Dawn of a new era รุ่งอรุณแห่งยุคใหม่ 61-84

 61

ตอนนี้เฉินโจวอี้คิดถึงน้องสาวขึ้นมาในทันที ในใจของเขาเริ่มรู้สึกเป็นกังวลโดยไม่รู้ตัว


อายุช่วง 15-16 นี่มันช่วงอายุของน้องสาวเขานี่นา


ขณะที่เขากำลังจะรีบกลับบ้านไปดูน้องสาวนั้น รถเก๋งสีดำสองคำขับเข้ามาจอดบริเวณฝูงชนอย่างรวดเร็ว


เสียงยางรถเสียดสีกันดังขึ้น


จากนั้นเสียงกระแทกปิดประตูรถดังขึ้นติดต่อกัน


ชายแปดคนสวมชุดสูทสีดำเดินลงมาจากประตูรถแต่ละฝั่งของตัวเอง


” หลีก หลีก! หลีกทางให้หมด ไม่ต้องล้อมที่นี่แล้ว! “


ทั้งแปดคนนี้มีสีหน้าไร้อารมณ์ ลักษณะดูแข็งแกร่ง ก้าวเดินอย่างรวดเร็วดูน่าเกรงขาม ทำให้บรรดาฝูงชนเพียงแค่เห็นก็เกิดความกลัว พอพวกเขาเห็นจึงไม่มีใครกล้ายั่วยุ


ฝูงชนรีบแหวกทางเดินให้พวกเขา


หลังจากที่พวกเขาเดินผ่านไปแล้ว พวกเขาไม่ลังเลเลยที่จะข้ามเส้นแนวกั้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจไป ตำรวจหนุ่มคนหนึ่งดูเหมือนเตรียมจะเดินไปหยุดพวกเขา แต่ถูกตำรวจอายุมากคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างห้ามไว้ ก่อนจะเอ่ยเตือน ” อย่าหาเรื่องใส่ตัวจะดีกว่า พวกเขาเป็นคนของฝั่งนั้น “


ตำรวจหนุ่มคนนั้นเปลี่ยนสีหน้าทันที แววตาของเขาเกิดความเคารพยำเกรง


” พวกเราคือแผนกสืบสวนพิเศษ ที่นี่ให้พวกเรารับช่วงต่อเอง ” ชายสวมสูทดำคนหนึ่งที่เดินนำมาหยิบเอกสารแสดงตนจากกระเป๋าตรงหน้าอกออกมาแกว่งไปมา ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่แยแส


เขาอายุประมาณ 30-40 ปี รูปร่างสูงใหญ่ หน้ารูปเหลี่ยมดูจริงจัง ให้ความรู้สึกชอบธรรมน่ายำเกรงต่อผู้คน


ในไม่ช้าตำรวจวัยกลางคนคนหนึ่งที่ดูเหมือนหัวหน้าเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทั้งสองคนจับมือกัน ” ได้ยินชื่อเสียงของผู้บังคับบัญชาเซี่ยมานานแล้ว ชื่อเสียงของท่านมีมาอย่างยาวนาน “


” รองผู้บัญชาการเติ้งสุภาพเกินไปแล้ว ถ้าให้เทียบกับผู้บังคับบัญชาเซี่ย ผมชอบให้คุณเรียกผมว่าผู้บัญชาการเซี่ยมากกว่า ” ชายสวมสูทดำรีบชักมือกลับ ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ


ตำรวจวัยกลางคนไม่เปลี่ยนสีหน้า เขาเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มอย่างไม่สนใจ พูดจาลื่นไหลราวสายน้ำ ” ผู้บัญชาการเซี่ยมีอะไรให้ช่วยไหมครับ? “


” ช่วยงั้นหรอ? ไม่ล่ะเรื่องนี้อันตรายมาก พวกคุณกลับไปได้แล้ว “


….


เฉินโจวอี้ดูเหตุการณ์ไปสักพัก แล้วหมุนตัวเดินออกไป


ในตอนนี้เองชายสวมสูทที่เป็นผู้นำ จู่ๆ ก็มองไปยังเงาของเด็กหนุ่มที่เดินออกไป พลางขมวดคิ้วขึ้น


” มีอะไรหรือเปล่าครับ ผู้บัญชาการ! “


” ไม่มีอะไร พวกเราเข้าไปกันเถอะ! ” เขาดึงสติกลับมา สีหน้าไร้ซึ่งรอยยิ้ม ดูเหมือนตัวเขาเองจะกังวลมากเกินไป แค่เด็กวัยรุ่นคนเดียวจะสามารถทำให้เขารู้สึกเป็นอันตรายได้อย่างไร


….


ระหว่างทางกลับบ้าน เฉินโจวอี้ค่อนข้างเป็นกังวลในใจ


การรุกรานของโลกที่แตกต่าง จะหมายถึงการที่บรรดาสาขาของเหล่าวิญญาณเทพจะแผ่ขยายมายังที่แห่งนี้หรือเปล่านะ!


มนุษย์ตกอยู่ในอันตรายแล้ว!


ที่ผ่านมาทั้งสองโลกสามารถรักษาความสงบมาได้เกือบยี่สิบปี


แต่ไม่ใช่ว่าทั้งสองโลกจะรักสันติ


ดูจากประวัติศาสตร์ทางอารยธรรมของมนุษย์ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แล้ว แต่ไหนแต่ไรมนุษย์ไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่รักสันติ สงครามดูเหมือนจะกลายเป็นประเด็นที่คงอยู่ตลอดกาล


และสำหรับเหล่าทวยเทพแห่งโลกที่แตกต่างที่แสวงหาความศรัทธาอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนั้น พวกเขาไม่ใช่สัตว์กินมังสวิรัติผู้แสนจะอ่อนโยนแน่นอน


เหตุที่ทั้งสองโลกสามารถรักษาความสงบมาได้อย่างยาวนานนั้น เป็นเพราะข้อจำกัดของสภาพแวดล้อมของแต่ละโลก ไม่ว่าฝ่ายไหนจะเข้าสู่โลกอีกฝั่ง ต่างก็ถูกจำกัดอย่างรุนแรง


ต่อให้มันแข็งแกร่งราวเทพเจ้าแต่เมื่อเข้าสู่โลกมนุษย์แล้ว พลังเทพจะแหลกสลายไปในทันที ความสามารถเหนือธรรมชาติจะเลือนหายไป อย่างมากที่สุดก็กลายเป็นสิ่งมีชีวิตธรรมดาที่มีร่างกายแข็งแรงกำยำ พอเผชิญหน้ากับอาวุธของมนุษย์ที่มีอำนาจทำลายล้างสูง จึงไม่สามารถต่อกรได้แม้แต่น้อย


แต่ข้อจำกัดของมนุษย์มีมากกว่าบรรดาอาวุธเกือบทั้งหมด พอเข้าไปในโลกที่แตกต่างจะกลายเป็นกองเศษเหล็กทันที


ที่พูดว่าเกือบทั้งหมดในที่นี้ เป็นเพราะยังมีอาวุธอีกหนึ่งชนิดที่ยังคงสามารถใช้ได้


นั่นคืออาวุธนิวเคลียร์


อาวุธชนิดนี้เป็นอาวุธที่ทรงพลังที่สุดของมนุษยชาติที่อาศัยการฟิชชั่นและการฟิวชั่นของอะตอม มันจึงไม่ได้รับผลกระทบจากสนามพลังลึกลับของโลกที่แตกต่าง


ซึ่งเป็นอาวุธเดียวที่มนุษย์สามารถใช้ต่อกรกับโลกที่แตกต่างได้เลย


อย่างไรก็ตามเนื่องจากข้อจำกัดในการส่งมอบ ทำให้บทบาทของอาวุธชนิดนี้ลดลงไปอย่างมาก


ในช่วงหลายปีมานี้ ศิลปะการต่อสู้ของมนุษย์พัฒนาก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว แต่ผู้ที่สามารถกลายเป็นชาวยุทธได้ยังคงมีอยู่น้อยนิด


อย่างในกรณีของเมืองตงหนิงซึ่งเป็นเมืองที่มีประชากรเกือบหนึ่งล้านคน บรรดาชาวยุทธทั้งหมดคาดว่าไม่น่าจะเกินสิบคน


ส่วนชาวยุทธที่ยิ่งใหญ่นี่ไม่ต้องพูดถึง ไม่มีเลยสักคน


ยิ่งไปกว่านั้นต่อให้เป็นชาวยุทธผู้ยิ่งใหญ่ ยังทำได้แค่สำรวจโลกที่แตกต่างอย่างระมัดระวัง เพราะถ้าประมาทขึ้นมาอาจเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้นได้


ถ้าหากว่าโลกมนุษย์และโลกที่แตกต่างผสานรวมกันอย่างสมบูรณ์ เกรงว่าความสงบสุขอันเปราะบางนี้จะถูกทำลายในทันที


พอถึงตอนนั้น มนุษย์จะมีอำนาจต่อกรได้ขนาดไหนกัน?


อีกอย่างจะมีสักกี่คนที่จะสามารถยืนหยัดได้อย่างมั่นคงเมื่อเผชิญหน้ากับการล่อลวงของเทพเจ้าแห่งโลกที่แตกต่าง


ความเป็นความตายของมนุษย์เกิดความน่าหวาดกลัวขึ้นแล้ว


ความตายของมนุษย์รวมถึงความกลัวต่อความตายเป็นความกลัวพื้นฐานที่สุดของทุกชีวิต


ต่อให้เป็นเทพเจ้าจอมของปลอมก็ยังมีคนมากมายนับไม่ถ้วนศรัทธาในตัวมัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเทพเจ้าในโลกที่แตกต่างของจริงพวกนั้นเลย


….


หลายวันมานี้เนื่องจากตลาดทางการเกษตรเริ่มมีกำลังผลิตที่มั่นคงยิ่งขึ้น วันนี้ร้านอาหารที่บ้านของเขาจึงกลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง


พอเฉินโจวอี้กลับมาถึงบ้าน หลังจากที่เขาหลีกเลี่ยงการบ่นของแม่เขาอย่างยากลำบากแล้ว จึงรีบถามหาถึงน้องสาวทันที


จนกระทั่งแม่ของเขาพูดขึ้นมาว่าน้องสาวพึ่งกลับมาถึงบ้าน เขาจึงจะโล่งใจ


ยังดีที่น้องสาวไม่เป็นอันตราย


หลังจากที่เขาเดินขึ้นไปบนบ้านแล้ว ก็เห็นเฉินซิงเยว่ที่มีใบหน้านิ่งเงียบกำลังถือดาบอัลลอยฝึกซ้อมอยู่ในห้องนั่งเล่น ขนาดเขาเข้ามา เธอยังไม่สังเกตเห็นเลย


อาจเป็นเพราะเรื่องราวที่เกิดขึ้นในบริเวณใกล้เคียงนี้ ทำให้เธอกดดันเป็นอย่างมาก


เฉินโจวอี้มองไปสักพัก ขณะที่กำลังจะเตรียมกลับห้องนอนเอากระเป๋าเอกสารไปวางนั้น


ตอนนี้เอง จู่ๆ เฉินซิงเยว่ก็แทงดาบมาทางแขนของเขา


เฉินโจวอี้ขยับร่างกายไปอีกด้านตามจิตใต้สำนึก จึงสามารถหลบหลีกดาบได้อย่างง่ายดาย


” อะไรเนี่ย เป็นบ้าหรือไงห๊ะ! “


ด้วยความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา แค่ชาวยุทธฝึกหัดอย่างน้องสาวเขานี้ ไม่ครณามือเขาหรอก ต่อให้เขาวอกแวกอยู่ ยังไงก็ยังหลบได้อย่างสบายๆ


เฉินซิงเยว่ไม่ได้พูดอะไร เธอยังคงฟาดดาบมาด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก


ยังไม่ยอมหยุดใช่ไหม!


เฉินโจวอี้เริ่มรำคาญ ถ้าเขาไม่หลบล่ะก็ คงได้รับบาดเจ็บอยู่ไม่น้อย เสื้อผ้าคงถูกดาบคมตัดขาดไปแล้ว


มือของเขาพุ่งไปจับสันดาบอัลลอยอย่างรวดเร็วราวกับเงา จากนั้นสะบัดเล็กน้อย แล้วออกแรงดึงดาบมา


วินาทีต่อมา ดาบอัลลอยในมือของเฉินซิงเยว่ได้ตกมาอยู่ในมือของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ” เฮ้ย! เกิดบ้าอะไรขึ้นมาเนี่ย! “


” ฮื้อ! ” ทันใดนั้นอารมณ์ของเฉินซิงเยว่พังทลายลงในทันที เธอร้องไห้เสียงดังออกมา


เขาชะงักไป ตั้งแต่ขึ้นมัธยมต้นมา เฉินโจวอี้ยังไม่เคยเห็นน้องสาวร้องไห้อีกเลย แถมยังร้องไห้หนักขนาดนี้ ร้องได้บ้าคลั่งอะไรเช่นนี้เนี่ย!


ทันใดนั้นเขาก็สังเกตได้ว่าน่าจะมีเรื่องเกิดขึ้น


” ซิงเยว่ เป็นอะไรไป? เกิดอะไรขึ้น? “


เฉินซิงเยว่ร้องไห้ถึงครึ่งนาทีเต็มๆ ถึงจะพูดอย่างสะอึกสะอื้นว่า ” พี่…..ฮึกๆๆ จางเชี่ยนหรูกับลู่ชูเยวียนตายแล้ว! “


เฉินโจวอี้ตกตะลึง!


สองคนนี้เป็นเพื่อนแท้ของเฉินซิงเยว่ ตอนแรกที่เฉินซิงเยว่ไปทดสอบชาวยุทธฝึกหัด เขายังเคยเจอพวกเธอเลย แต่คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเธอจะตายแล้ว


เขาถามขึ้นอย่างเหลือเชื่อว่า ” ตายได้ไง? “


” ถะ…..ถูกพวกนับถือลัทธินอกรีตฆ่าตาย “


จู่ๆ เฉินโจวอี้ก็นึกถึงบรรดาศพทั้งหลายที่ตำรวจหามไปในทันที จนเขารู้สึกหวาดกลัว


แต่ในไม่ช้าเขาก็นึกได้ว่าเรื่องนี้เพิ่งจะเกิดขึ้นได้ไม่นาน ตอนที่เขามาตำรวจเพิ่งไปถึงที่เกิดเหตุได้ไม่นานนี่นา


เขารีบถามต่อ ” เธอรู้เรื่องนี้ได้ยังไง? “


” ตะ…..ตอนเช้า พะ…..พวกเธอมาหาฉันที่บ้านเพื่อมาชวนไปเดินเล่น สุดท้ายพวกเราพบคนแจกใบปลิวบนถนน เขาบอกว่าบริษัทเครื่องสำอางแห่งหนึ่งกำลังจะปิดกิจการในเร็วๆ นี้ เครื่องสำอางทั้งหมดจะถูกนำมาขายในราคาต่ำ พวกเราไม่ได้สงสัยอะไร ดะ…..ดังนั้นพวกเราจึงลองไปดู ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น ใบหน้าซีดเซียว


หลังจากฟังคำพูดสะอึกสะอื้นของน้องสาวเฉินโจวอี้ก็เข้าใจในที่สุด


พอทั้งสามคนไปถึงที่นั้น ก็ถูกควบคุมตัวไว้ทันที เฉินซิงเยว่ไม่ได้ต่อต้าน


จากที่น้องสาวอธิบาย ภายในนั้นนอกจากบรรดาเด็กสาวยี่สิบกว่าคนที่ถูกหลอกมาแล้ว ยังมีพวกนับถือลัทธินอกรีตอีกหลายสิบคน ทุกคนต่างสวมเสื้อคลุมสีดำลึกลับ ไม่สามารถมองเห็นรูปร่างหน้าตาที่แท้จริงได้


อีกอย่างคนเหล่านี้ทรงพลังมาก มีแม้กระทั้งชาวยุทธจริงๆ อยู่ในนั้น


เฉินโจวอี้คิดหนักในทันที เดิมทีเขานึกว่ามีแต่พวกคนธรรมดา มากสุดคงมีแค่ชาวยุทธฝึกหัด แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีพวกชาวยุทธเข้าร่วมด้วย เขาจึงรีบถามเธอต่อทันที


” แล้วเธอหนีออกมาได้ยังไง? “


” ตะ…..ตอนที่กำลังทำพิธีกรรมอยู่ ตำแหน่งที่ฉันยืน…..อยู่ใกล้หน้าต่าง ฉันอาศัยตอนที่พวกมันไม่สนใจ ใจกล้าทุบกระจกจนแตกแล้วกระโดดลงมา ดะ…..ดีที่ตึกไม่สูง ที่ล่างตึกมีผ้าใบบังแดดของร้านอยู่ จึงไม่ตกลงไปตาย “


ตอนที่พูดถึงพิธีกรรม สีหน้าเธอเต็มไปด้วยความหวาดกลัว ตัวของเธอสั่นเทา


” แต่…..เชี่ยนหรูกับชูเยวียนไม่ได้ออกมา หลังจากที่ฉันออกมาได้แล้วจึงรีบไปแจ้งตำรวจ แต่มันสายเกินไปแล้ว “


เฉินโจวอี้ฟังอยู่ครู่หนึ่งแล้วเกิดความกลัว เมื่อมองดูใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวและความรู้สึกผิดของเฉินซิงเยว่ ในใจของเขาเกิดไฟแห่งความโกรธแค้นทันที


ตอนที่ 62 วิกฤติ


ถึงแม้ตั้งแต่เด็กจนโต ความสัมพันธ์ของเขากับน้องสาวจะไม่ค่อยดีสักเท่าไร แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร สุดท้ายน้องสาวเป็นหนึ่งในคนใกล้ชิดที่เขาสนิทที่สุด


ในเมื่อตอนนี้มีคนกล้าลงมือกับน้องสาวของเขา เขาจะทนนิ่งดูดายได้อย่างไร


เฉินโจวอี้พยายามระงับไฟแค้นไว้ในใจ เขาคิดหาวิธีรับมืออย่างใจเย็น จากนั้นจึงรีบพูดขึ้นว่า


” รูปร่างหน้าตาของเธอถูกเปิดเผยแล้ว และเธอเป็นพยานเพียงหนึ่งเดียวที่ยังรอดชีวิตอยู่ด้วย คนบางส่วนในพวกนับถือลัทธินอกรีตน่าจะเป็นพวกคนมีอำนาจตำแหน่งสูงในเมืองตงหนิง พวกเขาจะต้องตามหาตัวเธออย่างแน่นอน ช่วงนี้ทางที่ดีที่สุดไม่ต้องออกไปไหน! “


ในเวลานี้เฉินโจวอี้นึกอะไรบางอย่างออก สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปแล้วรีบถามน้องสาว


” ใช่แล้ว ตอนที่เธอไปแจ้งตำรวจ เธอได้เผยข้อมูลส่วนตัวไปหรือเปล่า? “


” ฉะ…..ฉันใส่ชื่อไปด้วย! ” เฉินซิงเยว่เองก็นึกถึงส่วนสำคัญนี้ขึ้นมา ทันใดนั้นเธอพูดขึ้นด้วยอาการสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว


ถึงแม้ว่าเธอจะฉลาดมาตั้งแต่เด็ก แต่เธอก็ยังเป็นแค่เด็กสาวอายุสิบห้าที่ยังไม่เจนโลกขนาดนั้น ยิ่งเพิ่มความตื่นตระหนกและหวาดกลัวในเวลานั้นเข้าไปด้วย คงหนีไม่พ้นที่จะคิดอะไรอย่างไม่รอบคอบ


” ระ……เราจะทำไงดีพี่ เราบอกให้พ่อกับแม่หนีไปดีไหม พวกเรารีบออกจากเมืองตงหนิงกันเถอะ “


เฉินซิงเยว่ไม่เคยสังเกตเลยว่า พี่ชายที่เธอเคยดูถูกมาโดยตลอดตั้งแต่เมื่อก่อน ในเวลานี้พอเผชิญหน้ากับเรื่องความเป็นความตาย ด้วยสีหน้าใจเย็นเงียบสงบของพี่ชาย เขาได้กลายเป็นที่พึ่งของเธอโดยไม่รู้ตัว


” ใจเย็นก่อน ไม่ต้องกังวล ยิ่งกังวลมันจะยิ่งวุ่นวาย ” เฉินโจวอี้พูดเสียงต่ำ


จากนั้นเขารีบเดินไปทางระเบียง ค่อยๆ แหวกม่านหน้าต่างออกแล้วมองออกไปด้านนอกอย่างละเอียดอยู่พักหนึ่ง


ในไม่ช้า เขาก็สังเกตเห็นชายหนุ่มสองคนสีหน้าดูเหมือนอาชญากรได้อย่างรวดเร็ว นั่งย่ออยู่ฝั่งตรงข้ามถนน พวกมันสูบบุหรี่ไปด้วยพลางพูดคุยกันเล็กน้อย สายตาจับจ้องมาที่ร้านอาหารของพวกเขาที่อยู่ฝั่งนี้อยู่บ่อยครั้ง


” มากันเร็วอะไรขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่ากลุ่มลัทธินอกรีตนี้มันแทรกซึมเข้าไปลึกมาก ” เขาพูดกับตัวเองในใจ


เฉินโจวอี้ไม่ได้เรียนรู้วิธีการล่อลวงศัตรู แต่การแสดงออกที่ไม่เกรงกลัวใครของอีกฝ่าย ทำให้เขาพบพิรุธตั้งแต่มองแวบแรก


หรือบางทีพวกมันอาจกำลังคิดว่าครอบครัวนี้คงไม่มีแรงต่อต้าน และมันจะฆ่าใครก็ได้!


เขาค่อยๆ ปล่อยผ้าม่าน สีหน้าดูหม่นหมอง ในใจเกิดความอยากฆ่าขึ้น


แต่พอตอนที่เขาหันหลังกลับ สีหน้าของเขากลับคืนสู่ความสงบดังเดิม


” ตอนกลางวันมีผู้คนพลุกพล่าน รอให้ถึงตอนกลางคืนแล้วค่อยไป ในเวลานี้อย่าเพิ่งพูดเรื่องนี้กับพ่อและแม่ หลีกเลี่ยงการแหวกหญ้าให้งูตื่น พ่อกับแม่จะได้ไม่ตกใจกลัวจนตื่นตระหนกเกินไป ตอนนี้เธอไปอยู่ในห้องก่อน จำไว้ว่าอย่าเปิดผ้าม่านเด็ดขาด “


เฉินโจวอี้ไม่กล้ารับประกันว่าพวกมันจะใช้ปืนสไนเปอร์ซุ่มยิงหรือเปล่า บางคนมีแนวโน้มที่จะทำทุกอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสโดนตั


เฉินซิงเยว่ไม่ได้พูดอะไร เธอเช็ดน้ำตาโดยใช้แรงอันน้อยนิด เมื่อเผชิญหน้ากับเหตุการณ์แบบนี้ สติของเธอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวนานแล้ว


หลังจากที่มองตามจนเห็นเฉินซิงเยว่เดินเข้าไปในห้อง


เฉินโจวอี้จึงเดินเข้าไปในห้องนอนของตัวเองเช่นกัน


เขาวางกระเป๋าเอกสารลง นั่งหลับตาอยู่บนเก้าอี้ ค่อยๆ จมลงสู่ห้วงแห่งความคิด


ทันใดนั้นเขาก็ลืมตาขึ้น จู่ๆ เขาก็คว้าที่ใส่ปากกาบนโต๊ะหนังสือ ขนาดพวกปากกาที่อยู่ด้านในยังถูกเขาบีบจนแตก


” แม่งเอ้ย ช่างยโสโอหังเสียจริง “


ความโกรธและความอยากฆ่าทวีความรุนแรงขึ้นในใจ ราวกับเปลวไฟที่ลุกไหม้อยู่ในอก เขาแทบจะรอไม่ไหวที่จะรีบออกไปแล้วจับไอ้เด็กหนุ่มที่มาสอดแนมพวกนั้นทุบหัวจนแหลกละเอียดทีละคน


แต่เขารู้ว่าตอนนี้ยังไม่ได้!


ถ้าหากยังคงแสร้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นต่อไป แสดงว่าคนพวกนี้เพื่อที่จะลดผลกระทบทางสังคมที่จะตามมา พวกมันจึงหลีกเลี่ยงการเปิดเผยตัวตน พวกมันน่าจะรอให้ถึงช่วงกลางดึกจึงจะลงมือ ถ้าหากเขาฆ่าสองคนนี้ตายในตอนนี้เท่ากับเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น


อีกอย่างในเวลากลางวัน จัดการศพได้ยาก


สำหรับเรื่องแจ้งตำรวจ เขาเองก็เคยคิดอยู่


แต่ในไม่ช้าเขาก็ลบความคิดนี้ออก ไม่ต้องพูดถึงหรอกว่าตำรวจจะเชื่อหรือไม่ ต่อให้ตำรวจจัดเตรียมกำลังคนคุ้มครองผู้เข้าแจ้งความในยี่สิบสี่ชั่วโมง พอถึงตอนนั้นจะมีความเสี่ยงมากน้อยเพียงใดกัน


อีกอย่างเพื่อที่จะรับมือกับแผนการล่องูออกจากถ้ำที่มีโอกาสเป็นไปได้ของทางฝั่งตำรวจ ครอบครัวคงไม่สามารถออกเดินทางได้ในระยะเวลาอันสั้น เพราะอาจตกอยู่ในอันตราย


ยิ่งไปกว่านั้นสรุปแล้วข้อมูลของครอบครัวเขาเปิดเผยไปอย่างไร ยิ่งคิดก็ยิ่งน่ากลัวเหลือเกิน!


เขาจะไม่สนความปลอดภัยของตัวเองก็ได้ แต่เขาไม่สามารถเพิกเฉยต่อความปลอดภัยของพ่อแม่และน้องสาวได้ วิธีที่ดีที่สุดคืออาศัยช่วงเวลากลางคืนออกจากเมืองตงหนิง พอถึงตอนนั้นต่อให้ถูกสั่งจับกุมในข้อหาฆ่าคนตาย แต่ด้วยสถานการณ์ไฟฟ้าและอินเทอร์เน็ตขัดข้องในเวลานี้ พอออกจากเมืองตงหนิงได้ พวกเขาก็คงจะหยุดเราไว้ไม่ได้เช่นกัน


สำหรับเรื่องอุโมงค์มิตินั่น ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เขาทำได้แค่ต้องละทิ้งมันไป


เฉินโจวอี้วางแผนว่าพอออกจากเมืองตงหนิงแล้ว พอทุกอย่งปลอดภัยดี เขาจะหาวิธีรายงานเรื่องอุโมงค์มิติ


คนเถื่อนพวกนั้นถูกเขาฆ่าอย่างโหดเหี้ยมจนพากันหวาดกลัว ภายในช่วงเวลาอันสั้นนี้ไม่น่าจะก่อให้เกิดปัญหาอะไร


เฉินโจวอี้สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วโยนที่ใส่ปากกาและปากกาที่หักลงในถังขยะ


สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการเอาอาวุธของตัวเองกลับมา ในเวลาแบบนี้ต่อให้เปิดเผยมันต่อหน้าพ่อแม่และน้องสาว เขาเองก็ไม่สามารถทำอะไรได้ไปมากกว่านี้


เขาเปิดหน้าต่าง มองซ้ายขวาสำรวจดูรอบๆ ซอย ถือโอกาสตอนที่ไม่มีใครสนใจ กระโดดลงมา


ตอนที่เดินอยู่บนถนน เขาใช้หางตามองไปยังสองคนนั้นสักพัก พลางกำหมัดแน่นและคลายมืออย่างรวดเร็ว จากนั้นรีบเดินออกจากตรงนี้


ชายหนุ่มสองคนที่มาสอดแนมคงคิดไม่ถึงว่าเมื่อครู่นี้ชีวิตของตัวเองได้กลับมาจากประตูนรกแล้ว


….


เกาะเล็กบนโลกที่แตกต่างได้เข้าสู่ช่วงเวลากลางคืนแล้ว ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีดำช่างดูมืดมิดและเงียบสงัดเหลือเกิน


แผ่กระจายบรรยากาศแห่งความมืดมนออกมา


หมอกแต่ละสายที่ลอยอยู่เหนือพื้นราวกับมีชีวิต เคลื่อนไหวราวกับกำลังเต้นระบำอย่างอ่อนโยนดูมีเสน่ห์


หลังจากที่ประสบพบเจอกับเรื่องราวมากมาย เฉินโจวอี้ไม่ได้มีความรู้สึกหวาดกลัวต่อวิญญาณธรรมชาติอ่อนแอพวกนี้แล้ว


เขามาถึงถ้ำหินโดยไม่ใส่ใจพวกมัน ดึงกระเป๋าเป้ออกมาจากในถ้ำ เทอาหารและชุดลายพรางออกมากระจัดกระจายเต็มพื้น


จากนั้นเอาชิ้นส่วนคันธนูและลูกธนูยัดเข้าไปแทนที่


กระเป๋าที่เขาซื้อมาคือกระเป๋าที่ใช้สำหรับเดินป่า สูงประมาณ 80 เซนติเมตร ชิ้นส่วนยาวของคันธนูทั้งสองอันสามารถยัดลงไปได้


เพียงแต่ว่ากล่องดาบยาวเกินไป เฉินโจวอี้จึงต้องถือไว้ในมือ


จากนั้นเขาเก็บทองคำทั้งหมดมาแล้วรีบเดินออกจากอุโมงค์มิติไป


ตอนที่เดินอยู่บนถนน สีหน้าของเขาดูลังเลไปสักพัก ทันใดนั้นเขาเปลี่ยนเส้นทางทันที


สิบนาทีต่อมา เขาก็มาถึงชุมชนที่ครอบครัวจางเซียวเยว่อาศัยอยู่


….


เฉินโจวอี้มองเห็นในศาลาของชุมชนมีชายแก่คนหนึ่งนั่งอยู่ จึงรีบเดินเข้าไป


” คุณลุงครับ ลุงรู้จักจางเซียวเยว่ไหม อายุพอๆ กับลูกสาวลุงน่ะครับ “


” จางอะไรเยว่นะ? “


” จางเซียวเยว่ครับ รู้จักไหม? “


” จางเซียวอะไรนะ? “


” ช่างเถอะครับ ผมไม่กวนลุงแล้ว ผมไปถามคนอื่นละกัน ” เฉินโจวอี้พูดอย่างจนปัญญา


บนถนนในชุมชน เขาเจอใครก็ถามคนนั้น แต่ทุกคนต่างตอบว่าไม่รู้จัก ในไม่ช้าเฉินโจวอี้จึงล้มเลิกการสอบถามที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้


ตอนนี้ความสัมพันธ์ของเพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ในตัวเมืองไม่ค่อยสนใจกัน หลายคนอยู่มาสิบกว่าปีแล้ว ขนาดสมาชิกครอบครัวของบ้านฝั่งตรงข้ามมีกี่คน เกรงว่าคงจะไม่รู้เสียด้วยซ้ำ


แต่สิ่งเดียวที่สามารถทำให้เฉินโจวอี้สบายใจได้ก็คือ


ในช่วงนี้ที่นี่ยังไม่เกิดเรื่องอะไรและก็ยังไม่ได้ยินว่ามีใครตาย หรือบางทีอาจเป็นเพราะตัวตนของศพยังไม่ได้รับการยืนยัน ถ้าหากเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นมาล่ะก็ ภายในชุมชมคงเกิดข่าวลือแพร่สะพัดออกไป


เขาไม่ได้อยู่ที่นี่เป็นเวลานาน รีบกลับบ้านของตัวเองทันที


พอเห็นเงาของแม่นั่งก้มหน้าทำบัญชีอยู่ที่เค้าท์เตอร์ชำระเงินของร้าน เฉินโจวอี้จึงโล่งใจ


จากนั้นเขาเดินผ่านประตูร้านอาหารไปที่ซอย และเดินไปใต้หน้าต่างห้องนอนของเขา


รอให้คนสองสามคนเดินผ่านไป เฉินโจวอี้จึงถอยหลังออกไปไม่กี่ก้าว


หลังจากวิ่งไปไม่กี่ก้าว จู่ๆ เขาก็กระโดดขึ้น ร่างกายลอยได้สูงถึงสามสี่เมตร จากนั้นใช้มือคว้าขอบหน้าต่าง พลิกตัวเข้าไปในห้องนอน


เขานั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ หยิบดาบยาวออกมาจากกล่องดาบ แล้วหยิบผ้าไหมขึ้นมาค่อยๆ เช็ดตัวดาบอย่างตั้งใจ เช็ดจนกระทั่งมันเงาวับ ถึงจะเก็บเข้าฝักดาบอีกครั้ง


จากนั้นหยิบเอาชิ้นส่วนคันธนูออกมาจากในกระเป๋า ประกอบมันทีละชิ้นจนสำเร็จ แล้วลองทดสอบดู


มองไปยังอาวุธทั้งสองชิ้นที่แปดเปื้อนไปด้วยเลือดนี้ ในใจของเฉินโจวอี้ค่อยๆ สงบลง


การฆ่าคน เขาไม่เคยฆ่ามาก่อน เมื่อก่อนไม่เคยคิดเลยว่าจะมีสักวันหนึ่งที่ตัวเขาเองจะฆ่าใครได้


แต่สำหรับคนเถื่อนนั้น เขาฆ่ามายี่สิบกว่าคนแล้ว


ตอนที่ 63 ก่อนออกเดินทาง


ท้องฟ้าค่อยๆ มืด


แม่ของเขาจุดเทียนเสร็จ จึงดึงประตูปิดเข้าหากันพลางพูดบ่น


” ตอนนี้ธุรกิจย่ำแย่ขึ้นเรื่อยๆ มีลูกค้ามากินอาหารไม่กี่คนเอง “


” เธอยังจะคิดแบบนี้ได้อีก ตอนนี้ไม่รู้ว่ามีคนตกงานตั้งเท่าไร ทำรายได้เล็กน้อยถือว่าไม่เลวแล้ว ” เฉินต้าเหว่ยวางจานอาหารลง เช็ดมือกับผ้ากันเปื้อนแล้วพูดขึ้น


” วันนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร ตากระตุกบ่อยมาก แถมในใจยังรู้สึกหวิวแปลกๆ คุณว่าเงินก้อนนั้นที่เราเอาไปปล่อยกู้จะเกิดปัญหาหรือเปล่า? ถ้าหากไม่ได้คืนขึ้นมาต้องแย่แน่ “


พื้นที่เจียงหนานเป็นพื้นที่หัวการค้ามาตั้งแต่โบราณ ธุรกิจการเงินใต้ดินรุ่งเรืองมาก รายได้ที่ได้รับจากการลงทุนมักจะสูงกว่าดอกเบี้ยของธนาคาร แน่นอนว่าครอบครัวของเฉินโจวอี้เองก็นำเงินที่เหลือใช้เข้าไปลงทุนเช่นกัน


” งั้นวันหลังไปถอนคืนไหม ดอกเบี้ยที่หายไปก็แค่เงินจำนวนเล็กน้อย ตอนนี้ในสถานการณ์แบบนี้ไม่รู้ว่าจะฟื้นฟูเมื่อไร? มันเสี่ยงเกินไป! ” เฉินต้าเหว่ยพูดขึ้นอย่างกังวลเช่นกัน


” รอวันหลังก็ไม่ทันการกันพอดี พรุ่งนี้ฉันจะไปถอนเงินมา ” แม่รีบพูดขึ้น ท่าทางของเธอมักจะดูแข็งแกร่งเสมอ


ขณะที่พูด เธอเดินไปยังบันไดแล้วพูดตะโกนเสียงดัง ” พวกลูกสองคนแห้งตายในห้องไม่กินข้าวแล้วหรือไง? ขนาดกินข้าวยังต้องให้มากระตุ้น ยังไม่รีบลงมาอีก “


….


ท่ามกลางความมืดมิดเฉินโจวอี้ลืมตาขึ้น เขาเปลี่ยนเป็นเสื้อดำกางเกงดำ หยิบดาบยาวบนโต๊ะหนังสือขึ้นมา แล้วเปิดประตู


ในเวลานี้ประตูของห้องข้างๆ เปิดออกเช่นกัน เฉินซิงเยว่ตาแดงเดินออกมาจากในห้อง


ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ เธอดูซีดเซียวขึ้นเยอะ และก็ดูเงียบซึมไปไม่น้อย


” พี่ พี่…. ” พอเธอเห็นดาบในมือของเฉินโจวอี้ จึงพูดขึ้นด้วยความตกใจ


เธอตกใจกับท่าทางอันเด็ดเดี่ยวของพี่ชายเธอ และก็แปลกใจกับที่มาของดาบเล่มนี้เช่นกัน


” ด้านนอกมีคนมาสอดแนมแล้ว พอถึงตอนนั้นอาจต้องฆ่าคน เธอกลัวไหม? ” เฉินโจวอี้พูดขึ้นด้วยสีหน้าราบเรียบ ” ส่วนเรื่องที่ว่าดาบนี้มาได้อย่างไร เธอไม่ต้องถามให้มันมากความหรอก “


” พี่ ฉันไม่กลัวหรอก พวกเขาสมควรตาย! ” นัยน์ตาเฉินซิงเยว่ดูว่างเปล่า จากนั้นพูดขึ้นอย่างเย็นชา


ดูเหมือนว่าพอเธอนึกถึงเพื่อนรักทั้งสองคนที่ถูกฆ่าตายอย่างน่าเวทนา ในดวงตาของเธอเกิดน้ำตาคลอ ในไม่ช้าเธอหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในห้องแล้วหยิบดาบอัลลอยออกมาเช่นกัน


….


ทั้งสองคนเดินตามกันลงไปชั้นล่าง


” พวกลูกถือดาบมาทำไม? ” เฉินต้าเหว่ยมองทั้งสองคนแล้วพูดอย่างตกตะลึง ” แล้วก็โจวอี้ด้วย ลูกไปซื้อดาบเล่มนี้มาตอนไหน? “


เฉินซิงเยว่ไม่ได้พูดอะไร


” พ่อครับ กินข้าวกันก่อน หลังจากนั้นผมจะบอกพ่อกับแม่เอง ” เฉินโจวอี้ฝืนยิ้มออกมา


แต่แม่ของเขาเป็นคนช่างสังเกต เธอสังเกตเห็นว่าลูกสาวตาแดง สีหน้าดูหม่นหมอง ลูกชายเองก็ฝืนยิ้ม ตอบคำถามหลีกประเด็น ยิ่งในมือถือดาบอีก ทันใดนั้นจึงเกิดลางสังหรณ์บางอย่างขึ้น


” ลูกทำอะไรน้องกันแน่? ถ้าลูกไม่พูดออกมาให้ชัดเจน ข้าวมื้อนี้ก็ไม่ต้องกินมันแล้ว! “


จะโทษความสงสัยของแม่ก็ไม่ได้ ไม่ว่าใครมองเห็นสีหน้าของทั้งสองคน ก็ต้องคิดแบบนี้ทังนั้น


นี่คิดไปถึงไหนกันเนี่ย?


แม้ว่าในขณะนี้ในใจของเฉินโจวอี้กำลังคิดแต่เรื่องฆ่าคนพวกนั้น แต่พอได้ยินคำตำหนิของแม่ เขาถึงกับอ้าปากค้างโดยไม่รู้ตัว


เฉินต้าเหว่ยที่อยู่อีกด้านไม่มีรอยยิ้มเช่นกัน เขาถามด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า ” โจวอี้ พวกลูก….”


” พ่อคะ แม่คะ พ่อกับแม่กำลังพูดอะไรกันอยู่เนี่ย? ” เฉินซิงเยว่อดไม่ได้ที่จะพูดอย่างรำคาญ


” งั้นพวกลูกจะถือดาบมาทำไม? ” เห็นเฉินซิงเยว่ตอบโต้ ในที่สุดแม่ของเธอก็รู้สึกว่าเหมือนตัวเองจะเข้าใจผิดไป ทันใดนั้นจึงพูดขึ้นอย่างเคอะเขิน


เฉินโจวอี้เริ่มรู้สึกหดหู่ เขาคิดว่าถ้าไม่พูดเรื่องนี้ออกไป คงไม่ได้กินข้าวมื้อนี้แน่ เขาเห็นว่าประตูบานพับถูกปิดแล้ว จึงพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจังว่า


” พ่อครับ แม่ครับ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว “


จากผลกระทบของสีหน้าจริงจังของเฉินโจวอี้ แม่ของเขาและเฉินต้าเหว่ยผู้เป็นพ่อพอได้ฟังแล้วจึงตกตะลึงไปโดยไม่รู้ตัว เฉินต้าเหว่ยจึงรีบถามขึ้นว่า เกิดเรื่องอะไรขึ้น?


” วันนี้ละแวกใกล้เคียงเกิดเหตุคนตายเยอะมาก พ่อกับแม่น่าจะรู้เรื่องนี้นะครับ! “


ทั้งสองคนรีบพยักหน้าทันที เรื่องนี้ถูกแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็วในบริเวณใกล้เคียง ทำไมทั้งสองคนจะไม่รู้เรื่องล่ะ


” ตอนแรกซิงเยว่อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย แต่เธอโชคดีที่หนีออกมาได้ ต่อมาเธอไปแจ้งตำรวจ ข้อมูลหลุดออกไป ตอนบ่ายวันนี้ด้านนอกเริ่มมีคนมาสอดแนมแล้ว ” เฉินโจวอี้อธิบายสาเหตุและผลกระทบของเรื่องนี้อย่างชัดเจน


” คืนนี้ พวกเราจำเป็นต้องออกจากเมืองตงหนิง! “


แม่ของเขาเห็นเฉินซิงเยว่พยักหน้าเช่นกัน จึงรู้สึกประหลาดใจ ต่อให้เธอวางมาดเข้มแข็งแค่ไหน เธอก็เป็นคนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ” ทำไมถึงมีพวกนอกกฎหมายแบบนี้ได้ แจ้งตำรวจไม่ได้เหรอ? “


” แจ้งไปก็ไม่มีประโยชน์ ตำรวจจัดการได้แค่พักเดียว แต่จัดการไปตลอดชีวิตไม่ได้ พวกมันคือคนบ้า ” เฉินโจวอี้พูดปฏิเสธอย่างไม่ลังเล จางฉันมองไปยังเฉินต้าเหว่ย ” พ่อครับ น้ำมันรถพอใช่ไหม


” พอ! พอ! ครั้งที่แล้วหลังจากเติมไว้เต็มถังก็ยังไม่เคยได้ขับอีกเลย ขับไปประมาณสองสามร้อยกิโลน่าจะไม่มีปัญหาอะไร “


เฉินต้าเหว่ยคิดว่าอยู่ต่อหน้าลูกเมีย ไม่สามารถแสดงความไร้ประโยชน์ออกมาได้ ดังนั้นเขาจึงพยายามพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจังและหนักแน่นว่า ” ที่จริงแล้วควรออกจากเมืองตงหนิง อะไรที่ควรทำก็ต้องทำ ความปลอดภัยของคนในครอบครัวสำคัญกว่าทุกสิ่ง เต็มที่ก็แค่ผ่านช่วงเวลายากลำบากแค่ช่วงหนึ่งเท่านั้น “


” แล้วคนที่มาสอดแนมล่ะ จะทำอย่างไร ” แม่ของเขาถามอย่างเป็นกังวล


” แม่ครับ เรื่องของพวกเขายกให้ผมจัดการเถอะครับ ” เฉินโจวอี้พูดขึ้นอย่างสงบนิ่ง


ขณะที่พูด เขาชักดาบออกมาทันที ได้ยินแค่เสียง เกร๊ง ดังขึ้น ดาบถูกเสียบเข้าไปในฝักอีกครั้งอย่างรวดเร็วราวแสงแฟลชกระพริบ โดยที่ทั้งสองคนยังไม่ทันมองเห็นได้ชัด


วินาทีต่อมา มุมโต๊ะด้านหนึ่งแตกออกจากตัวโต๊ะร่วงลงพื้นภายใต้แรงโน้มถ่วง จนเกิดเสียงดัง


รอบด้านเกิดความเงียบทันที


เฉินซิงเยว่เบิกตากว้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความตกตะลึง ตอนบ่ายเธอรู้สึกได้จางๆ ว่าพลังของพี่ชายแข็งแกร่ง แต่เธอไม่คิดมาก่อนเลยว่าจะแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้


ขนาดเธอเองยังมองไม่ชัดว่าเขาชักดาบเก็บไปตอนไหน


” พี่ พี่…..ตอนนี้พี่เป็นชาวยุทธแล้วเหรอ? ” เธออดที่จะถามไม่ได้


” ประมาณนั้น! “เฉินโจวอี้พูดขึ้น


ในเวลาวิกฤติแบบนี้ เขาไม่สามารถปกปิดความแข็งแกร่งของเขาไว้ได้อีก ในเวลานี้ยิ่งเขามีพลังมากเท่าไหร่ พ่อกับแม่ของเขาก็ยิ่งรู้สึกสบายใจมากเท่านั้น


ฟังคำพูดของทั้งสองคน แม่ของเขาและเฉินต้าเหว่ยมองหน้ากัน จากนั้นหันไปมองเฉินโจวอี้ เริ่มรู้สึกว่าไม่รู้จักลูกชายของตัวเองไปแล้ว


” โจวอี้ ลูกคือชาวยุทธจริงๆ เหรอ? “แม่เขายังคงพูดขึ้นอย่างไม่เชื่อ


พอเห็นสายตาตื่นเต้นของทั้งสองคน เฉินโจวอี้จึงพยักหน้า


พูดแบบนี้ไม่ถือว่าเป็นการคุยโว อย่างน้อยสมรรถภาพทางกายของเขาไกลเกินกว่าระดับมาตรฐานของชาวยุทธไปตั้งนานแล้ว


แม่ของเขาพอเห็นดังนั้นก็ตื่นเต้น ความตกใจกลัวในตอนแรกเริ่มผ่อนคลายลงในทันที ความแข็งแกร่งของชาวยุทธได้ฝังลึกเข้าไปในใจของทุกคน ชาวยุทธแต่ละคนต่างเป็นบุคคลสำคัญมีตำแหน่งใหญ่โต ทั้งเมืองตงหนิงมีอยู่แค่ไม่กี่คน


แต่เธอหันมากังวลเรื่องอื่นแทน ” พอถึงตอนนั้น ลูกอย่าบุ่มบ่ามไปฆ่าใครเข้าล่ะ “


” วางใจเถอะครับแม่ ผมก็แค่จะทำให้พวกมันสลบ ” ถึงแม้ว่าในใจของเฉินโจวอี้จะเกิดความคิดที่จะฆ่ามาตั้งนานแล้ว แต่เพื่อทำให้พ่อกับแม่สบายใจ เขาจึงตอบไปแบบนี้


เฉินต้าเหว่ยดึงสติกลับมา แล้วรีบพูดตัดบท


” ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมัวมานั่งคุยกัน รีบกินข้าวก่อน! “


” ใช่ๆๆ ไหนจะสัมภาระอีก “


….


บรรยากาศในการกินข้าวค่อนข้างดูกดดัน นอกจากเฉินโจวอี้แล้ว ไม่มีใครกินข้าวลงเท่าไร


แม่ของเขารีบกินข้าวไปไม่กี่คำ แล้วรีบดึงเฉินต้าเหว่ยไปเก็บสัมภาระทันที


จะทิ้งสมบัติของครอบครัวไว้ไม่ได้ ยิ่งการออกจากเมืองในครั้งนี้ ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาเมื่อไร มีของหลายอย่างที่ต้องเอาไปด้วย


สิบนาทีต่อมา ทั้งสองคนถือกระเป๋าใบเล็กใบใหญ่แล้วเดินลงมาชั้นล่าง


” เสื้อผ้าของพวกลูก แม่ช่วยเก็บมาหมดแล้ว โจวอี้ ทำไมใต้เตียงลูกยังมีธนูอีกคันล่ะ? “


” แม่ แม่ไม่ต้องถามแล้ว พอถึงตอนนั้นเดี๋ยวผมจะอธิบายให้ฟังเอง ” เฉินโจวอี้พูดขึ้นอย่างปวดหัว


เฉินซิงเยว่มองดูธนูคันยาวขนาดใหญ่ในมือของพ่อ และลูกธนูสงครามอีกเป็นจำนวนมาก เธอจึงหันมามองเฉินโจวอี้ราวกับกำลังมองสัตว์ประหลาดอยู่


พี่ ช่วงนี้พี่กำลังแอบทำอะไรอยู่กันแน่?


” แม่ครับ กระเป๋าเอกสารของผมแม่ได้เอามาด้วยไหม? ” ทันใดนั้นเฉินโจวอี้ดูเหมือนจะนึกอะไรออกในทันที จึงรีบถามขึ้น


” เอามาแล้ว ยัดลงไปในกระเป๋าเป้พร้อมกับเสื้อผ้าของลูกนั่นแหละ! “


อะไรนะ?


เฉินโจวอี้หน้าซีด หัวของเขารู้สึกชา เขาวางชามข้าวในทันทีแล้วรีบเดินไป พร้อมกับพูดว่า ” แม่ครับ เอามาให้ผมแล้วกัน ผมจะดูว่ายังมีของอะไรที่ไม่ได้เอามา “


หลังจากเขารับกระเป๋าเป้มาได้ไม่นาน รู้สึกว่าด้านในมันนูนออกมา เห็นได้ชัดว่าแม่ของเขายัดของไว้แน่นมาก


เด็กหญิงเปลือกหอยคงไม่ถูกทับตายใช่ไหม?


เขาหันหลังให้ทุกคน แล้วรีบเปิดกระเป๋าเป้ หยิบเอาเสื้อผ้าออกมาจากกระเป๋าไม่หยุด ในที่สุดภายใต้ความกังวลใจ เขาหยิบเอากระเป๋าเอกสารที่ถูกทับไว้จนแบนออกมา


เขาสูดหายใจเข้า แล้วเปิดซิปในทันที


พอเห็นเด็กหญิงเปลือกหอยที่กำลังตกใจกลัวสุดขีดเพราะถูกกระเป๋าเอกสารทับไว้ แต่เธอยังคงปลอดภัยไร้อันตราย เขาจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก


” ตกใจหมดเลย “


ตอนที่ 64 ค่ำคืนแห่งการฆ่า (1)


เวลาค่อยๆ เคลื่อนคล้อยเข้าสู่ช่วงกลางดึก


พระจันทร์เสี้ยวลอยอยู่ท่ามกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน ให้แสงสว่างเล็กน้อยแก่ท้องฟ้าอันมืดมิด


ตรงหัวมุมถนน เงาดำตะคุ่มสองคนยืนพิงกำแพงอย่างเบื่อหน่าย


แสงสลัวของก้นบุหรี่ดูริบรี่


” พี่ซวี๋ สอดแนมมาเกือบทั้งวันแล้ว สรุปแล้วพวกเราจะลงมือกันตอนไหน? ” ชายหนุ่มคนหนึ่งโยนก้นบุหรี่ทิ้งลงพื้น ใช้เท้าบดขยี้มัน แล้วกระซิบถามอย่างไม่สบอารมณ์


” รอก่อนสิ! ” ชายหนุ่มที่ชื่อพี่ซวี๋ยื่นมือออกมาดูนาฬิกาแล้วกระซิบ ” รอให้พวกมันหลับสนิทก่อนค่อยว่ากัน ถ้าเคลื่อนไหวมากเกินไป อาจถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจที่คอยลาดตะเวนสังเกตเห็นเข้า ครั้งนี้ห้ามพลาดเด็ดขาด “


” ต้องฆ่าทั้งหมดจริงๆ ใช่ไหม? ” ชายหนุ่มดูเหมือนจะพูดขึ้นอย่างอดกลั้น


” ทำไม นายฆ่าไม่ลงหรอ? หรือว่านายบ่ายเบนออกจากศรัทธาไปแล้ว? ” พี่ซวี๋หันมาแล้วพูดด้วยสีหน้าบูดบึ้ง


” ไม่ใช่ มะ……ไม่เคยเลย ผมศรัทธาอย่างแรงกล้าต่อเทพเจ้าแห่งการล่าผู้ยิ่งใหญ่ ” ชายหนุ่มตกใจจนรีบพูดขึ้น


เทพเจ้าแห่งการล่าคือเทพเจ้าที่แท้จริง พิธีกรรมเมื่อตอนเที่ยงเขารู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของท่านจริงๆ


อำนาจของเทพเจ้าเหมือนกับคุกที่ติดตามเราไป ดูน่าเกรงขามและไม่สามารถคาดเดาได้


พวกระดับสูงบางส่วนได้รับอำนาจจากเทพเจ้าในระหว่างทำพิธีกรรม


ในพิธีกรรม ตัวตนของแต่ละคนถือเป็นความลับ มีแค่ความสัมพันธ์ระดับสูงและระดับต่ำเท่านั้น


เขาเองก็มองไม่เห็นรูปร่างหน้าตาที่แท้จริงของพวกเขา แต่ก็ยังรู้สึกว่าคนระดับสูงหลายคนเป็นคนชรา


” งั้นก็ดี พวกเราเป็นสาวกรุ่นแรกของโลกมนุษย์ที่ศรัทธาในเทพเจ้าแห่งการล่าผู้ยิ่งใหญ่ ภารกิจในครั้งนี้คือบททดสอบเล็กๆ ถึงความภักดีของพวกเราที่มีต่อท่าน! “


ฉันรู้อยู่แล้ว! สีหน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นแน่วแน่ในทันที


พี่ซวี๋พยักหน้า สีหน้าของเขาดูสงบลง แล้วพูดต่อ


” ภารกิจในครั้งนี้ไม่ยาก ครอบครัวนี้มีสี่คน นอกจากเด็กสาวคนนั้นที่ค่อนข้างแข็งแกร่งเล็กน้อยแล้ว คนอื่นต่างก็เป็นคนธรรมดาทั้งหมด พอถึงเวลานั้นเด็กสาวนั่นให้ฉันจัดการเอง ส่วนนายไปจัดการสามคนที่เหลือ “


” ได้! ” ครั้งนี้ชายหนุ่มพูดขึ้นอย่างไม่ลังเล


” จำไว้ว่าจะต้องลงมืออย่างเด็ดขาด ห้ามมีความเมตตาต่อผู้หญิงวัยกลางคนนั่น…… ” เขาพูดไปได้ครึ่งหนึ่ง ทันใดนั้นก็หุบปากทันที แล้วทำท่าทางบอกให้เงียบเสียง


ชายหนุ่มอีกคนพึ่งจะรู้สึกสงสัย จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้ามาจากที่ไกลๆ


แม่งเอ้ย มืดขนาดนี้ ดึกแล้วยังไม่รู้จักหลับจักนอนอีกหรอวะ รนหาที่ตายหรือไง?


มุมปากของชายหนุ่มกระตุกขึ้น เขาหยิบกล่องบุหรี่ออกมาอย่างเบื่อหน่าย หยิบเอาบุหรี่ออกมาจุดไฟ


เพิ่งจะสูบไปได้หนึ่งฟอด เงาร่างหนึ่งปรากฏตัวขึ้นตรงหัวมุมถนน เดินเลี้ยวตรงมายังทางด้านนี้


ท่ามกลางแสงจันทร์สลัวในยามค่ำคืน สามารถมองเห็นเด็กหนุ่มอายุราว 17-18 คนหนึ่งสวมชุดกีฬาสีดำทั้งชุด ผิวขาวเนียนดูหล่อเหลา


เขาดูเหมือนจะรู้ว่าริมถนนมีคนอยู่ จึงมองมายังด้านนี้ พอเห็นเงาคนสองคนยืนพิงกำแพงอยู่ ทันใดนั้นเขาก็ตกใจกลัวรีบเก็บฝีเท้าทันที


หลังจากนั้นไม่นาน เขาถึงจะลังเลและเดินมาทางนี้อย่างช้า ๆ ขณะเดียวกันมองดูทั้งสองด้วยความระมัดระวัง


” ไอ้เด็กเปรต มองอะไรวะ ยังไม่รีบเดินไปอีก! ” ชายหนุ่มพูดขู่ให้ตกใจ


มองดูเด็กหนุ่มที่ตกใจจนรีบเพิ่มความเร็วในการเดิน เขาอดที่จะหัวเราะร่าไม่ได้


ทั้งสองฝ่ายเข้าใกล้กันเรื่อยๆ


สิบเมตร ห้าเมตร


ทันใดนั้นชายหนุ่มคนที่ชื่อพี่ซวี๋อะไรนั่นเริ่มสังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายดูผิดปกติ


เขาพบว่าถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มนั่นจะแสดงท่าทีว่าหวาดกลัว แต่การเดินนั้นไม่ได้เดินอยู่ฝั่งตรงข้ามของถนน แต่กลับเดินตรงกลางถนนแทน


ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือเขาพบว่านัยน์ตาของอีกฝ่ายดูนิ่งสงบราวกับสระน้ำลึกที่มองไม่เห็นก้นสระ


เขารู้สึกหวาดกลัวจนขนหัวลุกทันที ” ไม่ได้การแล้ว! จัดการ….”


แต่ในเวลานี้มันกลับสายไปเสียแล้ว


เมื่อเขาพูดคำแรก อีกฝ่ายยังยืนอยู่บนถนน


แต่เมื่อพูดคำที่สองออกมา ขณะเดียวกันตอนที่มือของเขายื่นออกมาตรงแขนเพื่อเตรียมหยิบอาวุธนั้น


เงาของเด็กหนุ่มดูเลือนรางราวกับภาพเบลอที่ค้างอยู่ตรงจอประสาทตาของเขา


ในขณะเดียวกัน ลมกรรโชกแรงพัดมาจากในอากาศ ผมของเขาถูกพัดจนปลิว ใบหน้าของเขาสั่นอย่างรุนแรง


ขณะที่ดาบสั้นตรงแขนของเขาเพิ่งจะโผล่ออกมาแค่ครึ่งฟุต คำว่า ‘ จัดการ ‘ เมื่อกี้เพิ่งจะถูกพูดออกมา เขาก็มองเห็นแท่งตะเกียบอันบางเฉียบ ขยายขึ้นอย่างรวดเร็วในสายตาของเขา ความกลัวยังไม่ทันเกิดขึ้นในหัวใจ วินาทีต่อมาร่างกายของเขากระตุก ดวงตาเบิกกว้าง ร่างเขาเอนติดกำแพงแล้วค่อยๆ ไถลลงไปกองกับพื้น


เด็กหนุ่มค่อยๆ ดึงตะเกียบที่เปื้อนเลือดออกมา และตะเกียบก็ยังคงอยู่ดีเหมือนเดิม


เขาหันมามองชายหนุ่มอีกคน


ทันใดนั้นชายหนุ่มตกใจกลัวรีบถอยหลัง หางตาเหลือบไปมองศพของพี่ซวี๋ เขาหวาดกลัวจนฉี่แตก


” กะ…..แกอย่าเข้ามานะ ฉะ…..ฉันคือสาวกของเทพเจ้าแห่งการล่า ถ้าแกฆ่าฉันแกจะพบเจอแต่เรื่องโชคร้าย “


เด็กหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ ” เทพเจ้าแห่งการล่า มันคืออะไรเหรอ? “


เพิ่งจะพูดจบไป เงาของเด็กหนุ่มก็ดูเลือนรางอีกครั้ง จากนั้นไม่นานเขาจึงหันหลังกลับ


หลังจากเดินไปก้าวไปไม่กี่ก้าว ร่างหนักหนึ่งร่างร่วงลงสู่พื้น บนหน้าผากปรากฏรูโบ๋ขนาดลึกที่มีเลือดไหลอาบ ทั่วทั้งร่างกายกระตุกไม่หยุด


ไม่ต้องสงสัยเลย เด็กหนุ่มที่ว่านั่นก็คือเฉินโจวอี้นั่นเอง


เขาเหลือบมองตำรวจที่ลาดตระเวนอยู่ไกลออกไป แล้วเดินกลับบ้านอย่างใจเย็น


ตอนที่เขาออกมา เขากระโดดลงมาจากทางหน้าต่าง แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องใช้ทางนั้นแล้ว


ก่อนที่จะเคาะประตู เขายัดตะเกียบที่เปื้อนเลือดลงในช่องของฝาท่อระบายน้ำบนถนนแล้วตรวจสอบเสื้อผ้าบนร่างกายของเขาอย่างละเอียด โชคดีที่ไม่มีรอยเลือดอยู่บนร่างกายของเขา


” พ่อครับ! แม่ครับ รีบเปิดประตูให้ผมหน่อย! “


ไม่กี่วินาทีต่อมา ประตูเหล็กถูกดึงออก เฉินโจวอี้รีบเบียดตัวเข้าไปทันที


เขาเพิ่งจะเข้ามา เฉินซิงเยว่ก็อดถามอย่างร้อนใจไม่ได้ ” พี่ จัดการได้หรือยัง? “


เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาที่ดูกังวลและตื่นเต้นของทุกคน เฉินโจวอี้จึงพยักหน้า ” ตอนนี้พวกที่มาสอดแนมไม่มีแล้ว มันยังไม่สายเกินไป พวกเรารีบไปกันเถอะ “


” ลูกไม่ได้ฆ่าใครตายใช่ไหม? ” แม่ของเขาถามขึ้น


” แม่ครับ วางใจเถอะ! ไม่มีเลย ผมแค่ทำให้พวกมันสลบเฉยๆ ” เฉินโจวอี้ลังเลไปเล็กน้อย แต่เขาก็เลือกที่จะพูดโกหกให้แม่สบายใจ


เฉินซิงเยว่มองไปยังพี่ชายของเธอ พอเห็นเฉินโจวอี้พยักหน้า สีหน้าที่เคยตึงเครียดและกังวลตั้งแต่ช่วงบ่าย บัดนี้เป็นครั้งแรกที่เผยรอยยิ้มออกมา


สำหรับการส่งซิกเล็กๆ ของสองพี่น้อง แม่ของเขาไม่ได้สังเกตเห็นเลย เธอเอาแต่พูดว่า ” งั้นก็ดี ดีเลย! “


เฉินโจวอี้เข้าใจความคิดของแม่เขา พ่อแม่ทุกคนต่างก็หวังให้ลูกของตัวเองปลอดภัยไม่มีเรื่องอะไร ไม่ใช่คาดหวังให้ลูกกลายเป็นฆาตกร ต่อให้คนที่ฆ่าจะเป็นคนเลวที่ไม่อาจอภัยให้ได้ก็ตาม


แต่เป็นเพราะกฎหมายไม่สามารถอภัยให้ได้ การฆ่าคนก็คือการฆ่าคน ไม่ใช่ฆ่าเขาเพราะเป็นคนเลว แล้วจะไม่ถูกลงโทษทางกฎหมาย


” ไม่ต้องพูดแล้ว รีบไปกันเถอะ! ” เฉินต้าเหว่ยพูดกระตุ้นทุกคน


” ใช่! ใช่! ใช่! “


แม่ของเขารีบดึงประตูเหล็กปิดเข้ามา แล้วล็อคอีกครั้ง


ทุกคนเดินออกจากประตูหลังไป


รถอยู่ในโรงรถของประตูหลัง ซึ่งกระเป๋าสัมภาระถูกวางไว้ด้านในหมดแล้ว


หลังจากตรวจสอบดูอีกรอบ ทุกคนรีบขึ้นไปนั่งบนรถอย่างรวดเร็วเตรียมออกเดินทาง


เนื่องจากเหตุผลสำหรับทำธุรกิจ บางครั้งมักจะต้องขนส่งสินค้าอยู่บ่อยครั้ง รถที่ครอบครัวซื้อไว้จึงเป็นรถมินิแวนคันเล็ก ภายในมีเนื้อที่เยอะ


แต่ในเวลานี้เบาะหลังที่ถูกรื้อไปเมื่อนานมาแล้ว บัดนี้ได้วางกองสัมภาระซ้อนกันไว้มากมายราวกับภูเขา


หลังจากสตาร์ทรถไปสองสามครั้ง โชคดีที่สตาร์ทติดได้อย่างง่ายดาย


รถค่อยๆ ขับออกมาจากโรงรถ ในไม่ช้าก็ขับออกมาที่ถนน ยิ่งขับยิ่งเร็วขึ้น


เฉินซิงเยว่และเฉินโจวอี้นั่งอยู่เบาะหลัง ด้านข้างของแต่ละคนวางดาบยาวไว้รวมถึงธนูอีกหนึ่งคัน


ในรถไม่มีใครพูดอะไร ดูเหมือนต่างคนต่างอยู่ในห้วงความคิดของตนเอง มีเพียงเสียงเครื่องยนต์ดัง ‘หึ่มๆ’ เท่านั้น


เฉินโจวอี้มองออกไปนอกหน้าต่าง พอดีกับที่มีดอกไม้ไฟลูกหนึ่งลอยขึ้นไปในอากาศ จากนั้นจุดประกายไฟสีแดงอันงดงามขึ้น ส่องสว่างสุกสกาวไปทั่วท้องฟ้า


หวังว่าการเดินทางครั้งนี้จะปลอดภัยตลอดเส้นทางนะ!


ตอนที่ 65 ค่ำคืนแห่งการฆ่า (2)


ในเวลานี้เกือบเป็นเวลาห้าทุ่มแล้ว รถบนท้องถนนดูน้อยจนน่าใจหาย ถนนตลอดสายดูโล่งมาก


เฉินโจวอี้มองออกไปนอกหน้าต่างพักหนึ่ง แล้วชักสายตากลับมา


เวลานี้ในใจเขาเกิดความสงสัยขึ้น ในเวลากลางดึกเช่นนี้ใครจะไม่ยอมหลับยอมนอนเพื่อมาจุดดอกไม้ไฟ ?


เขามองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้ง พบว่าดอกไม้ไฟหยุดไปแล้ว


ในใจของเขาเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีทันที เขาพูดขึ้นว่า


” พ่อครับ ขับเร็วขึ้นมาหน่อย “


” ถนนมืดเกินไป พ่อขับหกสิบแล้วนะ ถ้าเร็วกว่านี้ล่ะก็ มันอันตรายไป ” เฉินต้าเหว่ยพูดขึ้น


” ขับช้าๆ หน่อยก็ดี ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมามันจะแย่เอาได้ ” แม่ของเขาพูดขึ้น


เห็นพ่อกับแม่ยังคงยืนยันเช่นนี้ เฉินโจวอี้จึงไม่รบเร้าต่อ อีกอย่างถ้าขับรถเร็วเกินไปในเวลากลางคืน มันจะเกิดอันตรายได้จริงๆ


บางทีเขาอาจจะแค่คิดมากจนเกินไป


เฉินโจวอี้พูดในใจ


สิบกว่านาทีต่อมา รถขับเข้าสู่ถนนทางหลวง บนถนนมีรถสัญจรไปมาน้อยกว่าเดิม บ่อยครั้งที่ไม่มีรถขับสวนมาในช่วงเวลาสองสามนาที


รถค่อยๆ ขับออกจากเขตเมือง เฉินโจวอี้มองย้อนกลับไปยังเมืองอันมืดสนิทที่อยู่เบื้องหลัง ในใจของเขารู้สึกเศร้าสร้อย


นี่คือเมืองที่เขาใช้ชีวิตมาตั้งแต่เด็กจนโต


ที่นี่ทิ้งรอยประทับแห่งความทรงจำนับไม่ถ้วนให้แก่เขา แถมยังเป็นสถานที่ที่มีคนรักซึ่งเป็นรักแรกของเขาด้วย


เขาไม่รู้ว่าการจากลาในครั้งนี้ ตัวเขาเองจะได้กลับมาอีกทีเมื่อไหร่


และไม่รู้ว่าเมื่อไรถึงจะได้พบกับจางเซียวเยว่อีกครั้ง


สำหรับเฉินโจวอี้ ความรักก็เหมือนสายลมเย็น ๆ ที่ไม่อาจคาดเดาได้ในวันแห่งฤดูร้อน พอมันพัดผ่านมาได้ไม่นาน ทันใดนั้นมันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย


….


เมื่อเวลาผ่านไป สองข้างทางที่เคยเป็นอาคารสิ่งปลูกสร้างได้ถูกแทนที่ด้วยพื้นที่การเกษตร


เฉินต้าเหว่ยเพิ่มความเร็วรถเป็นเจ็ดสิบ ” อีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็จะถึงเมืองผิงชิวแล้ว “


” พอถึงตอนนั้นเราจะพักที่โรงแรมหนึ่งคืน แล้วไปหาบ้านในวันพรุ่งนี้ แต่ไม่รู้ว่าพอถึงที่นั่นแล้ว จะหาโรงแรมได้หรือเปล่า? ” แม่ของเขาพูดขึ้น


” ไม่ยากหรอก นอนในรถหนึ่งคืนก็ได้! ” เฉินต้าเหว่ยพูดขึ้น


ขณะที่กำลังใกล้ไปถึงเมืองผิงชิวนั้น บรรยากาศแห่งความกดดันตั้งแต่เริ่มออกเดินทางมาจนตลอดเส้นทาง เริ่มค่อยๆ ผ่อนคลายลง


เฉินโจวอี้หันไปมองเฉินซิงเยว่พักหนึ่ง พบว่าเธอเริ่มง่วงแล้ว หัวของเธอผงกไปมา เปลือกตาเริ่มลืมไม่ขึ้น


พอคิดดูมันก็ใช่ วันนี้ทั้งวันเธอประสบพบเจอเรื่องมามากมาย เธอตึงเครียดและเป็นกังวลตลอดวัน ในเวลานี้พอเริ่มผ่อนคลาย เธอจึงทนความง่วงต่อไม่ไหว


ในเวลานี้เอง แสงไฟสว่างส่องเข้ามาทางด้านหลังรถ


เฉินโจวอี้หันกลับไปมองพักหนึ่ง ท่ามกลางแสงจ้าที่ส่องสว่างนั้นมีรถยนต์คันหนึ่งกำลังขับมายังด้านนี้อย่างรวดเร็ว


ความเร็วแบบนี้มันขับเกินร้อยแล้วนี่?


เขานิ่งเงียบไปพักหนึ่งแล้วผลักเฉินซิงเยว่


เธอตกใจไปเล็กน้อยแล้วตื่นจากการนอนหลับ ” พี่ มีอะไรเหรอ? “


” ระวัง! ” เฉินโจวอี้พูดขึ้น


สิ้นเสียงพูดของเขา กระจกหลังรถแตกกระจายในทันที หูของเขาได้ยินเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด


เขารีบกดหัวของเฉินซิงเยว่ลง วินาทีต่อมา ตัวรถสั่นสะเทือนดูเหมือนว่ายางรถยนต์จะระเบิด รถพุ่งลงข้างทางอย่างรวดเร็ว


ในรถมีเสียงกรีดร้องดังขึ้น ดีที่เฉินต้าเหว่ยตอบสนองอย่างรวดเร็ว เขารีบควบคุมพวงมาลัยรถแล้วเหยียบเบรก หลังจากเสียงของเครื่องยนต์ดังขึ้น ในที่สุดรถก็หยุดลง


” หมอบลง รีบหมอบลงเร็ว อยู่ในรถห้ามออกมานะ วางใจได้ คนพวกนี้ให้ผมจัดการเอง ” เฉินโจวอี้หมอบลง เขาพูดตะโกนขึ้นพลางรีบหยิบธนูรบขึ้นมาอย่างรวดเร็ว


” ลูกระวังตัวด้วยนะ! ” แม่ของเขาพูดขึ้นอย่างกังวล


” พี่ ระวังตัวด้วย “


เฉินโจวอี้ไม่ได้พูดอะไร เขาหายใจยาวขึ้น หัวใจเต้นรัว


เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด แล้วเงียบเสียงลง


จากนั้นเขาได้ยินเสียงจอดรถของอีกฝ่าย


ในตอนนี้เอง!


เฉินโจวอี้สูดหายใจลึก ๆ แล้วดึงประตูเปิดออก ขณะเดียวกันร่างของเขาพุ่งออกไปราวกับเสือชีตาห์ที่กำลังล่าเหยื่อ


ยังไม่ทันได้ยืนนิ่ง เขารีบดึงคันธนูอย่างรวดเร็วแล้วยิงลูกธนูออกไปในทันที


ห่างออกไปด้านหน้าราวยี่สิบสามสิบเมตร ในรถยนต์สีดำคันหนึ่ง ด้านในรถมีคนนั่งอยู่เต็ม


มือปืนที่นั่งอยู่ฝั่งข้างคนขับหลังจากที่เปลี่ยนแม็กปืนแล้ว เขายื่นมือออกมานอกประตูรถ ขณะที่กำลังจะเตรียมลงจากรถนั้น ลูกธนูแหลมคมดอกหนึ่งพุ่งทะลุกระจกหน้ารถเข้ามาอย่างรวดเร็ว ยิงทะลุหน้าผากเขาพอดี


คนอื่นพอเห็นดังนั้น สีหน้าของพวกเขาดูตกใจอย่างมาก พวกเขารีบหมอบลงอย่างรวดเร็ว


สีหน้าของเฉินโจวอี้ดูเย็นชา เขารีบหยิบลูกธนูออกมาอีกหนึ่งดอกแล้วยิงไปยังคนขับรถ


ธนูรบขนาดห้าร้อยปอนด์ อำนาจทำลายล้างในระยะสั้นของมันเกินจะจินตนาการได้ เหล็กบางของรถยนต์เมื่อเผชิญหน้ากับธนูที่ทรงพลังเช่นนี้ช่างดูเปราะบางราวกับแผ่นอะลูมิเนียม ลูกธนูยิ่งพุ่งตรงไปยังหน้าต่างหน้ารถยนต์โดยตรง เจาะคอนโซลรถเข้าไปแทงทะลุร่างคนขับที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลัง


เฉินโจวอี้ยิงลูกธนูออกไปสิบกว่าดอกอย่างต่อเนื่อง ทันใดนั้นรถทั้งคันเต็มไปด้วยลูกธนูปักอยู่ราวกับขนเม่น


เขาโยนธนูรบทิ้งแล้วดึงดาบออกมา เดินตรงไปยังรถคันนั้น เตรียมไปดูว่ายังมีคนที่เหลือรอดอยู่ไหม


แต่เขาเพิ่งจะเดินไปไม่กี่ก้าว


เรื่องเหนือความคาดหมายเกิดขึ้น


เขาได้ยินเสียงดัง ‘ปัง’


ประตูรถถูกแรงกระแทกปลิวออกไปไกลหลายเมตร ตกลงพื้นส่งเสียงดัง ‘เคร้ง’


ชายสวมสูทสีดำร่างกายแข็งแรงกำยำคนหนึ่ง มือหนึ่งถือดาบ อีกมือหนึ่งถือลูกธนูหนึ่งดอก เดินออกมาจากเบาะหลัง บิดลำคอของเขาไปมา ปากพูดพึมพำ


” คิดไม่ถึงเลยว่าแค่ตามมาดูจะพบเข้ากับยอดฝีมือเช่นนี้ “


เขาก้าวเดินไม่เร็วไม่ช้าเกินไป สีหน้าของเขาสงบนิ่งมาก


ท่าทางการเดินค่อนข้างแปลก แม้ว่าเขาจะก้าวเดินทีละก้าวเหมือนคนธรรมดาทั่วไป แต่ถ้าลองสังเกตดูให้ดี จะพบว่าร่างของเขาไม่มีจังหวะสูงต่ำในการเดิน เขาเดินแบบเป็นเส้นตรงมาเรียบๆ


ถ้าไม่มองที่สองขาของเขา เหมือนกับว่าเขาเลื่อนมา แต่มันก็ให้ความรู้สึกไม่สมดุลอย่างแปลกๆ


” ไอ้ขยะพวกนี้พึ่งไม่ได้จริงๆ ด้วย ยังต้องให้ฉันลงมือด้วยตัวเอง ” เขาเอาลูกธนูในมือโยนทิ้งไป ” อ้อ ใช่แล้ว เมื่อกี้เธอเกือบทำให้ฉันบาดเจ็บได้แล้วนะ “


ในใจของเฉินโจวอี้เริ่มตึงเครียด แต่ปากของเขาไม่แสดงความอ่อนแอออกมา ไม่ใช่ว่าแกเสแสร้งอยู่เหรอ ใครทำไม่ได้กัน?


” งั้นแกน่าจะดีใจนะที่ตัวเองยังมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกสองสามวินาที ไอ้ขยะ! ไอ้หมาตามตูดเทพเถื่อน! ไอ้คนชั่ว! “


” ฮ่าๆๆ หมาตามตูดเหรอ ” ชายชุดดำดูเหมือนจะถูกกระตุ้น ” ยังคงเป็นเด็กกะโปโลสินะ น่าเสียดายที่แกจะเอาชีวิตรอดเกินคืนนี้ไม่ได้ “


” ก่อนตายยังจะพูดมากอีก เข้ามาสิ! “


เฉินโจวอี้พูดเยาะเย้ย เขาดึงดาบออกมาเสียงดัง ‘เคร้ง’ ก่อนจะโยนฝักดาบทิ้ง ร่างของเขาเคลื่อนไหวรวดเร็วดังเงา พุ่งเข้าหาชายชุดดำคนนั้น


เกิดเสียงดัง ” เคร้ง! “


เกิดประกายแสงสาดส่องไปทั่ว กลิ่นเหล็กปะทะกันคละคลุ้งไปทั่ว


ดาบทั้งสองเล่มปะทะกันอย่างรวดเร็ว


ชายชุดดำชักดาบกลับ แล้วพุ่งดาบไปที่ลำคอของเขา


วิชาดาบของเขาดูผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชนมากกว่าเฉินโจวอี้อยู่หลายระดับ ทุกการแทงทุกกระบวนท่าดูไร้ร่องรอยราวกับละมั่งแขวนเขา และยังดูงดงามแต่สามารถทำให้ถึงตายได้


ดีที่เฉินโจวอี้ตอบสนองได้เร็วกว่า เขาก้าวเท้าไปทางด้านขวา ร่างกายของเขาหลบหลีก ขณะเดียวกันก็แทงดาบไปทางชายคนนั้น


เขาเข้าใจผิดมาโดยตลอดว่าความแข็งแกร่งของชาวยุทธอย่างน้อยจะต้องมี 12.7 จุด และนึกว่าความว่องไวจำเป็นต้องมาถึงในระดับนี้เช่นกัน


แต่ในความเป็นจริงเมื่อเทียบกับความแข็งแกร่งแล้ว ความยากในการเพิ่มขึ้นของความว่องไวมีมากกว่าความแข็งแรงอยู่หลายเท่า


ความเร็วระดับนี้เกี่ยวข้องกับความเร็วของการตอบสนองทางประสาท แต่สามสิบหกกระบวนท่าฝึกสมรรถภาพทางกายแบบธรรมดายากที่จะเพิ่มความเร็วของการตอบสนองประสาทอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากการฝึกฝนความเร็วในการตอบสนองอย่างต่อเนื่องแล้ว คงทำได้แค่เพียงพึ่งความสามารถของตัวเอง


แต่ในความเป็นจริง ความว่องไวไปถึงที่ระดับประมาณ 12.3 ก็เป็นมาตรฐานของชาวยุทธแล้ว


แต่ความว่องไวของเฉินโจวอี้มาถึง 13.2 จุดแล้ว ต่อให้อีกฝ่ายเป็นชาวยุทธมานาน แต่ความเร็วในการตอบสนองของเขาไวกว่าชายชุดดำถึงสามเท่า ความเร็วสามเท่านี้สามารถเติมเต็มจุดอ่อนประสบการณ์ด้านการใช้ดาบของเขาได้


ท่ามกลางความมืดมิด ทั้งสองคนเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วเหมือนภูติผีปีศาจ เร็วราวกับกระต่ายที่กระโดดหายไป แสงดาบกระทบกันเหมือนไฟกระพริบเกิดเป็นประกายไฟขึ้นมา


ในการต่อสู้นอกจากตอนแรกที่ทำให้เฉินโจวอี้รู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลแล้ว ในไม่ช้าเขาเริ่มรู้สึกผ่อนคลายขึ้นเรื่อยๆ จนเริ่มกลายเป็นดูเชี่ยวชาญ


หลายวินาทีต่อมา ร่างของเขาแกว่งตัวหลบคมดาบของอีกฝ่ายที่แทงเข้ามา เขาพลิกมือที่จับดาบ จากนั้นก้าวผ่านชายคนนั้นจากด้านข้างด้วยความรวดเร็ว ดาบแหลมคมเคลื่อนไปตามร่างกายของชายคนนั้นด้วยความเร็วสูง เขาค่อยๆ ดึงดาบกลับมา


ทันใดนั้นการต่อสู้หยุดลงในทันที


ทั้งสองคนยืนอยู่ตรงที่เดิมไม่ไหวติง


” เธอ……” ชายชุดดำสบถคำพูดออกมาหนึ่งคำ ตรงบริเวณท้องเกิดเสียงดัง ‘สวบๆ’ ลำไส้จำนวนมากร่วงลงมาจากในท้อง ร่างของเขาเซไปมา จนกระทั่งล้มลงไปที่พื้น


ตอนที่ 66 พักชั่วคราว (1)


การต่อสู้ทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบใช้เวลาเพียงเจ็ดถึงแปดวินาทีก็สามารถตัดสินแพ้ชนะได้แล้ว


การต่อสู้ด้วยอาวุธเหล็กกล้านั้นเป็นสิ่งที่อันตรายและโหดร้าย ไม่เหมือนการต่อสู้ด้วยมือเปล่า ต่อให้จมูกจะบวม เราก็ยังคงสามารถต่อสู้ได้อีกหลายรอบ


การต่อสู้แบบนี้มีแค่เป็นหรือตายเท่านั้น


หลังจากที่ช่องท้องถูกตัดขาด ชายชุดดำยังไม่ตายในทันที เขาล้มลงกับพื้น ดาบของเขาตกไปที่พื้น สองมือสั่นเทาโกยลำไส้ยัดใส่ในท้องอย่าบ้าคลั่ง สีหน้าเต็มไปด้วยความกลัวและความผิดหวัง


” แกมีความสามารถอะไรก็แสดงออกมาอีกสิ ” เฉินโจวอี้เดินเข้าไป ใช้เท้าเตะดาบข้างกายเขาจนลอยไปไกล ป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายตอบโต้ก่อนตาย


ชายชุดดำเงยหน้ามามอง ปากของเขาเต็มไปด้วยเลือด ขณะที่เขากำลังคิดว่าจะพูดอะไรนั้น จู่ๆ เขาก็กระอักเลือดออกมา


” โจวอี้ ลูกกำลังทำอะไรอยู่ ให้แม่ช่วยไหม? ” แม่ของเขาพูดขึ้นด้วยสีหน้าตื่นตระหนก


เนื่องจากมัวแต่จดจ่อกับการต่อสู้ก่อนหน้านี้ เฉินโจวอี้ไม่ได้สังเกตว่าพ่อแม่และน้องสาวลงมาจากรถตั้งแต่เมื่อไร


เขาพูดขึ้นอย่างอ้ำอึ้งในทันที


” เอ่อ ตรงนี้มันนองเลือดนะครับ ไม่ต้องเข้ามากันหรอก เดี๋ยวผมกลับไปครับ “


เขารีบหยุดวางมาดในแบบที่เขาเคยเป็น ดาบในมือพุ่งไปราวกับแสงกระพริบ ตัดคอชายคนนั้นอย่างรวดเร็ว


เลือดขับออกมาจากหลอดเลือดแดง ราวกับสายลมพัดผ่านป่าไผ่


จากนั้นเขามองไปยังลูกธนูที่ปักอยู่ที่รถ


บนลูกธนูมีรอยนิ้วมือของเขา เป็นไปได้ว่าข้อมูลของเขาอาจจะถูกเปิดเผย


เพื่อระวังไม่ให้คนอื่นมาพบ เฉินโจวอี้คิดว่าเขาควรจะเก็บมันกลับมา


เขามองดูเสื้อผ้าบนตัวของตัวเอง มีรอยถูกตัดขาดอยู่มากมาย คงเป็นรอยขาดที่ได้จากตอนที่เขาหลบคมดาบในระยะห่างเพียงมิลลิเมตรก่อนหน้านี้ ดีที่ตามร่างกายของเขาไม่ได้รับบาดเจ็บ


เขาถอดเสื้อผ้า จากนั้นเอามาพันรอบมือ


หลังจากดึงลูกธนูไปสักพัก ไม่นานเขาก็สามารถดึงลูกธนูที่ปักอยู่ตามตัวรถและศพในรถออกมาได้ทั้งหมด


ครั้งนี้พวกเขามากันทั้งหมดสี่คน นอกจากชายชุดดำคนนั้นที่มีพลังระดับชาวยุทธและคนอีกสองคนที่เริ่มโจมตีในตอนแรก เบาะหลังมีคนนั่งอีกหนึ่งคน


แต่เขายังไม่ทันได้โผล่หน้าออกมา ก็ถูกลูกธนูแหลมพุ่งทะลุเบาะด้านหน้าปักเข้าที่กลางอก ตอนนี้เขาไร้ลมหายใจแล้ว


ระหว่างทางกลับ เขาเห็นดาบยาวเล่มนั้นที่ถูกเขาเตะออกไปก่อนหน้านี้ จึงหยิบขึ้นมา นอกจากนี้เขายังพบฝักดาบที่ถูกทิ้งไว้ข้างถนนอีกด้วย


ในช่วงเวลานี้ ตั้งแต่เริ่มจนจบ บนถนนไม่มีรถสักคันผ่านมา


เวลานี้เฉินต้าเหว่ยได้เปลี่ยนยางรถเสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงหันไปตะโกนเรียกเฉินโจวอี้ ” เร็วลูก รีบขึ้นรถ พวกเราจะออกจากตรงนี้แล้ว “


หลังจากเขาหยิบอาวุธมาทั้งหมดแล้วจึงกลับเข้าไปในรถอีกครั้ง พ่อของเขาออกรถในทันที ครั้งนี้เฉินต้าเหว่ยเหยียบคันเร่ง รถขับพุ่งออกไปราวกับลูกธนู ยิ่งขับยิ่งเร็ว


” โจวอี้ ลูก…..ลูกไม่ได้บาดเจ็บใช่ไหม? ” แม่ของเขาได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ ในรถ จึงถามขึ้นอย่างเป็นกังวล


” แม่ครับ วางใจเถอะ เลือดของคนอื่นน่ะครับ ผมไม่ได้เป็นอะไรเลย “


” งั้นก็ดี ดีแล้ว เมื่อกี้แม่เห็นลูกกับชายคนนั้นต่อสู้กัน ใจของแม่ไม่เคยตกลงไปอยู่ตาตุ่มเท่าครั้งนี้มาก่อนเลย ” ครั้งนี้แม่ของเขาไม่ได้พูดถึงเรื่องฆ่าคน นี่มันไม่ได้เห็นอย่างชัดเจนแล้วหรอ? ถ้าลูกชายเธอไม่ฆ่าใคร คนที่ตายก็จะเป็นลูกชายและคนทั้งครอบครัว


พูดจบ ในรถเริ่มเกิดความเงียบ


ท้ายที่สุดแล้วต่อให้เกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ แถมยังฆ่าคนมากมายขนาดนี้ เรื่องกระทบจิตใจที่รุนแรงแบบนี้ ทำไมถึงยังผ่อนคายได้อย่างง่ายดายอีก


สำหรับคนธรรมดาอย่างแม่ของเขาและเฉินต้าเหว่ย เกรงว่าต่อให้ฝันอยู่ พวกเขาก็นึกไม่ถึงว่า จะมีวันหนึ่งที่ครอบครัวต้องมาถูกตามฆ่า ถึงแม้ว่าจะแก้ปัญหาการถูกตามฆ่าได้ชั่วคราว แต่ลูกชายของเขากลับต้องมาฆ่าคนด้วย


….


เฉินโจวอี้นั่งอยู่เบาะหลัง ถือดาบยาวของชายชุดดำ เขาเพ่งมองดูมันอย่างละเอียด


ดาบเล่มนี้ยาวกว่าดาบของเขาประมาณ 10 เซนติเมตร ยาวเกือบ 1.1 เมตร เปล่งแสงแวววาว ตัวดาบราวกับชั้นจาระบีเคลือบแข็ง


เขาเคยเห็นดาบระดับสูงเช่นนี้ในเว็บไซต์ขายอาวุธเหล็กกล้า


พื้นผิวของมันเหมืนจาระบีอัดแข็ง มันเป็นฟิล์มนาโนแข็งที่มีความแข็งแรงสูง


ความแข็งของฟิล์มแข็งนาโนชนิดนี้แข็งแกร่งพอๆ กับเพชร แต่กลับไม่เปราะบางเหมือนเพชร


ดาบชนิดนี้ไม่เพียงแต่มีความคมมาก ตัดได้แม้กระทั่งเส้นผมที่ปลิวไสว อีกอย่างมันไม่กลัวการกัดกร่อนใดๆ โดยปกติไม่จำเป็นต้องดูแลรักษามาก ราคาต่ำสุดที่เขาเคยเห็นในตลาดอาวุธมือสองจะอยู่ที่ราว 300,000 หยวน ถ้าเป็นของใหม่ราคาต่ำสุดจะอยู่ที่ประมาณ 500,000 หยวน


เขาใช้นิ้วมือค่อยๆ ลูบคมดาบอย่างเบามือ ผลปรากฏว่าการปะทะกันหลายครั้งของดาบก่อนหน้านี้ บนมีดดาบไม่ทิ้งรอยบิ่นไว้เลย


แต่พอมาดูดาบของตัวเอง มีรอยบิ่นเต็มไปหมด มีแม้กระทั่งรอยบิ่นลึกถึงหนึ่งเซนติเมตร ถ้าหากเวลาในการต่อสู้นานกว่านั้นเล็กน้อย หรือตัวดาบเปราะกว่านี้อีกหน่อย มีหวังถูกฟันขาดแน่


และถ้าดาบเกิดถูกฟันขาดขึ้นมา พอถึงตอนนั้นเกรงว่าจุดจบคงจะเป็นอีกแบบ


ดีที่เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดขึ้น


เขาชอบที่จะเล่นกับมันอีกสักพัก แล้วเสียบมันลงฝักดาบอีกครั้ง


ตอนนี้ดาบเล่มนี้กลายเป็นของเขาแล้ว


….


หลังจากขับรถมาได้สิบกว่านาที พวกเขาค่อยๆ เข้าใกล้เมืองผิงชิวขึ้นเรื่อยๆ


เมืองผิงชิวเหมือนกับเมืองตงหนิง เป็นเมืองเล็กๆ เหมือนกัน แต่มีการพัฒนาดีกว่าเมืองตงหนิงอยู่มาก อุตสาหกรรมได้รับการพัฒนา ธุรกิจเจริญรุ่งเรือง ประชากรในเมืองมีจำนวนมากกว่าหนึ่งล้านคน


แน่นอนว่านั่นมันคือเมื่อก่อน


….


” พ่อครับ ไม่ต้องเข้าไปในเมืองแล้ว ด้านหน้ามีหมู่บ้านหรือเปล่า? “


” มี มี ด้านหน้าเป็นหมู่บ้านที่อยู่หัวเมือง เมื่อก่อนพ่อเคยมาอยู่สองสามครั้ง! “


” อย่าเพิ่งเข้าไปเลยครับ ลองหาที่ที่อยู่ไกลสักหน่อยจอดพักชั่วคราวดีกว่าครับ “


หมู่บ้านเล็กๆ ที่นี่ไม่เหมือนในชนบท ประชากรไหลเข้ามาอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ไม่เหมือนกับเขตเมืองที่มีการจัดการที่เข้มงวด แถมมีการการลาดตระเวนอยู่ทุกหนทุกแห่งบนถนน ดังนั้นที่นี่จึงเหมาะที่จะแวะพักชั่วคราว


เฉินต้าเหว่ยไม่ได้ถามอะไรมาก หลังจากผ่านพ้นเรื่องราวมามากมาย เขาก็ไม่มองลูกชายตัวเองเป็นเด็กน้อยอีกเลย


เขาเลี้ยวรถ ขับตรงไปยังถนนเส้นเล็กที่อยู่ไกลออกไป หลังจากขับต่อไปประมาณหนึ่งนาที จึงจอดรถ


ที่นี่สองข้างทางคือทุ่งนา ห่างจากเขตเมืองประมาณหนึ่งถึงสองกิโลเมตร


” พ่อคิดว่าไม่ต้องไปหาโรงแรมแล้ว นอนในรถสักคืนดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยไปหาที่อยู่ ” เฉินต้าเหว่ยพูดขึ้นด้วยความกังวล


ตอนนี้พวกเขาเป็นฆาตกร หากให้ไปนอนโรงแรมอย่างโจ่งแจ้งล่ะก็ เขาไม่มีกะจิตกะใจแบบนี้จริงๆ ถ้าหากถูกตำรวจเรียกตรวจเข้า เขากังวลว่าตัวเองจะเผยพิรุธออกมา


ขณะที่แม่ของเขากำลังเตรียมจะตอบตกลงนั้น เฉินโจวอี้รีบพูดปฏิเสธทันที


” ไม่ได้ครับ บนรถของพวกเรามีรอยกระสุน พอถึงตอนนั้นถ้าตำรวจเห็นเข้า ก็จะรู้ว่ามันไม่ถูก! พวกเรารีบเอาเงินและสัมภาระที่จำเป็นออกมา จากนั้นก็ทิ้งรถไป เอาป้ายทะเบียนไปด้วย ค่อยหาที่ทิ้งเอา “


เฉินโจวอี้ไม่รู้ว่าอำนาจการแทรกซึมของลัทธินอกรีตมีมากน้อยแค่ไหน แต่ถ้าระวังไว้ก่อนก็จะดี


” แต่ว่า….” แม่ของเขาเริ่มรู้สึกเสียดาย


ทันใดนั้นเฉินต้าเหว่ยตอบโต้ทันที ลูกพูดถูกแล้ว ในเวลานี้คุณยังจะสนใจของนอกกายอีกทำไม? ขอแค่คนในครอบครัวปลอดภัยก็พอแล้ว!


ในเวลานี้เอง จู่ๆ เฉินซิงเยว่ก็ร้องไห้ออกมา อารมณ์ของเธอเริ่มไม่มั่นคง


” ฮือๆๆ…..ทั้งหมดนี้ต้องโทษหนู…..ต้องโทษหนู! ถ้าหากตอนนั้นหนูไม่หนีออกมา หนูก็ไม่ต้องมาทำให้ทุกคนต้องเหนื่อย ไม่ต้องมาทำให้ทุกคนต้องหวาดกลัว “


เฉินโจวอี้รู้สึกว่าความคิดเด็กๆ ของน้องสาวทั้งน่าโมโหและน่าขำในเวลาเดียวกัน เขาจึงรีบพูดปลอบเธอ ” อย่าโง่ไปหน่อยเลย พวกมันอยากฆ่าเธอ เธอก็จะยอมยื่นคอให้มันฆ่าแต่โดยดีหรอ อีกอย่างเธอคือน้องสาวของพี่ ถ้าเธอตาย เธอคิดว่าพี่จะปล่อยพวกมันไว้เหรอ? “


” ใช่แล้ว ลูกนี่นะคิดอะไรอยู่เนี่ย คนในครอบครัวต้องรักใคร่กลมเกลียวกัน จะเหนื่อยหรือไม่เหนื่อยก็ช่างมัน ถ้าหากลูกตาย ต่อให้พ่อของลูกกับแม่ต้องฟันหัก ยังไงแม่ก็จะกัดพวกมันสักที “


” พวกเธอพูดแต่เรื่องความตายทำไม? ซิงเยว่ ลูกอย่าคิดฟุ้งซ่านไปเลย! “


เฉินซิงเยว่รีบเช็ดน้ำตา แต่ยิ่งเช็ดก็ยิ่งไหล กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่


….


หลังผ่านไปสิบกว่านาทีเต็มๆ ทั้งสี่คนจึงจะถือกระเป๋าของตัวเองออกมาจากรถ เฉินซิงเยว่ยังคงตาแดงกล่ำ


” รอก่อนครับ พ่อครับ ผมขอไฟแช็กหน่อย ” เฉินโจวอี้พูดขึ้น


เฉินต้าเหว่ยไม่เข้าใจ แต่ก็หยิบไฟแช็กยื่นให้เขา


พอเฉินโจวอี้รับมา เขากลับเข้าไปในรถอีกครั้ง หลังจากเขาออกมาจากรถ เกิดกลุ่มควันพวยพุ่งออกมาจากหน้าต่างรถ


เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาตกใจของทุกคน เขาส่งไฟแช็กคืนให้พ่อของเขาแล้วพูดว่า ” ต้องมั่นใจไว้หน่อย รีบไปกันเถอะ ถ้าถูกตำรวจเห็นเข้าจะซวยเอา “


ตอนที่ 67 พักชั่วคราว (2)


เวลาใกล้ดำเนินมาถึงช่วงเที่ยงคืน


ท่ามกลางแสงจันทร์ส่องสว่าง ทั้งครอบครัวสี่คนพ่อแม่ลูกกำลังรีบเดินอย่างรวดเร็ว


เปลวไฟที่อยู่ไกลออกไปเริ่มโหมกระหน่ำขึ้นเรื่อยๆ รถยนต์ทั้งคันถูกไฟเผา


ดีที่ตรงนี้เป็นชนบทอยู่ในพื้นที่ห่างไกล อีกอย่างเป็นเวลากลางดึกอันเงียบสงัด ไม่มีใครสนใจ


ระหว่างที่เดินผ่านแม่น้ำสายหนึ่ง เฉินต้าเหว่ยโยนป้ายทะเบียนรถทิ้งลงแม่น้ำไป


หลังจากเดินมาได้ครึ่งชั่วโมง ในที่สุดทุกคนก็เดินมาถึงหมู่บ้านในเมือง ยังไม่ทันหาที่อยู่ได้ ก็ถูกตำรวจลาดตะเวนเรียกให้หยุด


” ดึกขนาดนี้พวกคุณมาทำอะไรกัน? ” ตำรวจลาดตระเวนนายหนึ่งส่องไฟฉายกวาดมาที่พวกเขา


ดีที่ตลอดทางเป็นไปอย่างที่เขาคิด และเขาได้เตรียมใจพร้อมรับมือกับสถานการณ์แบบนี้แล้ว จึงพูดขึ้นอย่างใจเย็น ” รถพวกผมพังอยู่บนถนนน่ะครับ จึงเตรียมหาที่พักชั่วคราวก่อน “


ตำรวจมองสำรวจทั้งผู้ใหญ่และเด็กวัยรุ่นที่มาด้วย แต่ละคนต่างถือกระเป๋าสัมภาระของตัวเอง สำเนียงที่พูดยังเป็นสำเนียงของที่นี่อีกด้วย จึงไม่ได้สงสัยแถมยังให้คำแนะนำอย่างเป็นมิตร


” ตอนนี้ที่แห่งนี้หาที่อยู่ยาก ลองไปเคาะประตูถามตามโรงแรมเล็กๆ เถ้าแก่น่าจะเปิดประตูให้อยู่นะครับ! “


” ขอบคุณมากๆ ครับ งั้นไม่รบกวนคุณแล้ว พวกเราไปก่อนนะครับ! “


” อืม ระวังด้วยนะครับ พักนี้การจัดระเบียบทางกฎหมายไม่ค่อยดี ถ้าเจอคนเลวให้ตระโกนดังๆ นะครับ ปกติพวกเราลาดตะเวนบริเวณใกล้เคียงนี้แหละครับ ” ตำรวจพูดขึ้น


ทุกคนตกตะลึงไปพัก แล้วรีบออกไปจากตรงนี้


ในที่สุดเฉินโจวอี้ก็ค้นพบว่า แม่ของเขาที่ดูแข็งแกร่งเวลาอยู่บ้าน ที่จริงแล้วเป็นคนแข็งนอกอ่อนใน พอเผชิญหน้ากับเหตุการณ์แบบนี้ เธอดูทำอะไรไม่ถูก สีหน้าของเธอดูแข็งทื่อ


ยังดีที่พ่อของเขายังใจกล้า


ไม่อย่างนั้นคงมีแค่เขาที่ออกโรงได้ แต่เขาไม่ใช่ผู้ใหญ่ จะถูกสงสัยเอาได้ง่าย


ดีที่ทั้งหมดแค่น่าตกใจแต่ไม่มีเหตุอะไร


จากนั้นทุกคนหาโรงแรมอยู่สองสามแห่ง สุดท้ายเปิดอยู่โรงแรมเดียว


เถ้าแก่เจ้าของโรงแรมเป็นชายชราคนหนึ่ง เขาจุดเทียน เปิดม่านหน้าต่างมองมายังทั้งสี่คน ถึงจะเปิดประตู แล้วพูดขึ้นอย่างหงุดหงิดว่า ” ดึกขนาดนี้ ยังจะมาเปิดห้องนอนอีก! เอากี่ห้อง? “


” สามห้องแล้วกัน! ” เฉินต้าเหว่ยพูดขึ้น


” ทั้งหมด 120 หยวน จ่ายมัดจำอีก 100 หยวน อ้อ เทียนต้องจ่ายแยกนะ? พวกคุณจะเอากี่เล่ม? “


” สามเล่มแล้วกัน แล้วก็ไฟแช็กอีกสองอันครับ ” เฉินต้าเหว่ยพูดขึ้น


” ทั้งหมด 330 หยวน พักนี้เทียนขึ้นราคา ถ้าจะใช้น้ำก็มาเอาตรงนี้นะ ห้องน้ำอยู่ตรงทางเดิน พวกคุณเอาเทียนนี่ไปแล้วกัน “


ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ ชายชราไม่ได้พูดถึงเรื่องบัตรประชาชน ทำให้พวกเขาทุกคนต่างโล่งใจ


….


สำหรับโรงแรมราคา 40 หยวนต่อคืน อย่าไปคาดหวังเลยว่ามันจะดีแค่ไหนหรือถูกสุขลักษณะแค่ไหน


แต่สำหรับครอบครัวของเฉินโจวอี้แล้ว ในเวลานี้ขอแค่มีที่ซุกหัวนอน พวกเขาก็พอใจมากแล้ว จะไปหวังอะไรมากกว่านี้อีกล่ะ


ห้องของเฉินซิงเยว่


แม่กุมมือของเฉินซิงเยว่และพูดขึ้นอย่างไม่ค่อยวางใจว่า ” อย่าคิดมากเลยลูก พักผ่อนเร็วๆ เรื่องมันผ่านมาแล้ว “


” ใช่แล้ว รอให้อะไรมันสงบขึ้น ครอบครัวของเราจะเปิดร้านอาหารอีกครั้ง พอถึงตอนนั้น ทุกอย่างจะเป็นเหมือนเดิม ” เฉินต้าเหว่ยพูดขึ้น


เฉินซิงเยว่พยักหน้า พูดด้วยน้ำตาคลอ ” พ่อคะแม่คะ พี่ด้วย หนูไม่เป็นอะไร พวกเรารีบพักผ่อนกันเถอะ”


พ่อกับแม่พูดอะไรต่ออีกพักจึงลุกขึ้น


เฉินโจวอี้กลับห้องของตัวเองเช่นกัน


เขาเอนกายลงนอนบนที่นอนที่ค่อนข้างจะไม่คุ้นเคย แล้วค่อยๆ ถอนหายใจเบาๆ


หนึ่งวันก่อนเขายังพิจารณาว่าจะแก้ปัญหาอันตรายของอุโมงค์มิติอย่างไรดี คิดกวาดล้างเรือไม้แคนูทุกลำของพวกคนเถื่อนรวมถึงไปหาจางเซียวเยว่ แต่วันต่อมาเขาถูกบังคับให้ซ่อนตัวในหมู่บ้านที่ไม่รู้จักของเมืองหนึ่ง


ชีวิตไม่เคยก้าวหน้าได้ในเส้นทางที่คุณวางแผน


เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนต้นแหนที่ไร้ราก ปล่อยตัวให้ลอยไปตามสายลมหรือคลื่นน้ำเล็กน้อย ทำให้เขาต้องลอยไปเรื่อยๆ ไม่มีที่ให้ไป


ท้ายที่สุดเป็นเพราะเขายังไม่มีอิทธิพลต่อสังคม


เขามีความสามารถของชาวยุทธ แต่กลับไม่มีสถานะทางสังคมที่สอดคล้องกัน คำพูดของเขาจึงไร้ค่า ถ้าเขาเป็นชาวยุทธที่ได้รับการจดทะเบียนถูกต้อง พวกนับถือลัทธินอกรีตพวกนั้นจะกล้าจัดการครอบครัวเขาอย่างโจ่งแจ้งได้ไง? พวกเขายิ่งไม่ต้องหลบซ่อนตัวเช่นนี้ และไม่ต้องกลัวที่จะถูกเปิดเผยข้อมูล


คนที่กลัวจะถูกเปิดเผยข้อมูลควรจะเป็นพวกนับถือลัทธินอกรีตพวกนั้น ไม่ใช่พวกเขา!


คิดถึงตรงนี้ เขาอดที่จะหดหู่ใจไม่ได้


น่าเสียดาย เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่ชาวยุทธที่ลงทะเบียนไว้อย่างถูกต้อง เขาไม่ใช่แม้แต่ชาวยุทธฝึกหัด


แม้แต่ดูจากอายุ เขายังเป็นแค่ผู้เยาว์ที่ไม่มีสิทธิ์ทางการเมือง


” ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไรกว่าจะฟื้นฟูการทดสอบชาวยุทธฝึกหัดได้ “


ไม่ใช่เฉินโจวอี้ไม่อยากจะทดสอบชาวยุทธโดยตรง แต่มีแค่การผ่านการทดสอบของชาวยุทธฝึกหัดเท่านั้น ถึงจะมีคุณสมบัติในการสอบชาวยุทธ อีกอย่างไม่สามารถทำการทดสอบที่เมืองตงหนิงหรือที่ผิงชิวซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ เช่นนี้ได้ เขาจำเป็นต้องไปทำการทดสอบที่สำนักงานชาวยุทธสาขาย่อยที่มณฑลเจียงหนาน


….


ในที่สุดเวลานี้เขาก็นึกถึงเด็กหญิงเปลือกหอยขึ้นมา


ตั้งแต่เธอถูกทับ เขาเองก็ยังไม่เคยสำรวจให้ละเอียดว่าเด็กหญิงเปลือกหอยได้รับบาดเจ็บหรือเปล่า


เขารีบหยิบกระเป๋าเอกสารขึ้นมา เปิดซิป กลับพบว่าเธอกำลังนอนหลับสนิท


เขาหยิบเด็กหญิงเปลือกหอยออกมาจากข้างใน แก้เชือกที่มัดเธอไว้แล้วแกะเทปบนใบหน้าของเธอ


” ไอ้คนตัวยักษ์#¥# นายปลุกฉันทำไมเนี่ย ” เด็กหญิงเปลือกหอยตกใจจนตื่น พูดตะโกนด้วยความโมโห


ในฐานะที่เด็กหญิงเปลือกหอยเป็นสิ่งมีชีวิตจากโลกที่แตกต่าง เวลานอนของเธอจึงค่อนข้างยาว เธอนอนแต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 17-18 ชั่วโมง ซึ่งถือเป็นเวลานอนปกติของเธอ


เดิมทีเฉินโจวอี้นึกว่า เธออาจจะพูดถึงเรื่องที่เธอเกือบจะโดนทับตาย แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะรำคาญที่เขาปลุกเธอ ดูแล้วเธอไม่เป็นอะไรสักนิด


ที่ไหนได้สิ่งมีชีวิตจากโลกที่แตกต่างแข็งแรงได้ขนาดนี้


” เธอไม่หิวเหรอ? “


เด็กหญิงเปลือกหอยคิดไปสักพัก จึงพูดขึ้นว่า ” หิวสิ! “


งั้นก็ไม่กังวลแล้ว


เฉินโจวอี้หยิบน้ำผึ้งออกมาจากในกระเป๋า แช่ในน้ำเดือด


เด็กหญิงเปลือกหอยเป็นคนที่คิดอะไรง่ายๆ โกรธง่ายหายเร็ว ในเวลานี้เธอลุกขึ้นยืน มองสำรวจรอบด้านอย่างสงสัย ” คนตัวยักษ์ ทำไมเธอเปลี่ยนสถานที่นอนอีกแล้วล่ะ? “


เฉินโจวอี้ไม่อยากตอบคำถามอันแสนเศร้านี้ จึงเอาช้อนวางไว้บนโต๊ะข้างเตียง


” รีบกิน กินเสร็จแล้วจะได้นอน! “


เด็กหญิงเปลือกหอยรีบวิ่งมา จากนั้นกระโดดขึ้นไปบนโต๊ะข้างเตียง


หลังจากที่เธอกินเสร็จแล้ว เฉินโจวอี้เอาเด็กหญิงเปลือกหอยวางไว้บนเตียงริมหน้าต่าง ดับเทียนแล้วนอนลงบนเตียง


เขาหลับตาลงและหลังจากฝึกฝน ” การเข้าสู่สมาธิเพื่อฝึกตน ” เสร็จแล้ว


เขาทนความง่วง เข้าสู่อุโมงค์มิติเพื่อมองดูการต่อสู้ของคนชุดดำ


ในการต่อสู้ครั้งก่อน เขาดูเหมือนจะชนะได้ง่าย แต่ในความเป็นจริงมันกลับลุ้นระทึกมาก หากเขาประมาทเพียงเล็กน้อย หรือผิดพลาดเพียงนิดเดียว คนที่ตายมีโอกาสสูงที่จะเป็นเขา


แม้ว่าในตอนนี้เขาจะมองการต่อสู้ในครั้งนี้ในฐานะมุมมองคนที่สาม มือของเขายังชุ่มเหงื่อ รู้สึกว่าเขากำลังเดินอยู่บนขอบนรก


เมื่อเทียบกับการพุ่งโจมตีกับหัวหน้าคนเถื่อนในครั้งนั้น การต่อสู้ด้วยอาวุธเหล็กกล้าเช่นนี้ มันตื่นเต้นลุ้นระทึกมากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย แทบไม่มีโอกาสให้พักหายใจ


ทักษะดาบของชายชุดดำคนนี้อยู่ในระดับที่สูงมาก กระบวนท่าต่างๆ ที่หลั่งไหลออกมาไม่ได้มีกฎเกณฑ์อะไรมากมาย ส่วนกระบวนท่าดาบที่ได้มาตรฐานยังไม่ค่อยชัดเจนในร่างกายเขาเท่าไร ระหว่างกระบวนท่ามีการเชื่อมไหวกันอย่างลื่นไหลและเป็นธรรมชาติ ไม่มีติดขัด ระหว่างกระบวนท่าตั้งแต่มือจนถึงเท้าต่างสามารถแสดงพลังมหาศาลออกมาได้


เขามองดูไปสักพัก จึงรีบใช้จิตเข้าสู่ร่างกายของชายชุดดำคนนี้


ความรู้สึกแรกคืออ่อนแอเล็กน้อย อ่อนแอกว่าร่างกายของเขาเองเสียอีก


ความรู้สึกที่สองคือการทำงานประสานกัน ทั้งร่างกายมีการทำงานประสานกันดีมาก กล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างกายราวกับน้ำมัน การเคลื่อนไหวแต่ละรายละเอียดสามารถขับให้กล้ามเนื้อทั่วร่างกายทำงานได้เป็นอย่างดี


เห็นได้ชัดว่าความสามารถของชายชุดดำในการควบคุมกล้ามเนื้อร่างกายอยู่ในระดับที่เหลือเชื่อและได้กลายเป็นสัญชาตญาณของเขาอย่างสมบูรณ์


ในความเป็นจริงมีมาตรฐานขั้นพื้นฐานอยู่สองข้อสำหรับการเป็นชาวยุทธ หนึ่งคือสมรรถทางกายภาพไปถึงระดับชาวยุทธ อีกมาตรฐานหนึ่งก็คือสามารถฝึกกายเนื้อให้เข้าสู่ขั้นการทำสมาธิเพื่อฝึกตน อย่างแรกเขาฝึกได้ตั้งนานแล้ว อย่างหลังพึ่งฝึกได้ไม่นาน


แน่นอนว่ามาตรฐานทั้งสองอย่างนี้ มีแค่อย่างแรกเท่านั้นที่อยู่ในมาตรฐานความแข็งแกร่ง แต่อย่างหลังน่ะหรอ มันเป็นเพียงแค่วิธีในการบรรลุพลังการต่อสู้ที่ทรงพลังของชาวยุทธเท่านั้น


อย่างเช่นเฉินโจวอี้นี้ เขาสามารถต่อสู้หนึ่งต่อหนึ่งได้อย่างสบายๆ ฆ่าชาวยุทธตายไปหนึ่งคนด้วย แน่นอนว่าเขาคือชาวยุทธคนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย


เขาเข้าใจความรู้สึกของการควบคุมกล้ามเนื้อร่างกายอย่างแม่นยำ แต่ไม่นานเขาก็ไม่สามารถระงับความเหนื่อยล้าของจิตได้ จึงค่อยๆ หลับไป


ตอนที่ 68 พักชั่วคราว (3)


เช้าวันถัดมา เฉินโจวอี้ไปหาบ้านเช่ากับพ่อและแม่


บ้านเช่ากลับหาไม่ยาก เพราะด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่ไม่มีไฟฟ้าและขาดแคลนคำสั่งซื้อเช่นนี้ โรงงานส่วนใหญ่ปิดตัวลง แรงงานข้ามชาติหลายคนรีบกลับบ้าน ดังนั้นจึงมีบ้านว่างให้เช่าอยู่เป็นจำนวนมาก


” ไอ้หยา คุณคะ ถูกกว่านี้ไม่ได้แล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อนค่าเช่า 1500 หยวนคนนี่แย่งกันเช่าเลย ตอนนี้แค่ 1200 หยวนเอง ถูกมาแล้ว ” เจ้าของบ้านเป็นหญิงวัยกลางคนที่แต่งตัวดี อายุประมาณสี่สิบปี เธอดูสุภาพเรียบร้อย ดูเหมือนพวกมีการศึกษา


อย่างไรก็ตามเรื่องการต่อรองราคาไม่เกี่ยวข้องกับสุภาพหรือไม่สุภาพ นี่คือความสามารถของหญิงวัยกลางคนทุกคน


” คุณก็พูดเองว่านั่นมันเมื่อก่อน ตอนนี้ใครจะมาเช่าบ้านกัน ถ้าหากพวกเราไม่เช่า คุณก็ทำได้แค่ปล่อยให้ที่นี่ว่าง 1000 หยวนพอ มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว ” แน่นอนว่าความสามารถด้านการต่อราคาของแม่เขาไม่ได้ด้อยไปกว่าใคร


” ไอ้หยา นี่ไม่ใช่แค่เรื่องชั่วคราวหรือไง ไฟฟ้าไม่ขัดข้องตลอดหรอก รอให้ไฟมา ราคาบ้านก็จะเพิ่มสูงขึ้น “


” การซื้อขายก็ต้องดูที่ราคาตลาด ไม่ใช่ดูที่ความสามารถในการขึ้นราคา ถ้ารอให้ไฟมา ก็ยังไม่รู้เลยว่าตอนไหน? “


….


หญิงวัยกลางคนทั้งสองคนเริ่มการเจรจาต่อราคาอย่างดุเดือด


เฉินโจวอี้และน้องสาวรวมถึงเฉินต้าเหว่ยยืนอยู่ด้านข้างอย่างอ้ำอึ้ง หาจังหวะพูดแทรกทั้งสองคนไม่ได้


ผ่านไปประมาณสิบนาทีกว่า ในที่สุดแม่ของเขาก็มีทักษะเหนือชั้นกว่า เธอสามารถต่อรองราคาจ่ายค่าเช่าเดือนละ 1000 หยวนได้สำเร็จ


ตัวบ้านเป็นบ้านห้าชั้นที่สร้างขึ้นมาเอง ชั้นสี่ขึ้นไปเป็นที่อยู่อาศัยของเจ้าของบ้าน ชั้นหนึ่งให้อีกครอบครัวหนึ่งเช่าอยู่


ชั้นที่สองและชั้นที่สามยังว่างอยู่ ครอบครัวของเฉินโจวอี้จึงเลือกเช่าชั้นสาม


เพื่อไว้สำหรับให้เช่าโดยเฉพาะ เจ้าของบ้านจึงตั้งใจทำบันไดลอยฟ้าไว้นอกบ้าน ทำให้ไม่มีปัญหาอะไรถ้าต้องผ่านชั้นหนึ่ง


เพราะสัมภาระค่อนข้างน้อย ตอนย้ายของเข้าจึงไม่ได้ใช้เวลานาน


แต่การซื้อของในวันต่อไปกลับใช้เวลาทั้งวัน ไม่ว่าจะเป็นพวกหม้อกระทะ น้ำส้มสายชู น้ำมันและเกลือ หรือของใช้ในชีวิตประจำวัน ผ้าห่ม หมอน ทุกอย่างต้องซื้อใหม่หมด แม้กระทั่งเสื้อสำหรับใส่หลังฤดูใบไม้ร่วงก็ต้องหาซื้อใหม่


ตอนกินข้าวเย็น



เฉินโจวอี้เห็นแม่ของเขาเอาแต่ขมวดคิ้วจนผูกเป็นปม จึงถามขึ้น ” แม่ครับ ไม่มีเงินแล้วใช่ไหม? “


” นี่เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ลูกไม่ต้องสนใจหรอก ” แม่ของเขาพูดไปตามเคยชิน แต่หลังจากพูดเสร็จก็รู้สึกว่ามันไม่ถูกต้อง


เมื่อคืนเธอนอนไม่หลับพลิกไปพลิกมาทั้งคืน ไม่ใช่เพราะเธอเป็นกังวลหรือกลัว เวลาส่วนใหญ่ที่เธอนอนไม่หลับ เธอมัวแต่เอามาคิดเรื่องที่ลูกชายของเธอฆ่าคนแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มองชีวิตคนเหมือนสิ่งของ


ถึงแม้ว่าลูกชายจะช่วยที่บ้านเชือดไก่ฆ่าปลามาตั้งแต่เด็ก


แต่การฆ่าคนมันไม่เหมือนกัน ต่อให้เธอและสามีมองดูจากที่ไกลๆ ยังมองดูด้วยความตื่นตระหนกสับสน และอกสั่นขวัญหาย


ผลก็คือลูกชายของเธอหลังจากเกิดเหตุการณ์นั้นแล้วกลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาไม่เพียงแต่จัดการการต่อสู้อย่างใจเย็น แต่ยังดึงลูกธนูออกมาจากศพทีละดอกด้วย


เธอรู้สึกได้ว่านี่ต้องไม่ใช่ครั้งแรกที่ลูกชายฆ่าคนอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่มีท่าทีใจเย็นเช่นนี้แน่


ในเมื่อสามารถฆ่าคนได้ การปล้นคงเป็นอะไรที่ง่ายกว่า


ถ้าหากคิดว่าครอบครัวไม่มีเงินแล้ว ลูกชายของตัวเองจะไปออกปล้นไหม?


เธอยิ่งคิดยิ่งไม่สบายใจ จึงรีบพูดขึ้น ” ตอนนี้เงินยังมีพอในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แม่กังวลเรื่องตอนที่จะถอนเงินออกมา มันจะลำบากไหม? “


เฉินโจวอี้พูดขึ้นโดยไม่เอะใจ ” ช่วงนี้ไม่ต้องไปถอนเงินแล้วครับ จะได้ไม่ถูกเปิดเผยข้อมูล ถ้าหากไม่มีเงิน ในมือของผมยังพอมีอยู่เล็กน้อย “


” ลูกมีเท่าไร? ” แม่ของเขารีบถามขึ้น


” เกือบหนึ่งหมื่นหยวนครับ! ” เงินหนึ่งหมื่นหยวนก้อนนี้เป็นเงินที่เขาถอนออกมาจากธนาคารครั้งที่แล้ว ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมาเขาใช้ไปแค่ไม่กี่ร้อยหยวน


แม่ของเขาได้ยินดังนั้นจึงโล่งใจ แล้วฟังเฉินโจวอี้พูดต่อ ” อีกอย่างผมยังมีทองคำอยู่สองสามก้อน ถ้าหากเอาไปขายน่าจะขายได้ประมาณสองสามหมื่นหยวนครับ “


เขาไม่กล้าพูดอะไรมากมาย กลัวว่าจะทำให้พ่อกับแม่ของเขาตกใจ


ในความเป็นจริงช่วงเวลานี้เขาสะสมทรายทองคำได้มากกว่าสองกิโลกรัม ถึงแม้ว่าความบริสุทธิ์ของทรายทองคำเหล่านี้จะมีเพียง 80% เท่านั้น แต่ก็สามารถขายในตลาดมืดได้ประมาณ 300,000 หยวน หากเพิ่มเงินฝากในบัญชีเข้าไปด้วย ตอนนี้เขามีอย่างน้อยราวๆ 500,000 หยวนแล้ว


” ลูกไปเอาทองคำมาจากไหน? ” แม่เขาพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง ” ใช่แล้ว แม่ยังไม่ได้ถามลูกเลยว่ามีดาบกับธนูได้อย่างไร? “


เฉินซิงเยว่อดมองไปยังพี่ชายของเธอไม่ได้ เธออยากจะดูว่าพี่ชายของเธอจะโกหกเหตุผลอะไรออกมา


” เอ่อ ที่จริงทองคำเป็นทองคำธรรมชาติ ผมเก็บมาได้จากในกระแสน้ำ ขายได้เงินเล็กน้อยจึงเอามาซื้อธนูกับดาบครับ ” เฉินโจวอี้อ้ำอึ้ง เขารีบพูดคำพูดแก้ตัวที่เขาเตรียมไว้อย่างคร่าวๆ


” จ่ายไปเท่าไร? ” แม่ของเขาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง


ปัจจุบันเธอไม่เชื่อคำพูดของลูกชายคนนี้สักคำ


ทองคำที่เก็บมาได้จากกระแสน้ำงั้นหรอ ถ้ามีทองคำจริงคงถูกคนอื่นเก็บไปหมดแล้ว จะเหลือมาถึงลูกหรือไง?


เมื่อก่อนลูกชายคนนี้เป็นเด็กดีมาก เชื่อฟังเธอมากที่สุด เขาไม่เคยกล้าออกนอกลู่นอกทาง


แต่ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่กลายเป็นลูกชายที่ตัวเองไม่รู้จักไปเสียแล้ว


ถ้าหากไม่เกิดเรื่องในครั้งนี้ขึ้น ใครจะไปคิดล่ะว่าลูกชายของตัวเองจะมีมุมนี้ด้วย คาดว่าสองคนนั้นที่มาสอดแนมครอบครัวของเธอเมื่อคืนวานคงไม่ถูกทำให้สลบหรอก แต่ถูกลูกชายฆ่าตายไปแล้ว


” แสนกว่าหยวนครับ เป็นของมือสองหมดเลย ” เฉินโจวอี้พูดขึ้น เพื่อเป็นการพิสูจน์จึงกลับไปห้องของตัวเอง หยิบเอาทองคำขนาดใหญ่สองสามก้อนจากกระเป๋าเล็กๆ แล้วนำกลับไปวางไปบนโต๊ะ ส่งเสียงดังเคร้ง


” ตอนแรกผมเจอเยอะมาก แต่ตอนนี้เหลือแค่นี้แล้ว “


” งั้นลูกซื้อดาบและธนูมาทำอะไร? “


แม่ของเขามองดูทองคำอยู่พักหนึ่ง ยังไม่ทันได้ถามต่อก็ถูกเฉินต้าเหว่ยพูดตัดบทเอาเสียก่อน


” ไม่ต้องถามแล้ว โจวอี้ ลูกเก็บทองคำของลูกไปเถอะ พ่อกับแม่ของลูกยังไม่แก่ ยังพอเลี้ยงดูครอบครัวนี้ได้ “


” ตอนนี้ลูกโตแล้ว มีความลับของตัวเองแล้วเช่นกัน พวกเราก็จะไม่ถามไปมากกว่านี้แล้ว อีกอย่างพ่อกับแม่ของลูกเป็นคนธรรมดา คงสอนอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ แต่จำไว้ว่าลูกต้องมีขีดจำกัดในตัวเอง อย่าทำสิ่งผิดกฎหมายเป็นอันขาด “


เฉินโจวอี้ได้ฟังจึงเกิดความประทับใจ เขารีบพยักหน้าตอบ ” รู้แล้วครับพ่อ! “


….


ในห้องนอนตอนกลางคืน เฉินโจวอี้นั่งอยู่บนเก้าอี้ กลั้นหายใจและจ้องไปที่แสงเทียน


แสงเทียนแกว่งไปมาเล็กน้อย


” ที่แท้มันยังคงมีพลังอันเบาบางอยู่เล็กน้อยนี่เอง ถึงแม้ว่ามันเกือบจะเหมือนกันก็ตาม ” เฉินโจวอี้คิดในใจ


หลังจากที่กลับมายังโลกมนุษย์ ความสามารถพิเศษ ” ควบคุมสภาพอากาศ ” ในแผงคุณสมบัติของเขาได้หายไป แต่เขาพบว่าพลังแบบนี้ไม่ได้หายไปทั้งหมด เขายังคงสามารถรบกวนการทำงานของอากาศได้เล็กน้อย


เพียงแต่เนื่องจากความสามารถยังอ่อนแอเกินไป ทำให้ไม่ปรากฏขึ้นบนแผงคุณสมบัติ


ผ่านไปสักพัก เขาชักดาบออกมา


เขานึกถึงความรู้สึกในการกระตุ้นครั้งที่แล้วได้ เขาเพ่งสมาธิทั้งหมดไปที่มัน ทั้งหมดนี้ใช้เพียงเปลวไฟเล็กน้อยเท่านั้น


ตอนที่ปลายดาบเข้าไปใกล้เปลวไฟ ทันใดนั้นเปลวไฟก็สั่นสะเทือนราวกับสายลมกำลังพุ่งออกมาจากปลายดาบ


เขาหยุดแล้วแทงดาบไปด้วยความเร็วเท่าเดิม ดาบแทงออกไปอย่างช้าๆ แต่ที่ไม่เหมือนกับครั้งแรกก็คือ ครั้งนี้จิตใจเขาผ่อนคลาย


ในครั้งนี้เปลวไฟไม่สั่นสะเทือนมาก


” นี่คือความสามารถของการควบคุมสภาพอากาศหรอ? หรือว่าเป็นพลังอย่างอื่นที่ยังไม่รู้จัก? “เขาเกิดความสงสัย ” แต่ว่าจากการเอนของเปลวไฟ ดูเหมือนจะไกลเกินกว่าที่แรงของสภาพอากาศจะทำได้ “


ในเวลานี้เขาเกิดความคิดอะไรบางอย่าง เขาเดินออกจากห้องนอนไปหยิบเต้าหู้จากในครัวมาหนึ่งกล่อง


จากนั้นแกะห่อเต้าหู้ เทน้ำออกจนแห้ง หลังจากตัดเป็นชิ้นเล็กๆ แล้ววางเป็นแนวตั้งบนโต๊ะหนังสือ


จากนั้นเขารวบรวมสมาธิ ใช้ปลายดาบชี้ไปที่เต้าหู้ แล้วแทงดาบออกไปเบาๆ


เขาสังเกตเห็นอย่างรวดเร็วว่า ตอนที่ปลายดาบอยู่ห่างจากเต้าหู้น้อยกว่าสามเซนติเมตร พื้นผิวของเต้าหู้เริ่มสั่นเล็กน้อย เมื่อเข้าใกล้เกือบหนึ่งเซนติเมตร แถบของเส้นใยเต้าหู้ที่บางราวกับเส้นผมตกจากพื้นผิวเต้าหู้อย่างต่อเนื่อง


เฉินโจวอี้รีบเก็บดาบทันที เขามองเต้าหู้ก้อนนั้นอย่างละเอียดสักพักแล้วเกิดความประหลาดใจ


เห็นเพียงว่าพื้นผิวของเต้าหู้ดูเหมือนจะถูกตัดแบ่งออกซ้ำไปซ้ำมาด้วยแรงบางชนิด ยาวประมาณสามถึงสี่เซนติเมตร ช่องว่างหนาน้อยกว่าครึ่งมิลลิเมตร


หลังจากที่เขาใช้ดาบตัดเต้าหู้เป็นแผ่นแนวตรงแล้ว พบว่าลึกที่สุดคือหนึ่งเซนติเมตร


” หรือว่านี่คือไอดาบ? “


ตอนที่ 69 ตกปลา


ทันใดนั้นเขาหยิบดาบขึ้นมาอีกครั้ง ตั้งใจชี้มันไปที่เทียน แล้วตัดมันด้วยดาบ ปลายดาบพุ่งตัดผ่านไปห่างจากเทียนน้อยกว่าหนึ่งหรือสองมิลลิเมตร


ความเร็วของดาบไม่เร็วและไม่มีการสั่นสะเทือนของอากาศ แต่เทียนถูกตัดแบ่งออกเป็นสองส่วน


เขาหยิบเทียนท่อนที่ยังมีเปลวไฟอยู่ด้านบนขึ้นมา พบว่ารอยตัดเรียบเนียนเหมือนกระจกราวกับว่ามันถูกตัดด้วยเลเซอร์บาง ๆ


เฉินโจวอี้แปลกใจเป็นอย่างมาก จากนั้นเขาจึงไปหากระดาษ ตะเกียบและช้อนสแตนเลสมาทดลอง


ผลก็คือสองอย่างแรกสามารถตัดได้ แต่อย่างหลังตัดไม่ได้แล้ว


หลังจากดาบถูกตัดออกไป เหลือไว้เพียงรอยสัญลักษณ์จางๆ จึงไม่ได้ทำต่อ อีกอย่างหลังจากที่เขาทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่หลายครั้ง เขารู้สึกว่าจิตของเขาถูกใช้งานหนักเกินไป หนังศรีษะของเขาเริ่มบวมขึ้น รวบรวมสมาธิได้ยากมาก


เฉินโจวอี้ขมวดคิ้ว เขาหยุดการทดลองทุกอย่างลง ในใจเกิดความคิด


” เห็นได้ชัดว่าพลังแบบนี้เป็นพลังทางจิตชนิดหนึ่ง ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วมันจะมีแค่ความตั้งใจหรือการรับรู้ หรือจะมีทั้งสองอย่าง “


ตอนนี้ความตั้งใจของเขามี 12 จุด วันนี้การรับรู้ของเขาเพิ่มขึ้นมาอีก 0.1 จุด ทำให้มี 11.2 จุดแล้ว


เฉินโจวอี้คิดดูสักพักก็ยังคิดหาเบาะแสไม่ออก ในที่สุดจึงยอมแพ้อย่างหมดหนทาง


….


” พ่อครับ แม่ครับ ผมจะไปเดินเล่นข้างนอกนะครับ จะกลับมาตอนเย็น ” เช้าวันรุ่งขึ้น เฉินโจวอี้กินข้าวเช้าเสร็จแล้วลุกขึ้นพูด


” ระวังตัวด้วย อย่าก่อเรื่องนะ ” แม่ของเขารู้ว่าเขาจะทำอะไร แต่เธอก็ไม่ได้ห้าม แค่พูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง


” รู้แล้วครับ! “


” แม่คะ หนูก็จะออกไปเหมือนกัน ” ในเวลานี้เฉินซิงเยว่เองก็พูดขึ้นมาเหมือนกัน


” ลูกจะไปทำไม? ช่วงสองสามวันนี้ลูกควรจะอยู่บ้านนะ “


เฉินโจวอี้ถือกระเป๋าเอกสารที่ด้านในใส่เด็กหญิงเปลือกหอยเอาไว้ เดินลงบันไดไป


เขาพบว่าในตอนเช้า ที่สวนมีคนกำลังฝึกดาบอยู่ เขาจึงอดที่จะหยุดฝีเท้าดูไม่ได้


เธอคนนี้คือเด็กสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเฉินซิงเยว่ ถือดาบไม้กำลังฝึกซ้อมท่าพุ่งแทงดาบซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมเปียด้านหลังสะบัดไปมา ดูมีพลังมาก


ดูเหมือนว่าเธอจะรู้สึกได้ถึงสายตาที่กำลังจ้องมองมา เธอจึงเหลียวมองไปยังเฉินโจวอี้พร้อมทำเสียงไม่พอใจออกมา


เฉินโจวอี้ยิ้มให้อย่างเป็นมิตรแล้วเดินออกจากสวนไป


ผ่านร้านขายหนังสือพิมพ์ เขาจึงซื้อมาอ่านหนึ่งฉบับ


” ถนนทางหลวงหมายเลข 312 ช่วงตงผิง เกิดเหตุฆาตกรรมครั้งใหญ่ ผู้เสียชีวิตถูกฆ่าตายอย่างโหดเหี้ยมอยู่ในรถ “


” ทางตำรวจพบอาวุธปืนพก ดาบและอาวุธอื่นๆ ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ บนตัวรถยังพบรอยเจาะของลูกธนู ในเบื้องต้นสันนิษฐานว่ามีกลุ่มฆาตกรสองกลุ่ม…..มีรายงานว่าตำรวจกำลังสืบสวนอย่างเต็มที่ หากประชาชนต้องการแจ้งเบาะแส โปรดแจ้งที่สถานีตำรวจท้องที่ในเวลาที่กำหนด “


พอไม่มีอินเทอร์เน็ต ความทันเหตุการณ์ของข่าวล่าช้าไปมาก หลังจากผ่านไปหนึ่งวัน เรื่องฆ่าคนบนถนนทางหลวงถึงจะปรากฏอยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น


เฉินโจวอี้อ่านข่าวจนจบอย่างใจเย็น แล้วขยำเป็นลูกบอลเขวี้ยงลงถังขยะที่อยู่ด้านข้าง


ไม่มีกล้องวงจรปิด ไม่มีพยานหลักฐาน คดีไม่มีมูลเช่นนี้ โอกาสที่จะตามสืบจนเจอว่าเป็นใครมีน้อยมาก


….


เขาเดินเข้าไปในร้านค้าเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ด้านข้างเพื่อซื้อหมวกและแว่นกันแดด หลังจากอำพรางตัวอย่างง่าย เขาจึงเดินไปยังที่ที่เขาจอดรถในตอนแรก


ใช้เวลาไม่นานเขาก็มาถึงถนนเล็กๆ เส้นนั้น รถได้หายไปแล้วและมีร่องรอยของการเผาไหม้อยู่รอบ ๆ


เขาแกล้งทำเป็นเดินผ่านทางไป มุ่งหน้าเดินตรงไปเรื่อยๆ ในไม่ช้าเขาเดินมาถึงแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่ยังเปิดให้บริการอยู่


ด้านในเงียบสงบ มีแขกน้อยมาก


เขาเดินไปด้วยพลางมองสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบไปด้วย


ไม่นานมีชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตสีสันสดใสคนหนึ่งเดินเข้ามา ” เถ้าแกอยากเล่นอะไร? “


” ที่นี่มีตกปลาไหม? “


” มีครับ มีแน่นอน ครึ่งวันราคา 30 หยวน เต็มวันราคา 50 หยวน ค่าเช่าเบ็ดตกปลา 30 หยวน ฟรีเหยื่อตกปลา ส่วนปลาที่ตกได้คิดแยกครับ! ” ชายหนุ่มพูดอย่างคล่องปาก


สิบกว่านาทีต่อมา เฉินโจวอี้หยิบเอาเบ็ดไปนั่งตกปลาอยู่ตรงข้ามบ่อปลา


สถานการณ์ปัจจุบันส่งผลกระทบอย่างชัดเจนกับธุรกิจของที่นี่ คนที่มาตกปลามีไม่มากนัก นอกจากเขาแล้ว มีเพียงสี่คนเท่านั้น คือชายวัยกลางคนสองคนและชายชราสองคน


เขามองสำรวจไปสักพัก รู้สึกว่าเป็นคนทั่วไปทั้งหมด จึงไม่ได้สนใจอะไร


คนที่ฝึกศิลปะการต่อสู้ วิธีการออกแรงแบบศิลปะการต่อสู้ได้กลายเป็นนิสัยอย่างหนึ่งไปแล้ว นอกจากเหมือนเฉินโจวอี้ที่จงใจปกปิดตัวตนของตัวเอง นอกนั้นมักจะเปิดเผยความเป็นชาวยุทธของตัวเองออกมาโดยไม่รู้ตัว


เขาเอนกายลงบนเก้าอี้และมองไปที่คันเบ็ดด้วยใบหน้าที่ผ่อนคลาย แต่ดูเหมือนว่าจิตใจของเขาจะไม่สนใจการเคลื่อนไหวตรงถนนฝั่งตรงข้าม


บนถนนมีผู้คนสัญจรไปมา อย่างไรก็ตามยังไม่พบคนที่น่าสงสัย


เขากินมื้อกลางวันที่นี่เช่นกัน จนกระทั่งพลบค่ำถึงจะถือปลาเฉากลับบ้าน ซึ่งเป็นปลาเพียงตัวเดียวที่เขาตกได้ในวันนี้


” โอ้ ลูกไปซื้อของทำกับข้าวมาเหรอ? ” แม่ของเขาถามขึ้น


” ไปตกมาจากแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรครับ “


” ลูกตกปลาเป็นด้วยเหรอ? “


” มันก็ไม่ยากนี่ครับแม่ ผมเรียนรู้นิดเดียวก็ทำได้แล้ว “


….


เฉินโจวอี้ไปตกปลาที่แหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรสองวันติด จึงค่อยๆ คุ้นเคยกับชายหนุ่มที่ดูเหมือนจะเป็นลูกชายของเถ้าแก่ไปแล้ว


” ตกปลาไม่ได้ตกกันแบบนี้นะ นายให้เหยื่อแบบนี้นี่เหมือนกับให้อาหารปลาแล้ว “


” เจียงไท่กงตกปลา ตัวไหนเต็มใจก็มาติดเบ็ด การตกปลาคือการตกความรู้สึกอย่างหนึ่ง! ” เฉินโจวอี้พูดขึ้น


” นายมีความสุขก็ดีแล้ว ” ชายหนุ่มยอมให้เขาวางมาดต่อไป พลางหัวเราะแล้วพูดขึ้น


” ฉันได้ยินมาว่าสองสามวันก่อน ดูเหมือนที่นี่จะมีรถถูกเผาใช่ไหม? ” เฉินโจวอี้แสร้งทำเป็นถามไปเรื่อย


” ใครบอกไม่ใช่กันล่ะ รถทั้งคันถูกไฟเผาจนเหลือแต่โครง ได้ยินว่ามีคนลอบวางเพลิง แต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร มันช่างชั่วมากๆ ทุกคนที่นี่ถูกตำรวจสอบสวนตั้งหลายครั้ง ” พอพูดถึงเรื่องนี้ ชายหนุ่มพูดขึ้นอย่างตื่นเต้นทันที


” ยังหาเจ้าของรถไม่ได้เหรอ? ” เฉินโจวอี้ควบคุมอารมณ์ไว้ได้


” น่าจะหาเจอแล้วนะ เมื่อวันก่อนมีคนหนึ่งมาถามฉัน ฉันเลยบอกให้เขาไปที่สถานีตำรวจ “


เฉินโจวอี้เงียบคิดในใจ


พวกมันตามมาถึงที่นี่แล้วเหรอ?


ที่จริงเขาเองก็ไม่คิดว่าการที่ชาวยุทธคนหนึ่งถูกฆ่าตัดคอ จะเป็นเรื่องที่สั่นสะเทือนไปทั่วได้เช่นนี้


ซึ่งนี่มันสื่อได้ถึงว่ามีชาวยุทธอีกหนึ่งคนเข้าร่วมเรื่องในครั้งนี้ด้วย


สำหรับพวกนับถือลัทธินอกรีตที่ไม่สามารถเปิดเผยตัวตนได้และมักจะทำอะไรใต้ดิน ชอบหลบๆ ซ่อนๆ พวกมันต้องรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก กระสับกระส่ายเหมือนมีเข็มแทงอยู่ที่หลังตลอดเวลาถ้าหากพวกมันทำพลาดขึ้นมาอาจทำให้ตกอยู่ในอันตรายได้ ต่อให้ไม่ฆ่าทิ้ง ก็ต้องรู้ว่าอีกฝ่ายคือใคร มีโอกาสดึงมาเป็นพวกได้หรือไม่?


พลังอำนาจของชาวยุทธคนหนึ่ง ไม่ใช่แค่เพียงมีพลังชาวยุทธอันแข็งแกร่งเหมือนกับพวกที่มีสถานะเป็นชาวยุทธฝึกหัด ชาวยุทธส่วนใหญ่จะมีตำแน่งหน้าที่การงานแบบสาธารณะ หรือเป็นพวกมีชื่อเสียงเกียรติยศ ไม่ก็พวกผู้นำอย่างแท้จริง


แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนต่างก็มีอิทธิพลต่อสังคมเป็นอย่างมาก และยังสามารถก้าวขึ้นไปสู่ระดับสูงได้ ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่ชาวยุทธฝึกหัดไม่สามารถเทียบได้


อาจกล่าวได้ว่าตอนนี้พวกนับถือลัทธินอกรีตต่างใช้พลังและอำนาจทั้งหมดที่มีเพื่อค้นหาชาวยุทธลึกลับผู้นี้อยู่


….


ชายหนุ่มพูดคุยกับเฉินโจวอี้ไปสักพัก แล้วไปทำธุระอย่างอื่นต่อ


เฉินโจวอี้เก็บงำความร้อนรนในใจไว้ เขาตกปลาต่ออีกหนึ่งชั่วโมงแล้วชักเบ็ดกลับมา


” วันนี้ไม่ตกปลาแล้วเหรอ? ” ชายหนุ่มถาม


” ตอนบ่ายฉันยังมีธุระ จะไปว่างตลอดวันได้ไงล่ะ ” เฉินโจวอี้ตอบ


….


เฉินโจวอี้ถือปลาทองขนาดตัวเท่าผ่ามือที่ตกมาได้กลับมายังบ้านที่เช่าไว้ ก็เห็นเด็กสาวคนนั้นอีกแล้ว


เธอนั่งอยู่บนม้านั่ง สวมกระโปรงลายสก๊อตสีเทาแดงเผยให้เห็นท่อนขาขาวเรียวบาง ในเวลานี้เธอและเจ้าของบ้านกำลังปลอกเปลือกถั่วลันเตาอยู่ตรงริมทางเข้าสวน


เห็นสายตาของเฉินโจวอี้ที่มองมา เธอรีบหนีบขาแน่นแล้วดึงกระโปรงด้านหน้าลง


” กลับมาแล้วหรอจ๊ะ วันนี้ตกปลาได้อีกแล้วหรอ? ” เจ้าของบ้านจำหน้าเฉินโจวอี้ได้จึงพูดทักทายอย่างสุภาพ


” ใช่แล้วครับ วันนี้โชคดี ปลาตัวนี้มันกินเหยื่อแล้วไม่ยอมปล่อย เลยถูกดึงขึ้นมาได้ ผมไปก่อนนะครับ ” เฉินโจวอี้ยิ้มตอบ


สองสามวันมานี้เขาไม่เคยเห็นสามีของเจ้าของบ้าน และก็ไม่รู้ว่าหย่ากันไปแล้วหรือว่าสามีทำงานอยู่ที่อื่น


เจ้าของบ้านหัวเราะ หลังจากที่เฉินโจวอี้เดินออกไปแล้ว เธอจึงถอนสายตากลับ “เด็กหนุ่มคนนี้ดูเป็นผู้ใหญ่มากเลยนะ น้องสาวของเขาอายุพอๆ กันกับลูกเลย”


” เมื่อสองสามวันมานี้หนูเคยเห็นน้องสาวของเขาแล้ว รู้สึกว่าเธอจะหยิ่งเกินไปนะคะ ไม่ค่อยสนใจคนอื่น ” ลูกสาวพูดขึ้นพร้อมกับเบ้ปาก ” พี่ชายของเธอก็ดูไม่ใช่คนดีอะไร สายตาดูลามกยังไงก็ไม่รู้ เมื่อวานตอนเช้าเขามองหนูตั้งนาน “


ตอนที่ 70 อาจารย์


ตอนกลางคืน


เด็กหญิงเปลือกหอยขมวดคิ้วราวกับดื่มยาขม เธอดูดน้ำผึ้งไปสองสามคำแล้วเงยหน้ามองไปยังเฉินโจวอี้ที่ยืนอยู่ใกล้ๆ พลางพูดขึ้นด้วยสีหน้าบูดบึ้งไม่มีความสุข “คนตัวยักษ์ เมื่อไรพวกเราจะไปที่เกาะเล็กล่ะ?”


หลายวันมานี้เธอรู้สึกเบื่อมาก เวลาส่วนใหญ่ในแต่ละวันมักจะต้องนอนหลับอยู่ในกระเป๋าเอกสาร มีแค่ช่วงเวลากลางคืนเท่านั้นที่เธอจะสามารถออกมาสูดอากาศได้


ต่อให้เธองีบหลับไปโดยไม่รู้ตัว ก็ยังไม่สามารถนอนหลับได้เป็นระยะเวลานานขนาดนั้น!


เฉินโจวอี้ที่ยืนอยู่ด้านข้างฝึกสามสิบหกกระบวนท่าเพิ่มสมรรถภาพทางกายทุกกระบวนท่าจนเสร็จ เขารู้สึกว่าอาการชาคันๆ เริ่มหายไป ถูกแทนที่ด้วยอาการชาแบบเจ็บปวดแทน เขาถอนหายใจออกมา จากนั้นพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจว่า


“รอให้ผ่านไปสักสองสามวันก่อนค่อยว่ากัน”


ถ้าหากให้เด็กหญิงเปลือกหอยรู้ว่าต่อไปนี้จะไม่ไปแล้ว คงทำให้เธอโวยวายทั้งวัน


ก็ที่ซ่อนสมบัติของเธอยังซ่อนอยู่ที่นั่นอยู่เลยนี่นา!


เขายังคงฝึกต่อไป เมื่อเทียบกับพลังลึกลับอันเข้มข้นในโลกที่แตกต่างแล้ว ผลลัพธ์ในการฝึกฝนบนโลกมนุษย์ถือว่ายังด้อยกว่าอยู่มาก เขาตัดสินใจฝึกวันละหลายรอบเพื่อให้จำนวนรอบมาทดแทนปริมาณคุณภาพของมัน


เพียงแต่ว่าตอนนี้เด็กหญิงเปลือกหอยไม่ได้ถูกหลอกเอาง่ายๆ เธอเถียงขึ้นมา


พระอาทิตย์ขึ้นและตกหนึ่งครั้ง หรือพระอาทิตย์ขึ้นและตกหนึ่งหนึ่งครั้ง หรือว่าพระอาทิตย์ขึ้นและตกหนึ่งหนึ่งหนึ่งครั้ง?


หลังจากฝึกเสร็จไปอีกหนึ่งรอบแล้ว เฉินโจวอี้จึงพูดขึ้นโดยความหงุดหงิด


“อย่างน้อยต้องสิบวัน!


สิ่งมีชีวิตในโลกที่แตกต่างซึ่งเกิดมาพร้อมความสามารถทางภาษานั้นมีข้อดีแบบนี้แหละ ต่อให้วิธีการพูดของโจวอี้จะแตกต่างกับวิธีการพูดของเธอ แต่เด็กหญิงเปลือกหอยก็ยังคงฟังรู้เรื่อง


เด็กหญิงเปลือกหอยชูนิ้วของเธอขึ้นมา แล้วตั้งใจนับอยู่หลายครั้ง ในที่สุดเธอก็รู้ว่าเลขสิบเป็นเลขที่มีจำนวนมากขนาดไหน สุดท้ายแล้วเธอจึงทำได้แค่ถอนหายใจอย่างหดหู่ดูไม่มีชีวิตชีวา “คนตัวยักษ์ เธอไปตอนพรุ่งนี้เช้าไม่ได้เหรอ? ที่นั่นมีหาดทรายทองคำที่เธอต้องการอยู่มากมายเลยนะ”


เอ๊ะ มันยังเย้ายวนอยู่ไหมนะ?


เฉินโจวอี้ได้ยินดังนั้นแทบจะควบคุมจิตใจตัวเองไม่ได้ ไม่ง่ายเลยกว่าเขาจะฝึกเสร็จอีกรอบ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ช่วงนี้ยังไปไม่ได้ อนาคตจะต้องไปอย่างแน่นอน”


“ไอ้คนตัวยักษ์#@# เธอมันคนหลอกลวง!”


“เธอนี่มัน#@%!”


“เมื่อก่อนเธอพูดว่าเป๊ปป้าพิกไปพักผ่อน แต่ตอนนี้พระอาทิตย์ขึ้นและตกหลายครั้งขนาดนี้แล้ว ทำไมฉันยังไม่เห็นเป๊ปป้าพิก”


“เธอเอาอัญมณีฉันคืนมาเลยนะ! เอาเป๊ปป้าพิกของฉันคืนมาด้วย! ฉันจะกลับเกาะเล็กแล้ว!”


เด็กหญิงเปลือกหอยโกรธจนเริ่มมีอารมณ์รุนแรง เธอลุกขึ้นยืนเอามือเท้าเอว พลางใช้เท้ากระทืบลงไปบนโต๊ะหนังสือส่งเสียงดัง ‘พลั่กๆ’ จากนั้นมองไปยังน้ำผึ้งที่มีรสชาติแย่ เธอรู้สึกว่าเธอทนมันมามากพอแล้ว จึงใช้เท้าเตะช้อนจนปลิว


มองดูเด็กหญิงเปลือกหอยที่กำลังเหวี่ยง เฉินโจวอี้หายปวดหัวในทันที และเริ่มรู้สึกผิด


ในเวลานี้เขาจำได้ทันทีว่าเมื่อวันก่อนที่ห้องนอนใหม่ดูเหมือนว่าจะมีลูกบอลคริสตัลขนาดเท่าถ้วยใบเล็กอยู่ในลิ้นชัก คาดว่าเจ้าของคนก่อนคงทิ้งไว้


เขารีบเปิดลิ้นชักพลางหยิบเอาลูกบอลคริสตัลออกมา แล้วตั้งใจแกว่งไปมาตรงหน้าเด็กหญิงเปลือกหอย


พอเธอเห็น ดวงตาของเด็กหญิงเปลือกหอยเบิกกว้างในทันที เธอจ้องเขม็งไปที่ลูกบอลคริสตัลลูกนั้นตาไม่กระพริบ จากนั้นมองขึ้นลงไปตามการเคลื่อนไหวของลูกบอลคริสตัล


“ตอนนี้สงบลงหน่อยได้ไหม?” เฉินโจวอี้ถาม


เด็กหญิงเปลือกหอยรีบพยักหน้าอย่างสุดชีวิต ราวกับลูกไก่กำลังจิกข้าว


“อัญมณีขนาดใหญ่เช่นนี้สามารถเทียบได้กับอัญมณีทั้งหมดที่เธอมีได้ไหม?” เฉินโจวอี้ถามขึ้นอีกครั้ง


เด็กหญิงเปลือกหอยคิดไปครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า


แต่ครั้งนี้ดูค่อนข้างที่จะลังเล


“งั้นก็ไม่ต้องโวยวายแล้วนะ!” เฉินโจวอี้เอาลูกบอลคริสตัลไปวางบนโต๊ะอย่างใจดี


ตอนแรกเฉินโจวอี้นึกว่าเด็กหญิงเปลือกหอยจะรีบพุ่งเข้ามา แล้วหัวเราะอย่างดีใจ


จากนั้นเขาคิดไม่ถึงเลยว่า พอเด็กหญิงเปลือกหอยมองลูกบอลคริสตัลลูกนี้อย่างชัดเจนแล้ว เธอตกใจกลัวจนกรีดร้องออกมา ราวกับกระต่ายน้อยตกใจ เธอซ่อนตัวไปด้านหลังแก้วชา ทั้งตัวของเธอสั่นเทาเหมือนลูกหมาตกน้ำ


เฮ้ เกิดอะไรขึ้น?


เขาหยิบลูกบอลคริสตัลขึ้นมาด้วยความแปลกใจ และไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรน่ากลัวนี่นา?


มันไม่ได้สวยมากหรอกเหรอ?


นอกจากนี้ยังมีสโนว์ไวท์อยู่ข้างใน เด็กผู้หญิงไม่ได้ชอบของแบบนี้กันเหรอ?


เดี๋ยวก่อนนะ…..


ในเวลานี้เขามองไปยังสโนว์ไวท์ที่อยู่ด้านใน


เธอคงไม่คิดหรอกนะว่าด้านในคือสิ่งมีชีวิตที่ถูกสตาฟเอาไว้น่ะ!


เขามองไปยังสโนว์ไวท์ด้านใน แล้วมองไปยังเด็กหญิงเปลือกหอย ในที่สุดเขาก็รู้สึกได้ว่าเขาทำผิดไปแล้ว


“เธออย่ากลัวเลย ข้างในไม่ใช่คนจริง เป็นของปลอม ของปลอมหมดเลย” เฉินโจวอี้มองไปยังเด็กหญิงเปลือกหอยที่ไม่กล้ามองมาที่เขา จึงพูดปลอบแบบติดตลกเล็กน้อย


“มา รีบออกมา เลิกซ่อนได้แล้ว”


หลังจากเรียนอยู่หลายครั้งหรือบางทีอาจเป็นเพราะไม่มีที่ให้เธอหนีแล้ว เด็กหญิงเปลือกหอยจึงเดินออกมาด้วยท่าทีขี้อาย ขาทั้งสองข้างของเธอยังคงสั่นเทาไม่หยุด เธอไม่มีท่าทีบ้าคลั่งขี้โวยวายเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว


“คะ…..คนยักษ์ผู้ยิ่งใหญ่ ฉะ…..ฉันจะเต้นรำให้เธอดูละกัน?” บนใบหน้าที่ซีดเผือดของเธอฝืนยิ้มออกมา


มองดูเด็กหญิงเปลือกหอยที่แสดงท่าทีถ่อมตนต่อเขาราวกับกำลังกลัวเสือแถมยังสรรเสริญเยินยอเขาอย่างระมัดระวัง ทำให้เฉินโจวอี้รู้สึกตลกและขณะเดียวกันก็รู้สึกปวดใจอยู่บ้าง


“จะเต้นอะไรอีก ฉันก็บอกแล้วไงว่ามันเป็นของปลอม ของปลอมม! อย่ากลัวสิ!”


“ดูที่ฉันนี่ เดี๋ยวฉันจะบีบมันให้แตกดีไหม?”


ขณะที่พูด เขาออกแรงบีบมัน


ลูกบอลคริสตัลไม่ใช่คริสตัลของแท้อะไรพวกนั้น มันจึงแตกละเอียดได้อย่างง่ายดาย


ด้านนอกแก้วหนึ่งชั้น ภายในเป็นคอลลอยด์แข็งตัว


หลังจากที่ลูกบอลคริสตัลแตกละเอียดแล้ว ไม่นานตุ๊กตาสโนว์ไวท์พลาสติกก็ร่วงลงมา


เขาหยิบตุ๊กตาขึ้นมาจากพื้นแล้ววางไว้ที่ด้านหน้าของเด็กหญิงเปลือกหอยพลางพูดขึ้น


“ลองดูสิ นี่เป็นของปลอมหมดเลย”


เด็กหญิงเปลือกหอยเอาสองมือปิดตาของตัวเองแน่น เธอตกใจกลัวจนไม่กล้าดูอะไร


หลังจากผ่านไปนาน มือที่เธอเอาปิดตาไว้ค่อยๆ แยกนิ้วดู เธอมองสำรวจตุ๊กตาตรงหน้าที่มีขนาดเล็กกว่าเธออย่างละเอียด


เธอถึงจะค้นพบว่านี่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตอะไร


พอลองมองดูดีๆ ก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติในแวบแรก


ในที่สุดความหวาดกลัวในใจของเธอก็ผ่อนคลายลง เธอเอามือที่ปิดตาออก แล้วถอนหายใจยาวออกมา


จากนั้นเธอมองไปยังชิ้นส่วนลูกบอลคริสตัลที่เฉินโจวอี้บีบแตก ทันใดนั้นเธอก็ร้องไห้จ้าออกมาทันที


“ไอ้คนตัวยักษ์#@# ธะ……เธอชดใช้อัญมณีให้ฉันเลยนะ!”


….


ด้วยการเอาลูกบอลคริสตัลขนาดใหญ่หนึ่งลูกมาเป็นของแลกเปลี่ยน ในที่สุดเขาก็สามารถปลอบโยนเด็กหญิงเปลือกหอยได้สำเร็จ


จากนั้นเขาหยิบเอาไม้กวาดมากวาดทำความสะอาดเศษแก้วบนพื้น แล้วเอาออกไปเททิ้งที่ถังขยะด้านนอก


ถ้าหากเขาไม่เก็บไปทิ้งล่ะก็ เขาเป็นกังวลว่าในตอนกลางคืนเด็กหญิงเปลือกหอยจะต้องแอบมาเก็บไปแน่นอน


….


ตอนที่เดินกลับพอผ่านห้องนอนของน้องสาว เขาได้ยินเสียงหอบหายใจดังมาจากข้างใน


ในช่วงเวลานี้ เธอดูเหมือนกับคนบ้าเสียสติ ที่พยายามฝึกศิลปะการต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย สีหน้าของเธอเย็นชาขึ้นทุกวัน ดูเหมือนจะปิดปังความกังวลในใจไว้มากมาย


เห็นได้ชัดว่าเรื่องราวในครั้งนั้นกลายเป็นเงามืดตามหลอกหลอนเธอ จนถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่ยอมออกมาจากห้อง


เฉินโจวอี้หยุดฝีเท้า เขาลังเลไปพักหนึ่ง สุดท้ายแล้วจึงเดินไปเคาะประตู


ผ่านไปสักพัก ประตูเปิดออก


“พี่มีอะไรเหรอ?”


เธอสวมเสื้อยืดแขนสั้นทรงหลวม ทั้งตัวชุ่มไปด้วยเหงื่อจนเสื้อตัวบางเผยให้เห็นเนื้อสีขาวนวลที่อยู่ด้านใน


แต่ระหว่างพี่น้องไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องอาย


“พี่คุยอะไรกับเธอหน่อยได้ไหม?” เฉินโจวอี้เอ่ยถาม


พอเฉินซิงเยว่เดินไปด้านข้าง เขาจึงเดินเข้าไป เมื่อเทียบกับห้องนอนที่เต็มไปด้วยตุ๊กตาของเธอเมื่อก่อนหน้านี้ ห้องนี้ดูเรียบง่ายกว่ามาก มองไม่เห็นถึงความเป็นห้องของเด็กผู้หญิงเลย


เขารู้สึกว่าตั้งแต่เธอผ่านเรื่องราวในครั้งนั้นมา เธอดูโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก


“กำลังฝึกอะไรอยู่เหรอ?” เฉินโจวอี้รีบถอนสายตากลับแล้วหันไปถามเธอ


“ฝึกสามสิบหกกระบวนท่าฝึกสมรรถภาพทางกาย ฉันรู้สึกว่าพลังของตัวเองอ่อนแอเหลือเกิน ช่วยอะไรใครไม่ได้เลย” เฉินซิงเยว่พูดขึ้นด้วยใบหน้าผิดหวัง


“ที่จริงไม่มีใครต้องการให้เธอช่วยหรอก เธออย่ากดดันตัวเองมากเกินไปเลย! ใช่แล้ว ครั้งที่แล้วที่พี่สอนการทำสมาธิเพื่อฝึกตนให้เธอไป เธอได้ฝึกมันหรือยัง?”


“ยังเลย ฉันฝึกหลายครั้งแล้ว แต่ไม่สามารถควบคุมจิตใต้สำนึกได้ ตอนนี้กำลังฝึกแบบเดิมอยู่” เฉินซิงเยว่พูดขึ้นด้วยสีหน้าเอียงอาย


“ที่จริงมันก็เหมือนกันแหละ อันหนึ่งฝึกจากยากไปง่าย ส่วนอีกอันหนึ่งฝึกจากง่ายไปยาก พอๆ กันเลย พี่ก็มีสามสิบหกกระบวนท่าฝึกสมรรถภาพทางกายตามแบบฉบับของพี่อยู่ ถ้าเธอฝึกล่ะก็ มันจะช่วยเพิ่มผลลัพธ์ให้ดีขึ้น เธอลองดูแล้วกัน”


ขณะที่พูด เขาไม่รอให้เฉินซิงเยว่เกิดความสงสัย


เฉินโจวอี้แสดงกระบวนท่าให้เธอดูตั้งแต่ต้นจนจบ


ที่เขาสอนเธอคือกระบวนท่าฉบับที่ได้รับการปรับแต่งหนึ่งครั้ง กระบวนท่าดูง่าย การเคลื่อนไหวลดน้อยลงจากฉบับดั้งเดิมไปมาก คนที่เคยมีประสบการณ์ในการฝึกสามสิบหกกระบวนท่าปรับสมรรถภาพทางกายแบบดั้งเดิมมาก่อน สามารถเรียนรู้ได้อย่างง่ายดาย


แต่กระบวนท่าฉบับที่ได้รับการปรับแต่งสองครั้งยากเกินไป ไม่เพียงแต่ทำให้ร่างกายต้องทนทรมาน แต่ยังต้องรักษาสมาธิให้คงอยู่เสมอ หากไม่ได้ความทรงจำในความฝันหลังจากที่ปรับแต่งกระบวนท่าแล้ว เขาเองคงไม่สามารถฝึกได้เช่นกัน


แทนที่จะสอน ‘การเข้าสู่สมาธิเพื่อฝึกตน’ เหมือนครั้งที่แล้ว น้องสาวของเขาไม่มีทางฝึกได้แน่ สู้สอนอะไรที่ค่อนข้างง่ายก่อนดีกว่า


หลังจากที่เขาแสดงกระบวนท่าให้ดูไปหนึ่งรอบแล้ว จึงเริ่มสอนกระบวนท่าแรก


“พี่?”


“อย่าพึ่งถาม ตั้งใจเรียนก่อน ดูกระบวนท่าแรกของพี่ การเคลื่อนไหวตรงนี้มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย แขนต้องวาดไปด้านหลังสุดแรง จนกระทั่งตรงข้อต่อเกิดความรู้สึกเจ็บแปลบ”


เฉินซิงเยว่ทำได้แค่ละทิ้งความสงสัยไว้ แล้วรีบเรียนรู้ตาม


….


หลังผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่า ก่อนที่เฉินโจวอี้จะเดินออกจากห้อง จึงหันมาพูดกำชับว่า กระบวนท่าชุดนี้เป็นกระบวนท่าที่พี่ปรับแต่งโดยยึดตามสมรรถภาพทางกายของพี่เอง ตั้งใจฝึกให้ดี แล้วก็ไม่ต้องไปบอกใคร จำไว้ว่าต้องเก็บเป็นความลับเท่านั้น


“พี่ ฉันจำไว้แล้วน่า” เฉินซิงเยว่พยักหน้าอย่างแรง


ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน ต่อให้ตีเธอให้ตาย เธอก็ไม่มีวันเชื่อว่าพี่ชายของเธอจะสามารถปรับแต่งสามสิบหกกระบวนท่าฝึกสมรรถภาพทางกายได้ แต่หลังจากที่พี่ชายของเธอแสดงพลังชาวยุทธให้เห็น เธอเริ่มเชื่อจนไม่สนอะไรแล้ว


ด้วยความเข้าใจและประสบการณ์ของภายในร่างกายชาวยุทธเอง การปรับแต่งสามสิบหกกระบวนท่าฝึกสมรรถภาพทางกายเพียงเล็กน้อยไม่ใช่เป็นสิ่งที่ทำได้อย่างแน่นอนหรอกเหรอ?


เธอเองก็ไม่คิดว่ามันจะปรับแต่งได้ง่ายขนาดนี้ ขนาดสำนักงานบริหารวิถีแห่งยุทธของประเทศจีนรวมถึงสำนักงานจากทั่วโลกยังไม่สามารถเปิดตัวกระบวนท่าฉบับใหม่ได้ในทุกสองสามปีเลย


ตอนที่ 71 โจมตี


“เจ้าหน้าที่ตำรวจหมายเลข 8723 พร้อมให้บริการครับ”


“ที่นี่คือสถานีตำรวจหมู่บ้านฉางเหมินหรือเปล่าครับ?”


“ใช่แล้วครับ คุณมีอะไรจะรายงานไหม?”


“ผมพึ่งกลับมาจากเมืองตงหนิง ผมพบอุโมงค์มิติที่นั่น มันอยู่ในลานจอดรถของอาคารร้างใกล้สี่แยกถนนตงเซียวและถนนหนิงซานในเมืองตงหนิง หวังว่าคุณจะรีบเตือนทางรัฐบาลของเมืองตงหนิงนะครับ”


“ข้อมูลได้รับการบันทึกแล้ว ขอบคุณมากสำหรับความทุ่มเทของคุณ ตามกฎระเบียบที่มีอยู่ ประชาชนที่ค้นพบอุโมงค์มิติที่ซ่อนอยู่จะได้รับรางวัลจากรัฐบาลท้องถิ่น โปรดมาที่สถานีตำรวจตอนนี้หรือพรุ่งนี้เพื่อลงทะเบียนข้อมูลส่วนบุคคลของคุณ ยืนยัน ……


“ฮัลโหล! ฮัลโหล! คุณยังอยู่ไหม


เฉินโจวอี้กดตัดสาย ฟังเสียงรบกวนของเครื่องปั่นไฟ แล้วรีบเดินออกจากศูนย์คอลเซ็นเตอร์ที่ว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว


ศูนย์คอลเซ็นเตอร์เป็นระบบตัดไฟอัตโนมัติเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนที่ใช้โทรศัพท์ แต่มีเพียงบริการสาธารณะบางอย่างเท่านั้นที่ยังเปิดให้บริการการโทร เช่นโทรหาตำรวจ โรงพยาบาล ธนาคาร หรือหน่วยงานราชการเป็นต้น ที่แห่งนี้จึงค่อนข้างเงียบเชียบ


เขาเดินอยู่บนถนน รู้สึกไม่ค่อยเต็มใจเท่าไร แต่อีกใจก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง


ราวกับว่าเขาได้ปลดภาระอันหนักอึ้งออกไป ไม่ต้องมาคอยอกสั่นขวัญหายในแต่ละวันและไม่ต้องแบกความกดดันไว้อีกแล้ว


เขาเงยหน้าขึ้นมองแสงอาทิตย์สลัวพลางถอนหายใจ


อะไรที่ควรละทิ้งก็ต้องละทิ้ง ต้องละทิ้งบางสิ่งถึงจะได้รับสิ่งอื่น!


….


เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เขาสงบสติอารมณ์มาเป็นเวลาสิบวันแล้ว


ในแต่ละวันเขาเอาแต่ตั้งใจฝึกฝนอยู่ที่บ้าน ช่วงสองสามวันมานี้ ความแข็งแกร่งของร่างกายเขา การรับรู้และความว่องไว รวมถึงความตั้งใจ ในแต่ละด้านต่างเพิ่มขึ้นมา 0.1 จุด ส่วนความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมา 0.2 จุด


คุณสมบัติทั้งหมดจึงเปลี่ยนไป


ความแข็งแกร่ง: 13.3


ความว่องไว: 13.3


ความแข็งแกร่งของร่างกาย: 13.9


สติปัญญา: 12.6


การรับรู้: 11.3


ความตั้งใจ: 12.1


คุณสมบัติที่สูงที่สุดยังคงเป็นความแข็งแกร่งของร่างกาย ส่วนความว่องไวและความแข็งแกร่งอยู่ในอันดับสองและสาม


เมื่อเทียบกับเวลาสิบวัน พลังในร่างกายของเขาเพิ่มขึ้นมากกว่าสามระดับ ถ้าหากว่าต่อสู้กับชายชุดดำคนนั้นอีกครั้ง เฉินโจวอี้มั่นใจว่าแค่ต่อสู้สองสามรอบก็สามารถฆ่าอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดายแล้ว


….


ตอนเช้าตรู่ เฉินโจวอี้ถือหนังสือพิมพ์รีบกลับมาบ้าน


“พ่อครับ แม่ครับ ไฟฟ้าที่หนิงโจวได้รับการฟื้นฟูแล้ว อีกอย่างในหนังสือพิมพ์ยังระบุอีกว่า อีกสองวันต่อมาจะมีการประเมินการทดสอบชาวยุทธฝึกหัดทั้งหมดในพื้นที่เมืองหนิงโจว”


สถานการณ์ในสังคมเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ตามข้อมูลในหนังสือพิมพ์ฉบับวันนี้ไม่เพียง แต่เมืองหนิงโจวเท่านั้น แต่เมืองตามเขตวงแหวนที่หนึ่งและสองของทั้งประเทศเริ่มทยอยฟื้นฟูพลังงานไฟฟ้าแล้ว ซึ่งหมายความว่าขอแค่ผ่านการทดสอบชาวยุทธฝึกหัด เขาก็จะสามารถไปทดสอบชาวยุทธที่เมืองเหอตงได้ในทันที


เมื่อเขาผ่านการทดสอบชาวยุทธ ครอบครัวของเขาก็ไม่ต้องหลบซ่อนตัวและหวาดกลัวอีกต่อไป


“ตัวตนของลูกจะไม่เป็นปัญาหาใช่ไหม?” แม่ของเขาถามด้วยความกังวล


“แม่ครับ วางใจเถอะ แม่เห็นว่าเราถูกหมายหัวตอนไหนไหมล่ะครับ อีกอย่างพวกเราไม่สามารถหลบซ่อนตัวไปได้ตลอดชีวิต” เฉินโจวอี้พูดปลอบโยนแม่


แม่และพ่อของเขามองหน้ากัน ในใจพลันเกิดความรู้สึกหนักอึ้งโดยไม่รู้ตัว


ใช่แล้ว พวกเขาจะไม่สนใจก็ได้ จะใช้ชีวิตแบบนี้ตลอดไปก็ยังได้ แต่ลูกๆ ของพวกเขายังเด็ก ไม่สามารถที่จะมีชีวิตแบบนี้ได้ตลอดไป


สุดท้ายแล้วเฉินต้าเหว่ยจึงถอนหายใจพลางพูดขึ้น “งั้นก็ไปเถอะ ระวังตัวด้วยนะ ถ้าเห็นอะไรผิดปกติให้รีบหนีทันที”


….


การทดสอบจะจัดขึ้นในตอนเช้าของวันมะรืนนี้ เวลาค่อนข้างกระชั้นชิด เฉินโจวอี้เองไม่ได้ล่าช้า เขากลับห้องของตัวเองไปเก็บกระเป๋าแบบง่ายๆ เพื่อเตรียมไปเมืองหนิงโจว


พ่อแม่และเฉินซิงเยว่เดินมาส่งเขาที่ประตูทางเข้าสวน


“พี่ ระวังตัวด้วยนะ” เฉินซิงเยว่พูดขึ้น ด้วยพลังระดับชาวยุทธของพี่ชายเธอ เธอไม่กังวลเลยว่าเขาจะสอบผ่านหรือไม่ ขอแค่ตัวตนของพี่ชายไม่มีปัญหาอะไร ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลสักนิด


“วางใจเถอะ ทุกคนไม่ต้องไปส่งผมหรอก อ้อใช่สิ ถ้าหากทุกอย่างราบรื่นดี พอถึงตอนนั้นผมยังต้องไปสอบชาวยุทธที่เมืองเหอตงอีก อาจจะยังกลับมาไม่ได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นะครับ”


“ตอนที่ผมไม่อยู่ ทุกคนต้องระวังตัวด้วยนะ โดยเฉพาะซิงเยว่ พยายามออกไปข้างนอกให้น้อยหน่อย!”


“พี่ ฉันรู้แล้วน่า” เฉินซิงเยว่จึงพูดต่อว่า “เรื่องทางบ้านไม่ต้องกังวล มีฉันอยู่ทั้งคนนะ”


“ช่วงสองสามวันนี้อากาศเริ่มเย็นแล้ว ตอนกลางคืนต้องห่มผ้าดีๆ อย่าให้ตัวเองเป็นหวัดนะ” แม่ของเขาพูดขึ้น


“รู้แล้วครับแม่!”


ที่จริงแล้วถ้าดูจากความแข็งแกร่งของร่างกายเขาในตอนนี้ ต่อให้อยากจะให้เขาป่วยก็ยังเป็นเรื่องยากเลย


แม่ของเขายังอยากที่จะกำชับอีกสักสองสามประโยค เฉินโจวอี้รีบยกมือห้ามทันที


ผ่านไปสักพัก คุณนายเจ้าของบ้านและลูกสาวถือกระเป๋าใบเล็กใบใหญ่เดินออกมา พอเห็นเฉินโจวอี้และครอบครัว จึงเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ไอ้หยา พวกคุณก็จะออกไปข้างนอกเหมือนกันเหรอ?”


“ใช่แล้ว ลูกชายจะไปเมืองหนิงโจว” เฉินต้าเหว่ยพูดพลางหัวเราะ


“ช่างบังเอิญเสียจริง ลูกสาวของฉันก็จะไปเข้าร่วมการทดสอบชาวยุทธฝึกหัดที่เมืองหนิงโจวเหมือนกัน แบบนี้ก็ไปด้วยกันได้น่ะสิ เดิมทีฉันอยากไปเป็นเพื่อนเธอ แต่แม่เด็กดื้อคนนี้จะไปคนเดียวให้ได้ แบบนี้ก็ไม่ต้องกังวลแล้ว”


คุณนายเจ้าของบ้านพูดมาเช่นนี้ แต่ในคำพูดแต่ละคำกลับแฝงความหมายไว้


เป็นธรรมชาติที่จะบอกว่าเธอมีเหตุผลที่จะภูมิใจในตัวเอง ก็ในหมู่บ้านและทั้งเมืองนี้จะมีสักกี่คนเชียวที่ไปทดสอบชาวยุทธฝึกหัดทั้งที่ยังอายุน้อยอย่างเช่นลูกสาวเธอ?


ในเวลานี้เฉินโจวอี้มองไปที่แม่ของเขาโดยอัตโนมัติ มองเห็นรอยยิ้มบางผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเธอ เขาก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่าง


เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด….


“โอ้ เหมือนกันเลย ตอนแรกที่ลูกสาวของฉันไปทดสอบชาวยุทธฝึกหัดก็ไม่ต้องให้ฉันไปด้วยเหมือนกัน ผลก็คือเธอสอบผ่านโดยไม่ต้องพูดอะไรสักคำ ปล่อยให้ฉันเป็นกังวลตั้งครึ่งวันแหน่ะ ตอนนี้ลูกชายก็จะไปสอบอีก ฉันเลยไม่รู้สึกอะไรแล้ว!”


คุณนายเจ้าของบ้านที่ยิ้มร่าในตอนแรกกลับมีท่าทีชะงักไป เธอค่อยๆ อ้าปากค้าง เป็นเวลานานกว่าจะเอ่ยปากถาม “ลูกสาวของคุณอายุเท่าไร เด็กขนาดนี้สอบผ่านแล้วเหรอ?”


“อายุ 15 ปีแล้ว เธอเกิดเดือนมิถุนายน ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะถูกเสนอชื่อให้เข้าเรียนต่อที่วิทยาลัยศิลปะการต่อสู้แห่งเมืองหลวง ฉันก็อยากให้เธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ สักแห่ง มัวแต่รำดาบเล่นกระบองทั้งวันแบบนี้ ต่อไปคงหาแฟนยาก”


อายุเท่านี้ยังเด็กกว่าลูกสาวของเธอตั้งห้าเดือน คุณนายเจ้าของบ้านถูกโจมตีจนถล่มอย่างยับเยิน แต่เธอกลับทำได้แค่พูดด้วยน้ำเสียงหัวเราะเจื่อนๆ “จะพูดแบบนี้ก็ไม่ได้เนอะ วิทยาลัยศิลปะการต่อสู้แห่งเมืองหลวงเป็นสถาบันที่อยู่ในอันดับหนึ่งอันดับสอง หลายคนจะต้องอิจฉาอย่างแน่นอน ถ้าหากเธอสามารถกลายเป็นชาวยุทธได้ พวกคุณจะต้องเพลิดเพลินไปกับความสุขหลังวัยเกษียณแน่นอน”


“เป็นชาวยุทธมันง่ายอย่างนั้นซะที่ไหนกัน หลังจากเรียนจบสามารถหางานเป็นคุณครูสอนศิลปะการต่อสู้ในโรงเรียนได้ ฉันก็พอใจมากแล้ว”


หน้าของลูกสาวเธอเริ่มแดง เธอเหลือบตามองเฉินซิงเยว่ด้วยสีหน้าที่ดูไร้อารมณ์ พลางพูดหยุดแม่ของเธอ “แม่คะ เลิกพูดได้แล้ว หนูจะไปแล้ว”


….


เด็กสาวถือกระเป๋าสัมภาระหนึ่งใบ เดินไปบนถนนอย่างรวดเร็วด้วยสีหน้าดูเรียบเฉยจนผมเปียหางม้าที่ด้านหลังสะบัดไปมา


เฉินโจวอี้เดินตามหลังอย่างไม่เร็วไม่ช้าจนเกินไป


เธอสวมเสื้อยืดผ้าฝ้ายสีขาว กระโปรงจับจีบสีน้ำเงินเข้ม สวมถุงน่องยาวสีขาวและรองเท้าผ้าใบสีขาวน้ำเงิน มองดูแล้วช่างสบายตาและอ่อนเยาว์


ผ่านไปไม่นาน ทั้งสองคนเดินมาถึงสถานีรถบัส หลังจากซื้อตั๋วเสร็จแล้ว จึงไปนั่งรอรถ


เขารู้สึกเคอะเขินและอึดอัด ในเมื่อยังต้องเดินทางด้วยกัน เฉินโจวอี้จึงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบก่อน “ทำความรู้จักกันสักหน่อยแล้วกัน ฉันชื่อเฉินโจวอี้ แล้วเธอล่ะ?”


“โจวเสวี่ย!” เด็กสาวพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาโดยไม่ได้หันไปมองเขา


“ยังเรียนอยู่ ม.4 อยู่เหรอ?”


“อืม!”


“งั้นก็เหมือนน้องสาวฉันแหละ” เฉินโจวอี้พูดขึ้น


บรรยากาศเข้าสู่ความเงียบในทันที


ที่แท้ก็เป็นเด็กสาวจอมหยิ่งนี่เอง เฉินโจวอี้เริ่มรู้สึกเหงื่อตก


รถบัสมาถึงอย่างรวดเร็ว โจวเสวี่ยรีบลุกขึ้นไปต่อแถวขึ้นรถ


หลังจากเฉินโจวอี้ขึ้นมาบนรถจึงไปนั่งข้างเธอ


“นายอย่ามานั่งตรงนี้ได้ไหม?” โจวเสวี่ยพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา


“ก็ที่นั่งฉันอยู่ตรงนี้นี่นา!” เฉินโจวอี้หยิบเอาตั๋วรถมาแสดงให้ดู


“บนรถมีที่ว่างตั้งมากมาย นายก็นั่งๆ ไปสักที่เถอะ!”


“ก็ได้” เฉินโจวอี้รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนไล่ จึงพูดขึ้นอย่างจนปัญญา


เขาลุกขึ้นแล้วหาที่นั่งว่างใกล้ๆ เขาแอบเปิดกระเป๋าเอกสารเงียบๆ มองดูเด็กหญิงเปลือกหอยที่นอนหลับสนิทโดยกอดลูกบอลคริสตัลของเธอไว้


จากนั้นเขาปิดซิป ปรับเบาะนั่งให้เอนเพื่อนอนหงายแล้วเริ่มฝึกจิต


ตอนที่ 72 โรงงานไอน้ำ


โจวเสวี่ยเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง จากนั้นหยิบนิยายออกมาหนึ่งเล่ม แล้วเริ่มอ่านนิยายโดยไม่สนใจเขา


ในไม่ช้ารถบัสก็ขับออกมา


รถคันนี้เห็นได้ชัดว่าเริ่มเก่ามากแล้ว เสียงเครื่องยนต์ของตัวรถดังราวกับผู้ป่วยโรคหอบหืดที่หายใจไม่ออก มันส่งเสียง “ครืดๆ” ออกมา เฉินโจวอี้เริ่มเป็นกังวลว่ารถจะพังระหว่างกลางทางหรือเปล่า


ดีที่เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้น


หลังจากเอนตัวลงนอนประมาณครึ่งชั่วโมง เขาลืมตาขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่าง


ด้านนอกเป็นเขตอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ควันสีขาวพวยพุ่งออกมาจากปล่องควันเป็นจำนวนมากจากด้านบนโรงงาน


เมืองผิงชิวห่างจากเมืองหนิงโจวไม่มากเท่าไร เมื่อมาถึงตรงนี้ถือว่าเข้าเขตเมืองหนิงโจวแล้ว


เมื่อเทียบกับเมืองผิงชิวที่ยังคงเงียบเชียบอ้างว้าง การจราจรบนท้องถนนของเมืองนี้ได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาแล้ว แต่ก็ยังน้อยกว่าเมื่อก่อนอยู่มาก


“โชเฟอร์ ได้ยินมาว่าโรงงานบางส่วนที่นี่ใช้เครื่องจักรไอน้ำทั้งหมดเลยใช่ไหม? ” ในเวลานี้มีผู้โดยสารบนรถเอ่ยถามพนักงานขับรถ


” ก็ไอ้ที่ควันกำลังพุ่งขึ้นพวกนั้นนั่นแหละ เป็นเครื่องจักรไอน้ำหมดเลย!”


” ที่จริงเครื่องจักรไอน้ำก็ไม่เลวเลยนะ คุณดูสิโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไม่ได้ขับเคลื่อนโดยกังหันไอน้ำ อีกอย่างในตอนนี้เครื่องจักรไอน้ำของโรงงานไม่ได้เป็นแบบเมื่อก่อนแล้ว “


“อย่างน้อยๆ ก็เป็นเครื่องจักรไอน้ำแบบ subcritical เครื่องจักรไอน้ำเครื่องหนึ่งสามารถขับเคลื่อนเครื่องกลหนักหลายร้อยหลายพันเครื่องได้ ช่วยประหยัดต้นทุนกว่าการปล่อยกระแสไฟฟ้ามาใช้ในการขับเคลื่อนเครื่องกล”


ในฐานะที่เคยเป็นนักเรียนชั้น ม.6 มาก่อน เฉินโจวอี้ยังพอรู้ว่าเครื่องจักรไอน้ำแบบ subcritical คืออะไร?


ในกระบวนการที่ใช้ความร้อนมาแปรสภาพน้ำให้กลายเป็นแก๊ส เมื่อความดันภายในหม้อไอน้ำเพิ่มขึ้น อุณหภูมิความอิ่มตัวของน้ำจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน จนเกิดการลดประสิทธิภาพการแปรสภาพเป็นแก๊ส เมื่อแรงดันเพิ่มขึ้นในระดับหนึ่ง ไอน้ำจะอิ่มตัวและไม่มีการระเหยอีกต่อไป ในเวลานี้ความหนาแน่นของไอน้ำและน้ำจะเท่ากันซึ่งมาถึงระดับสภาวะ subcritical


ถ้าหากแรงดันและอุณหภูมิยังคงเพิ่มสูงขึ้น ในเวลานี้น้ำได้กลายเป็นไอน้ำอย่างสมบูรณ์ ไม่มีความแตกต่างระหว่างไอน้ำและน้ำอีกต่อไป น้ำก็คือไอน้ำ ไอน้ำก็คือน้ำ ซึ่งจะกลายเป็นสภาวะ supercritical


ส่วนสภาวะ subcritical มีสภาวะที่ใกล้เคียงกับสภาวะ supercritical ถือเป็นเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าเป็นอย่างมากในยุคปัจจุบัน


สำหรับโรงงานไฟฟ้าพลังงานความร้อนและโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ส่วนใหญ่ใช้ระบบเครื่องจักรชนิด supercritical ที่ทันสมัยกว่า มีแม้กระทั่งระบบเครื่องจักรแบบ ultra – supercritical


อย่างไรก็ตามประสิทธิภาพเชิงความร้อนของเครื่องจักรไอน้ำแบบ subcritical ก็ยังสูงอยู่มากเมื่อเทียบกับเครื่องจักรไอน้ำเมื่อหลายร้อยปีก่อน


แต่นั่นมันก็ชัดเจนอยู่แล้ว มองไปยังปล่องควันโรงงานที่อยู่ด้านนอก เฉินโจวอี้ยังคงรู้สึกหนักอึ้งอยู่ในใจ


สิ่งนี้แสดงถึงอารยธรรมของมนุษย์กำลังล่าถอยลง


สุดท้ายแล้วพลังงานไฟฟ้าก็เป็นแหล่งพลังงานที่สะดวกและสะอาดที่สุดสำหรับมวลมนุษย์อยู่ดี


ถ้าหากพลังจากโลกที่แตกต่างยังคงรุกราน หากไฟฟ้ายังคงใช้การไม่ได้อย่างสมบูรณ์ ไม่เพียงแต่ความเจริญรุ่งเรืองและความสะดวกสบายของยุคแห่งไฟฟ้าและสารสนเทศเท่านั้นที่จะกลายเป็นประวัติศาสตร์ของอารยธรรมอันสมบูรณ์ แต่อุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่นโลหะและเคมีก็จะประสบภาวะถดถอยอย่างรุนแรงเช่นกัน


ทั้งโลกกำลังเปลี่ยนแปลงสู่ความมืดมิด


เขามองปล่องควันที่พ่นควันสีขาวอยู่นอกหน้าต่าง ราวกับกำลังมองดูอารยธรรมที่กำลังถดถอยลง


ในใจของเฉินโจวอี้เกิดความรู้สึกเศร้าใจ


….


รถขับต่อไปอีกครึ่งชั่วโมง ในที่สุดก็มาถึงสถานีขนส่งผู้โดยสาร


เฉินโจวอี้และโจเสวี่ยลงจากรถพร้อมกัน พวกเขาเดินออกมาจากสถานีขนส่งผู้โดยสาร ก็เห็นด้านนอกมีรถแท็กซี่เต็มไปหมด


“ไปด้วยกันไหม? ” เฉินโจวอี้ถามขึ้น


โจวเสวี่ยพยักหน้าพลางพูดขึ้น ” อืม นั่งไปด้วยกันจะได้ประหยัดเงิน!”


เป็นแค่เด็กสาวอายุสิบห้าปี คงไม่เคยมาที่เมืองหนิงโจวสินะ


แน่นอนว่าเขาเองก็เช่นกัน แต่ความกล้าของเขามีมากกว่าเธอ เขาเอากระเป๋าเป้ที่สะพายมาด้านหลังวางไว้กระโปรงท้ายรถ แล้วเข้าไปนั่งในรถแท็กซี่


“โชเฟอร์ ไปศูนย์กลางการทดสอบชาวยุทธฝึกหัด “


คนขับรถแท็กซี่รีบสตาร์ทเครื่องพลางพูดขึ้น ” วันนี้รับผู้โดยสารไปหลายรอบแล้ว ทุกคนไปศูนย์กลางการทดสอบชาวยุทธฝึกหัดหมดเลย “


” คนเยอะมากเลยเหรอครับ? ” เฉินโจวอี้ถาม


” เยอะ! ส่วนใหญ่ก็รีบมาจากที่อื่นนั่นแหละ ได้ยินมาว่าการทดสอบครั้งนี้จะลดมาตรฐานลง “คนขับรถพูดราวกับว่าเรื่องนี้เป็นที่ทราบกันดี


” จริงเหรอ? ” โจวเสวี่ยได้ยินดังนั้นจึงรีบถามขึ้น


” แน่นอนสิ เธอคิดดูนะ คนมาเยอะขนาดนี้ กว่าจะสอบแต่ละคนเสร็จต้องใช้เวลาถึงเมื่อไร พอถึงตอนนั้นเขาต้องลดมาตรฐานลงอย่างแน่นอน “


โจวเสวี่ยไม่เข้าใจเรื่องการทดสอบเลยแม้แต่น้อย พอได้ยินข่าวดีเช่นนี้ เธอจึงเผยสีหน้าแห่งความสุขออกมาโดยไม่รู้ตัว


เฉินโจวอี้ไม่ได้สนใจว่าครั้งนี้มันจะยากหรือง่าย จึงเอ่ยถามขึ้น


” บริเวณใกล้ๆ ที่นั่นมีโรงแรมไหม? “


” มีเยอะแยะ แต่ฉันคิดว่าน่าจะเต็มทุกที่แล้วแหละ! “


” ลองไปดูที่นั่นก่อนแล้วกัน พอถึงตอนนั้นค่อยว่ากัน “


ไม่นานรถก็ขับมาถึงที่หมาย


” อาคารด้านหน้าคือศูนย์กลางการทดสอบชาวยุทธฝึกหัด ค่าโดยสารทั้งหมด 125 หยวน “


” แพงขนาดนี้เลยเหรอ! ” โจวเสวี่ยที่อยู่ด้านหลังอุทานขึ้น


” ปกตินี่นา ตอนนี้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นมาเท่าตัวแล้ว อีกอย่างตอนนี้ปริมาณการใช้น้ำมันก็กำลังเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน เธอดูสิฉันกดมิเตอร์ให้แล้วนะ ” คนขับรถแท็กซี่พูดท้วงขึ้น


เฉินโจวอี้ไม่ได้เถียง เขาหยิบเงินจากกระเป๋าสตางค์ออกมาจ่าย


หลังจากรับเงินทอนแล้ว เขาจึงหยิบกระเป๋าของตัวเองและของโจวเสวี่ยออกมาจากกระโปรงหลังรถ รอให้เธอลงรถ


” แพงมากเลย รู้งี้นั่งรถเมล์ดีกว่า ” หลังจากที่โจวเสวี่ยรับกระเป๋าสัมภาระของตัวเองมาพลางบ่นอุบอิบด้วยท่าทีเป็นทุกข์จากนั้นหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา ” เอาไป 70 หยวน! ทอนฉันมา 8 หยวน 5 เหมาด้วย! “


หลังจากที่เฉินโจวอี้รับเงินมาจึงเอาใส่ไว้ในกระเป๋าสตางค์แล้วพูดขึ้น


” ไม่มีเงินทอน ติดไว้ก่อนแล้วกัน “


” เมื่อกี้เงินทอนที่นายพึ่งรับมาจากคนขับรถแท็กซี่มีเหรียญ 5 หยวนอยู่ เอามาให้ฉันก่อน “


เฉินโจวอี้เปิดกระเป๋าสตางค์ดูอีกครั้ง พบว่าข้างในมีเหรียญ 5 หยวนอยู่จริง จึงล้วงออกมายื่นให้เธอ ” เอาไป! “


” งั้นนายยังติดฉันอีก 3 หยวน 5 เหมานะ ” โจวเสวี่ยพูดด้วยสีหน้าจริงจัง


ผู้หญิงคนนี้งกจัง


เฉินโจวอี้หมดคำพูด ” วางใจเถอะ ” รอฉันแลกเงินก่อน เดี๋ยวจะเอามาคืนให้


….


ทั้งสองเริ่มมองหาโรงแรมในบริเวณใกล้เคียง แต่ไม่ใช่ว่าห้องเต็มแต่อย่างใด มันแพงเกินไปต่างหาก


เฉินโจวอี้กลับไม่ได้สนใจอะไร ตั้งแต่ที่เขาได้ทองคำมา ชีวิตของเขาก็สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น เวลาจับจ่ายใช้สอยสามารถใช้จ่ายเงินเกินตัวได้


แต่โจวเสวี่ยกลับไม่พอใจสักที


” โรงแรมนี้แพงกว่าด้านหน้าอีก ห้องเดี่ยวราคาตั้ง 300 หยวน ยังต้องอยู่อีกตั้งสองคืนแหน่ะ “


” หามาสองชั่วโมงกว่าแล้วนะ ให้ฉันช่วยจ่ายให้เธอไหม เธอไม่ต้องคืนฉันหรอก ” เฉินโจวอี้อดที่จะพูดไม่ได้


” ใครต้องการความใจดีของนาย ถ้าหากนายทนไม่ได้นายก็ไปซะ เพราะฉันก็ไม่ได้ต้องการให้นายมาอยู่กับฉันตลอดเวลาอยู่แล้ว ” สีหน้าของโจวเสวี่ยดูเย็นชาขึ้นทันที


ฐานะที่บ้านของเฉินโจวอี้ถือว่าไม่แย่มาตั้งแต่เด็ก ชีวิตไม่ต้องกังวลอะไร เขาไม่เคยต้องมากังวลเกี่ยวกับเรื่องเงินมาก่อน จึงจินตนาการไม่ออกว่าครอบครัวธรรมดาครอบครัวหนึ่ง หรืออาจจะเป็นครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยว การเลี้ยงดูชาวยุทธฝึกหัดคนหนึ่งเป็นอะไรที่กดดันมาก โดยเฉพาะเรื่องเงิน ซึ่งพวกเขาจะมีความอ่อนไหวมากกว่าคนทั่วไป


เฉินโจวอี้รีบขอโทษอย่างรวดเร็ว


” เอาล่ะ ถือว่าฉันพูดผิดแล้วกัน งั้นพวกเราหากันต่อเถอะ! “


ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไรอีก พวกเขาเดินก้มหน้า บรรยากาศที่ค่อนข้างคุ้นเคยกันเล็กน้อยเปลี่ยนไปเย็นชาอีกครั้ง


จากนั้นพวกเขาหาโรงแรมต่ออีกเกือบครึ่งชั่วโมง ในที่สุดทั้งสองคนก็หาโรงแรมที่ราคาเหมาะสมเจอ


มองดูอายุของทั้งสองคน พนักงานคนสวยตรงแผนกต้อนรับไม่ได้แปลกใจอะไร ” ทั้งสองท่านต้องการห้องสวีตไหมคะ? “


ห้องสวีต!?


เห็นได้ชัดว่าแม่สาวน้อยไม่เคยผ่านประสบการณ์แบบนี้มาก่อน พอเธอได้ยินก็เบิกตากว้างทันที ใบหน้าขาวเนียนเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่ออย่างรวดเร็ว ดูราวกับกระต่ายน้อยที่กำลังตกใจ เธอเริ่มพูดติดๆ ขัดๆ ” พะ……พวกเราไม่ได้มาด้วยกัน ขอเป็นห้องเดี่ยว ฉันจะพักสองคืนค่ะ “


” ขอบัตรประชาชนด้วย เงินมัดจำ 100 หยวน ค่าห้อง 200 หยวน รวมทั้งหมดเป็น 300 หยวน “


หลังจากที่โจวเสวี่ยดำเนินการเปิดห้องพักเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอหยิบคีย์การ์ดไปโดยไม่รอเฉินโจวอี้ จากนั้นถือกระเป๋าสัมภาระแล้วรีบเดินไปที่ลิฟต์ทันที ราวกับว่าอดใจรอไม่ได้ที่จะพิสูจน์ให้พวกแผนกต้อนรับเห็นว่าทั้งสองคนไม่ได้เป็นอะไรกัน


จบตอน


 

ตอนที่ 73 สถานการณ์ปัจจุบัน


ห้องของเฉินโจวอี้อยู่ตรงข้ามห้องของโจวเสวี่ย


หลังจากที่เฉินโจวอี้ดำเนินการเปิดห้องพักเรียบร้อยแล้ว เขาจึงเปิดห้องเข้าไป


มองไปยังโคมไฟที่ส่องสว่างอยู่ด้านใน เขาเกิดความรู้สึกเหมือนกลับคืนสู่โลกที่เจริญแล้วอีกครั้ง


หลังจากตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง เขาจึงวางกระเป๋าสัมภาระของตัวเองลง


ถึงแม้ว่าห้องจะแคบ แต่ภายในมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน นอกจากโทรทัศน์แล้ว ภายในยังมีคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะอยู่ด้วย


เขาไม่ได้รีบออกไปกินอาหารเที่ยง หลังจากพบรีโมทแล้ว เขารีบเปิดโทรทัศน์ทันที


ผลก็คือไม่มีสัญญาณเลยแม้แต่น้อย


เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจเท่าไร


ไม่ว่าจะเป็นการออกอากาศผ่านดาวเทียมหรือเคเบิลทีวี ต่างก็ต้องพึ่งสัญญาณดาวเทียมทั้งนั้น โดยการออกอากาศผ่านดาวเทียมจะรับสัญญาณผ่านจานรับสัญญาณดาวเทียม ส่วยเคเบิลทีวีจะรับสัญญาณโดยการที่สถานีภาคพื้นดินจะทำการมอดูเลตสัญญาณดาวเทียมให้เป็นช่องสัญญาณแล้วส่งผ่านสายเคเบิลไป


ซึ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่ต้องผ่านดาวเทียมหมด


แต่ในปัจจุบันดาวเทียมทุกดวงขาดการเชื่อมต่อ จึงทำให้ไม่สามารถดูโทรทัศน์ได้


จากนั้นเขาจึงลองเปิดคอมพิวเตอร์ดู


หลังจากรอประมาณสิบวินาที การแสดงผลปรากฏขึ้นบนหน้าจอ เมื่อมองเห็นสัญลักษณ์การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ในที่สุดเฉินโจวอี้ก็โล่งใจ อย่างน้อยที่นี่ก็สามารถใช้งานออินเทอร์เน็ตได้


คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่านไฟเบอร์ออปติก และไฟเบอร์ออปติกส่งสัญญาณแสง


ถึงแม้ว่าจะอยู่ในประเภทคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเหมือนกัน แต่เมื่อเทียบกับพวกคลื่นยาวจำพวกคลื่นวิทยุและคลื่นเรดาร์ ความยาวของคลื่นแสงถือว่าสั้นกว่ามาก ระดับพลังงานที่นำมาใช้สูงกว่าอย่างแรกเช่นกัน


เขารีบเปิดดูเว็บไซต์ข่าวสารอย่างรวดเร็ว


” ประธานาธิบดีกล่าวปาฐกถาขณะเข้าเยี่ยมชมวิทยาศาสตร์บัณฑิตยสถานแห่งจีนโดยมีเนื้อความว่า: วิทยาศาสตร์เป็นวิธีที่ใช้งานได้จริงทำให้เรารู้จักโลก ไม่ว่าสถานการณ์ในอนาคตจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางไหน วิทยาศาสตร์จะไม่มีวันล้าสมัย ผมหวังว่านักวิจัยทางวิทยาศาสตร์ทุกท่านจะเตรียมความพร้อมเพื่อที่จะเผชิญหน้ากับสถานการณ์ใหม่และความท้าทายใหม่…. “


” หน่วยขีปนาวุธเชิงกลยุทธ์ประสบความสำเร็จในการทดสอบระเบิดไฮโดรเจนปริมาณสมมูลสามล้านในอุโมงค์มิติขนาดใหญ่ ตามรายงานระบุว่าระเบิดไฮโดรเจนลูกนี้ได้รับการพัฒนาล่าสุดมาจากการคาดการณ์ความสูงของเรือเหาะพลังงานนิวเคลียร์ และถูกกระตุ้นโดยกลไกที่มีประสิทธิภาพ ความสำเร็จในการระเบิดครั้งนี้ถือเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าประเทศจีนได้ก่อตัวยุทธศาสตร์ทางอุปสรรคต่อโลกที่แตกต่าง


” ประเทศโซนภูมิภาคตะวันออกกลางกำลังเกิดความไม่สงบส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อราคาน้ำมันโลก และราคาน้ำมันยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง “


” จ้าวจงเจี้ยน ประธานศูนย์ยุทธศาสตร์ปิโตรเลียมแห่งชาติกล่าวในการให้สัมภาษณ์ว่า: ในปัจจุบันน้ำมันสำรองมีเพียงพอ ต่อให้ถูกตัดขาดจากทรัพยากรน้ำมันทั้งหมด แต่ก็ยังเพียงพอต่อการใช้งานในประเทศจีนได้เป็นระยะเวลาหนึ่งปี และเนื่องจากประเทศจีนเป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ จนกระทั่งตอนนี้ปริมาณน้ำมันที่ยังอยู่ในเขตปลอดภัยและยังไม่จำเป็นที่จะต้องนำน้ำมันสำรองออกมาใช้ “


” กระทรวงพิทักษ์สันติราษฎร์ออกมาประกาศเตือนว่า: ทางการกำลังเร่งปราบปรามกิจกรรมของพวกลัทธินอกรีตอย่างจริงจัง ประชาชนโปรดระวังพวกลัทธินอกรีตที่ชั่วร้ายที่พยายามเผยแพร่กิจกรรมของลัทธินอกรีต….”


….


ข่าวทั้งหมดดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความหดหู่


เฉินโจวอี้อ่านข่าวด้วยความตึงเครียด


เขาลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่างเปิดผ้าม่านเพื่อมองดูการจราจรที่สัญจรไปมาและผู้คนที่เดินอยู่ตามท้องถนน ทำให้เขาเกิดความรู้สึกสงบ


น่าเสียดายที่ต่อให้เขามีพลังระดับชาวยุทธ แต่กระแสของยุคสมัยนี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งทำได้เพียงต้องตามกระแสไป


หลังจากยืนอยู่พักหนึ่ง เขาถึงจะจัดการอารมณ์ของตัวเองได้


เมื่อเริ่มรู้สึกหิว เขาจึงเหลือบดูเวลา พบว่าเป็นเวลาบ่ายโมงกว่าแล้ว


เขาเดินออกจากห้องไป


ไปเคาะประตูห้องของโจวเสวี่ยที่อยู่ตรงข้ามพลางถามขึ้น


“ไปกินข้าวด้วยกันไหม? “


” กินไปแล้ว! ” ผ่านไปสักพัก มีเสียงโจวเสวี่ยตอบกลับมา


เป็นเด็กสาวที่ไม่น่ารักเลยสักนิด


ถ้าเธอไม่ใช่ลูกสาวเจ้าของบ้าน เฉินโจวอี้ไม่สนใจเธอไปนานแล้ว


แน่นอนว่าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับความสวยของเธอเลย


เฉินโจวอี้ปิดประตู จากนั้นถือกระเป๋าเอกสารเดินออกไป


ดีที่บริเวณใกล้เคียงมีร้านอาหารแบบบุฟเฟ่ต์อยู่ เขาจึงเดินเข้าไป


ตอนนี้เขากินเยอะมาก เนื่องจากปริมาณการออกกำลังกายที่น่าทึ่งในแต่ละวัน ทำให้ปริมาณการบริโภคอาหารของเขาสูงกว่าคนทั่วไปห้าหกเท่า ถ้ากินอยู่บ้านก็ยังพอได้ แต่ถ้าออกมากินข้างนอก มักจะดึกดูดสายตาแปลกๆ ของผู้คนได้เป็นจำนวนมาก


เมื่อเทียบกันแล้ว การกินอาหารบุฟเฟ่ต์ค่อนข้างไม่ดึงดูดสายตาผู้คน


….


ที่สำนักงานสืบสวนชั้นสามเขตเมืองหนิงโจว


” ปัจจุบันสถานการณ์ของพื้นที่บริเวณเขตหนิงโจวกำลังรุนแรงขึ้น เมืองตงหนิงและพื้นที่บริเวณใกล้เคียงกำลังเกิดปัญหา โดยเฉพาะเมืองตงหนิงที่เกิดเหตุการณ์ฆ่าเพื่อทำพิธีบูชายัญของพวกลัทธินอกรีต จนถึงกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่สามารถตามสืบได้ว่าอีกฝ่ายมีจำนวนเท่าไรกันแน่ ตอนนี้พวกเรากำลังถูกกดดันเป็นอย่างมาก ถ้าหากพวกเราไม่รีบแก้ปัญหาให้โดยเร็ว เกรงว่าทางสำนักงานใหญ่จะส่งคนเข้ามา พอถึงตอนนั้นเราจะเพิกเฉยไม่ได้ ” ชายวัยกลางคนที่ดูน่ากลัวคนหนึ่งรีบเดินอย่างรวดเร็วพลางพูดขึ้นด้วยสีหน้าตึงเครียด


ทันใดนั้นเขาก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้น เขาหันไปมองชายหนุ่มรูปร่างดูดีแล้วพูดขึ้น ” คดีฆาตกรรมตรงถนนทางหลวงเส้นตงหนิง-ผิงชิวที่คุณตรวจสอบมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกลัทธินอกรีตไหม? “


” ตามข้อมูลที่ได้รับจากสาขาย่อยในเมืองตงหนิง ตอนนี้พบเบาะแสบางส่วนแล้วครับ “


” ผู้ตายคนที่หนึ่งคือเฉียนหัวเจี้ยน ได้รับการลงทะเบียนเป็นชาวยุทธ เป็นสมาชิกของสมาคมชาวยุทธแห่งเมืองตงหนิง ทำงานเป็นที่ปรึกษาของสำนักงานความปลอดภัยในท้องที่ “


” ผู้ตายคนที่สองคือเจียงเหวินหย่ง ลงทะเบียนเป็นชาวยุทธฝึกหัด เขาเป็นหัวหน้าทีมรักษาความปลอดภัยของ Dongning Brilliant Club “


” ผู้ตายคนที่สามชื่อว่าไช่เชิง ลงทะเบียนเป็นชาวยุทธฝึกหัด เป็นครูชั้นเรียนฝึกอบรม ส่วนผู้ตายคนที่สี่…. “


” เราได้ตรวจสอบญาติและเพื่อนของพวกเขา แต่กลับพบว่าคนพวกนี้ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกัน การกระทำในครั้งนี้ไม่ได้มีการลงบันทึกไว้แต่อย่างใดครับ “


” ถ้าพูดแบบนี้ แสดงว่าองค์กรของคนเหล่านี้มีความแน่นหนามาก คาดว่าจะใกล้เคียงขึ้นมาบ้างไหม? ” ชายวัยกลางคนหันไปถาม


” ตอนนี้ยังเป็นแค่การสันนิษฐานเบื้องต้นเท่านั้น ยังต้องหาหลักฐานเพิ่มเติมอีกครับ “


” พวกเราไม่ต้องใช้หลักฐาน นั่นมันงานของพวกตำรวจ รีบควบคุมครอบครัวของพวกเขา เพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบ ฉันไม่เชื่อว่าองค์กรของพวกเขาจะแน่นหนาขนาดนั้น จนไม่เผยเบาะแสร่องรอยอะไรออกมา “


” อ้อใช่แล้ว ยังมีชาวยุทธอีกคน หาเบาะแสเจอไหม? ” ในเวลานี้ชายวัยกลางคนนึกอะไรออก


” ตอนนี้ยังครับ มีวัตถุต้องสงสัยหลายรายการ แต่ยังขาดหลักฐานอยู่ครับ “


ชายวัยกลางคนคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น ” ไม่ต้องตามสืบแล้ว คนที่เขาฆ่าเป็นแค่พวกนับถือลัทธินอกรีตเท่านั้น ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร คาดว่าชาวยุทธคนนั้นก็ไม่อยากมีปัญหาเหมือนกัน “


….


หลังจากกินจนอิ่มแล้ว เฉินโจวอี้กลับกลับห้องพักของตัวเอง


หลังจากที่ตรวจสอบว่าในห้องพักไม่มีกล้องวงจรปิด เขาจึงนำเด็กหญิงเปลือกหอยที่กำลังหลับสนิทออกมา


” อัญมณียักษ์ของฉัน! ” หลังจากที่พึ่งจะฉีกเทปที่ปิดปากออก เด็กหญิงเปลือกหอยก็ครวญครางทันที


” รีบอะไรนักหนา! ” เฉินโจวอี้พูดอย่างไม่สบอารมณ์


เขาพูดไปด้วยพลางหยิบเอาลูกบอลคริสตัลออกมาจากในกระเป๋าสะพายหลัง แล้วค่อยๆ ยัดมันใส่อ้อมแขนของเธอ


เธอถูกแรงกดจากน้ำหนักของลูกบอลคริสตัลจนนั่งจ้ำเบ้าไปที่พื้น แต่เธอไม่ได้สนใจเลยสักนิด


เธอใช้แก้มของเธอลูบสัมผัสมัน แล้วยังจูบมันอยู่หลายครั้ง ที่น่าตลกยิ่งกว่าคือเธอกอดมันไว้ข้างกายอย่างระมัดระวัง


ลูกบอลคริสตัลนี้มีขนาดใหญ่กว่าร่างของเธอหลายเท่า โชคดีที่เธอเกิดมามีความแข็งแกร่งและอยู่ในโลกที่มีแรงโน้มถ่วงต่ำ จึงกอดมันไว้ได้อย่างง่ายดาย


เธอสนุกสนานกับตัวเองไปสักพัก ถึงจะเริ่มสนใจเฉินโจวอี้


” คนตัวยักษ์ เธอทำอะไรอยู่? “


เฉินโจวอี้นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์กำลังอ่านพาดหัวข่าวล่าสุด จึงพูดขึ้น ” ไม่มีอะไร “


เด็กหญิงเปลือกหอยมองที่หน้าจอคอมพิวเตอร์และดูเหมือนจะเป็นอย่างที่เธอคุ้นเคย เธอวางลูกบอลคริสตัลลงแล้ววิ่งไปที่ปลายเตียงอย่างรวดเร็ว หลังจากดูอยู่ซักพัก เธอก็ถามด้วยความสงสัยว่า


” คนตัวยักษ์ เป๊ปป้าพิกอยู่ในนั้นใช่ไหม? “


เฉินโจวอี้อ้ำอึ้ง คิดไม่ถึงเลยว่าเมื้อเวลาผ่านมานานขนาดนี้ เด็กหญิงเปลือกหอยยังคงไม่มีวันลืมการ์ตูนเรื่องโปรด


เขาจึงพูดไปตามความเคยชิน ” อีกพักหนึ่งเดี๋ยวฉันจะให้ดู!”


เด็กหญิงเปลือกหอยตื่นเต้นทันที ” คนยักษ์ผู้ยิ่งใหญ่ เป๊ปป้าพิกกลับมาแล้วเหรอ? เป๊ปป้าพิกกลับมาแล้วจริงๆ เหรอ? “


” เลิกวุ่นวายได้แล้ว อีกพักหนึ่ง…. “


” ไม่ได้ ฉันไม่รอแล้ว เป๊ปป้าพิก เป๊ปป้าพิก ตอนนี้ฉันจะเอาเป๊ปป้าพิก “


แม่งเอ้ย ใจร้อนจริงๆ


เฉินโจวอี้รำคาญมาก เขาไม่มีทางเลือกนอกจากปิดหน้าเว็บไซต์ข่าวสาร แล้วเสิร์ชหาการ์ตูนเป๊ปป้าพิก ดีที่การ์ตูนยังมีอยู่ เขาจึงสุ่มเปิดมาหนึ่งตอน


เมื่อเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น เฉินโจวอี้ลุกออกไปจากโต๊ะคอมพิงเตอร์แล้วหันกลับมามอง


ก็เห็นเด็กหญิงเปลือกหอยนั่งลงบนเตียงอย่างเงียบสงบแล้ว


จบตอนตอนที่ 74 การทดสอบพิเศษ


โชคดีที่เฉินโจวอี้มาล่วงหน้าหนึ่งวัน


เพราะวันต่อมา โรงแรมนี้ห้องเต็มหมดแล้ว ซึ่งผู้ที่มาเข้าพักล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มาร่วมการทดสอบชาวยุทธฝึกหัดจากทั่วทุกสารทิศ


นอกจากออกไปกินข้าวข้างนอกแล้ว ช่วงสองวันมานี้เฉินโจวอี้ไม่ได้ออกไปไหนเลย เขาเอาแต่ฝึกซ้อมอยู่ในห้องพัก


ครั้งนี้เด็กหญิงเปลือกหอยดูการ์ตูนซะสมใจอยาก ตั้งแต่ลืมตาตื่นในตอนเช้าไปจนถึงก่อนเข้านอนในตอนกลางคืน สายตาของเธอไม่เคยละไปจากจอคอมพิวเตอร์ จนเฉินโจวอี้เริ่มรู้สึกเป็นกังวลว่าเธอจะสายตาสั้นเพราะมองจอเยอะไป


แต่พอนึกถึงว่าวันแห่งความสบายใจของเธอกำลังจะหมดลง เขาจึงปล่อยเธอตามสบาย


ส่วนลูกสาวของเจ้าของบ้านเช่าดูเหมือนเธอตั้งใจจะหลีกเลี่ยงเขา ในช่วงสองวันนี้เขาไม่เจอหน้าเธอเลย


….


ตอนกลางคืน!


เฉินโจวอี้หลับตาสัมผัสถึงการออกแรงของกล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างกายอย่างละเอียด


ดาบพุ่งแทงตัดผ่านอากาศไปเป็นครั้งคราวส่งเสียง ครืน! อย่างต่อเนื่อง


ในเวลานี้เขาได้ซึมซับความแข็งแกร่งทางกายภาพขณะต่อสู้ของชายชุดดำอย่างเต็มที่


ถึงแม้ว่าเมื่อเทียบกับอีกฝ่าย ตัวเขายังมีความต่างชั้นของระดับการควบคุมกล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างกายอยู่มาก แต่เขากลับได้รับประโยชน์มากมายจากกระบวนท่าดาบที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน รวมถึงเทคนิคความยืดหยุ่นต่างๆ ในกระบวนการต่อสู้


ด้วยการฝึกฝนกระบวนท่าดาบเหล่านี้มาเป็นระยะเวลาสิบวัน ทำให้เขาเริ่มมีความชำนาญขึ้น จนสามารถใช้กระบวนท่าได้ตามใจต้องการ


จนกระทั่งเวลานี้ ในที่สุดจุดเชื่อมโยงที่ขาดหายไปเพียงส่วนเดียวในวิชาดาบของเขาก็ได้รับการเติมเต็มอย่างสมบูรณ์


วิชาดาบที่มีการปรับเปลี่ยนและซื่อตรง แน่นอนว่ามันคือวิชาดาบที่ดีเยี่ยม แต่การเปลี่ยนแปลงของมันจะหายไป


เมื่อก่อนตอนที่เฉินโจวอี้กำลังต่อสู้ ทักษะที่เขาใช้ทั้งหมดคือการแทงดาบ และเขาก็ใช้เป็นแค่ท่าเดียวเท่านั้น


ถึงแม้ว่าผลในการต่อสู้จริงจะไม่เลว แต่ขณะที่ต่อสู้ก็หลีกเลี่ยงที่จะแสดงท่าทางอย่างแข็งทื่อไม่ได้ มันยังขาดความยืดหยุ่น ทำให้เขามักจะพลาดโอกาสไปมากมาย


ตัวอย่างเช่นในการต่อสู้ที่ดุเดือด มีบางครั้งที่แค่ตวัดดาบเดียวก็สามารถจัดการคู่ต่อสู้ได้แล้ว แต่มักจะเป็นเพราะการที่เขายังไม่ชำนาญกระบวนท่าดาบ ร่างกายไม่มีจิตใต้สำนึกในส่วนนี้ ทำให้สัญชาตญาณเปิดระยะโจมตีจนต้องแทงดาบออกไปอีกครั้ง


ซึ่งมันนำไปสู่การไร้ประสิทธิภาพในการต่อสู้ ขณะเดียวกันยังเพิ่มความเสี่ยงให้กับตัวเขาเองอีกด้วย


ตอนนี้ระดับวิชาดาบของเขาเป็นอย่างไรแล้วน่ะเหรอ? เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน นับตั้งแต่การต่อสู้กับชายชุดดำ เขาก็ไม่เคยได้ลองต่อสู้ในสถานการณ์จริงอีกเลย


นอกจากนี้เขายังไม่เจอคู่ต่อสู้ที่เหมาะจะมาเทียบกับเขาได้


แต่ระดับของวิชาดาบในแผงคุณสมบัติกลับเพิ่มสูงขึ้นเป็น “ชำนาญระดับ 18” ในช่วงเวลานี้มันเพิ่มขึ้นมาสามจุดเต็มๆ


ยิ่งทักษะมาถึงระดับหลังมากเท่าไร ความยากในการเพิ่มระดับยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น การเพิ่มขึ้นในแต่ละจุดต่างก็จำเป็นต้องใช้การฝึกฝนนับพันนับหมื่นครั้ง


ในระยะเวลาสิบวันสามารถเพิ่มระดับมาได้ถึงสามจุด ถือว่ารวดเร็วเป็นอย่างมาก


….


เช้าวันรุ่งขึ้น เฉินโจวอี้เอากระเป๋าเอกสารทิ้งไว้ในห้องแล้วล็อคประตู


จากนั้นเดินไปเคาะประตูห้องของอีกฝ่าย จะไปด้วยกันหรือเธอจะไปคนเดียว?


แม้ว่าแม่สาวน้อยดูเหมือนจะคอยระวังเขาอยู่ตลอดเวลา แต่ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง เฉินโจวอี้คิดว่าเขาควรจะต้องแสดงความเป็นสุภาพบุรุษหน่อย


ในไม่ช้าประตูก็เปิดออก


“ไปด้วยกัน!” โจวเสวี่ยพูดขึ้นอย่างชัดเจน


เธอเก็บข้าวของเสร็จแล้ว เห็นได้ชัดว่าเตรียมพร้อมมานานแล้ว


เธอสวมชุดกีฬาผ้าฝ้ายสีเทาขาว ผมของเธอยังเปียกอยู่ คาดว่าคงอาบน้ำอีกรอบหลังจากอุ่นเครื่องในตอนเช้า


“ตอนนี้พึ่งจะเจ็ดโมงเช้า ไปกินข้าวเช้าก่อนแล้วกัน!” เฉินโจวอี้ดูเวลาพลางพูดขึ้น “พอถึงเวลาก็เดินไปจะได้ย่อยไปด้วย”


หลังเดินออกจากโรงแรม ทั้งสองคนเดินเข้าไปในร้านอาหารเช้าที่อยู่บริเวณใกล้เคียง


….


” นายกินเยอะขนาดนี้เลยเหรอ?” โจวเสวี่ยที่เงียบมาโดยตลอด ในเวลานี้พอเห็นความหิวกระหายอันน่าทึ่งของเฉินโจวอี้ จึงอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้


พอเห็นว่าเธอกินเสร็จแล้ว เฉินโจวอี้จึงรีบกินเสี่ยวหลงเปาลูกที่เจ็ดจนหมด แล้วหยิบนมถั่วเหลืองขึ้นมาดื่มอึกหนึ่งพลางพูดขึ้น กินได้เยอะถือเป็นเรื่องดี!


ตะกละเป็นหมูเลย!


โจวเสวี่ยบ่นอุบอิบในใจ


หลังจากเฉินโจวอี้ดื่มนมถั่วเหลืองจนหมด เขาจึงเรียกพนักงานมาคิดเงิน คิดเงินด้วยครับ!


“จ่ายรวมไหม?”


“จ่ายรวมไปเลยครับ!”


“ทั้งหมด 85 หยวน”


เฉินโจวอี้จ่ายแบ้งค์ 100 หยวนไป จากนั้นรับเงินทอนมา


ตอนที่เดินออกมาจากร้านอาหาร โจวเสวี่ยหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาพร้อมกับพูดด้วยสีหน้าจริงจัง


“ครั้งที่แล้วนายติดฉัน 3 หยวน 5 เหมา ฉันให้นายแค่ 15 หยวนพอ”


“ช่างเถอะ มื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง” เฉินโจวอี้พูดขึ้น


“ไม่ได้ ทำไมพวกผู้ชายแบบนายถึงชอบเป็นแบบนี้นะ?”


เจอกับคนที่จริงจังกับทุกเรื่องขนาดนี้ เขาหมดหนทางจริงๆ


เฉินโจวอี้จึงทำได้แค่รับเงินของเธอมา


หลังจากนั้นประมาณสิบนาที ทั้งสองคนมาถึงศูนย์กลางศิลปะการต่อสู้ ทันใดนั้นพวกเขาก็ตกใจทันที


ในห้องโถงลงทะเบียนมีคนต่อคิวยาวเหยียด แถวยาวขยายไปถึงตรงโถงทางเดิน


มองดูแถวทั้งแถวด้วยสายตาคร่าวๆ คาดว่าแถวน่าจะยาวประมาณหนึ่งร้อยเมตร คงมีคนต่อแถวอยู่ห้าร้อยหกร้อยคนเห็นจะได้


อีกอย่างตอนนี้ยังไม่แปดโมงเลยด้วยซ้ำ


หลังจากที่เฉินโจวอี้และโจวเสวี่ยต่อแถวอยู่ด้านหลังเรียบร้อยแล้ว ไม่กี่นาทีต่อมา ด้านหลังของพวกเขามีคนมาต่อแถวเพิ่มอีกสิบกว่าคน


วันนี้คนที่มาลงทะเบียนคงมีเกือบพันคนได้


วันนี้จะทดสอบเสร็จไหม?


เฉินโจวอี้เริ่มสงสัย


เวลาค่อยๆ ดำเนินมาถึงตอนแปดโมงครึ่ง


ในเวลานี้มีรถบัสจำนวน 20 กว่าคันทยอยขับมาจอดที่ด้านหน้าศูนย์กลางศิลปะการต่อสู้


ในไม่ช้ามีชายคนหนึ่งกระโดดพุ่งลงจากรถบัสมายังทางด้านนี้


เกิดเสียงฮือฮาท่ามกลางฝูงชนทันที


เฉินโจวอี้เองก็เริ่มรู้สึกตื่นตัวเช่นกัน


ในการก้าวเดินของเขาไม่มีการอำพรางใดๆ ทั้งสิ้น เขาใช้ก้าวพื้นฐานของวิถีแห่งยุทธในการก้าวเดิน แต่ละก้าวสามารถข้ามไปได้ไกลถึงสี่ห้าเมตร


ระดับเช่นนี้เขาเองก็ทำได้เหมือนกัน แต่เมื่อเทียบกับอีกฝ่ายที่สามารถทำได้อย่างลื่นไหลตามใจต้องการ เขาเองยังคงด้อยกว่าอยู่เล็กน้อย


ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ชายคนนี้คือชาวยุทธอย่างแน่นอน


ในไม่ช้าเขาก็เดินมาถึงด้านหน้าของบรรดาผู้เข้ารับการทดสอบ พลางพูดตะโกนด้วยเสียงก้องกังวาลราวกับระฆัง ทุกคนเงียบ!


เมื่อได้ยินเสียงเข้มของอีกฝ่าย วินาทีต่อมา ทุกคนปิดปากเงียบ รอบด้านพากันเงียบเสียงลงจนไม่ได้ยินเสียงใดๆ


สีหน้าของชาวยุทธคนนั้นเต็มไปด้วยความพึงพอใจ


“ตอนนี้ขอประกาศแจ้งล่วงหน้า เนื่องจากการทดสอบครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมการทดสอบค่อนข้างมาก ทำให้ไม่สามารถควบคุมได้ ดังนั้นจึงขอทำการเปลี่ยนแปลงสถานที่ที่ใช้ทดสอบชั่วคราว ตอนนี้ขอให้ทุกคนขึ้นไปนั่งบนรถบัสด้วย”


….


เฉินโจวอี้เริ่มเกิดความสับสน


นอกจากศูนย์กลางการทดสอบศิลปะการต่อสู้แล้ว ยังมีที่ไหนที่สามารถทำการทดสอบได้อีก?


หรือว่าเมืองใกล้เคียง? แต่ก็ไม่น่าไปทั้งหมดได้นี่นา?


แต่ไม่ว่าจะสงสัยมากน้อยแค่ไหน เขาก็ทำได้แค่เดินตามคนอื่นขึ้นรถบัสไป


ในครั้งนี้โจวเสวี่ยไม่ได้รังเกียจที่จะนั่งข้างเขา


หรือบางทีเมื่อเทียบกับเขาที่ค่อนข้างเป็นคนคุ้นเคย คนอื่นอาจเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเธอ


ในไม่ช้ารถบัสก็ขับออกไป


หลังจากนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง รถค่อยๆ ขับออกมาจากเขตเมือง ยิ่งขับออกมายิ่งห่างไกลไปเรื่อยๆ จากนั้นรถขับเข้าไปยังถนนคดเคี้ยวเส้นหนึ่ง


ในเวลานี้เฉินโจวอี้เห็นป้ายเตือนที่ด้านนอกหน้าต่างมีข้อความระบุว่า:


“พื้นที่ทางทหาร คนนอกไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป!”


นี่จะไปพื้นที่ของทหารเหรอ?


ภายในรถเกิดเสียงฮือฮาขึ้น ทุกคนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์


หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงเตือนจากพวกทหาร จากนั้นรถบัสจอดลงอยู่ครู่หนึ่ง ดูเหมือนกำลังยืนยันกับทางด่านตรวจ


ไม่นานหลังจากนั้น รถก็ขับต่อไปอีก


มีป้อมทหารหลายป้อมกระจายตัวอยู่ในป่าทึบที่อยู่ไกลออกไป ด้านบนมีอาวุธปืนและปืนกลติดตั้งเต็มไปหมด ดูน่าหวาดกลัวต่อผู้พบเห็น


….


สองนาทีต่อมา ในที่สุดรสบัสก็ขับมาถึงที่หมาย


เฉินโจวอี้มองสำรวจไปยังฝูงชนแล้วมองไปยังพื้นที่โดยรอบ


บนยอดเขารอบด้านดูเปลือยเปล่าไม่มีต้นไม้ เห็นได้ชัดว่าถูกเทปูนกลบไว้


ห่างออกไปไม่ไกลราวสิบกว่าเมตรมีถ้ำขนาดใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง ดูจากความกว้างน่าจะมีประมาณหกสิบถึงเจ็ดสิบเมตร ภายนอกเสริมด้วยคอนกรีตและเหล็ก


ในเวลานี้ผู้ที่มาเข้ารับการทดสอบเริ่มพูดคุยกระซิบกระซาบกัน ชายคนที่เคยออกมาแจ้งประกาศเมื่อก่อนหน้านี้ เดินออกมาและพูดขึ้นอีกครั้งว่า:


“บางทีทุกคนอาจจะพอเดาออกแล้ว ด้านหน้าคืออุโมงค์มิติที่ซ่อนตัวอยู่ ครั้งนี้เราจะทำการทดสอบด้านในอุโมงค์มิติ”


” แน่นอนว่าอุโมงค์มิติแห่งนี้ได้รับการสำรวจมาหลายครั้งและค่อนข้างปลอดภัย แต่พวกเราไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีอันตรายอะไรอยู่ด้านใน ดังนั้นจึงใช้หลักของความสมัครใจ ถ้าหากไม่อยากเข้าไป ก็ให้รออยู่ที่เดิม แต่การกระทำของคุณอาจจะส่งผลต่อแฟ้มประวัติของคุณเช่นกัน”


ฝูงชนแตกฮือในทันที


“ฉันขอถอนตัว” ชายวัยกลางคนคนหนึ่งยืนขึ้นอย่างสงบ ด้วยอายุวัยนี้ของเขาที่มีทั้งภรรยาและลูกแล้ว เขาไม่ต้องการที่จะเสี่ยง


“ผมก็ขอถอนตัวเหมือนกัน!”


ในบรรดาฝูงชนเริ่มมีคนทยอยถอนตัว รวมแล้วคนที่ถอนตัวทั้งหมดมีจำนวนสิบกว่าคน


เฉินโจวอี้มองไปยังโจวเสวี่ย พบว่าสีหน้าของเธอดูแน่วแน่ ไม่มีวี่แววของการถอนตัวเลย


“เอาล่ะ งั้นตอนนี้ก็ตามพวกเราเข้ามา ส่วนเรื่องการลงทะเบียน หลังจากผ่านการทดสอบ เราจะกลับไปที่ศูนย์กลางการทดสอบศิลปะการต่อสู้อีกครั้งเพื่อรับใบรับรอง ส่วนคนที่ถอนตัว ให้รออยู่ตรงนี้ พอถึงตอนนั้นจะมีคนมาบันทึกข้อมูลของพวกคุณ”


เฉินโจวอี้ที่ในตอนแรกยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาเรื่องตัวตนของเขา พอได้ยินคำพูดที่ว่ามานั้น เขาจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก


ตอนที่ 75 คุ้มกันแน่นหนา


จากนั้นทุกคนเดินตามผู้คุมการทดสอบทั้งแปดคนเข้าไปในถ้ำ


เห็นได้ชัดว่าผู้คุมการทดสอบทั้งแปดคนนี้เป็นชาวยุทธ ขณะที่พวกเขาก้าวเดิน ร่างกายของพวกเขาทำงานประสานกันลื่นไหลราวกับสายน้ำ


คาดว่าถ้าเอาชาวยุทธที่มีทั้งหมดในเมืองตงหนิงมารวมกันคงได้จำนวนเท่านี้แหละ


แต่ที่หนิงโจว ทุกครั้งที่มีการทดสอบ จะมีชาวยุทธถูกส่งมามากมาย


เนื่องจากในเมืองใหญ่มีการศึกษา โครงสร้างพื้นฐานและการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพสูง ทำให้มีผู้มีความสามารถเกิดขึ้นมากมายในพื้นที่โดยรอบ จำนวนชาวยุทธที่หาได้ยากในเมืองตงหนิงไม่ได้มีอยู่ทุกหนทุกแห่งอย่างเมืองหนิงโจว เมืองหนิงโจวมีชาวยุทธมากกว่าเมืองตงหนิงนับร้อยเท่า ชาวยุทธในเมืองหนิงโจวมีจำนวนมากกว่าหลายร้อยคน


….


ถ้ำแห่งนี้มีขนาดใหญ่มาก จากการประมาณคร่าวๆ พบว่าด้านในถ้ำมีพื้นที่หลายหมื่นตารางเมตรราวกับลานกว้างขนาดใหญ่


แต่ละด้านของถ้ำมีรถหุ้มเกราะทหารราบจำนวนสี่คันและรถถังขนาดกลางอีกหนึ่งคัน จอดเทียบทั้งสองด้านไว้ ใกล้กับรถหุ้มเกราะทหารราบแต่ละคันรวมถึงรถถังจะมีทหารประจำการอยู่ห้านาย เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับสถานการณ์ฉุกเฉิน


ในอากาศดูเหมือนจะมีกลิ่นของเขม่าควันปืนแพร่กระจายอยู่จางๆ


เมื่อทุกคนมาถึงที่นี่ เสียงพูดคุยเงียบลงไปอย่างไม่รู้ตัว บรรยากาศค่อนข้างจะหดหู่


สำหรับผู้คนที่ใช้ชีวิตในความเงียบสงบมาโดยตลอด พวกเขาจะเคยเห็นฉากแบบนี้มาก่อนได้อย่างไร


บรรดาปลายกระบอกปืนที่หนาแน่นนั่น ทำให้ผู้คนอดที่จะเป็นกังวลไม่ได้ว่าจะมีการโจมตีที่น่ากลัว กราดยิงทุกคนจนกระจุยหรือเปล่า


เฉินโจวอี้ละสายตาไปจากภาพนี้ พลันสังเกตเห็นที่ด้านหน้าลานกว้างในถ้ำมีประตูเหล็กขนาดใหญ่พร้อมทหารติดอาวุธสี่นายยืนประจำการอยู่สองฝั่งประตู


อุโมงค์มิติคงอยู่ด้านในนั้นแน่ๆ


ผู้คุมการทดสอบหนึ่งคนเดินไปด้านหน้ายื่นบัตรผ่านประตูและเอกสารหนึ่งฉบับให้แก่ทหาร


ทหารพลิกอ่านเอกสารอยู่สองสามหน้า แล้วทำความเคารพผู้คุมการทดสอบ จากนั้นกดปุ่มที่อยู่ถัดไป เมื่อเสียงของมอเตอร์ทำงาน ประตูเหล็กค่อยๆ เปิดออกจากกันอย่างช้าๆ เผยให้เห็นอุโมงค์มิติด้านใน


ขนาดความกว้างและความสูงของอุโมงค์มิตินี้มีประมาณหกเจ็ดเมตร รถถังสามารถเข้าไปได้ ภายในเสริมโครงเหล็กหนา เปล่งแสงเงาของโลหะสีดำมืดออกมา


ภายในมีการคุ้มกันแน่นหนา เดินมาถึงตรงนี้ เฉินโจวอี้เริ่มรู้สึกตื่นตระหนกขึ้น


เขามองเห็นกล้องวงจรปิดและปืนกลในทุกระยะห่างเพียงไม่กี่เมตร นอกจากนี้เหนือหัวของเขายังมีรูเล็กๆ อีกเป็นจำนวนมาก


เขาเดาว่าน่าจะเอาไว้ปล่อยแก๊สพิษ


ด้านในไม่ได้มีประตูเหล็กแค่หนึ่งประตู!


ทุกคนเดินผ่านประตูเหล็กเข้าไปสามประตู ประตูเหล็กสองประตูแรกยังเป็นหลอดไฟนีออน แต่พอมาถึงประตูสุดท้ายกลายเป็นตะเกียงน้ำมัน ระบบไฟฟ้าถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักรไอน้ำแทน


ในขณะเดียวกัน เฉินโจวอี้รู้สึกว่ามีพลังงานบางอย่างก่อตัวขึ้นในร่างกายส่วนลึกของเขา ความสามารถของเขากำลังฟื้นตัวขึ้น


อุโมงค์มิติอยู่ตรงหน้าแล้ว!


….


“ก่อนที่จะเข้าไป ผมจะขอพูดอะไรสักหน่อย การทดสอบครั้งนี้มีจำนวนคนค่อนข้างเยอะ พวกผู้คุมการทดสอบดูแลได้ไม่ทั่วถึง เพื่อความปลอดภัย ดังนั้นพวกเราจะแบ่งกลุ่มเข้าไป กลุ่มแรกสองร้อยคน พอถึงตอนนั้นแต่ละคนจะได้รับธนูหนึ่งคันและอาวุธเหล็กกล้าหนึ่งชิ้น” ผู้คุมการทดสอบที่ยืนนำพูดตะโกนขึ้น “ตอนนี้เริ่มแบ่งเป็นแปดแถวก่อน ถ้าหากมีคนก่อความวุ่นวาย การทดสอบในครั้งนี้จะถูกยกเลิกทันที”


ฝูงชนแตกฮือรีบแบ่งแถวในทันที


ท่ามกลางสายตาอันแหลมคมของผู้คุมการทดสอบทั้งแปดคน จึงไม่มีใครกล้าแทรกแถว


เฉินโจวอี้ประมาณจำนวนคนที่อยู่ด้านหน้าเขา พบว่ากว่าจะมาถึงรอบของเขา ก็เป็นรอบที่สองแล้ว


“เอาล่ะ! ยี่สิบห้าคนแรกของแต่ละแถวตามผมมาหยิบอาวุธ”


ผู้คุมการทดสอบเปิดประตูเหล็กที่ล็อคไว้ด้านข้างอุโมงค์มิติ จากนั้นผู้เข้ารับการทดสอบทยอยเดินเข้าไปในอุโมงค์มิติทีละคน


รอให้ทุกคนออกมาอีกครั้ง แต่ละคนก็หยิบเอาอาวุธขึ้นมาถือไว้แล้ว


อาวุธที่ใช่ไม่ใช่ดาบไม้หรือมีดไม้อะไรนั่น แต่มันคือดาบจริงมีดจริง ลูกธนูไม่ใช่ลูกธนูที่เอาไว้สำหรับฝึก แต่มันคือลูกธนูโลหะของจริง


นี่พวกเขาต้องการจะทำอะไร?


เฉินโจวอี้รู้สึกได้ว่าตั้งแต่เกิดการรุกรานจากสนามพลังของโลกที่แตกต่าง ดูเหมือนประเทศจีนกำลังเตรียมการบางอย่างอยู่


การเปลี่ยนแปลงวิธีการทดสอบชาวยุทธฝึกหัดอย่างฉับพลันในครั้งนี้ ดูท่าน่าจะเป็นเพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้น


ทหารที่ยืนประจำการอยู่ด้านหน้าไม่กี่คนร่วมกันใช้แรงดึงวาล์วขนาดใหญ่ จากนั้นเสียงฝืดชวนเสียวฟันของเกียร์ดังขึ้น ในที่สุดประตูเหล็กก็ค่อยๆ เปิดออก ที่ด้านในเผยเห็นแสงสีส้มนวลปรากฏขึ้น


….


หลังจากที่ผู้คุมการทดสอบเดินเข้าไป ฝูงชนเริ่มวิพากษ์วิจารณ์ จนเกิดความโกลาหลไปทั่ว


“นี่มันโลกที่แตกต่างเชียวนะ ฉันยังไม่เคยเข้าไปมาก่อนเลย ได้ยินมาว่าข้างในมีแรงโน้มถ่วงสูงกว่าโลกตั้งสามเท่า”


“คงจะไม่ใช่ให้พวกเราไปฆ่าคนเถื่อนใช่ไหม?


“นายคิดมากไปแล้ว แค่ความสามารถอย่างพวกเรา คงมีแต่จะเป็นฝ่ายถูกคนเถื่อนฆ่าตายเสียมากกว่า!”


“ที่จริงน่าจะไม่มีอันตรายอะไรนะ ถ้าหากมีคนตายขึ้นมา คงเป็นเรื่องใหญ่แน่ บรรดาพวกผู้คุมการทดสอบพวกนั้นก็ต้องรับผิดชอบ”


….


“นายไม่กลัวเลยเหรอ?” ชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่าที่ยืนอยู่ข้างเฉินโจวอี้รู้สึกประหม่าจนมือเท้าสั่นไปหมด พอเห็นว่าเฉินโจวอี้ยังคงยืนทื่ออยู่ตรงนั้นโดยไม่แสดงสีหน้าใดๆ จึงอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความแปลกใจ


“อ้อ กลัวสิ!” เฉินโจวอี้ดึงสติกลับมา แล้วหันมาตอบเขา


กลัวที่ไหนกันล่ะ?


เขาอยู่ในโลกที่แตกต่างมานานขนาดนี้ แถมยังเคยฆ่าคนเถื่อนมาแล้วตั้งยี่สิบสามสิบคน อีกอย่างอุโมงค์มิติที่เคยถูกสำรวจมาตั้งหลายครั้งแบบนี้ จะไปมีอันตรายได้อย่างไร


“ฉันเห็นนายทำท่าทีเหม่อลอยดูแข็งทื่อนี่นา”


“นี่คือวิธีบรรเทาความกลัวอย่างหนึ่ง ขอแค่ทำจิตให้ว่าง ไม่วอกแวก ไม่คิดอะไร นายก็จะไม่รู้สึกกลัวแล้ว” เฉินโจวอี้โกหก


“จริงเหรอ งั้นฉันจะลองดู!”


เขาคิดว่าเป็นเรื่องจริง จึงทำจิตให้ว่างตามที่เฉินโจวอี้แนะนำ


“ได้ผลไหม?” พึ่งจะผ่านไปได้ไม่นาน ชายวัยกลางคนที่อยู่ใกล้กันอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้


โจวเสวี่ยหูผึ่งทันที


“ผมเพิ่งจะทำจิตให้ว่าง ก็ถูกคุณเรียกให้ตื่นนี่แหละ แต่ดูเหมือนมันจะได้ผลเล็กน้อยนะ”


….


ที่ทำให้เฉินโจวอี้รู้สึกประหลาดใจก็คือ เขาแค่พูดไปเรื่อยไม่มีแก่นสาร กลับทำให้หลายคนที่อยู่ใกล้เคียงทำตาม พอหันหลังกลับไปมอง จะเห็นว่าผู้คนทั่วทุกที่กำลังทำตาเหม่อลอยดูแข็งทื่อดังหุ่นไก่


แต่ละคนดูราวกับไก่ที่เป็นโรคระบาด


ขนาดโจวเสวี่ยที่มักจะแสดงท่าทีเย็นชาออกมา ยังเป็นไปกับเขาด้วย


หรือมันจะได้ผลจริง?


เฉินโจวอี้เริ่มไม่เข้าใจแล้ว


….


หลังผ่านไปหนึ่งนาทีกว่า มีชายคนหนึ่งเดินกะเผลกออกมาจากอุโมงค์มิติ


สีหน้าของเขาดูตื่นตระหนก สองมือและเข่าทั้งสองข้างของเขาเต็มไปด้วยเลือด


“ไอ้น้องชาย ผ่านการทดสอบไหม?”


เขาส่ายหัวด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “โชคร้ายไปหน่อย ผมเดินไม่ระวังเลยสะดุดหญ้าล้ม แขนหักเลย”


ตอนนี้ทุกคนถึงจะสังเกตเห็นว่าแขนของเขามีอะไรนูนออกมา


เนื่องจากแรงโน้มถ่วงที่มากกว่าถึงสามเท่า ต่อให้กระดูกแข็งแรงอย่างพวกชาวยุทธฝึกหัด ถ้าหากล้มขึ้นมา ก็คงจะไม่เป็นการดีแน่นอน


“นายโชคไม่ดีเลย ข้างในอุโมงค์มิติเป็นอย่างไรบ้าง แล้วก็ทดสอบตามรายการครั้งก่อนไหม?”


“ครั้งนี้ไม่ได้มีรายการทดสอบมากเหมือนครั้งที่แล้ว ในอุโมงค์มิติดูเหมือนจะเป็นเกาะกลางทะเลแห่งหนึ่ง เนื้อหาของการทดสอบมีเพียงอย่างเดียวคือฆ่านกทะเลชนิดหนึ่งที่มีนิสัยดุร้าย ถ้าฆ่าได้หนึ่งตัวก็จะผ่านการทดสอบ แต่ผมกลับมาโดยที่ยังไม่ได้เห็นมัน”


ฟังชายหนุ่มคนนั้นตอบ เฉินโจวอี้จึงแอบพูดในใจ ดูเหมือนว่าข้อกำหนดในการทดสอบครั้งนี้จะกลายเป็นเรื่องง่าย ดูไม่เข้มงวดเท่าครั้งก่อน กาารฆ่านกสามารถใช้ได้ทั้งธนูหรือจะใช้อาวุธเหล็กกล้าก็ได้ขอแค่มันเหมาะสม ยังไงก็ผ่านอยู่แล้ว


“และนอกจากนี้หากสามารถเคลื่อนไหวในโลกที่แตกต่างได้ และยังสามารถฆ่านกทะเลได้อีกหนึ่งตัว มันแสดงให้เห็นว่าสมรรถภาพทางร่างกายผ่านการทดสอบแล้ว”


….


หลังจากผ่านไปไม่นาน เริ่มมีคนทยอยออกมาแล้ว


บางคนหน้าซีดเผือด บางคนสีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น บางคนมีเลือดเต็มตัว บางคนเนื้อตัวสะอาดสะอ้าน


สิบห้านาทีต่อมา ขณะที่ชาวยุทธฝึกหัดที่กระดูกขาแตกห้าท่อนคนหนึ่งถูกผู้คุมการทดสอบแบกออกมา บรรยากาศก็เงียบสงบลงในทันที


“ขอประกาศเตือนอีกครั้ง การทดสอบในครั้งนี้มีอันตราย หากต้องการถอนตัวตอนนี้ยังทัน”


แต่ในครั้งนี้ไม่มีใครถอนตัว คนที่ได้รับบาดเจ็บมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น มีไม่ถึง 10% ด้วยซ้ำ อีกอย่างโอกาสในการผ่านการทดสอบมีค่อนข้างสูง ดูเหมือนจะมีมากถึง 30% ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงไม่สามารถจินตนาการถึงได้


ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือไม่มีผู้เข้ารับการทดสอบตายสักคน


“ตอนนี้ขอเชิญแถวต่อไป ยังคงเป็นยี่สิบห้าคนแรกของแต่ละแถวเหมือนเดิม”


ในที่สุดก็มาถึงรอบของเฉินโจวอี้เสียที


สีหน้าของเขาแน่วแน่ เขาแทบจะทนรอไม่ไหวแล้ว


จากนั้นเขาและโจวเสวี่ยจึงเดินตามฝูงชนเข้าอุโมงค์มิติไป


ตอนที่ 76 ระมัดระวัง


พอเฉินโจวอี้เข้าไปในอุโมงค์มิติ รอบกายเขาในระยะหนึ่งถึงสองเมตรมีลมที่มองไม่เห็นก่อตัวขึ้นพัดเข้าหาเขาโดยอัตโนมัติ


เขาตระหนักได้ทันทีถึงความสามารถในการควบคุมลมของเขา ดูเหมือนมันจะพัฒนาขึ้นมาก เมื่อก่อนเขาควบคุมมันได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น


แต่ตอนนี้…..เขาก็ยังสามารถควบคุมลมได้เพียงเล็กน้อยเช่นกัน


แต่แน่นอนว่ายังพอมีความก้าวหน้าอยู่บ้าง


เมื่อก่อนเขาทำได้แค่เป่ามดปลิวหนึ่งตัว แต่ตอนนี้น่าจะสามารถเป่าแมลงวันให้ปลิวได้แล้ว


ด้วยคำพูดเปรียบเทียบเช่นนี้ ทำให้ความก้าวหน้าของเขาดูพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด


….


“นายไม่เป็นไรใช่ไหม?” โจวเสวี่ยที่ยืนอยู่ด้านหลังโพล่งถามขึ้น


เฉินโจวอี้ดึงสติกลับมา เขาพบว่าตัวเองหยุดยืนไปครู่ใหญ่ จึงรีบล้มเลิกการควบคุมอากาศอย่างรวดเร็ว แล้วรีบเดินตามคนอื่นไป


เขาถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนหน้านี้เขาควบคุมลมเป็นเวลานาน แต่คนที่อยู่ด้านหลังกลับไม่รู้สึกถึงมันเลย


….


อุโมงค์มิติแห่งนี้ไม่ได้ติดอยู่กับพื้นดิน แต่มันอยู่ห่างจากพื้นดินประมาณครึ่งเมตร ดังนั้นพวกเขาจึงทำบันไดไว้เพื่อให้สะดวกต่อการเข้าไป


เขาเดินลงบันไดไปแล้วมองสำรวจไปรอบๆ


เขาไม่แน่ใจว่านี่ใช่เกาะหรือเปล่า นอกจากพื้นที่ทางด้านซ้ายห่างออกไปสองสามร้อยเมตร สามารถมองเห็นหาดทรายได้ พื้นที่ที่เหลือล้วนแล้วแต่เป็นเนินเขาและมีต้นไม้เขียวชอุ่มขึ้นสลับทับซ้อนกัน ถ้าหากว่านี่คือเกาะจริงๆ คงเป็นเกาะที่น่าอัศจรรย์มาก


“ทุกคนเดินเข้ามาหยิบอาวุธ ถ้าหากไม่เจออันที่เหมาะสมก็เดินกลับไปหยิบที่คลังอาวุธเอง” ผู้คุมการทดสอบพูดเสียงดังฟังชัด


มองดูผู้เข้ารับการทดสอบจำนวนมากที่เดินแต่ละก้าวอย่างระมัดระวัง เฉินโจวอี้จึงเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ ตามคนอื่นเช่นกัน


เขาไม่อยากแสดงความสามารถออกมามากไป เพราะมันไม่เข้าท่าเอาเสียเลย


อีกอย่างตัวตนของเขาอาจจะยังเป็นปัญหาอยู่ ถ้าหากแสดงความสามารถที่มีอยู่ออกมาเยอะเกินไปอาจจะเป็นจุดสนใจเอาได้ และมันยังเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้ตัวเขาด้วย สู้ผ่านการทดสอบอย่างราบรื่นจะดีกว่า


อาวุธถูกวางไว้เป็นกอง ซึ่งถูกทิ้งไว้โดยผู้เข้ารับการทดสอบชุดก่อนหน้า


ไม่ว่าจะเป็นธนู มีด ดาบหรือปืน มีให้เลือกมากมายหลายชนิด


เฉินโจวอี้ไม่เหมือนผู้เข้ารับการทดสอบคนอื่นที่เลือกแล้วเลือกอีก เขาสุ่มหยิบดาบออกมาหนึ่งเล่ม ธนูหนึ่งคันและลูกธนูหนึ่งซอง


หลังจากที่เขาติดอาวุธครบแล้ว จึงกลับไปยืนอยู่ด้านข้าง


ผู้คุมการทดสอบวัยรุ่นคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างมองเฉินโจวอี้แวบหนึ่ง พลางพูดขึ้นด้วยความแปลกใจ


“สมรรถภาพของคุณดูไม่เลวเลยนะ!”


“สวัสดีครับผู้คุมการทดสอบ พละกำลังของผมมีค่อนข้างเยอะมาแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ” เฉินโจวอี้รีบตอบ


ไม่ว่าจะพยายามปิดบังแค่ไหน แต่รายละเอียดบางอย่างไม่สามารถปิดบังได้ ยกตัวอย่างเช่นการเคลื่อนไหวของเขาค่อนข้างเป็นธรรมชาติ ไม่มีความฝืดหรือติดขัดภายใต้แรงโน้มถ่วงที่สูงถึงสามเท่า อีกอย่างลักษณะท่าทางของเขาไม่เหมือนผู้เข้ารับการทดสอบทั่วไปที่มีท่าทีเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูอยู่


โจวเสวี่ยที่ถือดาบแนบไว้กับตัว พอได้ยินผู้คุมการทดสอบเอ่ยชมเฉินโจวอี้ จึงอดไม่ได้ที่จะเหลือบไปมองเขาด้วยความสงสัย


ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายดูจะไม่เหมือนเดิม สีผิวของเขาดูขาวนวลขึ้น ขนาดดวงตาของเขายังดูส่องสว่างและลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น ราวกับว่าแฝงไปด้วยไอลึกลับบางอย่าง


คนก็ยังเป็นคนเดิม รูปร่างหน้าตาก็ยังเป็นแบบเดิม


ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงดูหล่อไม่มาก แต่ตอนนี้กลับดูเหมือนเขาไปฉีดฟิลเลอร์ที่ใบหน้ามายังไงยังงั้น มันดูส่องสว่างขึ้นทันที


ใบหน้าของโจวเสวี่ยเป็นสีแดงระเรื่อ เธอรีบหลบสายตาของเขาอย่างรวดเร็วแล้วทำเสียงจิ๊จ๊ะ


ผู้ชายมันไม่ได้เรื่องเหมือนกันหมด!


….


ที่จริงแล้วเฉินโจวอี้ไม่ได้สังเกตเลยว่าตั้งแต่ที่เข้ามาในโลกที่แตกต่าง ความสามารถในการฟื้นฟูตามธรรมชาติของเขาไม่เพียงแต่ช่วยให้เขารักษาตัวเองได้ แต่มันยังทำให้รูปลักษณ์ของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ทำให้เขาดูมีเสน่ห์น่าสนใจมากยิ่งขึ้น


“ใครที่อยากมาอยู่ฝั่งฉันให้มารวมตัวกันตรงนี้” ผู้คุมการทดสอบวัยรุ่นคนเมื่อครู่นี้พูดขึ้น


บนตัวเขาติดอาวุธเหมือนกัน


ทันใดนั้นเฉินโจวอี้และโจวเสวี่ยรวมถึงคนอื่นหลังจากที่ติดอาวุธครบแล้ว จึงเดินไปทางเขา


“คุณ คุณ คุณ แล้วก็คุณไปอยู่กับผู้คุมการทดสอบคนอื่น คนที่เหลือเดินตามผมมา”


ผู้คุมการทดสอบชี้ไปที่คนจำนวนหนึ่ง หลังจากที่ขจัดคนส่วนเกินออกไปไม่กี่คนแล้ว เขาเดินนำพาทีมของเขาไปยังชายหาด


“ระวังตอนเดินด้วย ก่อนหน้านี้มีคนไม่น้อยที่โชคไม่ดีล้มลงไปกับพื้น จนต้องถอนตัวจากการทดสอบ แบบนั้นมันน่าอายเกินไป” ผู้คุมการทดสอบกล่าวเตือนด้วยความหวังดี


ผู้คุมการทดสอบเป็นชายหนุ่มอายุประมาณยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปี รูปร่างหน้าตาหล่อเหลา


บางทีด้วยรูปร่างหน้าตาของเขาอาจทำให้รู้สึกดีเวลาพูดคุยด้วย โดยเฉพาะพวกผู้หญิงจำนวนมากที่คิดว่าตัวเองสวยเริ่มที่จะพูดจาแทะโลมเขา


“พี่ชาย พอถึงตอนนั้นพี่ต้องดูแลน้องสาวดีๆ นะ”


นี่ยังถือว่าสงวนท่าทีอยู่


“หลังทดสอบเสร็จ เดี๋ยวตอนเย็นฉันจะชวนพี่ไปดื่มกาแฟนะ”


อันนี้ค่อนข้างกล้าเกินไปแล้ว


ทันใดนั้นเฉินโจวอี้สังเกตเห็นว่าผู้ควบคุมการทดสอบที่เดินอยู่ด้านหน้ากำลังหัวเราะหึๆ จากนั้นเขาหันมาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ครั้งนี้ผมจะแค่เตือนพวกคุณสองคนก่อน ครั้งต่อไปถ้าพวกคุณยังก่อกวนผู้ควบคุมการทดสอบอีกล่ะก็ คะแนนการทดสอบของพวกคุณจะเป็นศูนย์คะแนนทันที ตอนที่ผมควรจะดูแล ผมก็ต้องดูแลอยู่แล้ว แต่เมื่อถึงตอนที่ผมเข้ามาดูแลนั้น มันหมายถึงว่าพวกคุณล้มเหลวในการทดสอบเช่นกัน ดังนั้นโปรดจำไว้ว่าอย่ามาขอร้องให้ผมดูแลพวกคุณ!”


ผู้หญิงทั้งสองคนหน้าซีดและทำตัวไม่ถูกไปครู่หนึ่ง เดิมทีมีผู้เข้ารับการทดสอบหลายคนที่อยากจะใกล้ชิดเขา แต่ก็ต้องโยนความคิดนั้นออกไปทันที


ผู้ควบคุมการทดสอบยังคงพูดต่อไป


“ผมขอเตือนหน่อยแล้วกัน บนชายหาดมีนกอยู่หลายตัว นกชนิดนี้ดุร้ายมาก อย่าเข้าไปใกล้พวกมันเกิน ไม่อย่างนั้นอาจทำให้พวกมันโจมตีเป็นฝูงได้ ต่อไปถ้าพูดมากเกิน พอถึงตอนนั้นผมเองก็อาจจะช่วยพวกคุณไม่ทัน อีกอย่างถ้าต้องให้ผมลงมือ การทดสอบของพวกคุณจะถือว่าล้มเหลวทันที โปรดจำเอาไว้ด้วยว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น รีบก้มหน้าแล้วหมอบลง ไม่อย่างนั้นลูกตาของพวกคุณอาจจะหลุดออกมาจากเบ้าได้”


เฉินโจวอี้ผู้ไม่สนใจอะไรในตอนแรก เริ่มฟังอย่างจริงจังขึ้น ถ้าหากถูกฝูงนกโจมตีขึ้นมาจริง มันคงเป็นอันตรายมาก


ผ่านไปไม่นาน เขาก็มองเห็นฝูงนกสีเทาขนาดใหญ่กำลังเดินเล่นในทะเลน้ำตื้น บางครั้งก็กระโจนลงไปในน้ำทะเลจนน้ำกระเซ็น ราวกับกำลังหาอาหารอยู่


นกชนิดนี้ใหญ่กว่านกพิราบ มีจงอยปากสั้นและปลายด้านหน้าเป็นทรงตะขอเล็กน้อย ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเหมาะสำหรับเอาไว้ฉีกกัด


ด้วยพละกำลังของสิ่งมีชีวิตในโลกที่แตกต่าง หากชาวยุทธฝึกหัดธรรมดาถูกมันโจมตีเข้า คาดว่าคงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เนื้อจะเปิดและถูกฉีกเนื้อออกเป็นชิ้นๆ


เมื่อระยะห่างระหว่างผู้เข้ารับการทดสอบและนกพวกนั้นเข้าใกล้กันมาขึ้นเรื่อยๆ ผู้เข้ารับการทดสอบบางส่วนเริ่มเป็นกังวลใจ ก้าวของพวกเขาดูลังเลมากขึ้น


เนื่อจากถนนมีความยาวแค่สองร้อยกว่าเมตร ดังนั้นทุกคนจึงใช้เวลาเดินเพียงห้านาทีเท่านั้น พวกเขาเริ่มเข้าใกล้ฝูงนกบนน้ำทะเลตื้นมากขึ้น ตัวที่อยู่ใกล้พวกเขามากที่สุดคือตัวที่อยู่ห่างออกไปเพียงห้าสิบหกสิบเมตรเท่านั้น


“เอาล่ะ พวกเราหยุดอยู่ตรงนี้แล้วกัน! เราจะแบ่งคนออกไปทดสอบทีละห้าคน พวกคุณมีเวลาทำการทดสอบแค่หนึ่งนาทีเท่านั้น ถ้าเกินเวลาถือว่าสอบไม่ผ่าน มีใครจะกล้าอาสาออกมาบ้างไหม?”


เฉินโจวอี้ก้าวออกมาหนึ่งก้าว หลังจากผ่านไปไม่นานก็มีคนอีกสามคนที่มีความกล้ามากพอก้าวตามเขาออกมา


โจวเสวี่ยมองดูเฉินโจวอี้ที่ก้าวออกไป ในใจเธอเกิดความลังเล สุดท้ายเธอจึงตัดสินใจรอดูว่าคนอื่นทำอย่างไรแล้วค่อยว่ากัน


“ยังขาดอีกหนึ่งคน งั้นฉันจะเป็นคนเรียกเอง คุณแล้วกัน” ผู้คุมการทดสอบเห็นสถานการณ์แบบนี้จนชินแล้ว เขาจึงสุ่มเรียกสาวสวยหนึ่งในคนที่เขาพึ่งจะพูดเตือนไป


สีหน้าของสาวสวยคนนั้นดูไม่น่ามองเท่าไร แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ควบคุมการทดสอบที่เข้มงวดคนนี้ เธอจึงไม่กล้าอวดดี


ในไม่ช้าทั้งห้าคนค่อยๆ เดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง


นกสีเทาไม่กี่ตัวที่อยู่ใกล้เขาเริ่มตื่นตกใจ เฉินโจวอี้เดินไปอย่างรวดเร็ว เขามองไปยังนกตัวที่อยู่ใกล้ที่สุด เมื่อเขาเข้าใกล้มันมากขึ้นเรื่อยๆ เขาจึงหยิบลูกธนูออกมาแล้วง้างธนูเต็มแรง


ธนูเบาเกินไป


เขาขมวดคิ้ว


เขาชินกับธนูหนักห้าร้อยปอนด์ไปแล้ว พอมาใช้ธนูสามร้อยปอนด์อีกครั้ง จึงไม่ค่อยคุ้นเคยและควบคุมมันได้ยาก


ในใจของเขาคำนวณถึงผลกระทบจากแรงโน้มถ่วงของที่แห่งนี้ที่มีต่อการยิงธนู


เพื่อรับประกันความปลอดภัยของตัวเอง เขาจึงเดินไปข้างหน้าอีกสิบกว่าเมตร


ในเวลานี้นกตัวนั้นตกใจเสียงของเฉินโจวอี้ มันกระพือปีกแล้วพุ่งตรงมายังเขาอย่างรวดเร็ว


ในขณะเดียวกัน เฉินโจวอี้ก็ยิงธนูออกไปเช่นกัน


นกพึ่งจะบินขึ้นมาได้สองเมตร ก็ร่วงลงสู่พื้นแล้ว บนร่างของมันถูกลูกธนูแหลมคมปักคาอยู่


“ผ่าน! สามารถกลับไปได้แล้ว!”


เฉินโจวอี้ได้ยินเสียงของผู้ควบคุมการทดสอบจึงหันหลังเดินกลับมา


จากนั้นเขาพึ่งจะเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงตะโกนดังลั่นของโจวเสวี่ย “ระวัง!”


หลังจากเธอตะโกนเสร็จ การรับรู้ของเขาสัมผัสได้ถึงบางสิ่งกำลังพุ่งเข้ามา ทันใดนั้นเขาจึงไม่ปกปิดความสามารถของตัวเองอีกต่อไป เขาหยิบดาบออกมาในพริบตาเดียว แล้วหันกลับไปฟัน ความเร็วของเขาราวกับแสงแฟลชกระพริบ นกสีเทาตัวหนึ่งถูกฟันขาดเป็นสองส่วนตกลงสู่พื้น


แม่งเอ้ย ไม่น่าประมาทเกินไปเลย สุดท้ายเลยดึงดูดนกมาอีกหนึ่งตัว


ผู้คุมการทดสอบคลายคันธนูที่ถูกดึงจนเป็นวงเดือนลงช้าๆ เขามองเฉินโจวอี้ด้วยสานตาที่แฝงความหมาย


ถ้าตามหลักเหตุผล เขาควรจะยิงธนูใส่นกสีเทาตัวนั้นตั้งแต่เขาเห็นมันตั้งนานแล้ว เพียงแต่เขากำลังสงสัยว่าอีกฝ่ายอาจจะซ่อนความสามารถที่แท้จริงของตัวเองเอาไว้ จึงอยากดูการตอบสนองของอีกฝ่ายก่อน แต่คิดไม่ถึงเลยว่ามันจะเป็นไปตามที่เขาคิด


หลังจากกลับมายังทีม


“เก่งมากจริงๆ ดาบนั่นมันเร็วจนฉันมองไม่ทันเลย”


“นายมีตาหลังหรือไง แบบนี้ยังฟันโดนอีก!”


“ตอนนี้คนหนุ่มสาวมันชักจะเก่งขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”


“สุดยอด เหอะๆ ฉันเองยังไม่คิดเลยว่านายจะฟันกลางตัวมันพอดี”


….


ผ่านไปไม่นาน คนอื่นเริ่มทยอยกลับมา คนที่อาสาออกไปทดสอบสี่คนแรกผ่านการทดสอบอย่างราบรื่น


ในเมื่อสามารถเป็นคนอาสาที่จะทำการทดสอบเป็นรอบแรก แน่นอนว่าพวกเขาต้องมีความสามารถมากพอ


มีแค่ผู้หญิงสวยคนนั้นคนเดียวที่ไม่ผ่านการทดสอบ


หลังจากที่เธอยิงธนูดอกแรกแล้วนกสีเทาบินมาหาเธอด้วยความโกรธ เธอเริ่มตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก ทั้งๆ ที่นกยังอยู่ไกลออกไป เธอก็ยังตกใจกลัวจนนั่งหมอบเอามือกุมหัวอยู่ที่พื้น ในที่สุดนกตัวนั้นจึงถูกผู้คุมการทดสอบยิงตาย


ผู้คุมการทดสอบหยิบเอาสมุดบันทึกออกมา เพื่อบันทึกรายชื่อและเลขบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ผ่านการทดสอบและแจ้งให้คนที่ผ่านการทดสอบแล้วสามารถออกไปจากอุโมงค์มิติได้


ผู้ผ่านการทดสอบหลายคนรีบเดินออกมาจากอุโมงค์มิติ เมื่ออยู่ท่ามกลางแรงโน้มถ่วงที่มากกว่าในโลกมนุษย์ถึงสามเท่า ต่อให้พวกเขาเป็นชาวยุทธฝึกหัดก็ยังรู้สึกลำบากอยู่ดี


เฉินโจวอี้ยังคงอยู่ที่เดิม เพื่อรอให้โจวเสวี่ยทดสอบเสร็จ แล้วค่อยออกไปพร้อมกัน


เมื่อเทียบกับรอบแรก รอบที่สองเริ่มน่าสงสารขึ้นมาเล็กน้อย มีอยู่คนหนึ่งขณะที่กำลังหลบหนีนกสีเทา เขาล้มลงไปกับพื้น ผลก็คือกระดูกแขนหัก และมีอีกสองคนฟันดับออกไปมั่ว จนถูกนกสีเทาจิกหนังหัวเปิดจนเลือดไหลออกมา


สุดท้ายแล้วรรอบนี้จึงมีคนผ่านการทดสอบอย่างราบรื่นเพียงสองคนเท่านั้น


จนกระทั่งรอบที่สาม ในที่สุดโจวเสวี่ยก็มีความกล้าที่จะทำการทดสอบ


เธอหยิบลูกธนูออกมาหนึ่งดอก แล้วเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง หลังจากเดินไปประมาณยี่สิบสามสิบเมตร เธอหยุดเดินพลางเล็งธนูอยู่นานถึงจะยิงออกไป


แต่ถึงกระนั้นเธอก็ยังคงประหม่าเกินไป


ไม่เพียงแต่ยิงไม่โดน แต่ยังยิงออกไปไกลเกิน


ลูกธนูลอยข้ามนกสีเทาตัวนั้นไป แล้วไปตกลงกลางฝูงนกสีเทาที่อยู่ในทะเลแทน จึงทำให้มีนกสีเทาอีกสองตัวบินตรงมายังเธอ


ถ้าจะให้ยิงธนูอีกครั้งคงสายเกินไป โจวเสวี่ยจึงตัดสินใจโยนธนูทิ้ง เธอรีบหยิบเอาดาบออกมา เห็นได้ชัดว่าเธอไม่อยากยอมแพ้


สีหน้าของเฉินโจวอี้ดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย


เมื่อมองดูท่าทางเคลื่อนไหวที่แข็งทื่อของเธอ เห็นชัดเลยว่าเธอไม่สามารถต่อกรกับนกสีเทาสองตัวในเวลาเดียวกันได้


ถ้าเธอยอมแพ้ก็คงดี อย่างมากก็แค่ไม่ผ่านการทดสอบ แต่นี่เธอยังคงดึงดันจะทดสอบต่อ ถ้าหากใบหน้าของเธอถูกจิกไปสองสามครั้ง คงเสียโฉมอย่างแน่นอน เรื่องแบบนี้สำหรับเด็กสาวที่รักสวยรักงาม คงไม่ต่างอะไรกับเป็นการทำลายชีวิตของเธอ


เฉินโจวอี้ลังเลไปครู่หนึ่ง จากนั้นรีบยิงธนูไปยังนกสีเทาหนึ่งตัวในนั้น


ระยะห่างค่อนข้างไกล ความเร็วของลูกธนูก็ช้าเกินไป ลูกธนูจึงเหินเกิน ลูกธนูลูกนี้จึงแค่เฉียดนกสีเทาไปเท่านั้น ไม่ได้ยิงโดน


แต่ดีที่ทำให้พวกมันตกใจ มันจึงรีบเปลี่ยนทิศทางการโจมตี พุ่งมายังเฉินโจวอี้แทน


หลังจากยิงธนูออกไปหนึ่งดอก เขายังคงไม่หยุดเคลื่อนไหว เขาหยิบลูกธนูออกมาอีกครั้ง แล้วยิงห่างจากลูกธนูดอกแรกแค่ประมาณ 0.3 วินาที


เกิดเสียงดัง ‘ปึก!’


นกสีเทาตัวนั้นกรีดร้องโหยหวนแล้วร่วงลงสู่พื้น


หลังจากที่นกสีเทาหนึ่งตัวโดนยิงตาย ความกังวลใจในตอนแรกของโจวเสวี่ยเริ่มผ่อนลง เธอมองไปยังนกสีเทาเพียงตัวเดียวที่กำลังเข้ามาใกล้เธอ เธอรับรู้ถึงโอกาสในการล่าได้อย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเธอฟาดดาบออกไป วินาทีต่อมา นกสีเทาถูกดาบของเธอฟันเข้ากลางตัว


ผู้ควบคุมการทดสอบดึงธนูรบเพื่อระวังภัยรอบด้าน พลางเอ่ยถามเฉินโจวอี้ “แฟนของคุณเหรอ?”


เมื่อเห็นว่าโจวเสวี่ยฆ่านกสำเร็จไปหนึ่งตัว เฉินโจวอี้จึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก “เอ่อ ไม่ใช่ครับ แค่มาด้วยกัน”


“คุณรู้ไหม การที่คุณทำแบบนี้เหมือนเป็นการช่วยให้คนอื่นทุจริตการทดสอบ พวกเขาไม่ได้ผ่านการทดสอบด้วยความสามารถของตัวเอง” ผู้ควบคุมการทดสอบพูดขึ้น


“พี่ชาย จำเป็นต้องเข้มงวดขนาดนั้นเลยเหรอ?”


ในเมื่อเผยความสามารถออกมาขนาดนี้แล้ว เฉินโจวอี้จึงทำได้แค่ปล่อยให้เลยตามเลย


“แต่ละคนดึงดูดนกมาได้กี่ตัว คุณก็จะฆ่าเองตามจำนวนนั้นเลยใช่ไหม!”


“เมื่ออยู่ในโลกที่แตกต่าง ความระมัดระวังถือเป็นคุณสมบัติที่สำคัญเป็นอย่างมาก คนที่ไม่ระมัดระวังมักจะตายก่อนใคร แต่ก็ช่างเถอะ เห็นแก่ที่แฟนของคุณฆ่านกได้หนึ่งตัว ให้เธอผ่านแล้วกัน”


ตอนที่ 77 ชายลึกลับ


หลังจากการทดสอบดำเนินไปกว่าสองถึงสามชั่วโมง การทดสอบของผู้เข้ารับการทดสอบเกือบหนึ่งพันสิ้นสุดลงเสียที


แต่เรื่องไม่คาดฝันก็ยังคงเกิดขึ้น


มีผู้เข้ารับการทดสอบหญิงคนหนึ่งล้มลงไปกับพื้น หัวของเธอกระแทกเข้ากับหินจนเสียชีวิตคาที่


ทุกคนต่างพากันเงียบเสียงลงเมื่อศพที่มีเลือดนองเต็มใบหน้าถูกแบกออกมาจากอุโมงค์มิติ


เมื่อเทียบกับการทดสอบเมื่อก่อนนี้ การทดสอบในครั้งนี้ถือว่านองเลือดและโหดร้ายกว่ามาก


….


ตอนขากลับ ผู้ได้รับบาดเจ็บจะได้ขึ้นรถกลับไปก่อน พวกเขาจะไม่เข้าไปศูนย์กลางการทดสอบศิลปะการต่อสู้แล้ว แต่จะมุ่งไปยังโรงพยาบาลแทน


เมื่อขึ้นมานั่งบนรถแล้ว ทั้งสองคนเงียบไปสักพัก ทันใดนั้นโจวเสวี่ยก็พูดขึ้นมาเบาๆ “ได้ยินมาว่า นายช่วยฉันไว้ตอนที่ฉันทำการทดสอบเหรอ?”


” เรื่องเล็กน้อยแค่นี้เอง” เฉินโจวอี้ยักไหล่


“ของคุณนะ!” โจวเสวี่ยพูดขึ้น แก้มของเธอแดงระเรื่อ เธอรับหันหน้าหนีอย่างรวดเร็ว


ช่างเป็นสาวน้อยที่หน้าบางเสียจริง คาดว่าคำขอบคุณคำนี้ เธอคงคิดมาเป็นเวลานานแล้วสินะ


“ใครใช้ให้เธอเป็นลูกสาวของเจ้าของบ้านเช่าล่ะ ไม่ว่าอย่างไรฉันก็ต้องดูแลเธอ!” เฉินโจวอี้พูดจบ พอเห็นว่าเธอไม่ได้ตอบโต้อะไร เขาจึงไม่แกล้งเธออีก จากนั้นเขารีบเข้าเรื่องทันที “ฉันจะบอกเธอไว้ก่อนแล้วกัน หลังจากกลับไปที่โรงแรมแล้ว ฉันจะยังไม่กลับไปหมู่บ้านจ่างเหมินกับเธอ เพราะฉันจะไปเหอตงต่อ ฝากบอกพ่อกับแม่ฉันด้วยว่าฉันยังปลอดภัยดี”


“รู้แล้ว!” ถึงแม้ว่าโจวเสวี่ยจะเกิดความสงสัย แต่เธอกลับไม่ได้ถามต่อ เพราะเดิมทีเธอไม่ใช่คนที่ชอบถามมากอยู่แล้ว


“เธอรู้ใช่ไหมว่าจะกลับไปอย่างไร?” เฉินโจวอี้ถาม


“รู้สิ!” โจวเสวี่ยพูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา


ดังนั้นหัวข้อสนทนานี้จึงจบลงเพียงเท่านี้


….


ในไม่ช้ารถบัสก็ขับมาถึงศูนย์กลางการทดสอบศิลปะการต่อสู้


ขั้นตอนต่อไปก็เริ่มทำการลงทะเบียน การรับรองและการกล่าวคําปฏิญาณตนซึ่งไม่ได้พูดถึงรายละเอียดมากมายนัก


ตอนแรกเฉินโจวอี้เป็นกังวลเกี่ยวกับปัญหาเรื่องตัวตนของเขา แต่ผลสุดท้ายมันก็แค่กระบวนการพิสูจน์ตัวตนแบบไม่ละเอียดเท่านั้น


เมื่อดูเอกสารแสดงตนขนาดเล็กและดูประณีตนี้ ในที่สุดเขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นคนมีสิทธิทางการเมืองเสียที


ถ้าเป็นเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ถ้าหากเขาได้รับใบรับรองนี้ คาดว่าคงเป็นแค่เรื่องที่ถูกปลุกให้ตื่นจากความฝัน


แน่นอนว่าเป็นได้แค่ความฝัน


ในเวลานั้นเขาอยู่ห่างจากชาวยุทธฝึกหัดพอกันกับระยะห่างของความฝันและความเป็นจริง


แต่ในตอนนี้เวลานี้ เขากลับพูดถึงความสุขไม่ออก


เขารู้สึกเฉยชามาก


ก็เหมือนคนที่ขับรถไม่มีใบอนุญาตมาเป็นระยะเวลานานสามารถสอบผ่านใบขับขี่ได้อย่างราบรื่น ทั้งหมดนี้มันเห็นได้ชัดว่ามันสมเหตุสมผล


สำหรับเขาแล้ว ในตอนนี้สิ่งที่เขาต้องการไขว่คว้ามากที่สุดก็คือ หนังสือแสดงตนของชาวยุทธ


เขาไม่ได้สนใจหนังสือแสดงตนของชาวยุทธฝึกหัดตั้งนานแล้ว


เขากลับมายังโรงแรมพร้อมกับโจวเสวี่ย เฉินโจวอี้สะพายกระเป๋า หยิบเอากระเป๋าเอกสารขึ้นมา เขาเปิดซิปตรวจดู พบว่าเด็กหญิงเปลือกหอยกำลังหลับสบายอยู่ เขาจึงปิดซิปอีกครั้ง


หลังจากเดินออกจากห้อง เขาเดินไปเคาะประตูห้องตรงข้าม “ฉันไปก่อนนะ”


“อืม!” โจวเสวี่ยพูดตอบรับอยู่ด้านใน


เฉินโจวอี้ยิ้ม เขาไม่ได้สนใจอะไร เพราะเขาได้คุ้นเคยกับนิสัยที่ค่อนข้างจะเย็นชาของโจวเสวี่ยแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ได้มีความสนใจต่อสาวน้อยเท่าไร


….


เขาเช็คเอ้าท์ที่แผนกต้อนรับ แล้วเรียกรถแท็กซี่ตรงไปที่สถานีรถไฟความเร็วสูง


หนึ่งชั่วโมงต่อมา เขาขึ้นรถไฟความเร็วสูงขบวนที่มุ่งหน้าไปยังเมืองเหอตง


เมื่อเดินเข้ามาในโบกี้รถไฟ เขาพบว่าที่นั่งของตัวเองมีคนอื่นแย่งนั่งไปแล้ว เฉินโจวอี้จึงถือตั๋วรถไฟไปแสดงให้ดูแล้วพูดขึ้น “ขอโทษนะครับ ที่นั่งนี้เป็นของผม”


ในโบกี้รถไฟคนว่างมาก มีคนไม่เยอะเท่าไร เห็นได้ชัดว่าคงไม่มีเหตุการณ์ไม่มีที่นั่งเกิดขึ้น เฉินโจวอี้จึงอดที่จะสงสัยยไม่ได้ว่าทำไมเขาถึงมานั่งที่ของตน


“อ้อ ขอโทษครับ” ชายหนุ่มคนนี้รีบลุกขึ้น แล้วลุกไปนั่งฝั่งตรงข้าม


เขารู้สึกว่าสำเนียงของชายหนุ่มคนนี้ดูแปลกๆ จึงอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองเขาอยู่หลายรอบ แต่กลับพบว่าอีกฝ่ายมองออกไปนอกหน้าต่างแล้ว


นี่คือชายหนุ่มคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะมีอายุประมาณยี่สิบปี ผิวของเขาละเอียดอ่อนดูเรียบเนียน ถึงแม้ว่าเขาจะสวมเสื้อผ้าธรรมดา หน้าตาไม่ได้ดูหล่อมาก แต่กลับมีเสน่ห์อย่างน่าแปลกใจ


เขาไม่ได้มองสำรวจมากไปกว่านี้ จากนั้นเขาจึงหยิบเอาหนังสือภาษาทั่วไปสำหรับทั้งสองโลกออกมาเปิดอ่านดู


รถไฟค่อยๆ เคลื่อนที่ออกไป


ชายหนุ่มยังคงมองออกไปนอกหน้าต่างเหมือนเดิม หลังจากเขามองนอกหน้าต่างอยู่นานกว่าครึ่งชั่วโมง เขาถึงจะถอนสายตากลับมา แล้วมองไปยังเฉินโจวอี้ “ขอโทษนะครับ คุณกำลังอ่านหนังสืออะไรอยู่เหรอ?”


ถ้าหากมองข้ามสำเนียงแปลกๆ ของเขาไป เสียงของเขาดูเหมือนคลื่นแม่เหล็ก ที่ฟังดูไพเราะและสง่าในคราวเดียวกัน


เฉินโจวอี้เงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ภาษาที่ใช้กันทั่วไป!”


“ภาษาที่ใช้กันทั่วไป นี่คือภาษาอะไรเหรอ?” ชายหนุ่มดูเหมือนจะถามด้วยความสงสัย


“ภาษาของโลกที่แตกต่าง” เฉินโจวอี้ไม่ได้รู้สึกแปลกอะไร เพราะคนที่เรียนภาษาของโลกที่แตกต่างมีเพียงแค่ไม่กี่คน มีแค่ในวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หรือสถาบันวิจัยเฉพาะทางเท่านั้นถึงจะได้เรียนรู้ภาษานี้


“โลกที่แตกต่าง….” เขาพึมพำอยู่ในปาก “ขอโทษนะครับ ผมขอดูหน่อยได้ไหม?”


เฉินโจวอี้ไม่ได้สนใจ เขาส่งมันให้ชายหนุ่มดู


หลังจากที่ชายหนุ่มรับมา เขาเริ่มพลิกดู เขาพลิกอย่างรวดเร็ว พออ่านดูแค่หนึ่งถึงสองวินาทีก็พลิกไปอีกหน้าแล้ว ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังเล่นเกมอยู่ หลังผ่านไปประมาณหนึ่งถึงสองนาที เขาก็หยุดอ่าน แล้วส่งหนังสือคืนเฉินโจวอี้ “น่าสนใจมากครับ! นี่คือสิ่งที่นักรบทุกคนต้องเรียนรู้เหรอ?”


เฉินโจวอี้พึ่งจะรับหนังสือคืนมา พอได้ยินคำถามของอีกฝ่าย มือของเขาหยุดกึกทันที


จากนั้นเขาจึงพูดขึ้นอย่างสงสัยว่า “คุณรู้ได้อย่างไร คุณน่าจะไม่ใช่คนจีนใช่ไหม? ที่ประเทศจีนไม่มีใครเรียกนักรบกันหรอก!”


“คุณเดาไม่ผิด ผมมาจากสถานที่ที่อยู่ห่างไกลจากที่นี่มาก ส่วนเรื่องที่มองออกอย่างไรนั้น เพราะสิ่งที่ปิดบังสายตาของผมไม่ได้ก็คือ คุณดูแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปในที่แห่งนี้มาก” ชายหนุ่มพูดด้วยรอยยิ้มบาง สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเชื่อมั่น


เฉินโจวอีะงักไป ในใจของเขาค่อยๆ นึกถึงประโยคสุดท้ายของชายหนุ่มคนนี้ การพูดของเขาค่อนข้างผิดปกติ คำพูดคำจาดูราวกับว่าเขาไม่ใช่คนจากโลกนี้


ในเวลานี้ร่างกายของเขาราวกับโดนสายฟ้าฟาด ทั่วทั้งร่างดูแข็งทื่อ ด้านหลังของเขามีเหงื่อไหลชุ่ม


“คุณประหม่าเหรอ?” ชายหนุ่มพูดด้วยรอยยิ้ม


ท่าทางของเขาช่างดูอ่อนโยนตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอนนี้ แต่ในเวลานี้เฉินโจวอี้กลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ารอยยิ้มนั้นแฝงการวางตัวที่สูงส่งและความไม่แยแสต่อสรรพชีวิตไว้


“เปล่าครับ อาจเป็นเพราะอุณหภูมิในรถไฟสูงเกินไป” เฉินโจวอี้รีบพูดกลบเกลื่อนอย่างรวดเร็ว ใจของเขาเต้นแรงมาก!


เขาพยายามที่จะสงบสติอารมณ์ของตัวเอง เขารู้ดีว่าในเวลานี้ต่อให้ประหม่าไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร เมื่อเผชิญหน้ากับความรู้สึกน่ากลัวเช่นนี้ ความเป็นความตายของเขาขึ้นอยู่กับความคิดเท่านั้น


ชายหนุ่มไม่ได้เซ้าซี้ต่อ เขาถอนหายใจพลางพูดด้วยน้ำเสียงที่น่าอึกอัดใจว่า “โลกใบนี้ช่างงดงามแต่เปราะบาง ช่างทรงพลังและอ่อนแอ แต่ดีที่ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น สงครามกำลังจะมาถึงแล้ว คนโง่จะต้องตายตกไปตามกัน คนฉลาดเท่านั้นถึงจะรุ่งโรจน์!”


เฉินโจวอี้อยากที่จะพูดแย้งเขา แต่สุดท้ายก็ไม่ปริปากพูดอะไรออกมา ในการเผชิญหน้ากับบุคคลที่แข็งแกร่งที่สามารถช่วงชิงชีวิตมาได้ตลอดเวลา การกระทำใดๆ ก็ตามที่ทำให้เขาคนนั้นหงุดหงิด ถือเป็นการกระทำที่โง่มาก


ในเวลานี้ พนักงานต้อนรับบนรถไฟเดินเข้ามาในตัวโบกี้ ด้านหลังของเขามีเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่สองสามคน


“ตอนนี้ขอตรวจตั๋วชั่วคราว ขอให้ทุกท่านแสดงตั๋วและบัตรประจำตัวประชาชนของคุณออกมา ถ้าหากทำให้ทุกท่านไม่สะดวก ทางเราต้องขออภัยด้วย”


ในโบกี้เริ่มทำการตรวจตั๋วอีกครั้ง


ทันใดนั้นเฉินโจวอี้เริ่มรู้สึกมีความหวังอีกครั้ง เขาอดไม่ได้ที่จะเหลียวมองชายลึกลับคนนั้น แต่กลับพบว่าเขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ในทางตรงกันข้ามเขากลับยิ้มให้อย่างลึกลับ


หรือว่าตัวเขาเองเดาผิดไป


พนักงานต้อนรับค่อยๆ เดินมา เฉินโจวอี้หยิบตั๋วและบัตรประจำตัวประชาชนออกมาจากในกระเป๋า แล้ววางไว้บนโต๊ะเล็กๆ


หลังผ่านไปไม่นาน พนักงานต้อนรับหยิบตั๋วและบัตรประชาชนขึ้นมาดูอยู่ครู่หนึ่ง “เก็บไว้กับตัวให้ดีนะครับ”


เฉินโจวอี้ค่อยๆ รับบัตรประชาชนและตั๋วรถกลับมา กล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างกายเริ่มเกร็งตัว ในใจของเขาส่งเสียงเตือน


แต่ใครจะไปคาดคิดล่ะว่าพนักงานต้อนรับคนนั้นและพวกเจ้าหน้าที่ตำรวจกลับเดินผ่านชายหนุ่มลึกลับคนนั้นไป เหมือนไม่อยู่ในสายตาของพวกเขา ราวกับว่าชายหนุ่มคนนั้นไม่มีตัวตนอยู่ เขามองไปโดยรอบอีกครั้ง พบว่าผู้โดยสารคนอื่นที่อยู่ใกล้เคียงไม่สังเกตเห็นถึงฉากอันน่าแปลกประหลาดนี้


นี่มันเกิดอะไรขึ้น?


“มันน่าแปลกมากเหรอ?” ดุเหมือนชายหนุ่มจะสังเกตเห็นถึงความสงสัยของเฉินโจวอี้ เขาจึงพูดด้วยรอยยิ้มบางว่า “ถ้าใช้ภาษาของโลกนี้อธิบาย นี่ก็แค่ความมืดในใจทางจิตวิทยาอย่างหนึ่งเท่านั้น ถ้าหากฉันไม่อยากให้พวกเขามองเห็น ฉันก็จะไม่มีตัวตนสำหรับพวกเขา”


“แต่ฉันเองก็ต้องไปแล้ว ฉันรู้สึกได้ก่อนหน้านี้แล้วว่านี่คือสัญญาณที่ไม่ดี รับรู้ได้ถึงการตรวจสอบที่น่ารังเกียจพวกนี้ รวมถึงการไล่ล่าที่ชวนน่ารำคาญนั่น” เขาพูดด้วยรอยยิ้ม


เมื่อเขาพูดจบ จากนั้นเขายื่นมือออกไปยังหน้าต่างกันกระสุนของรถไฟ มือของเขาดูเลือนลาง วินาทีต่อมาเกิดเสียงลมพัด กระจกแตกออกในทันที ขณะเดียวกันเฉินโจวอี้ก็มองเห็นร่างของเขาหายตัวไปอย่างรวดเร็ว


ร่างของเขาพุ่งออกจากหน้าต่างไปอย่างรวดเร็ว ภาพสุดท้ายที่เฉินโจวอี้เห็นก็คือชายหนุ่มคนนั้นกระโดดลงจากสะพานรถไฟความเร็วสูงไป


ตอนที่ 78 ตั้งคำถาม


ด้วยการเคลื่อนไหวที่อุกอาจ จนทำให้เกิดเสียงร้องตกใจไปทั่วโบกี้รถไฟ เศษกระจกลอยแตกกระจายลงพื้นรอบด้าน


“เกิดอะไรขึ้น ทำไมกระจกหน้าต่างถึงแตกได้?”


“เมื่อกี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”


“เสียงดังมากเลย เมื่อกี้ระเบิดเหรอ? ฉันตกใจแทบแย่แหน่ะ!”


เหตุการณ์ก่อนหน้านี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป จนไม่มีใครมองทันสักคน


ฉินโจวอี้มองดูชายหนุ่มลึกลับคนนั้นที่หายตัวไป ในที่สุดเขาก็โล่งใจ เขาถอยตัวออกมาจากตรงหน้าต่าง ไถลตัวพิงไปกับเบาะนั่งราวกับจบสิ้นแล้วทุกอย่าง เขาไม่อยากคลื่อนไหวอะไรทั้งสิ้น


แผ่นหลังของเขาเย็นวาบ เสื้อผาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ


หัวใจของเขายังคงเต้นอย่างบ้าคลั่ง


ครั้งนี้เหมือนเขารอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด


ชายลึกลับคนนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับสัตว์ป่าดุร้าย มันช่างน่ากลัวเหลือเกิน


มันไม่ใช่พลังอะไร แต่มันคือท่าทีของผู้สูงส่งที่มองทุกสรรพชีวิตราวกับมดปลวก เป็นความรู้สึกเหมือนฝุ่นผงที่ล่องลอยอย่างเป็นอิสระจากโลกนี้ ชีวิตธรรมดาในสายตาของเขาคงดูเปราะบางราวกับฟองสบู่


ในโลกที่แสนธรรมดาเช่นนี้ ด้วยความแข็งแกร่งทางร่างกายของเขา ถ้าเขาคิดที่จะฆ่าขึ้นมา อย่าว่าแต่แค่โบกี้นี้เลย รถไฟความเร็วสูงทั้งคันคงเลือดไหลนองราวกับแม่น้ำเป็นแน่แท้


……


บริเวณเบาะนั่งของเฉินโจวอี้ถูกล้อมรอบไปด้วยผู้คนอย่างรวดเร็ว


“เธอเห็นไหมว่าหน้าต่างรถไฟแตกได้อย่างไร?” ชายวัยกลางคนรูปร่างค่อนข้างอ้วนเอ่ยถามขึ้น


เมื่อได้ยินเสียงคนถาม เฉินโจวอี้จึงเรียกสติตัวเองกลับมา เขาเช็ดเหงื่อที่หน้าผากพลางส่ายหัว


“แปลกมากเลย เมื่อกี้ฉันเห็นเธอยื่นตัวออกไปนอกหน้าต่าง ยังนึกว่าเห็นอะไรเข้าแล้ว?” ชายวัยกลางคนดูกลัวมาก เพราะเสียงเมื่อกี้มันดังราวกับเสียงระเบิด ทำให้เขาตกใจกลัวจนโรคหัวใจของเขาเกือบกำเริบ


“ใช่แล้ว เธอนั่งอยู่ตรงนี้นี่นา ทำไมถึงไม่เห็นล่ะ?”


“เขาคงไม่ได้ทุบกระจกใช่ไหม?” มีคนพูดกระซิบขึ้น


“นี่มันกระจกกันกระสุนเชียวนะ เขาจะใช้อะไรทุบได้? อีกอย่างแค่ทุบคงไม่สามารถทำให้กระจกแตกละเอียดทันทีหรอก”


ฝูงชนรอบตัวเขาเริ่มพูดคุยกันไปต่างๆ นาๆ ในไม่ช้าผู้โดยสารจากโบกี้อื่นเริ่มวิ่งเข้ามา พริบตาเดียวในโบกี้นี้เต็มไปด้วยผู้โดยสารนับไม่ถ้วน เสียงพูดคุยอื้ออึงดังเข้ามาในหูของเฉินโจวอี้ ทำให้เขาเริ่มรู้สึกปวดหัวและหงุดหงิดเล็กน้อย


หลังจากที่กระจกหน้าต่างแตก ลมที่เข้ามาจากด้านนอกจึงแรงมาก ลมพัดจนเขาเริ่มรู้สึกไม่สบายตา เขาลุกขึ้นยืนหยิบกระเป๋าสัมภาระเตรียมเปลี่ยนที่นั่ง


“รบกวนหลีกทางให้ด้วยครับ!”


เขาแหวกฝูงชนออกไปขณะที่พูด


“เขาคงไม่ได้กลัวความผิดอยู่ใช่ไหม! หรือว่าเขาเป็นคนทำ?”


เฉินโจวอี้ได้ฟังดังนั้นจึงหยุดฝีเท้าลง สีหน้าของเขาดูเย็นชาขึ้น เมื่อกี้เขาพึ่งรู้สึกเหมือนตัวเองรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด อารมณ์ของเขายังไม่มั่นคง และในเวลาที่กำลังหงุดหงิดอย่างมาก กลับถูกคนอื่นกล่าวหาอย่างไร้เหตุผล ในใจของเขาจึงเกิดไฟแห่งความโกรธโหมกระหน่ำขึ้น


เขาหันกลับไปมองชายหนุ่มสวมแว่นตาที่พูดจาแดกดันเขา แล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น


“เมื่อกี้นายพูดว่าอะไรนะ? ฉันฟังไม่ชัด พูดมาอีกครั้งซิ!”


เฉินโจวอี้มีรูปร่างสูง ถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็นถึงความกำยำของร่างกาย แต่ด้วยการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็เผยให้เห็นถึงกล้ามเนื้อแขนเป็นมัดๆ ส่วนชายหนุ่มสวมแว่นคนนั้นกลับมีรูปร่างผอมแห้งดูบอบบาง


แค่เทียบเรื่องรูปร่าง ชายหนุ่มสวมแว่นคนนั้นบอบบางกว่าเฉินโจวอี้ถึงสามส่วน เขาคิดไม่ถึงเลยว่าแค่เขาพูดพึมพำไม่เท่าไร กลับถูกจับได้แล้ว เขาจึงหลบตาแล้วพูดอย่างใจเย็น “ฉัน……ฉันพูดแล้วจะทำไม ฉันพูดไม่ได้เหรอไง?”


“ไม่มีใครสนหรอกนะว่านายจะพูดได้หรือไม่ได้ แต่ถ้านายไม่มีหลักฐานแล้วมาพูดปรักปรำฉันพล่อยๆ แบบนี้ ฉันคงต้องสนแล้วแหละ ในโบกี้มีกล้องวงจรปิด นายคิดว่าฉันกลัวความผิดไหมล่ะ?” เฉินโจวอี้หัวเราะอย่างเยือกเย็น


เมื่อรับรู้ได้ถึงสายตาดูถูกเหยียดหยามและสายตารังเกียจจากฝูงชน ชายสวมแว่นคนนั้นจึงหน้าซีดรีบเดินหนีออกไปทันที


……


หลังผ่านไปไม่นาน มีเจ้าหน้าที่ตำรวจสองคนเดินเข้ามาในโบกี้ “ขอโทษด้วยนะครับ อาจต้องรบกวนเวลาของพวกคุณสักครู่ มีเรื่องที่พวกผมอยากจะขอสอบถามพวกคุณสักหน่อย หวังว่าพวกคุณจะให้ความร่วมมือนะครับ”


เฉินโจวอี้สะพายกระเป๋าเป้แล้วถือกระเป๋าเอกสารไว้ด้วยท่าทีที่ชัดเจน


“ทุกคนต้องไปไหมครับ?”


“ผู้โดยสารทุกคนในโบกี้นี้ต้องไป รบกวนเวลาไม่นานหรอกครับ”


ในไม่ช้าทุกคนก็มาถึงห้องเจ้าหน้าที่ตำรวจ


เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งนำแล็ปท็อปที่เล่นวีดีโอจากกล้องวงจรขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ “ทุกคนลองดูให้ดีๆ นะครับ ว่ามีบางสิ่งอยู่ตรงข้ามชายคนนี้หรือเปล่า?”


“ไม่เห็นมาก่อนเลยนะครับ ตรงนี้มีคนนั่งอยู่ด้วยเหรอ?”


“ฉันก็ไม่เห็นเหมือนกัน ฉันนึกว่าตรงนั้นมีเด็กหนุ่มคนนั้นนั่งอยู่คนเดียวเสียอีก”


“ไม่เห็นเลยครับ เจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือว่าชายคนนี้จะเป็นคนทุบกระจก”


……


ทุกคนเดินเข้ามาดูทีละคนแล้วพากันส่ายหัว แต่ในตอนนี้เองทุกคนกลับต้องแปลกใจเมื่อพบว่าที่นั่งติดหน้าต่างนั้น ยังมีอีกหนึ่งคนนั่งอยู่ ซึ่งเป็นคนที่พวกเขาไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อน


โดยเฉพาะชายวัยกลางคนที่นั่งถัดจากชายหนุ่มลึกลับไปไม่เกินหนึ่งเมตร เขาทำหน้าราวกับเห็นผี คนที่อุกอาจดูน่ากลัวเช่นนี้นั่งอยู่ข้างเขา แต่ทำไมเขาไม่เคยเห็นมาก่อน


“คนอื่นกลับไปได้แล้วครับ ส่วนคุณอยู่ก่อน พวกเรามีคำถามไม่กี่คำถามอยากจะถามคุณสักหน่อย” เจ้าหน้าที่ตำรวจพูดกับเฉินโจวอี้


“ไม่มีปัญหาครับ!” เฉินโจวอี้พูดขึ้น


เขาเตรียมใจไว้นานแล้ว จึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร


“คุณเจอเขาได้อย่างไร?” เจ้าหน้าที่ตำรวจถามอย่างจริงจัง


“ตอนนั้นเขามานั่งตรงที่นั่งของผมครับ!” เฉินโจวอี้ตอบ


เขาเองก็เริ่มสงสัยว่า ถ้าไม่ใช่เพราะสถานการณ์แบบนี้ เขาอาจจะไม่เจอชายหนุ่มลึกลับคนนี้เช่นกัน


“ผมเห็นพวกคุณมีการสนทนากัน ตอนนั้นพวกคุณคุยอะไรกันเหรอครับ?”


….


ครึ่งชั่วโมงต่อมา เฉินโจวอี้เดินออกมาจากห้องของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แล้วกลับมายังโบกี้เดิมอีกครั้ง


ภายในโบกี้มีเสียงพูดคุยโต้เถียงกันดังขึ้น


เฉินโจวอี้เลือกที่นั่งว่างหนึ่งที่ แล้วเอนกายพิงเก้าอี้


……


“สถานีต่อไปคือสถานีเมืองเหอตง ผู้โดยสารที่ต้องการจะลงสถานีเมืองเหอตง โปรดตรวจสอบสัมภาระของท่านก่อนลงจากรถ รถจะทำการจอดที่สถานีเมืองเหอตงเป็นเวลาห้านาที……”


เฉินโจวอี้เดินออกมาจากสถานีรถไฟแล้วรีบเดินไปเรียกแท็กซี่ “โชเฟอร์ ไปศูนย์กลางการทดสอบศิลปะการต่อสู้”


รถขับออกไปอย่างรวดเร็ว


เฉินโจวอี้มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเงียบเหงา


ภาพที่เห็นคือตึกสูงตระหง่าน การจราจรอันหนาแน่น และผู้คนที่กำลังเดินอย่างเร่งรีบ


เขามองไปยังเมืองเหอตงที่ยังคงเต็มไปด้วยความเจริญ หลังจากที่เขาพบเจอกับชายหนุ่มลึกลับคนนั้น ในใจของเขาดูเหมือนมีความขุ่นมัวแพร่กระจายไปด้วย


“โชเฟอร์ ไฟฟ้าของเมืองนี้ใช้งานได้ตั้งแต่เมื่อไรเหรอ?”


“ใช้งานได้ตั้งแต่เมื่อห้าวันก่อนแล้ว คุณไม่ใช่คนที่นี่ใช่ไหม! ที่เมืองของพวกคุณยังไม่มีไฟฟ้าใช้เหรอ?”


“ยังไม่มาเลยครับ พวกเราเป็นเมืองเล็ก ไม่รู้ว่าต้องรอถึงเมื่อไร?”


คนขับแท็กซี่เริ่มพูดคุยอย่างออกรสออกชาติในทันที


“ถ้าให้ฉันแนะนำนะ ทางที่ดีที่สุดคือย้ายมาในเมืองใหญ่ดีกว่า ถ้าพวกคุณอยากให้ไฟฟ้าที่เมืองของพวกคุณใช้งานได้ ต่อให้ผ่านไปครึ่งปีก็อย่าหวังเลย พวกลูกพี่ของฉันที่ทำงานในการไฟฟ้าต่างก็พูดกันว่าตอนนี้การจัดสรรทรัพยากรไฟฟ้าของประเทศเริ่มอยู่ในขั้นวิกฤต ยังไม่พอปล่อยกระแสไฟไปให้เมืองวงแหวนที่หนึ่งและวงแหวนที่สองเลย ถ้ารอให้ถึงเมืองเล็ก ก็ไม่รู้ว่าต้องรอถึงชาติไหน”


“แต่ราคาบ้านที่นี่แพงมากเลยครับ!” เฉินโจวอี้พูดเสริม


“นั่นมันก็จริงอยู่ เมื่อก่อนราคามันก็สูงมากพอแล้ว พอไฟฟ้ากลับมาใช้งานได้ พักนี้ราคาบ้านที่เมืองเหอตงจึงเพิ่มราคาสูงขึ้นอย่างบ้าคลั่ง โชคดีตอนที่ขายบ้านหลังเก่าไป สามารถซื้อบ้านที่นี่ได้สองหลัง ไม่อย่างนั้นคงไม่มีปัญญาซื้อเรือนหอให้ลูกชายตอนแต่งงานแน่ๆ”


ตอนที่ 79 ลงทะเบียน


ครึ่งชั่วโมงต่อมา หลังจากเฉินโจวอี้ทำเรื่องเข้าพักที่โรงแรมเสร็จจึงเดินเข้าไปในห้องพัก


เขาเอนกายนอนลงบนเตียง ไม่ยอมขยับตัวอยู่นาน


หลังจากผ่านไปสักพัก เขาถึงจะลุกขึ้นมาเปิดกระเป๋าเอกสาร แล้งปล่อยเด็กหญิงเปลือกหอยออกมา


“คนตัวยักษ์ เธอเปลี่ยนที่นอนอีกแล้วเหรอ?” เด็กหญิงเปลือกหอยมองสำรวจสภาพแวดล้อมภายในห้องพักตั้งแต่วินาทีแรกที่ออกมาจากกระเป๋า จากนั้นจึงเอ่ยคำถามที่อยากถามที่สุดออกมา “ที่นี่มีเป๊ปป้าพิกไหม?”


“ไม่มี!”


“ต้องมีแน่นอน เธอโกหก!” เด็กหญิงเปลือกหอยมองคอมพิวเตอร์ในห้องพัก แล้วทำท่าทาง “คนตัวยักษ์ เธอแค่กดตรงนี้ เป๊ปป้าพิกก็จะกลับมาแล้ว”


เรียนรู้ได้เร็วเชียวนะ!


เห้อ ช่างเถอะ ชีวิตคนเรามันสั้น ถ้าเธออยากดูก็ให้เธอดูแล้วกัน ต่อให้ดูจนสายตาสั้น เขาก็จะไม่สนใจเธอแล้ว


เขาเปิดคอมพิวเตอร์ เสิร์ชหาการ์ตูนที่เธอชื่นชอบที่สุด


ดังนั้นโลกจึงกลับมาสงบเงียบอีกครั้ง


เขากลัมานอนเอนกายลงเตียงอีกครั้งแล้วหลับตาลง วินาทีต่อมาจิตของเขาเข้าสู่มิติแห่งความทรงจำ


เขากลับมายังภาพความทรงจำบนรถไฟอีกครั้ง


….


“โลกนี้กำลังจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น สงครามกำลังมา คนโง่จะตายตกไปตามกัน คนฉลากเท่านั้นถึงจะรุ่งโรจน์”


ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มลึกลับออกมา ราวกับกำลังกล่าวเตือนอะไรบางอย่าง


ก่อนหน้านี้ไม่นาน ท่ามกลางฉากนี้ เฉินโจวอี้รู้สึกตื่นตระหนกราวกับนั่งอยู่บนเข็ม ขนลุกซู่ไปทั้งตัว ทั่วทั้งร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อไหลเปียกโชก


แต่ในตอนนี้เวลานี้ ท่ามกลางมิติแห่งความทรงจำ เมื่อมองเหตุการณ์ผ่านมุมมองของบุคคลที่สาม ในใจของเขาเริ่มสงบขึ้นมา


ต่อให้โลกนี้คือความเป็นจริงเท่าไร แต่มันก็ยังคงเป็นภาพลวงตา และก็เป็นแค่ความทรงจำของเขาเท่านั้น


จิตของเขาราวกับภูติผีที่ลอยละล่องอยู่ในมิติความทรงจำมาเป็นเวลานาน ในที่สุดเขาจึงตัดสินใจเข้าสู่ร่างชายหนุ่มคนนั้น


ไม่น่าแปลกใจเท่าไรที่ขณะทำการเชื่อมต่อจิตนั้น จู่ๆ ในหัวก็เกิดเสียง ‘ปัง!’ ดังขึ้น จิตของเขาระเบิดลอยออกมา พอเขารู้สึกตัวว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็รู้สึกเวียนศรีษะ จิตใจเหนื่อนล้าจนแทบจะไม่สามารถคิดอะไรได้


รู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้!


เฉินโจวอี้เริ่มรู้สึกกลัดกลุ้ม


ครั้งที่แล้วเคยเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้เมื่อเขาพยายามจะเข้าสิงเทพเจ้าแห่งตนไม้ แต่ครั้งนี้มันชัดเจนกว่าครั้งที่แล้วมาก


จิตของเขาล่องลอยอยู่ในอากาศอย่างเชื่องช้าและดูมึนงง ทันใดนั้นเขารู้สึกว่ามิติแห่งความทรงจำค่อยๆ สั่นสะเทือน


ในตอนแรกเขาคิดว่ามันคือภาพลวงตาในความคิดของเขา แต่หลังจากนั้นเขาก็พบถึงความผิดปกติของมัน


ในมิติแห่งความทรงจำนี้กำลังสั่นสะเทือนจริง ทุกภาพที่เขาเห็น ไม่ว่าจะเป็นทีกสิ่งในรถไฟหรือผู้คนต่างมีรูปร่างบิดเบือนไม่เป็นธรรมชาติ


เขารู้สึกว่าในมิตินี้กำลังจะล่มสลาย


เป็นไปไม่ได้!


ระบบความคิดของเฉินโจวอี้ที่พึ่งถูกโจมตีจนเชื่องช้า ในที่สุดก็เริ่มมีการโต้ตอบ


ไม่ทันที่เขาจะได้ตอบสนองอะไรออกมา จู่ๆ ในใจของเขารู้สึกตื่นตระหนก


ความรู้สึกไม่ปลอดภัย ความวิตกกังวล ความเศร้าโศก ความกดดัน ความรู้สึกมากมายหลั่งไหลเข้ามา


ทุกความรู้สึกแปลกดูเหมืนกำลังจะเอ่ยเตือนเขา


อันตราย! อันตราย! อันตราย!


ภายใต้ภาพเลือนลาง เขารู้สึกเหมือนสัมผัสได้ถึงสายตาน่าเกรงขาม กำลังมองทะลุผ่านมิติมาเข้ามา


ไม่ได้การแล้ว!


เขาตกใจจนจิตไม่มั่นคง ในที่สุดเขาจึงฟื้นคืนสติกลับมาแล้วรีบออกจากในมิติความทรงจำนี้ทันที


ก่อนออกจากมิติแห่งความทรงจำ เขาเหลือบไปมองชายหนุ่มลึกลับโดยไม่รู้ตัว แต่กลับต้องตกใจเมื่อพบว่าในเวลานี้ร่างของเขาดูเลือนลาง และสลัวมากขึ้น จนไม่สามารถมองเห็นรูปลักษณ์ของเขาได้ชัดเจน รางกับว่าเขากำลังจะหายไปจากมิติความทรงจำนี้


เฉินโจวอี้ลืมตาตื่นขึ้นในทันที ในแววตาของเขาเต็มไปด้วยความเกรงกลัว


เขาเอนตัวลงนอนบนเตียง หอบหายใจถี่ หัวใจของเขายังคงเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง มือและเท้าของเขาเย็นวาบไปหมด


ได้ยินเสียงสนทนาในการ์ตูน แล้วเห็นเด็กหญิงเปลือกหอยที่ดูการ์ตูนอย่างใจจดใจจ่ออยู่ด้านข้าง หลังจากมองภาพนั้นอยู่นาน ในที่สุดเฉินโจวอี้ก็เริ่มรู้สึกสงบขึ้น


“ยังดีที่เรื่องทุกอย่างยังไม่มีอะไรเลวร้าย ที่นี่ยังคงเป็นโลกมนุษย์”


“เทพเจ้าในโลกที่แตกต่างยังไม่ทรงพลังมากพอที่จะก้าวทะลุมิติแห่งความทรงจำเข้ามาฆ่าเขาได้ ถ้าหากทรงพลังขนาดนี้จริง มนุษย์คงตายอนาถกันไปนานแล้ว”


“เพียงแต่ว่า จิตเข้าสู่ร่างของเขาไปได้พักหนึ่งไม่ใช่เหรอ?”


“จำเป็นต้องรู้สึกไวขนาดนี้เลยเหรอ?”


“จำเป็นไหม?”


แต่สิ่งที่น่าแปลกใจในครั้งนี้กลับกำลังส่งเสียงเตือนเขาเช่นกัน


ต่อไปนี้ไม่สามารถใช้จิตเข้าสู่ร่างกายอันน่าหวาดกลัวพวกนั้นอีกแล้ว


ไม่ใช่สิ ต่อไปนี้ไม่สามารถโชคร้ายพบเจอกับสิ่งเหล่านั้นได้อีกแล้ว


มันอันตรายเกินไป


โชคดีที่ที่นี่คือโลกมนุษย์ ถ้าหากเป็นโลกที่แตกต่าง การกระทำแบบนี้ของเขา คงทำให้เขากลายเป็นกระดูกไปนานแล้ว


ว่ากันว่าบรรดาเทพเจ้าที่แท้จริง มักจะมีความสามารถลึกลับบางอย่าง ขอแค่มีคนเอ่ยถึงชื่อจริงของเขา เขาก็จะมีการสนทนาโต้ตอบกลับมา แต่ผู้ที่เอ่ยชื่อจะได้ยินเป็นคำหรือประโยคนั้น ขึ้นอยู่กับระดับความแข็งแกร่งของตัวเอง


เห็นได้ชัดว่า ความทรงจำอาจมีพลังบางอย่างที่เขาไม่รู้ ดังนั้นเมื่อจิตของเขาเข้าสู่ร่างกายของพวกเทพเจ้า บรรดาเทพเจ้าพวกนี้ถึงมีความรู้สึกโต้ตอบกับเขา


ยิ่งไปกว่านั้นความทรงจำในมิติแห่งความทรงจำ ไม่ได้ง่ายขนาดนั้นเหมือนความทรงจำที่ไม่บริสุทธิ์


ดูเหมือนว่าหนังสือแห่งความรู้นั้นมีความสามารถที่ทรงพลังในการวิเคราะห์และเติมเต็ม แม้กระทั่งความรู้สึกที่รับรู้ได้ทั้งหมดนั่น ทำให้ความทรงจำที่ดูเลือนลางกลายเป็นความทรงจำที่เต็มไปด้วยความสมจริง


นี่ไม่ควรถูกเรียกว่าความทรงจำ แต่ควรเรียกมันว่าการฉายภาพในความทรงจำมากกว่า


“เอ๊ะ!”


ในเวลานี้ จู่ๆ เขาก็พบว่าตัวเองนึกรูปร่างหน้าตาของชายหนุ่มลึกลับคนนั้นไม่ออกแล้ว เขาไม่แน่ใจแม้กระทั่งว่าชายหนุ่มคนนั้นมีตัวตนอยู่จริงหรือเปล่า


“หรือจะเข้าไปดูในมิติแห่งความทรงจำอีกรอบดี!” เขาเกิดความคิด


เฉินโจวอี้ลังเลไปครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็กัดฟันลองมันอีกครั้ง


ที่นี่คือโลกมนุษย์ ไม่มีอะไรต้องกลัว ถ้ามันเกิดเรื่องขึ้นก็หนีออกมา


จากนั้นเขาจึงเข้าสู่มิติแห่งความทรงจำอีกรอบ แล้วกลับสู่ฉากเดิมอีกครั้ง


เขาตกใจเมื่อพบว่าชายลึกลับคนนี้หายตัวไปแล้วและถูกแทนที่ด้วยเงาสลัวแทน ตัวเขาในตอนแรกกำลังพูดคุยกับกลุ่มเงาสลัว


ฉากนี้ช่างแปลกเหลือเกิน


เฉินโจวอี้นึกไม่ออกเลยว่าเงานั้นมีรูปร่างอย่างไร เป็นคนหรือสัตว์ สีหน้าเป็นอย่างไร พูดคุยอะไรไปบ้าง


อีกอย่างเวลาในการนึกย้อนมันนานเกินไป ถ้าหากไม่ใช่เพราะเขารู้สึกว่าเหตุผลมันขัดแย้งกันอยู่ เขาคงนึกว่าสิ่งที่ตัวเองเห็นในตอนแรกคือกลุ่มเงาจริงๆ และอีกฝ่ายคงไม่ได้พูดคุยอะไรกับเขา


….


เช้าวันรุ่งขึ้น เฉินโจวอี้เดินทางมาถึงศูนย์กลางการทดสอบศิลปะการต่อสู้เมืองเหอตง


เมื่อเดินเข้ามาในอาคารแล้วขึ้นลิฟต์ไปจนกระทั่งถึงสถานที่ลงทะเบียนทดสอบชาวยุทธที่ชั้นบนสุด เมื่อเทียบกับการลงทะเบียนทดสอบชาวยุทธฝึกหัดที่แทบจะไม่มีอะไรเลย ที่นี่ยังถือว่าออกแบบได้ตรงตามความต้องการของคน


ภายในเหมือนคลับเฮ้าส์ การตกแต่งดูสวยงามและสะอาดตา มีโซฟาหนังวางเรียงรายอยู่ชิดผนัง บนโต๊ะมีผลไม้และเค้กต่างๆ บนโต๊ะกาแฟ และมีบาร์เล็กๆ อยู่ด้านใน


เฉินโจวอี้เดินเข้ามาในห้องโถง ครั้งแรกที่เข้ามาเขาเกิดความสงสัยว่าตัวเองมาผิดที่หรือเปล่า


โชคดีที่มีพนักงานสาวสวย เดินแกว่งเอวเรียวบางเข้ามา


“ที่นี่คือสถานที่ลงทะเบียนทดสอบชาวยุทธ มีอะไรให้ช่วยไหมคะ?”


เธอจงใจพูดเตือนเขา


เหตุผลหลักคืออีกฝ่ายยังดูเด็กเกินไปและยังแต่งตัวแบบสบาย ๆ ดูเหมือนนักเรียนมัธยมปลาย


“ดีเลยครับ ผมมาลงทะเบียน!” เฉินโจวอี้พูดขึ้น


เธอชะงักไปครู่หนึ่ง ดีที่เธอมีความเป็นมืออาชีพในสายงานของเธอ ในไม่ช้าเธอสามารถเก็บงำความตกใจของเธอได้ แล้วพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม


“ได้ค่ะ งั้นขอบัตรประจำตัวประชาชนและใบรับรองการเป็นชาวยุทธฝึกหัดของคุณด้วย พวกเราจะช่วยคุณทำการลงทะเบียน คุณสามารถพักผ่อนรออยู่ที่นี่ได้ค่ะ”


ในเมื่อเขามาลงทะเบียน ดังนั้นเขาจึงเตรียมพร้อมไว้หมดแล้ว เขาหยิบเอาบัตรประจำตัวประชาชนและใบรับรองออกมายื่นให้เธอ “รบกวนคุณด้วยนะครับ”


“ไม่เป็นไรค่ะ!” หลังจากที่พนักงานรับมา เธอหันหลังเดินไปไม่กี่ก้าว แล้วรีบเดินกลับมาอีกรอบ “ขอโทษนะคะ ฉันต้องการที่จะยืนยันอีกรอบ ดูเหมือนใบรับรองการเป็นชาวยุทธฝึกหัดของคุณพึ่งจะออกให้เมื่อวานนี้ใช่ไหมคะ?”


“ใช่แล้วครับ ผมพึ่งทำการทดสอบไปเมื่อวาน หรือว่ามีการกำหนดช่วงเวลาในการทดสอบชาวยุทธครับ?” เฉินโจวอี้เอ่ยถามด้วยความสงสัย


“ไม่ใช่ค่ะ ไม่มีการกำหนด…..เพียงแต่ว่า…..” พนักงานไม่รู้ว่าควรจะอธิบายกับเด็กหนุ่มคนนี้ที่ไม่กลัวตายอย่างไรดี


“อ้อ เข้าใจแล้วครับ!” เฉินโวอี้นึกออกในทันที


เอ๊ะ ความเป็นเด็กนี่มันสร้างปัญห่จริงๆ เขามักจะเสียเปรียบในด้านนี้เสมอ ตั้งแต่เขาเปลี่ยนแปลงตัวเองหลังถูกหนังสือแห่งความรู้ปรับเปลี่ยน รูปร่างหน้าตาของเขาก็ดูอ่อนเยาว์มากยิ่งขึ้น


“คุณคิดว่าผมมีความสามารถไม่พอสินะ! งั้นรบกวนคุณช่วยถือกระเป๋าเอกสารให้ผมสักครู่”


เธอรับกระเป๋าเอกสารมาจากมือของเฉินโจวอี้ เธอกำลังอยากจะพูดอะไรบางอย่างตามสัญชาตญาณ


จากนั้นเธอเห็นเงาของเด็กหนุ่มราวกับภาพเลือนลาง เขาต่อยหมัดออกไปตามแนวตรงอย่างรวดเร็ว


วินาทีต่อมาในอากาศมีเสียงดัง ‘พลั่ก!’ พร้อมเสียงลมดังหวีดขึ้น


เธอตกใจจนรับหลับตา พอเธอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง พบว่าบนโต๊ะกาแฟที่ห่างออกไปสามสี่เมตรมีสภาพเละเทะ ผลไม้และเค้กตกกระจัดกระจายเต็มพื้น


“เอ่อ ผมต้องชดใช้ไหม?” เด็กหนุ่มพูดขึ้นด้วยสีหน้ารู้สึกผิด


ความสามารถในการทำลายล้างแบบนี้สมควรตายไปซะ ชอบอยากทำลายอะไรสักอย่างอยู่เรื่อยเลย


“ชดใช้เหรอ…..ไม่ ไม่ต้องค่ะ!”


“งั้นก็ดีครับ ผมขอกระเป๋าเอกสารของผมคืนด้วย ใช่แล้ว ไม่มีปัญหาเรื่องการลงทะเบียนแล้วใช่ไหมครับ?”


สาวสวยส่งกระเป๋าเอกสารคืนให้เขาอย่างมึนงง จากนั้นรีบพูดขึ้น “มะ…..ไม่มีแล้วค่ะ!”


ตอนที่ 80 บ้านเก่า


เฉินโจวอี้นั่งลงไปได้ไม่นาน จากนั้นมีพนักงานเสิร์ฟคนหนึ่งเดินเข้ามาถามเขา


“คุณต้องการชา กาแฟหรือเครื่องดื่มอื่นคะ”


“ขอน้ำต้มสุกหนึ่งแก้วก็พอแล้วครับ ขอบคุณครับ!”


“ไม่เป็นไรค่ะ!” พนักงานเสิร์ฟหญิงยิ้มให้เขาเล็กน้อยแล้วรีบเอาน้ำมาเสิร์ฟ


เขานั่งพิงโซฟา ยกน้ำขึ้นมาจิบแล้วมองสำรวจดูสภาพแวดล้อมของที่นี่พลางพูดในใจ ผู้ที่เข้ารับการทดสอบชาวยุทธกับที่ผู้ที่ไปทดสอบชาวยุทธฝึกหัดต่างก็ได้รับการปฏิบัติไม่เหมือนกัน ถ้าเป็นตอนไปสอบชาวยุทธฝึกหัดคงไม่มีทางได้รับการปฏิบัติที่ดีเช่นนี้แน่ ตลอดทั้งเช้าต้องไปต่อแถวเพื่อลงทะเบียนเอง


แต่ตอนนี้ไม่ต้องลงมือทำเอง ทุกอย่างได้รับการปฏิบัติอย่างเช่นแขกวีไอพี


นั่งไปได้ประมาณสามนาที พนักงานสาวสวยคนก่อนหน้านี้รีบเดินเข้ามาหาเขา “สวัสดีค่ะ ตอนนี้ทางเราได้ดำเนินการลงทะเบียนให้คุณเรียบร้อยแล้ว การทดสอบสมรรถภาพทางกายของคุณจะเริ่มในเวลาสิบโมงเช้าของวันพรุ่งนี้ สถานที่คือที่นี่เหมือนเดิม ไม่ทราบว่าคุณมีปัญหาอะไรติดขัดหรือเปล่าคะ? ถ้าหากพรุ่งนี้คุณไม่ว่าง คงต้องรอไปอีกครึ่งเดือนแล้ว”


“ไม่มีปัญหาครับ!” เฉินโจวอี้พยักหน้าพลางพูดขึ้น


การทดสอบชาวยุทธไม่เหมือนกับการทดสอบชาวยุทธฝึกหัด มันแบ่งการทดสอบออกเป็นสองครั้ง ครั้งแรกคือการทดสอบสมรรถภาพทางกาย จะทดสอบเกี่ยวกับสมรรถภาพทางกายทุกด้านว่าถึงมาตรฐานที่ต้องการไหม เมื่อผ่านการทดสอบดังกล่าวแล้ว จะเข้าสู่การทดสอบต่อสู้ในสนามจริง โดยปกติจะทำการทดสอบในอุโมงค์มิติ ต้องทำภารกิจพิเศษให้สำเร็จ ถึงจะทำการประเมินตามภารกิจ


เขารับบัตรประจำตัวประชาชนและใบรับรองมา จากนั้นเดินออกจากอาคารไป


ดวงอาทิตย์บนหัวส่องแแสงสว่างเจิดจ้าชวนแสบตา เฉินโจวอี้มองดูผู้คนเดินไปมาอยู่บนท้องถนนผ่านขนตาที่รับแสงดวงอาทิตย์จนเปล่งประกายสีสันออกมา เขาหยุดฝีเท้าแล้วเดินเข้าไปในร้านขายอาวุธเหล็กกล้าที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกับศูนย์กลางการทดสอบศิลปะการต่อสู้


เขาไม่ได้เดินไปดูอาวุธเหล็กกล้าที่ส่องแสงเงาวับอยู่ภายใต้แสงไฟในเค้าท์เตอร์ แต่กลับไปเลือกดาบตรงโซนดาบไม้สำหรับฝึกบนชั้นวางสินค้าติดกับประตู


เขาคาดคะเนน้ำหนักของดาบไม้แต่ละเล่ม ผ่านไปไม่นานเขาก็เลือกดาบไม้ที่ค่อนข้างจับถนัดมือ


“ดาบสำหรับฝึกเล่มนี้ราคาเท่าไรครับ?”


“ดาบเล่มนี้ทำมาจากไม้เนื้อแข็งในโลกที่แตกต่าง มันมีความแข็งแรงและหนักมากและค่อนข้างคงทน และราคาของมันก็สูงเช่นกัน” พนักงานคนหนึ่งพูดแนะนำ


“เท่าไร?”


“หนึ่งพันสองร้อยหยวน!”


หลังจากเฉินโจวอี้จ่ายเงินเสร็จ เขาจึงเดินออกจากร้านขายอาวุธเหล็กกล้าไป


นิ้วของเขาสัมผัสด้ามจับที่มีลวดลายหยาบไว้แน่น เขาเดินอย่างเชื่องช้าบนถนนเพื่อหาสถานที่ฝึกซ้อม ทันใดนั้นเขาก็พบว่าไม่สามารถหาที่ฝึกซ้อมได้


เมืองใหญ่มันวุ่นวายเกินไป ทุกที่มีแต่ผู้คน ไม่มีสถานที่ที่ทำให้เขารู้สึกเงียบสงบเลย


อีกอย่างห้องพักในโรงแรมมีขนาดเล็กเกินไป ถ้าหากเขาเหยียดแข้งเยียดขาฝึกซ้อมและเสียงตอนเขาเร่งความเร็วในการฝึกดาบอาจไปรบกวนคนอื่นเข้าได้ ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากฝึกเสร็จเขาอาจต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่เพิ่มเพื่อเป็นค่าซ่อมแซม


แต่เขาก็ไม่ได้เป็นกังวลกับการทดสอบในวันพรุ่งนี้ มันไม่มีอะไรให้เป็นกังวล


ตอนนี้ความแข็งแกร่งและความว่องไวของเขาเพิ่มมาเป็น 13.3 จุดแล้ว


หากใช้ตัวเลขมาแสดงค่าความแข็งแกร่งของเขา คาดว่าจะไปถึงการยกบาร์เบลที่น้ำหนัก 380 กิโลกรัม ซึ่งสูงกว่ามาตรฐานชาวยุทธที่ 300 กิโลกรัม


ส่วนความว่องไวที่ยากจะเพิ่มขึ้นได้สำหรับชาวยุทธนั้น มันเพิ่มขึ้นกว่าเดิมไปมาก เมื่อเทียบกับความเร็วในการตอบสนองของระบบประสาทของเขาตอนที่ฆ่าชายชุดดำคนนั้น ในตอนแรกการตอบสนองของเขาเร็วกว่าชายชุดดำประมาณ 30% แต่ตอนนี้เกือบจะ 40% แล้ว


เมื่อพิจารณาว่าอีกฝ่ายเป็นชาวยุทธมาก่อนหน้านี้อยู่แล้ว ความว่องไวของเขาจะต้องมีมากกว่าระดับชาวยุทธในตอนนี้แน่นอน เมื่อลองคาดการณ์จากความเร็วในการตอบสนองของระบบประสาทของเขา มีโอกาสเป็นไปได้สูงว่าเขาจะเร็วกว่ามาตรฐานของชาวยุทธถึง 50%


เทียบได้กับจุดสูงสุดทั้งหมด


และความเร็วในการตอบสนองของระบบประสาทเป็นหนึ่งในคุณลักษณะที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดของการต่อสู้


สำหรับการต่อสู้ที่ชี้เป็นชี้ตาย เมื่อความเร็วในการตอบสนองของระบบประสาทแตกต่างกันถึง 50% นั้น ไม่ว่าประสบการณ์การสู้รบของอีกฝ่ายจะโชกโชนมากเพียงใด ไม่ว่าอีกฝ่ายจะควบคุมกล้ามเนื้อได้ดีแค่ไหน ขอแค่ต่อสู้แบบเผชิญหน้ากันหนึ่งต่อหนึ่ง ตอนที่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้ตอบสนอง ก็สามารถฆ่าตายได้ในเสี้ยววินาที


พลังการต่อสู้ที่แท้จริงของเขาเหนือกว่าพวกชาวยุทธหน้าใหม่เป็นไหนๆ


….


เขาอยากฝึกดาบ แค่ฝึกดาบเท่านั้น


ตั้งแต่ที่เขาสูญเสียอุโมงค์มิติแห่งนั้นไป เขาต้องคอบแอบฝึกดาบในห้องนอนเพื่อฝึกการออกแรงของกล้ามเนื้อ ให้กล้ามเนื้อได้จดจำความแข็งแกร่งและสร้างสัญชาตญาณของมันออกมา


แน่นอนว่าผลลัพธ์ของมันไม่เลวเลย ยกตัวอย่างเช่นทักษะวิชาดาบของเขาเพิ่มขึ้นมา 3 จุดในช่วงระยะเวลาอันสั้น


แม้แต่การต้มยาสมุนไพรยังต้องอาศัยความร่วมมือซึ่งกันและกัน การฝึกดาบก็เช่นกันต้องผสานเข้ากับการเคลื่อนไหว


การขัดเกลาทั้งหมดนี้เพื่อการระเบิดพลังในชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น


….


หลังจากที่เขาหาอยู่นาน ทันใดนั้นเขาก็พบสถานที่ที่เขาสามารถใช้ฝึกดาบได้ สถานที่แห่งนี้เป็นบ้านเก่าในตรอกเล็กๆ แห่งหนึ่ง


บ้านดูเก่ามาก กำแพงหินอ่อนนั้นถูกปกคลุมไปด้วยไม้เลื้อย ประตูเหล็กขึ้นสนิมถูกพันไว้ด้วยตัวล็อคขนาดใหญ่สองสามตัวที่ขึ้นสนิมเช่นกัน


เมื่อมองผ่านรอยแยกตรงประตูเหล็ก จะพบว่ามีวัชพืชรกเต็มลานไปหมด ประตูใหญ่เหมือนแผ่นไม้กระดานผุพัง ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครอยู่ที่นี่มาเป็นเวลานานแล้ว


เพียงแต่สิ่งที่ทำให้เฉินโจวอี้เกิดความสงสัยก็คือ ทำไมถึงปล่อยให้อาคารสามชั้นถูกทิ้งร้างอยู่ย่านใจกลางเมือง หากทำการซ่อมแซมเล็กน้อย ก็สามารถปล่อยเช่าได้ในราคาสูง


แต่ว่านี่มันก็ไม่ใช่เรื่องของเขา


สถานที่แห่งนี้เหมาะที่จะเป็นสถานที่ฝึกดาบของเขาพอดี


เขาใช้โอกาสตอนที่ไม่มีใคร ค่อยๆ กระโดดข้ามกำแพงไป


ภูเขาหินปลอมเต็มไปด้วยหญ้าขึ้นรก สระน้ำที่แห้งขอดและรูปปั้นสัตว์ที่เต็มไปด้วยมอส สิ่งเหล่านี้ล่วนแสดงให้เห็นว่าเจ้าของคนก่อนเป็นคนรวยคนหนึ่ง แน่นอนว่าแม้กระทั่งตอนนี้ บ้านหลังนี้ยังถือว่าสามารถทำเงินได้มหาศาล


เขาวางกระเป๋าเอกสารไว้ที่มุมหนึ่ง จากนั้นเริ่มฝึกสามสิบหกกระบวนท่าเพิ่มสมรรถภาพทางกายก่อนหนึ่งรอบ แล้วถึงจะเริ่มฝึกดาบ


เขาหลับตาลง แล้วจินตนาการถึงชายชุดดำคนนั้นว่าคือคู่ต่อสู้


เมื่อจับดาบให้มั่นแล้ว เขาแทงดาบออกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก้าวเท้าเบาๆ ก็สามารถก้าวได้ไกลถึงสี่ห้าเมตร แล้วฟันดาบออกไปอีกครั้ง


ไม่ได้


อ่อนแอเกินไป


ต้องเพิ่มความแข็งแกร่งของชายชุดดำเข้าไปอีก


….


รอบด้านเกิดลมพัดอย่างบ้าคลั่ง เงาร่างหนึ่งเคลื่อนไหวท่ามกลางลมพัดอย่างรวดเร็ว บางครั้งก็ได้ยินเสียงระเบิด บางครั้งก็เห็นประกายดาบขณะฟาดฟัน วัชพืชบริเวณใกล้เคียงถูกตัดจนปลิวว่อนขึ้นมา


กิ่งไม้ที่ห้อยแกว่งไปมาถูกตัดขาดในเสี้ยววินาที พริบตาเดียวไม่เหลือกิ่งไม้สักกิ่ง ส่วนใบไม้ก็ถูกลมพักปลิดปลิวไป


“ปัง! ปัง! ปัง! ปัง!”


“มีคนอยู่ข้างในไหม?” สิบนาทีต่อมา เฉินโจวอี้ได้ยินเสียงหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง


เขารีบหยุดการฝึกทันที


“ป้าครับ มีอะไรหรือเปล่าครับ?” เฉินโจวอี้เดินมาที่ประตู


หญิงวัยกลางคนมีอายุมากแล้ว บนใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอย สายตาของเธอเต็มไปด้วยแสงขุ่นมัว เธอจ้องเฉินโจวอี้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “คนหนุ่มอย่างเธอจะเข้าไปในนั้นทำไม? ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วเหรอ!”


“ป้าครับ ทำไมเหรอครับ ผมเห็นว่าที่นี่ค่อนข้างเงียบสงบ เลยอยากมาฝึกดาบ ที่นี่ห้ามเข้าเหรอครับ?”


“ที่นี่มีผีสิงน่ะสิ หลายปีมานี้ไม่รู้ว่ามีคนตายในนั้นกี่คนแล้ว เธอยังจะเข้ามาในนี้อีก ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วเหรอไง”


“ป้าครับ ไม่เป็นไรหรอก ผมไม่กลัวผี” เฉินโจวอี้หัวเราะพลางพูดขึ้น ในใจของเขาเกิดความรู้สึกอึดอัด ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงรู้สึกว่าที่นี่มีไอเย็นยะเยือก รู้สึกถึงความเศร้าสร้อย


ตอนที่ 81 สอบสวน


“เด็กวัยรุ่นนี่มันพูดยากจริง ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาฉันช่วยอะไรไม่ได้นะ ฉันแนะนำให้เธอรีบกลับไปเถอะ” หญิงวัยกลางคนพูดเตือนแล้วเตรียมจะเดินจากไป


ในเวลานี้เฉินโจวอี้พึ่งจะมาสะดุดกับคำพูดของหญิงวัยกลางคนที่ว่า “หลายปีมานี้”


เขาเกิดความคิดขึ้นทันที พลันเรียกให้หญิงวัยกลางคนหยุดแล้วเอ่ยถาม


“เดี๋ยวครับคุณป้า ผมขอถามอะไรหน่อย ที่นี่มีผีสิงมานานเท่าไรแล้วครับ?”


“เธอจะถามเรื่องพวกนี้ไปทำไม? สิบปีมาแล้วมั้ง ฉันก็เริ่มแก่แล้ว จำไม่ค่อยได้ มันเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้ว….”


หลังจากฟังหญิงวัยกลางเล่าอยู่นาน ในที่สุดเฉินโจวอี้ก็พอจะเข้าใจเรื่องราวคร่าวๆ


จะว่าไปแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของพ่อหม้ายตัณหากลับคนหนึ่งที่บรรดาลูกๆ ของเขาอยู่ต่างประเทศกันหมด พ่อหม้ายคนนี้ขืนใจแม่บ้าน


สุดท้ายแล้วด้วยความรับไม่ได้และรู้สึกอับอาย แม่บ้านคนนี้จึงตัดสินใจผูกคอตาย


ด้วยเพราะกลัวว่าจะถูกจับได้ พ่อหม้ายคนนี้จึงเอาศพของเธอไปซ่อนไว้ในห้องใต้ดิน แล้วแสร้งทำเป็นใช้ชีวิตปกติ จนกระทั้งวันหนึ่ง เขาก็ไม่เคยออกมาจากในบ้านอีกเลย


ต่อมาบ้านหลังนี้ถูกเปลี่ยนเจ้าของไปหลายมือ เป็นเพราะว่าราคาถูกลงทุกครั้ง มักจะมีผู้ซื้อที่ไม่เชื่อเรื่องโชคลางผีสางเข้ามาซื้ออยู่บ่อยๆ แต่ทว่าคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ ไม่ว่าใครก็ตาม ร่างกายของพวกเขาอ่อนแอลงอย่างรวดเร็วจนทรุดถึงขั้นนอนติดเตียง จากนั้นถึงจะตายโดยไม่ทราบสาเหตุ


เมื่อเวลาดำเนินผ่านไป ที่แห่งนี้ค่อยๆ ถูกปล่อยทิ้งร้างและไม่มีใครเข้ามาอีกเลย


หลังจากที่หญิงวัยกลางคนพูดจบ เธอโน้มน้าวให้เฉินโจวอี้ออกมาอีกครั้งก่อนจะเดินจากไป


เฉินโจวอี้ยังคงยืนอยู่ที่เดิมและไตร่ตรองอยู่ในใจ


ผ่านมาสิบปีแล้ว ซึ่งมันนานพอจริงๆ


ก่อนที่สนามพลังลึกลับจากโลกที่แตกต่างจะรุกรานโลก โลกใบนี้มีภูติผีหรือเปล่า? เฉินโจวอี้ไม่กล้าด่วนสรุป แต่โดยทั่วไปเขาคิดว่ามันไม่น่าจะมี และก็ไม่มีวิธีการใดที่จะมาพิสูจน์ได้ว่าโลกใบนี้มีภูติผีเช่นกัน


อย่างน้อยก็ตั้งแต่เด็กจนโต เขาไม่เคยเห็นผีกับตาตัวเองมาก่อนและไม่เคยมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นกับคนรอบข้างเช่นกัน


เรื่องราวของภูติผีกลับมีเป็นจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องหลอกลวงที่คนสร้างขึ้นมา หรืออาจจะเป็นแค่ข่าวลือที่ถูกส่งต่อกันมา


อีกอย่างต่อให้มี ก็ไม่สามารถที่จะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้


สุดท้ายแล้วก่อนที่สนามพลังลึกลับจากโลกที่แตกต่างจะเข้ามารุกราน โลกใบนี้ก็ยังคงเป็นโลกอันลึกลับอยู่


แต่ถ้าหากเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง มันคงแปลกไปหน่อยแล้ว


เขาอดขบคิดถึงมันไม่ได้


เขาหันกลับไปมองบ้านหลังนั้นอีกครั้ง บางทีมันอาจเป็นการรบกวนทางจิตวิทยา แม้ว่าในเวลานี้เป็นเวลากลางวันที่พระอาทิตย์กำลังส่องแสงสว่างจ้า แต่ทั้งตัวบ้านกลับให้ความรู้สึกมืดมนและโศกเศร้า


ในเวลานี้เขาเกิดความคิดขึ้นมา หรือว่าจะไปลองตรวจสอบดูสักหน่อย?


เขาไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวอะไร


เพราะประการแรกคือเวลานี้เป็นตอนกลางวัน


ประการที่สอง จากคำบอกเล่าของหญิงวัยกลางคนนั่น ผีตนนี้ยังไม่แข็งแกร่งถึงขนาดที่ว่าจะสามารถปรากฏตัวมาฆ่าคนได้


ยิ่งไปกว่านั้น เขาคือชาวยุทธ เลือดลมปราณเขาแข็งแกร่งกว่าคนทั่วไป ด้วยคลื่นสนามแม่เหล็กของสิ่งมีชีวิตที่ทรงพลัง ทำให้บรรดาผีที่อ่อนแอไม่สามารถเข้าใกล้ร่างกายของเขาได้


หลังจากลังเลอยู่พักหนึ่ง เขาหยิบกระเป๋าเอกสารขึ้นมาแล้วเดินไปยังประตูที่ทรุดโทรม


ตัวล็อคของประตูผุพังไปนานแล้ว จึงทำให้เขาประหยัดแรงในการทำลายมัน


เขาผลักประตูให้เปิดออกไปพร้อมกับเสียงดังครืด ฝุ่นละอองหนาแน่นและกลิ่นเหม็นอับของตัวบ้านลอยเข้ามาปะทะจมูกของเขา ภายในบ้านมืดสลัว ตัวพื้นบ้านมีฝุ่นหนาเกาะอยู่


หน้าต่างเป็นหน้าต่างไม้ทรงโบราณ กระจกที่อยู่ด้านบนแตกหมดแล้ว ขอบกระจกผุพัง เวลาที่มีลมพัดมา หน้าต่างไม้แกว่งไปมาส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด


ที่โถงด้านหน้าห้องนั่งเล่นมีภาพวาดสีน้ำมันเป็นรูปทิวทัศน์ขนาดใหญ่แขวนประดับไว้อยู่ ภายในห้องรับแขกยังมีเฟอร์นิเจอร์ไม้มะฮอกกานีจำนวนมาก เฉินโจวอี้เดินผ่านเก้าอี้ตัวหนึ่ง เขาจึงเช็ดฝุ่นออกแล้วพบว่าเฟอร์นิเจอร์พวกนี้ส่วนใหญ่ยังคงถูกเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี


บ้านหลังนี้ถูกทิ้งร้างมาเป็นระยะเวลานาน แต่เฟอร์นิเจอร์ด้านในดูเหมือนจะไม่เคยถูกเคลื่อนย้ายมาก่อน


เห็นได้ชัดว่าเจ้าของบ้านคนสุดท้ายคาดว่าคงจะตกใจกลัวมากจนรีบย้ายหนีออกไปโดยไม่ต้องการของพวกนี้แล้ว อีกอย่างคนอื่นคงไม่มีใครต้องการของเฮงซวยเหล่านี้หรอก


….


เฉินโจวอี้เดินสำรวจไปหนึ่งรอบ เขาเดินสำรวจทุกชั้นและทุกห้องที่อยู่ในบ้าน


ในที่สุดเขาจึงพยายามจะเข้าไปตรวจสอบห้องใต้ดินที่แม่บ้านตายในตอนแรก แต่เขาหาอยู่นานกลับไม่เจอตำแหน่งที่ตั้งของห้องใต้ดิน เขาจึงเดาว่าน่าจะถูกปิดผนึกไปนานแล้ว


ใช้เวลาไม่นาน ในที่สุดเฉินโจวอี้ก็ถอยออกมา


บรรยากาศความมืดมิดอันเย็นยะเยือกของที่นี่มีอยู่มาก ราวกับซ่อนเงามืดไว้ สถานที่แห่งนี้ทำให้คนรู้สึกไม่สบายตัว จนทำให้เขานึกว่าที่แห่งนี้อาจจะมีอุโมงค์มิติซ่อนอยู่ แต่สุดท้ายแล้วเขากลับไม่พบร่อยรอยใดๆ ทั้งสิ้น


ดูเหมือนว่าจะคิดมากไปเองนะ?


เฉินโจวอี้หัวเราะเยาะตัวเอง!


ถ้าหากมีอุโมงค์มิติอยู่จริง ป่านนี้คงถูกค้นพบและถูกควบคุมไปนานแล้ว จะอยู่มาถึงตอนนี้ได้อย่างไร?


เขาเดินกลับมาที่ลานบ้านแล้วเริ่มซ้อมดาบอีกครึ่งชั่วโมง ถึงจะกลับโรงแรม


….


เวลาเก้าโมงครึ่งในเช้าวันถัดมา เฉินโจวอี้เดินทางมาถึงสถานที่ทำการทดสอบชาวยุทธในศูนย์กลางการทดสอบศิลปะการต่อสู้


ด้านในมีคนจำนวนสิบกว่าคนอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว


มีบางคนนั่งจับกลุ่มพูดคุยกัน บางคนนั่งเงียบๆ อยู่อีกด้าน


เมื่อเห็นเฉินโจวอี้เดินเข้ามา คนส่วนใหญ่ต่างพากันมองมาที่เขา


“เหอะ อายุมากกว่าลูกชายของฉันไม่เท่าไรเอง”


“คาดว่าคงมาลงทะเบียนเพื่อความบันเทิง แต่ไม่ได้จริงจังอะไรหรอก”


ทุกคนพูดคุยกันอยู่สองสามคำแล้วไม่ได้สนใจเฉินโจวอี้อีก


“เหล่าหลิว ฉันว่าครั้งนี้คุณต้องผ่านแน่นอน”


“ฮ่าๆ คุณก็เหมือนกันแหละ ในช่วงสองสามเดือนนี้ฉันมักจะเห็นคุณฝึกซ้อมในห้องฝึกซ้อมของโลกที่แตกต่าง”


“ผลจากการฝึกซ้อมในนั้นมันดีจริง แต่ราคาแพงเกินไป วันละตั้งสองพันหยวน ในช่วงสองสามเดือนมานี้ฉันจ่ายไปตั้งสองแสนหยวนแล้ว ถ้ายังไม่ผ่านอีกล่ะก็ ฉันจะฆ่าตัวตายแล้ว!”


“อะไรคว้าได้ก็ต้องคว้าไว้ก่อน ไม่มีทางเลือกนี่นา อีกอย่างมันคือการลงทุน ถ้าหากคุณกลายเป็นชาวยุทธล่ะก็ คุณจะชายตาแลเงินเล็กน้อยแค่นี้เลย”


เฉินโจวอี้เดินเข้าไปนั่งที่ด้านข้าง เขาฟังสองคนนั้นพูดด้วยความสงสัย ขณะที่เขากำลังจะเอ่ยถามนั้น ก็ได้ยินชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่ใกล้กันเอ่ยถามแทนเขา “ขอโทษนะครับ ห้องฝึกซ้อมของโลกที่แตกต่างที่พวกคุณพูดถึงคืออะไรเหรอครับ?”


“เมืองของพวกคุณไม่มีเหรอ มันอยู่ที่เขตหลิวตงในเมืองเหอตง ที่นั่นมีอุโมงค์มิติที่สามารถเข้าไปยังโลกที่แตกต่างได้ ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้รัฐบาลท้องถิ่นได้เปิดมันเป็นห้องฝึกซ้อม”


“คนจากเมืองของพวกคุณช่างโชคดีจริงๆ ไม่เพียงแต่มีไฟฟ้าใช้ แต่ยังมีอุโมงค์มิติเป็นจำนวนมาก ที่เมืองของผมไม่มีอุโมงค์มิติแม้แต่อุโมงค์เดียว” ชายหนุ่มพูดเสียงเศร้า


“มันไม่ใช่เรื่องดีเลยนะ ถ้ามีอุโมงค์มิติเป็นจำนวนมาก อันตรายที่ซ่อนอยู่ภายในก็มีมากเช่นกัน ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นเล็กน้อย ก็เป็นอันตรายได้แล้ว”


“ที่พูดมามันก็มีเหตุผลนะครับ แต่สำหรับพวกชาวยุทธฝึกหัดอย่างพวกผม มันทำให้เพิ่มระดับได้ยาก”


….


“ได้ยินข่าวนี้บ้างไหม ที่เมืองตงหนิงในมณฑลหนิงโจวเกิดเหตุพิธีกรรมเลือดของพวกลัทธินอกรีตอีกแล้ว” ในเวลานี้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งโผล่งถึงประเด็นนี้ขึ้นมาทันที


เฉินโจวอี้ตกตะลึง เขาจึงรีบเอ่ยถาม “เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อไรครับ?”


“สองสามวันก่อน เธอเป็นคนจากเมืองตงหนิงเหรอ?” ชายวัยกลางคนเหลียวมองเฉินโจวอี้ก่อนจะเอ่ยถาม


เมื่อเห็นว่าเฉินโจวอี้พยักหน้า เขาจึงพูดต่อ “ครั้งนี้น่าสยอดสยองมาก คนตายไปร้อยกว่าคน มีทั้งผู้ชาย ผู้หญิง คนแก่ แม้แต่เด็กก็ไม่เว้น ได้ข่าวว่าที่เมืองตงหนิงประกาศเคอร์ฟิวแล้ว เพื่อดำเนินการสอบสวนเต็มรูปแบบ”


….


เมืองตงหนิงมันโหดร้ายทารุณมาถึงจุดนี้แล้วเหรอ?


เฉินโจวอี้รู้สึกหน่วงในใจ


ยกเว้นแค่พ่อแม่และน้องสาวที่ไม่ได้อยู่เมืองตงหนิง ซึ่งทำให้เขาพอจะวางใจได้


แต่ทุกคนที่เขารู้จักดูเหมือนจะอยู่ที่เมืองตงหนิงหมดเลย


ทั้งครอบครัวของลุงใหญ่ เพื่อนของเขา แล้วก็จางเซียวเยว่ด้วย ซึ่งตอนนี้ไม่รู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพวกเขาหรือเปล่า?


จบตอน


ตอนที่ 82 ผ่านการทดสอบอย่างง่ายดาย


เวลาผ่านไป ผู้คนทยอยเข้ามากันเรื่อยๆ ในไม่ช้าจำนวนคนมีมากเกินกว่าห้าสิบคนแล้ว ผู้หญิงคิดเป็นหนึ่งในสี่ของจำนวนคนที่มาเข้ารับการทดสอบทั้งหมด ดังนั้นทั้งห้องลงทะเบียนเริ่มเต็มไปด้วยผู้คนแออัด


เมื่อใกล้เวลาสิบโมงตรง


กลุ่มคนชายหญิงสวมเครื่องแบบเหมือนกันผลักประตูเดินเข้ามา


ในบรรดากลุ่มคนมีชายสองคนหญิงหนึ่งคน เป็นชายวัยกลางคนไว้ผมทรงสกินเฮดรูปร่างแข็งแรงหนึ่งคน ชายหนุ่มรูปร่างผอมและดูเข้มงวดหนึ่งคน และหญิงสาวสีหน้าเย็นชาอายุประมาณสามสิบปีอีกหนึ่งคน


“ผู้รับรองเอกสารประจำสำนักเอกสารรับรองด้านศิลปะการต่อสู้มาแล้ว” มีคนพูดกระซิบขึ้น


จากนั้นบรรยากาศที่นี่ที่เคยเสียงดังเอะอะโวยวายได้เงียบลงในทันที กลายเป็นบรรยากาศที่เงียบสงบมาก


เฉินโจวอี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าคนพวกนี้คือชาวยุทธ โดยเฉพาะชายวัยกลางคนนั่นที่ตัดสกินเฮด ฝีเท้าของเขาเบาจนไร้เสียง ราวกับเสือชีตาห์ที่กำลังเยื้องย่างเข้ามา ขนาดเฉินโจวอี้เองยังเกิดความรู้สึกกดดันอยู่บ้าง


นี่คงจะเป็นชาวยุทธยอดฝีมือ!


ระดับของผู้ที่เรียนรู้ศิลปะการต่อสู้แบ่งเป็นชาวยุทธฝึกหัด ชาวยุทธและชาวยุทธยอดฝีมือ ชาวยุทธยอดฝีมือเป็นระดับที่เฉินโจวอี้รู้ว่าเป็นกองกำลังชั้นนำของมนุษย์


ในความเป็นจริง มันไม่ได้อยู่ในแวดวงเดียวกัน ขนาดชาวยุทธยังพบเจอได้ยาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชาวยุทธยอดฝีมือเลย


แน่นอนว่าต่อให้คนทั่วไปพบเจอพวกเขาเข้า แต่ก็ไม่สามารถมองออกว่าพวกเขาอยู่ในระดับไหน


“หัวหน้าคะ ใกล้จะได้เวลาแล้ว น่าจะเข้าไปได้แล้วใช่ไหมคะ?” หญิงสาวที่มีสีหน้าเย็นชามองดูนาฬิกาแล้วหันไปถามชายวัยกลางคนที่ไว้ผมทรงสกินเฮด


ชายวัยกลางคนที่ไว้ผมทรงสกินเฮดพยักหน้า “งั้นเข้าไปกันเถอะ”


ทุกคนลุกขึ้นยืนทันที


ทุกคนเดินตามหลังผู้รับรองเอกสารด้านศิลปะการต่อสู้ พวกเขาเดินผ่านทางเดินเข้าไป ในไม่ช้าก็เข้าไปในห้องโถงด้านหลังอย่างรวดเร็ว


ภายในมีลู่วิ่งที่ทำขึ้นมาโดยเฉพาะ และเครื่องวัดแรงแบบต่างๆ รวมถึงเครื่องไม้เครื่องมือจำนวนมาก


“จำนวนคนค่อนข้างมาก ดังนั้นเราจะไม่ปล่อยให้เสียเวลา เราจะเริ่มการทดสอบความเร็วของหมัดก่อนแล้วกัน” ผู้รับรองเอกสารชายหนุ่มคนนั้นเปิดเอกสารดู ด้านไหนเป็นเอกสารจำนวนมาก เขาพลิกเอกสารพลางพูดขึ้น “คนแรก โม่ซิงหยวน”


พนักงานในสถานที่ทำการทดสอบคนหนึ่งรีบเปิดสวิตซ์เลเซอร์วัดความเร็วอย่างรวดเร็ว แล้วรีบถอยออกไป


ชายหนุ่มคนหนึ่งอายุประมาณยี่สิบเจ็ดยี่สิบแปดปีรีบเดินขึ้นมาด้านหน้า เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วกระแทกหมัดลงไปโดยใช้ท่าเดียวกับท่าพุ่งแทงดาบ


“สองร้อยห้าเมตรต่อวินาที ผ่าน! คนต่อไปหลินห้าวหราน”


….


ท่าก้าวเท้าพุ่งไปแทงเป็นกระบวนท่าที่เร็วที่สุดในบรรดากระบวนท่าของศิลปะการต่อสู้ มันเกี่ยวข้องกับกล้ามเนื้อมากที่สุด พลังในการโจมตีของมันทรงพลังมาก นอกจากนี้ยังเป็นตัวแทนของกระบวนท่าเคลื่อนย้ายตัวได้ดีที่สุด


ด้วยพลังระเบิดที่ไม่มีใครเทียบ มันมักจะทำให้คู่ต่อสู้เจ็บปวดเกินกว่าจะจินตนาการได้


อย่างไรก็ตามการเคลื่อนไหวนี้เป็นเหมือนเส้นเวทย์มนตร์ในเทพนิยาย


นอกจากมีคนใช้ท่าแทงดาบและแทงหอกแล้ว มีเพียงไม่กี่คนที่ใช้ท่ายิงธนู หากใช้หมัดในการโจมตี มีเพียงแค่บทสรุปเดียวเท่านั้น คนที่ถูกโจมตีจะถูกทำลายโดยตรงและคนที่โจมตีจะกระดูกมือหัก


….


“คนต่อไปเฉินโจวอี้!” ผู้รับรองเอกสารถามย้ำเพื่อความแน่ใจอีกรอบ “เธออายุแค่สิบเจ็ดเองเหรอ?”


หลังจากที่เฉินโจวอี้ลุกขึ้นยืนแล้ว เขาก็พยักหน้าตอบ “ใช่ครับ!”


ผู้รับรองเอกสารคนนี้เหลือบมองเขาอยู่แวบหนึ่ง แล้วหันไปมองเอกสารของเขาอีกครั้ง ทันใดนั้นสีหน้าของเขาแสดงความไม่พอใจออกมาทันที “การทดสอบชาวยุทธเป็นเรื่องจริงจัง ไม่ใช่เรื่องเด็กเล่น ถึงแม้ว่าจะจริงที่ชาวยุทธฝึกหัดทุกคนสามารถลงทะเบียนได้ แต่ฉันหวังว่าเธอจะไม่มาสิ้นเปลืองทรัพยากรของทางการ ไปฝึกอีกสักสองสามปีค่อยมาเถอะ คนต่อไปหูยวี่ถิง”


เขามักจะเบื่อหน่ายพวกที่เห็นได้ชัดว่าไม่มีความแข็งแกร่งแต่กลับไม่รู้ตัวเอง แล้วยังจะมาลงทะเบียนอีก แบบนี้มันทำให้พวกเขาเสียเวลา


“เดี๋ยวก่อน!” เฉินโจวอี้เริ่มไม่พอใจ “แบบนี้จะดูแค่อายุไม่ได้นะครับ คุณรู้ได้ยังไงว่าผมไม่ได้ ก็แค่ให้ผมลองดูก้ได้นี่ครับ”


“ฉันไม่ได้พุ่งเป้าไปที่เธอ และมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับอายุด้วย ถ้าหากเธอผ่านการทดสอบชาวยุทธฝึกหัดมาเป็นเวลาสองสามปีแล้ว ฉันก็จะมองว่าเธอมีพรสวรรค์ แต่ฉันพึ่งจะดูวันที่ในการผ่านการทดสอบชาวยุทธฝึกหัดของเธอคือเมื่อวันก่อน และยังเป็นนักเรียนมัธยมปลายอยู่เลย”


ทุกคนหัวเราะเยาะออกมา


เฉินโจวอี้อ้ำอึ้ง เขาไม่สามารถโต้เถียงกับเรื่องนี้ได้จริงๆ จะให้โทษตัวเองว่ามีความก้าวหน้ารวดเร็วงั้นเหรอ?


“คงเสียเวลาไปไม่เท่าไรหรอก ให้เขาลองเถอะ!” ในที่สุดชายวัยกลางคนไว้ผมทรงสกินเฮดก็พูดขึ้น


เมื่อเห็นว่าหัวหน้าพูดเช่นนี้แล้ว เขาจึงทำได้เพียงพูดขึ้น “งั้นก็รีบเริ่มสิ อย่าทำให้เสียเวลา”


เมื่อพบเจอกับคนที่เข้มงวดจริงจังเช่นนี้ เฉินโจวอี้ก็รู้สึกหดหู่ใจจริงๆ


เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วเดินไปที่ด้านหน้าของเส้นวัดความเร็ว จากนั้นเรียกสมาธิอยู่พักหนึ่ง


จากนั้นเขาก้าวไปด้านหน้าอย่างพลิ้วไหวราวกับวิญญาณ แรงถูกส่งผ่านจากปลายเท้าขึ้นมาเรื่อยๆ เช่นเดียวกับเกียร์ที่มีการทำงานประสานกันอย่างแน่นหนา แรงถูกส่งผ่านมาถึงแขนราวกับระเบิดลูกหนึ่งที่กลายเป็นเงา แล้วทันใดนั้นมันก็ระเบิดออกทันที


เขาชกหมัดที่เต็มไปด้วยพลังมหาศาลออกไปอย่างราบรื่น พลังทั้งหมดในร่างกายยถูกส่งไปพร้อมกับหมัด


“พลั่ก!”


ราวกับอากาศระเบิดออกจากกัน เกิดลมปั่นป่วนไปทั่วทุกทิศ


คนที่มามุงดูทั้งหมด ต่างถอยหลังออกไปหนึ่งก้าวตามสัญชาตญาณ


“สะ…..สามร้อยแปดสิบเมตรต่อวินาที!” ผู้รับรองเอกสารสาวที่มีใบหน้าเย็นชามองดูจอแสดงผลจากเลเซอร์วัดความเร็วแล้ว เธอไม่สามารถเก็บอารมณ์ได้อีกต่อไป สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความประหลาดใจ


เธอเองก็ไม่สามารถชกได้ความเร็วเช่นนี้เหมือนกัน ในความเป็นจริงนั้น อย่าว่าแต่เธอเลย นอกจากหัวหน้าที่เป็นชาวยุทธยอดฝีมือแล้ว ชาวยุทธทั่วไปจะมีใครบ้างที่ทำแบบเขาได้?


รอบด้านต่างพากันตกตะลึงทันที ขนาดชายวัยกลางคนไว้ผมทรงสกินเฮดยังอดที่จะหันไปมองเฉินโจวอี้ไม่ได้ ตอนแรกเขารู้สึกได้เลือนลางว่าพลังของเด็กหนุ่มคนนี้ไม่ธรรมดา แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะดุดันราวมังกรเจียวหลงเช่นนี้!


….


“ความเร็วหมัดของชาวยุทธมีมาตรฐานที่สองร้อยเมตรต่อวินาทีเท่านั้น แต่นี่มันเร็วกว่าเกือบสองเท่าเลย ความเร็วแบบนี้คงไม่ดูเกินจริงไปหน่อยใช่ไหม เขาคงไม่ใช่พวกที่สอบผ่านชาวยุทธแล้วปลอมตัวมาแสดงฝีมือใช่ไหม!”


“มันแปลกไปหน่อยนะ หมัดหนักราวกับระเบิด ขนาดอากาศยังถูกชกตนระเบิดเลย”


ฝูงชนกระซิบกระซาบกัน


ผู้รับรองเอกสารชายหนุ่มคนนั้นมีสีหน้าตกตะลึง หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เรียกสติของตัวเองกลับมา พลางหัวเราะเยาะตัวเอง “ดูท่าสายตาของฉันคงจะไม่ดีแล้ว แต่ฉันก็แค่ดูจากสถานการณ์ไม่ได้ดูที่คนจริงๆ หวังว่าเธอจะไม่ใส่ใจมันนะ ผ่าน! คนต่อไปหูยวี่ถิง”


เฉินโจวอี้ไม่ได้สนใจมาตั้งนานแล้ว ก็เหมือนกับที่เขาพูดไว้ที่ว่าดูจากสถานการณ์ไม่ได้ดูที่คน ถ้าเป็นคนอื่นก็คงต้องตั้งคำถามกันบ้างแหละ ดังนั้นเฉินโจวอี้จึงยิ้มให้เขาแล้วก้าวถอยหลังออกไป


“ไอ้หนุ่ม นายเก่งมาก ดูจากพลังของนายในตอนนี้ สามารถมาทำการทดสอบชาวยุทธได้ตั้งนานแล้ว ทำไมถึงเอาแต่อยู่เฉย แล้วไม่ยอมมาสอบสักทีล่ะ?”


“ถ้าสอบผ่าน ใครจะไม่อยากไปสอบกัน ความแข็งแกรงของผมก้าวหน้าเร็วมาโดยตลอด แต่ผมก็แค่ไม่ค่อยถนัดวิชาดาบเท่านั้นเอง เลยไม่ได้มาทำการทดสอบสักที” เฉินโจวอี้พูดอย่างช่วยไม่ได้


นี่คือคำอธิบายที่เขาคิดมาดีแล้ว และเป็นคำอธิบายที่สมเหตุสมผลที่สุด


“ไม่แปลกใจเลย!” ทุกคนโล่งใจ


มีคนบางพวกที่สามารถเพิ่มความแข็งแรงของร่างกายได้อย่างง่ายดายตั้งแต่เกิด


โดยเฉพาะลูกหลานของพวกครอบครัวชาวยุทธ ยีนของพวกเขาดีกว่าคนทั่วไป ต่อให้พวกเขาไม่เดินตามเส้นทางของชาวยุทธ พอตอนโตร่างกายของพวกเขาจะแข็งแรงกว่าคนทั่วไปมากโดยที่ไม่ต้องออกกำลังกายใดๆ


เด็กหนุ่มคนนี้คาดว่าจะเป็นพวกนั้นเช่นกัน


….


การทดสอบต่อไปคือการทดสอบความเร็ว


“ทุกคนระวัง เตรียมตัว ปัง!”


เมื่อเสียงปืนให้สัญญาณดังขึ้น ขณะเดียวกัน เท้าของเฉินโจวอี้ออกแรงยันไปที่พื้นแล้วพุ่งตัววิ่งออกไปในทันที


พลังที่แข็งแกร่งทำให้พื้นพลาสติกเกิดควันและเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็น


แต่ละก้าวของเขาข้ามไปได้ไกลถึงห้าหกเมตร เท้าของเขาวิ่งสลับไปมารวดเร็วราวกับเงา เขาพุ่งตัวไปราวกับแสงแฟลช ไม่นานเขาก็มาถึงเส้นชัย


“4.65 วินาที ผ่าน!”


เฉินโจวอี้ส่ายหัว เขาไม่เคยฝึกวิ่งระยะสั้นมาก่อน และไม่เคยมีเทคนิคในการวิ่งเลย ถ้าหากเขาตั้งใจฝึกมันโดยเฉพาะ คาดว่าความเร็วคงไม่เกิน 4.5 วินาที


ถ้าเขายังมีความสามารถในการควบคุมลมอยู่ล่ะก็ เขาคงใช้เวลาแค่ 3 วินาที


ความแข็งแรงและความว่องไวของเขามากกว่าคนทั่วไปถึงสามเท่า อุปสรรคที่ขัดขวางความเร็วของเขาคือความต้านทานลม เมื่อความต้านทานลมลดลง ความเร็วของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด


จากนั้นเป็นการทดสอบแทงลูกบอล


การทดสอบนี้มีอัตราล้มเหลวสูงมาก


เกณฑ์ในการทดสอบคือจะต้องแทงลูกบอลเหล็กขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือที่แกว่งมาแบบไร้ทิศทาง ในแต่ละครั้งห้ามแทงพลาด ห้ามแทงแต่อากาศ และต้องแทงต่อเนื่องในระยะเวลาหนึ่งนาที


หลายคนมาตกม้าตายในรอบนี้ รอบนี้ไม่เพียงแต่ทดสอบทักษะพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ความเร็วในการตอบสนองความคิด ความสามารถในการวางแผนโดยรวม นอกจากนี้ยังต้องการทดสอบคุณภาพทางจิตวิทยาของผู้เข้ารับการทดสอบแต่ละคนอย่างจริงจัง หากประหม่าเพียงเล็กน้อย ใจไม่นิ่ง ก็จะล้มเหลวเอาได้ง่ายๆ


แต่สำหรับเฉินโจวอี้ที่เคยฝึกภายใต้แรงโน้มถ่วงที่สูงถึงสามเท่า การทดสอบแบบนี้ถือเป็นเรื่องง่ายดาย


ผู้เข้ารับการทดสอบทุกคนตกตะลึงจนชาไปทั้งตัว ขนาดพวกผู้รับรองเอกสารยังจับจ้องที่เฉินโจวอี้อยู่หลายครั้ง


จนกระทั่งมาถึงการทดสอบความแข็งแกร่งซึ่งเป็นการทดสอบสุดท้าย ทุกคนถึงจะค่อยโล่งใจ


ถึงแม้ว่าความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายจะไกลเกินกว่ามาตรฐานของชาวยุทธ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มีมากกว่าจนเกินไป


….


หลังจากที่เวลาดำเนินมาใกล้ช่วงสิบเอ็ดโมงครึ่ง การทดสอบชาวยุทธเป็นอันสิ้นสุดลง คนที่ผ่านการทดสอบมีเพียง 20% เท่านั้น หลายคนห่างจากมาตรฐานเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ถ้าตั้งใจทำการทดสอบให้ดีกว่านี้อีกนิดก็จะสามารถผ่านการทดสอบแล้ว แต่บางทีพวกเขาอาจจะประหม่าหรือโชคไม่ดี จึงลำให้ล้มเหลวและต้องกล่าวอำลาในที่สุด


แน่นอนว่าคนแบบเฉินโจวอี้ ต่อให้ไม่ตั้งใจทำการทดสอบ ก็ยังสามารถผ่านการทดสอบได้อย่างง่ายดาย


“รายชื่อผู้ที่ผ่านการทดสอบจะประกาศในเว็บไซต์ทางการของศิลปะการต่อสู้แห่งเมืองเหอตง! การทดสอบการรบจริงในครั้งต่อไปจะจัดขึ้นในอีกห้าวัน พอถึงตอนนั้นโปรดมารวมตัวกันที่สมาคมชาวยุทธ รายละเอียดอื่นสามารถติดตามได้จากในเว็บไซต์”


จบตอน


ตอนที่ 83 โลหิตเทวะ


เมื่อออกมาจากศูนย์กลางการทดสอบศิลปะการต่อสู้ ผู้คนเดินจับกลุ่มแยกย้ายกันไป บ้างก็มีสีหน้าตื่นเต้น บ้างก็มีสีหน้าผิดหวัง


ระหว่างทางกลับ เฉินโจวอี้ไม่ได้เดินคนเดียวอีกแล้ว


นายพักอยู่ที่นี่เหรอ? คิดไม่ถึงเลยว่านายกับฉันจะพักอยู่โรงแรมเดียวกัน! ขณะที่เดินมาถึงหน้าประตูโรงแรมนั้น ชายร่ายกายกำยำไว้เคราพูดขึ้นเสียงดัง


“ใช่แล้ว บังเอิญจริง” เฉินโจวอี้พูดด้วยรอยยิ้ม


เท่าที่ทำความรู้จักกัน พบว่าอีกฝ่ายชื่อลู่เหว่ยเฟิงและเพื่อนอีกคนที่อยู่กับเขามีชื่อว่าเว่ยเฉิงห้าว รูปร่างผอมสูง พวกเขามาจากที่เดียวกัน น่าเสียดายที่ในสองคนนั้นมีแค่ลู่เหว่ยเฟิงคนเดียวที่ผ่านการทดสอบครั้งแรก


“อีกพักหนึ่งไปกินข้าวด้วยกันสิ” ลู่เหว่ยเฟิงมองมายังเฉินโจวอี้แล้วกล่าวเชิญด้วยรอยยิ้ม ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะอายุห่างจากพวกเขามาก แต่สิ่งนี้ไม่ได้เป็นการขัดขวางการผูกมิตรของพวกเขาเลย คนแบบนี้ ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นเสียก่อน อนาคตเขาต้องเป็นคนใหญ่คนโตอย่างแน่นอน


เว่ยเฉิงห้าวที่มีอาการเซื่องซึมอยู่พักหนึ่งจึงพูดขึ้น “ใช่แล้ว ไปกินข้าวด้วยกัน เลือกร้านดีๆ หน่อย”


“ได้ งั้นผมจะไปหยิบของก่อน” เฉินโจวอี้ตอบ


“งั้นพอถึงเวลานัดก็มาเจอกันที่ประตูโรงแรมแล้วกัน” ลู่หว่ยเฟิงพูด


เฉินโจวอี้กลับห้องไปหยิบกระเป๋าเอกสาร เขาเปิดดูอยู่พักหนึ่ง แล้วปิดซิปอีกครั้ง เมื่อเขาเดินไปที่ประตูโรงแรม พบว่าสองคนนั้นยืนรออยู่ก่อนแล้ว


พวกเขาสามคนเลือกภัตตาคารระดับสูง จองห้องส่วนตัวไว้


….


“ฉันยังไม่คิดที่จะกลับหรอก กะว่าจะไปฝึกที่ห้องฝึกซ้อมของโลกที่แตกต่างสักพัก” เว่ยเฉิงห้าววางตะเกียบ ดื่มไวน์หนึ่งแก้วและพูดเสียงเข้ม


“แล้วเมียของนายล่ะ?” ลู่เว่ยเฟิงพูดขึ้น


“คงต้องไปรับมาอยู่ด้วย ตอนนี้ไฟฟ้าที่เมืองลั่วซานยังคงดับ เธอเองก็ยังไม่มีงานทำ อยู่ที่ไหนก็เหมือนกันแหละ โชคดีที่ยังพอมีเงินเก็บจากเมื่อก่อน ในช่วงปีสองปีนี้คงไม่มีปัญหาอะไร” เว่ยเฉิงห้าวพูดพลางถอนหายใจ


ลู่เหว่ยเฟิงเองเริ่มเกิดความคิดขึ้น จากนั้นเขาจึงส่ายหัวพลางพูดขึ้นว่า “จริงอยู่ที่เมืองเหอตงสะดวกสบายกว่ามาก ทรัพยากรก็เยอะ ฉันเองก็อยากย้ายมาอยู่ที่นี่ แต่น่าเสียดายที่ราคาบ้านสูงเกินไป”


“นายแล้วก็น้องเฉินโจวอี้มีอะไรให้น่ากังวล เท่าที่ฉันรู้มา เมืองเหอตงเพื่อที่จะดึงดูดพวกชาวยุทธ ทางการมีค่าที่อยู่อาศัยให้คนละสามล้านหยวน ทำไมถึงจะซื้อบ้านไม่ได้ล่ะ”


“เยอะขนาดนั้นเลยเหรอ?” เฉินโจวอี้พูดด้วยความตกใจ


“เยอะงั้นเหรอ?” ลู่เหว่ยเฟิงเห็นเฉินโจวอี้ตกใจ จึงถามกลับ


“เมื่อวานฉันดูข่าว ตอนนี้ราคาบ้านที่เมืองเหอตงสูงถึงห้าหมื่นหยวนต่อหนึ่งตารางเมตร เงินค่าที่อยู่อาศัยสามล้านหยวนคงซื้อได้แค่หลังเล็กๆ อีกอย่างหลังจากเป็นชาวยุทธแล้ว ก็ยังต้องซื้ออาวุธของตัวเอง แค่ซื้อดาบดีๆ สักเล่มและธนูรบสักคัน เงินหนึ่งล้านหยวนก็หมดแล้ว”


“อีกอย่างฉันได้ยินเพื่อนชาวยุทธคนหนึ่งเล่าว่า การฝึกฝนในอนาคตของพวกชาวยุทธมีค่าใช้จ่ายสูงมาก มักจะต้องซื้อ ‘โลหิตเทวะ’ จากช่องทางพิเศษอยู่หลายครั้ง ไหนจะสมบัติพิเศษบางส่วนอีก ไม่อย่างนั้นคงยากที่จะเพิ่มพลังของตัวเอง”


เฉินโจวอี้นึกว่าตัวเองได้ยินผิดไป หรือบางทีมันอาจจะเป็นของสิ่งอื่น จึงถามขึ้นด้วยความสงสัย


“โลหิตเทวะ! ที่คุณพูดมานี่ใช่เลือดของพวกเทพเจ้าหรือเปล่า?”


“จะพูดแบบนี้ก็ไม่ถือว่าผิดนะ นายน่าจะรู้ว่าเมื่อสิบกว่าปีก่อน มีเทพเจ้าหลายตนตกมายังโลกมนุษย์ นายไม่สงสัยเลยเหรอว่าศพของพวกเขาหายไปไหน?”


แน่นอนว่าเว่ยเฉิงห้าวไม่เคยได้ยินเรื่องนี้เช่นกัน เขาจึงถามด้วยความสงสัย “หรือว่าพวกเขาจะถูกโคลนนิ่งไว้?”


ลู่เหว่ยเฟิงทำหน้าแทบไม่ถูก “โคลนนิ่งกันง่ายๆ ที่ไหน เพียงแต่แค่ถูกเพาะปลูกไว้ เลือดเนื้อของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีฤทธิ์แรงและมีการเมตาบอลิซึมที่น่ากลัวมาก โลหิตเทวะคือของเหลวในเซลล์ที่สกัดมาจากเลือดเนื้อพวกนี้”


“ทำไมถึงต้องใช้ของเหลวในเซลล์ ใช้เลือดเนื้อของจริงไม่ดีกว่าเหรอ?” เว่ยเฉิงห้าวถาม


“อันนี้ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน ฉันไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์นี่นา แต่น่าจะเพราะว่ามันเป็นอันตราย เลือดเนื้อของสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวเช่นนี้ ต่อให้อยู่ในโลกมนุษย์ คาดว่ามักจะมีความสามารถที่เหลือเชื่ออยู่เสมอ”


ลู่เหว่ยเฟิงพูดต่อ “ตามที่ได้ยินมา ‘โลหิตเทวะ’ ในยุคแรกทรงพลังที่สุด ต่อมาเมื่ออยู่ในกระบวนการเพาะปลูกมันก็ค่อยๆ เสื่อมสภาพลง น่าเสียดายจริงๆ”


“แล้วสรุปเทพเจ้าพวกนี้ยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว?” เฉินโจวอี้ถามข้อเคลือบแคลงใจของตัวเองออกมา


“เรื่องนี้ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน น่าจะตายแล้ว แต่ใครจะไปรู้เรื่องแบบนี้กันล่ะ”


เมื่อพูดถึงหัวข้อสนทนาต้องห้ามอย่างเช่นพวกเทพเจ้าจากโลกที่แตกต่างเช่นนี้ ทำให้หัวข้อสนทนาเริ่มน่าตื่นเต้นขึ้นมาทันที พวกเขาจึงใช้เวลากินข้าวนานถึงสองชั่วโมงเต็ม


ข้าวมื้อนี้ทำให้เฉินโจวอี้เก็บเกี่ยวอะไรได้มาก เขาได้เรียนรู้ความลับของชาวยุทธมามากมาย เมื่อเปรียบเทียบกับเหล่าชาวยุทธฝึกหัดที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชนอย่างคนพวกนี้ เขายังถือว่ามีประสบการณ์ทางสังมาน้อยกว่ามาก


สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถสืบค้นได้จากในอินเทอร์เน็ต มันเผยแพร่แค่ในวงแคบและผ่านช่องทางพิเศษบางส่วนเท่านั้น


ยกตัวอย่างเช่น “โลหิตเทวะ”


เมื่อก่อนเขาไม่เคยแม้แต่จะได้ยินชื่อของสิ่งนี้


แต่พอลองคิดดูมันก็จริง


เพราะประการแรกเลยคือในแต่ละปีของสิ่งนี้มีกำลังการผลิตค่อนข้างที่จำกัด


ประการที่สองคือมันยังเป็นเรื่องง่ายที่จะทำให้เกิดความโกลาหลและสร้างกระแสความคิดเห็นสาธารณะในโลกอินเทอร์เน็ต


ในโลกอินเทอร์เน็ตมักจะไม่เคยขาดแคลนบรรดาพวกมีคุณธรรมสูงส่ง และถึงแม้ว่าเทพเจ้าหลายตนในโลกที่แตกต่างจะไม่ได้มีรูปร่างเป็นมนุษย์ แต่ก็คือสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญา การดื่มกิน “โลหิตเทวะ” ในความคิดของพวกที่มีศีลธรรมใสสะอาดคงไม่ต่างอะไรจากการกินพวกเดียวกัน


ตอนที่จะคิดเงินค่าอาหารนั้น พบว่าลู่เหว่ยเฟิงถือโอกาสตอนไปเข้าห้องน้ำจ่ายเงินค่าอาหารไปเรียบร้อยแล้ว


“อีกพักหนึ่งพวกเราไปผ่อนคลายกันหน่อยไหม ไปย่อยอาหารกัน” เมื่อเดินออกจากร้านอาหาร ลู่เหว่ยเฟิงจึงเอ่ยชวน


มองรอยยิ้มกรุ้มกริ่มบนใบหน้าของเขา เห็นได้ชัดเลยว่าไอ้การผ่อนคลายที่ว่านี่มันต้องมีความหมายแฝงพิเศษแน่


เฉินโจวอี้ตกใจจึงรีบพูดขึ้น “ช่างเถอะ ผมไม่ไปแล้ว พวกคุณไปกันเถอะ”


“ฉันก็ไม่ไปเหมือนกัน!” เว่ยเฉิงห้าวไม่มีความสนใจเช่นกัน “ตอนบ่ายฉันจะกลับบ้านไปรับครอบครัวมาอยู่ที่นี่”


….


กลับมาถึงโรงแรม เฉินโจวอี้วางกระเป๋าเอกสารลง


เขาเดินมานั่งที่โต๊ะคอมพิวเตอร์แล้วเปิดคอม หลังจากที่หน้าเดสก์ท็อปเด้งขึ้นมา เขารีบเข้าเว็บไซต์ทางการของศูนย์ศิลปะการต่อสู้ของเมืองเหอตงทันที ในไม่ช้าเขาก็พบว่ามีการประกาศรายชื่อของผู้ที่ผ่านการทดสอบสมรรถภาพทางกายแล้ว ซึ่งชื่อของเขามาเป็นอันดับหนึ่ง


เขากวาดตามองรายชื่อและสถานที่ตั้งของสมาคมชาวยุทธรวมทั้งเวลาเรียกรวมตัว


จากนั้นขาจึงปิดหน้าเว็บไซต์ แล้วเปิดเว็บไซต์ทางการของเมืองตงหนิง ในหน้าเว็บไซต์มีข่าวน้อยมาก ไม่มีข่าวที่ระบุถึงลัทธินอกรีตพวกนั้นเลย เฉินโจวอี้จึงคลิกเข้าไปหัวข้อข่าวที่ประกาศไปเมื่อวันก่อนที่ว่า ‘ประกาศแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับการปราบปรามอาชญากรรมที่ชั่วร้ายอย่างเข้มงวด’


เขาจึงอ่านอย่างคร่าวๆ


พบว่าเมืองตงหนิงมีการประกาศเคอร์ฟิวจริง ไม่เพียงแต่ส่งคนไปเป็นจำนวนมากเพื่อเข้าควบคุมการทำงานและการรักษาความปลอดภัยของเมืองตงหนิง อีกอย่างเริ่มเกิดการแสดงความคิดเห็นเป็นวงกว้าง


เขาถอนหายใจ


จากนั้นเขาจึงหาข่าวของเมืองผิงชิว แต่พบว่าไม่มีประโยชน์อะไรเลย ข่าวส่วนใหญ่อยู่ในช่วงยี่สิบกว่าวันก่อนเกิดเหตุการณ์ไฟฟ้าดับทั้งเมือง ซึ่งการไม่มีข่าวคือข่าวที่ดีที่สุด


….


ในเวลานี้เขาเกิดความคิดหนึ่งขึ้น จึงรีบพิมพ์ที่อยู่ของบ้านผีสิงหลังนั้นทันที


เลขที่ 18 ถนนชือก่าง เมืองเหอตง


ส่วนใหญ่เป็นข่าวประกาศขายบ้านผีสิงหลังนี้


“ยี่สิบสองล้าน!”


เฉินโจวอี้อ่านอยู่พักหนึ่ง ใจเขาเต้นแรงมาก


เขาไม่ซื้อ และไม่มีวันซื้อไหวแน่นอน


ที่จริงแล้วราคานี้ถือว่าไม่สูง เป็นราคาที่สมเหตุสมผลแล้ว บ้านผีสิงตั้งอยู่ใจกลางเมือง เป็นบ้านที่มีสวนกว้าง พื้นที่ทั้งหมดเกือบหนึ่งเอเคอร์ ด้วยราคาตลาดของเมืองเหอตง แค่ราคาที่ดินก็เกินราคานี้แล้ว


น่าเสียดายที่บ้านหลังนี้ประกาศขายมาสามปีแล้ว แต่ก็ยังขายไม่ออก


เฉินโจวอี้ยังคงหาต่อไป หลังจากหาอยู่นาน ในที่สุดก็เจอข่าวที่น่าสนใจ


“ตอนแรกด้วยความที่ผมอยากได้บ้านราคาถูก จึงซื้อบ้านผีสิงมาหลังหนึ่ง คือบ้านเลขที่ 18 ถนนชือก่าง คิดไม่ถึงเลยว่าจะเจอผีเข้าแล้วจริงๆ ทุกครั้งที่นอนหลับ จะมีผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในความฝัน ผมท่องบทสวดอยู่หลายครั้ง และก็เชิญชินแสมาปรับฮวงจุ้ยอยู่หลายหน แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้ผล ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกร่างกายอ่อนแอลงทุกวัน วันนี้ขนาดตอนผมลืมตาตื่นขึ้นมา ผมก็ยังเจอเธอ…..”


ดูเหมือนว่าหนึ่งในเจ้าของบ้านคนเก่าได้ตีพิมพ์ในฟอรัมท้องถิ่นเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่น่าเสียดายที่หลังจากที่เขาลองคลิกเข้าไปดูก็พบว่ามันถูกลบไปแล้ว


จบตอน


ตอนที่ 84 ดึงมาเป็นพวก


ช่างเถอะ ถึงอย่างไรก็เป็นแค่ ‘วิญญาณ’ ตนหนึ่งเท่านั้น


เฉินโจวอี้ลุกขึ้นยืนบิดขี้เกียจ เขาหยิบดาบไม้และกระเป๋าเอกสารขึ้นมาแล้วออกไปข้างนอกอีกครั้ง


ไปซ้อมดาบดีกว่า ดีกว่าให้เด็กหญิงเปลือกหอยดูการ์ตูนตลอดทั้งวัน อย่างน้อยก็ก่อนกลางคืน เขาถึงจะปล่อยเด็กหญิงเปลือกหอยออกมา


ใช้เวลาไม่นาน เขาก็มาถึงบ้านผีสิงหลังนั้น


ขณะเดียวกันหญิงวัยกลางคนเมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว เธอก็มายืนที่หน้าประตูและพูดเตือนเขาอีกครั้ง ก่อนจะเดินจากไป


เฉินโจวอี้ไม่ได้สนใจเธอ เขาฝึกจนกระทั่งพลบค่ำ ถึงจะกลับไปยังโรงแรมอีกครั้ง


….


เวลาผ่านไปห้าวัน


ในช่วงสองสามวันมานี้ เฉินโจวอี้ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายและธรรมดา บางครั้งก็ออกไปหาอะไรกินกับลู่เหว่ยเฟิง หรือบางครั้งก็ออกไปผ่อนคลายที่ร้านเหล้าด้วยกัน


ส่วนเว่ยเฉิงห้าวกลับไปบ้านตั้งแต่ห้าวันก่อนแล้วบรรยากาศเลยดูสงบเงียบ จนกระทั้งวันนี้ก็ยังไม่กลับมา


ในช่วงเวลานี้ ความแข็งแกร่ง การรับรู้รวมถึงสติปัญญาเพิ่มขึ้นมาอีก 0.1


ความแข็งแกร่งและการรับรู้เพิ่มขึ้นก็ยังพอเข้าใจอยู่บ้าง แต่สติปัญญาที่เพิ่มขึ้นเป็นอะไรที่เข้าใจได้ยากเหลือเกิน ซึ่งเขาเดาว่าอาจเป็นเพราะเขาฝึกดาบที่บ้านผีสิงหลังนั้นทุกวัน จึงค่อยๆ เอาชนะความกลัวบ้านที่สิงอันน่าหวาดกลัวแห่งนี้


น่าเสียดายที่เขาใช้เวลาฝึกดาบถึงห้าวัน แต่วิชาดาบกลับเพิ่มระดับขึ้นแค่จุดเดียวเท่านั้น


ตอนนี้ถึงระดับ (เชี่ยวชาญระดับ 19)


….


เช้าวันต่อมา ขณะที่เฉินโจวอี้กำลังแปรงฟันนั้น ก็ได้ยินเสียงเคาะที่หน้าประตู


เฉินโจวอี้แปรงฟัน เขาเดินออกจากห้องน้ำแล้วเปิดช่องตาแมวมองออกไปด้านนอก


คนที่มาคือลู่เหว่ยเฟิง มองดูสีหน้าอันตื่นเต้นของเขา เฉินโจวอี้จึงพูดขึ้นอย่างจนปัญญา “ต้องมาเช้าขนาดนี้เลยเหรอ? รอผมครู่หนึ่ง!”


ยังไม่ทันรอให้เขาพูดอะไร เฉินโจวอี้รีบปิดประตูทันที!


ถ้าลู่เหว่ยเฟิงไม่ถอยออกมาตามสัญชาตญาณ เขาคงถูกประตูกระแทกจมูกไปแล้ว ทันใดนั้นเขาจึงพูดอย่างไม่สบอารมณ์


“ในห้องของนายก็ไม่มีผู้หญิงสักหน่อย ทำไมต้องรีบร้อนขนาดนั้นด้วย! เอ๊ะ เช้าขนาดนี้นายดูเป๊ปป้าพิกแล้วเหรอ?”


“ไม่ใช่เรื่องของคุณ ผมชอบอะไรก็ดูอันนั้นแหละ” เฉินโจวอี้แปรงฟันพลางพูดอย่างเย็นชา


เฉินโจวอี้ไม่ได้สนใจเขาอีก หลังจากรู้จักกันมาสักระยะ เขาก็พบว่าถึงแม้ลู่เหว่ยเฟิงจะมีรูปร่างกำยำเหมือนชายชาตรี แต่กลับมีนิสัยตลกอย่างประหลาด


แน่นอนว่าเขามักจะจงใจแสดงนิสัยเช่นนี้ต่อหน้าเขา


เฉินโจวอี้เดินไปแปรงฟันที่ห้องน้ำต่อ หลังจากล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อยแล้ว เขาจึงพยายามจับเด็กหญิงเปลือกหอยที่ขัดขืนสุดชีวิต เขามัดเธออีกครั้งแล้วยัดลงกระเป๋าเอกสาร


จากนั้นจึงเปิดประตูแล้วพูดขึ้น “ไปกันเถอะ!”


….


สโมสรชาวยุทธคือคฤหาสน์ที่ตั้งอยู่ที่ริมทะเลสาบรื่อเยว่ตรงย่านใจกลางเมือง


พื้นที่มีอยู่ไม่น้อยแต่ก็ไม่ถึงกับใหญ่มาก


เมื่อเทียบกับบรรดาสโมสรที่ร่ำรวย สโมสรแห่งนี้ยังถือว่าทรุดโทรมกว่าเล็กน้อย


ขณะที่พวกเขากำลังจะเดินเข้าประตู ก็ถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยติดอาวุธสี่คนหยุดไว้ “ขอโทษนะครับ ที่นี่ไม่ต้อนรับคนนอก!”


“พวกฉันมาทดสอบชาวยุทธ!” ลู่เหว่ยเฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม。


“พวกคุณสองคนชื่ออะไร” หนึ่งในเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยถาม


“เฉินโจวอี้!”


“ลู่เหว่ยเฟิง!”


“เชิญด้านใน!”


เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยรีบปล่อยพวกเขาไป


“เข้มงวดจริง!” เฉินโจวอี้พูดขึ้น


ขนาดหน้าประตูยังมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเลย “คนพวกนี้อาจเป็นทหารจริงๆ พวกชาวยุทธทำงานใกล้ชิดกับพวกทหารมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ถ้าตอนนี้พวกเราไม่ใช่มาเตรียมสอบชาวยุทธ คงไม่มีทางเข้าไปได้อย่างแน่นอน”


เมื่อเดินเข้ามาในคฤหาสน์ ด้านในมีคนสามคนแล้ว


เช้าขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่ายังไม่มีชาวยุทธเข้ามา ดูแล้วคนสามคนนี้คงเป็นผู้เข้ารับการทดสอบในสนามรบจริง


“คนวิปริตที่ฉันพึ่งจะพูดถึงมาแล้ว ชายวัยรุ่นคนนั้นไง” หนึ่งในนั้นพอเห็นเฉินโจวอี้ จึงหันไปกระซิบกระซาบกับสองคนที่เหลือ


สองคนนั้นแอบลอบมองเฉินโจวอี้อยู่แวบหนึ่ง


ถึงแม้ว่าพวกเธอจะพูดกระซิบ แต่ประสาทสัมผัสทั้งห้าของเฉินโจวอี้มีประสิทธิภาพมาก ดังนั้นเขาจึงได้ยินอย่างชัดเจน


เขาแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน จึงทำทีมองสำรวจเฟอร์นิเจอร์ของตกแต่งในคฤหาสน์พลางเดินไปนั่งที่โซฟาพร้อมกับลู่เหว่ยเฟิง


ในไม่ช้าพนักงานต้อนรับสาวสวยทั้งสองคนเดินเอาชามาเสิร์ฟ


ลู่เหว่ยเฟิงหันไปคุยกับทั้งสามคนนี้อย่างสนิทสนม “ท่านนี้ดูคุ้นหน้าคุ้นตา น่าจะเคยเจอกันมาก่อน แต่ผมไม่คุ้นหน้าคุณสองคนเลย”


“พวกฉันทดสอบสมรรถภาพทางร่างกายไปเมื่อเดือนตุลาคม พวกคุณสอบรอบเดือนพฤศจิกายน” ชายหัวล้านกล่าวหน้ามุ่ย


“ไม่แปลกใจเลย ที่แท้รวมรอบทดสอบกัน”


“ครั้งนี้จะดูจำนวนคนที่ผ่านการทดสอบครั้งแรก ถ้าจำนวนคนมีมาก ก็จะเริ่มการทดสอบในสนามรบจริงได้เร็วขึ้น แต่ถ้ามีจำนวนน้อย จะต้องรอก่อน พวกเรารอมาตั้งครึ่งเดือน” ชายหัวล้านพูดพลางเหลือบตามองเฉินโจวอี้


หลังจากถูกคนพวกนั้นเหลือบตามองมาอย่างระแวง เฉินโจวอี้จึงรู้สึกอึดอัด เขาหันไปมองชายหัวล้านคนนั้นพลางพูดขึ้น “มองผมอะไรนักหนา!”


“มะ….ไม่มีอะไร!” ชายหัวล้านรีบพูด เขารู้สึกประหม่าเล็กน้อย ดีที่หลังจากเขาพูด คำพูดของเขาลื่นไหลมาก “ฉันเคยได้ยินชื่อนายมาก่อน เลยรู้สึกแปลกใจนิดหน่อย”


“มีอะไรน่าแปลกใจเหรอ?” เฉินโจวอี้พูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์


“ใช่!” ชายหัวล้านรีบพูด


เฉินโจวอี้หมดคำพูด สรุปแล้วชายหัวล้านกล้าเกินไป หรือตัวเขามีชื่อเสียงเป็นที่โจษจันเกินไป


….


เวลาดำเนินใกล้เข้ามา ผู้คนกำลังทยอยมาถึง


คนที่มาในครั้งนี้ยังคงเป็นชาวยุทธผู้รับรองเอกสารสามคนเหมือนเดิม


แต่นอกจากผู้อำนวยการสำนักงานรับรองเอกสารที่ยังเป็นคนเดิม อีกสองคนที่เหลือเปลี่ยนเป็นคนอื่น


หนึ่งในผู้รับรองเอกสารเปิดห้องหนึ่งห้อง ด้านในเป็นคลังเก็บอาวุธเหล็กกล้า จากนั้นเขาพูดขึ้นว่า “ทุกคนเข้าไปเลือกอาวุธแล้วออกมา ครั้งนี้ที่หมายของเราคืออุโมงค์มิติหมายเลข 10233 ที่ตั้งอยู่ชานเมืองเหอตง”


….


บนรถบัส เฉินโจวอี้กอดดาบอัลลอยไว้ แล้วหลับตาทำสมาธิ


ในตอนนี้เองผู้อำนวยการสำนักงานรับรองเอกสารที่นั่งอยู่แถวหน้าหันมาถามเขา


“เธอชื่อเฉินโจวอี้ใช่ไหม หลังผ่านการทดสอบมีความคิดอะไรหรือยัง? จะไปทำงานที่ไหน?”


ทุกคนหันมามองทันที สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความอิจฉา


นี่มันดึงตัวเข้าไปเป็นพวกตัวเองชัดๆ เทียบได้กับการตกลงภายในเชียวนะ!


เฉินโจวอี้ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว เขาเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร จึงตอบกลับไปทันที “ผมคิดว่าจะกลับไปบ้านเกิดที่เมืองตงหนิง!”


“เมืองตงหนิงน่ะเหรอ อย่าหาว่าฉันพูดจาไม่ดีเลยนะ ข้อเสนอของเมืองตงหนิงไม่ดีเท่าที่เหอตงหรอก เงินช่วยเหลือชาวยุทธและเงินสนับสนุนค่าบ้านของเมืองเหอตงถือว่าช่วยให้ชาวยุทธประหยัดค่าใช้จ่ายที่สุด อีกอย่างตอนนี้สถานการณ์ในเมืองตงหนิงไม่ค่อยดี มีการประกาศเคอร์ฟิวแล้ว”


“ต่อให้ข้อเสนอดีแค่ไหนก็ซื้อบ้านไม่ได้อยู่ดี!” เฉินโจวอี้พูดแทงใจดำ


ผู้อำนวยการสำนักงานรับรองเอกสารชาวยุทธทำหน้าเจื่อนทันทีที่ได้ยินเฉินโจวอี้พูด


ในจุดนี้ยังเป็นปัญหาอยู่จริง นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ไฟดับ ผู้คนจากเมืองโดยรอบต่างหลั่งไหลเข้ามาในเมืองเหอตง ราคาบ้านในเมืองเหอตงเพิ่มสูงขึ้นอย่างบ้าคลั่ง และมันยังคงเพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง จนราคาสูงลิ่ว เมื่อก่อนเงินสามล้านหยวนสามารถซื้อบ้านหนึ่งร้อยตารางเมตรได้หนึ่งหลัง ตอนนี้ซื้อได้แค่ห้าสิบหกสิบตารางเมตรเท่านั้น


เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแฝงความหมาย “ที่จริง พวกเราเพียงแค่เห็นความสำคัญของผู้ที่มีความสามารถเท่านั้น มีบางเรื่องที่พวกเราสามารถช่วยทำให้ได้เป็นพิเศษ ยกตัวอย่างเช่นสำนักงานกำกับดูแลชาวยุทธของเรา สามารถเพิ่มค่าที่อยู่อาศัยเพิ่มเติมให้ได้”


“ผมขอถามหน่อยนะ พวกคุณไม่ใช่คนจากสำนักงานรับรองเอกสารชาวยุทธหรือ? ทำไมถึงกลายเป็นสำนักงานกำกับดูแลชาวยุทธล่ะ” เฉินโจวอี้ถามด้วยความสงสัย


ผู้อำนวยการสำนักงานรับรองเอกสารหัวเราะ “ชื่อเต็มของสำนักงานเราก็คือสำนักงานรับรองเอกสารและกำกับดูแลชาวยุทธแห่งมณฑลเจียงหนาน การรับรองเอกสารเป็นเพียงหนึ่งในงานบางส่วนเท่านั้น แต่งานหลักของพวกเราคือการจัดการและจับกุมคดีอาญาของชาวยุทธ”


ผู้รับรองเอกสารอีกสองคนมองหน้ากัน


นี่ยังเป็นเจ้านายผู้น่าเกรงขามและสำรวมกิริยาอยู่ไหม?


เพื่อที่จะดึงตัวชายหนุ่มคนนี้ ขนาดหน้าเขายังไม่ต้องการมันแล้ว


แน่นอนว่าผู้อำนวยการคิดไม่ถึงแน่ว่าลูกน้องทั้งสองคนของเขากำลังแอบบ่นอุบอิบในใจ


อย่างแรกเลยเขาพูดถึงความชอบคนมีความสามารถ อีกอย่างคือเขากำลังเตรียมความพร้อมเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดี


ด้วยความที่อีกฝ่ายมีอายุเพียงสิบเจ็ดปีก็สามารถมีสมรรถภาพทางกายใกล้เคียงกับชาวยุทธที่ผ่านการสู้รบมาอย่างโชกโชน ตราบใดที่คนแบบนี้ไม่เกิดอุบัติเหตุจนเสียชีวิตกลางทาง เขาจะต้องกลายเป็นชาวยุทธยอดฝีมืออย่างแน่นอน จนเกือบจะอยู่ยงคงกระพันเลยก็ว่าได้ อีกอย่างทั้งมณฑลเจียงหนานมีชาวยุทธยอดฝีมืออยู่ไม่กี่คน ถ้านับรวมเขาไปด้วย มีทั้งหมดเพียงสิบห้าคนเท่านั้น


ถึงแม้ว่าเขาเองก็เป็นชาวยุทธยอดฝีมือเช่นกัน แต่อย่ามองที่รูปลักษณ์ของเขาที่ดูเหมือนคนอายุสามสิบ ที่จริงเขาอายุห้าสิบกว่าปีแล้ว หลายปีที่ผ่านมาสมรรถภาพทางกายของเขาแสดงให้เห็นถึงความเสื่อมโทรมและจำเป็นต้องเริ่มคิดถึงอนาคต


จบตอน

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม