Crazy Leveling System 233-239

 CLS ตอนที่ 233: มอบของขวัญ


 


ความโอหังของอี้เทียนหยุนทำให้หลายคนพากันมองมาด้วยความตกตะลึง กระทั่งตัวประมุขมาเอง เขาก็ยังไม่กลัวแม้แต่น้อย ทั้งยังยิ่งโอหังกว่าเดิมด้วย


 


ไม่มีใครรู้ว่าไม่ใช่ว่าอี้เทียนหยุนนั้นโอหัง แต่เป็นเพราะวังเสินเหวินทำเกินไป! อี้เทียนหยุนนั้นไม่ใช่คนเริ่มหาเรื่อง ถ้าไม่ใช่เพราะหลินเฟิงนั้นอวดดีเกินไป เขาก็คงไม่ยอมเปลืองมือโจมตีหลินเฟิง ซึ่งทำให้มือของตัวเองสกปรกหรอก


 


เขาคิดว่าตัวเองนั้นเป็นคนถ่อมตัวอย่างมาก แต่ถ้าต้อนให้เขาต้องลงมือแล้วล่ะก็ เขาจะไม่มีทางออมมือให้อย่างแน่นอน


 


หลายคนพากันส่ายหัว คิดในใจว่าวังเทียนจี๋จบสิ้นแล้ว ด้วยเด็กหนุ่มที่ไม่กลัวตายคนนี้ วังเทียนจี๋จะต้องตอบแทนด้วยราคาที่ไม่สามารถประเมินได้ ถ้าไม่มีค่าชดใช้ที่มากพอ แล้วจะสะกดความโกรธแค้นของวังเสินเหวินได้ยังไง


 


“เจ้าหนุ่ม เจ้าใจกล้ามาก!” หนานเฟิงหยุนจ้องเขาด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นก็พูดกับผู้อาวุโสใหญ่วังเทียนจี๋ว่า “พวกเจ้าทำได้ดีมาก ดูท่าคงจะมีคนหนุนหลังที่ดีล่ะสิ?”


 


ผู้อาวุโสใหญ่กับพวกพากันเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา พวกเขามีผู้หนุนหลังที่ไหนกัน ตอนนี้ได้แต่เชื่อฟังคำแนะนำของอี้เทียนหยุนเท่านั้นล่ะ


 


“ประมุขหนาน เรื่องนี้ท่านไม่จำเป็นต้องรู้” สีหน้าของผู้อาวุโสใหญ่ไม่เปลี่ยนแปลง ทุกอย่างล้วนกระทำตามวิธีการของอี้เทียนหยุน


 


“ดีมาก!” หนานเฟิงหยุนพูดอย่างเย็นชา “หลังจากจบงานนี้เมื่อไหร่ ข้าจะไปเยือนวังเทียนจี๋ด้วยตัวเอง ดูสิว่าพวกเจ้ามีใครหนุนหลังอยู่!”


 


จ้าวอวี่ที่อยู่ใกล้ๆ สนใจเหตุการณ์นี้อย่างมาก ทำให้อดไม่ได้ต้องวิจารณ์ออกมา


 


“ศิษย์พี่ เจ้าหนุ่มนั้นอวดดีเกินไปแล้ว เขาไม่กลัวประมุขหนานจริงๆ?” ในดวงตาที่งดงามของจ้าวอวี่เต็มไปด้วยความรู้สึกตกใจ ถ้าเปลี่ยนเป็นเธอคงไม่กล้าอย่างนี้


 


“บางทีอาจจะเพราะถูกกระตุ้น หรือไม่ก็มีผู้หนุนหลังอยู่จริงๆ” อวี่ชีเชียนส่ายหัว แต่ให้สุดท้ายแล้วจะเป็นยังไง เธอก็คิดว่าวังเทียนจี๋จะต้องจบสิ้นอย่างแน่นอน


 


ทางตำหนักซิงเฉินยิ่งตกใจยิ่งกว่า ตอนแรกพวกเขาคิดจะออกหน้าให้อี้เทียนหยุน แต่ตอนนี้พวกเขาไม่กล้าแล้ว คำพูดที่อี้เทียนหยุนพูดเมื่อกี้นี้ เท่ากับกำหนดทางตายของตนเอาไว้แล้ว ถ้าพวกเขาออกหน้า ก็เท่ากับพวกเขาต้องการเป็นศัตรูกับวังเสินเหวิน แล้วอย่างนี้พวกเขาจะกล้าได้ยังไง


 


“เจ้าตำหนักหลี่ อี้เข่อชิงผู้นี้….. โอ้” ผู้อาวุโสหยุนส่ายหัว ไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่อยากช่วย แต่อี้เทียนหยุนฆ่าศิษย์โดยตรงของอีกฝ่าย เรื่องนี้ไม่มีทางประนีประนอมได้อย่างแน่นอน


 


“ไม่คิดเลยว่าอี้เข่อชิงคนนี้จะสร้างปัญหานี้ขึ้นมา….” หลี่เทียนหงยิ้มขมขื่นออกมา ถ้าเป็นเรื่องของผู้จัดการเมื่อก่อนหน้า เขาคงหาทางยุติเรื่องราวได้ แต่เรื่องสังหารศิษย์สายตรงของอีกฝ่าย เขาไม่มีวิธีจัดการกับเรื่องนี้จริงๆ


 


ตำหนักซิงเฉินเป็นกลางเสมอ ถ้าเป็นเรื่องผิดใจกันธรรมดาก็ดีไป แต่เรื่องการสังหารศิษย์ของอีกฝ่าย ไม่ง่ายที่จะจัดการ ทั้งยังไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยอีกด้วย  แม้ตำหนักซิงเฉินคิดจะหนุนหลังอี้เทียนหยุน แต่เรื่องนี้พวกเขารับไว้ไม่ไหวจริงๆ


 


และในตอนนี้เอง ก็ได้มีชายวัยกลางคนรูปร่างหล่อเหลาเดินเข้ามาอย่างช้าๆ เขาก็คือต้าเฉินของอาณาจักรใต้พิภพ เฉิงเฟิง! ท่วงท่าดูแล้วทรงอำนาจ เพียงออกมาก็ปลดปล่อยแรงกดดันกระจายออกทุกที่ ทำให้พวกเขารู้สึกกดดันอย่างมาก


 


หลังจากเดินมา เขาก็กวาดสายตามองรอบๆ คราหนึ่ง พร้อมกับพยักหน้าเบาๆ ด้วยท่าทางพึงพอใจ


 


“คารวะเฉิงต้าเหริน!”(นายท่านเฉิง)


 


ในตอนนี้เอง ทุกสำนักต่างพากันกล่าวทักทาย แม้จะมีบางสำนักที่ไม่เต็มใจ แต่ก็ยังต้องกล่าวออกมา ไม่อย่างนั้นจะถือว่าเป็นการไม่ไว้หน้าอาณาจักรใต้พิภพ


 


แม้กระทั่งตัวประมุขยังต้องเผชิญหน้ากับเฉิงเฟิงคนนี้ด้วยความเคารพ นี่คือความต่างระหว่างขุมอำนาจ แม้กระทั่งยามทั่วไปของอาณาจักรใต้พิภพยังไม่สามารถสังหารใต้ตามใจ ดังคำกล่าวที่ว่า จะตีสุนัขต้องดูเจ้าของ นี่คือความจริง ถ้าทำให้อาณาจักรใต้พิภพโกรธ ผลที่ตามมาต้องน่าสะพรึงอย่างแน่นอน


 


“อืม ยินดีต้อนรับเหล่าประมุขทั้งหลาย ข้ารู้สึกพึงพอใจมาก” เฉิงเฟิงสีหน้าเฉยชา มองมาที่พวกเขาแล้วก็พูดเนิบๆ ว่า “ครั้งนี้ข้าเชิญ 15 สำนักเข้าร่วม แต่หนึ่งในนั้นกลับไม่สนใจ ทั้งยังทำร้ายคนส่งสารของพวกเรา ก่อนงานเลี้ยงจะเริ่ม อีกฝ่ายก็ได้ถูกพวกเราจัดการไปแล้ว หลังจากนี้จะไม่มีสำนักนี้อีก ดังนั้นจึงทำให้ข้ามาช้า”


 


สีหน้าเรียบๆ ของเขาเอ่ยเรื่องที่น่าตระหนกออกมา บอกว่าทำลายก็ทำลาย นี่มันขุมอำนาจชั้น 3 เชียวนะ? อาณาจักรใต้พิภพเชิญเฉพาะขุมอำนาจชั้น 3 เท่านั้น ขุมอำนาจชั้น 2 ไม่มีสิทธิ์ ดังนั้น ขุมอำนาจชั้น 3 ทั่วทั้งทวีปเทียนจิ่งจึงมีเพียงแค่ 15 สำนักเท่านั้น


 


เมื่อดูรอบๆ แล้ว ก็มีกลุ่มคนทั้งเล็กและใหญ่ 14 กลุ่มจริงๆ ซึ่งตำหนักนี้รองรับได้อย่างสบาย


 


นี่ทำให้อี้เทียนหยุนนึกไปถึงตอนที่เพิ่งเข้าเมืองมา ตอนนั้นมีอินทรีย์ยักษ์ถูกทำร้าย คิดดูแล้วคงจะเป็นการต่อต้านของขุมอำนาจชั้น 3 ส่วนผลลัพธ์สุดท้ายก็ย่อมไร้ปรานี ถูกทำลายทิ้งทั้งสำนัก


 


“ที่ข้าเชิญทุกคนมาวันนี้ เพื่ออยากจะคุยเรื่องบางอย่าง เรื่องนี้เป็นคำสั่งที่องค์จักรพรรดิมอบหมายให้ข้ามา” เขาเน้นหนักตรงคำว่า “องค์จักรพรรดิ” สองคำนี้ คำสั่งขององค์จักรพรรดิ ถ้าใครขัดคำสั่ง ผลลัพธ์คงไม่ต้องพูดถึง


 


ผู้คนพากันใจสั่น หัวใจเต้นแรง ไม่รู้ว่าจะพูดเรื่องอะไรกัน?


 


“ใช่แล้ว พอดีเลย วันนี้เป็นวันเกิดของข้า…..” เฉิงเฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม “เพราะว่ายุ่งๆ ข้าก็เลยลืมไปเลย”


 


ผู้คนพากันตาโต ทำไมอยู่ๆ ก็พูดเรื่องวันเกิดขึ้นมา ทำไมไม่พูดเรื่องงานก่อน?


 


ในตอนนี้เอง บางคนก็พลันได้สติอย่างรวดเร็ว พร้อมกับรีบกล่าวอวยพร “ยินดีกับเฉิงต้าเหรินด้วย นี่คือโสมร้อยปีที่พวกเราเตรียมมามอบให้เฉิงต้าเหริน กินแล้วช่วยบำรุงเลือดฉี ช่วยให้อายุยืนยาว ทำให้พื้นฐานฝึกตนมั่นคง”


 


จากนั้น ประมุขคนนั้นก็ตอบสนองอย่างรวดเร็ว พร้อมกับมอบโสมร้อยปีให้


 


“หืม น่าสนใจขนาดนั้นเชียว….. โสมร้อยปีนี้เป็นของดี ข้าชอบมาก” เฉิงเฟิงพลันเต็มไปด้วยความสุข มองไปยังประมุขคนนี้คราหนึ่ง ด้วยความรู้สึกชื่นชม สามารถได้รับความสนใจจากเฉิงเฟิงนับเป็นเรื่องดี


 


ในตอนนี้ คนทั้งหลายก็พากันตอบสนอง เฉิงเฟิงคนนี้ช่างหน้าหนาจริงๆ เป็นอาณาจักรใต้พิภพเองแท้ๆ ที่ให้เขามาประกาศ แต่กลับเอ่ยเรื่องวันเกิดของตนขึ้นมา เพราะอยากฉวยโอกาสรับของขวัญจากพวกเขา!


 


แต่พวกเขาก็ไม่กล้าปฏิเสธ ยิ่งกว่านั้น พวกเขายังได้เตรียมของขวัญไว้ก่อนแล้ว แม้จะบอกว่าปุบปับ แต่ก็ไม่ปุบปับเช่นกัน แต่ที่คาดไม่ถึงก็คือเรื่องวันเกิดของเฉิงเฟิง เพราะว่าตนเกิดวันนี้ จึงได้ให้พวกเขามารวมตัวกันอย่างงั้นเหรอ?


 


นี่ออกจะเกินไป ฉวยโอกาสที่ตนเป็นตัวแทนของจักรพรรดิ จัดงานวันเกิดของตนขึ้นซะเลย ช่างเป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบนัก


 


โชคดีที่บางคนตอบสนองไว จึงได้มอบของขวัญเป็นคนแรกๆ ทำให้ประมุขหลายคนรู้สึกอิจฉา นี่หมายความว่าคนๆ นั้นจะต้องได้รับความสนใจมากอย่างแน่นอน


 


“เฉิงต้าเหริน นี่คือศาสตราจิตวิญญาณระดับสูงที่มีสายเลือดมังกร สามารถปลดปล่อยพลังของมังกรเพื่อจัดการกับศัตรูได้!”


 


“เฉิงต้าเหริน นี่คือสมุนไพรวิญญาณหยกอายุ 300 ปี สามารถ…..”


 


แต่ละคนต่างเร่งรีบมอบของขวัญออกไป เหตุการณ์นี้ทำให้อี้เทียนหยุนต้องขมวดคิ้ว หนังหน้าของเฉิงเฟิงคนนี้ช่างหนาจริงๆ ถ้าให้ของไม่ดีล่ะก็ เท่ากับว่าไม่ไว้หน้าต้าเฉินของอาณาจักรใต้พิภพ


CLS ตอนที่ 234: ข้านี่แหละประมุข!


 


มีบางสำนักที่ไม่ประทับใจในอาณาจักรใต้พิภพนี้อย่างมาก แต่ก็ยังต้องให้ของขวัญ ซึ่งนี่ยิ่งทำให้พวกเขาเกลียดขึ้นไปอีก แต่ถ้าพวกเขาไม่มอบของขวัญ โชคร้ายคงจะต้องตกเป็นของพวกเขาแทน


 


ใครให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นตัวแทนของอาณาจักรใต้พิภพล่ะ อาณาจักรใต้พิภพนั้นมีอำนาจมาก ยิ่งกว่านั้นยังแสดงความแข็งแกร่งอย่างโหดร้ายกับพวกที่ไม่ยอมเชื่อฟังตั้งแต่เริ่มให้ดู จากขุมอำนาจที่มีพลังพอๆ กับพวกเขา ตอนนี้ได้หายไปจากทวีปเทียนจิ่งแล้ว


 


“ประมุข พวกเราจะทำยังไงดี….. เหมือนว่าของที่พวกเรานำมาจะไม่พอนะ” ผู้อาวุโสใหญ่พูดอย่างอึดอัด วังเทียนจี๋แม้จะไม่ถึงขั้นยากจนจนกลวงโบ๋ แต่ของล้ำค่ากลับมีอยู่น้อยนิด


 


ดูจากสถานการณ์ที่พวกเขามอบของขวัญคนแล้วคนเล่า อย่างน้อยต้องเป็นศาสตราจิตวิญญาณขั้นสูง ไม่อย่างนั้นฝั่งตรงข้ามดูเหมือนจะไม่ชอบใจนัก และเรื่องของเรื่องก็คือพวกเขาไม่มีศาสตราจิตวิญญาณขั้นสูง ซึ่งนี่ถือเป็นเรื่องน่าอึดอัด ศาสตราจิตวิญญาณขั้นกลางพวกเขาก็พอมีอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้นำมาด้วยในครั้งนี้


 


“ไม่เป็นไร ข้าพอจะมีเก็บไปอยู่บ้าง”


 


ศาสตราจิตวิญญาณขั้นสูงเขามีอยู่จริงๆ ก่อนหน้านี้เขาได้สังหารผู้เชี่ยวชาญระดับก่อแกนวิญญาณไปบ้าง ทำให้ได้รับศาสตราจิตวิญญาณขั้นสูงจากพวกเขามา บ้างก็ขายไปแล้ว แต่บางชิ้นก็ยังไม่ได้ขาย ส่วนที่เหลือกะว่าหลังจากกลับไปยังนิกายเทียนเฉวียนแล้ว จะเอาออกมาให้พวกเธอใช้สักหน่อย


 


ผู้อาวุโสใหญ่กับพวกตกใจ นี่ทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัดอย่างมาก แม้ว่าอี้เทียนหยุนจะเป็นประมุขของพวกเขา แต่การที่ต้องให้เขามาช่วยในคราวนี้ ถือว่าเป็นเรื่องน่าอึดอัดอย่างยิ่ง


 


“คิดแล้วก็น่ารังเกียจนัก….. ประมุขของพวกเราต้องถูกทรมานอย่างนั้น แต่พวกเขากลับต้องมอบของขวัญให้กับอาณาจักรใต้พิภพ….. ข้าล่ะเกลียดจริงๆ เกลียดที่ตัวเองอ่อนแอ ไม่มีแรงที่จะทำอะไรได้!” ผู้อาวุโสใหญ่รู้สึกเหมือนหัวใจของเขากำลังหลั่งเลือด นี่เท่าได้กับถูกอีกฝ่ายตบหน้าเข้าอย่างจัง แต่ก็ยังต้องยิ้มรับการกระทำนั้น ช่างน่าดูถูกยิ่งนัก


 


“ใจเย็น ข้าจะทำให้มันต้องตอบแทนอย่างแน่นอน” อี้เทียนหยุนมองไปที่เฉิงเฟิงที่อยู่ตรงหน้าแล้วแสยะยิ้มออกมา


 


“ประมุข ท่านอย่าได้วู่วาม!” ผู้อาวุโสใหญ่ตกใจ เขารู้ว่าอี้เทียนหยุนใจกล้าพอ แต่นี่เป็นถึงตัวแทนของอาณาจักรใต้พิภพเชียวนะ ถ้าลงมือขึ้นจริงๆ ล่ะก็ วังเทียนจี๋ของพวกเขาจะต้องถูกทำลายอย่างแน่นอน!


 


“วางใจน่า ข้าไม่วู่วามหรอก” อี้เทียนหยุนไม่ใช่คนโง่ เขารู้ว่าศัตรูเป็นยังไง ถ้ามีแค่เขา เขาคงไม่กลัวว่าจะสร้างเรื่อง แต่ตอนนี้เขามีวังเทียนจี๋ให้คอยปกป้อง ทำให้ไม่สามารถทำอะไรเกินเลยได้


 


ขณะที่พวกเขากำลังจะพูดอะไรต่อนั้น หนานเฟิงหยุนก็ได้เดินมา จากนั้นก็ได้ส่งกล่องหยกออกไป พร้อมกับพูดด้วยความเคารพว่า “เฉิงต้าเหริน นี่คือศาสตราจิตวิญญาณขั้นสูง….. ยิ่งกว่านั้นยังเป็นศาสตราจิตวิญาณที่สลักค่ายกลชั้น 5 เอาไว้ ข้ารับรองว่าท่านจะต้องชอบอย่างแน่นอน!”


 


พูดจบก็เปิดกล่องหยกนี้ออก ทำให้กระบี่ยาวปรากฏขึ้นต่อสายตาของทุกคน ทันใดนั้น ดวงตาของเฉิงเฟิงก็เป็นประกาย พร้อมกับรับมาดูอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็พยักหน้าอย่างพอใจ “เป็นศาสตราจิตวิญญาณที่ดีมาก ค่ายกลชั้น 5 นี้ช่วยเพิ่มพลังโจมตีด้วยนี่?”


 


“ถูกแล้ว ค่ายกลนี้ช่วยเพิ่มพลังโจมตีให้อีก 2 ขั้น รับรองว่าท่านจะต้องถูกใจอย่างแน่นอน!” หนานเฟิงหยุนยิ้ม แต่ความจริงในใจเขากำลังเป็นทุกข์อย่างมาก นี่คือกระบี่ของเขา ตอนนี้กลับต้องมอบมันให้กับเฉิงเฟิง แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เขาเป็นทุกข์ได้ยังไง?


 


ใจความหลักคือเรื่องนี้มันเกิดขึ้นกะทันหันเกินไป ใครจะไปเตรียมของขวัญได้ทันกัน? ดังนั้นจึงได้แต่หยิบเอากระบี่ที่คาดเอวออกมา หรือไม่งั้นก็ต้องเตรียมสมุนไพรวิญญาณส่งมอบให้ แต่ภายนอกเขาไม่สามารถแสดงความไม่พอใจออกมาได้ จึงได้แต่ยิ้มพร้อมกับหัวเราะออกไป


 


“อืม ดี ข้าได้ยินมาว่าวังเสินเหวินมีศักยภาพที่ดี ตอนนี้ดูแล้วจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ” เฉิงเฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว เร็วๆ นี้เราเพิ่งจะจับผู้เชี่ยวชาญของเผ่าภูตมาได้ที่เมืองหลวง ถ้าเจ้าต้องการ ข้าสามารถแนะนำให้เจ้าไปแลกตัวมาได้นะ ว่ายังไง?”


 


 


“ผู้เชี่ยวชาญของเผ่าภูต…..” หนานเฟิงหยุนตาเป็นประกาย พร้อมกับรีบแสดงความขอบคุณอย่างรวดเร็ว “ขอบคุณเฉิงต้าเหรินมาก!”


 


ของชิ้นนี้ทำให้หลายคนต้องเผยสายตาอิจฉาออกมาในที่สุด วังเสินเหวินขาดแคลนที่สุดก็คืออักษรรูนนี่แหละ ซึ่งเผ่าภูตก็เป็นเผ่าที่ชำนาญในเรื่องนี้สูง ถ้าสามารถแลกมาได้ แม้จะพูดไม่ได้ว่าพวกเขาจะได้รับอักษรรูนหายากไหม แต่จะต้องได้ประโยชน์อย่างใหญ่หลวงแน่นอน


 


จากนั้น หนานเฟิงหยุนก็หันไปมองทางอี้เทียนหยุนแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะถึงทีของวังเทียนจี๋แล้ว? ไม่รู้ว่าวังเทียนจี๋เตรียมของขวัญอะไรมา ได้ยินมาว่าเร็วๆ นี้วังเทียนจี๋กำลังเกิดปัญหา ศิษย์จำนวนมากพากันถอนตัวเพราะทรัพยากรไม่เพียงพอ….. เมื่อขาดแคลนทรัพยากร ก็ไม่สามารถเหนี่ยวรั้งผู้คนเอาไว้ได้”


 


หนานเฟิงหยุนคนนี้แน่นอนว่าไม่มีทางปล่อยโอกาสในการเอาคืนคราวนี้ไป อี้เทียนหยุนรู้ว่าค่าความชั่วของตนสูงมาก ทำให้เจ้าโง่นี้มุ่งเป้ามาที่เขา


 


สีหน้าอี้เทียนหยุนยังคงเฉยชา ก้าวเดินออกไปข้างหน้า สายตาของผู้คนก็มารวมกันที่ร่างของเขา รู้สึกแปลกใจ ทำไมเขาถึงเป็นคนมามอบของขวัญด้วยตัวเอง แต่ไม่ให้ผู้อาวุโสใหญ่เป็นคนมา แค่ประมุขไม่มาก็เป็นการเสียมารยาทมากพอแล้ว แล้วนี่ยังจะให้ศิษย์เป็นคนมอบของขวัญให้อีก ทำให้หลายคนคิดว่าวังเทียนจี๋จะต้องจบสิ้นอย่างแน่นอน


 


อย่างเฉิงเฟิงจะไม่รู้ได้ยังไงว่าสถานการณ์ของวังเทียนจี๋เป็นแบบไหน ตัวประมุขอยู่ในสภาพครึ่งเป็นครึ่งตาย แล้วอย่างนี้จะให้มาด้วยตนเองได้ยังไง?


 


“วังเทียนจี๋ใจกล้ามาก!” เมื่อหนานเฟิงหยุนเห็นอี้เทียนหยุนมามอบของขวัญด้วยตัวเอง ก็พูดขึ้นมาอย่างเย็นชา “ประมุขไม่มาก็เป็นการดูถูกเฉิงต้าเหรินพอแล้ว ตอนนี้ยังไม่ยอมให้ผู้อาวุโสมามอบของขวัญให้อีก นี่มันหมายความว่ายังไง!”


 


หนานเฟิงหยุนทำราวกับเป็นผู้ติดตามของเฉิงเฟิง ทำเป็นโกรธแทนอยู่ใกล้ๆ


 


เฉิงเฟิงสีหน้าก็ไม่น่าดูเหมือนกัน เขารู้ว่าวังเทียนจี๋ตอนนี้อยู่ในสภาพไหน แต่เมื่อเห็นอี้เทียนหยุนเป็นคนมาส่งของขวัญเอง เขาก็ยังรู้สึกไม่พอใจอย่างมากอยู่ดี


 


“ไม่ได้หมายความว่าอะไรทั้งนั้น ข้านี่แหละประมุข มีปัญหาอะไรไหม?” อี้เทียนหยุนพูดอย่างไม่ใส่ใจ


 


คำพูดนี้ทำให้ทุกคนตกใจ กระทั่งผู้อาวุโสใหญ่กับพวกเองก็ด้วย พวกเขาไม่คิดว่าอี้เทียนหยุนจะพูดมันออกมาที่นี่


 


“อะไรนะ เจ้าน่ะเหรอประมุข?” หนานเฟิงหยุนตกใจก่อนในคราแรก จากนั้นก็หันไปถามผู้อาวุโสใหญ่ “ผู้อาวุโสวังเทียนจี๋ เขาเป็นประมุขของพวกเจ้าจริงๆ อย่างงั้นเหรอ!”


 


“ใช่ เขาเป็นประมุขของพวกเรา!” ผู้อาวุโสใหญ่พูดอย่างมีพลัง ไม่คิดว่ามีอะไรให้ต้องเสียหน้า


 


หลังจากคำพูดยืนยันออกมา ก็ราวกับมีฟ้าผ่ากลางแจ้ง ที่นี่พลันระเบิดออกในทันที ทุกคนล้วนพากันตกใจ ไม่แปลกที่ผู้อาวุโสใหญ่จะไม่ทำอะไร ที่แท้เด็กหนุ่มคนนี้ก็คือประมุขของวังเทียนจี๋!


 


หนานเฟิงหยุนหัวเราะออกมา “วังเทียนจี๋เอ๊ยวังเทียนจี๋ พวกเจ้านี่ช่างตกต่ำจริงๆ กล้ากระทั่งให้เด็กหนุ่มโง่ๆ คนหนึ่งเป็นประมุข หรือว่าวังเทียนจี๋ของพวกเจ้าไม่มีใครแล้ว!”


 


“มีคนหรือไม่ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเจ้า?” อี้เทียนหยุนไม่สนใจหนานเฟิงหยุน ทำให้หนานเฟิงหยุนรู้สึกโกรธ เขาอยากจะลงมืออย่างมาก แต่ต่อหน้าเฉิงเฟิง เขาจะไปกล้าได้ยังไง


 


จากนั้น เขาก็มาถึงตรงหน้าเฉิงเฟิง พร้อมกับหยิบเอาศาสตราจิตวิญญาณขั้นสูงออกมา พริบตานั้น กลิ่นอายเย็นเฉียบก็ถูกปล่อยออกมา พร้อมกับอธิบายว่า “นี่คือกระบี่น้ำแข็งเทวะ เป็นศาสตราจิตวิญญาณขั้นสูง หวังว่าเฉิงต้าเหรินจะรับไว้”


 


กระบี่นี้ดูแล้วค่อนข้างดี ใจความหลักคือวังเทียนจี๋สามารถเอาศาสตราจิตวิญญาณขั้นสูงออกมาได้ด้วย นี่ไม่เหมือนกับที่เคยได้ยินว่ากำลังตกต่ำเลยจริงๆ


 


“ดี ดี เป็นอาวุธที่ดี ไม่ด้อยไปกว่าของขวัญที่หนานเฟิงหยุนมอบให้เลย ข้าจะรับมันไว้…..” เฉิงเฟิงพยักหน้า พร้อมกับหรี่ตาแล้วพูดว่า “ยังหนุ่มแต่ก็ได้เป็นถึงประมุข ดูท่าอนาคตของเจ้าคงจะไร้สิ้นสุด…..”


 


“ขอบคุณเฉิงต้าเหรินที่ชม!”


 


อี้เทียนหยุนประสานมือพร้อมกับยิ้มออกมา ในขณะเดียวกันก็ดีดนิ้วออกไปเบาๆ ทำให้แสงสลัวซึมเข้าไปในร่างของเฉิงเฟิง ซึ่งการกระทำนี้ทุกคนไม่สังเกตเห็น กระทั่งตัวเฉิงเฟิงเอง


 


ของที่เขายิงออกไปนั้นก็ไม่ใช่อะไร แต่เป็นเม็ดยาโชคร้ายที่เขาได้มาเมื่อก่อนหน้า เขาไม่รู้ว่าของสิ่งนี้มีไว้ใช้ทำอะไร แต่ตอนนี้ก็ได้ใช้มันไปแล้ว ไม่รู้ว่ามันจะให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นแบบไหน


 


ของสิ่งนี้ไม่จำเป็นต้องกินเข้าไป เพียงแค่ต้องการก็ปลดปล่อยออกไปได้ทันที ทำให้มันซึมเข้าไปในร่างของเฉิงเฟิง แต่ไม่รู้ว่าจะแสดงผลลัพธ์ออกมาตอนไหน


CLS ตอนที่ 235: เพิ่มเรื่องสนุก


 


หลายคนไม่ได้สนใจกับของขวัญที่อี้เทียนหยุนนำมา แต่กลับสนใจกับคำโกหกของอี้เทียนหยุนว่าเป็นประมุขมากกว่า!


 


แต่ตอนนี้เมื่อทุกคนได้รู้ความจริงแล้วว่าอี้เทียนหยุนเป็นประมุข พวกเขาก็ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมอี้เทียนหยุนถึงได้ออกหน้าเป็นตัวแทนของวังเทียนจี๋ ไม่คิดเลยว่าตั้งแต่แรกแล้ว จะเป็นตัวประมุขเป็นคนออกหน้ามาโดยตลอด เรื่องนี้ทำให้พวกเขาพากันคิดไม่ถึง อวี่ชีเชียนกับพวกก็พากันตกใจ ยังหนุ่มแต่กลับนั่งในตำแหน่งประมุขอย่างไม่คาดคิด ตกลงแล้วนี่มันเรื่องอะไรกันแน่?


 


หลายคนสงสัยว่าอี้เทียนหยุนอาจจะเป็นลูกของประมุข หรือไม่ก็ต้องมีเบื้องหลังยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นจะนั่งตำแหน่งประมุขทั้งที่ยังหนุ่มอย่างนี้ได้ยังไง?


 


บางสำนักจริงอยู่ที่อาจจะมีการเลือกตำแหน่งขึ้นมาก่อนเวลา แต่ก็ไม่ได้ให้อำนาจสิทธิ์ขาดขนาดนี้ จำเป็นต้องมีผู้อาวุโสคอยควบคุมพวกเขาด้วย และเมื่อพวกเขาเติบโตมากพอ เมื่อนั้น พวกเขาจึงจะมีสิทธิ์ขาดในตำแหน่งประมุขอย่างเต็มภาคภูมิ


 


แต่จากเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าอี้เทียนหยุนนั่งในตำแหน่งประมุขนี้อย่างมีสิทธิ์ขาดเต็มที่ และมีสิทธิ์ที่จะทำทุกอย่างในตำแหน่งประมุข นี่ทำให้พวกเขาต้องรู้สึกตกตะลึง


 


พวกเขาไม่ต้องการแข็งแกร่งขึ้นหรือไง ถึงได้ให้เด็กหนุ่มคนนี้เป็นประมุข หรือว่าพลังของเด็กคนนี้จะแข็งแกร่งจริงๆ? แต่นี่ก็ไม่อาจโทษพวกเขาได้ เพราะพวกเขาไม่สามารถเห็นพลังของอี้เทียนหยุน ตราบเท่าที่เขาไม่ปลดปล่อยพลังออกมา พวกเขาก็ไม่สามารถตัดสินได้ นอกเสียจากจะยื่นมือไปสัมผัสอี้เทียนหยุนพร้อมกับใช้พลังตรวจสอบ ไม่อย่างนั้นไม่มีทางรู้ได้เลยจริงๆ


 


“ไม่แปลกที่เขาจะมาด้วยกันกับวังเทียนจี๋ ไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นประมุขของวังเทียนจี๋…..” ดวงตาของหลี่เทียนหงเป็นประกาย ทั้งยังมากไปด้วยความสนใจ


 


คนส่วนใหญ่ต่างก็สนใจ ความคิดของพวกเขาก็เป็นเหมือนกับหนานเฟิงหยุน ยังหนุ่มแต่นั่งตำแหน่งประมุข นี่คงเพราะวังเทียนจี๋ตกต่ำจนไม่มีใครแล้วจริงๆ นั่นล่ะ!


 


อี้เทียนหยุนยิ้ม ไม่สนใจสายตาคนอื่น พร้อมกับเดินกลับไปยังที่ของตนอย่างรวดเร็ว พร้อมกับรอให้ผลของเม็ดยาโชคร้ายแสดงออกมา


 


หนานเฟิงหยุนมองอี้เทียนหยุนมอบกระบี่น้ำแข็งเทวะอย่างเย็นชา นี่เหมือนกับการตบหน้าเขาอย่างจัง ก่อนหน้านี้เขาบอกว่าอี้เทียนหยุนคงไม่มีของล้ำค่าอะไร แต่ไม่คิดว่าเขาจะเอาออกมาจริงๆ ทั้งระดับยังไม่ต่ำด้วย!


 


“เฉิงต้าเหริน อาวุธของข้าเมื่อเทียบกันแล้วแข็งแกร่งกว่ามาก ถึงยังไงข้าก็ได้เสริมค่ายกล 5 ชั้นเข้าไป แต่ของเขากลับไม่มีค่ายกลสลักอยู่!” หนานเฟิงหยุนยิ้มเยาะ “เอาอย่างนี้เป็นยังไง พวกเรามาหาเรื่องสนุกเล่นกันสักหน่อยดีไหม? มาดูกันว่าประมุขคนใหม่ของวังเทียนจี๋แข็งแกร่งแค่ไหนโดยผ่านการประลองเป็นยังไง”


 


เฉิงเฟิงก็ไม่ได้ว่าอะไร เขากลับพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “ข้อเสนอนี้ดี ข้าก็อยากจะเห็นพลังของประมุขคนใหม่ของวังเทียนจี๋เช่นกัน ว่าแข็งแกร่งแค่ไหน? ยังหนุ่มแต่กลับนั่งตำแหน่งประมุขได้ ข้าเชื่อว่าระดับของเขาจะต้องไม่ต่ำอย่างแน่นอน แต่ว่านี่เป็นแค่การประลองเอาสนุกเท่านั้น ประมุขอี้คงไม่มีปัญหาใช่ไหม?”


 


สีหน้าอี้เทียนหยุนที่อยู่ข้างล่างยังคงเฉยชา หนานเฟิงหยุนคนนี้คงคิดทำให้เขาขายหน้า อยากจะใช้โอกาสนี้ตบหน้าเขา!


 


“ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” อี้เทียนหยุนเผยยิ้มบางๆ ออกมา


 


“ในเมื่อประมุขอี้ไม่มีปัญหา งั้นก็มาเริ่มกันเลย” หนานเฟิงหยุนพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะไม่เอาเปรียบเจ้า จะไม่เลือกคนที่อายุเยอะเกินไป วันนี้ข้าได้พาศิษย์ที่โดดเด่นมาด้วยคนหนึ่ง อยากจะให้ประลองกับเจ้า อยากจะทดสอบว่าประมุขของวังเทียนจี๋นี้ แท้จริงแล้วมีระดับอะไร”


 


คำพูดของเขาน่าสนใจมาก ถ้าอี้เทียนหยุนแพ้ นั่นก็หมายความว่า ตำแหน่งประมุขของวังเทียนจี๋นี้ ศิษย์ของพวกเขาก็นั่งได้เช่นเดียวกัน!


 


“เจิ้งหวู่ออกมา!” หนานเฟิงหยุนส่งสัญญาณให้กับศิษย์ของตน


 


ในขณะเดียวกัน เขาก็โยนกระบี่ขึ้นไป พร้อมๆ กับชายหนุ่มคนหนึ่งกระโดดขึ้นมา พร้อมกับรับกระบี่เล่มนั้นไว้ ก่อนที่จะตกลงมาอย่างช้าๆ ท่วงท่าดูแล้วงดงามมาก ก่อนจะเดินออกมายังที่ที่ถูกเว้นไว้ มือของเขาไขว้ไว้ที่หลัง ชุดสีขาวที่ใส่กระพือเบาๆ มองมาที่อี้เทียนหยุนด้วยสายตาดูถูก ระดับของเขานั้นไม่ต่ำ อยู่ที่ระดับหลอมรวมขั้นที่ 6 ด้วยอายุเพียงเท่านี้แต่กลับมีพลังอยู่ในระดับนี้ ถือเป็นศิษย์ชั้นเยี่ยมทีเดียว


 


อายุของเขานั้นเยอะกว่าอี้เทียนหยุนหลายปี นี่ทำให้หลายสำนักขมวดคิ้ว นี่เหรอที่บอกว่าจะไม่เลือกคนที่อายุเยอะมากให้? นี่ดูยังไงอายุก็ห่างกันมาก ไม่เรียกว่ารุ่นเดียวกันแล้ว


Person who however Nan Fengyun brings, indeed youngest was he.


 


“ประมุขอี้ นี่คืออาวุธของเจ้า รับ!” หนานเฟิงหยุนรับกระบี่น้ำแข็งหิมะที่อี้เทียนหยุนมอบเป็นของขวัญโยนให้เขาอย่างเย็นชา แต่ความเร็วของกระบี่กลับราวกับลูกศร แหวกอากาศมายังที่ที่เขาอยู่ด้วยความเร็วที่สามารถฆ่าคนได้เลยทีเดียว!


 


หนานเฟิงหยุนคิดร้ายกับอี้เทียนหยุนอย่างเห็นได้ชัด ถ้าไม่รับไว้ล่ะก็ มันจะพุ่งผ่านไปอย่างแน่นอน


 


แต่อี้เทียนหยุนกลับถีบเท้าเบาๆ ก่อนที่จะกระโจนขึ้นไป พร้อมกับควงมือเป็นวงกลมง่ายๆ ทำให้กระบี่น้ำแข็งเทวะค่อยๆ หมุนเป็นวงกลม ก่อนที่ด้ามกระบี่จะตกลงมายังมือของเขาอย่างช้าๆ ราวกับสายลมที่พัดผ่านปุยเมฆ ไม่มีความยากแม้แต่น้อย


 


“เริ่มได้หรือยัง?” การกระทำนี้ของอี้เทียนหยุนทำให้หลายคนปรบมือ ดูเหมือนว่าเขาพอจะมีความสามารถอยู่บ้างจริงๆ


 


“ฮึ่ม!” หนานเฟิงหยุนตาเป็นประกายวาบ จากนั้นก็พูดกับเฉิงเฟิงว่า “ในการประลองนั้น กระบี่ไร้นัยน์ตา ถ้าเกิดมีการเสียเลือดกันบ้าง หวังว่าเฉิงต้าเหรินจะให้อภัย”


 


“ไม่มีปัญหา เรื่องนี้ข้าเข้าใจ ถ้ากระทั่งความกล้าแค่นี้ยังไม่มี แล้วจะต่อสู้ในสนามรบได้ยังไง?” เฉิงเฟิงหัวเราะ ไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย


 


นี่หมายความว่าอนุญาตให้ลงมือกันได้เต็มที่ ต่อให้ฆ่ากันจนตายก็ไม่มีปัญหา!


 


“เมื่อเป็นอย่างนี้ เจิ้งหวู่ เจ้าจงใช้ความสามารถที่แท้จริงออกมา ให้เฉิงต้าเหรินได้เห็นถึงความร้ายกาจของเจ้า!” หนานเฟิงหยุนหรี่ตาพร้อมกับเผยยิ้มออกมา จากนั้นก็พูดกับอี้เทียนหยุนว่า “ประมุขอี้ ข้าก็ขอให้เจ้าลงมือเต็มที่เช่นกัน ถ้าเกิดแพ้ขึ้นมามันจะไม่น่าดูได้ เจิ้งหวู่นั้นเป็นเพียงแค่ศิษย์ทั่วไปในวังเสินเหวินเรา”


 


คำพูดเท่ากับบอกว่า ถ้าเจ้าแพ้ ก็หมายความว่าประมุขอย่างเจ้าได้พ่ายแพ้ให้กับศิษย์ธรรมดา เมื่อเป็นอย่างนี้ แสดงว่าวังเทียนจี๋ได้ผุพังแล้วจริงๆ


 


“ถ้าข้าแพ้ ข้าคงไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นประมุขของวังเทียนจี๋แล้วล่ะ” อี้เทียนหยุนพูดออกมาเบาๆ


 


คำพูดนี้ทำให้หลายคนพากันตกใจ นี่ยังต้องพูดอีกเหรอ แต่หลายคนก็พากันส่ายหัว อี้เทียนหยุนยังเด็กเกินไป ระดับพลังคงไม่สูงเท่าไหร่นัก แต่กลับต้องมาเล่นละครที่หนานเฟิงหยุนเป็นผู้จัดการ ช่างน่าสงสารจริงๆ


 


มีเพียงทางฝั่งของพวกผู้อาวุโสใหญ่เท่านั้นที่ตาเป็นประกาย จัดการกับเจิ้งหวู่คนนี้ไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าแพ้ เขาก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะนั่งในตำแหน่งประมุขจริงๆ นั่นล่ะ


 


“ช่างมีความคิดที่สูงส่งนัก งั้นก็ทำให้ข้าเห็นหน่อย ว่าเจ้ามีคุณสมบัติที่จะเป็นประมุขจริงๆ หรือเปล่า!” ในสายตาของหนานเฟิงหยุนมีแสงเย็นชาวาบผ่าน


 


เมื่อการพูดคุยกันจบลง เจิ้งหวู่ก็กำกระบี่ในมือแน่น พร้อมกับแทงออกมาด้วยความเร็วดุจแสง ทำให้บนฟ้าปรากฏลำแสงเย็นเหยียบออกมา ค่ายกลชั้น 5 บนกระบี่กระพริบ พร้อมกับเปล่งแสงเจิดจ้าออกมา เพิ่มพลังขึ้นอีก 2 ขั้นในทันที!


 


นี่คือพลังของค่ายกลชั้น 5 ยิ่งระดับฝึกตนสูง ก็ยิ่งแสดงพลังได้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ด้วยระดับของเจิ้งหวู่ ยังสามารถแสดงพลังต่อสู้ที่สุดยอดออกมาได้


 


ส่วนทางฝั่งอวี่ชีเชียนทนมองเรื่องโหดร้ายขนาดนี้ไม่ได้ ระดับของอาวุธของทั้งสองต่างกันเกินไป ทั้งน่ากลัวว่าระดับฝึกตนของทั้งสองยิ่งต่างกันมากยิ่งกว่า


CLS ตอนที่ 236: เม็ดยาโชคร้าย ออกฤทธิ์!


 


“ศิษย์พี่ ท่านว่าใครจะชนะ?” จ้าวอวี่ที่มองมาด้วยสายตาเป็นประกายถามขึ้น “ข้าว่าผู้ชนะต้องเป็นเจิ้งหวู่อะไรนั่นแน่ๆ!”


 


“ข้าว่าประมุขอี้ออกจะบ้าบิ่นเกินไป ทำให้มั่นใจเกินตัว” ดวงตาที่งดงามของอวี่ชีเชียนจับจ้องไปที่ร่างของอี้เทียนหยุน


 


“ข้าไม่รู้ว่าจะเขาแกล้งทำหรือเปล่า แต่ท่านเห็นไหมว่าเขายังดูใจเย็นอยู่เลย ดูแล้วไม่มีอาการหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย” จ้าวอวี่พูดด้วยรอยยิ้ม “งั้นพวกเรามาพนันกันหน่อยเป็นไง ถ้าเจิ้งหวู่อะไรนั่นชนะ ครั้งหน้า ศิษย์พี่ต้องไปเจอคุณชายหัวกับข้านะ!”


 


“จะให้ข้าไปพบคุณชายหัวกับเจ้าทำอะไร ทำไมเจ้าไม่ไปคนเดียว?” อวี่ชีเชียนกลอกตาใส่เธอ


 


“ก็…. ก็ข้ารู้สึกว่ามันไม่เหมาะนี่นา” จ้าวอวี่ยิ้มอย่างอายๆ


 


“ก็ได้ ถ้าเจ้าชนะ ข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้า!” อวี่ชีเชียนพูดด้วยรอยยิ้ม “แต่ถ้าเจ้าแพ้ เจ้าจะต้องไปฝึกเป็นเพื่อนข้าเช่นกัน!”


 


“ศิษย์พี่ ท่านบ้าฝึกเกินไปหรือเปล่า?” จ้าวอวี่รีบร้อนพูดออกมา “ข้าจะไม่แพ้ สายตามองคนของข้ามักจะแม่นยำเสมอ!”


 


ขณะที่หลายคนกำลังรอดูผลสรุปสุดท้ายนั้น อี้เทียนหยุนก็ได้จับกระบี่น้ำแข็งเทวะในยืนนิ่งอยู่ ราวกับรอให้การโจมตีของเจิ้งหวู่เข้ามา ดูแล้วไม่มีท่าทางหวาดกลัวแม้แต่น้อย


 


ไม่มีใครรู้ว่าอี้เทียนหยุนไม่เห็นคู่ต่อสู้อยู่ในสายตา เพราะว่าฝั่งตรงข้ามยังไม่มีคุณสมบัติพอจะให้เขาเป็นคนโจมตีก่อน!


 


“ตายซะ!” จิตสังหารของเจิ้งหวู่ทะลักออกมา พร้อมกับเล็งไปยังจุดตายของอี้เทียนหยุน เห็นได้ชัดว่าคิดสังหารโดยไม่ปรานี


 


ค่ายกลชั้น 5 บนกระบี่เปล่งแสงออกมาถึงขีดสุด ยิ่งมาพลังยิ่งแข็งแกร่ง ปะทุพลังทั้งหมดออกมา


 


แต่ในพริบตาที่กระบี่กำลังจะแทงอี้เทียนหยุนนั้น เขาก็ได้ตวัดกระบี่น้ำแข็งเทวะในมือออกไป พร้อมกับปะทะกับกระบี่ของอีกฝ่ายอย่างทื่อด้าน!


 


“เคร้ง!”


 


เสียงปะทะดังออกมา เจิ้งหวู่รู้สึกเหมือนแขนราวกับจะหลุดจากร่าง ไม่สามารถถือกระบี่ต่อไปได้ ทำให้กระบี่ล่วงหลุดมือไป อึดใจต่อมา ร่างของอี้เทียนหยุนก็หมุนตัวอย่างรวดเร็ว ราวกับเสือร้าย ถีบเข้าที่ร่างของเจิ้งหวู่อย่างแรง


 


“เปรี้ยง!”


 


เจิ้งหวู่ถูกถีบกระเด็นไป เปลี่ยนเป็นดาวตก พุ่งผ่านหัวคนหลายคน จนสุดท้ายก็กระแทกเข้ากับกำแพง ก่อนที่จะกระตุกน้อยๆ พร้อมกับเลื่อนไถลหลุดจากกำแพง ร่างคนทรุดยวบลงกับพื้น ลมหายใจอ่อนแรงอย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะสัมผัสลมหายใจไม่ได้อีก


 


ส่วนกระบี่ที่หลุดจากมือนั้น หลังจากม้วนอยู่ในอากาศหลายตลบ ก็ปักลงกับพื้น ด้วยความคมของกระบี่ ทำให้ตัวกระบี่ปักลงกับพื้นไปถึงครึ่งเล่ม แสดงให้เห็นว่ากระบี่เล่มนี้คมแค่ไหน


 


เพียงแค่กระบวนท่าเดียวก็สังหารเจิ้งหวู่ได้ในพริบตา ไม่ได้มีความยากแม้แต่น้อย ราวกับการบี้แมลงวัน ไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง


 


“ติ๊ง ท่านสังหารเจิ้งหวู่สำเร็จ ได้รับค่าประสบการณ์ 170,000, ค่าความคลั่ง 2,600, ค่าความชั่ว 30, ค่าความชำนาญในการสลักอาคม 500, วิชาดัชนีเทพ, เคล็ดวิชารวมลมปราณ”


 


เจิ้งหวู่ถูกเขาถีบจนตาย ด้วยพลังของเขา แม้ว่าร่างจะไม่แตกออก แต่เขาก็ได้โจมตีจุดสำคัญของเจิ้งหวู่ แล้วจะไม่ให้เขาตายได้ยังไง


 


“นี่ นี่….”


 


ทุกคนพากันตกใจ หนานเฟิงหยุนถึงกับสะดุ้ง ระดับของเจิ้งหวู่ที่เขาส่งออกไปได้อ่อนแอแม้แต่น้อย แต่ไม่คิดว่าจะถูกสังหารในพริบตา ทำให้คนที่มองอยู่พากันตกใจ แม้ว่าระดับของเจิ้งหวู่จะไม่สูงมาก แต่อย่างน้อยก็เป็นถึงระดับหลอมรวมขั้นที่ 6


 


แต่ตอนนี้กลับถูกอี้เทียนสังหารทิ้งไปอย่างผ่อนคลาย ไม่มีความลำบากแม้แต่น้อย เรื่องนี้ทำให้พวกเขาตกใจ นี่เป็นเรื่องที่พวกเขาคิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิง นั่นหมายความว่าระดับของอี้เทียนหยุนเมื่อเทียบกับเจิ้งหวู่แล้วแข็งแกร่งกว่ามาก แต่ในสายตาของพวกเขา เจิ้งหวู่ก็ประมาทเกินไป ทำให้ถูกสังหารไปอย่างง่ายดายอย่างนี้


 


“ศิษย์น้อง เจ้าแพ้แล้ว จากนี้เจ้าต้องไปฝึกเป็นเพื่อนข้า” อวี่ชีเชียนฟื้นจากอาการตกใจ พร้อมกับเอามือปิดปากแล้วหัวเราะคิกคักออกมา


 


“นี่ นี่เป็นไปได้ยังไง ประมุขอี้คนนั้นแข็งแกร่งขนาดนี้เลยเหรอ? ดูยังไงเขาก็มีอายุแค่ 16-17 ปีเท่านั้น หรือว่าเขาอยู่ในระดับหลอมรวมแล้ว?” จ้าวอวี่พูดอย่างตกใจ


 


เฉิงเฟิงกับพวกก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ถึงแม้จะอยู่ในระดับหลอมรวมก็ไม่ควรต่างกันขนาดนี้ แต่ความจริงก็ปรากฏตรงหน้าพวกเขาแล้ว ทั้งยังสังหารเจิ้งหวู่ไปในพริบตาด้วย ทั้งที่ความต่างระหว่างอาวุธของทั้งสองก็ไม่ได้มากขนาดนั้น


 


หนานเฟิงหยุนสีหน้าดำคล้ำในทันที เขาไม่คิดว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นแบบนี้ และในตอนนี้เอง คนคุ้มกันที่อยู่ใกล้ๆ ที่คอยคุ้มกันหลินเฟิงเมื่อก่อนหน้าก็ได้เข้ามาพูดอะไรกับหนานเฟิงหยุนอยู่หลายคำ ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปในทันที “ทำไมเจ้าไม่รีบบอกข้า ขยะเอ๊ย!”


 


พวกเขาพูดอะไรกันนั้น ต่อให้อี้เทียนหยุนไม่ได้ยินก็สามารถเดาได้ เขาคงจะบอกเรื่องความแข็งแกร่งของเขา ตัวเขาสามารถถีบผู้คุ้มกันคนนั้นจนกระเด็นได้ ระดับของเขาจะต้องไม่ต่ำอย่างแน่นอน เพียงแต่ไม่แน่ชัดว่าระดับจริงๆ ของเขานั้นอยู่ระดับไหน


 


หนานเฟิงหยุนคิดว่าแค่ส่งศิษย์ระดับหลอมรวมออกมาก็สามารถจัดการอี้เทียนหยุนได้แล้ว ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะคิดตื้นเกินไป


 


“ประมุขหนาน ไม่ทราบว่าการประลองนี้ทำให้ข้าเหมาะสมกับตำแหน่งประมุขแล้วหรือยัง?” อี้เทียนหยุนพูดด้วยสีหน้าเย็นชา


 


“ย่อมเหมาะอยู่แล้ว!” หนานเฟิงหยุนเกือบจะกลายเป็นการกัดฟันพูด แต่ว่าเขาก็ไม่สามารถส่งคนออกมาได้อีก เพราะถึงยังไงนี่ก็เป็นเพียงแค่การประลองกันสนุกๆ ดังนั้นแค่ส่งคนออกมาแค่คนเดียวก็พอแล้ว ยิ่งกว่านั้น ถ้าจะต้องส่งอีกคนออกไป คนนั้นก็ต้องเป็นตัวตนระดับผู้อาวุโสแล้ว


 


ซึ่งความต่างระหว่างอายุของทั้งสองนั้นคงจะต่างกันเกินไป ต่อให้หนานเฟิงหยุนจะหน้าหนาแค่ไหน แต่เขาก็ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้จริงๆ


 


“……”


 


ในตอนนี้เฉิงเฟิงพลันปรบมือขึ้นมา พร้อมกับมองมาที่อี้เทียนหยุนด้วยสายตาอ่อนโยน ขณะเดียวกันก็แฝงไว้ด้วยความเย็นชา “ดี ดี วีรบุรุษเกิดจากคนหนุ่มจริงๆ ยังหนุ่มแต่มีพลังถึงระดับนี้ ช่างคาดไม่ถึงจริงๆ วังเทียนจี๋สามารถฝึกเจ้าได้เช่นนี้ ถือว่ามีความสามารถมาก ในอนาคต เจ้าจะต้องกลายเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน”


 


“แต่ดูเหมือนว่าพลังของอาวุธจะยังไม่ได้แสดงออกมาเลยนะ? ยังไงประมุขอี้ก็ออกมาแล้ว ทำไมไม่ประลองกันต่ออีกสักรอบล่ะ? ในนี้ไม่รู้ว่ามีศิษย์ที่โดนเด่นที่อายุพอๆ กับประมุขอี้อยู่อีกไหม ช่วยมาประลองให้พวกเราดูหน่อย จะได้ให้พวกเราได้เห็นว่าประมุขอี้มีความสามารถมากแค่ไหน”


 


คำพูดของเฉิงเฟิงทำให้หลายคนตกใจ นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นการเล็งเป้าไปยังวังเทียนจี๋ พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับวังเทียนจี๋ ทำไมถึงได้ถูกเล็งเป้าอย่างนี้?


 


พวกเขาไม่รู้ แต่อี้เทียนหยุนจะไม่รู้ได้ยังไง เขาได้ฆ่าผู้คุ้มกันเงาพวกนั้นไปหลายคน แล้วอย่างนี้เฉิงเฟิงจะกล้ำกลืนความแค้นได้ยังไง ดังนั้นแล้ว เฉิงเฟิงจึงได้ฉวยโอกาสนี้แก้แค้นพวกเขาต่อหน้าขุมอำนาจอื่น


 


อี้เทียนหยุนสายตาเย็นชา คิดในใจว่า เม็ดยาโชคร้ายยังไม่ออกฤทธิ์อีกเหรอ?


 


“ทำไมเม็ดยาโชคร้ายยังไม่ออกฤทธิ์อีก รีบๆ ออกฤทธิ์เร็วเข้า!”


 


“ติ๊ง เม็ดยาโชคร้ายได้ออกฤทธิ์แล้ว เวลาคงเหลือ 5 นาที!”


 


ในตอนนี้เอง เสียงระบบก็ดังขึ้น ทำให้เขาพลันตกใจ ที่แท้แล้ว เม็ดยาโชคร้ายนี้ต้องให้เขาเป็นคนสั่งหรอกเหรอถึงจะทำงาน! เขาก็คิดว่าปล่อยให้เม็ดยาเข้าไปในร่างเฉิงเฟิงแล้วจะออกฤทธิ์เองซะอีก ไม่คิดว่าจะต้องรอคำสั่งเขาก่อน เขาก็สงสัยอยู่แล้วเชียว แต่ใครจะรู้ล่ะว่ามันจะทำงานอย่างนี้?


CLS ตอนที่ 237: ความน่าสะพรึงของเม็ดยาโชคร้าย


 


หลังจากเม็ดยาโชคร้ายออกฤทธิ์ ร่างของเฉิงเฟิงก็พลันปลดปล่อยลำแสงวงหนึ่งออกมา ซึ่งนอกจากอี้เทียนหยุนแล้ว คนอื่นล้วนมองไม่เห็น นี่เป็นผลจากการออกฤทธิ์ของเม็ดยาโชคร้าย ส่วนผลลัพธ์จะเป็นยังไงนั้น คงได้แต่รอดูเท่านั้น


 


“ข้าเห็นด้วยกับข้อเสนอของเฉิงต้าเหริน พลังของอาวุธยังไม่ได้แสดงออกมาเลย” หนานเฟิงหยุนมองมาที่อี้เทียนหยุนพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ทราบว่าประมุขอี้คิดยังไง?”


 


หนานเฟิงหยุนไม่สามารถส่งคนของตนออกมาได้อีก แต่การที่ได้เห็นคนอื่นจัดการอี้เทียนหยุนก็ถือว่าเป็นความสุขของเขาเช่นกัน การตายของเจิ้งหวู่เมื่อกี้นี้ ทำให้ความโกรธในใจของเขาปะทุออกมา


 


แต่ก่อนหน้านั้นเขาได้พูดไปแล้วว่ากระบี่ไร้นัยน์ตา ถ้าเขายังจะเอาเรื่องอีก นั่นก็เท่ากับเป็นการตบหน้าตนเอง ดังนั้น ความโกรธนี้เขาจึงจำต้องกลืนลงท้องตัวเองไป


 


“ข้าไม่มีปัญหา” อี้เทียนหยุนไม่มีปัญหาจริงๆ มาเท่าไหนฆ่าเท่านั้น!


 


“ไม่เสียทีที่เป็นถึงประมุขวังเทียนจี๋จริงๆ ข้าเชื่อว่าด้วยความสามารถของประมุขอี้ จะต้องจัดการได้อย่างสบายอย่างแน่นอน” หนานเฟิงหยุนสีหน้าเย็นชา เตรียมเดินไปยังอาวุธ หวังจะดึงอาวุธขึ้นมา


 


แต่ขณะที่เดินไปนั้น ไม่รู้ทำไม จู่ๆ เฉิงเฟิงก็พลันเดินลงมา ทำให้ชนเข้ากับด้านหลังของหนานเฟิงหยุน


 


“โครม” ทั้งสองคนล้มลงกับพื้น หนานเฟิงหยุนล้มลงก่อน จากนั้นเฉิงเฟิงก็ล้มทับลงมาบนร่างของเขา ทำให้คนทั้งหลายพากันตกใจ เฉิงเฟิงทำอะไร?


 


“นี่ นี่เป็นอุบัติเหตุ เป็นอุบัติเหตุ” เฉิงเฟิงรีบลุกขึ้นอย่างไว พร้อมกับก้มลงดูรองเท้าของตน ไม่แปลกที่เมื่อกี้จะลื่น ที่แท้รองเท้าก็เสียนี่เอง


 


หนานเฟิงหยุนก็ลุกขึ้นเช่นเดียวกัน เขาไม่คิดว่าจะต้องมาเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ มันกะทันหันเกินไป เขาจึงไม่ทันตอบสนอง และเมื่อเห็นร่างของเฉิงเฟิงที่อยู่ใกล้ๆ เขาจึงรีบเข้าไปช่วยอย่างไว แต่ขณะที่เขากำลังจะช่วยอยู่นั้น เท้าของหนานเฟิงหยุนก็ลื่น ทำให้ทั้งสองคนล้มทับกันอีกครั้ง


 


ครั้งนี้กลับแย่ยิ่งกว่าเดิม คราวนี้เป็นเฉิงเฟิงที่ถูกกด พร้อมกับปากของทั้งสองที่แนบชิดกัน!


 


อวี่ชีเชียนกับพวกถึงกับตาโต ดวงตาคู่งามแสดงให้เห็นถึงความตื่นตกใจ ผู้ชายกับผู้ชายจูบกัน….. นี่ทำให้คนทั้งหลายตกใจ และแน่นอนว่าไม่มีใครอิจฉากับเหตุการณ์นี้แม้แต่น้อย


 


“ถุย ถุย!”


 


เฉิงเฟิงจากโกรธกลายเป็นอับอาย ตบหน้าอกหนานเฟิงหยุนอย่างแรง ทำให้ร่างอีกฝ่ายปลิวออกไป เขาไม่คิดว่าตัวเองจะต้องมาจูบกับผู้ชาย! หนานเฟิงหยุนจะถือดีเกินไปแล้ว ตัวเขามีเจตนาดี แต่ไม่คิดว่าจะต้องมาเจอกับเรื่องน่าขยะแขยง ทั้งยังต่อหน้าคนมากมาย นี่ทำให้เขาขายหน้าจนแทบอยากแทรกแผ่นดินหนี


 


“ทั้งหมดเป็นอุบัติเหตุ เป็นอุบัติเหตุ….. ขอน้ำหน่อย!” เฉิงเฟิงอยากจะล้างปากอย่างมาก ยามที่อยู่ใกล้ๆ รีบถือน้ำเข้ามาอย่างรวดเร็ว เฉิงเฟิงก็รับแก้วน้ำมา พร้อมกับกระดกน้ำเข้าปาก แต่ดื่มไปได้แค่สองอึกก็พลันสำลักน้ำออกมา


 


“แค่ก…..”


 


เขาไอออกมาอย่างน่ากลัว พร้อมกับฟาดฝ่ามือออกมา “ลูกสำส่อน….. ใครเอาน้ำอะไรมาให้ข้า ทำไมถึงดื่มยากอย่างนี้!”


 


ยามจะหลบก็หลบไม่ได้ เขาทำได้เพียงยอมรับฝ่ามือนี้ แต่ฝ่ามือยังไม่ทันจะถึง เสียง “แครก” ก็ดังมา เพราะใช้แรงมากเกิน ทำให้แขนเสื้อเลิกขึ้น เผยให้เห็นท่อนแขนกว่าครึ่งท่อน ชะงักค้างกะทันหัน


 


ด้วยเหตุนี้ ทำให้ศูนย์ถ่วงไม่มั่นคง ก็เลยฟาดเลยร่างของยามคนนั้นไปด้านหลัง


 


“ฉึก” โดยที่ไม่รู้ทำไม ดาบของยามคนนั้นก็ได้แทงใส่ร่างของเฉิงเฟิง ทะลุร่างของเขาไปอย่างง่ายดาย ร่างกายของเฉิงเฟิงนั้นไม่ได้อ่อนแอ แต่เพราะดาบของยามคนนั้น อย่างน้อยก็เป็นถึงระดับจิตวิญญาณขั้นต่ำ ขอแค่ไม่ต่อต้าน มันก็สามารถแทงทะลุร่างของพวกเขาไปได้อย่างง่ายดาย


 


“อ๊ากกก”


 


ความเจ็บปวดที่รุนแรงทำให้เฉิงเฟิงร้องออกมาเสียงดัง ก่อนจะล้มลงไป ไม่คิดว่าจะถูกดาบแทงเข้า ทั้งยังแทงจนทะลุอีก! ส่วนยามคนนั้นก็พลันเซ่อไป ไม่คิดว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น


 


ยามที่อยู่ใกล้ๆ รีบเข้ามาล้อมอย่างรวดเร็ว หวังจะช่วยพยุงเฉิงเฟิงขึ้น แต่ใครจะรู้ เฉิงเฟิงกลับเงยหน้าขึ้น พร้อมกับห้ามพวกเขาไว้


 


“ไม่ต้อง ไม่ต้องเข้ามา!”


 


เฉิงเฟิงกัดฟันลุกขึ้น ดาบที่เสียบคาอยู่ตรงหน้าอกของเขาก็ได้ถูกเขาดึงออกมาอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดทะลักออกมา โชคดีที่ไม่โดนจุดสำคัญ เพียงแค่โคจรพลังไม่กี่ครั้งก็สามารถระงับอาการเลือดไหลเอาไว้ได้


 


ที่สำคัญคือการเสียหน้า เกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นต่อหน้าสำนักมากมายขนาดนี้ จะไม่ให้เสียหน้าได้ยังไง?


 


หลังจากที่เอาดาบที่เสียบหน้าอกตนเองออก เขาก็เรียกยาขวดหนึ่งออกมาจากแหวน พร้อมกับยัดเข้าปากโดยที่ไม่มองหน้าใคร เพียงแค่ทานเข้าไปไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดำคล้ำ ก่อนที่จะกระอักเลือดสีดำออกมา


 


“ยาพิษ!”


 


ผู้คนพลันรู้ได้โดยทันที เฉิงเฟิงคนนี้กลับกินยาพิษเขาไปแทนยารักษา ทำให้อาการยิ่งแย่ลง ยังไงก็ตาม เพราะว่าระดับของเขาไม่ต่ำ ทำให้สามารถสะกดพิษเอาไว้ได้อย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะรีบหยิบบางสิ่งออกมาจากแหวน สิ่งของถูกหยิบออกมาทีละชิ้น แต่ก็ยังไม่ใช่ของที่เขาต้องการ


 


ของที่เอาออกมาตอนแรกเป็นสมบัติที่ผู้คนนำมามอบให้กับเขา หลังจากหยิบของออกมาหลายชิ้น ในที่สุดเขาก็ได้ขวดยามา คราวนี้เขาตรวจดูอย่างละเอียด ก่อนที่จะกินลงไป


 


เมื่อยาเข้าไปในร่าง ทำให้พิษที่อยู่ในร่างของเขาสลายไปอย่างรวดเร็ว แต่สีหน้าของเขายังคงซีดขาวอยู่ รู้สึกปวดศีรษะ เห็นได้ชัดว่าพิษนี้ไม่ใช่เล่นๆ ถ้าเป็นพิษอ่อนๆ เขาคงไม่พกติดตัวไว้ แม้ว่าไม่รู้จะใช้ทำอะไร แต่มีติดตัวไว้ก็ไม่เสียหลาย


 


“นี่เป็นอุบัติเหตุ……”


 


เฉิงเฟิงรู้สึกหัวหมุน แข้งขาอ่อนแรง ตัวเซไปด้านข้าง


 


“ตุบ!”


 


ร่างของเขาล้มลง ก่อนที่จะกลิ้งไถลออกไปเล็กน้อย พร้อมกับชนเข้ากับแท่งเหล็กที่อยู่ใกล้ๆ คราวนี้แท่งเหล็กได้ปักเข้าที่หลังของเขา ตามมาด้วยเสียงกรีดร้อง ตัวเขากลิ้งหลบออกมา ทำให้ผู้คนได้เห็นว่าที่ปักอยู่ที่หลังของเขานั้นก็คือ กระบี่ที่หนานเฟิงหยุนมอบให้เขาเมื่อก่อนหน้า


 


ภายใต้การเสริมพลังด้วยค่ายกลชั้น 5 ทำให้พลังโจมตีของมันมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ด้วยเหตุนี้ กระบี่จึงปักเข้าไปในร่างของเขามากกว่าครึ่ง จนเกือบจะมิดด้าม!


 


เผชิญกับโชคร้ายต่อเนื่องอย่างนี้ ทำให้หลายคนต่างก็เสียสันหลังวาบ ไม่รู้ว่าจะช่วยยังไง อี้เทียนหยุนที่มองอยู่ก็ถึงกับปาดเหงื่อ ในใจมีแค่ความคิดเดียว


 


เม็ดยาโชคร้าย…. สมแล้วที่เป็นถึงเม็ดยาระดับเทวะ! เห็นได้ชัดจากสิ่งที่เกิดกับเฉิงเฟิง


 


“เม็ดยานี้ร้ายกาจมาก….. กระทั่งปรมาจารย์ระดับผันแปรวิญญาณก็ยังถูกทำให้เหมือนกับตัวโง่งมคนหนึ่ง ไม่รู้ว่าจะถึงตายหรือเปล่า?” อี้เทียนหยุนส่ายหัว ที่เขาต้องการจริงๆ ก็คือสิ่งนี้!


 


เขาหวังให้เฉิงเฟิงนี้รีบๆ ตายไปซะ จะได้จบปัญหาสักที ต่อให้จะไม่ได้ค่าประสบการณ์เขาก็ยอม ขอแค่เฉิงเฟิงตายไป เขาก็จะไม่สามารถสร้างเรื่องอะไรให้กับวังเทียนจี๋ได้อีก


CLS ตอนที่ 238: การจัดการ


 


ความผิดพลาดติดๆ กันของเฉิงเฟิงทำให้พวกเขาได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ พวกเขาไม่เคยเห็นใครที่ผิดพลาดหลายครั้งติดขนาดนี้ จนสุดท้ายกระทั่งถูกกระบี่เสียบ หนักกว่าก่อนหน้ามาก


 


หนานเฟิงหยุนหน้าเปลี่ยนสี นี่คืออาวุธของเขา ถ้าคิดจะเอาเรื่องล่ะก็ ไม่รู้ว่าตัวเขาจะต้องเจอกับอะไรบ้าง คงมีแต่ต้องอดทนให้มันผ่านพ้นไปเท่านั้น!


 


มีคนอยากจะเข้าไปช่วย แต่ก็ไม่กล้าเข้าไป เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นอีก พวกเขาจะทำยังไง?


 


โชคดีที่ไม่ถึงชีวิต หลังจากเฉิงเฟิงหายใจหนักๆ อยู่หลายครั้ง พร้อมกับโคจรพลังอยู่หลายรอบ ก็ทำให้เขาหยุดเลือดที่ไหลออกมาได้ พร้อมกับกระชากกระบี่ออกมาอย่างแรงจนเลือดสาด เขาสูดหายเฮือก ก่อนจะหยิบเม็ดยารักษาออกมาหลายเม็ด ทำให้เลือดหยุดไหลออกมาอย่างรวดเร็ว ยังไงก็ตาม บาดแผลที่เกิดก็น่าตกใจจริงๆ แต่โชคดีที่หยุดเอาไว้ได้ ถ้าเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่เฉิงเฟิงถูกอย่างนี้เข้าไป คงจะตายไปแล้วอย่างแน่นอน


 


นี่ทำให้เฉิงเฟิงอารมณ์เสีย พร้อมกับนั่งลงรักษาบาดแผลในทันที ขณะเดียวกันก็คอยมองดูรอบๆ ดูว่ามีของมีคมอะไรอีก ถ้าเกิดว่าโดนเข้าไปอีกล่ะก็ คงจะทรมานอย่างแสนสาหัส


 


“ติ๊ง เม็ดยาโชคร้ายได้หมดฤทธิ์แล้ว!”


 


ในตอนนี้เอง วงแหวนบนร่างเฉิงเฟิงก็ได้หายไป คนที่มองเห็นมีแค่อี้เทียนหยุนคนเดียว ส่วนคนอื่นมองไม่เห็น


 


“น่าเสียดายที่ออกฤทธิ์แค่ 5 นาที ไม่อย่างนั้นจะต้องเล่นจนมันพิการอย่างแน่นอน……”


 


เพียงแค่ 5 นาทีก็ทำให้เฉิงเฟิงตกอยู่ในสภาพนี้แล้ว ถ้าเกิดว่าเพิ่มอีกสัก 10 หรือ 15 นาทีล่ะก็ บางทีเขาอาจจะเหลือแค่ลมหายใจสุดท้ายก็ได้ เมื่อโชคร้ายถึงขีดสุด ต่อให้เขาจะยืนอยู่เฉยๆ ก็ต้องมีคนมาชนเขาเข้าอยู่ดี


 


แต่เม็ดยาของเขาก็ไม่เหลือแล้ว มีเพียงต้องซื้อจากร้านค้าระบบเท่านั้น แต่ว่าราคาของเม็ดยาโชคร้ายก็ไม่ใช่น้อยๆ มันมีราคาถึง 100,000 ค่าความคลั่งเลยทีเดียว แม้ว่าจะสามารถทำให้อีกฝ่ายโชคร้าย แต่เขาก็รู้สึกว่าผลลัพธ์ของมันมีจำกัด บางทีใช้ไปอาจเสียเปล่าได้ พลังชีวิตของปรมาจารย์ระดับผันแปรวิญญาณนั้นแข็งแกร่งมาก ทำได้แค่นี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว


 


ทั้งยังจำกัดไว้ด้วยสภาพแวดล้อม แต่ถ้าเกิดใช้ในพื้นที่ที่อันตรายแล้วล่ะก็ คงจะหวังผลถึงชีวิตได้จริงๆ แต่พื้นที่รอบๆ นี้ล้วนแต่ธรรมดา อย่างมากก็ทำให้เขาเกิดแผล แต่ถ้าจะเอาให้ถึงชีวิต คงยาก


 


ยังไงก็ตาม การจะเอาชีวิตของเขานั้นไม่จำเป็นต้องใช้เม็ดยาโชคร้ายนี้ แค่อี้เทียนหยุนลงมือด้วยตนเองก็พอแล้ว!


 


“ผลลัพธ์นี้ช่างน่ากลัวจริงๆ ไว้วันหลังใครที่มันขวางหูขวางตา ข้าจะใช้เม็ดยาโชคร้ายกับพวกมันให้หมด” ก่อนหน้านี้อี้เทียนหยุนคิดว่าผลลัพธ์ที่ได้จากเม็ดยาโชคร้ายนี้จะต้องธรรมดามากๆ แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่าเข้าใจผิด ผลลัพธ์ที่ได้ช่างน่ากลัวนัก!


 


สามารถพูดได้ว่าน่าตกตะลึงอย่างแท้จริง ไว้วันไหนที่มีใครขวางหูขวางตาแล้วเขาสู้ไม่ได้ เขาจะต้องโยนเม็ดยาโชคร้ายใส่มันผู้นั้นอย่างแน่นอน


 


ตอนนี้บรรยากาศรอบๆ กลายเป็นอึดอัด กระทั่งมีบางคนเห็นเป็นเรื่องตลก หรือไม่ก็น่าอับอาย แต่ทุกคนก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไงดี พวกเขาได้แต่มองไปที่เฉิงเฟิง จะยิ้มก็ไม่กล้า นี่มันช่างโชคร้ายยิ่งนัก


 


อย่างรวดเร็ว หลังจากที่เฉิงเฟิงบรรเทาอาการลงได้แล้ว บาดแผลของเขาก็หายดีกว่าครึ่ง อย่างน้อยก็หยุดเลือดที่ไหลออกมาแล้ว ถ้าได้พักสักครู่ เขาจะต้องดีขึ้นกว่านี้อย่างแน่นอน


 


เขาค่อยๆ ลุกขึ้นอย่างยากลำบาก จากนั้นก็ค่อยๆ เดินไปทีละก้าว แต่คราวนี้เขาไม่ลื่น ไม่สะดุด หรือว่าหกล้มลงไป เมื่อไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาก็ถอนหายใจออกมาน้อยๆ เมื่อมองไปที่ผู้คนก็ทำให้เขารู้สึกอึดอัด “เรื่องในวันนี้ห้ามเอาไปพูดต่อเด็ดขาด!”


 


“ทราบแล้ว เฉิงต้าเหริน!” ทันใดนั้นก็มีผู้คนตอบสนอง แม้ว่าเรื่องที่ไม่ให้พูดคือเรื่องไหนนั้นออกจะไม่ชัดเจนอยู่บ้าง แต่ก็ต้องตอบรับออกไปก่อน


 


“วันนี้เอาไว้แค่นี้ก่อน หลังจากนี้ค่อยว่ากันอีกที!” เฉิงเฟิงคิด จากนั้นก็พูดว่า “พวกเจ้าอาศัยอยู่ในตำหนักนี้ก่อน พวกเราอาณาจักรใต้พิภพจะเป็นผู้คอยดูแลพวกเจ้าเอง!”


 


ท่าทางอวดดีในตอนแรกหายไปกว่าครึ่ง กลายเป็นตัวตลกต่อหน้าผู้คน ตอนนี้ต้องรีบหุบปากพวกเขา ส่วนเรื่องที่จะประกาศนั้น เมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้นก็ไม่รู้จะพูดยังไงดีแล้ว จึงได้แต่ให้พวกเขาพักอยู่ที่นี่ไปก่อน


 


“ท่านครับ แล้วอาวุธนี้…..” ยามชี้ไปยังอาวุธที่หนานเฟิงหยุนมอบให้ บนนั้นยังมีคราบเลือดของเฉิงเฟิงอยู่


 


“ถ้าเจ้าอยากได้ก็เอาไป หลังจากนี้อย่าให้ข้าเห็นมันอีก ยิ่งเห็นยิ่งโมโห!” พูดจบเขาก็โบกมือ พร้อมกับเดินเข้าไปในตำหนัก ท่าทางดูจะขยาดอาวุธเอามากๆ ราวกับเป็นของแสลง ขณะที่เดินก็ไม่ยอมให้ใครเข้ามาใกล้ ทั้งยังใส่ใจในทุกย่างก้าวของตน ราวกับกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นอยู่ทุกขณะ


 


“ขอบคุณท่านมากครับ!” ยามคนนั้นรีบรับไว้อย่างเร็ว นี่เป็นสุดยอดสมบัติ ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่มีทางพลาด แม้ว่าบนนั้นจะมีรอยเลือดอยู่เล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ทำให้คุณค่าของมันลดน้อยลงไปเลย


 


เฉิงเฟิงคิดว่าวันนี้ช่างโชคร้าย ช่างโชคร้ายจริงๆ


 


หนานเฟิงหยุนใบหน้าดำคล้ำราวกับอีกไม่นานจะมีพายุฝนเกิดขึ้น นี่เป็นอาวุธประจำตัวของเขา ตอนนี้กลับมาถูกยามเอาไป แต่เขาก็ไม่สามารถเอาคืนได้ นี่เป็นของที่ให้ไปแล้ว จะเอากลับคืนได้ยังไง ยิ่งกว่านั้น ตามทฤษฎีแล้ว กระบี่เล่มนี้เป็นของเฉิงเฟิงแล้ว เฉินเฟิงจะมอบมันให้กับเขา เขาก็ไม่มีสิทธิ์ไปยุ่ง


 


“ท่านทั้งหลาย ตอนนี้ได้จัดเตรียมห้องไว้เรียบร้อยแล้ว โปรดตามข้ามา” ได้มียามเดินเข้ามาที่นี่ พร้อมกับนำทางไปยังห้องพักของพวกเขา


 


ก่อนจาก หนานเฟิงหยุนยังมองมาที่นี่ด้วยสายตาเย็นชา ทั้งในสายตานั้นยังเต็มไปด้วยจิตสังหาร จากนั้นถึงจะตามยามไปยังห้องที่เตรียมไว้ให้พวกตน


 


อี้เทียนหยุนก็ได้รับห้องเช่นกัน เพียงแต่ห้องนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ห้องที่เลิศหรูอะไร แต่คล้ายกับเป็นห้องของข้ารับใช้มากกว่า! นอกจากพวกเขาวังเทียนจี๋ สำนักอื่นต่างก็ได้ห้องดีๆ กันทั้งนั้น มีแต่พวกเขาที่ไม่ได้!


 


นี่ทำให้มู่เซียนเอ๋อระเบิดออกมาทันที “ท่านปู่ พวกเขาเลือกที่รักมักที่ชังชัดๆ จัดห้องข้ารับใช้ให้พวกเราอย่างนี้ มันไม่ถูกต้อง นี่มันโหดร้ายเกินไปแล้ว! จัดห้องข้ารับใช้ให้ไม่พอ ยังมีห้องเดียวอีก ก่อนหน้านี้พวกเราถึงกลับมอบศาสตราจิตวิญญาณขั้นสูงให้ ถ้าเป็นข้างนอก ไม่รู้ว่าสามารถพักห้องหรูๆ ได้ตั้งกี่ห้อง!”


 


แม้ว่าพวกเขาจะนั่งสมาธิแทนการนอนได้ แต่จัดห้องอย่างนี้ให้พวกเขา แล้วอย่างนี้จะไม่ทำให้พวกเขาโกรธได้ยังไง


 


ไม่ใช่แต่มู่เซียนเอ๋อเท่านั้น แม้แต่สีหน้าพวกผู้อาวุโสใหญ่เองก็ไม่น่าดูด้วย ไม่ใช่ว่าห้องไม่พอ แต่เป็นพวกเขาต้องการแสดงพลังมากกว่า จึงได้จัดห้องนี้ให้พวกเขาเป็นพิเศษ!


 


“ถูกเชิญมางานเลี้ยงนี้ แน่นอนว่าต้องไม่ใช่เรื่องดีอยู่แล้ว พวกเขาต้องการแสดงพลังต่อหน้าพวกเรา เพราะว่าวังเทียนจี๋ของพวกเราไม่คุ้มค่าพอ เป็นธรรมดาที่ต้องถูกจัดการอย่างนี้” ผู้อาวุโสใหญ่ถอนหายใจ นี่เป็นเรื่องที่พวกเขาคิดไว้อยู่แล้ว


 


“เราสังหารคนของพวกมันไปตั้งหลายคน ถูกจัดการแค่นี้ก็ดีแค่ไหนแล้ว” อี้เทียนหยุนพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ที่จัดการอย่างนี้ก็เพื่อจะตรวจสอบพวกเรา ดูว่าวังเทียนจี๋ของพวกเรามีใครเป็นผู้ช่วยอยู่เบื้องหลัง”


 


“ถ้างั้น ท่านประมุข ท่าน…..” ผู้อาวุโสใหญ่หน้าเปลี่ยนสี


 


“ไม่เป็นไร ข้าไม่ลงมือก่อนหรอก แต่ถ้าจำเป็นก็ต้องทำ” อี้เทียนหยุนพูดอย่างใส่ใจ “พวกมันก็แค่เอาเรื่องการขออภัยโทษมาบังหน้า ที่สามารถสังหารผู้คุ้มกันเงาทั้งหลายของพวกมันได้ พวกมันจะต้องคิดว่าพวกเรามีผู้ช่วย หรือไม่ก็ผู้เชี่ยวชาญคอยช่วยแน่ ที่พวกมันต้องการไม่ใช่สำนักที่ตกต่ำของพวกเรา แต่ต้องการให้เราปฏิเสธ ด้วยเหตุนี้จะทำให้พวกมันมีเหตุผลมากพอให้ลงมือกับพวกเรา….. แต่ถึงจะตอบรับ สุดท้ายพวกมันก็จะทำให้พวกเราตายอยู่ดี”


 


อาณาจักรใต้พิภพมีขีดจำกัดของตน ตราบเท่าที่ให้ประโยชน์ต่อพวกมันได้ พวกมันก็จะให้โอกาส แต่ถ้าต่อต้านเมื่อไหร่ล่ะก็ จะต้องถูกสังหารสิ้น! ก็เหมือนกับหัวข้อแรกที่เฉิงเฟิงพูดในงานเลี้ยงคืนนี้นี่ล่ะ มันอยากจะแสดงให้เห็นว่าคนที่ต่อต้านนั้น จะต้องตาย!


CLS ตอนที่ 239: เปลี่ยน


 


ที่อาณาจักรใต้พิภพไม่ได้ส่งกองกำลังมาทำลายวังเทียนจี๋ให้สิ้นซากในทันทีเพราะอยากเห็นขุมกำลังที่วังเทียนจี๋ซ่อนเอาไว้ เมื่อพวกเขาไม่มั่นใจ พวกเขาก็ไม่กล้าลงมืออย่างเต็มที่ วิธีที่ดีที่สุดคือเสนอการให้อภัยโทษ เมื่อเป็นอย่างนี้ ขุมพลังของพวกเขาก็จะแข็งแกร่งขึ้น นี่จึงเป็นวิธีที่สุด


 


ตอนแรกพวกเขาให้พวกผู้อาวุโสรองกบฏ จากนั้นก็จะใช้พวกเขาเป็นหุ่นเชิด วังเทียนจี๋แม้จะตกต่ำ แต่ก็ยังแข็งแกร่งอยู่ ไม่มีใครไม่ชอบอำนาจ ยิ่งมีมากเท่าไหร่ยิ่งดี


 


แต่ใครจะคิดว่าผู้คุ้มกันเงาที่ส่งไปจะมาตายอย่างกะทันหัน ทำให้พวกเขาพากันตกใจ พลังที่อยู่ๆ ก็โผล่ออกมานี้ ทำให้พวกเขาเกิดความคิดขึ้น ถ้าควบคุมได้จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด แต่ถ้าควบคุมไม่ได้ก็จำเป็นต้องกำจัดทิ้ง!


 


การสังหารพวกเขาไม่ใช่เรื่องยาก ทำลายให้สิ้นซากยิ่งไม่ใช่ปัญหา ปรมาจารย์ระดับผันแปรวิญญาณของพวกเขามีมาก แค่ส่งออกไปไม่มีคนก็จัดการได้แล้ว ไม่ว่าสำนักไหนก็ต้องถูกทำลาย แต่สำหรับพวกเขาแล้ว นี่ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ถ้าสามารถรับพวกเขาเข้ามา และนำมาใช้งานได้ นั่นจึงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด


 


“ข้าจะออกไปก่อน พวกท่านอยู่ที่นี่” อี้เทียนหยุนคิดแล้วพูดออกมา


 


“ทราบแล้ว ท่านประมุข” พวกเขาอยากจะถาม แต่ก็ไม่ได้ถามออกไป อี้เทียนหยุนมีความคิดของตน ดังนั้นไม่ถามจะดีกว่า


 


หลังจากอี้เทียนหยุนเดินออกจากห้องมา ยามที่อยู่รอบๆ ก็พากันมองมาที่เขา เมื่อเห็นว่าเขาออกมาจึงได้เดินเข้ามาถามว่า “ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไรอย่างงั้นเหรอ?”


 


“ไม่มีอะไร ก็แค่ออกมาเดินเล่น” อี้เทียนหยุนพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ


 


“ห้ามออกมาเดินเล่นข้างนอก ได้โปรดกลับเข้าไปในห้องตัวเองด้วย” ยามคนนั้นตอบกลับอย่างเย็นชา และไร้เหตุผลยิ่ง


 


อี้เทียนหยุนช่วยไม่ได้ รู้สึกว่าการควบคุมอย่างนี้ออกจะเกินไป แค่จะออกไปเดินเล่นยังทำไม่ได้ เขาจึงทำได้เพียงแค่กลับเข้าห้องไป


 


“ท่านประมุข นี่…..” พวกเขาเห็นอี้เทียนหยุนกลับมาก็ให้รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก


 


“พวกเขาห้ามออกไปข้างนอก ทำได้แค่อยู่ในนี้เท่านั้น” อี้เทียนหยุนมองไปยังเพดาน พร้อมกับกระโดดขึ้นไป จากนั้นก็ย่องออกไป หายไปจากห้องอย่างรวดเร็ว กระทั่งพวกเขาที่อยู่ในห้องยังมองไม่ชัด


 


“ท่านปู่ ตกลงแล้วประมุขฝึกวิชาอะไรกันแน่…..” มู่เซียนเอ๋อเห็นร่างอี้เทียนหยุนจากไปก็ถามขึ้นด้วยความตกใจอย่างมาก


 


“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน…..” ผู้อาวุโสใหญ่ส่ายหัว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคนที่ร้ายกาจอย่างนี้


 


หลังจากอี้เทียนหยุนจากมา เขาก็ใช้ความสามารถล่องหน ซ่อนตัวไปตามความมืดยามราตรี เมื่อสังเกตดูสถานการณ์รอบๆ ก็ทำให้เห็นว่ามีหลายร่างกำลังจับตามองที่นี่ แต่ไม่ว่าจะมองยังไงก็ไม่สามารถเห็นร่างของอี้เทียนหยุนได้


 


อี้เทียนหยุนมีพลังแข็งแกร่งกว่าพวกเขามาก ดังนั้นจึงไม่กังวลจะถูกหาเจอ ต่อให้เข้าไปประชิดตัวก็ตาม


 


สถานที่ที่เขาจะไป แน่นอนว่าต้องเป็นที่ของเฉิงเฟิง ไม่มีอะไรต้องพูดมาก เขาต้องจัดการปัญหานี้ ทั้งต้องจัดการให้สมบูรณ์ อภัยโทษมารดามันเถอะ


 


อย่างรวดเร็ว เขาก็หลบหลีกผู้สังเกตการณ์ทีละคนอย่างรวดเร็ว และเมื่อเขามาถึงตำหนักที่สูงที่สุดก็พลันได้ยินเสียงคำรามดังมา


 


“ไอ้ลูกสำส่อนนั่น ไม่คิดว่ามันจะเป็นถึงประมุข! ข้าไม่สามารถลงมือได้ตามใจ ไม่อย่างนั้นข้าคงสังหารมันทิ้งที่นี่ไปแล้ว วังเทียนจี๋อะไรนั่นก็แค่ขยะ!” เสียงของหนานเฟิงหยุนดังมาจากในห้อง เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับอะไร ดังนั้นเสียงของเขาจึงดังมาก


 


พวกเขาก็ไม่สามารถออกจากห้องได้ตามใจเช่นกัน ถูกขังเอาไว้ในนี้ รอบๆ มีคนคอยจับตามองมากมาย ที่ต่างจากพวกเขาก็คงมีแต่ห้องพักที่ดูดีนี้ ทั้งการดูแลก็ไม่ได้แย่ เห็นได้ชัดว่าอาวุธของเขาที่ทำร้ายเฉิงเฟิงนั้นไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไร


 


“ท่านประมุขโปรดอย่ากริ้ว ที่นี่ลงมือไม่ได้ แต่ว่าหลังออกไปพวกเราก็สามารถลงมือกับพวกเขาได้อยู่ดี!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งพูดออกมา “ข้าได้ไปสืบมาแล้ว เจ้าหนูนั่นเป็นเข่อชิงของตำหนักซิงเฉิน ทั้งยังเป็นอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 นี่เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริงๆ”


 


“ยังเด็กแต่ก็เป็นถึงอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 ไม่แปลกที่จะได้นั่งในตำแหน่งประมุขก่อนเวลาอย่างนี้….. แต่ข้าว่ามันจะต้องนั่งในตำแหน่งนี้ได้ไม่นานอย่างแน่นอน รอให้เรื่องนี้จบ เมื่อนั้นก็จะเป็นเวลาตายของมัน!” นัยน์ตาของหนานเฟิงหยุนเต็มไปด้วยจิตสังหาร ไม่คิดจะปกปิดแม้แต่น้อย


 


ตราบเท่าที่ไม่ใช่คนตาบอด ก็สามารถเห็นได้ว่าหนานเฟิงหยุนในตอนนี้กำลังอารมณ์เสียอย่างมาก ทั้งอยากกำจัดวังเทียนจี๋ให้สิ้นซากอีกด้วย


 


สายตาของอี้เทียนหยุนที่อยู่บนหลังคาเป็นประกายอย่างต่อเนื่อง ที่มุมปากก็ปรากฏรอยยิ้มแสยะเช่นกัน “คิดจะกำจัดพวกเราอย่างงั้นเหรอ แล้วข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะมีน้ำยาอะไร…..”


 


เขาไม่ได้ลงไปกำจัดพวกเขา ตอนนี้โอกาสยังไม่เอื้ออำนวย ดังนั้นลงมือตอนนี้คงไม่ดี ถ้าเผยพลังออกไป มันจะทำให้ไพ่ในมือของเขาน้อยลง


 


จากนั้นเขาก็จากที่นี่ไป ไม่ได้อยู่ที่นี่ต่อ เพราะเป้าหมายในคืนนี้ของเขาไม่ใช่หนานเฟิงหยุน แต่เป็นเฉิงเฟิง!


 


อย่างรวดเร็ว เขาก็มาถึงสถานที่ที่อยู่ในส่วนลึก แม้ว่ารอบๆ จะมีผู้คุ้มกันมากมาย แต่เขาก็สามารถผ่านเข้ามาได้ง่ายๆ นอกจากจะให้ปรมาจารย์ผันแปรวิญญาณมาคุ้มกัน ไม่อย่างนั้นก็ไม่สามารถจับเขาได้


 


“น่าจะเป็นที่นี่……”


 


ร่างของอี้เทียนหยุนกระพริบวาบ จากนั้นก็เข้ามาถึงข้างใน ขนาดยังไม่เข้าไปใกล้ยังได้ยินเสียงคำรามดังมา


 


“ข้าบอกให้ออกห่างจากข้าไม่ได้ยินหรือไง! ให้อยู่ห่างจากข้า 1 จ้าง(3.33 เมตร) อย่าเข้ามาใกล้ข้า!” เสียงของเฉิงเฟิงดังมา


 


ไม่คิดเลยว่าตอนนี้เขาจะกลายเป็นคนขี้ระแวงขนาดนี้ ถูกงูกัดครั้งหนึ่ง กลัวเชือกเปียกน้ำไปสิบปี ความกลัวนี้คงต้องใช้เวลาอีกหลายวันกว่าเขาจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม


 


สายตาอี้เทียนหยุนเป็นประกาย พร้อมกับหยิบหน้ากากร้อยแปลงมาสวม จากนั้นก็เปลี่ยนชุดเป็นสีดำ พร้อมกับปกปิดใบหน้าตัวเอง


 


เขาย่องผ่านเพดานไปอย่างรวดเร็วจนเข้าไปในห้องของเขา เพื่อสังเกตการณ์


 


“นี่เป็นข้อมูลที่เจ้าได้มาอย่างงั้นเหรอ?” เฉิงเฟิงรับกระดาษปึกใหญ่มา หลังจากเปิดดู เขาก็โยนกระดาษปึกนั้นใส่ผู้คุ้มกันเงาตรงหน้า “ขยะเอ๊ย! ไม่มีข้อมูลเป็นประโยชน์อะไรเลยสักนิด โดยเฉพาะวังเทียนจี๋นั่น กลับไม่ได้ข้อมูลอะไรเลย!”


 


“ข้าไม่พบร่องรอยของผู้เชี่ยวชาญในวังเทียนจี๋จริงๆ เห็นแต่ตัวประมุขที่ถูกทำลายพลังฝึกตน แต่ไม่พบอย่างอื่นแม้แต่น้อย” ผู้คุ้มกันเงาคนนั้นกำลังเก็บกระดาษที่กระจัดกระจาย จะไม่ทำก็ไม่ได้


 


“ถ้าไม่มีผู้เชี่ยวชาญ งั้นพวกเขาฆ่าผู้คุ้มกันเงาของพวกเราไปตั้งมากมายขนาดนั้นได้ยังไง!” สายตาของเฉิงเฟิงเต็มไปด้วยจิตสังหาร “สังหารผู้คุ้มกันเงาที่ข้าฝึกฝนมาไปตั้งหลายคน ข้ารอที่จะสังหารมันไม่ไหวแล้ว! ถ้าไม่ใช่เพราะเบื้องบนสั่งลงมาให้ทำการตรวจสอบให้กระจ่าง ข้าคงบดขยี้วังเทียนจี๋นั่นทิ้งแล้ว! ทั้งผู้คุ้มกันเงาทั้งหลายของข้า ทั่งหุ่นเชิดของข้า….. ยังจะมาให้อภัยโทษอะไรอีก ไม่ว่าอะไรก็ไร้ประโยชน์ทั้งนั้น!”


 


ภายใต้ความโกรธ ทำให้เขาหยิบเก้าอี้ขึ้นฟาดใส่ผู้คุ้มกันเงาคนนั้น “เปรี้ยง” จนเก้าอี้แตกเป็นเสี่ยงๆ


 


“เอาล่ะ หยุดการตรวจสอบที่ไร้ประโยชน์ได้แล้ว ไปจับประมุขวังเทียนจี๋ขยะนั่นมาให้ข้า ข้าจะต้องทำให้ผู้เชี่ยวชาญคนนั้นเผยตัวออกมาให้ได้! คิดว่าคราวนี้จะได้เจอผู้เชี่ยวชาญลึกลับคนนั้น แต่ไม่คิดเลยว่าจะต้องมาเจอกับเจ้าหนูอวดดีนั่น!” เฉิงเฟิงพูดด้วยความโกรธ “ผู้เชี่ยวชาญของฝั่งตรงข้ามอะไรนั่น ข้าไม่เชื่อว่ามันจะแข็งแกร่งไปกว่าอาณาจักรใต้พิภพเรา! ต่อให้เป็นมังกร ก็ต้องจับตัวมันมาให้ได้!”


 


ดูเหมือนวันนี้จะไม่สบอารมณ์เขาอย่างมาก ทำให้จิตสังหารของเขาระเบิดออกมาอย่างท่วมท้น!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม