให้กับตระกูลโทคุงาวะของเรา ผมรับปากว่าความบาดหมางของพวกเราในวันนี้เป็นอันจบกัน และไม่ว่าคุณต้องการสิ่งใด ตระกูลโทคุงาวะของเราจะหามาให้ อีกทั้งเรายังจะให้ทรัพย์สินเงินทอง ให้ความร่ำรวย และสาวสวยกับคุณ! คุณคงไม่รู้สิว่าสาวญี่ปุ่นสวยๆนั้นบริการผู้ชายดีขนาดใหน!?”
โทคุงาวะ ทาเคซุกะยังคงกระสันอยากจะได้หม้อเสินหนง สายตาของเขาที่จ้องมองหม้อเสินหนงนั้น ไม่ต่างจากเด็กหนุ่มอายุสิบแปดปีที่กำลังเห็นนางฟ้าของตนเองเปลื้องเสื้อผ้าต่อหน้า
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับชูภาพถ่ายของโทคุงาวะขึ้นมา “แกไม่มีคุณสมบัติพอที่จะต่อรองกับฉัน! ถ้าฉันเดาไม่ผิด นี่คงจะเป็นฝาของหม้อเสินหนงสินะ? ถูกใช่ไม๊ล่ะ? และตอนนี้มันก็อยู่กับตระกูลของแกใช่ไม๊? ตอบ!!”
หลิงหยุนใช้มังกรคำรามสะกดจิตโทคุงาวะ และโทคุงาวะที่ใกล้จะตายก็พยักหน้าและตอบกลับมากว่า “ใช่!!”
หลิงหยุนถามต่อ “แล้วบ้านของแกอยู่ที่ใหน?”
โทคุงาวากำลังจะเอ่ยปากพูด แต่จู่ๆเขาก็ได้สติขึ้นมา! และยกมือขึ้นชี้หน้าหลิงหยุนพร้อมกับส่ายหน้า
“หลิงหยุน.. แกเป็นปีศาจ! นี่แกใช้เวทย์มนต์อะไรสะกดจิต?”
หลิงหยุนแอบคิดว่าชายญี่ปุ่นผู้นี้ช่างมีกำลังจิตที่แข็งแกร่งนัก ขนาดเขาใช้มังกรคำรามสะกดจิต แต่ชายผู้นี้กลับรู้สึกตัวได้อย่างรวดเร็ว
หลิงหยุนแสยะยิ้ม “จัดการกับปีศาจอย่างพวกแก ฉันก็ต้องใช้วิธีของปีศาจสิ! บอกมา.. พวกแกได้แผนที่มาได้ยังไง? ถ้าแกตอบอะไรที่เป็นประโยชน์ ฉันจะปล่อยแกไป!”
นี่เป็นสิ่งที่หลิงหยุนกังวลมากที่สุด ในเมื่อโทคุงาวะมีแผนที่ที่เข้าใกล้หุบเขาแห่งนั้นมาก คนในตระกูลของเขาก็ต้องมีแผนที่ในหุบเขาเสินหนงเช่นกัน และนั่นล่ะคือปัญหาใหญ่!
“หลิงหยุน.. แกฆ่าฉันไม่ได้หรอก! ฉันได้จัดการส่งข้อมูลทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้กลับไปให้คนในตระกูลของฉันแล้ว ถ้าแกฆ่าฉันตาย.. รับรองว่าตระกูลโทคุงาวะและนักรบในตระกูลของเรา จะต้องตามไล่ล่าแกแทบพลิกแผ่นดินเลยล่ะ!” โทคุงาวะข่มขู่หลิงหยุน
แต่หลิงหยุนเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย และใช้กระบี่โลหิตแดนใต้ในมือลูบศรีษะโทคุงาวะพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“แกอย่ามาขู่ซะให้ยากเลย! เราสองคนสู้กันอย่างดุเดือดมาตลอด แกจะเอาเวลาตอนใหนไปส่งข้อมูลพวกนั้นได้!?”
แม้หลิงหยุนจะตอบไปเช่นนั้น แต่ในใจเขากลับคิดว่ามันมีความเป็นไปได้! เพราะเมื่อครั้งที่เขาสู้กับเหอซิงหยาน เหอซิงหยานยังสามารถส่งสัญญาณเรียกนักฆ่าสวรรค์ให้ตามมาได้ถึงสามคน โดยการใช้เครื่องมือสื่อสารขององค์กรนักฆ่าที่เขาพกติดตัวมา ทำให้หลิงหยุนต้องเผชิญหน้ากับบอันตรายจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ดังนั้น.. เขาจึงไม่อาจที่จะไม่เชื่อคำพูดของโทคุงาวะได้!
“ได้สิ.. ก็ตอนที่แกไปไล่จับไอ้สวะนั่นไง..”
โทคุงาวะหันหน้าไปมองเฉินเจี้ยนเหยิวนที่ไม่สามารถขยับตัวได้ จากนั้นก็หันไปพูดกับหลิงหยุนอย่างจองหอง
“เทคโนโลยีของประเทศญี่ปุ่นทุกวันนี้ก้าวหน้าไปมาก.. คนจีนล้าหลังอย่างพวกแกคงไม่เข้าใจหรอก!”
หลิงหยุนยกมือชี้ไปที่ปืนลักษณะคล้ายอาวุธสงครามที่วางอยู่ข้างเต๊นท์ พร้อมกับหัวเราะและพูดขึ้นว่า
“เทคโนโลยีชั้นสูงยังวางอยู่ที่เดิม และไม่ใช่เพราะคนจีนล้าหลังเหรอที่ทำให้แกต้องอยู่ในสภาพนี้?”
หลิงหยุนมั่นใจว่าโทคุงาวะไม่น่าจะพูดโกหก แต่ก็คงจะไม่สามารถให้ข้อมูลอะไรได้มากเพราะเวลาของเขามีจำกัด..
ตอนนี้กำลังภายในของหลิงหยุนก็พัฒนาขึ้นมาก และไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพลังชีวิตเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว และตอนนี้เขาเองก็มีของวิเศษอยู่ในมือมากมาย หลิงหยุนจึงไม่นึกหวาดกลัวตระกูลโทคุงาวะแม้แต่น้อย
หลิงหยุนเดินเข้าไปหาร่างที่ชุ่มด้วยเลือดของโทคุงาวะพร้อมกับยิ้มอย่างเลือดเย็น
“โทคุงาวะ.. ฉันจะบอกอะไรให้ ฉันไม่สนใจว่าโคตรเหง้าตระกูลของแกจะเป็นใคร? แต่จำไว้ว่าสมบัติของชาวจีนจะต้องไม่ตกไปอยู่ในมือของชาวญี่ปุ่นอย่างพวกแก.. แกมั่นใจได้เลยว่าฝาหม้อ..”
หลิงหยุนหยิบรูปถ่ายขึ้นมาให้โทคุงาวะดู และพูดต่อว่า “ฝาหม้อใบนั้น.. ฉันจะไปเอามันกลับมาอย่างแน่นอน! แกตายตาหลับได้แล้ว!”
พูดจบ.. หลิงหยุนก็ใช้กระบี่ในมือขวาตัดหัวของโทคุงาวะ ทาเกซูกะทันที!
“นี่พ่อคนเก่ง.. เจ้าบ้าไปแล้วหรือยังไง? ไม่ให้ข้าฆ่ามัน แต่เจ้ากลับฆ่ามันซะเอง?!”
ตู้กู่โม่เห็นหลิงหยุนใช้กระบี่ตัดหัวของโทคุงาวะก็ถึงกับตกใจจนต้องกระโดดถอยหลังออกมา แต่ก็ยังไม่พ้น เพราะเลือดของโทคุงาวะได้กระเด็นใส่ตัวของเขาจนเปื้อนไปหมด
“ใครฆ่าก็เหมือนกัน..”
หลิงหยุนตอบยิ้มๆ พร้อมกับหันไปมองเฉินเจี้ยนเหยิวน เขาเงื้อกระบี่ในมือขึ้นแล้วพูดว่า “ถึงตาแกแล้ว!”
“ฉันไหว้ล่ะ.. อย่าฆ่าฉันเลย! ฉันเป็นแค่เศษสวะ ปล่อยฉันไปเถิดนะ!” เฉินเจี้ยนเหยิวนมองหลิงหยุนที่ดูเหมือนตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว จึงรีบร้องขอความเมตตาอย่างไม่อาย
หากเขาขยับตัวได้ เขาคงมีลูกเล่นมากกว่านี้..
“ปล่อยแกงั้นรึ?!” หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับพูดต่อว่า
“ปล่อยแกก็เท่ากับปล่อยเสือเข้าป่า แกก็จะเอาข้อมูลของฉันไปรับรางวัลจากตระกูลโทคุงาวะ? ฉันจะปล่อยแกให้ไปพาคนมาแก้แค้นฉันเพื่ออะไร?”
“แต่นายบอกจะไว้ชีวิต ถ้าฉัน..” เฉินเจี้ยนเหยิวนทำหน้าเหมือนเด็กที่กำลังจะร้องไห้
หลิงหยุนหัวเราะอย่างมีความสุข “แกยังจำได้ดีนี่ เอาล่ะถ้างั้นก็พูดมา!”
เฉินเจี้ยนเหยิวนต้องการรักษาชีวิตตัวเองจึงรีบตอบกลับไปว่า “ได้.. ได้.. ฉันพูดแล้ว..”
เมื่อครั้งที่ญี่ปุ่นได้เข้ามาบุกรุกประเทศจีนในช่วงปลายสงครามนั้น พวกมันได้เผาเสินหนงเจี๋ย และปล้นสะดมภ์ชาวบ้านในเวลานั้นอย่างบ้าคลั่ง เพียงเพื่อตามหาหม้อใบนี้
พวกมันรู้ว่าวัตถุที่ทำจากทองแดงสัมฤทธิ์นี้ เป็นมรดกทางวัฒนธรรมเก่าแก่ที่มีมูลค่ามหาศาล พวกมันเสาะหานายพรานที่เคยเข้าไปในหุบเขาแห่งนั้น แต่ตอนนี้นายพรานเหล่านั้นก็อายุมากแล้ว แต่ก็ถูกพวกมันบังคับให้นำทางไปที่หุบเขาแห่งนั้นเพื่อตามหาตัวหม้อ
แต่นายพรานที่พาพวกมันไปตอนนั้นมีอายุมากกว่าเจ็ดสิบปีแล้ว จึงไม่สามารถทนต่อการเดินทางระยะไกลได้ เพียงแค่สิบวันหลังจากนั้น เขาก็ได้เสียชีวิตลงจากความหนาวเย็นบนภูเขา
แต่ในระหว่างนั้นสงครามก็สิ้นสุดพอดี คนญี่ปุ่นพวกนั้นจึงไม่มีเวลาที่จะไปสำรวจหุบเข้าแห่งนั้นอีก แต่ก็ได้เขียนแผนที่ไว้สำหรับเตรียมตัวที่จะขึ้นมาที่นี่ใหม่อีกครั้ง
และตอนนี้.. ฝาหม้อใบนี้ก็ได้ตกไปอยู่ในมือของตระกูลโทคุงาวะ พวกเขาให้ผู้เชี่ยวชาญมากมายมาทำการตรวจสอบฝาหม้อใบนี้ ทุกคนต่างก็ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าฝาหม้อใบนี้คือฝาหม้อเสินหนงในตำนานอย่างแน่นอน
นอกเหนือจากหม้อเสินหนงใบนี้แล้ว ก็ยังมีความลับเกี่ยวกับสมุดจักรพรรดิอีกด้วย!
เมื่อใดก็ตามที่หาหม้อเสินหนงพบ ก็จะมีโอกาสได้พบสมุดจักรพรรดิด้วยเช่นกัน! ดังนั้นตระกูลโทคุงาวะจึงเริ่มร่วมมือกับตระกูลใหญ่ในประเทศจีน และในที่สุดก็ได้ตกลงกับตระกูลเฉินในปักกิ่งที่จะทำภารกิจนี้ร่วมกัน หลังจากทำข้อตกลงกันแล้ว ทั้งสองฝ่ายพร้อมทีมติดตามต่างก็เดินทางเข้ามาในป่าเสินหนงเจี๋ยแห่งนี้
และเฉินเจี้ยนเหยิวนก็คือตัวแทนที่ตระกูลเฉินส่งมาร่วมสำรวจในทีมครั้งนี้!
แน่นอนว่าโทคุงาวะ ทาเคซุกะนั้นไม่เชื่อใจเฉินเจี้ยนเหยิวนอยู่แล้ว และเฉินเจี้ยนเหยิวนเองก็รู้เพียงว่าครอบครัวของเขาส่งเขามาเป็นเพื่อนเดินทางของโทคุงาวะ เพื่อตามหาสิ่งของบางอย่าง และเขาจะได้รับผลประโยชน์อย่างมากมายเมื่อสำเร็จ..
หลังจากที่ได้ฟังเฉินเจี้ยนเหยิวนพูด หลิงหยุนก็เข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้ง เขายิ้มพร้อมกับถามว่า “แล้วตระกูลเฉินตกลงอะไรกับตระกูลโทคุงาวะ?”
เฉินเจี้ยนเหยิวนรีบส่ายหน้า “นี่เป็นความลับสูงสุดของตระกูล ฉันจะไปรู้ได้ยังไง? แต่ตอนนี้ตระกูลเฉินเป็นตระกูลที่ใหญ่เป็นอันดับสามในจำนวนเจ็ดตระกูล ฉันคิดว่านี่อาจจะเป็นเพียงก้าวแรกของการพาตระกูลขึ้นเป็นตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งก็ได้?!”
หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับพูดยิ้มๆ “เอาล่ะ.. คราวนี้ก็ตอบฉันมาว่า จะออกจากเสินหนงเจี๋ยได้เร็วที่สุดยังไง?”
เฉินเจี้ยนเหยิวนหลงดีใจคิดว่าหลิงหยุนจะปล่อยเขาไปจริงๆ จึงรีบบอกทางออกให้กับหลิงหยุน หลิงหยุนฟังแล้วก็พยักหน้าและตอบไปว่า
“แกทำดีมาก.. เอาล่ะ.. ถึงเวลาตายของแกแล้ว!”
“อะไรกัน?! ใหนบอกว่าจะปล่อยฉันไปไง?” เฉินเจี้ยนเหยิวนตกใจสุดขีด!
“แกโง่ที่เชื่อฉันเอง ฉันพูดเล่น!” หลิงหยุนหันไปมองตู้กู่โม่
ตู้กู่โม่ยกกระบี่ในมือขึ้นแทงลงไปที่ลำคอของเฉินเจี้ยนเหยิวนทันที!
บทที่ 338 : กลับจิงฉูอย่างทรหด!
“ที่รัก.. อีกไม่นานข้าจะไปพาเจ้ากลับจากญี่ปุ่นอย่างแน่นอน!” หลิงหยุนพึมพำกับตัวเองขณะที่มองดูภาพถ่ายของฝาหม้อเสินหนงที่อยู่ในมือ
ตู้กู่โม่ได้ยินคำพูดของหลิงหยุนถึงกับขนหัวลุกพร้อมกับร้องบอกไปว่า “ข้าไม่ไปกับเจ้าด้วยหรอกนะ!”
ส่วนเจ้าขาวปุยนั้นดูเหมือนอาการบาดเจ็บจะค่อยๆดีขึ้น มันจ้องมองหลิงหยุนพร้อมกับยิ้มหวานให้เขา
หลิงหยุนยืนมองภาพถ่ายอยู่นาน จากนั้นจึงหันไปมองหม้อเสินหนงที่วางอยู่ข้างๆ หลิงหยุนสำรวจหม้อใบนั้นพร้อมกับส่ายหน้าแล้วพูดขึ้นมาว่า
“ชื่อก็ฟังดูดีหรอกนะ แต่สภาพของมันเก่ามาก ดูแล้วก็ไม่เห็นจะสวยตรงใหน! ตู้กู่โม่นายช่วยฉันตรวจดูหม้อใบนี้หน่อยสิว่ามันมีความพิเศษตรงใหน?”
ตู้กู่โม่เพียงแค่ส่ายหน้าพร้อมกับตอบไปว่า “ถ้าคนเก่งจากสำนักหมอสวรรค์อย่างเจ้ายังไม่รู้.. แล้วข้าจะไปรู้ได้ยังไง? เจ้ารีบเก็บมันกลับไปเถอะ พวกเราจะได้ออกไปจากที่นี่กันซะที!”
หลิงหยุนยิ้มและตอบไปว่า “นายเป็นคนพูดเองไม่ใช่เหรอว่าของที่ได้มาให้แบ่งครึ่งกัน? หม้อนี้หนักมาก.. นายช่วยฉันแบกไปครึ่งทางก่อน..”
ตู้กู่โม่ถึงกับตกใจตาโต เขาหันไปมองหลิงหยุนพร้อมกับร้องบอกว่า “ใครพูดว่าจะแบ่งครึ่งกับเจ้า? หม้อนี่แค่มองก็รู้แล้วว่าหนักแค่ใหน.. ข้าไม่โง่หรอกนะ!”
หลิงหยุนหัวเราะเสียงดังพร้อมกับเอื้อมมือไปคว้าหูของหม้อเสินหนง และเรียกเข้าไปเก็บในแหวนพื้นที่ และนั่นก็ถึงกับทำให้ตู้กู่โม่ตะลึงจนพูดไม่ออกอีกครั้ง
“เร็วเข้า! มาช่วยกันค้นตามตัวของคนพวกนี้ก่อน!”
แต่ตู้กู่โม่กลับถามขึ้นอย่างแปลกใจ “คนก็ตายไปแล้ว เจ้าจะค้นตัวพวกเขาไปทำไมกัน?!”
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะเดินไปตรวจค้นร่างของเฉินเจี้ยนเหยิวนเป็นรายแรก เพียงไม่นาน.. หลิงหยุนก็พบเงินสดสองปึกในร่างของเฉินเจี้ยนเหยิวน เขารีบร้องบอกตู้กู่โม่..
“เห็นไม๊!! ไม่ใช่จะเอาแต่ฆ่าคนแล้วก็ไป การสังหารคนชั่วมักต้องมีรางวัลตอบแทน!”
ตู้กู่โม่เป็นเด็กดีและจิตใจบริสุทธิ์ เขาถึงกับตกใจกับพฤติกรรมของหลิงหยุนจนต้องร้องถามขึ้นว่า “ทำแบบนี้มันจะดีรึ?!”
เมื่อพบว่าร่างของเฉินเจี้ยนเหยิวนไม่มีอะไรแล้ว หลิงหยุนก็ขยับไปที่ร่างของโทคุงาวะต่อ
“มีเครื่องมือสื่อสารจริงๆด้วย!”
หลิงหยุนพบเครื่องมือสื่อสารในร่างของโทคุงาวะ แต่เขาไม่มีความรู้เรื่องอุปกรณ์ไฮเทคเหล่านี้มากนัก หลังจากพลิกดูเครื่องมือสื่อสารอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ร้องบอกตู้กู่โม่ว่า
“จัดการทำลายเครื่องนี้ทิ้งซะ!”
ตู้กู่โม่ไม่ต้องการแตะต้องเนื้อตัวของคนญี่ปุ่นก็จริง แต่เขากฌเข้าใจสิ่งที่หลิงหยุนพูดจึงได้แต่พยักหน้าและเข้าไปช่วยหลิงหยุนอีกแรง
ทั้งสองคนจัดการตรวจค้นตามร่างกายของแต่ละคนอย่างละเอียด และเมื่อพบเครื่องมือสื่อสาร หรือเครื่องมืออิเล็คทรอนิคอย่างอื่น พวกเขาก็รวบรวมไว้เป็นกองเดียวกัน แล้วหลิงหยุนก็จัดการใช้ยันต์อัคนีเผาทำลายทิ้งไปพร้อมๆกัน
หลิงหยุนพบเงินสดเพิ่มอีกจำนวนหนึ่งแสนแปดหมื่นหยวน รวมกับเงินสดสองปึกแรกจำนวนสองแสนหยวน
อาวุธปืนและกระสุนเหล่านั้นไม่มีประโยชน์กับหลิงหยุนแม้แต่น้อย เขากับตู้กู่โม่จึงทำการขุดหลุมและจัดการฝังอาวุธเหล่านั้นซ่อนไว้ใต้พุ่มไม้
“เอาล่ะ.. ส่วนซากศพพวกนี้ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสัตว์ป่าในนี้ก็แล้วกัน พวกเราไปกันได้แล้ว!”
พูดจบ.. หลิงหยุนและตู้กู่โม่ก็พาเจ้าขาวปุยเดินไปตามเส้นทางที่เฉินเจี้ยนเหยิวนบอก
โทคุงาวะ ทาคาซุเกะผู้น่าสงสาร เขาต้องการกินสมองลิง แต่คงคิดไม่ถึงว่าท้ายที่สุดร่างของตนเองกลับต้องมานอนแน่นิ่งอยู่ในป่าเสินหนงเจี๋ยอย่างไม่มีวันฟื้น และต้องถูกสัตว์ป่ามากมายรุมทึ้ง!
เฉินเจี้ยนเหยิวนบอกทางได้ดีเยี่ยม ทั้งหลิงหยุนและตู้กู่โม่ต่างก็เดินมาตามเส้นทางที่เขาบอก และหลังจากข้ามภูเขามาถึงสี่ลูก ในที่สุดพวกเขาก็พบกับถนน!
หลิงหยุนจัดการเก็บกระบี่ยาวของตู้กู่โม่ไว้ในแหวนพื้นที่ จากนั้นก็ให้เจ้าขาวปุยใช้วิชาลวงตาให้คนอื่นมองไม่เห็นหางของมัน ตู้กู่โม่ได้เห็นวิชาลวงตาของเจ้าขาวปุยมาก่อนแล้วจึงไม่ประหลาดใจอีก
ระหว่างทางที่เดินออกจากป่านั้น ทั้งคู่ก็ได้ลงไปอาบน้ำชำระคราบเลือดตามร่างกายและเสื้อผ้าแล้ว แต่ก็ต้องสวมเสื้อผ้าเปียกเดินลงไปตามถนน
แม้ว่าทั้งคู่จะได้ชำระล้างคราบเลือดตามร่างกายออกไปแล้ว แต่ทั้งคู่ก็ต้องเผชิญกับสายตาเย็นชาของนักท่องเที่ยว ทั้งคู่ต่างก็ทำให้นักท่องเที่ยวหวาดกลัว เพราะนึกว่าเป็นคนป่าออกมาจากเสินหนงเจี๋ย
นั่นเพราะทั้งคู่ต่างก็ผ่านการต่อสู้ที่แสนหฤโหดมา และยังต้องเดินทางผ่านภูเขาและป่ามาอีกหลายลูก เสื้อผ้าจึงขาดวิ่น และดูคล้ายขอทานอีกด้วย
แต่มีนักท่องเที่ยวบางกลุ่มเห็นว่าทั้งสองคนดูไม่เหมือนคนป่าที่เคยได้ฟังมา พวกเขาจึงเข้ามาถามไถ่ว่าเกิดอะไรขึ้น
หลิงหยุนจึงเล่าให้ฟังว่า.. พวกเขาทั้งคู่มาเที่ยวที่เสินหนงเจี๋ยเหมือนกับนักท่องเที่ยวคนอื่น แต่เกิดหลงทางในป่า และต้องเดินข้ามภูเขาและป่าดงดิบมาเป็นเวลาหลายวันหลายคืน กว่าจะหาทางออกจากป่าได้
ตอนนี้เพิ่งจะแปดโมงเช้า.. หากออกเดินทางกลับจิงฉูตอนนี้ อย่างช้าที่สุดเขาก็กลับไปถึงจิงฉูไม่เกินเที่ยงคืน และยังสามารถไปงานวันเกิดของหนิงน้อยทัน
บริเวณนั้นมีรถมินิบัสไว้บริการนักท่องเที่ยวในเสินหนงเจี๋ยอยู่มากมาย แต่เมื่อเห็นการแต่งตัวของคนทั้งคู่ก็แทบไม่มีใครอยากรับ แต่เมื่อคนขับรถเหลือบไปเห็นธนบัตรสีแดงปึกใหญ่ในมือของหลิงหยุน เขาก็ตาโตขึ้นมาทันที!
เขาไม่ถามอะไรอีก และรีบเชื้อเชิญหลิงหยุนและตู้กู่โม่ให้ขึ้นมาบนรถ และถามไถ่จุดหมายปลายทางที่ต้องการจะไป
หลิงหยุนบอกไปว่าพวกเขาต้องการไปที่เมื่อมู่หยูก่อน ไปถึงเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี และหากคนขับสามารถทำเวลาได้เร็วเป็นที่พอใจ เขาก็จะเพิ่มค่าจ้างให้
คนขับรถได้ฟังถึงกับตาโตขึ้นมาทันที วันนี้เป็นวันเสาร์และตอนนี้ก็ยังเช้ามาก รถราบนถนนก็ยังไม่คับคั่ง เขาใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีก็ไปถึงตัวเมืองมู่หยูแล้ว
หลิงหยุนดีใจมาก และรีบหยิบเงินให้คนขับรถหนึ่งพันหยวน จากนั้นก็ถามถึงเส้นทางที่จะไปยังใจกลางเมือง และเงินก็สามารถทำได้ทุกอย่างจริงๆ หลิงหยุนใช้เงินปึกนั้นลูบไล้ไปตามแขนของคนขับรถบัสพร้อมกับถามต่อว่า..
“แล้วจากที่นี่ไปอี้ชางใช้เวลานานเท่าไหร่?”
“ถ้าขับด้วยความเร็วปกติ ก็ใช้เวลาราวสองชั่วโมงครึ่ง!” คนขับรถใจเต้นเร็ว และเสียงเริ่มสั่น
หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับถามต่อว่า “เอาล่ะ.. ถ้างั้นไปส่งพวกเราที่อี้ชาง คิดเท่าไหร่?”
คนขับรถคิดแล้วจึงตอบกลับไปว่า “หนึ่งพัน!”
หลิงหยุนยิ้มและตอบกลับไป “ผมจะให้คุณเพิ่มเป็นสองพัน ถ้าคุณทำเวลาได้สองชั่วโมง! แต่ถ้าทำเวลาได้ดีกว่านั้น ก็รับเพิ่มไปอีกห้าร้อยหยวนในทุกๆครึ่งชั่วโมง! คุณต้องคำนวนเอาเองแล้วล่ะ!”
คนขับรถมินิบัสเหยียบอย่างไม่คิดชีวิต เขาเหยียบคันเร่งจนมิดและขับไปด้วยความเร็วอย่างบ้าคลั่ง!
ผลปรากฏว่า.. พวกเขาใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงกับอีกนิดหน่อย ก็มาถึงอี้ชางแล้ว หลังจากที่คนขับหยุดรถ เขาก็ใช้มือปาดเหงื่อและพูดกับหลิงหยุนว่า
“น้องชาย.. ผมเร่งความเร็วจนสุดแล้ว! ดูเหมือนว่ากรมทางหลวงคงจะได้ค่าปรับจากผมหลายเงินแน่!”
หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับหยิบเงินห้าพันหยวนส่งให้คนขับรถ “ผมไม่เอาเปรียบคุณหรอกครับ ผมให้คุณห้าพันหยวนเลย อ่อ.. คุณช่วยหารถดีๆให้ผมสักคันจะได้ไม๊ เอาคันที่คนขับขับเร็วๆได้ยิ่งดี!”
คนขับรถถามอย่างประหลาดใจ “ดูคุณรีบร้อนมาก.. ถ้ารีบร้อนขนาดนี้ทำไมถึงไม่ไปเครื่องบินล่ะครับ สนามบินอยู่ไม่ไกลนี่เอง!?”
หลิงหยุนส่วยหน้าพร้อมกับตอบยิ้มๆ “ผมทำบัตรประชาชนหายในเสินหนงเจี๋ย อย่าว่าแต่เครื่องบินเลย รถไฟผมยังขึ้นไม่ได้เลยตอนนี้!”
คนขับรถมินิบัสครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบกลับไปยิ้มๆว่า “คุณถามถูกคนแล้วล่ะครับ ผมมีเพื่อนคนหนึ่ง รถของเขาเป็นรถ BMW ผมจะลองถามเขาให้นะครับ!”
หลิงหยุนพยักหน้ายิ้มๆ “เท่าไหร่ผมก็ยอมจ่าย ขอให้เร็วเป็นพอ!”
และในที่สุดหลิงหยุนและตู้กู่โม่ก็เปลี่ยนไปนั่งรถ BMW แทน และหลิงหยุนก็ต้องจ่ายให้กับคนขับรถ BMW ถึงหนึ่งหมื่นหยวน
คนขับรถ BMW นั้นขับได้เร็วกว่ารถคันอื่นจริงๆ เพราะเพียงแค่สองชั่วโมงเขาก็พาทุกคนมาถึงหวู่ฮั่นตามที่ตกลงแล้ว
หลังจากที่ได้สนทนากันระหว่างทาง เมื่อคนขับรถรู้ว่าจุดหมายปลายทางของทั้งคู่นั้นคือเมืองหลวงของมณฑลเจียงหนาน เขาจึงยื่นข้อเสนอที่จะขับไปส่งให้ถึงเมืองจิงฉู
หลิงหยุนคิดพร้อมกับถามขึ้นว่า “จากนี่ไปถึงจิงฉูระยะทางเท่าไหร่?”
คนขับรถตอบไปว่า “ก็อีกราวแปดร้อยกิโลเมตร ด้วยความเร็วของผม ผมใช้เวลาราวหกชั่วโมง!”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับถามขึ้นว่า “นี่แสดงว่าคุณต้องขับรถเร็วมากเลยสินะ.. ทำแบบนี้บ่อยๆไม่น่ารอดมาได้?”
คนขับรถตอบกลับมาว่า “ความจริงแล้วผมเองก็ไม่ได้ขับรถเร็วแบบนี้มานานแล้วล่ะ แต่ร่างกายของเราต้องกินต้องใช้ เราก็ต้องหาเงิน? เอาเป็นว่าถ้าน้องชายจ่ายเงินงาม ผมรับรองว่าจะพากลับไปจิงฉูให้เร็วที่สุด รับรองว่าไปทันงานวันเกิดแฟนอย่างแน่นอน!”
หลิงหยุนหัวเราะอย่างพอใจ “แล้วต้องการเท่าไหร่ล่ะ?”
คนขับรถเรียกหลิงหยุนสองหมื่น และหลิงหยุนก็พยักหน้าทันที จากนั้นคนขับรถก็ไปจัดการเติมน้ำมัน และพาหลิงหยุนกับตู้กู่โม่ไปหาซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ ก่อนออกเดินทางทั้งสามคนก็หาอะไรง่ายๆกินกัน หลังจากกินเสร็จก็บ่ายโมงตรงพอดี ทั้งหมดจึงมุ่งหน้าไปยังเมืองจิงฉู มณฑลเจียงหนาน..!
เวลาหนึ่งทุ่มครึ่ง หลิงหยุนและตู้กู่โม่ก็มาถึงเมืองจิงฉูพอดี!
ระยะทางเป็นพันกิโลเมตร หลิงหยุนกับตู้กู่โม่ออกเดินทางจากเสินหนงเจี๋ยตั้งแต่เจ็ดโมงครึ่ง และมาถึงเมืองจิงฉูเวลาทุ่มครึ่ง หมดเงินไปกับค่ารถหลายหมื่นหยวน เช่นนี้แล้วจะไม่เรียกว่าการเดินทางที่ทรหดได้ยังไง?
บทที่ 339 : หนิงน้อยโศกเศร้า
“เสียดายเงินจริงๆ! นี่นายผลาญเงินเล่นหรือยังไง?!”
คู่หูของหลิงหยุนเปิดประตูรถ BMW ออกมาพร้อมกับบ่มพึมพำ แน่นอนว่าตู้กู่โม่ไม่ใช่คุณชายที่ไม่เคยเห็นเงิน แต่เขาอดคิดไม่ได้ว่าเพียงแค่ต้องการกลับมาฉลองวันเกิดกับแฟนสาว หลิงหยุนยอมใช้เงินไปถึงสามหมื่นหยวนกับการเดินทางเพียงแค่พันกว่ากิโลเมตร เขาเองก็เพิ่งเคยพบเจอเป็นครั้งแรก!
ตู้กู่โม่ยิ้มกว้างให้หลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า “นี่.. ข้าว่าเจ้าคงเป็นบ้าไปแล้ว!”
หลิงหยุนควักเงินสองหมื่นหยวนออกมา พร้อมกับเพิ่มให้อีกสองพัน แล้วยื่นให้กับคนขับรถพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ขอบคุณพี่ชายมากที่ขับรถให้พวกเรามาทั้งวัน ถ้ายังไงคืนนี้ก็อยู่เที่ยวเมืองจิงฉูก่อนก็แล้วกันนะครับ ถือซะว่าคืนนี้ผมเป็นเจ้ามือให้เอง แล้วพรุ่งนี้ค่อยกลับ! อ่อ.. ขากลับไม่ต้องขับรถเร็วนะครับ”
“ครับผม.. ขอบคุณน้องชายมากครับ!”
คนขับรถที่ต้องปากกัดตีนถีบหาเลี้ยงครอบครัว ยอมขับรถด้วยความเร็วมาที่เมืองจิงฉูเพราะต้องการเงิน หลิงหยุนจึงรู้สึกเห็นใจ..
แต่หลิงหยุนก็แอบคิดในใจว่า.. ถึงยังไงเงินพวกนี้ก็ไม่ใช่เงินของเขาอยู่แล้ว เขาจึงไม่จำเป็นต้องประหยัดมัทธยัสอะไร ส่วนเงินที่เหลืออีกหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นนั้น หลิงหยุนเก็บเข้าไปไว้ในแหวนพื้นที่
“น้องชายทั้งสองจะไปที่ใหนล่ะ ผมจะไปส่งให้!” เมื่อได้รับเงินมาแล้ว คนขับรถก็ดูมีความสุขขึ้นมาก
หลิงหยุนไม่ต้องการเรียกรถใหม่ เขาจึงพูดขึ้นว่า “งั้นก็ต้องรบกวนพี่ชายแล้ว ผมจะบอกทางให้นะครับ!”
หลิงหยุนชี้บอกคนขับรถให้ขับตรงไปทางทะเลสาปจิงฉูตรงจุดชมวิว และเลยเข้าไปในหมู่บ้าน เมื่อหลิงหยุนและตู้กู่โม่ลงจากรถแล้ว เขาก็สั่งคนขับรถให้กลับออกไปได้
เวลานั้นเพิ่งจะสองทุ่มตรง ทั้งคู่จึงไปยืนหลบในที่ลับตาคน และหลิงหยุนก็จัดการเรียกกระบี่ของตู้กู่โม่ออกมาจากแหวนพื้นที่พร้อมกับยื่นให้เขาจากนั้นหลิงหยุนก็พูดกับตู้กู่โม่ยิ้มๆว่า
“นี่.. เราสองคนยังจะนัดปะลองกันอีกไม๊?”
เมื่อตู้กู่โม่ได้ยิน เขาก็ยกมือขึ้นชกเข้าไปที่หน้าอกของหลิงหนุนพร้อมกับร้องตอบไปว่า
“ขนาดโทคุงาวะที่อยู่ขั้นเซียงเทียน-1 ยังสู้เจ้าไม่ได้.. ข้ายังต้องปะลองอะไรกับเจ้าอีก.. ไม่มีทาง!”
หลิงหยุนถอนหายใจอย่างโล่งอก “ฉันต้องเอาของขวัญวันเกิดไปให้หนิงน้อยก่อน นายจะเข้าไปด้วยกันไม๊?”
ตู้กู่โม่ส่ายหน้าพร้อมกับตอบไปว่า “ไม่ล่ะ.. ข้าจะกลับโรงแรมเลย เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว! ไว้พรุ่งนี้พวกเราค่อยพบกันใหม่”
หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ “ฉันว่านายน่าจะซื้อโทรศัพท์มือถือนะ พวกเราจะได้ติดต่อกันง่ายหน่อย อย่าลืมว่านายต้องมาเป็นบอดี้การ์ดให้ฉันสองเดือน!”
ตู้กู่โม่ตอบกลับยิ้มๆเช่นกัน “เบอร์มือถือของเจ้าจำง่ายจะตายไป ข้าจำได้แล้ว ยังไงข้าจะติดต่อเจ้ามาเอง เจ้าวางใจได้!”
“อ่อ.. แล้วถ้าพรุ่งนี้นายจะมาหาฉัน ก็มาที่หมู่บ้านนี้นะ บ้านของฉันอยู่โซนสี่ บ้านเลขที่หนึ่ง!”
ส่วนตู้กู่โม่ก็บอกเบอร์ห้องและชื่อโรงแรมที่เขาพักให้หลิงหยุนรู้เช่นกัน จากนั้นทั้งคู่ก็ร่ำลาและต่างก็แยกย้ายกันไป
ตอนนี้เพิ่งจะสองทุ่มตรง.. ยังไม่ดึกมากนัก หลิงหยุนแหงนหน้าขึ้นมองไปบนเขามังกรและเขาหยกด้านใต้ พร้อมกับมองไปยังผู้คนที่มาเยี่ยมชมทะเลสาปจิงฉู หลิงหยุนถอนหายใจเล็กน้อยเมื่อนึกถึงประสบการณ์ที่ก้นหลุมยักษ์ ทุกอย่างมันช่างราวกับความฝัน!
‘มีทั้งเรื่องดีและเรื่องแปลกประหลาด! แต่ในที่สุดข้าก็กลับมางานวันเกิดของหนิงน้อยทันเวลา!’
หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่ในใจ พร้อมกับเดินยิ้มอย่างมีเสน่ห์ตรงเข้าไปยังบ้านของเสี่ยวเม่ยหนิง
….
ภายในบ้านของท่านหมอเสี่ยวขณะนั้น ต่างก็มีผู้คนเดินเข้าเดินออกกันขวักไขว่ แน่นอนว่าล้วนแล้วแต่เป็นแขกผู้มีเกียรติที่พากันเอาของขวัญมาให้หนิงน้อยในวันเกิด
ไม่เพียงมีแขกจากเมืองจิงฉูเท่านั้น แต่ยังมีแขกที่เดินทางมาจากเมืองหลวง และเมืองอื่นๆด้วย เรียกได้ว่าแขกเหรื่อมาจากทั่วทุกสารทิศ เพื่อนำของขวัญวันเกิดในปีที่สิบเจ็ดมาให้กับหนิงหน้อย
บรรยากาศภายในบ้านของท่านหมอเสี่ยวนั้นเต็มไปด้วยความสุข และมีชีวิตชีวา ปกติแล้วบ้านของท่านหมอเสี่ยวจะจัดงานเลี้ยงปีละสองครั้งเท่านั้น คืองานวันเกิดของท่านหมอเสี่ยว กับงานวันเกิดของเสี่ยวเม่ยหนิง
ทุกคนต่างก็รู้จักท่านหมอเสี่ยวดี และรู้ว่าเขามาอยู่ที่นี่เพราะต้องการความสงบ ดังนั้นเมื่อนำของขวัญเข้ามาให้แล้ว ต่างคนต่างก็กลับไปทันที
เป็นที่รู้กันดีว่าท่านหมอเสี่ยวนั้นเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังเพียงใด.. หากทุกคนที่เอาของขวัญมาให้ต้องการอยู่ร่วมรับประทานอาหารด้วย ไม่เพียงบ้านท่านหมอเสี่ยวจะไม่สามารถรองรับจำนวนคนที่มากมายได้ แม้แต่บริเวณภายในหมู่บ้านแห่งนี้ก็ยังไม่พอที่จะต้อนรับผู้คนจำนวนมากอย่างแน่นอน!
ความจริงแล้วผู้คนที่นำของขวัญมาให้เสี่ยวเม่ยหนิงในวันนี้ ล้วนเป็นคนที่ไม่ได้เชื้อเชิญ แต่เป็นผู้ที่ได้ยินมาว่าวันนี้เป็นวันเกิดของเธอ จึงพากันนำของขวัญมาให้ และอีกความหมายหนึ่งก็เพื่อผูกสัมพันธ์กับท่านหมอเสี่ยวเพื่อหมายพึ่งใบบุญในวันข้างหน้า
เสี่ยวเจิ้งจี๋ผู้ได้รับฉายาหมอเทวดาคนแรกของประเทศจีน และลูกชายของเขาเสี่ยวเฉิงเยี่วย ต่างก็ยิ้มทักทายผู้คนที่พากันนำของขวัญมาให้เสี่ยวเม่ยหนิง บรรยากาศภายในบ้านเต็มไปด้วยความสุข..
แม้ท่านหมอเสี่ยวจะพยักหน้าและยิ้มทักทายให้กับแขกเหรื่ออยู่ตลอดเวลา แต่แววตาของเขากลับเต็มไปด้วยความโศกเศร้า และกระวนกระวายใจ!
นั่นเพราะว่าหลิงหยุนได้หายตัวไปเป็นเวลาหลายวันแล้ว! และหลายวันมานี้ก็มีเรื่องเศร้าเกิดขึ้นหลายเรื่อง!
หากไม่ใช่เพราะพ่อแม่ของหนิงน้อยได้เตรียมงานวันเกิดของเธอมาหลายเดือนล่วงหน้า และหากไม่ใช่เพราะได้เชิญแขกที่สนิทชิดเชื้อมาแล้ว ท่านหมอเสี่ยวคงจะยกเลิกงานวันเกิดของหนิงน้อยในคืนนี้อย่างแน่นอน
ในคืนเทศกาลเชงเม้ง.. เกิดเรื่องกับหลิงหยุนในบ้านสกุลเฉิง แต่หลังจากเทศกาลเขาก็ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย!
ยิ่งไปกว่านั้น.. การหายตัวไปของหลิงหยุนก็ทำให้คนอีกหลายคนกระวนกระวายใจ และช่วยกันตามหาอย่างสุดความสามารถ แต่ก็ไม่มีใครพบเขาเลยสักคนเดียว!
ไม่มีใครรู้ว่าหลิงหยุนไปที่ใหน? และไม่มีใครรู้ว่าหลิงหยุนเป็นหรือตายอย่างไร? ทุกคนต่างก็ตามหาหลิงหยุนกันแทบพลิกแผ่นดิน!
เพื่อตามหาหลิงหยุน เสี่ยวเม่ยหนิงถึงกับไม่ยอมไปโรงเรียนติดต่อกันสี่วัน ดวงตาของเธอบวมเปล่งจากการร้องไห้ แล้วงานวันเกิดในคืนนี้ยังจะมีความหมายอะไรอีก?!
อีกทั้งหลายวันนี้ยังเกิดเรื่องมากมาย แม้ว่าเรื่องราวเหล่านี้จะไม่เกี่ยวข้องกับท่านหมอเสี่ยวแม้แต่น้อย แต่มันล้วนเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลิงหยุนทั้งสิ้น
และในเมื่องานวันเกิดของหนิงน้อยได้ถูกเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว จึงไม่มีประโยชน์ที่จะมาคิดว่าจะจัดหรือไม่จัด เพราะมาถึงขั้นนี้แล้ว ทุกอย่างก็ไม่สามารถยกเลิกได้แล้ว!
แต่ถึงอย่างนั้น.. ท่านหมอเสี่ยวก็ยังคงฝืนยิ้มออกมาได้ เขานั่งบ้าง ยืนบ้างเพื่อทักทายแขก ส่วนเรื่องอื่นๆล้วนเป็นหน้าที่ของเสี่ยวเฉิงเยี่วยจัดการ
แต่ไม่ว่ายังไงท่านหมอเสี่ยวก็มั่นใจว่าแม่ของเสี่ยวเม่ยหนิง – จางเม่ยหยิวนนั้น จะไม่สามารถเกลี้ยกล่อมเธอให้ยอมออกจากห้องนอนได้แน่
…..
ห้องนอนของเสี่ยวเม่ยหนิง..
“ลูกสาวของแม่เลิกร้องไห้ได้แล้ว.. ลูกร้องไห้แบบนี้แม่เองก็เจ็บปวดใจ! หลิงหยุนหายไปไม่มีใครหาเขาพบ และเวลาก็ผ่านมาหลายวันแล้ว!”
หญิงคนหนึ่งอายุสามสิบเจ็ด แต่ยังคงมีผิวพรรณที่ละเอียดอ่อนสวยงาม รูปร่างสมส่วน สวมกระโปรงยาวสีแดง เกล้าผมไว้บนศรีษะ กำลังนั่งอยู่บนเตียง และดวงตาคู่สวยก็กำลังจ้องมองเสี่ยวเม่ยหนิงที่ร้องห่มร้องไห้อยู่ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความทุกข์ระทม..
เสี่ยวเม่ยหนิงที่อยู่ในชุดนอนยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียง ผมยาวของเธอปล่อยยาวสยาย ดวงตาคู่สวยบวมเปล่ง นัยน์ตาแดงกล่ำพร้อมกับมีน้ำตาไหลออกมาอยู่ตลอดเวลา หมอนที่เพิ่งจะเปลี่ยนก็กลับมาเปื้อนน้ำตาดวงใหญ่อีกครั้ง
เสี่ยวเม่ยหนิงปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ เธอได้แต่ฟังแม่ของเธอพูดปลอบโยนโดยไม่มีกะจิตกะใจจะโต้ตอบ ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะพูด เธอกำลังโศกเศร้าอย่างหนัก!
ในใจของเธอก้องไปด้วยคำถาม.. ‘พี่หลิงหยุน.. พี่อยู่ที่ใหนกันนะ? พี่อยู่ที่ใหน? ทำไมหายไปนานแบบนี้? ผ่านมาหกวันแล้ว ทำไมยังไม่มีใครหาพี่พบอีก!’
เพียงระยะเวลาสั้นๆแค่หกวัน เสี่ยวเม่ยหนิงก็เสียน้ำตาไปแล้วมากมาย และร่างกายก็เริ่มผ่ายผอม!
จางเม่ยหยิวนถอนหายใจแล้วถอนหายใจอีก.. เธอหยิบกระดาษทิชชู่ออกมาซับน้ำตาให้กับเสี่ยวเม่ยหนิงอย่างอ่อนโยน
“หนิงน้อย.. ฟังแม่นะ! ลูกต้องลุกไปอาบน้ำแล้วก็แต่งตัวซะใหม่! ตอนนี้แขกเหรื่อมากันมากมายแล้ว ทุกคนต่างก็นำของขวัญวันเกิดมาให้ลูก ถ้าลูกไม่ลงไปก็จะเป็นการเสียมารยาทมากเลย.. รู้ไม๊?”
ในที่สุดเสี่ยวเม่ยหนิงก็ลืมตาที่แดงและบวมเปล่งขึ้น และเหลือบมองจางเม่ยหยิวนพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่เบา
“เสียมารยาทเหรอคะ! แม่ก็คิดถึงแต่เรื่องมารยาท ตอนนี้พี่หลิงหยุนก็หายตัวไป หนูไม่สนใจอะไรทั้งนั้น! คนพวกนั้นแม่ก็เป็นคนเชิญมา ไม่เกี่ยวอะไรกับหนูสักหน่อย! ใครบอกให้แม่จัดงานวันเกิดให้หนู ในเมื่อหาพี่หลิงหยุนไม่พบ งานวันเกิดจะมีความหมายอะไร?”
จางเม่ยหยิวนได้แต่คิดในใจว่า ก่อนหน้านี้หนิงน้อยเป็นฝ่ายโทรหาเธอ บอกพ่อกับแม่ให้จัดงานวันเกิดปีนี้ให้ยิ่งใหญ่ แต่พอไม่มีหลิงหยุนแล้ว เสี่ยวเม่ยหนิงกลับทิ้งทุกอย่างอย่างไม่ใยดี..
แต่ในเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เธอจะมาตำหนิลูกสาว จางเม่ยหยิวนไม่กล้าที่จะพูดอะไรผิดแม้แต่นิดเดียว เธอจึงได้แต่ตอบกลังไปว่า
“ได้จ้ะได้..! ไม่ต้องมีมารยาทก็ได้ แต่วันนี้เป็นวันเกิดของลูกสาวแม่ แต่ลูกกลับยังไม่ได้กินอะไรมาทั้งวัน น้ำก็ไม่ดื่ม แม่จะไปเอาน้ำมาให้ลูกนะ”
เสี่ยวเม่ยหนิงขมวดคิ้ว “หนูไม่ดื่มค่ะ! พี่หลิงหยุนหายไปแล้ว หนูจะไม่ดื่มอะไรทั้งนั้น! ถ้าพ่อเป็นอะไรไปบ้าง แม่จะมีอารมณ์ดื่มไม๊คะ?!”
ช่างเป็นเด็กสาวที่เอาแต่ใจเหลือร้าย..! เด็กสาววายร้ายเอาแต่ใจอย่างเสี่ยวเม่ยหนิง แม้จะอยู่ในอารมณ์เศร้าโศก ยังสามารถพูดคำพูดที่ฟังแล้วน่าตกใจออกมาได้!
จางเม่ยหยิวนทำขึ้นเสียงเล็กน้อย “ลูกคนนี้นี่!? พี่หลิงหยุนของลูกสำคัญมากหรือยังไงกัน สำคัญมากกว่าพ่อกับแม่ยังงั้นหรือ?”
เสี่ยวเม่ยหนิงเงยหน้าขึ้นมองพร้อมกับตะโกนออกไปว่า “สำคัญกว่าสิ! แม่ไม่รู้อะไร? พี่หลิงหยุนเป็นคนช่วยชีวิตคุณปู่ของหนูไว้!”
จางเม่ยหยิวนได้แต่ถอนหายใจเห็นด้วย แต่ก็นึกไม่ออกว่าจู่ๆหลิงหยุนจะหายตัวไปได้อย่างไรกัน? และยังทำให้ลูกสาวของเธอต้องกลายเป็นแบบนี้ ไม่กินไม่ดื่มอะไร ไม่สนใจตัวเอง เธอเองก็อยากจะรู้จริงๆว่าหลิงหยุนคนนี้มีเสน่ห์มากมายถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางจางเม่ยหยิวนจึงพูดขึ้นมาว่า “หนิงน้อย.. ลูกเคยบอกแม่ว่าหลิงหยุนสัญญาว่าจะมางานวันเกิดของลูกไม่ใช่เหรอ? ไม่แน่นะ.. คืนนี้เขาอาจจะมาก็ได้!”
ได้ผล.. หนิงน้อยเปิดผ้าห่มออกมา และลุกขึ้นมานั่งบนเตียง “จริงเหรอคะ?!”
บทที่ 340 : เปิดตัวหลิงหยุน!
เมื่อจางเม่ยหยิวนเห็นว่าคำพูดของเธอได้ผล เธอจึงรีบพูดต่อว่า “หนิงน้อย.. ลูกลองนึกดูสิว่าที่ผ่านมาพี่หลิงหยุนของลูกเคยโกหกไม๊?”
เสี่ยวเม่ยหนิงไม่อยากจะคิดเพระที่ผ่านมาเขาก็โกหกเธอ! แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนที่รักษาคำพูด ที่ผ่านมาก็ยังไม่เคยผิดคำพูดกับเธอ..
เมื่อจางเม่ยหยิวนเห็นลูกสาวทำท่าทางครุ่นคิด จึงรีบพูดต่อว่า “ถ้าพี่หลิงหยุนของลูกเป็นคนที่รักษาคำพูด เขาก็ต้องจำวันเกิดของลูกได้ ต่อให้เขาหายหน้าหายตาไปหลายวัน แต่เขาต้องกลับมาทันวันเกิดของลูกแน่ๆ!”
เมื่อพูดถึงหลิงหยุน เสี่ยวเม่ยหนิงถึงกับมองหน้าแม่ของเธออย่างโศกเศร้าพร้อมกับพึมพำว่า
“แต่พี่หลิงหยุนหายตัวไปตั้งหกวันแล้ว อีกอย่าง.. หลายวันนี้ก็มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ต่อให้เขาปรากฏตัว ก็ใช่ว่าเขาจะมางานวันเกิดของหนู?”
“และที่สำคัญ.. ถ้าเขารู้ว่าเกิดเรื่องใหญ่โตขึ้นกับครอบครัวของเขา เขายังจะมีกะจิตกะใจมางานวันเกิดของหนูอีกเหรอคะ?”
จางเม่ยหยิวนคิดว่า.. ในเมื่อเธอมีโอกาสแล้ว ไม่ว่าจะยังไง เธอก็ต้องเกลี้ยกล่อมลูกสาวให้ลงไปข้างล่างให้ได้ คืนนี้ไม่เพียงคุณชายฮู๋เซ่าป๋ายแห่งสำนักหมอหุบเขาเทวะที่เดินทางมาร่วมงาน แต่ยังมีผู้คนอีกมากมายที่พากันนำของขวัญวันเกิดมาให้กับหนิงน้อย หากหนิงน้อยไม่ลงไปรับด้วยตัวเอง ก็จะเป็นการเสียมารยาทอย่างมาก และเท่ากับไม่ให้เกียรติพวกเขาด้วย
“อย่ากังวลไปเลยหนิงน้อย! คุณปู่เองก็คิดเหมือนกับแม่ หนิงน้อย.. ลูกลองคิดดูสิว่า ถ้าจู่ๆพี่หลิงหยุนปรากฏตัวขึ้นมาตอนนี้ แล้วมาเห็นลูกในสภาพแบบนี้…”
คำพูดประโยคนี้ล้ำค่ายิ่งกว่ายาวิเศษขนานใด เสี่ยวเม่ยหนิงกระโดดลุกขึ้นจากเตียงทันที
“แม่คะ.. นี่กี่โมงแล้ว หนูจะไปอาบน้ำก่อน!”
“ห๊ะ.. ทำไมหน้าตาหนูน่าเกลียดแบบนี้! แม่คะ.. หนูจะทำยังไงดี?! พี่หลิงหยุนต้องไม่ชอบแน่!” เสี่ยวเม่ยหนิงลุกขึ้นจากเตียงไปส่องกระจกที่โต๊ะเครื่องแป้ง และเมื่อเห็นหน้าตัวเองก็ถึงกับร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ!
จางเม่ยหยิวนถอนหายใจอย่างโล่งอก.. ลูกสาวของเธอเอาแต่นอนอยู่บนเตียง ไม่ยอมกิน ไม่ยอมดื่ม อีกทั้งยังเอาแต่ร้องไห้ แต่เพียงแค่เธอบอกว่าหลิงหยุนจะมา ลูกสาวของเธอก็ตื่นเต้นมากมายถึงเพียงนี้..
“ไม่ต้องกังวล! แม่อยู่ที่นี่ทั้งคน ยังไงคืนนี้หนิงน้อยของแม่ก็ต้องสวยที่สุดในงาน!”
จางเม่ยหยิวนรู้ดีว่าหลิงหยุนจะไม่มาที่นี่อย่างแน่นอน แต่อย่างน้อยก็เป็นการสร้างความหวังให้กับลูกสาว แม้เธอจะไม่ยอมลงไปข้างล่าง แต่อย่างน้อยยอมกินยอมดื่มอะไรบ้างก็ยังดี เพราะขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป ร่างกายของหนิงน้อยคงต้องกลายเป็นอัมพาตแน่ๆ!
…….
ภายในห้องรับแขกที่กว้างใหญ่ด้านล่าง.. ตกแต่งด้วยแสงไฟสว่างไหว และเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยกันอื้ออึง คนส่วนใหญ่ที่นำของขวัญมาให้เสี่ยวเม่ยหนิงนั้น ส่วนใหญ่เมื่อเอาของขวัญมาให้แล้วก็กลับไป แต่ก็ยังมีแขกที่เชิญมานั่งอยู่เต็มสี่โต๊ะ..
หนึ่งโต๊ะเป็นเพื่อนเก่าแก่ของท่านหมอเสี่ยว ที่ต้องการใช้โอกาสในวันนี้พูดคุยทักทายถามไถ่ทุกข์สุข
อีกสองโต๊ะล้วนเป็นพ่อแม่ของเพื่อนๆเสี่ยวเม่ยหนิงที่เดินทางมาจากหลายๆที่ ทั้งหมดล้วนเป็นคนที่มีชื่อเสียงและมีหน้ามีตาในสังคม พวกเขาล้วนเป็นเศรษฐีร่ำรวยมีฐานะ ในงานวันเกิดของลูกๆพวกเขา ทั้งเสี่ยวเฉิงเยี่วยและจางเม่ยหยิวนต่างก็ไปร่วมงานเลี้ยงด้วยเช่นกัน และเมื่อถึงงานวันเกิดของเสี่ยวเม่ยหนิง พวกเขาจึงเดินทางมาร่วมงานด้วยเช่นกัน
ส่วนอีกหนึ่งโต๊ะ.. ล้วนมีแต่เด็กหนุ่มอายุสิบเจ็ดบ้าง สิบห้าบ้าง และสิบหกบ้าง แต่ละคนล้วนเป็นหนุ่มเพลย์บอยจากตระกูลที่มีชื่อเสียงต่างๆทั่วประเทศ ชายหนุ่มเหล่านี้ต่างก็มีบุคลิกที่เต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจ
ในจำนวนเด็กหนุ่มสิบกว่าคนในโต๊ะ.. มีอยู่สามคนที่ดูเหมือนจะราศีเหนือกว่าหนุ่มคนอื่นๆ คนแรกคือคุณชายฮู๋เซ่าป๋ายแห่งสำนักหมอหุบเขาเทวะ คนที่สองคือคุณชายหลงเทียนยู่ และคนที่สามคือคุณชายสี่-หลี่ยั่วหมิงแห่งตระกูลหลี่ซึ่งเดินทางมาจากเมืองหลวง
หลงเทียนยู่ – หนุ่มเพลย์บอยอายุสิบเก้าปีพูดขึ้นว่า “พี่หลี่.. ครอบครัวของพี่มีธุรกิจมากมาย คืนนี้พี่ให้อะไรเป็นของขวัญวันเกิดหนิงน้อยเหรอครับ?”
หลี่ยั่วหมิงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบและอ่อนโยน “ผมไม่มีของล้ำค่าอะไรมากมายจะให้หนิงน้อยเลย คงให้ได้แค่มายบัค (Maybach) คันเดียว ช่างน่าอายจริงๆ!”
ทั้งฮู๋เซ่าป๋าย หลงเทียนยู่ และชายหนุ่มคนอื่นๆต่างก็เงียบกันหมด พร้อมกับคิดในใจว่า ตระกูลหลี่ได้รับสัมปะทานไฟฟ้าและถ่านหินจากรัฐบาล แต่ยังแสร้งทำเป็นถ่อมตัว..
แม้หลี่ยั่วหมิงจะพูดราวกับว่าตนนั้นอายที่ให้ของขวัญด้อยค่าแก่เสี่ยวเม่ยหนิง แต่ใบหน้าของเขากลับเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับถามหลงเทียนยู่กลับบ้าง
“เทียนยู่.. ตระกูลของนายก็เป็นถึงตระกูลอันดับหนึ่งของเมืองหลวง วันนี้นายมีของขวัญอะไรมาให้หนิงน้อยล่ะ?”
แม้หลงเทียนยู่จะอายุน้อยกว่า แต่ลักษณะท่าทางและคำพูดคำจาของเขากลับสงบเสงี่ยมกว่า เขาตอบกลับไปว่า
“ของขวัญของผมอาจไม่ใหญ่โตเหมือนของพี่หลี่ แต่ก็เทียบกับอะไรไม่ได้เหมือนกัน ผมมีเพียงแค่สร้อยมุกเส้นเดียวพร้อมเพชรสีชมพูเก้ากะรัตอยู่ตรงกลาง ผมหวังว่าหนิงน้อยจะชอบของขวัญของผม..”
ชายหนุ่มคนอื่นๆได้ฟังแล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า แค่สร้อยมุกเพียงเส้นเดียวจะราคาสักเท่าไหร่ อีกทั้งเพชรที่อยู่ตรงกลางก็เพียงแค่เก้ากะรัต ตระกูลหลงร่ำรวยเสียเปล่า..
แต่เมื่อหลี่ยั่วหมิงได้ฟังก็ถึงกับตาโตพร้อมกับถามขึ้นว่า “เพชรสีชมพูงั้นเหรอ? ตระกูลหลงให้ของขวัญล้ำค่าเช่นนี้กับหนิงน้อย นับว่าเป็นการลงทุนมากมายไม่ใช่เล่น!”
ชายหนุ่มไร้สมองในโต๊ะคนหนึ่งร้องเสียงดังขึ้นว่า “เพชรแค่เก้ากะรัต จะอะไรนักหนาเชียว!? ผมให้เพชรอาฟริกาตั้งสิบห้ากะรัต..”
หลงเทียนยู่ได้แต่ยิ้ม จากนั้นก็หันไปอธิบายให้กับหลี่ยั่วหมิงๆง
“มันไม่ใช่เรื่องของราคา.. เพชรสีชมพูเป็นเพชรที่ดีที่สุดและมีราคาสูงที่สุดก็จริง หนึ่งกะรัตมีราคาสูงถึงหนึ่งล้านดอลร่าร์สหรัฐ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือมันเป็นเพชรที่หาได้ยาก..”
เมื่อได้ฟังเช่นนี้ คนอื่นๆต่างก็เงียบกันหมด และต่างคนต่างก็รู้ว่าสิ่งที่หลงเทียนยู่ให้นั้นมันไม่ใช่เรื่องของจำนวนเงิน แต่มันเป็นของที่หาได้ยากในโลกนี้!
พูดจบ.. หลงเทียนยู่ก็หันไปถามฮู๋เซ่าป๋ายพร้อมกับถามขึ้นอย่างสุภาพ “ไม่ทราบว่าคุณชายฮู๋แห่งสำนักหุบเขาเทวะนำของขวัญอะไรกับมามอบให้กับหนิงน้อย?”
หลงเทียนยู่จำเป็นต้องสุภาพกับสำนักหมอหุบเขาเทวะ.. คนอื่นอาจไม่เคยรู้ว่าท่านหมอเสี่ยวนั้นอดีตเคยศึกษาเรื่องการแพทย์จากสำนักหุบเขาหมอเทวะ และในโลกใบนี้จะหมอเทวดาอย่างท่านหมอเสี่ยวสักกี่คน!
ฮู๋เซ่าป๋ายตอบยิ้มๆ “ท่านก็น่าจะรู้ สำนักหมอหุบเขาเทวะเป็นสถานที่ทุรกันดาร ข้ามาที่นี่เพื่อนำโสมเก้าร้อยปีมาให้กับหนิงน้อย รอให้นางออกมาข้าจะมอบให้นางกับมือ!”
“ช่างน่าเสียดาย.. หากรออีกเพียงแค่ร้อยปีก็จะกลายเป็นโสมพันปีแล้ว..”
ฮู๋เซ่าป๋ายทำหน้าเศร้าเล็กน้อย แต่ใครๆต่างก็รู้ว่ามันคือการโอ้อวด! โสมเก้าร้อยปี.. จะหาจากที่ใหนได้กันล่ะ?!
แม้คุณชายทั้งสามคนไม่ว่าจะเป็นฮู๋เซ่าป๋าย หลงเทียนยู่ และหลี่ยั่วหมิง ต่างก็ดูเหมือนคุยกันถูกอกถูกใจ และต่างฝ่ายต่างก็เกรงอกเกรงใจกัน แต่ความจริงแล้วพวกเขากำลังคุยข่มกันเสียมากกว่า..
แต่ละคนล้วนนำของขวัญชิ้นใหญ่มามอบให้กับเสี่ยวเม่ยหนิง ดูๆแล้วไม่เหมือนของขวัญวันเกิดเลยแม้แต่น้อย แต่กลับดูเหมือนของหมั้นที่ฝ่ายเจ้าบ่าวมอบให้กับเจ้าสาวเสียมากกว่า!
ไม่ว่าใครก็ตามในสามคนนี้ หากสามารถพิชิตใจของเสี่ยวเม่ยหนิงได้ ก็เท่ากับว่าเขาจะได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเสี่ยว และแน่นอนว่าทรัพย์สมบัติของตระกูลเสี่ยวก็จะตกเป็นของเขาด้วยเช่นกัน..!
เพราะเหตุใดน่ะหรือ? นั่นเพราะท่านหมอเสี่ยวมีหลานสาวเพียงแค่คนเดียวนั่นเอง เสี่ยวเฉิงเยี่วยมีลูกสาวเพียงแค่คนเดียว และไม่มีลูกชาย!
ความจริงแล้วหนุ่มๆทั้งหมดที่นั่งร่วมโต๊ะเดียวกัน ต่างก็มีจุดประสงค์ไม่ต่างกัน แต่เมื่อได้เห็นของขวัญวันเกิดของทั้งสามคน พวกเขาต่างก็ถอดใจ เพราะถึงอย่างไรพวกเขาก็ไม่มีอำนาจและฐานะทางการเงินเทียบเท่าสามคนนี้ได้
“พวกเรามาที่นี่นานแล้ว หนิงน้อยไม่น่าแต่งตัวนานขนาดนี้! นี่ก็สองทุ่มแล้ว น่าจะได้เวลาแล้วนะ..”
“ใช่.. แต่หนิงน้อยยังไม่ลงมาเลย แล้วพวกเราจะให้ของขวัญกับเธอได้ยังไง..”
หลี่ยั่วหมิงยิ้มให้กับทุกคนแล้วพูดขึ้นว่า “นายไม่สังเกตุเหรอว่ามีที่นั่งว่างอยู่ระหว่างพี่ฮู๋กับพี่หลง ดูเหมือนว่าจะยังมีแขกที่ยังมาไม่ถึง..”
ทุกคนต่างก็เห็น และมั่นใจว่าตำแหน่งเก้าอี้ที่ดีที่สุดนั้นยังว่างอยู่ แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นของใคร..
บรรดาหนุ่มๆจึงเริ่มพากันเดาว่าเก้าอี้ที่ว่างอยู่นี้นั้น เป็นของใครกันแน่?!
ส่วนท่านหมอเสี่ยวในเวลานี้กลับยิ่งวิตกกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับคิดว่าหากภายในครึ่งชั่วโมงหลิงหยุนยังไม่มา ก็คงเต้องเริ่มงานแล้ว คงจะรอเขาอีกต่อไปไม่ได้แล้ว!
ท่านหมอเสี่ยวเป็นผู้ที่มีความรู้ทางการแพทย์สูง เขารู้ว่าหลิงหยุนไม่ใช่คนที่จะมีอายุสั้น และจากที่เขาได้เห็นกำลังภายในของหลิงหยุน แม้ว่าหลิงหยุนจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน แต่อย่างน้อยเขากก็ต้องสามารถหนีเอาตัวรอดออกมาได้อย่างไม่มีปัญหา
และต่อให้หลิงหยุตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เขาก็น่าจะติดต่อกลับมา เพราะท่านหมอเสี่ยวเองก็ได้ให้เบอร์มือถือกับหลิงหยุนไปแล้ว อีกทั้งด้วยความเป็นยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนของท่านหมอเสี่ยว เขาย่อมสามารถปกป้องหลิงหยุนได้อย่างแน่นอน!
เป็นไปไม่ได้ที่หลิงหยุนจะเสียชีวิต.. แต่ว่าเขาไปอยู่ที่ใหนกัน? หกวันที่ผ่านมานี้มีเรื่องราวใหญ่โตเกิดขึ้นมากมาย หากหลิงหยุนไม่ปรากฏตัวในวันเกิดของหนิงน้อยวันนี้ ก็หมายความว่าเขาจะไม่ปรากฏตัวอีก?
“เอาล่ะ.. คงจะรอได้อีกเพียงครึ่งชั่วโมง ถ้าหลิงหยุนยังไม่มา หนิงน้อยจะลงมาหรือไม่ลงมา ก็คงต้องเริ่มงานแล้วล่ะ..” ท่านหมอเสี่ยวพึมพำพร้อมกับถอนหายใจออกมา..
“ลุงเสี่ยวครับ.. หนิงน้อยยังไม่ลงมาเหรอครับ? พวกเรารอให้ของขวัญวันเกิด..”
“นั่นสิครับลุงเสี่ยว.. วันนี้เป็นงานวันเกิดของหนิงน้อย ทำไมเธอยังไม่ปรากฏตัวอีก?”
………..
หนุ่มๆในโต๊ะต่างร้อนใจ และร้องถามขึ้น..
พ่อของเสี่ยวเม่ยหนิง เสี่ยวเฉิงเยี่วยจึงรีบเข้าไปถามพ่อของตนเอง
“พ่อครับ.. พ่อไม่ลองขึ้นไปดูหน่อยเหรอ ถ้าพ่อไปเรียกหนิงน้อยอาจจะยอมลงมาก็ได้.. เจ้าลูกคนนี้นี่!”
ท่านหมอเสี่ยวกระซิบกับเสี่ยวเฉิงเยี่วยเบาๆ จากนั้นเสี่ยวเฉิงเยี่วยก็เดินขึ้นไปเรียกหนิงน้อย แต่ยังไม่ทันไรทุกคนนในงานต่างก็ได้ยินเสียงเกรี้ยวกราดของเสี่ยวเม่ยหนิง
“พ่อคะ.. ถ้าพี่หลิงหยุนมาหนูถึงจะลงไป ถ้าพี่หลิงหยุนไม่มา ยังไงหนูก็ไม่ลงไป!”
ทุกคนที่รอคอยให้เสี่ยวเม่ยหนิงลงมานั้น ต่างก็ได้ยินกันชัดเจน และพากันเดาว่าพี่หลิงหยุนที่เสี่ยวเม่ยหนิงพูดถึงนั้นเป็นใครกันแน่ เหตุใดจึงมีความสำคัญถึงเพียงนี้?
แต่ไม่ทันไร.. ทุกคนในงานต่างก็ได้ยินเสียงดังก้องขึ้นมาก
“หนิงน้อย.. ใครบอกว่าพี่หลิงหยุนจะไม่มา? วันนี้เป็นวันเกิดของคุณ ผมจะเสียมารยาทขนาดนั้นได้ยังไงกัน? พูดออกมาได้.. ช่างน่าตีจริงๆ?”
เสียงของหลิงหยุนนั้นไม่ดังมากแต่ก็ได้ยินกันอย่างชัดเจน หลิงหยุนใช้มังกรคำรามตะโกนออกไป และทุกคนในบ้านของท่านหมอเสี่ยวต่างก็ได้ยินกันอย่างชัดเจน!
บทที่ 341 : ตกใจและดีใจ!
แน่นอนว่ายอดฝีมือขั้นเซียงเทียนอย่างท่านหมอเสี่ยวนั้น ย่อมเป็นคนแรกที่รับรู้ได้ถึงการมาของหลิงหยุน! เขาลุกขึ้นยืนตั้งแต่ที่หลิงหยุนยังไม่ส่งเสียงด้วยซ้ำไป!
ความกังวลใจ และกระวนกระวายเมื่อครู่ ได้มลายหายไปจากใบหน้าของท่านหมอเสี่ยวทันที แต่สีหน้าของเขาในยามนี้กลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น และปิติยินดีจนพูดอะไรไม่ออก!
ท่านเสี่ยวหมอเทวดาผุดขึ้นจากเก้าอี้ และจิตใจของเขาก็ได้ล่องลอยไปยืนรอหลิงหยุนอยู่ที่นอกบ้านเรียบร้อยแล้ว..
แต่จู่ๆ เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า ทุกคนกำลังจ้องมองอยู่ ท่านหมอเสี่ยวที่ก้าวขาออกไปได้เพียงแค่สองก้าวจึงต้องหยุดชะงัก และยืนรอหลิงหยุนนิ่งอยู่ในห้องรับแขกด้วยความตื่นเต้นกว่าเดิมเป็นสองเท่า
ท่านหมอเสี่ยวรู้ตัวดีว่า ตนเองนั้นเป็นที่สนอกสนใจของผู้คนที่มาในงานคืนนี้ และสังเกตุว่าทุกคนต่างก็กำลังจ้องมองการกระทำของเขาอยู่ และต่างก็เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปอย่างปกปิดไม่ได้ของเขา
ทุกคนในห้องต่างก็รู้สึกแปลกประหลาดใจอย่างมาก ไม่มีใครรู้จักหลิงหยุน และไม่มีใครรู้ว่าหลิงหยุนเป็นลูกหลานตระกูลใด จึงได้เป็นที่สนอกสนใจของคนสำคัญในบ้านนี้ทั้งสองคนมาก?
สำคัญจนแม้กระทั่งเสี่ยวเม่ยหนิงถึงกับประกาศลั่นว่า หากหลิงหยุนไม่มาในงานคืนนี้ เธอจะไม่ยอมลงมาเด็ดขาด!
ส่วนท่านหมอเสี่ยวนั้น แม้ว่าจะทำหน้าที่รับของขวัญจากแขกเหรื่อได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แต่หากสังเกตุสักนิดจะเห็นว่าคืนนี้ท่านหมอเสี่ยวมีท่าทางคล้ายคนใจลอยแม้ว่าหน้าตาจะยิ้มแย้ม..
แต่เพียงแค่ได้ยินว่าหลิงหยุนมาแล้ว และยังไม่ทันที่เขาจะเดินเข้ามาในบ้านด้วยซ้ำไป แต่ท่านหมอเสี่ยวกลับแสดงท่าทีตื่นเต้นจนถึงกับลุกออกไปจากเก้าอี้ และแทบจะเดินออกไปต้อนรับเขาด้วยตัวเองถึงหน้าบ้าน เช่นนี้แล้วจะไม่ทำให้ทุกคนในงานประหลาดใจได้อย่างไรกัน?
แขกที่มาในงานคืนนี้ ผู้ที่ควรค่าให้เท่านหมอเสี่ยวออกไปทักทายและต้อนรับด้วยตัวเองนั้น น่าจะมีเพียงเพื่อนเก่าแก่ของเขาเท่านั้นไม่ใช่หรือ!
อีกทั้งการปรากฏตัวของหลิงหยุนก็ไร้มารยาทสิ้นดี.. ยังไม่ทันที่จะปรากฏตัว เขาก็ตะโกนเสียงดังมาก่อนแล้ว นี่ไม่เรียกว่าเป็นการไม่ให้เกียรติท่านหมอเสี่ยวงั้นหรือ?
ใครๆต่างก็รู้ว่าดวงใจของท่านหมอเสี่ยวก็คือหลานสาวคนเดียว – เสี่ยวเม่ยหนิง แต่เมื่อหลิงหยุนร้องบอกว่าเธอสมควรถูกทำโทษ.. ไม่เพียงท่านหมอเสี่ยวไม่โกรธแม้แต่น้อย แต่กลับมีท่าทางตื่นเต้นมากด้วย!
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ต่อมเจริญอาหารของแขกในงานต่างก็หยุดทำงานทันที ทุกคนต่างก็นั่งครุ่นคิดว่าหลิงหยุนเป็นใคร? มาจากใหน? และเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้รับการปฏิบัติเยี่ยงนี้จากปู่และหลานสาวคู่นี้เชียวหรือ?
ในที่นี้.. ยังมีใครสูงส่งกว่าคุณชายฮู๋เซ่าป๋ายแห่งสำนักหมอหุขเขาเทวะ คุณชายเจ็ด-หลงเทียนยู่แห่งตระกูลหลง และคุณชายสี่-หลี่ยั่วหมิงแห่งตระกูลหลี่อีกบ้าง?
ไม่เพียงแค่ชายหนุ่มหลายคนในโต๊ะที่อยากรู้อยากเห็น คนอื่นๆต่างก็จับจ้องไปที่ประตูห้องรับแขกเช่นกัน ทุกคนต่างรอคอยหลิงหยุนที่กำลังเดินเข้ามาในบ้านอย่างใจจดใจจ่อ
…
ในเวลเดียวกันนั้นเอง ที่ชั้นสองของบ้านท่านหมอเสี่ยว..
หลังจากที่เสี่ยวเม่ยหนิงเพิ่งจะเกรี้ยวกราดใส่พ่อของตัวเอง ยังไม่ทันที่เสียงของเธอจะดับลง เธอก็ได้ยินเสียงที่คุ้นหูตะโกนสวนกลับมา เป็นน้ำเสียงที่นิ่งเรียบแต่ก็มีพลัง น้ำเสียงนั้นเป็นน้ำเสียงที่เธอเองก็ไม่ได้ยินมาถึงหกวัน!
เมื่อสมองของเธอเริ่มทำงาน.. เธอก็จำได้ทันทีว่าเป็นเสียงของใคร เลือดในตัวของเธอเริ่มสูบฉีด หัวใจของเธอก็เริ่มเต้นเร็ว และร่างที่แข็งทื่อก็เริ่มสั่นไปทั้งตัว จากนั้น.. เธอก็ลุกขึ้นยืนทันที!
เสี่ยวเม่ยหนิงอยากจะวิ่งออกไป แต่เธอกลับไม่สามารถขยับตัวได้! เธออยากจะร้องตะโกนออกไป แต่ก็ไม่มีเสียง! ความสุขเกิดขึ้นกับเธออย่างกะทันหัน เธอแทบไม่อยากจะเชื่อหูตัวเอง เธอกำลังคิดว่าตัวเธอเองนั้นกำลังหูแว่ว!
เสี่ยวเม่ยหนิงกรีดร้องแทบเป็นบ้าอยู่ในใจ เธอส่ายหน้าพร้อมกับครุ่นคิดว่า ‘พี่หลิงหยุน.. พี่หลิงหยุนกลับมาแล้ว.. นี่เขากลับมาแล้วจริงๆงั้นเหรอ?’
หลังจากผ่านความรู้สึกสูญเสียมาแล้ว ผ่านความโศกเศร้าเสียใจ และทุกข์ทรมานมานาน นี่เป็นความสุขที่เกิดขึ้นอีกครั้ง! เธอเพิ่งจะเข้าใจว่าความสุขในชีวิตของเธอคืออะไร?!
“หนิงน้อย.. หนิงน้อย..”
เสี่ยวเฉิงเยี่วยและจางเม่ยหยิวนต่างก็ได้ยินเสียงของหลิงหยุนเช่นกัน ทั้งคู่จ้องมองลูกสาวด้วยความตื่นเต้น และตกใจกับปฏิกิริยาของลูกสาว จนจางเม่ยหยิวนต้องจับตัวหนิงน้อยเขย่าพร้อมกับร้องเรียก..
“หนิงน้อย.. ได้ยินไม๊ลูก พี่หลิงหยุนของลูกมาแล้ว ยังไม่รีบลงไปข้างล่างอีก?” เสี่ยวเฉิงเยี่วยร้องเตือนลูกสาวตัวเอง
“จริงเหรอคะ.. พี่หลิงหยุนมาแล้วจริงๆเหรอคะ? นี่หนูไม่ได้หูฝาดไปใช่ไม๊คะ? หนูไม่ได้ฝันไปใช่ไม๊คะ..?” เสี่ยวเม่ยหนิงพึมพำ
ตั้งแต่รู้ว่าหลิงหยุนหายตัวไป เสี่ยวเม่ยหนิงก็ไม่เคยนอนหลับอีกเลย เธอมักจะฝันและตื่นขึ้นกลางดึก บางครั้งก็ฝันว่าหลิงหยุนกลับมาแล้ว บางครั้งก็ฝันว่าหลิงหยุนมีอันเป็นไป ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมา.. น้ำตาจะนองเต็มใบหน้าของเธอด้วยความหวาดกลัวและตกใจ..
จางเม่ยหยิวนได้ฟังเช่นนั้น จึงยิ้มให้ลูกสาวอย่างอ่อนโยนพร้อมกับลูบไหล่ของเธอและตอบไปว่า
“ลูกไม่ได้หูฝาด.. แล้วก็ไม่ได้ฝันไป พี่หลิงหยุนของลูกมาจริงๆ เขามาแล้วจริงๆ ฟังสิ.. เขาเข้ามาในห้องรับแขกแล้ว และกำลังทักทายคุณปู่อยู่..”
เสี่ยวเม่ยหนิงโน้มตัวลงตั้งใจฟังอย่างระมัดระวัง ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความสุขและความปิติยินดี!
“พี่หลิงหยุน!!!”
เด็กสาววายร้ายเอาแต่ใจไม่รอช้า รีบวิ่งออกไปนอกห้องนอนในชุดราตรีสีแดงที่เพิ่งจะสวมเสร็จ แต่จางเม่ยหยิวนรีบดึงเธอกลับมาเสียก่อน
จางเม่ยหยิวนเห็นลูกสาวสุดที่รักกลายเป็นแบบนี้เพราะหลิงหยุนก็ได้แต่ส่ายหน้า เธอมองหนิงน้อยพร้อมกับชี้ไปที่รองเท้าที่ได้เตรียมไว้ให้
“เด็กโง่.. แต่งตัวสวยแบบนี้จะวิ่งออกไปรับแขกด้วยเท้าเปล่าได้ยังไงกัน?”
เสี่ยวเม่ยหนิงรีบสวมรองเท้าอย่างรีบร้อน แต่เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าดวงตาของเธอนั้นยังคงบวมเปล่งอยู่ เธอก็ร้องออกมาด้วยความกระวนกระวาย
“แม่คะ.. ตาของหนูบวม.. ทำยังไงดีคะ?”
จางเม่ยหยิวนตอบกลับไปยิ้มๆ “ง่ายมาก.. ลูกรอเดี๋ยว.. แม่จะแต่งหน้าให้!”
ตอนนี้หลิงหยุนรออยู่ข้างล่างแล้ว แม้ว่าเด็กสาวตัวแสบอยากจะลงไปพบเขามากแค่ใหน เธอก็ไม่ต้องการปรากฏตัวในสภาพขี้ริ้วขี้เหร่ต่อหน้าเขา เธออดทนรอให้จางเม่ยหยิวนแต่งหน้าให้ด้วยใจเต้นระทึก
และก็ไม่วายที่จะร้องตะโกนออกไปว่า “พี่หลิงหยุน รอฉันเดี๋ยวนะ เดี๋ยวฉันจะลงไป!”
จางเม่ยหยิวนขมวดคิ้วด้วยความอาย แต่เธอก็ไม่สามารถห้ามปรามลูกสาวสุดที่รักได้ จึงได้แต่ส่ายหน้าหัวเราะ..
เสี่ยวเฉิงเยี่วยเร่งจางเม่ยหยิวน จากนั้นก็กลับลงไปด้านล่าง เขาต้องการไปดูให้เห็นกับตาว่า คนที่ทำให้ลูกสาวของเขาต้องกลายเป็นแบบนี้ หน้าตาเป็นยังไงกันแน่!
……
ทันทีที่หลิงหยุนเดินเข้ามาในห้องรับแขก เขาก็ต้องพบกับสายตาหลายสิบคู่ที่จ้องมองมา และเขาก็ได้กลายเป็นคนสำคัญของงานไปแล้ว
สายตาทุกคู่เต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น กระอักกระอ่วน และไม่เข้าใจ ส่วนสายตาของท่านหมอเสี่ยวนั้นมีเพียงแค่ความตื่นเต้นและตกใจ!
สายตาของคนเหล่านั้นไม่อาจาทำให้หลิงหยุนสะทกสะท้านได้แม้แต่น้อย เขาเดินเข้าไปด้านในด้วยท่าทางสุขุมและสงบนิ่ง เขาเดินไม่ช้าและไม่เร็วจนเกินไป เข้าไปทักทายท่านหมอเสี่ยวด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“ท่านปู่เสี่ยว.. ผมมาร่วมฉลองวันเกิดให้กับหนิงน้อย มาช้าไปหน่อย หวังท่านปู่จะไม่ถือสานะครับ?”
ท่านหมอเสี่ยวนั้นตกใจอย่างมาก.. เมื่อพบว่าตัวเขาเองไม่สามารถหยั่งรู้กำลังภายในของหลิงหยุนได้อีก
ตอนนี้หลิงหยุนดูเป็นเพียงแค่เด็กนักเรียนมัธยมธรราดาๆคนหนึ่งเท่านั้นเอง นอกเหนือจากหน้าตาที่หล่อเหลาแล้ว และรูปร่างที่ผอมลงเล็กน้อย หลิงหยุนก็ดูไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไปแม้แต่น้อย
“แค่เธอมาก็ดีแล้ว..” ท่านหมอเสี่ยวจับมือหลิงหยุนด้วยความตื่นเต้น และดึงเขาเข้าไปมองใกล้ๆ
ท่านหมอเสี่ยวอดที่จะประหลาดใจไม่ได้ ‘หรือว่าหลิงหยุนจะมีกำลังภายในที่สูงกว่าข้าแล้ว เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาจะเข้าสู่ขั้นที่จะสามารถกลับไปสู่โลกแห่งความจริงได้แล้ว? แต่นั่นไม่น่าจะเป็นไปไม่ได้…’
หลังจากที่หลิงหยุนสำเร็จวิชาพลังลับหยินหยาง ร่างกายของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างมาก!
ด้วยจุดตันเถียนที่แปลกไป ต่อให้หลิงหยุนกำลังเดินลมปราณอยู่ก็ตาม ตราบใดที่เขาไม่ตั้งใจแสดงให้รู้ แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะมีคนหยั่งรู้กำลังภายในของเขา ทุกคนต้องคิดว่าเขาเป็นเพียงแค่คนธรรมดาๆคนหนึ่งเท่านั้น
แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่เปลี่ยนไปคือ.. สภาวะทางอารมณ์ของหลิงหยุน!
ดวงตาของหลิงหยุนอ่อนโยนลงกว่าเมื่อก่อน.. ไม่ดุร้ายหรือคมกริบเหมือนเมื่อก่อน ยามหัวเราะก็ไม่มีประกายตาระยิบระยับอย่างเคย ใบหน้าที่หล่อเหลาก็กลับสว่างไสวและบริสุทธิ์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้
หลังจากหายไปหลายวันและกลับมาพบกันอีกครั้ง ทั้งคู่ต่างก็มีเรื่องราวมากมายที่จะเล่าสู่กันฟังและถามไถ่ซึ่งกันแลกัน แต่ในเวลานี้ สายตาทุกคู่ต่างก็จับจ้องมาที่หลิงหยุนและท่านหมอเสี่ยว พวกเขาจำต้องอดใจไว้ก่อน และทำได้เพียงแค่สบตากันด้วยความเข้าใจ
เวลานั้นเอง.. เสี่ยวเฉิงเยี่วยก็เดินลงมาพอดี ท่านหมอเสี่ยวจึงพาหลิงหยุนไปแนะนำให้เขารู้จัก
เสี่ยวเฉิงเยี่วยเป็นพ่อของหนิงน้อย หลิงหยุนจึงต้องสุภาพและมีมารยาท เขายิ้มทักทายพร้อมกับโค้งให้เสี่ยวเฉิงเยี่วยอย่างนอบนอบ
“สวัสดีครับลุงเสี่ยว..”
“ไม่คิดว่าหลานชายจะหล่อเหลาถึงเพียงนี้!” เสี่ยวเฉิงเยี่วยประทับใจหลิงหยุนตั้งแต่แรกเห็น
เขาแสร้งทำเป็นเหมือนไม่สนใจหลิงหยุนมากนัก แต่ความจริงกลับแอบสังเกตุหลิงหยุนอย่างละเอียด และเห็นว่านอกจากหน้าตาที่หล่อเหลาแล้ว หลิงหยุนก็ไม่มีอะไรโดดเด่น จึงได้แต่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย!
‘เพียงแค่หน้าตาหล่อเหลา แล้วก็ช่วยชีวิตของพ่อไว้! นอกนั้นก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไร!’
แต่เสี่ยวเฉิงเยี่วยไม่ได้พูดออกมา เขาเพียงแค่บอกหลิงหยุนว่าหนิงน้อยกำลังจะลงมา จากนั้นก็พาหลิงหยุนไปนั่งที่โต๊ะ
หลังจากที่หลิงหยุนไปนั่งที่โต๊ะเรียบร้อยแล้ว งานเลี้ยงวันเกิดของหนิงน้อยก็เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ!
บทที่ 342 : เกิดเรื่อง!
หลังจากที่หลิงหยุนนั่งลง เสี่ยวเฉิงเยี่วยก็ประกาศเริ่มงานวันเกิดของเสี่ยวเม่ยหนิงอย่างเป็นทางการ และเพียงแค่คำพูดประโยคเดียว บรรยากาศภายในห้องรับแขกก็เริ่มเปลี่ยนเป็นครึกครื้นทันที
โต๊ะที่ดูเหมือนจะตื่นเต้นมากที่สุด เห็นจะไม่พ้นโต๊ที่หลิงหยุนนั่ง หนุ่มๆแต่ละคนต่างก็ออกอาการตื่นเต้นสุดขีด และเฝ้ารอให้นางเอกของงานปรากฏตัว เพื่อที่พวกเขาจะได้เตรียมมอบของขวัญวันเกิดที่ครอบครัวได้เตรียมไว้ให้แก่เสี่ยวเม่ยหนิง อีกทั้งต้องการรู้ว่าท้ายที่สุดของขวัญจากใครที่จะสามารถชนะใจเสี่ยวเม่ยหนิงได้..
ช่างแตกต่างจากงานวันเกิดของคนธรรมดาทั่วไป ผู้ที่มาร่วมงานในวันนี้ ต่างก็ไม่ได้มาเพื่อรับประทานอาหารในงานเลี้ยง เพราะแต่ละคนที่มาร่วมงานนั้น นอกเหนือจากมาแสดงความยินดีแล้ว แต่ละคนล้วนมีจุดหมายอื่นซ่อนอยู่ และจุดหมายของแต่ละคนก็แตกต่างกันไป
โดยเฉพาะบรรดาหนุ่มๆ ที่ต่างก็เติบโตมาในตระกูลที่ร่ำรวย ไม่ว่าอาหารชั้นเลิศเพียงใด ทุกคนต่างก็เคยลิ้มรสกันมาหมดแล้วทั้งนั้น!
ดังนั้น แม้ว่าเสี่ยวเฉิงเยี่วยจะได้เชิญเชฟที่เก่งที่สุดในปักกิ่งมาเตรียมอาหารในงานเลี้ยงให้ อาหารที่เสริฟขึ้นโต๊ะนั้น จึงทั้งปราณีตและน่ารับประทานอย่างมาก แต่ก็ไม่มีใครสนใจและใส่ใจกับอาหารบนโต๊ะมากนัก
ที่สำคัญ.. งานเลี้ยงในลักษณะนี้เน้นให้ความสำคัญในเรื่องของความยิ่งใหญ่อลังการ มากกว่าที่จะให้ความสำคัญกับเนื้อหาสาระของงาน และแน่นอนว่างานจะไม่จบลงเพียงแค่สองชั่วโมงสั้นๆนี้แน่
จุดไคลแม็กซ์ของงานเลี้ยงวันเกิดในคืนนี้มีเพียงแค่สองเรื่อง.. เรื่องแรกคือการเป่าเทียนวันเกิดของเสี่ยวเม่ยหนิง และรอรับคำอวยพรจากทุกๆคน เรื่องที่สองนั้นแน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องของขวัญวันเกิด
ของขวัญวันเกิดที่จะมอบให้กับเสี่ยวเม่ยหนิงนั้น นอกจากจะเป็นการแสดงความสัมพันธ์ระหว่างสองครอบครัวแล้ว ยังแสดงถึงจุดประสงค์ของผู้ที่มอบให้ด้วย และที่สำคัญที่สุดคือ มันเป็นช่วงเวลาที่แต่ะละตระกูลจะได้โอ้อวดความยิ่งใหญ่และสถานภาพทางสังคมของตนเอง!
บรรดาหนุ่มๆในโต๊ะต่างก็ตั้งตารอคอยให้เสี่ยวเม่ยหนิงลงมาข้างล่างอย่างใจจดใจจ่อ!
เสี่ยวเฉิงเยี่วยพาหลิงหยุนมาส่งที่เก้าอี้ที่ได้เตรียมไว้ให้ เก้าอี้ของเขานั้นอยู่ระหว่างคุณชายฮู๋เซ่าป๋ายแห่งสำนักหมอหุบเขาเทวะ และคุณชายหลงเทียนยู่แห่งตระกูลหลง..
และนั่นทำให้ชายหนุ่มทั้งสองต่างก็ไม่พอใจ และนึกรังเกียจอยู่เงียบๆ
ตอนแรก.. ทั้งคู่ต่างก็คิดว่าผู้ที่จะมานั่งระหว่างพวกเขาทั้งสองคนนั้น จะเป็นบุคคลพิเศษจนน่าตกใจ และเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติพิเศษเหมาะสมที่จะเป็นแขกคนพิเศษของท่านหมอเสี่ยวกับเสี่ยวเม่ยหนิง แต่เมื่อหลิงหยุนเดินเข้ามา ทั้งสองคนจึงได้แต่มองหน้ากันด้วยความตกตะลึง..!
นั่นเพราะคนทั้งโต๊ะต่างก็ไม่มีใครรู้จักหลิงหยุนเลยแม้แต่คนเดียว!
และเมื่อได้เห็นการแต่งตัวของหลิงหยุน หนุ่มๆในโต๊ะต่างก็นึกรังเกียจที่จะได้นั่งร่วมโต๊ะกับเขา เพราะเสื้อผ้าที่หลิงหยุนสวมใส่นั้น เทียบกับผู้ชายในโต๊ะไม่ได้เลยแม้แต่น้อย หลิงหยุนไม่เพียงแต่งตัวไม่เหมาะสมกับงาน แต่เสื้อผ้าของเขายังเป็นเสื้อผ้าเกรดต่ำ เรียกได้ว่าไม่คู่ควรกับงานอย่างมาก!
แต่นี่เป็นชุดที่หลิงหยุนรีบไปหาซื้อจากร้านข้างถนนในหวู่ฮั่นมา ไม่เช่นนั้นแล้ว หากเขาสวมเสื้อคลุมของตู้กู่โม่มา อย่าว่าแต่จะเข้ามาในบ้านของท่านหมอเสี่ยวเลย เขาคงต้องถูกห้ามไม่ให้เข้าตั้งแต่หน้าหมู่บ้านแล้วอย่างแน่นอน
หนุ่มๆที่นั่งร่วมโต๊ะเริ่มจากมองหลิงหยุนด้วยความอยากรู้อยากเห็น จากนั้นก็เริ่มแสดงสายตารังเกียจเหยียดหยัน หลายคนถึงกับยิ้มหยันให้กับหลิงหยุน..
ถึงแม้ว่าหลิงหยุนจะมีรูปร่างหน้าตาที่ดีกว่าพวกเขา แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่! เพราะมีเพียงแค่ความหล่ออย่างเดียวนั้นทำอะไรไม่ได้!
แม้แต่หลงเทียนยู่ที่ปกติเป็นคนสงบเยือกเย็น ยังแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง นี่เป็นงานวันเกิดของหนิงน้อย แต่หลิงหยุนกลับทำเหมือนไม่ให้เกียรติ?!
เขารีบขยับเก้าอี้ออกห่างจากหลิงหยุนเล็กน้อย จากนั้นก็เหลือบมองหลิงหยุนพร้อมกับถามยิ้มๆ
“หลิงหยุน.. ดูเหมือนพวกเราทั้งหมดน่าจะอายุมากกว่านาย ช่วยแนะนำตัวให้พวกเรารู้จักหน่อยสิ นายเป็นคนที่ใหน..?”
หลิงหยุนยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้าน และพูดอย่างไม่เกรงกลัว “ผมเป็นคนเมืองจิงฉู.. ส่วนแม่ผมก็เปิดคลีนิค..”
เมื่อทุกคนได้ยินหลิงหยุนแนะนำตัว ต่างก็แสดงสีหน้าผิดหวัง และหนึ่งในนั้นถึงกับยิ้มหยันและถามขึ้นว่า “แล้วนายไปรู้จักหนิงน้อยได้ยังไงกัน?”
หลิงหยุนตอบยิ้มๆ “ผมกับหนิงน้อยเรียนที่เดียวกัน.. ผมเป็นนักเรียนของโรงเรียนมัธยมจิงฉู..”
หนึ่งในนั้นคิดในใจว่า.. ที่แท้ก็เป็นเพื่อนนักเรียนนี่เอง ถึงได้สนิทสนมกัน!
ชายหนุ่มพวกนี้เมื่อเห็นใครที่ดูเหมือนจะมีสถานะที่ต่ำต้อยกว่าตนเอง ก็เริ่มที่อยากจะล้อเลียน หนึ่งในนั้นยกมือขึ้นชี้ไปรอบๆห้องรับแขกแล้วพูดขึ้นว่า
“หลิงหยุน.. ดูท่านายจะมีปัญหาแล้วล่ะ?!”
หลิงหยุนมองไปรอบๆห้องรับแขก พร้อมกับคิดว่าระหว่างที่เดินเข้ามาในบ้านนั้น เขาก็มองเห็นปัญหาจริงๆ จึงได้แต่ตอบกลับไปว่า
“ใช่.. น่าจะมีปัญหาจริงๆ!”
หนุ่มๆในโต๊ะต่างก็มองหน้ากัน และก็หัวเราะออกมาเสียงดัง!
ชายหนุ่มพวกนั้นไม่เข้าใจความหมายของหลิงหยุน ที่หลิงหยุนพูดว่าน่าจะมีปัญหานั้นก็เพราะว่า เมื่อเขาเข้ามาในบ้าน นอกจากท่านหมอเสี่ยวแล้ว เขาก็ไม่พบใครที่เขารู้จักเลยแม้แต่คนเดียว!
หลิงหยุนคิดไว้ว่าอย่างน้อยในงานวันเกิดของหนิงน้อย เขาน่าจะได้พบหนิงหลิงยู่ ถังเมิ่ง เกาเฉินเฉิน เฉิงเม่ยเฟิง หรือเพื่อนคนอื่นๆ หรือไม่อย่างน้อยเขาก็น่าจะได้พบนางฉินจิวยื่อบ้าง!
แม้ว่าเสี่ยวเม่ยหนิงจะเป็นเด็กสาวที่เอาแต่ใจ แต่ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขา หลิงหยุนไม่เชื่อว่าเสี่ยวเม่ยหนิงจะไม่เชิญคนเหล่านี้มาในงานวันเกิดของเธอ!
เสี่ยวเม่ยหนิงเองก็เคยพบเจอแม่ของเขา อีกทั้งสองคนก็ยังพูดคุยกันถูกคอ แม่ของเขาก็เอ็นดูหนิงน้อยอย่างมาก! หากเสี่ยวเม่ยหนิงเอ่ยปากชวน แน่นอนว่านางฉินจิวยื่อต้องไม่ปฏิเสธอย่างแน่นอน!
หลิงหยุนมั่นใจว่าหนิงน้อยจะต้องเชิญทุกคน แต่เหตุใดเขาจึงไม่พบใครในงานเลยแม้แต่คนเดียว? นี่เป็นเรื่องที่ไม่ปกติ!! และน่าจะต้องเกิดปัญหาอะไรบางอย่างขึ้นอย่างแน่นอน!!
ชายหนุ่มที่อยู่ในโต๊ะเดียวกันอีกคนก็พูดต่อว่า “นายคงตกใจสินะที่ไม่พบเพื่อนคนอื่นในงานเลี้ยงเลย นายไม่คิดบ้างเหรอว่าทำไมเพื่อนคนอื่นๆถึงไม่มางานนี้?”
ชายหนุ่มพวกนี้ไม่มีทางรู้หรอกว่าสิ่งที่หลิงหยุนกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เป็นเรื่องสำคัญกว่าที่พวกเขาคิดมาก และหลิงหยุนก็ไม่อยากเสียเวลาตอบโต้กับคนพวกนี้ เขาจึงเลือกที่จะเงียบ แต่คนพวกนั้นกลับเข้าใจว่าพวกเขาสามารถรังแกหลิงหยุนได้ จึงเริ่มพูดเหน็บแนมเขามากขึ้น และก้าวร้าวกว่าเดิม พร้อมกับเปิดตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามกับหลิงหยุน..
“ให้ผมรีบออกไปจากงานงั้นเหรอ? หนิงน้อยยังไม่ลงมาเลย แล้วทำไมผมต้องออกไปจากงานนี้ด้วยล่ะ?” หลังจากที่ฟังคนพวกนี้เหน็บแนมมานาน หลิงหยุนจึงหยุดครุ่นคิดปัญหาที่คาใจไว้ก่อน พร้อมกับเงยหน้าขึ้นพูดกับชายหนุ่มสองคนที่พูดไม่หยุด พร้อมกับยิ้มให้คนทั้งคู่..
วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันเกิดของหนิงน้อย หลิงหยุนไม่ต้องการทำลายบรรยากาศที่อบอวลด้วยความสุข เขาจึงไม่ใส่ใจกับเด็กหนุ่มพวกนี้ และปล่อยให้พวกเขาพูดพล่ามไปเรื่อยๆ
ตอนนี้เขามีกระบี่โลหิตแดนใต้อยู่ในมือ อีกทั้งเพิ่งจะเอาชนะยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-1มาได้ เขาจึงไม่อยากเสียเวลาไปวุ่นวายกับเด็กมีเงินพวกนี้
อะแฮ่ม..!!
หลี่ยั่วหมิงก็รู้สึกเช่นเดียวกันว่า ชายหนุ่มคนสองนั้นพูดมากเกินไป เขาจึงกระแอมเพื่อเป็นการเตือน จากนั้นจึงถามหลิงหยุนยิ้มๆ
“หลิงหยุน.. นายเตรียมของขวัญวันเกิดอะไรมาให้หนิงน้อยงั้นเหรอ?”
“ของขวัญวันเกิดงั้นเหรอ? ผมไม่ได้เตรียมของขวัญวันเกิดมาให้หนิงน้อยเลย..”
เมื่อหลี่ยั่วหมิงถามเรื่องนี้ขึ้นมา หลิงหยุนจึงตอบไปว่าเขารีบร้อนมาที่นี่จึงไม่ได้เตรียมของขวัญวันเกิดมาให้หนิงน้อย.. และเขาก็ไม่ได้เตรียมมาจริงๆ..
หลิงหยุนนึกเสียดายที่เขาไม่ได้เก็บโสมพันปีในหุบเขามาด้วย ที่นั่นมีอยู่หลายต้น หากเขานำมาเป็นของขวัญวันเกิดให้หนิงน้อยสักต้นก็น่าจะดี..
ชายหนุ่มในโต๊ะเมื่อได้ยินคำตอบของหลิงหยุนก็ถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดัง ต่างก็ยักคิ้วหลิ่วตาให้กันพร้อมกับมองหลิงหยุนราวกับเป็นตัวตลก
“มางานวันเกิดของหนิงน้อยทั้งที แต่กลับไม่เตรียมของขวัญมาให้? ฮ่า.. ฮ่า..ฮ่า..” ชายหนุ่มสองคนต่างก็พูดเหน็บแนมหลิงหยุนขึ้นมาทันที
ฮู๋เซ่าป๋ายที่อยู่ข้างๆ เมื่อเห็นว่าหลิงหยุนเป็นคนไม่มีหัวนอนปลายเท้า และยังไม่รู้จักวรยุทธ อีกทั้งยังพูดจาโง่ๆ เขาจึงแสดงสีหน้ารังเกียจ พร้อมกับขยับเก้าอี้ออกห่างจากหลิงหยุน
“ดูท่าจะเป็นคางคกอยากจะกินเนื้อหงส์สินะ.. ฮ่า ฮ่า ฮ่า”
“ดูจากการแต่งตัวของคุณหลิงแล้ว.. นี่คงจะเป็นเทรนด์ใหม่ ไม่ทราบว่าเสื้อผ้าที่ใส่เป็นของแบรนด์ใหนเหรอครับ?”
“ไม่รู้เป็นไง.. ปีนี้ผมเจอแต่คนที่อยากทำตัวเด่นดัง แต่ยิ่งแสดงออกมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งดูออกว่าโง่มากเท่านั้น..”
หนุ่มๆในโต๊ะต่างก็เริ่มแสดงความคิดเห็นกันไปต่างๆนานา ที่เป็นการเยาะเย้ยหลิงหยุน และดูเหมือนว่าสิ่งนี้จะทำให้พวกเขามีความสุขมาเป็นพิเศษ
หลิงหยุนได้แต่แอบหัวเราะให้กับคำพูดไร้สาระพวกนั้น..!
หลังจากผ่านไปห้าหรือหกนาที จู่ๆหลิงหยุนก็หันหลังจ้องมองไปทางบันไดบ้าน คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย ดวงตาของเขาเป็นประกายขึ้นมาวูบหนึ่ง..
“เจ้าของงานวันเกิดลงมาแล้ว!”
“หนิงน้อยลงมาแล้ว..”
ที่มุมหนึ่งของบันได.. เสี่ยวเม่ยหนิงอยู่ในชุดราตรีสีแดงที่สวยสง่า สีของชุดช่วยขับผิวขาวนวลดั่งหิมะของเธอให้โดดเด่น สวมรองเท้าส้นสูงเป็นประกายแวววาว มือขวาจับกระโปรงไว้ สาวน้อยที่สูงส่งและสวยสง่ากำลังเดินลงบันไดมาพร้อมกับแม่ของเธอ – นางจางเม่ยหยิวน
แน่นอนว่าคืนนี้เสี่ยวเม่ยหนิงเป็นนางเอกเพียงคนเดียวของงาน ทันทีที่เธอปรากฏตัว เสียงปรบมือก็ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งห้องรับแขก..
“สวยงามเหลือเกิน..”
“หนิงน้อย.. หนิงน้อยมาแล้ว..”
“นี่คือเด็กสาวอายุสิบเจ็ดปี.. นี่ถ้าโตกว่านี้อีกสองปี ฉันว่าคงหาใครเทียบไม่ได้..”
…….
“พี่หลิงหยุน!!”
เสี่ยวเม่ยหนิงไม่สามารถอดทนรอได้นานกว่านี้ เธอขอร้องให้แม่ช่วยแต่งหน้าบางๆให้กับเธอ เอาแค่ปกปิดรอยช้ำรอบดวงตาของเธอก็พอ จากนั้นเธอก็รีบวิ่งลงบันไดมาหาหลิงหยุน!
ยังไม่ทันที่จะลงบันไดขั้นสุดท้ายด้วยซ้ำ เสี่ยวเม่ยหนิงก็ขยี้ตา เธอเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยกำลังจ้องมองมาที่เธอ
ดวงตาของเสียวเม่ยหนิงและสีหน้าเปลี่ยนเป็นประหลาดใจอย่างที่สุด เธอไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีก นอกจากรีบวิ่งตรงไปหาหลิงหยุนที่โต๊ะ!
หลิงหยุนลุกขึ้นยิ้มพร้อมกับเตะเก้าอี้ออกไปด้านข้าง ภายใต้ทุกสายตาทุกคู่ที่จ้องมองมาอย่างงุนงงและตกตะลึง หลิงหยุนอ้าแขนรอรับร่างของหนิงน้อย..!
เสี่ยวเม่ยหนิงวิ่งเร็วขึ้น และโผเข้าหาอ้อมกอดของหลิงหยุนทันที ราวกับเกรงว่าหลิงหยุนจะหนีไปอีกครั้ง อ้อมแขนขาวอมชมพูของเธอรีบยื่นออกไปรัดรอบเอวของหลิงหยุนไว้แน่น!
แต่สาวน้อยที่เอาแต่ใจตัวเองกลับไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมองหลิงหยุน ได้แต่ซบหน้าลงบนอกของเขา แล้วน้ำตาก็ไหลพรากราวกับสายฝนจนเปี่ยกไปทั่วทั้งอกของหลิงหยุน
“หนิงน้อย.. อย่าร้องไห้! มีคนมองดูอยู่เต็มไปหมด! ผมกลับมาแล้วนี่ไง?!”
บทที่ 343 : หัวเราะทีหลังดังกว่า (1)
ภายในห้องรับแขกที่อื้ออึงไปด้วยเสียบปรบมือ ตอนนี้ทุกคนต่างก็ยกมือค้าง และอ้าปากหวอมองดูภาพที่อยู่ตรงหน้า คล้ายกับว่าสมองของพวกเขานั้นมีพื้นที่ไม่พอสำหรับการประมวลความเข้าใจ!
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?! เด็กผู้ชายที่แต่งตัวธรรมดาๆคนนั้นเป็นใครกัน? แม้แต่เสี่ยวเม่ยหนิงที่เพิ่งลงมาข้างล่าง ก็วิ่งเข้าไปซบอกเขาทันที โดยไม่สนใจที่จะเข้าไปทักทายปู่และพ่อของเธอ..
และทั้งที่สวมชุดราตรีที่สวยสง่าแบบนั้น แต่กลับวิ่งเข้าไปกอดเด็กหนุ่มคนนั้นแน่นจนไม่ห่วงว่าชุดสวยนั่นจะยับ..
และสิ่งที่ทำให้ทุกคนในงานประหลาดใจและอัศจรรย์ใจอย่างที่สุดนั้นก็คือ เด็กหนุ่มหลิงหยุนผู้นี้กลับกอดหนิงน้อยไว้ในอ้อมแขน โดยไม่สนใจใยดีกับสายตาหลายคู่ที่กำลังจับจ้องอยู่?!
เมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า ท่านหมอเสี่ยวกลับมีสีหน้าสงบนิ่ง สบายใจ และพออกพอใจ เมื่อได้เห็นหลานสาวยที่เป็นดั่งดวงใจมีความสุข เขาก็นั่งลงอย่างมีความสุขเช่นกัน
‘เจ้าเด็กหลิงหยุนคนนี้.. ต่อไปฉันคงไม่ต้องเป็นห่วงอะไรเจ้าแล้วสินะ..’ ท่านเสียวคิดอย่างสบายอกสบายใจ
เสี่ยวเม่ยหนิงยังคงขดอยู่ในอ้อมแขนของหลิงหยุนอยู่นาน และน้ำตาของเธอก็เปื้อนเสื้อหลิงหยุนจนเป็นวงใหญ่ ผ่านไปครู่ใหญ่เธอจึงเงยหน้าจ้องมองหลิงหยุนด้วยดวงตาที่ช้ำและบวม จากนั้นคำพูดมากมายก็พรั่งพรูออกมาจากปากของเธอ
“พี่หลิงหยุน.. นี่พี่กลับมาแล้วจริงๆ! พี่ไปใหนมา? พี่รู้ไม๊ว่าทุกคนตามหาพี่กันแทบบ้า! พวกเราต่างก็คิดว่าพี่…”
แต่เมื่อคำว่า ‘ตาย’ กำลังจะหลุดจากปก เสี่ยวเม่ยหนิงก็หยุดทันทีและไม่พูดอะไรต่ออีก เพราะถึงอย่างไรตอนนี้หลิงหยุนก็กลับมาแล้ว และกลับมาอย่างปลอดภัย!
หลิงหยุนเพียงแค่ยิ้ม.. เขาเองก็นึกไม่ถึงจริงๆว่าจะใช้เวลาในการฝึกพลังลับหยินหยาง และก้าวขึ้นสู่ขั้นปรับร่างกาย-4 นานถึงเพียงนี้
จากประสบการณ์เมื่อครั้งอยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้น การฝึกวิชาพลังลับหยินหยานสามารถทำได้ง่ายนิดเดียว และใช้เวลาไม่มาก เขาจึงมั่นใจว่าจะใช้เวลาไม่นานนัก
เมื่อครั้งที่ลงไปก้นหลุมยักษ์ในคืนของวันที่ 6 เมษายนนั้น หลิงหยุนคิดว่าเขาน่าจะสามารถออกมาได้ในเช้าของวันที่ 7 และอาจจะต้องไปโรงเรียนในวันจันทร์สายหน่อยเท่านั้นเอง
แต่เขากลับนึกไม่ถึงว่าการฝึกพลังลับหยินหยางครั้งนี้ไม่เพียงใช้เวลานานถึงสามวันสามคืน แต่จุดตันเถียนของเขายังแปลกไปมากอีกด้วย
และยิ่งล่าช้าเข้าไปอีกเมื่อเขามาพบกันคนหน้าโง่สามคนที่บังเอิญไปเปิดค่ายกลมรณะเข้า หลังจากผ่านพ้นจุดนั้นมาได้ เขาก็ได้พบกับแผนผังแปดทิศที่ก้นบ่อน้ำลายมังกร และได้พบเห็นเรื่องราวแปลกประหลาดอีกมากมาย ซึ่งทั้งหมดก็กินเวลาไปแล้วถึงห้าวัน และในเช้าวันที่ 12 จึงสามารถออกจากป่าเสินหนงเจี๋ยได้!
แต่ก็ยังต้องเผชิญกับการเดินทางที่หฤโหดถึงสิบสองชั่วโมงเพื่อกลับมาถึงจิงฉูให้ทันเวลา หลิงหยุนคำนวนดูแล้วปรากฏว่าเขาใช้เวลาอยู่ในก้นหลุมยักษ์และเดินทางกลับมาที่จิงฉูนานถึงหกวันหกคืน..!
หากหลิงหยุนรู้ว่าตนเองจะหายไปนานเช่นนี้ เขาคงจะบอกกับตี้เสี่ยวอู๋ก่อนที่จะเดินทางไปก้นหลุมยักษ์ เพื่อที่ทุกคนจะได้ไม่ต้องเป็นห่วง..
และหากเขาหายตัวไปจริงๆ ทุกคนก็จะได้ไปตามหาเขาได้ถูก เมื่อนึกถึงความน่ากลัวและสิ่งแปลกประหลาดที่ก้นหลุมยักษ์ หลิงหยุนก็ได้แต่คิดว่าหากเสี่ยวเม่ยเม่ย และตี้เสี่ยวอู๋ลงไปที่นั่น ทั้งคู่คงจะต้องตายอย่างสยดสยองแน่ และเขาเองก็คงจะรู้สึกเสียใจ
แต่ในตอนนี้.. สิ่งที่หลิงหยุนต้องทำก่อนคือการเอาใจหนิงน้อย!
“ผมกลับมาแล้วจริงๆ! ผมยอมรับผิด และต่อไปจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก แต่ผมไปหาของขวัญวันเกิดให้หนิงน้อยนะ ผมมีเซอร์ไพรส์ให้คุณด้วย!”
เมื่อได้ฟังคำพูดของหลิงหยุน เสี่ยวเม่ยหนิงถึงกับจ้องมองหลิงหยุนด้วยงความงุนงงอยู่นาน จากนั้นก็เริ่มร้องไห้อีกพร้อมกับเอามือทุบอกหลิงหยุน
“ใหนพี่เคยบอกว่าไม่มีของขวัญวันเกิดให้ฉันไง? ฉันไม่อยากได้ของขวัญอะไร แค่พี่มางานวันเกิด ฉันก็มีความสุขมากๆแล้ว!”
อะไรนะ?! นี่มันหลอกพวกเรางั้นเหรอ? ใหนมันบอกว่าไม่ได้เตรียมของขวัญวันเกิดมา?
สายตาของหนุ่มๆในโต๊ะจ้องมองหลิงหยุนกับเสี่ยวเม่ยหนิงที่ดูสนิทสนมกันด้วยความรู้สึกอิจฉาริษยา และไม่พอใจอย่างมาก!
ยิ่งตอนนี้ได้ยินว่าหลิงหยุนได้เตรียมของขวัญวันเกิดมาให้หนิงน้อย พวกเขาก็ยิ่งอิจฉาและไม่พอใจ..
หลิงหยุนสวมเสื้อยืดที่ซื้อจากร้านข้างถนน สวมกางเกงสีเขียวกึ่งลำลองกึ่งกีฬา ในมือก็ไม่ได้ถืออะไรมาด้วยแม้แต่กระเป๋า แล้วจะเอาของขวัญที่ใหนมาให้หนิงหน้อย..?!
ชายหนุ่มที่ร่ำรวยต่างก็คิดว่าหลิงหยุนโอ้อวดไปแบบนั้นเอง เมื่อถึงเวลามอบของขวัญให้กับหนิงน้อยจริงๆ พวกเขาคงได้หัวเราะเยาะหลิงหยุนอีกครั้งแน่!
หลิงหยุนที่โอบกอดร่างบอบบางของหนิงน้อยอยู่ในระยะปะชิดถามขึ้นมาว่า “หนิงน้อย.. ทำไมตาถึงได้บวมช้ำและแดงขนาดนั้นล่ะ?”
เสี่ยวเม่ยหนิงรีบซุกหน้าหลบเมื่อรู้ว่าหลิงหยุนสังเกตุเห็นพร้อมกับตะโกนสั่งว่า “พี่ห้ามมอง.. มันน่าเกลียด!!”
หลิงหยุนยิ้มและกำลังจะพูด แต่ก็มีเสียงดังขึ้นจากด้านหลังของเขา..
“หลายวันนี้หนิงน้อยคงจะเตรียมงานวันเกิดจนไม่มีเวลาพักผ่อน ดวงตาก็เลยบวมช้ำ แต่ไม่ต้องกังวล.. สำนักหมอหุบเขาเทวะมีครีมที่ช่วยในเรื่องของการหมุนเวียนเลือดได้เป็นอย่างดี ทาเพียงแค่สามชั่วโมงก็เห็นผล และดวงตาของหนิงน้อยก็จะกลับมาสวยงามเหมือนเดิม!”
จุดประสงค์ในการมาคืนนี้ของคุณชายฮู๋เซ่าป๋ายแห่งสำนักหมอหุบเทวะนั้นค่อนข้างชัดเจน แต่เมื่อเห็นหลิงหยุนกับเสี่ยวเม่ยหนิงสนิทสนมกันอย่างมากจึงรู้สึกไม่พอใจ และนี่เป็นโอกาสที่เขาจะได้โอ้อวดความสามารถและศักยภาพของตนเอง จึงไม่รีรอที่จะฉวยโอกาสนี้ไว้..
สายตาทุกคู่ต่างก็จับจ้องไปที่กล่องสีทองปราณีตในมือของฮู๋เซ่าป๋าย และเพียงแค่เห็นแวบแรกที่เห็นก็รู้ได้ว่ามันคือกล่องทองคำแท้ ทุกคนในงานจึงได้แต่อึ้ง..
ตอนที่อยู่ก้นหลุมยักษ์นั้น หลิงหยุนเคยได้ยินเถี่ยเจิ้งผิงพูดชื่อหุบเขาหมอเทวะมาแล้ว เขาจึงมองฮู๋เซ่าป๋ายพร้อมกับตอบยิ้มๆ
“ต้องรอถึงสามชั่วโมง.. ไม่ช้าไปหน่อยหรือไง? ผมสามารถทำให้หายบวมได้ทันที!”
“ห๊ะ..” ทุกคนต่างร้องออกมาด้วยความตกใจ
ดวงตาของเสี่ยวเม่ยหนิงบวมและช้ำมาก แม้กระทั่งรองพื้นยังไม่สามารถปกปิดได้ เมื่อได้ยินว่ามีครีมที่ช่วยให้หายได้ภายในสามชั่วโมงเธอก็รู้สึกอัศจรรย์ใจมากแล้ว แต่หลิงหยุนกลับบอกว่านั่นยังช้าเกินไป!
ฮู๋เซ่าป๋ายถูกหลิงหยุนทำให้อับอายต่อหน้าผู้คน ใบหน้าหล่อเหลาของเขาแดงจนเกือบเขียว เขาขมวดคิ้วพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“หลิงหยุน.. สิ่งที่เจ้าพูดมันไม่มีทางเป็นไปได้ อย่าได้โอ้อวดจนเกินจริง! สิ่งใหนที่เจ้าทำไม่ได้ ก็ไม่ควรที่จะพูดออกมา สิ่งใหนที่เจ้าทำได้ ก็อย่าคิดว่าคนอื่นทำไม่ได้ จะได้ไม่ถูกคนอื่นหัวเราะเยาะเอา!”
ฮู๋เซ่าป๋ายไม่เชื่อ.. เพราะในสำนักหมอหุบเขาเทวะนั้น ไม่มีใครที่สามารถเอาชนะเขาได้แม้แต่คนเดียว!
ทุกคนที่อยู่ในห้องรับแขกต่างก็พยักหน้าเห็นด้วยกับฮู๋เซ่าป๋าย และคิดว่าหลิงหยุนพูดพล่อยๆ!
ดูเหมือนชายหนุ่มคนอื่นๆในโต๊ะคงกลัวว่าจะยังโกลาหลวุ่นวายไม่พอ หนึ่งในนั้นจึงพูดขึ้นมาว่า
“หลิงหยุน.. นายว่ายาของคนอื่นไม่ดี ถ้างั้นก็แสดงให้พวกเราเห็นหน่อยสิ?! แต่ถ้านายทำไม่ได้ พวกเราก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจหรือผิดหวังหรอกนะ!”
และทุกคนต่างก็จ้องมองหลิงหยุนตาเขม็ง และเขาก็ตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนในห้องอีกครั้ง!
หลิงหยุนเพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปมองฮู๋เซ่าป๋ายที่จ้องมองเขาอยู่เช่นกัน พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ใครบอกว่าผมทำไม่ได้ล่ะ? ถ้าทำไม่ได้.. ผมจะพูดทำไม?”
พูดจบ.. หลิงหยุนก็จับใบหน้าของเสี่ยวเม่ยหนิงให้เงยขึ้นอย่างนุ่มนวล จากนั้นก็ให้เธอลืมตาขึ้นมองไปด้านบน “หนิงน้อย.. เดี๋ยวก็สวยเหมือนเดิมแล้ว!”
แน่นอนว่าเสี่ยวเม่ยหนิงเชื่อฟังหลิงหยุน เธอยิ้มหวานให้กับเขาก่อนจะเงยหน้าขึ้นพร้อมกับจ้องมองหลิงหยุนด้วยความรัก..
ระหว่างนั้นหลิงหยุนก็เรียกยันต์บำบัดออกมาจากแหวนพื้นที่ในมือข้างซ้าย จากนั้นก็ซ่อนยันต์อัคนีไว้ในฝ่ามือ และลูบเข้าที่ดวงตาของหนิงน้อยอย่างรวดเร็ว และตะโกนสั่งอยู่ในใจ!
เสี่ยวเม่ยหนิงรู้สึกว่ารอบดวงตาของเธอนั้นเย็นสดชื่น และอาการบวมนั้นลดลง อีกทั้งอาการเจ็บปวดที่เกิดจากดวงตาแห้งก็หายไปด้วยเช่นกัน
“สวยเหมือนเดิมแล้ว!” หลิงหยุนยกมือข้างซ้ายออกพร้อมกับยิ้มอ่อนโยน
“ห๊ะ..” “โอ้..?!” “เป็นไปไม่ได้..!” “เหลือเชื่อ..!!”
หลังจากที่หลิงหยุนยกมือข้างซ้ายออกจากดวงตาของเสี่ยวเม่ยหนิง ทุกคนต่างก็เห็นใบหน้าของเธอ แล้วดวงตาที่บวมเปล่งและแดงกล่ำก็หายเป็นปลิดทิ้ง
ดวงตาของเสี่ยวเม่ยหนิงในตอนนี้ กลับมากลมโตเป็นประกายสวยงามราวกับเทพธิดาเหมือนเดิมแล้ว ความแตกที่เห็นได้ชัดเจนนี้ทำให้ทุกคนต่างก็ตกตะลึง!!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น