Crazy Leveling System 282-295

 CLS ตอนที่ 282: คุ้มกัน


 


พลังที่ร้ายกาจของอี้เทียนหยุนจัดการกับคนของอาณาจักรใต้พิภพได้อย่างง่ายดาย ทำให้ผู้คนทั้งหลายที่อยู่รอบๆ พากันตกใจ หลี่หย่าแห่งตำหนักซิงเฉินก็ได้เห็นเช่นกัน เธอไม่คิดว่าอี้เทียนหยุนจะร้ายกาจขนาดนี้ แต่ที่น่ากลัวที่สุดคือเขากล้าที่จะท้าทายอาณาจักรใต้พิภพ!


 


ภายใต้สายตาที่จับจ้องมาของสาธารณชน เขากล้าที่จะสังหารหัวหน้านักสลักอาคมของอาณาจักรใต้พิภพจริงๆ นี่หมายความว่าอีกไม่นานเขาจะต้องเผชิญกับความพิโรธของอาณาจักรใต้พิภพ


 


ไม่ใช่ว่าการสังหารหัวหน้านักสลักอาคมแล้วจะต้องเผชิญกับความพิโรธเท่านั้น ต่อให้สังหารผู้ตรวจการ หรือว่าทหารธรรมดาของอาณาจักรใต้พิภพ เจ้าก็จำต้องเผชิญกับความพิโรธของอาณาจักรใต้พิภพอยู่ดี! เพราะนี่เหมือนกับการดูหมิ่นอำนาจของอาณาจักรใต้พิภพ


 


ความร้ายกาจของอี้เทียนหยุนทำให้หลี่หย่ามีสายตาซับซ้อน ไม่แปลกเลยที่เขาจะไม่สนใจต่อคำขู่ของหลี่ห้าว ที่แท้พลังของเขาก็แข็งแกร่งกว่าหลี่ห้าวนั่นเอง


 


“ไม่รู้ว่าเขามาจากขุมอำนาจไหน กล้ากระทั่งสังหารหัวหน้านักสลักอาคมของอาณาจักรใต้พิภพ…..” หลี่หย่าส่ายหัว ไม่กล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะเรื่องนี้ไกลเกินกว่าความสามารถของเธอ


 


ต่อให้เธอจะเป็นลูกสาวของหลี่เทียนหลง เธอก็ไม่กล้าเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ตามใจ ถึงยังไงแล้ว ความพิโรธของอาณาจักรใต้พิภพก็ไม่ใช่อะไรที่ตำหนักซิงเฉินจะต้านทานได้


 


อี้เทียนหยุนรู้สึกถึงสายตาของหลี่หย่า จึงได้หันไปมอง พร้อมกับแสดงรอยยิ้มคลุมเครือออกมา จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไร พร้อมกับหันไปคว้าตัวหญิงสาวที่กำลังตกใจ กระทืบเท้าเบาๆ กระโจนขึ้นไปในอากาศ บินลับสายตาไป หายไปจากสายตาของทุกคนอย่างรวดเร็ว


 


นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าเด็กหนุ่มคนนี้มาถึงระดับผันแปรวิญญาณแล้วจริงๆ ไม่อย่างนั้นเขาจะบินได้ยังไง ยังหนุ่มแต่ก็มีพลังถึงระดับนี้แล้ว ทำให้พวกเขาพากันคาดเดา ว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีพื้นหลังยังไง มาจากขุมอำนาจไหน?


 


จะเป็นเผ่าภูตหรือว่าอาณาจักรเทียนหลง? หรือว่าจะเป็นขุมอำนาจอื่นที่หลบซ่อนอยู่?


 


โลกใบนี้ใหญ่นัก เหนือยิ่งกว่าที่จะจินตนาการถึง เพราะโลกนี้ไม่ได้มีแต่อาณาจักรเทียนหลงและอาณาจักรใต้พิภพอย่างแน่นอน ทั้งอาณาจักรมากมายก็ไม่ได้อ่อนแอ ในดินแดนแห่งนี้ ยังมีขุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่กว่าพวกเขาอยู่ ทั้งยังมีการทำสงครามกันอยู่บ่อยๆ


 


บนท้องฟ้า


 


“เจ้า เจ้าไม่ได้ถูกระเบิดด้วยยันต์ระเบิดเพลิงไปแล้วหรอเหรอ?” หญิงสาวค่อยๆ ฟื้นคืนสติจากความตกใจทีละน้อย ทุกสิ่งเกิดขึ้นเร็วเกินไป ทำให้เธอเห็นไม่ชัด


 


“เจ้าอยากจะให้ข้าเกิดอะไรขึ้นหรือยังไง?” อี้เทียนหยุนพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ


 


“ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้น มันก็แค่กะทันหันเกินไป อยู่ๆ เจ้าก็ไปโผล่อยู่ใกล้ๆ คนชั่วของอาณาจักรใต้พิภพ ทั้งยังสังหารพวกเขาได้เร็วมาก…..” หญิงสาวส่ายหัว ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี


 


“ถ้าระดับของเจ้าแข็งแกร่งกว่า เจ้าก็จะทำอย่างนี้ได้” อี้เทียนหยุนไม่อธิบายมาก นี่คือความสามารถเทเลพอร์ท แน่นอนว่าย่อมต้องเร็วอยู่แล้ว


 


“อืม…..” หญิงสาวครุ่นคิด จากนั้นก็พลันหน้าแดง “ปล่อยข้าลงได้ไหม?”


 


ตอนนี้ท่าทางของพวกเขาดูคลุมเครือมาก อี้เทียนหยุนกำลังอุ้มเธอบินอยู่ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เธออายได้ยังไง


 


“ได้” อี้เทียนหยุนพอจะรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่ เหตุผลที่เขาทำอย่างนี้ก็เพื่อหลบหนีจากสายตาของผู้คน ตอนนี้บินมาไกลแล้ว ไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้อีก


 


จากนั้นพวกเขาก็บินลงพื้น พร้อมกับปล่อยเธอลง หลังจากถูกปล่อยตัว หญิงสาวก็พยักหน้าแล้วพูดออกมาว่า “ขอบคุณมาก ถ้าไม่ได้เจ้า ข้าคงจะถูกจับตัวไปแล้ว แต่เพราะข้าทำให้เจ้าต้องสังหารคนของอาณาจักรใต้พิภพ อีกไม่นานพวกมันจะต้องไล่ตามเจ้าแน่ๆ!” พูดมาถึงตรงนี้ แววตาของเธอก็แสดงความโกรธออกมา แสดงสีหน้าไม่พอใจคนของอาณาจักรใต้พิภพ ทั้งยังมีแววตาที่แสดงความรู้สึกผิดอย่างมาก คิดว่าตัวเองหาเรื่องลำบากมาให้อี้เทียนหยุน


 


“ไม่สำคัญหรอก คนของอาณาจักรใต้พิภพ มาเท่าไหร่ข้าก็ฆ่าเท่านั้น” อี้เทียนหยุนพูดด้วยรอยยิ้ม ถึงยังไงเขาก็ขัดตาคนพวกนี้มากพออยู่แล้ว ถ้ามาหาเรื่องเขา แน่นอนว่าเขาจะไม่ปล่อยพวกมันไปอย่างแน่นอน


 


อาณาจักรใต้พิภพหาเรื่องกดดันวังเทียนจี๋ทีละขั้นทีละขั้น เมื่อไหร่ที่ครอบครองทวีปเทียนจิ่งได้ล่ะก็ กลัวว่าคราวต่อไปจะต้องถึงทีของทวีปตี้จิ่งอย่างแน่นอน พวกเขากำลังต่อสู้กับอาณาจักรเทียนหลงอยู่ นี่เป็นเหตุผลที่พวกเขาต้องการครอบครองดินแดนแห่งนี้


 


เหตุผลที่พวกเขาต้องการให้สำนักอื่นๆ เข้าร่วม เพื่อที่อันดับต่อไปจะได้ทำการครอบครองทวีปเทียนจิ่ง แต่ว่าน่าเสียดายที่แผนการนี้ได้ถูกอี้เทียนหยุนทำลายทิ้งไปเสียก่อน


 


“เจ้าเกลียดอาณาจักรใต้พิภพอย่างงั้นเหรอ?” หญิงสาวมองมาด้วยตาที่กลมโต พร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มกว้าง “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็มีความคิดแบบเดียวกัน! อาณาจักรใต้พิภพนั้นน่ารังเกียจมาก ทำการกดขี่ คิดแต่จะครอบครองทุกอย่าง!”


 


“อย่างเช่นเผ่าภูตอย่างงั้นเหรอ?” อี้เทียนหยุนพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ “อย่ากังวล ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้คนของอาณาจักรใต้พิภพคนนั้นพูดอย่างงั้นเหรอ? เจ้าไม่จำเป็นต้องทำเป็นอายก็ได้ คนเราก็มีหลายประเภท”


 


“เรื่องนี้ต้องขอโทษด้วย” หญิงสาวขอโทษ “ข้าไม่สามารถเปิดเผยสถานะได้ ไม่อย่างนั้นจะต้องถูกอาณาจักรใต้พิภพจับตัวไป….. ยังไงก็ตาม เจ้าก็ได้ช่วยข้าไว้ จะต้องไม่ใช่คนเลวอย่างแน่นอน ข้าเป็นคนของเผ่าภูตจริงๆ นั่นล่ะ ครั้งนี้ข้าออกมาเพื่อหาซื้อหินวิญญาณหยก”


 


แต่ก็ยังมีคำถาม แม้ว่าจะแสร้งทำเป็นทำร้ายตนเอง เช่นสังหารหัวหน้านักสลักอาคมหรืออื่นๆ แต่การทำอย่างนี้ก็ถือว่ามากเกินไปอยู่ดี


 


“ข้าบอกแล้วว่าเจ้าต้องเป็นคนของเผ่าภูตแน่ ยังเด็กแต่ก็เป็นถึงนักสลักอาคมชั้น 5 นอกจากเผ่าภูตแล้ว ขุมอำนาจอื่นมีอยู่น้อยมาก” อี้เทียนหยุนพูดด้วยรอยยิ้ม


 


นี่ก็เป็นอย่างที่พูดจริงๆ เป็นนักสลักอาคมชั้น 5 ได้ทั้งที่ยังอายุน้อย นอกจากเผ่าภูตแล้ว ที่อื่นถือว่าหาได้ยากอย่างแท้จริง


 


“แย่แล้ว ข้าต้องไปแล้ว นี่ก็สายมากแล้ว!” ในตอนนี้เอง หญิงสาวเพิ่งนึกขึ้นมาได้ จึงได้รีบพูดขึ้นมา


 


“จะให้ข้าไปส่งไหม?” อี้เทียนหยุนถาม


 


“ก็ได้ ต้องรบกวนเจ้าแล้ว” หญิงสาวไม่ปฏิเสธ คิดแล้วก็น่ากังวลจริงๆ ถ้าไม่เร่งด่วน เธอคงไม่ให้อี้เทียนหยุนช่วยไปส่ง


 


อี้เทียนหยุนไม่ลังเล เขาทำการจับแขนเธอไว้ พร้อมกับถามขึ้น “ไปทางไหน?”


 


“ทางนั้น….” หญิงสาวชี้ไปด้านข้างแล้วพูดขึ้น


 


จากนั้นอี้เทียนหยุนก็บินไปทางนั้นอย่างรวดเร็ว เขาบินด้วยความเร็วสูง พริบตาก็หายไปจากเส้นขอบฟ้าแล้ว ภายใต้การชี้นิ้วบอกทางของหญิงสาวนางนี้ พวกเขาก็มาถึงเขตป่า ซึ่งป่านี้เป็นสถานที่ที่เผ่าภูตอาศัยอยู่


 


อี้เทียนหยุนมองลงไปที่ป่านี้ เขารู้สึกว่าป่านี้แปลกๆ หลังจากนั้นก็เปิดใช้งานเนตรสวรรค์ ทันใดนั้นเขาก็เห็นค่ายกลธรรมชาติที่สลักลงบนต้นไม้กว่า 1 ใน 4 ส่วน ถ้าไม่ใช้เนตรสวรรค์ล่ะก็ เขาคงไม่มีทางเห็นค่ายกลนี้


 


“สมกับเป็นที่ที่เผ่าภูตอาศัยอยู่จริงๆ ทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยค่ายกล ถ้าไม่ระวังล่ะก็ อาจตายไม่รู้ตัว” อี้เทียนหยุนพยักหน้า ดูแล้วเหมือนจะมีปัญหาอยู่ ที่หญิงสาวคนนี้ออกไปซื้อหินวิญญาณหยกมากขนาดนี้ คงจะเพื่อนำมาเป็นพลังงานให้กับค่ายกลอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่กังวลขนาดนั้น


 


“ถึงแล้ว หยุดตรงนี้ล่ะ” หญิงสาวบอกให้อี้เทียนหยุนลงไปโดยไว


 


อี้เทียนหยุนพยักหน้า จากนั้นก็บินลงไปยังที่ที่เธอบอก


 


“ขอบใจเจ้ามากที่คุ้มครองข้ามาส่ง ถ้าไม่ได้เจ้าคอยคุ้มครอง ไม่รู้ว่าข้าจะมาถึงเมื่อไหร่” “หญิงสาวพูดขอบคุณที่เขาพาเธอมาส่งที่นี่ “ข้าต้องไปแล้ว…. เอ่อใช่ เพื่อนเผ่าภูตของเจ้าชื่อว่าอะไร? ข้าจะช่วยเจ้าไปถามข่าวให้”


 


“ไม่ต้องหรอก ตอนนี้เธอคงไม่ได้อยู่ในเผ่าภูตหรอก” อี้เทียนหยุนยิ้ม แต่ไม่ได้บอกชื่อเย่ชิงเสวียนออกไป


 


“ใช่แล้ว เจ้ารออยู่ที่นี่สักเดี๋ยว ข้าจะไปรายงานพวกผู้อาวุโสก่อน ดูว่าจะเชิญเจ้าเป็นแขกได้ไหม!” หญิงสาวพูดจบก็เผยรอยยิ้มเจิดจ้าออกมา “ใช่แล้ว ข้ายังไม่รู้ชื่อเจ้าเลย ข้าชื่อเย่หว่านเอ๋อ!”


 


เห็นได้ชัดว่าเธอไว้ใจเขาแล้ว ทั้งมอบหินวิญญาณหยกให้ ทั้งยังให้การช่วยเหลือ ถ้าการมอบหินวิญญาณหยกให้อาจจะทำให้เธอรู้สึกระวังตัวอยู่บ้าง แต่การช่วยเหลือเธอนั้น ทำให้การระวังตัวของเธอนั้นหายไป


 


“ข้าชื่อ…. อี้หยุนเทียน” อี้เทียนหยุนสลับชื่อตัวเอง ปรับเปลี่ยนเล็กน้อย รวมทั้งตอนนี้เขายังใช้ใบหน้ารอง ต่อให้จะมีคนคุ้นชื่อ แต่เมื่อรวมกับใบหน้าของเขาแล้ว คงไม่มีใครนึกสงสัยอย่างแน่นอน


(ตอนนี้ประโยคคำพูดงงมาก เครื่องหมายตรงประโยคคำพูดไม่มีอยู่หลายประโยค ผมต้องเดาเอาว่าประโยคไหนเป็นประโยคคำพูดบ้าง บางทีเจอแต่ปิดประโยค แต่ตัวขึ้นประโยคไม่มี จำเป็นต้องจับคำเอาเอง ถ้ารู้สึกแปลกๆ ก็ต้องขอโทษด้วยนะครับ).


CLS ตอนที่ 283: เผ่าภูต


 


“อี้หยุนเทียน อี้หยุนเทียน…..” เย่หว่านเอ๋อพยักหน้า “งั้นเจ้าก็รอข้าที่นี่ ข้าจะเข้าไปบอกกับพวกผู้อาวุโสก่อน ดูว่าจะให้เจ้าเข้าเป็นแขกได้ไหม ตอนนี้สถานการณ์ในเผ่าภูตค่อนข้างพิเศษ ไม่สามารถให้คนภายนอกเข้าไปได้ตามใจ…..”


 


“ไม่มีปัญหา เจ้าไปเถอะ” อี้เทียนหยุนยิ้ม พร้อมกับบอกให้เธอรีบไป


 


เย่หว่านเอ๋อพยักหน้า พร้อมกับหมุนตัววิ่งเข้าไปในป่า พร้อมกับหายเข้าไปในนั้น


 


อี้เทียนหยุนมองตามหลังจนเธอหายไป จากนั้นก็หาที่นั่งรอ ตอนนี้แน่นอนว่าสถานการณ์ของเผ่าภูตย่อมต้องพิเศษ ตราบเท่าที่ไม่ใช่คนในเผ่า ก็ไม่สามารถเข้าออกได้ตามใจ เพราะไม่รู้ว่าใครเป็นศัตรูบ้าง ดังนั้นต่อให้จะเป็นคนในเผ่าพามา ก็จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบก่อน ไม่อย่างนั้นจะถูกกล่าวหาว่าเป็นกบฏได้!


 


“ไม่รู้ว่าเย่ชิงเสวียนตอนนี้จะอยู่ในเผ่าไหมนะ?” อี้เทียนหยุนไม่กล้าถามเรื่องเย่ชิงเสวียน เพราะว่าเรื่องนี้ค่อนข้างละเอียดอ่อน ถ้ามีอะไรผิดพลาดแม้แต่น้อย มันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้


 


เขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม แม้จะผ่านมาไม่นาน แต่ก็ใกล้จะครบขวบปีแล้ว เวลาหนึ่งปีนี้ แม้ไม่อาจพูดได้ว่านาน แต่ก็ไม่สั้นเช่นกัน


 


ในหนึ่งปีนี้มีหลายเรื่องเกิดขึ้น หลายสำนักถูกทำลาย หลายสำนักรุ่งโรจน์


 


ขณะที่เขากำลังจมจ่อมอยู่ในความคิดนั้น ด้านหลังของเขาก็พลันมีเสียงร้องของเย่หว่านเอ๋อดังออกมา “พี่ใหญ่อี้ ข้ามาแล้ว!”


 


เสียงร้องนี้พลันดึงดูดอี้เทียนหยุน ทำให้เขาหันไปมอง นอกจากเย่หว่านเอ๋อแล้ว ยังมีผู้อาวุโสของเผ่าภูตอยู่อีก พลังของเขาอยู่ในระดับผันแปรวิญญาณขั้นที่ 5 ไม่คิดว่าคนที่ออกมาต้อนรับตนจะเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับนี้ เมื่อได้ยินถึงการกระทำของเขา แน่นอนว่าต้องส่งผู้อาวุโสระดับนี้ออกมาอยู่แล้ว


 


อี้เทียนหยุนลุกขึ้น พร้อมกับเดินเข้าไปทักทาย


 


“พี่ใหญ่อี้ นี่คือผู้อาวุโสสามของพวกเรา” เย่หว่านเอ๋อแนะนำผู้อาวุโสให้กับอี้เทียนหยุน


 


“ยินดีที่ได้พบผู้อาวุโสสาม” อี้เทียนหยุนพยักหน้าแล้วพูดขึ้น


 


“เจ้าเป็นคนช่วยหว่านเอ๋อจริงๆ อย่างงั้นเหรอ? ยังหนุ่มแต่ก็มีพลังระดับนั้น ถึงกับสังหารหลี่ห้าวของอาณาจักรใต้พิภพได้ พลังนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ” ผู้อาวุโสสามเจียงอี้มองสำรวจตัวเขาอย่างระวัง จากนั้นก็ถามขึ้นว่า “ไม่ทราบว่าเจ้ามาจากสำนักไหนอย่างงั้นเหรอ?”


 


“ผู้เยาว์เป็นแค่ผู้ฝึกตนพเนจร ดังนั้นจึงไม่ได้สังกัดสำนัก” อี้เทียนหยุนพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ


 


“หืม ผู้ฝึกตนพเนจรอย่างงั้นเหรอ?” เจียงอี้หรี่ตาจ้องไปที่เขา ผู้ฝึกตนพเนจรสามารถมีพลังระดับนี้ได้เชียวเหรอ นี่มันผิดปกติเกินไปแล้ว “ฟังจากหว่านเอ๋อว่าเจ้ามีความแค้นกับอาณาจักรใต้พิภพอย่างงั้นเหรอ?”


 


“ใช่แล้ว เป็นศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้!” ตาของอี้เทียนหยุนวาวโรจน์ขึ้น “ดังนั้นการช่วยหว่านเอ๋อเป็นผลพลอยได้เท่านั้น เมื่อเห็นคนของอาณาจักรใต้พิภพที่ท่าทางอวดดี ทำให้อดไม่ได้ต้องยื่นมือเข้าไป”


 


“อาณาจักรใต้พิภพก็อวดดีจริงๆ นั่นล่ะ! ไม่แปลกที่เป็นอย่างนี้ ต้องขอบคุณเจ้ามากที่ช่วยหว่านเอ๋อเอาไว้ เจ้าคงจะได้ยินเรื่องของเผ่าภูตเรามาบ้าง อาณาจักรใต้พิภพต้องการบังคับให้พวกเราเข้าร่วม ดังนั้นจึงง่ายที่จะเกิดการต่อสู้ขึ้น พวกเราจึงจำเป็นต้องตรวจสอบผู้ฝึกตนทุกคนที่เข้ามาอย่างระวัง หวังว่าเจ้าจะไม่ถือสากับการกระทำนี้” เจียงอี้พูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม


 


“นี่เป็นเรื่องที่ธรรมดามาก เรื่องนี้ข้าก็เคยได้ยินมา จำเป็นต้องตรวจสอบอย่างระวังจริงๆ นั่นล่ะ กลัวก็แต่ว่าจะมีคนทรยศอยู่ภายในก็เท่านั้น” อี้เทียนหยุนพูดด้วยรอยยิ้ม


„We are always hospitable, now rejects outside, is discrete is the Lord. However since easy with Netherworld Empire, similarly has the absolutely irreconcilable enmity, even if our.” Jiang Yi hints that also please to request personally! ”


“ปกติพวกเรามักจะเป็นมิตร แต่ตอนนี้ต้องตัดขาดจากภายนอก เพราะเป็นช่วงวิกฤต แต่เมื่อเจ้าเกลียดชังอาณาจักรใต้พิภพเช่นกัน ก็ถือว่าเจ้าเป็นพวกเดียวกับพวกเรา” เจียงยี่พูดด้วยท่าทางเป็นมิตร


 


อี้เทียนหยุนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ที่ฝั่งตรงข้ามพูดก็จริง สังหารหลี่ห้าวซึ่งมีระดับเดียวกับต้าเฉิน ถ้าไม่ใช่ศัตรูกัน ใครจะกล้าทำเรื่องอย่างนี้?


 


“แต่ก่อนจะเข้าไปคงต้องขอปิดตาเจ้าเอาไว้ นี่เป็นธรรมเนียมในการพาคนนอกเข้าไป หวังว่าเจ้าจะให้อภัย” เจียงอี้หยิบแผ่นผ้าสีดำออกมา พร้อมกับบอกให้อี้เทียนหยุนผูกตาเอาไว้


 


“ไม่มีปัญหา” อี้เทียนหยุนเข้าใจได้ พวกเขาคงกลัวว่าถ้ามีคนรู้ทางเข้า อย่างนั้นค่ายกลที่วางเอาไว้คงหมดความหมาย


 


ภายใต้ความช่วยเหลือของเย่หว่านเอ๋อ ผ้าสีดำผืนนี้ก็ปิดตาเขาเอาไว้ ขณะที่ผ้าผืนนี้ได้ปิดตาเขา สัมผัสวิญญาณที่ดวงตาก็พลันถูกผนึก ไม่สามารถมองเห็น เห็นแต่เพียงสีดำแถบหนึ่งเท่านั้น


 


ถ้าเป็นแค่ผ้าธรรมดาคงจะไร้ความหมาย เพราะสามารถใช้พลังวิญญาณสำรวจได้อยู่ดี แต่ผ้าสีดำผืนนี้คงจะมีการสลักค่ายกลเอาไว้ ทำให้ป้องกันสัมผัสทางพลังวิญญาณได้


 


หลังจากนั้น อี้เทียนหยุนก็เดินตามพวกเขาไป หลังจากผ่านมาชั่วธูปไหม้หมดดอก ผ้าปิดตาของเขาก็ได้ถูกแก้ออก แสงสลัวสาดเข้ามาที่ตา ทำให้เขาต้องหรี่ตาเล็กน้อย และเมื่อลืมตาขึ้น เขาก็พบว่าตรงหน้าเป็นหมู่บ้านที่ดูโบราณอย่างมาก


 


นี่เป็นสิ่งก่อสร้างที่ได้จากป่า ทั้งยังมีเถาวัลย์มากมายอยู่ข้างบน ดูแล้วโบราณอย่างมาก ยังไงก็ตาม มันก็ยังใช้งานได้ ทั้งพลังวิญญาณในที่แห่งนี้ยังค่อนข้างสูง การฝึกฝนในที่แห่งนี้ย่อมให้ผลลัพธ์ที่ไม่ธรรมดา


 


ทั้งที่นี่ยังมีคนของเผ่าภูตเคลื่อนไหวอยู่เป็นจำนวนมาก เพียงแค่มองคร่าวๆ ก็นับได้หลายสิบคน ต่างก็กำลังยุ่งกันอยู่


 


เมื่อมองขึ้นไปบนฟ้า ก็พบกับท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม แต่ถ้าบินผ่านจากข้างนอก จะไม่มีทางเห็นสถานการณ์ของที่นี่ เนื่องเพราะที่แห่งนี้ถูกค่ายกลปกปิดไว้ ทั้งดูเหมือนจะสร้างมาจากมือของนักสลักอาคมระดับจงซือ(ประมาณศาสตราจารย์, ระดับต้าซือ=อาจารย์) ถ้ามองเห็นได้ง่ายๆ งั้นพวกเขาคงถูกจับไปนานแล้ว คงไม่สามารถต้านทานการรุกรานของอาณาจักรใต้พิภพได้


 


“หือ มีคนนอกเข้ามาด้วย!”


 


“ใช่แล้ว เหมือนว่าหว่านเอ๋อจะเป็นคนพามา?”


 


“ไม่ใช่ว่าเธอออกไปซื้อหินวิญญาณหยกหรอกเหรอ พาคนนอกเข้ามาอย่างนี้ จะไม่กลายเป็นกบฏหรือไง?”


 


พวกเขาพากันคุยกันขณะที่มองมาที่เขา บ้างสงสัย บ้างเป็นมิตร แต่เพราะเป็นคนนอก พวกเขาจึงมีความระมัดระวัง เพราะพวกเขาเคยติดกับดักมาก่อน ดังนั้นจึงพากันตื่นตัว พูดได้ว่าถูกงูกัดทีเดียว กลัวเชือกเปียกน้ำไปสิบปี


 


“เขาไม่ใช่คนทรยศพามา เขาไม่ใช่คนเลว! ขอให้ทุกคนมั่นใจว่าเขาเป็นพวกเดียวกับพวกเรา ซึ่งมีศัตรูเป็นอาณาจักรใต้พิภพเช่นเดียวกัน ก่อนหน้านี้เขาได้ช่วยหว่านเอ๋อไว้ด้วยการสังหารกบฏที่ยิ่งใหญ่ของเผ่าภูตเรา หลี่ห้าว!” เย่หว่านเอ๋ออธิบายเรื่องของอี้เทียนหยุนเสียงดัง


 


“สังหารกบฏ หลี่ห้าวอย่างงั้นเหรอ?”


 


“สังหารเจ้าสารเลวนั่นจริงๆ? ในที่สุดก็จัดการเจ้าลูกสำส่อนนั่นได้สักที เรียนค่ายกลกับพวกเราไปมากมาย แต่ไม่คิดว่าจะเป็นสุนัขรับใช้ของอาณาจักรใต้พิภพ!”


 


“ดี ช่วยพวกเราสังหารหลี่ห้าวนั่น แม้ว่าข้าจะยังไม่สามารถเชื่อใจได้จนหมด แต่ก็ไม่ใช่คนทรยศอย่างแน่นอน!”


 


ความระแวดระวังในใจของพวกเขา ภายใต้คำพูดนี้ก็พลันผ่อนคลายลงมาก แต่ก็มีบางคนที่ยังมีความระวังอยู่ เนื่องเพราะไม่ใช่คนในเผ่า จำเป็นต้องมีการระวังเอาไว้บ้าง แต่ถึงจะมีการระแวงอยู่ แต่อย่างน้อยท่าทางก็ดีขึ้นมาก


 


หลังจากอี้เทียนหยุนได้ฟัง เขาก็ประหลาดใจอย่างมาก ไม่คิดว่าหลี่ห้าวจะเรียนการสลักอาคมจากที่นี่ ไม่แปลกที่ระดับของเขาจะไม่ธรรมดา จากนั้นก็มองไปยังเย่หว่านเอ๋อที่ช่วยอธิบายให้กับเขาแล้วก็ยิ้มออกมา สาวน้อยนางนี้ช่างจิตใจดีจริงๆ


CLS ตอนที่ 284: น้องสาว


 


เย่หว่านเอ๋อช่วยอธิบายให้อี้เทียนหยุน เจียงอี้ที่อยู่ใกล้ๆ หลังจากได้เห็นก็พยักหน้าเล็กน้อย จริงๆ ต่อให้ไม่พูด เขาก็รู้ว่าทำไมต้องมีการอธิบาย นำคนนอกเข้ามา ถ้าไม่อธิบายอะไรเลย คนในเผ่าจะต้องไม่ยอมรับอย่างแน่นอน


 


ตอนนี้อยู่ในช่วยสงคราม ถ้าไม่บอกฐานะให้ชัดแจ้ง บางทีจากที่จะยอมรับจะกลายเป็นต่อต้านไป ตอนนี้ฐานะของอี้เทียนหยุนกระจ่างชัด ทั้งยังมีศัตรูคนเดียวกันอย่างอาณาจักรใต้พิภพ ยิ่งกว่านั้นยังสังหารหลี่ห้าว นี่ก็เท่ากับเป็นสหายของพวกเขา!


 


ช่วยพวกเขาจัดการคนทรยศ ร่วมกันต่อต้านอาณาจักรใต้พิภพ ทันใดนั้นคนที่มารวมกันที่ด้านหน้าก็พลันมีท่าทางเปลี่ยนไปจากเดิม


 


“น้องชายอี้ ข้ามีเรื่องต้องไปทำ เจ้าก็อยู่ที่นี่ตามสบายเลยนะ” จากนั้นเจียงอี้ก็หันไปพูดกับเย่หว่านเอ๋อ “หว่านเอ๋อ เจ้าพาน้องชายอี้ไปเดินดูรอบๆ นะ” พูดจบเขาก็ทำการส่งสายตา ไม่รู้ว่าเป็นสัญญาณอะไร


 


เรื่องนี้อี้เทียนหยุนเข้าใจดี แน่นอนว่าต้องเป็นสัญญาณให้เย่หว่านเอ๋อจับตาดูเขาไว้ให้ดี อย่าให้เขาเดินเตร่ตามใจ ใจหลักก็คือเขาเป็นคนนอก จะปล่อยให้ไปไหนตามใจไม่ได้ เมื่อมองดูรอบๆ เขาก็เห็นแผ่นไม้ที่สร้างเป็นรั้วคอยป้องกัน ทั้งยังมีบ้านหลายหลัง กระทั่งหอคอยสูงที่ตั้งอยู่ไกลๆ คอยส่งแสงปกคลุมดินแดนแห่งนี้ไว้


 


หอคอยสูงนี้คงจะเหมือนกับแกนกลางค่ายกลอะไรสักอย่าง ที่คอยส่งพลังออกมาปกคลุมที่นี้ไว้ ทำให้ไม่มีใครพบที่นี่ ต่อให้เป็นระดับผันแปรวิญญาณ หรือวิญญาณเที่ยงแท้ก็ไม่สามารถตรวจพบที่นี่ แม้แต่ระดับที่สูงกว่าอย่างราชาวิญญาณก็ไม่สามารถตรวจสอบได้


 


และในระดับของวิญญาณนี้แยกได้เป็นสองระดับ ระดับแรกเรียกว่าวิญญาณเที่ยงแท้ ส่วนระดับหลังจะเรียกว่าราชาวิญญาณ! หลังจากเข้าสู่ระดับวิญญาณเที่ยงแท้ได้ ก็เท่ากับเป็นราชาของเหล่าวิญญาณ แต่ถ้าจะขึ้นเป็นราชาวิญญาณที่แท้จริงได้นั้น ยังจำเป็นต้องเข้าสู่ระดับราชาวิญญาณเสียก่อน


 


เพราะอย่างนั้น ระดับนี้จึงต้องแยกเป็นสองระดับ และพลังของทั้งสองระดับนี้ก็ต่างกันราวฟ้ากับเหว ซึ่งราชาวิญญาณเซวียนเทียนเป็นระดับราชาวิญญาณที่แท้จริง ดังนั้นเรื่องความแข็งแกร่งจึงไม่ต้องสงสัย


 


โลกภายนอกให้คำนิยามกับสองระดับนี้ว่าเป็นการหลอมรวมวิญญาณแห่งความว่างเปล่า เพื่อกลายเป็นราชา! หลังจากกลายเป็นราชาวิญญาณแล้ว ก็จะสามารถก้าวเข้าสู่ขั้นที่แข็งแกร่งกว่าอย่างระดับราชาเซียน


 


“หว่านเอ๋อ หอคอยนั่นมีหน้าที่อะไร?” อี้เทียนหยุนถาม


 


“หอคอยนั่นเป็นสถูปวิญญาณของพวกเรา นักบุญหญิงกับผู้อาวุโสจะอาศัยอยู่ในนั้น คอยปกป้องเผ่าภูตทั้งหมด” ดวงตาที่งดงามของเย่หว่านเอ๋อเป็นประกาย มองไปทางนั้นพร้อมกับพูดว่า “ครั้งนี้ที่ข้าไปหาหินวิญญาณหยกมาก็เพื่อที่จะเป็นพลังงานให้กับสถูปวิญญาณ ปกติแล้วก็ไม่ได้ต้องการหินวิญญาณหยกมากขนาดนี้หรอก แต่ตอนนี้สถานการณ์คับขัน จำเป็นต้องซ่อนตัว ทำให้ต้องเปิดใช้งานค่ายกลอย่างเต็มที จากปกติที่ต้องเผาผลาญพลังงานแค่นิดหน่อย กลายเป็นเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นมาก ยังไงก็ตาม ที่ข้านำกลับมาก็เป็นเพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้น สถูปวิญญาณยังต้องการหินวิญญาณหยกอีกมากในตอนนี้……”


 


อี้เทียนหยุนพยักหน้า นี่ไม่ผิดไปจากที่คาด จากคำพูดนี้ ค่ายกลใหญ่ทั้งหลายล้วนแต่มีค่ายกลรวมวิญญาณ เพื่อรวมรวมพลังวิญญาณมาเพื่อเปิดใช้งาน ดังนั้นจึงไม่ต้องการหินวิญญาณหยก


 


“นักบุญหญิง…..” สายตาอี้เทียนหยุนเป็นประกาย เป็นที่แน่ชัดแล้ว ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่มีอะไรต้องสงสัยอีก


 


“พี่ใหญ่อี้ ท่านดู!” ในตอนนี้เอง เย่หว่านเอ๋อก็บอกให้เขามองมาที่เธอ


 


และเมื่อเขาหันกลับมา ที่สายตาของเขาก็พบกับใบหน้าที่งดงามอย่างมาก ทั้งยังมีอักษรรูนหลายตัวอยู่บนแก้มงามจางๆ แต่ก็ไม่ได้ทำลายความงดงามที่เธอมี แต่กลับเข้ากันอย่างประหลาด


 


ใจความสำคัญคือหน้าตาของเธอต่างหากที่ทำให้เขาตกใจ เพราะใบหน้าของเธอนั้นคล้ายกับเย่ชิงเสวียนอย่างมาก! เขารู้ว่าก่อนหน้านี้ไม่ใช่ใบหน้าที่แท้จริงของเธอ นี่ต่างหากถึงจะเป็นใบหน้าที่แท้จริงของเย่หว่านเอ๋อ เผ่าภูตล้วนแต่มีหน้าตางดงาม ก่อนหน้านี้ที่เจอมาก็ล้วนแต่เป็นหนุ่มหล่อสาวสวย แต่ละคนต่างก็มีอักษรรูนบนใบหน้า ดังนั้น คิดจะปลอมเป็นเผ่าภูตจึงเป็นไปไม่ได้ เนื่องเพราะว่าแต่ละคนต่างก็มีอักษรรูนบนใบหน้า ถือเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่ง


 


ใบหน้าของเย่หว่านเอ๋อคล้ายกับเย่ชิงเสวียนมาก ทั้งยังแซ่เหมือนกันอีก พวกเธอจะต้องเป็นพี่น้องกันอย่างไม่ต้องสงสัย


 


จากใบหน้าที่แท้จริงของเธอ ดูแล้วอายุราว 16-17 ปี เทียบกับเขาแล้วอ่อนกว่าไม่เท่าไหร่ แต่ด้วยพลังระดับนี้บวกกับพรสวรรค์ ทำให้เผ่าภูตเป็นเผ่าที่ทรงพลัง และเพราะด้วยพรสวรรค์ที่น่าตื่นตะลึงนี้ ทำให้ประชากรของเผ่าภูตมีน้อย สามารถให้กำเนิดเด็กได้คนหนึ่งถือว่าดีแล้ว กำเนิดเด็กได้สองคนถือว่ายอดเยี่ยมอย่างมาก มีกระทั่งบางครอบครัวที่ไม่สามารถให้กำเนิดเด็กได้ด้วยซ้ำ


 


“ฮี่ฮี่ ตะลึงล่ะซี่ นี่คือใบหน้าที่แท้จริงของข้า!” เย่หว่านเอ๋อหรี่ตาพูดด้วยท่าทางอารมณ์ดี “ตกใจไหม?”


 


“ก็ต้องตกใจอยู่แล้ว ใบหน้าที่แท้จริงของเจ้างดงามจริงๆ” อี้เทียนหยุนตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม


 


“พี่สาวข้างดงามกว่าข้าอีก!” ปากของเย่หว่านเอ๋อพูดชมออกมาด้วยท่าทางมีความสุขยิ่งกว่า แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไปกันเถอะ ข้าจะนำท่านไปเดินดูรอบๆ แม้ว่าจะไม่สามารถไปดูสถูปวิญญาณได้ แต่รอบๆ นี้ไม่มีปัญหา”


 


เย่หว่างเอ๋อนำเขาเดินไปข้างหน้า แต่เพิ่งจะเข้ามา เผ่าภูตหลายคนก็พลันเข้ามาล้อมเอาไว้ พร้อมกับมองสำรวจเขาอย่างสนใจ


 


“หว่านเอ๋อ จะไม่แนะนำเขาให้พวกเรารู้จักหน่อยเหรอ? ได้ยินมาว่าเขาช่วยเจ้าไว้ แถมยังสังหารคนทรยศอย่างหลี่ห้าวด้วย!”


 


“ใช่ ใช่ ไม่คิดจะแนะนำสหายท่านนี้ให้พวกเรารู้จักหรือไง?”


 


คนที่เข้ามาล้อมล้วนแต่มีอายุราวๆ 20 ปี หรือต่ำกว่า


 


“เจ้าเรียกเขาว่าพี่ใหญ่อี้ก็พอ เขาร้ายกาจมาก เพียงแค่ 2-3 หมัดก็กำจัดหลี่ห้าวนั่นได้แล้ว ถ้าไม่มีพี่ใหญ่อี้ ข้าก็คงไม่สามารถกลับมาได้!” เย่หว่านเอ๋อเหวี่ยงหมัดออกท่าทางอย่างสนุกสนาน


 


“แค่ 2-3 หมัดก็จัดการหลี่ห้าวนั่นได้แล้ว ร้ายกาจขนาดนั่นเชียว?” พวกเขาพากันร้องออกมาอย่างตกใจ เผยสายตาที่มีร่องรอยของความสงสัยออกมา พวกเขาไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง ดังนั้นจึงไม่เชื่อสนิทใจนัก


 


“ใช่แล้ว หว่านเอ๋อออกไปข้างนี้ บอกมาหน่อยว่าข้างนอกเป็นยังไงบ้าง?” พวกเขารีบเปลี่ยนหัวข้อ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้สนใจหัวข้อนี้


 


“ข้างนอกน่ะนะ…..”


 


พวกเขาพากันเริ่มคุยกันวุ่นวาย อี้เทียนหยุนยืนตากแดดดูพวกเขาคุยกัน ถึงยังไงที่หว่านเอ๋อพูดก็ถือเป็นคำชมเขา


 


“เอาล่ะ พอแล้ว ข้าต้องพาพี่ใหญ่อี้ไปเดินดูรอบๆ อีก” เย่หว่านเอ๋อโบกมือพูดขึ้น “คราวหน้าหลังจากพวกเจ้าเป็นผู้ใหญ่เหมือนข้าก็สามารถออกไปได้เช่นกัน!”


 


“หว่านเอ๋อขี้โม้ ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้ก็ออกไปกับผู้อาวุโส 1-2 ครั้งหรือไง แบบนั้นเป็นผู้ใหญ่ตรงไหน…..” พวกเขาพากันกลอกตามองเธอ จากนั้นก็แยกย้ายกันในพริบตา


 


เย่หว่านเอ๋อร้องฮึ่มออกมา จากนั้นก็พาอี้เทียนหยุนเดินตรงไปที่กระท่อมด้านหน้า


 


“ข้าอาศัยอยู่ด้านนั้น พี่ใหญ่อี้ ข้าจะพาท่านไปดู” เย่หว่านเอ๋อนำเขาไปยังกระท่อมของตน ข้างในนั้นกว้างมาก ดูแล้วเหมือนจะมีสองห้อง


 


อี้เทียนหยุนเหลือบตามอง แล้วก็พบว่าห้องนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่มีใครอยู่มานานแล้ว แต่ก็ถูกทำความสะอาดอย่างดี


 


“นั่นห้องเจ้าเหรอ?” อี้เทียนหยุนถาม


 


“ไม่ นั่นห้องพี่สาวข้า….. แต่ว่าเธอไม่ได้กลับมานานแล้ว” ตอนนี้ สีหน้าของเย่หว่านเอ๋อเหมือนกับผิดหวัง


 


“ไม่เป็นไรนะ เธอจะต้องกลับมาเร็วๆ นี้แน่” อี้เทียนหยุนพูดปลอบเธอ


 


“ไม่ เธอยุ่งมาก ตั้งแต่กลับมา เธอก็ยุ่งตลอด น้อยมากที่จะกลับมา” จากนั้นเย่หว่านเอ๋อก็พูดอย่างตื่นเต้น “ใช่แล้ว แต่พี่สาวข้าเป็นนักบุญหญิง แถมยังร้ายกาจมากด้วย! ตอนนี้ที่เผ่าภูตสามารถอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขได้ ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นความดีความชอบของพี่สาวข้า!”


 


คำพูดของเธอจากที่ไม่พอใจกลายเป็นชื่นชมอย่างมาก ทั้งใบหน้ายังขึ้นสีแดงงดงาม


 


อี้เทียนหยุนในตอนนี้ตาเป็นประกาย เป็นอย่างที่คิดจริงๆ เย่หว่านเอ๋อคนนี้ก็คือน้องสาวของเย่ชิงเสวียนจริงๆ!


CLS ตอนที่ 285: บ่อวิญญาณหยก


 


คนที่คล้ายกันย่อมต้องมีสายเลือดเดียวกัน แต่จะใกล้ชิดขนาดไหนนั้น นั่นต้องดูกันอีกที ยังไงก็ตาม ตอนนี้ก็ยืนยันได้ชัดเจนแล้วว่า เย่ชิงเสวียนคือพี่สาวของเธอ


 


ดูเหมือนว่าเย่ชิงเสวียนจะกลับมาแล้ว ทั้งยังรักษาเผ่าภูตเอาไว้ได้ ไม่ปล่อยให้เผ่าภูตต้องตกเป็นเชลย แต่ว่าตอนนี้สถานการณ์ก็ไม่ได้ดีมาก แต่ก็พอจะมั่นคงนิดหน่อย แต่ก็ต้องเตรียมพร้อมเพื่อเข้าสู่สงครามทุกเมื่อ! หินวิญญาณหยกเป็นหลักฐานชั้นดี การที่ต้องออกไปซื้อหาหินวิญญาณหยกมาไม่หยุด นั่นก็เพื่อเปิดใช้งานค่ายกลใหญ่เพื่อปกป้องเผ่าภูต


 


แต่วิธีนี้ก็เป็นแค่การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เมื่อใดที่ไร้ซึ่งหินวิญญาณหยก พลังของค่ายกลก็จะตกลงขนานใหญ่ มีโอกาสที่พวกเขาจะต้องตกสู่เงื้อมมือของศัตรู


 


แต่นี่ก็เป็นหนทางที่ปลอดภัยที่สุดแล้วสำหรับพวกเขา ถ้าอยากจะให้มันปลอดภัยกว่านี้ ก็มีแต่ต้องลบอาณาจักรใต้พิภพทิ้งไป! ตราบเท่าที่อาณาจักรใต้พิภพยังคงอยู่ เผ่าภูตก็ยังต้องตกอยู่ในวิกฤตอย่างแน่นอน นอกเสียจากว่าจะยอมจำนน


 


อี้เทียนหยุนพยักหน้า ดูเหมือนว่าตอนนี้จะยังไม่มีปัญหาใหญ่อะไร คงได้แต่ดูสถานการณ์ไปก่อน


 


“ติ๊ง นิกายเทียนเฉวียนได้ทำการทำลายรังโจรภูเขาสำเร็จ ได้รับค่าประสบการณ์ 5 ล้าน, ค่าความคลั่ง 100,000, ค่าความชั่ว 1,000, ค่าความดี 100, สิทธิ์ในการสุ่มลอตเตอรี่รุ่นปรับปรุง 1 ครั้ง!”


 


ในตอนนี้เอง เสียงระบบก็ได้ดังขึ้น ทำให้เขาต้องรู้สึกตกใจ ไม่คิดว่าจะมีข่าวนี้ดังขึ้นมา ชัดเจนว่าถ้าไม่ใช่พวกผู้อาวุโสก็เป็นชิเสวี่ยอวิ๋นที่นำศิษย์นิกายเทียนเฉวียนเข้าผดุงความยุติธรรมแทนฟ้า กำจัดโจรภูเขาทิ้งไป


 


ที่สำคัญคือเขาได้รับค่าประสบการณ์มากมาย แม้จะไม่ได้ไอเทมอะไร แต่ก็เพราะว่าเขาไม่ได้ลงมือด้วยตัวเอง!


 


“ไม่แปลกที่หมาป่าหิมะของข้าจะส่งค่าประสบการณ์มาให้เมื่อก่อนหน้า ที่แท้ก็เพราะออกล่าโจรภูเขานี่เอง…..” อี้เทียนหยุนส่ายหัว นึกไปถึงเสียงประกาศว่าได้รับค่าประสบการณ์เมื่อก่อนหน้า เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะหมาป่าหิมะทำการออกล่าและสังหาร เพียงแต่เขาไม่ได้สนใจ


 


ตอนนี้กลับพบว่ารังโจรภูเขาถูกทำลาย แถมยังให้ประสบการณ์ก้อนโตกับเขา รวมถึงค่าความดีอีกหลายแต้ม ทำให้เขามีความสุขอย่างมาก เพราะนิกายเทียนเฉวียนเป็นสำนักของเขา ดังนั้น การลงมือของสำนักจึงช่วยเพิ่มค่าประสบการณ์ให้กับเขาด้วย


 


ถ้าการลงมือของคนในนิกายเทียนเฉวียนทุกคนสามารถเพิ่มค่าประสบการณ์ให้กับเขาได้ล่ะก็ นั่นคงเป็นอะไรที่บ้ามากจริงๆ


 


“พี่ใหญ่อี้ ท่านเป็นอะไรเหรอ?” เย่หว่านเอ๋อเห็นท่าทางหัวเราะโง่ๆ ของอี้เทียนหยุนก็ได้ถามขึ้น ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่


 


“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร…..” อี้เทียนหยุนกระแอมออกมา พร้อมกับมองเธอแล้วพูดว่า “แล้วต่อไปจะพาข้าไปที่ไหนอย่างงั้นเหรอ?”


 


“พี่ใหญ่อี้ช่วยข้า ข้าก็ต้องตอบแทนท่านอยู่แล้ว” เย่หว่านเอ๋อพูดด้วยรอยยิ้ม “แม้จะมีบางที่ที่ไปไม่ได้ แต่ที่ที่ข้าจะพาท่านไป มันจะมีส่วนช่วยพี่ใหญ่อี้อย่างใหญ่หลวงอย่างแน่นอน!”


 


“ที่ไหนอย่างงั้นเหรอ?” อี้เทียนหยุนพลันรู้สึกสนใจขึ้นมา เขารู้ว่าเย่หว่านเอ๋อเชิญเขาเข้ามา แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่มาดื่มชาอย่างแน่นอน


 


“เผ่าภูตของเรามีหลายที่ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียง หนึ่งในนั้นก็คือบ่อวิญญาณหยก ถ้าท่านได้เข้าไปฝึกที่นั่น ความเร็วในการฝึกฝนของท่านจะเร็วขึ้น 20%! สิ่งนี้มีผลแม้กระทั่งกับระดับผันแปรวิญญาณ!” เย่หว่านเอ๋อพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“ให้ผลดีขนาดนั้นเชียว?” อี้เทียนหยุนรู้สึกตกใจ ข้างนอก เพียงเพื่อของที่ช่วยเพิ่มความเร็วเพียง 2-3 เปอร์เซ็นต์ก็ทำการแย่งชิงกันจนหัวร้างข้างแตก แต่ที่นี่กลับมีเป็นบ่อ?


 


“ใช่แล้ว พวกเราเผ่าภูตทุกคนสามารถเข้าไปฝึกได้ ทั้งยังใช้รับรองสหายของเผ่าภูตเราเช่นกัน”เย่หว่านเอ๋อพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่ใหญ่อี้ ไปกันเถอะ ข้าจะพาท่านไป!”


 


“อืม”


 


อี้เทียนหยุนไม่ได้สนใจมากนัก แต่ในเมื่อเธอเชิญ งั้นเขาก็จะไปดู


 


ภายใต้การนำของเย่หว่านเอ๋อ พวกเขาก็เดินผ่านส่วนป่าอีกครั้ง คราวนี้ไม่ต้องผูกผ้าปิดตาอีก แต่สามารถเดินดูได้ตามใจ หลังจากผ่านป่านี้มา ตรงหน้าของเขาก็ปรากฏบ่อน้ำขึ้น พื้นที่ตรงหน้านี้ไม่ได้ใหญ่แต่ก็ไม่เล็ก กว้างประมาณ 7-8 จ้าง (20-25 เมตร) รอบๆ มีคนของเผ่าภูตหลายคนกำลังนั่งฝึกฝนอยู่


 


นอกจากอี้เทียนหยุนที่เป็นคนนอกแล้ว ก็ไม่มีคนนอกคนอื่นอีกที่อยู่ที่นี่ ดังนั้น เมื่อเขามาถึง ก็พลันกลายเป็นเป้าสายตาของทุกคน


 


“ทำไมถึงได้มีคนนอกมาที่นี่ล่ะ?” สายตาของพวกเขาแฝงไว้ด้วยความเกลียดชังอยู่หลายส่วน


 


“ข้าเป็นคนพาเขามาเอง ก่อนหน้านี้เขาช่วยข้าไว้ ทั้งยังทำการสังหารคนทรยศหลี่ห้าว ไม่อย่างนั้นข้าคงถูกจับไปแล้ว” เย่หว่านเอ๋ออธิบาย ไม่อย่างนั้นพวกเขาก็คงไม่รู้


 


“สังหารคนทรยศหลี่ห้าวอย่างงั้นเหรอ?” พวกเขาต่างพากันมองหน้ากัน ในสายตาแฝงไว้ด้วยความตกใจอยู่หลายส่วน แต่ก็มีหลายคนที่ยังแสดงท่าทางดูถูก กระทั่งแฝงไว้ด้วยความเกลียดชัง


 


สายตาแบบนี้อี้เทียนหยุนไม่ใช่ว่าเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ที่ข้างนอกก็เช่นกัน แม้จะได้ยินว่าสังหารหลี่ห้าว หรือเป็นศัตรูกับอาณาจักรใต้พิภพ ก็ไม่ได้มีความหมายอะไร บางคนยังคงเต็มไปด้วยความระแวง หรือว่ารังเกียจ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ยอมรับเขา


 


“ฆ่าแล้วก็ฆ่าไปสิ จะพาเข้ามาทำไม?” วัยรุ่นเผ่าภูตคนหนึ่งยืนขึ้น มองอี้เทียนหยุนอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “หว่านเอ๋อ ตอนนี้เจ้ายังไม่รู้อะไร เผ่าภูตของเราแต่ก่อนล้วนแต่จิตใจดี กระทั่งยอมสอนวิชาสลักอาคมให้ แต่แล้วเป็นยังไง? เมื่อได้ยินว่าอาณาจักรใต้พิภพมา แต่ละคนต่างก็พากันวิ่งหนี ทำตัวเนรคุณ! กระทั่งมีบางคนกลายเป็นศัตรูของพวกเรา ข้าคิดว่าเขาก็คงจะไม่ต่างกัน!”


 


“ใช่ รีบพาเขาออกไปจากบ่อวิญญาณหยกของพวกเรา! ที่นี่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา หว่านเอ๋อ หากเจ้าต้องการต้อนรับเขา ก็พาเขาเดินชมข้างนอกก็พอ อย่าพาเขามาที่นี่!”


 


“เห็นคนต่างเผ่าละข้ารำคาญนัก ทำดีด้วยแต่กลับได้รับการเนรคุณตอบแทน!”


 


พวกเขาแสดงความเกลียดชัง พูดออกมาอย่างเต็มไปด้วยอารมณ์


 


“พี่ใหญ่อี้ไม่เหมือนพวกนั้น เขาไม่ใช่คนไม่รู้คุณคน! ยิ่งกว่านั้น ตอนนี้ข้าต้องตอบแทนบุญคุณเขา ถ้าข้าพาพี่ใหญ่อี้ไป งั้นข้าก็จะกลายเป็นคนไม่รู้คุณคนไปน่ะสิ!” เย่หว่านเอ๋อไม่ยอมถอย ไม่ขี้ขลาด ปฏิเสธพวกเขาไปอย่างเที่ยงธรรม


 


พวกเขาในตอนนี้กลายเป็นเงียบ หลังจากมองหน้ากันแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก เห็นได้ชัดว่าไม่รู้จะทำยังไง


 


แต่ไม่ว่าจะอย่างไหน อย่างน้อยเขาก็ได้ช่วยเย่หว่านเอ๋อ แค่นี้ก็พอแล้ว ถ้าพวกเขาไล่อี้เทียนหยุนไปจริงๆ นั่นก็เหมือนกับที่เย่หว่านเอ๋อพูด ทำให้เธอกลายเป็นคนที่ไม่รู้คุณคนไป


 


“พี่ใหญ่อี้ เราไปหาที่นั่งฝึกกันเถอะ ผลลัพธ์ที่ท่านได้รับจะต้องไม่ต่ำอย่างแน่นอน”


 


พูดจบ เย่หว่านเอ๋อก็พาเขาไปหาที่นั่งขัดสมาธิ ซึ่งอยู่ใกล้กับขอบบ่อวิญญาณหยก ซึ่งเป็นที่ที่สามารถดูดกลืนพลังวิญญาณจากบ่อวิญญาณหยกได้ดี


 


อี้เทียนหยุนนั่งขัดสมาธิ มองลงไปยังบ่อวิญญาณหยกนี้ ทันใดนั้นข้อมูลของมันก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า


 


บ่อวิญญาณหยก : บ่อที่มีพลังวิญญาณเข้มข้น, ก้นบ่อมีหญ้าเพิ่มพูนจิตวิญญาณระดับหายาก,หากดูดกลืนพลังวิญญาณเข้าไป จะช่วยให้รู้สึกสงบ ทั้งยังเพิ่มความเร็วในการฝึกฝนขึ้น 20-30%


 


“ที่แท้ก็มีหญ้าเพิ่มพูนจิตวิญญาณอยู่นี่เอง ไม่แปลก……”


 


หญ้าเพิ่มพูนจิตวิญญาณนี้หายากมาก ถือเป็นสมุนไพรวิญญาณชั้น 5 ระดับสูงสุด เกือบจะเข้าสู่ชั้น 6 ในบ่อวิญญาณหยกนี้ไม่ได้มีหญ้าเพิ่มพูนจิตวิญญาณนี้มากนัก มีแค่ไม่กี่ต้นเท่านั้น แต่ผลลัพธ์ของมันก็รองรับคนได้แค่หลายสิบไปจนถึงร้อยคนเท่านั้น แต่แค่นี้ก็นับได้ว่าน่าตื่นตะลึงมากพอแล้ว


 


แต่แน่นอนว่าสำหรับระดับผันแปรวิญญาณแล้วล่ะก็ ผลลัพธ์ของมันอย่างมากก็เพิ่มขึ้นแค่ 10% เท่านั้น หรืออาจจะแค่ไม่ถึงครึ่ง ซึ่งเย่หว่านเอ๋อที่ไม่เข้าใจมากนัก ย่อมคิดว่าจะส่งผลแบบเดียวกัน


 


ยังไงก็ตาม ถ้าเกิดว่ามีคนมีความคิดชั่วร้ายอะไรกับหญ้าเพิ่มพูนจิตวิญญาณนี้ล่ะก็ นั่นก็ถือว่าจบแล้ว อี้เทียนหยุนกวาดตามองรอบๆ เขาสัมผัสได้ถึงผู้เชี่ยวชาญที่ซ่อนอยู่ ซึ่งแต่ละคนต่างก็มีพลังอย่างน้อยระดับก่อแกนวิญญาณ เห็นได้ชัดว่าเป็นคนเฝ้าบ่อวิญญาณหยกแห่งนี้


CLS ตอนที่ 286: สมุนไพรค่าประสบการณ์!


 


อี้เทียนหยุนชักสายตากลับ เขารู้ว่าที่แห่งนี้มีผู้เชี่ยวชาญระดับก่อแกนวิญญาณซ่อนอยู่ ทั้งกำลังจับตามองเขา กลัวว่าเขาจะขโมยหญ้าเพิ่มพูนจิตวิญญาณนี้ไป นี่เป็นสมุนไพรวิญญาณชั้น 5 ถ้าเป็นที่ข้างนอก ราคาของมันถือว่าประเมินค่าไม่ได้


 


อี้เทียนหยุนไม่สนใจเขา แต่กลับมองดูบ่อแห่งนี้แทน ที่นี่เหมาะสำหรับฝึกฝนจริง ไม่แปลกที่คนของเผ่าภูตจะมีพลังสูง ที่นี่เต็มไปด้วยค่ายกลรวมวิญญาณ พูดได้ว่าเป็นห้องฝึกฝนแห่งหนึ่ง


 


มีแต่มีสภาพแวดล้อมในการฝึกฝนแบบนี้เท่านั้นถึงจะสามารถกวาดล้างโลกภายนอกให้เป็นชิ้นๆ นี่ยังไม่นับพรสวรรค์แต่กำเนิดของพวกเขาอีก ปัญหาคงมีแต่เรื่องจำนวนประชากรที่น้อยเกินไปเท่านั้น เทียบกับโลกภายนอกแล้วถือได้ว่าน่าสงสารอย่างมาก นอกเสียจากจะมีผู้เชี่ยวชาญระดับท้าทายสวรรค์คนหนึ่ง ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถต้านทานขุมอำนาจระดับอาณาจักรจากภายนอกได้


 


เรื่องการฝึกฝนนี้ ช่วงหลังล้วนขึ้นอยู่กับความเข้าใจและพรสวรรค์ ต่อให้สภาพแวดล้อมในการฝึกจะดีเยี่ยมแค่ไหน หากขาดสองสิ่งนี้แล้วก็ยากที่จะเพิ่มระดับได้ แน่นอนว่านี่ไม่เกี่ยวอะไรกับอี้เทียนหยุน สำหรับเขาแล้ว ขอแค่ทำการสังหารอย่างบ้าคลั่งเท่านั้นก็พอ


 


เย่หว่านเอ๋อตอนนี้กำลังทำการฝึกฝน ค่อยๆ รวบรวมพลังวิญญาณเข้ามาอย่างช้าๆ เริ่มทำการฝึกของตน


 


“เอาล่ะ งั้นข้าก็เอาบ้างแล้วกัน….”


 


อี้เทียนหยุนก็เริ่มการดูดกลืนเช่นกัน ทำการดูดกลืนพลังวิญญาณรอบๆ เปลี่ยนให้กลายเป็นค่าประสบการณ์


 


“ได้รับค่าประสบการณ์ 5,000, 8,300, 7,500, 8,100…..”


 


หลังจากเริ่มดูดกลืน เขาก็พบว่าค่าประสบการณ์อยู่ๆ ก็พลันระเบิดขึ้น นี่เขาแค่ดูดกลืนแบบธรรมดาเท่านั้น แต่ว่าค่าประสบการณ์ที่ได้กลับน่าตกใจ ถ้าเกิดว่าเขาดูดกลืนเต็มพลังขึ้นมา ค่าประสบการณ์ที่ได้คงน่าสะพรึงยิ่งกว่านี้ ยิ่งเปิดโหมดคลั่งด้วยแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลยว่าค่าประสบการณ์ที่ได้จะมากมายขนาดไหน


 


“นี่ตกลงว่ามันเรื่องอะไรกันแน่ ที่นี่ทำไมถึงได้ลึกลับขนาดนี้ พลังวิญญาณที่นี่ไม่หนาแน่นเท่ากับสระเทียนหลิงยี่ แต่ค่าประสบการณ์ที่ได้กลับไม่ได้ด้อยกว่ากันแม้แต่น้อย?” อี้เทียนหยุนคิดอย่างตกใจ พร้อมกับลืมตาจ้องไปยังบ่อวิญญาณหยก หรือว่าจะเป็นเพราะหญ้าเพิ่มพูนจิตวิญญาณกัน?


 


ภายใต้ผลลัพธ์ของหญ้าเพิ่มพูนจิตวิญญาณ สามารถเพิ่มค่าประสบการณ์ให้กับเขาได้ถึงขนาดนี้เชียว?


 


ภายใต้ดวงตาประเมิน ข้อมูลที่ได้ยังคงเหมือนเดิม ไม่มีคำอธิบายอื่น ยังมีหลายสิ่งที่ต้องรอขุดค้น แต่ไม่ใช่สถานที่ตรงหน้าเขา เขาจำเป็นต้องเข้าใจมัน


 


“งั้นมาลองดูดกลืนเต็มพลังดู ดูสิว่าจะได้ผลลัพธ์แบบไหน?” อี้เทียนหยุนเปิดใช้งานเทพอุดรทมิฬอีกครั้ง พร้อมกับดูดกลืนพลังวิญญาณรอบๆ อย่างบ้าคลั่ง พริบตา ตัวเขาก็ราวกับกลายเป็นพายุหมุน ดูดพลังวิญญาณที่อยู่รอบๆ เข้ามาอย่างบ้าคลั่ง


 


พริบตาที่ดูดกลืน ค่าประสบการณ์ก็พลันระเบิดในทันที!


 


“ค่าประสบการณ์ 31,000, 35,000, 34,000…..”


 


ภายใต้โหมดเพิ่มค่าประสบการณ์ ทำให้ค่าประสบการณ์ที่ได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 30,000 แต้ม ไม่เสียทีที่เป็นถึงโหมดคลั่ง ผลลัพธ์ที่ได้ช่างน่าตื่นตะลึงจริงๆ นี่เทียบได้กับการสังหารผู้เชี่ยวชาญระดับก่อแกนวิญญาณเลยทีเดียว!


 


ค่าประสบการณ์ของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ก็ได้ไม่นานนัก อย่างรวดเร็วก็พลันตกลง ไม่สามารถระเบิดอย่างต่อเนื่องได้


 


“ท่านได้รับค่าประสบการณ์ 3,100, 3,300, 3,500…..”


 


ค่าประสบการณ์ที่ได้ลดลงทันที 10 เท่า พลังวิญญาณยังคงมากอยู่ เพียงแต่ผลลัพธ์ของหญ้าเพิ่มพูนจิตวิญญาณได้เหือดแห้งลง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าที่ค่าประสบการณ์ตอนแรกมากขนาดนั้นเป็นเพราะหญ้าเพิ่มพูนจิตวิญญาณนี้!


 


ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ภายใต้การดูดกลืนอย่างบ้าคลั่ง พลังวิญญาณที่อยู่รอบๆ จะต้องถูกเขาดูดไปจนหมดอย่างแน่นอน พลังวิญญาณที่อยู่ห่างออกไปถูกดูดเข้ามา กระทั่งต้นไม้ที่ขึ้นรอบๆ ยังสั่นไหว ราวกับมีลมพัดผ่าน


 


พวกที่นั่งฝึกฝนอยู่ใกล้ๆ รวมทั้งเย่หว่านเอ๋อต่างหันมามองอี้เทียนหยุน ตกใจกับพลังดูดนี้ พลังดูดที่แข็งแกร่งพวกเขาเคยเห็น แต่ไม่เคยเห็นพลังดูดที่แข็งแกร่งขนาดนี้มาก่อน เล่นดูดพลังวิญญาณราวกับพายุขนาดนี้ แล้วจะให้พวกเขาฝึกกันได้ยังไง!


 


“พี่ พี่ใหญ่อี้…..” เสียงของเย่หว่านเอ๋อสั่นๆ เธอไม่คิดว่าอี้เทียนหยุนจะมีความสามารถในการดูดกลืนพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งขนาดนี้


 


“มีอะไรเหรอ?” อี้เทียนหยุนหยุดดูดกลืนพลังวิญญาณ เรียกสายตาหลายสิบคู่ให้ต้องมองมาที่เขา พร้อมกับเผยท่าทางตื่นตกใจออกมา


 


“ความเร็วในการดูดกลืนของท่านน่าตกใจเกินไปแล้ว…..” เย่หว่านเอ๋อพูดออกมาอย่างตื่นเต้น “ร้ายกาจมาก กระทั่งพวกผู้อาวุโสยังไม่ร้ายกาจเท่าพี่ใหญ่อี้!”


 


เขารู้ว่าทำให้พวกเขาตกใจกับการดูดกลืนพลังวิญญาณของเขา เขาแค่ต้องการทดสอบว่าผลลัพธ์ที่ได้จะแข็งแกร่งได้แค่ไหน แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นการรบกวนพวกเขาแทน นี่ก็เหมือนกับคนที่อยู่ท่ามกลางพายุ ความเร็วในการดูดกลืนเข้าขั้นตื่นตะลึง ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นคงตกใจกลัวไปแล้ว ต้องพูดว่าตกใจกลัวต่อระดับขั้น อย่าว่าแต่พวกเขายังเป็นถึงเผ่าภูตที่มีพลังระดับหลอมรวมกันเลย


 


“นี่รบกวนการฝึกฝนของพวกเจ้าหรือเปล่า?” อี้เทียนหยุนมองไปที่พวกเขาแล้วถามขึ้น


 


“มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว พลังวิญญาณของที่นี่ถูกเจ้าดูดไปหมด พวกเขาไม่มีวิธีรวบรวมพลังวิญญาณที่หญ้าเพิ่มพูนจิตวิญญาณปล่อยออกมา……”


 


“ใช่ ข้าก็รวบรวมพลังวิญญาณไม่ได้เหมือนกัน นี่มันจะร้ายกาจเกินไปหรือเปล่า? พลังดูดที่น่าสะพรึงขนาดนี้ ชั่วชีวิตนี้ข้าเพิ่งจะเคยเจอนี่แหละ ถ้าใครอยู่ที่เดียวกับเขา อย่าได้หวังว่าจะฝึกได้เลย…..”


 


“คนที่หว่านเอ๋อพามาแข็งแกร่งขนาดนี้เชียว? อย่างนี้พวกเราก็ฝึกไม่ได้น่ะสิ…..”


 


พวกเขาค่อยๆ ฟื้นจากความตกใจทีละน้อย พร้อมกับกล่าวตำหนิออกมา เป็นอย่างนี้แล้วพวกเขาจะฝึกกันได้ยังไง?


 


เย่หว่านเอ๋อกัดริมฝีปากแน่น หลังจากคิดสักพักก็พูดออกมาอย่างจริงใจว่า “ต้องขอโทษทุกคนด้วย พี่ใหญ่อี้เป็นผู้มีพระคุณของข้า ข้าไม่มีอะไรจะตอบแทนเขา จึงได้แต่พาเขามาฝึกที่นี่ครั้งหนึ่ง หลังจากนี้ถ้าทุกคนมีอะไรให้ข้าช่วย ข้าจะเต็มใจช่วยอย่างแน่นอน!”


 


“นี่…..” พวกเขาพากันมองหน้ากัน พวกเขาไม่ได้อคติอะไรกับเย่หว่านเอ๋อ แม้จะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน แต่พวกเขาก็ไม่ได้มีความรู้สึกชื่นชอบอะไรต่ออี้เทียนหยุนที่เป็นคนนอก


 


ถ้าเป็นสหายของพวกเขาที่ทำให้เกิดผลลัพธ์นี้ พวกเขาแน่นอนว่าย่อมไม่พูดอะไร การดูดกลืนพลังวิญญาณขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคน ใครจะดูดได้มากได้น้อยก็ล้วนแต่ขึ้นอยู่กับความสามารถของตน แต่กับอี้เทียนหยุนนั้นต่างกัน พวกเขาไม่มีความรู้สึกที่ดีอะไรต่อเขาอยู่แล้ว แค่เข้ามานั่งฝึกด้วยกันกับพวกเขาก็รู้สึกอึดอัดแล้ว


 


จากนั้นพวกเขาก็พากันถอนหายใจ แต่ขณะที่กำลังจะพูดอะไรอยู่นั้น อี้เทียนหยุนก็พลันยื่นมือมาจับหัวเธอ พร้อมกับลูบเบาๆ แล้วพูดว่า “เด็กโง่ ไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น แค่ได้มาเห็นว่าที่นี่เป็นยังไงก็ดีแล้ว พวกเราไปกันเถอะ”


 


“แต่ว่า……” เย่หว่านเอ๋อท้วง อีกทั้งเธอยังไม่มีวิธีอื่นที่จะตอบแทนบุญคุณเลย


 


“ไม่มีแต่ พวกเราไปกันเถอะ”


 


พูดจบเขาก็หมุนตัวเดินออกมา แค่นี้ก็ทำให้เขารู้หลายเรื่องแล้ว อย่างเช่นเรื่องหญ้าเพิ่มพูนจิตวิญญาณนี้ มันสามารถเพิ่มความเร็วในการฝึกฝนได้ถึง 10 เท่า! แต่ด้วยจำนวนที่น้อยเกินไป ทำให้ไม่สามารถดูดกลืนได้นานนัก


 


ใต้บ่อวิญญาณหยกนี้มีหญ้าเพิ่มพูนจิตวิญญาณแค่ไม่กี่ต้น จะไปพอให้เขาดูดกลืนที่ไหน


 


“ของสิ่งนี้เปรียบได้กับสมุนไพรค่าประสบการณ์ ไม่รู้ว่าถ้ากินเข้าไปจะให้ผลลัพธ์แบบไหน จะออกมาเหมือนกับบัตรค่าประสบการณ์หรือเปล่า?”


 


นี่ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้น ถ้าสามารถซื้อหญ้าเพิ่มพูนจิตวิญญาณจำนวนมากได้ เขาก็สามารถระเบิดค่าประสบการณ์ 10 เท่าได้ตามใจ


CLS ตอนที่ 287: กลายเป็นราชาแห่งเผ่าภูต!


 


อี้เทียนหยุนในตอนนี้กำลังคิดว่าจะทำยังไงถึงจะได้หญ้าเพิ่มพูนจิตวิญญาณมา ส่วนเย่หว่านเอ๋อที่อยู่ใกล้ๆ กำลังรู้สึกผิด เธอเป็นคนเชิญเขามา แต่กลับไม่สามารถตอบแทนเขาได้ แล้วอย่างนี้จะไม่รู้สึกผิดได้ยังไง


 


“พี่ใหญ่อี้ ขอโทษที่ข้าไม่สามารถรับรองท่านดีๆ ได้…..” ใบหน้าเย่หว่านเอ๋อมีความรู้สึกหดหู่ เธอใส่ใจกับการรับรองครั้งนี้มาก เป็นประเภทที่มีบุญคุณต้องทดแทน


 


ที่จริงแล้วก็ไม่ใช่เพียงแค่เธอ ผู้ฝึกตนทั้งหลายต่างก็เป็นประเภทที่มีบุญคุณต้องทดแทนกันทั้งนั้น ซึ่งก็คิดว่าเข้ากันดีกับทฤษฎีกฎแห่งป่า ทุกคนต้องรู้จักบุญคุณ แม้จะมีการเนรคุณเกิดขึ้นบ่อยๆ แต่อย่างน้อยเย่หว่านเอ๋อก็ไม่ใช่คนประเภทนั้น


 


“ยังคิดเรื่องนี้อยู่อีก? แค่เจ้าพาข้าเข้ามาเยี่ยมที่นี่ก็ดีมากแล้ว ถ้าเป็นคนอื่นคงข้าคงไม่ได้เข้ามา” อี้เทียนหยุนยิ้ม เขาคิดว่าแค่นี้ก็ดีมากแล้วจริงๆ


 


แม้ว่าจะน่าเสียดายอยู่บ้างที่ไม่ได้ฝึกดีๆ แต่อย่างน้อยก็ทำให้เขารู้สึกสรรพคุณของหญ้าเพิ่มพูนจิตวิญญาณ ไม่รู้ว่ายังจะมีสมุนไพรวิญญาณชนิดไหนอีกบ้างที่ช่วยเพิ่มผลลัพธ์แบบนี้อีก ถ้าเอาแต่พึ่งบัตรค่าประสบการณ์ เขาจำเป็นต้องเสียค่าความคลั่งเป็นจำนวนมากเพื่อซื้อมา มันจะเป็นการผลาญค่าความคลั่งมากเกินไป


 


ส่วนเรื่องสมุนไพรวิญญาณนั้น แม้จะเป็นของหายาก แต่ตราบเท่าที่มันช่วยเพิ่มพลังให้กับเขามากพอ ต่อให้ยากแค่ไหนเขาก็ไปเอามาให้ได้ อาจจะต้องปลอมตัวเข้าสำนักอื่น ซึ่งแน่นอนว่าวิธีนี้จะช่วยประหยัดเวลาให้กับเขา


 


“อือ….” เย่หว่านเอ๋อส่ายหัว แล้วถอนหายใจ “ถ้าสามารถไปที่สถูปวิญญาณได้ล่ะก็ ต่อให้การดูดกลืนของพี่ใหญ่อี้จะร้ายกาจแค่ไหน ก็ต้องทำให้ท่านพอใจได้อย่างแน่นอน”


 


“ข้าบอกแล้วไงว่าไม่ต้องใส่ใจ” อี้เทียนหยุนรีบพูดออกมา


 


“อ่า ใช่แล้ว!”


 


ในตอนนี้เอง การรวมตัวกันของกลุ่มคนข้างหน้าก็พลันดึงดูดความสนใจของเอ และเมื่ออี้เทียนหยุนมองไป เขาก็เห็นว่าที่ด้านข่างมีกลุ่มคนรวมตัวกันอยู่จริงๆ พร้อมกับทักทายคนด้านหน้าด้วยความเคารพ เขาได้ยินอย่างคลุมเครือว่า “ยินดีต้อนรับนักบุญหญิง”


 


ที่แท้ก็เป็นเย่ชิงเสวี่ย นี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ใบหน้าของเย่หว่านเอ๋อแสดงอาการดีใจออกมา


 


แล้วก็จริง อึดใจต่อมา กลุ่มคนด้านหน้าก็เปิดทางออกเล็กน้อย พร้อมกับใบหน้าที่คุ้นเคยของเย่ชิงเสวียนปรากฏขึ้นตรงหน้าอี้เทียนหยุน!


 


เย่ชิงเสวียนยังคงเหมือนก่อนหน้าไม่เปลี่ยน มีเพียงสีหน้าที่เหมือนซีดเล็กน้อย กับสภาพที่เหมือนจะแย่กว่าแต่ก่อน ตอนนี้เธอเหมือนกับคนนอนไม่พอ แต่พลังกลับแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้มาก


 


สีหน้าที่ย่ำแย่นี้บอกได้ว่าเธอเพิ่งจะประสบกับเรื่องอะไรบางอย่างมา ทำให้ผลาญพลังไปมากเกินไป


 


“อ๊า!” เย่หว่านเอ๋อโบกมืออย่างตื่นเต้น พร้อมกับวิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว พริบตาก็ไปถึงตรงหน้าเย่ชิงเสวียนแล้ว “คราวนี้ท่านมีเวลาว่างแล้วอย่างงั้นเหรอ?”


 


เย่ชิงเสวียนยื่นมือออกมาตะปบหน้าน้องสาวของเธอแน่น ขณะที่นัยน์ตาคู่สวยลุกท่วมไปด้วยความโกรธ “ได้ยินว่าเจ้าออกไปข้างนอกจนเกือบถูกเจ้าคนทรยศหลี่ห้าวนั่นจับตัวไป แต่ว่าถูกคนช่วยเอาไว้ได้ ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้ข้าบอกให้เจ้าตั้งใจฝึกอยู่ที่นี่อย่าออกไปไหนไม่ใช่เหรอ แล้วนี่ยังแอบหนีไปคนเดียวจนเกือบถูกจับอีก นี่มันหมายความว่ายังไง?”


 


“เจ็บนะ…. ข้าก็แค่อยากจะช่วยเท่านั้น! ก็ตอนนี้หินวิญญาณหยกมันไม่พอนี่นา….. ข้าก็เลยออกไป ไม่ใช่ว่าตอนนี้ข้ายังสบายดีหรอกเหรอ?” เย่หว่านเอ๋อโบกมือ หวังจะปัดมือของเย่ชิงเสวียนที่ตะปบหน้าของเธอไว้อยู่ แต่ก็ไม่กล้าปัด


 


“อะไรที่เรียกว่ายังสบายดีอยู่?” เย่ชิงเสวียนแค่นเสียงออกมา จากนั้นก็ปล่อยมือ ก่อนจะมองไปที่อี้เทียนหยุน พร้อมกับสายตาที่อ่อนลง “ขอบคุณผู้มีพระคุณที่ช่วยหว่านเอ๋อเอาไว้ ต้องขอบคุณท่านมากจริงๆ ถ้าไม่มีท่าน หว่านเอ๋อคงจะถูกคนของอาณาจักรใต้พิภพจับไปแล้ว”


 


ขณะที่พูดเธอก็ทำการสำรวจอี้เทียนหยุนไปด้วย แต่ก็ไม่พบอะไร ตอนนี้รูปร่างของอี้เทียนหยุนเปลี่ยนไปไม่ใช่น้อย ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะตัดสินจากรูปร่างก่อนหน้าของเขา


 


“แค่เรื่องเล็กน้อย ไม่ต้องคิดมาก” เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่คุ้นเคยก็ทำให้เขานึกไปตอนที่เจอกับเย่ชิงเสวียนครั้งแรก ทั้งยังได้ของขวัญเป็นพรสวรรค์ที่ล้ำค่ามาอีก เพียงแค่ความทรงจำนี้ ก็มากพอที่เขาจะให้การช่วยเหลือแล้ว


 


พวกเธอทั้งคู่เหมือนกับหลุดมาจากพิมพ์เดียวกัน เป็นประเภทที่มีบุญคุณต้องทดแทน


 


“นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย สำหรับข้าแล้วถือเป็นเรื่องสำคัญมาก” เย่ชิงเสวียนมีสีหน้าจริงจัง แน่นอนว่าน้องสาวของเธอย่อมต้องสำคัญอยู่แล้ว “ไม่ทราบว่าผู้มีพระคุณมีชื่อว่าอะไร ข้าเป็นนักบุญหญิงของเผ่าภูต ถ้ามีเรื่องอะไรให้มาหาข้าได้ ตราบเท่าที่ไม่ใช่เรื่องเกินตัว ข้าจะช่วยท่านอย่างเต็มที่แน่นอน”


 


“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ……”


 


ขณะที่อี้เทียนหยุนเตรียมจะพูดอะไรบางอย่างอยู่นั้น ทันใดนั้น เผ่าภูตที่อยู่ใกล้ๆ สองสามคนก็พากันพุ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน พร้อมกับรีบพูดออกมา


 


“ท่านนักบุญหญิง ตัวตนของพวกเราถูกเปิดเผยแล้ว ร้านขายยาส่วนใหญ่ต่างปฏิเสธที่จะขายยาให้กับพวกเรา….” เผ่าภูตคนนั้นพูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล “ถ้าไม่สามารถซื้อยามาได้ ยามบาดเจ็บ เผ่าภูตของเราจะไม่มียามาใช้ให้เพียงพอกับการรักษา……”


 


พูดไปแล้วก็เหมือนกับเป็นเรื่องน่าหัวเราะ เผ่าภูตมีพรสวรรค์ด้านค่ายกลอย่างมาก แต่กับเรื่องกลั่นโอสถแล้วกลับธรรมดา ส่วนใหญ่ล้วนแต่พึ่งพาการซื้อขาย มีเพียงส่วนน้อยที่กลั่นออกมาเองแต่ก็ไม่สมบูรณ์ พรสวรรค์ในเรื่องนี้สำหรับพวกเขาแล้วถือเป็นเรื่องอนาถมาก ความสามารถในการกลั่นโอสถของพวกเขานั้น เห็นได้ชัดว่าได้รับไม่เท่าสูญเสีย


 


ตอนนี้เพราะแรงกดดันจากอาณาจักรใต้พิภพ ทำให้พวกเขาจำเป็นต้องซื้อมันอย่างรอบคอบ ด้วยกลัวว่าจะถูกจับตัวไป


 


“ไม่ขายยาให้กับพวกเราอย่างงั้นเหรอ….. โอ้ เรื่องนี้พอเข้าใจได้ พวกเขาคงจะถูกอาณาจักรใต้พิภพกดดัน ทำให้ไม่กล้าขายยาให้พวกเราต่องั้นสินะ?” เย่ชิงเสวียนถอนหายใจ “พวกเจ้าส่งคนออกไปหาซื้อต่อเถอะ ได้เท่าไหนเอาเท่านั้น”


 


“ติ๊ง ท่านยินดีจะรับภารกิจ “ช่วยเหลือเผ่าภูต” หรือไม่?”


 


อยู่ๆ ก็มีภารกิจเด้งขึ้นมา ทำให้อี้เทียนหยุนตกใจ ไม่มีการประกาศรางวัล กระทั่งข้อมูลก็ไม่มีให้


 


“รับ!”


 


อี้เทียนหยุนรับภารกิจโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย


 


“ติ๊ง ท่านรับภารกิจ “ช่วยเหลือเผ่าภูต” สำเร็จ เมื่อสำเร็จจะได้รับสุดยอดรางวัล : กลายเป็นราชาภูต! ภารกิจที่ 1 “เอาชนะการขาดแคลนเม็ดยาของเผ่าภูต” เมื่อสำเร็จจะได้รับค่าประสบการณ์ 5 ล้าน, ค่าความคลั่ง 50,000, ความชำนาญในการกลั่นโอสถเพิ่มขึ้น 5,000, ค่าความชอบของเผ่าภูตเพิ่มขึ้น 50!”


 


“เป็นราชาภูต?”


 


อี้เทียนหยุนตกใจ ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิด หมายความว่าจะให้เขาเป็นผู้ปกครองเผ่าภูตอย่างงั้นเหรอ? เผ่ามนุษย์สามารถกลายเป็นราชาภูตได้ด้วยหรือไง? ยังไงก็ตาม ในเมื่อระบบบอกมาอย่างนี้ มันจะต้องไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน


 


“น่าสนใจ ถ้าสามารถปกครองเผ่าภูตได้ นิกายเทียนเฉวียนของข้าก็คง……”


 


ในสมองของอี้เทียนหยุนปรากฏความคิดหลากหลายขึ้นมา และหนึ่งในนั้นก็คือการทำให้นิกายเทียนเฉวียนกลายเป็นขุมอำนาจชั้น 3 อย่างง่ายดาย กระทั่งการจะขึ้นเป็นขุมอำนาจชั้น 4 ยังไม่ใช่เรื่องยาก ของแค่เขารวมเผ่าภูตเข้าไป เรื่องนี้ยังต้องกังวลอีกเหรอ? นี่ไม่เท่ากับการเปิดประตูสู่ขุมอำนาจแห่งค่ายกลหรือไง!


 


ในแผ่นดินแห่งนี้ ความสำเร็จในด้านค่ายกลของเผ่าภูตถือเป็นที่สุด


CLS ตอนที่ 288: ไม่ทราบว่านี่ใช้ได้ไหม


 


หลังจากที่อี้เทียนหยุนรับภารกิจ เขาก็พลันเงยหน้าขึ้นแล้วพูดขึ้นว่า “เรื่องยานั้นข้าสามารถช่วยเจ้ากลั่นให้ได้นะ!”


 


เขากะจะทักทายเย่ชิงเสวียน แต่ไม่คิดว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้นก่อน ดังนั้นเขาจึงต้องวางเรื่องของตัวเองไว้ ในเมื่อได้เจอเย่ชิงเสวียนแล้ว โอกาสที่จะบอกกับยังไงก็ต้องมีอีก แต่ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ยังไม่ค่อยดี คงต้องให้เรื่องนี้จบก่อนแล้วค่อยว่ากัน


 


“เจ้ากลั่นโอสถได้อย่างงั้นเหรอ?” คนอื่นต่างพากันเงยหน้าขึ้น ในสายตาต่างเต็มไปด้วยความตกใจ


 


เย่ชิงเสวียนกับพวกพากันมองมาที่อี้เทียนหยุนด้วยความตกใจ ใครจะไปคิดว่าเขาจะสามารถกลั่นโอสถได้?


 


“เจ้าสามารถกลั่นโอสถได้จริงๆ?” เย่ชิงเสวียนคิด จากนั้นก็พูดว่า “ที่พวกเราต้องการไม่ใช่เม็ดยาชั้นต่ำ แต่เป็นชั้น 3 เป็นอย่างต่ำ ทั้งยังมีชั้น 4 ด้วย เจ้าสามารถทำมันได้จริงๆ?”


 


“ขอแค่มีวัตถุดิบ ก็ไม่มีปัญหา” อี้เทียนหยุนไม่อยากจะพูดนัก


 


เขาในตอนนี้มีระดับในการกลั่นโอสถไปถึงขั้นสูงแล้ว เขาสามารถกลั่นโอสถชั้น 5 ได้ตั้งนานแล้ว! เพียงแต่โอสถชั้น 5 จะมีอัตราสำเร็จค่อนข้างต่ำ แต่ถ้าได้ทำหลายๆ ครั้ง หรือเปิดใช้งานโชคดี ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องที่ยากอะไรนัก


 


“ถ้างั้นข้าคงต้องขอให้เจ้าช่วยกลั่นโอสถให้พวกเราอย่างเร่งด่วนด้วย!” เย่ชิงเสวียนพูดออกมา


 


“ท่านนักบุญหญิง ท่านจะให้คนที่ไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้ามากลั่นโอสถให้จริงๆ อย่างงั้นเหรอ?” ผู้อาวุโสที่อยู่ใกล้ๆ ทนไม่ได้ พูดออกมา


 


คำพูดของผู้อาวุโสคนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องไร้เหตุผล พวกเขากลัวว่าจะมีบางคนปลอมตัวเข้ามา จากนั้นก็วางยาลงในเม็ดยา จากนั้นเมื่อพวกเขากินเข้าไป งั้นพวกเขาคงถึงจุดจบแล้ว


 


“แล้วท่านมีวิธีอื่นไหมล่ะ?” เย่ชิงเสวียนมองไปที่ผู้อาวุโสคนนั้นแล้วถามเบาๆ


 


“นี่…. ไม่มี” ผู้อาวุโสคนนั้นยิ้มอย่างอึดอัด พวกเขาไม่มีวิธีจริงๆ ร้านยาปฏิเสธที่จะขายยาให้กับพวกเขา แค่พวกเขาไม่ถูกจับไปก็ดีแค่ไหนแล้ว อย่าว่าแต่จะมียาสำรองเลย


 


“ถ้าไม่มีก็ไม่ต้องพูด” เย่ชิงเสวียนไม่อยากจะเถียงกับพวกเขา จากนั้นก็หันมาพูดกับอี้เทียนหยุนว่า “งั้นคงต้องรบกวนเจ้าแล้ว ส่วนวัตถุดิบพวกเราจะเตรียมให้”


 


“ท่านนักบุญหญิง ในเมื่อผู้อาวุโสมีความสงสัยในตัวข้า เรื่องนี้แก้ปัญหาได้ง่ายมาก ยามข้ากลั่นโอสถ พวกท่านสามารถดูได้ตามใจ และเมื่อยาเสร็จแล้ว ข้าจะเป็นคนลองเป็นคนแรก วิธีนี้ท่านว่าไง?” อี้เทียนหยุนรู้ว่าในใจพวกเขากังวลเรื่องอะไร


 


ตอนนี้อยู่ในช่วงคับขัน อย่าว่าแต่คนต่างเผ่า ต่อให้เป็นคนเผ่าเดียวกันยังมีคนทรยศเลย แล้วอย่างนี้จะไม่ให้กังวลได้ยังไง? ถ้าเขาเป็นเผ่าภูต เขาก็ต้องระแวงเหมือนกัน


 


ที่เย่ชิงเสวียนตัดสินใจอย่างนี้ไม่ใช่ว่าไม่ระแวง เพียงแต่ในตอนนี้คนในเผ่ามีคนบาดเจ็บสาหัสอยู่ ถ้าไม่มียาพวกเขาจะต้องตายอย่างแน่นอน! ยิ่งกว่านั้น ถ้าเธอไม่เสี่ยงกับเรื่องนี้ เธอก็ไม่มีวิธีอื่นแล้วเช่นกัน


 


“นี่……”


 


คำพูดของอี้เทียนหยุนทำให้ทุกคนพากันตกใจ นัยน์ตาคู่งามของเย่ชิงเสวียนเป็นประกาย คำพูดนี้ของเขาทำให้เธอหมดความระแวงในทันที มีคนจับตาดูอยู่ข้างๆ ทั้งเขายังเป็นคนลองกินคนแรกอีก นี่ย่อมให้พวกเขารู้สึกวางใจอย่างไม่ต้องสงสัย


 


นี่เขาจะให้คนดูเขายามกลั่นโอสถจริงๆ อย่างงั้นเหรอ? นักกลั่นโอสถส่วนมากมักจะปิดบังวิธีกลั่นโอสถของพวกตน ด้วยกลัวว่าคนอื่นจะเห็นวิธีการของพวกเขา แต่อี้เทียนหยุนกลับต่างออกไป ไม่เพียงแต่จะยอมทำต่อหน้าผู้คนแล้ว เขายังยินดีจะลองให้ก่อนเป็นคนแรกอีกด้วย!


 


“ดี ในเมื่อพูดอย่างนี้คงต้องขอรบกวนแล้ว จากนี้ไปพวกเราจะต้องตอบแทนเจ้าอย่างแน่นอน!” เย่ชิงเสวียนพลันโบกมือแล้วพูดขึ้น “งั้นก็ไปที่สถูปวิญญาณกัน วัตถุดิบอยู่ในนั้น”


 


อี้เทียนหยุนพยักหน้า จากนั้นก็หันไปพูดกับเย่หว่านเอ๋อว่า “ไปกันเถอะ ไปที่สถูปวิญญาณด้วยกัน”


 


“แต่ แต่ข้า…..” เย่หว่านเอ๋อตกใจ สถูปวิญญาณไม่ใช่ที่ที่พวกเธอจะไปกันได้ตามใจ


 


“ไปด้วยกันเถอะ” เย่ชิงเสวียนตบหลังเธอ บอกให้เธอไปด้วยกัน


 


“อืม!” เย่หว่านเอ๋อตื่นเต้น สามารถไปด้วยได้ถือว่าดีที่สุด ทั้งเธอยังมีโอกาสได้เจอกับพี่สาวของเธอด้วย


 


จากนั้น ภายใต้การนำของเย่ชิงเสวียน พวกเขาก็ได้มาถึงตรงหน้าสถูปวิญญาณอย่างรวดเร็ว เมื่อมองเข้าไปยังสถูปวิญญาณที่ตั้งสูงตระหง่านอยู่ตรงหน้าก็ต่างจากที่เห็นไกลๆ นัก ทั่วทั้งสถูปวิญญาณต่างก็เต็มไปด้วยค่ายกลที่สลักอยู่ ทั้งค่ายกลยังพากันเปล่งแสงวิบวับจับตา ทำให้ทั่วทั้งสถูปวิญญาณราวกับเปล่งแสงได้


 


ทั่วทั้งอาณาเขตนี้ล้วนแต่ถูกสลักไปด้วยค่ายกลโดยสมบูรณ์ ทั้งหมดรวมเป็นค่ายกลใหญ่! โดยมีสถูปวิญญาณเป็นแกนกลางค่ายกล ถ้าสถูปวิญญาณถูกทำลาย ก็เท่ากับเผ่าภูตจะไม่สามารถซ่อนตัวได้อีก ทั้งยังไม่สามารถโจมตีตอบโต้ได้อีกด้วย


 


สถูปวิญญาณนี้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นที่นี่แบบสุ่ม แต่เกิดจากคำนวณอย่างดี ด้วยความที่เป็นแกนกลางของค่ายกล มันจึงถูกสร้างขึ้นมาให้งดงามจับตาเป็นพิเศษ ล่อตาให้ใจให้เข้ามาทำลายซะเหลือเกิน ยังไงก็ตาม เพื่อที่จะไม่ให้สถูปวิญญาณนี้ถูกทำลายได้ง่ายๆ วัตถุดิบที่ใช้สร้างจึงเป็นวัตถุดิบหายากมากสุดๆ


 


แค่มองด้วยตาเปล่าอี้เทียนหยุนก็รู้ได้แล้วว่า ถ้าไม่ใช่ระดับราชาวิญญาณขึ้นไปล่ะก็ ไม่มีทางทำลายสถูปวิญญาณนี้ได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน


 


หลังจากเดินเข้ามาในสถูปวิญญาณนี้ ด้านในยิ่งมอบความตื่นตะลึงให้ยิ่งกว่า รอบๆ ล้วนแต่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณซึ่งเข้มข้นกว่าโลกภายนอกไม่รู้กี่เท่า ยังไงก็ตาม มันก็ยังจำเป็นต้องพึ่งพาหินวิญญาณหยกอยู่ จำเป็นต้องส่งพลังวิญญาณจากหินวิญญาณหยกเข้ามาในสถูปวิญญาณอย่างต่อเนื่อง ถึงจะสามารถคงความเข้มข้นของพลังวิญญาณนี้ไว้ได้


 


อย่างรวดเร็ว พวกเขาก็เข้ามาถึงยังห้องกลั่นโอสถ ที่นี่เป็นที่ที่นักกลั่นโอสถไว้ใช้กลั่นโอสถ ระดับของพวกเขาก็ไม่ได้ต่ำ เพียงแต่ยาที่เขาสร้างออกมากลับไม่ได้สูงนัก พวกเขามีพลังระดับก่อแกนวิญญาณ แต่ยาที่พวกเขาทำออกมาได้เป็นเพียงเม็ดยาชั้น 2 ชั้น 3 เท่านั้น ทั้งยังเป็นแบบที่พอกล้อมแกล้มอีกด้วย


 


นี่คือนักกลั่นโอสถของพวกเขา เนื่องเพราะเป็นเผ่าที่เด่นทางด้านค่ายกล ทำให้มีส่วนน้อยที่เลือกจะทำการเป็นนักกลั่นโอสถ ทั้งพรสวรรค์ในด้านกลั่นโอสถยังมีอย่างจำกัด ทำให้สามารถสร้างเม็ดยาได้เพียงบางชนิดเท่านั้น ทั้งยังเป็นแบบที่พอจะกล้อมแกล้มผ่าน


 


“ท่านนักบุญหญิง” เมื่อพวกเขาเห็นเย่ชิงเสวียนก็พากันเอ่ยทักทาย


 


ดูเหมือนว่าชื่อเสียงของเย่ชิงเสวียนจะโด่งดังมากทีเดียว กระทั่งที่นี่ยังมีคนเคารพนับถือ


 


“อืม ลำบากพวกเจ้าแล้ว” เย่ชิงเสวียนพยักหน้าให้พวกเขา จากนั้นก็พูดว่า “นี่คือผู้ช่วยที่ข้าเชิญมา เขาจะทำการกลั่นโอสถร่วมกับพวกเจ้า เจ้าวางเตาปรุงยาลงก่อน จากนั้นก็ให้เขาใช้เตาปรุงยาของเจ้า”


 


“ผู้ช่วยอย่างงั้นเหรอ?” พวกเขาพากันมองอี้เทียนหยุนแล้วขมวดคิ้วออกมา คนนอกสำหรับพวกเขาแล้ว ไม่มีความประทับใจใดใดแม้แต่น้อย


 


“เขาสามารถกลั่นโอสถถึงชั้นไหน แล้วอัตราสำเร็จอยู่ที่เท่าไหร่?”


 


“ใช่ ถ้าชั้นต่ำเกินไป หรือว่าความเร็วช้าเกินไป สู้ให้พวกเราทำกันเองดีกว่า”


 


พวกเขาพากันส่งคำถามออกมา ไม่เชื่อในตัวเด็กหนุ่มคนนี้ ไม่เพียงแต่จะอายุน้อยเท่านั้น แต่ยังเป็นคนต่างเผ่าอีก


 


“เขาสามารถกลั่นโอสถชั้น 4 ได้” เย่ชิงเสวียนตอบออกมา


 


“สามารถกลั่นโอสถชั้น 4 ได้?” พวกเขาพากันตกใจ งั้นเด็กหนุ่มคนนี้ก็เป็นนักกลั่นโอสถชั้น 4 น่ะสิ?


 


“ก็ได้ งั้นข้าจะมอบที่นั่งของข้าให้กับเขา หวังว่าเขาจะสามารถกลั่นโอสถชั้น 4 ออกมาได้ ไม่ใช่ว่าเป็นแค่เม็ดยาขยะกลุ่มหนึ่ง”


 


ผู้จัดการคนนั้นทำได้เพียงลุกขึ้นอย่างไม่ยินยอม จากนั้นก็สละเตาปรุงยาที่ตนใช้อยู่ มอบให้อี้เทียนหยุนใช้การกลั่นโอสถ ทั่วทั้งห้องกลั่นโอสถนี้มีเตาปรุงยาอยู่แค่สามเตาเท่านั้น เมื่อต้องสละเตาปรุงยานี้ไป แน่นอนว่าเขาต้องอยู่กลายเป็นคนว่างงานไป


 


“ไม่ต้องหรอก เจ้าทำการกลั่นโอสถของเจ้าต่อไปเถอะ ข้ามีเตาปรุงยาของข้าเอง” อี้เทียนหยุนหยิบเอาเตาหลอมม่วงเทวะออกมา แค่นี้ก็ใช้ได้แล้ว


 


“เจ้ามีเตาหลอมของตัวเองก็ดี แล้วเปลวไฟหลอมยาล่ะ? ที่นี่มีเปลวไฟใต้พิภพบริสุทธิ์อยู่ เมื่อเทียบกับเปลวไฟทั่วไป มันโดดเด่นกว่ามากนัก” เย่ชิงเสวียนถามขึ้น


 


ที่เตาปรุงยาถูกตั้งอยู่ที่นี่ใช่ว่าจะไร้ที่มาที่ไป เพราะมีเปลวเพลิงใต้พิภพอยู่ จึงทำให้สามารถกลั่นโอสถที่มีระดับสูงขึ้นได้


 


“พรึบ!”


 


เปลวเพลิงไร้สิ้นสุดผุดขึ้นมา เทียบกับเปลวเพลิงในเตาหลอมของพวกเขาแล้วไม่รู้ว่าแข็งแกร่งกว่ากี่เท่า ทำให้พวกเขาพากันตกใจ


 


“ไม่ทราบว่านี่ใช้ได้ไหม?” อี้เทียนหยุนถามด้วยรอยยิ้ม


CLS ตอนที่ 289: กลั่นโอสถ


 


เปลวเพลิงนิรันดร์ทำให้ทุกคนต่างก็มองมาด้วยความตกใจ นี่สร้างความตกใจให้กับพวกเขาจริงๆ นักกลั่นโอสถทั่วไปจะมีเพียงเปลวไฟที่แข็งแกร่งนิดหน่อยเท่านั้น บางคนกระทั่งจุดไฟใต้เตาเองด้วยซ้ำ


 


แต่เปลวเพลิงที่อี้เทียนหยุนแสดงให้พวกเขาดูนี้ กลับเหนือไปจากที่พวกเขาคิดอย่างต่อเนื่อง ยังหนุ่มทั้งยังมีเปลวเพลิงที่ทรงพลังขนาดนี้อีก นี่คิดจะเหนือทุกอย่างเลยหรือไง? ตกลงว่าเขามาจากขุมอำนาจไหนกันแน่ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีเปลวเพลิงที่ทรงพลังขนาดนี้อย่างแน่นอน?


 


“ใช้ได้ ใช้ได้แน่นอน!” นัยน์ตาคู่งามของเย่ชิงเสวียนเป็นประกายขึ้นหลายส่วน ไม่เพียงแต่จะมีเตาปรุงยาเท่านั้น เขายังมีกระทั่งเปลวเพลิงที่แข็งแกร่งอีกด้วย แสดงว่าระดับในการกลั่นโอสถของอี้เทียนหยุนจะต้องไม่ต่ำอย่างแน่นอน


 


“แล้วจะให้ข้ากลั่นโอสถชนิดไหน บอกมาได้เลย” อี้เทียนหยุนพูด


 


“ตอนนี้คนในเผ่าบาดเจ็บสาหัสกันเยอะ ทำให้ขาดแคลนเม็ดยาชั้น 4 ที่ชื่อว่า “เม็ดยาประคองชีวิต” ไม่ทราบว่าพอจะทำได้ไหม? ถ้าไม่มีสูตร ที่นี่มีสูตรให้” เย่ชิงเสวียนถาม


 


“เม็ดยาประคองชีวิต ชั้น 4 อย่างนั้นสินะ ไม่มีปัญหา สำหรับสูตรนั้น ข้ามีแล้ว” อี้เทียนหยุนพยักหน้า จากนั้นก็พูดว่า “งั้นก็ช่วยไปเตรียมวัตถุดิบให้ข้าที ยิ่งมากยิ่งดี!”


 


ขณะที่ความชำนาญในการกลั่นโอสถของเขาเลื่อนขั้น เขาก็จะได้รับสูตรยาหลักบางสูตรมาด้วย ซึ่งสูตรเม็ดยาประคองชีวิตนี้ก็ถือว่าเป็นสูตรยาหลักที่ได้รับมา ดังนั้นเขาจึงมีด้วย แต่ถ้าเป็นสูตรยาหายากเขาจะไม่มี เช่นเม็ดยาปรับแต่งวิญญาณที่เขาไม่มีมัน


 


หรือก็คือเขาทำการกลั่นโอสถไม่หยุด เพื่อที่จะทำให้นิกายเทียนเฉวียนกลายเป็นสำนักใหญ่ที่แข็งแกร่ง


 


“ตกลง ข้าจะไปเตรียมให้เดี๋ยวนี้เลย!” ใบหน้าเย่ชิงเสวียนเต็มไปด้วยความดีใจ รีบสั่งให้คนไปเตรียมวัตถุดิบมาทันที


 


อย่างรวดเร็ว พวกเขาก็ทำการเตรียมวัตถุดิบจำนวนมากมา พร้อมกับเอามากองไว้ตรงหน้า พวกเขามีวัตถุดิบล้ำค่ามากมายในป่า ทั้งยังเป็นวัตถุดิบชั้นยอด กระทั่งวัตถุดิบในการสร้างกระดาษยันต์ก็ยังหาได้จากที่นี่ ไม่แปลกที่อาณาจักรใต้พิภพจะต้องการปกครองเผ่าภูต ด้วยทรัพยากรที่มากมายขนาดนี้ พวกเขาจะไม่ต้องการได้ยังไง


 


หลังจากได้วัตถุดิบมา อี้เทียนหยุนไม่แม้แต่จะมอง เขาทำการโยนวัตถุดิบลงไปยังเตาหลอมของตนในทันที เตาหลอมเพลิงม่วงศักดิ์สิทธิ์ดูแล้วเหมือนจะเล็ก แต่ด้านในราวกับมีอีกมิติ ทำให้สามารถรองรับวัตถุดิบที่จะกลั่นได้จำนวนมาก


 


หลังจากใส่วัตถุดิบลงไปแล้ว เขาก็ทำการจุดเพลิงนิรันดร์ขึ้นมาในทันที พร้อมกับทำให้เปลวเพลิงใหญ่ขึ้น เริ่มหลอมวัตถุดิบที่อยู่ภายในอย่างรวดเร็ว ทำการกลั่นพวกมันให้บริสุทธิ์


 


แค่เริ่มก็ใช้ไฟที่แรงขนาดนี้ ทำให้พวกที่มองอยู่พากันขมวดคิ้ว นี่ไม่ใช่รนหาที่ตายหรอกเหรอ? ทำชุ่ยๆ แบบนี้ นี่คิดจะกลั่นโอสถจริงๆ!?


 


“นี่เขากำลังทำอะไร คิดจะกลั่นโอสถจริงๆ หรือเปล่า? ทำไมข้ารู้สึกว่ามันต้องล้มเหลวเลยล่ะ…..”


 


“ไม่ใช่บอกว่าเป็นนักกลั่นโอสถชั้น 4 หรอกเหรอ กลัวว่าจะเป็นแค่คำโอ้อวดมากกว่า…..”


 


“เสียดายเพลิงโอสถจริงๆ ถ้าเปลี่ยนเป็นข้านะ ข้าจะต้องกลั่นโอสถชั้นสูงกว่านี้ได้อย่างแน่นอน!”


 


พวกเขาพากันส่ายหัว เป็นไปตามที่คาด ยังเด็กขนาดนี้จะเป็นนักกลั่นโอสถชั้น 4 ได้ยังไง นี่เท่ากับเสียวัตถุดิบไปโดยเปล่าประโยชน์แล้ว นี่มันวัตถุดิบชั้น 4 เชียวนะ!


 


ผู้อาวุโสหลายคนขมวดคิ้ว อดไม่ได้จนต้องพูดออกมา “นี่มันอะไรกัน คงไม่ใช่กำลังทำลายวัตถุดิบอยู่หรอกนะ?”


 


เย่ชิงเสวียนก็ขมวดคิ้วเช่นกัน แต่ไม่พูดอะไร ส่วนเย่หว่านเอ๋อที่อยู่ใกล้ๆ กำลังกำหมัดแน่น อี้เทียนหยุนเป็นคนที่เธอพามา ถ้าไม่สามารถช่วยเผ่าได้ เธอคงได้แต่ตำหนิตัวเอง


 


ยังไงก็ตาม กระบวนการก็ไม่ได้เป็นอย่างนี้นานนัก อี้เทียนหยุนทำการละมือจากเตาหลอมเพลิงม่วงศักดิ์สิทธิ์ข้างหนึ่ง ทำให้เม็ดยาจำนวนหนึ่งกระโดดออกมาจากเตาหลอมอย่างรวดเร็ว พร้อมกับหล่นลงในขวดหยกในมือเขา!


 


“เรียบร้อย” อี้เทีนยหยุนส่งขวดหยกให้กับเย่ชิงเสวียน “นี่คือยาชุดแรก ข้าจะทำการกลั่นยาชุดสองต่อ”


 


“อะไรนะ เสร็จแล้วอย่างงั้นเหรอ?!”


 


พวกเขาพากันตกใจ เย่ชิงเสวียนที่ได้รับมากลับรู้สึกไม่เชื่อ ทำการเทเม็ดยาจากขวดหยกออกมา ทำให้กลิ่นหอมฟุ้งกระจายออกมาในทันที เมื่อได้กลิ่นของมัน ก็ทำให้ลมปราณทั่วร่างของเธอรู้สึกดี รู้สึกสบายอย่างมาก!


 


ไม่ต้องสงสัยเลยว่า นี่ต้องเป็นเม็ดยาประคองชีวิตคุณภาพดีอย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นเม็ดยาประคองชีวิตชั้นสูงอีกด้วย!


 


“ยานี่จะต้องเป็นเม็ดยาประคองชีวิตที่มีการกลั่น 3 ชั้นเป็นอย่างน้อย….” แม้เย่ชิงเสวียนจะไม่ใช่นักกลั่นโอสถ แต่ก็เคยเห็นหรือสัมผัสกับเม็ดยาชั้นสูงมามาก


 


“อะไรนะ แค่เวลาสั้นก็สามารถกลั่นโอสถ 3 ชั้น ออกมาได้แล้ว!?”


 


ผู้คนนับไม่ถ้วนพากันตกใจ ตกตะลึงโดยสมบูรณ์ พวกเขาคิดว่าจะเสียวัตถุดิบทิ้งเสียแล้ว แต่ใครจะคิดว่าจะเป็นเม็ดยาที่ผ่านการกลั่น 3 ชั้น ไปเสียได้!


 


เม็ดยามีการกลั่นอยู่ 9 ชั้นด้วยกัน ยิ่งผ่านการกลั่นมากเท่าไหร่ ยิ่งให้ผลลัพธ์ที่แข็งแกร่งมากเท่านั้น การกลั่น 9 ชั้นถือเป็นจุดสูงสุด ทำให้คุณภาพของยาที่กลั่นออกมาแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมหลายสิบเท่า! ยังไงก็ตาม การจะทำให้ได้อย่างนี้เป็นเรื่องที่ยากมาก ยิ่งกว่านั้น นี่เป็นแค่สิ่งที่มีแต่ในตำนานเท่านั้น


 


มีน้อยคนมากที่จะสามารถกลั่นโอสถได้ถึงระดับการกลั่น 9 ชั้น คนส่วนใหญ่ล้วนแต่มาถึงระดับการกลั่น 3 ชั้นเท่านั้น ส่วนการกลั่น 4 ชั้นนั้นยากจะพบเจอ ยังไงก็ตาม แค่การกลั่น 3 ชั้นก็นับว่าดีมากแล้ว ด้วยเวลาที่สั้นขนาดนั้น สำหรับพวกเขาแล้ว ถือเป็นเรื่องที่เหนือไปกว่าจินตนาการที่พวกเขาจะคาดไปถึง!


 


“มีปัญหาอะไรเหรอ?” อี้เทียนหยุนส่งยิ้มสบายๆ ออกไป นี่เป็นผลมาจากการใช้งานโหมดคลั่งหมวดกลั่นโอสถ ทำให้ความเร็วในการกลั่นโอสถของเขาเพิ่มขึ้น 8 เท่า ทำให้ใช้เวลาไปเพียงไม่นาน


 


เขารู้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้กำลังคับขัน ดังนั้นจึงเลือกที่จะกลั่นออกมาให้เร็วที่สุด ถ้าคนของเผ่าภูตตาย เขาก็ไม่รู้ว่าภารกิจจะล้มเหลวหรือเปล่า


 


พูดจบเขาก็หยิบยาจากมือเย่ชิงเสวียนยัดเข้าปากตัวเองในทันที


 


“ติ๊ง ท่านได้กินเม็ดยาประคองชีวิต ได้รับค่าพลังชีวิต 10,000 แต้ม!”


 


ยาเม็ดนี้ใช้ประคองชีวิตของตน เป็นธรรมดาที่จะมีฤทธิ์เพิ่มพลังชีวิต แต่ยาเม็ดนี้ไม่ได้มีความหมายต่อเขาเท่าไหร่นัก ด้วยพลังป้องกันที่แข็งแกร่งของเขา ใครจะสามารถทำร้ายเขาได้?


 


การกระทำของอี้เทียนหยุนทำให้พวกเขาพากันตกใจ ทำให้พวกเขานึกไปถึงคำพูดเมื่อก่อนหน้าของอี้เทียนหยุน ตราบเท่าที่เป็นยาที่เขากลั่นออกมา ตัวเขาจะเป็นคนลองทานก่อน เพื่อให้พวกเขารู้สึกวางใจ


 


คำพูดในตอนนั้นอี้เทียนหยุนทำตามโดยไม่มีบิดพลิ้ว ไม่เพียงแต่จะทำงานเพื่อพวกเขาเท่านั้น เขายังไม่แม้แต่จะถ่วงเวลา ทำออกมาด้วยความเร็วที่น่าตื่นตะลึง! ทั้งตอนนี้ยังเป็นคนลองยาคนแรกอีก นี่ทำให้พวกเขารู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างมาก!


 


“ยาชุดนี้ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?” อี้เทียนหยุนพูดด้วยรอยยิ้มจางๆ


 


“ไม่มีปัญหา ยาชุดนี้คุณภาพดีมาก!” เย่ชิงเสวียนส่งยาให้กับผู้อาวุโสที่อยู่ใกล้ๆ แล้วพูดขึ้นว่า “รีบเอายาไปให้คนที่บาดเจ็บ ถ้าสายไปกลัวว่าจะไม่ทันเวลา!”


 


“ได้!”


 


พวกเขาพยักหน้าพร้อมกับรีบนำยาจากไปในทันที ตรงไปรักษาคนที่บาดเจ็บ


 


“พี่ใหญ่อี้ ท่านร้ายกาจมาก ท่านกลั่นโอสถได้จริงๆ!” เย่หว่านเอ๋อกอดแขนอี้เทียนหยุนไว้อย่างตื่นเต้น ใบหน้าแดงก่ำ ราวกับเธอเป็นคนทำเอง!


 


ในเผ่าตอนนี้อยู่ในช่วงอันตราย คนจำนวนมากไม่ยอมมาช่วย โดยเฉพาะเย่หว่านเอ๋อที่เป็นน้องสาวของนักบุญหญิง ทำให้เธอมีแรงกดดันมากกว่าคนอื่น ดังนั้นต่อให้คิดอยากจะช่วยก็ไม่สามารถช่วยได้ มาตอนนี้เธอเป็นคนพาผู้กอบกู้มาด้วยตัวเอง ผู้กอบกู้ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในการกลั่นโอสถ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เธอตื่นเต้นได้ยังไง?


CLS ตอนที่ 290: ภารกิจต่อเนื่อง


 


เย่หว่านเอ๋อตื่นเต้นจนลืมว่าผู้ชายและผู้หญิงไม่ควรถูกเนื้อต้องตัวกัน เธอทำการกอดแขนอี้เทียนหยุน ราวกับว่าคนที่กลั่นโอสถสำเร็จเป็นเธอเอง จริงๆ แล้วก็คือ เธอคิดว่าตัวเองมีส่วนช่วยให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น ดังนั้นจึงได้ตื่นเต้นอย่างนี้


 


“หว่านเอ๋อ ยังไม่รีบปล่อยอีก แบบนี้มันเสียมารยาทนะ!” เย่ชิงเสวียนพูดออกมาเบาๆ


 


“อ๊า….” เย่หว่านเอ๋อรีบปล่อยแขนอี้เทียนหยุนอย่างไว ใบหน้าของเธอกลายเป็นแดงสดใส รู้สึกกระอักกระอ่วนอย่างมาก “ขอโทษพี่ใหญ่อี้ ข้าตื่นเต้นเกินไปหน่อย”


 


“ไม่เป็นไร” อี้เทียนหยุนยิ้มบางๆ ไม่คิดอะไรมาก เขารู้สึกได้ว่าเย่หว่านเอ๋อตื่นเต้นจริงๆ


 


“คุณชายท่านนี้ เมื่อกี้ที่สงสัยในตัวท่าน ข้าขอเป็นตัวแทนของทุกคนพูดขอโทษท่าน หวังว่าท่านจะให้อภัยกับการเสียมารยาทของพวกเรา” เย่ชิงเสวียนกล่าวขอโทษออกมาอย่างจริงใจ


 


“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าคิดอะไร ถ้าเป็นข้าก็ต้องมีการระแวงเหมือนกันนั่นแหละ ถึงยังไงสถานการณ์ของเผ่าภูตในตอนนี้ก็ไม่ได้ดีสักเท่าไหร่” อี้เทียนหยุนโบกมือแล้วพูดขึ้น “และไม่ใช่แค่คราวนี้เท่านั้น ถ้าเจ้าต้องการให้กลั่นยาอะไรอีกให้บอกข้าไม่ต้องเกรงใจ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว งั้นข้าจะกลั่นโอสถชั้น 4 ต่อ”


 


“ไม่มีปัญหา รบกวนแล้ว!” เย่ชิงเสวียนพยักหน้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกขอบคุณ “ตอนนี้ให้เน้นไปที่โอสถชั้น 4 ก่อน ส่วนชั้นอื่นๆ ให้ละไว้ชั่วคราว เพราะตอนนี้ที่พวกเราขาดที่สุดก็คือโอสถชั้น 4”


 


“ตกลง งั้นข้าจะกลั่นโอสถชั้น 4 เลยก็แล้วกัน ตอนนี้อาจจะช้าลงเล็กน้อย เพราะยังไงก็ต้องเอาที่มันมั่นคงไว้ก่อน แต่ถ้าต้องการแบบเร่งด่วนก็ให้มาบอกข้า”


 


ตราบเท่าที่ไม่ใช่สถานการณ์ฉุกเฉิน อี้เทียนหยุนก็ไม่อยากจะใช้โหมดคลั่งสักเท่าไหร่ เพราะการเปิดใช้งานโหมดคลั่งจะทำให้ต้องเสียค่าความคลั่งไป ซึ่งออกจะไม่คุ้มอยู่บ้าง


 


“ได้ แค่วัตถุดิบชุดนี้ก็เหลือแหล่แล้ว จากนั้นคงไม่ต้องกังวลไปอีกนาน” เย่ชิงเสวียนพูด “งั้นข้าขอตัวไปจัดการงานของข้าก่อน ถ้ามีปัญหาอะไรให้บอกกับหว่านเอ๋อได้”


 


พูดเสร็จเธอก็จากไป เห็นได้ชัดว่ามีเรื่องอีกมากให้ต้องจัดการ ที่เธอออกมาครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าต้องการมาเจอคนที่ช่วยชีวิตน้องสาวของเธอไว้ ดังนั้นเมื่อเสร็จเรื่อง เธอจึงรีบกลับไปจัดการงานของเธอต่ออย่างว่องไว


 


อี้เทียนหยุนมองตามหลังเย่ชิงเสวียนที่จากไป เหมือนอยากจะพูดอะไร แต่ก็ไม่พูด การเปิดเผยตัวกับเธอ คงต้องเอาไว้ก่อน ตอนนี้เขายังไม่อยากเปิดเผยตัว เอาไว้ตอนอยู่ด้วยกันตามลำพังค่อยบอกก็ยังไม่สาย


 


เพราะเขาไม่รู้ว่าสถานการณ์ในเผ่าภูตเป็นยังไงบ้างแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะเปิดเผยตัวตนตามใจ


 


จากนั้น เขาก็ทำการกลั่นโอสถชั้น 4 ต่อ เย่หว่านเอ๋อก็มองอยู่ข้างๆ โดยที่ไม่พูดอะไร ด้วยกลัวว่าจะเป็นการรบกวนเขา นักกลั่นโอสถคนอื่นก็เช่นกัน แม้จะทำการกลั่นโอสถเช่นกัน แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะมองมาทางนี้ การกลั่นโอสถที่รวดเร็วเมื่อกี้นี้ ทำให้พวกเขาอดไม่ได้ต้องมองมาอยู่หลายครั้ง หวังว่าจะฉวยอะไรไปได้บ้าง


 


แน่นอนว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ว่าแค่มองแล้วจะทำตามได้ ถ้าไม่ได้โหมดคลั่ง เขาก็ไม่มีทางที่กลั่นได้เร็วขนาดนั้น


 


“มีอะไรอยากจะพูดก็พูดสิ” อี้เทียนหยุนขณะที่กลั่นโอสถก็ได้พูดขึ้น


 


“ได้เหรอ? มันจะไม่รบกวนท่านอย่างงั้นเหรอ?” เย่หว่านเอ๋อพูด


 


“ถ้าแค่นี้ก็ล้มเหลวแล้ว งั้นระดับของข้าคงแย่เกินไปแล้ว” อี้เทียนหยุนยิ้ม เรื่องนี้ไม่ได้ยากอะไรสำหรับเขา ถ้าแค่คุยกันก็ล้มเหลวแล้ว งั้นระดับของเขาคงจะน่าผิดหวังเกินไป


 


“อืม….. พี่ใหญ่อี้ ท่านในตอนนี้ร้ายกาจมากจริงๆ ทั้งกลั่นโอสถได้ ไหนจะพลังที่สุดจะแข็งแกร่งนั่นอีก ทั้งที่ยังดูหนุ่มอยู่แท้” เย่หว่านเอ๋อพูดอย่างสงสัย “ท่านซื้อหินวิญญาณหยกมากขนาดนั้น หรือว่าท่านจะสร้างค่ายกลเป็นด้วย?”


 


ผู้จัดการที่อยู่ใกล้ๆ ต่างพากันหูตั้ง เจ้าหนุ่มนี้ยังจะสร้างค่ายกลเป็นอีกอย่างงั้นเหรอ?


 


“ก็นิดหน่อย” อี้เทียนหยุนพูดพร้อมรอยยิ้มบางๆ


 


“แค่นิดหน่อย?” เย่หว่านเอ๋อพูดขึ้นอย่างตื่นเต้น “นั่นก็ต้องแน่นอนอยู่แล้ว ระดับการกลั่นโอสถของท่านร้ายกาจขนาดนั้น แน่นอนว่าระดับการสลักค่ายกลของท่านจะต้องไม่ร้ายกาจเท่าเผ่าภูตของพวกเรา ตอนนี้ข้าเป็นถึงนักสลักอาคมชั้น 5 แล้ว…. พูดได้ว่านักสลักอาคมชั้น 5 ถือเป็นระดับธรรมดาของเผ่าภูตเรา พี่ใหญ่อี้ ถ้าท่านต้องการค่ายกลหรือว่าอาคมไหน ข้าสามารถสร้างให้ท่านได้ ตราบเท่าที่ไม่เกินระดับชั้น 5 ล่ะก็ ข้าสามารถทำมันได้อย่างแน่นอน!”


 


อี้เทียนหยุนยิ้ม แล้วพูดขึ้นว่า “ก็ได้ ถ้าข้าต้องการ ข้าจะต้องขอร้องเจ้าอย่างแน่นอน”


 


เขาพูดทีเล่นทีจริง เขาในตอนนี้มีมาถึงระดับชำนาญแล้ว แม้ว่าจะไม่อาจเทียบกับนักสลักอาคมชั้นยอดได้ แต่อย่างน้อยก็ถือว่าเข้าสู่ของเขตของนักสลักอาคมระดับต้าซือแล้ว


 


จากนั้น พวกเขาก็ไม่คุยอะไรอีก เย่หว่านเอ๋อคอยมองดูเขากลั่นโอสถอยู่ใกล้ๆ อย่างสงบ ตอนนี้เธอสามารถทำได้เพียงแค่นี้เท่านั้น ยิ่งกว่านั้น เธอยังไม่สามารถเดินไปไหนในสถูปวิญญาณได้ตามใจ ดังนั้นจึงทำได้เพียงนั่งนิ่งอยู่ในนี้เท่านั้น


 


ด้วยความสามารถของอี้เทียนหยุน เขาก็ได้ทำการกลั่นโอสถทีละชุดอย่างต่อเนื่อง จนได้เม็ดยาประคองชีวิตหลายกอง โดยที่ใช้เวลาไปไม่นานเท่าไหร่


 


ส่วนผู้จัดการเผ่าภูตคนอื่นๆ ตอนนี้พากันไปพักแล้ว เขาที่ยังสามารถกลั่นโอสถได้จนถึงตอนนี้ ระดับความอดทนของเขาไม่ใช่น้อยๆ เลย ทำให้ผู้จัดการเผ่าภูตต่างก็พากันมองหน้ากันด้วยสีหน้าว่างเปล่า ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี หลังจากพากันพักสักครู่ พวกเขาก็ลุกขึ้นมาทำการกลั่นโอสถกันต่อ


 


นี่เป็นผลมาจากอี้เทียนหยุน คนภายนอกกำลังทำงานอย่างแข็งขัน แล้วพวกเขาจะพากันพักอย่างสบายใจได้ยังไง?


 


หลังจากนั้นไม่นาน เย่ชิงเสวียนก็พลันเดินเข้ามา พร้อมกับรีบพูดขึ้นว่า “มีเม็ดยาประคองชีวิตไหม ตอนนี้ของไม่พอแล้ว…..”


 


“พี่สาว ท่านมาแล้ว!” เย่หว่านเอ๋อถือขวดที่ใส่เม็ดยาประคองชีวิต 5-6 ขวดเดินเข้าไป พร้อมกับส่งให้กับเธอแล้วพูดว่า “นี่เป็นเม็ดยาประคองชีวิตที่พี่ใหญ่อี้กลั่นออกมา”


 


“นี่….” เมื่อเย่ชิงเสวียนเห็นของพวกนี้ เธอก็ได้แต่ตกใจ ไม่คิดว่าเวลาแค่สั้นๆ ก็กลั่นออกมาได้มากขนาดนี้แล้ว แต่เธอก็ไม่ได้พูดมาก หลังจากรับมา เธอก็กล่าวขอบคุณอี้เทียนหยุน “แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ท่านพักเถอะ ขอบคุณมาก! ไว้เรื่องนี้จบเมื่อไหร่ เผ่าภูตจะถือว่าเป็นสหายกับท่านตลอดกาล จะต้องตอบแทนน้ำใจท่านอย่างแน่นอน!”


 


“ติ๊ง ภารกิจช่วยเหลือเผ่าภูตสำเร็จ ภารกิจที่ 1 “เอาชนะความขาดแคลนเม็ดยาของเผ่าภูต” ได้รับค่าประสบการณ์ 5 ล้าน, ค่าความคลั่ง 50,000, ความชำนาญในการกลั่นโอสถ 5,000, ค่าความชอบของเผ่าภูตเพิ่มขึ้น 50”


 


“ติ๊ง เปิดภารกิจ “ช่วยเหลือเผ่าภูต” ภารกิจที่ 2 “ช่วยซ่อมแซมค่ายกลของเผ่าภูต” เมื่อสำเร็จได้รับค่าประสบการณ์ 10 ล้าน, ค่าความคลั่ง 100,000, ค่าความชำนาญในการสลักอาคม 10,000, ค่าความชอบของเผ่าภูตเพิ่มขึ้น 50!”


 


ขณะที่อี้เทียนหยุนกำลังตกใจอยู่นั้น เย่ชิงเสวียนก็หันไปพูดกับเย่หว่านเอ๋อว่า “หว่านเอ๋อ เจ้ามากับข้า ตอนนี้กำลังขาดนักสลักอาคมชั้น 5 จำเป็นต้องรีบซ่อมแซมค่ายกลใหญ่!”


 


“ได้ ไม่มีปัญหา!” เย่หว่านเอ๋อพยักหน้าอย่างแรง พร้อมกับเตรียมจากไป


 


“นักบุญหญิง ไม่ทราบว่าข้าไปด้วยได้หรือเปล่า?” อี้เทียนหยุนลุกขึ้นพูด


 


เขาในตอนนี้มีภารกิจเข้าพอดี แม้ว่าต่อให้ไม่สำเร็จก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าสำเร็จก็จะได้รับค่าประสบการณ์กองโต แล้วอย่างนี้เขาจะพลาดได้ยังไง


 


“นี่….” เย่ชิงเสวียนลังเล จากนั้นก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “ก็ได้ งั้นรบกวนคุณชายตามพวกเรามา”


 


ในใจอี้เทียนหยุนให้รู้สึกมีความสุข แค่ไม่ปฏิเสธเขาก็ถือว่าดีแล้ว แต่ถึงจะปฏิเสธก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะถึงยังไงเขาก็ต้องหาเวลาคุยส่วนตัวกับเย่ชิงเสวียนเพื่อบอกฐานะของตนอยู่แล้ว


CLS ตอนที่ 291: ซ่อมแซมค่ายกล!


 


หลังจากรับปาก เย่ชิงเสวียนก็พาเขาเดินไปยังชั้นบนของสถูปวิญญาณ พวกเขาเดินขึ้นไปตามบันไดวนอย่างรวดเร็ว ระหว่างที่เดิน เขาก็สามารถมองเห็นค่ายกลรอบๆ ที่กำลังเปล่งแสงออกมา เขาสามารถสัมผัสได้ถึงพลังที่กำลังไหลออกไปอย่างรวดเร็ว


 


“แท้จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” อี้เทียนหยุนขมวดคิ้วถาม “หรือว่าจะเป็นคนของอาณาจักรใต้พิภพเข้ามาโจมตี?”


 


“ใช่แล้ว เพราะคนของอาณาจักรใต้พิภพเข้าโจมตี พร้อมกับกำลังบุกทะลวงค่ายกลอย่างบ้าคลั่ง ทำให้พวกเราต้องเปิดใช้งานสถูปวิญญาณอย่างเต็มกำลัง เป็นผลให้ต้องเสียพลังงานไปเป็นจำนวนมหาศาล” เย่ชิงเสวียนอธิบาย “เพราะการเปิดใช้งานอย่างเต็มกำลังนี้เอง ทำให้ค่ายกลเสียหายต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว ซึ่งตอนนี้ก็มีค่ายกลที่เสียหายไปมากแล้ว”


 


“ไม่ใช่ว่าเผ่าภูตมีนักสลักอาคมระดับต้าซือมากมายหรอกเหรอ พวกเขาซ่อมไม่ทันหรือยังไง?” อี้เทียนหยุนถาม


 


เผ่าภูตมีคนสำเร็จถึงนักสลักอาคมระดับต้าซือหลายคน กระทั่งระดับจงซือก็ยังมีให้เห็น! ดังนั้นแค่นักสลักอาคมชั้น 5 พวกเขาก็มีกันเกลื่อนแล้ว ดูได้จากเย่หว่านเอ๋อที่ยังเด็กอยู่ก็เป็นถึงนักสลักอาคมชั้น 5 แล้ว


 


ความจริงแล้วเป็นเพราะพรสวรรค์ของเย่หว่านเอ๋อน่าตื่นตะลึงต่างหาก พี่สาวได้นั่งในตำแหน่งนักบุญหญิง แล้วคนที่เป็นน้องสาวอย่างเธอจะด้อยกว่าได้ยังไง?


 


เย่ชิงเสวียนถอนหายใจ ขณะที่เย่หว่านเอ๋อที่อยู่ใกล้ๆ ก็เผยแววตาที่หดหู่ออกมา เห็นได้ชัดว่าการพูดถึงเรื่องนี้เป็นจุดอ่อนไหวอย่างหนึ่ง


 


“เพราะเกิดการทรยศของเผ่าภูตเมื่อก่อนหน้า ทำให้นักสลักอาคมจำนวนมากถูกจำตัวไป…. นักสลักอาคมระดับต้าซือในตอนนี้เหลืออยู่แค่คนเดียว กระทั่งนักสลักอาคมชั้น 5 ยังเหลืออยู่ไม่กี่คน ส่วนใหญ่ล้วนแต่อยู่ในระดับชั้น 4 เท่านั้น” เย่ชิงเสวียนพูดโดยไม่ปกปิด การกระทำของอี้เทียนหยุนเอาชนะใจพวกเธอได้แล้ว ยิ่งกว่านั้น เรื่องนี้ยังไม่ใช่ความลับอะไร


 


แม้ว่าโลกภายนอกจะมีคนจำนวนมากที่ไม่กระจ่างนัก แต่อย่างน้อยพวกขุมอำนาจใหญ่ล้วนแต่คาดการได้ เผ่าภูตในตอนนี้เป็นได้เพียงป้องปราการที่ว่างเปล่า คนส่วนใหญ่ถูกจับ มิหนำซ้ำยังเกิดการทรยศ ดังนั้น นักสลักอาคมที่เหลืออยู่จึงมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น


 


“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง…..” อี้เทียนหยุนเข้าใจเรื่องคร่าวๆ แล้ว ไม่แปลกที่กระทั่งเย่หว่านเอ๋อยังต้องถูกดึงมาช่วย ที่แท้ก็ขาดคนนี่เอง ถ้าเป็นตามปกติ เรื่องเกี่ยวกับค่ายกลย่อมไม่ถึงรอบให้พวกเขาช่วยเหลือ


 


ถ้าระดับไม่เพียงพอ คนมากใช่ว่าจะช่วยอะไรได้ กลับจะทำให้เรื่องยุ่งมากกว่าเดินมากกว่า


 


อย่างรวดเร็ว พวกเขาก็มาถึงชั้นบนสุดของสถูปวิญญาณ เพิ่งจะเหยียบย่างเข้าไป อี้เทียนหยุนก็เห็นรอบๆ ที่เต็มไปด้วยหินวิญญาณหยก กระทั่งชั้นล่างๆ ก็ยังมีให้เห็น ดูเหมือนว่านี่จะเป็นที่ไว้เติมหินวิญญาณหยก แต่ดูท่าคงใกล้จะหมดพลังในอีกไม่นาน


 


รอบๆ มีนักสลักอาคมหลายคนกำลังยุ่งกับการซ่อมแซมค่ายกลอยู่ ซึ่งระดับของพวกเขาก็ไม่ต่ำเลย ล้วนแต่เป็นนักสลักอาคมชั้น 5 กันทั้งนั้น รวมถึงนักสลักอาคมระดับต้าซือที่กำลังซ่อมแซมค่ายกลด้วยความเร็วที่เหนือกว่าคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งกว่านั้นคนที่ว่ายังเป็นผู้หญิงอีก


 


“ผู้อาวุโสเยี่ยน ตอนนี้สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?” เย่ชิงเสวียนเดินเข้าไปถาม


 


“ก็ไม่ได้ผิดจากที่คาดเท่าไหร่ ค่ายกลจำนวนมากได้รับการเสียหาย ซึ่งเมื่อถูกโจมตี พวกเราก็รีบทำให้ค่ายกลหายไปในป่า ทำให้พวกเขาต้องเร่งโจมตี” ผู้อาวุโสเยี่ยนขมวดคิ้ว ในสายตามีแสงแห่งความเย็นชาอยู่หลายส่วน “สามารถทำลายค่ายกลของพวกเราได้เร็วขนาดนี้ กลัวว่าจะเป็นพวกเหลยหยุนเป็นคนนำมา ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป กลัวว่าจะต้านได้อีกไม่นาน”


 


“เหลยหยุน!” สายตาของเย่ชิงเสวียนเต็มไปด้วยจิตสังหาร คนที่ขังเธอไว้ก็เป็นเหลยหยุนคนนี้นี่ล่ะ


 


เธอกลับมาเพื่อที่จะทำลายแผนชั่วของอีกฝ่าย แต่ปรากฏว่าสายเกินไป เผ่าภูตได้ตกไปอยู่ในกำมือของศัตรูแล้ว ผู้อาวุโสจำวนมากล้วนถูกจับ พวกระดับสูงล้วนไม่เหลือ จะเหลือเพียงก็แต่พวกระดับต่ำไม่กี่คน


 


“จำได้ว่าตอนแรกผู้อาวุโสได้หมั้นพี่สาวให้กับเหลยหยุน คิดว่าแล้วก็น่ารังเกียจจริงๆ พี่สาวจะไปแต่งงานกับเจ้าเหลยหยุนได้ยังไง!” เย่หว่านเอ๋อพูดด้วยความไม่พอใจอย่างมาก


 


“หยุดพูดถึงมันได้แล้ว พวกเรารีบซ่อมค่ายกลนี้กันก่อนดีกว่า เดี๋ยวพวกมันจะทำลายค่ายกลได้ซะก่อน” สายตาของเย่ชิงเสวียนเผยให้เห็นถึงความรังเกียจ จากนั้นก็ไม่ต้องการพูดถึงมันอีก


 


“นี่คือสหายที่ช่วยพวกเรากลั่นโอสถคนนั้นใช่ไหม?” ผู้อาวุโสเยี่ยนมองมาที่อี้เทียนหยุน


 


“คารวะผู้อาวุโสเยี่ยน” อี้เทียนหยุนพูดทักทายด้วยรอยยิ้ม


 


“คุณชายอี้ พวกเราเตรียมจะซ่อมแซมค่ายกล ท่านคอยดูอยู่ด้านข้างได้” เย่ชิงเสวียนพูด


 


เธอไม่รู้ชื่อจริงของอี้เทียนหยุน แต่ได้ยินเย่หว่านเอ๋อเรียกเขาว่าพี่ใหญ่อี้ ดังนั้นเธอจึงเรียกเขาว่าคุณชายอี้


 


“แล้วข้าสามารถช่วยซ่อมแซมค่ายกลด้วยได้ไหม?” อี้เทียนหยุนถาม


 


“ซ่อมแซมค่ายกล?” พวกเธอพากันตกใจ จากนั้นเย่ชิงเสวียนก็ถามขึ้น “ท่านสร้างค่ายกลเป็นด้วย? แล้วตอนนี้อยู่ระดับไหน? ถ้าต่ำกว่าชั้น 5 ล่ะก็ ที่นี่ก็ไม่มีค่ายกลไหนที่ท่านจะซ่อมได้หรอกนะ”


 


“ระดับก็พอใช้ได้ ที่จริงก็เป็นนักสลักอาคมชั้น 5 ล่ะนะ….” อี้เทียนหยุนคิดแล้วพูดออกไป


 


“พี่ใหญ่อี้ ท่าน ท่านเป็นนักสลักอาคมชั้น 5 จริงๆ?” เย่หว่านเอ๋อที่อยู่ใกล้ๆ เบิกตาคู่งามของเธอ เมื่อกี้นี้เธอเพิ่งจะโม้กับเขาอยู่เลยว่าตัวเองเป็นนักสลักอาคมที่แข็งแกร่ง!


 


ที่สำคัญคืออี้เทียนหยุนไม่เพียงแต่จะกลั่นโอสถเป็นเท่านั้น แต่เขายังเป็นนักสลักอาคมชั้น 5 ด้วย นี่เขาเอาเวลาที่ไหนไปฝึกกัน?


 


“แล้วไม่ทราบว่าข้าพอจะช่วยได้ไหม?” อี้เทียนหยุนพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มบางๆ


 


“นี่…. งั้นก็ลองดู?” เย่ชิงเสวียนคิด ตัดสินใจให้อี้เทียนหยุนลองดู ตอนนี้กำลังขาดคน ถ้าอี้เทียนหยุนสามารถช่วยได้ งั้นก็นับเป็นเรื่องดี


 


“เมื่อเป็นอย่างนี้ งั้นเจ้าก็ลองซ่อมแซมค่ายกลชั้น 5 ตรงนั้นดู” ผู้อาวุโสเยี่ยนก็ไม่ห้าม ตอนนี้พวกเธอกังวลแทบคลั่ง ขอแค่ไม่ใช่ศัตรู ถ้าช่วยได้ถือเป็นเรื่องดี


 


“ไม่มีปัญหา งั้นข้าจะลองดู” อี้เทียนหยุนเดินไปยังตรงหน้าค่ายกลชั้น 5 ที่ได้รับมอบหมาย ค่ายกลชั้น 5 นี้เสียหายมากกว่าครึ่ง ทั้งขีดเส้นยังเหลือเพียงผิวเผิน ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป มันจะต้องสลายไปอย่างแน่นอน ทำให้ไม่สามารถแสดงพลังออกมาได้


 


เมื่อไปถึง เขาก็หยิบพู่กันอวี้หลิงออกมา นี่เป็นพู่กันสลักอาคมระดับจิตวิญญาณ เมื่อเขานำมันออกมา พวกเธอก็พากันตาเป็นประกาย มี่ของระดับนี้ ดูเหมือนที่พูดมาท่าจะจริง


 


จากนั้น อี้เทียนหยุนก็เริ่มซ่อมแซมค่ายกลในทันที เขาในตอนนี้ไม่จำเป็นต้องใช้เนตรสวรรค์ เอาจริงๆ คือไม่กล้าใช้ เขาไม่รู้ว่าที่เย่ชิงเสวียนมอบพรสวรรค์ของเธอให้กับเขาจะมีโทษอะไรไหม ดังนั้นเนตรสวรรค์นี้ เขาไม่สามารถใช้มันออกมาได้ กระทั่งผู้อาวุโสยังไม่สามารถไว้ใจได้!


 


อย่างรวดเร็ว เขาก็จับพู่กันอวี้หลิงแล้วเริ่มซ่อมแซมค่ายกลอย่างเป็นธรรมชาติ ความเร็วของเขานั้นค่อนข้างเร็ว พริบตาก็ซ่อมเสร็จไปส่วนหนึ่งแล้ว แม้ว่าจะยังไม่เสร็จสมบูรณ์ แต่ก็บอกได้ว่าระดับของอี้เทียนหยุนนั้นเพียงพอ เป็นที่แน่นอนแล้วว่าอี้เทียนหยุนเป็นนักสลักอาคมชั้น 5 จริงๆ ซึ่งเมื่อฉากนี้ปรากฏสู่สายตาของพวกเธอ ก็ทำให้พวกเธอพากันตกตะลึงกันไป


 


เป็นนักสลักอาคมชั้น 5 ทั้งยังเป็นนักกลั่นโอสถชั้น 4 อีก นี่มันคนแบบไหนกัน? หรือว่าเขาฝึกมาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ ไม่อย่างนั้นจะมีความสามารถแบบนี้ได้ยังไง? แท้จริงแล้วในโลกแห่งการฝึกตนนี้ นานมากแล้วที่ไม่เคยเห็นคนที่ชำนาญถึงสองอาชีพ นอกจากอี้เทียนหยุน!


CLS ตอนที่ 292: เด็กเมื่อตอนนั้น


 


แม้ว่าพวกเธอจะไม่พูด แต่เมื่อได้เห็นว่าอี้เทียนหยุนมีความสามารถที่จะซ่อมแซมค่ายกลชั้น 5 ได้จริงๆ ในใจพวกเธอก็พากันตกตะลึง ฝึกจนเชี่ยวชาญ 2 อาชีพ นับเป็นเรื่องที่หาได้ยากจริงๆ


 


จริงอยู่ที่มีคนที่เชี่ยวชาญสองอาชีพ แต่อายุของแต่ละคนก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว แต่อี้เทียนหยุนที่ดูแล้วอายุอย่างมากก็ 26-27 ปี กลับเชี่ยวชาญสองอาชีพในระดับสูง ถือเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่ออย่างแท้จริง


 


ถ้าพวกเธอรู้ว่าอี้เทียนหยุนมีอายุแค่ 17-18 ปีแล้วล่ะก็ ไม่รู้ว่าพวกเธอจะมีสีหน้ายังไง?


 


ด้วยระบบที่แข็งแกร่งทำให้เขามีความเป็นไปได้ที่ไร้ขีดจำกัด เขาไม่จำเป็นต้องก้าวทีละก้าว ต่อให้เขาจะมีพรสวรรค์มากแค่ไหน แต่ก็ยังจำเป็นต้องใช้เวลานานมากอยู่ดีกว่าที่จะฝึกฝนจนมาถึงระดับนี้ได้


 


“ติ๊ง ท่านซ่อมแซมค่ายกลชั้น 5 สำเร็จ ได้รับค่าประสบการณ์ 500,000, ความชำนาญในการสลักอาคม 500!”


 


“เรียบร้อย…..” อี้เทียนหยุนพ่นลมหายใจออกมา การซ่อมแซมค่ายกลชั้น 5 นี้ไม่ได้ยากอะไร ดังนั้นเขาจึงทำมันเสร็จได้อย่างง่ายดาย


 


พวกเธอพากันมองลงไปยังค่ายกลที่อยู่บนพื้น ก็พบว่าค่ายกลได้ถูกซ่อมแซมจนกลับมาสมบูรณ์แบบ กระทั่งต่อให้ผู้อาวุโสเยี่ยนเป็นคนซ่อมก็อาจทำไม่ได้ที่จะได้ระดับนี้


 


“ท่านเป็นนักสลักอาคมชั้น 5 จริงๆ…..” เย่หว่านเอ๋อเอามือปิดปากน้อยๆ ของเธอ อี้เทียนหยุนเป็นนักสลักอาคมชั้น 5 จริงๆ ด้วย!


 


“นี่คิดว่าข้าโกหกอย่างงั้นเหรอ?” อี้เทียนหยุนยักไหล่ คิดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้


 


“ดีมาก ด้วยความช่วยเหลือของท่าน สถานการณ์ของพวกเราต้องต่างออกไปอย่างแน่นอน!” เย่ชิงเสวียนพยักหน้า “พวกเรามาเริ่มซ่อมแซมค่ายกลกันตอนนี้เถอะ ซ่อมค่ายกลที่เสียหายกัน!”


 


จากนั้นพวกเขาก็ลงมือซ่อมแซมค่ายกลที่เสียหาย ที่นี่มีค่ายกลที่เสียหายจำนวนมาก จำเป็นต้องได้รับการซ่อมแซม เย่ชิงเสวียนกับพวกสีหน้าไม่ค่อยดี เพราะการซ่อมแซมค่ายกลจำนวนมาก ทำให้พลังวิญญาณของพวกเธอถูกใช้ไปมากจริงๆ


 


ในขณะที่การซ่อมแซมค่ายกลเป็นไปอย่างราบรื่น ทันใดนั้น ที่กลางค่ายกลของสถูปวิญญาณพลันสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง รู้สึกราวกับจะถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ!


 


นี่ทำให้ทุกคนต่างรีบไปดูอย่างไว เมื่ออี้เทียนหยุนได้เห็นก็พบว่าค่ายกลนี้ได้รับความเสียหายรุนแรง ด้วยการโจมตีเมื่อกี้นี้ เกือบจะทำให้ค่ายกลต้องสลายไป


 


“ค่ายกลตรงป่าฟากตะวันออกเสียหายหนัก พวกนั้นจะต้องใช้วิธีอะไรบางอย่าง โจมตีค่ายกลจนได้รับความเสียหายหนักขนาดนี้!” ผู้อาวุโสเยี่ยนพูดด้วยสีหน้าที่คิดหนัก “ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไป ป่าทางฟากตะวันออกจะต้องตกไปอยู่ในกำมือของศัตรูอย่างแน่นอน!”


 


“ถ้าป่าฟากตะวันออกตกไปอยู่ในกำมือของศัตรูล่ะก็ พวกเขาก็จะโจมตีเข้ามาได้….” สีหน้าของเย่ชิงเสวียนคล้ำลง ทำให้ในใจของพวกเธอปั่นป่วนราวกับมีคลื่นก่อตัวอยู่ข้างใน


 


“ข้าจะซ่อมดู คงจะพอพยุงเอาไว้ได้!” มือทั้งสองข้างของผู้อาวุโสเยี่ยนเป็นประกาย เตรียมที่จะซ่อมแซมค่ายกลหลักอันนี้


 


ค่ายกลที่ต้องการการซ่อมแซมนี้ ดูแล้วกระทั่งระดับต้าซืออย่างผู้อาวุโสเยี่ยนยังตึงมือ! ขณะที่ผู้อาวุโสเยี่ยนเริ่มลงมือซ่อมแซมนั้น ขณะที่ซ่อมไปได้ไม่เท่าไหร่ สีหน้าของเธอก็พลันซีดลงเรื่อยๆ พร้อมกับเหงื่อที่ไหลออกมาไม่หยุด สุดท้ายร่างก็แข็งค้าง เกือบจะล้มลงไป


 


เย่หว่านเอ๋อที่อยู่ใกล้ๆ รีบเข้าไปรับเธอไว้ พร้อมกับถามอย่างห่วงใยว่า “ผู้อาวุโสเยี่ยน ท่านเป็นยังไงบ้าง?”


 


“ไม่เป็นไร แค่เหนื่อยนิดหน่อย ข้ายังซ่อมได้…..” ผู้อาวุโสเยี่ยนลุกขึ้น แต่ดูท่าจะไม่ไหว เธอทำการซ่อมแซมค่ายกลอยู่ที่นี่มานานแล้ว แทบจะไม่ได้พัก ดังนั้น ต่อให้ร่างเธอหลอมมาจากเหล็ก ก็ยังมีวันต้องพังลง


 


“ผู้อาวุโสเยี่ยน ที่นี่ข้าจัดการเอง ท่านไปพักเถอะ!” เย่ชิงเสวียนเสนอตัว สายตาเต็มไปด้วยความมั่นใจ


 


“ท่านนักบุญหญิง ท่านจะซ่อมอย่างงั้นเหรอ…..” ผู้อาวุโสเยี่ยนมองไปที่เธอ จากนั้นก็พยักหน้า “แม้ว่าถ้าใช้เนตรสวรรค์จะทำให้ซ่อมได้ก็จริง แต่ก็เผาผลาญพลังวิญญาณไปจำนวนมาก ท่านต้องระวังด้วย”


 


ผู้อาวุโสเยี่ยนไม่ปฏิเสธ ยอมให้เย่ชิงเสวียนเป็นคนซ่อม เธอเหมือนไม่สามารถฝืนต่อไปได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงยอมแพ้เท่านั้น


 


“ผู้อาวุโสเยี่ยน ข้าจะพาท่านไปพักเอง” เย่หว่านเอ๋อประคองผู้อาวุโสเยี่ยนไปพัก ผู้จัดการคนอื่นก็เดินตามไปด้วย เพื่อไปดูอาการของผู้อาวุโสเยี่ยน แต่สีหน้าของพวกเขาก็ดูแย่ไม่ต่างกัน ในที่แห่งนี้ไม่มีใครสภาพดีไปกว่าใคร


 


เย่ชิงเสวียนไม่ลังเล จากนั้นก็เดินไปตรงหน้าค่ายกลหลัก หลังจากสูดลมหายใจเข้าปอด ดวงตาคู่งานก็เป็นประกายสดใส เปิดใช้งานเนตรสวรรค์ในพริบตา ด้วยระดับที่เพิ่มขึ้น ทำให้เธอควบคุมพลังได้ง่ายขึ้น หลังจากนั้นก็เริ่มลงมือซ่อมแซมค่ายกล แต่กระบวนการที่ใช้ก็เป็นไปอย่างเชื่องช้า


 


ระดับที่แท้จริงของเธออยู่ในระดับนักสลักอาคมชั้น 5 ขั้นท้าย อีกครึ่งก้าวก็จะเข้าสู่นักสลักอาคมระดับต้าซือ การจะเป็นนักบุญหญิงได้นั้นง่ายมาก นั่นก็คือต้องมีพรสวรรค์ที่น่าสะพรึงมากพอ และก็ความเป็นผู้นำด้วย


 


ดังนั้น ด้วยพรสวรรค์ที่ไม่แย่ของเย่ชิงเสวียน จะต้องใช้ไม่นานนัก ก่อนที่จะเข้าสู่นักสลักอาคมระดับต้าซือ แต่ตอนนี้เธอยังไม่ใช่นักสลักอาคมระดับต้าซือ จึงพึ่งได้เพียงพรสวรรค์ที่ติดตัวมาเท่านั้น ซึ่งพรสวรรค์ที่ว่าก็คือพรสวรรค์ที่จะช่วยเพิ่มพลังให้กับความสามารถในการสลักอาคม ทำให้เธอสามารถซ่อมแซมค่ายกลนี้ได้


 


ไม่อย่างนั้นผู้อาวุโสเยี่ยนคงไม่วางใจให้เธอรับหน้าที่นี้ หากความสามารถไม่ถึง มีแต่จะทำให้เรื่องยุ่งกว่าเดิมก็เท่านั้น


 


“ต้องเร็วขึ้น เร็วขึ้นอีก…..” เย่ชิงเสวียนซ่อมไปทีละน้อย โดยที่ความเร็วไม่เร็วขึ้นเลย แต่จะดีจะร้ายก็ซ่อมคืนมาได้นิดหน่อย แต่ยิ่งใช้เวลาซ่อมนานเท่าไหร่ สีหน้าของเธอก็ซีดลงเท่านั้น


 


ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป เธอจะต้องทนไม่ไหวอย่างแน่นอน เธอเองก็ยังไม่ได้พักเช่นกัน ตอนนี้ยังต้องมาซ่อมแซมค่ายกลอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานอีก


 


“อืม….” เย่ชิงเสวียนร่างส่ายไหวไปมา ก่อนที่จะล้มลง แต่ก่อนที่ร่างกายจะได้สัมผัสถึงความเย็นเยียบของพื้น ก็ได้มีมืออุ่นๆ เข้ามาประคองร่างเธอเอาไว้ก่อน


 


“ท่านไม่เป็นไรนะ?” อี้เทียนหยุนที่ประคองเธอไว้ถามขึ้น


 


“ข้าไม่เป็นไร ขอบคุณนายน้อยอี้มาก…..” เย่ชิงเสวียนพยายามจะลุกจากอ้อมแขนของอี้เทียนหยุน แต่มืออุ่นนี้กลับจับแขนเธอไว้แน่น ไม่ยอมให้เธอลุกออกไป


 


“ที่นี่ให้ข้าจัดการเอง” อี้เทียนหยุนมองเธอพร้อมกับส่งรอยยิ้มคลุมเครือออกไป แต่ในขณะที่เย่ชิงเสวียนกำลังจะพูดอะไรอยู่นั้น เขาก็ได้ทำการถอดหน้ากากออก เผยใบหน้าที่แท้จริงให้เย่ชิงเสวียนเห็น และเมื่อเย่ชิงเสวียนได้เห็นใบหน้านี้เต็มตา เธอก็แสดงสีหน้าตกใจออกมา จากนั้นอี้เทียนหยุนก็สวมหน้ากากกลับอย่างรวดเร็ว “ข้าบอกแล้วว่าข้าช่วยเจ้าได้ ยิ่งกว่านั้น เจ้ายังมีสัญญาที่ว่าจะแต่งงานกับข้าอยู่”


 


“เจ้า เจ้า นี่ นี่…..” เธอตกใจจนพูดไม่ออก ถ้าเป็นใบหน้านี้คงจำไม่ได้ แต่ใบหน้าภายใต้หน้ากากเธอไม่มีวันลืมอย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้นานแล้ว เขาก็คือเด็กเมื่อตอนนั้นนั่นเอง


 


“ไม่ต้องเจ้าอะไรแล้ว ที่นี่ข้าจัดการเอง ค่ายกลนี้สำหรับข้า ไม่ใช่เรื่องยากแม้แต่น้อย” อี้เทียนหยุนประคองเธอให้ลุกขึ้น จากนั้นก็เขาไปยืนแทนตำแหน่งเธอ ขณะที่สายตาเป็นประกายขึ้นอีกหลายส่วน


 


นัยน์ตาคู่งามของเย่ชิงเสวียนเป็นประกาย ขณะที่หัวใจเต้นสม่ำเสมอ มุมปากของเธอหยักเป็นรอยยิ้มบนใบหน้า เมื่อเย่หว่านเอ๋อมองมาที่นี่ เธอก็ได้พบว่าพี่สาวของตนกำลังยิ้ม ซึ่งหลายวันมานี้ นี่เป็นรอยยิ้มที่หาได้ยากของพี่สาวเธอ


CLS ตอนที่ 293: ซ่อมแซมสำเร็จ!


 


อี้เทียนหยุนที่เข้าไปแทนที่เย่ชิงเสวียน การกระทำนี้ของเขาพลันทำให้เผ่าภูตหลายคนหันมาสนใจ สีหน้าของแต่ละคนต่างก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ หรือว่าอี้เทียนหยุนจะสามารถซ่อมแซมค่ายกลระดับต้าซือนี้ได้ด้วย?


 


แต่ในขณะที่พวกเขากำลังจะถามอยู่นั้น อี้เทียนหยุนก็ได้เริ่มลงมือแล้ว ความเร็วของเขาเมื่อเทียบกับเย่ชิงเสวียนเมื่อก่อนหน้าแล้วเร็วกว่ากันขั้นหนึ่ง โดยเฉพาะในด้านพลังวิญญาณของเขานั้นมีอยู่อย่างเหลือเฟือ ดังนั้นต่อให้ต้องซ่อมแซมอย่างต่อเนื่อง เขาก็ไม่กลัวว่าจะหน้ามืดเพราะพลังวิญญาณไม่เพียงพอ


 


“นี่มันเรื่องอะไรกัน พี่ใหญ่อี้กำลังซ่อมค่ายกลระดับต้าซืออย่างงั้นเหรอ…..” เย่หว่านเอ๋อรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังหน้ามืดคล้ายจะเป็นลม ผลกระทบนี้ใหญ่เกินไปจริงๆ สามารถซ่อมแซมค่ายกลระดับต้าซือได้ แม้ว่าจะไม่ใช่นักสลักอาคมระดับต้าซือเสียทีเดียว แต่ก็แน่นอนว่าความสามารถยังห่างอีกไม่ไกล หรือไม่ก็แค่อีกก้าวเดียวก็เหยียบย่างเข้าสู่ธรณีประตูนี้แล้ว!


 


ชำนาญสองอาชีพระดับสูง หนึ่งในนั้นยังเป็นเทียบได้กับระดับต้าซือ ทั้งยังมีความชำนาญในการกลั่นโอสถชั้น 4 ได้อีก นี่เขาฝึกยังไงของเขากันแน่?


 


ผู้อาวุโสเยี่ยนก็ตกใจเช่นกัน เธอที่กำลังอยู่ในช่วงฟื้นกำลัง เมื่อได้เห็นการกระทำของอี้เทียนหยุนในตอนนี้ก็ได้แต่เบิ่งตามองด้วยความตกตะลึง ลืมแม้กระทั่งว่าต้องทำยังไงต่อ


 


อี้เทียนหยุนไม่สนใจสายตาของพวกเขา แต่กำลังลงมือซ่อมแซมค่ายกลอย่างต่อเนื่อง ความยากของมันเมื่อเทียบกับค่ายกลชั้น 5 แล้วไม่ได้ยากกว่ากันแค่นิดหน่อยเท่านั้น แต่ว่ายากกว่ากันเป็นเท่าตัว หรือกระทั่งหลายเท่าตัว! เรื่องความยากในการซ่อมแซมพอจะยอมรับได้ เพราะอย่างน้อยก็ไม่ใช่ต้องสร้างขึ้นมาใหม่ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังถือว่ายากอยู่ดี แต่ที่สำคัญคือเขาไม่สามารถใช้พรสวรรค์ออกมา เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนอื่นรู้ว่าเขาเป็นผู้ครอบครองเนตรสวรรค์


 


ยังไงก็ตาม เขาก็ได้เผยตัวต่อเย่ชิงเสวียนไปแล้ว ทั้งรอบๆ ยังไม่มีใครอยู่ใกล้ ทำให้ฉวยโอกาสคุยกันได้ แต่ก็ไม่สามารถคุยกันเยอะได้ แต่เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว


 


“ระดับสลักอาคมของเจ้าสูงมาก…. ยิ่งกว่านั้นยังมีความสามารถในการกลั่นโอสถอีก?” สีหน้าเย่ชิงเสวียนพลันเปลี่ยนไปในทันที ตอนนี้ราวกับสหายเก่าที่กำลังถามสารทุกข์สุขดิบกันอยู่อย่างไงอย่างงั้น


 


อี้เทียนหยุนสามารถเห็นค่าความชอบที่เย่ชิงเสวียนมีต่อตนได้ ตอนนี้ค่าความชอบของเธอที่มีต่อเขาพุ่งขึ้นเกินกว่า 200 ไปแล้ว ระดับความชอบของเธอที่มีต่อเขาเมื่อก่อนหน้าก็ไม่ได้ต่ำ แต่เพราะเขาไม่ได้บอกตัวตนของเขาออกไป ทำให้ค่าความชอบที่มีต่อเขาอยู่ที่ประมาณ 100 เท่านั้น แต่เท่านี้ก็นับได้ว่าเป็นเหมือนกับเพื่อนกันแล้ว


 


แต่ยังไงก็ตาม หลังจากที่เขาเปิดเผยตัวตนออกไป ทุกอย่างก็พลันเปลี่ยนไป จากค่าความชอบที่มีอยู่ก่อนหน้า เมื่อรวมกับค่าความชอบแต่เก่าก่อน ทำให้ค่าความชอบของเธอที่มีต่อเขาพุ่งแตะระดับ 300 ไปในทันที


 


“ถ้าสามารถใช้เนตรสวรรค์ได้ ผลลัพธ์จะต้องน่าทึ่งกว่านี้อย่างแน่นอน” อี้เทียนหยุนยิ้มบางๆ ออกไป “ข้าคิดว่าเจ้าคงยังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใครใช่ไหม?”


 


“ข้าจะไปกล้าพูดที่ไหนกัน ถ้าพูดออกไป สถานะนักบุญหญิงของข้านี้คงต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน….. ดีแล้ว ในเมื่อเจ้าพูดออกมาก็ดี ข้ากำลังกังวลว่าเจ้าจะเปิดเผยเรื่องนี้ออกมาอยู่พอดี” เย่ชิงเสวียนพูดด้วยรอยยิ้มเช่นกัน “ขอแค่เจ้าไม่ได้เปิดใช้งานเนตรสวรรค์ออกมา เรื่องในตอนนี้ข้าสามารถแบกรับเอาไว้ได้”


 


คำพูดของเย่ชิงเสวียนไปได้ต่างไปจากที่อี้เทียนหยุนคาดเท่าไหร่ ถ้ารู้ว่าเธอมอบพรสวรรค์ให้กับคนนอกเผ่า แน่นอนว่าอี้เทียนหยุนจะต้องเผชิญกับหายนะอย่างแน่นอน ดังนั้นเรื่องนี้จึงต้องเก็บไว้เป็นความลับดีที่สุด


 


“เรื่องนี้ยังต้องพูดอีกเหรอ? ไม่ใช่ว่าข้าเป็นคนช่วยเจ้าตั้งแต่แรกหรอกเหรอ แล้วข้าจะทำเรื่องที่ทำร้ายเจ้าได้ยังไง?” อี้เทียนหยุนยิ้ม แต่มือก็ไม่ยอมหยุด ยังคงซ่อมแซมค่ายกลอย่างต่อเนื่อง


 


“ก็ใครใช้ให้เจ้าเจ้าเล่ห์กันล่ะ ตอนแรกที่ได้ยินว่าน้องสาวของข้าพาผู้มีพระคุณแซ่อี้มาด้วย ข้าก็คิดว่าเป็นเจ้า แต่ที่ไหนได้ เมื่อไปเจอกลับไม่ใช่เจ้า แต่มาตอนนี้สิ ข้าว่าข้าต้องคิดผิดแน่ๆ ในที่สุดเจ้าก็เปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมา!” เย่ชิงเสวียนถลึงตาใส่เขา ขณะที่พูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เจ้าแกล้งปิดบังข้า นี่เจ้าคงตั้งใจที่ทำให้ข้าเสียหน้าอย่างนั้นใช่ไหม?”


 


“แล้วจะให้ข้าเอาเวลาที่ไหนไปบอกเจ้า ฐานะของข้าในตอนนี้ค่อนข้างพิเศษ บอกออกไปกลัวว่าจะเป็นการพาหายนะมาสู่เจ้ามากกว่า…..” อี้เทียนหยุนพูดอย่างช่วยไม่ได้


 


พวกเขาคุยกันผ่านลมปราณ ดังนั้นคนอื่นจึงไม่ได้ยินว่าพวกเขาคุยอะไรกัน


 


“ฐานะพิเศษ?” เย่ชิงเสวียนค่อนข้างสงสัย แต่ก็ไม่ถามเซ้าซี้ เพียงแต่กลอกตาใส่เขาคราหนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า “จะยังไงก็ช่าง เจ้าก็ปิดบังข้าอยู่ดี!”


 


“พี่สาว ข้าไม่ได้ตั้งใจ…. ยิ่งกว่านั้น ไม่ใช่ว่าข้ากำลังช่วยเจ้าหรอกเหรอ? ผู้อาวุโสของเจ้าเกือบจะไม่ให้ข้าเข้ามา ไม่อย่างนั้นเจ้าคงจะไม่ได้เจอหน้าข้าแล้ว” อี้เทียนหยุนพูดอย่างช่วยไม่ได้” แล้วก็อีกอย่าง ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าจะแต่งกับข้าด้วยไม่ใช่หรือไง?”


 


ขณะที่กำลังซ่อมแซมค่ายกล เขาก็ยังไม่ลืมที่จะหยอกล้อเธอสักหน่อย


 


ใบหน้าของเย่ชิงเสวียนพลันขึ้นสีในทันที พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “เจ้าคิดสวยงามเกินไปแล้ว ข้าเป็นถึงนักบุญหญิง แล้วจะไปแต่งงานได้ยังไง? เอาไว้เจ้าเป็นราชาภูตก่อน แล้วข้าจะคิดดูอีกที”


 


อี้เทียนหยุนมองเธอที่แก้มแดง ไม่คิดมาก่อนว่านักบุญหญิงผู้เข้มขรึมจะอายเป็นกับเขาด้วย


 


“จะยังไงก็ช่าง อย่างน้อยข้าก็มีคุณสมบัติพอช่วยเจ้าได้แล้ว” อี้เทียนหยุนยิ้ม


 


“ใช่…. เป็นอะไรที่คาดไม่ถึงจริงๆ ทั้งที่เวลาเพิ่งจะผ่านมาได้ไม่ถึงปีแท้ๆ…..” เย่ชิงเสวียนนึกถึงช่วงเวลาที่ได้เจอกับเด็กหนุ่มขี้อายคนนั้น เพิ่งจะผ่านมาไม่ถึงปี เขาก็ไต่มาถึงระดับนี้แล้ว ทำให้เธอตอบสนองไม่ถูกกันเลยทีเดียว


 


ตอนแรกเธอคิดว่าอี้เทียนหยุนต้องใช้เวลาสัก 2-3 ปี ถึงจะพอช่วยเธอได้ แต่ไม่คิดว่าไม่ถึงปีเขาก็สามารถช่วยเธอได้แล้ว ช่างเป็นอัจฉริยะที่ไม่ธรรมดาจริงๆ!


 


อย่างรวดเร็ว ด้วยความช่วยเหลือของอี้เทียนหยุน ค่ายกลระดับต้าซือนี้ก็ถูกซ่อมแซมจนแล้วเสร็จ เมื่อเส้นสุดท้ายถูกวาดลงไป ตัวค่ายกลก็เปล่งเสียงดังออกมา พร้อมกับปลดปล่อยแสงเจิดจ้า ยืนยันว่าค่ายกลได้ซ่อมแซมจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว


 


หลังจากซ่อมแซมค่ายกลนี้เสร็จ ทั่วทั้งสถูปวิญญาณก็เปล่งแสงออกมา ดูแล้วมั่นคงกว่าเมื่อก่อนหน้า ยังไงก็ตาม นี่ก็เป็นแค่บางส่วนเท่านั้น อี้เทียนหยุนได้ทำการซ่อมแซมค่ายกลอื่นๆ อย่างรวดเร็ว ด้วยความเร็วในการซ่อมแซมที่น่าตื่นตะลึงของเขา ราวกับคนที่ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย ทำการซ่อมแซมค่ายกลอย่างต่อเนื่องโดยไม่หยุดพัก


 


และก็ด้วยเหตุนี้ ทำให้ค่าประสบการณ์ของเขาเพิ่มขึ้นไม่หยุด เพราะค่ายกลของที่นี่เป็นค่ายกลชั้นสูง ดังนั้นค่าประสบการณ์ที่ได้จากการซ่อมแซมจึงสูงตาม และที่สำคัญที่สุดคือ แม้แต่เขาที่มีระดับที่สูง แต่ค่าประสบการณ์ที่ได้ก็ไม่ได้ต่ำเลยแม้แต่น้อย


 


“เรียบร้อย!”


 


หลังจากอี้เทียนหยุนหยุดมือ เขาก็พูดพร้อมกับถอนหายใจออกมา ในขณะที่หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อ พร้อมกับเสียงระบบที่ดังขึ้นข้างหู


 


“ติ๊ง ท่านซ่อมแซมค่ายกลชั้น 5 สำเร็จ ได้รับค่าประสบการณ์ 300,000, ค่าความชำนาญในการสลักอาคมเพิ่มขึ้น 500!”


 


ติ๊ง ท่านสำเร็จภารกิจ “ช่วยเหลือเผ่าภูต” ภารกิจที่ 2 “ช่วยซ่อมแซมค่ายกลของเผ่าภูต” สำเร็จ ได้รับค่าประสบการณ์ 10 ล้าน, ค่าความคลั่ง 100,000, ค่าความชำนาญในการสลักอาคม 10,000, ค่าความชอบของเผ่าภูตเพิ่มขึ้น 50!”


 


“ติ๊ง ยินดีด้วย ผู้เล่นอี้เทียนหยุนได้เข้าสู่ระดับผันแปรวิญญาณขั้นที่ 3!”


 


เสียงระบบดังต่อเนื่องติดๆ กัน พร้อมกับรายงานที่เขาได้เข้าสู่ระดับผันแปรวิญญาณขั้นที่ 3 สำเร็จ ทำให้ในใจของเขารู้สึกผ่อนคลาย ที่สามารถเลื่อนระดับได้เร็วขนาดนี้ เพราะว่าก่อนหน้านี้ได้สังหารบรรพชนของวังเสินเหวินสองคนเมื่อก่อนหน้า รวมกับค่าประสบการณ์จำนวนมากที่ได้มาจากการซ่อมแซมค่ายกลทั้งหลาย จึงทำให้เขาเลื่อนระดับได้อย่างง่ายดาย


 


“ติ๊ง ท่านรับภารกิจ “ช่วยเหลือเผ่าภูต” สำเร็จ ภารกิจที่ 3 “ขับไล่ผู้รุกรานจากอาณาจักรใต้พิภพ” รางวัลเมื่อสำเร็จ ค่าประสบการณ์ 30 ล้าน, ค่าความคลั่ง 100,000, ค่าความชั่ว 5,000, ค่าความชอบของเผ่าภูตเพิ่มขึ้น 50!”


 


เสียงรายงานว่ามีภารกิจใหม่ดังขึ้น ทำให้เขาเข้าใจเรื่องราวคร่าวๆ ตราบเท่าที่สะสมค่าความชอบของเผ่าภูตจากภารกิจ ค่าความชอบที่เขาจะได้ย่อมต้องมากกว่า 100-200 ในพริบตา ซึ่งเป็นระดับของผู้เป็นนายที่ครอบครองหัวใจของเผ่าภูตทั้งเผ่าเอาไว้ได้!


CLS ตอนที่ 294: มีข้าอยู่ทั้งคน


 


“เยี่ยม นี่แหละที่ต้องการ!”


 


อี้เทียนหยุนมีความสุขสุดๆ กับภารกิจต่อเนื่องนี้ ยิ่งมีภารกิจมากเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น แถมรางวัลยังดีอีกต่างหาก แม้ว่าจะไม่มีไอเทมเป็นรางวัล แต่ถ้าเทียบกับค่าประสบการณ์จำนวนมากนี้แล้ว ไอเทมนับเป็นอะไรได้?


 


“ดี ค่ายกลทั้งหมดซ่อมแซมเสร็จแล้ว!” บนใบหน้าเย่ชิงเสวียนเผยร่องรอยแห่งความโล่งใจอยู่หลายส่วน หลังจากซ่อมแซมค่ายกลทั้งหมดนี้เสร็จ จากนั้นก็ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว จากนั้นเธอก็พูดกับอี้เทียนหยุนว่า “ลำบากเจ้าแล้ว ไปพักเถอะ ที่เหลือพวกเราจัดการเอง”


 


“ไม่ นี่เป็นแค่การแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น ถ้าไม่กำจัดผู้รุกรานที่ทำลายค่ายกลทิ้ง ไม่เร็วก็ช้า พวกเราจะต้องซ่อมแซมค่ายกลอีกอย่างแน่นอน ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป พวกเราจะต้องทนได้อีกไม่นานแน่” อี้เทียนหยุนส่ายหัว ระบบอุตส่าห์มอบภารกิจให้กับเขา แล้วจะให้เขายอมหลีกไปไม่ทำอะไรเลย งั้นภารกิจนี้ก็ไม่มีความหมายน่ะสิ


 


พวกเธอพากันตกใจ สีหน้าแปลกไป จากนั้นก็ถอนหายใจ


 


“ที่จริงพวกเราก็พอจะต้านทานได้ แต่เพราะคนในเผ่าบาดเจ็บกันมาก ทำให้พวกเราไม่สามารถป้องกันได้ทุกทาง ทำให้เกิดสถานการณ์อย่างในปัจจุบัน” เย่ชิงเสวียนส่ายหัวแล้วพูดต่อ “ถ้างั้นก็ไปกัน ข้าได้ยินมาว่าในการต่อสู้คราวนี้ อีกฝ่ายพาผู้เชี่ยวชาญมากมากมายนัก”


 


ผู้เชี่ยวชาญของพวกเธอที่ยังเหลืออยู่ไม่มากนัก ระดับผันแปรวิญญาณมีอยู่น้อยมากแค่ 1-2 คนเท่านั้น ส่วนระดับก่อแกนวิญญาณแม้จะมีมาก แต่ก็ได้รับบาดเจ็บกันมากเช่นกัน ส่วนระดับวิญญาณเที่ยงแท้นั้น ได้ถูกอีกฝ่ายกุมตัวไปเรียบร้อยแล้ว


 


ผู้เชี่ยวชาญระดับวิญญาณเที่ยงแท้ แน่นอนว่าย่อมทรงพลังอย่างมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไร้เทียมทาน ตราบเท่าที่ติดกับแผนการของศัตรู ก็ง่ายที่จะถูกอีกฝ่ายควบคุมตัวได้อยู่ดี


 


“ผู้เชี่ยวชาญของอีกฝ่ายมีมากแค่ไหน พอจะรู้ข้อมูลคร่าวๆ ไหม?” อี้เทียนหยุนขมวดคิ้วถามขึ้น


 


“ผู้นำในคราวนี้เป็นเหลยหยุน รวมถึงผู้อาวุโสในเผ่าอีกหลายคน รวมถึงผู้จัดการอีกจำนวนหนึ่ง รวมเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับผันแปรวิญญาณ 5 คน และระดับก่อแกนวิญญาณอีกจำนวนมาก นี่ยังไม่นับคนของอาณาจักรใต้พิภพอีก เคราะห์ดีที่พวกเรามีค่ายกลที่ท่านบรรพชนคอยปกป้อง ไม่อย่างนั้นคงตกไปอยู่ในเงื้อมมือของศัตรูกันหมดแล้ว” นัยน์ตาสีเงินของเย่ชิงเสวียนเป็นประกายด้วยความโกรธ เห็นได้ชัดว่าโมโหคนทรยศพวกนี้


 


“ผู้เชี่ยวชาญระดับผันแปรวิญญาณ 5 คน แล้วมีระดับวิญญาณเที่ยงแท้ไหม?” อี้เทียนหยุนหรี่ตา พร้อมกับลูบคาง


 


“ไม่มี ระดับวิญญาณเที่ยงแท้เทียบได้กับระดับผู้บัญชาการกองทหารคนหนึ่ง เหลยหยุนเปรียบได้แค่ข้ารับใช้ที่มีความดีความชอบคนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีทางที่จะพาระดับผู้บัญชาการมาได้อย่างแน่นอน” เย่ชิงเสวียนส่ายหัวแล้วพูดขึ้น


 


“ถ้าไม่มีระดับวิญญาณเที่ยงแท้ งั้นก็ง่ายหน่อย” อี้เทียนหยุนยิ้ม “งั้นข้าจะไปจัดการพวกมันให้เอง”


 


“ท่าน ท่านจะไปจัดการพวกมัน ท่านจัดการได้?” เย่หว่านเอ๋อที่อยู่ใกล้ๆ ได้ยินก็คิดว่าไม่น่าเป็นไปได้


 


“ก็แค่ใช้หมัดไล่พวกมันไป ไม่ได้จะไปคุยกับพวกมันสักหน่อย?” อี้เทียนหยุนยิ้ม จากนั้นก็หันไปพูดกับเย่ชิงเสวียนว่า “เจ้าจะไปด้วยไหม?”


 


เย่ชิงเสวียนเผยรอยยิ้มบนใบหน้า พร้อมกับพูดอย่างไม่ลังเล “ก็ต้องไปแน่นอนอยู่แล้ว”


 


“ท่านบ้าไปแล้ว ศัตรูมีกันเป็นจำนวนมาก….. พี่ใหญ่อี้ ท่านพี่ พวกท่านจะไม่ใจร้อนเกินไปหรอกเหรอ?”


 


เย่หว่านเอ๋อคิดว่าพวกเขาบ้ากันไปแล้ว คิดว่าอี้เทียนหยุนนั้นบ้าไปแล้ว กระทั่งเย่ชิงเสวียนที่มักจะใจเย็นอยู่เสมอก็พลันเป็นไปกับเขาด้วย!


 


“ท่านนักบุญหญิง นี่ทำไม่ได้เด็ดขาด ขอแค่พวกเราถ่วงเวลาออกไป พวกมันจะต้องพากันถอยกลับไปอย่างแน่นอน พอถึงตอนนั้น พวกเราค่อยหาวิธีจัดการกับพวกมันก็ยังไม่สาย” ผู้อาวุโสเยี่ยนไม่เห็นด้วย ระดับของเธอไม่ต่ำเลย เธอมีพลังถึงระดับผันแปรวิญญาณขั้นที่ 2 แต่ในสนามรบ สองหมัดยากจะสู้สี่ฝ่ามือ พวกเธอไม่มีทางกำจัดเหลยหยุนกับพวกได้อย่างแน่นอน


 


ส่วนเรื่องที่จะหนีนั้น กลัวว่าจะเป็นเรื่องยากยิ่งกว่า ถ้าเป็นตอนที่ยังไม่ถูกโจมตีอาจจะพอเป็นไปได้ แต่เมื่อถูกโจมตีแล้ว ไม่มีทางหนีรอดไปได้อย่างแน่นอน


 


“จะหาวิธีอะไรอีก? ขอความช่วยเหลือจากสำนักอื่นอย่างงั้นเหรอ หรือว่าจะให้หาคนมาช่วย?” เย่ชิงเสวียนถาม


 


“นี่……”


 


คำพูดนี้ก็เป็นสิ่งที่พวกเธออยากจะรู้เหมือนกัน ดังนั้นจึงทำให้พวกเธอพูดไม่ออก


 


“การต่อสู้ครั้งนี้พวกเราจะไม่แพ้อย่างแน่นอน ค่ายกลใหญ่ก็ซ่อมแซมเสร็จแล้ว ประสิทธิภาพในการซ่อนเร้นของมันแข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อน ดังนั้นการลอบโจมตีจึงเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นมาก” สายตาของเย่ชิงเสวียนเต็มไปด้วยจิตสังหาร “ต่อให้จะไม่ชนะ แต่อย่างน้อยพวกเราจะต้องสังหารพวกมันให้หนักสักครั้ง ฆ่าได้แค่ไหนเอาแค่นั้น!”


 


“ก่อนซ่อมแซมค่ายกลข้าก็คิดเรื่องไว้เหมือนกัน แต่นี่มันไม่ปลอดภัย คนที่เราส่งออกไปเมื่อก่อนหน้าเป็นตัวอย่างได้ดีที่สุด มันง่ายมากที่จะถูกค้นพบ แต่ตอนนี้ต่างไปแล้ว เรามีค่ากลใหญ่คอยคุ้มกัน ผลลัพธ์จะต้องต่างออกไปอย่างแน่นอน”


 


“ข้าคิดว่าคุณชายอี้ก็ต้องมีความคิดนี้อย่างแน่นอน นั่นก็คือลอบโจมตีพวกมันให้สาหัส!”


 


เย่ชิงเสวียนที่วิเคราะห์อยู่ด้านข้างพูดออกมา ทำให้พวกเราเผยสีหน้าเหมือนกับเพิ่งคิดออก เมื่อคิดดีๆ แล้ว หลังจากค่ายกลถูกซ่อมแซมจนแล้วเสร็จ ประสิทธิภาพในการซ่อนเร้นอำพรางย่อมต้องเพิ่มขึ้น ช่วยเพิ่มโอกาสให้กับพวกเธออย่างมาก


 


“ไม่ ข้าไม่ได้มีความคิดแบบนี้ ความคิดของข้านั้นง่ายมาก จัดการพวกมันตรงๆ เลย” อี้เทียนหยุนไม่ไว้หน้าเธอแม้แต่น้อย ทำการปฏิเสธอย่างเด็ดขาดที่สุด


 


“……”


 


เย่ชิงเสวียนถลึงตาใส่เราอย่างแรง นี่เขาไม่คิดจะไว้หน้าเธอหน่อยหรือไง


 


“นี่จะไม่ไร้เหตุผลยิ่งกว่าหรอกเหรอ?” ผู้อาวุโสเยี่ยนขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น


 


“เวลาเหลือไม่มากแล้ว ท่านนักบุญหญิง พวกเราไป” อี้เทียนหยุนไม่อธิบายมาก แค่ที่พูดอยู่นี่ก็มากเกินไปแล้ว กับพวกที่อ่อนแอกว่าเขา จำเป็นต้องวางแผนด้วยหรือไง


 


“ได้ พวกเราไป ตอนนี้พวกมันถูกขังอยู่ในป่า เป็นโอกาสดีที่พวกเราจะโจมตีพวกมัน!” เย่ชิงเสวียนพยักหน้า “ผู้อาวุโสเยี่ยน ท่านทำการคุ้มกันที่นี่ ดูแลสถานการณ์อยู่ที่นี่ พวกเราจะไปขับไล่พวกมันเอง!”


 


“ท่านพี่ ข้าไปด้วย!” เย่หว่านเอ๋อเสนอตัว


 


“เจ้าอยู่ป้องกันสถูปวิญญาณที่นี่แหละ นี่ก็เป็นภารกิจที่สำคัญเช่นกัน” เย่ชิงเสวียนพูดกับเธออย่างจริงจัง “ถ้าค่ายกลถูกทำลาย เจ้าคงนึกถึงผลลัพธ์ออกใช่ไหม”


 


“ได้!” เย่หว่านเอ๋อพยักหน้ารับปาก


 


หลังจากพูดเสร็จ เย่ชิงเสวียนก็พาอี้เทียนหยุนไปทันที


 


“ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่อยากให้น้องสาวเผชิญกับอันตรายงั้นสินะ” อี้เทียนหยุนที่อยู่ข้างๆ พูดด้วยรอยยิ้ม


 


แม้ว่าดูเหมือนเธอจะมอบหมายหน้าที่ที่สำคัญให้ แต่ค่ายกลในตอนนี้ไม่ได้มีปัญหาอะไร อย่างน้อยก็ในเวลาสั้นๆ นี้ แต่ต่อให้มีปัญหา ผู้อาวุโสเยี่ยนก็สามารถแก้ไขได้ ไม่จำเป็นต้องมีเธออยู่สักนิด ที่ให้เธออยู่ที่นี่ เหตุผลที่แท้จริงคือไม่ต้องการให้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเธอ


 


“คนเราย่อมมีความเห็นแกตัว เธอเป็นน้องสาวของข้า ข้าย่อมไม่อยากให้เธอต้องเจอกับอันตรายอะไรอยู่แล้ว!” นัยน์ตาสีเงินของเย่ชิงเสวียนเป็นประกายเย็นชา


 


“วางใจเถอะ ทุกอย่างจะต้องไม่เป็นอะไร มีข้าอยู่ทั้งคน” เสียงของอี้เทียนหยุนเต็มไปด้วยเสน่ห์ ทำให้เธอพยักหน้ารับคำ


 


“อืม…..”


 


ไม่รู้ทำไม ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าต้องเผชิญหน้ากับอาณาจักรใต้พิภพที่ทรงอำนาจ แต่แค่คำพูดไม่กี่คำของอี้เทียนหยุน ก็ทำให้เธอสงบลงได้ บางทีเธออาจจะคิดว่าช่วงเวลาที่ต้องเผชิญกันอันตรายอย่างมากนี้ แต่ก็ใช่ว่าการเผชิญหน้ากับอันตรายจะต้องพบจุดจบที่เลวร้ายเสียหน่อย?


 


ครั้งก่อนเขาก็ช่วยเธอหนีจากสถานการณ์ที่สิ้นหวังออกมาได้ ถ้างั้นคราวนี้พวกเธอก็จะต้องรอดเช่นกัน!


CLS ตอนที่ 295: พวกเจ้าหลงทางอย่างงั้นเหรอ


 


สำหรับเผ่าภูตนั้นจะมั่นใจแค่ไหนอี้เทียนหยุนไม่แน่ใจนัก แต่สำหรับเขา การกำจัดขยะกลุ่มนี้นั้น เขามั่นใจอย่างมาก! เมื่อไม่มีผู้เชี่ยวชาญระดับวิญญาณเที่ยงแท้ สำหรับเขาแล้ว ก็ไม่มีใครที่จะมาหยุดเขาได้!


 


ภายใต้การนำของเย่ชิงเสวียน พวกเขาก็มาถึงโถงหลักของสถูปวิญญาณอย่างรวดเร็ว หลังจากผู้อาวุโสบางคนหารือเรื่องอะไรบางอย่างแล้วเสร็จ ทันใดนั้นก็เรียกรวมตัวผู้เชี่ยวชาญของเผ่าภูต ซึ่งคนที่แข็งแกร่งที่สุดคือคนที่มีระดับก่อแกนวิญญาณ ไม่มีละดับผันแปรวิญญาณแม้แต่คนเดียว นับได้ว่าเป็นสถานการณ์ที่น่าอนาถนัก


 


“เผ่าภูตมีทั้งหมดเท่านี้เหรอ?” เมื่ออี้เทียนหยุนเห็นผู้เชี่ยวชาญระดับก่อแกนวิญญาณของเผ่าภูต 6-7 คนนี้ นับดูแล้วไม่ถึงสิบคน แต่ระดับหลอมรวมนั้นมีอยู่มากจริงๆ


 


ในสงครามครั้งนี้ ระดับหลอมรวมถือได้ว่าใช้ประโยชน์ได้น้อยมาก ไม่ต่างไปจากอาหารสัตว์เท่าไหร่ ออกไปก็มีแต่ถูกกระทำ สำหรับขุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่แล้วนั้น ระดับหลอมรวมอย่างพวกเขา นับเป็นเพียงคนที่แข็งแกร่งที่สุดของขุมอำนาจเล็กๆ เท่านั้น ไม่ต่างอะไรไปจากคนธรรมดา


 


แม้ว่าเผ่าภูตจะถูกเรียกว่าชนเผ่า แต่ความจริงๆ พวกเขาเทียบได้กับขุมอำนาจชั้น 3 ระดับสูง เกือบจะเทียบได้กับขุมอำนาจชั้น 4 เลยด้วยซ้ำ เพราะผู้เชี่ยวชาญที่มีอยู่มาก รวมถึงนักสลักอาคมที่เก่งกาจ ดังนั้น พวกเขาจึงเทียบได้กับขุมอำนาจชั้น 4 เลยทีเดียว


 


เพียงแต่คนที่ยอดเยี่ยมนั้นมีอยู่น้อยมาก ทั้งยังเกิดการทรยศขึ้นมาก ดังนั้นจึงเหลือเพียงแค่คนกลุ่มนี้เท่านั้น


 


ที่พวกนั้นทรยศ เหตุผลก็ไม่ใช่อะไร เพราะสมองเต็มไปด้วยความใฝ่หาอำนาจ ต้องการความยิ่งใหญ่ จึงไม่ต้องการจะหลบซ่อนอยู่ในที่ที่กันดารอย่างนี้ สิ่งที่พวกมันต้องการคือเงินทองและชื่อเสียง ต้องการให้คนนับหมื่นเคารพ หลงมัวเมาในอำนาจ จึงต้องการแยกตัวออกปากป่าเขาแห่งนี้


 


“ใช่แล้ว คนส่วนใหญ่ถูกจับตัวไป ทั้งยังถูกขังอยู่ในคุกของอาณาจักรใต้พิภพ ทำให้ไม่สามารถหนีออกมาได้….” เย่ชิงเสวียนส่ายหัวแล้วพูดขึ้น “เราได้ส่งหลายคนเข้าไปช่วยเหลือแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่สำเร็จ ยิ่งกว่านั้น คุกนั้นยังคุมขังอย่างแน่นหนา ถ้าไม่มีกุญแจ ก็ยากที่จะหนีออกมาได้”


 


“กุญแจคุกอย่างงั้นเหรอ?” สีหน้าอี้เทียนหยุนกลายเป็นแปลกไป ก่อนหน้านี้เขาจำได้ ตอนที่สังหารเฉิงเฟิง เขาได้รับกุญแจคุกเผ่าภูตมา ดูเหมือนจะเพราะการนี้


 


“ใช่แล้ว ต่อให้ลอบเข้าไปได้ แต่สุดท้ายก็จำเป็นต้องใช้กุญแจอยู่ดี และคนที่มีกุญแจก็ไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นถึงผู้เชี่ยวชาญระดับวิญญาณเที่ยงแท้ ทำให้ไม่สามารถโจมตีได้ตามใจ จำเป็นต้องมั่นใจเสียก่อน!” สีหน้าเย่ชิงเสวียนเต็มไปด้วยความโกรธ “เพราะคุกนั่นบรรพชนของพวกเราช่วยกันสร้าง ทำให้บนนั้นสลักไว้ด้วยค่ายกลที่แข็งแกร่ง ซึ่งเป็นถึงค่ายกลระดับจงซือ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำลายมัน! ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายแล้ว คุกที่สร้างจะกลายเป็นที่คุมขังตัวเอง!”


 


แม้ว่าจะไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องไปช่วยสร้างคุกนี้ แต่อี้เทียนหยุนเชื่อว่าตอนแรกทั้งสองจะต้องมีความสัมพันธ์อันดีกันแน่ๆ แต่ภายหลังอาณาจักรใต้พิภพกลับต้องการครอบครองเผ่าภูต ดังนั้นผลลัพธ์จึงเป็นอย่างที่เห็น


 


“แล้วบรรพชนคนนั้นล่ะ…..” อี้เทียนหยุนถามขึ้น


 


“ท่านบรรพชนตอนนี้แก่แล้ว ตอนนี้ถูกจับขังในคุก คาดว่าต้องประสบกับความทุกข์ทรมานอย่างแน่นอน…..” เย่ชิงเสวียนหลับตาลงด้วยความรู้สึกเจ็บปวด แม้จะไม่อยากพูด แต่ก็ยังบอกอี้เทียนหยุน


 


แม้จะเป็นสถานการณ์ที่กำหนดความตายไว้ล่วงหน้า แต่ต้องมาถูกทรมานจนตาย สำหรับบรรพชนที่เป็นตัวตนที่สูงส่ง และทรงเกียรติ การที่ต้องมาตายแบบนี้ นับเป็นความอับอายอย่างหนึ่ง


 


“หลังจากจัดการเรื่องอื่นๆ แล้วเสร็จ พวกเราจะไปจัดการอาณาจักรใต้พิภพแล้วช่วยคนออกมา!” อี้เทียนหยุนพูดอย่างจริงจัง “แต่ตอนนี้เราต้องมาจัดการกับหายนะนี้ก่อน แล้วค่อยว่ากันอีกที!”


 


“ได้!” เย่ชิงเสวียนไม่คิดอะไรมาก การไปช่วยคนจากเงื้อมมือของอาณาจักรใต้พิภพนั้นเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว


 


หลังจากรวมตัวกันเสร็จ พวกเขาก็เข้าไปในป่าอย่างรวดเร็ว ภายใต้คำอธิบายของเย่ชิงเสวียน ทำให้เขารู้ว่าต้องเคลื่อนไหวยังไง ถ้าเกิดหลงกันอยู่ข้างในแล้วล่ะก็ นั่นคงจะเป็นปัญหาทีเดียว


 


ผู้จัดการเผ่าภูตเห็นนักบุญหญิงของตนทำตัวสนิทสนมกับคนนอกก็ทำให้พวกเขารู้สึกตกใจอย่างมาก เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นนักบุญหญิงของพวกเราทำตัวสนิทสนมกับผู้ชายมาก่อน ขนาดในเผ่าตัวเองยังไม่เคยเห็น อย่าว่าแต่กับคนนอกเผ่าเลย นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นอย่างแน่นอน!


 


“ข้าเข้าใจคร่าวๆ แล้ว ที่นี่ข้าจัดการเอง” ในสายตาของอี้เทียนหยุนพลันมีประกายเย็นเยียบพาดผ่าน “ข้ายังมีเรื่องที่ต้องถามเจ้าก่อน ถ้าเจอกับพวกทรยศ เจ้าจะให้ข้าฆ่า? หรือว่าจับพวกเขามาให้เจ้า?”


 


“นอกจากเหลยหยุนแล้ว คนอื่นฆ่าทิ้งให้หมด!” สีหน้าเย่ชิงเสวียนเย็นชาถึงขีดสุด “แน่นอนว่าถ้าจับเป็นได้ แต่ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ให้ฆ่าซะ!”


 


สำหรับคนทรยศ พวกเขาไม่ถือว่าเป็นคนของเผ่าภูตอีก กระทั่งสังหารคนในเผ่าตนเอง แล้วอย่างนี้ยังจะนับว่าเป็นคนของเผ่าภูตอีกอย่างงั้นเหรอ?


 


“ได้ ไม่มีปัญหา” สายตาของอี้เทียนหยุนเป็นประกาย เหลยหยุนจะต้องเป็นคนอยู่เบื้องหลังแน่ๆ ถ้าจับมันได้ จะต้องได้ข้อมูลมากมายจากปากของมันอย่างแน่นอน


 


เมื่อทำข้อตกลงกันแล้วเสร็จ พวกเขาก็เริ่มเคลื่อนไหว เย่ชิงเสวียนเป็นคนนำทัพด้วยตัวเอง ส่วนอี้เทียนหยุนนั้น เขาจะลงมือตามใจตนเอง


 


“ใกล้แล้ว!”


 


ในตอนนี้เอง ฝีเท้าของเย่ชิงเสวียนก็ช้าลงเล็กน้อย แล้วรีบพูดขึ้นว่า “ซ่อนตัวเร็วเข้า แล้วอย่าลืมลบกลิ่นอายออกด้วย อย่าให้พวกมันเจอตัว”


 


ในตอนนี้เอง เธอก็ได้หันหัวไปมองรอบๆ แล้วก็พบว่าอี้เทียนหยุนได้หายไปแล้ว ทำให้เธอต้องถามขึ้นด้วยความตกใจ “คนล่ะ?”


 


จากนั้นก็มีมือตบลงที่ไหล่ของเธอ ทำให้เธอรีบหันหัวกลับไปโดยพลัน แล้วก็พบว่าอี้เทียนหยุนกำลังยิ้มให้กับเธออยู่ “อยู่นี่ มีอะไร?”


 


“กลิ่นอายของเจ้าหายไป ข้าก็คิดว่าเจ้าหลงทางแล้วน่ะสิ!” เย่ชิงเสวียนกลอกตาแล้วพูดขึ้น


 


“ไม่ใช่ว่าเจ้าให้ข้าซ่อนตัวอย่างงั้นเหรอ ข้าก็ทำตามแล้วไง…..” อี้เทียนหยุนยักไหล่ แต่ขณะที่กำลังจะพูดอะไรอยู่นั้น สายตาของเขาก็พลันกลายเป็นเย็นชา “ลบกลิ่นอายเร็วเข้า มีคนกำลังตรงมาที่นี่”


 


เย่ชิงเสวียนพยักหน้าโดยที่ไม่พูดอะไร พร้อมกับนำเขาตรงไปซ่อนยังต้นไม้ที่อยู่ใกล้ๆ


 


“นายท่านอู๋ ค่ายกลที่นี่อยู่ๆ ก็ฟื้นฟู ดังนั้นจึงทำให้ยากที่จะทำลายเขาวงกตแห่งนี้ ผู้น้อยต้องขออภัยด้วย” ผู้ฝึกตนเผ่าภูตก้มหัวค้อมเอว สีหน้าเต็มไปด้วยความขออภัย


 


นายท่านอู๋คนนี้ก็คืออู๋เผิง ระดับของเขาไม่ต่ำเลย เขาเป็นถึงผู้บัญชาการระดับสูงของอาณาจักรใต้พิภพ มีพลังอยู่ในระดับผันแปรวิญญาณขั้นที่ 3 เป็นผู้นำเผ่าภูตที่ทรยศกลุ่มนี้มาทำลายค่ายกล แต่ไม่คิดว่าจะต้องมาถูกขังอยู่ที่นี่


 


“ฟื้นฟูแล้ว ทำลายไม่ได้!” อู๋เผิงขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น “แล้วพวกเราจะต้องถูกขังอยู่ในนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป แล้วเมื่อไหร่ถึงจะทำภารกิจจับกุมสำเร็จ! ถ้าองค์จักรพรรดิสั่งบทลงโทษลงมา แม้แต่ข้าก็รับไม่ไหว!”


 


“เร็วๆ นี้แหละครับ หัวหน้าของพวกเรากำลังหาทางทำลายอยู่ ตราบเท่าที่ทำลายค่ายกลใหญ่ในสถูปวิญญาณได้ เมื่อนั้นเขาวงกตนี้ก็จะไร้ประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิง!” ผู้ทรยศของเผ่าภูตรีบพูดขึ้น


 


“สวะ แล้วเจ้าทำลายค่ายกลไม่ได้หรือไง?!” อู๋เผิงมองไปที่พวกเขาแล้วพูดอย่างเย็นชา


 


“เรื่องนี้….. ระดับของพวกเราไม่เพียงพอครับ” พวกเขารู้สึกอึดอัด ระดับของพวกเขาก็ไม่ได้ต่ำ แต่ก็ไม่ใช่นักสลักอาคมระดับต้าซือ แล้วพวกเขาจะไปทำลายค่ายกลนี้ได้ยังไง


 


“โชคร้ายจริงๆ! ถ้าเรื่องนี้ถูกเลี่ยวเฉิงแย่งไป แล้วอย่างนี้ข้าจะมีความดีความชอบได้ยังไง!” อู๋เผิงมองไปที่พวกเขาด้วยความเกลียดชัง ต่อให้เข้าร่วมกับอาณาจักรใต้พิภพ ความเป็นอยู่ของพวกเขาก็ยังคงน่าผิดหวังอยู่ดี กระทั่งดูราวกับสุนัขก็ไม่ปาน


 


ในที่ที่พวกอี้เทียนหยุนซ่อนตัวอยู่ เย่ชิงเสวียนได้ส่งเสียงผ่านลมปราณออกมาว่า “มีปัญหานิดหน่อย มีผู้เชี่ยวชาญระดับผันแปรวิญญาณอยู่ แต่พวกเราสามารถลอบโจมตีพวกระดับก่อแกนวิญญาณได้….. เกือบลืมไปเลย แล้วเจ้ามีพลังระดับไหน?”


 


ขณะที่เธอหันไปทางอี้เทียนหยุน เธอก็พบว่าอี้เทียนหยุนได้หายไปแล้ว! และตอนนี้เอง เธอก็ได้ยินเสียงของอี้เทียนหยุนดังมาจากด้านหน้าว่า


 


“นี่พวกเจ้าหลงทางอย่างงั้นเหรอ?” ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ อยู่ๆ อี้เทียนหยุนก็ไปยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขา ขณะที่ริมฝีปากเผยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายออกมา

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม