Don’t Heal the Others 126-135
126
ผู้เล่นบางคนก็มีเลเวล 15 แล้วในช่วงเวลาเพียงหนึ่งคืน
ตอนนี้มีผู้เล่น 50 คนที่เป็นเลเวล 15 แล้ว
เสี่ยวเฟิงที่อยู่อันดับหนึ่งก็หวั่นเกรงว่าเขาจะถูกแซงไปได้ทุกเมื่อ
ทว่าชายหนุ่มเองก็ถูกบิชอปมอบเควสให้เสียก่อน ดังนั้นเขาจึงหมายมั่นว่าจะรีบทำเควสนี้ให้เสร็จโดยเร็วที่สุดแล้วจะได้รีบไปเก็บเลเวลต่อ
พวกกระหายเก็บเลเวลนั้นน่าทึ่งมาก ซีเหมินและไนท์คูเออร์ที่เป็นที่สองที่สามก็ถูกล้มตำแหน่งไปแล้ว พวกเขาถูกถีบลงจากตำแหน่งไปด้วยผู้เล่นสายเวทย์และนักธนูที่เก๋บเลเวลเก่งเป็นพิเศษ
สถานที่ทำเควสนั้นห่างจากเตียนหลงมาก หรือก็คือออกจากอาณาจักรนี้ไปอีก เป็นพื้นที่ที่มีพวกโจรชุกชุมและกับดักรวมไปถึงแมลงมีพิษมากมาย
พวกทหารของอาณาจักรและอัศวินจากวิหารแห่งแสงที่ถูกส่งเข้าไปก็ไม่กล้าเข้าไปยังจุดศูนย์กลางนี้ ดังนั้นบิชอปจึงมอบเควสนี้ให้กับผู้กล้าที่เก่งที่สุด
นี่เป็นเควสใหญ่ที่มีผลกระทบต่อเนื้อเรื่องมาก นอกจากเสี่ยวเฟิงแล้วผู้เล่นคนอื่นเองก็ได้รับมันจากวิหารแห่งแสงที่เมืองอื่นเช่นกัน
เสี่ยวเฟิงเดินทางไปยังเมืองซันเซทผ่านทางจุดวาร์ป ซึ่งใกล้ที่สุดสำหรับสถานที่ทำเควสแล้ว ผู้เล่นคนอื่นที่มีเควสนี้ต่างก็น่าจะมารวมตัวกันที่นี่
“มีบางคนไม่อยู่ที่นี่”
กลุ่มผู้เล่นราวๆ 7 คนกำลังยืนล้อมจุดวาร์ปอยู่ 2 ใน 7 เป็นผู้เล่นหญิงและเป็นอาชีพพระกับนักธนู
“ไม่ต้องรอเขาหรอก ฉันว่าเราผ่านเควสได้อยู่แล้ว”
นักรบคนนึงพูด
“พ่อนักรบ ดินแดนแห่งความมืดอันตรายมากนะ รอทุกคนมากันก่อนเถอะ”
NPCยืนอยู่ด้านหน้าพวกเขาบอกข้อมูลทุกอย่างแล้วก็ให้ยาแก้พิษมาด้วย
ดินแดนแห่งความมืดคือสถานที่กว้างใหญ่และอันตรายมาก
ถ้าเป็นแผนที่ธรรมดาล่ะก็ระดับความยากจะเปลี่ยนแปลงออกไป แต่สำหรับที่นี่มันคือระดับความยากสุดๆ
ยกตัวอย่างก็ ถ้าผู้เล่นกำลังจัดการกับมอนสเตอร์เลเวล 10 แล้วจู่ๆก็มีบอสเลเวล 50 โผล่ออกมาด้านหลัง ประมาณนี้ อะไรๆก็เกิดขึ้นได้ในแผนที่นี้
ในบรรดา 7 คนนั้นนักรบทั้งหลายก็เริ่มหมดความอดทนแล้ว แต่ด้วยข้อจำกัดของเควสเองก็ทำให้พวกเขาไม่สามารถเริ่มเควสได้หากคนที่ 8 ยังไม่มา
วิ้ง!
ระหว่างที่กำลังพูดคุยกันอยู่ ก็มีผู้เล่นคนนึงวาร์ปลงมายังที่นี่ เขาใส่หน้ากากพร้อกมับปกปิดชื่อของตัวเองไว้ ทั่วทั้งตัวของเขามีไอเทมระดับดีๆอยู่ เขาคือเสี่ยวเฟิง
ทุกคนหันไปมองโดยที่ไม่ทันได้เห็นว่าNPCคนนี้ก้มหัวให้กับเขา
“นายมาทำเควสเนื้อเรื่องที่นี่สินะ?”
หัวหน้ากลุ่มถามเขา
เสี่ยวเฟิงพยักหน้าและไม่ได้พูดอะไร ถึงแม้ว่าเควสจะมีชื่อเดียวกันแต่ก็มีเงื่อนไขในการทำให้สำเร็จที่ต่างกัน และเสี่ยวเฟิงต้องทำเควสนี้ให้สำเร็จด้วยตัวเขาเอง
แต่ชายหนุ่มก็ไมได้สนใจพวกผู้เล่นเหล่านี้ทันทีที่เห็นเลเวลและอุปกรณ์ เพราะทั้งหมดนี้ไม่ใช่ผู้เล่นที่เก่งกาจและไม่น่าจะช่วยอะไรเขาได้
“เอาล่ะไปกันเถอะ ในเมื่อทุกคนมากันแล้ว นายคงเป็นพระสินะ ก็ดีที่มีพระสองคนในทีมของเรา จะได้อุ่นใจมากขึ้นเวลาสู้กับบอส”
มีคนส่งคำขอเข้าทีมมาให้เสี่ยวเฟิง
“เฮ้ แด็ด เข้าร่วมทีม”
ทุกคนตะลึงทันทีที่เห็นชื่อของเขา
“ว้าว นายเลเวล 15! ต้องเป็นผู้เล่นเทพๆแน่เลย”
“เฮ้พวก! นายโคตรเจ๋งเลยนะเนี่ย! มีพระไม่กี่คนเองที่เลเวล 15 ในฮัวเซีย”
ท็อป 50 ผู้เล่นมีแต่เลเวล 15 ทั้งนั้น ตัวตนของเสี่ยวเฟิงจึงถูกมองออกได้ง่ายดาย
แต่มีไม่กี่คนเท่านั้นที่รู้ว่าชื่อของผู้เล่นที่เก่งที่สุดในฮัวเซียนั้นชื่อ แด็ด
“ว้าว! ผู้เล่นตัวเก่งเลยนี่นา! ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงได้มาสายแบบนี้”
หัวหน้ากลุ่มแดกดันเขา เห็นได้ชัดเลยว่าไม่อยากจะญาติดีกับเสี่ยวเฟิงซักเท่าไหร่
เขามีเลเวลเพียง 14 และเป็นหวัหน้าทีมก่อนที่เสี่ยวเฟิงจะมาด้วย
แต่เพราะการปรากฎตัวของเสี่ยวเฟิงนั้นดึงความสนใจของทุกคนไปจนหมดสิ้น นั่นจึงทำให้เขาไม่พอใจ
จริงๆแล้ว การที่เสี่ยวเฟิงมาสายนั้นไม่ใช่ความผิดของเขาอยู่แล้ว เพราะว่ามันเป็นเควสที่ยาวไกลไม่สิ้นสุด ถ้าหากว่าเควสดั้งเดิมของเสี่ยวเฟิงยังไม่เสร็จเขาก็ต้องไปทำให้มันเสร็จก่อน ต้องบอกว่าเควสของผู้เล่นคนอื่นดันทำกันเร็วไปมากกว่า
“ไปกันเถอะ เราไม่ควรเสียเวลาไปมากกว่านี้”
บางคนพยายามทำตัวตามปกติเพื่อรักษาน้ำใจกันและกันไว้
หัวหน้านักรบได้ยินแบบนั้นก็เดินออกไปทันที เสี่ยวเฟิงก็เมินเขาแล้วเดินตามพระอีกคนในทีมไป
ทุกคนเรียกสัตว์ขี่ของตัวเองออกมา และแน่นอนว่าทุกคนต้องตะลึงกับเสี่ยวสุยที่ดูสวยงามและแข็งแกร่ง
“เฮ้ ม้าตัวนั้นดูท่าจะเก่งน่าดูเลย นายไปเอามาจากไหนน่ะ?”
พระหญิงที่อยู่ข้างเขาพร้อมขี่ม้าสีขาวถามเสี่ยวเฟิง
ถึงจะเป็นม้าขาวเหมือนกันแต่เธอก็ซื้อมันมาจากNPCซึ่งเทียบเสี่ยวสุยไม่ติด
“ก็เป็นม้าที่ได้จากการทำเควสล่ะนะ”
เสี่ยวเฟิงตอบสั้นๆ และพบว่าพระสาวคนนี้ก็น่ารักใช่ย่อยเลย แต่เขาไม่สนใจและทำท่าทีเมินเฉยต่อไป
ซึ่งจริงๆแล้วเขาก็มีสาวผมบรอนด์ตาฟ้าที่บ้านอยู่แล้ว น้องสาวสุดแสนน่ารักของเขายังไงล่ะ
ชายหนุ่มนึกขึ้นมาได้ว่าไม่ได้คุยกับเสี่ยวหลิงมาสองวันแล้ว และน่าจะหาเวลาไปคุยกับเธอบ้าง ในฐานะที่เธอเป้นผู้ที่ช่วยเขาออกมาจากก้นบึ้งของขุมนรก
“เฮ้ ทำไมนายถึงเก็บเลเวลเร็วแบบนั้นล่ะ? ฉันเองก็เป็นพระเหมือนกันนะ อยากจะรู้จริงๆ!”
“มีเพื่อนช่วยน่ะ”
พระสาวพยายามชวนเขาพูดคุย แต่เสี่ยวเฟิงก็ทิ้งช่องว่างด้วยความเย็นชา ทำให้เธอเริ่มผิดหวัง
แต่เสี่ยวเฟิงกลับให้ความสนใจกับนักธนูสาวในทีมมากกว่า
เธอใส่ชุดหนังที่ค่อนข้างเปิดเผยให้เห็นผิวแสนขาวนั่น แถมยังใส่หน้ากากสีเขียวพร้อมกับขี่หมาป่าสีเทาตัวใหญ่และสะพายคันธนูไว้บนหลังของเธออีก
เสี่ยวเฟิงคิดว่าน่าจะเคยเจอเธอมาก่อน และมั่นใจหลังจากที่ครุ่นคิดไปซักพัก เธอคือซูติงติงที่เคยเล่นเกมอนนไลน์ในร้านโกลด์เมดัลที่มหาวิทยาลัยเซียที่เสี่ยวเฟิงเคยทำงานที่นั่น เขาไม่คิดว่าเธอจะเล่นเกมมิทด้วย แม้จะยังมีเลเวล 13 ก็ตาม
ชายหนุ่มไม่คิดว่าจะได้เจอเธอในเกมนี้อีกครั้ง นี่อาจจะเป็นโชคชะตาก็ได้
สามเดือนก่อน เซียกวงเหว่ยถูกกดดันให้กระโดดตึกลงไปและได้ขอให้เสี่ยวเฟิงช่วยดูแลเสี่ยวหลิงแทนเขา
ในตอนนั้นเสี่ยวเฟิงที่เป็นคนเลือดเย็นไม่ได้สนใจใคร ก็ได้พาเสี่ยวหลิงออกมาจากมิดซัมเมอร์เพื่อหาที่ที่จะดูแลเธอได้อย่างสมบูรณ์แบบ และในขณะเดียวกันก็พยายามปกปิดตัวตนเพื่อตามหาคนที่อยู่เบื้องหลังคนอื่นไปตามๆกัน
แต่เสี่ยวเฟิงก็ล้ำเส้นไปไกลมากในตอนนั้น เขาฆ่าคนไปมากมาย แต่ก็คิดได้ว่าเขาน่าจะกลับเข้าสังคมใหม่ด้วยการเล่นเกมออนไลน์อีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ที่เขาประกาศหางานไปแถวๆมหาลัยเซียและได้เข้าช่วยคุณฮวงเอาไว้จากนักศึกษามึนมาคนนึง และได้ทำงานที่ร้านเน็ตโกลด์เมดัลซึ่งเขาก็ได้พบกับซูติงติง
“จิงจิง ทำไมถึงมาสาย! ฉันบอกให้เธอทำเควสเสร็จตั้งแต่เช้าแล้วไง!”
ชื่อจริงของเธอคือ ติงติงยูหลี ด้วยชุดอันแสนเปิดเนื้อหนังเป้นที่ต้องตาของชายทุกคนในที่นี้
แต่เธอเมินพวกเขาไปและกำลังคุยกับเพื่อนของเธอผ่านโทรศัพท์
“อะไรนะ? ไม่ว่างเหรอ? เธอต้องไปช่วยลูกพี่ลูกน้องตั้งกิลด์งั้นเหรอ?”
“อยากจะให้ฉันตามหาผู้เล่นเทพๆสำหรับเธอเหรอ? แต่ฉันยังไม่เจอเขาหรอก ฉันรู้แค่ชื่อจริงของเขาและมันก็ยากนะที่จะหาเขาเจอในเกมอันกว้างใหญ่นี้ได้น่ะ! แต่ในฐานะของผู้เล่นเก่งๆแล้วก็น่าจะมีชื่อเสียงพอตัวเลยล่ะ ฉันไปหาข้อมูลมาจากที่ต่างๆหมดแล้ว”
ติงติงไม่ได้ลดเสียงของเธอลงเลย ดังนั้นเสี่ยวเฟิงจึงได้ยินทุกอย่าง
ตอนนี้มีแค่โรสเท่านั้นที่จัดตั้งกิลด์แล้ว และลูกพี่ลูกน้องของเธอก็คือไนท์คูเออร์ แถมชื่อเล่นของคูเออร์ก็คือจิงจิงด้วยแถมยังเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเซียเหมือนกันอีก ชายหนุ่มรู้ได้ทันทีว่าซูติงติงกำลังคุยอยู่กับไนท์คูเออร์
127
“อ๊ะ! ระวัง!”
คนในทีมคนนึงตะโกนออกมาแล้วก็มีลูกบอลสีขาวลอยลงมาที่หัวของนักเวทย์ในทีม
พวกเขากำลังยืนอยู่ในเขตแดนความมืดแล้ว ดวงตะวันแทบจะฉายแสงไม่ได้
เสี่ยวเฟิงและคนอื่นๆที่ยืนในป่าดงดิบของที่นี่ พวกต้นไม้ขึ้นรกรุงรังและเถาวัลย์ที่น่ากลัว
ระหว่างที่พวกเขากำลังเดินทางอยู่ก็มีลูกบอลสีขาวตกลงมาใส่หัวของผู้เล่นนักเวทย์และฆ่าเขาทันที เขาตายที่จะรู้ตัวเสียอีก
“เชี่ย! ขยะแขยงฉิบหาย!”
ทุกคนตะลึงในขณะที่มองลูกบอลสีขาวนั่น ใบหน้าของพวกเขาซีดเผือกและพระสาวก็อ้วกออกมา
มันคือแมลงสีขาวที่ตัวใหญ่มากมันส่งเสียงน่าเกลียดไปมาและทำให้ทุกคนหวาดกลัว
ก็นับว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีในขณะที่ผู้เล่นคนนึงในทีมถูกจัดการไปแล้ว มันคือดินแดนที่คาดเดาอะไรไม่ได้เลยจริงๆ
เพราะว่าหมอกที่ปกคลุมที่นี่ทำให้สัมผัสของพวกเขาทื่อลง ระบบแผนที่เองก็บอกอะไรไม่ได้เช่นกัน
“พระ! บัฟฉันที! เดี๋ยวไปจัดการมันให้!”
หัวหน้านักรบที่เลเวล 14 เองก็รู้สึกสะอิดสะเอียนที่ได้เห็นเจ้าแมลงตัวนี้ แต่ก็อยากจะโชว์พาวต่อหน้าทุกคน เขาชักอาวุธออกและตะโกน
“อย่านะ! รีบหนีไป! นายต้องถูกมันฆ่าแน่ๆ!”
แต่ซูติงติงห้ามเขาทันที และทุกคนก็วิ่งหนี
เธอพูดถูก ไม่มีใครู้ว่าเลเวลของมันมีเท่าไหร่ แม้แต่สกิลสอดแนมของเสี่ยวเฟิงเองก็ไร้ค่า
หนอนขาวปีศาจ
ระดับ หายาก
ธาตุ ชีวิต
เลเวล ???
พลังชีวิต ???
พลังโจมตี ???
พลังป้องกัน ???
สกิล ???
คำอธิบาย มอนสเตอร์ทั่วไปที่เกิดในดินแดนความมืด มันตัวใหญ่ตุ๊ต้ะและจ้องจะโจมตีเหยื่อจากหมอก
เสี่ยวเฟิงหาเลเวลของมันไม่ได้ นั่นหมายความว่ามันต้องมีเลเวลที่เกิน 30 ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมไคเซอร์ถึงมอบหมายเควสนี้ให้กับเขา เพราะว่ามันมีมอนสเตอร์แข็งแกร่งแบบนี้นี่เอง
เควสเนื้อเรื่องเป็นเควสที่ยากพอสมควร และผู้เล่นส่วนใหญ่คิดว่าเควสมันก็น่าจะง่ายๆเหมือนกันหมด ทว่าความยากที่แท้จริงจะปรากฎขึ้นมาหลังจากที่พวกเขาทำเควสไปแล้วกว่า 20 เควส
ผู้เล่นทั้งหลายต้องทำเควสมากมายและทำตามเงื่อนไขให้ครบก่อนถึงจะสามารถรับเควสนี้ได้ แต่ในฐานะของอาร์คบิชอปผู้เปิดเควสนี้ เสี่ยวเฟิงจึงไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้น
“เร็วเข้า! รีบหนีมา! มันไม่น่าจะวิ่งตามเราทันหรอก!”
ผู้เล่นคนอื่นเห็นด้วยกับติงติงและรีบหนีไป
ผู้เล่นทั้ง 7 คนรีบขี่ม้าออกไปด้วยความรวดเร็ว และเจ้าหนอนนี่ก็ไม่ยอมตามพวกเขาไป
ทว่า ที่นี่คือพื้นที่ของเจ้าหนอนอ้วนนี่ มันปรากฎตัวมากมายและทำให้ทุกคนต้องหนีกันกระเจิงไปคนละทิศทาง
ผู้เล่นทั้ง 7 ต่างก็ขี่สัตว์คนละชนิดกัน ดังนั้นพวกเขาจึงมีความเร็วที่ไม่เท่ากัน เสี่ยวเฟิงวิ่งนำทุกคนไปอย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มไม่รู้จะพูดยังไงดี เขาจับแผงขนของเสี่ยวสุยและให้มันพักก่อนชั่วคราว เขาเปิดหน้าจอของทีมเพื่อดูอะไรบางอย่าง
ในตอนนี้พวกเขาออกมาจากป่าได้โดยที่ไม่โดนหนอนกินตายไปมากนัก
“นายอยู่ไหน? บอกตำแหน่งมา!”
“ฉันเพิ่งออกมาจากป่า นายอยู่ที่ไหนกัน! มันมืดมากฉันกลัว!”
“เดี๋ยวฉันไปหา!”
“ออกมาจากป่าให้ได้นะ! เดี๋ยวฉันจะไปรับ!”
พระสาวถูกทิ้งเอาไว้ในป่านั่น ผู้เล่นชายบางคนจึงอยากจะเข้าไปช่วยเธอ
ชายหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ เพราะเขาอยู่ห่างจากพวกคนในทีมมาก และมันเป็นการยากเกินไปที่พวกเขาจะไปรวมกุล่มกันใหม่
หลังจากคิดไปซักพักเสี่ยวเฟิงจึงมุ่งหน้าไปต่อทันที เขาคิดจะจบเควสนี้ด้วยตัวคนเดียว
เสียงพุ่มหญ้าสั่นไหว
เขากำลังจะเดินทางต่อแต่ก็ได้ยินเสียงเหล่านั้น เสี่ยวเฟิงหันกลับไปมองยังทิศทางของเสียงทันที
ปรากฎว่าเป็นเด็กสาวคนนึงเดินออกมาจากพงหญ้านั่น เธอมองเสี่ยวเฟิงด้วยสายตาน่ารัก
เสี่ยวสุยเองก็จ้องมองไปยังเธอด้วยความตื่นกลัว
เสี่ยวเฟิงให้ความสนใจไปที่เธอทันที
NPCเหรอ?… ไม่สิเธอใส่ชุดที่มีอยู่บนโลกจริง แถมยังแตกต่างจากNPCบนโลกนี้อีก หรือว่าเธอจะใส่ชุดแฟชั่นอยู่!
เธอไม่น่าจะใช่ผู้เล่นแน่ๆ อายุของเธอน่าจะต่ำกว่า 10 ขวบ ซึ่งเป็นอายุที่เกมนี้ได้บังคับเอาไว้ว่าห้ามเล่น
“พี่ชายเห็นหมีน้อยของหนูไหม?”
เด็กสาวถามขึ้น เธอดูอ่อนแอและผอมแห้งซีดจากการขาดสารอาหาร เธอใส่เสื้อแขนสั้นและกางเกงยีนส์ที่มีรูขาดวิ่น
เธอดูเหมือนเด็กในครอบครัวที่ยากจนเลย และเสี่ยวเฟิงไม่คิดว่าเธอน่าจะใส่ชุดแฟชั่นแน่ๆ
ชายหนุ่มไมได้ตอบคำถามเธอ เขาครุ่นคิดอย่างละเอียดว่านี่น่าจะเป็นบั๊คของเกม?
เด็กสาวทำสีหน้าผิดหวังที่ไม่ได้คำตอบอะไร และเสี่ยวเฟิงก็ได้ยินเสียงหญ้าสั่นไหวอีกครั้ง
ชายหนุ่มกระพริบตาแล้วเด็กสาวก็หายไป เขาไม่ได้ยินเสียงหรืออะไรที่เกี่ยวข้องกับเธอเลยราวกับว่านี่เป็นภาพลวงตา
เสี่ยวเฟิงขมวดคิ้วด้วยความหวาดกลัวและตะลึง เขาไม่คิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงภาพลวงตาหรอก
ในตอนนี้ดวงตาของเสี่ยวเฟิงเต็มไปด้วยแสงสีทองแลเขามองไปยังต้นหญ้าเหล่านั้น ทันใดนั้นเอง ทุกๆอย่าง ทั้งใบหญ้าและอากาศก็โค้งมนเข้ามาในความคิดของเสี่ยวเฟิง
ถ้าเกิดว่ามีใครบางคนกำลังทดสอบยากับร่างกายของเขาในโลกความจริงอยู่ล่ะก็ พวกเขาน่าจะพบว่าหัวใจของเสี่ยวเฟิงเต้นเร็วกว่าคนทั่วไป 3 เท่า!
ดวงตาของเสี่ยวเฟิงกลายเป็นสีทองและตาดำก็หายไปอย่างสิ้นเชิง ทุกอย่างตรงหน้าเขาเริ่มพร่ามัว
ชายหนุ่มเองก็ไม่สามารถหาตัวเธอได้อีก
ดวงตาสีทองของเขากลับมาเป็นปกติอีกครั้ง แต่เสี่ยวเฟิงดูท่าว่าหวาดกลัวอยู่ไม่น้อยเลย
นี่เขาเห็นภาพหลอนงั้นเหรอ?
บางทีอาจจะเป็นแค่ภาพในเกมก็ได้
เสียงใบหญ้าสั่นไหวอีกครั้ง
คราวนี้มันมาจากด้านหลังของเขา ชายหนุ่มหันไปทันทีและได้พบกับหญิงสาวคนนึง
“อ๊า! นายทำฉันกลัวนะ!”
ปรากฎว่านั่นคือซูติงติงบบนหลังหมาป่าสีเทา เธอยกมือขึ้นทาบอกตัวเองก่อนจะบ่นกับเสี่ยวเฟิง
“ทำไมถึงไม่อยู่กับทีมล่ะ?”
เสี่ยวเฟิงถามเธอ
“แล้วนายล่ะ?”
แต่ก็โดนสวนกลับมาจนไม่รู้จะตอบยังไง
“มาตั้งทีมกัน ยังไงพวกนั้นก็ไม่ได้ช่วยให้เราเสร็จเควสเร็วขึ้นหรอก” ติงติงบอก
“โอเค” เสี่ยวเฟิงเห็นด้วย อย่างน้อยเธอก็มีฝีมือมากกว่าพวกผู้เล่นคนอื่นๆในทีมแน่นอน
“เสียงนายคุ้นๆนะ เหมือนเคยได้ยินมาก่อน” ติงติงขมวดคิ้วมองไปยังเสี่ยวเฟิงที่ใส่หน้ากากอยู่
“ฮ่า…ฮ่าฮ่า คิดไปเองมั้ง”
เสี่ยวเฟิงหัวเราะแห้งๆออกมา เขาไม่กลัวหรอกที่เธอจะจำได้ แต่เขายังตะลึงกับคำพูดของเธอมากกว่า
“คงงั้น… ไปกันเถออะ” โชคดีที่ติงติงเมินปัญหาจุดนี้ไปและขี่หมาป่าของเธอ
“นายมีสัตว์ขี่เท่ๆดีนี่ คงจะเลเวลสูงน่าดู” ติงติงเองก็เป็นคนที่พูดมาพอสมควร และเสี่ยวเฟิงรู้ดีเพราะเขาเป้นคนที่ทำงานในร้านเน็ตเมื่อก่อน เขาจึงไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่เธอจะถามอะไรแบบนี้
“ใช่แล้ว ของโคตรดีเลยล่ะ” เสี่ยวเฟิงตอบกลับไป
“เทียบหมาฉันไม่ได้หรอก” ติงติงลูบหัวสัตว์ขี่ของเธอ
“ต้าเฮ่ย คือสุดยอดของสัตว์ขี่แล้ว! มันเคยเป็นบอสที่ฉันจับมาเลยนะ!”
เสี่ยวเฟิงพูดไม่ออกพลางลูบหัวเสี่ยวสุย และไม่อยากจะบ่นเกี่ยวกับเซ้นส์ในการตั้งชื่อของเธอซักเท่าไหร่
128
ซูติงติงเป็นอาชีพฮันเตอร์ นักธนูส่วนใหญ่เลือกที่จะเป็นชู้ตเตอร์มากกว่าเพราะว่าอาชีพนั้นมีพลังโจมตีกายภาพที่สูงมาก แถมยังมีสกิลจัดการพวกมอนสเตอร์ที่รวดเร็วอีก
นอกจากชู้เตอร์แล้ว นักธนูยังสามารถเปลี่ยนเป็นฮันเตอร์ได้อีกด้วย ถึงแม้ว่าจะมีสกิลและการโจมตีระยะไกลเหมือนกับชู้ตเตอร์ก็จริง แต่ฮันเตอร์จะเน้นไปที่การควบคุมสนามรบและพวกมอนสเตอร์มากกว่า
ฮันเตอร์มีสกิลจับสัตว์ขั้นสูงยิ่งไปกว่านั้นสัตว์ที่จับมายังสามารถช่วยต่อสู้ได้อีกด้วย
พวกเขายังมีสกิลวางกับดักเพื่อจัดการพวกมอนสเตอร์ได้ด้วย และมันจำเป็นมากสำหรับการต่อสู้กับบอส
“มีพวกมอนกระจอกตามทาง บางทีอาจจะเจอบอสเลยก็ได้”
ติงติงชักคันธนูออกมาจัดการทหารกระดูกเลเวล 10
พวกเขาเดินมา 10 นาทีแล้วและไม่รู้ด้วยว่าเพื่อนร่วมทีมของพวกเขาหายไปไหนกัน
มอนสเตอร์ตามทางมีน้อยมาก บางตัวก็แข็งแกร่งจนเสี่ยวเฟิงไม่สามารถสอดแนมมันได้ก็เลยเลี่ยงพวกมันไป
“ที่นี่กว้างมากและมีความเป็นไปได้ว่าน่าจะได้เจอมอนสเตอร์ที่สร้างเอาไว้สำหรับพวกผู้เล่นที่เปลี่ยนคลาสสองแล้ว”
เสี่ยวเฟิงพยักหน้าและพูดขึ้น เพราะพวกเขาพบกับมอนสเตอร์ที่มีเลเวล 30 ทั้งๆที่พวกเขายังมีเลเวลแค่ 10 เอง และผู้เล่นจะสามารถเปลี่ยนอาชีพได้ทุกๆ 20 เลเวล ซึ่งจะเรียกกันว่า คลาสหนึ่ง,คลาสสอง และคลาสสาม
NPCที่อยู่ในเมืองหลักเองก็มีเลเวล 30 เช่นกัน
“นายคิดว่าไงกับเกมนี้?”
ติงติงเก็บคันธนูแล้วถาม
ชายหนุ่มตะลึงและมองเธออย่างสงสัย หรือว่าเธอเองก็จับสัมผัสได้ถึงปรากฎการณ์ประหลาดเมื่อกี้?
เสี่ยวเฟิงยังคงคิดวนเวียนถึงปีศาจแห่งความเกลียดและสกิลฝันร้ายไร้สิ้นสุดกับเด็กสาวเมื่อกี้
แต่กลับกลายเป็นว่าเขาดันคิดมากไปเสียงั้น ติงติงแค่อยากจะชวนเขาคุยเท่านั้นเอง
“จริงๆแล้วฉันเกลียดเกมนี้ตั้งแต่แรกแล้ว ฉันสนใจการแข่งขันระดับโลกมากกว่า หวังว่าเธอจะเคยได้ยินนะ แต่จากนั้นทุกเกมก็ต้องปิดตัวลงเพราะมิท นั่นรวมไปถึงการแข่งเกมออนไลน์ต่างๆด้วย”
“ก่อนหน้านั้นฉันไม่สนใจเกมนี้เลยด้วยซ้ำ จนกระทั่งได้ลองเล่นมัน”
“มันไม่ใช่เกมธรรมดา แต่มันเป็นถึงชีวิตที่สอง”
“ฉันรู้จักผู้ป่วยบางคนที่เกิดมาพิการในหลายๆส่วน แต่พอพวกเขาเข้ามาเล่นในเกมนี้ได้ทำอะไรหลายๆอย่างที่ในชีวิตจริงพวกเขาทำไม่ได้นั่นแหละ”
“พวกคนแก่เองก็ไปนักตกปลาเล่นหมากรุกที่ริมแม่น้ำ,นักผจญภัยที่ออกไปท้าทายตัวเองตลอดเวลาถึงแม้ว่ามันจะตายไปบ้างก็เถอะ”
“ฉันชอบเกมออนไลน์ น่าจะเรียกว่าเด็กติดเกมได้เลย หลายๆคนคิดว่าพวกผู้หญิงน่ะไม่ควรเล่นเกมออนไลน์หรอก และคิดว่าพวกเธอน่ะควรจะใช้ร่างกายเก็บเลเวลกับพวกผู้ชายมากกว่า แต่ฉันไม่ใช่คนพวกนั้น ฉันจะแข็งแกร่งกว่าพวกผู้ชายให้ได้เลย!”
“ดังนั้นฉันจึงเกลียดเกมที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงนี่แหละ แม้ว่าฉันจะพยายามแค่ไหนก็ตามแต่ทุกคนก็ยังคิดว่าพวกผู้เล่นหญิงน่ะไม่จำเป็นสำหรับเกมนี้”
“และถึงแม้ว่าบางคนที่เป็นผู้ชายในทีมฉันจะพยายามบังคับให้ฉันเป็นแฟนกับเขาก็เถอะ ถ้าไม่ตอบรับก็จะออกจากทีมด้วย ฉันก็เลยตบหน้าหมอนั่นไป ฮ่าๆ”
“ก็ตามนั้นแหละ ฉันชอบเกมนี้แต่ก็เกลียดโลกของเกม” ติงติงย้ำอีกครั้งและคิดว่าเสี่ยวเฟิงคือเด็กร้านเน็ตที่เธอเจอ
“โทษทีนะ ไม่รู้ว่าทำไมวันนี้ฉันถึงพูดมากขนาดนี้ พอดีนายทำให้ฉันนึกถึงเพื่อนเก่าน่ะ”
ติงติงยิ้มออกมา ดวงตาอันสวยงามของเธอจ้องไปยังหน้ากากของเสี่ยวเฟิงราวกับว่ากำลังหาอะไรบางอย่าง
“ไม่เป็นไร” ชายหนุ่มส่ายหัวแต่ก็ไม่ยอมปลดหน้ากากออก นั่นทำให้เธอผิดหวัง
“พูดง่ายๆก็ฉันหลงรักเกมนี้แหละ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงต่อจากนี้น่ะแหละ ฉันก็เลยคิดว่าพวกเราควรจะจบเควสนี้ให้เร็วที่สุด! ใช่ไหมล่ะเสี่ยวเฟิง!” ติงติงถอดหน้ากากของเธอออก
“ใช่แล้ว… หา?” เสี่ยวเฟิงพยักหน้าก่อนที่จะรู้สึกประหลาดใจ เขาหันไปมองติงติงทันที
“จำฉันได้ยังไงน่ะ?”
ชายหนุ่มประหลาดใจสุดๆและไม่คิดว่าจะถูกจับได้
“นายจำฉันได้แล้วทำไมฉันจะจำนายไม่ได้ล่ะ? ถอดหน้ากากเถอะ”
ติงติงกอดอกและพูดออกมา
เสี่ยวเฟิงถอดหน้ากากออก แต่ก็ยังตะลึงอยู่ดีว่าสกิลการหลอกล่อผู้คนของเขาดัยถูกมองออกได้จากคนที่คุ้นชินกันแบบนี้
“ตาของนาย”
ติงติวอธิบายในสิ่งที่เขากำลังสงสัย
“ฉันชอบดวงตาของนายน่ะ แม้ว่าจะดูนิ่งสงบแต่มันก็ไม่ปกติ ฉันคิดว่านายน่าจะไม่ใส่ใจอะไรในโลกนี้เลยสินะ”
“นายเป็นคนเดียวที่มีสายตาแบบนั้นที่ร้านเน็ตโกลด์เมดัล อันที่จริงฉันเองก็สวยจนหนุ่มๆหลงไหลน่ะแหละ”
“แต่นายน่ะต่างออกไป ดวงตาของนายรวมไปถึงรอยยิ้มนั่นมันเอาไว้หลอกลวงคนชัดๆ ดังนั้นฉันจึงชอบไปเล่นที่ร้านนั่นไงล่ะ แม้กระทั่งฉันจะลองเอาร่างกายเข้าแลกหาข้อมูลเกี่ยวกับนายแต่นายก็ไม่แม้แต่จะเหลียวแลฉันเลย!” ติงติงพูดด้วยความหงุดหงิด
“นั่นทำให้ฉันไม่อาจลืมสายตาของนายได้เลย ตั้งแต่ที่เราเจอกันที่เมืองซันเซต ถึงตอนนั้นฉันจะยังไม่แน่ใจก็จริงแต่ตอนนี้ฉันก็จำนายได้แล้วล่ะ! ถึงบางทีฉันจะไปตามหานายที่ร้านเน็ตแล้วก็ไม่เจอตัวนายเพราะว่าร้านมันปิดไปแล้วก็เถอะ”
“แล้วเธอตามหาฉันทำไม?” ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัย
“อย่าคิดอะไรแปลกๆน่า ฉันไม่ได้ตกหลุมรักนายหรอก!” ติงติงกลอกตาด้วยความไม่พอใจ
“นายเป็นผู้เล่นมือโปรแล้วสินะ? นายเลเวล 15 แล้วด้วย! ยอดผู้เล่นแห่งเขตฮัวเซียกว่าร้อยล้านคน! ฉันเชื่อว่านายจะต้องทำสิ่งสำคัญได้แน่ๆเลย”
“ใช่” ชายหนุ่มส่ายหัวและไม่รู้ว่าทำไมตัวเขาเองถึงได้เล่นเกมนี้
ตอนแรกเขาเล่นเกมนี้เพราะหาเงินเลี้ยงเสี่ยวหลิงแล้วก็ติดเกมนี้ไปโดยปริยาย
แต่ตอนนี้เขาต้องตามหาคนที่อยู่เบื้องหลังโรสซะก่อน
“เสี่ยวเฟิง ฉันอยากจะแนะนำใครบางคนให้นายรู้จักหลังจากจบเควสนี้น่ะ!” ติงติงบอกด้วยความตื่นเต้น
“ไม่ล่ะ ฉันไม่ค่อยว่าง” ชายหนุ่มส่ายหัว
“เธอสวยกว่าฉันอีกนะ” ติงติงบอกกับเขา
“อืม ว่างก็ได้” เสี่ยวเฟิงลูบคางก่อนจะตอบกลับไป
“เปลี่ยนความคิดโคตรเร็วเลย!”
“นายเปลี่ยนไปเยอะนะ ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันนายดูเหมือนคนตายเลย ดีที่ยังเดินได้อยู่ไม่งั้นน่าจะคิดว่าตายไปแล้ว”
เสี่ยวเฟิงตะลึง นี่หมายความว่าเขาปลดปล่อยตัวเองจากพันธนาการได้แล้วงั้นเหรอ?
แต่เขาเองก็นึกขึ้นมได้เหมือนกันว่าตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในเกมนี้เขาก็เปลี่ยนไปมากจริงๆ จนแทบจะลบภาพเมื่อ 5 ปีก่อนไปจนหมดสิ้น
กลายเป็นว่าโลกของเกมนั้นคือสถานที่สำหรับเขาไปแล้ว
“แต่ก็ดีกว่าเดิมแล้วล่ะนะ นายดูมีชีวิตชีวาขึ้นเยอะ” ติงติงพูดต่อพร้อมมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า
เสียงใบหญ้าสั่นไหวอีกครั้ง
ก่อนที่จะปรากฎเป็นฝูงชอมป์เปอร์ม่วงเข้ามาหาพวกเขา
“ระวังนะ!”
ติงติงตะโกนแล้วหยิบธนูออกมา แต่เสี่ยวเฟิงกลับถอยเท้าออก
นี่คือชอมป์เปอร์ม่วงตัวใหญ่กว่าช้างอีก มันซ่อนตัวเป็นดอกไม้ในเงามืดมานานและโผล่ออกมาเมื่อเสี่ยวเฟิงและติงติงเข้ามาใกล้
“ที่นี่อันตรายมากเราต้องรีบออกไปให้เร็วที่สุด” เสี่ยวเฟิงส่ายหัวและหลบการโจมตีของมัน
“นี่มันบอสเลเวล 15! พวกเราโชคดีจริงๆ!” แต่ติงติงไม่ได้ฟังเขาเลยแม้แต่น้อย ดวงตาของเธอจ้องมองไปยังชอมป์เปอร์ตัวนี้
129
ดาร์คชอมป์เปอร์
เลเวล 15
ระดับ บอสแรร์
พลังชีวิต 18,000/18,000
พลังโจมตี 100-120
พลังเวทย์ 140-160
พลังป้องกันกายภาพ 98-108
พลังป้องกันเวทย์ 108-118
สกิล
กัดกินศพ,พ้นพิษ,แส้เถาวัลย์,หมอกพิษ,ปลอมตัว,กรีดร้องโหยหวน,กัด,กัดกร่อนรุนแรง
คำอธิบาย มันคือสัตว์ประหลาดในดินแดนแห่งความมืด กรดกัดกร่อนของมันสามารถละลายเกราะและทำความเสียหายเป็นอย่างมากแก่ผู้เล่น มันอันตรายมากแต่แพ้ธาตุไฟ
“โชคดีชะมัดเลย! ฉันไม่แน่ใจว่าจะล้มมันได้โดยที่ไม่มีเพื่อนร่วมทีมไหมนะ”
ติงติงอยากจะสุ้กับบอสตัวนี้ แม้เธอจะกังวลว่าบอสแรร์นั้นจะเก่งกาจแค่ไหนก็ตามแต่เธอก็ยังดื้อดึงจะฆ่ามัน
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะฮีลเธอเอง” เสี่ยวเฟิงบอก
“นั่นสินะ ในเมื่อนายเป็นพระแถมเลเวลยังสูงอีก แบบนี้คงจะต้องเพิ่มเลือดฉันเต็มอย่างรวดเร็วแน่ๆเลย”
ติงติงไม่ยอมแพ้และกัดฟันพุ่งเข้าไป
“จงออกมา ต้าฮุย!”
“โฮก!”
วงแหวนเวทย์ปรากฎตรงหน้าเธอพร้อมกับหมาป่าสีดำปรากฎตัวขึ้น
ชายหนุ่มมองไปยังต้าเฮ่ยที่เป็นหมาป่าเทา และตจ้าฮุยที่เป็นหมาป่าดำ ชื่อพวกมันแปลกจริงๆน่ะแหละ
“ท่านเสี่ยว บัฟฉันที!”
ต้าเฮ่ยเป็นสัตว์ขี่ระดับสูงที่มีสกิลขับขี่ขั้นสูง และมันจะไม่หายไปในการต่อสู้
“เฮ้ คุณได้รับบัฟ อวยพรชีวิต จากผู้เล่น แด็ด พลังชีวิตเพิ่มขึ้น 165 เป็นเวลา 60 วินาที”
“เฮ้ คุณได้รับบัฟ อวยพรอาวุธ จากผู้เล่น แด็ด พลังโจมตีเพิ่มขึ้น 208 เป็นเวลา 60 วินาที”
ติงติงตะลึงจนตกลงมาจากหลังต้าเฮ่ย จากนั้นก็ยืนขึ้นแล้วมองไปยังเสี่ยวเฟิงด้วยสายตาที่ตะลึงสุดๆ
“หา? เพิ่มได้ขนาดนี้เลยเหรอ? ไม่น่าเชื่อ!”
ติงติงที่ใส่เกราะหนังมีพลังชีวิตแค่ 150 เท่านั้น แถมพลังโจมตีของเธอยังต่ำกว่านักธนูทั่วไปอีก ในฐานะของฮันเตอร์เธอมีพลังโจมตีแค่ 100 เท่านั้นแม้ว่าจะมีอาวุธและอุปกรณ์ดีๆแล้วก็ตาม
แล้วจากนั้นเธอก็ได้รับบัฟจนพลังชีวิตของเธอมีประมาณ 300 ซึ่งสูงกว่านักรบโล่เสียอีก
ยิ่งไปกว่านั้นพลังโจมตีของเธอก็แทบจะเป็นสามเท่าเลยด้วยซ้ำ
ติงติงตะลึงและเปิดไปเช็คข้อมูลของเธอแล้วก็พบว่ามันเป็นเรื่องจริง
ค่าสเตตัสของเธอแทบจะคูณสาม!
ติงติงพูดไม่ออก เสี่ยวเฟิงที่เคยตกต่ำมาตลอดหลายปีได้ก้าวออกมาจากความทุกข์นั้นได้ แต่ว่าติงติงนั้นต่างออกไป เธอคือผู้เล่นที่มากประสบการณ์!
เธอเองก็ค่อนข้างจะประหลาดใจกับสเตตัสของพระในเกมอยู่แล้ว พวกเขาสามารถต่อสู้กับบอสและรักษาเพื่อนร่วมทีมไปด้วยได้พร้อมๆกัน
ถ้าพระคนนั้นมีไอเทมดีๆใส่อยู่ก็จะสามารถเพิ่มความสามารถให้กับเพื่อนร่วมทีมได้ถึง 30% เลยทีเดียว แม้ว่าจะไม่ดีมากในตอนนี้แต่ถ้าเทียบกับคนอื่นแล้วนี่ถือว่าเยอะมาก
และค่าเสริมพลังพวกนั้นจะสูงได้ถึง 40% ถ้าหากพระคนนั้นมีไอเทมเก่งที่สุด บางทีอาจจะถึง 50% เลยด้วยซ้ำ แต่เพราะแบบนั้นทำให้กิลด์ใหญ่ๆไม่กล้าลงทุนจ้างพวกเขาอยู่แล้ว เพราะมันต้องเสียทั้งเงินเสียทั้งเวลารวมไปถึงไอเทมต่างๆมากมายให้เขาอีก
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมติงติงถึงตะลึงมากๆ
ไม่มีพระคนไหนที่จะมีพลังได้ขนาดนี้แล้ว เสี่ยวเฟิงนี่แหละคือพระเจ้าของเกมนี้!
ถ้าเขาเรียนสกิลอื่นมาอีกอย่างเช่นพวกเสริมพลังป้องกันน่าจะทำประโยชน์ให้เพื่อนได้ไม่น้อยเลย!
“ชิส์!”
ติงติงสูดหายใจลึกๆกดความรู้สึกดีใจนั่นเอาไว้
“ทำอะไรอยู่? บอสมาโน่นแล้ว” ชายหนุ่มถามหลังจากที่เห็นว่าเธอเหม่อลอย
“โอ๊ะ… โอเค!”
ติงติงดึงสติกลับมาได้แล้วจึงกลับไปบนหลังของต้าเฮ่ย
“กัดมันเลยต้าเฮ่ย!”
เธอออกคำสั่งและคิดว่าบอสตัวนี้มันไม่น่ากลัวแล้วเมื่อมีพลังเทพแบบนี้ติดตัวอยู่
ชอมป์เปอร์คลานขึ้นมาจากพื้นด้วยรากของมัน โชคร้ายที่มันป้องกันต้าฮุยไว้ได้และหันไปฟาดแส้ใส่ต้าฮุย
เจ้าหมาตัวนั้นมีเลเวลน้อยกว่าต้าเฮ่ย แม้ว่าจะมีเลือดถึง 1000 แต่ก็ลดลลงอย่างรวดเร็ว
ชอมป์เปอร์มีพลังโจมตีมากกว่า 100 แถมยังสามารถลดเกราะศัตรูได้อีก ดังนั้นมันจึงสามารถทำความเสียหายได้ถึง 70 – 80 หน่วยหากไม่ได้ใช้สกิลป้องกัน
“ศรน้ำแข็ง!”
ติงติงยิงศรน้ำแข็งออกไปใส่บอส จากนั้นมันก็แตกกระจายออกเคลือบตัวชอมป์เปอร์ด้วยน้ำแข็งที่ทำให้มันช้าลง
“-192”
อย่างที่ได้กล่าวไปว่าสกิลของฮันเตอร์นั้นเน้นไปที่การควบคุมการต่อสู้มากกว่าพวกชู้ตเตอร์อยู่แล้ว พวกเขาขัดขวางการเคลื่อนไหวของบอสได้ด้วยสกิล
“ต้าฮุยถอยไป!”
ติงติงตะโกนอีกครั้ง เธอโจมตีใส่บอสต่อไปและทำให้พลังชีวิตของมันลดลงเรื่อยๆ และในขณะเดียกวันก็ได้สั่งให้หมาป่าของเธอถอยออกไป เพราะว่าพลังชีวิตของมันกำลังจะหมดลงแล้ว และโชคยังดีที่ศรน้ำแข็งของเธอทำให้บอสเคลื่อนที่ช้าลงจนหมาของเธอหนีออกมาได้
คลิ๊ก คลิ๊ก
เธอกลับขึ้นไปบนหลังของสัตว์ขี่ตัวเองโดยที่ยังโจมตีไปด้วย เธอสู้กับบอสด้วยสกิลเดิมวนเวียนไปมาเพื่อหลอกล่อให้มันเดินตามเธอ แล้วทันใดนั้นพื้นก็แตกออกและปรากฎเป็นดอกไม้น้ำแข็งขึ้นมา
นั่นคือกับดักน้ำแข็งที่ติงติงวางเอาไว้แล้ว เธอตั้งใจล่อให้มันตามเธอมาเพื่อที่จะได้แช่แข็งมันเป็นเวลา 5 วินาที
ติงติงอาศัยจังหวะนี้โจมตีใส่บอสรัวๆจนมันมีพลังชีวิตเหลืออีกแค่ 1000!
ชอมป์เปอร์มีเลือดแค่ 18000 เท่านั้น ดังนั้นมันจึงถูกติงติงจัดการได้อย่างง่ายดายภายใน 5 นาที และด้วยสกิลฮันเตอร์ของเธอจึงทำให้บอสมันไม่สามารถทำอะไรเธอได้
ติงติงหลบสกิลของบอสได้อย่างไม่ยากเย็นนักเพราะว่ามันอยู่ไกลออกไปจากเธอมาก แถมยังขี่สัตว์เลี้ยงที่สามารถช่วยโจมตีได้อีกทำให้เธอได้เปรียบในการต่อสู้มากๆ
“เฮ้ ทีมของคุณจัดการบอสแรร์เลเวล 15 ได้ ได้รับค่าประสบการณ์ 120,000 แต้ม!”
ทันทีที่ระบบแจ้งเตือนดังขึ้นมาบอสก็หายไปพร้อมกับดรอปไอเทมออกมาให้
“ว้าว! สุดยอด! ฉันฆ่าบอสได้ด้วยตัวเอง!”
ติงติงเก็บต้าฮุยเข้าไปในช่องเก็บของและถอนหายใจ
แน่นอนว่ามันเป็นเพราะการช่วยเหลือจากเสี่ยวเฟิงเธอถึงทำแบบนี้ได้ ไม่งั้นน่าจะไม่มีทางจัดการมันได้แน่ถ้าไม่มีบัฟจากเขา
“อะไรน่ะ? แสงสีเงิน! ต้องเป้นไอเทมสีเงินแน่ๆ!”
ติงติงรีบเข้าไปดูกองไอเทมที่หล่นมาทันที
สร้อยคอจักรวาล
คุณภาพ สีเงิน(หายากสุดๆ)
ชนิด สร้อยคอ
เลเวล 15
ความต้องการ ใส่ได้ทุกคลาส
ค่าสเตตัส
พลังชีวิต +75
มานา +75
ฟื้นฟูพลังชีวิตและมานา 5% จากค่าสูงสุด/ 1 นาที
กลิ่นดอกไม้ ผลการฟื้นฟูจะเป็นสองเท่าเมื่อไม่ได้อยู่ในการต่อสู้
“นี่มันสร้อยคอเลเวล 15!”
ดวงตาของติงติงตะลึงด้วยความดีใจสุดๆ เธอเก็บมันขึ้นมาถึงจะยังใส่มันไม่ได้ก็ตาม
ขณะเดียวกันเธอก็มองไปที่เสี่ยวเฟิงและหาทางขอสร้อยคอนี้
ทว่า ชายหนุ่มที่ถือหนังสือสกิลไว้ในมือก็โบกมือให้
กับดักเถาวัลย์
คุณภาพ ดีเยี่ยม
ความต้องการ คลาสฮันเตอร์
“นั่นมันสกิลของฉัน!”
ติงติงตะโกนออกมาด้วยความตะลึงและมองไปยังเสี่ยวเฟิงด้วยควาวมคิดมากมาย อย่างน้อยเธอก็อาจจะต้องแลกสร้อยคอนี่กับหนังสือสกิลของเสี่ยวเฟิง
ยังไงเสียสกิลก็มีค่ามากกว่าของสวมใส่ล่ะนะ
เธอไม่คิดว่าบอสตัวนี้จะดรอปไอเทมดีขนาดนี้มาก่อนเลย
130
เสี่ยวเฟิงถอดสร้อยเขี้ยวหมาป่าแล้วใส่สร้อยจักรวาลนั่น พลังชีวิตและมานาของเขาเพิ่มขึ้นมา 50 รวมแล้วตอนนี้เป็น 350 เขามีพลังชีวิตมากกว่านักรบโล่ที่เก่งที่สุดในตอนนี้เสียอีก
ติงติงเองก็ยังไม่มีสร้อยคอ เธอจึงสวมสร้อยเขี้ยวหมาป่านั่นไป
สร้อยคอนั้นเป็นอุปกรณ์ที่มีค่ามาก ดังนั้นเธอจึงไม่ลังเลที่จะสวมมัน
“กับดักเถาวัลย์!”
ติงติงใช้สกิลใหม่ของเธอทำให้ต้นหญ้ามากมายผุดขึ้นมาจากพื้นเพื่อรัดศัตรูที่ผ่านไปมา
นี่เป็นสกิลระยะไกลที่จะเพิ่มระยะเวลาการรัดศัตรูมากขึ้นตามเลเวล ซึ่งนับเป็นสกิลที่ดีแม้ว่าจะไม่ได้ทำความเสียหายก็ตาม
เพราะทั้งสองยังอยู่ในทีมเดียวกันกับคนอื่น ระบบแจ้งเตือนจึงเด้งขึ้นมาบอกให้ทุกคนที่ยังอยู่ว่าบอสชอมป์เปอร์ตัวนี้ตายไปแล้ว หลายๆคนจึงทักพวกเขาไปถึงตำแหน่งรวมไปถึงพยายามจะเอาของดรอปด้วย
ติงติงปิดหน้าจอแชทไปหลังจากที่สบถคำด่าทอลงไปในนั้น
ที่นี่ไม่มีพิกัดให้ ดังนั้นพวกที่เหลือจึงต้องหาทางมากันเอง
“ท่านเสี่ยว! ฉันมีเพื่อนอยากจะแนะนำให้รู้จัก!”
ติงติงตื่นเต้นหลังจากที่จัดการบอสตัวนี้ลงไปได้แล้วจึงคุยกับเพื่อนของเธอ เสี่ยวเฟิงไม่ได้สนใจเธอมากนักแต่ก็ได้ยินคำพูดว่า ‘จริงอ่ะ’ ‘น่ากลัว’ หรือแม้แต่ ‘สุดยอดไปเลย’
หลังจากคุยกันจบติงติงก็พูดกับเสี่ยวเฟิงถึงเรื่องที่อยากทำต่อจากนี้
“ไปกันเถอะ รีบทำเควสนี้ให้จบก่อนที่จะได้ไปเก็บเวล”
เสี่ยวเฟิงส่ายหัว เพราะว่าตอนนี้มีคนที่มีเลเวล 15 มากแล้ว เขาอาจจะถูกพวกนั้นล้มตำแหน่งได้ ซิเหมินเองก็ตามมาทันแล้วซึ่งนั่นทำให้เขาค่อนข้างโมโหอยู่
“โอเค! ตั้งทีมแล้วไปเก็บเลเวลกันเถอะ!” ติงติงตอบรับด้วยความมั่นใจ ทว่าเธอก็ตะลึงกับพื้นดินตรงหน้าเธอ
“มีศพมอนสเตอร์เต็มไปหมดเลย! มีผู้เล่นคนออื่นด้วยเหรอ?”
เสี่ยวเฟิงสังเกตเห็นร่างทหารกระดูกมากมายบนพื้น มันน่าแปลกมาก แถมยังเก็บเงินไปจนหมดเหลือแค่ไวท์บอร์ดไว้เท่านั้น
ตามปกติแล้วระบบจะต้องจัดการร่างและอุปกรณ์เหล่านี้เมื่อผ่านไประยะนึง นั่นหมายความว่ามีผู้เล่นอื่นเมื่อ 10 นาทีที่แล้วนี้
“พวกเราหลงทางงั้นเหรอ? หรือว่าพวกนั้นตามเรามาได้”
ติงติงสงสัยสุดๆ
ที่นี่เป็นแผนที่พิเศษไม่มีพิกัดบอกและผู้เล่นทุกคนไม่สามารถตามหาตำแหน่งของกันและกันได้
“ฉันไม่คิดงั้น พวกเราเดินกันเป็นเส้นตรงและไม่น่าจะเจอกับพวกนั้นได้หรอก น่าจะเป็นผู้เล่นคนอื่นที่รับเควสนี้แหละ” เสี่ยวเฟิงส่ายหัว
“นายพูดถูก อาจจะมีทีมอื่นที่ทำเควสนี้เหมือนกันก็ได้”
“ไปกันเถอะ พวกเราจะได้ตามพวกเขาได้ทัน ถ้ามีผู้เล่นเก่งๆก็จะได้ขอร่วมทีมได้ด้วย”
ติงติงใส่หน้ากากกลับไปเหมือนเดิม เสี่ยวเฟิงเองก็เช่นกัน แม้ว่าจะมีปัญหานิดหน่อยแต่เขาก็ไม่ใส่มันตอนไลฟ์สดเกมนี้ แต่ก็จำเป็นต้องใส่มันในเกม
พวกซากมอนสเตอร์ทั้งหลายเรียงรายไปตามถนน ยิ่งพวกเขาเดินลึกไปมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเจอมากขึ้นเรื่อยๆ แถมยังมีมอนสเตอร์กระจอกๆโผล่มาให้พวกเขาจัดการเล่นๆด้วย
มีคนถางทางให้พวกเขาแล้ว ทั้งสองจึงเดินไปอย่างไม่ยากลำบากนัก
“ชิ! เควสนี้มันยากจังโว้ย!”
จากนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงๆนึงดังขึ้น แล้วก็พบกับทีมผู้เล่น 5 คนหลังจากที่ออกมาจากป่า
“ดูนั่น มีคนข้างหลังนาย!”
เมื่อเสี่ยวเฟิงและติงติงเดินออกมา ทั้ง 5 คนต่างก็ตะลึงและหวาดกลัวพร้อมๆกันจนเกือบจะเข้าสู่โหมดเข้าปะทะกันแล้ว แต่ก็ต้องโล่งใจเมื่อรู้ว่าทั้งสองคนนี้คือผู้เล่นด้วยกันเอง
“เฮ้ พวกนายมาทำเควสเหมือนกันเหรอ?”
หัวหน้ากลุ่มที่เป้นนักเวทย์ถาม
“ใช่”
เสี่ยวเฟิงตอบพวกเขาแต่ก็ยังทิ้งระยะห่างอยู่ เพราะทั้งห้าคนยังไม่ปลดโหมดปะทะออก พวกเขาจึงมีสิทธิ์ถูกรุมฆ่าแล้วชิงของไปได้ทุกเมื่อ
“ยอมแพ้ไปเถอะ เควสนี้แม่งยากเกินไป”
นักเวทย์ส่ายหัวพร้อมพูด้วยความเศร้าหมอง
“เกิดอะไรขึ้น? ฉันว่าระบบไม่น่าจะให้เควสยากเกินตัวแบบนี้หรอก”
ติงติงรู้สึกสับสน
“ตรงกลางป่านั่นมีหมอกสีดำอยู่ พวกนายไปไม่ได้หรอก” นักรบคนนึงพูด
“หมอกดำ? แล้วทำไมถึงผ่านยไปไม่ได้ล่ะ? มันมืดเกินไปเหรอทำไมถึงไม่ใช่ไฟฉายล่ะ?” ติงติงถามอีกครั้ง
“ไม่ใช่ พวกเราหาทางไปต่อได้ แต่หมอกพวกนั้นมันทำความเสียหายและลดพลังชีวิตพวกนายไปเรื่อยๆ ไม่มีเวลาใช้โพชั่นหรอก” นักรบพูด
“อ้อมไปได้ไหม?”
ติงติงถามจนเริ่มรู้สึกแล้วว่าเธอน่าจะไม่ใช่ผู้เล่นมากประสบการณ์แน่ๆ
“พวกเราลองหลายทางแล้ว แต่ทุกที่ในดินแดนนี้ถูกปกคลุมไปด้วยหมอกดำทั้งนั้น”
จากนั้นนักเวทย์ก็พูด “พวกเราพยายามแล้ว เพื่อนของเราที่เป็นพระเองก็ตายไปเพราะเรื่องนี้แหละ ถูกส่งไปเกิดใหม่ที่เมืองหลักห่างออกไป 200 ไมล์ เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารัศมีของหมอกนี้มันกว้างแค่ไหน”
“อย่าเสียเวลาเลย เควสนี้มันทำไม่สำเร็จหรอก ยอมแพ้แล้วไปทำเควสอื่นดีกว่า” นักรบพูดพร้อมส่ายหัว
“ไปกันเถอะ”
จากนั้นนักเวทย์ก็บอกให้เพื่อนร่วมทีมของพวกเขาหนีออกจากที่นี่กัน พวกเขาทิ้งเสี่ยวเฟิงและติงติงเอาไว้
หญิงสาวขมวดคิ้วและจมดิ่งอยู่ในความคิด ทันทีที่พวก 5 คนนั้นหายเข้าไปในพงหญ้า ก็มีใครบางคนพุ่งเข้ามาหาเสี่ยวเฟิงจากด้านหลังแล้วก็ใช้มีดแทงใส่หัวของเขา มันคือสกิลหนึ่งของสายอาชีพนักฆ่า เป้าหมายที่โดนจะติดสถานะมึนงงนานพอสมควร!
มีนักฆ่าซ่อนตัวรอเสี่ยวเฟิงอยู่!
พวกนักรบที่เดินจากไปแล้วก็พุ่งกลับมาใช้สกิลของนักรบโล่ใส่เสี่ยวเฟิงอีกคน
ชัดเจนเลยว่านี่เป็นการซุ่มโจมตี! เสี่ยวเฟิงคือเป้าหมายของพวกมัน เป็นที่รู้กันดีว่าอาชีพพระนั้นคือเป้าหมายหลักๆในการ PVP
อีกสี่คนที่เหลือเองก็เช่นกัน นักธนูสองคนเล็งยิงใส่เสี่ยวเฟิงและนักเวทย์ก็เริ่มร่ายมนต์ นักรบเองก็พุ่งเข้าไปหาติงติงด้วยดาบของเขา
เขาต้องการตัดกำลังติงติงเพื่อไม่ให้เธอหนี และเมื่อพวกเขาจัดการเสี่ยวเฟิงเสร็จเมื่อไหร่ก็จะได้ฆ่าเธอทันที
พวกเขาคิดว่าการซุ่มครั้งนี้จะเป็นผลสำเร็จ พวกพระและนักธนูเป็นเป้าหมายง่ายๆและคิดว่าทั้งสองคนนี้จะถูกจัดการได้อย่างรวดเร็ว
“พวกแกกล้าที่จะทำเควสนี้โดยที่ไม่มีทีมด้วย แสดงว่าไอเทมต้องดีมากๆเลยสินะ! ไหนเอาของพวกแกมาดูหน่อยซิ!”
นักเวทย์หัวเราะใส่เสี่ยวเฟิงและติงติง เขามั่นใจมาก
ทว่า วินาทีต่อมาเขาก็ต้องตะลึง
“เฮ้ คุณกำลังถูกเพ่งเล็งด้วยสกิลของผู้เล่น อบิสเอมเพอเรอร์ และด้วยโหมดปะทะเปิดอยู่ สกิลไอเทมและคัมภีร์วาร์ปจะถูกปิด…”
“เฮ้ ผู้เล่น พาสไทม์ โจมตีคุณ คุณสามารถโจมตีเขากลับได้แล้ว”
“เฮ้ ผู้เล่น ฟิลโลวซัฟเฟอเรอร์ โจมตีใส่คุณ คุณสามารถโจมตีเขากลับได้แล้ว”
…
เสี่ยวเฟิงได้ยินระบบดังขึ้นมากมาย แม้ว่ามันจะยังไม่ถึงตัวเขาก็ตาม
ทว่า ชายหนุ่มก็ยังคงสงบสติได้ดี เพราะเขาคิดไว้อยู่แล้ว ชายหนุ่มเอียงหัวไปเล็กน้อยเพื่อหลบการโจมตีของนักฆ่าที่มาจากด้านหลัง
“พลาด!”
นักฆ่าตะลึงเมื่อเห็นแสงทั้งสองปรากฎอยู่บนหัวของเสี่ยวเฟิง เขาร่าย อวยพรชีวิต ให้ติงติงเพื่อเพิ่มพลังชีวิต 165 กับเธอ
“-1”
ในจังหวะเดียวกัน นักรบโล่ที่เข้าโจมตีเสี่ยวเฟิงเองก็ตะลึงเพราะว่าความเสียหายที่เขาทำนั้นน้อยนิดแถมยังไม่ติดสตั๊นเลยด้วย
ดูเหมือนว่าเสี่ยวเฟิงเอียงตัวหลบการโจมตีทั้งหมดไปได้ พวกนักธนูที่ยิงศรน้ำแข็งมาหาเขาก็พลาดด้วยเช่นกัน
แต่ชู้ตเตอร์คนที่เหลือยังยิงโดนหน้าอกของเสี่ยวเฟิง พร้อมกับตัวเลขความเสียหายที่ปรากฎขึ้น
“-21”
นั่นคือศรติดตาม เป็นสกิลของชู้ตเตอร์เลเวล 15 และมีความแม่นยำเกือบ 100% นั่นหมายความว่าเขาจะต้องมีเลเวล 15 แน่ๆ และเป็นคนที่เก่งที่สุดในทีม เขาไม่ได้พูดอะไรในตอนนั้นและมันทำให้เสี่ยวเฟิงไม่คิดถึงจุดๆนี้
เสี่ยวเฟิงที่เชี่ยวชาญด้านป้องกันอยู่แล้ว เขาเสียพลังชีวิตไปนิดเดียวเท่านั้น
ชู้ตเตอร์เองก็ตะลึงไม่ต่างกัน เขารู้ว่าตัวเองมีพลังโจมตีที่สูงพอสมควร แต่การทที่ความเสียหายมันขึ้นน้อยแบบนี้มันไม่ต่างอะไรกับการยิงบอสเลย เขามองไปที่พลังชีวิตของเสี่ยวเฟิงหลังจากที่ถูกโจมตีไปแล้ว
เขามีพลังชีวิตมากกว่า 390!
ชู้ตเตอร์จ้องชายหนุ่มด้วยความตะลึง ไม่ว่าจะด้วยอะไรก็ตาม นี่มันนักรบโล่ถือคทารึไงวะ? ทำไมถึงได้มีพลังชีวิตเยอะแบบนี้? แล้วทำไมถึงมีพลังป้องกันเยอะโคตรๆเลยล่ะ?
จากนั้นเสี่ยวเฟิงก็ซัดพวกเขากลับไป
ค้อนยักษ์สีทองปรากฎบนมือของเสี่ยวเฟิง และเขาก็หวดมันใส่นักรบโล่กับนักฆ่า
131
“-335”
“-301”
ด้วยเสียงดังสนั่น ค้อนยักษ์สีทองแตกสลายพร้อมกับสร้างความเสียหายมหาศาลใส่นักฆ่าและนักรบโล่คนนั้นจนตายทันที
เสี่ยวเฟิงรวดเร็วจนทุกคนต้องตะลึง พวกเขารอกันมาเนิ่นนานเพื่อซุ่มโจมตีทั้งสองคนนี้และมันน่าจะต้องสำเร็จสิ แต่เขากลับฆ่าเพื่อนร่วมทีมของตัวเองไปถึง 2 คน!
“บ้าไปแล้ว! รีบหนีออกไปจากที่นี่เร็วเข้า!”
ไม่มีใครรู้ทั้งนั้นว่านี่มันคือเรื่องบ้าอะไร ทุกคนจึงวิ่งหนีกันไปทันที
ชู้ตเตอร์คนนั้นเป็นคนที่รวดเร็วที่สุด เขาหมุนตัวหนีไปอย่างไม่ลังเล
ฮันเตอร์เองก็ตามเขาไป ในขณะที่นักเวทย์เองก็หยุดร่ายมนต์แล้วก็วิ่งหนีตามไป เขาหวังว่าสกิลงูไฟจะสกัดการเคลื่อนไหวของเสี่ยวเฟิงไว้ได้
นักรบคนสุดท้ายเองถอยกลับออกมาหลังจากที่พุ่งตัวเข้าใส่ติงติง
“หมอนั่นเป็นใครวะ? นักรบที่ใส่อาวุธผิดรึไง!”
เพื่อนของเขาสี่คนวิ่งหนีไปโดยไม่หันกลับมามองเลย พระคนนี้สุดยอดมากนี่เป็นครั้งแรกที่เห็นว่าพระใช้สกิลฆ่านักรบโล่ได้ แถมความเสียหายยังถึง 300 อีก ระบบต้องรวนแน่ๆ!
ทว่า พวกที่วิ่งหนีไปไม่นานนักก็โดนศรน้ำแข็งทำให้ช้าลงกันถ้วนหน้า
“พวกแกกล้าดียังไงถึงได้รอพวกเราอยู่ที่นี่! น่าสมเพช!”
ติงติงวิ่งเข้ามาจากด้านหลังด้วยสัตว์ขี่ของเธอ หญิงสาวหมุนตัวด้วยท่วงท่าอันงดงามแล้วยิงแผลงศรใส่นักรบคนนั้น
ในจังหวะเดียวกัน ม้าสีขาวตัวสูงใหญ่กูได้พุ่งเข้าไปดักหน้าพวกที่วิ่งหนีไปทั้ง 4 คน
“พวกเราไม่ได้ตั้งใจ!”
นักเวทย์พยายามแก้ต่าง
“-340”
เสี่ยวเฟิงใช้คทาทุบหัวของนักเวทย์คนนั้นโดยไม่ได้หันไปมองจนตายทันที
“รุมแม่งเลย! มันก็เป็นแค่พระ ฆ่าพวกเราไม่หมดหรอก!”
นักรบที่จัดการหมอกน้ำแข็งได้แล้วก็พุ่งเข้าหาเสี่ยวเฟิง
ชู้ตเตอร์กับฮันเตอร์เองก็โจมตีใส่เสี่ยวเฟิงพร้อมกันอีกครั้ง วงแหวนทั้งสองวงปรากฎขึ้นพร้อมด้วยจระเข้กับอุรังอุตังพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่ม แถมยังใช้ทริปเปิ้ลช้อตกับกับดักน้ำแข็งด้วย
ชายหนุ่มเองก็ทำแค่เพียงใช้คทาทุบหัวพวกเขา
“-317”
นักรบตายทันที ถ้าไม่มีใครคอยสนับสนุนพลังชีวิตของเขามีไม่เกิน 200 ด้วยซ้ำ ร่างของเขากลายเป็นแสงสีขาวแล้วก็สลายหายไป
“น่ากลัวเกินไปแล้ว! หมอนี่มันNPCรึไง? แยกกันหนีดีกว่า!”
นักธนูทั้งสองหวาดกลัวสุดๆ นี่มันไม่ต่างอะไรจากการต่อสู้กับบอสเลย บางทีพระคนนี้อาจจะเป็นNPCก็ได้
ตอนแรกพวกเขาก็มั่นใจอยู่ แต่พอรู้ว่าสู้เขาไม่ได้ก็เริ่มคิดที่จะหนีไปแล้วใช้สัตว์เลี้ยงทั้งสองคอยถ่วงเวลาเอาไว้
ทั้งจระเข้และอุรังอุตังพวกนั้นต่างก็ทรงพลังและมีสกิลอยู่บ้างแถมยังมีพลังชีวิตมากกว่า 100 อีก น่าจะช่วยถ่วงเวลาเอาไว้ได้ซักครึ่งนาที
ทว่า พวกเขาลืมไปเลยว่าเสี่ยวเฟิงนั้นไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว ติงติงเองก็ยังคอยช่วยเหลือเขาอยู่ ชายหนุ่มพุ่งเข้าไปดักหน้าเขาแล้วเมื่อพวกเขาหนีไปอีกทางก็เจอติงติงคอยดักอยู่
ฮันเตอร์ยืนนิ่งและหนีไปไหนไม่ได้ น้ำแข็งใต้เท้าของเขาระเบิดออกและแช่แข็งเขาทันที
ในฐานะของอาชีพเดียวกัน เขารู้ดีว่านี่เป็นกับดักน้ำแข็งที่ใช้ในการควบคุมการเคลื่อนไหวของมอนสเตอร์หรือผู้เล่นได้ และเขาจะต้องตายแน่ๆหากเหยียบกับดักนี้เข้า
พร้อมกันนั้นก็มีหมาป่าสีดำพร้อมด้วยห่าฝนธนูกำลังพุ่งเข้าใส่เขาเช่นกัน
เสี่ยวเฟิงเมินฮันเตอร์ที่ตายแน่ๆไปแล้วหันไปเล็งชู้ตเตอร์แทน
เสี่ยวสุยเร่งความเร็วขึ้นอีกแล้วทิ้งห่างสัตว์เลี้ยงทั้งสองมาได้
ชู้ตเตอร์นี่น่าจะเป้นผู้เล่นที่มีฝีมือพอตัวและยังมีความสามารถในการปัดป้องการโจมตีได้ด้วย ดังนั้นป่าแห่งนี้จึงไม่ใช่สถานที่ยุ่งยากสำหรับเขาเท่าไหร่นัก
เสี่ยวสุยที่สามารถเร่งความเร็วจนจับฮานเฟิงได้ นับประสาอะไรกับชู้ตเตอร์คนนี้
“ใจเย็นก่อนพวก! เลเวลมันเก็บยากนะ! ไว้ชีวิตฉันเถอะ…”
ม้าสีขาวสิ่งตามมาทันและชู้ตเตอร์คนนี้พยายามร้องขอชีวิต
“ที่เขตตรงกลางเป็นยังไง?”
เสี่ยวเฟิงถามก่อน
“พวกเราไม่ได้โกหก ตรงกลางนั่นมีหมอกสีดำจริงๆ พวกเรามาถึงที่นี่ได้ 3 ชั่วโมงกว่าๆจากเมืองหลักและพยายามหาทางเข้าที่หาเท่าไรห่ก็ไม่เจอซักที” ชู้ตเตอรืตอบตามตรง
“ยากขนาดนั้นเลยเหรอ?” ชายหนุ่มขมวดคิ้ว
“พวกเราก็ไม่แน่ใจ แต่คิดว่าน่าจะต้องเสียสละเพื่อนร่วมทีมเพื่อหาทางเข้าที่ดีกว่านี้ จากนั้นก็มีพระที่มีสัตว์ขี่ระดับสูงโผล่มาแล้วก็ใช้โพชั่นที่ซื้อมาจากงานประมูลนั่นเข้าไป”
ชู้ตเตอร์คนนี้มีประสบการณ์พอสมควร เขาสามารถหาวิธีแก้ปัญหาได้ระหว่างที่เดินวนรอบๆ
“พวกเราก็เลยอยากจะจัดการพวกคนที่ฝ่าเข้ามาที่นี่ แต่ไม่คิดว่านายจะเป็นผู้เล่นมีฝีมือแบบนี้”
เสี่ยวเฟิงไม่ได้ตอบอะไรกลับไปและชู้ตเตอร์ก็พูดต่อ “มีคนมากมายที่เริ่มรับเควสนี้แล้ว รวมไปถึงกิลด์ใหญ่ด้วย แต่พวกเราสามารถเป็นเพื่อนกันได้นะ ฉันจะคอยช่วยนายถ้ามีปัญหาในอนาคตเอง”
“ดูเหมือนว่านายจะรู้ดีนี่ว่าเกมนี้มันเก็บเลเวลยาก ถ้างั้นฉันจะช่วยพานายกลับเมืองก็แล้วกัน”
เสี่ยวเฟิงพยักหน้าแล้วก็ใช้สกิลค้อนยักษ์ใส่ชู้ตเตอร์
“-301”
“นายทำอะ…”
พลังชีวิตของเขาหมดหลอดแล้วตายทันที
ชายหนุ่มปรบมือแล้วก็หมุนตัวกลับมาเห็นติงติงที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา
“ฆ่าเขาแล้วเหรอ?”
เธอถามขึ้นมา มั่นใจได้เลยว่าเธอน่าจะจัดการฮันเตอร์คนนั้นไปแล้ว
“ไปที่เขตกลางกันเถอะ จะได้ไม่เสียเวลา”
เสี่ยวเฟิงพยักหน้า ถ้าเกิดว่าหมอกนั่นลดพลังชีวิตได้เป็น % ตามที่พวกนั้นบอก มันจะยิ่งเป้นการยากยิ่งขึ้นไปอีก
“อย่ากังวลไปเลย ระบบมันคงไม่ให้เควสยากบรรลัยแบบนั้นมาหรอก”
แน่นอนว่าติงติงเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี เธอรีบเข้ามากอดแขนเสี่ยวเฟิงและพูดมากอีกครั้ง
“ท่านเสี่ยวสุดยอดไปเลย! ทำยังไงถึงมีสกิลแบบนั้นล่ะ? พวกนั้นโดนนายฆ่าหมดเลยนะ! ตอนแรกก็ว่าจะให้นายบัฟฉันซะหน่อยแต่กลายเป็นว่านายจัดการพวกนั้นจนเกลี้ยงเลย”
ทั้งสองอยู่ไม่ห่างจากใจกลางกันแล้ว ดังนั้นหมอกเหล่านั้นจึงปรากฎขึ้นในสายตาของพวกเขา
หมอกสีดำนี่ปกคลุมยาวขึ้นไปถึงท้องฟ้าราวกับว่าเป็นบาเรีย
หมอกนี่หนาและวิสัยทัศน์ต่ำมาก เสี่ยวเฟิงพยายามจะเข้าไปแล้วระบบก็แจ้งเตือนว่าเขากำลังอยู่ใน หมอกสงคราม พลังชีวิตของเขาจะลดลง 1%/วินาที
นี่น่าจะเป็นชื่อของหมอกนั่น มันน่ากลัวจนเสี่ยวเฟิงต้องรีบถอยออกมาทันที มันมืดและมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ต่อให้มีมอนสเตอร์เป็นร้อยตัวอยู่ในนั้นเขาก็ไม่เห็น
“มีอะไรเหรอ?”
ติงติงที่ยืนอยู่ด้านนอกถามเขาทันทีที่ออกมา
“ต้องไปทางอื่น หมอกตรงนี้มันหนาเกินไป”
เสี่ยวเฟิงส่ายหัวแล้วฟื้นพลังชีวิตกลับมา เขากำลังจะเดินไปอีกทางเพื่อหาที่ที่หมอกมันเบาบางลงกว่านี้
ทั้งสองเดินไปรอบๆหมอกนี้และก็พบกับทีมผู้เล่นคนอื่นมากมายที่สิ้นหวังไม่ต่างอะไรจากพวกเขาเลย แต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้ามาโจมตีพวกเขาเหมือนกับพวกเมื่อกี้
“หา?”
เสี่ยวเฟิงขมวดคิ้วและจ้องไปยังคนพวกนั้น นักธนูคนนึงกำลังมองไปยังหมอกนี้ด้วยความฉงน ชื่อสีแดงที่ปรากฎบนหัวของเขาคือ ฮานเฟิง
ชายหนุ่มจำได้ทันที ฮานเฟิงคือยอดคนเกรียนแห่งเกมนี้ แถมยังหลอกเขาไปแล้วครั้งนึงด้วย และน่าจะก่อคดีไปมากมาย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมชื่อของเขาเป็นสีแดง
132
“เชี่ย!”
ฮานเฟิงเองก็เห็นเสี่ยวเฟิงได้จากระยะไกลและชุดที่ไม่เคยเปลี่ยนของเขา
เขารีบหาทางหนีจากที่นี่ทันที เพราะรู้ตัวดีว่าเขาไม่สามารถสู้กับเสี่ยวเฟิงได้แน่ ซ้ำร้ายชื่อของเขายังขึ้นเป็นสีแดงอีก นั่นหมายความว่าหากเขาถูกฆ่าไอเทมมากมายจะต้องตกลงมาแน่ๆ
ทว่า ฮานเฟิงก็ไม่สามารถหนีความเร็วของเสี่ยสุยได้และถูกจับตัวไว้ภายในเวลาไม่เกิน 1 นาที ยิ่งอยู่ใกล้กับหมอกนี่แล้วเขาหมดทางหนีโดยสิ้นเชิง
“อย่าเข้ามานะโว้ย กูไม่ใช่คนที่ใครจะหาเรื่องได้ง่ายๆนะ”
ฮานเฟิงถอยหลังไปหนึ่งก้าวจนเกือบจะเข้าไปในเขตหมอกแล้ว
“อย่ากลัวไปเลย ฉันเป็นพระนะ ฉันไม่นิยมความรุนแรงหรอก” เสี่ยวเฟิงยิ้มอย่างสดใสออกมา
“แล้วจะขวางทางกูทำไมวะ? กูไม่ได้ยุ่งกับสมาพันธ์ของมึงแล้วนี่ ต่างคนต่างไปสิวะ”
“ฉันมาขอร้องนาย” เสี่ยวเฟิงไม่ได้คิดจะทำอะไรเขาอยู่แล้ว และเขาสนใจในชื่อสีแดงบนหัวของหมอนี่ด้วย
การมีชื่อสีแดงนั้นไม่ใช่เรื่องตลก เพราะนั่นหมายความว่าหากเขาตายจะต้องได้รับโทษสองเท่าและต้องสูญเสียไอเทมสวมใส่บางอย่างไป ซึ่งตัวฮานเฟิงเองก็ไม่ชอบแน่ๆ
“ขออะไรวะ?”
“นายวิ่งได้เร็วดี เพราะฉะนั้นไปวิ่งดูเงื่อนไขของหมอกนี่ให้หน่อย” เสี่ยวเฟิงบอก
“อะไรนะ! มึงจะให้กูไปตายเหรอ? ไม่เอาเว้ย!” ฮานเฟิงตะโกนออกมา เขารู้ตัวว่าต้องตายแน่ๆหากเข้าไปในหมอกนี่
“นายทำให้ฉันไม่มีทางเลือกเองนะ” ชายหนุ่มส่ายหัวแล้วชักโทเทมออกมาพร้อมกับบัฟตัวเองเต็มที่
“เดี๋ยว! เดี๋ยวก่อน!”
ฮานเฟิงโบกไม้โบกมือเป็นเชิงขอร้อง เขากลอกตาไปมาแล้วรู้ว่าตัวเองไม่มีทางเลือกมากแล้ว บางทีถ้าเขาลองเสี่ยงโชคดูก็อาจจะรอดอยู่บ้าง
เพราะถ้าเขาสู้กับเสี่ยวเฟิงรับรองตายแน่ๆ
“แม่งเอ้ย! เอาตามนั้นก็ได้วะ!”
ฮานเฟิงกัดฟันและหมุนตัวกลับไปด้วยความหงุดหงิด เมื่อเขาเข้าไปข้างในก็พบกับตัวเลขความเสียหายที่ลอยขึ้นมาแถมยังโดนปิดด้วยหมอกสีดำอีก
“อะไรน่ะ?”
ติงติงถามเสี่ยวเฟิงทันทีที่มาถึง
“ไม่มีอะไรหรอก”
ชายหนุ่มส่ายหัวและมองไปรอบๆหมอกนี้ เพื่อให้มั่นใจว่าฮานเฟิงไม่ได้หาทางออกมาจากหมอกด้วยทางใดทางนึง
“มีไอเดียอะไรดีๆบ้างไหม?” หญิงสาวถามต่อโดยเมินเรื่องเมื่อกี้ไป
“ดูเหมือนว่าต้องเข้าไปข้างในนั้น”
เสี่ยวเฟิงส่ายหัวและจ้องเข้าไปในนั้น ซึ่งยังไม่มีแสงขาวขึ้นมานั่นหมายความว่าฮานเฟิงยังไม่ตาย
เขาสามารถร่ายสกิลเพื่อปกป้องตัวเองแล้วเข้าไปข้างในนั้นก็ได้ แต่ถ้าเกิดว่ามันยากแบบนั้นก็คงไม่มีใครคนอื่นทำได้นอกจากเขาแล้วล่ะ
“ถ้านี่เป็นทางเลือกเดียว ให้ฉันลองดูไหมล่ะ ฮันเตอร์น่ะมีความเร็วกว่านายแน่ ถึงจะฝ่าเข้าไปไม่ได้ด้วยสัตว์เลี้ยงก็เถอะ” ติงติงเตรียมโพชั่นฟื้นฟูพลังชีวิตมาพร้อม
สัตว์ขี่ระดับสูงใช้ได้ในการต่อสู้ก็จริง แต่ไม่ใช่กับหมอกแห่งสงครามที่บังคับห้ามใช้สัตว์ขี่ ไม่งั้นเสี่ยวเฟิงน่าจะเข้าไปถึงใจกลางได้ด้วยเสี่ยวสุยแล้ว
“ไม่ล่ะ ฉันไปเองดีกว่า ฉันน่าจะเอาตัวรอดได้ดีกว่าด้วยสกิลฮีลลิ่ง”
แน่นอนว่าเขาไม่ให้เธอเข้าไปแน่ๆ เพราะเขาอาจจะมีความเร็วที่มากกว่าแถมยังฟื้นฟูตัวเองได้ด้วยสกิลฮีลอีก
“โอเค งั้นฉันจะรอนายอยู่ตรงนี้” ติงติงครุ่นคิดก่อนที่จะเห็นด้วยกับเขา
“งั้นระวังตัวด้วย” เสี่ยวเฟิงพยักหน้าและย้ำเตือนเธอให้ระวังถึงพวกผู้เล่นน่ากลัวที่อาจจะเจอแบบเมื่อกี้ เขากลัวว่าติงติงน่าจะโดนเล็งฆ่าตอนอยู่คนเดียวแน่ๆ
“อย่าห่วงน่า ฉันไม่โดนกินง่ายแบบนั้นหรอก”
ติงติงทุบอกตัวเองเบาๆและวางกับดักไว้รอบๆตัวเธอ แถมยังมีสัตว์ขี่ขั้นสูงอีก ถ้ามีปัญหาเธอก็น่าจะขี่มันหนีไปแล้ว
เสี่ยวเฟิงเดินเข้าไปข้างในหมอกสีดำนี้ เขามองไม่เห็นอะไรทั้งนั้นแล้วก็ปรากฎตัวเลขความเสียหายขึ้นมาเรื่อยๆ
“เฮ้ คุณได้รับสถานะผิดปกติจากหมอกแห่งสงคราม พลังชีวิตจะลดลง 1% ต่อวินาที”
“เฮ้ พลังชีวิตของคุณลดลงสองเท่าเพราะค่าความศักดิ์สิทธิ์ในตัวคุณ”
“-8”
“-8”
“-8”
…
ดูเหมือนว่าพลังชีวิตของเขาจะลดลงไปทีละน้อยก็จริง แต่หมอกก็กว้างมากจนแทบต้องใช้เวลาเป้นนาทีเพื่อที่จะผ่านมันไป ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งเจ็บ
และที่สำคัญที่สุด ครั้งสุดท้ายที่เขาทดสอบมา เสี่ยวเฟิงพบข้อด้อยสองข้อ หนึ่งก็คือมันมีมอนสเตอร์ระดับสูงมากมายซ่อนตัวอยู่แถมยังมีเลเวล 30 อีก และที่ซวยยิ่งกว่านั้นก็คือสถานะศักดิ์สิทธิ์ที่เขามีดันช่วยเพิ่มความเสียหายในตัวเขาอีก
นั่นหมายความว่าเขาโดนความเสียหายมากกว่าผู้เล่นทั่วไปนั่นเอง
ชายหนุ่มวิ่งอย่างรวดเร็วในหมอกนี่ และระมัดระวังทุกฝีก้าว
ทว่า เพียงไม่ถึง 30 วินาที พลังชีวิตของเสี่ยวเฟิงก็ลดลงไปกว่าครึ่งแล้ว
เสี่ยวเฟิงใช้โฮลี่ไลท์เพื่อฟื้นฟูชีวิตของเขากลับไปเต็มอีกครั้งพร้อมกับใช้โพชั่นมานาไปด้วย แล้วจึงเดินทางต่อ
ทุกๆ 30 วินาที เสี่ยวเฟิงเสียพลังชีวิตไป 240 หน่วย และในขณะเดียวกันเขาก็เพิ่มมันกลับไปด้วยสกิล 160 หน่วย ด้วยโพชั่นฟื้นฟูอีก 50 หน่วย พร้อมด้วยสร้อยคอที่เขาสวมอยู่ทำให้รวมๆแล้วเขาเสียพลังชีวิต 40 หน่วยต่อนาทีเท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นเสี่ยวเฟิงใช้คทารักษาเพื่อลดคูลดาวน์สกิลโฮลี่ไลท์ลงไป 3 วินาที นั่นหมายความว่าเขาสามารถใช้สกิลนี้ซ้ำได้อีกครั้ง ถ้าให้พูดก็คือ ทุกๆ 5 นาที ก็จะมีพลังชีวิตเพิ่มขึ้นมาอีก 160 หน่วย
และด้วยพลังชีวิตที่สูงกว่า 390 หน่วยของเขา เสี่ยวเฟิงสามารถทนทานหมอกสีดำนี้ได้ 50 นาทีก่อนที่จะตาย
ถ้าหากพูดถึงสกิลอวยพรชีวิตล่ะก็ เสี่ยวเฟิงไม่อยากใช้มันเพราะมันจะทพให้เขาเสียพลังชีวิตมากกว่าเดิม
ยังไงก็ดี กลายเป็นว่าเสี่ยวเฟิงเองก็มองโลกในแง่ดีเหลือเกิน เขาคิดว่าแค่ 50 นาทีก็พอจะให้เขาเดินฝ่าหมอกนี่ได้แล้ว แต่ในความจริงนั้นเขาต้องฝ่าฝันดงมอนสเตอร์เก่งกาจมากมายที่กำลังไล่ตามเขาอยู่ด้วย
จนถึงตอนนี้แล้ว ผ่านไปครึ่งชั่วโมง เขาสูญเสียพลังชีวิตไปเพียงแค่ 50 หน่วยเท่านั้น
“-8”
“-8”
“-8”
…
พลังชีวิตของเขากำลังจะหมดลงในอีก 7 วินาที และคูลดาวน์ของสกิลและไอเทมฟื้นฟูทุกอย่างยังไม่เสร็จดีด้วย
“-8”
“-8”
“-8”
…
แต่แล้วเลือดของเสี่ยวเฟิงก็หยุดลดลงที่ 1 หน่วย ในขณะที่ตัวเลขความเสียหายก็กลายเป็นสีน้ำเงินไปแล้ว
สกิลวัฎจักรชีวิตของต่างหูที่เขามีช่วยชีวิตเขาไว้ และเปลี่ยนค่ามานาให้แทนพลังชีวิตไปได้ ซึ่งถ้าเกิดว่าทั้งสองค่านี้หมดลงเขาจะต้องตายแน่ๆ
นี่ทำให้เสี่ยวเฟิงโล่งใจได้มากขึ้นกว่าเดิม ไอเทมระดับเทพเจ้าอันนี้ช่วยเขาไว้ได้มาก ตอนนี้เขาต้องใช้โพชั่นเพื่อฟื้นฟูเท่านั้น ทว่า สกิลนี้ก็ไม่ค่อยดีมากเท่าไหร่เพราะมันไม่สามารถฟื้นฟูพลังชีวิตของเขาให้เต็มได้
ยังไงก็ยังดี ด้วยสกิลของต่างหูนี่เขาสามารถใช้มานาและพลังชีวิตได้ทั้งหมด 300 หน่วยเพื่อยื้อชีวิตต่อไปได้
ทว่า ก็มีระบบแจ้งเตือนดังมาอีกครั้งที่ทำให้เขากังวลยิ่งกว่าเดิม
“เฮ้ คุณกำลังเข้าสู่ใจกลางของหมอกแห่งสงคราม พลังชีวิตของคุณลดลง 2% ต่อวินาที”
“เฮ้ พลังชีวิตของคุณลดลงสองเท่าเพราะค่าความศักดิ์สิทธิ์ในตัวคุณ”
“-16”
“-16”
“-16”
…
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นว่าค่าสถานะศักดิ์สิทธิ์เป็นผลเสียมากกว่าผลดี พลังชีวิตของเขาลดลงเร็วกว่าเดิมมาก
เสี่ยวเฟิงยังคงเงียบอยู่เช่นเดิมในตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากวิ่งไปข้างหน้าเหมือนเดิมและได้แต่หวังว่าเขาจะออกจากหมอกนี้ได้ก่อนที่พลังชีวิตจะหมดลง
เขาวิ่งมาเป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมงแล้วและด้วยระบบที่แจ้งมานั้นบอกได้เลยว่าเขากำลังจะออกจากหมอกนี้ได้แล้ว
ทว่า ก่อนที่เขาจะออกจากหมอกนี้ได้ความมืดมิดก็เข้าปกคลุมเขาทั้งหมดก่อน พลังชีวิตและมานาของเขากลายเป็น 0 ไปแล้ว
“เฮ้ คุณไม่มีพลังชีวิตเหลืออยู่แล้ว คุณถูกฆ่า”
“เฮ้ สกิลร่างกายศักดิ์สิทธิ์ทำงาน คุณได้รับการชุบชีวิตกลับมาอีกครั้งและไม่ได้รับการลงโทษใดๆ คุณสามารถใช้สกิลนี้ได้ 1 ครั้งต่อวันและจะรีเซ็ทในอีก 24 ชั่วโมงต่อมา”
ในจังหวะที่พลังชีวิตและมานาของเขาหมดลง วินาทีต่อมามันก็ฟื้นกลับมาเต็มอีกครั้ง
เสี่ยวเฟิงวิ่งต่อไป เขาไม่คิดว่าจะต้องถูกฆ่าที่นี่แล้วใช้สกิลชุบชีวิตนี้ ถ้าเกิดว่าเขาออกไปจากที่นี่ได้และถูกฆ่า นั่นหมายความว่าเขาต้องถูกส่งกลับไปที่เมืองหลักแน่ๆ
ก่อนที่เขาจะไปไกลกว่านั้น ก็มีแสงส่องออกมาสว่างไสวไปทั่วทั้งหมอกนี้
“เฮ้ คุณพบเมืองแห่งความเศร้า! ค่าชื่อเสียง +100”
133
ที่เมืองนี้มีแต่หมอกปกคลุมเต็มไปหมดแม้แต่เวลากลางวันก็ตาม มันดำมืดไปหมดแต่ก็ยังดีกว่าในหมอกแห่งสงครามก็แล้วกัน
เสี่ยวเฟิงที่ออกมาจากหมอกสีดำนั่นได้ก็ต้องตะลึงที่เห็นเมืองอยู่ตรงนี้ ลืมแม้กระทั่งจะเพิ่มพลังชีวิตด้วยซ้ำ
กำแพงของเมืองนี้สูงใหญ่ครอบคลุมพื้นมากมายแถมยังมีเสาต้นใหญ่ที่มีรู้ร่างเหมือนกระดูกสันหลังและมีกระโหลกอยู่ด้านบนอีกด้วย เขาไม่รู้ว่าเมืองนี้ใหญ่แค่ไหนแต่ก็น่าจะประมาณการณ์ไว้ว่าใหญ่ว่าเตียนหลงแน่ๆ
ภาพของสงครามถูกสลักเอาไว้บนกำแพงที่ดูเหมือนว่าจะมีคราบเลือดอยู่ ทางเข้าเมืองเองก็ใหญ่เหมือนกับปากขนาดยักษ์ ทำให้ทั้งเมืองดูเหมือนกับปีศาจจากนรกก็ไม่ปาน
“เฮ้ คุณทำเควสเนื้อเรื่อง คนถือสาห์นแห่งความมืด สำเร็จแล้ว”
เมื่อเขาเห็นเมืองนี้ ระบบแจ้งเตือนว่าเขาทำเควสนี้สำเร็จก็ดังขึ้น และสามารถกลับไปส่งเควสได้แล้ว
เขาไม่คิดว่าจะได้เจอเมืองใหญ่ขนาดนี้ซ่อนตัวอยู่ในม่านหมอกเหล่านั้น
ถึงเสี่ยวเฟิงจะทำเควสเสร็จแล้วก็จริง แต่เขาก็ไม่ใช่คนที่จะหนีถอยจากการผจญภัยได้ ความสงสัยของเขาเองก็มีมากเท่ากับคนอื่น เขาเติมพลังชีวิตตัวเองแล้วเดินเข้าไปในเมืองแห่งความเศร้าอย่างระมัดระวัง
ข้างนอกเมืองนั้นเงียบมาก ไม่มีมอนสเตอร์รอบๆเลย และมันทำให้ชายหนุ่มเสียวสันหลัง
เมื่อเขามาถึงปากทางเข้า ประตูก็เปิดออก ชายหนุ่มมองเข้าไปข้างในก็พบแต่หมอกมัวๆ
เขาพยายามฟังเสียงต่างๆที่อยู่ในนั้นแต่ก็ไม่ได้ยินอะไร ที่นี่เงียบมาก
เสี่ยวเฟิงกัดฟันและเสี่ยงเดินเข้าไป ทันทีที่เขาเข้าไปในหมอกพวกนั้นพวกงานมากมายก็ปรากฎเหนือประตูบานนั้น และในวินาทีต่อมาหมอกที่ไปรวบรวมนั่นก็กลายเป็นก้อนกลม
และข้างในเมืองนั่นก็ปรากฎคนร่างสูงเดินออกมา
นั่นคือทหารยามของเมืองแห่งความเศร้า
เลเวล 30
ประเภท บอสในตำนาน
ธาตุ วิญญาณ
พลังชีวิต 180000/180000
พลังโจมตี 3000 – 3090
พลังเวทย์ 2000 – 2090
พลังป้องกันกายภาพ 2800 – 2880
พลังป้องกันเวทย์ 2720 – 2800
สกิล หวดรุนแรง,เงื้อมมือผีดิบ,พลีกายขั้นสุดยอด,พายุหมุนรุนแรง,กรงกระดูก,กลิ่นสาบศพ,ป้องกันผีดิบ,สังเวย,กายาแห่งความตาย,ความเป็นอมตะ และพลังอมตะ
คำอธิบาย ผู้ปกป้องเมืองแห่งความเศร้าที่แสนโหดร้าย แพ้ธาตุแสง
มันคือทหารกระดูกสูงกว่า 10 เมตร
มันใส่ชุดเกราะโบราณปกปิดไปทั้งตัวยกเว้นแค่เพียงส่วนคอและข้อต่อเท่านั้น หมอกสีหม่นยังคงถูกปล่อยออกมาจากตัวมันเรื่อยๆซึ่งทำให้มองมันได้ยากมาก
ดวงตาสีแดงของมันจดจ้องเสี่ยวเฟิงผ่านหน้ากากเหล็กที่มันสวมอยู่
ทั้งรูปร่างและสเตตัสของมันที่สูงลิ่วทำให้เสี่ยวเฟิงหวาดกลัวมันเป็นอย่างมาก
มันคือบอสเลเวล 30 และชายหนุ่มใช่สกิลสอดแนมสังเกตการณ์มันได้
บอสระดับตำนานเลเวล 30! ไม่ต้องพูดเรื่องความยาวของหลอดเลือด ค่าพลังต่างๆของมันก็สูงโคตรๆจนทุกคนที่ได้พบมันจะต้องหวาดผวาไปตามๆกัน
ถึงเสี่ยวเฟิงจะเป็นผู้เล่นที่เก่งที่สุดแต่ก็ยังมีพลังชีวิตอยู่ที่เกือบๆ 400 เท่านั้นเอง แต่บอสตัวนี้กลับมีพลังโจมตีสูงถึง 3000
และถึงแม้ว่าพลังป้องกันของเสี่ยวเฟิงจะสูงมากแต่ก็ไม่อาจจะต้านทานการโจมตีของมันได้แน่ๆ
แต่เมื่อเจอคู่ต่อสู้แบบนี้ ชายหนุ่มก็ไม่ได้หวาดเกรงมันมากเท่าใดนัก ดวงตาของเขาปรากฎแสงออกมา
“นี่มันบอสในตำนาน! มันอาจจะดรอปอาร์ติแฟก!”
ตั้งแต่ที่เกมมิทได้เปิดให้บริการมา ไอเทมของเสี่ยวเฟิงนั้นเก่งกาจที่สุดและไม่มีใครจัดการเขาได้ ยิ่งไปกว่านั้นค่าสเตตัสของเขาก็สูงมากเสียจนไม่มีใครอยากต่อกรด้วย
และอาร์ติแฟกจะช่วยเพิ่มพลังให้มากขึ้นไปอีก
เสี่ยวเฟิงได้ไอเทมระดับเทพเจ้ามาจากการฆ่าบอสทอง ถ้าเกิดว่าเขาจัดการบอสระดับตำนานได้จะต้องได้อาร์ติแฟกแน่ๆ
ดวงตาของเขาเพ่งสมาธิ หัวใจของเสี่ยวเฟิงเต้นระรัว
ถึงบอสตัวนี้จะมีค่าสเตตัสที่น่ากลัวมากก็จริง แต่มันก็แพ้ธาตุแสง
นั่นหมายความว่าเขาอาจจะฆ่ามันได้ด้วยโฮลี่ไลท์
แล้วชายหนุ่มก็ถูกอาร์ติแฟกล่อลวงอย่างขาดสติ
“มีผู้กล้าเข้ามางั้นเรอะ? แถมยังมีออร่าแสงอีก แกเป็นพวกวิหารแสงสินะ” ทหารคนนั้นพูดและมองเสี่ยวเฟิง เสียงของเขาเยือกเย็นมาก ก็แหงล่ะมอนตัวนี้ตายไปแล้วนี่นา
เสี่ยวเฟิงตะลึงและไม่คิดว่าบอสในตำนานจะมีปัญญามากขนาดคุยกันได้แบบนี้
“ข้าเกลียดแสงที่สุด ดูเหมือนว่าพวกวิหารแสงจะรู้ตำแหน่งที่นี่แล้วสินะ พวกกองทัพปีศาจน่าจะเคลื่อนไหวกันให้เร็วกว่านี้ได้แล้ว”
“ผู้กล้าเผ่ามนุษย์เอ๋ย แกน่าจะรู้ดีว่าแสงน่ะทำให้ผู้คนเป็นบ้าได้ และความมืดเท่านั้นคือนิรันดร์ เจ้าไม่สนใจจะเข้าร่วมกันข้าหน่อยรึ? เจ้าจะได้รับอะไรมากมายเลยนะ”
ชายหนุ่มตะลึงกับคำพูดนั่น ‘อะไรว่ะเนี่ย? บอสพยายามเกลี้ยกล่อมฉันงั้นเหรอ?’
“เข้าร่วมกับนายงั้นเหรอ?”
“ใช่ เจ้าจะได้พลังแห่งความมืดและอาชีพที่เจ้าปรารถนามานานแถมจะได้พลังต่อสู้อันยิ่งใหญ่ด้วย”
บอสตัวนี้พูดด้วยไฟลุกโชนในดวงตา
“เทียบกันแล้วฉันสนใจในอาร์ติแฟกที่อยู่ในตัวนายมากกว่านะ”
อาชีพลับเป็นหนึ่งในสิ่งที่ผู้เล่นต้องการมากเพราะมันจะได้รับพลังอันมหาศาล
นั่นเป็นเพราะว่าตอนเริ่มเกมนั้นผู้เล่นจะถูกบังคับเลือกให้เข้ากับฝ่ายแสงเพื่อต่อกรกับฝ่ายมืด ดังนั้นมันจึงเป็นข้อเสนอที่เย้ายวนมาก
ทว่า เสี่ยวเฟิงไม่ได้สนใจในข้อเสนอนั้น อันดับแรกเลยคือคลาสของเขาเองก็สูงและทรงพลังมาก อันดับสองคือเสี่ยวไป๋ที่วิหารแสงเองก็บังคับให้เขาเลือกฝ่ายแสง เพราะฉะนั้นชายหุ่มจึงไม่ได้มีความใส่ใจกับฝ่ายมืดอยู่แล้ว
“ดูเหมือนว่าจะไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงสินะ เจ้าหนอนแมลงกล้าดียังไงถึงได้เข้ามารุกรานเมืองนี้?”
ออร่าความกดดันแผ่ออกมาจากตัวบอสกระจายไปทั่วบริเวณ และเสี่ยวเฟิงเองก็อยู่ในระยะโจมตีของมันเสียด้วย
“หุบปากแล้วส่งอาร์ติแฟกกับค่าประสบการณ์มาได้แล้ว”
เสี่ยวเฟิงถอยออกมาจากบอสตัวนี้ เพราะว่าถ้าโดนโจมตีเพียงครั้งเดียวก็อาจจถึงตายได้เลย แถมเขาน่าจะโจมตีมันได้สกิลโฮลี่ไลท์จากระยะไกลได้ด้วย
“-24300”
(สกิลพลังอมตะลดความเสียหายที่ได้รับ 10%)
ตัวเลขปรากฎขึ้นมาเหนือหัวบอสตัวนี้และมันก็คำรามออกมา
“โอ้ว! พลังแสงโสโครก! แกเป็นใครกัน?”
บอสตะโกนอย่างเดือดดาลและวิ่งเข้าหาเสี่ยวเฟิงจนพื้นดินสะเทือน
เสี่ยวเฟิงไม่ตอบคำถาม และรู้สึกดีใจ “ดูเหมือนว่าพลังธาตุแสงจะได้ผลแม้แต่กับบอสในตำนานสินะ อย่างนี้ก็สามารถฆ่าได้ภายในไม่กี่นาทีแน่!”
ทว่า เสี่ยวเฟิงก็ต้องชะงัก
“เฮ้ คุณกำลังได้รับผลจากสกิล กลิ่นสาบศพ จากบอสแห่งเมืองแห่งความเศร้า สูญเสียพลังชีวิต 100 ต่อวินาที”
“เฮ้ ความเสียหายที่คุณได้รับจะเพิ่มเป็นสองเท่าเนื่องจากธาตุศักดิ์สิทธิ์ในตัวคุณ”
ตัวเลขปรากฎขึ้นเหนือหัวของเขา
“-200”
“-200”
…
“เชี่ย!”
เสี่ยวเฟิงตะลึง เขาไม่คิดว่าสกิลกลิ่นสาบศพที่เขาคุ้นชินจากราชากระดูกมันจะรุนแรงได้ขนาดนี้ แม้ว่าเขาจะมีไอเทมต่างหูระดับเทพเจ้าแบบนี้แล้วก็ตาม บางทีอาจจะเป็นเพราะราชากระดูกเป็นบอสระดับต่ำก็ได้ทำห้สกิลของมันไม่แรงแบบนี้
ยิ่งไปกว่านั้นด้วยสถานะศักดิ์สิทธิ์ของเขายิ่งทำให้รุนแรงขึ้นอีกสองเท่า
นั่นทำให้ก่อนที่เสี่ยวเฟิงจะได้ทันทำอะไรเขาก็เสียพลังชีวิตจนหมด
“เดี๋ยว อย่าเพิ่ง…”
เสี่ยวเฟิงร้องออกมา เขารู้ว่าครั้งนี้เขาตายแน่ๆ ทั่วทั้งบริเวณนี้ถูกครอบคลุมไปด้วยกลิ่นสาบศพของบอสตัวนี้แล้ว เขาไม่สามารถหนีไปไหนได้
แล้วทันใดนั้นภาพทุกอย่างในสายตาเสี่ยวเฟิงก็ดำมืดลงเมื่อพลังชีวิตและมานาขอบเขาเหลือ 0
“เฮ้ คุณไม่มีพลังชีวิตเหลืออยู่แล้ว คุณถูกฆ่า คุณเลือกที่จะไปเกิดใหม่ยังจุดเกิดที่ใกล้ที่สุดไหม?”
ชายหนุ่มเลือก “ใช่” แล้วระบบก็พาเขาไปเกิดใหม่ที่เมืองซันเซทด้วยใบหน้าเศร้าหมอง
“บอสในตำนานมันโหดมาก ไม่ใช่แค่ฉันโดนฆ่าครั้งแรกเท่านั้นแถมยังไม่ได้อาร์ติแฟกอีก และสูญเสียค่าประสบการณ์ 20% พร้อมกับเกราะแขน”
นี่ทำให้เสี่ยวเฟิงโกรธมาก แน่นอนว่าเขาจะต้องล้างแค้นเจ้าบอสตัวนี้แน่ๆ ดังนั้นเขาจึงเดินไปขอความช่วยเหลือจากโบลตัน
โบลตันเองก็เป็นบอสในตำนานเลเวล 30 เช่นกัน และถ้าเขาคอยช่วยเหลือNPCคนนี้ล่ะก็ยังไงก็ต้องล้มมันลงได้แน่ๆ ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเขาร่ายโฮลี่ไลท์ใส่มันก็น่าจะช่วยสร้างความเสียหายมากขึ้นยิ่งไปอีก
ปัญหาของเขาที่สุดในตอนนี้ก็คือจะทำยังไงให้โบลตันยอมร่วมมือ
จากในหน้าจอทีม ติงติงรู้ว่าเสี่ยวเฟิงถูกจัดการไปแล้ว และไม่กี่วินาทีต่อมาเธอก็กลับมาหาเขาด้วยคัมภีร์วาร์ป
“นายโดนฆ่าเหรอ? แสดงว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะทำเควสนี้สินะ?”
134
“เควสเสร็จแล้ว” เสี่ยวเฟิงตอบ
“นายผ่านหมอกสีดำนั่นได้? แล้วทำไมถึงตายกลับมาอีกล่ะ?”
“ฉันเจอบอสแล้วกโดนฆ่ามา” ชายหนุ่มกัดฟันเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาโดนฆ่า
“บอสเหรอ? เก่งขนาดนั้นเลย?” ติงติงเริ่มสงสัยหนักขึ้น
“เลเวล 30 ระดับตำนาน”
“…”
หญิงสาวพูดไม่ออกเพราะบอสตัวนั้นมันเลเวลสูงกว่าผู้เล่นทั้งหมดมาก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเสี่ยวเฟิงถึงตายกลับมา
“ไปส่งเควสกันเถอะ”
ทั้งสองกลับไปยังเมืองเตียนหลง และจุดเกิดของติงติงเองก็อยู่ที่เมืองนี้ด้วยเช่นกัน
พวกเขาไปส่งเควสนี้กับบิชอปไคเซอร์ แม้ว่าเสี่ยวเฟิงจะต้องสูญเสียของบางอย่างไปเพราะเขาแต่ของรางวัลที่ได้รับมานั้นก็ช่วยเขาได้เยอะ
พระเจ้าอวยพร
คุณภาพ สีเงิน
เลเวล 15
ชนิด ต่างหู
ความต้องการ ทุกคลาส
ค่าสเตตัส
โชคดี +1
ความฉลาด +1
สเน่ห์ +1
มันคือต่างหูระดับสูงเลยแถมยังบวกค่าสเตตัสลับทั้งสามอีกด้วย
ไคเซอร์เองก็ดูเหมือนจะเร่งรีบมาก หลังจากที่เสี่ยวเฟิงส่งเควสเสร็จแล้วเขาก็ออกไปทันทีโดยไม่ได้ให้เควสต่อ
ก่อนที่ชายหนุ่มจะเดินออกมาจากวิหาร เขาก็เห็นพาลาดินและเหล่านักบวชคนอื่นๆวิ่งเข้าอออกกันวุ่นวาย
เสี่ยวเฟิงมั่นใจเลยว่าจะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่ๆ กองทัพปีศาจเองก็สร้างเมืองขึ้นมาได้แล้ว นั่นหมายความว่ากำลังจะเกิดสงครามใหญ่ที่จะเปลี่ยนแปลงโลกของเกมแน่ๆ
เซิร์ฟเวอร์เองก็เปิดมานานแล้ว แต่ผู้เล่นส่วนใหญ่เองก็ยังมีเลเวลไม่ถึง 15 กันเลย
ผู้เล่นส่วนใหญ่เองก็ยังไม่มีอุปกรณ์มากมายนัก บางช่องยังว่างเปล่าอยู่เลย แม้แต่เสี่ยวเฟิงก็เช่นกัน
พวกของสวมใส่เสริมนั้นถือว่าหายากที่สุดแล้ว เพราะมันจะให้ค่าสเตตัสลับหรือแม้แต่สกิลพิเศษได้
ยิ่งไปกว่านั้นพวกผู้เล่นเองก็ยังมีเกราะไม่ครบเลยด้วยซ้ำ ในเกมนี้มีเกราะด้วยกัน 7 ส่วนนั่นก็คือ ส่วนหัว,ท่อนบน,เอว,สองมือ,ท่อนล่าง และเท้า มีน้อยคนนักในฮัวเซียที่จะมีเกิน 5 ชิ้น
ยกตัวอย่างนักรบที่มีพลังชีวิต 170 ตามปกติ และพลังโจมตีที่ 80
แม้แต่อุปกรณ์ระดับเทพเจ้าที่เลเวล 15 เองก็ยังค่าสเตตัสทั้งหลาย +10 นั่นหมายความว่าหนึ่งไอเทมสามารถเพิ่มความสามารถได้มากถึง 10 หรือ 20 เลยทีเดียว
มันจึงแทบจะเป็นปกติเลยที่จะได้เห็นผู้เล่นต่อสู้กันเองเพื่อแย่งชิงไอเทมสวมใส่เหล่านี้
ย้อนกลับไปตอนที่เสี่ยวเฟิงเก่งที่สุดในหมู่บ้านเริ่มต้น เขาสามารถฆ่าใครก็ได้ในเมืองนั้นเพื่อเอาไอเทมชิ้นอื่นๆ ไม่มีใครสามารถหยุดยั้งเขาได้แน่ๆ
แต่ตอนนี้ผู้เล่นคนอื่นต่างก็มีไอเทมที่ดีขึ้นมาบ้างแล้ว บางคนก็ดีกว่าเขาด้วยซ้ำ
มีความแตกต่างระหว่างไอเทมอยู่ ผู้เล่นที่เลเวล 100 ตัวเปล่าไม่สามารถสู้ชนะผู้เล่นที่ของเต็มตัวเลเวล 50 ได้หรอก
นี่คือเหตุผลว่าทำไมถึงมีเส้นแบ่งที่เลเวล 15 ให้เป็นโซนเร่งรีบ เพราะโซนนี้ดรอปไอเทมมากมาย
ดังนั้นการที่ผู้เล่นจะสามารถออกจากโลกของการเริ่มต้นได้นั่นก็หมายความว่าเขามีเลเวลเกิน 15 และมีอุปกรณ์เต็มตัวแล้วนั่นเอง
เวลานั้นไม่รอช้า และระบบเองก็ออกแบบมาให้เป็นแบบนั้นด้วย
เสี่ยวเฟิงเดินไปยังโซนผ่อนคลายของเมืองเตียนหลงที่มีร้านข้างทางมากมายตั้งแต่ ร้านอาหาร,ร้านน้ำชา ไปจนถึงบาร์ แถมยังมีผู้คนมากมายกว่าในโลกจริงอีกด้วย
ติงติงกับเสี่ยวเฟิงเดินเข้าไปในบาร์พวกเอลฟ์ ทั่วทั้งร้านเป็นการตกแต่งสไตล์เอลฟ์และNPCทุกคนก็เป็นเอลฟ์เช่นกัน แถมเครื่องดื่มเองก็รสชาติดีอีกด้วย
เขาเจอห้องลับที่ติงติงนั่งอยู่ ก่อนที่เขาจะเดินเข้ามาในนี้ดูเหมือนว่าติงติงจะพูดคุยอะไรบางอย่าง
“จิงจิง ฉันสัญญาเลยว่าเธอจะไม่ผิดหวัง เขาโคตรเก่งเลยนะ! อย่างที่ฉันบอกไปแล้วไงว่าเขาเป็นพระก็จริงแต่ก็เก่งมากๆเลย พลังฮีลของเขานั้นสูงกว่าพระทั่วไปสองถึงสามเท่าเลยนะ แถมยังสู้ได้ด้วย ไม่มีใครจะเทียบเขาได้อีกแล้วนะ!”
เสี่ยวเฟิงก็พอจะเดาได้อยู่บ้าง ก่อนที่จะส่ายหัวแล้วเดินเข้าไป
ห้องไม่ใหญ่มาก มันเหมือนกับบ้านต้นไม้มากกว่า ติงติงที่ถอดหน้ากากออกแล้วเธอก็นั่งพูดมากอยู่อย่างนั้น
ร่างผอมบางในชุดโทนดำนั่งอยู่ตรงข้ามเธอ ไนท์คูเออร์นั่นเอง
หรือจะให้เรียกว่าราชินีแห่งมหาวิทยาลัยเซีย สีเย่จิง
“ท่านเสี่ยวมาแล้ว! ขอแนะนำให้รู้จักจิงจิง…”
ติงติงกำลังจะลุกขึ้นแต่ไนท์คูเออร์ก็ห้ามไว้
“ไม่ต้องหรอก พวกเรารู้จักกัน” เธอมองไปยังเสี่ยวเฟิงด้วยความหงุดหงิด
เธอไม่เคยคิดมาก่อนในโลกนี้ว่า ติงติงจะพาหมอนี่มา
“อะไรนะ? รู้จักกันแล้วเหรอ?” ติงติงรู้สึกประหลาดใจ
“ทำไมจะไม่ล่ะ? เขาคือพระที่เก่งที่สุดเลยนะ”
ไนท์คูเออร์พูดพลางมองไปยังเสี่ยวเฟิงด้วยสายตาเหน็บแนม พร้อมกับหันไปบอกกับติงติงอย่างหงุดหงิด “ฉันบอกแล้วไงว่าให้เธอตามข่าวในฟอรั่มด้วย”
“ถ้ารู้จักก็ดีเลย งานน่าจะง่ายขึ้นเยอะ ท่านเสี่ยวสนใจจะเข้ากิลด์ของเราไหม? นายจะได้เป็นหัวหน้าหน่วยพระเลยนะ แถมจะได้เจอสาวๆในนั้นด้วยนายจะโคตรปังเลยนะ!”
ติงติงไม่สนใจอะไรทั้งนั้น กลับกันเธอชวนเสี่ยวเฟิงให้เข้าร่วมกิลด์ของเธอ มิดซัมเมอร์
นั่นคือกิลด์เดียวในฮัวเซีย หรืออาจจะกิลด์เดียวของทั้งเซิร์ฟเวอร์
ติงติงพูดอย่างรวดเร็ว “พวกเราตั้งแคมป์กิลด์กันเสร็จแล้ว และจะต้องมีชื่อเสียงมากๆแน่ นายไม่ผิดหวังแน่นอน”
“โอ้? แคมป์จะเสร็จแล้วเหรอ? ที่ไหนล่ะ?” เสี่ยวเฟิงถามด้วยความสงสัย
“ถามทำไมล่ะ?” ไนท์คูเออร์ระแวงสุดๆ เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะได้เผชิญหน้ากันแบบนี้
ซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้น ถ้าหมอนี่จะก่อเรื่องล่ะก็ไม่มีใครหยุดเขาได้แน่
“ไม่หรอก แค่ถามเฉยๆ”
เสี่ยวเฟิงส่ายหัว ไม่สำคัญหรอกว่าเขาจะรู้ที่ตั้งไปทำไม เพราะคำตอบก็มีอยู่แล้ว ทันทีที่กิลด์ถูกตั้งขึ้นมามอนสเตอร์มากมายจะต้องไปรุมทึ้งที่นั่น
เขาไม่อยากจะไปป่วนขั้นตอนการก่อสร้างหรอก เขาแค่หวังว่ามันจะเสร็จสิ้นโดยเร็วก็พอ
ทุกอย่างจะต้องกลายเป็นฝุ่นแน่ๆ หากพวกเธอไม่อาจตั้งรับมอนสเตอร์ได้
ซึ่งดูแล้วก็น่าจะใช้เวลาไม่นานนัก น่าจะราวๆ 1 – 2 วันเห็นจะได้
“นายต้องการอะไร? จะมาป่วนกิลด์เราล่ะสิ?”
ไนท์คูเออร์จ้องหน้าเสี่ยวเฟิง เซ้นส์ลูกผู้หญิงของเธอบอกมาว่าชายคนนี้อันตรายเกินไป
นั่นคือสิ่งที่เธอได้เรียนรู้มาจากวิชาศิลปะการต่อสู้
“ไม่มีอะไรหรอก”
เสี่ยวเฟิงส่ายหัว เขาไม่ได้ต้องการอะไรหรือแม้แต่จะตามล่าโรสด้วยซ้ำ เพราะเขามีเป้าหมายคือกลุ่มมิดซัมเมอร์เท่านั้น
แต่ตอนนี้โรสเองก็เป็นประธานกลุ่มมิดซัมเมอร์ เธอได้ก้าวขาเข้ามาในที่ที่ไม่ควรจะเข้าที่สุดและกลับออกไปไม่ได้ด้วย เธอคนนั้นมั่นใจเลยว่าเสี่ยวเฟิงจะไม่เป็นปัญหากับเธอ
“นาย…”
ไนท์คูเออร์กำลังจะพูดแต่ก็มีโทรศัพท์มาคั่นไว้ก่อน เธอจ้องไปที่เสี่ยวเฟิงแล้วรับสาย เสียงที่ตามมานั้นเบามากแต่ฟังดูแล้วน่าจะเป็นโรส
“ฉันไปก่อนล่ะ แล้วเจอกัน!”
จากนั้นไนท์คูเออร์ก็วางสายแล้วก็รีบเดินจากไป เธอจ้องเสี่ยวเฟิงก่อนที่จะลากติงติงออกไปด้วย ดูเหมือนว่าโรสจะเจอปัญหาใหญ่แล้วพวกเธอต้องไปช่วย
“ไปกันเถอะติงติง ฉันไม่อยากคุยกับหมอนี่เท่าไหร่หรอก”
“เอ๋? ไม่ใช่ว่ารู้จักกันเหรอ?”
“ฉันรู้ ฉันรู้ดีกว่าใครเลย! หมอนี่มันร้ายกาจมาก! จำได้ไหมว่าครั้งสุดท้ายที่ฉันบอกเธอ…”
ทั้งสองเดินออกไปจากร้านนี้ เสี่ยวเฟิงไม่สนใจในคำพูดของไนท์คูเออร์อยู่แล้ว แถมนี่ก็ดึกมาแล้วเขาก็ต้องออกจากเกมไป เขาเริ่มคิดได้แล้วต้องไปพูดคุยกับน้องสาวที่เขาห่างเหินมานานในช่วงไม่กี่วันมานี้บ้างซะแล้ว
135
“ขอต้อนรับสู่ชาแนลเกม มิท อย่างเป็นทางการนะครับ ในวันนี้พวกเราจะขอพูดถึงเหตุการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นในโลกของเกมในช่วงที่ผ่านมาเลยก็แล้วกันครับ”
เมื่อเสี่ยวเฟิงเปิดประตูออกมา เขาก็เห็นเสี่ยวหลิงนอนอยู่บนโซฟาและดูทีวีไปด้วย เธอนั่งกอดเข่าตัวเองพร้อมจ้องมองภาพด้วยสายตาเหงาหงอย
เสี่ยวหลิงได้ยินพี่ชายของเธอเปิดประตูออกมา เธอรีบหันไปมองก่อนที่จะหันกลับมาอย่างเย่อหยิ่ง “หึ!”
“เสี่ยวหลิง จะกินอะไรไหม? พี่จะเลี้ยงเธอเองวันนี้” เสี่ยวเฟิงล้างมือและไปยังห้องครัว เขายุ่งมากจนแทบไม่มีเวลากินข้าวกับน้องสาวตัวเอง
ชายหนุ่มรู้สึกผิดในใจ เพราะว่าเสี่ยวหลิงเองก็ร่างกายอ่อนแออยู่แล้วด้วย และต้องการสารอาหารมากกว่านี้
“อะไรก็ได้”
แววเสียงเศร้าสร้อยดังมาจากโซฟา เธอเมินพี่ชายเหมือนอย่างเคย
เสี่ยวเฟิงส่ายหัวและไม่ใส่ใจซักเท่าไหร่ เขาหยิบปลาแช่แข็งออกมาจากตู้เย็นที่เขาซื้อมาเมื่อวันก่อน ถึงจะดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่แต่ก็ยังมีสารอาหารที่เพียงพอ
เสี่ยวหลิงกินอาหารเผ็ดๆไม่ได้เพราะเธอร่างกายอ่อนแอแถมยังทำให้สิวขึ้นอีก ชายหนุ่มต้มปลาพวกนั้นด้วยวิธีพิเศษ จากนั้นไม่นานนักกลิ่นหอมๆก็โชยมาจากปลาตัวนี้
ปลาต้ม,หมูผัดเปรี้ยวหวาน และมะเขือเทศผัดไข่ มีเพียงสามจานเท่านั้นแต่ก็มีปริมาณที่เยอะมาก ซึ่งเยอะสำหรับสองคนมาก ในตู้เย็นมีวัตถุดิบน้อยมากและมันก็ดึกมาแล้ว ไม่งั้นเสี่ยวเฟิงก็ต้องออกไปซื้อของเอง
“อาหารเสร็จแล้วนะ เสี่ยวหลิง”
เสี่ยวเฟิงเรียกเธอในขณะที่จัดโต๊ะไปด้วย และพบว่าเธอยังนอนอยู่ที่โซฟาอยู่เลย เขามั่นใจว่าเสี่ยวหลิงไม่น่าจะทนทานในอาหารที่เขาทำได้แน่
เขาเดินไปที่ห้องและเห็นเสี่ยวหลิงที่กำลังจ้องมองไปยังทีวีด้วยความตั้งใจ
ชายหนุ่มเองก็มองทีวีอย่างช่วยไม่ได้ และเขาก็ต้องตะลึงเมื่อเห็นว่าบนจอนั่นมีเขากำลังเล่นไลฟ์สตรีมเกมอยู่
“ตาทึ่ม นั่นนายใช่ไหม?”
แล้วเสี่ยวหลิงก็หันมาบอกเขาด้วยสีหน้าไม่เชื่อใจสุดๆ ไม่ว่าเธอจะเทียบเขากับใครในทีวีก็มีแต่รูปของเสี่ยวเฟิงเต็มไปหมด
“ทำไม ทำไมนายถึงโด่งดังแบบนี้ล่ะ? นายได้อันดับ 1 ของทุกคนเลยนะ!” เสี่ยวหลิงเบิกตากว้าง
“แน่นอน ก็ฉันเป็นพี่เธอนี่!” นี่เป็นโอกาสดีที่เสี่ยวเฟิงจะได้อวดภูมิแบบนี้ เสี่ยวหลิงเองก็เป็นเกมเมอร์ตัวยงเหมือนกัน ดังนั้นเธออาจจะมองเขาในแง่ที่ดีขึ้นก็ได้
“ถ้างั้นอะไรสำคัญกว่ากันล่ะ? ระหว่าง ฉัน กับ เกม?” ทันใดนั้นเสี่ยวหลิงก็ถามเขาด้วยน้ำเสียงจริงจัง
พี่ชายงี่เง่าที่ไม่ยอมทำอาหารซักมื้อให้เธอกินมาหลายวัน นี่มันเกินไปแล้ว!
“แน่นอนว่า… เธออยู่แล้ว”
เสี่ยวเฟิงตะลึง ก่อนที่จะเกาจมูกตัวเองด้วยความเขิน
แต่แล้วก็มีเสียงเคาะประตูมาช่วยชีวิตเขาไว้
“ใครน่ะ?”
น้อยคนนักที่จะแวะเวียนผ่านที่นี่ เสี่ยวเฟิงไม่รู้จักใครมากนักในประเทศนี้ เสี่ยวหลิงอาจจะมีครอบครัวอยู่ก็จริงแต่แม่เลี้ยงของเธอก็ไม่อยากจะให้เธอกลับไปอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีทางเป็นแม่เลี้ยงของเธอแน่
“สารเลวเอ้ย! ทำอะไรอยู่? เปิดประตูเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
วินาที่ต่อมาเสียงอันฉุนเฉียวของสีเย่จิงก็ดังเข้ามา
เธอเสียงดังจนเสี่ยวเฟิงไม่มีทางเลือกและต้องเดินไปเปิดประตูให้ ไม่งั้นจะเป็นการรบกวนเพื่อนบ้านซะเปล่าๆ
“แม่งเอ้ย!”
สีเย่จิงเดินเข้ามาแล้วโยนกระเป๋าใส่เสี่ยวเฟิงพร้อมกับเตะด้วยขาอันแสนยาว เธอคนนั้นช่างดูสวยและเย่อหยิ่งในเสื้อเชิ้ตและกางเกงขาสั้น
“เดี๋ยว! ข้าวเย็นฉันยังอยู่บนโต๊ะ อย่าทำมันหกนะ!”
เสี่ยวเฟิงถอยหลังกลับมาและจับกระเป๋าใบเล็กสีชมพูนั่นไว้และป้องกันลูกเตะของสีเย่จิง
สีเย่จิงหยุดทันทีที่ได้กลิ่นหอมโชยมาจากในบ้าน เธอยิ้มออกมาอย่างงดงามและเปลี่ยนมุมมองที่เธอมีต่อเสี่ยวเฟิงทันที
ชายหนุ่มพูดไม่ออก เสี่ยวหลิงแอบยื่นหน้าออกมาดูแล้วจ้องสีเย่จิงด้วยสีหน้าหวั่นเกรง
“ทำไมเธอถึงมาที่นี่อีก? ฉันบอกไปแล้วไม่ใช่รึไงว่าเกลียดจนห้ามเธอโผล่มาที่นี่อีก”
“แต่ฉันชอบเธอนะเสี่ยวหลิง! เพราะงั้นก็เลยจะมาเชื่อมสัมพันธ์ฉันและเธอยังไงล่ะ” สีเย่จิงไม่สนใจท่าทีของเสี่ยวหลิงพร้อมกับหันไปมองที่ชายหนุ่ม
“ไปหาตะเกียบมาให้ฉันสิ! ทำไมถึงได้โง่แบบนี้นะ? ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมนายยังโสด”
เสี่ยวเฟิงอดกลั้นความหงุดหงิดเอาไว้ และต้องไปหยิบตะเกียบมาให้เธออย่างไม่มีทางเลือก โชคยังดีที่เขาเตรียมอาหารเอาไว้เพียงพอสำหรับสามคน
“เสี่ยวหลิงมากินข้าวกันเถอะ! เธอยังเด็กอยู่และต้องกินเยอะๆเพื่อโตไวๆนะ” สีเย่จิงยิ้มด้วยความนอบน้อมและยังไม่กินก่อน พร้อมทั้งเรียกเสี่ยวหลิงให้มาที่นี่
เพราะว่าครอบครัวที่ดีของเธอเลี้ยงให้เติบโตมาเป็นคนที่มีคุณภาพแบบนี้ อย่างน้อยก็ยังมีเรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหารอยู่บ้าง ในฐานะแขกเธอคงไม่อาจเริ่มกินก่อนเจ้าบ้านได้
แน่นอนว่าสำหรับตระกูลใหญ่แล้วเรื่องมารยาทและหน้าตาในสังคมคือที่สุด มันจึงเป็นเรื่องที่เข้มงวดในบ้านของเธอ
สีเย่จิงเกิดในตระกูลชนชั้นสูง เสี่ยวเฟิงเดาว่าบ้านของเธอน่าจะเป็นตระกูลเกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้เก่าแก่ ซึ่งทำให้เธอต้องอยู่ในกฎระเบียบที่มั่นคง
“หน้าด้านที่สุด!” เสี่ยวหลิงไม่อยากจะกินข้าวร่วมกันกับสีเย่จิง เธอเดินไปที่โต๊ะอาหารด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง “แต่คนหน้าด้านบางคนกินไปเท่าไหร่ก็ไม่โตหรอกนะ”
“ดังนั้นเสี่ยวหลิงเธอควรจะสูงให้ได้กว่า 1.7 เมตรนะ สูงกว่าพวกผู้ชายได้ก็ดี” สีเย่จิงยังคงจิกกัดเขาอยู่ เธอดูภูมิใจในความสูงของตัวเองมาก ขาของเธอสูงกว่าครึ่งนึงของตัวเธอเสียอีก
“จริงอ่ะ? แล้วทำไมหน้าอกเธอถึงได้แบนแบบนั้นล่ะ? ราบเรียบยังกับไม่มีอะไรเลย” เสี่ยวหลิงโคตรจะหมิ่นความแบนราบของหน้าอกสีเย่จิง
เธอคนนี้สูงก็จริง ใบหน้าก็งามพอสมควรด้วย
ทว่า เธอกลับไม่มีหน้าอกหน้าใจมากนัก
เสี่ยวเฟิงสัมผัสได้ถึงความจุกอกของสีเย่จิงอย่างบอกไม่ถูก สาวร่างสูงพูดต่อ “นั่นคือเหตุผลว่าทำไมฉันต้องกินเยอะๆไง”
“เฮ้! นั่นปลาฉันนะ!”
และแล้วสงครามแย่งอาหารที่คุ้นเคยก็เกิดขึ้นอีกครั้ง เสี่ยวเฟิงนั่งเงียบเอาไว้แล้วกินคนเดียวเงียบๆ เขาแปลกใจว่าทำไมสีเย่จิงถึงได้มาที่นี่บ่อยนัก แถมยังมาได้ถูกช่วงที่เขากำลังจะกินข้าวพอดีอีก
“แค่ก…”
ทันใดนั้นเสี่ยวหลิงก็ไอออกมาอย่างผิดปกติ เธอยกมือขึ้นปิดปากพร้อมใบหน้าที่แดงขึ้น
“เป็นอะไรไปเสี่ยวหลิง?”
เสี่ยวเฟิงทิ้งจานของเขาแล้วรีบวิ่งเข้าไปหาเสี่ยวหลิงด้วยความรวดเร็วพร้อมสีหน้าเป็นกังวล
“เธอกินเร็วไป ก้างอาจจะติดคอก็ได้ ให้ฉันดูเอง”
สีเย่จิงรีบเข้ามาช่วยดู
“ไปไกลๆเลย” เสี่ยวเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
สีเย่จิงตะลึงแล้วหยุดลง หัวใจของเธอแทบจะหยุดเต้นไปชั่วขณะที่ได้ยินคำพูดนั้น เธอมองไปยังเสี่ยวเฟิงด้วยความรู้สึกประหลาด
ก้างปลาติดคอเสี่ยวหลิง มันแหลมและแทงเข้าในลำคอของเธอจนต้องไอเป็นเลือดออกมา
“อ้าปากสิ ฉันจะดูให้”
เสี่ยวเฟิงเช็ดน้ำตาที่ขอบตาเธอแล้วถามอย่างอ่อนโยน จากนั้นก็ยกคางเธอขึ้น
มันเจ็บเกินกว่าที่เด็กสาวจะพูดได้ แต่เธอก็ยังอ้าปากได้อยู่เล็กน้อย
ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกนอกจากต้องจับคางเธอไว้ด้วยมือข้างนึงแล้วใช้มืออีกข้างเปิดปากของเธอ
ฟันของเธอดูเล็กและขาวสว่าง จากนั้นเขาก็มองเข้าไปในลำคอของเธอ
ปากของเสี่ยวหลิงเล็กมากจนเสี่ยวเฟิงไม่อาจใช้นิ้วเข้าไปข้างในได้สองนิ้ว
ข้างในนั้นช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก มันเต็มไปด้วยเนื้อเยื่ออันแสนนุ่มนิ่มและชอุ่มไปด้วยน้ำ เสี่ยวเฟิงพยายามจะหาก้างปลาในนั้นจนนิ้วของเขาสัมผัสได้ถึงความนุ่มนิ่มและวิเศษของลิ้นเสี่ยวหลิง
ชายหนุ่มสะดุ้งแล้วไซร้ไปตามลิ้นเพื่อหาตำแหน่งของก้างปลาทั่วทั้งปากแต่ก็ไม่พบ
“อดทนไว้นะเสี่ยวหลิง”
ชายหนุ่มพยายามใช้นิ้วของเขาล้วงหาก้างปลาในนั้น พร้อมกันนั้นเสี่ยวหลิงก็น้ำตาไหลออกมา
เสี่ยวเฟิงต้องทำต่อไปและถอยกลับไม่ได้แล้ว เขาพยายามล้วงลึกลงไปในลำคอน้องสาวตัวเอง และเสี่ยวหลิงก็เริ่มรู้สึกกระอักกระอวนมากขึ้นเรื่อยๆ เขาเริ่มรู้สึกประหลาดมากขึ้น
“แค่ก! แค่ก! นี่นายจะฆ่าฉันรึไง?”
เสี่ยวหลิงหยุดไอไม่ได้ ก่อนที่จะทุบตีเสี่ยวเฟิงด้วยความไม่พอใจ
เสี่ยวเฟิงเอาก้างปลาออกมาได้แล้ว มันแหลมและยาวมากพร้อมกับมีเลือดของเสี่ยวหลิงติดอยู่ เขารีบเอามันไปทิ้งทันที
“บอกมาซิ ว่าเธอมาที่นี่ทำไม?”
เสี่ยวเฟิงจ้องไปที่สีเย่จิงที่ยืนอยู่ข้างๆด้วยความไม่พอใจ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอที่แย่งปลาเสี่ยวหลิง น้องสาวของเขาก็คงจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้
สีเย่จิงแทบจะเป็นลมที่ได้ยินแบบนั้น สมองของเธอขาวโพลนไปหมดและเริ่มรู้สึกขึ้นมาในอก แล้วเธอก็หมุนตัวเดินกลับออกไปจากอพาร์ทเมนต์แล้วปิดประตูอย่างรุนแรง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น