Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร 305-324

 305 ทำดี.. ย่อมได้ดี!


คำสอนเรื่อง ‘ทำดี ได้ดี’ ของคนโบร่ำโบราณยังใช้ได้มาจนถึงทุกวันนี้


เห็นได้ชัดจากการที่หลิวลี่ได้มอบพู่กันจักรพรรดิให้กับหลิงหยุนเป็นการตอบแทน..


ตอนนั้น.. หากหลิงหยุนไม่ยอมรับไว้ หลิวลี่คงต้องโยนพู่กันด้ามนั้นทิ้งไปแล้วอย่างแน่นอน และหลังจากที่ได้มอบให้กับหลิงหยุนไป เธอก็ลืมเรื่องพู่กันด้ามนั้นไปสนิท


แม้หลิวลี่จะไม่อยากยกพู่กันด้ามนั้นให้กับหลิงหยุนนัก เพราะเห็นว่ามันเป็นสิ่งของที่ไร้ค่า แต่เพราะไม่มีสิ่งใดที่จะให้กับผู้มีพระคุณของเธออีกแล้ว นอกจากพู่กันด้ามนั้น


ไม่เพียงหลิงหยุนไม่ปฏิเสธ เขายังรับมันไว้ด้วยความเต็มใจ แต่หลังจากที่ค้นพบคุณค่าที่แท้จริงของพู่กันด้ามนั้น เขาก็คิดที่จะตอบแทนให้กับครอบครัวนี้เป็นสองเท่า เช่นนี้แล้วจะไม่เรียกว่าคนดีได้อย่างไรกัน?


ราคาบ้านหลังใหม่ขนาดกลางๆของเมืองจิงฉูก็ราวสองล้าน..


หลิวลี่เองก็รู้ดีว่าหลิงหยุนตั้งใจพูดเช่นนั้นเพราะต้องการให้พวกเขายอมรับเงินและบ้านจากเขาเท่านั้น เพราะพู่กันด้ามนั้นจะมีมูลค่าถึงแปดแสนหยวนอย่างที่เขาบอกจริงหรือไม่.. เธอเองก็ไม่อาจรู้ได้?


หลี่หยุนเซียงตอบกลับไปว่า “ไม่นะน้องหลิงหยุน.. ผมเคยเอาพู่กันด้ามนี้ไปขายที่ตลาดค้าของเก่า แต่ไม่มีใครยอมรับซื้อเลยด้วยซ้ำ…”


หลิงหยุนเพียงตอบกลับไปยิ้มๆ “พี่หลี่ครับ.. นั่นเพราะพี่นำไปขายไม่ถูกคนต่างหาก! เพราะความจริงแล้วคุณค่าของพู่กันด้ามนี้อยู่ที่ความชื่นชอบ สำหรับผมแล้ว ต่อให้เสนอราคาให้ผมสูงแค่ใหน ผมก็ไม่มีวันขายอย่างแน่นอน…”


หลิงหยุนพูดต่อโดยไม่เปิดช่องว่างให้หลี่หยุนเซียงได้โต้แย้ง “ผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่ชื่นชอบการสะสมของแบบนี้มาก ไม่ว่าจะเป็นแป้นหมึก กระดาษ หรือว่าพู่กัน ทันทีที่เขาเห็นพู่กันด้ามนี้ เขาก็บอกผมว่ามันเป็นพู่กันที่วิเศษมาก และต้องการจะขอซื้อจากผมในราคาที่สูงลิบลิ่ว ผมจึงมาที่นี่เพื่ออยากรู้ที่มาที่ไปของมัน ผมก็เลยต้องมาถามจากพี่หลี่..”


หลิงหยุนเอ่ยถามเรื่องที่มาที่ไปของพู่กันด้ามนี้ขึ้นมา และหวังว่าจะได้รับข้อมูลที่มากพอจากสองสามีภรรยา


“เอ่อ…” หลิวลี่เคยบอกกับหลิงหยุนว่าพู่กันด้ามนี้เป็นสมบัติสืบทอดจากบรรพบุรุษมาถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน แล้วเธอจะบอกความจริงกับเขาได้อย่างไรเล่าว่ามันเป็นของที่ขุดมาจากสุสาน?


แต่หลี่หยุนเซียงกลับโพล่งออกไปว่า “น้องหลิงหยุน.. ขอบอกตามตรงนะ บรรพบุรุษของผมมีอาชีพเป็นนักขุด..”


“นักขุดงั้นเหรอ?” เป็นอาชีพใหม่อีกหนึ่งอาชีพที่หลิงหยุนเพิ่งเคยได้ยิน


หลี่หยุนเซียงพยักหน้าด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ “ใช่! พวกเราเป็นนักขุดสุสาน พูดง่ายๆก็คือว่าพู่กันด้ามนี้ปู่ของปู่ของผมได้มาจากสุสานใหญ่แห่งหนึ่ง”


หลิงหยุนได้ฟังก็เข้าใจได้ทันทีว่าพู่กันด้ามนั้นเป็นพู่กันที่ขุดขึ้นมาจากหลุมศพ เพราะถังเมิ่งก็เพิ่งจะเล่าเรื่องพวกนี้ให้เขาฟังเมื่อคืนนี้


“อ่อ.. ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง.. แล้วพอจะรู้ไม๊ครับว่าขุดมาจากสุสานที่ใหน?”


ที่หลิงหยุนมาที่นี่ ก็เพราะต้องการรู้ว่าพู่กันจักรพรรดิด้ามนั้นถูกขุดมาจากที่ใหนกันแน่ เขาจะได้กลับไปดูว่ายังมีสมบัติชิ้นอื่นเหลืออยู่อีกหรือไม่?


เมื่อหลิวลี่เห็นหลิงหยุนไม่มีท่าทีขุ่นเคืองเมื่อได้ยินว่าพู่กันด้ามนั้นถูกขุดขึ้นมาจากหลุมศพ เธอจึงตัดสินใจที่จะเล่าเรื่องนี้แทนหลี่หยุนเซียง “น้องหลิงหยุน.. เรื่องนี้ฉันจะเล่าให้ฟังเอง..”


เดิมทีนั้น ครอบครัวหลี่หยุนเซียงทั้งสามคนรวมทั้งหลิวลี่ด้วย เป็นคนหัวหยางในมณฑลเหอหนาน มณฑลเหอหนานนั้นตั้งอยู่บนที่ราบตอนกลางของจีน ตั้งแต่โบราณกาลมา ผืนดินแห่งนี้เป็นสุสานของฮ่องเต้หลายพระองค์ และเป็นที่ฝังศพของคนจีนในยุคโบราณมากมายนับไม่ถ้วน


ในยุคสมัยของราชวงศ์ชิง ประเทศจีนได้เกิดสงครามครั้งใหญ่และยาวนาน จนประชาชนต่างพากันได้รับความลำบากทุกข์ยาก ถึงกับต้องไปปล้นสุสานเพื่อหาเลี้ยงปากท้อง


บรรบุรุษของหลี่หยุนเซียงเองก็ยึดอาชีพขุดหาสมบัติในสุสานมาอย่างยาวนาน และพู่กันด้ามนี้ก็ขุดได้จากหลุมฝังศพขนาดใหญ่หลุมหนึ่ง บรรพบุรุษของเขาคิดที่จะขายมันแต่ก็ขายไม่ได้สักที จนต้องเก็บเป็นสมบัติส่งต่อให้ลูกหลานจากรุ่นสู่รุ่นไปเรื่อยๆ


ในเวลานี้ หลิงหยุนได้บันทึกข้อมูลวิชาภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ในหนังสือเรียนของนักเรียนมัทธยมปลายลงไปในความทรงจำของตัวเองหมดแล้ว เมื่อได้ฟังเรื่องที่หลี่หยุนเซียงเล่า เขาก็นึกภาพที่ตั้งของมณฑลเหอหนานได้คร่าวๆ


จากหนังสือวิชาภูมิศาสตร์ที่หลิงหยุนบันทึกไว้ในความทรงจำนั้น มีสถานที่เพียงสองแห่งที่เป็นจุดเด่นของมณฑลเหอหนาน


หนึ่งคือวัดเส้าหลิน และสองคือฝั่งตะวันออกของเทือกเขาชิงหลิง..


แม่น้ำฮวงโหในเทือกเขาชิงหลิงที่เป็นเขตแดนเหนือจรดใต้ของประเทศจีน ในมุมมองหลิงหยุนนั้น ที่นี่จึงนับว่าเป็นเส้นเลือดมังกรที่ใหญ่ที่สุดเส้นหนึ่ง


ในยุคสมัยโบราณหากฮ่องเต้สิ้นพระชนม์ชีพ ก็จะต้องถูกนำพระศพไปฝังในพื้นที่ที่เป็นแดนมังกร และเทือกเขาชิงหลิงแห่งนี้ก็เหมาะสมที่สุดที่จะเป็นสุสานของบรรดาฮ่องเต้อย่างไม่ต้องสงสัย


หลิงหยุนนั่งฟังหลิวลี่เล่าจนจบ แล้วจึงถามขึ้นว่า “พี่หลิว.. นี่ก็หมายความว่าพู่กันด้ามนี้ต้องเป็นของคนในหัวหยานมณฑลเหอหนานใช่ไม๊?”


หลิงลี่หัวเราะแล้วส่ายหน้า “นั่นไม่ถูกต้องเสมอไป คนที่ขุดสุสานโบราณ ไม่มีใครรู้ว่าพู่กันด้ามนั้นมาจากใหนแน่ แต่ที่แน่ๆคือขุดมาจากสุสานในมณฑลเหอหนาน..”


จุ่ๆหลิวลี่ก็มองหน้าหลิงหยุนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พร้อมกับถามขึ้นอย่างระแวดระวัง “น้องชาย.. ดูเหมือนคุณจะสนใจเรื่องนี้มาก อย่าบอกนะว่าต้องการที่จะ…? ฉันจะขอเตือนในฐานะพี่สาวว่า อย่าได้คิดที่จะทำอะไรแบบนั้นเด็ดขาด! เพราะการขุดสุสานถือเป็นเรื่องที่ผิดกฏหมาย…”


หลิงหยุนรีบส่ายหน้าอย่างรวดเร็วและตอบไปว่า “พี่หลิว.. นี่พี่คิดไปไกลถึงในหกัน ผมเพิ่งจะเรียนอยู่มัธยมปลาย จะกล้าไปสุสานที่มีแต่ภูติผีวิญญาณได้ยังไง ผมไม่กล้าหรอก!”


แต่หลิวลี่กลับตอบไปว่า “คุณนี่นะไม่กล้า? ดูจากความสามารถของคุณแล้ว.. การไปที่นั่นไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย!”


หลิงหยุนรู้สึกว่าคำพูดของหลิวลี่มีนัยยะบางอย่างซ่อนอยู่ เขาจึงเพียงแค่ตอบกลับไปยิ้มๆ “ยิ่งฟังพี่หลิวพูด.. ผมกับเสี่ยวอู๋ก็ยิ่งอัศจรรย์ใจ แล้วก็อยากรู้อยากเห็นมากขึ้นเท่านั้นเอง…”


และเกรงว่าหลิวลี่จะไม่เชื่อ หลิงหยุนจึงพูดต่อว่า “ความจริงแล้วผมก็แค่อยากมั่นใจว่าพู่กันด้ามนี้มาจากใหนกันแน่ แล้วก็พยายามที่จะตีวงให้แคบลง ผมจะได้ไปบอกกับเพื่อนได้ถูกต้อง เพราะพวกเขาอาจจะไปเสาะหาแป้นฝนหมึกที่เข้าชุดกัน..”


เมื่อได้ยินหลิงหยุนพูดเช่นนั้น หลิวลี่จึงค่อยคลายกังวลขึ้น เธอยิ้มและพูดขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันก็ค่อยโล่งอก! เรื่องนี้ตอนแต่งเข้าบ้านใหม่ๆ ฉันเองก็เคยได้ฟังจากท่านแม่พูดอยู่บ่อยๆ ท่านแม่ชอบเล่าเรื่องพวกนี้ให้ฟัง มันน่ากลัวมากเชียวล่ะ ถ้าเธออยากฟัง เดี๋ยวรอท่านแม่กลับมาเล่าให้ฟังจะดีกว่า…”


หลังจากที่หลิงหยุนได้ข้อมูลที่ต้องการครบแล้ว เขาก็หันไปเกลี้ยกล่อมหลิวลี่ให้ยอมรับเงินสดสองแสนที่นำมาด้วย


ระหว่างที่หลิวลี่และหลี่หยุนเซียงยังคงไม่สามารถปฏิเสธได้ ป้าหลี่ก็ซื้อกับข้าวกลับมาได้ทันเวลาพอดี


แน่นอนว่าป้าหลี่เป็นห่วงเป็นใยหลี่หยุนเซียงมาก เมื่อกลับมาพบว่าแผลเป็นบนศรีษะของหลี่หยุนเซียงได้หายไปแล้ว เธอก็ถึงกลับตกใจและรีบขอบคุณหลิงหยุน!


หลังจากที่ป้าหลี่สงบสติอารมณ์ได้ หลิวลี่ก็เล่าเรื่องที่เธอและหลี่หยุนเซียงกำลังลำบากใจให้กับป้าหลี่ฟัง ป้าหลี่ถึงกับส่ายหน้าและพูดกับหลิงหยุนว่า


“พ่อหนุ่ม.. แม้ครอบครัวของเราจะยากจน แต่เราก็รบกวนเธอขนาดนั้นไม่ได้ ความโอบอ้อมอารีของเธอนั้นป้าขอรับไว้ด้วยใจ เชื่อป้า.. เธอเก็บเงินนี้ไว้เถอะ!”


หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ “ป้าหลี่ครับ.. พี่หลิวบอกท่านป้าเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น..”


หลิงหยุนรีบเล่าเรื่องพู่กันจักรพรรดิที่มีมูลค่าเกือบล้านหยวนให้ป้าหลี่ฟัง และคะยั้นคะยอให้ป้าหลี่รับเงินสดสองแสนไว้


ป้าหลี่ตอบกลับยิ้มๆ “เธอพูดแบบนั้นก็ไม่ถูกนัก.. ต่อพู่กันด้ามนี้จะมีมูลค่าเป็นล้าน หรือว่าสิบล้าน มันก็เป็นเงินของเธอ ตระกูลหลี่เป็นเพียงแค่ผู้เก็บรักษา ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พวกเราพยายามขายเท่าไหร่ก็ขายไม่ได้ ในเมื่อป้าให้หลิวลี่ยกให้กับเธอไปแล้ว มันก็เป็นของของเธอ เงินที่ได้ก็สมควรเป็นเงินของเธอไม่ใช่เหรอ?”


หลิงหยุนและตี้เสี่ยวอู๋ไม่คิดว่าป้าหลี่จะเป็นคนที่พูดจาฉะฉานถึงเพียงนี้ ทั้งหลิงหยุนและตี้เสี่ยวอู๋จึงได้แต่มองหน้ากันเลิกลั่กและทำอะไรไม่ถูก


แม้พวกเขาจะยากจน แต่ก็มีเหตุมีผล ทำให้หลิงหยุนรู้สึกกินใจอย่างมาก!


และแน่นอนว่าคนอย่างหลิงหยุนไม่ยอมที่จะจนมุมเพราะเรื่องแค่นี้แน่ คนขี้เหนียวอย่างเขาไม่ใช่ว่าจะยอมยกเงินทองให้กับใครง่ายๆ


หลิงหยุนลุกขึ้นและเดินออกจากบ้านไปพร้อมตี้เสี่ยวอู๋ทันที หลิวลี่ถึงกับตกใจและรีบร้องถามขึ้น


“นี่น้องชายจะทำอะไร.. ทำไมจู่ๆก็จะจากไปโดยไม่พูดไม่จา?!”


ป้าหลี่และหลี่หยุนเซียงต่างก็ตกใจเช่นกัน พวกเขาทั้งคู่ต่างก็วิ่งไปห้าม..


หลิงหยุนตอบกลับไปว่า “ป้าหลี่.. พี่หลิว.. ผมขอบอกตามตรงเลยนะครับ เรื่องสำคัญที่ผมมาที่นี่ในวันนี้ ก็เพราะต้องการนำเงินมาให้ ในเมื่อทุกคนไม่รับ ผมจะมีหน้าอยู่กินข้าวที่นี่ได้ยังไงกัน?”


“ผมยังไม่มีความจำเป็นต้องใช้เงินในเวลานี้ แต่พวกคุณทุกคนต้องการใช้เงิน ตอนนี้พี่หลี่ก็ป่วยอยู่ และพี่หลิวเองก็กำลังจะคลอดลูก พวกท่านอยากให้เด็กเกิดมาในสภาพนี้หรือยังไง?”


“ผมไม่อยากพูดอะไรมากมายอีกแล้ว ถ้าทุกคนไม่ยอมรับเงินจำนวนนี้ ผมกับตี้เสี่ยวอู๋ก็คงต้องขอตัวกลับเลย!”


หลิวลี่มองหลุงหยุน จากนั้นก็หันไปมองแม่ของหลี่หยุนเซียง


“เอาล่ะหยุนเซียง.. นี่คงจะเป็นความโชคดีของครอบครัวเราที่ได้พบคนดีเช่นนี้ ถ้างั้นก็รับไว้เถอะ..”


ป้าหลี่ถอนหายใจ และพาหลิงหยุนกลับไปนั่งลงที่เดิม


“พ่อนหนุ่ม.. บุญคุณของเธอนั้น ครอบครัวของป้าจะสามารถตอบแทนหมดได้ยังไงกัน!” สายตาของป้าหลี่ที่มองหลิงหยุนไม่ต่างจากแม่ที่มองลูกชายของตัวเอง


หากเทียบกับพู่กันจักรพรรดิที่เขาได้มานั้น สิ่งที่หลิงหยุนทำให้กับครอบครัวหลี่ยังนับว่าน้อยเกินไปด้วยซ้ำ หลิงหยุนตอบกลับไปยิ้มๆ “ท่านป้าครับ.. อย่าได้พูดแบบนั้น นี่เป็นเพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น อย่าหาว่าผมคุยโตเลยนะ.. ผมจะทำให้พี่หลี่ร่ำรวยได้อย่างแน่นอน!”


น้ำเสียงของหลิงหยุนสงบนิ่ง แต่แฝงไว้ด้วยเป้าหมายที่ชัดเจน!


ป้าหลี่จ้องมองหลิงหยุนอยู่นาน ในที่สุดก็หันไปบอกหลิวลี่จัดการลงมือเตรียมอาหาร


ภายในห้องเล็กๆที่ทรุดโทรมเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความสุข หลิงหยุนชื่นชอบบรรยากาศเช่นนี้มาก จู่ๆหลิงหยุนก็รู้สึกว่า การทำความดีนั้นนับว่าเป็นโอกาสที่ดีสำหรับเขาในการฝึกฝนจิตใจตามแนวทางแห่งเต๋า


ระหว่างนั่งคุยกันไปอย่างสนุกสนาน หลิวลี่ก็กลับมาพูดถึงเรื่องพู่กันจักพรรดิอีกครั้ง


หลิวลี่และหลี่หยุนเซียงเองก็ช่วยหลิงหยุนถามป้าหลี่ในเรื่องนี้ หลังจากที่ป้าหลี่ได้ฟัง ก็เหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ เธอเข้าไปในห้องนอนหยิบหนังสือเก่าแก่มากเล่มหนึ่งออกมา..


ป้าหลี่ส่งหนังสือเก่าแก่เล่มนั้นให้กับหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พ่อหนุ่ม.. หนังสือเล่มนี้ให้เธอ!”


306 หนังสือประหลาด!

“ป้าหลี่.. นี่หนังสืออะไรเหรอครับ?” หลิงหยุนถามขึ้นด้วยความสงสัย


ตี้เสี่ยวอู๋ หลี่หยุนเซียง และหลิวลี่ต่างก็มองหนังสือเก่าจนขาดวิ่นที่ป้าหลี่ส่งให้กับหลิงหยุนด้วยความอยากรู้อยากเห็น


จากสีหน้าของหลี่หยุนเซียงและหลิวลี่ เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่เองก็เพิ่งจะเคยเห็นหนังสือเล่มนี้เป็นครั้งแรกเช่นกัน


ขณะที่หลิงหยุนกำลังจะเปิดออกดูนั้น ป้าหลี่ที่กำลังยิ้มให้หลิงหยุนก็รีบพูดขึ้นมาว่า “พ่อหนุ่ม.. หนังสือเล่มนี้ยกให้เธอแล้ว อย่าเพิ่งเปิดอ่านที่นี่ เก็บกลับไปอ่านที่บ้าน!”


เมื่อเห็นท่าทางที่ดูลึกลับของหญิงชรา หลิงหยุนจึงได้แต่พยักหน้าแทน และรีบปิดหนังสือเก่าแก่เล่มนั้นลง


ในเมื่อกำลังถามถึงที่มาที่ไปของพู่กันจักพรรดิ แต่จู่ๆหญิงชรากลับเดินเข้าไปหยิบหนังสือเล่มนี้ออกมาให้ อาจเป็นไปได้ว่าหนังสือเล่มนี้ได้บันทึกที่มาของพู่กันจักรพรรดิด้ามนี้ไว้ หรือไม่ก็ต้องมีความเกี่ยวข้องอะไรบางอย่างกับพู่กัน..


หลังจากที่ป้าหลี่มอบหนังสือเล่มนั้นให้กับหลิงหยุนแล้ว เธอก็เรียกลูกสะใภ้ให้ไปช่วยเธอทำไส้เกี๊ยวสำหรับอาหารกลางวันต่ออย่างขมักเขม้น


หลิงหยุนคิดไม่ถึงว่าป้าหลี่และหลิวลี่จะทำอาหารได้เก่งถึงเพียงนี้ สองคนช่วยกันทำกับข้าวจนเต็มโต๊ะ แม้ว่าจะเป็นเพียงอาหารพื้นๆธรรมดา แต่ก็มีกลิ่นหอมกระตุ้นต่อมอาหารอย่างมาก


หลังจากสิ้นสุดอาหารกลางวัน หลิงหยุนกลับรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับครอบครัวหลี่นั้นสนิทสนมมากขึ้นอีกหนึ่งขั้น และสามารถพูดคุยกันได้ราวกับเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน


และในเวลาบ่ายโมงตรง เฉิงเม่ยเฟิงก็โทรเข้ามาหาหลิงหยุนพอดี เขาจึงได้ขอตัวกลับ และยิ่งนึกถึงหนังสือที่หญิงชรามอบให้ เขาก็ยิ่งอยากรู้ว่ามันคือหนังสืออะไรกันแน่


ทุกคนในครอบครัวหลี่รู้ดีว่าหลิงหยุนนั้นมีธุระมากมาย พวกเขาจึงไม่รั้งหลิงหยุนไว้อีก ทั้งสามคนเดินออกมาส่งหลิงหยุนและตี้เสี่ยวอู๋ที่หน้าประตู และรอจนทั้งคู่ขับรถออกไป


เมื่อรถออดี้สีดำลับสายตาไปแล้ว ป้าหลี่จึงหันไปพูดกับหลิวลี่และหลี่หยุนเซียงด้วยสีหน้าราบเรียบว่า “ หลิงหยุนเป็นเทพจุติมา ตระกูลหลี่ของเรานับว่ามีบุญอย่างมาก…”


หลังจากได้ฟัง ดวงตาคู่สวยของหลิวลี่ถึงกับเป็นประกายขึ้นมาทันที แต่ในสมองกลับคิดอะไรไม่ออก!


…………..


ตี้เสี่ยวอู๋ตั้งหน้าตั้งตาขับรถอย่างเดียว ส่วนหลิงหยุนก็เริ่มหยิบหนังสือเก่าแก่เล่มนั้นออกมาเปิดอ่าน


หนังสือเล่มนี้ถูกเย็บเข้าด้วยกันด้วยลวด และด้วยความเก่าแก่ของมัน ลวดที่ผูกอยู่ก็ขาดออกจากกันหลายจุด กระดาษก็ทั้งเหลืองและคอยจะหลุดขาดจากกันอยู่ตลอดเวลา


หลิงหยุนค่อยๆเปิดออกอย่างระมัดระวัง เขาพบว่าหนังสือเล่มนี้ต้องอ่านจากขวาไปซ้าย ซึ่งบังเอิญตรงกับการอ่านแบบเดียวกับในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่อย่างไม่น่าเชื่อ!


ยิ่งไปกว่านั้น ตัวอักษรในหนังสือยังเขียนด้วยอักษรจีนโบราณ และมีหลายคำที่หลิงหยุนเองก็อ่านไม่ออก แต่ด้วยความเป็นอัจฉริยะของหลิงหยุน ทำให้เขาสามารถพอที่จะเดาออก และสามารถเข้าใจได้


จากการอ่านคร่าวๆ หลิงหยุนจึงรู้ว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่มีผู้คัดด้วยลายมือมาจากหนังสือเล่มอื่นอีกที และมีทั้งหมดสามส่วน ส่วนแรกเป็นเรื่อง ‘พิธีการฝังศพ’ ที่เขียนขึ้นในสมัยราชวงศ์จิ้นตะวันออก ส่วนที่สองเป็นเรื่อง ‘หลุมฟังศพในสุสาน’ ซึ่งจะเขียนถึงเฉพาะศพของขุนนางขั้นห้าขึ้นไปเท่านั้น และส่วนที่สามจะเป็นบันทึกของผู้เขียนเอง ที่เขียนเกี่ยวกับการขโมยขุดสุสานสำคัญบางแห่ง


และแน่นอนว่าผู้ที่เขียนหนังสือเล่มนี้จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากบรรพบุรุษของหลี่หยุนเซียง


ตอนนี้สิ่งที่หลิงหยุนอยากรู้ที่สุดก็คือเรื่องที่มาของพู่กันจักรพรรดิ เขาอยากรู้ว่าพู่กันด้ามนี้ถูกขุดมาจากสุสานแห่งใหน แต่น่าเสียดายที่หลังจากอ่านหนังสื่อส่วนที่สามจนจบ หลิงหยุนก็ยังคงไม่พบเรื่องที่เกี่ยวกับพู่กันด้ามนี้แม้แต่น้อย


มีเพียงเรื่องเดียวที่ชัดแจ้งเกี่ยวกับพู่กันจักรพรรดิด้ามนี้ก็คือ บรรพบุรุษของหลี่หยุนเซียงเป็นผู้ขโมยมาจากสุสาน แต่หลังจากนั้นเมื่อพบว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีค่า เพราะไม่ว่าจะพยายามขายอย่างไรก็ขายไม่ได้ พวกเขาจึงไม่ได้ทำการบันทึกไว้


แต่บรรพบุรุษของหลี่หยุนเซียงก็ดูเหมือนจะเป็นคนที่ค่อนข้างละเอียดมากทีเดียว เพราะหลังจากที่ขโมยขุดสุสานแต่ละสุสานแล้ว เขาไม่เพียงบันทึกกระบวนการขุดสุสานอย่างละเอียด แต่ยังบันทึกตำแหน่งของสุสานแต่และแห่งอย่างละเอียดด้วยเช่นกัน และนั่นทำให้หลิงหยุนสนใจมากกว่าส่วนอื่น


‘ไว้ว่างๆคงต้องมาค่อยๆอ่านดู…’ หลิงหยุนคิดอยู่ในใจว่า ในเมื่อไม่รู้ว่าพู่กันจักรพรรดิถูกขุดมาจากหลุมใหน เขาก็จะค่อยๆอ่านไปทีละนิดอย่างละเอียด


ในหนังสือเล่มนี้มีอักษรโบราณบางตัวที่หลิงหยุนยังคงไม่สามารถเดาออกได้ เขาจึงยังไม่อยากครุ่นคิดในเรื่องนี้มากนัก หลิงหยุนจัดการเก็บหนังสือเล่มนี้ไว้ในแหวนพื้นที่ก่อน ไว้เขาเรียนเรื่องอักษรจีนโบราณให้เข้าใจก่อน แล้วจึงค่อยหยิบมาอ่านใหม่


และด้วยความทรงจำที่เหนือธรรมดของหลิงหยุน การเรียนรู้อักษรโบราณของหลิงหยุนจึงไม่ใช่เรื่องยาก เพราะเพียงแค่ได้อ่านรอบเดียว เขาก็จะสามารถจำอักษรโบราณได้ทุกคำแล้ว


หนังสือเล่มนี้ช่างแปลกนัก! หลิงหยุนเชื่อว่า หลังจากที่เขาสามารถพัฒนาขึ้นสู่ขั้นที่สูงกว่านี้ได้ หนังสือเล่มนี้น่าจะมีประโยชน์กับเขาอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงต้องการศึกษามันอย่างจริงๆจังๆ


“พี่หยุน.. พวกเราจะไปใหนกันต่อ?” หลังจากที่รถออดี้ของตี้เสี่ยวอู๋เลี้ยวแล่นเข้าสู่ถนนวงแหวนตะวันออก เขาก็ถามหลิงหยุนขึ้นมาทันที


“ไปซุปเปอร์มาร์เก็ตก่อน แล้วค่อยกลับไปที่อพาร์ทเมนท์” หลิงหยุนตอบ


ทั้งคู่เข้าไปที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตฮัวเหลียน หลิงหยุนจัดการซื้ออาหารและน้ำดื่มจำนวนมาก และหลังจากจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว เขาก็จัดการเก็บของที่ซื้อมาทั้งหมดไว้ในแหวนพื้นที่


และแน่นอนว่าของเหล่านี้หลิงหยุนเตรียมไว้สำหรับการสำรวจหลุมยักษ์ในคืนนี้!


หลิงหยุนคิดจะไปหาซื้อมีดสั้นสักสองเล่มไว้สำหรับเป็นอาวุธป้องกันตัว แต่เมื่อคิดว่าอาวุธชนิดใดก็คงไม่ดีเท่าพู่กันจักรพรรดิของเขา เขาจึงได้เปลี่ยนใจ..


เวลาประมาณบ่ายสองครึ่ง หลิงหยุนก็กลับไปถึงที่อพาร์ทเมนท์พอดี เขาสั่งให้ตี้เสี่ยวอู๋กลับไปพักผ่อนที่บ้านไม่ต้องลงมาด้วย เพราะตี้เสี่ยวอู๋ไม่ได้นอนติดต่อกันมาสองวันคืนแล้ว..


ทันทีที่หลิงหยุนเปิดประตูห้องเข้าไป เฉิงเม่ยเฟิงและเสี่ยวเม่ยเม่ยก็พุ่งเข้ามาหาเขาทันที เฉิงเม่ยเฟิงพุ่งร่างที่แสนเซ็กซี่ของเธอเข้าโอบกอดหลิงหยุนไว้แน่น จากนั้นก็พูดไปร้องไห้ไป


“นายออกไปตั้งแต่เมื่อวานตอนเช้า จนบ่ายก็ยังไม่กลับมา ฉันเป็นห่วงมากเลยรู้ไม๊!?”


หลิงหยุนรู้ว่าเขาเป็นฝ่ายผิดเอง จึงได้แต่ส่ายหน้าพร้อมกับฝืนยิ้ม แล้วอุ้มร่างของเฉิงเม่ยเฟิงเข้าไปในห้องนอนทันที


“วางฉันลงเดี๋ยวนี้.. พี่เสี่ยวกำลังมองอยู่นะ..” ใบหน้าของเฉิงเม่ยเฟิงแดงก่ำ พร้อมกับส่งเสียงหวานเตือนหลิงหยุน


“ไม่เป็นไร.. ฉันไม่เห็นอะไรสักหน่อย!” เสี่ยวเม่ยเม่ยพูดพร้อมกับหัวเราะคิกคัก แล้วเดิมตามหลิงหยุนเข้าไปในบ้าน


หลังจากที่ได้ฟังน้ำเสียงของหญิงสาวทั้งสองคน  หลิงหยุนก็รู้ได้ทันทีว่า หลังจากที่ผ่านพ้นความเป็นความตายมาด้วยกัน ทั้งคู่ก็ได้พังกำแพงที่ขวางกั้นพวกเธอสองคนลงได้แล้ว และความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ดีขึ้นกว่าเดิมเป็นร้อยเท่า


หลิงหยุนนั่งลงบนโซฟาพร้อมกับเฉิงเม่ยเฟิง เขาต้องการเอื้อมมือไปจับหน้าอกใหญ่โตของเธอ แต่กลับถูกเธอปัดออก หลิงหยุนจึงตัดสินใจล้มเลิกความต้องการชั่วคราว


“เจ้าขาวปุยไปใหนแล้วล่ะ?” หลิงหยุนกวาดสายตาสำรวจไปรอบห้อง แต่ก็ไม่เห็นเจ้าขาวปุย จึงถามด้วยความแปลกใจ


วันนี้หลิงหยุนต้องการลงไปสำรวจหลุมยักษ์ แม้เขาจะไม่ต้องการพาใครไปด้วย แต่เขาต้องพาเจ้าขาวปุยไปด้วยแน่นอน เพราะหลุมทั้งสามที่เจ้าขาวปุยอาศัยอยู่นั้น อยู่ใกล้ๆกับหลุมยักษ์พอดี ดังนั้นเจ้าขาวปุยจะต้องคุ้นเคยกับสิ่งแวดล้อมรอบๆบริเวณนั้นเป็นอย่างดี และมันจะสามารถเตือนเขาได้หากเขาตกอยู่ในอันตราย


แม้ว่าเฉิงเม่ยเฟิงอยากให้มือใหญ่ของหลิงหยุนลูบไล้หน้าอกของเธอ แต่เมื่อเห็นเสี่ยวเม่ยเม่ยที่นั่งอยู่ตรงข้าม เธอจึงได้แต่หักห้ามใจ และลุกขึ้นนั่งลงข้างๆหลิงหยุนแทน


เฉิงเม่ยเฟิงขยับก้นจากตักของหลิงหยุนลงไปนั่งอยู่บนโซฟาข้างๆหลิงหยุน จากนั้นก็เริ่มลูบไล้ผมที่ยาวสลวยราวกับไหมของเธอแล้วพูดขึ้นว่า “เจ้าขาวปุย? นายหมายถึงจิ้งจอกขาวที่จู่ๆก็มีหางเพิ่มขึ้นมาน่ะเหรอ?”


“นี่หลิงหยุน.. นายยังไม่ได้บอกพวกเราเลยว่า ทำไมจู่ๆจิ้งจอกขาวตัวนั้นถึงได้มีหางงอกขั้นมาได้?”


สองสาวเห็นแม้กระทั่งมังกรที่บินวนอยู่รอบตัวของเขาแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่หลิงหยุนจะต้องปกปิดหญิงสาวทั้งสองคนที่สามารถสละชีวิตเพื่อเขาได้ ดังนั้นหลิงหยุนจึงบอกกับหญิงสาวทั้งสองคนไปว่า เจ้าขาวปุยนั้นความจริงแล้วเป็นสุนัขจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง และนับว่าเป็นสัตว์วิญญาณที่หาได้ยากอย่างยิ่ง


“อะไรนะ? เจ้าขาวปุยนี่นะมีเก้าหาง? ถ้างั้น.. ก็หมายความว่า…”


ทั้งเฉิงเม่ยเฟิงและเสี่ยวเม่ยเม่ยต่างก็ตกใจจนแทบช็อค แม้ว่าหลิงหยุนจะเรียกเจ้าขาวปุยว่าสัตว์วิญญาณ แต่ความจริงแล้วมันก็คือปีศาจนั่นเอง


“ใช่.. มันคือสุนัขจิ้งจอก แต่เป็นสุนัขจิ้งจอกที่มีพลังอำนาจมาก!” หลิงหยุนมองสองสาวที่มีสีหน้าตกใจกลัวอย่างขำๆ


เฉิงเม่ยเฟิงและเสี่ยวเม่ยเม่ยที่คิดว่าพวกเธออยู่กับสุนัขจิ้งจอกธรรมดาๆมาสองสามวัน จู่ๆก็มองหน้ากัน เสี่ยวเม่ยเม่ยนั้นใจกล้ากว่าเฉิงเม่ยเฟิงที่ตอนนี้ถึงกับหน้าซีดและพึมพำออกมาว่า “แล้วมันกินคนไม๊?”


เฉิงเม่ยเฟิงถามพร้อมกับซุกตัวเข้าไปในอ้อมแขนของหลิงหยุนด้วยความกลัว หลิงหยุนสัมผัสได้ถึงร่างกายที่สั่นเทาของเธอ


เมื่อเห็นเฉิงเม่ยเฟิงกลัวมากขนาดนี้ เขาก็ได้แต่ยื่นมือไปบีบจมูกของเธอและพูดยิ้มๆว่า “คิดอะไรแบบนั้น? ถ้าเจ้าขาวปุยกินคนได้ มันคงกินคุณไปตั้งนานแล้ว จะรอดมาได้ถึงตอนนี้เหรอ?”


“ตอนที่ผมพบเจ้าขาวปุยนั้น สมองของมันฉลาดเท่ากับมนุษย์ผู้ใหญ่คนหนึ่งทีเดียว ตอนนี้มีหางของมันก็งอกขึ้นมาอีกหนึ่งหาง ความฉลาดของมันในจึงเหนือกว่าคนธรรมดาอย่างแน่นอน และที่สำคัญมันก็ไม่กินคนด้วย!”


“และในวันข้างหน้า เมื่อไหร่ที่หางของเจ้าขาวปุยงอกครบสางหางอย่างสมบูรณ์ มันก็จะสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ และสามารถเลียนแบบภาษามนุษย์ได้ มันจะดูไม่แตกต่างจากมนุษย์คนหนึ่งเลยล่ะ”


เฉิงเม่ยเฟิงเองก็ไม่ได้อยากรู้สึกกลัว แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไร จู่ๆเธอก็ลุกพรวดขึ้นมาจากอ้อมแขนของหลิงหยุนพร้อมกับถามขึ้นว่า “แล้วมันจะกลายเป็นผู้ชายหรือว่าผู้หญิง?”


หลิงหยุนถึงกับถามยิ้มๆ “คุณเคยเห็นสุนัขจิ้งจอกกลายเป็นผู้ชายด้วยเหรอ?”


เฉิงเม่ยเฟิงนึกถึงภาพสนมซูฉีที่เป็นปีศาจจิ้งจอกกลายร่าง และก็เป็นผู้หญิงเช่นกันไม่ใช่ผู้ชาย..


ความจริงที่หลิงหยุนต้องเล่าเรื่องนี้ให้ฟังล่วงหน้า ก็เพื่อต้องการให้เฉิงเม่ยเฟิงได้มีเวลาเตรียมใจ เพราะเมื่อหางที่สามของเจ้าขาวปุยงอกสมบูรณ์และกลายร่างเป็นคนเมื่อไหร่ ทั้งเฉิงเม่ยเฟิงและสี่ยวเม่ยเม่ยก็จะสามารถยอมรับได้


เฉิงเม่ยเฟิงนั้นตกใจอย่างมาก ในใจปรากฏอารมณ์ความรู้สึกมากมาย และทำให้เธอกลับไปมองโลกในแง่ร้ายอีกครั้ง


เสี่ยวเม่ยเม่ยนั้นยอมรับได้มากกว่า เพราะเมื่อตอนที่เธอกลับมาเอาปืนที่ห้องเพื่อไปช่วยหลิงหยุนนั้น เธอก็ได้เห็นความเฉลียวฉลาดราวกับรู้ภาษามนุษย์ของเจ้าขาวปุยมาก่อนแล้ว


“อยากรู้จริงๆว่าถ้าเจ้าขาวปุยกลายเป็นผู้หญิง หน้าตาของมันจะเป็นยังไง…”


เสี่ยวเม่ยเม่ยตั้งใจพูดเสียงดังให้หลิงหยุนได้ยิน พร้อมกับหันไปมองหน้าเขา


หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับตอบไปว่า “ยังไงผมก็ว่าคุณสองคนน่าจะเป็นนางจิ้งจอกที่สวยที่สุดแล้วล่ะ..”


307 เมื่อภรรยาต้องพบแม่สามี


“นี่แน่!! ประชดประชันเก่งนัก!”


เฉิงเม่ยเฟิงแสยะยิ้มพร้อมกับเอื้อมมือไปหยิกที่เนื้อนุ่มๆตรงเอวของหลิงหยุน พร้อมกับพูดออกมาอย่างไม่พอใจนัก


เฉิงเม่ยเฟิงเป็นถึงสาวงามแห่งจิงฉู ใบหน้าของเธอจึงสวยงาม ผิวพรรณละเอียดละออสะอาดสะอ้าน และค่อนข้างหยิ่งจองหอง แต่ในยามโกรธกลับดูเซ็กซี่และมีเสน่ห์อย่างมาก


“ผมขอโทษ! ผมผิดไปแล้ว อย่าทำผมเลย!” หลิงหยุนยกมือขึ้นยอมแพ้พร้อมกับจ้องมองใบหน้าที่สวยงามของเฉิงเม่ยเฟิง


เสี่ยวเม่ยเม่ยได้แต่หัวเราะคิกคักจนตัวโยก หน้าอกใหญ่โตสองข้างที่อยู่ภายใต้เสื้อยืดรัดรูปสีแดงถึงกับสั่นไปมาตามแรงหัวเราะ จนเตะสายตาของหลิงหยุนอย่างมาก


“นี่.. อย่ามาเสแสร้งหน่อยเลย! เมื่อคืนเจ็บกว่านี้ตั้งหลายเท่า ฉันยังไม่เห็นนายร้องสักแอะเลย! ตอนนี้มาทำเป็นร้อง..” ภายใต้ดวงตาคู่สวยของเฉิงเม่ยเฟิงที่มองหลิงหยุนนั้น เปี่ยมไปด้วยความรักใคร่


รอยยิ้มที่ดูเหมือนวายร้าย และสายตาที่ดูสงบนิ่งในทุกสถานการณ์ของเด็กหนุ่มร่างใหญ่ เขาไม่ต่างจากเทพบนสวรรค์ที่ลงมาช่วยเธอให้รอดพ้นจากปากเสือได้ทันเวลา!


เมื่อหลิงหยุนเห็นเฉิงเม่ยเฟิงที่อยู่ๆก็หน้าแดงและนิ่งไป เขารู้ได้ทันทีว่าเธอกำลังนึกถึงเหตุการณ์ในคืนนั้น เขาจึงยิ้มให้อย่างอ่อนโยน แล้วเอื้อมมือไปลูบไหล่ของเธอเบาๆ พร้อมกับปลอบเธอว่า


“มันกล้าจับเมียของผมไป.. มันสมควรต้องโดนแบบนั้น! นี่คุณยังตกใจกับเหตุการณ์เมื่อคืนนี้อยู่ใช่ไม๊? มันผ่านไปแล้ว อย่าไปคิดถึงมันอีกเลย!”


“อืมม..” เมื่อได้ยินหลิงหยุนเรียกเธอว่าเมียเต็มปากเต็มคำ ใบหน้าที่หยิ่งจองหองของเฉิงเม่ยเฟิงก็แดงก่ำด้วยความอายขึ้นมาทันที เธอยกมือขึ้นกำหมัดและชกเข้าที่แขนของหลิงหยุนเบาๆ


คำพูดแบบนี้ควรจะพูดกันตอนอยู่กันสองต่อสองในห้อง ไม่ควรมาพูดต่อหน้าบุคคลที่สาม..


วันนี้หลิงหยุนตั้งใจกลับมาพักผ่อนที่บ้านเพื่อเป็นการชาร์จแบต และไม่ต้องการวุ่นวายกับหญิงสาวสองคนมากนัก เขาจึงถามเรื่องเจ้าขาวปุยขึ้นมาอีกครั้ง


“ว่าแต่ยังไม่มีใครบอกผมเลยว่าเจ้าขาวปุยไปใหน?”


“น่าโมโหจริงๆ คนสองคนอยู่ต่อหน้ากลับไม่ถามสักนิดว่าที่ผ่านมาสองวันเป็นยังไงบ้าง แต่กลับเอาแต่ถามเรื่องสุนัขจิ้งจอก! สงสัยหนิงน้อยของคุณคงจะเอาไปด้วยแล้วมั๊ง?!”


หลังจากผ่านพ้นคืนนั้นมา เฉิงเม่ยเฟิงก็ค่อยๆคลายความตกใจ และคลายความกระอักกระอ่วนใจกับความสัมพันธ์ที่เคลือบแคลงระหว่างหลิงหยุน เกาเฉินเฉิน และเสี่ยวเม่ยหนิง


แน่นอนว่าหลิงหยุนรู้ดีว่าเฉิงเม่ยเฟิงกำลังหึงหวง แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาจัดการปัญหาพวกนี้ เขาจึงถามขึ้นอย่างประหลาดใจ


“หนิงน้อยเอาไปด้วยงั้นเหรอ.. แล้วเธอไม่กลัวหรือยังไง?”


ดูเหมือนเสี่ยวเม่ยเม่ยจะอารมณ์ดี เธอยิ้มให้หลิงหยุนพร้อมกับตอบไปว่า “เด็กสาวคนนั้นไม่กลัวแม้แต่นิดเดียว ดูเธอจะชอบเจ้าขาวปุยมาก และดูเหมือนอยากได้เจ้าขาวปุยไปเป็นสัตว์เลี้ยงของตัวเอง”


“ห๊ะ?!” หลิงหยุนกลับรู้สึกระอักระอ่วนใจขึ้นมาแทน เขาไม่เคยบอกว่าสุนัขจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางเป็นสัตว์เลี้ยงสักหน่อย แต่ดูๆไปแล้วก็เหมาะสมกันดี.. เด็กปีศาจกับปีศาจจิ้งจอก!


ถ้าเจ้าขาวปุยไปกับเสี่ยวเม่ยหนิงแบบนี้ เขาก็คงไม่ต้องกังวลและห่วงอะไรมาก เพราะเพียงแค่โทรไปหาเสี่ยวเม่ยหนิงให้เอาเจ้าขาวปุยมาส่งคืนก็ได้แล้ว


 “ช่วยเตรียมน้ำอุ่นให้ผมได้ไม๊? ผมอยากแช่น้ำแล้ว”


เมื่อวานและวันนี้ อากาศค่อนข้างร้อนและอุณหภูมิก็สูงถึงสามสิบองศา แม้หลิงหยุนจะยังไม่ได้อาบน้ำถึงสองวันเต็มๆ แต่ร่างกายของเขากลับไม่มีกลิ่นเหม็น แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกอึดอัดเหนียวตัวเล็กน้อย


“ฉันเตรียมไว้ให้แล้วล่ะ…” เฉิงเม่ยเฟิงได้ยินหลิงหยุนพูดเรื่องแช่น้ำในอ่าง ใบหน้าของเธอถึงกับแดงเป็นลูกตำลึงทันที และรีบหลบตาหลิงหยุนพร้อมกับตอบเสียงเบาจนแทบไม่ได้ยิน


เฉิงเม่ยเฟิงกำลังเข้าใจความหมายของหลิงหยุนผิดไป เขาเพียงแค่ต้องการที่จะอาบน้ำเพื่อให้ร่างกายสดชื่นเท่านั้นเอง ไม่ได้คิดอะไรเกินเลยไปกว่านั้น


“ถ้างั้นผมไปอาบน้ำก่อนล่ะ! บ่ายนี้คุณสองคนมีธุระอะไรไม๊?” หลิงหยุนลุกขึ้นยืนพร้อมกับหันไปทางเฉิงเม่ยเฟิง


“เอ่อ.. นายจะให้พวกเราทำอะไรเหรอ…?”


เฉิงเม่ยเฟิงอดคิดไม่ได้ว่า ‘อย่าบอกนะว่าจะให้พวกเราสองคนเข้าไปอาบน้ำกับนายพร้อมๆกัน.. ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็น่าอายแย่!’


เสี่ยวเม่ยเม่ยเองก็กำลังมองหลิงหยุนด้วยสายตาหลงใหล และปากเล็กๆแสนเซ็กซี่ก็เผยอขึ้นเล็กน้อย แม้จะไม่พูดออกมาตรงๆ แต่ดวงตาของเธอก็บ่งบอกว่ากำลังรอคอยอยู่เช่นกัน


เมื่อเห็นอาการของหญิงสาวทั้งสองคน หลิงหยุนก็เข้าใจได้ทันทีว่าพวกเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เขาถึงกับยิ้มกว้างและถามขึ้นว่า


“นี่คุณสองคนต้องการ… อยากอาบน้ำพร้อมกับผมไม๊?”


“ไอ้โรคจิต!” เฉิงเม่ยเฟิงพูดขึ้นอายๆพร้อมกับคว้าหมอนที่อยู่บนโซฟาปาเข้าไปที่ขาของหลิงหยุน


เสี่ยวเม่ยเม่ยได้ฟังแล้ว ในใจของเธอก็นึกถึงเหตุการณ์ในคืนที่หลิงหยุนกลับบ้านมาคลายจุดให้กับเธอ คิดถึงตอนนั้นเธอก็ได้แต่หนีบขาเข้าหากันแน่น


แม้คืนนั้นจะเป็นคืนที่เจ็บปวดอย่างแสนสาหัสสำหรับเธอ แต่เหตุการณ์หลังจากนั้นก็ทำให้เธอมีความสุขอย่างมาก


หลิงหยุนเห็นสองสาวที่ยังคงนิ่งอึ้ง ในใจก็แอบคิดว่า ‘สองสาวนี่แอบไปตกลงอะไรกันไว้รึเปล่า?’


เมื่อเห็นสองสาวต่างก็นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา หลิงหยุนจึงพูดขึ้นว่า “ผมล้อเล่นน่า! ผมแค่จะบอกว่าถ้าบ่ายนี้คุณสองคนว่าง ก็ไปบ้านแม่ผมด้วยกัน ไปช่วยถังเมิ่งดูแลเรื่องตกแต่งบ้าน ผมกลัวว่าเขาทำคนเดียวจะยุ่งเกินไป”


เฉิงเม่ยเฟิงเป็นถึงลูกสาวเศรษฐีแห่งจิงฉู หากจะพูดเรื่องสไตล์และรสนิยมแล้วล่ะก็ น้อยคนนักที่จะเทียบเธอได้ และตอนนี้ฉินจิวยื่อก็ยุ่งอยู่กับการจัดบ้านจนมือเป็นระวิง คงไม่จำเป็นต้องซ่อนสองสาวนี่ไว้ที่ห้องอีกแล้วล่ะ พาพวกเธอไปช่วยน่าจะเป็นเรื่องเหมาะสมกว่า!


เมื่อเฉิงเม่ยเฟิงและเสี่ยวเม่ยเม่ยได้ยินว่าหลิงหยุนไม่ได้ต้องการให้เธอทั้งคู่อาบน้ำด้วยจริงๆ ทั้งคู่ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แต่ก็แอบผิดหวังอยู่เล็กน้อย!


และเมื่อได้ยินคำพูดของหลิงหยุน เฉิงเม่ยเฟิงก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ “อะไรนะ?! ไปบ้านแม่ของนายงั้นเหรอ?”


หลิงหยุนไม่เข้าใจว่า เขาก็แค่ต้องการให้พวกเธอไปช่วยแม่ แต่ทำไมต้องทำท่าทางตกอกตกใจขนาดนั้น เขาพยักหน้า “ใช่.. ทำไม? คุณไม่อยากไปที่นั่นงั้นเหรอ?”


“บ้านหลังนั้น.. คุณบอกว่าแม่ของคุณย้ายเข้าไปอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?” ใบหน้าของเฉิงเม่ยเฟิงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและกังวล


หลิงหยุนพูดต่อว่า “ใช่.. ก็เพราะแม่กับน้องของผมย้ายมาอยู่แล้วน่ะสิ ผมถึงต้องการตกแต่งเพิ่มเติม ผมอยากให้แม่กับน้องได้อยู่ในบ้านที่ตกแต่งไว้สวยงามที่สุด”


และในนาทีนั้นเอง หลิงหยุนก็เพิ่งจะเข้าใจว่าเพราะเหตุใดเฉิงเม่ยเฟิงจึงดูตื่นเต้นขขนาดนั้น เขายิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า


“ทำไมล่ะ.. เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอที่ลูกสะใภ้จะต้องไปพบแม่สามีของตัวเอง แม่ผมต้องชอบคุณแน่!”


“จริงเหรอ.. ฉันต้องไปจริงๆงั้นเหรอ?!” เฉิงเม่ยเฟิงมีอาการตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก หลิงหยุนเสนอให้เธอไปพบแม่ของเขา นี่เรียกได้ว่าเป็นการระบุสถานะของเธออย่างไม่เป็นทางการ เธอกำลังจะไปพบแม่ของหลิงหยุน หัวใจของเธอถึงกับเต้นรัว


แต่ถ้าแม่สามีเกิดไม่ชอบเธอเข้าล่ะ เธอจะทำอย่างไรดี? ด้วยศักยภาพของหลิงหยุนในเวลานี้ เฉิงเม่ยเฟิงรู้สึกว่าไม่มีอะไรจะยิ่งใหญ่และสำคัญไปกว่าญาติๆของหลิงหยุนอีกแล้ว


เฉิงเม่ยเฟิงรู้สึกกังวล.. แต่นางฉินจิวยื่อเองก็ได้เห็นเธอแล้ว และก็รู้เรื่องราวของเธอเป็นอย่างดี


“ผมจะบอกอะไรให้ หนิงน้อยก็กำลังช่วยแม่ผมอยู่ที่นั่นตอนนี้ พวกคุณสองคนยังไม่รีบตัดสินใจกันอีก ฮ่า ฮ่า..”


หลิงหยุนเห็เฉิงเม่ยเฟิงและเสี่ยวเม่ยเม่ยที่กำลังลังเลและกังวล เขาจึงต้องยกเอาเสี่ยวเม่ยหนิงขึ้นมากระตุ้นหญิงสาวทั้งสองคน


“ผมจะไปอาบน้ำก่อนล่ะ พวกคุณก็ค่อยๆปรึกษากันไปก็แล้วกัน..”


พูดจบ หลิงหยุนก็เดินเข้าห้องน้ำไป และไม่สนใจกับสองสาวอีก


เฉิงเม่ยเฟิงและเสี่ยวเม่ยเม่ยต่างก็ไม่สนใจหลิงหยุนเช่นกัน หญิงสาวสองคนนั่งมองหน้ากันไปมา ต่างคนต่างก็เห็นความตึงเครียดในสายตาของอีกฝ่าย…


“ไปก็ได้!”  เฉิงเม่ยเฟิงร้องออกมาพร้อมกับลุกขึ้นพูดว่า “ไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากัน!”


จะไม่ไปได้อย่างไรกัน หลิงหยุนกำลังตกแต่งบ้านให้กับแม่สามีของเธอในอนาคต  นี่นับว่าเป็นเรื่องใหญ่?


ไม่เพียงแค่ต้องไป แต่ต้องแต่งตัวให้สวยที่สุดด้วย!


หลิงหยุนแช่น้ำอุ่นอย่างสบายอกสบายใจอยู่ราวสิบห้านาที จากนั้นก็คว้าผ้าเช็ดตัวมาห่อตัวแล้วเดินออกมาด้านนอก


ทันทีที่เห็นสองสาวที่เพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ หลิงหยุนก็ถึงกับยืนตะลึง!


เฉิงเม่ยเฟิงสวมเสื้อสีชมพูและกระโปรงสั้นแค่เข่าสีเหลืองอ่อน หน้าอกขนาด 36D ของเธอที่อัดแน่นอยู่ในเสื้อเชิ้ตนั้น ช่วยเน้นให้เอวคอดเล็กของเธอดูสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น สวมถุงน่องและรองเท้าส้นสูงสีขาว สวมเครื่องเพชรกับชุดเสื้อผ้าธรรมดา แต่ก็ดูสวยงามเข้ากันได้ดี


ส่วนเสี่ยวเม่ยเม่ยนั้นสวมเสื้อเชิ้ตสีชมพูเช่นกัน แต่สวมกางเกงยีนส์รัดรูป ปลายเสื้อเชิ้ตสอดเข้าไปในกางเกง ช่วยเน้นให้หน้าอกกลมโตของเธอดูโดดเด่น กางเกงที่รัดจนแนบกับร่างกายส่วนล่างนั้น ก็แนบจนเห็นสามเหลี่ยม และก้นกลมงอนที่เด้งดึ๋งราวกับลูกบอล เสี่ยวเม่ยเม่ยแต่งหน้าเพียงแค่บางๆ แต่ก็ทำให้ดูมีเสน่ห์มากมาย


 “โอ้โห! คุณสองคนแต่งตัวกันสวยเกินไปไม๊?” หลิงหยุนมองเฉิงเม่ยเฟิงกับเสี่ยวเม่ยเม่ย และพึมพำออกมา “นี่จะไปทำงานนะ ไม่ได้ไปประกวดความสวยความงาม..”


“เชอะ!!” เฉิงเม่ยเฟิงเหลือบมองหลิงหยุน แล้วตอบกลับไปว่า “พวกเรารู้อยู่แล้วว่าต้องไปทำงาน ถึงไม่สวมชุดราตรีไปไง!”


“ก็แล้วแต่.. อยากจะแต่งตัวยังไงก็ตามใจ แต่ผมแนะนำว่าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าจะดีกว่า..”


แม้ว่าเฉิงเม่ยเฟิงจะเป็นถึงสาวงามแห่งจิงฉู และเสี่ยวเม่ยเม่ยก็มีเสน่ห์ แต่หากเทียบกับนางฉินจิวยื่อและหนิงหลิงยู่แล้ว ไม่มีทางเทียบได้อย่างแน่นอน


“แล้วทำไมต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยล่ะ?” เฉิงเม่ยเฟิงถามด้วยความสงสัย


“เอ่อ.. ผมกลัวว่าเดี๋ยวแม่เห็นแล้วจะชอบคุณมากจนอยากจะอยู่กับคุณทั้งวันไง…”


ความจริงแล้ว.. ที่หลิงหยุนต้องการให้หญิงสาวทั้งสองรู้จักกับแม่ของเขาไว้นั้น เพราะต้องการให้นางฉินจิวยื่อช่วยคุ้มครองพวกเธอทั้งสองคนด้วย เพราะหากเมื่อใดที่ตระกูลซัน หรือแม้แต่องค์กรนักฆ่าหาที่อยู่ของเขาพบ พวกเธอก็จะได้หนีไปที่บ้านแม่ของเขาได้..


 “จริงเหรอ?” หญิงสาวสองคนดูมีความสุขมาก และรีบวิ่งกลับไปที่ห้องของตัวเองเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็รีบวิ่งออกไปเรียกแท๊กซี่


หลิงหยุนมองทั้งคู่เดินออกไปเรียกรถ ส่วนเขาก็เดินกลับเข้าไปในห้องนอนจัดการเปิดโน๊ตบุ๊ค


จากนี้ไปเขาคงต้องศึกษาหาข้อมูลเรื่องนิทานปรัมปราและตำนานเกี่ยวกับประเทศจีนอย่างจริงจังแล้ว!


308 สำรวจหลุมยักษ์!


หลิงหยุนจัดการโทรหาถังเมิ่ง สั่งให้เขาหาวิธีจัดการให้สองสาวอยู่ที่บ้านหลังนั้นไปก่อน จากนั้นก็โทรหาเสี่ยวเม่ยหนิงขอให้เธอช่วยส่งเจ้าขาวปุยกลับมาที่อพาร์ทเมนท์ของเขาก่อนสี่ทุ่ม


หลังจากวางสายไปแล้ว หลิงหยุนก็จัดการปิดโทรศัพท์เพื่อไม่ให้ใครโทรมารบกวนอีก แล้วเริ่มเข้าไปค้นข้อมูลในอินเทอร์เน็ต


หลิงหยุนเคยท่องอินเทอร์เน็ตมาก่อนแล้ว เขาจึงสามารถเล่นได้อย่างคล่องแคล่ว แน่นอนว่าข้อมูลที่เขาต้องการค้นหาก็คือเรื่องนิทานปรัมปราและตำนานเกี่ยวกับประเทศจีน


นิทานปรัมปราที่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับกำเนิดโลกก็ดี การย้ายภูเขาลงทะเลก็ดี การแปลงร่าง หรือเรื่องเล่าเกี่ยวกับผู้คนที่มองเห็นและได้ยินเสียงในระยะไกลก็ดี ทุกเรื่องเหล่านี้ล้วนพูดถึงเรื่อง ‘พลังวิเศษ’ ทั้งสิ้น


เรื่องเล่าเหล่านี้อาจไม่มีความสำคัญ และเป็นเพียงเรื่องเล่าหลังอาหารสำหรับคนธรรมดาๆทั่วไป แต่สำหรับหลิงหยุนนั้น เมื่อใดก็ตามที่เขาเริ่มเข้าสู่ขั้นพลังชี่แล้ว เขาก็จะมีพลังวิเศษที่ว่านี้เช่นกัน..


หรืออาจพูดอีกอย่างหนึ่งว่า เมื่อใดก็ตามที่หลิงหยุนเข้าสู่ขั้นพลังชี่ ความสามารถที่เหลือเชื่อก็จะค่อยๆเพิ่มขึ้นทีละอย่าง จนแทบไม่ต่างจากพวกนิทานปรัมปราหรือตำนานต่างๆเหล่านั้นเลย


หลิงหยุนค่อยๆค้นหา และนั่งอ่านเรื่องราวต่างๆไว้เป็นข้อมูล


หลังจากผ่านไปสี่ชั่วโมง.. หลิงหยุนก็ได้นั่งอ่านตำนานต่างๆมากมายที่อยู่ในอินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะเป็นตำนานผานกู่สร้างโลก ตำนานนหวี่วาสร้างมนุษย์ ตำนานโฮ้วอี้ผู้ยิงธนูดับดวงอาทิตย์ ตำนานจิงเว่ยผู้ถมทะเล ตำนานสามราชาห้าจักรพรรดิ  ตำนานจิ้งจอกเก้าหาง ไซอิ๋ว ชานไห่จิง-คัมภีร์แห่งขุนเขาและทะเล หรือแม้แต่เรื่องเล่าของเหลียวไช้ก็ไม่เว้น..


นอกเหนือจากตำนานการสร้างโลก และตำนานการสร้างมนุษย ตำนานอื่นๆนั้น ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ก็สามารถทำได้


ทุ่มครึ่งแล้ว.. ในที่สุดหลิงหยุนก็ลุกขึ้น แม้ว่าข้อมูลต่างๆในอินเทอร์เน็ตจะมีมากมายเหลือเกิน ตำนานบางเรื่องก็ขัดแย้งกันเอง แต่หลิงหยุนก็พอที่จะจับหลักได้คร่าวๆ


และด้วยความทรงจำที่ทรงพลังของหลิงหยุน ทุกอย่างที่อ่านผ่านตาไปแล้วนั้น เขาสามารถจดจำไว้ได้หมด


“บุคคลในตำนานเหล่านี้มีตัวตนจริงหรือไม่นะ.. และหากมีจริงพวกเขาหายไปใหน?? หายไปเพราะพลังอำนาจที่เหนือกว่างั้นหรือ?…”


แม้ตำนานเหล่านี้จะเป็นเรื่องลี้ลับ และไม่มีหลักฐานพิสูจน์ว่าเป็นเรื่องจริงไม่ใช่เรื่องแต่ง แต่ก็มีคำพูดว่า – หากไม่มีลม คลื่นย่อมไม่เกิด


นั่นย่อมหมายความว่าต้องมีต้นตอความเป็นจริงอยู่บ้าง มิเช่นนั้นแล้ว เหตุใดจึงไม่มีตำนานเล่าขานบ้างว่า ดวงอาทิตย์เคยเป็นรูปสามเหลี่ยมมาก่อนบ้างล่ะ?


หลิงหยุนยิ้มมุมปาก และหากสิ่งที่เขาวิเคราะห์ไว้ไม่ผิด เขาก็จะไม่โดดเดี่ยวอยู่บนเส้นทางฝึกฝนอีกต่อไป


และเมื่อเข้าใจในเรื่องเหล่านี้มากขึ้น หลิงหยุนก็ยิ่งเข้าใจถึงความสำคัญของการทำตัวธรรมดาๆไม่โดดเด่น!


หากผู้คนในตำนานมีอยู่จริง และได้หายตัวไปเพราะไม่สามารถต้านทานพลังอำนาจบางอย่างได้ โลกใบนี้จึงเป็นอย่างที่เห็นอยู่


เรื่องนี้ไม่ต่างจากที่เกาเฉินเฉินเคยเล่าให้เขาฟังเรื่องยอดฝีมือ และหลิงหยุนเองก็ได้เห็นกับตา โลกนี้มียอดฝีมือขั้นเซียงเทียน มีมังกร มีสุนักจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง มีค่ายกลมังกรหยินหยาง แล้วก็ยังมีพู่กันจักรพรรดิ


หากพู่กันจักรพรรดิตกไปอยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ รับรองว่าผู้คนในโลกบ่มเพราะคงต้องแย่งชิงกันจนแตกหักแน่ แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดผู้คนในโลกนี้ถึงได้เงียบกริบไม่คิดแย่งชิง ทั้งที่มันมีพลังอมตะอยู่มากมาย


และมีเพียงอมฤตวัตถุเท่านั้นที่จะสามารถรองรับพลังอมตะได้!


อีกเพียงแค่สองสามชั่วโมง หลิงหยุนก็จะลงไปสำรวจหลุมยักษ์แล้ว แน่นอนว่าหลิงหยุนไม่ไปด้วยท้องที่ว่างแน่ เขาออกห้องไปหาข้าวกินก่อน แล้วกลับมาท่องอินเทอร์เน็ตต่อ


และครั้งนี้หลิงหยุนไม่ได้ศึกษาเรื่องตำนานของจีนอีก แต่เขาเข้าไปศึกษาเรื่องอักษรจีนโบราณแทน


และเขาก็พบอักษรจีนโบราณมากกว่าสามพันคำในอินเทอร์เน็ต อีกทั้งยังไม่มีความจำเป็นต้องท่องจำอะไรอีกด้วย เพราะเพียงแค่คีย์ตัวอักษรจีนโบราณเข้าไป ความหมายก็จะขึ้นมาทันที..


“เดี๋ยวนี้คำที่ไม่ค่อยได้ใช้ก็ไม่จำเป็นต้องท่องจำอะไรกันอีกแล้วสินะ..”


และเมื่อถึงเวลาห้าทุ่มครึ่ง หลิงหยุนก็จัดการปิดคอมพิวเตอร์และตรวจสอบของที่เตรียมไว้ เขาเรียกชุดกีฬาสองชุดและรองเท้าผ้าใบสองคู่เก็บเข้าไปในแหวนพื้นที จากนั้นก็ล็อคประตูห้องแล้วเดินออกไป


คืนนี้อากาศดีมาก แม้ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว อุณหภูมิในเมืองจิงฉูยังที่ยี่สิบองศา ท้องฟ้าไร้เมฆทำให้สามารถมองเห็นพระจันทร์และดวงดาวได้อย่างชัดเจน หลิงหยุนจัดการโคจรดารกะดายันไปทั่วร่างในระหว่างที่เดินไปตามถนนพร้อมกับเจ้าขาวปุย มุ่งหน้าไปยังบ้านของตัวเอง


เมื่อไปถึงบ้านเลขที่-1 หลิงหยุนจัดการดูดซับพลังชีวิตเข้าไปจนเต็ม และเดินออกจากบ้านไป


หลังจากที่ออกจากบ้านไปแล้ว หลิงหยุนก็มุ่งหน้าไปยังผาพยัคฆ์บนเขามังกร สามวันผ่านไป.. คืนนี้เป็นคืนที่เขานัดพบกับตู้กู่โม่


เมื่อเขาไปถึงเขามังกร หลิงหยุนก็เคลื่อนที่ไปมาบนหน้าผาพยัคฆ์ด้วยความรวดเร็ว ความเร็วของหลิงหยุนนั้นรวดเร็วราวกับหายตัวได้


“นี่.. ตู้กู่โม่ เจ้าเด็กน้อยเจ้ามาหรือยัง?” หลิงหยุนขึ้นไปถึงหน้าผาพยัคฆ์แล้ว แต่กลับไม่เห็นแม้แต่เงาของคน ทำให้เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย


หลิงหยุนกำลังคิดว่าหรือเขาจะลบความทรงจำของตู้กู่โม่พลาด ไม่เช่นนั้นเด็กที่เย่อหยิ่งจองหองอย่างตู้กู่โม่คงต้องมารอที่นี่แล้วไม่ใช่หรือ?


หลิงหยุนคิดแล้วคิดอีกก็มั่นใจว่าเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะพลาด เขาจำได้แม่นยำว่าเขาลบความทรงจำของตู้กู่โม่ออกเพียงช่วงระยะเวลาสองชั่วโมงเท่านั้น ในเวลานั้นหลิงหยุนแข็งแกร่งถึงขั้นพลังชี่ระดับ-9 และแน่นอนว่าต้องไม่มีอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอน


มังกรคำรามก็ครอบคลุมทุกคนที่อยู่ในพื้นที่นั้น เขาเก็บรักษาความทรงจำของคนที่เกี่ยวข้องกับเขาเท่านั้น และเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดปัญหากับตู้กู่โม่เพียงแค่คนเดียว


หลิงหยุนเดินเอามือไขว้หลังสำรวจไปรอบผาพยัคฆ์ แล้วจู่ๆเขาก็สังเกตุเห็นที่รั้วกั้นบนผาพยัคฆ์มีลายมือของตู้กู่โม่


‘หลิงหยุน.. ข้ามารอเจ้าอยู่ครึ่งชั่วโมง คืนนี้ข้ารีบมาก พวกเรานัดปะลองกันใหม่ในวันถัดไปก็แล้วกัน!’ และลงชื่อ ‘ตู้กู่’


ลายมือนั่นถูกสลักไว้ที่ราวบันไดเหล็กที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางราวสองเซ็นติเมตร และเป็นการสลักด้วยปลายดาบ


หลังจากอ่านข้อความที่ตู้กู่โม่สลักทิ้งไว้ที่ราวบันไดแล้ว หลิงหยุนก็ใช้นิ้วของตนเองแนบลงไปกับราวเหล็ก และรูดไปตามตัวอักษร จากนั้นตัวอักษรเหล่านั้นก็หายไป


หลิงหยุนก็ใช้นิ้วสลักคำว่า ‘ตกลง’ ลงไปแทน! แต่ในใจกลับนึกอยากให้ตู้กู่โม่ลงไปสำรวจด้านล่างด้วยกัน


หลิงหยุนยิ้มลุกขึ้นไปมองไปยังก้นหลุมสีดำ และในยามค่ำคืนเช่นนี้มันช่างดูเหมือนกับปากปีศาจขนาดใหญ่


“ไม่รู้ว่าสองสามวันที่ผ่านมา มีคนลงไปสำรวจมากเท่าไหร่แล้ว เอาล่ะได้เวลาสนุกกันแล้ว!”


“ขาวปุย.. ไปกันได้แล้ว!”


หลิงหยุนพาเจ้าขาวปุยลงไปอีกฝั่งของเขามังกร ที่ทั้งชัน เต็มไปด้วยหินและหญ้า แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับหลิงหยุนกับเจ้าขาวปุย และทั้งคู่ฝ่าเข้าไปในป่าทึบและมุ่งหน้าไปยังหุบเขาที่อยู่ระหว่างเขามังกรกับเขาหยกด้านใต้


หลิงหยุนและเจ้าขาวปุยหยุดอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่ทั้งคู่เคยมาเมื่อครั้งที่แล้ว มันเป็นต้นไม้เก่าแก่ที่มีอายุหลายปี


บริเวณนี้ห่างจากปากหลุมยักษ์ราวสองร้อยเมตร สำหรับหลิงหยุนแล้วใช้เวลาไม่ถึงสิบวินาทีก็ไปถึงปากหลุมได้


“ขาวปุย.. พวกเราจะลงไปสำรวจก้นหลุมยักษ์นั่นกัน ว่าแต่มีรูที่สามารถทะลุไปถึงที่ก้นหลุมได้ไม๊?”


เจ้าขาวปุยเข้าใจในสิ่งที่หลิงหยุนพูด มันกระพริบตาคู่สวยพร้อมกับส่ายหน้า แล้วก็พยักหน้าอย่างรวดเร็ว!


แม้ท่าทางของเจ้าขาวปุยจะดูขัดแย้ง แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับพูดว่า “เอาล่ะ.. ถ้างั้นเจ้าก็ขุดหลุมไป ส่วนฉันจะลงไปทางปากหลุม แล้วไปเจอกันที่ก้นหลุม แบบนี้เป็นไง?”


เจ้าขาวปุยกระพริบตาให้หลิงหยุนอยู่นาน จากนั้นเงาสีขาวก็พุ่งหายไปในทันที!


หลิงหยุนเห็นเจ้าขาวปุยลงไปแล้วก็ไม่ได้กังวลอะไรมาก เขาหันมองไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใคร เขาก็พุ่งไปที่หลุมยักษ์นั่นทันที


เมื่อไปถึงปากหลุม หลิงหยุนก็ย่อตัวลงพร้อมกับมองลงไปด้านล่างครู่ใหญ่


หลิงหยุนเคยสำรวจก้นหลุมด้วยจิตหยั่งรู้มาก่อนแล้ว เขาจึงรู้สภาพด้านล่างเป็นอย่างดี สภาพหลุมนี้มีลักษณะคล้ายกับถังทรงกลมที่คว่ำหน้าลง


ที่ปากหลุมมีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาดสามร้อยเมตร ส่วนก้นหลุมนั้นเส้นผ่าศูนย์กลางราวสี่ร้อยเมตร


ภายในหลุมนั้นมืดมาก ไม่มีแสงสว่างแม้แต่น้อย ขนาดสายตาของหลิงหยุนที่เหนือกว่าคนธรรมดานั้น ยังสามารถมองลงไปได้ลึกเพียงแค่สามสิบเมตร แต่ต่อให้สามารถมองไปถึงก้นหลุมได้ ก็มองอะไรไม่เห็น


และท่ามกลางความมืดที่เงียบสงัด หลิงหยุนได้ยินเสียงน้ำในแม่น้ำที่กำลังไหลอยู่ด้านล่าง เสียงของมันไม่ต่างจากเสียงควบม้าที่ดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณ


ในเมื่อตัดสินใจที่จะลงไปสำรวจแล้ว หลิงหยุนจึงไม่รู้สึกลัวแม้แต่น้อย เขาลุกขึ้นตั้งหลัก ก่อนจะกระโจนลงไป!


บทที่ 309 : ถูกโจมตีใต้หลุมยักษ์!

ท่ามกลางความมืดมิด ร่างสูงใหญ่ของหลิงหยุนหล่นลงไปอย่างรวดเร็ว และเพียงแค่พริบตาเดียวเขาก็ร่วงลงไปถึงแปดเมตรแล้ว!

ผนังของหลุมยักษ์เริ่มราดเอียงขึ้นมากเรื่อยๆ และหลังจากตกลงไปลึกราวแปดเมตร หลิงหยุนก็ยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่ามันจะมีความลึกเท่าไหร่กันแน่?

แต่ด้วยความที่หลิงหยุนเป็นคนใจกล้า เขาจึงลืมตามองอยู่ตลอดระยะเวลาที่ตกลงไป ระหว่างนั้นเขาก็โคจรดารกะดายันไปทั่วร่าง และเมื่อตกลงมาในระยะที่ไหล่ของเขาอยู่ขนานกับหินที่ยื่นออกมาจากผนังของหลุมยักษ์ เขาก็รีบยื่นนิ้วชี้และนิ้วกลางข้างขวาออกมา และทิ่มลงไปบนหินที่ยื่นออกมานั้น นาทีเดียวกันนั้นเองร่างของหลิงหยุนที่กำลังตกลงไปก็หยุดทันที..

ร่างของหลิงหยุนห้อยต่องแต่งอยู่ที่หน้าผาลึกราวสี่ร้อยเมตร เขารู้สึกหวาดกลัวจนถึงกับเหงื่อตก..

“คิดไม่ถึงว่าหินในหลุมจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้!” หลิงหยุนพึมพำออกมาอย่างผิดหวัง

นี่หากหลิงหยุนยังไม่เข้าสู่ดารกะดายันขั้นสอง เขาคงไม่กล้าลงมาสำรวจที่ก้นหลุมยักษ์แน่ เพราะอาจตกลงไปตายได้ตลอดเวลา

การตกลงจากความสูงในระดับสี่ร้อยเมตรนั้น รับรองได้ว่าอาการของเขาต้องสาหัสอย่างแน่นอน เพราะถึงแม้ร่างกายของเขาตอนนี้จะอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นปรับร่างกาย-3 ก็คงไม่อาจทานทนได้เช่นกัน

หลิงหยุนห้อยอยู่บนหน้าผาครู่หนึ่ง แล้วจึงมองสำรวจลงไปด้านล่าง แต่ก็ยังมองไม่เห็นจุดเหมาะสมพอที่เขาจะกระโดดลงไปได้ เขาจึงค่อยๆไต่ลงไปตามก้อนหิน และในที่สุดร่างของเขาก็ไปยืนอยู่บนหน้าผาขนาดเล็ก

พื้นที่ที่ยื่นออกมาเป็นหน้าผานั้น มีขนาดเล็กเท่าอ่างล้างหน้า จึงสามารถยืนได้เพียงแค่คนเดียว และผนังของหลุมยักษ์นั้นมีความชันมาก หลิงหยุนจึงต้องยืนงอตัวเล็กน้อย เพื่อให้แผ่นหลังของเขาแนบติดกับผนังถ้ำ และสามารถยืนได้อย่างมั่นคง

จังหวะที่ร่างของหลิงหยุนร่วงลงมาในระดับแปดเมตรนั้น เขาก็พบว่าแสงจันทร์ก็ไม่สามารถส่องลงมาได้ถึงแล้ว รอบๆตัวของเขาจึงมีแต่ความมืดสนิท หากเป็นคนธรรมดาที่อยู่สถานการณ์เดียวกันกับหลิงหยุนเวลานี้ อาจจะฉี่ราดไปแล้วก็ได้ แต่หลิงหยุนกลับยังคงสงบนิ่งและรู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก..

หลิงหยุนลองใช้สองนิ้วของเขาเจาะลงไปบนหินก้อนใหญ่ที่มีรอยแตก และพบว่าต้องใช้กำลังค่อนข้างมากในการเจาะหิน และกว่าจะลงไปปถึงก้นหลุม เขาคงจะต้องใช้พลังชีวิตไปเป็นจำนวนมากแล้วอย่างแน่นอน

แม้หลิงหยุนจะเข้าสู่ดารกะดายันขั้นที่สองแล้ว และร่างกายของก็แข็งแกร่งไม่ต่างจากเหล็กหรือหินผา แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถใช้นิ้วเจาะหินแข็งหรือตัดเหล็กได้อย่างง่ายดาย

นี่ไม่ใช่การจิ้มนิ้วลงบนแผ่นเต้าหู้.. แต่มันคือการแทงนิ้วที่แกร่งดั่งเหล็กของเขาลงไปบนหินแข็ง แม้นิ้วของเขาจะแกร่งเหมือนเหล็ก แต่ก็ต้องออกแรงมากพอจึงจะสามารถเจาะลงไปในหินที่แข็งแกร่งได้

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง หลิงหยุนก็จัดการดึงพู่กันจักรพรรดิออกมาอย่างไม่ลังเล และแน่นอนว่าพู่กันจักรพรรดินอกจากจะไม่แตกหักเสียหายแล้ว มันยังสามารถเจาะเข้าไปในหินแข็งได้อย่างง่ายดาย โดยที่หลิงหยุนแทบไม่ต้องใช้ความพยายามหรือออกแรงมากนัก

หลิงหยุนจับด้ามของพู่กันจักรพรรดิไว้ด้วยมือเพียงข้างเดียว และลองห้อยโตงเตงดู เมื่อพบว่าไม่มีปัญหาอะไร เขาจึงค่อยๆปีนลงไปด้านล่าง จากนั้นก็ทดลองปีนขึ้นไปบนหน้าผาใหม่

และเมื่อพบว่าสามารถทำได้อย่างง่ายดาย หลิงหยุนจึงเริ่มที่จะค่อยๆปีนลงไปด้านล่าง เขากะระยะลงต่ำราวสองเมตร จากนั้นก็ทิ่มพู่กันจักรพรรดิลงไปในหิน และปีนลงอย่างระมัดระวัง

หลิงหยุนค่อยๆไต่ลงไปด้านล่างโดยใช้พู่กันจักรพรรดิช่วย และเพียงไม่กี่นาทีเขาก็สามารถลงไปได้อีกราวห้าสิบเมตร หลิงหยุนพบจุดที่สามารถยืนได้อีกหนึ่งจุด และจุดนี้มีพื้นที่ยาวถึงหนึ่งเมตร เขาจึงนั่งลงและกวาดสายตามองไปรอบๆ

“ด้านล่างมีถ้ำเล็กถ้ำน้อยเต็มไปหมด!”

หลิงหยุนมองไปรอบๆด้วยความกระตือรือร้น และพบว่าในระดับความสูงที่เขาอยู่ในตอนนี้มีถ้ำอยู่มากมาย ทั้งที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับที่เขายืนอยู่และด้านข้าง ต่างก็มีถ้ำอยู่เต็มไปหมด แต่ละถ้ำก็ดูพิลึก ทางเข้าก็ดูคล้ายกับปากของอสูรกายขนาดใหญ่เต็มไปหมด

ตามธรรมเนียมของคนจีนโบราณ เมื่อตายไปแล้วจะถูกนำไปฝังในสุสาน และจะต้องขุดหลุมฝังศพที่ลึกถึงห้าสิบเมตร

ทั่วทั้งเมืองจิงฉูนั้น บริเวณจุดชมวิวของทะเลสาปจิงฉูนับว่าเป็นบริเวณที่มีฮวงจุ้ยดีที่สุด และมีพลังชีวิตมากที่สุด ส่วนบริเวณที่นับว่าเป็นแดนขุมทรัพย์ ก็คือบริเวณที่อยู่ระหว่างเขามังกรกับเขาหยกด้านใต้ และมันก็คือบริเวณหุบเขาแห่งนี้นั่นเอง และหากสามารถเลือกบริเวณนี้ทำสุสานได้ ใครๆก็อยากจะเลือกที่นี่..

“บริเวณนี้มีสุสานมากมาย…”

หลิงหยุนค่อยๆแยกแยะอย่างละเอียดละออ เพราะมีทั้งถ้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และถ้ำที่ถูกเจาะขึ้นเอง บางแห่งก็มีร่อยรอยของการขุดเจาะอย่างชัดเจน จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันต้องเป็นสุสานโบราณอย่างแน่นอน!

แต่หลิงหยุนไม่ได้มาที่นี่เพื่อต้องการขโมยของในสุสาน เขามีเรื่องที่สำคัญกว่านั้นต้องทำ หลิงหยุนไม่สนใจและเริ่มปีนต่อ

“ปัง!!!”

ขณะที่หลิงหยุนกำลังจะปีนลงไปด้านล่างต่อ จู่ๆเขาก็ได้ยินเหมือนเสียงปืนดังออกมาจากถ้ำที่ใหนสักแห่ง แล้วก็ดังปังตามมาอีกหลายนัด!

พรึบ.. พรึบ..

“ดูท่านกตัวใหญ่พวกนี้คงจะตกใจเสียงปืน”

นกตัวใหญ่หลายสิบตัวที่ตกใจเสียงปืน ต่างก็บินออกมาจากถ้ำ และมาเกาะอยู่ตามผนังของหลุมยักษ์

“หรือจะเป็นพวกโจรปล้นสุสาน?! อย่าบอกนะว่าเจอผีดิบเข้าให้?”

หลิงหยุนรออยู่ครู่หนึ่ง และเมื่อพบว่าไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆแล้ว เขาก็ค่อยๆปีนลงไปด้านล่างต่อ

ผีดิบกับวิญญาณนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง วิญญาณที่หลิงหยุนตามหาเพื่อต้องการพลังหยินนั้น สามารถพบได้ในบริเวณที่มีค่ายกลหยินหยางเท่านั้น ไม่มีทางพบได้ตามถ้ำแบบนี้

ห่างจากที่หลิงหยุนยืนอยู่ไปทางด้านข้างราวสิบเมตร จะมีถ้ำอยู่มากมาย ซึ่งช่วยให้เขาสามารถปีนลงไปด้านล่างได้ง่ายขึ้น เพราะแต่ละถ้ำจะมีตำแหน่งที่สามารถยืนได้

แต่หลิงหยุนไม่ได้มาที่นี่เพื่อสำรวจถ้ำหรืออุโมงค์พวกนี้ เขาจึงใช้มันเป็นเพียงแค่ทางผ่าน และเพียงไม่นานเขาก็ลงไปได้ลึกอีกราวสี่สิบเมตร

ตอนนี้หลิงหยุนปีนลงมาได้ลึกถึงหนึ่งร้อยเมตร นับว่าลงมาได้ถึงหนึ่งในสี่ส่วนของหลุมยักษ์แล้ว หลิงหยุนเงยหน้าขึ้นมองไปบนท้องฟ้า สิ่งที่เขาเห็นคือความมืด..แล้วก็ความมืด แต่เขากลับรู้สึกสดชื่นอย่างน่าแปลก

จากที่หลิงหยุนยืนอยู่ลึกลงไปอีกกว่าหนึ่งร้อยเมตร ตลอดทางจะมีหน้าผาหินยื่นออกมามากมาย

ท่ามกลางความมืดมิด หลิงหยุนกระโดดลงไปตามหน้าผาเหล่านั้น ระยะห่างของการกระโดดแต่ละครั้งก็ต่างกันไป แปดเมตรบ้าง หรือไม่ก็สิบห้าเมตรบ้าง และเพียงไม่พถึงหนึ่งนาที หลิงหยุนก็ลงไปได้ลึกอีกราวหนึ่งร้อยเมตร

ระหว่างที่กระโดดลงไปข้างล่างนั้น หลิงหยุนรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอุณหภูมิภายในหลุมนั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ และในเวลานี้หลิงหยุนก็อยู่ช่วงกลางของหลุมยักษ์แล้ว เขาสัมผัสได้ว่าอากาศภายในนี้ค่อนข้างชื้น และอุณหภูมิก็เกือบเท่าตอนกลางวัน

หมอกค่อยๆแผ่กระจายปกคลุมหลุมยักษ์ ทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นลดลง แม้หลิงหยุนจะใช้ความสามารถในการมองที่เหนือมนุษย์แล้ว แต่ก็สามารถเห็นได้ในระยะแค่สิบกว่าเมตรเท่านั้นเอง

หินที่ยื่นออกมาในแต่ละจุดเริ่มลื่น และหากไม่ระวังก็อาจสามารถพลาดพลั้งได้

“อีกแค่สองร้อยเมตร แต่กลับยิ่งชันขึ้นมาก!”

ในสภาพเช่นนี้ หลิงหยุนต้องใช้วิธีค่อยๆคลานและไต่ลงไปด้านล่าง มือซ้ายของหลิงหยุนแทงพู่กันจักรพรรดิลงไปในหิน และนิ้วมือขวาก็จิกลงไปในหิน สภาพของหลิงหยุนตอนนี้ไม่ต่างจากจิ้งจกที่อยู่บนผนังบ้าน หลิงหยุนค่อยๆไต่ลงไปช้าๆ

แม้จากจุดนี้จะเหลือระยะทางอีกเพียงแค่ห้าสิบเมตร แต่หลิงหยุนต้องใช้เวลานานถึงสิบนาทีกว่าจะไต่ลงไปได้

หลังจากลงไปได้อีกกว่าห้าสิบเมตร หินที่ยื่นออกมาก็เริ่มมีพื้นที่ให้เหยียบน้อยลงไปเรื่อยๆ และชันขึ้นเรื่อยๆ เมื่อไต่ลงไปได้อีกเพียงแค่สี่สิบเมตร หน้าผาก็ชันจนแทบจะเป็นแนวดิ่งอีกครั้ง

หลิงหยุนหยุดพักบนก้อนหินเล็กๆ ร่างกายของเขาเปียกชุ่มไปหมด แต่ไม่ใช่จากเหงื่อ แต่เป็นหยดน้ำที่หยดลงมาจากหิน

หลิงหยุนเพิ่งจะผ่านจุดที่ชันมากๆมา ตอนนี้รอบตัวเขาก็มีแต่ความมืด และระยะสี่ร้อยเมตรที่อยู่เหนือศรีษะของเขาขึ้นไปนั้น เขาก็ไม่สามารถมองอะไรเห็นอีก

ตอนนี้สายตาของหลิงหยุนสามารถมองเห็นได้ในระยะไม่ถึงสิบเมตร..

แล้วหลิงหยุนได้ยินเสียงปืนดังขึ้นอีกสองนัด จากนั้นก็ตามด้วยเสียงกรีดร้องที่โหยหวนอย่างน่าสงสาร มันไม่ต่างจากเสียงหมูที่กำลังถูกเชือดแม้แต่น้อย แต่เสียงน้ำหยดที่ดังเหมือนเสียงควบม้าก็ดังกลบเสียงเมื่อครู่จนหมด

“นี่มัน..” หลังจากนั้นราวสองหรือสามวินาที หลิงหยุนก็ได้ยินเหมือนเสียงคนล้มลงบนพื้น

“ลาภปากของบรรดานกแร้งสินะ!” หลิงหยุนแสยะยิ้ม

หลิงหยุนลุกขึ้นยืน และเริ่มกระโดดไปตามก้อนหินลงไปด้านล่างต่อ ครั้งนี้เขารู้สึผ่อนคลายมากขึ้น และในที่สุดก็ลงไปได้อีกราวหนึ่งร้อยเมตร แต่หลิงหยุนกลับไม่รู้สึกกลัวแม้แต่น้อย

ยิ่งลงไปใกล้ก้นหลุมมากเท่าไหร่ หลิงหยุนก็ยิ่งผ่อนคลายมากขึ้นเท่านั้น และเพียงแค่กระโดดราวเจ็ดแปดครั้ง หลิงหยุนก็ลงไปได้ลึกอีกราวห้าสิบเมตร

แม้ว่าจะมองไม่เห็นแต่หลิงหยุนก็รู้ว่า.. ทันทีที่ลงไปถึงก้นหลุม เขาจะต้องหาวิธีรับมือกับคางคกยักษ์จำนวนนับไม่ถ้วน

แต่จู่ๆหลิงหยุนก็รู้สึกราวกับมีพายุเฮริเคนพัดอยู่บริเวณด้านหลังของตนเอง เขาโคจรดารกะดายันไปทั่วร่าง และในเวลาเดียวกันนั้นเองก็ใช้มังกรพรางร่างเคลื่อนออกไกลออกไปจากตำแหน่งเดิมถึงสามเมตร จากนั้นก็เรียกตะปูออกมาจากแหวนพื้นที่ และจัดการซัดออกไปราวกับฝน!

การกระโดดหลบของหลิงหยุนเมื่อครู่นั้นใช้เวลาไปเพียงแค่หนึ่งวินาที แต่หลิงหยุนกลับมองไม่เห็นว่าเขาถูกอะไรโจมตี

“ห๊ะ..” ตะปูสิบกว่าเล่มพุ่งผ่านสายลม และปะทะเข้ากับร่างที่ดูเหมือนเงา

และในเวลานั้นเองที่หลิงหยุนได้เห็นสิ่งที่โจมตีเขา มันคืองูเหลือมขนาดใหญ่!

“แกรนหาที่เอง!”

เมื่อเห็นว่าเป็นงูเหลือม หลิงหยุนก็นึกตำหนิตัวเองที่ตื่นตระหนกจนเกินไป จากนั้นก็กำพู่กันจักรพรรดิแล้วพุ่งตัวออกไป!


บทที่ 310 : เผางูเหลือมช่วยเจ้าขาวปุย

ยังไม่ทันที่งูเหลือมจะได้โจมตีหลิงหยุน มันก็ถูกหลิงหยุนโจมตีด้วยตะปูเสียก่อน เนื่องจากร่างของเจ้างูเหลือมค่อนข้างใหญ่โต และหลิงหยุนเองก็แข็งแกร่งไม่น้อย ตะปูสิบกว่าเล่มที่ซัดออกไปส่วนใหญ่จึงพุ่งเข้าใส่ร่างของเจ้างูเหลือมเกือบทั้งหมด มีเพียงไม่กี่เล่มที่พลาดเป้า

แม้จะมีเลือดไหลออกมาจากร่างของเจ้างูเหลือม แต่ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอะไรนัก มันชูลำตัวขึ้นตั้งตรงจนกระทั่งหัวของมันสูงกว่าหลิงหยุนเล็กน้อย

ดวงตาของเจ้างูเหลือมเปล่งประกายสีเขียวใสอยู่ในความมืดมิด ปากของมันอ้าออกและแลบลิ้นที่ยาวออกมา ศรีษะรูปสามเหลี่ยมของมันจ้องมองไปทางหลิงหยุน และลำตัวของมันก็ส่ายไปมาคล้ายกับกำลังปรับทิศทางการโจมตีอยู่ และเมื่อใดที่เกิดการปะทะ หลิงหยุนจะต้องถูกมันรัดจนตายอย่างแน่นอน

หินที่ยื่นออกมาจากผนังของหลุมยักษ์นั้นมีความยาวกว่าสามเมตร และน้ำที่หยดลงมาก็ทำให้หินเปียกและค่อนข้างลื่น หลิงหยุนไม่ต้องการสู้กับเจ้างูเหลือมยักษ์ที่ระดับความสูงห้าสิบเมตรนี้ เขาจึงต้องตัดสินใจทำบางอย่าง..

และเพียงแค่พริบตาเดียว ร่างของหลิงหยุนก็เคลื่อนไปอยู่ด้านหน้าของเจ้างูเหลือมห่างไปไม่ถึงสองเมตร งูเหลือมยักษ์คิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะกล้าจู่โจมมันกระชั้นชิดเช่นนี้ มันจึงมีท่าทางหวาดกลัวเล็กน้อย

ร่างของงูเหลือมยักษ์ที่อยู่บนหน้าผาหินส่ายไปมาอีกครั้ง และครั้งนี้ร่างยักษ์ของมันก็ชูขึ้นจนสูงกว่าหลิงหยุนถึงหนึ่งเมตร ขณะที่เจ้างูเหลือมพุ่งเข้าใส่หลิงหยุนนั้น เขาก็กระโดดหลบพร้อมกับมือขวากำพู่กันจักรพรรดิไว้แน่น หัวของเจ้างูเหลือมยักษ์พุ่งตามร่างของหลิงหยุนไปพร้อมกับจู่โจมเข้าที่ท้ายทอยของเขา

“เข้ามาเลย!”

หลิงหยุนยังคงยืนนิ่งและไม่หันกลับไปมองด้านหลัง เขากำลังฟังเสียงลมและรอคอยให้ศรีษะของเจ้างูเหลือมยักษ์พุ่งเข้ามาใกล้ตัว จากนั้นก็ใช้พู่กันจักรพรรดิที่อยู่ในมือข้างขวาฟันเข้าไปที่ร่างของเจ้างูเหลือมที่อยู่ด้านหลังทันที…

พู่กันจักรพรรดิในมือของหลิงหยุนปักลงไปที่ลำตัวของเจ้างูเหลือมลึกถึงเจ็ดนิ้ว จากนั้นหลิงหยุนก็ออกแรงสะบัดข้อมือตัดร่างของมันจนเกือบขาดเป็นสองท่อน เลือดสีแดงพุ่งออกจากร่างของมันจำนวนมาก จนหินบริเวณนั้นกลายเป็นสีแดงไปหมด!

เจ้างูเหลือมยักษ์ได้รับบาดเจ็บสาหัสและน่าสยดสยองยิ่งนัก แม้หัวของมันจะไม่ถึงกับขาดออกจากลำตัวในตอนนั้น แต่ก็ห้อยต่องแต่งและดูท่าว่าคงใกล้จะตายแล้ว แต่จู่ๆลำตัวของมันกลับม้วนเข้าหากัน

หลิงหยุนไม่ต้องการให้เลือดคาวของงูเหลือมพุ่งเข้าใส่ตัว เขาจึงกระโดดหลบหนีอย่างคล่องแคล่ว แต่ก่อนที่ร่างของหลิงหยุนจะหลบไปได้ ลำตัวที่ขดของมันก็สะบัดรัดเข้ากับร่างของหลิงหยุนไว้เรียบร้อยแล้ว

“ช่างแข็งแกร่งนักนะ!”

หลิงหยุนพึมพำพร้อมกับพุ่งมือขวาที่กำพู่กันจักพรรดิฟันเข้าใส่ร่างของงูเหลือมอย่างไม่ปราณี และครั้งนี้ศรีษะของเจ้างูเหลือมก็ขาดออกจากลำตัวขนาดใหญ่เป็นสองท่อน แต่มันกลับยังไม่ตาย และลำตัวยังคงรัดร่างของหลิงหยุนแน่นขึ้นไปอีก

หลิงหยุนหมุนร่างลงไปที่หินด้านล่างได้อย่างมั่นคง และมือซ้ายของเขาก็เอื้อมออกไปดึงลำตัวไร้ศรีษะของเจ้างูเหลือมยักษ์ที่กำลังรัดร่างของเขาออกไปได้อย่างง่ายดาย ไม่ต่างจากการดึงเชือกที่พันอยู่รอบตัวเลยแม้แต่น้อย

“หู้ว!”

หลิงหยุนโยนร่างของเจ้างูเหลือมออกไปอย่างใจเย็นพร้อมกับพูดยิ้มๆ “ข้าฆ่าคางคกยักษ์ที่ตัวใหญ่กว่าเจ้าถึงร้อยเท่ามาแล้ว อย่างเจ้านี่นะคิดจะกินข้า!?”

หุบเขาแห่งนี้อยู่เหนือทะเลสาปจิงฉูราวสองร้อยเมตร ตอนนี้หลิงหยุนอยู่ที่ความลึกของหลุมยักษ์ในระดับสามร้อยห้าสิบเมตร ดังนั้นในเวลานี้เขาจึงอยู่ต่ำกว่าระดับลงไปมากกว่าหนึ่งร้อยเมตร อุณหภูมิในบริเวณนี้จึงสูงกว่าอุณหภูมิบนพื้นดิน การพบเจอสัตว์ประหลาดจึงไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย และเขาก็ได้เตรียมพร้อมไว้แล้ว

เมื่อมาอยู่ในสถานที่แบบนี้ กลับทำให้หลิงหยุนรู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนเมื่อครั้งที่อยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ และมันก็เป็นความรู้สึกที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี

เหนือศรีษะหลิงหยุนขึ้นไปห้าสิบเมตร ล้วนเป็นหน้าผาที่ลื่นมาก และหน้าผาเหล่านั้นก็ปิดบังแสงที่ส่องจากด้านบนปากหลุมไว้อย่างมิดชิด ด้านล่างหลุมจึงมืดสนิทบวกกับหมอกที่ค่อนข้างหนา ทำให้หลิงหยุนสามารถมองเห็นได้ในระยะเพียงแค่สิบเมตร

หลิงหยุนเพิ่งลงมาใกล้จะถึงก้นหลุม เขาจึงได้สังเกตุเห็นว่ามีถ้ำลึกที่ปากถ้ำกว้างราวครึ่งเมตรอยู่บนหน้าผา และเห็นได้ชัดว่ามันเป็นถ้ำที่งูเหลือมยักษ์เหล่านี้ขุดเอาไว้

งูกับคางคกมีลักษณะนิสัยที่เป็นศัตรูกัน ดังนั้นในเมื่อที่ก้นหลุมมีคางคกยักษ์อยู่มากมาย หลิงหยุนจึงไม่รู้สึกแปลกใจที่พบงูเหลือมยักษ์ที่นี่

หลิงหยุนเดินผ่านหน้าถ้าลึกแห่งหนึ่ง เขาสอดส่ายสายตาสำรวจดูด้านใน และพบว่ามันเป็นถ้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่เพราะมันเป็นถ้ำขนาดเล็ก เขาจึงไม่สนใจที่จะเข้าไปสำรวจดู

หลิงหยุนแหงนหน้าขึ้นมองหลุมดำขนาดใหญ่แล้วพึมพำว่า “ก่อนที่จะเกิดหลุมยุบขนาดใหญ่แห่งนี้ ห่างจากที่นี่ไปอย่างน้อยห้าสิบเมตร จะต้องมีหลุมยุบอยู่อีกอย่างแน่นอน!”

จากข่าวที่ออกทางทีวี ว่ากันว่าหลุมยุบขนาดใหญ่แห่งนี้ เกิดขึ้นเนื่องจากฝนที่ตกกระหน่ำลงมาอย่างรุนแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในเมืองจิงฉู แต่หลิงหยุนกลับไม่เชื่อเช่นนั้น เขาไม่เชื่อว่าฝนที่ตกหนักในคืนนั้นจะเป็นสาเหตุหลักของการเกิดหลุมยุบขนาดใหญ่แห่งนี้

พื้นที่ในบริเวณสามร้อยเมตรรอบๆนี้ ล้วนเป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยหินขนาดใหญ่ แล้วฝนเพียงแค่นั้นจะสามารถทำให้พื้นที่บริเวณนี้เกิดหลุมยุบได้อย่างไร?

ยิ่งคิด.. หลิงหยุนก็ยิ่งเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น..

หลิงหยุนกำลังคิดว่า หากหลุมยุบขนาดใหญ่แห่งนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่เป็นหลุมยุบเก่าแก่ที่เกิดขึ้นมานานแล้ว เขาก็ยิ่งต้องเพิ่มความระมัดระวังให้มากยิ่งขึ้น เพราะในพื้นที่ปิด เปียกชื้น และอบอ้าวมานานเช่นนี้ มักจะเกิดระบบนิเวศน์ในแบบที่เหมาะสมตามธรรมชาติของมันเอง

ยังไม่ทันที่หลิงหยุนจะลงไปถึงก้นหลุม ก็ต้องเผชิญหน้ากับงูเหลือมขนาดใหญ่ และใครจะไปรู้ว่าตามถ้ำและหลืบหินต่างๆจะมีสัตว์ประหลาดอะไรซ่อนอยู่อีก

แต่การจะอยู่แบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง เขาคงต้องลงไปที่พื้นด้านล่างให้ได้ก่อน หลิงหยุนมองร่างที่ขาดเป็นสองท่อนของเจ้างูเหลือมยักษ์ พร้อมกับกระโดดลงไปบนโขดหินที่อยู่ลึกลงไปอีกสิบเมตร

ทุกครั้งที่หลิงหยุนก้าวลงไปแต่ละขั้น เขาจะต้องคอยสังเกตุการณ์รอบๆตัวอย่างระมัดระวังที่สุด และตอนนี้หลิงหยุนก็ได้ยินเสียงน้ำไหลอยู่ที่ก้นหลุมดังก้องไปทั่วทั้งบริเวณ หากมีสัตว์ประหลาดชนิดอื่นโจมตีอย่างกระทันหัน ก็อาจทำให้เขาไม่ได้ยินและไม่สามารถหลบทันได้

เสียงน้ำไหลดังก้องจนกลบเสียงอื่นจนหมดสิ้น และสายตาของหลิงหยุนในตอนนี้ก็สามารถมองเห็นในระยะเพียงแค่สิบเมตรเท่านั้น เขาจึงไม่กล้ารีบร้อนมาก มือขวาของเขากำพู่กันจักรพรรดิที่ปักอยู่บนผนังไว้แน่น ส่วนมือซ้ายก็จิกลงไปบนผนัง และค่อยๆไต่ลงไปที่ก้นหลุมอย่างช้าๆ

หลิงหยุนใช้วิธีนี้ไต่ลงไปได้ลึกอีกอย่างน้อยสิบเมตร และหลิงหยุนก็พบงูเหลือมอีกสองตัวที่กำลังนอนขดอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่ และหากเทียบกับตัวที่หลิงหยุนเพิ่งฆ่าตาย สองตัวนี้นับว่าใหญ่กว่ามากนัก

เป้าหมายของหลิงหยุนคือการเข้าไปให้ถึงค่ายกลมังกรหยินหยางให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขาจึงไม่ต้องการทำให้งูเหลือมสองตัวนี้ตื่น

จากจุดที่หลิงหยุนพบงูเหลือมสองตัว อีกเพียงแค่ยี่สิบเมตรก็จะถึงก้นหลุม เมื่อหลิงหยุนสังเกตุเห็นว่าโขดเห็นที่อยู่ลึกลงไปนั้นไม่มีงูเหลือมอยู่ เขาจึงกระโดดลงไปยังโขดหินนั้นอย่างเบาที่สุด

เมื่อลงไปถึงโขดหิน หลิงหยุนก็สังเกตุดูที่ก้นหลุม ดูเหมือนมันจะกว้างราวห้าร้อยเมตรได้ ส่วนแม่น้ำที่ไหลผ่านตรงกลางของก้นหลุมนั้น ก็มีความกว้างราวหนึ่งร้อยเมตร แม่น้ำสายนี้ไหลจากทางด้านตะวันตกไปทางด้านตะวันออก แต่หลิงหยุนก็ไม่รู้ว่าแม่น้ำสายนี้ไหลมาจากที่ใด และจะไปสิ้นสุดที่ใด

แต่ในเมื่อเสียงน้ำไหลดังก้องจนกลบเสียงอื่นๆจนหมด เสียงการเคลื่อนไหวของหลิงหยุนก็ถูกกลบด้วยเช่นกัน และสัตว์อื่นๆก็แทบจะไม่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวของเขา

หลังจากทำการสำรวจเส้นทาง หลิงหยุนก็มุ่งหน้าไปไปยังใจกลางของก้นหลุม

เนื่องจากบริเวณก้นหลุมที่ไม่ใช่ตรงกลางนั้นมืดสนิท หลิงหยุนจึงต้องใช้เท้าทองคำหมื่นลี้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าด้วยความเร็วเพื่อให้เท้าของเขาสัมผัสกับสิ่งมีชีวิตด้านล่างน้อยที่สุด และด้วยเท้าทองคำหมื่นลี้ หลิงหยุนจึงสามารถเคลื่อนที่ไปได้ไกลถึงสามสิบสี่เมตร

หลังจากที่มาถึงตรงกลางของหลุมยักษ์ หลิงหยุนจึงได้สำรวจไปรอบๆ แล้วเขาก็พบคางคกที่มีขนาดเท่าลูกฟุตบอลกำลังเกาะนิ่งอยู่ตามก้อนหิน

แม้นิสัยของงูเหลือมจะไม่อาศัยอยู่ก้นหลุม แต่พวกมันก็จะลงมาหาเหยื่อเป็นครั้งคราว ยิ่งหลิงหยุนเข้าใกล้กลางหลุมยักษ์มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเห็นคางคกมากขึ้นเท่านั้น

และเมื่อหลิงหยุนมายืนอยู่ตรงกลางของหลุมยักษ์ เขาก็สามารถมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น เพราะมีแสงที่ส่องลงมาจากปากหลุม

หลิงหยุนเลี่ยงคางคกยักษ์ด้วยการปีนขึ้นไปตามก้อนหินที่สูงกว่า และค่อยๆสำรวจไปรอบๆบริเวณอีกครั้ง

หลิงหยุนมองเห็นมีลานทรงกลมอยู่ระหว่างหิน แต่จนถึงตอนนี้เขายังไม่พบศพของฉวนจิ่วและตี้ปาเลย หลิงหยุนคาดว่าหากไม่ถูกคางคกยักษ์กิน ก็คงถูกงูเหลือมยักษ์ที่เขาเห็นเมื่อครู่กินเข้าไปแล้วแน่ๆ

และเมื่อหลิงหยุนพบรอยเท้าคนมากมายอยู่บนพื้น เขาก็ได้แต่ขมวดคิ้ว

“ดูเหมือนจะมีคนลงมาที่ก้นหลุมก่อนหน้านี้ แล้วก็มีหลายคนด้วย!”

และในจังหวะนั้นเอง หลิงหยุนก็เห็นทางด้านตะวันออกของหลุมยักษ์มีเงาสีขาวอยู่ไกลออกไปราวสามร้อยเมตร  กำลังเคลื่อนไหวและกระโดดไปมาอย่างรวดเร็ว แล้วก็มีเงาดำสูงใหญ่อีกด้วย ดูเหมือนพวกมันกำลังต่อสู้กัน

“เจ้าขาวปุย!”

หลิงหยุนขมวดคิ้วและรีบใช้เท้าทองคำหมื่นลี้พุ่งไปหาเจ้าขาวปุยอย่างรวดเร็ว

เมื่อหลิงหยุนเข้าไปใกล้ เขาก็พบว่ามันคืองูเหลือมยักษ์ที่ยาวอย่างน้อยยี่สิบเมตร เกล็ดบนลำตัวของมันเป็นสีน้ำตาลเข็ม และหัวของมันก็มีขนาดเท่าล้อรถ ดวงตาสองข้างสว่างไม่ต่างจากหลอดไฟที่ส่องอยู่ในความมืด

ดูเหมือนงูเหลือมยักษ์กับเจ้าขาวปุยกำลังต่อสู้กันอยู่ งูเหลือมยักษ์ตัวนี้น่าจะอาศัยอยู่ที่ก้นหลุมแห่งนี้มาเป็นเวลานานแล้ว และเมื่อเห็นสัตว์วิญญาณที่วิเศษอย่างเจ้าขาวปุยเข้า มีหรือมันจะไม่อยากจับกิน

ตอนนี้เจ้าขาวปุยมีหางสองหาง นับว่าแข็งแกร่งไม่ใช่น้อย แต่เมื่อมันอยู่ต่อหน้างูเหลือมยักษ์มันกลับตื่นเต้น และคิดที่จะหลบหนี

โชคดีที่เจ้าขาวปุยสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว มันจึงสามารถหลบการฉกของงูเหลือมได้ ไม่เช่นนั้นคงจะถูกเจ้างูเหลือมยักษ์กลืนลงท้องไปแล้ว!

เมื่อเจ้างูเหลือมยักษ์เห็นหลิงหยุน มันก็ถึงกลับชะงักไปเล็กน้อย และเปลี่ยนจากการโจมตีเจ้าขาวปุยมาฉกใส่หลิงหยุนแทน!

“แกรนหาที่เองนะ!”

เมื่อหลิงหยุนเห็นเจ้างูเหลือมยักษ์พุ่งเข้าใส่ เขาก็รีบเรียกยันต์อัคนีออกมาอย่างไม่รีรอ แล้วซัดใส่กลางหัวของมันและตะโกนว่า “ทำลาย!”

จากนั้นหลิงหยุนก็กระโดดหลบลำตัวขนาดยักษ์ของเจ้างูเหลือม..

เกล็ดของเจ้างูเหลือมใหญ่ยักษ์ตัวนี้ไม่ต่างจากชุดเกราะดีๆนี่เอง แม้แต่ปืนก็ยังไม่สามารถยิงทะลุเข้าได้

แต่เมื่อหลิงหยุนร้องตะโกนสั่งยันต์ให้ออกฤทธิ์ หัวขนาดใหญ่ของมันก็ถูกยันต์อัคนีเผาทันที ความร้อนจากยันต์อัคนีทำให้เนื้อบนหัวของมันไหม้ไปหมด มันจึงไม่สนใจหลิงหยุนอีก มันเลื้อยไปมาและส่งเสียงกรีดร้อง พยายามที่จะดับเปลวไฟจากยันต์อัคนี และแน่นอนว่าเจ้างูเหลือมยักษ์ไม่สามารถดังได้!

หลิงหยุนกอดเจ้าขาวปุยที่กระโดดเข้ามาหาไว้แน่น พร้อมกับกระโดดหลบหินก้อนใหญ่ที่เจ้างูเหลือนยักษ์ฟาดใส่ เขาพูดกับเจ้าขาวปุยอย่างรักใคร่ “เจ้ากลัวไม๊? เดี๋ยวข้าจะให้เจ้ากินหัวใจงู”

แม้ว่าเจ้าขาวปุยจะเป็นสุนัขจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง แต่เมื่อมันเจองูเหลือมยักษ์ และเกือบจะถูกกิน มันก็อดที่จะกลัวไม่ได้เช่นกัน!

“ตอนนี้เจ้ายังไม่สามารถใช้พลังวิเศษในการต่อสู้กับศัตรูได้ รอให้หางที่สามของเจ้างอกสมบูรณ์เสียก่อน และเจ้าก็จะสามารถแปลงร่างได้!” หลิงหยุนพูดกับเจ้าขาวปุยยิ้มๆ

ผ่านไปราวครึ่งนาที ยันต์อัคนีก็ดับลง และหัวของเจ้างูเหลือมยักษ์ก็ถูกไฟเผาจนไหม้ ตาสองข้างของมันก็เกือบจะบอด แต่มันยังไม่ตาย..

เจ้างูเหลือมยักษ์ที่เจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ชูหัวที่ของมันขึ้นสูงห้าเมตรจนดูน่ากลัวและน่าสยดสยองอย่างมาก สายตาที่ดุร้ายของมันจ้องมองไปที่หลิงหยุนและเจ้าขาวปุย

“ลำตัวของเจ้าช่างแข็งแกร่งนัก แต่ข้าจะส่งเจ้าไปสวรรค์ก็แล้วกัน” พูดจบหลิงหยุนก็เรียกตะปูออกมาสี่ดอก เขายกมือขึ้นและซัดเข้าใส่ดวงตาของเจ้างูยักษ์


บทที่ 311 : สัตว์ประหลาดใต้น้ำ

เพราะเจ้างูเหลือมยักษ์ประมาทหลิงหยุนเมื่อครู่ ทำให้มันต้องได้รับบาดเจ็บ ครั้งนี้มันจึงระมัดระวังมากกว่าเดิม มันหันหัวหลบและตะปูทั้งสี่เล่มก็พุ่งเข้าใส่เกล็ดที่แข็งราวกับเหล็กของมันก่อนจะร่วงลงสู่พื้น

เมื่อเห็นว่าครั้งนี้หลิงหยุนไม่สามารถทำอะไรมันได้ เจ้างูยักษ์ดูเหมือนจะใจกล้าและฮึกเหิมขึ้นมาใหม่ หลิงหยุนซัดตะปูเข้าใส่มันอีกครั้ง มันสะบัดหัวหลบและตะปูก็ร่วงลงพื้นเช่นเคย

ลำตัวใหญ่ยักษ์ของมันเตรียมพร้อมพุ่งเข้าใส่หลิงหยุนกับเจ้าขาวปุย ลำตัวของมันพุ่งทะยานขึ้นสูงอยู่กลางอากาศ ท่วงท่าแข็งแกร่งและดุร้าย แต่หลังจากที่ประเมินดูแล้ว หลิงหยุนมั่นใจว่าเขาจะสามารถรับมือได้อย่างแน่นอน

หลิงหยุนอุ้มเจ้าขาวปุยกระโดดหลบห่างออกไปก่อน จากนั้นจึงเดินออกมาเพื่อยั่วยุเจ้างูเหลือมยักษ์พร้อมกับยิ้มเย้ยที่มุมปาก

จากแสงไฟของยันต์อัคนีเมื่อครู่ ทำให้หลิงหยุนสามารถมองเห็นสภาพของเจ้างูยักษ์ได้ชัดเจนครู่หนึ่ง

มันไม่เพียงได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีด้วยยันต์อัคนีของหลิงหยุน แต่ตามลำตัวของมันยังมีรอยบาดแผลที่เกิดจากกระสุนปืน และใบมีดอีกด้วย หลิงหยุนจึงไม่แปลกใจนักที่เจ้างูยักษ์จะเลิกสนใจเจ้าขาวปุย และพุ่งเป้ามาที่เขาแทน!

เมื่อเจ้างูยักษ์พบว่าหลิงหยุนเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วคล่องแคล่วอย่างน่าอัศจรรย์ ลำตัวของมันจึงค่อยๆลดต่ำลง เพื่อพุ่งเป้าไปที่เท้าของเขาแทน

หลิงหยุนร้องตะโกนออกไปอย่างท้าทายว่า “เข้ามาเลย!”

เมื่อลำตัวใหญ่ยักษ์ของเจ้างูเหลือมเลื้อยราบอยู่กับพื้น หลิงหยุนก็ก้าวออกมาด้านหน้าราวหนึ่งเมตร จากนั้นก็กระโจนขึ้นไปขี่อยู่บนลำตัวของมันอย่างไม่เกรงกลัว

“เอาล่ะ.. ใหนๆข้าก็เคยขี่มังกรที่อยู่บนเมฆมาก่อนแล้ว วันนี้จะลองขี่งูเล็กๆที่อยู่ๆบนพื้นดินอย่างเจ้าดูบ้าง!”

หลิงหยุนพูดออกมาอย่างเย้ยหยัน เจ้างูยักษ์บิดลำตัวและสะบัดไปมาด้วยความโกรธเกรี้ยว ร่างของมันส่ายสะบัดขึ่นลงราวกับคลื่นยักษ์ในมหาสมุทรก็ไม่ปาน แต่หลิงหยุนกลับยึดลำตัวของมันไว้แน่นราวกับกำลังควบม้า

“ในเมื่อเจ้าดุร้ายมากนัก ข้าก็จะควักหัวใจกับดีของเจ้าออกมากิน! ตอนนี้มีแต่เจ้ากับเข้า ไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย จะได้ไม่มีใครว่าข้าใจคอโหดเหี้ยมกับสัตว์อย่างเจ้า?”

หลิงหยุนแอบวัดระยะช่วงลำตัวของเจ้างูยักษ์อยู่ในใจ เขากำลังหาตำแหน่งของหัวใจและถุงน้ำดีบนลำตัวของมัน หลังจากกะตำแหน่งได้แล้ว หลิงหยุนก็ไถลร่างของเขาลงไปอยู่กลางลำตัวของเจ้างูยักษ์ แล้วเงื้อมือข้างที่ถือพู่กันจักรพรรดิขึ้น และจ้วงแทงลงไปบนเกล็ดที่แข็งทนทานของมัน จากนั้นก็กรีดลงมาเป็นเส้นตรงที่มีขนาดเท่าเส้นผ่าศูนย์กลางของลูกบาสเก็ตบอล

มีหรือที่เจ้างูเหลือมยักษ์จะทนกับความเจ็บปวดของบาดแผลได้? ร่างที่เจ็บปวดของมันดิ้นรนไปมากลางอากาศอย่างคลุ้มคลั่ง เพื่อต้องการสะบัดร่างของหลิงหยุนที่เกาะอยู่ให้หลุดออกไป

หลิงหยุนจัดการล้วงมือเข้าไปลำตัวของมัน แต่ก็ถึงกับตกใจเมื่อพบว่ามีศพของมนุษย์อยู่ในท้องของมัน เขาขมวดคิ้วด้วยความรู้สึกเสียดาย!

หลิงหยุนไม่ได้ต้องการหัวใจและดีงูของมันมากินเอง แต่เขาต้องการนำไปให้เข้าขาวปุย!

“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะกินคนไปมากมายเช่นนี้ คิดซะว่านี่เป็นการล้างแค้นให้กับคนพวกนั้นก็แล้วกัน!”

หลิงหยุนพึมพำพร้อมกับออกแรงจ้วงแทงพู่กันจักรพรรดิลงไปบนลำตัวห่างจากหัวของมันลงมาราวเจ็ดนิ้ว..

ตำแหน่งจากหัวของมันลงมาเจ็ดนิ้วนั้น เป็นตำแหน่งที่มันจะไม่สามารถทำอันตรายอะไรหลิงหยุนได้ เพราะเป็นตำแหน่งที่มันไม่สามารถหันมาฉกได้ แต่ก็ไม่ใช่ว่าตำแหน่งที่วัดจากหัวลงมาเจ็ดนิ้วจะเป็นจุดที่งูฉกไม่ถึงทุกตัว มันขึ้นอยู่กับขนาดความยาวของงูแต่ละตัวด้วย

ตอนนี้ลำตัวใหญ่ยักษ์ของเจ้างูเหลือมตั้งขึ้นกลางอากาศ และพุ่งเข้าใส่ก้อนหินอย่างคลุ้มคลั่งอีกครั้ง มันต้องการให้ร่างของหลิงหยุนกระแทกเข้ากับก้อนหินเหล่านั้น!

แต่หลิงหยุนรีบหมุนตัวกลับไปอยู่อีกด้าน และออกแรงกดพู่กันจักรพรรดิลงไปบนลำตัวของมันลึกขึ้นด้วย มันเสียงร้องดังด้วยความเจ็บปวด!

สภาพของเจ้างูเหลือมนั้นน่าสลดสังเวชอย่างที่สุด และไม่ว่ามันจะโยกหรือสะบัดอย่างไร ก็ไม่สามารถทำให้หลิงหยุนหลุดออกจากลำตัวของมันได้ เลือดสดๆไหลพุ่งออกมาจากลำตัวและค่อยๆหมดแรง ในที่สุดร่างใหญ่ยักษ์ขของเจ้างูเหลือมก็นอนแน่นิ่งอยู่บนก้อนหิน..

หลังจากที่สู้กับงูเหลือมยักษ์ ร่างกายของหลิงหยุนก็เต็มไปด้วยเลือดที่มีกลิ่นคาวเหม็นคุ้งไปหมด เขาจึงหันไปบอกกับเจ้าขาวปุยว่า

“ไปล้างทำความสะอาดร่างกายกับข้า จะได้ออกไปจากตรงนี้!”

แต่เจ้าขาวปุยกลับไม่ขยับเขยื้อน สายตาของมันจับจ้องอยู่ที่ร่างแน่นิ่งของงูยักษ์ เมื่อหลิงหยุนเห็นเช่นนั้นเขาจึงพูดขึ้นว่า “นี่ขาวปุย! หัวใจกับดีงูพวกนั้น เจ้าไม่สามารถกินได้แล้ว!”

เจ้าขาวปุยเงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาสีดำเป็นประกายของมันจ้องมองหลิงหยุนด้วยความสงสัย

หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นจึงตอบมันกลับไปว่า “งูเหลือมตัวนี้กินคนเข้าไปตั้งหลายคน เจ้ากินเครื่องในของมันไม่ได้แล้วล่ะ?”

แม้ว่าเจ้าขาวปุยจะเป็นเพียงแค่สุนัขจิ้งจอก แต่อีกไม่นานมันก็จะกลายร่างได้แล้ว หลิงหยุนจึงไม่ต้องการให้มันกินของพรรณนี้เข้าไป

หากเจ้างูเหลือมยักษ์ตัวนี้สามารถกลายร่างเป็นมังกรน้ำได้ในวันข้างหน้า หลิงหยุนคงจะต้องเจาะเอาทับทิมสีแดงที่อยู่บนหัวของมันออกมาแน่ เพราะจะเป็นประโยชน์ต่อการฝึกฝนของเขาและเจ้าขาวปุยอย่างมากในอนาคต แต่เจ้างูยักษ์ตัวนี้ยังห่างไกลการกลายร่างอีกมากนัก

เจ้าขาวปุยทำสีหน้าเหมือนไม่เข้าใจ มันส่ายหัวไปมา แต่ก็ตัดใจจากความอยากได้หัวใจและดีงู แล้วตามหลิงหยุนไปที่แม่น้ำ

ร่างกายของหลิงหยุนในเวลานี้เต็มไปด้วยเลือดของงู เขาจึงไม่สนใจคางคกยักษ์ที่อยู่ตามทางเดิน แต่ระหว่างทางที่หลิงหยุนเดินตรงไปที่แม่น้ำท่ามกลางความมืดนั้น เหล่าคางคกที่อยู่บนพื้นต่างก็พากันกระโดดหนีด้วยความหวาดกลัว เพราะมันได้กลิ่นคาวเลือดงูบนตัวของ

“ข้อดีของมันคือเป็นเครื่องมือขับไล่คางคกที่น่าขยะแขยงพวกนี้!”

เสียงน้ำไหลก้องดังราวกับเสียงฟ้าร้อง!

ทันทีที่หลิงหยุนไปถึงริมฝั่งแม่น้ำ เขาก็จัดการเตะหินก้อนใหญ่ที่บนฝั่งลงไปในน้ำ น่าแปลกที่มันไม่จมลงไปในน้ำทันที แต่กลับหมุนวนเป็นวงกลมก่อนจะเงียบหายไปในความมืด

หลิงหยุนขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาเรียกยันต์อัคนีออกมาและจัดการปาใส่ต้นไม้พร้อมกับตะโกนสั่ง หลิงหยุนทำเช่นนั้นเพื่อให้เกิดแสงสว่างสำหรับสำรวจสภาพแวดล้อมรอบๆตัว

“เหตุใดหินที่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำ ล้วนเป็นหินที่แตกหักทั้งนั้น นี่มัน…”

“แม่น้ำนี่ลึกมากแค่ใหนนะ?!”

หลิงหยุนมองสำรวจบริเวณรอบๆอย่างกระตือรือร้น แต่ก็ไม่มีเวลาที่จะดำลงไปสำรวจใต้น้ำ เขาต้องรีบไปให้ถึงค่ายกลมังกรหยินหยางที่กักเก็บพลังหยินไว้ให้เร็วที่สุด

ทันทีที่ลงมาถึงก้นหลุม หลิงหยุนกลับพบเจองูยักษ์หลายตัว และเขาเชื่อว่ามันไม่ได้มีอยู่เพียงเท่านี้แน่ น่าจะมีจำนวนมากมายกว่านี้!

สิ่งที่หลิงหยุนต้องการที่สุดในยามนี้คือพลังหยิน หากเขาเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-4เมื่อใด และสามารถฝึกวิชาพลังลับหยินหยางได้แล้ว เขาก็จะสามารถสำรวจที่นี่ได้อย่างสบายๆหากมีเวลา

หลิงหยุนเรียกชุดกีฬาออกมาจากแหวนพื้นที่หนึ่งชุด หลังจากสวมใส่ชุดใหม่แล้ว เขาก็เดินขึ้นไปเหยียบบนหินแยกก้อนหนึ่งเพื่อจัดการซักเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือด

แต่เพียงแค่หลิงหยุนจุ่มเสื้อผ้าลงไปในน้ำและขยี้เพียงแค่สองครั้ง เขาก็พบว่าก้อนหินสีดำที่เขายืนอยู่และเท้าของเขาจมลงไปในน้ำอย่างรวดเร็ว

“อู้ว! จู่ๆน้ำจะมาขึ้นอะไรกันตอนนี้นะ?!” หลิงหยุนอุทานออกมาด้วยความตื่นตัว

“เดี๋ยวก่อน.. นี่มันไม่ใช่น้ำขึ้นนี่! หรือก้อนหินที่ข้ายืนอยู่กำลังถล่ม.. แต่ก็ไม่ใช่.. นี่ข้าไม่ได้ยืนอยู่บนก้อนหิน!!”

หลิงหยุนที่เพิ่งรู้สึกตัวกำลังเตรียมตัวจะกระโดดหนีออกไป แต่หินสีดำที่เขายืนอยู่นั้นกลับจมลงไปใต้น้ำลึกมากขึ้น และตอนนี้ร่างของเขาก็จมอยู่ใต้น้ำครึ่งตัว และกำลังแล่นออกไปไกลราวสิบเมตร!

น้ำที่นี่ว่าไหลเร็วแล้ว แต่เจ้าตัวสีดำที่อยู่ใต้น้ำนี้กลับเร็วยิ่งกว่าเสียอีก!

เพียงแค่ได้ยินเสียงดังปัง! คลื่นลูกใหญ่ที่ลักษณะคล้ายปากก็พุ่งเข้าใส่หลิงหยุน!

“นี่มันตัวอะไรกัน!?”

ภายใต้กระแสน้ำที่เชี่ยวกรากและระดับน้ำที่ลึกมากนี้ ท่ามกลางความมืดมิดหลิงหยุนมองเห็นเพียงแค่ปากกว้างใหญ่ของมัน และหลิงหยุนมั่นใจว่าหากเจ้างูยักษ์ที่เขาเพิ่งฆ่าตายโดนเจ้าตัวนี้กัดเข้าไปเพียงแค่ครั้งเดียว คงจะต้องขาดเป็นสองท่อนแน่น

ในความมืดมิด เจ้าขาวปุยเห็นชัดว่าหลิงหยุนกำลังเผชิญหน้าอยู่กับอันตรายที่น่ากลัวในน้ำ มันรีบกระโดดตามหลิงหยุนและว่ายน้ำตามไปอย่างไม่เกรงกลัว

หลิงหยุนในเวลานี้อยู่ห่างจากฝั่งไปไกลหลายเมตร และในเวลานี้เขาอดนึกเสียดายไม่ได้ที่ไม่ได้นำอาวุธร้ายแรงมาด้วย

แม้พู่กันจักรพรรดิของเขาจะคมและทนทาน แต่หากต้องเผชิญกับปีศาจใต้น้ำขนาดใหญ่เช่นนี้ ต่อให้หลิงหยุนสามารถแทงมันด้วยพู่กันจักรพรรดิ มันก็คงจะได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย และคงไม่เจ็บปวดอะไรมากมาย

“ข้าจะประมาทไม่ได้แล้ว!”

เมื่อเห็นปากขนาดใหญ่พุ่งเข้ามาเพื่อกัดเขา หลิงหยุนจึงรีบดำหลบลงไปใต้น้ำ และว่ายวนอยู่ด้านล่าง

แม้หลิงหยุนจะดำลงไปใต้น้ำแต่เขาก็ไม่ได้หลับตา เขายอมทนเจ็บปวดดวงตาจากกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก และจ้องมองปีศาจที่อยู่ใต้น้ำ!

สิ่งที่หลิงหยุนเห็อยู่ใต้น้ำคือตัวอะไรสักอย่างที่มีขนาดใหญ่ และส่วนที่เขาเห็นในตอนนี้มีลักษณะคล้ายกับด้านหน้าของรถยนต์!

ในเวลานี้.. ทั้งหลิงหยุนและปีศาจต่างก็ดำอยู่ใต้น้ำทั้งคู่ และเจ้าปีศาจก็เคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว มันไม่พุ่งเข้ากัดหลิงหยุนทันที แต่กลับดำลงไปใต้น้ำ และสะบัดหางของมันมาทางด้านหน้าของหลิงหยุน!

ปากของเจ้าปีศาจน้ำที่อ้ากว้างอยู่นั้นกำลังพุ่งเข้ากัดหลิงหยุน!

“อย่าหาว่าข้าใจร้ายกับเจ้าก็แล้วกันนะ!?” หลิงหยุนตกใจอย่างมาก เขากำพู่กันจักรพรรดิไว้ในเมือ และโคจรดารกะดายันไปทั่วร่าง ก่อนจะพุ่งเข้าไปในปากขนาดใหญ่ของเจ้าปีศาจน้ำที่ดุร้าย

“คิดจะกินข้างั้นรึ? ข้าจะฉีกเจ้าเป็นชิ้นๆ!”

หลิงหยุนไม่รอให้ปากใหญ่ของมันปิดสนิท เขาใช้มือสองดันเพดานปากของมันไว้!


บทที่ 312 : ประตูแห่งความตาย

หากอยู่บนพื้นดิน หลิงหยุนย่อมมีวิธีที่จะจัดการกับศัตรูได้อย่างแน่นอน แต่ตอนนี้อยู่ใต้น้ำ กระแสน้ำก็ค่อนข้างเชี่ยวและลึกมาก หลิงหยุนจึงทรงตัวค่อนข้างลำบาก และต่อให้เขามีศักยภาพที่สูงส่งแต่ก็ยากที่จะทำได้ดีเหมือนอยู่บนพื้นดิน

ในเมื่อต้องเอาตัวรอด วิธีเดียวที่หลิงหยุนคิดได้ในตอนนี้ก็คือต้องเข้าไปอยู่ในปากที่ใหญ่ของเจ้าปีศาจตนนี้เท่านั้น อย่างแรกก็คือเพื่อให้มั่นใจว่าเขาจะไม่ถูกฟันของมันกัดเข้า!

ช่างเป็นโชคดีของหลิงหยุนที่การฝึกบ่มเพาะมาจนถึงระดับสูงสุดของขั้นปรับร่างกาย-3 ทำให้เขาสามารถอยู่ในน้ำได้นานถึงสองสามนาทีโดยไม่มีปัญหาอะไร มิเช่นนั้นแล้ว การตัดสินเช่นนี้สามารถทำให้หลิงหยุนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้เลยทีเดียว!

แม้ในเวลานี้แขนของหลิงหยุนจะนับว่ามีพละกำลังมาก แต่เขาก็อดแปลกใจไม่ได้เมื่อพบว่าแขนที่แข็งแกร่งทั้งสองข้างของตัวเองนั้น กลับไม่สามารถที่จะฉีกปากขนาดใหญ่ของเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ได้!

แต่ก็โชคดีที่เจ้าปีศาจน้ำตัวนี้ก็ไม่สามารถกัดหลิงหยุนได้เช่นกัน เรียกได้ว่าต่างคนต่างก็มีกำลังที่ใกล้เคียงกัน!

หากสู้แรงของมันไม่ได้ หลิงหยุนอาจต้องถูกมันกัดตายไปแล้วแน่ๆ ระหว่างที่อยู่ในปากของมันนั้น เขาก็จัดการเรียกพู่กันจักพรรดิออกมาจากแหวนพื้นที่

“เอาล่ะ.. เตรียมตัวตายได้แล้ว!”

เวลานี้.. หลิงหยุนเองก็ไม่รู้ว่าเขาออกมาไกลจากฝั่งแค่ใหนแล้ว หลังจากที่เรียกพู่กันจักรพรรดิออกมา หลิงหยุนก็กระโดดและเต้นไปเต้นมาเหมือนที่เคยเต้นรำอยู่บนเวทีกับเกาเฉินเฉิน เพียงแต่ตอนนี้เขากลับเต้นอยู่ในปากของปีศาจน้ำตนนี้แทน จากนั้นหลิงหยุนก็ใช้ฝ่ามือกระแทกเข้ากับเพดานปากของมัน พร้อมกับพูดออกมาว่า

“เอาล่ะ.. ข้าจะฝึกคัดอักษรก็แล้วกัน!”

จากนั้นหลิงหยุนก็ใช้พู่กันจักรพรรดิเขียนคำว่า ‘ปาก’ ซึ่งคำว่าปากในอักษรจีนนั้นก็คือรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้านั่นเอง..

แต่เพราะผนังเพดานปากของมันหนามาก หลิงหยุนต้องออกแรงเขียนซ้ำๆถึงสามครั้งจึงจะสามารถทำให้เป็นรอยได้!

แต่นับว่าโชคดีที่หลิงหยุนมีพู่กันจักรพรรดิ เพราะหากเป็นมีดสั้นธรรมดาคงจะไม่สามารถแทงเข้าไปในเนื้อที่หนาอย่างมากของเจ้าปีศาจน้ำตนนี้ได้แน่ สำหรับหลิงหยุนแล้ว มันยากกว่าการฆ่างูเหลือมยักษ์มากนัก..

หลังจากที่เขียนรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดหนึ่งเมตรได้แล้ว หลิงหยุนก็ออกแรงดันเพื่อเปิดช่องสี่เหลี่ยมบนเพดานปากที่เขียนไว้ออก ลักษณะไม่ต่างจากรถเปิดประทุนเฟอรารี่ของหนิงน้อย!

แต่หลิงหยุนกลับต้องตกใจอย่างมาก เมื่อเจ้าสัตว์น้ำประหลาดร่างยักษ์ตนนี้ดิ้นรนไปมาอย่างคลุ้มคลั่งด้วยความเจ็บปวด และเปลี่ยนทิศทางเป็นว่ายทวนกระแสน้ำแทน

หลิงหยุนรีบโหนตัวปีนออกจากช่องสี่เหลี่ยมบนปากของเจ้าปีศาจน้ำที่เขาเพิ่งเปิดออก จากนั้นก็อาศัยจังหวะที่ออกมายืนอยู่ด้านบนได้แล้ว รีบกระโจนลงน้ำและใช้แรงทั้งหมดที่มีว่ายเข้าฝั่งอย่างรวดเร็ว!

ระหว่างที่ว่ายน้ำหนีเข้าฝั่งอยู่นั้น หลิงหยุนก็ได้ยินเสียงคล้ายคลื่นดังกระหึ่มอยู่ด้านหลัง เขาหันกลับไปมองในขณะที่มือก็ว่ายน้ำไปด้วย สิ่งที่เขาเห็นช่างน่าสะพรึงยิ่งนัก.. เจ้าปีศาจน้ำที่หลิงหยุนเพิ่งหนีออกมาจากปากมันนั้น กำลังถูกปีศาจน้ำที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไรบ้างอีกหลายตัว กำลังจู่โจมและรุมกัดอย่างบ้าคลั่ง!

“แย่แล้ว.. เจ้าปีศาจเปิดประทุนที่น่าสงสาร!” แม้หลิงหยุนจะตกใจอย่างมาก แต่เขาก็รู้ดีว่าในสถานการณ์แบบนี้เขาจะปลอดภัย เพราะเหล่าปีศาจน้ำที่กำลังกินเหยื่อจะไม่สนใจเขา

หลิงหยุนอยู่ห่างจากริมฝั่งแม่น้ำราวสามสิบเมตร แต่ก็ถูกกระแสน้ำพัดกลับเข้าไปอีก หลังจากพยายามอยู่นานในที่สุดหลิงหยุนก็สามารถว่ายกลับเข้าฝั่งได้ และรีบปีนขึ้นฝั่งอย่างรวดเร็ว

แม้เหตุการณ์ครั้งนี้จะดูเหมือนธรรมดาไม่อันตรายอะไรนัก แต่ความจริงแล้วหลิงหยุนกลับตื่นเต้นอย่างมาก หากไม่ใช่เพราะการตอบสนองและการตัดสินใจที่รวดเร็วของตัวเอง เขาคงไม่สามารถเอาชีวิตรอดจากปีศาจน้ำตัวแรกกลับมาได้แน่.. ไม่แน่ว่าตอนนี้เขาอาจจะตายอยู่กลางแม่น้ำไปแล้วก็ได้

“นั่นมันตัวอะไรกันแน่? ปลาฉลามงั้นหรือ? หรือว่าเป็นจระเข้? แต่มันก็ดูไม่เหมือนทั้งสองอย่าง…”

หลิงหยุนใช้มือเช็ดน้ำที่อยู่บนใบหน้าออก จ้องมองลงไปในน้ำที่มืดมิดพร้อมกับพึมพัมกับตัวเอง และรีบถอยหลังออกไปไกลราวสิบเมตร เพราะไม่รู้ว่าจะมีตัวอะไรพุ่งออกมาอีกหรือไม่?

หลิงหยุนรู้สึกหนาว และพบว่าร่างกายของเขาเปลือยเปล่าสวมเพียงกางเกงชั้นในตัวเดียว และรองเท้าผ้าใบที่เปียกโชกอีกหนึ่งคู่

“ครั้งนี้แหวนพื้นที่ช่วยข้าไว้ได้มากทีเดียว ไม่เช่นนั้นข้าคงต้องถูกฝังอยู่ในท้องของปีศาจน้ำที่น่ากลัวแน่.. คิดแล้วก็สยองจริงๆ!”

หลิงหยุนพูดไม่ผิด เพราะหากเขาไม่มีพู่กันจักรพรรดิ เขาก็คงไม่สามารถหนีออกมาจากปากของเจ้าปีศาจน้ำที่ดุร้ายนี้ได้

ลองจินตนาการดู หากไม่มีแหวนพื้นที่ ระหว่างที่เขาอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายและซักเสื้อผ้าที่เปื้อนเลือดอยู่นั้น เขาก็คงต้องวางพู่กันจักรพรรดิไว้ตามพื้น หากต้องเผชิญหน้ากับอันตรายกะทันหันอย่างเมื่อครู่ เขาคงต้องกลายเป็นศพไปแล้วอย่างแน่นอน

ในเมื่อชุดกีฬาเก่าของเขาตกลงไปในน้ำเรียบร้อยแล้ว เขาจึงต้องเรียกชุดกีฬาและรองเท้าผ้าใบคู่ใหม่ออกมาจากแหวนพื้นที่

“นี่หากข้าสามารถสร้างแหวนพื้นที่ที่ใหญ่กว่านี้ได้ในวันข้างหน้า ข้าจะเอารถแลนด์โรเวอร์เก็บในนั้น!”

หลิงหยุนคิดอย่างตื่นเต้นระหว่างที่กำลังสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ จากนั้นเขาก็เรียกยันต์อัคนีออกมา และโยนชึ้นกลางอากาศพร้อมกับร้องตะโกนว่า “ทำลาย!”

เมื่อเปลวไฟจากยันต์อัคนีพุ่งขึ้น หลิงหยุนก็กวาดสายตาสำรวจไปรอบๆบริเวณ

หลิงหยุนสังเกตุเห็นว่า ด้านล่างแม่น้ำนั้นมืดและแคบลง ดูเหมือนจะกว้างเพียงแปดสิบเมตร แต่น้ำกลับไหลเร็วกว่าเดิม และเมื่อมองขึ้นไปราวสิบเมตร เขาก็เห็นหินงอกหินย้อยเต็มกระจัดกระจายอยู่บางส่วน ซึ่งคาดว่าน่าจะเกิดขึ้นในยามที่มีน้ำขึ้น

จู่ๆ เจ้าขาวปุยก็เดินออกมายืนอยู่ข้างหลิงหยุน สายตาของมันมองหลิงหยุนด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

“ข้าไม่เป็นไร ข้าฆ่ามันตายแล้ว!” หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับอุ้มเจ้าขาวปุยขึ้นมา

เขาพยายามนึกหาตำแหน่งของหญ้าหยินที่อยู่ทางฝั่งเขาหยกด้านใต้ จากนั้นก็ยกมือขึ้นชี้ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้และพูดกับเจ้าขาวปุยว่า 3

“พวกเราไปทางนั้นกันดีกว่า!”

หลิงหยุนตัดสินใจเดินเข้าไปทางริมฝั่งแม่น้ำทางด้านใต้ที่มืดมิด ตามแผนที่หลิงหยุนวางไว้นั้น เขาต้องการเพียงแค่พลังหยินจากหญ้าหยินเท่านั้น เขาจึงมุ่งหน้าไปหาหญ้าหยินเพื่อฝึกบ่มเพาะให้เข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-4ตามที่ตั้งใจไว้

ค่ายกลมังกรหยินหยางนั้นอยู่ที่ดวงตาทั้งสองข้าง ดวงตาหยินอยู่ทางด้านเหนือของเขาหยกด้านใต้ ดังนั้นหญ้าหยินจึงต้องอยู่ตรงตำแหน่งนั้นด้วย

หลิงหยุนมุ่งหน้าไปทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของหลุมยักษ์แห่งนี้ และเดินตรงไปยังโขดหินที่ยื่นออกมาเป็นหน้าผา หลิงหยุนมองเข้าไปตามถ้ำที่อยู่ใต้โขดหิน

“ขาวปุย.. เจ้าลงมาจากถ้ำใหน?” หลิงหยุนก้มลงไปถามเจ้าขาวปุย

ขาวปุยเงยหน้าขึ้นมองหลิงหยุน จากนั้นวิ่งไปโผล่อยู่หน้าถ้ำหินตรงกลาง

“รอข้าด้วย..” หลิงหยุนใช้มังกรพรางร่างวิ่งตามไปและไปหยุดอยู่หน้าถ้ำหินตรงกลาง เห็นได้ชัดว่าถ้ำาหินแห่งนี้เป็นโพรงทะลุไปถึงรูที่เจ้าขาวปุยอาศัยอยู่ในหุบเขา

“ตามข้ามา!”

หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อย มือซ้ายจิกเข้าไปที่ก้อนหิน ส่วนมือขวากำพู่กันจักรพรรดิ จากนั้นก็ใช้พู่กันจักรพรรดิเจาะเป็นทางเพื่อปีนขึ้นไปที่ถ้ำหินอันที่สาม

ทันทีที่เข้าไปในถ้ำ ก็ไม่ต่างจากการเข้าไปที่ที่มีแต่ความมืดมิด แต่เนื่องจากด้านในไม่มีหมอก สายตาของหลิงหยุนจึงสามารถมองเห็นได้ชัดในระยะที่ไกลกว่าสิบเมตร จึงไม่เป็นอุปสรรคมากนักสำหรับเขา

ถ้ำหินแห่งนี้ค่อนข้างใหญ่โตแต่ก็ชื้นแฉะ มีน้ำซึมออกมาทุกที หลิงหยุนก้มตัวลงเล็กน้อย และเดินเข้าไปลึกราวหนึ่งร้อยเมตร หลังจากเข้าใกล้ค่ายกลมังกรหยินหยางแล้ว หลิงหยุนก็สัมผัสได้ถึงพลังหยินที่มีอยู่เพียงเล็กน้อย

“น่าจะถูกทางแล้ว!”

หลิงหยุนยิ้มอย่างมั่นใจ และรีบนำเจ้าขาวปุยให้เดินเร็วขึ้น และมองสำรวจไปรอบๆอย่างระมัดระวัง

พื้นที่ที่อยู่ภายใต้ค่ายกลมังกรหยินหยางนั้น แม้แต่จิตหยั่งรู้ของขั้นพลังชี่-9ยังไม่สามารถมองทะลุได้ ใครจะไปรู้ว่าจะมีปีศาจใดบ้างที่พลังหยินสามารถสร้างขึ้นมาได้บ้าง

ทั้งหลิงหยุนและเจ้าขาวปุยต่างก็ค่ยอๆเดินเข้าไปในความมืดที่ลึกขึ้น.. แล้วก็ลึกขึ้น.. จนไม่ได้ยินเสียงของน้ำไหลของแม่น้ำอีก นอกจากเสียงน้ำหยดต่อเนื่องภายในถ้ำแล้ว ก็มีเพียงเสียงฝีเท้าของหลิงหยุนและเจ้าขาวปุยเท่านั้น

ยิ่งเดินเข้าไปลึก ภายในถ้ำก็ยิ่งกว้างขึ้นเรื่อยๆ หลิงหยุนคำนวนระยะทางอยู่ในใจเงียบๆ และรู้สึกชื่นชอบสถานที่แห่งนี้ ด้านหน้าของหลิงหยุนมีถ้ำอยู่อีกสองแห่ง และในจุดนี้เป็นจุดที่พลังหยินค่อนข้างหนาแน่นจนหลิงหยุนสามารถที่จะดูดซับได้ หากหลิงหยุนต้องการจะเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-4ที่นี่เลยก็ย่อมทำได้ แต่อาจจะช้าหน่อยเท่านั้นเอง

แต่หลิงหยุนไม่ต้องการ เพราะพลังหยินตรงจุดนี้ไม่ดีเท่ากับพลังหยินจากหญ้าหยิน หากหลิงหยุนจะใช้พลังหยินเช่นนี้ในการเข้สู่ขั้นที่สูงขึ้น มันจะไม่ดีกว่าหรือที่จะไปใช้หญ้าหยินที่อยู่อีกไม่ไกลนัก!

หลิงหยุนไม่สนใจที่จะดูดซับพลังหยินจากที่นี่ เขาตัดสินใจจะเข้าไปในถ้ำหินที่เพิ่งพบ..

ถ้ำหินสามแห่ง ถ้ำแห่งแรกคือที่ที่เขาเข้ามานี้ หากยังเดินต่อไปก็จะยิ่งห่างไกลจากหญ้าหยิน..

ส่วนถ้ำหินสองแห่งที่ปรากฏอยู่ด้านหน้าของเขานั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นถ้ำที่ถูกขุดขึ้น และเป็นส่วนหนึ่งของค่ายกล ถ้ำทั้งสองแห่งนี้มีชื่อว่าประตูแห่งชีวิต และประตูแห่งความตาย

หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่ในใจเงียบๆ จากนั้นเขาก็ยกมือที่ถือพู่กันจักรพรรดิขึ้นมา และนิ้วของเขาก็ชี้ไปทางขวา..

“นี่เป็นประตูแห่งความตาย.. งั้นก็ต้องไปทางถ้ำหินนี่!”

จากนั้นหลิงหยุนก็แสยะยิ้ม และเดินตรงเข้าไปที่หน้าประตูแห่งความตาย!


บทที่ 313 : เส้นทางสายเลือด

ทันทีที่หลิงหยุนเดินเข้าไปถึงหน้าประตูแห่งความตาย เขาก็หยุดชะงักทันที และไม่ยอมเดินเข้าไปด้านใน

ด้านในประตูแห่งความตายนี้ต่างจากถ้ำหินที่เขายืนอยู่มาก ที่นี่กว้างขวางจนรถไฟสามารถวิ่งผ่านได้ แต่เส้นทางในประตูแห่งความตายนั้นคับแคบเพียงแค่คนสองคนเดินได้ และหลิงหยุนก็ต้องงอตัวเล็กน้อยเพื่อให้สามารถเดินเข้าไปได้

พลังหยินที่เข้มข้นมากขึ้นเรื่อยปกคลุมรอบตัวหลิงหยุน จนเขารู้สึกเย็นยะเยือกไปถึงแผ่นหลัง

พลังหยินในนี้นับว่ามีเหลือเฟือ แต่ในเรื่องของความบริสุทธิ์นั้น มันยังไม่บริสุทธิ์ในแบบที่หลิงหยุนต้องการ

เจ้าขาวปุยเป็นจิ้งจอกสวรรค์เก้าหาง มันจึงสามารถสัมผัสพลังหยินที่เข้มข้นนี้ได้ ขนสีขาวของมันตั้งชันขึ้นทั้งตัว และร่างกายก็เริ่มสั่นอย่างรุนแรง ดวงตาสองข้างของมันจ้องมองเข้าไปในถ้ำหิน สายตาของมันบ่งบอกว่าด้านในมีอันตรายแอบซ่อนอยู่

“ไม่ต้องกลัว! ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว ก็ต้องเข้าไป! ไม่เข้าถ้ำเสื้อจะได้ลูกเสือได้ยังไงเล่า?”

หลิงหยุนยังคงยับยั้งใจไม่ดูดซับเอาพลังหยินที่กำลังกระตุ้นเขาอยู่ในขณะนี้เข้าไป แล้วพูดพร้อมกับยิ้มให้กำลังใจเจ้าขาวปุย

“สู้ๆ”

เพียงแค่หลิงหยุนพูดขึ้นมาเท่านั้น เขาก็ได้ยินเหมือนเสียงนกกระพือปีกพรึบพรับอยู่ในถ้ำหินที่มืดมิดตรงหน้า หลิงหยุนรู้สึกประหลาดใจแต่ก็พูดออกไปว่า

“เข้าไปข้างในกันได้แล้ว!”

มือซ้ายของหลิงหยุนถือตะปู ส่วนมือขวากำพู่กันจักรพรรดิไว้แน่น เขาก้มหัวและเดินฝ่าความมืดเข้าไปอย่างช้าๆ ความเร็วที่หลิงหยุนใช้นั้นไม่ต่างจากที่คนธรรมดาเดินเท่านั้นเอง

ตั้งแต่หลิงหยุนลงมาถึงก้นหลุมยักษ์แห่งนี้ เขาก็พบกับงูเหลือมยักษ์ และปีศาจน้ำขนาดใหญ่ ตอนนี้เขามาถึงค่ายกลมังกรหยินหยาง และกำลังจะมุ่งหน้าไปยังตำแหน่งที่ตามังกรซึ่งเป็นบริเวณกักเก็บพลังหยินที่บริสุทธิ์อย่างมาก

แต่เดินไปข้างหน้าได้เพียงแค่สามสิบเมตรโดยไม่มีอันตรายอะไร ก็สิ้นสุดทางเดินของถ้ำหินแห่งนี้ และด้านหน้าหลิงหยุนในเวลานี้คือพื้นที่โล่งกว้าง..

หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่ในใจก่อนจะตัดสินใจเดินไปทางขวา และเจ้าขาวปุยก็วิ่งตามไปเช่นกัน

อุณหภูมิด้านในนี้ลดลงราวสิบองศา และพลังหยินก็ยิ่งเข้มข้นมากขึ้น หลิงหยุนสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าลึกเข้าข้างใน จะต้องมีบางอย่างที่อันตรายและมีพลังหยินเข้มข้นมากด้วย

หลิงหยุนเชื่อมั่นในสัญชาติญาณที่ว่องไวและแม่นยำของตนเองที่มีมาตั้งแต่เมื่อครั้งยังอยู่ในโลกบ่มเพาะ

“ตามข้ามา.. แล้วก็ระวังตัวด้วย!” หลิงหยุนหันไปพูดกับเจ้าขาวปุย

สุนัขจิ้งจอกนั้นนับว่าเป็นสัตว์ที่ระมัดระวังตัวที่สุดอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นที่หลิงหยุนจะต้องร้องเตือนมันแม้แต่น้อย เพราะตอนนี้เจ้าขาวปุยเองก็เดินตามติดหลิงหยุนไปอย่างใกล้ชิด

โชคดีที่สายตาของหลิงหยุนในเวลานี้ได้ปรับเข้ากับความมืดได้เป็นอย่างดีแล้ว เขาจึงสามารถมองเห็นได้ระยะเจ็ดถึงแปดเมตรได้อย่างชัดเจน แต่หากในระยะที่ไกลเป็นสิบเมตรก็จะไม่ชัดเจนนัก

ในเวลานี้.. อุณหภูมิภายในถ้านี้ได้ลดลงเหลือเพียงแค่สิบกว่าองศาเท่านั้น แต่หินภายในถ้ำกลับเย็นและแห้ง แทนที่จะเปียกชื้นเหมือนด้านนอก อีกทั้งภายในยังเงียบสงัดจนน่าขนหัวลุก

ท่ามกลางความมืดและความเงียบ หลิงหยุนและเจ้าขาวปุยเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง..

ด้านในถ้ำหินกลับค่อยๆกว้างขึ้น และเพดานถ้ำก็สูงขึ้นเรื่อยๆ เดินเข้าไปอีกไม่ไกลนัก เมื่อหลิงหยุนเงยหน้าขึ้นสำรวจ เขาก็มองไม่เห็นเพดานถ้ำอีกแล้ว

“…..”

แต่สิ่งที่หลิงหยุนสังเกตุเห็นกลับเป็นเงาดำสิบกว่าเงาบินไปมาอยู่กลางอากาศ และมีซากหนูขนาดใหญ่ที่ตกอยู่บนพื้น

กลิ่นคาวเลือดจางๆลอยเข้ากระทบจมูกของหลิงหยุน คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย และรีบเดินไปอยู่ข้างผนังถ้ำ เจ้าขาวปุยไม่รอช้ารีบวิ่งตามไปด้วยทันที

“บนเพดานถ้ำต้องมีอะไรอยู่อย่างแน่นอน เจ้าเดินตามข้ามา เราจะเดินเลาะไปข้างๆแบบนี้ เร็วๆเข้า!”

หลิงหยุนกระซิบบอกเจ้าขาวปุยเสียงเบา เขาต้องการมุ่งหน้าไปยังตามังกรที่กักเก็บพลังหยินเท่านั้น ไม่ได้ต้องการกระตุ้นสัตว์ประหลาดที่นี่ให้ตื่นตกใจ

พูดจบ.. หลิงหยุนก็ใช้เท้าทองคำหมื่นลี้กระโดดออกไปข้างหน้าไกลถึงสิบเมตร ส่วนเจ้าขาวปุยก็รวดเร็วราวสายฟ้าไม่แพ้หลิงหยุน มันกระโจนตามเขาไปได้ติดๆ

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง หลิงหยุนก็มองเห็นกองกระดูกอยู่ในถ้ำหินเต็มไปหมด มันเป็นกองกระดูกของสัตว์ต่างๆมากมาย แต่โชคดีที่เขาไม่พบกระดูกมนุษย์

หลังจากที่หลิงหยุนวิ่งออกไปไกลหลายสิบเมตร  เขาและเจ้าขาวปุยกลับไม่ถูกนกเหล่านั้นโจมตี แต่ในขณะที่หลิงหยุนหยุดเพื่อจะหันกลับไปมองสิ่งที่อยู่ด้านหลัง เขาก็ได้ยินเสียงกระพือปีกดังกระหึ่มอยู่เต็มถ้ำ สีหน้าของหลิงหยุนเปลี่ยนไปทันทีพร้อมกับร้องเรียกเจ้าขาวปุย “ขาวปุย!”

ทันทีที่หลิงหยุนรู้สึกตัว เขาก็เห็นเงาสีดำพุ่งลงมาเป็นเส้นราวกับดาบ เขายกมือขึ้นซัดตะปูออกไป และมันก็ร่วงตกลงไปบนพื้น มันไม่ใช่นก แต่เป็นค้างคาวน้ำตาลเข้ม

ค้างคาวสีน้ำตาลเข้มนอนตายกองอยู่กับพื้น ปีกและลำตัวของมันมีขนาดเท่ากับกลีบดอกไม้ หลิงหยุนรู้ทันทีว่ามันคือค้างคาวดูดเลือด!

ค้างคาวชนิดนี้มักจะอาศัยรวมกันเป็นกลุ่มอยู่ในถ้ำมืด ปากของมันจะยาวกว่าค้างคาวปกติ มันไม่เพียงดูดเลือดแต่ยังกินเนื้อเป็นอาหาร พวกมันจะรุมทึ้งเหยื่อกันเป็นกลุ่มอย่างน่าสยดสยอง

“ข้ากลัวจะต้องเผชิญหน้ากับสัตว์พวกนี้ที่สุด แต่ในที่สุดก็เจอจนได้!”

สิ่งที่หลิงหยุนกังวลที่สุดนั้น.. ในที่สุดก็เกิดขึ้นจนได้!

หลิงหยุนเห็นค้างคาวจำนวนมากค่อยๆบินต่ำลงมาเป็นเงาทะมึนขนาดใหญ่ เขาซัดตะปูออกไป และรีบใช้มังกรพรางร่างวิ่งหนีออกไปไกลราวยี่สิบเมตร!

การฆ่าสัตว์เหล่านี้เป็นเรื่องที่ง่ายมาก แต่ปัญหาคือจำนวนที่มากมายของมันซึ่งอาจจะหลายพันตัว และหลิงหยุนเองก็ไม่รู้ว่ามันจะมีจำนวนมากแค่ใหนกันแน่ หากเขาเลือกที่จะฆ่ามันทั้งหมด ก็อาจจะสูญเสียพลังชีวิตไปโดยใช่เหตุ เพราะหากฆ่าพวกมันไม่หมด ในที่สุดเขาก็อาจตายอย่างน่าสยดสยองก็เป็นได้!

“ขาวปุย.. เจ้าเกาะข้าไว้ให้แน่น!”

หลิงหยุนร้องบอกพร้อมกับซัดตะปูออกไป เขาเรียกยันต์อัคนีออกมา และไม่สนใจกับสิ่งที่อยู่ด้านหลังอีก จากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว!

ค้างคาวดูดเลือดจำนวนมากที่บินวนอยู่กลางอากาศราวกับตาข่ายสีดำขนาดใหญ่จนเกือบจะเต็มเพดานถ้ำ ต่างก็บินตามหลิงหยุนและเจ้าขาวปุยที่กำลังวิ่งไปข้างหน้าเช่นกัน!

ตอนนี้.. ยันต์อัคนีที่อยู่ในมือของหลิงหยุนเจ็ดแปดแผ่น ได้ถูกซัดออกไปจนกลายเป็นลูกไฟขนาดเท่าลูกบาสเก็ตบอล และได้เผาค้างคาวดูดเลือดที่อยู่กลางอากาศจนเสียงเปรี๊ยะๆ ซึ่งเป็นเสียงที่เกิดจากไฟไหม้เนื้อดังขึ้นไม่หยุด!

แต่จำนวนของค้างคาวดูดเลือดนั้นมีจำนวนมากมายเหลือเกิน หลิงหยุนจึงซัดยันต์อัคนีออกไปอีกสองสามแผ่น แต่ก็ซัดออกไปได้ไกลเพียงแค่สองร้อยเมตรเท่านั้น

“ชิ้ว…” หลิงหยุนโบกมือไล่ค้างคาวดูดเลือดที่อยู่บนร่างของเจ้าขาวปุยออกไป จากนั้นก็พากันวิ่งต่อ

ยันต์อัคนีเมื่อครู่ทำให้หลิงหยุนมองเห็นสภาพแวดล้อมในถ้ำได้ชัดขึ้น เขาพบว่าสูงขึ้นไปราวสามสิบเมตร เพดานถ้ำที่โค้งงอและมีขนาดเท่าสนามฟุตบอลนั้น มีค้างคาวสีน้ำตาลเข้มจำนวนนับไม่ถ้วนเกาะอยู่

และตอนนี้พวกมันก็อยู่กลางถ้ำ!

หลิงหยุนรู้ว่าเขาและเจ้าขาวปุยนั้นเข้าใกล้กับดวงตามังกรมากแล้ว เขาจึงหยิบยันต์อัคนีออกมาซัดใส่อีกราวสิบกว่าแผ่น ทำให้ค้างคาวดูดเลือดที่อยู่ตรงหน้านั้นถูกเผาจนหมด

“ข้างหน้ามีประตู ตามข้ามาเร็วเข้า!”

หลิงหยุนยกมือขึ้นชี้ไปทางประตูหินที่อยู่ด้านหน้าไกลๆ จากนั้นก็เอื้อมมือซ้ายออกไปอุ้มร่างของเจ้าขาวปุยขึ้นมา มือขวากำพู่กันจักรพรรดิไว้นแน่น และวิ่งตรงไปที่ประตูหินสีดำ!

“นี่มันเลือดจริงๆ!”

แม้จะอยู่ห่างจากประตูหินเพียงแค่สองร้อยเมตร แต่หลิงหยุนก็ไม่รู้ว่าจะหลบเลือดค้างคาวที่หยดลงมาได้อย่างไร!

เขาวิ่งไปพร้อมกับใช้พู่กันจักรพรรดิในมือฟาดฟันกับค้างคาวดูดเลือดทั้งที่บินอยู่ด้านบนและด้านหลังของเขาอย่างน่าสยดสยอง!

หลิงหยุนใช้เวลาราวห้านาทีกว่าที่จะวิ่งไปถึงที่หน้าประตูหิน เมื่อไปถึงเขาก็ยกเท้าขึ้นถีบประตูหินจนสุดแรง แต่ประตูหินกลับนิ่งไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย!

หลิงหยุนวางเจ้าขาวปุยลงที่พื้น ก่อนที่จะใช้ร่างของตนเองวิ่งชนประตู แล้วก็หันกลับมาซัดยันต์อัคนีใส่กลุ่มค้างคาวที่ด้านหลังอีก ลูกไฟสิบกว่าลูกลุกโชนและเผาค้างคาวดูดเลือดจนไหม้เกรียมทันที!

หลิงหยุนอาศัยจังหวะที่เป็นฝ่ายได้เปรียบนี้ รีบสำรวจประตูหินที่อยู่ตรงหน้าทันที แต่โชคร้ายที่ด้านข้างของประตูกลับมีค้างคาวดูดเลือดเกาะอยู่มากมาย ทำให้หลิงหยุนไม่สามารถหาที่เปิดได้!

หางสองหางของเจ้าขาวปุยส่ายสะบัดไปมาอย่างแรงเพื่อปัดค้างคาวที่บินเข้ามาหามันและหลิงหยุน แต่ค้างคาวดูดเลือดมีจำนวนมาก ร่างของค้างคาวตรงหน้าจึงกองโตเกือบเท่าภูเขา

หลิงหยุนสะบัดพู่กันจักรพรรดิในมือ พร้อมกับมือซ้ายก็เรียกยันต์อัคนีออกมาอีกสองสามแผ่นโยนไปที่ข้างประตูหิน หลิงหยุนจ้องมองไปที่แสงไฟ และสังเกตุเห็นปุ่มหินสองปุ่ม!

“เอาล่ะ.. เข้าด้านในกันได้แล้ว!” หลิงหยุนพูดพร้อมกับฟาดฝ่ามือลงไปบนปุ่มหิน แล้วเขาก็ได้ยินเสียงเอี๊ยดดังขึ้น มันคือเสียงของประตูหิน!

ในเวลานี้ต่อให้ด้านหลังประตูหินเป็นทะเลมีดหรือภูเขาเพลิง หลิงหยุนก็จะเข้าไป เพราะอย่างน้อยก็ยังดีกว่าเจ้าค้างคาวดูดเลือดพวกนี้!

“ขาวปุย.. เข้าไปด้านในกันเร็วเข้า!”

หลิงหยุนยกมือขึ้นปัดค้างคาวดูดเลือดจำนวนมากที่ต้องการจะบินเข้าไปในประตู ทันทีที่เจ้าขาวปุยวิ่งเข้าไป หลิงหยุนก็รีบมองไปที่ประตูเพื่อหาปุ่มอีกหนึ่งปุ่ม!

ในระหว่างนั้นเอง ค้างคาวดูดเลือดเป็นร้อยๆตัวก็ได้บินเข้าไปในประตูแล้วเช่นกัน หลิงหยุนรีบกดปุ่มหินที่อยู่บนประตูทันที

จากนั้นก็เรียกยันต์อัคนีออกมาอีกครั้ง พร้อมกับใช้วิชาซัดฝนเข็มซัดทั้งยันต์ ตะปู และเข็มจำนวนมากใส่ค้างคาวที่เหลือ หลิงหยุนอาศัยจังหวะที่ยันต์อัคนีทำงาน สังเกตุภายในห้องที่อยู่หลังประตูหิน

“น่าขยะแขยงที่สุด!” ตอนนี้ร่างกายของหลิงหยุนเต็มไปด้วยเลือดที่เหม็นคาวของค้างคาว แต่เพราะเขาได้โคจรดารกะดายันไปจนทั่วร่างกายแล้ว เขาจึงไม่ได้รับอันตรายอะไร มีเพียงชุดเสื้อกีฬาของเขาเท่านั้นที่ชุ่มไปด้วยเลือด

หลิงหยุนถอดเสื้อผ้าและรองเท้าผ้าใบที่เปื้อนเลือดออก จากนั้นก็เรียกน้ำแร่ออกมาจากแหวนพื้นที่และทำการอาบล้างตัว แล้วจึงใส่ชุดกีฬาชุดสุดท้ายที่เขาเตรียมมาด้วย

หลิงหยุนนึกเสียดายที่ไม่ได้ปลุกเสกยันต์ธารามาด้วย..

หลิงหยุนถามเจ้าขาวปุยว่ามันได้รับบาดเจ็บหรือไม่? เมื่อเห็นเจ้าขาวปุยส่ายหน้าในความมืด และเมื่อเห็นว่ามันไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร หลิงหยุนจึงรู้สึกโล่งอก!

หลังจากผ่านมาจนถึงตอนนี้ หลิงหยุนได้ใช้พลังชีวิตหมดไปถึงเจ็ดสิบหรือแปดสิบเปอร์เซ็นต์ เขาจึงเรียกยันต์ขุมพลังออกมา และจัดการเพิ่มพลังชีวิตให้กับตัวเองจนเต็มอีกครั้ง จากนั้นก็ก้าวไปยืนอยู่กลางห้อง..

ภายในห้องมีโลงศพขนาดยักษ์ตั้งอยู่!


บทที่ 314 : กระบี่มังกรดำ และกระบี่มังกรขาว

ห้องหินแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยฝีมือมนุษย์ มันเป็นห้องสี่เหลี่ยมจตุรัสที่มีขนาดเก้าคูณเก้าเมตร รวมพื้นที่ทั้งหมดก็ราวแปดสิบเอ็ดตารางเมตร ทั้งเยือกเย็นและดูลึกลับ

ภายในห้อง..  นอกจากโลงศพขนาดใหญ่แล้ว ก็ไม่มีสิ่งอื่นอยู่อีกเลย โลงศพขนาดใหญ่ใบนี้ทำจากทองแดงสัมฤทธิ์ ยาวหกเมตร กว้างสี่เมตร สูงสองเมตร และตั้งขวางตระหง่านอยู่กลางห้อง หัวท้ายชี้ไปทางตะวันออกและตะวันตก

‘เหตุใดกลิ่นไอหยินชั่วร้ายจึงรุนแรงเพียงนี้ อย่าบอกนะว่าในโลงศพสัมฤทธิ์นี่มีผีดิบอยู่ข้างใน?’ หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่ในใจเงียบๆ และลังเลว่าจะเปิดดีหรือไม่เปิดดี?!

ห้องหินลึกลับแห่งนี้ใกล้กับดวงตามังกรมาก จากที่หลิงหยุนสังเกตุรอบๆถ้ำหินก่อนหน้านี้ไม่กี่นาที นอกจากประตูหินบานนี้แล้ว ก็ไม่มีประตูหรือถ้ำอื่นอีกเลย หากหลิงหยุนจะหันหลังกลับเข้าไปในถ้ำนั่นอีกครั้ง ก็ต้องเผชิญกับการโจมตีจากค้างคาวดูดเลือดอย่างรุนแรงจนอาจถึงชีวิตได้ตลอดเวลา

ดังนั้น หลิงหยุนจึงเลือกที่จะวิ่งเข้าไปในห้องแทน หลังจากที่ใช้ยันต์ขุมพลังเพิ่มพลังชีวิตที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดให้กับตัวเองจนเต็มแล้ว เขาก็เริ่มคิดวางแผนต่อ

ในเมื่อเข้ามาพบโลงศพใหญ่มหึมาขนาดนี้ หลิงหยุนก็เริ่มอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันที และด้วยลักษณะนิสัยของเขา หากไม่เปิดโลงศพออกดู เขาคงต้องรู้สึกเสียดายอย่างมากแน่

‘ในหุบเขาที่เต็มไปด้วยสมบัติมากมายเช่นนี้ จะให้ข้ากลับไปมือเปล่างั้นรึ? นั่นไม่ใช่นิสัยของข้า!’ หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมมือออกไปเปิดฝาโลง!

หลิงหยุนเคยพบเห็นคนตายและโครงกระดูกมาแล้วมากมายจนนับไม่ถ้วน อีกทั้งตอนนี้ในมือของเขาก็ถือพู่กันจักรพรรดิอยู่ ต่อให้มีผีดิบอยู่จริงเขาก็ไม่กลัว เพราะเขาสามารถใช้พู่กันจักรพรรดิด้ามนี้ฆ่ามันตายได้อย่างง่ายดาย และหากสู้กันตัวต่อตัวเขาก็ยิ่งไม่กลัวใหญ่..

หลิงหยุนเอื้อมมือออกไปข้างหนึ่งเพื่อทำการเปิดฝาโลง แต่กลับพบว่าฝาโลงที่ทำจากทองแดงสัมฤทธิ์นั้นหนักมาก และไม่สามารถเปิดออกได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว เรียกว่าไม่ขยับเลยแม้แต่น้อยมากกว่า!

“หนักมากจริงๆ!” หลิงหยุนขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นจึงเอื้อมมือสองข้างออกไปเปิดฝาโลงอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้ฝาโลงขยับเขยื้อนได้แม้แต่น้อย

นั่นเพราะฝาโลงใบนี้มีขนาดใหญ่ถึงยี่สิบสี่ตารางเมตร และหนากว่าสิบเซ็นติเมตร อีกทั้งยังทำจากทองแดงสัมฤทธิ์ที่หนักหลายตัน จึงเป็นไปไม่ได้ที่หลิงหยุนจะเปิดมันออกได้อย่างง่ายดายแม้ว่าจะอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นปรับร่างกาย-3ก็ตาม..

“หู้ว!!!….” หลิงหยุนพ่นลมหายใจออกพร้อมกับสูดลมหายใจกลับเข้าไปอีกครั้ง ก่อนจะออกแรงดันฝาโลงศพไปด้านข้างอย่างสุดกำลัง!

ฝาโลงศพที่หนาและหนักเคลื่อนออกเล็กน้อย และมีแสงสว่างเปล่งประกายออกมาจากช่องว่างนั้น

‘ข้างในมีสมบัติล้ำค่าจริงๆด้วย!’

หลิงหยุนตื่นเต้นดีใจอย่างมาก แต่เพราะกำลังของเขามีจำกัด จึงสามารถขยับฝาโลงให้เลื่อนออกได้เพียงแค่ครึ่งเมตร แต่ช่องว่างเพียงแค่นั้น ก็ทำให้หลิงหยุนสามารถมองเห็นด้านในได้อย่างชัดเจน!

“ฮ่า..  ฮ่า.. หรือว่าจะเป็นไข่มุราตรีในตำนาน!”

ภายในโลงศพทองแดงสัมฤทธิ์ขนาดใหญ่นี้ หลิงหยุนสังเกตุเห็นไข่มุกราตรีกว่าร้อยเม็ดที่มีขนาดเท่าเม็ดลำใยหรือใหญ่กว่านั้น เปล่งประกายแวววาวไปทั่วทั้งโลงศพ

“ใช่แล้ว..! มันคือไข่มุกราตรีที่ผู้คนต่างต้องการ ช่างคุ้มค่าจริงๆ!” หลิงหยุนพึมพำยิ้มๆพร้อมกับกวาดสายตาสำรวจภายในโลงศพอย่างละเอียด

ตรงกลางของโลงศพใบใหญ่นี้ มีโลงศพทองแดงสัมฤทธิ์ยาวสองเมตร กว้างและสูงหนึ่งเมตรวางอยู่ ภายนอกถูกแกะสลักเป็นรูปนก รูปปลา และรูปดอกไม้ไว้อย่างวิจิตรตระการตา ท่ามกลางประกายไข่มุกราตรีระยิบระยับ ทำให้มันดูดราวกับมีชีวิต..

ทางด้านซ้ายและขวาของโลงศพขนาดสองเมตรนี้ มีกล่องไม้สี่เหลี่ยมยาวกว่าหนึ่งเมตรวางอยู่ หลิงหยุนสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตนุ่มนวลที่แผ่กระจายออกมาจากกล่องไม้ทั้งสอง

ทันทีที่สัมผัสได้ถึงพลังชีวิต หลิงหยุนรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก หลิงหยุนรีบกระโดดลงไปในโลงศพขนาดใหญ่ทันที..

สายตาของหลิงหยุนจับจ้องอยู่ที่ไข่มุกราตรี จากนั้นจึงเอื้อมสัมผัสไปกล่องไม้ทั้งสองที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะใช้มือขวาเปิดกล่องไม้ที่อยู่ด้านขวาของโลงศพออก และพบว่าสิ่งที่อยู่ด้านในนั้นคือกระบี่!

หลิงหยุนดีอกดีใจอย่างมาก เขารีบหยิบกระบี่เล่มนั้นขึ้นมา และพบว่าน้ำหนักของมันนั้นเกือบสี่สิบกิโลกรัมเลยทีเดียว!

หลิงหยุนสำรวจกระบี่ในมืออย่างละเอียด จึงได้เห็นว่าฝักของกระบี่เล่มนี้ถูกสลักเป็นรูปมังกรสีดำที่ดูเหมือนมีชีวิตมาก และไม่ว่าใครที่ได้พบเห็นก็จะต้องรู้สึกประทับใจอย่างแน่นอน

หลิงหยุนพยักหน้าอย่างพอใจก่อนจะดึงกระบี่ออกมาจากฝัก!

กระบี่เล่มนี้ยาวหนึ่งเมตร และกว้างเท่าฝ่ามือผู้ใหญ่ ปลายดาบคมกริบ แม้รูปร่างของมันจะดูเรียบง่าย แต่ใบมีดของมันกลับเป็นสีดำสนิท!

ด้ามกระบี่สลักเป็นลวดลายของเกล็ดมังกรอย่างสวยงาม ใบมีดเป็นสีดำเงานั้นยังคงมีคราบหยดเลือดติดอยู่ ให้ความรู้สึกที่เย็นยะเยือก และรังสีของนักฆ่าที่เลือดเย็น

หลิงหยุนมองอย่างมีความสุขพร้อมกับอุทานออกมาว่า “ช่างเป็นดาบที่ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!”

หลิงหยุนไม่สนใจกล่องไม้ใส่ดาบ เขาถือดาบกระโจนเข้าสู่กำแพงพร้อมกับจ้วงแทงดาบลงไปบนผนังห้องที่เป็นหิน เสียงใบมีดของกระบี่กระทบเข้ากับก้อนหินดังสนั่น

เช้ง!! ดาบโลหะที่มีใบมีดสีดำแทงทะลุกำแพงหินที่แข็งแกร่งจนมิดด้ามได้อย่างง่ายดาย ราวกับแทงลงไปบนเต้าหู้ที่อ่อนนุ่ม

“ฮ่า.. ฮ่า.. ตัดเหล็กได้ไม่ต่างจากตัดดินตัดโคลน! ช่างเป็นดาบที่ล้ำค่านัก! มาเป็นของข้าเถิด!”

“ในเมื่อเจ้ามีลายเกล็ดมังกรสีดำ ข้าจะตั้งชื่อให้เจ้าว่าดาบมังกรดำก็แล้วกัน!” พูดจบหลิงหยุนก็หัวเราะพร้อมกับเรียกดาบมังกรดำเข้าไปเก็บไว้ในแหวนพื้นที่ทันที

จากนั้นก็กระโดดกลับเข้าไปในโลงศพสัมฤทธิ์ใบใหญ่อีกครั้ง..

ภายในกล่องไม้อีกกล่องที่วางอยู่ด้านซ้ายของโลงศพขนาดเล็กนั้น ก็คือกระบี่อีกเช่นกัน กระบี่เล่มนี้ยาวสามฟุต และกว้างขนาดเท่าสองนิ้วมือ สลักเป็นลวดลายมังกรที่อ่อนช้อย แต่ใบมีดกลับเป็นสีขาวหิมะ และเป็นประกายแพรวพราวภายใต้แสงของมุกราตรี

‘น่าเสียดายที่กระบี่เล่มนี้ไม่มีฝัก’ หลิงหยุนคิดในขณะที่ถือดาบไว้ในมือ และเขาก็พบว่าน้ำหนักของกระบี่เล่มนี้เบามาก กระบี่โค้งเล็กน้อยและปลายกระบี่อ่อนนุ่มจนสั่นไปมา

“นี่มันคือกระบี่โค้ง! ช่างเหมาะกับวิชากระบี่ล่องหนของข้ามากเลยทีเดียว!”

หลิงหยุนร้องออกมาอย่างดีใจ เขามองกระบี่ที่นุ่มนวลนี้สะบัดไปมาอยู่กลางอากาศราวกับมังกรสีเงินที่กำลังร่ายรำ

“เอาล่ะ.. ข้าจะตั้งชื่อให้เจ้าว่ากระบี่มังกรขาว!”

หลิงหยุนอดคิดไม่ได้ว่า ครั้งนี้ช่างคุ้มค่านัก! และเขาจะได้ให้พู่กันจักรพรรดิได้หยุดพักบ้าง พู่กันจักรพรรดินั้นมีความยาวเพียงแค่หนึ่งฟุต แม้ว่าจะเป็นอาวุธที่ดีที่สุด แต่ก็เป็นที่สะดุดตาสำหรับผู้ที่ได้พบเห็นจนเกินไป

“ตอนนี้เจ้าค้างคาวดูดเลือดพวกนั้นก็ไม่มีทางทำอะไรข้าได้แน่? มีกระบี่มังกรดำ และกระบี่มังกรขาว รับรองไม่มีตัวใหนเข้าใกล้ข้าได้แน่!”

หลิงหยุนมองไข่มุกราตรีที่อยู่ตรงหน้า จากนั้นก็เดินเข้าไปใกล้กับโลงศพเล็กพร้อมกับพูดขึ้นว่า

 “ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใครก็ตาม  ข้าจะไม่เคลื่อนย้ายร่างของเจ้า มุกราตรีพวกนี้หากทิ้งไว้ที่นี่คงจะไม่มีประโยชน์อะไร ข้าจะนำมันไปด้วย!”

หลังจากที่พูดกับซากศพในโลงแล้ว หลิงหยุนก็จัดการเรียกมุกราตรีทั้งเก้าสิบเก้าเม็ดเข้าไปเก็บไว้ในแหวนพื้นที่ของตัวเอง และเหลือไว้ที่มือเพียงหนึ่งเม็ดเพื่อเป็นแสงสว่างนำทาง แล้วจึงกระโดดออกมาจากโลงศพขนาดใหญ่

ปรากฏว่าไม่มีผีดิบกระโดดตามออกมาสร้างปัญหาให้กับหลิงหยุน เขาสามารถนำกระบี่มังกรดำ และกระบี่มังกรขาวออกมาได้อย่างปลอดภัย อีกทั้งยังได้ไข่มุกราตรีมาอีกเก้าสิบเก้าเม็ด จากนั้นหลิงหยุนก็จัดการปิดฝาโลงสัมฤทธิ์กลับไปเหมือนเดิม

หลังจากเสร็จสิ้นทุกอย่างแล้ว หลิงหยุนก็ถือไข่มุกราตรีเดิรสำรวจไปรอบๆห้องอย่างระมัดระวัง และเมื่อไม่พบประตูลับหรือทางออกอื่น เขาก็ล้มเลิก!

ดูเหมือนว่าห้องนี้จะเป็นห้องปิดตาย ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเจ้าของสุสานจึงฝังตัวเองอยู่ในสถานที่แบบนี้ แต่อย่างน้อยผู้ที่เป็นเจ้าของดาบทั้งสองเล่มนี้ จะต้องเป็นยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนเป็นอย่างต่ำ ถึงจะสามารถขุดถ้ำลักษณะนี้ได้

“ขาวปุย.. ดูเหมือนเราต้องออกไปฆ่าค้างคาวดูดเลือดกันอีกแล้ว เราต้องออกไปที่ถ้ำเมื่อครู่อีกครั้ง!”

เจ้าขาวปุยสัมผัสได้ถึงความสุขที่หลิงหยุนมี มันรีบพยักหน้าพร้อมกับส่ายหางสองหางไปมา และดูเหมือนจะมีรอยยิ้มบนใบหน้าอีกด้วย

หลิงหยุนพูดยิ้มๆว่า “ครั้งนี้รับรองว่าค้างคาวดูดเลือดพวกนั้นทำอะไรพวกเราไม่ได้แน่! ไปดูกันว่าข้าจะฆ่าพวกมันยังไง?”

จากนั้น หลิงหยุนก็เก็บไข่มุกราตรีหนึ่งเม็ดที่ถืออยู่ลงไปในกระเป๋าเสื้อ เพื่อเป็นแสงสว่างในระยะใกล้ จากนั้นเขาก็สะบัดมือข้างซ้ายเรียกกระบี่มังกรดำ และกระบี่มังกรขาวออกมา แล้วหันไปบอกเจ้าขาวปุยยิ้มๆ

“เจ้าเดินตามข้ามา เราคงต้องฆ่าค้างคาวไปตลอดทางแน่!”

และด้วยกระบี่ในมือ หลิงหยุนก็พร้อมที่จะออกไปฟาดฟันกับค้างคาวดูดเลือดเหล่านั้นแล้ว แต่ในขณะที่เขากำลังจะกดปุ่มหินบนประตูนั้น เขาก็ได้ยินเสียงดังอยู่ด้านนอก เป็นเสียงกรีดร้องของคน และตามด้วยเสียงปืน

“มีคนมาที่นี่!” หลิงหยุนหยุดนิ่งทันที

เสียงฝีเท้าที่อยู่ด้านนอกนั้นทั้งวุ่นวาย และบางครั้งก็มีเสียงกรีดร้อง ผสมกับเสียงปืนที่ดุเดือด และเมื่อคนพวกนั้นหยุดเดิน ก็จะตามมาด้วยเสียงกรีดร้องทันที มีแต่เสียงกรีดร้องเต็มไปหมด!

“รับรองว่าตายไม่เหลือแน่!” หลิงหยุนส่ายหน้าเงียบๆ และเขาเองก็ไม่คิดที่จะออกไปช่วย

ที่นี่เป็นก้นหลุมยุบขนาดใหญ่ หากจะลงมาที่นี่ ก็ต้องยอมรับระหว่างความเป็นกับความตายได้ หลิงหยุนไม่มีความจำเป็นต้องปกป้องคนพวกนั้น

“เอาล่ะ..” หลิงหยุนกดปุ่มหินพร้อมกับเปิดประตู และรีบวิ่งออกไปด้านนอกพร้อมเจ้าขาวปุย!


บทที่ 315 : ฝึกวิชาพลังลับหยินหยาง

หลิงหยุนรีบวิ่งออกมาจากประตูหิน สองมือกวัดแกว่งกระบี่มังกรดำและกระบี่มังกรขาวไปมาอย่างรวดเร็ว กระบี่ทั้งสองด้ามฟาดฟันฟันใส่ร่างของค้างคาวดูดเลือดที่พุ่งเข้ามาตัวแล้วตัวเล่าจนร่วงลงไปกับพื้นราวกับห่าฝน และในเวลานี้ตรงหน้าของหลิงหยุนก็ปรากฏกองก้อนเนื้อสีดำกองใหญ่

ดาบสองข้างที่กวัดแกว่งอยู่ในมือของหลิงหยุนนั้น อย่าว่าแต่ค้างคาวดูดเลือดเลย แม้แต่ยุงก็ยังไม่สามารถผ่านบินเข้าไปได้แม้แต่ตัวเดียว!

แสงของไข่มุกราตรีในกระเป๋าเสื้อของหลิงหยุนนั้น ช่วยให้เขามองเห็นสถานการณ์รอบๆตัวได้ชัดขึ้น ห่างจากที่หลิงหยุนยืนอยู่นั้น มีร่างที่ไร้ลมหายใจนอนเกลื่อนกลาดอยู่ราวห้าหรือหกร่าง และทุกร่างต่างก็ถูกค้างคาวดูดเลือดรุมทึ้งจนเป็นเป็นเหมือนเงาดำทะมัน และเพียงไม่นานพวกมันก็กัดกินเนื้อหนังจนหมด เหลือทิ้งไว้เพียงแค่โครงกระดูกเท่านั้น

หลิงหยุนส่ายหน้าพร้อมกับร้องเรียกเจ้าขาวปุยที่อยู่ในห้องให้ตามออกมา จากนั้นก็ยกเท้าของเขาขึ้นถีบไปข้างหลัง และขาซ้ายของเขาเตะโดนปุ่มหินอย่างแม่นยำราวกับมีตาหลัง และประตูหินก็ปิดกลับไปเช่นเดิม

ถัดจากถ้ำแห่งนี้ไปราวยี่สิบเมตร ยังมีถ้ำอยู่อีกแห่งหนึ่ง หลิงหยุนกวัดแกว่งดาบในมือพร้อมกับมุ่งหน้าไปยังถ้ำหินนั้น ค้างคาวดูดเลือดต่างพากันบินกรูตามหลิงหยุนออกไป และเพียงไม่นานก็มาถึงหน้าถ้ำ

ค้างคาวดูดเลือดยังคงบินไล่ตามหลิงหยุนไปไม่หยุดหย่อน ส่วนหลิงหยุนเองก็จัดการฆ่าพวกมันทิ้งอย่างไม่ปราณีเช่นกัน ระหว่างนั้นสายตาของเขาก็แอบสำรวจภายในถ้ำไปด้วย

ทางเข้าของถ้ำแห่งนี้ค่อนข้างใหญ่ แต่ยิ่งลึกเข้าไปทางเดินกลับยิ่งแคบลงเรื่อยๆ และเมื่อหลิงหยุนเข้าไปด้านในได้เพียงร้อยก้าว ค้างคาวดูดเลือดที่บินตามมา ต่างก็พากันบินกลับออกไป และไม่ตามหลิงหยุนเข้าไปด้านในแม้แต่ตัวเดียว

หลิงหยุนหยุดและหันกลับไปมอง เขาคิดว่าน่าจะเข้าใกล้ดวงตามังกรซึ่งเป็นบริเวณกักเก็บพลังหยินมากแล้วจริงๆ เพราะแม้แต่ค้างคาวดูดเลือดพวกนั้นยังไม่กล้าที่จะบินตามเข้าไป

หลิงหยุนยกกระบี่มังกรดำ และกระบี่มังกรขาวขึ้นดู ปรากฏว่ากระบี่ทั้งสองเล่มยังคงเป็นสีดำและสีขาวเช่นเดิม ไม่มีแม้แต่ร่องรอยของคราบเลือดจากค้างคาวที่ถูกเขาฆ่าตายเลยแม้แต่น้อย

“ไม่มีคราบเลือดเลยงั้นรึ!” หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับเก็บกระบี่มังกรขาวเข้าไปในแหวนพื้นที่ แล้วเดินถือเพียงกระบี่มังกรดำมุ่งหน้าไปยังดวงตามังกร

ไม่มีทางเส้นอื่นในถ้ำแห่งนี้อีกแล้ว ตั้งแต่เข้ามาหลิงหยุนไม่พบเจออันตรายใดๆ  นอกจากพบว่าพลังหยินเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ

ถ้ำหินแห่งนี้ยิ่งเดินเข้าไปลึกทางก็ยิ่งก็ชัน หลิงหยุนเดินเข้าไปได้ราวสิบนาที ก็พบว่าตัวเองได้เดินเข้าไปลึกราวห้าสิบหรือหกสิบเมตรได้

ช่างโชคดีที่ตอนนี้ไข่มุกราตรีคอยส่องแสงสว่างให้ สายตาของเขาจึงสามารถมองเห็นได้ในระยะที่ไกลขึ้น

‘ไม่สิ! จากที่ข้าคำนวนไว้ ด้านบนของถ้ำแห่งนี้ น่าจะต้องจุดที่หญ้าหยินงอกเงย แต่เหตุใดจึงไม่ยังไม่พบตามังกรที่เป็นจุดกักเก็บพลังหยิน?’

หลิงหยุนลุกขึ้นยืน เขาแอบขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่อย่างเงียบๆ แม้ตรงจุดนี้จะมีพลังหยินน้อยแต่ก็บริสุทธิ์มาก และมีปริมาณที่เพียงพอต่อการฝึก แต่หลิงหยุนยังคงไม่ต้องการฝึกฝนที่นี่ เพราะที่นี่ยังไม่ใช่ตำแหน่งที่กักเก็บพลังหยินจริงๆ

“ลงไปดูด้านล่างกันดีกว่า!”

หลิงหยุนเก็บกระบี่มังกรดำ และเรียกพู่กันจักรพรรดิออกมาไว้ป้องกันตัวแทน เพราะทางเดินที่อยู่ข้างหน้านั้นค่อนข้างแคบ ความยาวของกระบี่จึงทำให้เดินเหินได้ไม่สะดวกนัก

หลิงหยุนเดินลงไปพร้อมกับเจ้าขาวปุย และเพียงไม่นานเขาก็ได้ยินเสียงคล้ายฟ้าร้องคำราม และถ้ำทั้งถ้ำก็สั่นสะเทือนเบาๆ

“ด้านล่างนี้เป็นแม่น้ำ! ที่แท้ก็เป็นที่นี่นี่เอง!”

หลิงหยุนรีบชะโงกหน้าออกไปดู และเขาก็ได้ยินเสียงน้ำดังขึ้นเรื่อยๆ แต่พลังหยินกลับเริ่มลดน้อยลง..

อุณหภูมิภายในถ้ำเริ่มสูงขึ้น แต่ถัดไปอีกราวห้าสิบเมตรกลับเย็นและเปียกชื้นอีกครั้ง แล้วก็เริ่มมีน้ำหยดลงมา

“เหตุใดพลังหยินจึงได้ลดลง? หรือข้าจะกลับไปฝึกฝนที่นั่นดี? แต่ข้าไม่ต้องการที่จะ..” หลิงหยุนพึมพำออกมาอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย

ในเมื่อเขาตัดสินใจเดินออกมาจากที่นั่นแล้ว เขาก็ตัดสินใจที่จะเดินไปดูข้างหน้าต่อ

การลงไปด้านล่างน่าจะใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงก็ถึงแล้ว เพราะทางลงไม่ค่อยชันมากนัก เพียงแต่ตลอดทางที่ลงไปนั้นค่อนข้างเล็กมากจนไม่สามารถเดินลงไปได้ หลิงหยุนจึงต้องคลานลงไปแทน

หลิงหยุนเป็นคนที่เมื่อตั้งใจทำอะไรแล้วต้องทำให้สำเร็จ และเขาก็ไม่เชื่อว่าตัวเองจะคำนวนผิดพลาด เป็นไปไม่ได้ที่ค่ายกลหยินหยางจะไม่มีตำแหน่งที่เป็นดวงตามังกรที่กักเก็บพลังหยิน และถ้ามีเขาก็ต้องหาให้พบให้ได้!

ทั้งคนทั้งสุนัขจิ้งจอกต่างก็คลานลอดช่องแคบๆนั้นไป และเสียงของแม่น้ำที่น่าเกรงขามนั้นกลับยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ใจของหลิงหยุนเต้นแรงและรีบคลานให้เร็วขึ้น

ช่างโชคดีที่ยิ่งคลานเข้าไปลึกเท่าไหร่ทางก็ยิ่งกว้างขึ้นเรื่อยๆ และท้ายที่สุดหลิงหยุนก็สามารถลุกขึ้นยืนและเดินไปข้างหน้าต่อได้ เพียงไม่ถึงหนึ่งนาทีเขาก็สามารถไปถึงที่ท้ายถ้ำได้!

ทางเดินเส้นนี้นับว่าเป็นเส้นที่ยาวที่สุดตั้งแต่หลิงหยุนลงมาสำรวจ ตั้งแต่หลิงหยุนเดินออกมาจากห้องหินจนกระทั่งมาถึงที่นี่ ก็ใช้เวลาไปแล้วอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมง!

“โอ้! ใช่แล้ว.. ต้องใช่แน่ๆ”

หลิงหยุนเดินมาถึงท้ายถ้ำได้ในที่สุด และพบว่าบริเวณรอบถ้ำแห่งนี้เต็มไปด้วยภูเขาสูง แม่น้ำที่อยู่ด้านล่างนั้น เกิดจากน้ำที่ไหลลงมาจากภูเขาสูงกว่าหนึ่งร้อยเมตร ทำให้เห็นเป็นน้ำตกสวยงามที่มีความกว้างถึงหนึ่งร้อยเมตร และกระแสน้ำก็เชี่ยวและรุนแรงกว่ากระแสน้ำที่อยู่ก้นหลุมยักษ์มาก!

“เรายังต้องลงไปอีกราวหนึ่งร้อยเมตร!” หลิงหยุนเงยหน้าขึ้นมอง และพบว่ามันคือภูเขาจริงๆ มันคือเขาหยกด้านใต้ หลิงหยุนคิดไม่ถึงว่าด้านล่างจะมีหลุมยุบอีก!

หลิงหยุนยกมือขึ้นหยิบหินก้อนขนาดเท่าฝ่ามือขึ้นมา จากนั้นก็แปะยันต์อัคนีลงไปบนหินก้อนนั้น เขาโยนหินก้อนนั้นออกไปพร้อมกับตะโกนสั่งยันต์ให้ออกฤทธิ์..

หลิงหยุนยิ้มออกมาพร้อมกับเอื้อมมือไปอุ้มเจ้าขาวปุยไว้ในอ้อมแขน ส่วนมือขวาถือพู่กันจักรพรรดิไว้ จากนั้นก็กระโดดลงไปบนหินที่ยื่นออก และเพียงการกระโดดแค่สามครั้ง หลิงหยุนก็สามารถลงไปยืนที่พื้นด้านล่างได้อย่างปลอดภัย

นี่เป็นทะเลสาปที่ใหญ่มากทีเดียว หรือจะเรียกว่าเป็นสระที่ทั้งลึกทั้งใหญ่มากก็ได้ และก็ไม่มีใครรู้ว่ามันลึกมากแค่ใหน แต่ดูเหมือนมันจะทำหน้าที่รองรับน้ำตกที่กว้างเป็นร้อยเมตรนั่นมาหลายปีแล้ว

“เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ!”

หลิงหยุนสำรวจสภาพแวดล้อมของภูเขาลูกนี้และพบว่าหลังน้ำตกขนาดใหญ่นั้นมีถ้ำที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติซ่อนอยู่

‘ไม่เลวเลย! ดวงตามังกรที่กักเก็บพลังหยินต้องอยู่ภายในถ้ำหลังน้ำตกนั่นอย่างแน่นอน’

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับวางเจ้าขาวปุยลง เขาถือพู่กันจักรพรรดิไว้ในมือ และรีบวิ่งตรงไปที่หน้าผาลื่น หลิงหยุนเสียบพู่กันจักพรรดิเข้าไประหว่างหินที่อยู่ตรงหน้าผาเพื่อใช้ดึงตัวสำหรับปีนขึ้นไป เพียงไม่นานเขาก็สามารถปีนขึ้นไปบนถ้ำที่อยู่หลังน้ำตกได้

“หนาวไม่เบาเลยทีเดียว!”

แต่ภายในถ้ำกลับแตกต่างจากด้านนอก เพราะทันทีที่เข้าไปถึง หลิงหยุนสัมผัสได้ถึงความมืดและความเย็น..

และแน่นอนว่า สถานที่แห่งนี้คือดวงตามังกรสำหรับกักเก็บพลังหยิน หลิงหยุนนึกชื่นชมผู้ที่สร้างค่ายกลมังกรหยินหยานแห่งนี้มากจริงๆ

ถ้ำหลังน้ำตกแห่งนี้อยู่สูงจากสระขนาดใหญ่ด้านล่างราวยี่สิบเมตร และมีขนาดใหญ่พอที่จะจอดรถตู้ได้ถึงสองคัน

หลิงหยุนไม่รู้ว่าที่นี่จะมีหยินวิญญาณปรากฏตัวหรือไม่? เขาจึงเรียกกระบี่มังกรดำออกมาถือไว้ในมือเพื่อความไม่ประมาท ส่วนมือขวาก็กำพู่กันจักรพรรดิไว้เพื่อใช้ในยามฉุกเฉิน

จากนั้นก็เรียกไข่มุกราตรีออกมาเพิ่มอีกสองสามเม็ดและใส่ไว้ในกระเป๋าเพื่อเพิ่มแสงสว่างให้กับตัวเอง แล้วถ้ำก็สว่างไสวไปด้วประกายของไข่มุกราตรี

ตำแหน่งตามังกรนั้นอยู่ในลักษณะแนวตั้ง หลิงหยุนต้องการเดินไปยังจุดที่มีพลังหยินเข้มข้นที่สุด และเขาก็รู้ดีว่าจุดที่พลังหยินจะเข้มข้นที่สุดนั้นก็คือตำแหน่งตามังกรนั่นเอง

เมื่อรู้ว่าใกล้จะได้ฝึกวิชาพลังลับหยินหยาง และกำลังจะได้เข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-4 หลิงหยุนก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก ดวงตาของเขาเป็นประกายวิบวับ พร้อมกับเร่งรีบก้าวขาให้เร็วขึ้น

เดินไปได้เพียงแค่สิบนาที พลังหยินที่อยู่ตรงหน้าหลิงหยุนก็เข้มข้นอย่างมาก และอุณหภูมิบริเวณนั้นก็ต่ำกว่าปกติ น่าจะถึงกับติดลบราวสิบองศาเลยทีเดียว และดูเหมือนเจ้าขาวปุยกำลังหนาวสั่น

หลิงหยุนหยุดเดินและหันไปพูดกับเจ้าขาวปุยยิ้มๆ “ที่นี่ใช้เป็นที่ฝึกฝนได้เป็นอย่างดี เจ้าสามารถใช้โอกาสนี้บ่มเพาะพลังของเจ้าด้วยการต่อสู้กับความเย็นในสถานที่แห่งนี้!”

เจ้าขาวปุยพยักหน้าและเริ่มฝึกบ่มเพาะ แล้วมันก็ไม่รู้สึกหนาวอีกต่อไป

หลิงหยุนยังคงไม่ต้องการดูดซับพลังหยินเข้าไป เพราะเขารู้ว่าด้านหน้าอีกห้าสิบเมตรคือตำแหน่งตามังกร เขาจึงไม่รีบร้อนนัก!

หลิงหยุนลดความเร็วลง เขาถือกระบี่มังกรดำและพู่กันจักรพรรดิเดินเข้าไปอีกราวสิบกว่าเมตร เมื่อเดินเข้าไปถ้ำที่มีลักษณะคล้ายหม้อขนาดใหญ่ ดวงตาของเขาก็เบิกกว้าง..

อุณหภูมิภายในถ้ำแห่งนั้นลดลงอย่างกะทันหัน และพลังหยินที่พุ่งออกมาก็มีจำนวนมหาศาลอย่างหาที่ใหนเทียบไม่ได้ หลิงหยุนจัดการเปิดรูขุมขนทั่วร่างกาย เตรียมพร้อมฝึกวิชาพลังลับหยินหยางพร้อมกับดูดซับเอาพลังหยินบริสุทธิ์เข้าไปอย่างบ้าคลั่ง!

แต่นับว่าโชคร้ายที่หลิงหยุนไม่พบหยินวิญญาณที่นับว่ามีพลังหยินที่ดีกว่าพลังหยินจากค่ายกลหยินหยางมากนัก

หลิงหยุนใช้มังกรพรางร่างไปยืนอยู่ตรงกลางถ้ำ ซึ่งมีหลุมดำลึก และพลังหยินทั้งหมดที่แผ่ซ่านอย่างมากมายอยู่ภายในถ้ำนั้น ก็ออกมาจากหลุมดำลึกแห่งนี้

หลิงหยุนสั่งเจ้าขาวปุยไม่ให้เข้าใกล้เขาระหว่างฝึก และให้มันรออยู่ห่างๆ จากนั้นจึงนั่งลงข้างหลุมดำลึกแห่งนี้

หลิงหยุนดูดซับเอาพลังหยินที่บริสุทธิ์เข้าไปและเริ่มฝึกฝนวิชาลับหยินหยาง

พลังหยินที่เข้มข้นรุนแรงไหลเข้าสู่ร่างกายของหลิงหยุน และเริ่มเข้าสู่จุดตันเถียนผ่านทางเส้นลมปราณหลักทั้งสิบสองเส้น

หนึ่งชั่วโมงผ่านไป.. สองชั่วโมง.. สามชั่วโมง..

หลังจากผ่านไปเก้าชั่วโมงเต็ม หลิงหยุนรู้สึกได้ว่าร่างกายของเขาได้ดูดซับพลังหยินบริสุทธิ์เข้าไปจำนวนมาก และเมื่อปริมาณของพลังหยินเท่ากับปริมาณของพลังหยางที่หมุนเวียนอยู่ในร่างกายแล้ว หลิงหยุนจึงเริ่มจัดการกับพลังที่อยู่ในจุดตันเถียนของตัวเอง

พลังหยางและพลังหยินที่อยู่ในจุดตันเถียนของหลิงหยุนนั้น เป็นพลังที่แตกต่างกัน และเมื่อยู่ภายใต้อิทธิพลของวิชาลับหยินหยาง พลังหยินและหยางก็เริ่มผสมผสานกันจนเกิดเป็นปั่นป่วน

หลิงหยุนไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป เขาใช้วิชาลับหยินหยางควบคุมให้พลังหยินและพลังหยางที่อยู่ในจุดตันเถียนของตัวเองนั้นบิดเป็นเกลียวด้วยความเร็ว จนกระทั่งเปลี่ยนเป็นพายุไซโคลนที่มีความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ!

‘ใกล้แล้วสินะ!’

หลิงหยุนฝึกมาจนเกือบถึงขั้นตอนสุดท้าย แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกว่าพลังอมตะในจุดตันเถียนของเขาเริ่มอลหม่าน!

พลังอมตะสีขาวและดำเคลื่อนออกจากจุดตันเถียนของหลิงหยุน และเริ่มกลืนกินพลังหยินหยางในร่างกายของเขาเอง!

“แย่แล้ว.. เกิดปัญหาใหญ่ขึ้นแล้ว!”


บทที่ 316 : การต่อสู้ของพลังหยินและหยาง

แน่นอนว่าหลิงหยุนต้องตกใจอย่างมาก เพราะครั้งนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับปัญหาที่ใหญ่มาก!

ตอนนนี้หลิงหยุนไม่สามารถควบคุมพลังอมตะในจุดตันเถียนได้ ทันทีที่พุ่งออกจากจุดตันเถียน มันก็เข้ากลืนกินพลังหยิน-หยางในร่างกายของเขาจนหมด

ที่ผ่านมาแม้หลิงหยุนจะรู้ว่าพลังอมตะมากมายได้ถูกเก็บไว้ที่จุดตันเถียน แต่เขาก็ไม่สามารถนำมันออกมาใช้ได้ แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่!

‘ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานกลับไม่ออกมา แต่กลับออกมาในเวลานี้นี่นะ!’

หลิงหยุนรู้สึกขุ่นเคืองใจ แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะเขาเองก็ไม่สามารถควบคุมพลังอมตะได้ มันอยู่เหนือการควบคุมของเขา..

เหตุผลที่หลิงหยุนรู้สึกกังวลมากนั้นก็เพราะว่า ในตอนนี้เขากำลังอยู่ในนาทีวิกฤติของการฝึกฝน และเป็นช่วงที่ร่างกายของเขากำลังจะก้าวเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-4 ซึ่งเป็นขั้นที่จะทำให้เขามีร่างกายที่เหนือขึ้นไปมาก

นี่คือการก้าวข้ามจากขั้นปรับร่างกายช่วงต้นเข้าสู่ขั้นปรับร่างกายช่วงกลาง หากหลิงหยุนผ่านเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-4ไปแล้ว เขาก็คงไม่ต้องกังวลใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นถึงเพียงนี้

อธิบายให้ชัดเจนก็คือว่า.. หากตอนนี้หลิงหยุนกำลังเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-5 หรือ 6 เขาจะไม่รู้สึกังวลกับพลังอมตะที่สร้างความปั่นป่วนอยู่ในตอนนี้เลยแม้แต่น้อย

นั่นเพราะหลิงหยุนรู้ดีว่า แม้เขาจะไม่สามารถควบคุมพลังอมตะเหล่านี้ได้ แต่เขาก็มั่นใจว่ามันจะไม่สร้างอันตรายใดๆให้กับเขาอย่างแน่นอน

แต่ตอนนี้เขากำลังฝึกวิชาพลังลับหยินหยางเพื่อสร้างความสมดุลย์ของพลังหยินและหยางในจุดตันเถียน และนั่นคือจุดปรสงค์และเป้าหมายของการฝึกวิชานี้

แต่การที่พลังอมตะกลืนกินพลังหยิน-หยางโดยที่เขาเองก็ไม่สามารถควบคุมได้เช่นนี้ ก็เป็นเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อนเช่นกัน!

เวลานี้สิ่งที่หลิงหยุนทำได้มีเพียงอย่างเดียวคือ.. บังคับตัวเองให้สงบนิ่งกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น เพราะถึงอย่างไรเขาก็ยังมั่นใจว่าพลังอมตะจะไม่ทำร้ายตัวเขาอย่างแน่นอน

หลิงหยุนข่มใจให้สงบและไม่ใส่ใจกับสิ่งที่พลังอมตะกำลังทำ จากนั้นก็เริ่มฝึกวิชาพลังลับหยินหยางไปทีละขั้นต่อไป

พลังอมตะสีดำและขาวต่างก็กำลังกลืนกินพลังหยินหยางเข้าไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น และกลับยิ่งเลวร้ายอย่างที่สุดเมื่อหลิงหยุนพบว่าพลังหยินหยางในจุดตันเถียนของเขานั้นเหลืออยู่เบาบางมาก

แต่หลิงหยุนเริ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อพบว่า  พลังอมตะนั้นแม้มันจะกลืนกินพลังหยินหยางเข้าไป แต่มันก็ดูดซับพลังหยินหยางภายนอกเข้ามาในอัตราความเร็วที่เท่ากันด้วย แม้ปริมาณของพลังหยินและหยางในร่างกายของเขาจะลดลง แต่มันกลับมีความสมดุลย์เกิดขึ้นอย่างน่าประหลาด

แม้พลังหยินและหยางในจุดตันเถียนของหลิงหยุนจะลดลง  แต่เนื่องจากที่นี่คือตำแหน่งตามังกรหยิน จึงมีพลังหยินไหลเข้าสู่ร่างกายของเขาอย่างมากมาย

แต่หลิงหยุนกลับยิ้มเศร้า.. เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะตามหาดวงตามังกรหยินพบ แต่ในเวลานี้เขากลับขาดแคลนพลังหยาง!

พลังหยินจำนวนมากที่ถูกดูดซับเข้าไปในร่างกายผ่านทางเส้นลมปราณสิบสองเส้นก่อนจะไหลลงสู่จุดตันเถียนทั้งหมดนั้น ได้ทำลายสมดุลย์หยินหยางในจุดตันเถียนของหลิงหยุนทันที!

หลิงหยุนคิดว่า.. หากความสมดุลย์ของพลังหยินและหยางในจุดตันเถียนถูกทำลายไปแล้ว พลังอมตะคงจะหยุดกลืนกินพลังหยินที่ร่างกายดูดซับเข้าไป แต่เขากลับคิดผิด.. เพราะพลังอมตะไม่เพียงไม่หยุด แต่กลับเพิ่มอัตราความเร็วในการกลืนกินสูงขึ้นกว่าเดิมมาก

ตอนนี้หลิงหยุนยังไม่มีญาณที่จะสามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในร่างกายได้ เพราะหากทำได้.. เขาจะเห็นได้ทันทีว่าตอนนี้จุดตันเถียนของเขานั้น มีเพียงพลังอมตะสีดำที่กำลังดูดซับพลังหยินเข้าไป!

จากที่จุดตันเถียนเคยขาดแคลนพลังหยินก่อนหน้านี้ กลับกลายเป็นต้องมาขาดแคลนพลังหยางไปเพียงแค่ชั่วพริบตา เพราะจู่ๆ พลังหยินก็มีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ส่วนพลังหยางกลับลดปริมาณลงเรื่อยๆ จนความสมดุลย์ระหว่างพลังหยินและหยางถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง!

 ‘นี่มันอะไรกัน!’ หลิงหยุนกัดฟัน พร้อมกับสะบัดมือซ้ายเรียกยันต์ขุมพลังออกมาจากแหวนพื้นที่หนึ่งมัด!

พลังชีวิตจากยันต์ขุมพลังถ่ายเทเข้าสู่ร่างกายของหลิงหยุน และวิชาพลังลับหยินหยางก็ได้เปลี่ยนพลังชีวิตที่ได้รับจากยันต์ขุมพลังให้เป็นพลังหยางเข้าสู่จุดตันเถียน และพลังอมตะสีขาวก็เริ่มเป็นฝ่ายกลืนกินบ้าง

‘ข้ารู้แล้วว่าจะหาพลังหยางได้จากที่ใด?’

หลิงหยุนไม่ยอมแพ้  ตราบใดที่พลังหยางในจุดตันเถียนของเขาขาดแคลน เขาก็จะใช้ยันต์ขุมพลังเพื่อเพิ่มพลังหยางให้กับจุดตันเถียน

ก่อนที่หลิงหยุนจะลงมาสำรวจที่ก้นหลุมยักษ์แห่งนี้ เขาได้เตรียมตัวมาค่อนข้างพร้อม และได้ปลุกเสกยันต์ขุมพลังมามากถึงสามพันใบ

หลังจากที่เข้าสู่ดารกะดายนันขั้นสอง จุดตันเถียนและเส้นลมปราณของเขาก็ขยายกว้างขึ้นเป็นสองเท่า ยันต์ขุมพลังจำนวนสามพันใบเพียงพอที่จะให้เขาเติมพลังชีวิตจนเต็มได้ถึงสิบห้าครั้ง และตอนนี้เขาก็ได้ใช้ยันต์ขุมพลังไปสองมัดแล้ว ตอนนี้เขายังเหลือยันต์ขุมพลังอยู่อีกยี่สิบแปดมัด

หลิงหยุนคิดว่า.. ถึงแม้เขาจะใช้ยันต์ขุมพลังทั้งยี่สิบแปดมัดที่เหลืออยู่สร้างพลังหยางให้กับร่างกาย แต่มันก็จะต้องถูกพลังอมตะกลืนกินเข้าไปจนหมดอีกอย่างแน่นอน และยันต์ขุมพลังจำนวนยี่สิบแปดมัดนั้น ก็น้อยนิดเหลือเกินหากเทียบกับปริมาณพลังหยินในดวงตามังกรหยินแห่งนี้

‘ควรทำอย่างไรดี? ข้าควรทำอย่างไร?’ หลิงหยุนครุ่นคิดหลังจากที่ใช้ยันต์ขุมพลังมัดสุดท้ายไปจนหมด แต่พลังอมตะในจุดตันเถียนก็ยังคงกลืนกินอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว

หลิงหยุนเงยหน้าขึ้นมองสำรวจไปรอบๆ เขาพบว่าในถ้ำที่เป็นตำแหน่งดวงตามังกรหยินแห่งนี้ เลยขึ้นไปทางทิศเหนือยังมีถ้ำอีกแห่งหนึ่ง และหยินหยุนก็รู้ดีว่าถ้ำแห่งนั้นก็คือดวงตามังกรอีกข้างที่กักเก็บพลังหยาง

ที่ดวงตามังกรหยางจะต้องมีพลังหยางให้เขาสามารถใช้ได้อย่างเพียงพอ แต่เขาไม่สามารถไปที่นั่นได้.. เพราะเขาเองก็ยังฝึกพลังลับหยินหยางไม่สำเร็จ!

หากหลิงหยุนสามารถฝึกพลังลับหยินหยางได้สำเร็จ เขาจะสามารถดูดซับได้ทั้งพลังหยินและพลังหยาง โดยไม่ต้องสนใจว่าในร่างกายจะมีพลังหยินหรือพลังหยางมากกว่ากัน เพราะเทคนิคการบ่มเพาะด้วยวิชาพลังลับหยินหยางนี้ จะช่วยปรับเปลี่ยนพลังส่วนเกินในร่างกายให้สมดุย์ได้เอง หากมีพลังหยินมากเกินไป พลังลับหยินหยางก็จะปรับให้พลังหยินส่วนเกินกลายเป็นพลังหยางแทน และท้ายที่สุดร่างกายของหลิงหยุนก็จะมีพลังหยินหยางที่สมดุลย์อยู่ตลอดเวลา!

แต่ปัญหาคือเขายังฝึกไม่สำเร็จ หากหลิงหยุนไปฝึกที่ดวงตามังกรหยาง เขาก็ต้องเผชิญกับปัญหาเช่นเดียวกันนี้อีก คือมีพลังหยางมากเกินไป และขาดแคลนพลังหยิน และถึงตอนนั้นเขาคงต้องตายก่อนแน่

หลิงหยุนเริ่มรู้สึกว่าพลังหยางในจุดตันเถียนนั้นเบาบางลงอีก และเขาก็ไม่มียันต์ขุมพลังเหลืออีกแล้ว!

หลิงหยุนตัดใจเรียกกล่องหยกวิญญาณออกมาจากแหวนพื้นที่ ภายในกล่องหยกวิญญาณใบนี้ หลิงหยุนได้สร้างหลุมพลังสำหรับกักเก็บพลังอมตะที่ขโมยมาจากพู่กันจักรพรรดิไว้เป็นจำนวนมาก และกล่องใบนี้ก็นับว่าเป็นไพ่ตายของหลิงหยุน

เขาต้องการนำพลังอมตะที่อยู่ในกล่องหยกออกมาใช้!

ในขณะที่พลังหยางในจุดตันเถียนของเขาได้ถูกกลืนกินไปจนหมดอีกครั้ง หลิงหยุนถือกล่องหยกวิญญาณไว้ในมือพร้อมกับพึมพำว่า “นี่เป็นการต่อลมหายใจให้กับข้า!”

เพื่อต้องการฝึกวิชาพลังลับหยินหยางให้สำเร็จ หลิงหยุนไม่สนใจอะไรอีกแล้ว และถึงกับหยิบไพ่ใบสุดท้ายของตัวเองออกมาใช้!

พลังอมตะภายในกล่องหยกแผ่กระจายออกมา และพุ่งเข้าสู่จุดตันเถียนของหลิงหยุน พร้อมกับเปลี่ยนเป็นพลังหยางจำนวนมาก

พลังอมตะสีขาวเข้าไปแทนที่พลังอมตะสีดำทันที หลิงหยุนสามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า จู่ๆพลังหยินของดวงตามังกรก็พวยพุ่งขึ้นมาจนเป็นกระแสวนอยู่รอบตัวหลิงหยุนที่กำลังนั่งขัดสมาธิ  กระแสนั้นวิ่งตรงเข้าสู่จุดตันเถียนของหลิงหยุนทันทีโดยไม่ผ่านไปตามเส้นลมปราณต่างๆเหมือนเช่นเคย เพื่อเข้าไปต่อต้านพลังหยางบริสุทธิ์ที่ได้จากพลังอมตะในกล่องหยก

หลิงหยุนปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไป แต่ก็รู้ดีว่าเป็นช่วงเวลาที่สามารถเกิดอันตรายได้สูงมาก!

และนี่คือการต่อสู้ระหว่างพลังหยินและพลังหยาง หากพลังทั้งสองไม่สามารถรวมกันได้ ร่างกายของหลิงหยุนก็จะเหลือเพียงพลังใดพลังหนึ่งเท่านั้น และท้ายที่สุดเขาก็จะต้องตาย!

พลังหยินที่อยู่ในตำแหน่งดวงตามังกรหยินแห่งนี้ เปรียบเหมือนเส้นเลือดที่อยู่ด้านล่างของเขาหยกด้านใต้และเขามังกร ยอดฝีมือที่เป็นผู้ค้นพบสถานที่แห่งนี้ และสามารถใช้ดินแดนที่เป็นสัญลักษณ์หยินหยางนี้ สร้างเป็นค่ายกลสำหรับกักเก็บพลังมังกรได้นั้นนับว่าเก่งมากทีเดียว เพราะแม้แต่มังกรเองยังไม่อาจหลบหนีออกจากสถานที่แห่งนี้ได้ จึงไม่ต้องพูดถึงพลังหยินที่อยู่ในที่แห่งนี้!

นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างพลังหยินและพลังหยาง ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลิงหยุนกำลังเล่นกับไฟ!!

ดูเหมือนว่าหลิงหยุนกำลังเดิมพันว่าพลังอมตะในร่างกายของเขานั้น จะเลิกหยุดการกลืนกินหรือไม่ หากเขาใช้พลังชีวิตทั้งหมดที่มีอยู่!

นับว่าหลิงหยุนใจกล้าไม่น้อยทีเดียว เพราะหากสำเร็จเขาจะได้รับประโยชน์อย่างมหาศาลจนไม่อาจจินตนาการได้ หรือไม่อย่างน้อยที่สุดสิ่งที่เขาจะได้รับจากผลกระทบในครั้งนี้ก็คือ จุดตันเถียนของเขาจะขยายกว้างขึ้นอีกถึงสิบเท่าจากขนาดเดิม!

ยกตัวอย่างเช่น.. หากจุดตันเถียนเดิมของหลิงหยุนมีขนาดเท่าเม็ดงา หลังจากนี้มันจะมีขนาดเท่าเม็ดแตงโม!

ไม่เพียงแค่จุดตันเถียน แม้แต่เส้นลมปราณของเขาก็จะขยายกว้างขึ้นเป็นหลายเท่า  และจะทำให้ร่างกายของเขาเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-4  ซึ่งเป็นขั้นเดียวกับที่สามารถฝึกกำลังภายในได้ และการฝึกฝนของเขาก็จะก้าวหน้าได้เร็วขึ้นกว่าเดิมอีกหลายเท่า!

ไม่มีใครรู้ว่าพลังอมตะในกล่องหยกทั้งสี่สิบเก้าชั้นนั้นได้ใช้ไปเท่าไหร่แล้ว หลิงหยุนเริ่มดูดซับให้เร็วขึ้น และเพื่อนำไปช่วยพลังอมตะสีขาวที่จุดตันเถียน

หลิงหยุนไม่นึกไม่ฝันว่า ครั้งนี้การฝึกพลังลับหยินหยางจะใช้พลังหยินและหยางมากมายถึงเพียงนี้ และใช้ระยะเวลาที่นานมาก!

หลิงหยุนยังคงจดจ่ออยู่กับการฝึก เขาไม่สนใจเวลาและไม่รู้ว่าได้ใช้เวลาไปนานเท่าไหร่ และตอนนี้พลังอมตะในกล่องหยกก็เริ่มเบาบางลง

‘ไม่เพียงพองั้นรึ? นี่จะล้อเล่นอะไรกับข้าอีก?!’

หลิงหยุนเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ สายตาของหลิงหยุนทั้งสองข้างสามารถมองเห็นถ้ำหินขนาดใหญ่ได้อย่างชัดเจน

แม้จะยังฝึกพลังลับหยินหยางไม่สำเร็จ แต่ความแข็งแกร่งของหลิงหยุนกลับก้าวกระโดด!

พลังหยินภายในจุดตันเถียนยังคงเป็นฝ่ายชนะ หลิงหุยนส่ายหน้าช้าๆและยังคงดูดซับพลังอมตะจากกล่องหยก และครั้งนี้เขาก็เรียกพู่กันจักรพรรดิออกมา

หลิงหยุนไม่เหลือพลังชีวิตที่จะสามารถใช้แปลงเป็นพลังหยางได้อีกแล้ว ในเมื่อตอนนี้เขาคือเจ้าของพู่กันจักรพรรดิ หลิงหยุนไม่เชื่อว่ามันจะไม่ช่วยเหลือเขา!

ท่ามกลางจุดตันเถียนของหลิงหยุน พลังอมตะสีขาวค่อยๆอ่อนแอลงเรื่อยๆ และพลังอมตะสีดำก็ค่อยๆแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ หลิงหยุนไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร นอกจากต้องรอ..!

ระหว่างที่รอคอยปาฏิหารย์จากพู่กันจักรพรรดิอีกครั้ง! รอคอยพลังอมตะจากพู่กันจักรพรรดิ!

แต่พู่กันจักรพรรดก็ยังคงไม่มีปฏิกิริยาใดๆ!!

‘จบแล้ว.. มันจบแล้ว..’

หลิงหยุนสส่ายหน้า เขาได้แต่ยอมรับการฝึกฝนที่ล้มเหลวในครั้งนี้ และตอนนี้เขาก็ไม่สามารถหยุดยั้งอะไรได้ เขาไม่สามารถฝึกพลังลับหยินหยางได้สำเร็จ เขาคงต้องกลับไปที่ดวงตามังกรหยางเพื่อฝึกพลังลับหยางเพียงอย่างเดียว

แต่ในเวลานั้นเอง จู่ๆหลิงหยุนก็รู้สึกว่าพลังอมตะที่อยู่ตรงหว่างคิ้วของเขาเริ่มเคลื่อนไหว!

พลังอมตะสีทองจากหว่างคิ้วของเขา เกือบจะวิ่งเข้าสู่จุนตันเถียนในทันที!

และครั้งนี้พู่กันจักรพรรดิกลับมีปฏิกิริยาที่เป็นบวก หลิงหยุนรู้สึกว่ามีพลังชีวิตจำนวนมากไหลจากจากพู่กันจักรพรรดิเข้าสู่ฝ่ามือของเขา!

“นี่.. นี่มันปราณมังกร!”

หลิงหยุนเดาไม่ผิด พลังชีวิตที่ไหลออกจากพู่กันจักรพรรดิครั้งนี้ไม่ใช่พลังอมตะ แต่เป็นปราณมังกรที่มันดูดซับจากยอดเข้ามังกรเมื่อครั้งที่เขาไปดูปรากฏการณ์มังกรเล่นน้ำ!


บทที่ 317 : ขั้นปรับร่างกาย-4

พลังอมตะสีทองกลางหน้าผากซึ่งเปรียบเหมือนดวงตาที่สาม ได้ไหลเข้าสู่จุดตันเถียนของหลิงหยุน และในเวลาเดียวกันนั้นปราณมังกรก็ได้ไหลจากพู่กันจักรพรรดิเข้าสู่จุดตันเถียนด้วยเช่นกัน!

‘นี่มันเกิดอะไรกันขึ้นกันแน่?!’

ในเวลานี้หลิงหยุนได้ใช้ตัวช่วยทุกอย่างที่มีจนหมดแล้ว และสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับหลิงหยุนในตอนนี้ทำให้เขาตกใจจนแทบช็อค!

แม้หลิงหยุนจะนับว่าเป็นนักบ่มเพาะที่เก่งกาจและมีพรสวรรค์ แต่สถานการณ์ที่เขากำลังเผชิญอยู่นี้ เป็นสิ่งที่เขาเองก็ไม่เคยพบเจอหรือได้ยินมาก่อนเช่นกัน!

พลังอมตะสีทอง และปราณของมังกรทองได้ไหลเข้าสู่จุดตันเถียนของหลิงหยุนในเวลาพร้อมกัน และได้พุ่งโจมตีพลังอมตะสีขาวอย่างรุนแรง!

จุดตันเถียนของหลิงหยุนที่เต็มไปด้วยพลังอมตะสีดำก็เริ่มล่าถอย และหดตัวลงเหลือเพียงแค่ครึ่งหนึ่งของพื้นที่ในจุดตันเถียน พร้อมกับหยุดการกลืนกิน..

ในนาทีนั้น.. ปราณมังกรและพลังอมตะสีทองได้หลอมรวมกันเป็นหนึ่ง และกลายร่างเป็นมังกรที่ทอแสงสีทองเปล่งประกายอยู่ตรงกึ่งกลางของจุดตันเถียน แล้วพลังอมตะสีดำและพลังอมตะสีขาวต่างก็แยกตัวออกจากัน!

ความกดดันและความโกลาหลวุ่นวายเมื่อครู่มลายหายไป ดวงตาของหลิงหยุนในเวลานี้เป็นประกายสวยงาม และเริ่มมีสมาธิกับการฝึกวิชาพลังลับหยินหยางต่อไป

พลังหยินจำนวนมากยังคงไหลเข้าสู่จุดตันเถียนของหลิงหยุนอย่างบ้าคลั่ง แต่พลังอมตะสีดำและพลังอมตะสีขาวต่างก็หดตัวลงอย่างทันทีทันใด!

เพียงไม่นาน.. พลังอมตะสีดำและพลังอมตะสีขาวก็หดตัวลงจนเหลือเพียงแค่จุดเล็กๆสีดำและสีขาวเท่านั้น ภายในจุดตันเถียนของหลิงหยุนตอนนี้ พลังอมตะสีทองและปราณมังกรที่หลอมรวมกันเป็นร่างมังกรนั้น ทำให้ดูราวกับมีกลุ่มหมอกสีทองกำลังหมุนวนด้วยความเร็วสูงสุด

พู่กันจักรพรรดิเริ่มหยุดถ่ายเทปราณมังกรให้หลิงหยุน แต่เปลี่ยนมาเป็นถ่ายเทพลังอมตะลงไปแทน!

พลังอมตะที่ไหลจากพู่กันจักรพรรดิเข้าสู่ร่างกายหลิงหยุนในเวลานี้ ไม่ได้ไหลไปตามเส้นลมปราณหลักทั้งสิบสองเส้น แต่กลับไหลไปตามเส้นลมปราณตู (หรือเรียกอีกอย่างว่าเส้นลมปราณหยาง) ซึ่งเป็นเส้นลมปราณที่อยู่กลางลำตัวด้านหลัง และตรงเข้าสู่จุดตันเถียนของหลิงหยุน

พลังอมตะที่ไหลผ่านเส้นลมปราณตูเข้าสู่จุดตันเถียนนี้ เข้าไปกดจุดสีดำเล็กๆที่อยู่ในจุดตันเถียนให้กระจายตัวกลายเป็นกลุ่มหมอกสีดำทันที และในเวลานี้พลังหยินก็ได้ครอบคลุมพื้นที่ครึ่งหนึ่งของจุดตันเถียน

พลังหยินที่ถูกบีบให้กระจายตัวกลายเป็นหมอกนั้น ค่อยๆเคลื่อนไปทางด้านข้างของจุดสีขาวเล็กๆที่เกิดจากการหดตัวของพลังอมตะสีขาว และพลังหยินที่กระจายตัวอยู่นี้ ก็ไม่ได้ดูดกลืนพลังอมตะสีขาวอีกเพียงแค่กระจายตัวอยู่รอบๆเท่านั้นเอง

เรียกได้ว่า.. พลังอมตะจากพู่กันจักพรรดิโอบรอบจุดดำ และพลังหยินก็โอบรอบจุดขาว!

เรียกได้ว่าเป็นการพึ่งพากันระหว่างหยินและหยาง!

และเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พู่กันจักรพรรดิก็เลิกถ่ายเททั้งปราณมังกร และพลังอมตะเข้าสู่ร่างกายของหลิงหยุนทันที

เมื่อพลังอมตะสีทองและปราณมังกรได้หลอมรวมเป็นร่างมังกรเข้าปกป้องไม่ให้พลังต่างๆดูดกลืนกันเองนั้น หลิงหยุนจึงเริ่มดูดซับพลังหยินเข้าไปอีกครั้ง และเริ่มฝึกวิชาพลังลับหยินหยางขั้นสุดท้าย

หลังจากที่ดูดซับพลังหยินเข้าสู่ร่างกาย หลิงหยุนก็จัดการเคลื่อนพลังหยินไปตามเส้นลมปราณเยิ่น (หรือเรียกอีกอย่างว่าเส้นลมปราณหยิน) และไหลลงสู่จุดตันเถียนของเขาเป็นจำนวนมาก

ตอนนี้หลิงหยุนกำลังใช้วิชาพลังลับหยินหยาง จัดการแปลงพลังอมตะที่จุดตันเถียนให้เป็นพลังหยางที่บริสุทธิ์ ในขณะเดียวกันก็ดูดซับเอาพลังหยินเข้าไปพร้อมๆกันด้วย เรียกว่าทำสองอย่างในเวลาเดียวกัน..

ตอนนี้.. พลังอมตะสีดำได้ถูกล้อมรอบไว้ด้วยพลังหยางจำนวนน้อย และพลังอมตะสีขาวก็ถูกล้อมรอบไว้ด้วยพลังหยินจำนวนน้อยเช่นกัน และในพลังหยินนั้นก็มีร่างมังกรที่เกิดจากการหลอมรวมตัวของปราณมังกรกับพลังอมตะสีทองคั่นอยู่ตรงกลาง แยกทั้งสองออกจากกันไม่ให้กลืนกินกันและกัน หลิงหยุนจึงไม่ต้องกังวลอะไรอีก

ไม่รู้ว่าใช้เวลาไปเนิ่นนานเพียงใด ในที่สุดหลิงหยุนก็สามารถแปลงพลังอมตะในจุดตันเถียนให้กลายเป็นพลังหยางที่บริสุทธิ์ได้ เขาควบคุมทุกอย่างได้ดีมาก และในเวลานี้พลังหยินที่ดูดซับเข้าไปนั้น ก็ถึงจุดที่สมดุย์กับพลังหยางที่บริสุทธิ์แล้ว

ในนาทีที่ถึงจุดสมดุลย์ระหว่างหยิน-หยาง หลิงหยุนก็ได้เข้าถึงสภาวะที่ไร้ซึ่งความอยาก และเขาก็ยังคงฝึกวิชาพลังลับหยินหยางต่อไป ตอนนี้เขาก็แค่รอเวลาบ่มเพาะที่สมบูรณ์เท่านั้นเอง

หลิงหยุนสัมผัสได้ถึงแรงระเบิดอยู่ภายใน พลังหยินและพลังหยางที่บริสุทธิ์ต่างก็ไหลตามกันเป็นวงกลม ราวกับปลาสีขาวและปลาสีดำที่กำลังว่ายงับหางหยอกล้อกันเล่นไปมา

ที่จุดตันเถียนของหลิงหยุนในเวลานี้ ราวกับมีร่างหยินและร่างหยางวิ่งหมุนวนอยู่อย่างรวดเร็ว

พลังงานหยินและหยางต่างก็หมุนวนอยู่ภายในจุดตันเถียนของหลิงหยุน และเริ่มกระจายเข้าสู่เส้นลมปราณหลักทั้งสิบสองเส้น และเส้นลมปราณพิเศษแปดเส้น!

‘ข้าฝึกวิชาพลังลับหยินหยางสำเร็จแล้ว!’

และเกือบจะในเวลาเดียวกัน หลิงหยุนก็ได้เข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-4 เรียบร้อยแล้วเช่นกัน และเขาก็สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก!

ใบหน้าของหลิงหยุนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขาค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง ประกายสว่างไสวเต็มไปด้วยความมั่นใจเจิดจ้าขึ้นในดวงตาของเขาทันที!

หลังจากผ่านการฝึกฝนที่ยากลำบาก จุดตันเถียนของหลิงหยุนก็ขยายใหญ่ขึ้นและแข็งแกร่งขึ้นถึงยี่สิบเท่า และแน่นอนว่าเส้นลมปราณทั่วร่างกายของเขาก็ขยายใหญ่ขึ้นด้วยเช่นกัน

ภายในจุดตันเถียนของหลิงหยุนตอนนี้มีขนาดใหญ่เท่าลูกปิงปอง และพลังอมตะสีขาวและสีดำนั้นก็ไม่ได้หายไปใหน แต่เปลี่ยนเป็นกลุ่มหมอกสีดำและสีขาวที่มีขนาดเท่าเม็ดงาอยู่ในจุดตันเถียนนั่นเอง

แม้ว่าหลิงหยุนจะไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายในได้ แต่เขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่วิเศษในบริเวณจุดตันเถียน ช่างเป็นจุดตันเถียนที่แปลกและวิเศษสุดๆ และยังมีพลังมากอีกด้วย

“ลบคือบวก.. บวกคือลบ.. พลังหยินและหยางสามารถเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาได้ และจากนี้ไปข้าจะมีความสมดุลย์ของหยินหยางไปตลอดกาล.. นี่ต่างหากคือผลลัพธ์ที่แท้จริงของวิชาพลังลับหยินหยาง!”

หลิงหยุนยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น มือของเขายังคงวางอยู่บนหน้าตัก แม้ขาจะชา แต่เขาก็พึมพำออกมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม

สำหรับหลิงหยุนแล้ว.. นี่คือการก้าวสู่ขั้นปรับร่างกายช่วงกลางได้สมบูรณ์แบบอย่างที่เขาคิดไม่ถึงเลยจริงๆ!

หลิงหยุนฝึกฝนอยู่ในที่ที่ไร้แสงอาทิตย์และแสงจันทร์ เขาดื่มด่ำอยู่กับการฝึกฝนจนลืมวันลืมคืน และไม่รู้ว่าได้ใช้เวลาไปกับการฝึกฝนนานเท่าไหร่แล้ว

หลิงหยุนเรียกโทรศัพท์ออกมาจากแหวนพื้นที่เพื่อดูเวลา แต่โทรศัพท์กลับแบตหมดและดับไปแล้ว

หลิงหยุนค่อยๆขยับร่างกายและข้อต่อต่างๆ และไม่อยากสนใจอะไรอีก เพราะตอนนี้เขารู้สึกหิวมากและท้องก็ร้องเสียงดัง

หลิงหยุนมองออกไปไกลๆ และพบว่าร่างของเจ้าขาวปุยนั้นหนาวจนแข็งไปหมด เขานึกขอโทษมันอยู่ในใจ และรีบกระโดดออกไปทันที

“นี่เจ้านั่งดูแลความปลอดภัยให้ข้างั้นรึ? แข็งไปหมดแล้วสิท่า!”

ตั้งแต่ที่หลิงหยุนเริ่มฝึก เจ้าขาวปุยก็ฝึกบ่มเพาะเพื่อสู้กับความเย็นที่รุนแรงของพลังหยิน และไม่ยอมขยับไปใหนแม้แต่ก้าวเดียว

สำหรับหลิงหยุนนั้น เขามาที่นี่เพื่อฝึกวิชาพลังลับหยินหยาง จึงไม่หวาดกลัวต่อความหนาวเย็นของพลังหยิน แต่เจ้าขาวปุยนั้นมีระดับกำลังที่ต่างจากเขา ดังนั้นหลังจากผ่านไปนาน ร่างของมันจึงแข็งไปทั้งร่าง

หลิงหยุนรีบอุ้มมันขึ้นมาในอ้อมแขน จากนั้นก็เรียกยันต์อัคนีออกมาและโยนไปรอบๆพร้อมกับตะโกนสั่ง และลูกไฟสิบกว่าลูกก็ติดขึ้นพร้อมๆกัน

เจ้าขาวปุยซุกตัวเข้าไปในอ้อมแขนของหลิงหยุน ปล่อยให้เขากอดมันไว้แน่นและไม่ยอมขยับเขยื้อน

หลิงหยุนโยนยันต์อัคนีออกไปเพื่อสร้างความอบอุ่นให้กับเจ้าขาวปุย และเมื่อร่างของเจ้าขาวปุยค่อยๆอุ่นขึ้น หลิงหยุนจึงพูดขึ้นว่า “ออกจากที่นี่ แล้วไปหาที่นั่งกินอะไรกันดีกว่า..”

หลังจากนั้นหลิงหยุนก็ใช้เท้าทองคำหมื่นลี้พาร่างของเขาและเจ้าขาวปุยออกไปไกลถึงสามสิบเมตร มุ่งหน้าไปยังถ้ำที่จะนำไปสู่ดวงตามังกรหยาง

แม้หลิงหยุนไม่มีพลังชีวิตเหลืออยู่อีก แต่เขาก็ได้เข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-4 แล้ว และการฝึกวิชาพลังลับหยินหยางก็ประสบความสำเร็จ พลังชี่ภายในร่างกายก็ยังมีเหลือเฟือ เขาจึงไม่ต้องพึ่งพาพลังชีวิตอีก..

พูดอีกอย่างก็คือว่า.. หลิงหยุนสามารถไปที่ใหนก็ได้ในโลกใบนี้!

ในขั้นปรับร่างกาย-4นี้ สายตาของหลิงหยุนดีขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ด้วยแสงจากมุกราตรีตรงหน้าอก ทำให้หลิงหยุนสามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมรอบๆในระยะห้าสิบเมตรได้ชัดเจนมาก

และแม้ว่าจะไม่มีไข่มุกราตรี ในสภาพที่มืดมิดเช่นนี้ หลิงหยุนก็สามารถมองเห็นได้ชัดเจนในระยะสามสิบเมตร

เขาเรียกกระบี่มังกรดำออกมา และใช้มือขวาอุ้มเจ้าขาวปุยไว้ ทั้งคู่มุ่งหน้าไปทางเหนือ ผ่านหินก้อนใหญ่หลายก้อน และในที่สุดก็ไปใกล้บริเวณดวงตามังกรหยาง

ทันทีที่เข้าไปถึงบริเวณใกล้ดวงตามังกรหยาง อุณหภูมิก็เพิ่มขึ้นมากกว่าสามสิบองศาทันที หลิงหยุนมองหาที่แห้งและเรียกเจ้าขาวปุยมากินข้าวด้วยกัน

หลิงหยุนเรียกอาหารและน้ำแร่ที่เตรียมมาด้วยออกมาจากแหวนพื้นที่ และสั่งให้เจ้าขาวปุยกินให้อิ่ม

“อิ่มแล้วจะได้รีบไปเอาน้ำลายมังกรที่ดวงตามังกรหยางกัน!”

ตอนนี้หลิงหยุนและเจ้าขาวปุยอยู่ใต้หุบเขาที่อยู่ระหว่างเขาหยกด้านใต้และเขามังกร และทางด้านตะวันออกของที่นี่จะมีหญ้าน้ำลายมังกรอยู่

เจ้าขาวปุยไม่รู้สึกหนาวอีกแล้ว และกลับคืนสู่สภาพปกติเช่นเดิม..

หลังจากที่หลิงหยุนเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-4 และฝึกวิชาพลังลับหยินหยางสำเร็จ ตอนนี้ไม่ว่าจะเป็นดวงตามังกรหยิน หรือดวงตามังกรหยางล้วนให้ผลกับเขาไม่ต่างกัน และแม้จะไม่มีพลังชีวิตเหลืออยู่ เขาก็ไม่ต้องเกรงกลัวอะไรอีก หลิงหยุนในเวลานี้ไม่ต่างจากนกน้อยที่บินออกจากกรง เขาชื่นชอบความรู้สึกที่เป็นอิสระเสรีเช่นนี้มาก..

หลิงหยุนอยากทดสอบความสามารถของตนเองในตอนนี้ จึงได้ทดลองใช้เท้าทองคำหมื่นลี้วิ่งอย่างสุดกำลัง และพบว่าความเร็วเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจากเมื่อก่อน!

“ยอดเยี่ยมมาก..”

หลิงหยุนเปิดรูขุมขนทั่วร่างกาย และเริ่มดูดซับพลังหยางที่มีเพิ่มมากขึ้น และใช้พลังลับหยินหยางปรับสมดุลย์

“ขาวปุย.. เจ้าเคยมาที่นี่ไม๊?” หลิงหยุนถามเจ้าขาวปุยที่อยู่ข้างๆ

เจ้าขาวปุยส่ายหน้าแทนคำตอบ หลิงหยุนรู้สึกโล่งอก เพราะหากเจ้าขาวปุยเคยมาที่นี่แล้ว คนอื่นๆก็คงจะมาที่นี่ได้ไม่ยากนักเช่นกัน

ดวงตามังกรหยางอยู่ลึกจากแม่น้ำเส้นนั้นลงไปราวหนึ่งร้อยเมตร แม้เส้นทางจะต้องขึ้นๆลงๆ แต่ก็อยู่ไม่ไกลมาก ที่นี่เป็นค่ายกลมังกรหยินหยาง จึงไม่ใช่สถานที่ที่คนธรรมดาจะเข้ามาได้ง่ายๆ

แต่สำหรับหลิงหยุนแล้วมันเป็นเรื่องที่ง่ายมาก เขาเป็นปรมาจารย์ด้านค่ายกล และคุ้นเคยกับค่ายกลชนิดต่างๆ เขาจึงสามารถไปตามจุดหมายที่ต้องการได้อย่างง่ายดาย!

หลิงหยุนยังคงอัตราความเร็วเช่นเดิมแม้ว่าอุณหภูมิจะสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเข้าใกล้ดวงตามังกรหยาง อุณหภูมิจะสูงถึงสี่สิบองศา

“ด้านล่างของดวงตามังกรหยางต้องมีลาวาอย่างแน่นอน”


บทที่ 318 : หลวงจีนกายเพชร

ยิ่งเข้าใกล้ตำแหน่งดวงตามังกรหยางมากขึ้นเท่าไหร่ หลิงหยุนยิ่งสัมผัสได้ถึงพลังหยางบริสุทธิ์ที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ แม้ว่าอุณหภูมิจะสูงมาก แต่เขากลับรู้สึกกำลังอุ่นสบาย

และนี่คือประโยชน์ยิ่งใหญ่ของวิชาพลังลับหยินหยางซึ่งเป็นเทคนิคการบ่มเพาะชั้นสูงอย่างหนึ่งของโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ ไม่เช่นนั้นแล้วเขาคงไม่ลงทุนไปกับการฝึกฝนวิชามากมายถึงเพียงนี้

ดูเหมือนการฝึกบ่มเพาะของเจ้าขาวปุยจะเหมาะสมกับพลังหยางบริสุทธิ์นี้มากกว่า ต่างกับเมื่อตอนที่อยู่ในตำแหน่งดวงตามังกรหยิน มันรู้สึกไม่สบายเหมือนกับอยู่ที่นี่

เดินไปข้างหน้าอีกราวหกสิบเมตร หลิงหยุนก็เข้าไปถึงตำแหน่งดวงตามังกรหยาง

ที่นี่ต่างจากถ้ำดวงตามังกรหยินที่ใหญ่โต เพราะทางเข้าดวงตามังกรหยางนั้นเล็กกว่าหลายเท่านัก ภายในถ้ำก็สูงเพียงหกหรือเจ็ดเมตรเท่านั้น และพื้นที่ข้างในก็ค่อนข้างเล็ก

“อู้ว.. ด้านในมีอารามด้วยหรือนี่?!” เมื่อเดินเข้าไปหลิงหยุนก็พบกับอารามหลังเล็กๆที่สร้างด้วยหินอยู่ด้านใน เขาจึงอุทานออกมาอย่างแปลกใจ

อารามที่อยู่ด้านในนี้สร้างอย่างเรียบง่าย.. ไม่มีแม้กระทั่งป้ายอาราม และไม่มีอาสนะสำหรับให้นักบวชนั่ง แต่หลิงหยุนก็ดูออกว่าสิ่งปลูกสร้างนี้คืออาราม!

แต่สิ่งที่เห็นทำให้หลิงหยุนถึงกับตกใจอย่างมาก!

“สวรรค์!! นี่มัน..”

หลิงหยุนยืนอยู่ห่างจากอารามเล็กๆนั่นเพียงยี่สิบเมตร เขาจึงสามารถมองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน เขามองเห็นหลวงจีนรูปหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ จึงได้เข้าไปดูใกล้ๆ และดวงตาของหลิงหยุนก็เป็นประกายขึ้นมาทันที..

“นี่คือกายเพชรตามตำนานที่เล่าขานกันมา เป็นกายที่เกิดจากการปฏิบัติถึงขั้นสูงสุดตามแนวทางพุทธศาสนา!”

หลิงหยุนตกใจจนถึงกับอ้าปากหวอและนิ่งไปครู่หนึ่ง!

สิ่งที่เขาเห็นคือภาพหลวงจีนกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนอาสนะหิน แสงจากไข่มุกราตรีตกกระทบมือสองข้างที่วางซ้อนกันอยู่บนตก ร่างทั้งร่างของหลวงจีนรูปนี้เป็นสีทองประกายเจิดจ้า หลิงหยุนยิ้มออกมาอย่างดีใจ

‘หลวงจีนรูปนี้นั่งอยู่ที่นี่มานานเท่าไหร่แล้วนะ?’ หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่ในใจเงียบๆ

หลังจากที่หายจากอาการตกใจอยู่นาน หลิงหยุนก็ยกมือขึ้นไหว้สักการะพระรูปนั้น

แม้แต่ในครั้งที่อยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ หลิงหยุนเองก็ไม่เคยพบเห็นหลวงจีนที่มีชื่อเสียงรูปใหนที่มรณะภาพในท่านั่งเช่นนี้มาก่อน และดูเหมือนว่าหลวงจีนรูปนี้คงจะเข้าสู่สภาวะนิพพานที่บริสุทธิ์อันมีผลต่อจิตใจของมนุษย์แล้วอย่างแน่นอน

“โอ้.. นั่น.. นั่น..!!!”

หลิงหยุนรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังได้ยินเสียงระฆัง เสียงกลอง และเสียงสวดมนต์คล้ายกำลังมีการทำวัตรเช้า และหลิงหยุนเองก็รู้สึกดื่มด่ำราวกับอยู่ในพิธีนั้นด้วย

หลิงหยุนยืนอยู่ตรงหน้าหลวงจีนชรารูปนี้ สีหน้าของเขาสงบนิ่ง และดวงตาคู่สวยของเขาก็เปล่งประกายเจิดจ้า จิตใจของหลิงหยุนตื่นขึ้น และสายตาของเขาก็เต็มไปด้วยความหนักแน่น หลิงหยุนรู้สึกราวกับได้ชำระล้างบาปทั้งหลายออกจากจิตใจของตัวเอง

แต่จู่ๆ ดวงตาของหลิงหยุนก็กลับคืนสู่ความบริสุทธิ์ มุมปากของเขาปรากฏรอยยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“ท่านอาวุโส.. เวลาผ่านมาเนิ่นนานเท่าไหร่ไม่อาจนับได้ แต่โชคชะตากลับพาให้เราได้มาพบเจอกันใต้ผืนดินที่ลึกกว่าห้าร้อยเมตรแห่งนี้ หากแม้เราจะเคยเป็นสหายร่วมเดินบนเส้นทางเดียวกันมาก่อน แต่ข้าก็มีทางเดินของตัวเอง จึงไม่อาจยอมรับเส้นทางของท่านได้!”

หลิงหยุนต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะหันหลังกลับไป และเมื่อหันกลับไปด้านหลัง เขาก็พบว่าเจ้าขาวปุยได้วิ่งไปที่ดวงตามังกรหยาง และเริ่มฝึกฝน!

หลิงหยุนได้ฝึกฝนวิชาลับหยินหยางสำเร็จแล้ว เขาจึงไม่จำเป็นต้องนั่งทำสมาธิเหมือนเช่นเคยอีก ร่างกายของเขาสามาถดูดซับพลังหยางบริสุทธิ์จากที่นี่ได้เอง

หลิงหยุนหันกลับไปสำรวจรอบๆต่อ เขาเดินเข้าไปในอารามเล็กๆที่แสนจะธรรมดานี้ แต่กลับสัมผัสได้ว่าภายในอารามที่เรียบง่ายแห่งนี้ล้วนเต็มไปด้วยพลังแห่งพุทธะ และบทสวดมนต์ก็ยังคงดังก้องอยู่ในหู จนเขาเองก็แทบจะต้านทานไม่ไหว

หลิงหยุนรู้สึกว่าเขาไม่ควรอยู่ที่นี่นานนัก มิเช่นนั้นแล้ว หลังจากออกไปจากสถานที่แห่งนี้ เขาคงต้องออกบวชอย่างแน่นอน

หลิงหยุนรีบกวาดสายตาสำรวจไปรอบๆอาราม และเขาก็พบเพียงของใช้สำหรับหลวงจีน ไม่ว่าจะเป็นคฑา สร้อยประคำแขวนพระ บาตร ตะเกียงน้ำมัน และภาชนะรูปน้ำเต้า

หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงหยิบเอาตะเกียงน้ำมันและภาชนะรูปน้ำเต้าเก็บเข้าไปในแหวนพื้นที่ และเตรียมตัวที่จะกลับออกไป

แต่ในจังหวะที่หลิงหยุนกำลังหันเพื่อเดินกลับออกไปนั้น สายตาของเขาก็ไปสะดุดเข้ากับลูกประคำขนาดเท่าเม็ดถั่วในมือของหลวงจีน

หลิงหยุนใจสั่น และค่อยๆเอื้อมมือออกไปหยิบสร้อยปะคำในมือของหลวงจีนขึ้นมาอย่างระมัดระวัง

ลูกประคำนี้ไม่มีประกายแวววาว แต่กลับเป็นสีเทาธรรมชาติ และมีขนาดเท่าเม็ดถั่วขนาดใหญ่

“นี่มันอะไรกัน? ก็ไม่มีอะไรแปลกประหลาดนี่นา…” หลิงหยุนพึมพำในขณะที่จับสร้อยประคำหมุนไปหมุนมา

หลังจากที่สังเกตุอย่างละเอียดอยู่นาน สีหน้าของหลิงหยุนก็เปลี่ยนไปทันที เขาสังเกตุเห็นบนลูกประคำสีเทาพื้นๆนั้น กลับมีลายเส้นที่ลากเชื่อมต่อกันเป็นรูปพระพุทธองค์ที่เปี่ยมด้วยเมตตา

ลายเส้นรูปพระพุทธองค์นี้ ผิวเผินอาจดูเหมือนเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่หากสังเกตให้ดี จะเห็นว่าเป็นฝีมือการแกะสลักของยอดฝีมืออย่างแน่นอน

ลายเส้นที่เป็นรูปพระพุทธองค์นั้นช่างแกะสลักได้อย่างเป็นธรรมชาติ และเผยให้เห็นเสน่ห์แห่งเซ็นที่ไม่อาจอธิบายได้ หลิงหยุนถือไว้ในมือและสัมผัสได้ถึงพลังพุทธะที่อยู่รายล้อม เสียงแห่งพุทธะนั้นก้องกังวานชัดเจนราวกับเสียงระฆัง และตรงเข้าสู่จิตใจของหลิงหยุน..

หลิงหยุนนำสร้อยประคำที่ห้อยอยู่บนโต๊ะหินขึ้นมาเทียบ และพบว่ามันมีสีที่คล้ายคลึงกัน แต่ไม่ใช่สิ่งเดียวกันอย่างแน่นอน

“ช่างน่าอัศจรรย์นัก! เอากลับไปสำรวจต่อที่บ้านดีกว่า..” หลิงหยุนตัดสินใจเก็บสร้อยประคำเข้าไปในแหวนพื้นที่ด้วย

หลังจากที่เก็บน้ำเต้า ตะเกียงน้ำมัน และสร้อยประคำไปแล้ว เสียงสวดมนต์ในอารามก็ดูเหมือนจะค่อยๆเบาลงในทันที หลิงหยุนยิ้มให้กับหลวงจีนชรารูปนั้นอีกครั้ง แล้วจึงก้าวออกจากอารามไป

‘โลกมนุษย์.. เป็นโลกที่ลี้ลับ และไม่ง่ายอย่างที่คิดไว้จริงๆ!’หลิงหยุนถึงกับอึ้ง

หลังจากที่กวาดสายตาไปรอบๆถ้ำหิน และเมื่อเห็นว่าไม่มีทางทะลุไปที่อื่น เขาก็ส่งเสียงเรียกเจ้าขาวปุยที่กำลังฝึกอยู่ให้ออกไปจากที่นี่โดยเร็ว

หลิงหยุนมั่นใจว่าตัวเขานั้นไม่สามารถูกพลังพุทธะ และเสียงพุทธะทำอันตรายได้อย่างแน่นอน แต่สำหรับเจ้าขาวปุยนั้น หากอยู่ที่นี่นานเกินไปอาจจะเกิดปัญหากับมันอย่างแน่นอน

“รีบไปกันดีกว่า!” หลิงหยุนไม่สามารถอยู่ดูดซับพลังหยางที่นี่ได้ เขาบอกเจ้าขาวปุยแล้วรีบก้าวเท้าออกไปทันที

เจ้าขาวปุยนั่งลงมองหลวงจีนชราที่นั่งอยู่ในวัด และไม่ยอมขยับไปใหน

“อย่าทำเช่นนั้น..!” หลิงหยุนเห็นเช่นนั้นจึงรีบอุ้มเจ้าขาวปุยแล้วใช้มังกรพรางร่างกระโดดออกไปไกลราวห้าสิบเมตร และมุ่งหน้าไปยังถ้ำหินฝั่งตรงข้าม

“ขาวปุย.. ขาวปุย..?!” หลิงหยุนวางเจ้าขาวปุยลงบนพื้น แล้วส่งเสียงร้องเรียกสองสามครั้ง แต่เจ้าขาวปุยกลับเพียงแค่ลืมตามองเขา

แววตาที่งุนงงของเจ้าขาวปุยค่อยๆจางหายไป และเริ่มกลับสู่สภาพปกติ แต่มันกลับไม่สามารถร้องหรือแสดงอารมณ์ใดๆได้

“น่าแปลก.. ภาพของหลวงจีนอาวุโสที่มรณะภาพในท่าขัดสมาธินั้นเป็นของจริง หรือเป็นภาพลวงตากันแน่…”

หลิงหยุนพึมพำกับตัวเองอย่างงุนงง และดูเหมือนเขาจะลืมทุกสิ่งที่เพิ่งพบเห็นเมื่อครู่ไปจนหมดสิ้น

แต่ถึงอย่างไร ภาพของหลวงจีนชราที่นั่งขัดสมาธินิพพานพร้อมรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตานั้น ยังคงเป็นภาพที่มีคุณค่าต่อจิตวิญญาณของหลิงหยุน และมันยังคงตราตรึงอยู่ในจิตใจของเขา

หลิงหยุนนึกถึงตำนานเก่าแก่ลี้ลับที่เขาอ่านมาจากอินเทอร์เน็ต แล้วก็อดคิดไม่ได้ว่า ‘หลวงจีนรูปนั้นเป็นใครกันนะ?!’

“ไม่แปลกที่จิตหยั่งรู้ในขั้นพลังชี่-9ของข้าในวันนั้นไม่สามารถสำรวจพบ..”

“ไปที่ตำแหน่งหัวใจกันดีกว่า..” หลิงหยุนอุ้มเจ้าขาวปุยมุ่งหน้าไปทางด้านตะวันออกอีกครั้ง และครั้งนี้เขาสัมผัสได้ถึงพลังของค่ายกลมังกรหยินหยาง

ไม่ว่าจะเป็นถ้ำค้างคาวดูดเลือด หรือโลงศพทองแดงสัมฤทธิ์ทั้งใหญ่และเล็กนั้น ยังไม่ดูลึกลับเท่ากับหลวงจีนชราที่นั่งมรณภาพในท่าขัดสมาธิ

หลิงหยุนได้สำรวจดวงตาของค่ายกลมังกรหยินหยางเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เขาจะเข้าไปเอาน้ำลายมังกร และทันทีที่ได้น้ำลายมังกรเขาก็จะกลับออกไปทันที

ดวงตามังกรหยิน และดวงตามังกรหยางนั้น เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของค่ายกลแห่งนี้ แต่ส่วนสำคัญหลักของค่ายกลแห่งนี้คือตำแหน่งกุญแจมังกร ที่จะทำหน้าที่กักขังมังกรไม่ให้ออกไปที่ทะเลสาปจิงฉู

ไม่รู้ว่าค่ายกลแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นมายาวนานเท่าไหร่แล้ว หลิงหยุนไม่จำเป็นต้องเห็นมังกรตัวจริง แต่เขาก็มั่นใจว่าจะสามารถหาน้ำลายมังกรได้ เพราะในเมื่อมีหญ้าน้ำลายมังกร ด้านล่างก็ต้องมีน้ำลายมังกรเช่นกัน

ยิ่งหลิงหยุนเดินเข้าใกล้ทางด้านตะวันออกมากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายบางอย่าง หลิงหยุนต้องระมัดระวังให้มากขึ้น เพราะด้านหน้าของเขานั้นเป็นตำแหน่งหัวใจมังกรซึ่งเป็นศูนย์รวมของค่ายกลแห่งนี้

หลิงหยุนอาจติดกับดักที่นี่ได้หากไม่ระวัง และเขาเองก็ไม่ต้องการถูกกักขังอยู่ที่นี่เช่นเดียวกับหลวงจีนชรารูปนั้น

‘มังกรอาศัยอยู่ที่ใหนนะ? หรือจะอยู่ใต้แม่น้ำที่มืดมิดแห่งนั้น?’ หลิงหยุนเดินไปพร้อมกับครุ่นคิดอยู่ภายในใจ

‘หรือมังกรพวกนั้นจะหนีออกไปจากค่ายกลแห่งนี้ได้สำเร็จแล้ว เพาะในวันที่ฝนตกหนักจนเกิดหลุมยุบขนาดยักษ์แห่งนี้ ได้ทำลายค่ายกลนี้ไปแล้ว?’

หลิงหยุนเดินไปคิดไป และรีบถอยห่างออกมาจากถ้ำที่เชื่อต่อระหว่างดวงตามังกรทั้งสองข้าง หากตอนนี้เขาอยู่บนพื้นดินด้านบน หญ้าน้ำลายมังกรจะอยู่บริเวณถัดออกไปจากหุบเขาที่อยู่ระหว่างเขาหยกด้านใต้กับเขามังกร

หลิงหยุนเริ่มสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตที่ทรงพลังอย่างมาก เขารู้ได้ทันทีว่ามันคือพลังชีวิตที่กระจายออกมาจากน้ำลายมังกร

ในเมื่อการจะพบมังกรนั้นเป็นเรื่องที่ยากเย็น การจะได้พบน้ำลายมังกรจึงเป็นเรื่องที่ยากเย็นเช่นกัน พลังชีวิตจากน้ำลายมังกรนั้นมีความเข้มข้นกว่าพลังชีวิตที่กระจายออกจากร่างของมังกรเสียอีก หลิงหยุนจึงต้องรีบดูดซับเข้าไปอย่างรวดเร็ว

“หวังว่าหลวงจีนชรานั่นจะไม่หยิบเอาน้ำลายมังกรของข้าไปนะ..” หลิงหยุนเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น

หลวงจีนชราที่บรรลุรูปนี้ ไม่รู้ว่าอาศัยอยู่ในค่ายกลแห่งนี้มานานเท่าไหร่แล้ว และด้วยพลังภายในที่น่ากลัวของเขา หากไม่รู้จักน้ำลายมังกรนั้น หลิงหยุนไม่มีทางเชื่ออย่างแน่นอน

ถ้ำหินเริ่มสูงขึ้นและใหญ่ขึ้น แล้วก็ยิ่งใหญ่ขึ้น.. ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนหลิงหยุนรู้สึกว่าตัวของเขานั้นเล็กนิดเดียว

“สวรรค์!! นั่นมันอะไรกัน?!”

หลิงหยุนเดินเข้าไปจนสุด และสัมผัสได้ว่าพลังชีวิตจากน้ำลายมังกรนั้นเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เขาเห็นกำแพงที่วางขวางเป็นแนวนอนสีดำ

กำแพงสีดำ!!

กำแพงนี้ไม่ได้น่าหวาดกลัว แต่สิ่งที่ทำให้หลิงหยุนตกใจสุดขีดคือกำแพงค่อยๆเคลื่อนที่เองอย่างช้าๆ


บทที่ 319 : ข่าวเรื่องสมุดจักรพรรดิ

เมื่อเห็นกำแพงสีดำเคลื่อนที่ได้เอง หลิงหยุนก็ถึงกับตกใจและเจ้าขาวปุยเองก็ถึงกับหวาดกลัวเช่นกัน มันกัดชายเสื้อของหลิงหยุนไว้แน่นไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้

‘หากเป็นมังกรจริงๆ คงไม่มีทางหลบหนีได้?’ หลิงหยุนครุ่นคิดพร้อมกับสำรวจดูทางหนีทีไล่

เพราะหากเป็นมังกรจริงๆ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าด้วยความสามารถในขั้นปรับร่างกาย-4 ของหลิงหยุนนั้น ไม่มีทางที่เขาจะต่อกรกับมันได้อย่างแน่นอน!

‘ไม่ต้องกลัว.. ข้าขอเข้าไปดูหน่อยเดียว..’ หลิงหยุนส่งกระแสจิตบอกกับเจ้าขาวปุย เขาไม่กล้าแม้แต่จะกระซิบออกมา

ตอนนี้ไข่มุกราตรีทั้งหมดก็ถูกเก็บเข้าไปในแหวนพื้นที่แล้ว หลิงหยุนจึงค่อยๆขยับตัวเข้าไปใกล้กำแพงสีดำนั่นด้วยความตื่นเต้น และกระตือรือร้นอย่างมาก

แต่เพียงแค่เห็นหลิงหยุนก็ถึงกับตกใจสุดขีด!

มันไม่ใช่กำแพงสีดำ.. แต่เป็นลำตัวของงูที่มีขนาดใหญ่มโหฬาร ใหญ่กว่างูเหลือมยักษ์ที่เขาเพิ่งพบมาหลายเท่านัก แต่ก็ไม่ใช่มังกรแน่ๆเพราะมันไม่มีขา น่าจะเป็นงูเหลือมที่มีขนาดใหญ่มโหฬารมากกว่า

ลำตัวของมันใหญ่และยาวมาก จนกระทั่งหลิงหยุนไม่สามารถมองเห็นหัวของมันได้ เพราะลำตัวของมันนั้นยาวสุดลูกหูลูกตา ยาวจนแม้แต่สายตาของเขาก็ไม่สามารถมองเห็นมองเห็นหัวของมันได้

ขนาดลำตัวของมันนั้นสูงเท่ากับร่างของหลิงหยุน และเกล็ดของมันหนึ่งเกล็ดก็มีขนาดเท่ากับอ่างล้างหน้า และมีสำดำแวววาว

ไม่ว่าจะเป็นบนสวรรค์หรือโลกมนุษย์ หากสถานที่ใดมีของวิเศษหรือสมับติล้ำค่าอยู่ ก็ย่อมต้องมีผู้พิทักษ์เป็นธรรมดา เป็นเรื่องที่หลิงหยุนเข้าใจได้ดี เพียงแต่เขาคิดไม่ถึงว่าผู้พิทักษ์น้ำลายมังกรจะเป็นงูขนาดมโหฬารเช่นนี้

หลิงหยุนเรียกกระบี่มังกรดำขึ้นมาถือไว้ในมือในขณะที่ยืนอยู่ท่ามกลางถ้ำที่มืดมิด เขารู้สึกว่าครั้งนี้เป็นครั้งที่เขาตัดสินใจได้ลำบากที่สุด..

‘เจ้ายังต้องการน้ำลายมังกรอยู่หรือไม่..หลิงหยุน? หากต้องการ.. เจ้าจะสามารถเอาชนะงูยักษ์นี้ได้งั้นรึ? หากไม่.. เจ้าก็ต้องรีบหนีออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด?’

การจะฆ่างูที่มีลำตัวใหญ่มโหฬารถึงเพียงนี้ หลิงหยุนรู้ดีว่ากำลังในขั้นปรับร่างกาย-4 ของเขานั้นยังไม่เพียงพอ ต่อให้ใช้พู่กันจักรพรรดิก็ตามที!

พู่กันจักรพรรดิอาจสามารถแทงและกรีดเกล็ดที่ใหญ่ยักษ์ของมันได้ แต่แล้วยังไง? สำหรับงูที่มีลำตัวใหญ่ถึงเพียงนี้ การทำเช่นนั้นกับเจ้างูยักษ์คงจะทำให้มันรู้สึกไม่ต่างจากการถูกยุงกัด!

หลิงหยุนกัดฟันและต้องการที่จะล้มเลิกความตั้งใจ และรอให้เข้าสู่ขั้นที่แข็งแกร่งกว่านี้ก่อน จึงค่อยกลับมาที่นี่อีกครั้ง! แต่ปัญหาก็คือ.. มันไม่ใช่เพียงแค่น้ำลายมังกรเท่านั้น!

บริเวณนี้คือหัวใจของค่ายกลมังกรหยินหยาง แน่นอนว่าต้องมีสมบัติล้ำค่าอีกมากมาย หากจะบอกว่าหลิงหยุนไม่ต้องการ ก็คงจะเป็นการพูดโกหก..

‘ขาวปุย.. หรือเราจะลองดู?!’

ภายในถ้ำแห่งนี้ค่อนข้างใหญ่โตมาก และเจ้างูยักษ์นี้ก็ยังไม่ขยับตัว เขากับเจ้าขาวปุยอาจจะหาช่องว่างที่จะสามารถแอบเข้าไปข้างใน?

หลิงหยุนตัดใจทิ้งสมบัติล้ำค่าตรงหน้านี้ไปไม่ได้ อย่างน้อยถ้านำกลับไปด้วยไม่ได้ ขอแค่เห็นก็ยังดี แล้วค่อยกลับมาเอาใหม่ครั้งหน้า

เจ้าขาวปุยเห็นสายตาของหลิงหยุนที่มองเข้าไปด้านใน มันก็ได้แต่พยักหน้าด้วยความกลัว

หลิงหยุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้นว่า “หากเจ้าไม่อยากเข้าไป เจ้าก็ไปหาที่หลบซ่อนคอยข้า ข้าจะเข้าไปดูข้างใน ถ้าเอากลับไปได้ ข้าก็จะเอา แต่ถ้าเอากลับไปไม่ได้ ข้าก็ไม่เอา..”

เมื่อเจ้าขาวปุยเห็นหลิงหยุนอนุญาตให้มันหลบไปซ่อนตัวได้ มันก็ส่ายหน้าปฏิเสธทันที มันมองหลิงหยุนด้วยแววตาเป็นประกาย

“เอาล่ะ.. งั้นก็ไปกันได้แล้ว!” หลิงหยุนบอกเจ้าขาวปุยยิ้มๆ

แต่เพียงแค่เอ่ยปาก.. หลิงหยุนก็ได้ยินเสียงดังอยู่ทางด้านหน้า มีเสียงคนตะโกนคุยกันออกมาเสียงดังครั้งแล้วครั้งเล่า และเขาก็เริ่มเห็นร่างใหญ่มโหฬารของเจ้างูยักษ์เริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้ง!

“แย่แล้ว.. เพราะเจ้าคนโง่พวกนั้นทีเดียว!” หลิงหยุนรีบอุ้มเจ้าขาวปุยหลบหนีทันที

หากไม่มีเสียงคนร้องตะโกน หลิงหยุนมั่นใจว่าเขากับเจ้าขาวปุยจะสามารถแอบเข้าไปสำหรวจบริเวณตำแหน่งหัวใจที่อยู่ด้านหลังของเจ้างูยักษ์นี้ได้อย่างแน่นอน อีกทั้งยังสามารถกลับออกมาได้อย่างสบายๆ

แต่ตอนนี้ เสียงคนตะโกนคุยกันกลับปลุกเจ้างูยักษ์เฝ้าสมบัตินี้ให้ตื่น!

ในเมื่อเจ้างูยักษ์มันตื่นขึ้นมาแล้ว.. และตอนนี้หลิงหยุนเองก็ได้เข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-4 แล้ว และยังมีพลังชีวิตที่กระจายออกมาจากน้ำลายมังกรอีก หลิงหยุนจึงตัดสินใจที่จะลองดู..

เนื่องจากบริเวณนี้เป็นตำแหน่งหัวใจมังกร จึงมีทางที่สามารถทะลุเข้าสู่ถ้ำแห่งนี้ได้หลายทาง และหยิงหยุนก็มั่นใจว่าคนพวกนั้นต้องเข้ามาอีกทางอย่างแน่นอน

ร่างของหลิงหยุนพุ่งไปข้างหน้า ในขณะเดียวกันเขาก็ได้ยินเสียงคล้ายเหล็กกระทบกัน แล้วก็มีเสียงคนร้องตะโกนออกมา “งูเหลือมนี้ตัวใหญ่มากเกินไป ไม่สามารถตัดมันขาดได้!”

หลิงหยุนถอนหายใจพร้อมกับคิดในใจว่า งูยักษ์ตัวนี้ไม่สามารถใช้อาวุธธรรมดาจัดการได้ เพราะฉะนั้นกระบี่มังกรดำที่อยู่ในมือของเขา ก็อาจจะใช้ไม่ได้เช่นกัน!

หลิงหยุนค่อนข้างมั่นใจว่า ผู้ที่สามารถเข้ามาจนถึงค่ายกลมังกรหยินหยางแห่งนี้ได้นั้น จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ อย่างน้อยๆก็ต้องเป็นผู้ที่ฝึกวิทยายุทธมา ไม่เช่นนั้นแล้ว คงจะไม่สามารถรักษาชีวิตจนเข้ามาถึงจุดนี้ได้แน่

ดูเหมือนเจ้างูเหลือมยักษ์ตัวนี้ยังไม่โกรธ หลิงหยุนจึงค่อยๆหลบออกจากเส้นทางเลื้อยของมัน และรีบมุ่งหน้าไปยังบริเวณหัวใจมังกรทันที!

“ขาวปุย.. กอดข้าไว้ให้แน่นๆล่ะ!”

หลิงหยุนไม่โง่ถึงขนาดที่จะยั่วยุเจ้างูยักษ์ตัวนี้แน่ เขาสัมผัสได้ถึงพลังชีวิตเข้มข้นที่กระจายออกมาจากน้ำลายมังกร เขามองเห็นบ่อหินที่ด้านในมีสีขาวขุ่นคล้ายนม ของเหลวที่อยู่ในนั้นต้องเป็นน้ำลายมังกรอย่างแน่นอน!

ลำตัวขนาดยักษ์ของเจ้างูเหลือมค่อยๆเลื้อยไปขดเป็นวงกลมหลายชั้นล้อมรอบบ่อน้ำลายมังกรไว้ ลำตัวส่วนหัวของมันตั้งสูงขึ้นมากกว่าสิบเมตร ดวงตาสองข้างของมันมีขนาดใหญ่เท่าลูกบาสเก็ตบอลและส่องสว่างราวกับหลอดไฟ แววตาของมันที่จ้องมองไปยังผู้คนที่อยู่บนพื้นนั้นดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความโกรธ

หลิงหยุนรีบวิ่งไปทางด้านหางของงูยักษ์อย่างเงียบๆ เขากระโดดขึ้นและมองไปยังช่องที่เป็นรูขนาดใหญ่

หลิงหยุนเห็นคนราวแปดหรือเก้าคนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง และรู้สึกดีใจและแปลกใจไม่น้อยที่เห็นตู้กู่โม่อยู่ที่นั่นด้วย

มีคนราวแปดหรือเก้าคนอยู่ทางด้านโน้น เขารู้สึกดีใจและแปลกใจไม่น้อยที่เห็นตู้กู่โม่อยู่ที่นั่นด้วย ในเวลานั้นชายที่ถือกระบี่ในมือเพื่อใช้โจมตีเจ้างูยักษ์ก็หันมาเห็นหลิงหยุนพอดี เขามองหลิงหยุนด้วยสีหน้าตกใจพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“มีคนมาที่นี่ด้วย! ดูท่ามันคงต้องได้ข่าวเรื่องสมุดจักรพรรดิแน่!”

หลิงหยุนอดคิดไม่ได้ว่า.. จะตะโกนหาสวรรค์วิมารอะไรกัน! เขาไม่สนใจตู้กู่โม่ที่มีสีหน้าตกใจอย่างมาก แต่กลับรีบหันไปมองประตูหินสามบานที่อยู่ในถ้ำ!

หลิงหยุนมองเห็นประตูถ้ำได้อย่างชัดเจน ภายในถ้ำนั้นนอกจากน้ำลายมังกรแล้วก็ไม่มีอย่างอื่นอีก ไม่มีอะไรเลยจริงๆ ดังนั้นหากจะมีสมบัติล้ำค่าอยู่ที่นี่จริง ก็จะต้องอยู่ด้านหลังประตูหินสามบานนี้อย่างแน่นอน

‘อะไรนะ?! สมุดจักรพรรดิงั้นรึ?!’ หลิงหยุนได้ยินเสียงที่ชายคนนั้นร้องตะโกนออกมา!

หลิงหยุนมีพู่กันจักรพรรดิแล้ว.. แต่ตอนนี้กลับได้ยินว่าที่นี่มีสมุดจักรพรรดิอีก และแน่นอนว่ามันจะต้องเป็นสมบัติล้ำค่าไม่ต่างจากพู่กันจักรพรรดิด้ามนี้แน่ เมื่อคิดได้เช่นนั้น หลิงหยุนจึงเปลี่ยนใจและหยุดเรื่องการเอาไปเอาน้ำลายมังกรไว้ชั่วคราวก่อน!

ตอนนี้ หางของเจ้างูเหลือมยักษ์ที่มีขนาดใหญ่มากนั้น ได้สะบัดเข้าใส่ตู้กู่โม่และคนอื่นๆกระเด็นออกไป!

ทั้งเก้าคนที่มาที่นี่นั้น ล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-8 ขึ้นไป พวกเขาจึงสามารถกระโดดหลบได้ทันและไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย

เจ้างูเหลือมยักษ์ไม่สามารถทำอันตรายคนพวกนั้นได้แม้แต่น้อย มันจึงเริ่มโกรธและฟาดหางที่ใหญ่โตของมันออกไปอีกครั้ง ในขณะที่คนพวกนั้นสามารถหลบการโจมตีของมันได้อีก เจ้างูยักษ์ก็ฉกปากที่กว้างใหญ่ของมันเข้าไปที่ชายคนหนึ่ง!

ดูเหมือนว่าชายผู้นั้นน่าจะอยู่ในขั้นโฮว่เทียน-9 คนผู้นั้นมองงูยักษ์ที่ฉกเข้าใส่อย่างไม่มีทีท่าตื่นตระหนกแม้แต่น้อย จากนั้นก็ค่อยๆกระโดดหลบกลางอากาศ และสามารถหลบพ้นจากการโจมตีของเจ้างูยักษ์ได้

‘ยอดเยี่ยมมาก!’ หลิงหยุนมองฉากหลบที่สวยงามและแอบนึกชื่นชมอยู่ในใจ

แต่ตอนนี้ดูเหมือนเจ้างูยักษ์จะโกรธมากทีเดียว มันไม่รอให้ยอดฝีมือผู้นั้นร่อนลงสู่พื้นดิน หัวของมันพุ่งเข้าใส่เขาอีกครั้งอย่างดุร้าย

หากครั้งนี้ยอดฝีมือผู้นั้นไม่สามารถหลบได้แล้วล่ะก็ เขาจะต้องตายทันทีอย่างแน่นอน แต่ดูท่ายอดฝีมือผู้นั้นก็ไม่ได้เกรงกลัวอันตรายเลยแม้แต่น้อย มือขวาที่ถือดาบอยู่พุ่งเข้าใส่หัวของเจ้างูยักษ์ และเปิดฉากต่อสู้กับมันอย่างจริงจัง

หลิงหยุนเพียงแค่คิดอยู่ในใจว่า.. หากยอดฝีมือเหล่านี้ไม่ร่วมมือกันโจมตีเจ้างูยักษ์นี้พร้อมๆกัน ก็ไม่มีทางที่จะฆ่ามันได้อย่างแน่นอน

ตู้กู่โม่กระโดดหลบการโจมตีของงูยักษ์ เขาตรงเข้ามายืนอยู่หน้าหลิงหยุนพร้อมกับถามยิ้มๆ “หลิงหยุน.. ไม่คิดว่าจะพบเจ้าที่นี่!”

หลิงหยุนตอบกลับไปว่า “นั่นสิ.. นี่ล่ะมั้งที่เรียกว่าพรหมลิขิต อยู่ไกลกันแค่ใหนก็ต้องมาพบกันจนได้..”

หลิงหยุนกับเจ้าขาวปุยกระโดดหลบไปอยู่ด้านข้างของถ้ำหิน เพื่อหลบรัศมีการโจมตีของเจ้างูยักษ์ และตู้กู่โม่ก็ตามไปด้วยเช่นกัน

ตู้กู่โม่มองหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น “ข้าไม่เจอเจ้าแค่สองสามวัน ดูเหมือนกำลังภายในของเจ้าจะพัฒนาขึ้นมาก เจ้าใช้เคล็ดวิชาอะไรฝึกกำลังภายในกันแน่ ทำไมถึงได้ก้าวหน้ารวดเร็วแบบนี้?!”

หลิงหยุนมองตู้กู่โม่พร้อมกับหัวเราะ “ฉันยังไม่ก้าวหน้าไปถึงใหนเลย? แล้วนายล่ะ.. ตอนนี้เข้าสู่ขั้นโฮว่เทียน-9 แล้วสินะ?!”

ตู้กู่โม่รู้สึกแปลกใจ “เจ้ารู้ได้ยังไง? นี่เจ้าดูออกด้วยรึ?”

หลิงหยุนเพียงแค่ยิ้มและไม่ได้ตอบอะไร แต่กลับไปถามถึงยอดฝีมือที่กำลังถูกงูยักษ์โจมตีอยู่ในขณะนี้ “คนพวกนั้นมากับนายรึเปล่า?”

ตู้กู่โม่ส่ายหน้าทันที “ข้ามาคนเดียว แต่บังเอิญมาเจอกันข้างล่าง คนพวกนั้นเป็นคนของตระกูลเก่าแก่ กับนิกายลับ..”

หลิงหยุนถามเสียงเรียบ “ฉันได้ยินใครบางคนพูดถึงสมุดจักรพรรดิ.. อะไรคือสมุดจักรพรรดิ? ที่นี่มีของแบบนี้ด้วยเหรอ?”

ตู้กู่โม่ขมวดคิ้ว “หลิงหยุน.. เจ้าไม่รู้หรือยังไงว่าประเทศจีนมีตำนานเรื่องสมุดจักรพรรดิ และก็เกิดขึ้นที่เมืองจิงฉูแห่งนี้ ตอนนี้พู่กันจักรพรรดิก็ถือกำเนิดแล้ว และที่นี่ก็มีสิ่งลี้ลับมากมาย นี่เป็นหลุมยุบขนาดใหญ่ ใครๆก็ต้องคิดว่าด้านล่างนี้ต้องเป็นจุดกำเนิดของสมุดจักรพรรดิอย่างแน่นอน!”

หลิงหยุนยกมือขึ้นและใช้กระบี่ปัดเศษหินที่กระเด็นลอยมา “พู่กันจักรพรรดิถือกำเนิดขึ้นแล้วงั้นเหรอ ฉันไม่เห็นจะเคยได้ยินเลย? มีคนสร้างข่าวลือขึ้นมาเองรึเปล่า?”

ตู้กู่โม่ส่ายหน้าพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ไม่หรอก.. พู่กันจักรพรรดิปรากฏขึ้นแล้วจริงๆ มันเป็นเรื่องจริง แม้ว่าจะไม่มีใครเคยเห็นแต่..”

จู่ๆตู้กู่โม่ก็เงียบไปเฉยๆ แล้วก็ไม่พูดอะไรต่ออีก แต่หลิงหยุนได้ยินเพียงแค่นั้นก็ถึงกับตกใจ!


บทที่ 320 : กระบี่โลหิตแดนใต้ – นายน้อยแห่งนิกายมาร

สมองของหลิงหยุนประมวลหาข้อสรุปจากข้อมูลที่ได้คุยกับตู้กู่โม่ในช่วงเวลาสั้นๆ

ข้อแรก.. ตอนนี้ทั้งตระกูลเก่าแก่และนิกายลับต่างก็รู้ว่าพู่กันจักรพรรดิได้กำเนิดขึ้นแล้ว และรู้แม้กระทั่งว่าพู่กันจักรพรรดิอยู่ในเมืองจิงฉู

ข้อสอง.. จากตำนานโบร่ำราณของชาวจีน พู่กันจักรพรรดิและสมุดจักรพรรดินั้นจะถือกำเนิดในเมืองจิงฉู และพู่กันจักรพรรดิก็ได้ถือกำเนิดในเมืองจิงฉูเรียบร้อยแล้ว และตอนนี้ก็อยู่ในแหวนพื้นที่ของหลิงหยุน ดังนั้นตามตำนานที่เล่าลือกันว่าสมุดจักรพรรดิจะถือกำเนิดที่เมืองจิงฉูนั้นก็น่าจะเป็นความจริงเช่นกัน

และสุดท้าย.. ปรากฏการณ์มังกรเล่นน้ำ เหตุการณ์ฝนตกหนักอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และปรากฏการณ์หลุมยุบขนาดใหญ่ ทั้งสามสิ่งนี้เกิดขึ้นในวันเดียวกันหลังจากที่พู่กันจักรพรรดิจดจำหลิงหยุนได้

เพราะฉะนั้น.. ภายในค่ายกลมังกรหยินหยางแห่งนี้ จึงมีความเป็นไปได้อย่างมากว่าจะมีสมุดจักรพรรดิอยู่จริงๆ

ว่ากันว่าจักรพรรดิแห่งผืนดินนั้นคือฝูซี.. แต่จะเป็นเช่นนั้นจริงๆหรือไม่? เพราะจากตำนานลี้ลับและตำนานโบร่ำโบราณที่หลิงหยุนไปค้นคว้ามานั้น มีทั้งจักรพรรดิแห่งสรวงสวรรค์ จักรพรรดิแห่งผืนแผ่นดิน และจักรพรรดิแห่งมวลมนุษยชาติ ผู้คนส่วนมากยังเข้าใจว่าจักรพรรดิแห่งผืนแผ่นดินนั้นคือ.. เสินหนง!

เป็นไปได้หรือไม่ว่าค่ายกลมังกรหยินหยางแห่งนี้ เสินหนงจะเป็นผู้สร้างขึ้น? ขนาดพู่กันจักรพรรดิยังยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ คงไม่ต้องพูดถึงความอัศจรรย์ของสมุดจักรพรรดิ?

แม้ในหัวของหลิงหยุนจะมีความคิดมากมายผุดขึ้นมา แต่สีหน้าของเขากลับสงบนิ่งราวกับไม่ใส่ใจ เขาส่ายหน้าอย่างไม่แยแสพร้อมกับพูดยิ้มๆ

“มันก็เป็นแค่ตำนานโบร่ำโบราณ นายจะจริงจังไปทำไมกัน.. ตลกสิ้นดี!”

ท่ามกลางความมืดมิด ร่างของตู้กู่โม่ตั้งตรงอย่างระวังตัว และดาบในมือของเขาก็พุ่งเข้าใส่หางของเจ้างูยักษ์ที่จู่โจมเข้ามากะทันหัน ตู้กู่โม่ยิ้มพร้อมกับพยักเพยิดไปทางงูยักษ์ตรงหน้าพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“นี่น่ะเหรอ.. มีแต่ในตำนาน? ในสายตาของคนธรรมดา เรื่องพวกนี้อาจเป็นแค่เรื่องลี้ลับ แต่ดูเจ้างูยักษ์นี่สิ เจ้าเคยเห็นงูใหญ่ขนาดนี้มาก่อนงั้นเหรอ? ดูเหมือนจะใหญ่กว่ามังกรในตำนานอีกนะ แล้วจะอธิบายสิ่งที่เห็นอยู่นี้ว่ายังไง?”

หลิงหยุนยิ้มเยาะในใจ เขามองไปที่ร่างงูยักษ์อย่างผยองพร้อมกับคิดในใจว่า ‘มันก็แค่งูที่มีขนาดใหญ่เท่านั้นเอง!’

แต่หลังจากที่สังเกตุดูเจ้างูยักษ์มานาน หลิงหยุนก็เริ่มเห็นว่าขนาดของเจ้างูยักษ์ตัวนี้ไม่ได้มาตรฐาน เพราะหัวของมันกลับดูไม่โตเต็มที่

‘ช่างโชคร้าย.. วันนี้มียอดฝีมือมากมายอยู่ที่นี่ เจ้ายักษ์นี่คงจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ลำบากซะแล้ว..’ หลิงหยุนนึกสงสารอยู่ในใจเงียบๆ

ในขณะเดียวกันหลิงหยุนเองก็เริ่มสังเกตุเห็นความผิดปกติของร่างกายตัวเอง แม้ที่นี่จะมีพลังชีวิตจากน้ำลายมังกรเข้มข้นมาก และหลิงหยุนก็ได้เปิดรูขุมขนดูดซับเข้าไปเป็นเวลานานแล้ว แต่กลับดูเหมือนว่ามันยังไม่เต็มเสียที!

 ‘หลังจากเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-4 แล้ว จุดตันเถียนและเส้นลมปราณของข้าขยายใหญ่แค่ใหนกัน? แต่ก็น่าจะไม่เกินสองเท่าจากขั้นสามนี่นา และต่อให้ฝึกดารกะดายันถึงขั้นสองแล้ว ก็ไม่น่าจะขยายใหญ่ไปมากกว่าสองเท่าได้ แล้วทำไมดูดซับพลังชีวิตเข้าไปมากเท่าไหร่ก็ยังไม่เต็มล่ะ?’

ความจริงแล้ว ตอนนี้ร่างกายของหลิงหยุนไม่เพียงดูดซับพลังชีวิตได้ในปริมาณมาก แต่ยังดูดซับได้เร็วอีกด้วย! เรียกได้ว่าเร็วกว่าขั้นปรับร่างกายสามหลายเท่ามาก!

‘เกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของข้า? น่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถมองเห็นร่างกายภายในของตัวเองได้ ไม่เช่นนั้นข้าก็คงจะรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่!’

หลิงหยุนไม่รู้ว่าตอนนี้พลังชีวิตในร่างกายของเขานั้นได้แบ่งออกเป็นห้าสาย – สายแรกเป็นพลังอมตะที่อยู่ตรงจุดกึ่งกลางศรีษะด้านบน.. เป็นสีฟ้า สายที่สองเป็นพลังอมตะที่อยู่ตรงตำแหน่งดวงตาที่สามหว่างคิ้ว.. เป็นสีทองอ่อน สายที่สามและสี่เป็นพลังอมตะที่อยู่ภายในจุดตันเถียน.. มีสีขาวและสีดำ ส่วนสายที่ห้านั้นเป็นพลังรูปมังกรที่เกิดจากการหลวมรวมระหว่างพลังอมตะและปราณมังกร!

ในการฝึกวิชาพลังลับหยินหยางเพื่อเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-4 ในครั้งนี้ หลิงหยุนใช้ทั้งพลังอมตะที่หลงเหลือจากขั้นอมตะเมื่อครั้งที่อยู่ในโลกบ่มเพาะ พลังอมตะจากพู่กันจักรพรรดิ และพลังหยินจากดวงตามังกรหยิน ช่างเป็นการฝึกฝนที่สิ้นเปลืองมากจริงๆ!?

ดังนั้น แม้ว่าจะอยู่ในขั้นปรับร่างกาย-4 เหมือนกัน แต่ความแข็งแกร่งของหลิงหยุนในขั้นนี้บนโลกมนุษย์ กลับเหนือกว่าเมื่อครั้งอยู่ในโลกบ่มเพาะมากมายนัก

“นั่นมัน.. จิ้งจอกสองหางสีขาว ช่างเป็นจิ้งจอกที่สวยงามนัก..” ตู้กู่โม่เพิ่งจะสังเกตุเห็นเจ้าขาวปุย ดวงตาทั้งคู่ของเขาเป็นประกายพร้อมกับร้องออกมาอย่างตื่นเต้น

เจ้าขาวปุยมองตู้กู่โม่ที่กำลังจ้องมองมันอย่างเย็นชา จากนั้นก็รีบวิ่งไปซ่อนอยู่ด้านหลังของหลิยหยุน

แต่หลิงหยุนกลับเม้มริมฝีปากจ้องมองเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นตรงหน้าโดยไม่สนใจคำพูดของตู้กู่โม่ เขากำลังครุ่นคิดว่าจะฉวยโอกาสเข้าไปเอาน้ำลายมังกรได้อย่างไร

แม้ว่าเจ้างูยักษ์นี้จะมีพละกำลังมากมาย แม้ลำตัวด้านบนและหางของมันจะสะบัดไปมาอย่างรุนแรง แต่ลำตัวกว่ายี่สิบเมตรที่อยู่ตรงกลางนั้นกลับล้อมบ่อหินที่มีน้ำลายมังกรอยู่นิ่งไม่ขยับเขยื้อน

แม้ว่ายอดฝีมือพวกนั้นจะเก่งมาก แต่ก็ถูกจู่โจมอย่างรุนแรงจากเจ้างูยักษ์อย่างต่อเนื่องและค่อนข้างอันตราย

อีกทั้งเกล็ดใหญ่ยักษ์ของมันนั้นก็เหนือกว่าโล่ที่ทำจากเหล็กเสียอีก อาวุธในมือของเหล่ายอดฝีมือต่างก็ไม่สามารถตัดขาดได้

หากจะเทียบเรื่องการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วแล้ว เขาเองก็ไม่อยากจะโอ้อวด ยอดฝีมือเหล่านี้ไม่มีทางเคลื่อนไหวได้รวดเร็วกว่าเขาแน่ แม้แต่เจ้าเขาปุยก็ตาม!

“นี่.. กระบี่ดำในมือเจ้า..? ดูเหมือนจะเป็น…”

ตู้กู่โม่สัมผัสได้ถึงความเย็นชาของเจ้าขาวปุย เขาจึงหันมาสนใจกระบี่มังกรดำในมือของหลิงหยุน และดวงตาของตู้กู่โม่กลับยิ่งอัศจรรย์ใจมากขึ้น..

กระบี่มังกรดำในมือของหลิงหยุนนั้นเป็นสีดำตลอดทั้งด้าม และมีสามจุดที่ดำสนิทยิ่งกว่าหลุมดำขนาดใหญ่

หลิงหยุนมองตู้กู่โม่ตาโตพร้อมกับถามขึ้นว่า “ทำไมต้องตกใจขนาดนั้น.. นายรู้เหรอว่ามันคือกระบี่อะไร?”

ตู้กู่โม่ก้าวเข้าไปใกล้หลิงหยุน และโน้มตัวลงดูกระบี่มังกรดำในมือหลิงหยุนใกล้ๆ เขาจ้องมองอยู่นาน และจู่ๆก็นิ่งอึ้งพร้อมกับกระโดดถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว..

หลังจากกระโดดถอยหลังออกไปไกลถึงห้าก้าว ตู้กู่โม่ก็หยุดพร้อมกับชี้ไปที่กระบี่สีดำในมือของหลิงหยุน

“นั่น.. นั่นดูเหมือนจะเป็นกระบี่โลหิตแดนใต้! นี่มันไปอยู่ในมือเจ้าได้ยังไงกัน? หลิงหยุน.. เจ้า.. เจ้าเป็นคนของนิกายมารงั้นรึ?!”

“กระบี่โลหิตแดนใต้เหรอ?!” หลิงหยุนคิดว่าชื่อของมันฟังดูน่ากลัวพอควร เขามองดูกระบี่สีดำในมือพร้อมกับส่ายหน้าไปมา จากนั้นก็ตะโกนใส่ตู้กู่โม่ว่า

“นายพร่ามอะไรกัน.. มันก็เป็นแค่ตำนานเรื่องเล่า?”

แม้ว่าตู้กู่โม่จะเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-9 ในขณะที่หลิงหยุนเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-4 ความสามารถและความเร็วของเขาจึงแตกต่างจากเมื่อก่อน และตอนนี้หลิงหยุนก็มีกำลังภายในแล้ว วิทยายุทธบางอย่างของเขาก็น่าจะเหนือกว่าตู้กู่โม่ หลิงหยุนจึงไม่จำเป็นต้องสุภาพกับเขานัก..

ในคืนที่ไปช่วยเฉิงเม่ยเฟิง หลิงหยุนได้รับความช่วยเหลือกจากพู่กันจักรพรรดิจนสามารถเข้าสู่ขั้นพลังชี่-9 ได้ชั่วคราว และในคืนนั้นเขาก็ได้ต่อสู้กับยอดฝีมือในขั้นต่างๆ ทำให้สามารถรู้และเข้าใจความแข็งแกร่งของแต่ละขั้นเป็นอย่างดี

“หลิงหยุน.. นี่เจ้าไม่ใช่นายน้อยแห่งนิกายมารใช่ไม๊? แต่ไม่น่าเป็นไปได้.. ข้าได้ยินมาว่ากระบี่โลหิตแดนใต้นั้นได้หายสาบสูญไปนับพันปีแล้วนี่นา.. หรือว่าข้าจะเข้าใจอะไรผิดไป?”

ตู้กู่โม่ยังคงยืนสำรวจกระบี่สีดำซ้ำแล้วซ้ำอีก ในขณะเดียวกันก็รีบกระโดดออกจากหินขนาดใหญ่เพื่อหลบหางของเจ้างูยักษ์พร้อมกับถามหลิงหยุนว่า

“เจ้ามีกระบี่.. แล้วมีฝักของมันด้วยไม๊? เพราะถ้าบนฝักของมันมีรูปมังกรสีดำ กระบี่เล่มนี้ก็ต้องเป็นกระบี่โลหิตแดนใต้อย่างแน่นนอน ข้าเคยอ่านในหนังสือเก่าแก่ของตระกูล…”

หลิงหยุนได้ฟังแล้วถึงกับช็อคไปอีกครั้ง พร้อมกับคิดในใจว่ากระบี่สีดำด้ามนี้ที่ฝักแกะสลักเป็นรูปมังกรดำที่ราวกับมีชีวิตจริงๆด้วย!

“หลิงหยุน.. หากเจ้าไม่ใช่คนของนิกายมาร ข้าขอแนะนำให้เจ้าทิ้งกระบี่นั่นไปซะ! มีเรื่องเล่าขานกันว่ากระบี่เล่มนี้เป็นกระบี่มาร ไม่เพียงแค่มันชอบดื่มเลือดแต่ยังสามารถควบคุมจิตใจมนุษย์ได้อีกด้วย ผู้ใดครอบครองจะค่อยๆสูญเสียความเป็นมนุษย์และเข้าสู่เส้นทางแห่งมารในที่สุด..”

หลิงหยุนตะโกนบอกตู้กู่โม่อย่างไม่ใส่ใจนัก “นายพร่ามอะไรกัน? นี่เป็นกระบี่ของตระกูลฉัน กระบี่โลหิตแดนใต้บ้าบออะไรกัน?!”

หลิงหยุนรู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก พู่กันจักรพรรดิก็มีคนจ้องจะเอาไป ตอนนี้ตู้กู่โม่เพียงแค่เห็นกระบี่สีดำในมือเขา ก็บอกว่ามันคือกระบี่โลหิตแดนใต้ซึ่งเป็นของนิกายมาร!

หลิงหยุนไม่ต้องการให้ใครๆปฏิบัติต่อเขาราวกับเขาเป็นคนของนิกายมาร..

ตู้กู่โม่กำลังจะพูดต่อ แต่ก็มีเสียงร้องตะโกนออกมาจากกลุ่มคนที่ถูกเจ้างูยักษ์โจมตีอยู่ “นี่.. เจ้าสองคนยังคุยกันไม่เสร็จหรือยังไง? ไม่เห็นรึไงว่าพวกเรากำลังต้านการโจมตีของเจ้างูยักษ์นี่อยู่ ยังจะคุยกันอยู่ได้?”

ชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าร้องตะโกนออกมาอีกคน “นี่.. ตู้กู่โม่ เราตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอ? ถ้าพบสมุดจักรพรรดิก็ต้องพบด้วยกัน พวกเรามาช่วยกันจัดการฆ่าเจ้างูยักษ์นี่ก่อนจะดีกว่า!”

หลิงหยุนอยากจะตะโกนออกไปว่า จะฆ่าเจ้างูยักษ์นี่น่ะรึ ฝันไปเถอะ!

ตู้กู่โม่ได้ตกลงกับคนพวกนั้นไว้ เขาจึงกระโดดเข้าไปในกลุ่มช่วยกันต่อสู้กับเจ้างูยักษ์

หลิงหยุนไม่รอช้า เขารีบวิ่งตรงไปที่ประตูหินทั้งสามบานทันที..

“ดูนั่น.. เจ้าเด็กนั่นขี้โกง! รีบไปหยุดมันไว้ก่อนเร็วเข้า!” ใครบางคนร้องตะโกนขึ้นมาเมื่อเห็นหลิงหยุนตรงเข้าไปที่ประตูหิน

แน่นอนว่า.. สิ้นเสียงตะโกน สองยอดฝีมือก็หลบการโจมตีของงูยักษ์ และกระโดดเข้าไปขวางหลิงหยุนไว้ทันที!


บทที่ 321 : ธรรมะและอธรรม

“ข้าซีเหมินกังจากตระกูลซีเหมิน”

“ข้าหนานกงเจี้ยนจากตระกูลหนานกง”

สองหนุ่มใช้วิชาตัวเบากระโดดเข้าไปหาหลิงหยุน คนหนึ่งประกบข้างซ้าย อีกคนประกบข้างขวา พร้อมกับร้องตะโกนบอกชื่อแซ่ของตนเองอย่างภาคภูมิใจ

ซีเหมินกังสวมเสื้อคลุมสีขาว ในมือถือพัดยาวกว่าครึ่งเมตร ทันทีที่เท้าเหยียบพื้นซีเหมินกังก็คลี่พัดออกมาพัดให้กับตัวเองพร้อมกับส่ายหัวไปมา แล้วพูดกับหลิงหยุนว่า

“ฟังจากที่เจ้าพูดคุยกับตู้กู่โม่ เจ้าชื่อหลิงหยุนสินะ? เห็นแก่ที่เจ้าเป็นเพื่อนของตู้กู่โม่ ข้าจะไม่ทำให้เจ้าต้องอับอาย! แต่เจ้าก็เห็นนี่ว่าพวกเรากำลังจัดการกับเจ้างูยักษ์นั่นอยู่ เจ้ายังจะเข้าไปเอาสมบัติอีกรึ? นี่เจ้าไม่รู้กฏกติกาบ้างเลยรึยังไง?”

ส่วนหนานกงเจี้ยนที่สวมเสื้อเชิ้ตสีเขียวในมือถือกระบี่ยาว ก้าวเข้าไปยืนด้านหน้าหลิงหยุนแต่กลับไม่พูดอะไร

หลิงหยุนขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินคำพูดของซีเหมินกัง เขาแสยะยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า

“เจ้าอยากจะจัดการกับงูยักษ์นั่น ก็เป็นเรื่องของเจ้า ไม่เกี่ยวกับข้า! พวกเราไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกันนี่? เจ้าคงจะไม่เคยได้ยินคำโบราณสินะ – เส้นทางมุ่งสู่สวรรค์ล้วนมีมากมาย ต่างคนต่างก็มุ่งไปไม่ยุ่งเกี่ยวกัน เช่นเดียวกับน้ำในบ่อที่ไม่ได้ข้องเกี่ยวกับน้ำในแม่น้ำ..”

แม้หลิงหยุนจะไม่รู้สึกเกรงกลัวคนเหล่านี้ แต่ก็ไม่ต้องการเผชิญหน้าหากไม่จำเป็น เขาจึงเลือกที่จะพูดคุยตกลงกับซีเหมินกังและหนานกงเจี้ยน แทนการลงไม้ลงมือ

ซีเหมินกังแสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายพร้อมกับตบพัดลงบนฝ่ามืออย่างแรง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าเด็กน้อย.. พวกข้าเห็นแก่หน้าของตู้กู่โม่จึงได้เตือนเจ้าดีๆ เจ้าคงไม่รู้สินะว่าในที่นี้มีใครเป็นใครบ้าง?” ซีเหมินกังพูดพร้อมกับชี้ไปยังกลุ่มคนที่กำลังต่อสู้กับงูเหลือมยักษ์

หลิงหยุนจึงถามขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “นั่นสิ.. แล้วพวกเขาเป็นใครกันบ้างล่ะ?”

ซีเหมินกังมองหลิงหยุนด้วยสายตาเหยียดหยันพร้อมกับตอบไปว่า “เจ้าเห็นชายหนุ่มที่ถือกระบี่นั่นไม๊.. เขาคือคุณชายตงฟางถิงแห่งตระกูลตงฟาง คนที่ไม่มีอาวุธนั้นมีฉายาว่าหมัดเทวะ ชื่อเถี่ยเจิ้งผิง ส่วนคนที่ใช้ตะขอเป็นอาวุธนั้นชื่อชางกวนเจี๋วย และคนที่ถือปืนนั้นชื่อเหลยเวิ่นชิง..”

“แล้วเจ้าก็รู้ไว้ด้วยว่า.. พวกเราทุกคนล้วนอยู่ในขั้นโฮ่วเทียน-8 ขึ้นไป ในเมื่อเจ้าเป็นเพื่อนกับตู้กู่โม่ พวกเราก็จะเห็นแก่หน้าเขาสักครั้ง ยอมให้เจ้าเข้าร่วมกลุ่มกับพวกเราด้วย..”

หลิงหยุนยิ้มมุมปากพร้อมกับตอบไปว่า “แล้วยังไง..?”

ซีเหมินกังขมวดคิ้วพร้อมกับหันไปมองหน้าหนานกงเจี้ยน จากนั้นก็หันไปมองหลิงหยุนอย่างขุ่นเคือง!

“หากเจ้าไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ต่อให้เจ้ามีเวทย์มนต์ ก็อย่าหวังว่าจะเอาชนะพวกเราที่นี่ได้?”

ในเวลานั้นเอง ตู้กู่โม่ก็แอบกระซิบกับหลิงหยุนว่า “หลิงหยุน.. คนพวกนี้ล้วนมากจากตระกูลเก่าแก่และนิกายลับ หากเจ้าต้องการจะเข้าไปสำรวจประตูศิลาตอนนี้ เจ้าจะกลายเป็นเป้าโจมตีของพวกเขา และข้าก็ไม่สามารถปกป้องเจ้าได้..”

แม้ความทรงจำของตู้กู่โม่ในคืนนั้นจะถูกหลิงหยุนลบไปแล้ว แต่เขาเองก็ไม่เข้าใจว่า เพราะเหตุใดเมื่อเขาพบกับหลิงหยุน เขากลับรู้สึกต้องอ่อนโยนและต้องการช่วยหลิงหยุน

หลิงหยุนอาจสามารถใช้พลังของจิตหยั่งรู้ในขั้นพลังชี่-9 ลบความทรงจำของตู้กู่โม่ในคืนนั้นได้ แต่ก็ไม่สามารถลบความรู้สึกของมนุษย์ได้..

ความทรงจำกับความรู้สึกเป็นสิ่งที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น.. หลังจากที่คนคนหนึ่งสูญเสียความทรงจำไป แต่ความรู้สึกคุ้นเคยสนิทสนมที่เคยมีต่อครอบครัวและเพื่อนสนิทนั้นยังคงอยู่ เพราะความรู้สึกเป็นสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับความทรงจำนั่นเอง..

ตู้กู่โม่และหลิงหยุนต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กันในคืนนั้น และหลิงหยุนก็ตอบแทนเขาด้วยการถ่ายเทพลังอมตะลงไปในร่างกายของตู้กู่โม่เพื่อช่วยให้กำลังภายในของเขาสามารถทะลวงสู่ขั้นที่สูงขึ้นได้ แม้ว่าตู้กู่โม่จะสูญเสียความทรงจำในส่วนนี้ไป แต่ความรู้สึกคุ้นเคยและสนิทสนมก็ยังคงอยู่ไม่ได้จางหายไปด้วย..

หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับส่งกระแสจิตบอกตู้กู่โม่ว่า “ไม่เป็นไร.. ฉันก็อยากจะรู้ว่าพวกมันมีฝีมือแค่ใหน..”

หลิงหยุนเพิ่งจะเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-4 และประเมินความแข็งแกร่งของตัวเองได้ดี และตอนนี้เขาก็กำลังคันไม้คันมือพอดี ซีเหมินกังกับหนานกงเจี้ยนแส่เข้ามาหามือหาตีนของเขาเองโดยที่เขาไม่ได้ร้องขอ!

แม้ว่าหลิงหยุนจะไม่สามารถใช้พลังชีวิตจากน้ำลายมังกรที่นี่ได้ แต่เพียงแค่กำลังภายในจากร่างกายของเขาที่มีอยู่ในตอนนี้ก็เพียงพอแล้ว หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“เจ้ายังจะพล่ามมากมายอะไรอยู่อีก ไม่ลองก็ไม่รู้?”

คิ้วรูปดาบของหลิงหยุนเลิกขึ้นพร้อมกับยิ้มมุมปากอย่างมั่นใจ แล้วจัดการโบกมือส่งสัญญาณให้เจ้าขาวปุยเข้าไปหลบอยู่ข้างกำแพงหิน ดาบในมือขวาของเขายกขึ้น และนิ้วชี้ในมือซ้ายก็ชี้ไปที่ซีเหมินกัง

ใบหน้าของซีเหมินกังแดงก่ำด้วยความโกรธพร้อมกับร้องตะโกนออกไป “ในเมื่อเจ้ารนหาที่ตายเอง ก็อย่าได้ตำหนิข้าล่ะ!”

พูดจบ.. ร่างของซีเหมินกังก็พุ่งเข้าไปทางด้านหน้าของหลิงหยุนอย่างรวดเร็; พร้อมกันนั้นพัดในมือที่หุบอยู่ ก็พุ่งตรงใส่ศรีษะของหลิงหยุนอย่างรวดเร็วเช่นกัน!

หลิงหยุนเห็นความเร็วของซีเหมินกัง ก็ประเมินได้ว่าฝีมือของเขานั้นยังเทียบกับตู้กู่โม่ในระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-8 ไม่ได้เลย หลิงหยุนจึงไม่แม้แต่จะหลบซีเหมินกัง แต่กลับยกกระบี่สีดำขึ้นต้านไว้อย่างว่องไว!

เช้ง..!

เสียงใบมีดของกระบี่สีดำในมือหลิงหยุนปะทะเข้ากับพัดของซีเหมินกัง และยังไม่ทันที่เสียงนั้นจะจางหายไป พัดในมือของซีเหมินกังก็ถูกตัดขาดออกจากกัน!

ทันทีที่ซีเหมินกังรู้ตัวว่าพัดในมือของตนเองถูกฟันจนขาดเป็นสองท่อน เขาก็ตกใจและผิดหวังอย่างมาก แล้วรีบกระโดดหนีพร้อมกับชี้ไปที่กระบี่สีดำในมือของหลิงหยุน แล้วร้องตะโกนว่า

“นั่น.. กระบี่ในมือเจ้าเป็นกระบี่อะไรกัน?”

ตัวพัดของซีเหมินกังนั้นทำขึ้นจากทองคำดำ และรัดร้อยใบพัดด้วยเส้นไหมทองคำ แม้แต่กระสุนปืนยังไม่สามารถยิงเข้า แต่กลับถูกกระบี่ของหลิงหยุนตัดขาดเป็นสองท่อนเพียงแค่ครั้งเดียว เช่นนี้แล้วจะไม่ให้เขาตกใจได้อย่างไรกัน?

แม้แต่หลิงหยุนเองก็ยังแอบประหลาดใจ ‘เหตุใดกระบี่โลหิตแดนใต้ถึงได้คมเช่นนี้? ไม่มีอะไรดีกว่าพู่กันจักรพรรดิแล้วนี่นา!’

แต่ในเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เขาจะมาศึกษาเรื่องกระบี่ หลิงหยุนจึงตอบกลับไปยิ้มๆ “ไม่จำเป็นต้องสนใจกระบี่ของข้า เห็นแก่หน้าตู้กู่โม่ ข้าจะสั่งสอนเจ้าเพียงแค่นี้ หากเจ้ายังกล้าเข้ามาขวางข้าอีกแล้วล่ะก็ ระวังตัวไว้ให้ดีเพราะข้าจะตัดขาเจ้าทิ้งแน่!”

ซีเหมินกังไม่พูดอะไรแม้แต่น้อย ดวงตาของเขาหรี่มองไปที่กระบี่สีดำในมือหลิงหยุนด้วยความตกใจ

แล้วจู่ๆ ซีเหมินกังก็ตะโกนออกมาเสียงดัง “ทุกคน.. ในมือของเด็กนี่คือกระบี่โลหิตแดนใต้ในตำนาน! มันจะต้องเป็นคนของนิกายมารอย่างแน่นนอน!”

ตู้กู่โม่เกรงว่าหลิงหยุนจะพ่ายแพ้ เขาจึงจดจ่ออยู่กับการปะทะกันระหว่างซีเหมินกังและหลินหยุนอย่างไม่ละสายตา และเห็นกับตาว่าพัดของซีเหมินกังถูกกระบี่ของหลิงหยุนตัดขาดเป็นสองท่อน เขาจึงยิ่งมั่นใจว่ากระบี่ในมือหลิงหยุนคือกระบี่โลหิตแดนใต้อย่างแน่อน!

“หลิงหยุน.. นี่เจ้า..”

หลิงหยุนรู้สึกผิดหวังอย่างที่สุด.. ในเมื่อตู้กู่โม่บอกกับเขาเองว่ากระบี่เล่มนี้ได้หายสาบสุญไปหลายพันปีแล้ว เหตุใดผู้คนในที่นี่จึงได้รู้จักกระบี่เล่มนี้กันทุกคน? หรือกระบี่โลหิตแดนใต้จะเป็นกระบี่ที่เลื่องชื่อจริงๆ?

น่าเสียดายที่หลิงหยุนไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน.. หากเขารู้ว่ากระบี่เล่มนี้คือกระบี่โลหิตแดนใต้ที่เลื่องชื่อ เขาก็คงจะเปลี่ยนมาใช้กระบี่มังกรขาวแทน

เสียงของซีเหมินกังดังไปทั่วทั้งบริเวณ ทุกคนต่างก็กระโจนออกจากการโจมตีของเจ้างูยักษ์ และตรงเข้ามาล้อมหลิงหยุนไว้ทันที

“อะไรนะ?! กระบี่โลหิตแดนใต้งั้นรึ?”

“ซีเหมินกัง.. เจ้าจำไม่ผิดแน่ใช่ไม๊? กระบี่โลหิตแดนใต้หายสาบสูญไปหลายพันปีแล้ว จะมาอยู่ในมือของเขาได้ยังไง?”

“เจ้าหนู.. ให้เราดูกระบี่นั่นหน่อย..”

……….

บางคนมีสีหน้าตกใจ บางคนมีอาการตื่นเต้น บางคนก็แสดงอาการอยากครอบครอง และท่ามกลางความมืดมิด สีหน้าของแต่ละคนก็แตกต่างกันไป แต่หลิงหยุนกลับสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนแม้ในความมืด

ดูเหมือนสถานการณ์เริ่มจะวุ่นวายขึ้นแล้ว..

ตู้กู่โม่เป็นคนสุดท้ายที่ก้าวเข้ามา เขาเดินฝ่าความืดเข้ามาพร้อมกับส่งกระแสจิตบอกหลิงหยุนว่า ‘เมื่อครู่ข้าก็บอกเจ้าแล้วว่ากระบี่ในมือเจ้าเป็นกระบี่โลหิตแดนใต้.. ข้าจึงบอกให้เจ้ารีบโยนมันทิ้งไปซะ แล้วตอนนี้เป็นไง.. กำลังจะเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นแล้ว!’

‘คนพวกนี้แตกต่างจากข้า พวกเขาล้วนประกาศตัวว่าเป็นคนของตระกูลเก่าแก่ และตั้งแต่อดีตกาลมาแล้ว คนพวกนี้ก็ถือตัวว่ามีหน้าที่กำจัดฝ่ายมาร ตอนนี้เจ้าถือกระบี่โลหิตแดนใต้อยู่ในมือ คงยากที่จะอธิบาย..’

หลิงหยุนรู้มานานแล้วว่าตู้กู่โม่นั้นมีจิตใจที่ไม่แบ่งแยกธรรมะหรือว่าอธรรม เขาจึงส่งกระแสจิตตอบตู้กู่โม่ไปว่า ‘ใครบอกนายล่ะว่าฉันจะอธิบายกับพวกมัน? ที่นี่อยู่ลึกจากใต้ดินถึงห้าร้อยเมตร ฉันไม่คิดที่จะอธิบายอะไรกับพวกมันอยู่แล้ว นายคอยดูโชว์ของฉันก็แล้วกัน!’

ทางด้านขวามือคือตงฟางถิง ในมือของเขามีกระบี่ด้ามยาว และดูเหมือนว่าอายุน่าจะราวยี่สิบเก้า บุคลิกของเขาค่อนข้างสุขุม ตงฟางถิงเดินตรงเข้าไปหาหลิงหยุนพร้อมกับจ้องมองกระบี่สีดำในมือด้วยสีหน้าท่าทางที่ดูสง่างาม

ตระกูลตงฟางเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงเรื่องการใช้กระบี่ คนในตระกูลต่างก็ได้รับการฝึกเพลงดาบจากหลากหลายสำนัก จึงมีความเชี่ยวชาญในเรื่องดาบและกระบี่ ตงฟางถิงจ้องมองกระบี่สีดำในมือหลิงหยุนอยู่นาน ก่อนจะพยักหน้าอย่างหนักแน่นพร้อมกับพูดขึ้นว่า

“ซีเหมินกังพูดไม่ผิดหรอก แม้ข้าจะไม่เห็นฝักของมัน ข้าก็มั่นใจว่ากระบี่เล่มนี้คือกระบี่โลหิตแดนใต้ที่หายสาบสูญไปถึงหนึ่งพันสองร้อยปีอย่างแน่นอน!

ตงฟางถิงพูดต่อ “ตามตำนานเล่าว่า.. กระบี่มารด้ามนี้ได้มาจากขุมนรก และถูกตีขึ้นด้วยเลือดของราชามังกรดำในแดนนรก และนี่เป็นวัตถุศักดิ์สิทธิ์ชิ้นแรกในจำนวนเก้าชิ้น กระบี่เล่มนี้ไม่เพียงดูดเลือดได้ แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดของกระบี่เล่มนี้คือมันสามารถครอบงำจิตใจมนุษย์ได้ มันไม่เพียงแค่ครอบงำจิตใจศัตรู แต่ยังสามารถครอบงำจิตใจเจ้าของกระบี่เองด้วย ในเบื้องต้นเจ้าของกระบี่จะยังไม่รู้สึกอะไร แต่เมื่อนานวันเข้า เจ้าของกระบี่ก็จะตกเป็นทาสของกระบี่วิเศษเล่มนี้โดยไม่รู้ตัว..”

เมื่อหลิงหยุนได้ฟัง.. เขารู้สึกว่าเป็นเรื่องไร้สาระจนต้องยกมือขึ้นห้ามตงฟางถิงให้หยุดพูดพร้อมโต้กลับไปว่า

“ไร้สาระ! ข้าว่าความจริงแล้วพวกเจ้าอยากจะเป็นเจ้าของกระบี่ในตำนานเล่มนี้ต่างหาก? เจ้าเห็นกระบี่ของข้าตัดเหล็กได้ ก็บอกว่ามันเป็นกระบี่วิเศษแล้ว! ข้าว่าพวกเจ้าคงคิดไม่ต่างกันนักหรอก?!”

ตงฟางถิงส่ายหน้าพร้อมกับพูดยิ้มๆ “น้องชาย.. เจ้าผิดไปแล้ว! ถึงแม้ข้าจะชื่นชอบกระบี่เล่มนี้มาก และรู้ว่ากระบี่โลหิตแดนใต้เล่มนี้เป็นกระบี่ที่หากระบี่เล่มใดเทียบไม่ได้ แต่ข้าก็ไม่สิ้นคิดจนคิดอยากจะครอบครองมันเช่นนั้น เพราะข้าไม่อยากตกเป็นทาสของมัน!”

“น้องชาย.. ดูแล้วเจ้าไม่เหมือนคนของนิกายมารแม้แต่น้อย! เหตุใดเจ้าไม่โยนมันทิ้งไปซะ ในอนาคตจะได้ไม่ต้องกลายเป็นปีศาจ และจะได้ไม่ต้องเป็นปรปักษ์กับยอดฝีมือฝ่ายธรรมะบนโลกใบนี้…”

คำพูดของตงฟางถิงนั้นดูจริงใจและตรงไปตรงมา และหลิงหยุนก็ไม่เห็นความโลภอยากได้ปรากฏอยู่ในแววตาของเขาแม้แต่น้อย หลิงหยุนพยักหน้าและไม่ต้องการมีปัญหากับตงฟางถิง..

“ตู้กู่โม่.. เพื่อนของเจ้าเป็นคนของนิกายมาร เจ้าจะว่ายังไง?” ซีเหมินกังตัดบท และยังคงไม่พอใจหลิงหยุน จึงต้องการยัดเยียดให้หลิงหยุนเป็นคนของนิกายมารให้ได้

หลิงหยุนไม่นึกขุ่นเคืองซีเหมินกัง เขาเพียงแค่ยิ้มให้เล็กน้อยเท่านั้น..

ตู้กู่โม่ส่ายหัวพร้อมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ซีเหมิน.. เจ้าเองก็มาจากตระกูลซีเหมินที่มีเกียรติ อย่าได้พูดจาไร้สาระ! ข้าไม่สนใจหรอกว่ากระบี่เล่มนี้จะเป็นกระบี่อะไร แล้วข้าก็ใช้ชีวิตของข้าเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าหลิงหยุนไม่ใช่คนของนิกายมารแน่.. แต่เขาเป็นคนจีนเหมือนกับพวกเรา!”

เสียงเอะอะของตู้กู่โม่ที่ยืนยันเรื่องของหลิงหยุน ทำให้ซีเหมินกังหน้าแดงแล้วก็เปลี่ยนเป็นซีด แต่เพราะภายในถ้ำมืดสนิทจึงไม่มีใครมองเห็นได้!

ตอนนี้หลิงหยุนมั่นใจแล้วว่ากระบี่สีดำเล่มนี้เป็นกระบี่โลหิตแดนใต้อย่างแน่นอน และเขายังมั่นใจด้วยว่ากระบี่เล่มนี้จะไม่มีทางครอบงำจิตใจของเขาได้อย่างแน่นอน! เพราะอำนาจจิตของเขานั้นอยู่ในขั้นอมตะเมื่อครั้งอยู่ในโลกบ่มเพาะ ในขั้นนั้นเขาต้องถูกทดสอบให้ต้องทนทุกข์ยากอย่างแสนสาหัสจากสวรรค์ ต้องผ่านความหวาดกลัวอย่างมากมาย หากเขาสามารถผ่านบททดสอบเหล่านั้นได้ ป่านนี้เขาคงเป็นอมตะไปแล้ว! แล้วกระบี่วิเศษเพียงด้ามเดียวจะสามารถครอบงำและควบคุมเขาได้อย่างไรกัน?

ยิ่งไปกว่านั้น.. ตอนที่อยู่ในอาราม พลังของพุทธะที่ทั้งรุนแรงและบริสุทธิ์ยังไม่สามารถทำอะไรเขาได้! แล้วเขาจะมากลัวกับกระบี่แค่เล่มเดียวได้ยังไง?

“เอาล่ะ.. ในเมื่อยืนยันแล้วว่ากระบี่เล่มนี้เป็นกระบี่โลหิตแดนใต้ และในเมื่อมันเป็นของศักดิสิทธิ์ของนิกายมาร มันก็ควรถูกส่งกลับคืนทายาทผู้สืบทอด!”

“หลิงหยุน.. หากเจ้ามอบกระบี่โลหิตแดนใต้ให้กับพวกเรา พวกเราก็จะละเว้นเจ้า! เจ้าจะว่ายังไง?”

หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อย “เอาล่ะ.. ในเมื่อเจ้าบอกว่ามันเป็นกระบี่โลหิตแดนใต้.. ก็ตามใจ! แต่ข้าไม่มอบให้ใครแน่ ใครอยากได้ก็ใช้ความสามารถเข้ามาแย่งไป!”


บทที่ 322 : กิตติศัพท์แห่งกระบี่มาร

จู่ๆชางกวนเจี๋วยแห่งตระกูลชางก็โพล่งขึ้นมา เขาคือชายหนุ่มที่ใช้ตะขอคู่เป็นอาวุธ ชางกวนเจี๋วยพูดยิ้มๆด้วยใบหน้าที่ไม่เป็นมิตร

“หลิงหยุน.. ในเมื่อเจ้าบอกว่าเจ้าไม่ใช่คนของนิกายมาร แล้วเจ้าฝึกวิทยายุทธจากสำนักใหน? อาจารย์ของเจ้าเป็นใคร? หากเจ้าบอกกับพวกเรา พวกเราก็จะพักเรื่องนี้ไว้ก่อน รอออกไปข้างนอกค่อยสะสาง!”

หลิงหยุนคิดในใจว่า ‘ข้าฝึกวิทยายุทธจากสำนักใหนงั้นรึ?’ หลิงหยุนนึกขึ้นมาได้ในเวลานั้นจึงบอกไปว่า

“ข้าฝึกวิชาจากสำนักหมอสวรรค์ แล้วข้าก็ไม่จำเป็นต้องบอกชื่ออาจารย์ของข้าให้เจ้ารู้!”

“สำนักหมอสวรรค์?”

ทุกคนที่ได้ยินต่างพึมพำออกมาพร้อมกัน และต่างคนต่างก็หันไปมองหน้ากันไปมาด้วยสายตาที่ว่างเปล่า สายตาและสีหน้าของแต่ละคนต่างบอกว่า ไม่เคยมีใครได้ยินชื่อสำนักหมอสวรรค์มาก่อน

หมัดเทวะ-เถี่ยเจิ้งผิงถึงกับพูดออกมาว่า “ข้าเคยได้ยินแต่สำนักหมอหุบเขาเทวะ แล้วก็สำนักเบญจพิษ แต่สำนักหมอสวรรค์ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน?!”

สายตาของชางกวนเจี๊วยจับจ้องอยู่ที่หลิงหยุนและไม่ยอมละสายตาไปใหน เขากำลังจับผิดคำพูดของหลิงหยุนว่าเป็นความจริงหรือเรื่องหลอกลวงกันแน่? แต่หลังจากนิ่งฟังอยู่อนาน เขาก็พูดขึ้นว่า

“สำนักหมอสวรรค์งั้นรึ? พวกข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน เจ้าช่วยบอกรายละเอียดของสำนักนี้ให้ฟังหน่อยจะได้ไม๊?”

หลิงหยุนได้ตอบคำถามของพวกเขาไปแล้ว แต่เมื่อเห็นชางกวนเจี๋วยยังคงต้องการจะขุดคุ้ยให้ลึกขึ้น ในที่สุดหลิงหยุนก็หมดความอดทน เขาพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

“เจ้าคิดบ้างหรือไม่ว่าคำถามของเจ้านั้นช่างไร้สาระสิ้นดี?”

จนถึงตอนนี้.. ร่างกายของหลิงหยุนยังคงดูดซับพลังชีวิตจากน้ำลายมังกรอย่างไม่หยุดหย่อน เขารู้สึกว่าร่างกายของเขาราวกับเป็นหลุมที่ไม่มีก้นหาที่สิ้นสุดไม่ได้ ไม่ว่าจะดูดซับพลังชีวิตเข้าไปมากเท่าไหร่ ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะเต็มเสียที

พลังชีวิตที่ทรงพลังนี้ไม่เพียงดูดซับเข้าไปทั่วร่างกายของเขา แต่ยังไหลเข้าสู่เส้นลมปราณหลัก และตรงเข้าจุดตันเถียนของเขา อีกทั้งยังหมุนเวียนอยู่ด้านในไม่หยุดหย่อน

หลิงหยุนแอบเดินวิชาพลังลับหยินหยางอยู่เงียบๆ พร้อมกับชูกระบี่โลหิตแดนใต้ขึ้น แล้วชี้นิ้วไปทางชางกวนเจี๊วยและซีเหมินกังที่อยู่ตรงหน้า

“เจ้าสองคนอย่าพล่ามมัวแต่พล่าม.. ถ้าต้องการจะสู้กับข้าก็เข้ามาได้เลย แต่ถ้าไม่.. ก็หลีกทางซะ! ต่างคนต่างไม่ยุ่งเกี่ยวกันจะดีกว่า!”

ต้องนับว่าหลิงหยุนสุภาพและใจเย็นมากที่สุดแล้ว หากหันไปมองหน้าตู้กู่โม่ตอนนี้ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนกับการกระทำของคนพวกนี้

พูดจบ.. หลิงหยุนก็ก้าวเท้าออกเดินตรงไปข้างหน้าอย่างไม่เกรงกลัว!

ชางกวนเจี๋วย หนานกงเจี้ยน และคนอื่นๆต่างก็มองหน้ากันไปมา ความโหดร้ายปรากฏขึ้นในดวงตาของพวกเขาวูบหนึ่ง ระหว่างที่หลิงหยุนเดินผ่านไปนั้น ชางกวนเจี๋วยก็ยกตะขอคู่ในมือขึ้น เพื่อเตรียมพุ่งใส่แขนขวาของหลิงหยุน!

‘รนหาที่ตายสินะ!’ หลิงหยุนเตรียมพร้อมสำหรับการถูกโจมตีอยู่แล้ว เขาไม่แม้แต่จะหันหลังกลับไปมอง กระบี่โลหิตแดนใต้ที่หนักกว่าสี่สิบกิโลกรัมในมือของหลิงหยุนถูกตวัดไปทางด้านหลังทันที

เมื่อชางกวนเจี๋วยเห็นเช่นนั้น เขาก็รีบชักตะขอคู่ในมือกลับทันที ชางกวนเจี๋วยรู้ความน่ากลัวของกระบี่โลหิตแดนใต้เป็นอย่างดี เขาจึงไม่กล้าแม้แต่จะแตะต้องกระบี่วิเศษเล่มนั้น แต่ก็พูดขึ้นมาเสียงดังว่า

“หมอนี่มีลับลมคมใน! ปากบอกไม่ใช่คนของนิกายมาร แต่ไนมือกลับถือกระบี่โลหิตแดนใต้ไม่ยอมวาง.. เจ้าจะอธิบายอย่างไร?”

หนานกงเจี้ยนรีบพุ่งออกมาทันที เมื่อเห็นว่าหลิงหยุนยังไม่ได้ดึงกระบี่กลับมาจากด้านหลัง และเห็นว่าสบโอกาสเหมาะ จึงรีบยกกระบี่ยาวในมือของตนเองจี้เข้าไปที่ลำคอของหลิงหยุน

หลิงหยุนยิ้มเยือกเย็น มือซ้ายของเขาพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว เป้าหมายอยู่ที่กระบี่แหลมคมของหนานกงเจี้ยน ระหว่างนั้นก็โคจรดารกะดายันไปทั่วร่างเพื่อเป็นเกราะป้องกัน พร้อมกับใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางคีบกระบี่ที่พุ่งเข้ามาได้ทันท่วงที

“หนานกงเจี้ยน เพลงกระบี่ของเจ้าช้าไปนะ!”

หลิงหยุนเย้ยหยันในขณะที่นิ้วในมือซ้ายคีบกระบี่ของหนานกงเจี้ยนไว้แน่น และมือขวาของเขาก็ยกกระบี่โลหิตแดนใต้ฟันใส่กระบี่ในมือของหนานกงเจี้ยน ทันทีที่สิ้นเสียง เช้ง!! กระบี่ในมือของหนานกงเจี้ยนก็เหลือเพียงแค่ด้ามจับ

หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะยกกระบี่วิเศษในมือขวาแทงเข้าไปที่แขนขวาของหนานกงเจี้ยน หนานกงเจี้ยนตกใจกลัวจนตัวสั่น และรีบพุ่งตัวหลบไปไกลถึงห้าเมตร

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ตะขอคู่ของชางกวนเจี๋วยก็พุ่งเข้าใส่ขาของหลิงหยุนอีกครั้ง คิ้วของหลิงหยุนขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เขาใช้มังกรพรางร่างเคลื่อนที่เข้าหาชางกวนเจี๋วยอย่างรวดเร็ว

ชางกวนเจี๋วยคาดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะสามารถเคลื่อนไหวได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ จึงตั้งใจจะดึงตะขอคู่กลับมา แต่ช่างโชคร้ายที่ทุกอย่างสายไปเสียแล้ว เพราะตะขอคู่ของเขาได้ถูกหลิงหยุนฟันจนขาดออกเป็นสองท่อนเรียบร้อยแล้ว!

ชางกวนเจี๋วยหวาดกลัวจนต้องกระโดดหลบหนีออกไปอีกคน!

หลิงหยุนถือกระบี่โลหิตแดนใต้ยืนตระหง่านอยู่ในความมืดมิด พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่ดังกังวาน

“ทุกคนเห็นแล้วใช่ไม๊? ปัญหาแก้ง่ายนิดเดียว.. ยังมีใครต้องการจะขัดขวางข้าอีกหรือไม่?”

เพียงแค่เคลื่อนไหวไม่ถึงห้าครั้ง อาวุธของชางกวนเจี๋วยและหนานกงเจี้ยนต่างก็ถูกหลิงหยุนฟันจนขาด แต่นี่นับว่าหลิงหยุนปราณีอย่างมากแล้ว ที่เพียงแค่ใช้กระบี่ฟันแค่อาวุธของผู้อื่นหักโดยที่ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย นี่ยังไม่นับว่าเป็นความปราณีของเขาอีกงั้นหรือ?

หลังจากที่ใช้เวลาอยู่ใต้หลุมยุบขนาดใหญ่แห่งนี้ หลิงหยุนก็ได้เรียนรู้ถึงความลี้ลับและพลังของพื้นพิภพ ก่อนที่จะเข้าสู่ขั้นพลังชี่ เขาจึงไม่ต้องการที่จะสร้างศัตรูที่แข็งแกร่งเพิ่มขึ้น

ตู้กู่โม่ได้เตือนเขาไว้แล้วว่า คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนของตระกูลเก่าแก่และนิกายลับ ดังนั้นไม่ว่าจะเพื่อความชอบธรรมหรืออะไร หลิงหยุนก็ไม่ต้องการฆ่าใครอีก ไม่เช่นนั้นแล้วจากนี้ไป วันๆเขาคงจะไม่ต้องทำอะไร  นอกจากคอยรับมือกับศัตรูเหล่านี้

พัดของซีเหมินกังได้ถูกหลิงหยุนฟันขาดไปแล้ว ยังคงเหลือตงฟางถิงและหมัดเทวะเถี่ยเจิ้งผิงที่ยังคงไม่เคลื่อนไหว ส่วนเหลยเวิ่นชิงที่ดูลังเล เมื่อเห็นพลังและความแข็งแกร่งของหลิงหยุน จึงได้แต่เก็บปืนและปล่อยเขาไป

แน่นอนว่าตู้กู่โม่ไม่ต้องการที่จะขัดขวางหลิงหยุนตั้งแต่แรกแล้ว แต่ดูเหมือนตอนนี้เขาจะตกใจเสียมากกว่า เขาเพิ่งจะรู้ว่าเพราะอะไรหลิงหยุนจึงได้ยอมรับคำท้าของเขา หลิงหยุนไม่เพียงแค่ใช้สองนิ้วคีบกระบี่ของหนานกงเจี้ยนไว้ได้อย่างรวดเร็วและอาจหาญ ซึ่งน้อยคนนักที่จะสามารถทำเช่นนั้นได้!

‘หากเป็นกระบี่ของข้า หลิงหยุนจะสามารถใช้นิ้วคีบแบบนี้ได้หรือไม่นะ?’

หลิงหยุน.. ชายหนุ่มที่มิอาจหยั่งรู้ได้ ทุกคนที่อยู่ในนั้นต่างคิดเห็นตรงกัน!

แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครสังเกตุเห็น.. ห่างไปราวสี่สิบเมตร เจ้างูยักษ์ที่ใช้ลำตัวโอบล้อมบ่อน้ำลายมังกรไว้พร้อมกับชูคอขึ้นสูงกว่าสิบเมตรนั้น ดวงตาสุกสว่างและมีมีขนาดใหญ่เท่าลูกบาสเก็ตบอลของมันกำลังจ้องมองมาทางหลิงหยุนที่ถือกระบี่โลหิตแดนใต้ไว้ในมือ แววตาของมันเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและเปี่ยมไปด้วยความเคารพ!

และนี่คือเหตุผลว่าเพราะเหตุใดเจ้างูยักษ์จึงหยุดการโจมตี!

หลายปีมาแล้วที่มันลืมเลือนเรื่องนี้.. งูเหลือมตัวน้อยได้เคยถูกกระบี่สีดำเล่มนี้สับเข้ากลางร่าง และกระบี่เล่มนี้ก็ได้ดูดเลือดของมันจนเกือบจะหมดตัว แต่เพราะความปราณีของเจ้าของกระบี่ มันจึงสามารถมีชีวิตรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้

หลังจากนั้น เจ้าของกระบี่เล่มนี้ก็ได้กลายมาเป็นเจ้านายของงูเหลือมตัวน้อย และมันก็ได้ติดตามเจ้าของกระบี่ไปอาศัยอยู่ในหุบเขาขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเนิ่นนานเท่าไหร่ เจ้าของกระบี่ก็ได้เสียชีวิตลง แต่ตัวมันเองยังคงมีชีวิตอยู่มาจนถึงเวลานี้

หลังจากที่เจ้านายของมันเสียชีวิตลง มันก็ยังสามารถมีชีวิตรอด และมีอายุยืนยาวมันจนกระทั่งถึงตอนนี้ แรกๆมันก็เลื้อยเล่นไปรอบๆถ้ำแห่งนี้ แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ตัวของมันก็เริ่มใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ จนไม่สามารถไปใหนได้เหมือนเมื่อก่อนอีก มันจึงได้แต่อาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนี้ และใต้แม่น้ำที่มืดมิดแห่งนั้น..


บทที่ 323 : ค่ายกลมรณะ

เจ้างูเหลือมตัวน้อยที่เติบโตขึ้นมาได้ในวันนั้นเพราะเจ้าของกระบี่เล่มนี้ ในวันนี้กลับกลายเป็นงูยักษ์ที่มีขนาดใหญ่มหึมาทำหน้าที่พิทักษ์น้ำลายมังกร..

หลิงหยุนไม่ได้ดูผิดหรอกที่เห็นปุ่มเล็กๆสองปุ่มที่หัวของมัน ในวันข้างหน้ามันจะเติบโตและกลายร่างได้สมบูรณ์หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับพลังชีวิตในน้ำลายมังกร

ในนาทีที่ตู้กู่โม่กับกลุ่มของเขาพรวดพราดเข้ามาในถ้ำหินนั้น ได้สร้างความหวาดกลัวให้กับเจ้างูมหึมาตัวนี้เช่นกัน เพราะนานมากแล้วที่มันไม่เคยพบเห็นมนุษย์เช่นเดียวกับเจ้านายของมัน

และเพราะมันไม่ได้ติดตามเจ้านายของมันมาเป็นเวลานานมากแล้ว มันจึงไม่ค่อยมีท่าทีเป็นมิตรกับมนุษย์สักเท่าไหร่ อีกทั้งเมื่อชางกวนเจี๋วยเข้ามาพบงูเหลือมมหึมาตัวนี้เข้า ด้วยสัญชาติญาณทำให้เขาลงมือใช้ตะขอคู่ในมือฟันเข้าใส่ร่างของมันทันที

ตอนที่หลิงหยุนได้ยินเสียงคนร้องตะโกนว่าเกล็ดของงูยักษ์นี้แข็งมากตัดไม่ขาดนั้น ความจริงแล้วก็คือเสียงของชางกวนเจี๋วยนี่เอง

ส่วนตู้กู่โม่นั้น แม้จะมีวิทยายุทธที่เยี่ยมยอด แต่ความรู้เรื่องค่ายกลต่างๆนั้น หากจะเทียบกับหลิงหยุนแล้ว ต่างกันราวฟ้ากับดินทีเดียว!

คนจากตระกูลเก่าแก่และนิกายลับที่ลงมาพร้อมตู้กู่โม่นั้น บางคนก็มาด้วยกัน.. เช่นซีเหมินกังกับหนานกงเจี้ยน หรือบางคนก็มาคนเดียว.. เช่นตู้กู่โม่กับตงฟางถิง

ในการลงมาสำรวจก้นหลุมยักษ์ครั้งสำคัญนี้.. พวกเขาต่างก็ใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสองวัน เพราะที่ก้นหลุมยักษ์แห่งนี้มีทั้งถ้ำหินและหลุมศพ อีกทั้งหนทางก็ค่อนข้างซับซ้อน

อีกทั้งก่อนที่จะลงมาสำรวจก้นหลุมได้ ทั้งหมดก็ได้ปะทะกันหลายครั้งตั้งแต่อยู่ปากหลุมแล้ว วุ่นวายไม่ต่างจากฝูงแมลงวันเลยทีเดียว หลังจากที่ปะทะกันอยู่สองสามครั้ง ทั้งหมดจึงตกลงใจที่จะลงมาสำรวจพร้อมกันโดยมีตู้กู่โม่รวมอยู่ในกลุ่มด้วย

ตู้กู่โม่นับว่าเป็นเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์อย่างมาก ความสามารถและกำลังภายในของเขานั้นก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว นอกจากตู้กู่โม่จะมีกำลังภายในที่สูงส่งและเพลงกระบี่ที่ล้ำเลิศแล้ว ความคิดความอ่านของเขายังอยู่เหนือความคิดทางโลกอีกด้วย อีกทั้งยังมีความรู้เรื่องแผนผังแปดทิศ และการทำนายที่เป็นเลิศเช่นกัน

ดังนั้นระหว่างที่ยืนสำรวจภูมิประเทศรอบๆอยู่บนเขาหยกด้านใต้ ตู้กู่โม่ก็สามารถบอกได้ว่าสถานที่แห่งนี้คือค่ายกลมังกรหยินหยาง

ตู้กู่โม่เองก็ไม่ได้ต้องการจะเอาตัวเข้าไปวุ่นวายกับยอดฝีมือพวกนี้ แต่เขารู้ว่าที่ก้นหลุมยักษ์แห่งนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่เขาคิด ไม่เพียงแค่มีค่ายกลที่ซับซ้อน แต่ยังมีสัตว์ประหลาดที่ดุร้ายมากมายหลายประเภท หากเขาลงมาสำรวจที่นี่เพียงคนเดียว คงเป็นเรื่องที่เหนื่อยยากและลำบากจนเกินไป

หลังจากที่ตู้กู่โม่ชั่งน้ำหนักระหว่างข้อดีกับข้อเสียดูแล้ว เขาจึงตัดสินใจที่จะลงมาสำรวจค่ายกลมังกรหยินหยางแห่งนี้พร้อมกับยอดฝีมือคนอื่นๆ

ถ้าเช่นนั้นเหตุใดหลิงหยุนจึงไม่พบกับดักใดๆเลยระหว่างที่ทำการสำรวจหลุมยักษ์แห่งนี้ แต่กลับพบเพียงสัตว์ประหลาดไม่กี่ตัวเท่านั้น

นั่นเพราะว่าหลิงหยุนเคยศึกษาเรื่องค่ายกลมาก่อน เขาจึงมีความรู้เรื่องค่ายกลหลากหลายและลึกซึ้ง จึงทำให้คุ้นเคยกับโครงสร้างและกับดักของค่ายกลมังกรหยินหยางได้เป็นอย่างดี

หลิงหยุนจึงเลือกที่จะใช้ถ้ำหินถ้ำที่สามเป็นเส้นทางเข้าไปสู่ดวงตามังกรหยิน และตัดสินใจเลือกเข้าทางประตูแห่งความตาย ยอมผ่านถ้ำค้างคาวดูดเลือด เพื่อตรงไปสู่บริเวณดวงตามังกรหยินที่จะมีพลังหยินบริสุทธิ์สูงสุด แต่เมื่อพบว่ายังไม่ใช่จุดที่เป็นดวงตามังกรหยินจริงๆ หลิงหยุนก็ตัดสินใจที่จะเดินหน้าต่อ และในที่สุดเขาก็สามารถไปถึงจุดที่เป็นดวงตามังกรหยินจริงๆได้

แต่หากหลิงหยุนเลือกที่จะเข้าทางประตูแห่งชีวิต เพื่อใช้เป็นเส้นทางมุ่งสู่ดวงตามังกรหยินแล้วล่ะก็ เขาจะต้องพบเจอกับสิ่งกีดขวางและกับดักอีกมากมาย

และเมื่อไปถึงตำแหน่งดวงตามังกรหยินแล้ว หลิงหยุนก็เริ่มลงมือฝึกวิชาพลังลับหยินหยางทันที จากนั้นจึงมาพบกับกลุ่มของตู้กู่โม่!

ซีเหมินกัง ชางกวนเจี๋วย และคนอื่นๆ ล้วนอยู่ภายใต้การนำของตู้กู่โม่ซึ่งนับว่าเป็นผู้รู้เรื่องค่ายกล ทั้งหมดได้ผ่านความยากลำบากมามากมาย อีกทั้งยังฆ่าสัตว์ประหลาดมานับไม่ถ้วน จนยอดฝีมือที่ร่วมเดินทางมาด้วยนั้น ได้เสียชีวิตไปแล้วเจ็ดถึงแปดคน

หลังจากดั้นด้นเดินทางกันอยู่สามวันสามคืน คนที่เหลือจึงสามารถฝ่ากับดักต่างๆมาได้หมด เรียกได้ว่าเลือดตาแทบกระเด็นกันเลยทีเดียวกว่าจะมาถึงค่ายกลมังกรหยินหยางแห่งนี้ได้

แต่เมื่อพวกเขามาถึงตำแหน่งหัวใจมังกรได้แล้ว ยังไม่ทันที่จะได้พักหายใจอย่างโล่งอก ก็ต้องเผชิญหน้ากับงูยักษ์ตัวมหึมา จึงไม่น่าแปลกใจที่หลายคนจะพากันกรีดร้องออกมาเมื่อถูกมันโจมตีเข้า!

ในกลุ่มยอดฝีมือเหล่านั้น ชางกวนเจี๋วยเป็นคนเดียวที่ส่งเสียงดังตลอดการสำรวจ และเมื่อเจ้างูยักษ์เห็นคนพวกนั้นเขา มันจึงรู้สึกโมโหและพุ่งเข้าโจมตีทันทีที่คนพวกนั้นปรากฏตัว

ในจังหวะนั้น.. ทั้งหลิงหยุนและเจ้าขาวปุยต่างก็เร่งรีบเช่นกัน และในตอนนั้นหลิงหยุนเองก็ไม่รู้ว่ากระบี่มังกรดำในมือของเขานั้น ที่แท้เป็นกระบี่โลหิตแดนใต้ และสามารถฟันร่างเจ้างูยักษ์นั่นได้อย่างสบาย เขาจึงเลือกที่จะหลบเจ้างูยักษ์แทนการจู่โจม และรีบพาเจ้าขาวปุยหาที่หลบซ่อนตัว

สำหรับเจ้างูยักษ์มหึมาที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางรอบตัวถึงสองเมตรนั้น ในสายตาของมันแล้ว หลิงหยุนเป็นเพียงแค่เศษเนื้อ จึงไม่สะดุดสายตาของมันเท่าไหร่นัก มันจึงเลือกที่จะพุ่งเข้าใส่กลุ่มของชางกวนเจี๋วยแทน

จนกระทั่งซีเหมินกังร้องตะโกนพร้อมกับกระโดดหลบการจู่โจมของงูยักษ์ และพุ่งเข้าไปขวางหน้าหลิงหยุนไว้ คนอื่นๆและเจ้างูยักษ์จึงค่อยหันมองมาทางหลิงหยุน

เป็นเวลานานมากแล้วที่เจ้างูเหลือมยักษ์ได้ลืมเลือมเจ้านายของมันซึ่งเป็นเจ้าของกระบี่วิเศษเล่มนี้ แต่มันยังจดจำกระบี่โลหิตแดนใต้ในมือของหลิงหยุนได้อย่างแม่นยำ!

หลังจากที่หลิงหยุนใช้กระบี่ในมือฟันอาวุธของยอดฝีมือทั้งสามคนจนขาดสองท่อน ทุกคนที่ได้เห็นความแข็งแกร่งของกระบี่เล่มนี้ ต่างก็ไม่มีใครกล้าขวางทางหลิงหยุนอีกเลย เขาจึงเดินตรงไปที่ประตูศิลาทีละย่างก้าว โดยที่มือขวากำกระบี่โลหิตแดนใต้ไว้แน่น ส่วนมือขวาก็แอบกำตะปูไว้ด้วย

แม้ชางกวนเจี๋วยและซีเหมินกังอยากจะพูดอะไรออกมา แต่ก็เลือกที่จะปิดปากเงียบ และยอมให้หลิงหยุนเดินตรงไปที่ประตูศิลาโดยที่ไม่สามารถหยุดยั้งเขาได้ เพราะหลิงหยุนเพิ่งจะฟันอาวุธของพวกเขาทั้งสองคนหัก หากหลิงหยุนต้องการทำร้ายพวกเขาทั้งคู่ พวกเขาก็คงไม่มีทางหนีรอดแน่..

เมื่อหลิงหยุนเดินฝ่าวงล้อมของยอดฝีมือเหล่านั้นไปแล้ว ทุกคนต่างก็เดินตามหลังหลินหยุนไปเงียบๆ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเหล่ายอดฝีมือจะแตกแยกออกเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อย..

กลุ่มแรกมีซีเหมินกัง หนานกงเจี้ยน และชางกวนเจี๋วย อีกลุ่มคือเถี่ยเจิ้งผิงกับเหลยเวิ่นซิง ส่วนตงฟางถิงนั้นอยู่ตัวคนเดียวไม่เข้ากลุ่มกับใคร

เห็นได้ชัดว่าชางกวนเจี๋วยพยายามยุยงให้ทุกคนจัดการกับหลิงหยุน แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองจากยอดฝีมือคนอื่นๆ เพราะในเวลานั้นต่างคนต่างก็เริ่มคิดเห็นแตกต่างกัน

ยอดฝีมือเหล่านี้ต่างก็ไม่ได้มาด้วยกันตั้งแต่แรก พวกเขาเพียงแค่รวมตัวกันชั่วคราวเพื่อดูแลกันและกันระหว่างสำรวจก้นหลุมเท่านั้น ความสามัคคีกลมเกลียวของพวกเขาจึงเบายิ่งกว่าเม็ดทราย

ตอนนี้ทุกคนต่างก็สามารถเข้ามาจนถึงตำแหน่งหัวใจมังกรได้ และทุกคนย่อมรู้ว่าสมบัติล้ำค่าต่างๆกำลังรออยู่ตรงหน้า ในเวลาที่ต่างคนต่างคิดเห็นไม่ตรงกันนั้น ทุกคนต่างก็เริ่มทำตามความต้องการของตนเอง

แม้จะไม่ได้หันหลังกลับไปมอง หลิงหยุนก็สัมผัสบรรยากาศด้านหลังของเขาได้อย่างชัดเจน และรู้ดีว่าคนพวกนั้นต่างรอคอยให้เขาทลายประตูศิลา เพื่อที่พวกเขาจะได้วิ่งเข้าไปหยิบสมบัติที่อยู่ด้านหลังประตูนี้ แต่หลิงหยุนไม่ใส่ใจ..

เพราะหลังจากทดสอบฝีมือเล็กๆน้อยๆแล้ว หลิงหยุนก็รู้ว่าสองคนในกลุ่มนี้ไม่มีทางที่จะหยิบอะไรไปได้อย่างแน่นอน

ไม่นานนัก.. หลิงหยุนก็เดินไปถึงที่หน้าประตูศิลาที่อยู่ทางด้านซ้ายมือ เขาสำรวจดูที่ประตูอย่างละเอียด แต่ก็ไม่พบปุ่มหรือกลไกใดๆอยู่บนประตู เขาลองใช้มือผลักประตูศิลา แต่ก็ไม่ขยับเขยื้อน..

หลิงหยุนลองใช้วิชาพลังลับหยินหยาง รวบรวมกำลังภายในทั้งหมดที่มีอยู่ และออกแรงผลักประตูศิลาอย่างสุดกำลัง แต่ก็ยังไม่สามารถทำให้ประตูศิลาขยับได้แม้แต่น้อย เขาขมวดคิ้วพร้อมกับคิดว่าจะสามารถใช้กระบี่ในมือพังประตูเข้าไปได้หรือไม่?

ระหว่างนั้น ตู้กู่โม่ก็พุ่งเข้าไปหาหลิงหยุนที่อยู่หน้าประตูศิลา และช่วยเขาสำรวจที่ประตูอยู่เป็นเวลานาน และลองกระโดดเหยียบลงไปบนพื้น แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น..

“น่าแปลก.. ในเมื่อมีประตู เหตุใดจึงไม่มีกลไกหรือปุ่มเปิด? ไม่สมเหตุสมผลนัก..”

กลุ่มยอดฝีมือสามคนที่ยืนรออยู่ด้านหลังเป็นเวลานาน เมื่อเห็นว่าหลิงหยุนไม่สามารถเปิดประตูศิลาได้ ก็ได้แต่แอบผิดหวังอยู่ในใจ และจู่ๆทั้งสามคนก็นึกสนุกขึ้นมา พวกเขาต่างก็ไม่รอเฉยอีก ทั้งสามคนตรงไปยังประตูที่เหลืออีกสองบาน

“นี่หลิงหยุน.. ข้าว่าเจ้าแกล้งเปิดไม่ได้มากกว่า? ถ้าเจ้ากลัวว่าคนพวกนั้นจะเข้าไปเอาสมบัติแล้วล่ะก็ เจ้าสบายใจได้เลย ทันทีที่เจ้าเปิดประตูได้ ข้าจะยืนขวางประตูไว้ให้เจ้าเอง รับรองว่าพวกเขาเข้าไปเอาสมบัติไม่ได้แน่!” ตู้กู่โม่กระซิบบอกหลิงหยุน

ตู้กู่โม่เชื่อว่าในเมื่อหลิงหยุนสามารถมาถึงที่นี่เพียงลำพังได้ อีกทั้งยังมาถึงก่อนพวกเขาเสียอีก แสดงว่าหลิงหยุนต้องเข้าใจกลไกและกับดักของค่ายกลมังกรหยินหยางดีกว่าเขาแน่!

หลิงหยุนแอบยิ้ม คนพวกนั้นไม่อยู่ในสายตาของเขาแม้แต่น้อย หากเขาสามารถหาทางเปิดประตูได้ เขาก็จะรีบใช้มังกรพรางร่างขั้นสูงสุดพุ่งเข้าไปกวาดเอาสมบัติข้างในเก็บเข้าไปไว้ในแหวนพื้นที่จนหมดแน่

หลิงหยุนกระซิบตอบเสียงเบา “ฉันเปิดไม่ได้จริงๆ ประตูศิลานี่ถูกเชื่อมต่อกับกำแพงหินของถ้ำหินแห่งนี้ ประตูก็ถูกปิดไว้อย่างมิดชิด หาปุ่มหรือกลไกสสำหรับเปิดไม่พบเลย แสดงว่าวิธีเปิดประตูศิลานี้ต้องไม่ใช่การเปิดประตูแบบปกติแน่!”

ตู้กู่โม่ได้ฟังถึงกับทำสีหน้างุนงง แล้วพูดขึ้นมาว่า “ถ้าเจ้าหาปุ่มหรือกลไกสำหรับเปิดไม่ได้ ก็ใช้กระบี่วิเศษในมือทลายประตูซะสิ!”

หลิงหยุนฟังตู้กู่โม่แล้วกรอกตาไปมาพร้อมกับส่งกระแสจิตตอบไปว่า “ฉันไม่รู้ว่าพวกนายทั้งหมดลงมาที่นี่ได้ยังไง? นายคิดว่าค่ายกลมังกรหยินหยาง จะให้คนทลายประตูได้ง่ายๆงั้นเหรอ? ใช้สมองหน่อยสิ?”

ตู้กู่โม่และยอดฝีมือคนอื่นๆอาจจะไม่รู้สึกผิดปกติอะไร แต่หลิงหยุนสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่านอกเหนือจากพลังชีวิตจากน้ำลายมังกรแล้ว ยังมีอย่างอื่นที่แม้แต่หลิงหยุนก็ไม่สามารถอธิบายได้อีก..

ไม่ว่าใครก็ตาม.. หากใช้กำลังทลายประตูศิลา ก็เท่ากับกระตุ้นให้ค่ายกลมรณะทำงาน และเมื่อถึงตอนนั้นทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนี้จะต้องตาย หากไม่สามารถหนีออกไปได้

คิดดูง่ายๆว่า.. ค่ายกลมังกรหยินหยางแห่งนี้ถูกออกแบบไว้เพื่อกักขังมังกร และในเมื่อแม้แต่มังกรยังถูกกักขังไว้ในค่ายกลแห่งนี้ได้ จึงไม่ต้องพูดถึงหลิงหยุนและคนอื่นๆที่อยู่ในนี้

ตอนนี้ทุกคนยังปลอดภัยดีอยู่ ก็เพราะยังไม่มีใครกระตุ้นให้ค่ายกลมรณะทำงาน!

“อะไรนะ? พวกนายใช้เวลาสามวันสามคืนเชียวเหรอ?! พวกนายลงมาที่นี่วันใหน?” หลิงหยุนหันไปถามตู้กู่โม่

“ก็ในคืนที่เราสองคนนัดปะลองกันนั่นล่ะ! ข้ามาตามสัญญาแล้ว และก็รออยู่ที่ผาพยัคฆ์ แต่ไม่เห็นเจ้ามาสักที อีกอย่างยอดฝีมือหลายคนต่างก็จะลงมาที่นี่ ข้าก็เลยรอเจ้าต่อไม่ได้!”

“ฉันรู้แล้ว.. ฉันเห็นข้อความของนายที่สลักไว้บนราวเหล็กแล้ว..”  หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับถามต่อว่า

“หลังจากที่ลงมาแล้ว เจ้าเห็นงูเหลือมตัวใหญ่มากบ้างไม๊?”

ตู้กู่โม่เกาศรีษะพร้อมกับครุ่นคิด “เจ้าหมายถึงตัวที่อยู่ก้นหลุมใช่ไม๊? ข้าพบมัน.. แล้วก็ฟันมันไปสองครั้ง..”

สองสามวันนี้ตู้กู่โม่เจองูเหลือมเยอะมาก งูพวกนั้นว่าใหญ่มากแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะมาเจอตัวที่ใหญ่ที่สุดที่นี่อีก!

“โธ่เอ๊ย.. นายฟันมันสองทีแล้วก็หนีออกมา มิน่า.. มันถึงโมโหใส่ฉันแทน! ว่าแต่วันนี้เป็นวันที่ 9 เมษายนสินะ?”

หลิงหยุนลงมาที่นี่ในคืนวันที่ 6 เมษายน และนี่ก็ผ่านมาสามวัน วันนี้ก็น่าจะเป็นวันที่ 9

หลิงหยุนไม่คิดว่าเขาจะใช้เวลาถึงสามวันสามคืนในการฝึกเพื่อให้เข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-4 เขาได้แต่มองเจ้าขาวปุยที่อยู่ข้างตัว ไม่รู้ว่ามันทนอยู่ได้อย่างไร?

ตู้กู่โม่ส่ายหน้า “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว แค่เดินสำรวจก้นหลุมก็กินเวลาไปหนึ่งวันเต็มๆแล้ว เพราะฉะนั้นวันนี้น่าจะเป็นวันที่ 10 เมษายน..”

“ห๊ะ..?!” หลิงหยุนร้องตะโกนเสียงดัง!

หลิงหยุนกับตู้กู่โม่มัวแต่คุยกัน จึงไม่ทันได้สังเกตุเห็นว่ายอดฝีมือในกลุ่มของซีเหมินกังทั้งสามคน ต่างก็ช่วยกันฟาดฝ่ามือด้วยกำลังภายในทั้งหมดที่มี ลงบนประตูศิลาที่อยู่ตรงกลางอย่างรุนแรง

“แย่แล้ว! นั่นพวกเจ้ากำลังทำอะไร?” หลิงหยุนร้องตะโกนออกมาอย่างตกใจ

ยังไม่ทันสิ้นเสียงของหลิงหยุน.. เสียงครืน!! ก็ดังสนั่นไปทั่วทั้งบริเวณ และทุกคนในที่นั้นต่างก็ได้ยินกันเต็มสองหู


บทที่ 324 : ค่ายกลลวงตา และกระบี่ศิลา

ดังที่สุภาษิตโบราณว่าไว้ ‘โลภมาก ลาภหาย’ – ซีเหมินกัง หนานกงเจี้ยน และชางกวนเจี๋วย ต่างก็โลภอยากจะได้สมบัติ จนกระเหี้ยนกระหือที่จะเปิดประตูศิลาให้ได้ และก็ใช้วิธีโง่เขลาอย่างที่สุด!

ช่างเป็นการกระทำที่โง่เขลาและสิ้นคิดนัก!

การที่ชายหนุ่มทั้งสามคนในกลุ่มของซีเหมินกังช่วยกันทลายประตูศิลานั้น กลับไปกระตุ้นกลไกของค่ายกลมรณะให้เริ่มทำงาน แต่ทั้งสามคนกลับยังไม่รู้ตัว และยังคงหัวเราะร่าเริงสนุกสนานกับการที่สามารถทลายประตูศิลาได้โดยบังเอิญ!

หลิงหยุนกัดฟันข่มความโกรธ! เขานึกเสียใจที่ได้ปราณีชายหนุ่มทั้งสามก่อนหน้านี้ หากเขาฆ่าสามคนนี้ทิ้งตั้งแต่แรก เขาคงไม่ต้องเผชิญกับความยุ่งยากถึงเพียงนี้!

แต่คิดได้ตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว เพราะเสียงครืนที่น่ากลัวนั่นยังคงดังอย่างต่อเนื่อง.. หลิงหยุนก้มลงใช้มือซ้ายอุ้มเจ้าขาวปุยขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ร้องบอกตู้กู่โม่เสียงดัง..

“นายตามฉันมาเร็วเข้า!!”

ระหว่างนาทีแห่งความเป็นความตายนั้น หลิงหยุนใช้มังกรพรางร่างขั้นสูงสุด วิ่งฝ่ากำแพงหินที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว!

มีถ้ำหินเล็กๆอีกหกถ้ำที่เป็นเส้นทางทะลุมาสู่ถ้ำหินแห่งนี้ได้ แต่ก็อยู่ห่างไกลประตูศิลามาก หลิงหยุนรู้ว่าคงจะไม่ทันการหากเขาจะวิ่งไปยังถ้ำหินแห่งใดแห่งหนึ่ง เขาจึงเลือกที่จะวิ่งเข้าไปในตำแหน่งหัวใจมังกร

และในฐานะปรมาจารย์ผู้รอบรู้เรื่องค่ายกลต่างๆ การที่หลิงหยุนจะวิ่งไปหยุดที่จุดใดนั้น ย่อมหมายความว่าเขาได้คำนวนว่าปลอดภัยดีแล้ว หรือไม่อย่างน้อยก็ต้องปลอดภัยได้ชั่วคราว

ไม่เพียงแค่หลิงหยุนที่ได้ยินเสียงค่ายกลทำงาน แม้แต่ตู้กู่โม่เองเมื่อได้ยินเสียง เขาก็รู้ได้ทันทีว่ากำลังจะเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นอย่างแน่นอน และเมื่อเห็นปฏิกิริยาของหลิงหยุน เขาก็ไม่ลังเลที่จะพุ่งตามไปทันที

“นี่มันวิชาอะไรกัน.. ถึงเคลื่อนไหวได้รวดเร็วเช่นนี้?!” ตู้กู่โม่ถามหลิงหยุนด้วยความตกใจเล็กน้อย

หลิงหยุนเพิ่งจะใช้วิชามังกรพรางร่างแสดงการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วอย่างที่ตู้กู่โม่เองไม่เคยเห็นมาก่อน จนตู้กู่โม่ถึงกับตะลึง! ความรวดเร็วในการเคลื่อนไหวของหลิงหยุนนั้นถึงขนาดที่ว่า ร่างกายของของเขานั้นเคลื่อนที่ไปหยุดอยู่ที่หนึ่งแล้ว แต่เสียงร้องเตือนของเขาเพิ่งจะดังมาเข้าหูของตู้กู่โม่ที่อยู่หน้าประตูศิลา

การเคลื่อนไหวที่รวดเร็วของหลิงหยุนนั้น ทำให้ตู้กู่โม่อดที่จะนึกถึงคำคำหนึ่งที่จะสามารถอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้อย่างชัดเจน นั่นคือการเคลื่อนย้ายมวลสารในชั่วพริบตาแบบที่เรียกว่า ‘เทเลพอร์ต’!

หลิงหยุนไม่ตอบคำถาม.. มือซ้ายของเขากอดเจ้าขาวปุยไว้แน่น ส่วนมือขวาก็ถือกระบี่โลหิตแดนใต้ไว้ ร่างของเขาพิงอยู่กับกำแพงหินด้านหลัง จากนั้นก็สั่งตู้กู่โม่ว่า

“นายมายืนให้ชิดกำแพงหินไว้ จับเสื้อของฉันไว้ให้แน่น แล้วก็เตรียมตัวให้พร้อม!”

ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเมื่อเห็นแววตาตื่นตระหนกของหลิงหยุน ตู้กู่โม่จึงรีบจับชายเสื้อของเขาไว้ทันที พร้อมกับยกกระบี่ในมือขึ้นอยู่ในท่าเตรียมพร้อมอย่างเชื่อฟัง แต่ปากก็ร้องตะโกนถามไม่หยุด..

“นี่เจ้ากำลังทำอะไร.. ให้ตายเถอะ! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?!”

ยังไม่ทันที่ตู้กู่โม่จะพูดจบ.. เขาก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อจู่ๆผนังหินที่ไม่รู้ว่าหนาเท่าไหร่ ก็เคลื่อนมาปรากฏอยู่ตรงหน้า และตามมาด้วยหมอกสีขาวที่หนาจนแทบมองอะไรไม่เห็น จากนั้นเพียงไม่กี่วินาที เขาก็ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อีกเลย

แม้ว่าจะอยู่ในความมืดมิด แต่ทั้งหมดก็ล้วนเป็นยอดฝีมือในขั้นโฮ่วเทียน-8 ขึ้นไป สายตาของทุกคนจึงนับว่าต้องดีมาก อีกทั้งยังอยู่ในถ้ำมาถึงสามวันสามคืนแล้ว สายตาจึงสามารถปรับเข้ากับความมืดได้เป็นอย่างดีแล้ว

ส่วนหลิงหยุนที่ฝึกวิชาดารกะดายันนั้น สายตาของเขาจึงดีกว่าตู้กู่โม่มาก แม้ในท่ามกลางความมืดมิด เขาก็ยังสามารถมองเห็นได้ไกลกว่าและชัดเจนกว่าตู้กู่โม่

และการฝึกดารกะดายนั้น คือการฝึกเป็นหนึ่งเดียวกับดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวที่ส่องสว่าง ดังนั้นในการฝึกผ่านไปแต่ละระดับย่อยนั้น สายตาของผู้ฝึกฝนก็จะดีขึ้นด้วย ตู้กู่โม่แม้จะเป็นยอดฝีมือ แต่ในด้านนี้ก็ไม่สามารถเทียบกับหลิงหยุนได้อย่างแน่นอน

หมอกสีขาวที่หนาแน่นนั้น เพียงแค่พริบตาเดียวก็ทำให้ตู้กู่โม่ไม่สามารถมองเห็นกำแพงที่เพิ่งปรากฏตรงหน้าได้อีกเลย เขาเริ่มรู้สึกว่าดวงตาของเขาพร่ามัวและร่างกายเริ่มจะเป็นอัมพาต

ตู้กู่โม่ที่จับเสื้อของหลิงหยุนไว้แน่น กำลังจะร้องถามออกไป แต่หลิงหยุนก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน..

“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น..! คอยฟังเสียงอย่างเดียว แล้วก็อย่าไปคิดถึงกำแพงหินที่ล้อมรอบตัวนายอยู่ หากได้ยินเสียงคล้ายมีอะไรพุ่งออกมา จำไว้ว่านั่นคือเสียงของกระบี่ที่พุ่งออกมา!”

ตู้กู่โม่ไม่เคยพบเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน แต่ก็สามารถเข้าใจคำพูดของหลิงหยุนได้อย่างแจ่มแจ้งว่า กำแพงหินที่เขามองเห็นนั้นเป็นแค่ค่ายกลลวงตา ส่วนหมอกสีขาวนั้นมีฤทธิ์ในการสร้างภาพหลอนให้เห็นว่ากำแพงหินกำลังบีบเข้ามาเรื่อยๆ และมีผลต่อจิตใจอย่างมาก

ในเวลานี้.. สิ่งเดียวที่สามารถใช้งานได้คือการฟัง และความเชื่อมั่น!

หลิงหยุนได้ยืนหลับตามาตั้งแต่แรก เขาจึงไม่เห็นทั้งหมอกขาวและกำแพงหิน ตอนนี้เขาเพียงแค่จดจ่ออยู่กับลมหายใจ และใช้หัวใจสัมผัสแทน..

“นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงมีกำแพงหินล้อมข้าไว้มากมายแบบนี้!”

“โอ้.. หมอกหนาขนาดนี้ ข้ามองไม่เห็นอะไรเลย..”

“ซีเหมิน หนานกง พวกเจ้าอยู่ที่ใหน กำแพงหินพวกนี้เคลื่อนที่ได้ มันกำลังจะบดร่างของข้า!”

ตอนนี้.. คนชั่วร้ายทั้งสามต่างก็พากันร้องตกใจ และใบหน้าของพวกเขาต่างก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัว แม้ตอนนี้ทั้งสามคนจะยืนอยู่ด้วยกัน แต่เพราะหมอกขาวที่หนาทึบ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นกันและกันได้!

พวกเขาเห็นเพียงแค่หมอกหนาสีขาว และท่ามกลางหมอกสีขาวก็มีกำแพงหินสี่ด้านที่กำลังบีบรัดเข้ามา แคบลง.. และแคบลงเรื่อยๆ

“ไม่นะ..!!!”

ถ้ำหินแห่งนี้ใหญ่โตกว่าสองร้อยเมตร และสูงราวเจ็ดสิบถึงแปดสิบเมตร ไม่ต่างจากหม้อขนาดใหญ่ที่กำลังขังทุกคนอยุ่ด้านใน

ในขณะที่แต่ละคนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้นั้น ก็มีกระบี่ศิลาจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งลงมาจากเพดานหินด้านบนศรีษะ และร่วงตกลงมาราวกับห่าฝน เรียกได้ว่าไม่มีช่องว่างให้หลบได้แม้แต่น้อย!

หลิงหยุนได้ตรียมพร้อมไว้แล้ว เขาตั้งใจฟังเสียงอย่างดี เพราะรู้ว่าค่ายกลมรณะแห่งนี้กำลังเริ่มทำงาน เขาสะบัดกระบี่โลหิตแดนใต้ในมือปัดป้องบนศรีษะของตนเองและตู้กู่โม่

ตู้กู่โม่เองก็ได้ยินเสียงเช่นกัน แต่เมื่อเขาต้องการที่จะใช้กระบี่ในมือป้องกันตัวเอง เขากลับพบว่ากระบี่ในมือของเขานั้นกระแทกเข้ากับกำแพงหินด้านหน้าและไม่สามารถขยับได้!

“อ๊าก..! อ๊าก..! อ๊าก..! อ๊าก..!”

เสียงกรีดร้องสี่เสียงดังขึ้นพร้อมกัน.. ซีเหมินกัง หนานกงเจี้ยน และชางกวนเจี๋วย ทั้งสามคนถูกกระบี่ศิลาที่ร่วงลงมาจากเพดานถ้ำสังหารในเวลาเดียวกัน ส่วนเหลยเวิ่นซิงนั้นดิ้นรนต่อสู้ได้เพียงครู่เดียว ก็ไม่สามารถหนีรอดจากชะตากรรมครั้งนี้ได้ และตายลงอย่างน่าเวทนา!

แต่ตงฟางถิงแห่งตระกูลตงฟาง และหมัดเทวะเถี่ยเจิ้งผิง ที่ทำตามหลิงหยุนนั้น กลับไม่ได้รับบาดแผลหรืออันตรายแต่อย่างใด!

เหตุการณ์ในครั้งนี้ยังได้สร้างความเลวร้ายให้เกิดกับเจ้างูยักษ์ผู้พิทักษ์น้ำลายมังกรอีกด้วย  เพราะแม้ว่าเกล็ดของมันจะแข็งยิ่งกว่าเหล็ก แต่กระบี่ศิลาเหล่านี้กลับมีผลกระทบต่อร่างใหญ่ยักษ์ของมันอย่างมาก กระบี่ศิลาจำนวนมากที่ร่วงลงมาจากเพดาน ได้แทงเข้าตามลำตัวของมัน และยึดร่างใหญ่ยักษ์ของมันติดไว้กับพื้นหินจนแน่น!

บาดแผลมากมาย เลือดที่กระเด็นกระจัดกระจาย และเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของเจ้างูยักษ์ดังโหยหวลไปทั่วทั้งบริเวณ แต่ในเวลาแห่งความเป็นความตายนี้ ก็ไม่มีใครที่จะสามารถขยับตัวทำอะไรได้แม้แต่น้อย

ดูเหมือนว่าเจ้างูเหลือมใหญ่ยักษ์มหึมาตัวนี้ ก็คือมังกรที่ถูกทำโทษให้จองจำอยู่ในค่ายกลสำหรับกักขังมังกรแห่งนี้ และต้องมาเผชิญกับความหายนะตั้งแต่ยังไร้เดียงสา

หลิงหยุนได้ยินเสียงร้องโหยหวลของเจ้างูยักษ์ ในจิตใจของเขาแม้ไม่อาจทนได้ แต่ก็ทำแค่ฟังเสียงร้องของมัน เพราะตอนนี้เขาเองก็ต้องปกป้องเจ้าขาวปุยที่อยู่ในมือ และตู้กู่โม่ที่อยู่ข้างๆ

หลังจากผ่านพ้นกระบี่ศิลาที่ร่วงลงมาเป็นพายุฝนแล้ว  หลิงหยุนก็รีบส่งกระแสจิตบอกตู้กู่โม่ ‘พวกเราอยู่ตรงนี้ไม่ได้อีกแล้ว ต้องรีบเปลี่ยนที่ นายมากับฉัน!’

ตู้กู่โม่อึดอัดจนหายใจไม่ออกเพราะถูกกำแพงหินโอบล้อมอยู่ในเวลานี้ เขาดิ้นรนพยายามที่จะส่งกระแสจิตแต่ก็ทำไม่ได้ เขาจึงร้องออกมาเสียงดัง “ข้าขยับตัวไม่ได้!”

หลิงหยนุไม่มีเวลาที่จะอธิบายอะไรมากในตอนนี้ เขาจึงรีบพูดขึ้นว่า “ตอนนี้นายไม่ต้องกังวลอะไรมาก เอาเป็นว่าจับเสื้อของฉันไว้ให้แน่น!”

หลังจากนั้น หลิงหยุนก็ใช้วิชามังกรพรางร่างพาทุกคนออกมาจากกำแพงหิน จากนั้นก็ถามตู้กู่โม่ว่า “นายยังรู้สึกเหมือนมีกำแพงบีบรัดอยู่อีกไม๊?”

วินาทีที่ตู้กู่โม่เกาะเสื้อหลิงหยุนไว้แน่นนั้น เขาไม่รู้สึกว่ามีกำแพงหินบีบรัด แต่ก็รู้สึกเหมือนร่างของเขาพุ่งทะลุกำแพงหินไป และตอนนี้ก็มีเลือดไหลออกมาจากปากของเขา และได้รับบาดเจ็บภายใน

“กำแพงหินนั่นเป็นเพียงแค่ภาพลวงตา ไม่มีกำแพงหินอยู่จริง นายอย่าไปคิดถึงกำแพงหินพวกนั้น!” หลิงหยุนรวบรวมกำลังทั้งหมดที่มีเพื่อใช้กังกรคำรามร้องออกไป!

ตู้กู่โม่ใจสั่นแต่ก็สามารถเข้าใจได้ทันที “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ถ้าไม่มีกำแพงหินจริง แล้วเหตุใดข้าจึงกระอักเลือด?”

ความจริงแล้ว.. เหตุการณ์ในครังนี้ก็ไม่ต่างจากคนที่โกรธจนกระอักเลือด มันซับซ้อนและลึกลับเกินกว่าที่จะอธิบายได้ ทุกอย่างเป็นกระบวนการทางจิตวิทยา

บางคนอาจพบเจอกับเหตุการณ์หรือภาพที่น่ากลัวจนหัวใจวายตายได้ เรื่องนี้ก็คล้ายๆกัน

แต่หลิงหยุนไม่มีเวลาอธิบาย เขาบอกกับตู้กู่โม่อย่างหนักแน่นว่า “นี่เป็นวิธีการเอาตัวเรอด! นายจำเอาไว้ให้ดี!”

ทันทีที่หลิงหยุนพูดจบ กำแพงหินรอบตัวและกระบี่ศิลาจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งมาอีกระลอก คราวนี้กระบี่ศิลาไม่เพียงร่วงลงมาจากเพดาน แต่พุ่งออกมาจากทุกทิศทาง กระบี่ศิลาเล่มใหญ่จำนวนมากที่พุ่งจากทุกทิศทางนี้ ไม่ต่างจากตาข่ายฟ้าดินที่ยากจะหลุดรอด

ครั้งนี้ ทั้งตู้กู่โม่และหลิงหยุนต่างก็สะบัดกระบี่ในมือพร้อมๆกัน เพื่อปัดป้องกระบี่ศิลาที่กระหน่ำมาราวกับพายุ

เจ้างูยักษ์ยิ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสมากยิ่งขึ้น ความแข็งแกร่งของมันเมื่อครู่หายไปทันที เหลือเพียงแค่ร่างอ่อนระทวยบนพื้นหิน

ครั้งนี้หมัดเทวะเถี่ยเจ้งผิงไม่อาจหนีรอดจากชะตากรรมได้ เขาเพิ่งจะปล่อยหมัดออกไปได้สองสามหมัดก็ถูกกระบี่ศิลาแทงตาย

ส่วนตงฟางถิงนั้น ไม่รู้ว่าเขาได้บ่มเพาะจิตแห่งเต๋ามาแบบใหน เพราะดูเหมือนว่าค่ายกลลวงตาจะไม่สามารถทำอันตรายเขาได้แม้แต่น้อย แต่กระบี่ศิลาในครั้งนี้มีจำนวนมากมายเหลือประมาณ และยังพุ่งออกมาจากทั่วทุกทิศ เขาจึงได้รับบาดเจ็บสาหัสจากกระบี่ศิลาที่พุ่งเข้าใส่แผ่นหลังและขา!

หลิงหยุนได้ยินเสียงร้องของตงฟางถิง และเสียงล้มลงกับพื้น เขารีบใช้มังกรคำรามร้องถามออกไป

“พี่ตงฟาง.. พี่ชายท่านอยู่ที่ใหน? ขยับตัวได้หรือไม่?”

แม้ว่าตงฟางถิงจะรู้ว่ากระบี่ในมือของหลิงหยุนนั้นเป็นกระบี่วิเศษ แต่เขากลับไม่มีความต้องการที่จะยื้อแย่งไป ทำให้หลิงหยุนรู้สึกประทับใจในตัวของตงฟางถิงมาก

“น้องหลิงหยุน.. ข้าอยู่ที่ประตูศิลาทางด้านขวามือ ข้าขยับเขยื้อนไม่ได้…” ตงฟางถิงร้องออกไป

หลิงหยุนฟังเสียงและจำตำแหน่งได้อย่าแม่นยำ เขาใช้มังกรพรางร่างเคลื่อนที่ไปหาตงฟางถิงพร้อมตู้กู่โม่อย่างรวดเร็ว

หลิงหยุนฟังเสียงหายใจของตงฟางถิงมาและถามขึ้นว่า “ท่านบาดเจ็บตรงใหน?”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม