Crazy Leveling System 268-274

 CLS ตอนที่ 268: ต่อสู้กับศัตรูทั้งโลกเพื่อเจ้า!


 


“เจ้าเป็นคนของนิกายเทียนเฉวียนอย่างงั้นเหรอ? ทำไมพวกเราไม่เคยเห็น นิกายเทียนเฉวียนเรารับแต่ศิษย์หญิง ไม่เคยรับศิษย์ผู้ชายมาก่อน!” น้ำเสียงของพวกเธอแข็งขึ้น พร้อมกับจับจ้องมาที่เขาเขม็ง ไม่ยอมปล่อยให้คนแปลกหน้ารุกล้ำเข้าไป


 


“ไม่ใช่ว่า…. พวกเราก็มีผู้อาวุโสที่เป็นผู้ชายอยู่เหรอ? ผู้อาวุโสสี่ก็เป็นผู้ชายนี่ใช่ไหม?” อยู่ๆ ก็พลันมีเสียงดังมาจากข้างหลัง ทำให้พวกเธอพากันตกใจ จากนั้นก็มองมาที่เขาอย่างสงสัย


 


“ข้าเป็นผู้อาวุโสของพวกเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ…..” อี้เทียนหยุนยิ้ม ศิษย์ใหม่พวกนี้ช่างน่ารักจริงๆ


 


“นายน้อย ท่านกลับมาแล้ว?” หลิวเมิ่งเหลียนเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน และเมื่อเห็นอี้เทียนหยุน นัยน์ตาที่งดงามของเธอก็เป็นประกาย “พวกเจ้ากำลังทำอะไร เขาเป็นผู้อาวุโสอี้ของพวกเจ้า ยังไม่รีบทำความเคารพอีก!”


 


“อ๊า!?”


 


พวกเธอพากันร้องออกมา จากนั้นก็เอามือปิดหน้า ไม่กล้ามองอี้เทียนหยุนอีก หลังจากพวกเธอได้ยินว่าอี้เทียนหยุนที่มีอายุพอๆ กับพวกเธอเป็นถึงผู้อาวุโส พวกเธอก็รู้สึกสนใจอย่างมาก ทั้งยังรู้สึกเลื่อมใส แต่ไม่คิดว่าจะเป็นคนตรงหน้าที่พวกเธอทำเหมือนกับเป็นผู้บุกรุกคนนี้


 


“ผู้อาวุโสอี้ ข้า พวกเราไม่ได้ตั้งใจ…..” ตาของพวกเธอมีน้ำตาไหลออกมา ทั้งกระอักกระอ่วน ทั้งเสียใจ


 


“ไม่เป็นไรหรอก พวกเจ้าเข้ามาใหม่ การที่จะไม่รู้จักข้าก็เป็นเรื่องธรรมดา” อี้เทียนหยุนยิ้ม จากนั้นก็หยิบขวดยาสองสามขวดออกมามอบให้กับหลิวเมิ่งเหลียน แล้วพูดว่า “พี่สาวเสี่ยวเหลียน แจกเม็ดยาพวกนี้เป็นของขวัญพบหน้าเถอะ”


 


หลิวเมิ่งเหลียนพยักหน้า จากนั้นก็แจกเม็ดยาในขวดออกไป หลังจากศิษย์หญิงพวกนั้นได้รับ ก็พากันร้องออกมาด้วยความตกใจ


 


“นี่ นี่คือเม็ดยาปรับแต่งกายาที่หายากมากหนิ!”


 


พวกเธอพากันร้องออกมา เม็ดยาปรับแต่งกายานี้ไม่เพียงแต่หายากเท่านั้น แต่ยังเหมาะกับผู้ฝึกตนระดับปรับแต่งกายาอย่างพวกเธออีกด้วย สามารถพูดได้ว่าเม็ดยาปรับแต่งกายานี้ เหมาะสำหรับเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย ช่วยทำให้รากฐานแข็งแกร่งขึ้น ช่วยเพิ่มความเร็วในการฝึกตน ถือเป็นเม็ดยาสารพัดประโยชน์


 


“ขอบคุณ ขอบคุณผู้อาวุโสอี้!” พวกเธอพากันร้องออกมา ในสีหน้าที่แสดงออกมาล้วนเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง


 


อี้เทียนหยุนมองไปที่พวกเธอ จากนั้นก็พบว่าค่าความชอบที่พวกเธอมีให้เขาในตอนนี้ มากเกินกว่า 100 ไปแล้ว! นี่ไม่ใช่แค่ความดีความชอบของเม็ดยาปรับแต่งกายา แต่ยังเป็นเพราะได้ฟังวีรกรรมของเขาด้วย ทำให้พวกเธอรู้สึกเลื่อมใสเขาอย่างมาก ตอนนี้ได้เจอเขากับตา ทั้งยังมอบเม็ดยาปรับแต่งกายานี้อีก แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ค่าความชอบเพิ่มขึ้นได้ยังไง?


 


นี่ทำให้เขารู้สึกว่าเด็กผู้หญิงพวกนี้ช่างหลอกง่ายจริงๆ……


 


หลังจากทักทายกันเล็กน้อย ขณะที่เขากำลังเตรียมจะเดินเข้าไปในนิกายเทียนเฉวียน น้ำเสียงที่คุ้นเคยก็ดังเข้าหูเขา “กลับมาคราวนี้คงไม่ได้หลอกพาเด็กผู้หญิงคนไหนมาอีกใช่ไหม?”


 


ชิเสวี่ยอวิ๋นเดินออกมาพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า มองดูแล้วยังคงงดงามเช่นเดิม ทั้งยังเต็มไปด้วยความอบอุ่น เมื่อได้อยู่ด้วยกันกับชิเสวี่ยอวิ๋น ทำให้เขารู้สึกสุขใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ หลังจากจากกันนาน ในที่สุดก็ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง


 


“ท่านน้าล่ะก็….. ข้าเคยหลอกใครที่ไหน? ข้าก็แค่ช่วยพวกเธอจากความลำบาก จากนั้นก็ช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้นิกายเทียนเฉวียนเราไม่ใช่หรือไง?” จริงๆ แล้วแต่ละครั้งที่อี้เทียนหยุนกลับมา เป็นต้องพาคนกลับมาด้วยทุกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ไม่ได้พามา


 


“ข้าจะไปรู้ได้ยังไงว่าเจ้าคิดอะไรอยู่” ชิเสวี่ยอวิ๋นเผยรอยยิ้มคลุมเครือออกมา


 


“เอาล่ะ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว…..” อี้เทียนหยุนมองสำรวจชิเสวี่ยอวิ๋น จากนั้นก็พูดด้วยความประหลาดใจ ทั้งยังแฝงไปด้วยความสุขว่า “ท่านน้า นี่ระดับของท่านเพิ่มขึ้นอีกแล้วเหรอ!”


 


ชิเสวี่ยอวิ๋นในตอนนี้ได้เข้าสู่ระดับก่อแกนวิญญาณขั้นที่ 2 แล้ว ความเร็วระดับนี้ถือว่าน่าตกใจมาก


 


“เทียบกับเจ้าแล้วยังมีอะไรให้ต้องคุยอีก” ชิเสวี่ยอวิ๋นพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“ไม่ กับข้ามันต่างกัน….. เอาจริงๆ แล้ว ท่านน้า ท่านร้ายกาจมาก!” อี้เทียนหยุนไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดี ที่เขาสามารถเลื่อนระดับได้ไว ต้นเหตุเพราะมีระบบอยู่ ไม่อย่างนั้นเขาจะไปเลื่อนระดับได้ไวอย่างนั้นได้ยังไง


 


“อย่าได้พูดอย่างนั้น…..” นัยน์ตาที่งดงามของอี้เทียนหยุนเหมือนมีร่องรอยของความหดหู่ “บางครั้งข้าก็อดคิดขึ้นมาไม่ได้ ยามที่ต้องการ ข้ากลับช่วยอะไรไม่ได้ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย”


 


เธอพูดจบก็พลันเผยรอยยิ้มออกมา ซึ่งรอยยิ้มในครั้งนี้เต็มไปด้วยความขมขื่นและความรู้สึกกดดัน ทั้งยังมากไปด้วยความรู้สึกเปล่าเปลี่ยวและเดียวดาย


 


อี้เทียนหยุนจับมือเล็กๆ ของเธอไว้ พร้อมกับพูดปลอบว่า “ท่านจะไม่ช่วยอะไรได้ยังไง ไม่ใช่ว่านิกายเทียนเฉวียนกำลังไปได้ด้วยดีอย่างงั้นเหรอ? ไม่ใช่ว่ามีคำกล่าวที่ว่าผู้ชายดูแลเรื่องนอกบ้าน ผู้หญิงดูแลเรื่องในบ้านหรอกเหรอ? ข้าคอยต่อสู้อยู่ภายนอก ส่วนท่านก็คอยดูแลจัดการเรื่องภายในของนิกายเทียนเฉวียน แค่นั้นก็พอแล้ว”


 


“เจ้าก็ชอบพูดล้อข้าเล่นอย่างนี้อยู่เรื่อย” ชิเสวี่ยอวิ๋นยื่นมือขึ้นไปลูบใบหน้าของเขา จากนั้นก็จ้องไปที่เขา แล้วพูดอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้าคงจะเหนื่อยมากสินะ?”


 


“อืม ข้าเหนื่อยมาก” อี้เทียนหยุนจับมือเล็กๆ ของเธอไว้ จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “แต่เพื่อให้ได้กลับมาเจอท่าน ข้าจึงไม่อาจตายได้”


 


“น่าโง่ ตายเตยอะไรกัน” ชิเสวี่ยอวิ๋นค้อนขวับให้คราวหนึ่ง จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “บางครั้งข้าก็คิดนะ ว่าจะออกไปด้วยกันกับเจ้า เจ้าว่าดีหรือเปล่า”


 


“ถ้ามีโอกาสนะ” อี้เทียนหยุนยิ้ม “ใช่แล้ว คราวนี้ข้าได้ทรัพยากรมาจำนวนมาก สามารถช่วยขยับขยายนิกายเทียนเฉวียนของพวกเราออกไปก้าวใหญ่ได้อย่างแน่นอน!”


 


พูดจบเขาก็พาชิเสวี่ยอวิ๋นเดินเข้าไปในห้อง พร้อมกับหยิบแหวนเก็บของออกมา จากนั้นก็ส่งให้กับชิเสวี่ยอวิ๋น นี่เป็นแหวนเก็บของของพวกเฉิงเฟิง ในนี้เต็มไปด้วยของล้ำค่าควรเมือง นอกจากบางส่วนที่ถูกเขาทำความสะอาดแล้ว ส่วนใหญ่ล้วนยังอยู่ในนี้


 


หลังจากชิเสวี่ยอวิ๋นตรวจดูข้างใน นัยน์ตาที่งดงามของเธอก็แสดงอาการตกใจออกมา ในนี้มีแต่ของดีจริงๆ ยิ่งกว่านั้นยังมีจำนวนมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นศาสตราจิตวิญญาณขั้นกลาง วิชายุทธ์ระดับปฐพีขั้นกลาง ทุกสิ่งล้วนแต่กองอยู่ในแหวนเก็บของนี้!


 


“นี่ ของมากมายขนาดนี้ นี่เจ้าไปทำลายสำนักไหนมาใช่ไหม?”


 


“ฮี่ฮี่ ท่านน้าช่างรู้ใจข้าจริงๆ มีบางสำนักมันหาเรื่องข้า ข้าขัดตาก็เลยทำลายสำนักพวกมันทิ้งเสียเลย” อี้เทียนหยุนบอกออกมาเพียงคร่าวๆ ราวกับเป็นเรื่องเล็กๆ ไม่ได้มีปัญหาอะไร


 


“นี่เป็นของที่เจ้าหามา ข้ารับไว้ไม่ได้หรอก เจ้าเก็บไว้ใช้เถอะ เอาไว้เพิ่มระดับให้ตัวเอง จะได้ปกป้องตัวเองได้!” ชิเสวี่ยอวิ๋นส่งคืน ไม่ยอมรับของพวกนี้


 


“ท่านน้า ข้ามีแล้ว นี่เป็นของที่เก็บไว้ให้สำนัก” อี้เทียนหยุนดันกลับ จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้ม “ที่ข้าทำอย่างนี้ก็ไม่ใช่เพราะช่วยเหลือท่านน้าหรอกเหรอ”


 


“เทียนหยุน….” ดวงตาที่งดงามของเธอจับจ้องมาที่เขา มองมาที่อี้เทียนหยุนอย่างขอคำยืนยัน จากนั้นก็เก็บแหวนวงนี้ไว้ แล้วพูดขึ้นมาว่า “งั้นข้าจะรับของพวกนี้ไว้ ข้าจะทำให้นิกายเทียนเฉวียนแข็งแกร่ง กลายเป็นสำนักที่ทรงอำนาจ หากเจ้าคิดจะยืนอยู่เหนือโลก ข้าก็จะทำให้ทั้งสำนักกลายเป็นร่มปกป้องเจ้า หากทั้งโลกเป็นศัตรูกับเจ้า ข้าก็จะพานิกายเทียนเฉวียนต่อสู้กับศัตรูทั้งโลกเพื่อเจ้า!”


 


น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยพลัง ทั้งยังแฝงแรงกระตุ้น มองมาที่อี้เทียนหยุนจนทำให้ในใจเขาร้อนผ่าว จนต้องดึงเธอเข้ามากอดเอาไว้


 


“ไม่ ข้าแค่อยากจะมองรอยยิ้มของท่าน แค่นั้นก็พอแล้ว” อี้เทียนหยุนกอดเธอเบาๆ สัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมของเธอ แต่ในใจไม่ได้มีความคิดอื่นแม้แต่น้อย


 


“ข้าก็เช่นกัน…..” ชิเสวี่ยอวิ๋นหลับตาลงช้าๆ ขณะที่น้ำตาไหลลงจากหางตาของเธอ


CLS ตอนที่ 269: ความจริง


 


ความคิดของชิเสวี่ยอวิ๋นทำไมอี้เทียนหยุนจะไม่รู้ ฝึกฝนนิกายเทียนเฉวียนเพื่อเป็นกำลังสนับสนุนที่แข็งแกร่งที่สุดของเขา ปกป้องเขาด้วยทุกอย่างที่มี บางที พลังนี้อาจจะไม่เพียงพอที่จะทำตามที่ตั้งใจไว้ แต่อย่างน้อยนี่ก็คือสิ่งที่เธอคิดไว้


 


เธอไม่ต้องการอะไรตอบแทน เธอเพียงกระทำอย่างเงียบๆ เพื่อทั้งนิกายเทียนเฉวียน และก็เพื่อตัวเขาเอง


 


หลังจากกอดกันสักพักก็พากันยิ้มออกมา พวกเขาไม่คิดว่ามันน่าอึดอัดอะไร แต่คิดว่าอบอุ่นมากกว่า


 


“ท่านน้า ข้ามีเรื่องสำคัญมากเกือบจะลืมถามท่าน เพื่อพิสูจน์บางอย่าง!” สีหน้าอี้เทียนหยุนกลายเป็นจริงจัง


 


“เจ้าว่ามา” ชิเสวี่ยอวิ๋นไม่มีปัญหา ยังคงซบหน้าอกของเขาอย่างเกียจคร้าน ถ้าคนอื่นมาเห็นภาพนี้เข้าล่ะก็ จะต้องตกตะลึงอย่างแน่นอน


 


เพราะทั้งสองไม่ได้มีความสัมพันธ์กันทางสายเลือด ทั้งอายุยังห่างกันแค่ไม่กี่ปี แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ตื่นเต้นได้ยังไง


 


จากนั้น อี้เทียนหยุนก็บอกเรื่องราวออกมา บอกถึงสถานการณ์ของวังเทียนจี๋ อย่างเช่นเรื่องของราชาวิญญาณเซวียนเทียน เรื่องที่เขาอาจจะเป็นบรรพชนผู้ก่อตั้งนิกายเทียนเฉวียน


 


หลังจากบอกเรื่องนี้ออกไป ชิเสวี่ยอวิ๋นที่นั่งอยู่ก็ขมวดคิ้วสีดำของเธอ แล้วพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้ข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่ คงต้องถามเหล่าบรรพชนดู”


 


เธอลุกขึ้น จากนั้นก็นำเขาไปหาบรรพชน เรื่องนี้เธอไม่แน่ชัดนัก ทั้งบรรพชนก็ไม่ได้มายุ่งกับเธอเท่าไหร่ ขอแค่จัดการเรื่องราวไปได้ดีแค่นั้นก็พอ


 


อย่างรวดเร็ว พวกเขาก็มาถึงที่ที่เหล่าบรรพชนอยู่ หลังจากที่พวกเธอได้รับทรัพยากรจำนวนมาก ก็พากันเร่งฝึกฝน เพื่อที่จะเพิ่มความแข็งแกร่ง ยังไงก็ตาม ดูเหมือนพวกเธอจะมาถึงขีดจำกัดแล้ว ทั้งเลือดฉีก็เหลือน้อยเต็มที ซึ่งก็เหมือนกับอี้เทียนหยุนเมื่อก่อน ถ้าเลือดฉีไม่เพียงพอ ฝึกไปก็ไร้ความหมาย ไม่สามารถทะลวงผ่านได้


 


“ท่านบรรพชน ก่อนหน้านี้นิกายเทียนเฉวียนเรามีบรรพชนที่มีชื่อจริงเหมือนกับชื่อสำนักหรือเปล่า?” ชิเสวี่ยอวิ๋นถามออกไปตรงๆ


 


เมื่อบรรพชนพวกนี้เห็นอี้เทียนหยุน ก็พากันรีบลุกขึ้น ไม่กล้าทำตัวเสียมารยาทต่ออี้เทียนหยุนแม้แต่น้อย มีอี้เทียนหยุนอยู่ จิ้งจอกเฒ่าที่ใกล้ตายพวกนี้จะกล้าทำเป็นไม่สนใจได้ยังไง


 


ถ้าเกิดพวกเธอกล้าทำเป็นไม่สนใจจริงๆ อี้เทียนหยุนก็ไม่รังเกียจที่จะเตะพวกเธอออกไป ให้พวกเธอไปนอนข้างนอก โชคดีที่จิ้งจอกเฒ่าพวกนี้ล้วนแต่รู้ตัวดีที่ไม่ได้ทำตัวอวดดี ไม่อย่างนั้นเขาอาจจะคิดฝึกผู้อาวุโสบางคนขึ้นมารับตำแหน่งบรรพชนแทนพวกนี้ก็เป็นได้


 


ที่จริงแล้วถ้าพวกเธอกล้าทำตัวอวดดี อี้เทียนหยุนจะตบให้พวกเธอนอนดิ้นมันตรงนี้เลย สำหรับเขาแล้ว คนที่ดูแลเขาคือชิเสวี่ยอวิ๋น ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับยายเฒ่าพวกนี้เลยสักนิด


 


“ชื่อจริงของบรรพชนผู้ก่อตั้งอย่างงั้นเหรอ…..” บรรพชนขมวดคิ้ว จากนั้นก็ส่ายหัวแล้วพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้พวกข้าก็ไม่แน่ใจนัก เพราะบันทึกทุกอย่างต่างก็ถูกทำลาย ทำให้ขอมูลของบรรพชนเสียหาย แต่ที่รู้แน่ๆ คือเป็นผู้ชาย ส่วนเรื่องอื่นไม่แน่ใจนัก”


 


“นอกจากนี้แล้วไม่มีข้อมูลอื่นๆ เลยอย่างงั้นเหรอ?” อี้เทียนหยุนรู้สึกผิดหวัง ตัวเขาอยากจะพิสูจน์ แต่ไม่คิดว่าข้อมูลจะมีจำกัด


 


“ข้อมูลอื่นก็พอจะมีอยู่บ้าง…..” บรรพชนทั้งหลายต่างพากันมองหน้ากัน ในสายตาล้วนมากไปด้วยความอึดอัด แต่ก็พูดออกมาว่า “ที่รู้คือเจ้าตำหนักถูกศิษย์ผู้หญิงจัดการ….. จากนั้น ศิษย์หญิงคนนั้นก็กลายเป็นเจ้าตำหนักคนต่อไป สุดท้ายแล้วก็ทำการขับไล่ศิษย์ผู้ชายทั้งหมด เหลือไว้แต่ศิษย์ผู้หญิง”


 


นี่คือเรื่องราวที่ดำมืดของนิกายเทียนเฉวียน เป็นธรรมดาที่พวกเธอจะไม่ยินยอมที่จะเล่ามันออกมา ที่นิกายเทียนเฉวียนมีแต่ศิษย์หญิงนั้นเป็นเหตุผลที่ง่ายมาก เพราะผู้ชายนั้นชั่วร้าย จึงก่อนให้เกิดนิกายเทียนเฉวียนซึ่งมีแต่ศิษย์ผู้หญิง ไม่ต้อนรับศิษย์ผู้ชาย


 


จากนั้นภายหลังถึงได้มาเปิดรับศิษย์ผู้ชายอีกครั้ง แต่ก็เป็นได้แค่ศิษย์สายนอก ซึ่งมาจากการถูกคุกคามจากสำนักอื่นๆ ทำให้จำเป็นต้องรับมา


 


ข้อมูลนี้อี้เทียนหยุนเคยได้ยินมาแล้ว เพราะยังไงก็ไม่ใช่ความลับอะไร เพียงแต่มันค่อนข้างอึดอัดที่จะพูดก็เท่านั้น


 


“ถ้าไม่รู้ชื่อ งั้นแค่แซ่ก็ยังดี!” อี้เทียนหยุนไม่สามารถยอมรับความผิดหวังนี้ได้


 


“แซ่นี่ไม่รู้ แต่ชื่อนี่พอจะรู้อยู่” บรรพชนคิดแล้วพูดออกมา


 


“ชื่ออะไร?” อี้เทียนหยุนถาม


 


“เทียนเฉวียน นี่คือชื่อของเจ้าตำหนักคนแรก ส่วนแซ่นั้นไม่แน่ใจ” บรรพชนคนนั้นส่ายหัว


 


“ดี!” อี้เทียนหยุนยิ้มออกมา แล้วพูดขึ้นว่า “แค่นี้ก็พอแล้ว เหมือนกับที่คิดไว้เลย เจ้าตำหนักคนแรกของนิกายเทียนเฉวียนเรา เป็นเจ้าของซากโบราณสถานเทียนเฉินแห่งนี้! หลังจากออกจากนิกายเทียนเฉวียนมา เขาก็ไม่ได้ไปไหน แต่สร้างซากโบราณสถานเทียนเฉินขึ้นที่นี่ เรื่องนี้ช่างน่าตกใจจริงๆ”


 


“เป็นเรื่องจริงเหรอ!?” พวกเธอพากันตกใจ พวกเธออาศัยอยู่ที่นี่มานาน แต่ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของที่นี่ รู้แค่ว่าเจ้าของที่นี่เรียกว่าราชาวิญญาณเซวียนเทียน ส่วนชื่อจริงๆ นั้นไม่รู้จัก


 


อี้เทียนหยุนยิ้ม พร้อมกับเอ่ยเรียกบางคนอย่างไว “เหล่าเซวียน เหล่าเซวียน!”


 


อย่างรวดเร็ว เหล่าเซวียนก็ได้ปรากฏขึ้น เมื่อเห็นอี้เทียนหยุน เขาก็พูดอย่างเคารพว่า “นายท่าน มีเรื่องอะไรอย่างงั้นเหรอ?”


 


“นายท่านคนก่อนของเจ้ามีชื่อจริงว่าอะไร?” อี้เทียนหยุนถาม


 


“นายท่านคนก่อนของข้าเรียกว่า เหอเทียนเฉวียน” เหล่าเซวียนตอบตามจริง


 


“สำนักอะไรที่ท่านผู้อาวุโสเป็นคนสร้าง?” อี้เทียนหยุนถาม


 


“เรื่องนี้ไม่แน่ใจ รู้เพียงแต่ว่านายท่านคนก่อนนั้นมักจะหยิบภาพวาดออกมาดูบ่อยๆ” เหล่าเซวียนพูด


 


“ภาพวาด?” อี้เทียนหยุนยิ้ม จากนั้นก็พูดว่า “ภาพวาดนั้นเป็นของใคร?”


 


“นายท่านคนก่อนไม่ได้บอกไว้ หลังจากท่านตายไป ข้าก็ได้เผามันไปพร้อมกับท่าน” เหล่าเซวียนพูด จากนั้นก็พูดเสริมขึ้นว่า “แต่ว่าข้าสามารถจำแลงกาย แปลงร่างให้นายท่านดูได้”


 


“งั้นก็รีบเลย” อี้เทียนหยุนเร่งรัดเขา


 


จากนั้นเหล่าเซวียนก็โบกมือเบาๆ จากนั้นก็ปรากฏแผ่นภาพเปล่าที่สร้างมาจากหมอก จากนั้น ก็เริ่มมีภาพปรากฏ พร้อมกับเหล่าเซวียนที่เปลี่ยนร่างไป เปลี่ยนเป็นภาพวาดออกมา ส่วนจะทำได้ยังไงนั้น ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะมาถาม


 


จากนั้นพวกเขาก็เข้าไปดูใกล้ๆ และเมื่อเห็นคนในภาพ บรรพชนก็ร้องเสียงหลงออกมา “นี่ นี่ไม่ใช่ท่านบรรพชนหรอกเหรอ!?”


 


บรรพชนคนอื่นก็ร้องออกมาเช่นกัน ภาพนี้คือภาพของบรรพชนที่จากไป พูดอีกอย่างก็คือภาพวาดของเจ้าตำหนักคนก่อน ซึ่งนอกจากราชาวิญญาณเซวียนเทียนแล้ว ใครจะมีได้


 


“ดูท่าราชาวิญญาณเซวียนเทียนจะเป็นห่วงมากสินะ…..” อี้เทียนหยุนส่ายหัว แล้วพูดขึ้นว่า “แล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้น? เหล่าเซวียนเจ้ารู้หรือเปล่า?”


 


“เรื่องนี้ก็ไม่แน่ใจนัก แต่ได้ยินนายท่านคนก่อนมักจะพูดว่าขอโทษอยู่เป็นประจำ เหมือนกับทำอะไรบางอย่างให้เธอผิดหวัง แต่เรื่องอะไรนั้นไม่แน่ใจนัก” เหล่าเซวียนส่ายหัว


 


อี้เทียนหยุนพยักหน้า จากนั้นก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ เรื่องก่อนหน้าสำหรับเขาไม่สำคัญ ตราบเท่าที่รู้ความจริงนี้ก็พอแล้ว นิกายเทียนเฉวียนเป็นสำนักที่ราชาวิญญาณเซวียนเทียนสร้างขึ้นจริงๆ เป็นวังพี่นิกายน้องกับวังเทียนจี๋!


CLS ตอนที่ 270: อัจฉริยะ!


 


สถานการณ์ที่อี้เทียนหยุนรู้คร่าวๆ ก็เป็นอย่างที่ผู้อาวุโสใหญ่พูด นิกายเทียนเฉวียนนี้เป็นสำนักที่ราชาวิญญาณเซวียนเทียนสร้าง เป็นสายเลือดเดียวกับวังเทียนจี๋ ยังไงก็ตาม นี่ก็ไม่อาจบอกว่าเป็นสำนักเดียวกัน ถึงยังไงทุกอย่างก็เหมือนกับคนละสำนักอยู่แล้ว แต่ตอนนี้เขาเป็นประมุข นี่จึงต่างออกไป


 


แม้ว่าวังเทียนจี๋จะตกต่ำ แต่ก็พอจะมีพื้นหลังอยู่บ้าง อย่างเช่นสถานที่ฝึกฝน วังเทียนจี๋เมื่อเทียบกับซากโบราณสถานเทียนเฉินแล้วแข็งแกร่งกว่ามาก ดังนั้น ถ้าสามารถรวมกันได้ก็เป็นเรื่องดี เพราะจะช่วยทำให้นิกายเทียนเฉวียนแข็งแกร่งขึ้นอย่างใหญ่หลวงในทันทีทันใด


 


จากนั้น อี้เทียนหยุนก็จัดการเรื่องของตนในช่วงสองสามวันนี้ ไม่ว่าจะเรื่องที่เขาเป็นประมุขของวังเทียนจี๋ เรื่องนี้เขายังต้องมีการพูดกับพวกชิเสวี่ยอวิ๋น


 


“ตอนนี้ข้าเป็นประมุขของวังเทียนจี๋ ซึ่งมีสายเลือดเดียวกันนิกายเทียนเฉวียน แต่นี่ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เรื่องสำคัญคือเราจะรวมสองสำนักเข้าด้วยกัน แต่ข้าไม่คิดที่จะรวมเข้าด้วยกันโดยมสมบูรณ์ นี่คือสิ่งที่ข้าคิด” อี้เทียนหยุนหยุดคิดแล้วพูดขึ้นว่า “วังเทียนจี๋จะยังคงรับศิษย์ตามเดิม แต่จะเน้นหนักไปทางศิษย์ผู้หญิง ไม่ทราบว่าทุกคนมีความคิดยังไงกันบ้าง?”


 


ในห้องโถง ผู้อาวุโสและผู้จัดการทั้งหลายล้วนอยู่ที่นี่ เมื่อได้ยินคำพูดของอี้เทียนหยุน พวกเธอก็พากันตกใจ ไม่คิดว่าแค่ไม่ได้เจอกันสักพัก อี้เทียนหยุนจะกลายเป็นประมุขของขุมอำนาจชั้น 3 แล้ว นี่ทำให้พวกเธอรู้สึกตกใจจริงๆ


 


“ความคิดนี้ ถ้าจะให้รวมเข้าด้วยกันเลย ข้าย่อมไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน” คนที่พูดนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นอี้อวี่เหว่ย เธอคิดสักพักแล้วพูดขึ้นมาว่า “เหตุผลก็ง่ายมาก แม้ว่าผู้อาวุโสอี้จะเป็นประมุขของทางฝั่งนั้น แต่มากคนก็ยิ่งมากความ ไม่ดีที่จะทำอย่างนี้ โดยเฉพาะตอนนี้ยิ่งง่ายที่จะเกิดความวุ่นวาย ยังไงก็ตาม ประโยคที่ว่าแยกกันนั้นถือเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะสามารถแยกเป็นสองส่วนใหญ่ๆ ฝึกวิชาที่พิเศษเฉพาะของตนไป”


 


“อืม ข้าเห็นด้วยกับความคิดของผู้อาวุโสห้า ถ้าจะให้รวมกันจริงๆ ข้าก็จะเชื่อฟังคำสั่งของผู้อาวุโสอี้ แต่ยังไงก็ตาม สำนักทั้งสองก็ถือว่าเป็นสำนักเดียวกันอยู่แล้ว ในเมื่อแยกกันแล้วก็ไม่เห็นจะต้องรวมกันใหม่ จัดการสำนักใครสำนักมัน” ผู้อาวุโสโม่อวี่พูด


 


อี้เทียนหยุนมองไปที่ชิเสวี่ยอวิ๋น ไม่รู้ว่าชิเสวี่ยอวิ๋นจะคิดยังไง?


 


“ข้าก็คิดแบบนี้เช่นกัน ต่อให้ทางนั้นจะเป็นสำนักของท่านบรรพชนก็ตาม แต่ตอนนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว พวกเรามีก้าวเดินของพวกเรา ข้าเชื่อมั่นว่าพวกเราจะกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง!” ชิเสวี่ยอวิ๋นพูดสรุปออกมา “พวกเราจะแบกรับชื่อเทียนเฉวียนนี้ เพื่อประกาศให้โลกหล้าได้รู้!”


 


อี้เทียนหยุนตาเป็นประกาย จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “นี่มันแน่นอนอยู่แล้ว นี่ก็เหมือนกับการพัฒนาสองสำนักร่วมกัน ไม่ถือว่าเป็นอะไร ถึงยังไงก็ทั้งสองสำนักก็แบ่งปันทรัพยากรร่วมกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน จะรวมหรือไม่รวมก็ไม่ใช่ปัญหา”


 


ที่พวกเธอสนใจคือกลัวว่าชื่อนิกายเทียนเฉวียนจะหายไป พวกเธอเป็นคนของนิกายเทียนเฉวียน ไม่ใช่วังเทียนจี๋! ต่อให้วังเทียนจี๋จะเป็นสำนักของท่านบรรพชน แต่ก็เป็นเรื่องแต่เก่าก่อน ตอนนี้มันต่างไปแล้ว ไม่มีใครต้องการเปลี่ยนชื่อ แม้จะรู้ความจริงแล้วก็ตาม


 


“งั้นก็ตกลงตามนี้ เราจะแบ่งสำนักเป็นสอง หนึ่งคือวังเทียนจี๋ อีกหนึ่งคือนิกายเทียนจี๋ เรียกรวมกันว่าวังชวงหลง(มังกรคู่) เป็นยังไง?” อี้เทียนหยุนคิดชื่อประหลาดๆ ขึ้นมา วังชวงหลง มีความหมายว่าสำนักทั้งสองล้วนแต่เป็นมังกร หนึ่งมังกรที่เขย่าคลอนพิภพ อีกหนึ่งมังกรที่เขย่าคลอนนภา!


 


“ไม่มีปัญหา!”


 


พวกเธอพากันพยักหน้ารับ ที่พวกเธอต้องการก็คืออิสระ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นเรื่องที่น่าพึงพอใจมาก สามารถรักษาชื่อเทียนเฉวียนสองตัวนี้ไว้ได้ เรื่องอื่นพวกเธอล้วนไม่มีปัญหา


 


“ดี งั้นเรื่องนี้ถือเป็นสิ้นสุด” อี้เทียนพยุนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “แต่ว่าตอนนี้คงยังคงเคลื่อนย้ายไม่ได้ รอให้ซากโบราณสถานเทียนเฉินฟื้นคืนสภาพเหมือนอย่างเก่าก่อนก่อน จากนั้นถึงจะมีเคลื่อนย้ายอย่างเป็นทางการ! เมื่อถึงตอนนั้น ที่นี่จะไม่ใช่ซากโบราณสถานอีก แต่จะเป็นวิหาร วิหารเทียนเฉวียนของพวกเรา!”


 


“ซากโบราณสถานเทียนเฉินสามารถเคลื่อนย้ายได้ด้วยเหรอ?” พวกเธอพากันตกใจ สิ่งก่อสร้างที่ใหญ่โตขนาดนี้สามารถเคลื่อนย้ายได้จริงๆ?


 


“แน่นอน ไว้ถึงเวลาพวกท่านจะรู้เอง” อี้เทียนหยุนยิ้ม แต่ไม่บอกรายละเอียดออกไป


 


ตอนนี้ยังไม่มีหนทางที่จะฟื้นคืนค่ายกลบิน แต่หนทางก็อีกไม่ไกลแล้ว แต่ถึงจะฟื้นฟูได้ เขาก็ไม่คิดที่จะเคลื่อนย้ายในทันที สถานการณ์ในตอนนี้ค่อนข้างวุ่นวาย อยู่ที่นี่ยังปลอดภัยซะกว่า ไว้ระดับของเขาสูงกว่านี้ แข็งแกร่งพอเมื่อไหร่ ตอนนี้ค่อยเคลื่อนย้ายก็ยังไม่สาย!


 


หลังจากพูดคุยกันแล้วเสร็จ อี้เทียนหยุนเริ่มจัดการซากโบราณสถานเทียนเฉิน สร้างสิ่งสำคัญ นั่นก็คือสร้างค่ายกลในหอคอยเทียนหลิง เขาคิดว่านี่จะเป็นตัวช่วยฝึกฝนสำคัญสำหรับศิษย์ ดังนั้นจึงเริ่มจัดการในทันที


 


 


ขณะที่เขากำลังสร้างค่ายกลอยู่นั้น เขาก็สังเกตเห็นว่ามีคนเดินเข้ามา และเมื่อหันไปดู เขาก็พบว่าเป็นจิ่วหลิงจวิน เขาจึงส่งยิ้มให้เธอแล้วพูดขึ้นว่า “น้องสาวจิ่ว สบายดี?”


 


จิ่วหลิงจวินตอบกลับด้วยรอยยิ้มอายๆ “พี่ใหญ่อี้….. ขอโทษที่ข้ามารบกวน ข้าเห็นท่านกำลังสร้างค่ายกลที่นี่ ข้าคงไม่ได้มารบกวนท่านใช่ไหม?”


 


“รบกวนที่ไหนกัน ถ้าอยากจะดูก็มา คอยดูและจดจำไว้” อี้เทียนหยุนบอกให้เธอเข้ามาดูใกล้ๆ ได้ จากนั้นก็อธิบายว่า “ตอนนี้ข้ากำลังสร้างค่ายกลวิญญาณ ซึ่งจะช่วยเพิ่มพลังวิญญาณ สามารถเพิ่มความเร็วการฝึกฝน ช่วยให้ศิษย์ที่ฝึกฝนด้านการสร้างค่ายกลให้ฝึกฝนได้ดีขึ้น!”


 


“นี่มันยอดเยี่ยมขนาดนั้นเลยเหรอ!?” จิ่วหลิงจวินตื่นเต้น “ก่อนหน้านี้ข้าเคยพยายามแต่ก็ล้มเหลวอยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายก็สามารถสร้างส่วนเล็กๆ ออกมาได้…. พี่ใหญ่อี้จะช่วยข้าดูได้หรือเปล่า?”


 


“เรื่องนี้ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” อี้เทียนหยุนคิดอย่างประหลาดใจ


 


อย่างรวดเร็ว จิ่วหลิงจวินก็พาเขาเข้าไปในห้อง ที่นี่ได้มีค่ายกลสลักไว้เรียบร้อยแล้ว ดูแล้วเป็นธรรมชาติมาก อย่างรวดเร็ว จิ่วหลิงจวินก็เปิดใช้งานค่ายกล ค่ายกลส่งแรงกดดันออกมา ช่วยเพิ่มความเร็วในการดูดซับพลังวิญญาณ เทียบกันแล้วคล้ายกับของเขามาก เพียงแต่ผลลัพธ์ออกจะด้อยกว่ากันอยู่หลายขั้น เพราะมันไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้


 


ยังไงก็ตาม นี่ก็ทำให้อี้เทียนหยุนตกใจอย่างมาก นี่เป็นสิ่งที่เธอฝึกฝนด้วยตัวเอง! อัจฉริยะ อัจฉริยะอย่างไม่ต้องสงสัย!


 


“น้องสาวจิ่ว เจ้านี่ช่างร้ายกาจจริงๆ!” อี้เทียนหยุนพูดอย่างตกใจ “เจ้าสามารถลองจนพบผลลัพธ์แบบนี้ได้ ยอดเยี่ยมมาก!”


 


“จริงเหรอ!” จิ่วหลิงจวินที่ได้รับคำชมก็พลันหน้าแดง พูดอย่างอายๆ ว่า “ข้าก็กลัวว่าพี่ใหญ่อี้จะคิดว่าน่าตลก…..”


 


“กลัวอะไรกัน เจ้าเป็นคนที่มีพรสวรรค์แข็งแกร่งมาก!” อี้เทียนหยุนคิดแล้วพูดขึ้นมาว่า “มา ข้าจะสอนเรื่องนี้ให้ อย่างเช่นตรงนี้ต้องปรับปรุง แต่ตรงนี้ไม่ต้อง….”


 


เขาเริ่มสอน ขณะที่จิ่วหลิงจวินก็มองดูอย่างตั้งใจ ตั้งใจมาก


 


“ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง พี่ใหญ่อี้ ขอบคุณ!” จิ่วหลิงจวินยิ้มสดใส บนใบหน้าที่ดูแล้วธรรมดา กลับมีรอยยิ้มที่น่าดึงดูดประดับอยู่


 


อี้เทียนหยุนที่ได้เห็นก็ตกใจ รอยยิ้มที่มาจากใจ ช่างเป็นรอยยิ้มที่งดงามและเจิดจ้าอย่างแท้จริง


 


“ติ๊ง ท่านสำเร็จภารกิจลับ “ฝึกฝนนักบุญหญิงให้แข็งแกร่ง” สำเร็จ ได้รับค่าประสบการณ์ 1 ล้าน, ค่าความคลั่ง 50,000, ค่าความดี 100, ความชำนาญในการสลักอาคม 1,000!”


 


อี้เทียนหยุนตกใจ ภารกิจลับอยู่ๆ ก็เด้งขึ้นมา ดูเหมือนว่าการสอนเธอให้แข็งแกร่งขึ้น จะทำให้เขาสำเร็จภารกิจนี้


CLS ตอนที่ 271: คำแซ่ซ้องจากคนนับพัน


 


เมื่อภารกิจนี้ปรากฏอีกครั้ง อี้เทียนหยุนก็ตกใจ เหมือนว่าภารกิจนี้จะให้ทำไปทีละขั้นอย่างนั้นสินะ? เขาเพียงต้องสอนจิ่วหลิงจวินต่อไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นผู้แข็งแกร่ง จากนั้นเขาก็จะสามารถสำเร็จภารกิจฝึกฝนนี้ได้


 


“การฝึกฝนของนักบุญหญิง….. นี่จะให้นิกายเทียนเฉวียนเราฝึกนักบุญหญิงออกมาจริงๆ?” อี้เทียนหยุนเอามือลูบคาง ตอนแรกเขาคิดว่าจิ่วหลิงจวินเผ่านักบุญหญิงอะไรทำนองนั้น แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นนักบุญหญิงของนิกายเทียนเฉวียน!


 


ฝึกฝนนักบุญหญิงของนิกายเทียนเฉวียน ไม่ใช่นักบุญหญิงของสำนักอื่น


 


“พี่ใหญ่อี้ ข้าทำอย่างนี้ถูกไหม?” จิ่วหลิงจวินเงยหน้ามองมาที่เขาพร้อมกับถามขึ้น


 


“ถูกแล้ว มา ข้าจะสอนให้เจ้าสร้างค่ายกลให้เก่งขึ้น!” อี้เทียนหยุนตอนนี้ตาเป็นประกาย พร้อมกับสอนหัวข้ออื่นให้กับเธอ


 


อย่างรวดเร็ว หลังจากสอนไปหนึ่งรอบ จิ่วหลิงจวินก็เรียนรู้ทุกอย่าง เป็นการเรียนรู้ที่น่าสะพรึงจริงๆ! นี่จึงจะสมกับคำเรียกหาว่าอัจฉริยะ ในด้านฝึกยุทธ์ การประเมินผลของเธอมีจำกัด แต่ในด้านการสลักอาคมแล้ว ความสามารถของเธอกลับน่าสะพรึงอย่างแท้จริง


 


ยังไงก็ตาม คราวนี้ไม่มีภารกิจปรากฏขึ้นมา ดูท่าคงต้องเป็นไปทีละขั้น ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถสำเร็จภารกิจไหนได้เลย


 


“นี่คือหัวข้อในการสลักอาคมของเจ้า เจ้าจงตั้งใจฝึกฝนให้ดี จากนี้ไป คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องสลักอาคมของนิกายเทียนเฉวียนคงต้องพึ่งเจ้าแล้ว!” อี้เทียนหยุนส่งต่อความรู้ความรู้ที่ได้จากวังเสินเหวิน พร้อมกับมอบพู่กันสลักอาคมให้กับจิ่วหลิงจวิน


 


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจิ่วหลิงจวินเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด ทั่วทั้งนิกายเทียนเฉวียนนี้ จิ่วหลิงจวินเป็นคนที่มีพรสวรรค์แข็งแกร่งที่สุด กระทั่งเทียบกับอัจฉริยะจากวังเสินเหวินก็ไม่ได้ด้อยกว่าแม้แต่น้อย ส่วนศิษย์จากตำหนักเทียนเหวินนั้น อี้เทียนหยุนยังไม่กล้าพูดเท่าไหร่ เพราะอย่างน้อยห้าอันดับแรกก็ไม่มีปัญหาแม้แต่น้อย


 


“นี่ จะให้สิ่งนี้กับข้าจริงๆ เหรอ? แต่ แต่ว่านี่มันล้ำค่าเกินไป พู่กันสลักอาคมด้ามนี้เป็นถึงระดับจิตวิญญาณ ข้าไม่กล้ารับเอาไว้หรอก” จิ่วหลิงจวินหลังจากรับมาดูก็พลันส่ายหัว แค่หัวข้อที่ได้เรียนก็ยากที่จะทำความเข้าใจแล้ว หลังจากเรียนรู้ทั้งหมด อย่างน้อยก็ต้องเหยียบย่างเข้าสู่นักสลักอาคมชั้น 5 เป็นอย่างน้อย ทั้งพู่กันด้ามนี้ยังล้ำค่ามากเกินไป


 


“ทั่วทั้งนิกายเทียนเฉวียนนี้ นอกจากเจ้าแล้ว ไม่มีใครเหมาะกับสิ่งนี้อีกแล้ว” อี้เทียนหยุนยื่นมือออกไปตบไหล่เธอเบาๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ใช่ว่าตอนนี้เจ้าเป็นผู้นำของศิษย์กลุ่มหนึ่งอยู่หรอกเหรอ สิ่งนี้ถือของขวัญที่ข้ามอบให้แก่เจ้า เชื่อว่าเจ้าจะต้องคู่ควรกับมันอย่างแน่นอน”


 


จิ่วหลิงจวินกำแหวนเก็บของแน่น จากนั้นก็พยักหน้าหนักๆ ในสายตาที่ใสกระจ่างปรากฏแววแห่งความตื่นเต้น “ในเมื่อพี่ใหญ่อี้ว่าอย่างนั้นข้าก็จะไม่ขอปฏิเสธ ตราบเท่าที่สามารถช่วยพี่ใหญ่อี้ได้ก็พอ ดังนั้น ข้าจะตั้งใจฝึกฝนให้ดี….. แม้ว่าจะไม่อาจช่วยอะไรพี่ใหญ่อี้ได้ในตอนนี้ แต่ข้าเชื่อว่าจะต้องสามารถช่วยพี่ใหญ่อี้ได้อย่างแน่นอน!”


 


“อย่าได้เคร่งครัดกับตัวเองเกินไป เจ้าต้องใช้ชีวิตเพื่อตัวเอง พยายามเพื่อตัวเอง” อี้เทียนหยุนรู้สึกตื้นตันใจ ยื่นมือขึ้นลูบหัวเธอ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “มา พวกเราไปสร้างค่ายกลด้วยกัน ยังมีที่ฝึกอีกหลายที่ ต้องเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับที่ฝึกของศิษย์!”


 


“อืม!” จิ่วหลิงจวินพยักหน้า ในสายตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจ


 


จากนั้น พวกเขาก็ทำการสร้างค่ายกลขึ้น ทั่วทั้งห้องฝึกฝน 1 ใน 4 ส่วนล้วนแต่เต็มไปด้วยค่ายกล ส่วนผลลัพธ์ที่ได้นั้น เมื่อเทียบกันแล้ว แข็งแกร่งกว่าหอคอยเทียนหลิงด้วยซ้ำ นี่เป็นการปรับปรุงของอี้เทียนหยุน แน่นอนว่าผลลัพธ์ต้องต่างกันเป็นธรรมดา เทียบกับหอคอยเทียนหลิงแล้ว ต้องทรงพลังกว่าเป็นธรรมดา


 


ผลลัพธ์ที่ได้จากการฝึกฝนดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เหมาะที่จะเป็นสถานที่ฝึกอย่างแท้จริง


 


“ติ๊ง ท่านสร้างค่ายกลชั้น 3 สำเร็จ ได้รับค่าความชำนาญ 50”


 


“ติ๊ง ท่านสร้างค่ายกลชั้น 3 สำเร็จ ได้รับค่าความชำนาญ 50…..”


 


……


 


ค่ายกลที่เขาสร้างนี้เป็นค่ายกลชั้น 3 เพราะระดับค่อนข้างต่ำ ดังนั้นค่าความชำนาญจึงน้อย ยังไงก็ตาม ถ้าเขาคิดจะสร้างจนเต็มห้อง ยังต้องใช้เวลาอีกนาน ยังต้องสร้างค่ายกลอีกหลายชิ้น ค่าความชำนาญโดยรวมจึงไม่ต่ำอย่างแน่นอน


 


โดยไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดพวกเขาก็สร้างค่ายกลทั่วทั้งห้องฝึกจนเสร็จ เผาผลาญพลังวิญญาณไปไม่ได้ จิ่วหลิงจวินก็หน้าแดงไปทั้งหน้า เผาผลาญพลังวิญญาณไปไม่น้อยเช่นเดียวกัน


 


“ในที่สุดก็สำเร็จ พวกเรามาลองดูผลลัพธ์กันไหม?”


 


หลังจากนั้น พวกเขาก็ทดลองค่ายกล ผลลัพธ์ที่ได้ทำให้พวกเขาพอใจมาก อี้เทียนหยุนสามารถเห็นได้ล่วงหน้าเลยถึงศิษย์จำนวนมากของตึกสลักอาคมของนิกายเทียนเฉวียน ส่วนตึกหลอมศาสตราและกลั่นโอสถนั้น ยังคงมีศิษย์อยู่ค่อนข้างน้อย เรื่องนี้คงได้แต่รอเท่านั้น


 


“ถ้างั้นพี่ใหญ่อี้ ข้าจะไปเรียกศิษย์เข้ามาลองฝึกด้วยกันนะ!” จิ่วหลิงจวินวิ่งออกไปด้วยความตื่นเต้น อยากจะไปเรียกศิษย์คนอื่นๆ เข้ามาลอง


 


อี้เทียนหยุนยิ้ม ไม่ได้คิดจะห้ามเธอ แต่ลุกออกไปสร้างค่ายกลให้กับห้องฝึกห้องอื่น ยิ่งเขาสร้างได้หลายห้องเท่าไหร่ ก็สามารถรองรับศิษย์ได้มากเท่านั้น


 


อีกอย่างคือเพื่อเพิ่มค่าความชำนาญ ขาดอีกแค่นิดหน่อยเท่านั้น เขาก็จะสามารถเลื่อนระดับในการสลักอาคมได้แล้ว!


 


ในที่สุด ขณะที่เขากำลังสร้างค่ายกลใกล้จะแล้วเสร็จอยู่นั้น ก็พลันมีเสียงระบบดังขึ้นมา “ติ๊ง ยินดีด้วย ผู้เล่นอี้เทียนหยุนได้เลื่อนจากนักสลักอาคมขั้นสูงเข้าสู่นักสลักอาคมขั้นเชี่ยวชาญสำเร็จ! ระดับถัดไป ต้องการค่าความชำนาญ 500,000!”


 


หลังจากเข้าสู่นักสลักอาคมขั้นเชี่ยวชาญ อี้เทียนหยุนก็พลันตาเป็นประกาย ความเร็วในการสลักอาคมเพิ่มขึ้นมาก จากที่ต้องใช้เวลาธูปไหม้ 2-3 ดอก เหลือเพียงแค่ชั่วธูปไหม้ดอกเดียวเท่านั้น!


 


ความเร็วนี้ช่างร้ายกาจจริง เป็นความเร็วที่น่าตกใจ เร็วราวกับสายฟ้า!


 


ในตอนนี้เอง จิ่วหลิงจวินก็ได้พาศิษย์คนอื่นมา เมื่อเห็นความเร็วในการสร้างค่ายกลที่เร็วมากของอี้เทียนหยุนก็พากันตกใจ พวกเธอไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน ค่ายกลชั้น 3 สามารถสร้างได้เร็วขนาดนี้เชียว!


 


“นี่ นี่มันเร็วมาก นี่คือความสามารถของผู้อาวุโสอี้อย่างงั้นเหรอ?”


 


“ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสอี้อยู่ระดับไหน บางทีอาจจะเป็นระดับต้าซือแล้วก็เป็นได้?”


 


“นักสลักอาคมระดับต้าซือที่อายุยังน้อย นี่มันจะไม่ร้ายกาจเกินไปหน่อยเหรอ?”


 


……


 


พวกเธอพากันเอามือปิดปากด้วยความตกใจ


 


“ความสามารถของผู้อาวุโสอี้ เทียบเท่ากับระดับต้าซือแล้วจริงๆ” ดวงตาที่งดงามของจิ่วหลิงจวินเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “ห้องฝึกฝนแห่งนี้ ข้าและผู้อาวุโสอี้ช่วยกันสร้าง มันจะมีส่วนช่วยในการฝึกฝนของพวกเจ้าอย่างมาก”


 


ถ้าอยู่ด้วยกัน เธอจะเรียกอี้เทียนหยุนว่าพี่ใหญ่อี้ แต่ถ้าอยู่กับคนนอก เธอจะเรียกอี้เทียนหยุนว่าผู้อาวุโสอี้ นี่ก็เหมือนกับการที่อี้เทียนหยุนเรียกชิเสวี่ยอวิ๋น


 


“มาแล้วเหรอ?” อี้เทียนหยุนยืนขึ้น ยกมือขึ้นปาดเหงื่อ


 


“ผู้อาวุโสอี้ ท่านร้ายกาจมาก ท่านเป็นนักสลักอาคมระดับต้าซือแล้วจริงๆ เหรอ?” ศิษย์บางคนถามขึ้นด้วยความตื่นเต้น ในสายตาของพวกเธอเต็มไปด้วยความเลื่อมใส


 


“ใช่แล้ว” อี้เทียนหยุนยิ้ม เขาคิดว่าเขาคงเข้าสู่ระดับนั้นแล้ว


 


“ร้ายกาจมาก!”


 


พวกเธอพากันตื่นเต้น ในสายตาเต็มไปด้วยความเลื่อมใส ถูกพลังของเขาดึงดูดใจ


 


“ติ๊ง ท่านได้รับฉายา “คำแซ่ซ้องจากคนนับพัน” ช่วยเพิ่มความสามารถในการบัญชาการขึ้น 100 แต้ม!”


 


เสียงระบบดังขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ปรากฏว่าเขาได้รับฉายา!


CLS ตอนที่ 272: มาตรฐานของขุมอำนาจชั้น 3


 


ฉายา “คำแซ่ซ้องจากคนนับพัน” ช่วยเพิ่มความสามารถในการบัญชาการขึ้น 100 แต้ม!


 


ก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นค่าบัญชาการอยู่ ทั้งยังมีหนังสือบัญชาการด้วย นี่มีการเพิ่มค่าบัญชาการโดยเฉพาะด้วย? การใช้งานมันนั้นง่ายมาก ทั้งยังยากแก่การตรวจสอบ ใจความหลักคือคำพูดของเขาจะมีผลในการจูงใจ ทำให้คนที่ฟังทำตามคำพูดของเขา


 


“นี่ช่างน่าสนใจจริงๆ……”


 


การจะสำเร็จเงื่อนไขนี้ไม่ง่ายเลย จำเป็นต้องได้รับคำชื่นชมจากคนมากกว่า 1,000 คน ถึงจะได้รับฉายานี้ ทั่วทั้งนิกายเทียนเฉวียนมีอยู่ทั้งหมดพันกว่าคน นั่นหมายความว่าคนเกือบทั้งหมดต่างก็พากันชื่นชมเขา!


 


ฉายานี้ดีมาก คำพูดของเขาจะมีความสามารถในการชักจูงคนให้ทำตามได้ อย่างเช่นเมื่ออยู่ในสถานที่แปลกๆ ทันทีที่เขาลุกขึ้นพูด ไม่ว่าเขาจะพาไปไหน ทุกคนก็จะทำตาม ยิ่งค่าบัญชาการสูง คนก็ยิ่งจะเต็มใจทำตามคำสั่งของเขามากเท่านั้น แต่ถ้าค่าบัญชาการต่ำ งั้นคงไม่มีใครสนใจคำพูดของเขา


 


หลังจากพูดคุยกับพวกเธอสักพัก อี้เทียนหยุนก็จากมา เขาไม่คิดจะหยุดอยู่ตรงนี้ แต่ตรงไปยังแกนกลางของซากโบราณสถานเทียนเฉิน ตรงนี้มีค่ายกลบินอยู่ ตอนนี้ได้เวลาที่เขาจะทำการซ่อมแซมค่ายกลบินนี้แล้ว


 


และเมื่อเขามาถึงใจกลางซากโบราณสถานเทียนเฉินแห่งนี้ เขาก็พบว่าตามพื้นเต็มไปด้วยค่ายกลนับไม่ถ้วนที่อัดกันแน่นขนัด แต่ละค่ายกลดูแล้วเร้นลับอย่างมาก มันมีช่องอยู่หกช่องด้วยกัน เหมือนกับว่าจะใช้วางอะไรบางอย่าง


 


“ช่องหกช่องนี้ เหมือนว่าจะใช้วางหินวิญญาณหยกขนาดใหญ่จำนวนหกชิ้น ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถเริ่มใช้งานค่ายกลบินนี้ได้” อี้เทียนหยุนมองไปยังช่องทั้งหกนี้ ก็รู้ว่าต้องใช้หินวิญญาณหยกขนาดใหญ่จำนวนหกชิ้นถึงจะเปิดใช้งานค่ายกลได้


 


ส่วนราคานั้นแน่นอนว่าต้องแพงมาก แต่นี่สามารถไปหาซื้อได้ที่ตำหนักชิงเฉิน ไม่ถือว่ายากอะไร ตอนนี้จำเป็นต้องซ่อมแซมค่ายกลบินนี้ก่อน หลังจากซ่อมแซมแล้วเสร็จ จากนี้คงไม่มีปัญหาอะไร


 


“ได้เวลาเริ่มซ่อมแซมกันแล้ว หลังจากทิ้งไว้เป็นเวลานาน ความเสียหายที่มีก็มากมายจริงๆ…..” อี้เทียนหยุนแค่กวาดตาดู ก็รู้แล้วว่ายากที่จะซ่อมแซมขนาดไหน แม้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นนักสลักอาคมขั้นเชี่ยวชาญแล้ว แต่การซ่อมแซมก็ไม่ใช่เรื่องที่จะทำได้ง่ายๆ


 


การซ่อมแซมยากกว่าการสร้างมากนัก ถึงยังไงวิธีการของแต่ละคนย่อมไม่เหมือนกัน ดังนั้นการจะทำให้กลับเป็นเหมือนเดิมจึงจำเป็นต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก


 


เขาหยิบพู่กันอวี้หลิงออกมา จากนั้นก็เตรียมเริ่มการซ่อมแซม และในตอนนี้เอง เหล่าเซวียนก็ปรากฏตัวขึ้นข้างๆ เขา พร้อมกับมองเขาด้วยความตกใจ “นายท่าน นี่ท่านกำลังจะซ่อมแซมค่ายกลบินนี้อย่างงั้นเหรอ?”


 


“ใช่ ข้ากำลังจะซ่อมแซมค่ายกลบิน” อี้เทียนหยุนตอบ


 


“นี่จำเป็นต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญระดับต้าซือ นี่ท่านไปถึงระดับนั้นแล้วอย่างงั้นเหรอ?” เหล่าเซวียนถามด้วยท่าทางตื่นตกใจ


 


“ใช่แล้ว มีปัญหาอะไรหรือไง?” อี้เทียนหยุนตอบพร้อมรอยยิ้มบางๆ


 


“นี่มันไม่เร็วไปหน่อยเหรอ?” เหล่าเซวียนพูดอย่างตกใจ “จากที่ข้ารู้ ในตอนที่ผู้เชี่ยวชาญสร้างค่ายกลบินนี้ ตอนนั้นเขามีอายุ 70-80 ปี นี่ท่านทำได้จริงๆ เหรอ…..”


 


“บางอย่างไม่ต้องรอให้อายุถึงหรอก จริงไหม?” อี้เทียนหยุนยิ้ม จากนั้นก็ทำการเปิดเนตรสวรรค์ ในสายตาของเขาก็พลันปรากฏภาพค่ายกลที่อัดแน่นกันอยู่ในที่แห่งนี้ พร้อมกับเผยรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ออกมา


 


เพื่อที่จะซ่อมแซมให้สมบูรณ์แบบ เขาจำเป็นต้องพึ่งพาผลลัพธ์ของเนตรสวรรค์นี้ หลังจากเปิดใช้งาน เขาก็รู้ว่าตรงไหนที่ได้รับความเสียหาย ตรงไหนที่จำเป็นต้องได้รับการซ่อมแซม นี่เป็นเรื่องง่ายๆ เพียงแค่ใช้ตามอง


 


แม้ว่าอาจจะสามารถซ่อมแซมโดยไม่เปิดใช้งานเนตรสวรรค์ก็ได้ แต่การเปิดใช้งานเนตรสวรรค์จะทำให้อัตราความสำเร็จเพิ่มขึ้นอีกขั้นใหญ่ แม้ไม่อาจพูดได้ว่าจะสำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่อย่างน้อยก็ช่วยเพิ่มโอกาสในการสำเร็จ


 


จากนั้นเขาก็ไม่สนใจสายตาที่ตื่นตกใจของเหล่าเซวียน พร้อมกับเริ่มทำการซ่อมแซม ซ่อมแซมส่วนที่เสียหายร่วมกับพู่กันอวี้หลิงระดับจิตวิญญาณ ทำให้ช่วยลดความยากในการซ่อมแซมลงไปได้มาก


 


“ติ๊ง ท่านทำการซ่อมแซมค่ายกลระดับต้าซือสำเร็จ ได้รับค่าประสบการณ์ 50,000, ค่าความชำนาญ 500!”


 


“ติ๊ง ท่านทำการซ่อมแซมค่ายกลระดับต้าซือสำเร็จ ได้รับค่าประสบการณ์ 30,000, ค่าความชำนาญ 300!”


 


“ติ๊ง ท่านทำการซ่อม…..”


 


……


 


ยิ่งซ่อมแซม ยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ แต่ค่าประสบการณ์ก็มากตาม รวมถึงค่าความชำนาญด้วย แน่นอนว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ สิ่งสำคัญคือการซ่อมแซมค่ายกลบินได้เร็วขึ้น


 


ด้วยเวลาที่พ้นผ่าน เขาได้ทำการซ่อมแซมค่ายกลอยู่ที่นี่ทั้งวันทั้งคืน เมื่อเหนื่อยก็ออกไปพัก จากนั้นก็กลับมาซ่อมแซมต่อ ค่ายกลบินนี้มีที่ที่ต้องซ่อมแซมอยู่มาก ไม่ต่างไปจากสร้างขึ้นมาใหม่เลย


 


ถึงจะเป็นอย่างนั้น เขาก็จำเป็นต้องซ่อมมัน เพราะนี่เป็นค่ายกลหลักของที่นี่ ถ้าต้องสร้างใหม่ นั่นก็ไม่ต่างอะไรไปจากการสร้างซากโบราณสถานเทียนเฉินแห่งนี้เลยด้วยซ้ำ


 


“ในที่สุดก็ซ่อมเสร็จแล้ว…..”


 


อี้เทียนหยุนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนล้า เขาซ่อมแซมอยู่ที่นี่เป็นเวลาแทบจะหนึ่งสัปดาห์ ในที่สุดก็ซ่อมแซมค่ายกลบินนี้เสร็จสักที ทั้งยังได้ค่าประสบการณ์และค่าความชำนาญอีกเป็นจำนวนมาก แม้จะไม่รวดเร็วเท่ากับการต่อสู้ แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่ามากอยู่ดี


 


หลังจากซ่อมแซมเสร็จ ค่ายกลบินก็ราวกับเปล่งแสงออกมา แม้จะดูแล้วไม่ต่างจากเดิมก็เถอะ


 


“นายท่าน ท่านซ่อมมันเสร็จจริงๆ…..” เหล่าเซวียนเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ก็ได้แต่ตกใจ


 


“นี่เจ้าคิดว่าข้าพูดโกหกอย่างงั้นเหรอ?” อี้เทียนหยุนส่งสายตาเจ้าเล่ห์ให้เหล่าเซวียน


 


“ติ๊ง ท่านซ่อมแซมค่ายกลทุกอย่างในซากโบราณสถานเทียนเฉินสำเร็จ ได้รับค่าประสบการณ์ 1 ล้าน, ค่าความชำนาญในการสลักอาคม 10,000!”


 


“ติ๊ง ภารกิจหลักต่อเนื่องขั้นที่สอง ทำให้นิกายเทียนเฉวียนเลื่อนเป็นวังเทียนเฉวียน และย้ายไปยังทวีปเทียนจิ่ง!”


 


“ติ๊ง ความสำเร็จในปัจจุบัน : ผู้เชี่ยวชาญก่อแกนวิญญาณ 1/5, ผู้เชี่ยวชาญระดับหลอมรวม 6/50, ศิษย์ระดับปรับแต่งวิญญาณ 80/600. เนื่องจากมีผู้เชี่ยวชาญระดับผันแปรวิญญาณ 1 คน ดังนั้นความยากจึงลดลงครึ่งหนึ่ง กลายเป็น ผู้เชี่ยวชาญระดับก่อแกนวิญญาณ 1/3, ผู้เชี่ยวชาญระดับหลอมรวม 6/25, ศิษย์ระดับปรับแต่งวิญญาณ 80/300!”


 


ข้อมูลใหม่ที่ปรากฏขึ้นทำให้เขาตกใจ นี่คือมาตรฐานของขุมอำนาจชั้น 3 อย่างงั้นเหรอ! นี่ขึ้นอยู่กับผู้เชี่ยวชาญระดับผันแปรวิญญาณอย่างเห็นได้ชัด และแน่นอนว่าผู้เชี่ยวชาญระดับผันแปรวิญญาณคนนั้นคือเขานั่นเอง ซึ่งทำให้ความยากของมันลดลงครึ่งหนึ่ง!


 


ขุมอำนาจชั้น 3 หลายสำนัก ถือเป็นขุมอำนาจชั้น 3 ที่อ่อนแอ พวกเขาไม่มีกระทั่งผู้เชี่ยวชาญระดับผันแปรวิญญาณ ดังนั้น สำนักไหนที่มีผู้เชี่ยวชาญระดับผันแปรวิญญาณอยู่ สำนักนั้นจะถือว่าเป็นสำนักที่ทรงพลัง


 


“จากที่ดูในตอนนี้ ดูเหมือนว่าความยากจะไม่ใช่น้อยๆ เลย…..” อี้เทียนหยุนเผยรอยยิ้มที่ขมขื่นออกมา มาตรฐานนี้ทำได้ยากจริงๆ แม้จะถูกลดเงื่อนไขลงครึ่งหนึ่งแล้วก็ยังยากอยู่ดี


 


นี่เป็นแค่ธรณีประตูเท่านั้น ถ้าตามปกติแล้ว จำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญระดับก่อแกนวิญญาณถึง 5 คน ถึงจะสามารถเรียกได้ว่าเป็นขุมอำนาจชั้น 3 ทั้งยังต้องมีผู้เชี่ยวชาญระดับหลอมรวมอีก 50 คน แม้ว่าตอนนี้จะเหลือเพียง 25 คนแล้ว แต่ก็ทำให้คนต้องกระอักเลือดออกมาอยู่ดี


 


ศิษย์ระดับปรับแต่งวิญญาณนั้นง่ายที่จะทำ ด้วยที่ฝึกที่เขาปรับแต่ง จะทำให้จำนวนศิษย์ในระดับนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เหนือกว่านั้นนี่สิที่น่าปวดหัว ถ้าเปลี่ยนเป็นขุมอำนาจชั้น 3 สำนักอื่น นี่ถือว่าเป็นเรื่องปกติอย่างมาก ขนาดระดับผู้จัดการยังเป็นระดับหลอมรวมแล้ว ถ้าได้เข้าไปในขุมอำนาจชั้น 3 ล่ะก็ การที่จะเห็นผู้เชี่ยวชาญระดับหลอมรวมเป็นเรื่องที่พบเห็นได้กลาดเกลื่อน


 


ทั้งพื้นหลังของนิกายเทียนเฉวียนยังไม่แข็งแกร่งพอ ทำให้ความยากไม่ใช่น้อยๆ สามารถพูดได้เพียงว่าเวลานั้นกระชั้นเกินไป ต่อให้มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะแก่การฝึกฝน แต่ก็ยังขาดเม็ดยาที่ดี ทำให้การยกระดับเป็นไปได้ช้า ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเป็นอัจฉริยะเสียหน่อย


 


“ดูเหมือนว่าถ้าต้องการทำภารกิจนี้ให้สำเร็จ วิธีที่ดีที่สุดคือการรวมสองสำนักนี้เข้าด้วยกัน แต่ถ้ารวมสองสำนักเข้าด้วยกัน ค่าความชอบที่ได้อาจจะต่ำมาก ไม่แน่จากที่จะดีอาจกลายเป็นร้ายแทน……”


 


อี้เทียนหยุนขมวดคิ้ว เขาจำเป็นต้องสร้างชื่อเสียงในวังเทียนจี๋ เมื่อถึงตอนนั้น การที่จะมีค่าความชอบเกิน 200 จะไม่ใช่ปัญหา


CLS ตอนที่ 273: ซื้อหินวิญญาณหยก


 


หลังจากซ่อมแซมเสร็จ เขาก็ไม่คิดที่จะหาหินวิญญาณหยกมาใช้บินในทันที ด้วยสถานการณ์ที่วุ่นวายในตอนนี้ มันเหมาะที่จะเคลื่อนย้ายซากโบราณสถานเทียนเฉินอย่างงั้นเหรอ? วิหารบินในท้องฟ้า ถ้าไม่เรียกความสนใจจากผู้คน อย่างนั้นก็แปลกล่ะ


 


โดยเฉพาะถ้าบินไปยังวังเทียนจี๋ เมื่อถึงตอนนั้น คงจะนำพาคนที่สนใจมุ่งไปอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้น ไม่รู้ว่าพวกเขาจะตายตอนไหน ถ้าต้องเผชิญหน้ากับศัตรูคนสำคัญก่อนที่จะแข็งแกร่งพอ อี้เทียนหยุนไม่กล้าบินมั่วตามใจหรอก ดังนั้น ภารกิจหลักนี้จึงไม่ใช่อะไรที่จะเร่งรีบทำให้สำเร็จในทันที


 


ยังไงก็ตาม เรื่องที่ต้องเตรียมพร้อมยังไงก็ต้องเตรียม


 


“ในเมื่อที่นี่เสร็จแล้วก็ได้เวลากลับกันแล้ว” อี้เทียนหยุนพยักหน้า ที่นี่ได้เตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว เหลือก็แต่เวลาเท่านั้น ตราบเท่าที่ให้เวลาพวกเขามากพอ พวกเขาก็สามารถพัฒนาได้รวดเร็วอย่างแน่นอน!


 


ตอนนี้พวกเขามีทรัพยากรมากมาย รวมถึงวิชายุทธ์จำนวนมา คิดจะไม่พัฒนาคงยาก ดังนั้น ความแข็งแกร่งจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วแน่นอน แต่จะให้สำเร็จในไม่กี่วันคงเป็นไปไม่ได้ จากที่เขาคาดการณ์ อย่างน้อยต้องใช้เวลาอยู่ดี นิกายเทียนเฉวียนจะขึ้นเป็นสำนักชั้นยอดในขุมอำนาจชั้น 2 ในอีกไม่กี่ปี จากนั้นก็จะถึงเวลาในการเข้าสู่ขุมอำนาจชั้น 3


 


นี่คือสถานการณ์ที่ไม่ควบรวมกับวังเทียนจี๋ แต่ทำได้อย่างนี้ก็ถือว่าเป็นความสำเร็จที่ทั้งยิ่งใหญ่และรวดเร็วที่สุดแล้ว ที่เหลือก็แค่ขอให้มีอัจฉริยะจำนวนมากเข้าร่วม นิกายเทียนเฉวียนมีชื่อเสีย เป็นไปไม่ได้ที่จะมีอัจฉริยะสักคนมาเข้าร่วม อย่าว่าแต่คนธรรมดาที่มีพรสวรรค์เลย


 


เขาเข้าไปทักทายชิเสวี่ยอวิ๋นกับพวก จากนั้นก็จากมาอย่างรวดเร็ว ไม่ได้รั้งอยู่ที่นี่ต่อ ตอนนี้เวลากำลังกระชั้น ทั้งสิ่งที่ต้องทำที่นี่ก็ทำเกือบหมดแล้ว ที่ต้องจัดการก็จัดการแล้ว ส่วนเรื่องที่เหลือก็ไม่ต้องถึงมือเขา มันสามารถพัฒนาไปได้อย่างราบรื่น


 


หลังจากกลับมาถึงวังเทียนจี๋ สถานการณ์ของที่นี่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน ทำให้อี้เทียนหยุนรู้สึกผ่อนคลาย ถ้าเกิดตอนเขาไม่รู้แล้ววังเทียนจี๋ถูกโจมตีล่ะก็ นั่นคงจะเป็นปัญหา


 


“ประมุข ท่านกลับมาแล้ว!” เมื่อผู้อาวุโสใหญ่กับพวกเห็นอี้เทียนหยุนกลับมาก็พากันแสดงสีหน้าดีใจออกมา


 


พวกเขาในตอนนี้พากันรุมล้อมอี้เทียนหยุน พวกเขาพากันคิดว่าอี้เทียนหยุนจากไปแล้ว ถ้าอี้เทียนหยุนไม่กลับมาล่ะก็ วังเทียนจี๋ของพวกเขาจะต้องจบสิ้นอย่างแน่นอน


 


“ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยู่แค่ไม่กี่วันหรอกเหรอ หรือว่าที่นี่มีอะไรเกิดขึ้น?” อี้เทียนหยุนถาม


 


“มี ทั้งยังเป็นเรื่องใหญ่มากด้วย!” ผู้อาวุโสใหญ่พูดอย่างจริงจัง “ข้างนอกพากันกระจายข่าวว่าตำหนักกลางเมืองของเมืองจู้หลงถูกทำลาย ทำให้ประมุขทั้งหลายถูกฆ่าตายอยู่ในนั้น แน่นอนว่ารวมถึงพวกเราด้วย! ทั้งยังมีข่าวว่าการที่วังเสินเหวินถูกทำลายนั้นเกี่ยวข้องกับอาณาจักรใต้พิภพแพร่ออกไป ทุกคนจึงต่างก็พากันกังวลว่าจะถูกอาณาจักรใต้พิภพเข้ามาทำลาย!”


 


อี้เทียนหยุนพยักหน้า เรื่องนี้ไม่ได้ต่างไปจากที่เขาคาดการณ์ไว้ เรื่องนี้ยังไงก็ต้องกระจายออกไป ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถแสดงใบหน้าในที่สาธารณะได้


 


“แต่อาณาจักรใต้พิภพก็ได้ออกมาแก้ต่างอย่างรวดเร็ว บอกว่าเรื่องที่วังเสินเหวินถูกทำลายนั้นไม่เกี่ยวกับพวกเขา ทั้งยังมีคำสั่งให้ตรวจสอบเรื่องนี้ให้กระจ่างอีกด้วย!” ผู้อาวุโสใหญ่พูดอย่างเคร่งเครียด “ตอนนี้อาณาจักรใต้พิภพโถมกำลังเข้าตรวจสอบเรื่องนี้อย่างจริงจัง เชื่อว่าคงไม่มีเวลาว่างมาจัดการพวกเราแล้ว ทั้งพวกเรายังมีข่าวว่า “ตาย” อยู่ในนั้นด้วย ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าพวกเราออกมาแล้ว”


 


อี้เทียนหยุนเผยรอยยิ้มคลุมเครือออกมา ที่เขาต้องการก็คือผลลัพธ์นี้แหละ ตราบเท่าที่สร้างข่าวการตายขึ้น จากนั้นพวกเขาก็สามารถผ่อนคลายได้แล้ว ทั้งยังไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับวังเทียนจี๋ของพวกเขาอีก ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไหร่ที่อาณาจักรใต้พิภพจะเข้ามาตรวจสอบพวกเขา เนื่องเพราะอาณาจักรใต้พิภพยังมีเรื่องให้ต้องจัดการอีกมาก คงยากที่จะปลีกตัวมาจัดการพวกเขา


 


“ดูเหมือนสถานการณ์กำลังเป็นไปในทิศทางที่ดีนะ” อี้เทียนหยุนพยักหน้า จากนั้นก็ถามต่อว่า “แล้วสถานการณ์ของวังเทียนจี๋ในตอนนี้ล่ะ เป็นยังไงบ้าง?”


 


“ตอนนี้ไม่มีเรื่องอะไร ด้วยทรัพยากรจำนวนมากที่พวกเราได้มา ทำให้ในตอนนี้ไม่เป็นอะไร ทั้งยังค่อยๆ ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนด้วย ไม่มีปัญหาแทรกซ้อน” ผู้อาวุโสใหญ่พูด “แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น คนที่เข้าร่วมกับวังเทียนจี๋เราก็ยังน้อยอยู่ดี…..”


 


ตอนนี้ ผู้อาวุโสใหญ่พลันเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา ไม่มีศิษย์ใหม่เข้าร่วม นี่เป็นเรื่องที่ไม่ดีจริงๆ


 


จากนั้นอี้เทียนหยุนก็พลันบอกกล่าวเรื่องราวคร่าวๆ ออกมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรวมสำนัก เรื่องบรรพชนผู้ก่อตั้งนิกายเทียนเฉวียนก็พูดออกไป เรื่องนี้พวกเขาจำเป็นต้องคุยกันให้ดี ไม่อย่างนั้นมันง่ายที่จะก่อให้เกิดปัญหา


 


“1 วัง 2 สำนัก? น่าสนใจ เรื่องนี้ไม่มีปัญหา เอาตามที่ท่านประมุขตัดสินใจได้เลย” ผู้อาวุโสใหญ่พูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าสามารถรวมสองสำนักเข้าด้วยกัน ถ้างั้นศิษย์ก็คงจะมีจำนวนมาก เมื่อฝึกฝนศิษย์เต็มกำลัง ข้าไม่เชื่อว่าจะไม่สามารถยิ่งใหญ่ได้!”


 


รวมสองสำนักเข้าด้วยกัน จำนวนศิษย์ก็ไม่ได้มากมายอะไร แต่ก็ไม่น้อย สุดท้ายแล้วยังต้องพึ่งพาแกนหลักอยู่ดี!


 


“เอาล่ะ ในเมื่อไม่มีปัญหาอะไรก็ดีแล้ว ข้าวางแผนว่าจะไปซื้อของบางอย่างที่ตำหนักซิงเฉิน ไว้ข้าจะกลับมา” เมื่ออี้เทียนหยุนเห็นว่าไม่มีเรื่องอะไร เขาก็ออกจากที่นี่ไปอย่างรวดเร็ว


 


ของที่เขาจะไปซื้อที่ตำหนักซิงเฉิน แน่นอนว่าต้องเป็นหินวิญญาณหยก แม้ว่าจะไม่ได้รีบร้อนใช้มันในตอนนี้ แต่เตรียมไว้ก่อนก็ไม่เสียหาย การไปครั้งนี้ เขาไม่ได้พาใครไปด้วย สถานการณ์ของวังเทียนจี๋ในตอนนี้กำลังอ่อนแออย่างมาก ถ้าถูกสังเกตเห็น หรือไปตอแยเรื่องราวอะไรบางอย่างเข้า มันคงจะไม่ดีเท่าไหร่


 


ในตอนนี้เขาสวมหน้ากากอยู่ ถ้าต้องเผชิญหน้ากับใครสักคน เขาก็ไม่กลัวว่าจะมีคนจำได้


 


อย่างรวดเร็ว เขาก็มาถึงสำนักงานหลักของตำหนักซิงเฉิน ที่นี่มีของมากที่สุด ทั้งยังเป็นที่ที่มีข้อมูลข่าวสารมากที่สุด แน่นอนว่าย่อมเป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดเช่นกัน


 


“ดูเหมือนว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจะไม่ใหญ่มาก จึงไม่ได้ส่งผลต่อผู้ฝึกตนทั่วไป” อี้เทียนหยุนพยักหน้า การก่อกวนเรื่องราวที่อาณาจักรใต้พิภพสร้างขึ้นมีอยู่อย่างจำกัด


 


จากนั้นเขาก็มาถึงตำหนักซิงเฉิน ไม่มีใครจำเขาได้เมื่อเข้ามา เขาในตอนนี้ปลอมตัวเป็นชายที่ค่อนข้างมีอายุ ดูแล้วราวๆ 30 ปี


 


“ยินดีต้อนรับค่ะ ไม่ทราบว่าต้องการให้ช่วยอะไรคะ?” หญิงสาวที่งดงามเดินเข้ามา


 


“ข้าอยากจะซื้อหินวิญญาณหยก แต่เป็นขนาดใหญ่” อี้เทียนหยุนบอกออกไป


 


“หินวิญญาณหยกขนาดใหญ่หรือคะ?” หญิงสาวคนนั้นตาเป็นประกาย แล้วถามขึ้น “ใหญ่ประมาณไหนคะ?”


 


ยิ่งขายได้เยอะ เธอก็จะยิ่งได้ผลตอบแทนเยอะ


 


“ราวๆ 100 จิน ข้าต้องการหลายก้อนหน่อย” อี้เทียนหยุนคิดมาแล้ว ของสิ่งนี้ต้องซื้อเผื่อไว้หน่อย


 


“ขนาด 100 จิน หรือคะ….” หญิงสาวคนนั้นอุทานออกมา จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ว่า “หินวิญญาณหยกที่มีขนาดใหญ่ขนาดนั้นค่อนข้างหายากมาก อย่างมากก็หนักแค่ 30 จิน 100 จิน ไม่มีจริงๆ ค่ะ…..”


 


“30 จิน?” อี้เทียนหยุนขมวดคิ้ว นี่ไม่ได้ใกล้เคียงกับขนาดที่เขาต้องการเลย อย่างน้อยต้อง 50-60 จินขึ้น ถ้าเล็กเกินไปก็ไม่สามารถใช้กับช่องได้ แล้วอย่างนี้ค่ายกลบินจะบินได้อย่างนั้นเหรอ?


 


“ใช่ค่ะ มีแค่ขนาด 30 จินเท่านั้น” หญิงสาวคนนั้นมองมาที่เขาอย่างมีความหวัง หวังว่าตัวเองจะได้รับกำไรจากธุรกิจในคราวนี้


 


“เล็กเกินไป ข้าไม่ต้องการ” อี้เทียนหยุนโบกมือ จากนั้นก็หมุนตัวเตรียมจากไป นี่มันเล็กเกินไปจริงๆ


 


“คุณชายโปรดรอสักครู่ค่ะ” ในตอนนี้เอง ก็ได้มีสาวงามเดินออกมาจากด้านข้างด้วยท่าทางเกียจคร้าน พร้อมกับมองมาที่เขาด้วยใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้ม “ขอประทานโทษค่ะ พอดีเมื่อกี้นี้ได้ยินที่ท่านพูด ท่านบอกว่าต้องการหินวิญญาณหยกที่มีขนาด 100 จินอย่างนั้นใช่ไหมคะ?”


 


อี้เทียนหยุนปรายตามองเธอ จากนั้นก็พยักหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “ใช่ ถ้าไม่มีขนาด 100 จิน อย่างน้อยเป็นระดับ 50-60 จิน”


 


“ท่านมาได้จังหวะพอดีเลย ตอนนี้เพิ่งจะมีคนเอาหินวิญญาณหยกชั้นยอดเข้าประมูล มันมีน้ำหนักประมาณ 200 จิน ไม่ทราบว่าคุณชายยินดีที่จะเข้าไปยังห้องพิเศษเพื่อรับฟังข้อมูลไหมคะ?” คำพูดของสาวงามนางนี้พลันดึงดูดอี้เทียนหยุนในทันที


 


นี่ทำให้อี้เทียนหยุนต้องมองเธอเต็มๆ ตา จากนั้นก็พบว่าเธอช่างมีหน้าตาที่คุ้นเสียจริงๆ!


CLS ตอนที่ 274: หลี่หย่า


 


อี้เทียนหยุนมองไปที่ผู้หญิงคนนี้ รู้สึกเหมือนเคยเห็นเธอที่ไหนมาก่อน แต่ก็ไม่มั่นใจว่าเคยเห็นหรือเปล่า แต่ยังไงก็มั่นใจว่าเคยเจอคนที่คล้ายกับเธอมาก่อนอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นคงไม่รู้สึกเหมือนว่าเคยเห็นเธอมาก่อนแน่ๆ


 


“คารวะคุณหนูใหญ่หลี่…..” พนักงานสาวเมื่อเห็นเธอเข้ามาก็ทักทายอย่างสุภาพ


 


คุณหนูใหญ่หลี่อย่างงั้นเหรอ?


 


อี้เทียนหยุนพลันกระจ่างขึ้นมาทันที ว่าทำไมเขาถึงรู้สึกคุ้นกับหญิงสาวคนนี้ ที่แท้เธอก็คือลูกสาวของหลี่เทียนหลงใช่ไหม? ลูกสาวน่ะ?


 


หญิงสาวนางนี้สังเกตเห็นอี้เทียนหยุนกำลังจับจ้องมาที่ใบหน้าของเธอ เธอก็พลันยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “คุณชายท่านนี้ ไม่ทราบว่ามีอะไรอยู่บนใบหน้าข้าอย่างงั้นเหรอ?”


 


“ไม่มีอะไร ก็แค่คำพูดของเจ้าดึงดูดใจข้าได้สำเร็จก็เท่านั้น” อี้เทียนหยุนพูดด้วยรอยยิ้ม “นำข้าไปห้องพิเศษสิ ข้าอยากรู้รายละเอียดมากกว่านี้”


 


“ไม่มีปัญหา โปรดตามข้ามา” สาวงามทำมือเชื้อเชิญ บอกให้อี้เทียนหยุนตามตนไป


 


หลังจากพวกเขาเดินจากไป พนักงานคนนั้นก็พลันแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา พร้อมกับมองตามหลังคุณหนูใหญ่หลี่ด้วยท่าทางเกลียดชัง


 


“ข้าไม่คิดเลยว่าเธอจะออกมารับลูกค้าด้วยตัวเอง แย่งธุรกิจของข้า! ถ้าข้ารู้ข้อมูลงานประมูลล่ะก็ ธุรกิจนี้จะต้องเป็นของข้าอย่างแน่นอน!”


 


“อย่าเสียงดังไป ถ้ามีคนได้ยินเข้ามันจะไม่ดี…. ลูกของเจ้าตำหนักหลี่มีหลายคน และเธอเป็นคนที่มีพรสวรรค์ด้านการสลักอาคมมากที่สุด ดังนั้นเธอจึงเป็นคนเดียวที่สามารถเข้ามาช่วยงานที่นี่ได้ ตอนแรกเจ้าก็ไม่ได้การค้ารายนี้อยู่แล้วนี่ ทำไมไม่ปล่อยมันไปเล่า?”


 


“จะปล่อยไปได้ยังไง เธอแย่งลูกค้าของข้านะ?” พนักงานสาวคนนั้นเหลือกตาใส่เพื่อนของเธอ “ถ้าเธอไม่ใช่ลูกสาวของเจ้าตำหนักหลี่ล่ะก็ ข้าไม่มีทางเกรงใจเธอแน่นอน แค่เพราะมีฐานะนี้ค้ำคอหรอก เธอจึงได้อยู่ที่นี่ได้”


 


“เอาล่ะ อย่าพูดอีกเลย เดี๋ยวมีใครได้ยินเข้ามันจะเป็นเรื่องเอาได้…..”


 


“ถึงข้าไม่พูด แล้วเจ้าคิดว่าคนอื่นที่นี่จะไม่พูดหรือไง? ทุกคนต่างก็คาดหวังกับอนาคตกันทั้งนั้น ระดับเธอต่ำเสียขนาดนั้น เก่งเรื่องสลักอาคมแล้วยังไง ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่นนะ คงถูกไล่ออกไปแล้ว!”


 


พวกเธอต่างก็เป็นผู้หญิงที่ไม่พอใจ พากันบ่นออกมาไม่หยุด คำพูดพวกนี้กระทั่งอี้เทียนหยุนยังได้ยิน แม้ว่าเสียงจะไม่ดังนัก แต่เขาก็ยังได้ยินอยู่ดี ร่างที่แบบบางของหลี่หย่าที่เดินนำอยู่ด้านหน้ากลับไม่พูดอะไร ยังคงนำทางเขาต่อไป


 


อี้เทียนหยุนเชื่อว่าเธอต้องได้ยินชัดอย่างแน่นอน แม้ว่าระดับของหลี่หย่าจะไม่สูงนัก แต่จะดีจะร้ายก็เป็นถึงระดับหลอมรวมขั้นที่ 2 ด้วยพลังระดับนี้ ถ้าอยู่ในสำนักทั่วไปถือว่าดีทีเดียว แต่กับตำหนักซิงเฉินนี้ออกจะดาษดื่นอยู่บ้าง


 


ยิ่งอายุของหลี่หย่าก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว ดูแล้วน่าจะประมาณ 25-26 ปี ไม่ถือว่าเด็กแล้ว ที่สำคัญเธอยังเป็นถึงลูกสาวของเจ้าตำหนักหลี่ ทำให้เรื่องทุกอย่างมันต่างออกไป คำพูดเมื่อกี้นี้จึงเป็นหลักฐานที่ดีที่สุด


 


ภายใต้การนำของหลี่หย่า พวกเขาก็มาถึงห้องพิเศษ แม้ว่าอี้เทียนหยุนจะไม่ได้มีเงินมากนัก แต่เขาก็ยังต้องการหินวิญญาณหยก ดังนั้นจึงมาที่ห้องพิเศษนี้เพื่อพูดคุยเรื่องรายละเอียด


 


“คุณชายเชิญนั่ง” หลี่หย่าบอกให้อี้เทียนหยุนนั่งลง ตัวเธอก็นั่งลงเช่นกัน จากนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมาแล้วพูดขึ้นว่า “ที่คุณชายพูดเมื่อกี้นี้ว่าต้องการซื้อหินวิญญาณหยกขนาดใหญ่ แสดงว่าต้องการหินที่สมบูรณ์อย่างนั้นใช่ไหม?”


 


“ใช่แล้ว ยิ่งสมบูรณ์เท่าไหร่ยิ่งดี แล้วอย่างน้อยต้องมีน้ำหนัก 50-60 จิน” อี้เทียนหยุนพูดขณะที่จับจ้องไปยังหลี่หย่า เธอจะต้องเป็นลูกสาวคนเล็กของหลี่เทียนหลงอย่างแน่นอน


 


“เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา ที่นี่มีคนนำหินวิญญาณหยกขนาดใหญ่เข้าประมูลอยู่ ยิ่งกว่านั้นยังมีความสมบูรณ์อย่างมาก และที่มีน้ำหนักมากกว่า 200 จินขึ้นไปก็มีอย่างน้อย 5 ชิ้น” หลี่หย่าพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ทราบว่าของที่มีพอจะทำให้ท่านพอใจหรือไม่?”


 


“พอใจ ย่อมพอใจอยู่แล้ว!” อี้เทียนหยุนตาเป็นประกาย นี่แหละคือสิ่งที่เขาต้องการ ยิ่งสมบูรณ์ยิ่งดี ถ้าขนาดใหญ่ไปยังสามารถตัดออกได้ แต่ถ้าเล็กเกินไปล่ะก็ ไม่สามารถรวมให้ใหญ่ได้


 


“สิ่งนี้ผู้นำเข้าประมูลหวังว่าจะมีคนซื้อไปในที่เดียว ไม่มีการแบ่งขาย หรือแยกซื้อทีละชิ้น” หลี่หย่าพูด “ไม่ทราบว่าท่านรับราคานี้ได้หรือไม่?”


 


“ไม่มีปัญหา เรื่องนี้ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน ตราบใดที่สินค้าเป็นของดีคุณภาพสูง เรื่องนี้ย่อมไม่มีปัญหา” อี้เทียนหยุนพูดอย่างไม่ใส่ใจ


 


ตอนนี้เขาไม่ได้ขาดแคลนเงิน ด้วยการปล้นของล้ำค่ามาจากหลายสำนัก แล้วอย่างเขานี่เหรอที่จะยากจน?


 


“เมื่อเป็นอย่างนี้ก็คุยกันง่ายแล้ว” หลี่เหย่าพูดด้วยน้ำเสียงสดใส แล้วพูดต่อว่า “ผู้นำเข้าประมูลไม่ต้องการทอง หรือว่าเม็ดยา แต่อยากแลกเปลี่ยนกับศาสตราระดับจิตวิญญาณ ไม่ทราบว่าเรื่องนี้จะได้หรือไม่?”


 


ทองถือเป็นค่าเงินที่ใช้กันทั่วไป แต่ตอนนี้กลับใช้ไม่ได้ โดยเฉพาะกับหินวิญญาณหยก เพราะหินวิญญาณหยกก็ถือเป็นค่าเงินอย่างหนึ่ง ซึ่งเมื่อเทียบกันแล้ว ทองกลับไม่สามารถที่จะเทียบได้ ยิ่งระดับหลังจึงต้องการค่าเงินที่ระดับสูงขึ้นไปอีก


 


ถ้าเปรียบหินวิญญาณหยกเป็นค่าเงินชนิดหนึ่ง แน่นอนว่าหินวิญญาณหยกย่อมถือเป็นค่าเงินระดับสูง เนื่องเพราะว่าในหินวิญญาณหยกมีพลังวิญญาณอยู่มาก ทำให้ราคาของมันนั้นสูงเป็นธรรมดา


 


“ไม่มีปัญหา” อี้เทียนหยุนย่อมต้องรับปากเป็นธรรมดา เนื่องเพราะว่าเขาสามารถหลอมศาสตราจิตวิญญาณได้ ดังนั้นเขาจึงไม่ได้กังวลกับเรื่องนี้


 


“เสี่ยวหนิวจื่อ(ผู้หญิงคนนี้ในรูปถ่อมตน)ขอบังอาจถาม ไม่ทราบว่าที่ท่านต้องการหินวิญญาณหยกขนาดใหญ่นี้ เพื่อใช้มันกับค่ายกลอย่างงั้นเหรอ?” หลี่หย่าถามอย่างอยากรู้


 


หินวิญญาณหยกขนาดใหญ่แน่นอนว่าไม่ได้ใช้แทนค่าเงิน ถ้าใช้แทนค่าเงินล่ะก็ คงจะไม่มีเหตุผลเกินไปที่จะนำเข้าประมูล หินวิญญาณหยกขนาดใหญ่นั้น แน่นอนว่าประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมันก็คือการใช้ร่วมกับค่ายกล เพื่อเป็นหินพลังงานให้ค่ายกลได้ขับเคลื่อน


 


“ใช่แล้ว มีปัญหาอะไรอย่างงั้นเหรอ?” อี้เทียนหยุนไม่คิดจะปิดบัง เพราะของสิ่งนี้ปกติก็ใช้เพื่อสิ่งนี้อยู่แล้ว ก็เหมือนกับแกะสลักแล้วใส่เครื่องประดับนั่นแหละ ไม่มีอะไรที่เขาบอกไม่ได้


 


“ไม่มีปัญหาอะไรหรอกค่ะ…… ที่ถามเพราะคิดว่าคุณชายน่าจะเชี่ยวชาญในด้านสลักอาคม ไม่ทราบว่าสนใจเข้าร่วมกับตำหนักซิงเฉินของเราหรือไม่!” หลี่หย่าพลันเอ่ยเป้าหมายของตนออกมา “ตราบเท่าที่เข้าร่วมกับตำหนักซิงเฉินในฐานะเค่อชิง(แขกผู้ทรงเกียรติ) พวกเราจะไม่ทำเรื่องอยุติธรรมกับท่านอย่างแน่นอน เชื่อว่าท่านคงรู้จักตำหนักซิงเฉินของเราดี ว่าพวกเราไม่เคยผิดสัญญามาก่อน!”


 


เธอพลันเอ่ยดึงคนขึ้นมา เรื่องนี้อี้เทียนหยุนเข้าใจดี ถ้าดึงคนเข้ามาได้ ถือเป็นความดีความชอบประการหนึ่ง ยิ่งได้มากยิ่งดี นี่ก็เหมือนกับการดึงลูกค้า ยิ่งดึงผู้เชี่ยวชาญเข้ามาได้ นั่นหมายความว่าตนนั้นมีความสามารถมาก


 


“เรื่องนี้คงไม่ต้องหรอก ข้าแค่ต้องการซื้อของเท่านั้น” อี้เทียนหยุนปฏิเสธคำชวนของเธอ


 


ขอแค่มีความสามารถหน่อย ก็จะได้รับคำเชิญในทันที เรื่องนี้ไม่มีข้อยกเว้น


 


“ทราบแล้ว….” ดวงตาที่งดงามของหลี่หย่ามีประกายแห่งความผิดหวังวาบผ่าน จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “งั้นข้าคงต้องขอยืนยันหน่อย ว่าท่านมีทรัพย์สมบัติทั้งหมดเท่าไหร่ แค่บางส่วนก็ได้ พวกเราต้องป้องกันคนที่หวังจะเข้ามาก่อกวน”


 


“ไม่มีปัญหา” อี้เทียนหยุนเข้าใจกฎของพวกเขา จากนั้นแหวนเก็บของบนมือของเขาก็เปล่งแสงขึ้น พร้อมกับส่งศาสตราจิตวิญญาณขั้นสูง 3 ชิ้นหล่นลงกับพื้น “นี่เป็นแค่ส่วนน้อยเท่านั้น ไม่ทราบว่าใช้ได้ไหม?”


 


เขาทิ้งสมบัติมากมายไว้ที่นิกายเทียนเฉวียนก็จริง แต่ก็ยังเก็บไว้กับตัวมากพอควร เขาวางแผนที่จะมาซื้อหินวิญญาณหยก ดังนั้นจะไม่มีของล้ำค่าติดตัวได้ยังไง?


 


“ใช่ได้ค่ะ!” หลี่หย่าตาเป็นประกาย จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “งั้นข้าจะนำท่านไปยังรับรองพิเศษในงานประมูล หวังว่าท่านจะได้ในสิ่งที่ต้องการ!”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม