Crazy Leveling System 226-232

 CLS ตอนที่ 226: เพิ่มระดับอย่างต่อเนื่อง!


 


พวกเขายกบัตรเชิญขึ้นมาดู บนนั้นไม่ได้เขียนหัวข้ออะไรไว้ เพียงแต่ใช้ตัวอักษรทองแดงสลักไว้ข้างบน “อาณาจักรใต้พิภพ(幽冥帝国)” สี่ตัวอักษร ที่เหลือเป็นสถานที่ นอกนั้นก็ไม่มีอะไรอีก กระทั่งว่าส่งถึงใครยังไม่บอก


 


ยังไงก็ตาม แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว เพราะคงไม่มีใครกล้ามอบบัตรเชิญให้คนอื่น ไม่อย่างนั้น ผลลัพธ์ที่ตามมาคงไม่สามารถจินตนาการได้


 


อี้เทียนหยุนในตอนนี้ยังไม่กล้าหาเรื่องขุมอำนาจระดับอาณาจักร เขาในตอนนี้สามารถต่อกรได้แค่กับปรมาจารย์ระดับผันแปรวิญญาณทั่วไปเท่านั้น ถ้าต้องเผชิญหน้ากับปรมาจารย์ระดับวิญญาณเที่ยงแท้ กลัวว่าคงถูกบดขยี้อยู่ฝ่ายเดียว ไม่อย่างนั้นด้วยท่าทางอวดดีของตัวแทนเมื่อกี้นี้ คงถูกเขาตบไปแล้ว


 


เพราะงั้นอย่าทำตัวอวดดี ถ้ายังไม่มีความสามารถระดับท้าทายสวรรค์?


 


และแน่นอนว่าตัวแทนนั้นไม่ได้มีความสามารถระดับท้าทายสวรรค์ ระดับของเขายังไม่เข้าสู่ระดับผันแปรวิญญาณด้วยซ้ำ อยู่เพียงแค่ระดับก่อแกนวิญญาณเท่านั้น


 


“ดูเหมือนว่าผู้มาใหม่นี้จะแย่มาก ส่งบัตรเชิญให้เราอย่างนี้ เหมือนกับกำลังบอกให้เราไปขออภัยโทษอย่างไงอย่างงั้น” อี้เทียนหยุนอ่านบัตรเชิญในมือ ราวกับกำลังถือถ่านร้อนๆ


 


“อืม นี่เพราะว่ามีผู้คุ้มกันเงาหลายคนถูกฆ่า พวกเขาจะต้องคิดว่าพวกเรามีผู้เชี่ยวชาญอยู่ เมื่อพวกกบฏตาย ที่เหลือคงมีแต่ขออภัยโทษถ่ายเดียวแล้ว” ผู้อาวุโสใหญ่คิดได้แค่ทางนี้ทางเดียว


 


อี้เทียนหยุนหรี่ตา เขาอยากจะไป แต่เขาก็วางแผนว่าจะไปที่ตำหนักซิงเฉินเช่นกัน ตอนนี้เขาต้องไปในนามของวังเทียนจี๋ ซึ่งความสำคัญของมันนั้นต่างกันโดยสมบูรณ์ เพราะสำหรับตำหนักซิงเฉินแล้ว เขาก็แค่พอรู้จัก ถึงยังไงก็ไม่ใช่สำนักของตน


 


ตอนนี้วังเทียนจี๋ได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาในตอนนี้เทียบเท่ากับประมุข วังเทียนจี๋อยู่ในความรับผิดชอบของเขา ถ้าแค่ขอขมาทั่วๆ ไปก็คงดี สามารถแสร้งทำเป็นยอมจำนนได้ แต่ถ้าคิดจะส่งตัวแทนเข้ามาจัดการเรื่องภายใน นั่นก็เป็นเรื่องที่ยากจะจัดการแล้ว


 


“เวลาเหลือไม่มากแล้ว ดูเหมือนว่าจะต้องไปตอนนี้ด้วยซ้ำ” อี้เทียนหยุนมองไปยังเวลาที่เขียนไว้บนบัตรเชิญ นั่นก็คืออีกเกือบสองสัปดาห์


 


ส่วนสถานที่นั้นเป็นเมืองจื้อหลง ซึ่งไม่ห่างจากตำหนักซิงเฉินเท่าไหร่ แต่ว่าเมืองจื้อหลงนี้เป็นดินแดนของอาณาจักรใต้พิภพ ซึ่งก็เท่ากับต้องเข้าไปยังเขตแดนของอีกฝ่าย ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีเลย


 


“อืม เวลากระชั้นจริงๆ พวกเรามีเวลาเตรียมตัวแค่นิดหน่อยเท่านั้น” ผู้อาวุโสใหญ่พยักหน้าแล้วพูดออกมา


 


“ถ้าอย่างนั้น ท่านไปที่เมืองจื้อหลงก่อน ส่วนข้าจะตามไปทีหลัง” อี้เทียนหยุนคิดแล้วพูดออกมา


 


“ตกลง ข้าจะพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมเทียนหยุนในเมืองจื้อหลง เมื่อท่านมาแล้วให้ไปหาข้าที่นั่น โรงเตี๊ยมนั้นค่อนข้างมีชื่อเสียง” เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสใหญ่เคยไปที่นั่นมาแล้ว ดังนั้นจึงเอ่ยชื่อโรงเตี๊ยมออกมาได้


 


อี้เทียนหยุนพยักหน้า จากนั้นก็ออกจากวังเทียนจี๋มา ผู้อาวุโสใหญ่ก็ไม่ถามอะไรสักคำ เหตุผลนั้นง่ายมาก นั่นก็เพราะว่าเขาเคารพในการตัดสินใจของอี้เทียนหยุน สิ่งที่อยากจะพูดก็ได้พูดไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องบ่นพร่ำเพรื่ออะไรอีก


 


สถานที่อี้เทียนหยุนจะไปแน่นอนว่าคือตำหนักซิงเฉิน แต่ไม่ใช่เพื่อไปทักทาย แต่ไปเพื่อดูดกลืนพลังวิญญาณจากสระเทียนหลิงยี่ แม้ว่านี่จะไม่ยุติธรรมต่อตำหนักซิงเฉิน แต่เพื่อที่จะเลื่อนระดับให้เร็วที่สุด มีเพียงวิธีนี้เท่านั้น


 


“จ๋อม” เขามุดลงไปในสระ พร้อมกับเข้าไปยังห้องลับตามเส้นทางด้านล่าง ซึ่งคราวนี้ไม่มีปัญหาเหมือนก่อนหน้า เพราะที่นี่ไม่มีใครมา


 


เมื่อเข้ามาที่นี่อีกครั้ง เขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็เริ่มหาสถานที่ พร้อมกับเริ่มฝึกในทันที


 


“เคล็ดวิชากลืนสวรรค์ เปิด!”


 


“มหาเวทดูดดาว เปิด!”


 


“เคล็ดวิชาเทพอุดรทมิฬ เปิด!”


 


หลังจากเปิดใช้งานทุกอย่าง แรงดูดกลืนมหาศาลก็ได้ถูกปล่อยออกไปจากร่างของเขา ทำให้พลังวิญญาณม้วนตัว โถมเข้ามาในร่างของเขาอย่างบ้าคลั่ง กลายเป็นค่าประสบการณ์ให้แก่เขา เขาวางแผนว่าจะฝึกอยู่ที่นี่จนกว่างานจะเริ่ม หวังว่าจะเพิ่มระดับได้สักระดับสองระดับก็ยังดี


 


และเวลาก็ได้ผ่านไป ของเหลวที่อยู่ในสระยิ่งมายิ่งเบาบาง ยิ่งดูยิ่งใส ราวกับเป็นแค่น้ำธรรมดา กระทั่งห้องลับที่สร้างจากหินวิญญาณหยกก็เริ่มใสขึ้นทีละน้อย


 


เห็นได้ชัดว่าห้องลับกับสระเทียนหลิงยี่นี้เชื่อมต่อกันเป็นอันหนึ่งอันเดียว ถ้าพลังวิญญาณฝั่งไหนลดน้อยลง อีกฝั่งก็จะลดลงด้วย ถ้าเป็นอย่างนี้เป็นเวลานาน แน่นอนว่าจะไม่มีอะไรเหลือ


 


อย่างรวดเร็ว สถานการณ์นี้ก็ถูกคนของตำหนักซิงเฉินสังเกตเห็น ขณะที่บางคนเพิ่งจะเข้ามาเพื่อดูดซับพลังวิญญาณ อยู่ๆ ก็ได้พุ่งออกมาจากข้างใน พร้อมกับพูดอย่างไม่พอใจอย่างมากว่า “นี่ สระเทียนหลิงยี่นี้ไม่มีพลังวิญญาณแล้ว แต่ยังให้ข้าลงไปดูดซับอีก รีบคืนศาสตราวิญญาณข้ามา!”


 


ผู้ฝึกตนคนนี้ได้ใช้ศาสตราจิตวิญญาณหลายชิ้นเพื่อเข้าไปในนั้น แต่ไม่คิดว่าพลังวิญญาณที่หนาแน่นจะเบาบางขนาดนั้น เบาบางขนาดที่ข้างนอกยังมีมากกว่า ซึ่งนี้มันไร้ความหมายสำคัญเขา


 


“เป็นไปไม่ได้ ก่อนหน้านี้พลังวิญญาณยังหนาแน่นอยู่เลย แล้วจะไม่มีพลังวิญญาณได้ยังไง?”


 


ผู้อาวุโสหยุนขมวดคิ้ว ที่ปรากฏต่อสายตาของเขาไม่ใช่พลังวิญญาณที่หนาแน่นอีกต่อไป แต่เป็นพลังวิญญาณที่บางเบาอย่างมาก ต่างจากก่อนหน้ามากเกินไป


 


“จะ จริงๆ ด้วย….” ผู้อาวุโสหยุนตกใจ พลังวิญญาณพวกนี้อยู่ๆ ก็หายไปได้ยังไง? เขาหันไปมองยามที่อยู่ใกล้ๆ แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน ก่อนหน้านี้มีคนเข้าไปหรือเปล่า?”


 


“ไม่มี ที่นี่บางครั้งก็ถูกผนึกไว้ ไม่มีใครเข้าไปแน่นอน” พวกเขาเป็นคนเฝ้าที่นี่ ดังนั้นจึงไม่มีทางโกหกอย่างแน่นอน สถานการณ์ในตอนนี้น่ากลัวมาก พลังวิญญาณแห้งเหือดจนเกือบหมด เหมือนกับถูกดูดกลืนเป็นเวลานาน หลักฐานที่เด่นชัดก็คือน้ำในสระที่ใสแจ๋ว


 


ถ้าผู้ฝึกตนคนนี้ลงไป มันไม่ต่างอะไรไปจากอาบน้ำเลย


 


“ไม่มีคนเข้าไป แล้วทำไมถึงเป็นอย่างนี้…..” ผู้อาวุโสหยุนขมวดคิ้ว นี่เป็นเรื่องใหญ่มาก ถ้าไม่ตรวจสอบให้ชัดเจน มันจะเป็นปัญหาอย่างมาก


 


“ผู้อาวุโสหยุน แล้วเรื่องของข้าจะแก้ไขยังไง!” ผู้ฝึกตนคนนี้ไม่พอใจอย่างมาก


 


“นี่น่าอายอย่างมาก พวกเราจะคืนศาสตราจิตวิญญาณให้ พวกเราไม่คิดเลยว่าจะมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้น” ผู้อาวุโสหยุนรีบกล่าวขอโทษ


 


“โชคไม่ดีจริงๆ เสียเวลาชะมัด” ผู้ฝึกตนคนนี้แค่นเสียงออกมา จากนั้นก็เดินจากไป กว่าจะมาที่นี่ได้ครั้งหนึ่งยากมาก แต่ไม่คิดว่าจะทำได้เพียงแค่อาบน้ำจนตัวเปียก แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เขาโกรธได้ยังไง?


 


ปกติแล้วผู้ฝึกตนที่มาที่นี่ บ้างก็เป็นศิษย์จากสำนักใหญ่ที่มาแต่ไกล แต่เมื่อเข้ามาแล้วกลับพบว่าไม่สามารถดูดซับพลังวิญญาณได้ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น คิดว่าก็คงไม่พอใจไม่ต่างกัน


 


หลังจากส่งผู้ฝึกตนคนนี้จากไปแล้ว ผู้อาวุโสหยุนก็พูดอย่างจริงจังว่า “เริ่มตรวจสอบเดี๋ยวนี้เลย ดูว่ามันเรื่องอะไรกันแน่!”


 


คนกลุ่มหนึ่งเข้าไปในสระเทียนหลิงยี่นี้พร้อมกับเริ่มตรวจสอบทันที ตรวจดูทุกซอกทุกมุม ดูว่าปัญหาอยู่ที่ตรงไหน


 


ขณะที่ด้านนอกวุ่นวาย อี้เทียนหยุนที่อยู่ในห้องลับก็ดูดกลืนพลังวิญญาณอย่างสบายใจ ด้วยค่าประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ช่วยให้เขาเพิ่มระดับขึ้น 1 ขั้นอย่างรวดเร็ว!


 


“ติ๊ง ยินดีด้วย ผู้เล่นอี้เทียนหยุนได้เข้าสู่ระดับก่อแกนวิญญาณขั้นที่ 9!”


 


แต่เขายังไม่พอใจ ยังคงดูดกลืนพลังวิญญาณต่อ เขาคิดจะดูดกลืนพลังวิญญาณจนระดับของเขาเลื่อนไปยังระดับก่อแกนวิญญาณขั้นสูงสุด จากนั้นค่อยใช้บัตรเพิ่มระดับเพื่อเข้าสู่ระดับผันแปรวิญญาณ เมื่อถึงตอนนั้น เขาก็จะมีพลังเพียงพอที่จะต่อต้านขุมอำนาจชั้น 3 ต่อต้านอาณาจักร!


 


แน่นอนว่าเขาไม่คิดว่าเมื่อตัวเองเลื่อนเข้าสู่ระดับผันแปรวิญญาณแล้วจะสามารถต่อต้านอาณาจักรได้จริงๆ



CLS ตอนที่ 227: ถล่ม


 


หลังจากอี้เทียนหยุนเลื่อนเข้าสู่ระดับก่อแกนวิญญาณขั้นที่ 9 แล้วเขาก็ทำการดูดกลืนพลังวิญญาณต่อไป รอบๆ ห้องลับเริ่มใสขึ้นทีละน้อย แต่เขาไม่รับรู้อะไร ยังคงดูดกลืนต่อไปอย่างบ้าคลั่ง


 


นอกจากดูดกลืนแล้ว ยังเป็นดูดกลืนอย่างบ้าคลั่งไม่ยอมหยุด


 


ในสมองของเขามีเพียงความคิดเดียว นั่นก็คือเลื่อนระดับ!


 


ขณะที่เขากำลังดูดกลืนพลังวิญญาณอย่างเมามันอยู่นั้น ด้านบนตอนนี้กำลังโกลาหลอย่างหนัก พากันตรวจหาปัญหาอย่างบ้าคลั่ง แต่ไม่ว่าจะหายังไงก็หาไม่เจอ พลังวิญญาณที่หนาแน่นค่อยๆ หายไปอย่างต่อเนื่องไม่ยอมหยุด ราวกับกำลังมีใครกำลังดูดกลืนมันอย่างบ้าคลั่งอย่างไงอย่างงั้น ทำให้พลังวิญญาณในสระเทียนหลิงยี่ค่อยๆ ลดน้อยลง เพียงแค่ใช้ตาเปล่าก็สามารถเห็นได้ถึงน้ำในสระที่ใสกระจ่าง


 


“แท้จริงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ หรือว่าพลังวิญญาณจะรั่วไหล?” ผู้อาวุโสหยุนขมวดคิ้วมุ่น พวกเขาตรวจดูทั้งด้านในด้านนอกโดยไม่เว้น แต่ก็ไม่พบว่าปัญหาเกิดจากอะไร


 


ยามทั้งหมดถูกส่งออกไป ตรวจหาทุกซอกทุกมุม กระทั่งใบไม้ทุกใบในสระเทียนหลิงยี่ยังถูกตรวจ แต่ก็ไม่เจอจุดที่เป็นปัญหา นี่ทำให้เขารู้สึกเลวร้ายมาก ถ้าเจ้าตำหนักหลี่มา แล้วเขาจะแก้ตัวยังไง?


 


ขณะที่เขาเพิ่งจะคิด หลี่เทียนหงก็มาถึง เขาเดินเข้ามาจากด้านนอก และเมื่อเห็นสระเทียนหลิงยี่ที่อีกไม่นานก็กลายเป็นน้ำใส ก็ขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นว่า “นี่ตกลงแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมพลังวิญญาณที่หนาแน่นถึงได้ลดลงถึงระดับนี้”


 


“เจ้า เจ้าตำหนักหลี่….. เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน พวกเราป้องกันอย่างดีแล้ว ไม่มีใครเข้าไปอย่างแน่นอน กระทั่งตอนตรวจสอบก็ไม่พบร่องรอยของใครสักคน แต่พลังวิญญาณก็ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่” ผู้อาวุโสหยุนปาดเหงื่อ หวังว่าเจ้าตำหนักหลี่จะไม่โทษเขา


 


“กลัวว่าเส้นชีพจรวิญญาณที่อยู่ใต้ดินจะมีปัญหา ตอนที่ก่อตั้งตำหนักซิงเฉินขึ้นก็มีชีพจรวิญญาณนี้อยู่แล้ว จึงได้ตัดสินใจสร้างที่นี่ไว้ดูดซับพลังวิญญาณ คิดว่าสักวันมันจะต้องถูกผลาญจนหมด แต่ไม่คิดว่าจะเป็นตอนนี้ เหมือนกับว่าเส้นชีพจรวิญญาณกำลังพังทลาย ทำให้พลังวิญญาณถูกสูบออกไป” หลี่เทียนหงส่ายหัว จากนั้นก็พูดว่า “เอาล่ะ ไม่ต้องไปสนใจเรื่องนี้แล้ว เก็บสมุนไพรวิญญาณที่อยู่ที่นี่ให้หมด หลังจากนี้ไม่ต้องมีคนเฝ้าที่นี่อีก”


 


หลี่เทียนหงตัดใจ มองลงไปยังสระเทียนหลิงยี่ที่ใสราวกับน้ำเปล่า นี่มันไม่ใช่สระพลังวิญญาณแล้ว แต่เป็นแค่สระน้ำธรรมดาเท่านั้น


 


“รับทราบ…..” ผู้อาวุโสหยุนส่ายหัวอย่างหมดหนทาง จากนั้นก็หันไปมองยังสระเทียนหลิงยี่ ดูเหมือนเจ้าตำหนักหลี่จะตัดใจแล้ว ในเมื่อใช้การไม่ได้แล้ว จะสนใจไปทำไมกัน


 


บางทีอาจจะมีสักวันที่มันฟื้นฟูกลับคืนมา ถ้าถึงตอนนั้น พวกเขาก็ค่อยกลับมาใช้ใหม่ แต่ถ้าไม่ ก็คงเป็นได้แค่สระว่ายน้ำธรรมดาเท่านั้น


 


นี่เป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างมาก กลัวว่าเส้นชีพจรวิญญาณของที่นี่ยากจะฟื้นกลับคืนมา


 


มาดูทางฝั่งห้องลับกันบ้าง อี้เทียนหยุนในตอนนี้กำลังดูดกลืนพลังวิญญาณอย่างบ้าคลั่ง เคล็ดวิชาดูดกลืนทั้งสามถูกเปิดออก ราวกับพายุขนาดยักษ์ ดูดกลืนพลังทุกอย่างรอบๆ เข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ยิ่งในห้องลับด้วยแล้ว ไม่จำเป็นต้องเปิดประตูด้วยซ้ำ ก็สามารถมองเห็นโลงศพผลึกน้ำที่ตั้งอยู่ได้ในทันที


 


สามารถจินตนาการได้เลยว่าพลังในการดูดกลืนของอี้เทียนหยุนนั้นน่าสะพรึงขนาดไหน ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ที่นี่จะต้องถูกดูดกลืนจนไม่มีอะไรเหลืออย่างแน่นอน ส่วนเส้นชีพจรที่ฝังอยู่ใต้ดินอะไรนั่น จะว่าฟื้นฟูได้ก็ฟื้นฟูได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลากี่หลายร้อยปี บางทีอาจจเป็นพันปีถึงจะพอฟื้นฟูกลับมาได้นิดหน่อย


 


“แกรก!”


 


ในตอนนี้เอง ห้องลับก็เริ่มปรากฏรอยร้าว พร้อมกับรอยแตกที่กระจายออกไปทุกทิศทาง ราวกับใยแมงมุม เมื่อรอยร้าวกระจายออกไปจนสุด ก็ก่อให้เกิดปฏิกิริยา ห้องลับพังทลายลงมาเสียงดัง “เปรี้ยง” ก่อให้เกิดฝุ่นฟุ้งตลบ!


 


ในตอนนี้เอง อี้เทียนหยุนก็ได้ลืมตาขึ้นช้าๆ พร้อมกับประกายแสงที่สาดออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของเขา เมื่อเห็นห้องลับถล่มลงมา พร้อมกับมองดูสถานการณ์รอบๆ เขาก็พลันตกตะลึง พร้อมกับพูดขึ้นมาว่า “นี่ข้าเป็นคนทำอย่างงั้นเหรอ? ก็ว่าอยู่ทำไมความเร็วในการดูดกลืนถึงได้ช้าลงมาก ที่แท้ห้องลับก็ตกอยู่ในสภาพนี้แล้ว….. แต่ว่าก็น้อยจริงๆ แบบนี้ไม่มีทางเลื่อนระดับได้อย่างแน่นอน”


 


เขาสามารถจินตนาการได้ว่าที่นี่ถูกดูดซับเป็นเวลานานมากแล้ว สมควรได้เวลาร่วงโรยแล้ว ทั้งยังมาถูกการดูดกลืนที่บ้าคลั่งของเขาเข้าไป ทำให้ที่นี่แห้งสนิท ตอนนี้คงพูดได้แค่ว่า ค่าประสบการณ์ที่เขาต้องการนั้นมหาศาลมาก ทำให้เขาดูดกลืนอย่างตะกละตะกลาม เขาก็คิดว่าที่นี่จะช่วยให้เขาเลื่อนขึ้นสัก 2 ระดับ แต่ใครจะรู้ว่าจะทำให้เขาเลื่อนระดับได้เพียงแค่ระดับเดียวเท่านั้น


 


ถึงจะเหลือ 1 ระดับเหมือนกัน แต่ตอนนี้ก็เหลือน้อยกว่าครึ่งแล้วก่อนที่จะเลื่อนระดับ ถ้าได้แหล่งค่าประสบการณ์ดีๆ เขาจะต้องเลื่อนระดับได้อย่างแน่นอน


 


“เอาไว้ไปเจอเอาหน้างานแล้วกัน”


 


เขาตัดสินใจออกมา จากนั้นก็เปิดหน้าต่างสถานะของตนขึ้น พร้อมกับมองดูค่าสถานะในปัจจุบันของตน


 


ผู้เล่น: อี้เทียนหยุน


เลเวล: เลเวล 39 (ระดับก่อแกนวิญญาณขั้นที่ 9)


ค่าประสบการณ์: 43,218,372/ 50,000,000


ค่าความคลั่ง: 1,873,689


ค่าความดี: 630


ค่าความชั่ว: 2,956


วิชาบ่มเพาะ: เทพอุดรทมิฬ, วิชาลับเทพมังกร, เคล็ดวิชาเซวียนเทียน, เคล็ดวิชากลืนสวรรค์


วิชายุทธ์: มหาเวทดูดดาว, ปีศาจโลหิตทะยานสวรรค์, วิชากระบี่ชิงหยุน, วิชาตัวเบาชิงเซวียน


อาวุธ: หมัดเยือกแข็ง, หอกปีศาจโลหิต, กระบี่ไร้สิ้นสุด, ขวานหุ่นเทียนเสิ้ง, กริชกระดูกมังกรโลหิต


เครื่องสวมใส่: ชุดเกราะเทียนเสิ้ง, ผ้าคลุมเงา, ชุดเกราะหุ่นเทียนเสิ้ง(ระดับจิตวิญญาณขั้นต่ำ), รองเท้าศึกหุ่นเทียนเสิ้ง(ระดับจิตวิญญาณขั้นต่ำ),เกราะอสูรโลหิต


ความสามารถศักดิ์สิทธิ์: โหมดคลั่ง, โชคดี, เทเลพอร์ท


สายเลือด: สายเลือดเทพมังกร


พรสวรรค์: เนตรสวรรค์


เครื่องประดับ: ค้อนหลอมเทวะ, กำไลพลัง, แหวนพลัง, เข็มขัดพลัง, กำไลปีศาจโลหิต


ความชำนาญ: สลักอาคมขั้นพื้นฐาน, หลอมศาสตราขั้นกลาง, กลั่นโอสถขั้นกลาง, ค่ายกลขั้นพื้นฐาน


จิปาถะ: เม็ดยาฟื้นฟู 8, กล่องของขวัญเลเวล 41, ชีวิต 1, เม็ดยาโชคร้าย 1, เม็ดยาระเบิด


สมบัติ: เตาหลอมเพลิงม่วงศักดิ์สิทธิ์, หยกโลหิต, แผนที่สมบัติมังกร, มุกหยก, หนังสือบัญชาการ, ปีกฟีนิกซ์


ฉายา: ผู้พิทักษ์, ผู้กอบกู้


เปลวเพลิง: เปลวเพลิงนิรันดร์


 


ค่าความคลั่ง 1.8 ล้าน นี่เป็นค่าความคลั่งที่มากเป็นประวัติศาสตร์ของเขา สามารถเลื่อนระดับได้หลายอย่าง ทำให้เขาไม่ต้องเป็นกังวล เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่มีอะไรที่ต้องเลื่อนระดับ เอาไว้ดูความจำเป็นก่อน จากนั้นค่อยเลื่อนระดับยังไม่สาย เพราะหลังจากนี้คงยากที่จะได้มา


 


นี่เป็นโชคดีที่เขากำจัดตระกูลหวังทิ้งไป ทำให้ได้รับค่าความคลั่งมากขนาดนี้ ทั้งยังสิ่งของอีกมาก ซึ่งตอนนี้ถูกเขาขายทิ้งไปหมดแล้ว วิชายุทธ์ระดับปฐพีนั้นขายได้ราคาดีเลยทีเดียว นี่ทำให้เขารู้สึกพึงพอใจอย่างมาก


 


ตอนนี้ถ้าต้องการค่าความคลั่ง การสังหารสัตว์อสูรเป็นวิธีที่เร็วที่สุด นอกจากนี้ค่าประสบการณ์ที่ได้ก็ไม่ใช่น้อยๆ แต่ถ้าใครหน้าไหนไม่มีตาแล้วมาหาเรื่องเขา เขาก็จะยินดีเป็นอย่างมาก พร้อมกับตอบสนองให้ในทันที


 


“เวลาเหลือไม่มากแล้ว สมควรไปรวมตัวกับพวกผู้อาวุโสใหญ่ที่เมืองจู้หลงแล้ว” อี้เทียนหยุนลุกขึ้น จากนั้นก็ออกจากที่นี่ไปอย่างรวดเร็ว บินไปยังเมืองจู้หลง


 


ขณะทีเขาจากมาได้ไม่นาน ข้างบนก็มีเสียงขุดเจาะดังมา อย่างรวดเร็ว รอยเจาะก็ทะลุมายังที่นี่ จากนั้นก็มีคนกลุ่มหนึ่งเดินลงมาจากข้างบน และเมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้าก็พากันตกใจ ไม่คิดว่าที่นี่จะยังมีห้องลับอยู่ แต่ว่าห้องลับนี้ดูแล้วน่าสยองอยู่บ้าง


 


“ที่นี่มีห้องลับอยู่ด้วย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน?” ผู้อาวุโสหยุนตกใจ แต่ขณะที่พวกเขาเตรียมจะจากไปนั้น ก็พลันได้ยินพังทลายดังมา ดังนั้นจึงรีบขุดหาทางออกอย่างรวดเร็ว


 


จากสิ่งที่ได้เห็น เหมือนว่าจะไม่มีของสำคัญอยู่ เพราะที่เหลือมีเพียงแต่ขยะที่ใช้การไม่ได้ ทั้งที่นี่ยังไม่มีคน แล้วจะมีความหมายอะไรถ้ายังอยู่ที่นี่ต่อ?


 


เหตุการณ์นี้อี้เทียนหยุนไม่รู้ โชคดีที่เขาจากมาเร็ว ถ้าคนอื่นเห็นเขา มันคงเป็นปัญหาอย่างแน่นอน



CLS ตอนที่ 228: หาเรื่อง


 


อี้เทียนหยุนไม่ได้ไปที่ตำหนักซิงเฉิน แต่กลับตรงไปยังเมืองจู้หลงโดยตรง เมื่อมีปีกฟินิกซ์ ทำให้เขาบินมาถึงเมืองจู้หลงได้อย่างรวดเร็ว


 


เมื่อมาถึงเมืองจู้หลง ที่ปรากฏตรงหน้าก็คือเมืองขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นเมืองในปกครองของอาณาจักรใต้พิภพ จู้หลงคือการรวมตัวของมังกร เป็นชื่อที่ดีอย่างมาก เมืองจู้หลงแห่งนี้ไม่ได้ยิ่งใหญ่ดังชื่อ นอกจากความยิ่งใหญ่ของมันแล้ว ในนั้นไม่ได้มีผู้เชี่ยวชาญมากนัก เป็นเหมือนกับเมืองใหญ่ธรรมดา


 


เมืองจู้หลงแห่งนี้เป็นเมืองในปกครองของอาณาจักรใต้พิภพ แต่ไม่ใช่เมืองหลัก ดังนั้นจึงไม่มีกองกำลังอยู่ในนี้ แต่หลังจากที่บัตรเชิญถูกส่งออกไป ทำให้มีกลุ่มผู้เชี่ยวชาญกลุ่มหนึ่งมารวมตัวกันที่นี่ ทำให้เมืองจู้หลงแห่งนี้เป็นเหมือนดั่งชื่อของมัน


 


หลังจากเข้ามา ข้างในก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากเมืองทั่วไป บนถนนที่พลุกพล่าน ที่นี่มีกลุ่มคนกำลังซื้อขายแลกเปลี่ยน ดูแล้วมีชีวิตชีวาอย่างมาก เพิ่งจะเข้ามาเขาก็พบกับผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากกำลังเดินคุยกันอยู่ทุกหนแห่ง


 


ทำให้ที่นี่เป็นเหมือนฐานของผู้ฝึกตน เห็นได้ชัดว่ามากกว่าเมื่อเทียบกับเมืองทั่วไป ซึ่งนี่ไม่ใช่เหตุการณ์ปกติของเมืองจู้หลง แต่เป็นเพราะผลของบัตรเชิญ ทำให้หลายสำนักพาศิษย์ของตนเดินทางมา หรือไม่ก็มาเข้าร่วมเพื่อความสนุก


 


“โรงเตี๊ยมเทียนหยุน……”


 


อี้เทียนหยุนสอดส่องสายตาไปรอบๆ เพื่อที่จะดูว่าโรงเตี๊ยมเทียนหยุนนั้นอยู่ที่ไหน แต่ในขณะที่เขากำลังจะหาคนเพื่อถามทางอยู่นั้น ทันใดนั้น ด้านหลังของเขาก็ได้มีเสียงคำรามดังออกมา “หลีกทาง หลีกทาง!”


 


เขาหันกลับไปดู และก็พบกับรถบินกำลังพุ่งเข้ามาที่นี่อย่างป่าเถื่อน อินทรีย์ยักษ์ที่ลากรถไม่ได้บิน แต่กำลังวิ่งตรงมาที่นี่ โถมเข้ามาจนทำให้หลายคนตกใจรีบหลีกทางให้ ขณะที่มีผู้ฝึกตนบางคนที่หลบไม่ทัน ทำให้โดนอินทรียักษ์ตัวนั้นชนกระเด็น จนกระแทกเข้ากับร้านค้าที่อยู่ใกล้ๆ จนได้รับบาดเจ็บ


 


“มารดามันเถอะ ใครมันช่างโหดเหี้ยมนัก กล้าวิ่งฝ่ากลางถนนอย่างนี้ บิดาจะไปจัดการมัน!”


 


“เจ้าบ้าไปแล้วเหรอ! เจ้าเห็นตัวอักษรที่สลักไว้ข้างตัวรถไหม นั่นเป็นรถบินของอาณาจักรใต้พิภพ!”


 


“จริงด้วย…..”


 


ผู้ฝึกตนบางคนชักกระบี่ออกมาอย่างเดือดดาล หวังจะเข้าไปสั่งสอนสักหน่อย แต่เมื่อเห็นตัวอักษรที่สลักอยู่ข้างรถว่า “ใต้พิภพ” สองคำก็พลันหัวหด ไม่คิดจะเข้าไปยุ่งอีก ผู้เชี่ยวชาญที่นี่มีมาก ทำให้มีคนคิดจะเข้าไปจัดการอยู่หลายคน แต่เมื่อเห็นว่าเป็นรถของอาณาจักรใต้พิภพ ก็พากันถอยออกมาทันที


 


สำนักทั่วไปไม่มีใครกล้ามาเดินเล่นแถวนี้ ส่วนขุมอำนาจชั้น 3 ก็ไม่มีใครกล้าลงมือตามใจ ถ้าเกิดไปตอแยขุมอำนาจชั้น 3 กลุ่มอื่นเข้า มันไม่ใช่เรื่องตลก ที่สำคัญเลยคือ พวกเขากลัวว่าจะไปตอแยคนของอาณาจักรใต้พิภพเข้า ถ้าเป็นอย่างนั้น มันคงเป็นปัญหาใหญ่


 


ตอนนี้ที่ทำตัวดุร้ายเป็นอาณาจักรใต้พิภพ ซึ่งก็เหมือนกับเดินอยู่ในถิ่นของตัวเอง ดังนั้นถึงไม่สนใจใครหน้าไหน ชนดะไปเรื่อย ราวกับมีเรื่องเร่งด่วนอะไรที่ต้องกลับไปรายงาน


 


อี้เทียนหยุนมองอย่างระวัง แล้วก็จริง ที่ปีกของอินทรีย์ยักษ์ได้รับบาดเจ็บ ไม่แปลกที่จะไม่ยอมบิน


 


เขาหลบเข้าข้างทาง หลบการพุ่งชนของอินทรียักษ์นี้ จากนั้นก็มองตามหลังอินทรียักษ์พร้อมกับส่ายหัว


 


“กล้าลงมือกับอาณาจักรใต้พิภพ ดูเหมือนจะมีความกล้าไม่น้อย…..” อี้เทียนหยุนหรี่ตาจ้องไปยังบาดแผลของอินทรียักษ์ตนนั้น เห็นได้ชัดว่าเกิดจากการต่อสู้ หรือเจอเข้ากับเหตุการณ์บางอย่าง ดูแล้วคงไม่ใช่เรื่องธรรมดา


 


หลังจากเหตุการณ์เล็กๆ นี้ผ่านไป เหตุการณ์ก็กลับเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น อย่างมากก็ได้แต่เก็บความโกรธไว้ในใจ ใครจะกล้าไปหาเรื่องอาณาจักรใต้พิภพกัน


 


อย่างรวดเร็ว เขาก็หาโรงเตี๊ยมเทียนหยุนพบ ที่นี่ถือว่าน่าสนใจมาก การตกแต่งดูแล้วเอกลักษณ์มาก โรงเตี๊ยมอื่นๆ สร้างมาจากไม้ธรรมดา หรือไม่ก็หินสำหรับก่อสร้าง แต่นี่กลับตกแต่งด้วยไม้หอม เพิ่งจะเข้ามาก็ได้รับกลิ่นหอมที่พิเศษโชยมาแล้ว ซึ่งกลิ่นหอมนี้ก็ช่วยทำให้คนที่เข้ามารู้สึกสงบ พร้อมกับเพลิดเพลินอย่างมาก


 


แม้ว่าจะช่วยให้จิตใจรู้สึกสงบ แต่สถานการณ์ในโรงเตี๊ยมตอนนี้กลับไม่สงบ


 


“ผู้ดูแล ที่นี่ไม่มีห้องว่างอย่างงั้นเหรอ!” ชายคนหนึ่งคำรามใส่ผู้ดูแล พร้อมกับทุบโต๊ะจนเสียงดังลั่นไปทั้งโถง


 


“คุณชายท่านนี้ ที่นี่ไม่มีห้องว่าง เต็มหมดแล้ว….” ผู้ดูแลยิ้มอย่างขมขื่น


 


“อะไรนะ พวกเรามาที่นี่ล่วงหน้าตั้งหลายวัน แต่ห้องพักกลับเต็มหมดแล้ว?” ชายคนนั้นไม่พอใจอย่างมาก พร้อมๆ กับน้ำเสียงไม่พอใจที่ส่งออกมาจากสหายข้างหลังเขา


 


ผู้ดูแลขอโทษด้วยความจริงใจ “น่าอายจริงๆ ปกติที่นี่ไม่เคยเต็มมาก่อน แต่ช่วงนี้กลับถูกจองหมดแล้ว ไม่มีห้องว่างแล้วจริงๆ….. ถ้ามีห้องว่าง เราจะเหลือไว้ให้ท่านอย่างแน่นอน”


 


อาณาจักรใต้พิภพส่งบัตรเชิญให้กับขุมอำนาจจำนวนมาก ดังนั้น เมืองจู้หลงแห่งนี้อยู่ๆ จึงเต็มไปด้วยผู้คน ทำให้โรงเตี๊ยมชั้นดีถูกจองจนเต็ม เมื่อมาช้า ก็ไม่มีหนทางอื่น ทำได้เพียงเลือกโรงเตี๊ยมที่ค่อนข้างแย่ หรือไม่ก็ตั้งที่พักที่ด้านนอกแทน


 


โรงเตี๊ยมเทียนหยุนแห่งนี้มีเอกลักษณ์ ทำให้ได้รับความชื่นชอบจากผู้ฝึกตนจำนวนมาก ดังนั้นจึงถูกจองจนเต็มนานแล้ว


 


“เจ้ารู้ไหมว่าพวกเรามาจากขุมอำนาจอะไร!” ชายคนนั้นทุบโต๊ะอย่างแรง พร้อมกับพูดออกมาอย่างโมโห “พวกเราเป็นคนจากวังเสินเหวิน ถ้าไม่มีห้อง เจ้าตาย!”


 


วังเสินเหวิน?


 


อี้เทียนหยุนขมวดคิ้ว วังเสินเหวินถือได้ว่าเป็นสำนักที่ทรงอำนาจ เทียบกับวังเทียนจี๋แล้วแข็งแกร่งกว่ามากนัก ไม่แปลกที่จะเอาแต่ใจขนาดนี้ ช่างบังเอิญยิ่งนัก ไม่คิดว่าจะมาเจอกับคนของวังเสินเหวินที่นี่ ก่อนหน้านี้หลินหลี่ก็ได้ทิ้งความทรงจำที่เจิดจ้าให้แก่เขา


 


“พวกเราไม่มีห้องเหลือแล้วจริงๆ ถ้าเป็นเรื่องอื่น พวกเราจะต้องจัดการให้พวกท่านอย่างแน่นอน…..” ผู้ดูแลโอดครวญอย่างน่าสงสาร การทำการค้า สิ่งที่เขากลัวที่สุดก็คือลูกค้าเอาแต่ใจ


 


“ไปเอาสมุดบัญชีมา ข้าจะดูว่าใครเข้าพักที่นี่!” หลี่ห้วนแย่งสมุดบัญชีมา จากนั้นก็เปิดดู ดูว่าใครเข้าพักที่นี่


 


อี้เทียนหยุนส่ายหัว ดูเหมือนว่าคราวนี้จะเป็นเรื่องใหญ่แล้ว จากนั้นเขาก็ส่งสายตาดูถูกไปยังพวกเขาคราหนึ่ง พร้อมกับเดินขึ้นชั้นบนไป ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสใหญ่บอกเขาแล้ว ว่าจะเข้าพักที่ชั้น 3 พวกเขาพากันมาตั้งแต่เนิ่นๆ ดังนั้นจะต้องได้ห้องอย่างแน่นอน


 


เมื่อเขาขึ้นไปถึงชั้น 3 ขณะที่กำลังจะมองหาว่าพวกผู้อาวุโสใหญ่พักอยู่ห้องไหนนั้น หูของเขาก็พลันได้ยินเสียงคำรามดังมา “วังเทียนจี๋? ขณะอย่างวังเทียนจี๋ก็กล้าพักห้องส่วนตัวด้วย ทั้งยังสองห้องอีก!? บิดาจะไปไล่พวกมันออกมาเดี๋ยวนี้ เป็นแค่สำนักขยะ เทียบเท่าขุมอำนาจชั้น 2 แต่ยังกล้าจองถึงสองห้อง? ข้าสงสัยนักว่าอาณาจักรใต้พิภพเชิญพวกมันมาทำไม ข้าว่า 80% คงเพื่อความสนุก!”


 


จากนั้น หลี่ห้วนก็เดินตึงตังขึ้นมา พร้อมกับนำศิษย์กลุ่มหนึ่งที่พร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อขึ้นมา แต่เพราะว่าทางเดินมันแคบ ดังนั้นหลี่ห้วนจึงชนเข้ากับอี้เทียนหยุน


 


“เจ้าหนู หลีกไปซะ!” หลี่พูดออกมาด้วยความโกรธ


 


“ปัง!”


 


หลี่ห้วนโจมตีออกไป แต่อี้เทียนหยุนไม่ได้กระเด็นออกไป ฝ่ายที่กระเด็นกลับเป็นหลี่ห้วนเอง ทำให้เขากระเด็นตกบันไดจนไม่สามารถหยุดได้ กลิ้งหลุนๆ ลงไปข้างล่าง พร้อมกับเสียง “ตึก ตึก ตึก”


 


อี้เทียนหยุนขมวดคิ้ว วังเสินเหวินนี้ช่างใจกล้านัก ถึงกับกล้ามาหาเรื่องวังเทียนจี๋ของเขาอย่างไม่คาดคิด!



CLS ตอนที่ 229: กำนัลลูกถีบถ้วนหน้า


 


หลังจากหลี่ห้วนกลิ้งหลุนๆ ลงบันไดไป ก็พลันส่งเสียงคำรามออกมา “ไอ้ลูกสำส่อน กล้าโจมตีข้าอย่างงั้นเหรอ!”


 


หลี่ห้วนระเบิดความโกรธพร้อมกับวิ่งขึ้นมาจากข้างล่าง ตามมาด้วยศิษย์น้องทั้งหลายของเขา พร้อมกับมองมาที่เขาแล้วพูดอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าหนู เจ้ากล้าทำร้ายข้าอย่างงั้นเหรอ เจ้ารู้ไหมว่าข้าเป็นใคร!”


 


“โทษทีนะ ที่ข้ารู้คือ เจ้าเป็นคนโจมตีข้าไม่ใช่เหรอเมื่อกี้นี้น่ะ” อี้เทียนหยุนตอบกลับอย่างเฉยชา


 


“มารดามันเถอะ หาที่ตาย!” หลี่ห้วนประกบฝ่ามือเข้าด้วยกัน จากนั้นที่ฝ่ามือของเขาก็เหมือนกับมีลมหมุน ก่อให้เกิดเป็นรูปใบมีด พร้อมกับสับลงมาที่เขา ด้วยพลังระดับหลอมรวมขั้นที่ 3 ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกตนทั่วไป เมื่อรับฝ่ามือนี้เข้าไปจะต้องได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน


 


อี้เทียนหยุนมีสายตาเย็นชาวาบผ่าน พร้อมกับยกเท้าขึ้น “เปรี้ยง” ถีบหลี่ห้วนกระเด็นไป ตามมาด้วยสหายของเขาที่โดนลูกถีบกันถ้วนหน้า ทำให้พวกเขาต้องกระเด็นตกบันไดกันอีกครั้ง


 


เหตุการณ์นี้ทำให้แขกหลายคนชำเลืองมอง กระทั่งมีหลายคนเดินออกมาจากห้อง พร้อมกับมองมายังที่นี่ ดูว่าทำไมที่นี่เสียงดัง เกิดอะไรขึ้น


 


“ประมุข?” เสียงของผู้อาวุโสใหญ่ดังมาจากข้างหลัง พร้อมๆ กับเดินมาหาพร้อมกับมู่เซียนเอ๋อ


 


เมื่อพวกเขาได้ยินเสียงทะเลาะกันดังมา จึงได้เปิดประตูออกมาดู และก็พบว่าเป็นประมุขของตัวเองที่กำลังยืนอยู่ข้างนอก


 


“เกิดอะไรขึ้น?” ผู้อาวุโสใหญ่กับพวกเดินมา นอกจากมู่เซียนเอ๋อแล้ว ยังมีผู้จัดการอีกสองคน คนที่พวกเขาพามานั้นไม่เยอะ ผู้จัดการเหอก็ไม่ได้พามา แต่ให้เธอคอยดูแลประมุขที่อยู่ที่วังเทียนจี๋


 


“ไม่มีอะไร ก็แค่เรื่องเล็กน้อย” อี้เทียนหยุนตอบอย่างไม่ใส่ใจ


 


“ข้าจะฆ่าเจ้า!!” หลี่ห้วนร้องออกมา พร้อมกับตะกายลุกขึ้น จากนั้นก็พลันร้องเสียงแผ่วออกมา “นะ นายน้อย…..”


 


จากนั้นก็ได้มีคนเดินขึ้นมาจากข้างล่าง เป็นคุณชายหนุ่มรูปหล่อเดินขึ้นบันไดมา ในมือของเขากำลังโบกพัดเบาๆ เพื่อเอาลมเย็นๆ เข้าหาตัว รูปลักษณ์ของเขาดูละเอียดและงดงาม ดูราวกับบัณฑิต เห็นได้ชัดว่าเป็นศิษย์ของขุมอำนาจที่แข็งแกร่งมาก ดูจากท่วงท่าที่แสดงออกมา สูงส่งกว่าคนทั่วไปอย่างสิ้นเชิง


 


หลี่ห้วนกับพวกคนนั้นพากันคารวะอยู่เบื้องหลัง และเมื่อมองขึ้นมายังอี้เทียนหยุน ความโกรธก็พลันปะทุขึ้นทันที ราวกับจะใช้สายตาบดขยี้อี้เทียนหยุนให้เป็นชิ้นๆ ยังไงก็ตาม ตอนนี้เขาทำได้เพียงกล้ำกลืนไว้เท่านั้น พร้อมกับเดินกะเผลก แม้ว่าเท้านั้นของอี้เทียนหยุนจะไม่หนักมาก แต่ก็ยังคงหนักอยู่ดี อย่างน้อยก็ทำให้ซี่โครงของเขาร้าวได้


 


“เจ้าเป็นคนของวังเทียนจี๋อย่างงั้นเหรอ?” หลินเฟิงมองมาที่พวกเขาอย่างเย็นชา


 


“ถ้าใช่แล้วทำไม?” อี้เทียนหยุนตอบกลับเบาๆ


 


“ก็ไม่มีอะไร เป็นแค่สำนักสวะ แต่กลับกล้าทำตัวอวดดี ทั้งยังทำร้ายคนของข้า! จะตีสุนัขต้องดูเจ้าของ คำนี้เจ้าไม่เคยได้ยินหรือไง!” หลินเฟิงมองพวกเขาอย่างเย็นชา แล้วพูดขึ้นว่า “หลี่ห้วน ใครเป็นคนทำร้ายเจ้าเมื่อกี้นี้?”


 


“เป็นมัน!” หลี่ห้วนชี้ไปยังอี้เทียนหยุนแล้วพูดขึ้น


 


“อืม ข้าไม่อยากเปลืองมือด้วยสิ ฉะนั้น เจ้าจงม้วนตัวออกไปจากที่นี่ซะ แล้วข้าจะไม่สืบสาวราวเรื่องกับเจ้า…. และจะไม่เอาเรื่องวังเทียนจี๋ของพวกเจ้าด้วย!” หลินเฟิงพูดอย่างเย็นชา


 


เขาเน้นคำว่าวังเทียนจี๋โดยเฉพาะ เห็นได้ชัดว่าเขาดูถูกวังเทียนจี๋ที่ตกต่ำลง จนลดระดับลงไปเทียบเท่ากับขุมอำนาจชั้น 2 ต่อให้จะแท้จริงแล้ววังเทียนจี๋จะเหนือกว่าขุมอำนาจชั้น 2 มาก แต่สำหรับขุมอำนาจชั้น 3 แล้ว ขุมอำนาจชั้น 2 ก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากขยะ จะบดบี้ยังไงก็ได้ตามใจ


 


“จะไม่เอาเรื่องวังเทียนจี๋ของพวกเราอย่างงั้นเหรอ?” ผู้อาวุโสใหญ่ออกหน้า พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ช่างเป็นวาจาที่สามหาวนัก ข้าคิดว่านี่ไม่น่าใช่คำพูดของพวกที่ลงมือก่อน เรื่องนี้คนของเราไม่ได้เป็นคนเริ่ม”


 


เขาไม่ได้เรียกว่าประมุข ด้วยเพราะนี่ถือว่าเป็นความลับ ถึงยังไงหลังจากนี้ประมุขวัยเยาว์คนนี้ของพวกเขาก็ต้องทำให้ทุกคนรู้เป็นวงกว้างอยู่ดี


 


“ข้าจะขอพูดเป็นครั้งสุดท้าย เพราะว่าข้าขี้เกียจลงมือ ไม่อย่างนั้นข้าคงตัดมือมันทิ้งไปแล้ว” ระดับของหลินเฟิงคนนี้ไม่ได้สูงนัก อยู่เพียงระดับหลอมรวมขั้นที่ 5 แต่ว่าคนคุ้มกันที่อยู่ข้างๆ เขานั้นกลับมีระดับที่สูงถึงระดับก่อแกนวิญญาณขั้นที่ 6 ซึ่งสูงกว่าระดับของผู้อาวุโสใหญ่ของวังเทียนจี๋


 


ผู้อาวุโสใหญ่ขมวดคิ้ว คนพวกนี้ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี เขารู้ว่าอี้เทียนหยุนจะต้องไม่ใช่คนเริ่มลงมืออย่างแน่นอน ปัญหาจะต้องมาจากอีกฝั่งแน่ๆ


 


แต่ไม่ว่าความจริงจะเป็นยังไง แต่กับสำนักใหญ่แล้ว ฝั่งตัวเองถูกเสมอ!


 


อี้เทียนหยุนสีหน้าเย็นชา “ข้าก็จะขอพูดเป็นครั้งสุดท้ายเช่นกัน ถ้าไม่หลีกทาง ข้าจะกระทืบให้จมดินทุกคน!”


 


นัยน์ตาหลินเฟิงหดลง เขาว่าเขาหยิ่งแล้ว แต่ไม่คิดว่าเจ้าหนูนี่จะหยิ่งยิ่งกว่าเขา จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้น พร้อมกับชี้มาที่อี้เทียนหยุน และพูดอย่างเย็นชาว่า “วังเทียนจี๋ที่ไร้ความสามารถ แต่กลับกล้าทำตัวผยอง….. กำจัดมันซะ!”


 


ผู้เชี่ยวชาญระดับก่อแกนวิญญาณที่ยืนอยู่ด้านข้างเงียบๆ พลันกระโจนเข้าใส่อี้เทียนหยุน ผู้อาวุโสใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ ก็รีบเข้ามารับมือโดยไว หวังจะช่วยป้องกันการโจมตีนี้ให้อี้เทียนหยุน แต่อี้เทียนหยุนกลับเร็วกว่า เขายกเท้าถีบ “เปรี้ยง” ออกไป ส่งร่างผู้เชี่ยวชาญคนนั้นกระเด็นจากระเบียงไป ก่อนที่จะกระแทกหนักๆ ลงกับพื้น ทั่วทั้งร่างยุบยวบ เป็นหลักฐานชั้นดีว่าเท้านี้ของอี้เทียนหยุนนั้นหนักแค่ไหน!


 


“ต่อไปตาเจ้า” อี้เทียนหยุนเดินเข้าไปหาหลินเฟิง


 


หลินเฟิงกับพวกหวาดกลัว ผู้เชี่ยวชาญระดับก่อแกนวิญญาณยังถูกถีบกระเด็นในพริบตา แล้วอย่างพวกเขาจะไปทำอะไรได้!


 


“เจ้า เจ้ากล้าลงมือกับข้าอย่างงั้นเหรอ? ข้า ข้าเป็นคนของวังเสินเหวินนะ….” หลินเฟิงตัวสั่น หวาดกลัวกับพลังที่อี้เทียนหยุนแสดงออกมา


 


“ไสหัวไป!”


 


อี้เทียนหยุนถีบเท้าออกไปอย่างแรง หลินเฟิงรีบป้องกัน แต่อย่างเขาจะไปป้องกันลูกถีบที่น่ากลัวอย่างนี้ได้ยังไง ทำให้เขาถูกถีบกระเด็นจากระเบียงตามไปอีกคน ก่อนที่จะกระแทกลงพื้นอย่างหนัก


 


“ปัง” เขาไม่เหลือกลิ่นอายแห่งชีวิตแม้แต่น้อย


 


“ติ๊ง ท่านสังหารหลินเฟิงสำเร็จ ได้รับค่าประสบการณ์ 23,000, ค่าความคลั่ง 2,400, ค่าความชั่ว 30, ค่าความชำนาญในการสลักอาคม 500, วิชาเทียนหยาง, พัดขนนกจื่อจิน”


 


“หือ? ตายเลยเหรอ?” อี้เทียนหยุนตกใจ ไม่คิดว่าหลินเฟิงคนนี้จะเปราะบางขนาดนี้ เขาแค่อยากจะสั่งสอน แต่ไม่คิดสักนิดว่าหลินเฟิงคนนี้จะเปราะบางอย่างนี้ เพียงแค่ตกจากชั้น 3 ก็ถึงกับตายซะแล้ว


 


เรื่องนี้จะยังไงก็ช่าง ถึงยังไงเขาก็ไม่สนใจอยู่แล้ว


 


จากนั้นเขาก็กำนัลเท้าให้กับพวกหลี่ห้วนที่เหลือ ทำให้พวกเขากระเด็นตกระเบียงไปตามๆ กัน ทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่โชคของพวกเขายังดีหน่อยที่ไม่ถึงกับตาย


 


คนกลุ่มนี้พากันส่งเสียงครวญครางอยู่ในโถงใหญ่ เพราะการตกลงมานี้รุนแรงมาก


 


ผู้เชี่ยวชาญคนนั้นลุกขึ้นมาโดยไม่ส่งเสียง พร้อมกับแบกศพของหลินเฟิงขึ้น ในความกลัวยังแฝงไว้ด้วยความโกรธ เขาจ้องไปทางอี้เทียนหยุนอย่างดุร้ายคราหนึ่ง จากนั้นก็พาหลินเฟิงจากไป คำพูดสักคำก็ไม่ทิ้งไว้ ราวกับเป็นใบ้ หรือไม่ก็ไม่อยากพูด


 


“ประมุข นี่ นี่มันกลายเป็นเรื่องใหญ่แล้วนะ?” ผู้อาวุโสใหญ่มองดูกลุ่มศิษย์วังเสินเหวินถูกถีบกระเด็นก็ให้รู้สึกตกใจ


 


มู่เซียนเอ๋อที่อยู่ใกล้ๆ ก็ได้เห็นความโอหังของอี้เทียนหยุนเช่นกัน เธอไม่เคยเห็นความโอหังเช่นนี้มาก่อน บอกว่าถีบเป็นถีบ แต่ว่าฝั่งตรงข้ามเป็นถึงวังเสินเหวินซึ่งเป็นขุมอำนาจชั้น 3 และเมื่อเทียบกับพวกเธอแล้ว พวกเขาแข็งแกร่งกว่ามากนัก!


 


“ยิ่งอดทนก็จะยิ่งทำให้อ่อนแอ แล้วจะทำให้พวกเขาคิดว่าพวกเรารังแกได้ง่ายๆ…..” สายตาของอี้เทียนหยุนหันมา “ในเมื่อข้าคือประมุข ข้าก็ควรจัดการเรื่องบางอย่างให้กับวังเทียนจี๋ พร้อมทั้งปกป้องศักดิ์ศรีของวังเทียนจี๋เรา!”


 


ยิ่งอดทนยิ่งถูกรังแก ตอนนิกายเทียนเฉวียนของพวกเขาก็เช่นกัน ยิ่งอดทนยิ่งพาความแตกดับเข้ามาสู่ตน!



CLS ตอนที่ 230: งานเลี้ยง


 


ปกป้องศักดิ์ศรีของวังเทียนจี๋!


 


คำพูดนี้พลันทำให้เลือดลมของพวกเขาพุ่งพล่าน อำนาจในปัจจุบันของพวกเขาด้อยกว่าคนอื่น ทำให้ศักดิ์ศรีต้องพลอยโดนเหยียบย่ำ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ในใจรู้สึกท้อแท้ได้ยังไง? แต่ตอนนี้เมื่ออี้เทียนหยุนออกหน้า ทำให้ความท้อแท้ทอดอาลัยของพวกเขาจางหายไป พร้อมกับจุดไฟขึ้นในใจของพวกเขาอีกครั้ง


 


“พวกเราขอน้อมรับคำสั่งสอนของประมุข ท่านประมุขจะให้เราทำอะไรก็จะทำอย่างนั้น!” ผู้อาวุโสใหญ่พยักหน้าหนักๆ เชื่อมั่นในอี้เทียนหยุนอย่างเต็มเปี่ยม ก่อนหน้านี้เพราะคิดว่าศักยภาพของเขาดีเยี่ยม จึงยอมรับชะตาให้เขาเป็นประมุข แต่ด้วยการกระทำของเขาในตอนนี้ ทำให้เขายอมรับอี้เทียนหยุนในฐานะประมุขอย่างเต็มตัว


 


แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว แม้จะยังไม่แข็งแกร่งดุจเดิม แต่ก็ไม่ยอมให้ถูกรังแกง่ายๆ ต่อไปแล้ว เพราะผลลัพธ์สุดท้ายของการยอมจำนน ก็คือความตาย! แต่ถ้าในที่สุดแล้วต้องตายไปจริงๆ ก็ขอต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีของตัวเองดีกว่า!


 


วังเทียนจี๋ค่อนข้างมีชื่อเสียงในอดีต ทุกคนล้วนแต่ภาคภูมิใจ แต่ตอนนี้กลับเหมือนกับหน่อไผ่ที่ถูกสุนัขแทะกิน แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ท้อแท้ได้ยังไง


 


อี้เทียนหยุนเผยรอยยิ้มออกมา ต่อให้เป็นระดับอาณาจักร เขาก็ยังจะกำจัดไปโดยไม่สนใจอะไรอยู่ดี! ฝ่ายตรงข้ามขึ้นมากดหัวเขาถึงที่ ทั้งยังขู่ว่าจะตัดแขนเขาอีก ซึ่งนี่เขาไม่มีทางยอมอยู่แล้ว อย่าว่าแต่ขุมอำนาจชั้น 3 เลย เพราะตอนนี้เขาไม่กลัวขุมอำนาจชั้น 3 หน้าไหนอยู่แล้ว!


 


มาเท่าไหร่ฆ่าเท่านั้น เปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นค่าประสบการณ์ให้หมด


 


“วังเสินเหวินนี่ช่างโอหังจริงๆ ดูอย่างเจ้าหลินหลี่อะไรนั่น คิดว่าตัวเองเป็นศิษย์ของวังเสินเหวินแล้วจะอวดเก่งยังไงก็ได้อย่างงั้นเหรอ?”


 


ไม่ปฏิเสธว่าวังเสินเหวินนั้นมีชื่อเสียงไม่น้อยจริงๆ ทั้งที่จริงแล้วสำนักของพวกเขาก็ค่อนข้างแข็งแกร่ง พร้อมกับมีผู้เชี่ยวชาญมากมายที่ติดต่อกับพวกเขา ไม่แปลกใจที่จะทำตัวโอหัง ตอนแรกคิดว่าวังเสินเหวินจะมีขยะแค่หลินหลี่คนเดียว แต่ตอนนี้เหมือนว่าเขาจะคิดผิดไป แท้จริงแล้วกลับเป็นสำนักที่เต็มไปด้วยขยะกองโต!


 


แต่ละคนล้วนแต่เป็นสุนัขตาต่ำ ชอบทำตัวหยิ่งยโส ถ้าเจอกับสำนักที่ต่ำกว่า ไม่มีทางไว้หน้าแม้แต่น้อย


 


นี่ทำให้อี้เทียนหยุนรังเกียจวังเสินเหวินนี้ หวังว่าวังเสินเหวินจะไม่ตามมาตอแยเขาอีก ไม่อย่างนั้น เขาจะบดขยี้วังเสินเหวินนี้ทิ้งซะ แล้วเอาค่าความชำนาญในการสลักอาคมกองตัวเข้าตัว ทำให้เขาเลื่อนระดับของความชำนาญในการสลักอาคมไวขึ้นอีกหน่อย


 


จากนั้นพวกเขาก็กลับเข้าห้องไป อี้เทียนหยุนอยู่ในห้องคนเดียว ส่วนอีกสี่คนพักอยู่อีกห้อง ด้วยระดับอย่างพวกเขาแล้ว ไม่จำเป็นต้องนอนพักอีกต่อไป เพียงแค่นั่งสมาธิก็พอแล้ว เพราะสุดท้ายแล้วก็ไม่ต่างอะไรไปจากการนอนเลย


 


ตอนแรกอี้เทียนหยุนอยากให้พวกเขามาพักกับเขาด้วย แต่ผู้อาวุโสใหญ่กับพวกกลับไม่ยอม ให้อี้เทียนหยุนพักในห้องคนเดียว นี่เป็นการดูแลที่ประมุขควรได้รับ


 


อี้เทียนหยุนรู้สึกช่วยไม่ได้ จึงได้แต่พักในห้องคนเดียว เวลาในงานเลี้ยงใกล้เข้ามาแล้ว วันมะรืนก็ถึงแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องคอยนาน เนื่องเพราะเขารู้วันเวลาที่แน่นอนจากบัตรเชิญอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่รีบมา เพื่อที่จะได้ไม่ต้องรอนาน


 


พริบตา เวลาก็ได้ผ่านไป ในช่วงที่ผ่านมานี้ วังเสินเหวินไม่ได้ส่งคนมาหาเรื่องเขา จึงทำให้ที่นี่ค่อนข้างสงบ


 


“ได้เวลาแล้ว” อี้เทียนหยุนลืมตาขึ้นมา อยู่ในนี้เขาทำการสลักอาคมเล่นๆ ภายใต้การฝึกฝนเล็กๆ ทำให้เขาได้รับค่าความชำนาญมา


 


เขาอยากจะรีบย้ายนิกายเทียนเฉวียนมาที่วังเทียนจี๋เพื่อรวมสองสำนักเข้าด้วยกัน ไม่ต้องสงสัยว่าการทำอย่างนั้นจะทำให้ความแข็งแกร่งโดยรวมเพิ่มขึ้นด้วย


 


ขณะที่เขาก้าวออกจากห้อง พวกผู้อาวุโสใหญ่ก็เพิ่งออกจากห้องมาเช่นกัน พวกเขาต่างพากันมองตากัน ทำให้เห็นถึงความระแวดระวังจากแววตาของอีกฝ่าย งานเลี้ยงคราวนี้ พวกเขาไม่เชื่อว่าจะเป็นงานเลี้ยงที่บริสุทธิ์ ถ้าใครคิดอย่างนั้นก็เป็นคนโง่แล้ว


 


ตอนแรกที่ผู้อาวุโสหยุนของตำหนักซิงเฉินเชิญเขานั้น ได้อธิบายว่าวัตถุประสงค์ในการมาของอาณาจักรใต้พิภพนั้น ก็เพื่อเชิญพวกเขาเข้าร่วมงานเลี้ยง ซึ่งในงานเลี้ยงจะเป็นหัวข้ออะไรนั้น ขึ้นอยู่กับตัวแทนที่มา แต่พวกเขาเชื่อว่าจะต้องไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน


 


“ไปกันเถอะ”


 


พวกเขาพยักหน้า จากนั้นก็เดินตรงไปยังตำหนักกลางเมืองจู้หลง ตัวตำหนักประดับประดาอย่างหรูหรา ทำให้ผู้คนมารวมตัวกันมากมาย แต่คนที่ถูกเชิญเข้าไปนั้น กลับมีน้อยนิด


 


ดังนั้น จึงทำให้ขุมอำนาจชั้น 3 หลายสำนักที่มาต้องพักที่โรงเตี๊ยม ทำให้โรงเตี๊ยมในเมืองถูกพวกเขาจองจนเต็ม การดูแลอย่างนี้นับว่าแย่มาก พูดได้ว่าอาณาจักรใต้พิภพนั้นช่างโอหังยิ่งนัก เป็นคนเชิญพวกเขามาเองแท้ๆ แต่กลับไม่เตรียมที่พักอาศัยเอาไว้ให้ ต้องให้พวกเขาไปหาที่พักตามโรงเตี๊ยมกันเอาเอง


 


แม้ว่าด้วยระดับอย่างพวกเขาจะนั่งสมาธิอยู่ที่ไหนก็ได้ แต่สำนักล้วนต้องคำนึงถึงหน้าตา กระทั่งที่พักยังไม่มี แล้วจะไม่ถูกหัวเราะเยาะหรือยังไง?


 


อย่างรวดเร็ว พวกเขาก็มาถึงประตูเข้าเมือง สองฟากข้างมียามรักษาการณ์ระดับหลอมรวมสองคนยืนเฝ้าอยู่ พร้อมคอยตรวจสอบบัตรเชิญ ใครที่ไม่มีบัตรไม่สามารถเข้าไปได้


 


“ขอบัตรเชิญด้วย!” ยามบอกพวกเขาให้หยุน พร้อมกับขอบัตรเชิญ


 


ผู้อาวุโสใหญ่ส่งบัตรเชิญให้ไป หลังจากตรวจดูเล็กน้อย ยามก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “เข้าไปได้!”


 


พวกเขาถูกอนุญาตให้ผ่านในทันที สำหรับรูปลักษณ์ของพวกอี้เทียนหยุนนั้น พวกเขาไม่ชำเลืองดูแม้แต่น้อย ตราบเท่าที่มีบัตรเชิญ ต่อให้เป็นขอทานก็สามารถเข้าไปได้ และแน่นอนว่าต้องมีความกล้าที่จะทำอย่างนั้นด้วยเช่นกัน ถ้าเกิดปลอมตัวเข้าไป แน่นอนว่าเท่ากับเอาชีวิตไปทิ้ง


 


หลังจากเข้ามา ก็ได้มียามหลายคนเดินตรวจตรารอบๆ งาน สายตาของพวกเขาจับจ้องมาที่นี่คราหนึ่ง ตัวหัวหน้านั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญระดับก่อแกนวิญญาณ ส่วนลูกน้องนั้นมีระดับหลอมรวม


 


ความห่างชั้นนั้นไม่ใช่น้อยๆ ผู้เชี่ยวชาญระดับก่อแกนวิญญาณในขุมอำนาจชั้น 3 ล้วนแต่เป็นระดับผู้อาวุโสด้วยกันทั้งนั้น แต่ที่นี่กลับเป็นได้แค่หัวหน้ายามรักษาการณ์ แน่นอนว่าระดับของพวกเขานั้นไม่ต่ำ เพียงแต่เมื่อเทียบกับระดับผู้อาวุโสที่ใช้ชีวิตอย่างสบายแล้ว พวกเขากลับต้องเดินไปมาเพื่อตรวจตราสถานการณ์ต่างๆ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาได้จัดการเรื่องพวกนี้บ่อยๆ


 


อยากจะเป็นระดับผู้อาวุโสนั้น อย่างน้อยต้องอยู่ในระดับผันแปรวิญญาณ แต่จะถูกเรียกว่าต้าเฉิน(น่าจะประมาณเสนาบดี) หรือไม่ก็เจียงจวิน(ส่วนอันนี้แม่ทัพ)


 


อี้เทียนหยุนได้ยินมาว่าผู้ที่จะมาในวันนี้มีตำแหน่งต้าเฉิน ส่วนระดับนั้นน่าสะพรึงยิ่งนัก เพราะเป็นถึงปรมาจารย์ระดับผันแปรวิญญาณขั้นที่ 6 ช่างท้าทายสวรรค์จริงๆ ด้วยพลังระดับนี้ ทำให้สามารถสะกดข่มบรรพชนของขุมอำนาจชั้น 3 ได้อย่างง่ายดาย แล้วอย่างนี้จะไปมีใครกล้าปากพล่อยได้ยังไง


 


ภายใต้การนำทาง พวกเขาก็ได้เข้ามายังพื้นที่ชั้นในอย่างรวดเร็ว ที่นี่มีผู้เชี่ยวชาญกำลังพูดคุยกันมากมาย หลายขุมอำนาจต่างก็แยกตัวกันเป็นกลุ่มๆ อี้เทียนหยุนมองดู ดูว่าจะมีคนที่เขารู้จักอยู่ในนี้ไหม


 


เขาเพิ่งจะเงยหน้าขึ้นดู ก็พลันพบกับร่างงดงามที่คุ้นเคย ก่อนหน้านี้ที่เกาะโหมวหยุน เขาได้พบกับผู้หญิงสองคน เขาจำได้ว่าชื่อของพวกเธอคืออวี่ชีเชียนและจ้าวอวี่ พวกเธอก็มางานเลี้ยงนี้ด้วย เขารู้ว่าทั้งสองจะต้องเป็นศิษย์จากสำนักใหญ่อย่างแน่นอน คนที่ถูกเชิญมางานนี้ จะต้องเป็นศิษย์สำนักใหญ่แน่นอนอยู่แล้ว


 


ยังไงก็ตาม ตอนนี้เขาไม่ได้ใส่หน้ากากร้อยแปลง ดังนั้นพวกเธอจึงไม่สังเกตเห็นเขา


 


“ทางนั้นเป็นฝั่งของสำนักอะไร?” อี้เทียนหยุนชี้ไปที่ทางฝั่งอวี่ชีเชียน


 


“ทางนั้นคือศิษย์หญิงของวังไป๋เหลียน(บัวขาว) มีชื่อเสียงในอาณาจักรเทียนจิ่งนี้มากเชียวล่ะ ที่สำคัญยังเป็นสำนักที่รับแต่ศิษย์หญิงด้วย….. นี่ก็เหมือนกับนิกายเทียนเฉวียนของท่านประมุขนั่นล่ะ” ผู้อาวุโสใหญ่ตอบ


 


“วังไป๋เหลียน ทั้งยังรับแต่ศิษย์ผู้หญิงด้วย…… น่าสนใจ” ตาอี้เทียนหยุนเป็นประกาย สำนักที่รับแต่ศิษย์ผู้หญิงนั้น แท้จริงไม่ได้มีอะไรพิเศษนัก นิกายเทียนเฉวียนไม่ใช่สำนักแรก และก็ไม่ใช่สำนักสุดท้าย



CLS ตอนที่ 231: ทำลายตันเถียน


 


วังไป๋เหลียนนั้นทรงอำนาจมาก เป็นธรรมดาที่จะถูกเชิญ อวี่ชีเชียนก็เป็นหนึ่งในตัวแทน ส่วนใหญ่แล้วที่เห็นจะมีตัวประมุขมาด้วย อาณาจักรใต้พิภพเป็นคนเชิญ กระทั่งตัวตนระดับประมุขยังไม่กล้าเมิน


 


อาณาจักรใต้พิภพเป็นอาณาจักรใหญ่ที่มีจักรพรรดิเป็นผู้ปกครอง พวกเขาจำเป็นต้องให้ประมุขมาด้วยตัวเอง นอกเสียจากว่าจะไม่มีประมุข อย่างนั้นคงต้องเป็นตัวแทนคนอื่น ดังนั้น เมื่ออี้เทียนหยุนกวาดตามองรอบๆ เขาก็พบกับผู้เชี่ยวชาญกลุ่มใหญ่ แต่ละคนล้วนแต่อยู่ในระดับก่อแกนวิญญาณทั้งนั้น


 


ส่วนระดับหลอมรวมมีนับไม่ถ้วน ถ้าเกิดว่านี้เป็นขุมกำลังของสำนักใดสำนักหนึ่งล่ะก็ มันจะต้องเป็นสำนักที่ร้ายกาจที่สุดบนทวีปเทียนจิ่งนี้อย่างแน่นอน!(ขอเปลี่ยนจากอาณาจักรเป็นทวีปนะครับ มันจะไปซ้ำกับระดับของสำนักเอา)


 


ยังไงก็ตาม มันก็มีสำนักที่มีระดับนี้อยู่เหมือนกัน นั่นก็คืออาณาจักร ผู้เชี่ยวชาญระดับก่อแกนวิญญาณในอาณาจักรนั้นมีมาก เหนือกว่าสิบขึ้นไป ส่วนระดับหลอมรวมยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่อย่างนั้นคงไม่ถูกเรียกว่าอาณาจักรหรอก


 


อาณาจักรสามารถกวาดล้าง หรือควบคุมทั่วทั้งทวีปเทียนจิ่งนี้ได้ นี่ก็คือความแข็งแกร่งของพวกเขา


 


“อี้เข่อชิง(แขกผู้ทรงเกียรติ) เจ้าก็มาด้วย?” น้ำเสียงที่คุ้นหูดังมาจากด้านข้าง


 


อี้เทียนหยุนหันไปมอง แล้วก็พบว่าเป็นผู้อาวุโสหยุนที่กำลังเดินมาหาเขาด้วยสีหน้าตกใจ เขาพึ่งจะพูดไปว่าการที่อี้เทียนหยุนไม่มาเป็นเรื่องน่าเสียดายนัก เพราะที่นี่มีผู้เชี่ยวชาญอยู่มาก ถ้าสามารถรู้จักเพิ่มคนหนึ่ง มันจะต้องเป็นประโยชน์ต่อตัวอี้เทียนหยุนไม่ใช่น้อยๆ อย่างแน่นอน


 


แต่ไม่คิดว่าอี้เทียนหยุนจะมาด้วย ทั้งยังมาพร้อมขุมอำนาจอื่น


 


“ผู้อาวุโสหยุน ท่านก็มาด้วย” อี้เทียนหยุนยิ้ม กับตำหนักซิงเฉินนี้ เขารู้สึกละอายอย่างมาก ถึงยังไงเขาก็เป็นคนทำให้สระเทียนหลิงยี่ของผู้อื่นเหือดแห้ง จนไม่เหลือไว้แม้สักหยด


 


“ใช่ พวกเราเพิ่งมาถึงเมื่อกี้นี้เอง เจ้าตำหนักหลี่เพิ่งจะพูดอยู่เลยว่าเจ้าไม่มา ยังรู้สึกเสียดายแทนเจ้าไม่หาย” ผู้อาวุโสหยุนมองไปทางพวกผู้อาวุโสใหญ่อย่างมีความหมาย “ไม่คิดว่าเจ้าจะมาด้วยกันกับวังเทียนจี๋ หรือว่าอี้เข่อชิงจะเข้าร่วมวังเทียนจี๋แล้ว?”


 


“ใช่ ข้าเข้าร่วมวังเทียนจี๋แล้ว อยากจะขอให้ผู้อาวุโสหยุนช่วยดูแลพวกเราด้วย” อี้เทียนหยุนไม่ปกปิด ในเมือตอนนี้เขาเลือกที่จะยืนข้างวังเทียนจี๋ แน่นอนว่าต้องเป็นคนของวังเทียนจี๋


 


“ยินดีกับอี้เข่อชิงด้วย” ปากของผู้อาวุโสหยุนพูดแสดงความยินดี แต่สายตาที่อ่อนโยนกลับมีแววของความผิดหวังวาบผ่าน คิดว่าระดับอย่างอี้เทียนหยุนนั้น การเข้าร่วมกับวังเทียนจี๋ช่างเป็นการเสียเปล่านัก


 


วังเทียนจี๋ยิ่งมายิ่งตกต่ำ กระทั่งทรัพยากรที่หาได้ก็ไม่เท่าไหร่ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ผู้อาวุโสหยุนผิดหวังได้ยังไง? ยังไงก็ตาม เขาก็ไม่ได้เอ่ยปากชักจูงอะไร ถึงยังไงเขาก็ไม่ได้คุ้นเคยกับอี้เทียนหยุนอยู่แล้ว


 


และในตอนนี้เอง ก็ได้มีร่างที่คุ้นเคยปรากฏขึ้น ทำให้อี้เทียนหยุนรู้สึกประหลาดใจ ผู้มาใหม่นี้ไม่ใช่บุคคลยิ่งใหญ่อะไร แต่เป็นจางปิน คนที่ถูกเขาโจมตีไปเมื่อก่อนหน้านั่นเอง! นี่เป็นเพียงแค่ตัวประกอบเล็กๆ เป็นแค่ตัวตนสามัญ แต่ไม่คิดว่าจะปรากฏตัวขึ้นที่นี่ จึงทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ


 


“คารวะผู้อาวุโสใหญ่….” จางปินเดินเข้ามา พร้อมกับทักทายผู้อาวุโสใหญ่ ท่าทางของเขาไม่ได้มีความสุภาพแม้แต่น้อย ทั้งยังเต็มไปด้วยความอวดดีด้วยซ้ำ และเมื่อมองมาที่อี้เทียนหยุน สายตาของเขาก็กลายเป็นดูถูก “เอ๋ ไม่คิดว่าเจ้าจะเข้ามาร่วมสนุกด้วย ดูเหมือนว่าวังเทียนจี๋จะให้ความสำคัญกับเจ้าจริงๆ นะ”


 


จางปินนั้นแน่นอนว่าไม่รู้ว่าอี้เทียนหยุนเป็นประมุข ซึ่งเรื่องนี้ยังไม่ได้ประกาศสู่ภายนอก คนส่วนใหญ่จึงไม่รู้ว่าเขาคือประมุขที่แท้จริง มีเพียงผู้จัดการที่เชื่อถือได้เท่านั้น ถึงจะรู้ว่าอี้เทียนหยุนเป็นประมุข


 


ตอนแรกเหล่าผู้จัดการต่างพากันไม่เชื่อ แต่หลังจากทำความเข้าใจแล้วก็พากันตกใจ แม้ว่าชื่อเสียงอาจจะไม่เพียงพอ แต่อย่างน้อยระดับพลังก็เกินพอแล้ว


 


“หืม? ข้าจำได้ว่าเจ้าชื่อจางปิน เป็นคนของตำหนักเทียนเหวิน ทำไมเจ้ามาอยู่ที่นี่?” ผู้อาวุโสใหญ่ขมวดคิ้ว ศิษย์ตำหนักเทียนเหวินมีใครบ้างเขาย่อมรู้ดี กระทั่งว่ายังจำชื่อได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะจางปินที่มีตำแหน่งสูงมาก ดังนั้นเขาจึงรู้จักเป็นธรรมดา


 


“แล้วทำไมข้าจะมาที่นี่ไม่ได้…..” จางปินพูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอวดดี “นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะเรียกท่านว่าผู้อาวุโสใหญ่ จากนี้ไป ข้าเป็นคนของวังเสินเหวิน และก็ขอแสดงความเสียใจด้วย พวกเขาหลายคนได้เข้าร่วมวังเสินเหวินแล้ว ไม่ใช่คนของวังเทียนจี๋อีกต่อไป”


 


“อะไรนะ?” สีหน้าผู้อาวุโสใหญ่ดำคล้ำอย่างน่ากลัว “เจ้ารู้หรือไม่ว่าการทรยศสำนักจะต้องเจอกับบทลงโทษอะไรบ้าง!”


 


“ข้าย่อมรู้อยู่แล้ว การทรยศสำนัก ต้องถูกทำลายพื้นฐานฝึกตนใช่ไหมล่ะ….” จางปินพูดด้วยรอยยิ้ม “อย่างวังเทียนจี๋มีอะไรให้เสียด้วย? ก็แค่ค่ายกลขยะ วิชายุทธ์ขยะ ฝึกไปก็ไม่ได้รู้สึกก้าวหน้าอะไร วังเสินเหวินยังดีกว่าตั้งเยอะ…. วังเทียนจี๋น่ะ เน่าเปื่อยเต็มทีแล้ว”


 


“เจ้า!” ผู้อาวุโสใหญ่ถลึงตา ทำท่าจะโจมตี


 


แต่จางปินไม่กลัว “ข้ามีวังเสินเหวินหนุนหลังอยู่ จากนี้ไปข้าเป็นคนของหวังเสินเหวิน ท่านโจมตีข้าก็เท่ากับตบหน้าวังเสินเหวิน ท่านต้องคิดให้ดีๆ ไม่อย่างนั้นจะเป็นการทำลายความสัมพันธ์ของสองสำนัก…..”


 


“เพี๊ยะ!”


 


ฝ่ามือถูกตบออกไป ตบเข้าที่หน้าของจางปินอย่างแรงจนกระเด็นไป เสียงตบนี้เรียกความสนใจของคนรอบๆ ได้ทันที พวกเขาต่างพากันมองมาที่นี่ ไม่คิดว่าจะมีคนกล้าลงมือในงานเลี้ยงครั้งนี้ด้วย?


 


และคนที่ลงมือก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นอี้เทียนหยุน!


 


“สวะ ขนาดขยะยังดีกว่าเจ้าเลย” อี้เทียนหยุนสะบัดมือ สายตาเย็นชาจนน่ากลัว


 


จางปินที่ถูกตบ ทำให้ฟันร่วงหลุดจากปากไปไม่รู้กี่ซี่ เลือดท่วมปาก ดูแล้วน่าสยองยิ่งนัก


 


“เจ้า เจ้ากล้าทำร้ายข้า!” จางปินลุกขึ้นมา แน่นอนว่าเป็นเพราะอี้เทียนหยุนออมมือไว้ จึงทำให้เขาลุกขึ้นมาได้


 


“เกิดอะไรขึ้น?” ในตอนนี้เอง ได้มีชายหนุ่มเดินเข้ามา บนชุดของเขาปักไว้ด้วยอักษร “วังเสินเหวิน” สามตัวอักษร เห็นได้ชัดว่าเป็นคนของวังเสินเหวิน


 


“ผะ ผู้จัดการเซี่ยง….. มัน มันทำร้ายข้า คนของวังเทียนจี๋ทำร้ายข้า!” เมื่อจางปินเห็นผู้จัดการมา ก็ราวกับคว้าฟางข้าวเอาไว้ได้ พร้อมกับชี้มายังอี้เทียนหยุนแล้วพูดอย่างเย็นชา


 


ผู้จัดการเซี่ยงมองมา เมื่อรู้ว่าเป็นวังเทียนจี๋ สีหน้าก็พลันจมลงในทันที เขาเดินเข้ามา พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “วังเทียนจี๋ ไม่คิดว่าพวกเจ้าจะกล้าลงมือกับคนของพวกเราจริงๆ!”


 


อี้เทียนหยุนตกใจ หรือว่าคนพวกนี้จะไม่รู้เรื่องที่เขาฆ่าคนของวังเสินเหวิน? พวกเขาคงจะแยกกันมาเป็นกลุ่ม และเห็นได้ชัดว่าคนกลุ่มนี้ คือพวกที่พาจางปินกับพวกมาเปิดหูเปิดตา ส่วนพวกหลินเฟิงนั้น ไม่รู้ว่ามาเพราะเรื่องนี้ด้วยหรือเปล่า


 


“ข้าโจมตีคนของวังเทียนจี๋ของข้า แล้วมันมีปัญหาอะไรอย่างงั้นเหรอ?” อี้เทียนหยุนพูดอย่างไม่ใส่ใจ


 


“เขาในตอนนี้เป็นคนของวังเสินเหวินของพวกเราแล้ว วังเสินเหวินน่ะรู้จักหรือเปล่า!” ผู้จัดการเน้นคำว่า “วังเสินเหวิน” เป็นพิเศษ ทั้งใบหน้ายังเต็มไปด้วยความดูถูก พร้อมกับพูดขึ้นว่า “พรสวรรค์ของเขาถือว่าดี อยู่กับวังเทียนจี๋ก็เสียของเปล่าๆ…. ตั้งแต่วันนี้ไป พวกเขาเป็นคนของพวกเราแล้ว ถ้าเจ้าเก่งจริงก็ลงมือกับเขาอีกสิ ลงมือกับเขา เท่ากับลงมือต่อพวกเราวังเสินเหวิน!”


 


จางปินวางท่าอวดดีอยู่ข้างหลัง ใบหน้าเต็มไปด้วยความยั่วยุ มีผู้หนุนหลังอย่างนี้ ยิ่งทำให้เขาได้ใจ


 


“ใช่แล้ว ข้าเป็นคนของวังเสินเหวิน ไม่เกี่ยวอะไรกับวังเทียนจี๋ของพวกเจ้า! เจ้าต้องขอโทษกับการกระทำก่อนหน้านี้ อย่างน้อยก็ต้องให้ข้าตบคืนสองครั้ง ไม่อย่างนั้นเรื่องนี้ไม่จบแน่…..”


 


“เปรี้ยง!”


 


คราวนี้เป็นลูกเตะ พวกเขาไม่ทันตอบสนอง จางปินก็ถูกถีบกระเด็นไปแล้ว ราวกับเป็นการเหยียบหน้าผู้จัดการอย่างเขา


 


“ทุกสำนักล้วนมีกฎ ในเมื่อเจ้าอยากได้เจ้าขยะนี้นัก ย่อมได้! ตอนนี้พามันไปได้เลย” อี้เทียนหยุนโบกมือเป็นการเชื้อเชิญ


 


“ตันเถียน ตันเถียนของข้า พลังฝึกตนของข้า…..” จางปินลุกขึ้นมา สีหน้าราวกับคนตาย เมื่อพบว่าพลังฝึกตนของตนถูกทำลาย ตอนนี้เขากลายเป็นขยะไปแล้ว!



CLS ตอนที่ 232: เจ้าต่างหากที่โชคดี


 


ทรยศสำนัก สิ่งเดียวที่รออยู่คือการทำลายพื้นฐานฝึกตน นี่เป็นการลงโทษที่สาหัสที่สุด เมื่อไม่ต้องการชีวิต มีแต่ต้องทำลายพื้นฐานฝึกตน! ไม่อย่างนั้น เมื่อคนเข้าร่วมคิดจากไป สำนักจะดูแลไปเพื่ออะไร?


 


นอกเสียจากจะได้รับอนุญาต ไม่อย่างนั้นจำเป็นต้องทำลายพื้นฐานฝึกตน เมื่อเลือกที่จะทรยศสำนักแล้ว มีเพียงแต่ต้องทำลายพื้นฐานฝึกตนเท่านั้น ซึ่งนี่ก็เป็นหนทางที่เบาที่สุดแล้ว หนักสุดคือตาย!


 


อี้เทียนหยุนไม่ได้ลงมือเพื่อสังหารจางปิน แต่เลือกที่จะทำลายพื้นฐานฝึกตนของเขาแทน นี่เป็นการทำให้ฝั่งตรงข้ามสำนึกถึงความผิดของตนเอง แม้ว่าวังเทียนจี๋จะอยู่ในช่วงตกต่ำ แต่คนทรยศก็คือคนทรยศวันยังค่ำ ไม่จำเป็นต้องละเว้นแต่อย่างใด


 


ในฐานะประมุขวังเทียนจี๋ เขานั้นจำเป็นต้องทำความสะอาดสำนักด้วยตนเอง!


 


“พื้นฐานฝึกตนของข้า พื้นฐานฝึกตนของข้า…..” จางปินร้องโหยหวน “ผู้จัดการเซี่ยง เขาทำลายพื้นฐานฝึกตนของข้า ข้ากลายเป็นคนพิการแล้ว…..”


 


พื้นฐานฝึกตนสามารถกลับฝึกกลับคืนมาได้อีกครั้ง แต่จำเป็นต้องใช้เวลาหลายปี นอกจากนี้เขายังต้องรับความช่วยเหลือจากเม็ดยาหนี่เทียนเสินอีกด้วย ไม่อย่างนั้น เขาก็จะกลายเป็นคนที่ใช้การไม่ได้ไปจริงๆ ทั้งการจะทำให้พื้นฐานฝึกตนกลับมาเท่าเดิมนั้น ยังต้องใช้เวลาอีกหลายปี


 


และอนาคตที่รออยู่ก็จะไม่มีทางเป็นใหญ่ได้ อย่าว่าแต่กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญอะไรนั่นเลย


 


ผู้คนที่พากันมองมาต่างเต็มไปด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าวังเทียนจี๋จะกล้าลงมือกับวังเสินเหวินจริงๆ นี่เกินกว่าการคาดการณ์ของพวกเรา พวกเขาคิดว่าวังเทียนจี๋จะกล้ำกลืนความโกรธเอาไว้ ยอมรับความอับอาย แต่ใครจะรู้ว่าพวกเขากลับลงมือ ซ้ำยังจัดการอย่างเด็ดขาดอีกด้วย


 


อวี่ชีเชียนเห็นร่างของอี้เทียนหยุนก็พลันขมวดคิ้ว เหมือนจะคิดอะไรออก แต่ก็คิดไม่ออกว่าอะไร


 


“ศิษย์พี่ มีอะไรเหรอ?” จ้าวอวี่ที่อยู่ใกล้ๆ ถามขึ้น


 


“ไม่มีอะไร ข้าก็แค่คิดว่าชายหนุ่มคนนั้นดูคุ้นๆ….” อวี่ชีเชียนส่ายหัว แล้วพูดว่า “ข้าอาจจะดูผิดก็ได้…..”


 


“ศิษย์พี่ ท่านสนใจเขาอย่างงั้นเหรอ!” จ้าวอวี่มองสำรวจอี้เทียนหยุน จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้ม “ชายหนุ่มคนนี้ยังดูเด็กนัก แต่ไม่คิดว่าจะใจกล้าและบ้าบิ่นอย่างนี้ เขาคงจะไม่รู้ว่าสร้างปัญหาอะไรขึ้น ฝั่งตรงข้ามคือวังเสินเหวิน นี่ออกจะโหดเหี้ยมเกินไป ผู้อาวุโสของวังเทียนจี๋ไม่ได้สั่งสอนเขาหรือไง ว่าการทำอย่างนี้จะนำปัญหาใหญ่มาให้”


 


อวี่ชีเชียนพยักหน้าเหมือนกัน คิดว่าอี้เทียนหยุนออกจะใจกล้าบ้าบิ่นเกินไป คนหนุ่มมักจะใจร้อยเป็นธรรมดา ไม่รู้ว่าตนนั้นสร้างปัญหาใหญ่ขึ้นมาแล้ว


 


“วังเทียนจี๋ ดูเหมือนพวกเจ้าจะเบื่อที่จะมีชีวิตอยู่แล้วสินะ!” ผู้จัดการเซี่ยงพูดอย่างเย็นชา “พวกเจ้าคิดจะต่อต้านวังเสินเหวินของพวกเราจริงๆ? ผู้อาวุโสวังเทียนจี๋ เจ้าเป็นคนบอกให้ศิษย์เจ้าลงมืออย่างงั้นเหรอ?”


 


ผู้อาวุโสใหญ่ไม่พูด อี้เทียนหยุนเป็นศิษย์ของพวกเขาที่ไหนกัน….. เมื่อประมุขเป็นคนลงมือ พวกเขาเหล่าผู้อาวุโสก็ได้แต่คล้อยตามเท่านั้น


 


ผู้จัดการเซี่ยงมองไปที่ผู้อาวุโสใหญ่ เมื่อพบว่าพวกเขาไม่ยอมตอบ ก็มองไปที่พวกเขาอย่างเย็นชา แล้วพูดขึ้นว่า “ดูท่าเจ้าจะเป็นคนบอกให้ศิษย์ของเจ้าลงมือจริงๆ ตอนนี้ข้าจะให้โอกาสเจ้า ทำลายแขนสองข้างพร้อมกับพื้นฐานฝึกตนของมันซะ ก่อนที่ประมุขของพวกข้าจะมา แล้วข้าจะทำเหมือนเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น!”


 


“เพี๊ยะ!”


 


ฝ่ามือถูกฟาดออกไปอีกครั้ง กระทั่งตัวผู้จัดการเซี่ยงยังเห็นไม่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น ฝ่ามือนับไม่ถ้วนฟาดลงใบหน้าของเขาอย่างรุนแรง ตบจนเขาปลิวไป ก่อนที่จะไถลเป็นทางยาว สุดท้ายก็ชนเข้ากับเสาหิน พร้อมกับฟันที่ร่วงลงจากปากจำนวนมาก


 


เมื่อทุกคนเห็นเหตุการณ์นี้ก็พลันตกใจ พวกเขาคิดว่าวังเทียนจี๋จะขอโทษ หรือไม่ผู้อาวุโสใหญ่ก็คงต้องพูดอะไร แต่กลับกัน เด็กหนุ่มคนนั้นกลับฟาดฝ่ามือออกมา ซัดจนผู้จัดการเซี่ยงกระเด็นมาถึงนี่


 


“พวกเขาไม่ได้บอกให้ข้าลงมือ ข้าทำของข้าเอง” อี้เทียนหยุนพูดอย่างเฉยชา “ข้าเห็นเจ้าขวางหูขวางตามานานแล้ว แย่งเอาศิษย์ของสำนักอื่นไป แต่ยังทำตัวราวกับว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูก!”


 


ผู้คนพากันพูดไม่ออก เด็กหนุ่มคนนี้จะไม่โหดเหี้ยมเกินไปหน่อยเหรอ? กล้ากระทั่งลงมือกับผู้จัดการของฝั่งตรงข้าม ดูแล้วระดับของเขานั้นไม่ต่ำเลย! ยังหนุ่มแต่ระดับกลับไม่ต่ำกว่าระดับหลอมรวม นี่ทำให้พวกเขาต้องเขาสูงขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ ไม่รู้ว่าวังเทียนจี๋ได้ศิษย์ที่อัจฉริยะขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?


 


แต่พวกเขายังคงแอบถอนใจในใจ รอจนประมุขของวังเสินเหวินมา วังเทียนจี๋คงต้องจบสิ้น ถ้าเปลี่ยนเป็นวังเทียนจี๋เมื่อก่อนล่ะก็ เรื่องนี้คงไม่เป็นอะไร แต่กับวังเทียนจี๋ที่ตอนนี้กำลังตกต่ำจนแทบจะลดไปเป็นขุมอำนาจชั้น 2 ด้วยแล้ว ยังกล้าทำเรื่องหาที่ตายแบบนี้อีก


 


“เจ้า เจ้า…..” ผู้จัดการเซี่ยงกระโดดขึ้นมาอย่างโกรธเกรี้ยว ขณะที่กำลังจะโจมตีคืนอยู่นั้น สายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง ทำให้ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสุข พร้อมกับรีบวิ่งเข้าไปต้อนรับ “ท่านประมุข ท่านมาแล้ว….. วังเทียนจี๋พวกนี้จะโหดเหี้ยมเกินไปแล้ว กล้าลงมือทำลายพื้นฐานฝึกตนศิษย์ของพวกเรา ทั้งยังทำร้ายข้าด้วย!”


 


หนานเฟิงหยุนสีหน้าเย็นชา นำคนกลุ่มหนึ่งเดินมาตรงหน้าพวกอี้เทียนหยุน ในกลุ่มนั้นมีผู้เชี่ยวชาญระดับก่อแกนวิญญาณที่ถูกเขาถีบกระเด็นไปก่อนหน้าอยู่ด้วย ดูเหมือนตัวประมุขจะมาถึงแล้ว ประมุขของวังเสินเหวินคือหนานเฟิงหยุน ระดับของเขานับว่าดี อยู่ในระดับผันแปรวิญญาณขั้นที่ 3 แข็งแกร่งกว่าวังชิงเซวียนซะอีก


 


ประมุขวังชิงเซวียนไม่ใช่ปรมาจารย์ระดับผันแปรวิญญาณ มีแต่ระดับบรรพชนเท่านั้น แต่ประมุขวังเสินเหวินไม่ได้จะมีดีแค่ระดับฝึกตนเท่านั้น แต่เขายังเป็นถึงอาจารย์สลักอาคมชั้น 5 อีกด้วย ทำให้ฐานะของเขาสูงยิ่ง ไม่จำเป็นต้องพูดถึงระดับบรรพชนเลย


 


“ใครที่เป็นคนสังหารศิษย์ของข้า!” หนานเฟิงหยุนมองมาที่พวกเขาอย่างเย็นชา พร้อมกับส่งแรงกดดันออกมาสะกดข่มทุกคนในทันที ทำให้สีหน้าของพวกผู้อาวุโสใหญ่พากันเปลี่ยนสี ที่ควรจะมาก็ต้องมา ทั้งยังเป็นตัวประมุขวังเสินเหวินที่มาด้วยตัวเอง ปรมาจารย์ระดับผันแปรวิญญาณที่ร้ายกาจมาหาพวกเขาเองเลย


 


แม้จะถูกแรงกดดันของเขากดทับ แต่สีหน้าอี้เทียนหยุนยังคงเฉยชา เพิกเฉยโดยสมบูรณ์


 


“ถึงกับสังหารศิษย์ของเขาเลยเหรอ!?”


 


ผู้คนที่สัมผัสได้ถึงสถานการณ์ที่ร้ายแรงก็พากันตกใจ พวกเขาคิดว่าที่หนานเฟิงหยุนมานี่เพื่อที่จะจัดการกับคนที่กล้าลองดีกับพวกเขา พวกเขาคิดว่าแค่โจมตีผู้จัดการก็สร้างปัญหามากพอแล้ว แต่ไม่คิดว่าพวกเขาถึงกลับสังหารศิษย์ของหนานเฟิงหยุนด้วย นี่มันจะใจกล้าเกินไปไหม?


 


ผู้จัดการตกใจ จางปินก็เช่นกัน ไม่แปลกที่ฝั่งตรงข้ามจะไม่กลัววังเสินเหวิน กล้ากระทั่งสังหารศิษย์ของท่านประมุข แล้วยังมีอะไรที่ต้องกลัวในวังเสินเหวินอีก?


 


และตอนนี้เอง ผู้เชี่ยวชาญระดับก่อแกนวิญญาณคนนั้นก็ได้ชี้มายังเขา พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่บาดหูเป็นอย่างมาก “เป็นมัน”


 


ราวกับเสียงเครื่องดนตรีที่ผุพัง ไม่แปลกที่เขาจะไม่พูด ที่แท้เสียงของเขาก็แหบจนไม่น่าฟังนี่เอง


 


สายตาของทุกคนพลันรวมอยู่ที่ร่างของอี้เทียนหยุน ทำให้พวกเขาต้องตกใจอีกครั้ง เป็นเจ้าหนุ่มนี่อีกแล้ว ใจกล้าถึงขนาดสังหารศิษย์ของหนานเฟิงหยุน ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ ตัวหลักอย่างพวกผู้อาวุโสยังไม่ทำอะไรเลย นี่ทำให้พวกเขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก


 


“เจ้าเป็นคนทำอย่างงั้นเหรอ?” หนานเฟิงหยุนมองมาที่เขาอย่างเย็นชา ในสายพลันปรากฏจิตสังหารท่วมท้น “ดี ชีวิตต้องแลกด้วยชีวิต!”


 


พูดจบเขาก็ฟาดฝ่ามือออกมา มือของเขาเปลี่ยนเป็นกรงเล็บที่แหลมคม แทงเข้ามาที่นี้ คว้าเข้าที่ไหล่ของอี้เทียนหยุน เขาไม่คิดจะฆ่าอี้เทียนหยุนเร็วนัก ต่อหน้าทุกคน เขาต้องทำการทรมาณมันก่อน


 


แต่ในตอนนี้เอง ก็พลันมีเสียงตวาดดังมา “หยุด!”


 


มือของหนานเฟิงหยุนพลันหยุดลง พร้อมกับหันไปมอง คนที่บอกให้พวกเขาหยุนไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นยามของอาณาจักรใต้พิภพ


 


“ท่านเฉิงเฟิงกำลังเตรียมตัวอยู่ พวกเจ้าเสียงดังอะไร รู้จักมารยาทบ้าง! ที่นี่คือเมืองจู้หลง ไม่ใช่วังเสินเหวินของพวกเจ้า!” ยามพูดอย่างเย็นชา


 


“ฮึ่ม!” หนานเฟิงหยุนเก็บมือ มองไปยังอี้เทียนหยุนอย่างเย็นชา แล้วพูดว่า “ถือว่าเจ้าโชคดีที่รักษาชีวิตเอาไว้ได้ รอให้งานนี้จบก่อนเถอะ เมื่อถึงตอนนั้น นั่นจะเป็นเวลาตายของเจ้า!”


 


“ไม่ เป็นเจ้าต่างหากที่โชคดี” อี้เทียนหยุนตอบกลับอย่างเฉยชา


 


หลังจากหนานเฟิงหยุนได้ยิน เขาก็พลันระเบิดออกมาอีกครั้ง แต่ก็ต้องอดทนไว้ เพราะที่นี่ไม่ใช่ถิ่นของเขา ถ้าทำให้อาณาจักรใต้พิภพโกรธล่ะก็ เขาคงรับผิดชอบไม่ไหว

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม