Crazy Leveling System 212-225

 CLS ตอนที่ 212: ตบโดยไม่ปรานีปราศรัย


 


“คนล่ะ?” คำนี้ทำให้หลายคนถึงกับพูดไม่ออก เขากระทั่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองได้ชนะไปแล้ว


 


“ศิษย์น้อง เจ้าชนะแล้ว” หยางซีเสวี่ยที่อยู่ข้างๆ บอกกับเขา


 


“ข้าชนะ แล้วคนล่ะ?” อี้เทียนหยุนถาม


 


“เขาหมดสติไปแล้ว ตอนนี้ยังไม่ออกมาจากห้องพักฟื้นเลย” หยางซีเสวี่ยตอบ


 


“อย่างงั้นเหรอ ถ้าเขาตื่นแล้ว บอกให้มาหาข้าด้วย” อี้เทียนหยุนพูดออกมาด้วยท่าทางสบายๆ ราวกับเป็นผู้อาวุโส


 


หลังจากพูดจบ เขาก็กลับไปศึกษาของเขาต่อ ศึกษาวิธีที่จะสร้างค่ายกลนี้ จะว่าไปก็เสียเวลาไปนานมากแล้ว แม้ว่าค่ายกลนี้จะไม่ใช่ค่ายกลชั้นสูงอะไร แต่ก็เต็มไปด้วยความซับซ้อน การวิเคราะห์ด้วยดวงตาประเมิน จำเป็นต้องใช้เวลา


 


ท่าทางของเขาทำให้ผู้คนสั่นสะท้าน คิดว่าอี้เทียนหยุนยังคิดจะอยู่ข้างในต่อจนครบ 10 วัน!


 


“นี่เขาจะทนได้ถึง 10 วันจริงๆ?”


 


“อาจเป็นไปได้ ถ้าทนได้ถึง 10 วันจริง นั่นก็ถือว่าน่ากลัวมาก พลังวิญญาณของเขาเพียงพอที่จะเข้าสู่ 15 อันดับแรก!”


 


“สวรรค์ ถ้าเขาทำได้จริงๆ ข้าว่าตระกูลอิ่นซีอาจจะมาหาเขาก็เป็นได้?”


 


พวกเขามองอี้เทียนหยุนอยู่แต่แรกแล้ว เห็นว่าเขาไม่สนใจเจี่ยผิงเลยสักนิด กระทั่งเจี่ยผิงหมดสติไปตอนไหนก็ยังไม่รู้ เพิ่งจะมารู้เอาตอนนี้เอง ตั้งแต่แรกแล้ว อี้เทียนหยุนไม่เคยคิดว่าเจี่ยผิงเป็นคู่ต่อสู้ของเขาแม้แต่น้อย หวังเพียงที่จะฝึกฝนอยู่ที่นี่เท่านั้น แต่ระหว่างนั้น เจี่ยผิงที่อวดดีกลับคิดหาเรื่อง ทำการยั่วยุจนสำเร็จ ตอนนี้กลายเป็นว่าเจี่ยผิงนั้นกลายเป็นโง่มาก สุดท้ายก็วิ่งชนกำปั้นของตัวเองเข้าเต็มเปา


 


วันที่หก


 


วันที่เจ็ด…..


 


วันแล้ววันเล่าได้ผ่านเลยไป พวกเขาคิดว่าจะต้องล้มลง แต่ไม่คิดว่าอาการแม้สักนิดก็ไม่มี และเมื่อมาถึงวันที่เก้า อี้เทียนหยุนก็ได้พยักหน้าพร้อมมองไปรอบๆ เขาศึกษาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่มีอะไรเหลือให้ศึกษาอีก


 


ส่วนอัจฉริยะอะไรนั่น เขาไม่เห็นคนที่เข้าตาเลยสักคน เขารู้สึกเฉยๆ อย่างมากกับพวกนี้ เห็นได้ชัดว่าอัจฉริยะที่พวกเขาเรียกกันนั้น ไม่ถูกใจเขาแม้แต่น้อย


 


และเมื่อเขาเดินออกมา เขาก็เห็นว่าข้างนอกมีหลายคนกำลังมองมาที่เขา บ้างก็อิจฉา ริษยา แม้กระทั่งตกใจ!


 


แม้จะห่างจากสิบวันที่อี้เทียนหยุนตัดสินใจ แต่ก็ขาดอีกไม่ถึงวัน ทนมาได้ถึงเก้าวันขนาดนี้ นับว่ายอดเยี่ยมอย่างมากแล้ว ยังไงก็ตาม เมื่อดูจากท่าทางสบายๆ ของอี้เทียนหยุนแล้ว เหมือนว่าเขายังสามารถทนได้นานกว่านี้อีก


 


 


ในสายตานับไม่ถ้วนที่จับจ้องมานี้ มีสายตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังอยู่ด้วย และเมื่อมองไปที่สายตาคู่นั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนๆ นี้ก็คือเจี่ยผิง เขาฟื้นจากอาการหมดสติแล้ว และเมื่อรู้ว่าตนแพ้ ความโกรธก็ยิ่งมากขึ้นไปอีก แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะว่านี่คือความจริง


 


อี้เทียนหยุนไม่เพียงแต่ชนะเขาเท่านั้น แต่ยังบดขยี้เขาโดยสมบูรณ์! เก้าวัน ตัวเลขนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่มีทางไปถึง


 


เพื่อที่จะทนอยู่ที่นี่ให้ได้ถึงเก้าวัน อย่างน้อยพลังวิญญาณก็ต้องสูงกว่าที่มีอยู่นี้มาก อย่างน้อยก็ต้องเป็นนักสลักอาคมชั้น 2 ระดับสูง ซึ่งเขาในตอนนี้ไม่มีทางไปถึงอย่างแน่นอน


 


นี่หมายความว่า ระดับของอี้เทียนหยุนในตอนนี้เทียบเท่ากับนักสลักอาคมชั้น 2 ระดับสูงแล้ว ซึ่งอีกไม่นานก็จะไปถึงนักสลักอาคมชั้น 2!


 


 


“เจ้าชนะแล้ว นี่คือพู่กันสลักวิญญาณระดับวิญญาณชั้นสูง เป็นของเดิมพันเพื่อแลกกับสิ่งเดิมพันก่อนหน้า!” เจี่ยผิงไม่อยากถูกตบ ดังนั้นจึงเอาพู่กันระดับวิญญาณชั้นสูงนี้ออกมาเป็นของรางวัลให้กับอี้เทียนหยุนแทน เขาไม่เชื่อว่าอี้เทียนหยุนจะไม่ตื่นเต้น


 


นี่เป็นของรักของหวงของเขา ราคาของมันไม่ต่ำเลย


 


หลังจากคนอื่นๆ ได้เห็นก็พากันอิจฉา ราคาของพู่กันนี้ไม่ใช่น้อยๆ พวกเขาก็อยากจะได้พู่กันนี้เหมือนกัน


 


แต่ใครจะรู้ อี้เทียนหยุนกลับไม่รับพู่กันนี้ไว้ แต่กลับตบเข้าที่หน้าเจี่ยผิงแทน “เพี๊ยะ” เจี่ยผิงที่ไม่ทันตอบสนองก็ถูกฝ่ามือนี้จนปลิวไป ก่อนที่จะอัดเข้ากับกำแพงอย่างแรง ฟันของเขาร่วงหมดปาก ขณะที่ตัวเขานั้นหมดสติไป


 


เพิ่งจะฟื้นได้ไม่นานก็ต้องมาสลบด้วยน้ำมือของอี้เทียนหยุนอีกครั้ง นี่ทำให้ทุกคนพากันตกใจ


 


พู่กันไม่อยากได้ แต่อยากตบแทน? นี่เขาโง่หรือเปล่า?


 


“ข้าบอกว่าตบก็คือตบ ไม่ได้ต้องการขยะชิ้นนี้” อี้เทียนหยุนพูดอย่างเย็นชา


 


แต่น่าเสียดายที่เจี่ยผิงในตอนนี้ได้หมดสติไปแล้ว


 


นี่ทำให้พวกเขาพากันรู้สึกกลัว ศิษย์ใหม่คนนี้ทำไมถึงได้โหดเหี้ยมอย่างนี้? เจี่ยผิงถึงกับเอาพู่กันนี้ออกมา เพื่อไม่ต้องการให้ความสัมพันธ์กลายเป็นศัตรูคู่อาฆาต แต่อี้เทียนหยุนกลับไม่สนใจ หนำซ้ำยังตบเข้าที่หน้า โดยไม่ปรานีปราศรัย


 


ผลลัพธ์ที่ออกมานี้ ทำให้พวกเขาต้องตกใจ


 


หลังจากการประลองนี้ ชื่อเสียงของอี้เทียนหยุนก็ได้ดังไปทั่วตำหนักเทียนเหวิน พิสูจน์ว่าการที่เขาผ่านป่าวงกตมาได้นั้นไม่ใช่เหตุบังเอิญ แต่เป็นเพราะความสามารถ ไม่อย่างนั้นจะมีการแสดงออกที่น่าตื่นตะลึงขนาดนี้ได้ยังไง


 


สามารถอยู่ในนี้ได้ถึงเก้าวัน แสดงว่าเขาต้องมีความสามารถที่หลากหลาย อย่างน้อยก็ในด้านพลังวิญญาณที่สามารถเข้าไปสู่ 15 อันดับแรกได้! นี่ถือว่าเป็นกลุ่มผู้นำโดยแท้ ไม่รู้ว่าระดับที่แท้จริงของเขานั้นจะอยู่ที่เท่าไหร่


 


มีแต่การสร้างค่ายกลออกมาเท่านั้นถึงจะสามารถแสดงออกถึงระดับที่แท้จริง นี่ก็เหมือนกับคนป่าที่รู้จักแต่การออกหมัดธรรมดาแต่ไม่รู้จักกระบวนท่า เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ได้แต่เต้นอยู่ในฝ่ามือของอีกฝ่าย


 


ยังไงก็ตาม ระดับของเขาก็ยังไม่เปลี่ยน เพราะการแสดงออกของเขานี้มีผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทำให้ระดับของเขายังคงอยู่ที่อันดับที่ 81 เท่าเดิม


 


การจัดอันดับครั้งแรกดูกันที่ศักยภาพหรือความเป็นไปได้ แต่หลังจากเข้ามาแล้วนั้น ต้องผ่านการประเมินเสียก่อน ไม่อย่างนั้นก็ไม่สามารถเลื่อนอันดับได้


 


“ฮ่าๆ ลูกพี่ ท่านร้ายกาจจริงๆ จัดการเจี่ยผิงได้ง่ายๆ เลย ยอดเยี่ยมมาก!” เมื่อหยางอวี่เห็นอี้เทียนหยุนออกมา เขาก็รีบเข้ามาหาอย่างไว พร้อมกับส่งตั๋วเงินให้พร้อมรอยยิ้ม แล้วพูดขึ้นว่า “นี่เป็นเงิน 4,520 ก่อนหน้านี้ข้าลงเดิมพันข้างท่านแล้วได้มา แบ่งกันคนละครึ่ง! น่าเสียดายที่ก่อนหน้านี้ข้าเหลือเงินไม่เยอะ ไม่อย่างนั้นจะต้องได้มากกว่านี้อย่างแน่นอน!”


 


ในตอนนั้นกระเป๋าเขามีตั๋วเงินอยู่แค่ 3,200 เท่านั้น ดังนั้นจึงลงเดิมพันได้แค่เท่านั้น ไม่มีมากกว่านั้นอีก แม้ว่าตระกูลหยางจะไม่ถือว่าเป็นตระกูลที่ย่ำแย่นัก แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะพกเงินหลายหมื่นเหรียญติดตัว นั่นไม่มีใครเขาทำกัน


 


อี้เทียนหยุนผลักมือเขาออกไป เรื่องนี้ทำให้เขารู้ว่าคนที่สนับสนุนเขามากที่สุดก็คือหยางอวี่ ในใจก็พลันรู้สึกชื่นชอบเจ้าอ้วนนี่ขึ้นมา หยางอวี่ซื่อสัตย์มาก แม้แต่ช่วงวิกฤตก็ยังเลือกที่จะยืนข้างตน


 


“นี่เป็นสิ่งที่เจ้าหามา ถ้าข้าแพ้ เจ้าก็คงหมดตัว” อี้เทียนหยุนพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“ลูกพี่ ท่านจะมาเกรงใจหาอะไร อย่างข้าจะไปมีปัญหาหาเงินได้มากขนาดนี้ที่ไหน!” หยางอวี่ยื่นมือออกไปอีกครั้ง พร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้ายังไม่รับอีก ถือว่าท่านไม่ไว้หน้าข้า! ลูกพี่ เงินแค่นี้ไม่พอต่อความต้องการของข้าหรอก ท่านควรเปลี่ยนชุดได้แล้ว ข้าจะรออยู่ที่นี่ จากนั้นพวกเราค่อยไปหาอะไรดื่มกัน!”


อี้เทียนหยุนส่งยิ้มให้เขา แม้ว่าชุดของเขาจะไม่ได้หรูหราเป็นพิเศษ แต่อย่างน้อยมันก็ไม่ได้ขาดไม่ใช่เหรอ? พูดได้แค่ว่าความต้องการของพวกเขานั้นสูงเกินไป ถ้าไม่ใช่ผ้าไหมชั้นยอดสุดหรูหรา ถือว่าไม่ใช่ของดี


 


อี้เทียนหยุนมองไปที่เขาอย่างยืนยัน จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ก็ได้ ข้าจะรับไว้”


 


“ที่จริงแล้วนี่ก็เป็นการเดิมพันของข้าเช่นกัน ก่อนหน้านี้ท่านทะลายป่าวงกตออกมาได้อย่างสบาย ข้าก็คิดว่าท่านต้องไม่ใช่คนปัญญาอ่อนที่ถูกลาเตะเข้าที่ศีรษะ ที่ท่านยอมรับคำท้า แน่นอนว่าตัวท่านต้องมั่นใจ และความจริงที่แสดงออกมาก็บอกว่าข้านั้นไม่ได้คิดผิด คนที่เป็นลูกพี่ของข้าจะไร้ความสามารถได้ยังไง และท่านก็ได้แสดงความสามารถให้เป็นที่ประจักษ์!” หยางอวี่พูดพลางตบหน้าขาของตน พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่เจือความเสียใจอยู่บ้างว่า “แต่ว่าน่าเสียดายที่ข้ามีเงินน้อยเงินไป น่าเสียดายจริงๆ…..”


 


เขาส่ายหัวพร้อมกับถอนใจไม่หยุด นี่เป็นเงินสีขาวที่ส่องแสงแวววาว มันสามารถซื้อเม็ดยาได้กองใหญ่ แม้ว่าจะไม่สามารถซื้อเม็ดยาระดับสูงได้ แต่แค่ระดับที่ตัวเองใช้ได้ก็ได้มากองใหญ่แล้ว



CLS ตอนที่ 213: มู่เซียนเอ้อ


 


“ศิษย์น้อง เจ้าสร้างปัญหามากไปแล้ว….. พวกเขามาจากกลุ่มเดียวกัน ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป มันจะต้องมีคนมากกว่านี้มาหาเรื่องเจ้าแน่” หยางซีเสวี่ยเดินมา พร้อมกับพูดอย่างกังวล


 


“ท่านพี่ ท่านกลัวอะไร พี่ใหญ่ออกจะร้ายกาจ ท่านไม่เห็นฝ่ามือเมื่อกี้หรือยังไง….” เมื่อหยางอวี่เห็นความร้ายกาจของอี้เทียนหยุน ในใจก็รู้สึกเลื่อมใส ความกล้าหาญนี้ ทำให้เขาเชื่อมั่น


 


“อย่าเอาแต่สร้างปัญหา!” หยางซีเสวี่ยถลึงตาใส่เขาคราหนึ่ง หยางอวี่ไม่กล้าตอบโต้ ได้แต่พาตัวหลบออกไป “แม้ข้าจะรู้ว่าระดับของศิษย์น้องนั้นไม่ต่ำ แต่ยังไงก็ต้องรู้จักระวังไว้ พวกเขาไม่ใช่คนธรรมดา ศิษย์น้องอี้ พวกเขาจะต้องไม่ยอมแพ้อย่างแน่นอน วิธีที่ดีที่สุดก็คือให้ผู้จัดการเหอมาจัดการเรื่องนี้ ไม่อย่างนั้น เจ้าจะต้องถูกพวกเขาตามพัวพันไม่หยุด”


 


“ถ้าพวกมันกล้ามาก็ให้มา ข้าไม่รังเกียจที่จะต้องตบพวกเขาสองสามครั้ง” อี้เทียนหยุนอยากจะสั่งสอนเจ้าพวกนายน้อยหัวรุนแรงพวกนี้ กล้ามาอวดเก่งต่อหน้าเขา นั่นต้องดูดด้วยว่าตัวเองมีความสามารถพอไหม!


 


“เอาเถอะ….” หยางซีเสวี่ยรู้ว่าห้ามไม่ได้ ดังนั้นจึงพูดว่า “ศิษย์น้องอี้ ยังไงก็แล้วแต่ เจ้าต้องระวังให้มาก ถ้ามีปัญหาอะไรก็ให้มาหาพวกเรา พวกเราพี่น้องแม้จะไม่สามารถช่วยอะไรได้มาก แต่ถ้าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็พอจะช่วยได้อยู่บ้าง”


 


เธออยากจะแก้ปัญหาเรื่องเฟิงยู่หลง แต่ตอนนี้เหมือนจะเป็นไม่ได้แล้ว เพราะตอนนี้มีกระทั่งเจี่ยผิงเข้ามาเกี่ยว ความโกรธของพวกเขา กลัวว่าแม้แต่เธอก็ไม่สามารถหยุดได้


 


“ก็ได้” อี้เทียนหยุนพูดพร้อมรอยยิ้ม “เอ่อใช่ แล้วผู้จัดการเหอจะกลับมาเมื่อไหร่?”


 


อยู่ๆ เขาก็นึกขึ้นมาได้ ในตอนนี้ ได้มีสายตาหลายคู่จับจ้องมาที่พวกเขา เพราะหยางซีเสวี่ยและหยางอวี่ ต่างก็เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดีมาก


 


“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน บ้างครั้งผู้จัดการเหอก็ออกไปนานมากกว่าจะกลับ แต่ไม่ว่ายังไงเธอก็ต้องกลับมาอย่างแน่นอน” หยางซีเสวี่ยพูด


 


อี้เทียนหยุนพยักหน้า ถ้าไม่กลับมา เขาคงต้องจากไปก่อน เวลาค่อนข้างกระชั้น เดือนหน้าเขายังต้องไปที่ตำหนักซิงเฉินอีก


 


“ศิษย์น้องอี้ พวกเรายังมีเรื่องต้องทำ คงต้องขอตัวก่อน” หยางซีเสวี่ยลากหยางอวี่ไปด้วยกัน หยางอวี่จึงได้แต่โบกมือให้เขา


 


“ลูกพี่ ไว้เจอกันใหม่นะ!” หยางอวี่ตะโกนออกมา


 


อี้เทียนหยุนส่ายหัวพร้อมกับยิ้มออกมา หยางอวี่คนนี้ มีความหมายจริง


 


ขณะที่เขาเดินออกมาจากหอคอยเทียนหลิง ก็ได้มีหญิงสาวนางหนึ่งเดินมา รูปลักษณ์ของเธองดงามมาก สวมชุดกระโปรงสีขาว พร้อมกับผมสีดำขาวประบ่า เพราะว่าระดับไม่ต่ำ ทำให้ทั่วร่างของเธอดูคล้ายกับนางเซียน เต็มไปด้วยกลิ่นอายของพลัง


 


หญิงสาวนางนี้ดูแล้วค่อนข้างเด็ก เกือบจะพอๆ กับเขา! ไม่คิดเลยว่าตำหนักเทียนเหวินแห่งนี้จะสามารถหาหญิงสาวที่มีอายุพอๆ กับเขาได้คนหนึ่ง แค่จากกลิ่นอายที่ปล่อยออกมา อี้เทียนหยุนก็รู้แล้วว่าหญิงสาวนางนี้ไม่ธรรมดา


 


พวกเขาต่างพากันมองหน้ากัน นัยน์ตาที่น่าดึงดูดของหญิงสาวมองเขาขึ้นๆ ลงๆ อย่างไร้ซึ่งความอาย จากนั้นก็หัวเราะแล้วพูดขึ้นว่า “เจ้าคงจะเป็นอี้เทียนหยุนที่เข้ามาใหม่คนนั้นสินะ?”


 


 


“ถ้าข้าเดาไม่ผิด เจ้าคงจะเป็นมู่เซียนเอ้อที่อยู่ในอันดับที่สองนั่น” เขาเดามาจากสิ่งที่เขารู้ จากป้ายจัดอันดับก่อนหน้า ในตำหนักเทียนเหวินแห่งนี้ จำนวนของศิษย์ชายและหญิงนั้นต่างกันมาก ดังนั้น ผู้หญิงจึงมีอยู่ค่อนข้างน้อย


 


และเรื่องของมู่เซียนเอ้อคนนี้เขาก็เคยได้ยินมา ได้ยินว่าเธอเป็นเด็กอายุประมาณ 16-17 ปี และหญิงสาวที่ปรากฏตรงหน้าเขาตอนนี้ ก็เป็นคำยืนยันต่อสิ่งที่ได้ยินมาอย่างไม่ต้องสงสัย! ในโลกนี้มีอัจฉริยะอยู่มากมาย จากที่ได้ยินมา พรสวรรค์ของมู่เซียนเอ้อคนนี้นั้น น่าตื่นตะลึงเป็นอย่างมาก


 


ยังเด็กขนาดนี้แต่ก็เป็นถึงนักสลักอาคมชั้นสองระดับสูงสุดแล้ว กระทั่งมีบางข่าวลือบอกว่า เธอได้ทะลวงเข้าสู่นักสลักอาคมชั้น 3 แล้วด้วยซ้ำ!


 


“ไม่คิดเลยว่าท่านจะรู้จักข้าด้วย” มู่เซียนเอ้อยิ้มออกมาอย่างน่ารัก ดูท่าทางขี้เล่น ไม่เหมือนเป็นอัจฉริยะที่อยู่ในอันดับที่สองเลยสักนิด แต่ดูราวกับเด็กสาวข้างบ้านที่ซุกซนมากกว่า


 


“ข้าก็แค่เดาดู แต่คิดว่าน่าจะไม่ผิด” อี้เทียนหยุนพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ


 


“ฮิฮิ ขอบคุณพี่ใหญ่ท่านสำหรับคำชม ขอให้การทดสอบเดือนหน้าของท่านได้อันดับที่ดีเช่นกัน!” มู่เซียนเอ้อยิ้มหวาน ดูแล้วน่ารัก ทั้งยังสุภาพ ไม่มีการถือตัวแม้แต่น้อย


 


“อืม ขอบใจมาก” หลังจากอี้เทียนหยุนแสดงความขอบใจแล้วก็หมุนตัวเตรียมจากไป


 


แต่ในพริบตานี้เอง นัยน์ตาที่งดงามของมู่เซียนเอ้อก็ได้เผยความหลักแหลมออกมา มือที่ละเอียดอ่อนพลันโยนกระดาษสลักอาคมออกมา แปะเข้าที่หลังของเขาอย่างเงียบเชียบ เหมือนกับว่าไม่ได้ทำอะไร


 


หลังจากเรียบร้อย เธอก็หันหลังวิ่งหน้าตั้งไปทันที แต่ไม่คิดว่าอี้เทียนหยุนจะเร็วกว่า เขาแกะกระดาษที่ติดอยู่หลังออกมาแปะใส่หลังของเธออย่างรวดเร็ว! ขณะเดียวกันก็หันมองตามหลังเธอ ตัดสินใจจะยืนอยู่ที่นี่ มองไปที่เธอด้วยท่าทางสนใจ


 


มู่เซียนเอ้อหลังจากที่วิ่งมาได้เล็กน้อย ก็ได้หันกลับไปดูรอบๆ และเมื่อเห็นอี้เทียนหยุนมองมาด้วยที่ตนด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสนใจ ก็คิดว่ามีอะไรแปลกๆ


 


“พี่ใหญ่ มีอะไรอย่างงั้นเหรอ?” มู่เซียนเอ้อมองตอบเขาด้วยท่าทางไร้เดียงสา แต่หน้าตาแสดงออกให้เห็นเลยว่าอยากจะเห็นความโชคร้ายของอี้เทียนหยุนเร็วๆ


 


“ไม่มีอะไร ข้าก็แค่มองดูเจ้า” อี้เทียนหยุนส่งยิ้มสบายๆ มาให้


 


“ท่าน….”


 


“ปัง!”


 


ทันใดนั้น กระดาษข้างหลังเธอก็ระเบิดออก กลายเป็นคลื่นอัดอากาศ ส่งเธอปลิวไปราวกับลูกบอล พร้อมกับเสียงกรีดร้องที่ดังออกมา!


 


“อุบายเล็กๆ แค่นี้ก็อยากจะเล่นกับข้า ไม่คิดเลยว่าจะเป็นแม่มดน้อยนางหนึ่ง…..”


 


พริบตาที่มู่เซียนเอ้อแปะกระดาษใส่หลังเขา เขาก็รู้ตัวแล้ว จากนั้นจึงทำการแปะคืนอย่างรวดเร็ว ด้วยระดับที่มากกว่ามู่เซียนเอ้อมาก ถ้าไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น เขาคงระดับสูงเสียเปล่าแล้ว


 


แต่ที่เขียนบนกระดาษนั้นไม่ใช่ค่ายกล แต่เป็นอาคม ซึ่งก็คืออาคมระเบิดเพลิง ที่จริงแล้วก็ไม่ได้มีผลถึงตาย แต่ถ้าจะเอาไว้ส่งคนบินเล่นๆ ล่ะก็ มันก็ให้ผลลัพธ์ที่น่ากลัวใช้ได้เลยทีเดียว


 


ดังนั้น หลังจากที่ระเบิดออก มู่เซียนเอ้อจึงถูกส่งให้บินไป ขณะที่อี้เทียนหยุนก็มองไปที่เธอด้วยสายตาขบขัน และตอนนี้ มู่เซียนเอ้อที่บินมาราวกับลูกบอลก็ได้หล่นลงมาจากอากาศ พร้อมกับพุ่งตรงมาที่เขาอย่างไม่คาดคิด!


 


ดูจากสีหน้าตอนตกลงมานั้น ใบหน้าที่งดงามของเธอในตอนนี้ได้เปลี่ยนสีไป พร้อมทั้งแสดงสีหน้าหวาดกลัวออกมา


 


อี้เทียนหยุนไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ที่แท้มู่เซียนเอ้อคนนี้ก็ไม่เคยมีประสบการณ์กับเจ้าสิ่งนี้….. และในพริบตาที่กำลังจะตกนี้ เขาก็ได้รับตัวมู่เซียนเอ้อไว้ในอ้อมแขน พร้อมกับหมุนตัวสลายแรง ก่อนที่จะหยุดลง


 


ยังไงก็ตาม มือที่แข็งแกร่งนั้นก็ได้ตบลงที่ก้นของเธอ “เพี๊ยะ” ทำให้ร่างที่บอบบางของเธอสั่น พร้อมกับแข็งค้างไป จากสีหน้าที่หวาดกลัวกลายเป็นตกใจ คิดไม่ถึงว่าจะมีคนกล้าตบก้นเธอจริงๆ!


 


“คิดจะเล่นกับข้าเหรอ ยังเร็วไปร้อยปี!”


 


จากนั้นอี้เทียนหยุนก็ปล่อยเธอลง หญิงสาวคิดจะเล่นงานเขา แต่ไม่คิดเลยว่าคนที่โดนจะเป็นเธอเอง



CLS ตอนที่ 214: หาเรื่องผิดคน


 


การลงโทษเล็กๆ นี้ทำให้มู่เซียนเอ้ออารมณ์เสียในทันใด


 


“เจ้า เจ้าตีตรงไหนของข้า!” มู่เซียนเอ้อหน้าแดง พร้อมกับชี้หน้าเขาขณะที่พูดไม่ออก โฉมหน้าแม่มดน้อยของเธอได้เผยออกมาโดยสมบูรณ์ ไม่หลงเหลือคราบสาวน้อยน่ารักที่ซุกซนเหลืออยู่เลย


 


“นี่เป็นบทเรียนสำหรับเจ้า คิดจะเล่นกับคนอื่น โดยเฉพาะข้า จำเป็นต้องรับค่าตอบแทนไว้เหมือนกัน” อี้เทียนหยุนยิ้ม คิดจะเล่นกับเขา ยังอ่อนไป!


 


“ข้า ข้าจะฆ่าเข้า!” มู่เซียนเอ้อร้องออกมา พร้อมกับพุ่งเขาในทันที พลังที่ระเบิดออกมาของเธออยู่ที่ระดับปรับแต่งวิญญาณขั้นที่ 7 ด้วยอายุเท่านี้ แต่มาถึงระดับนี้ได้ ไม่ถือว่าอ่อนเลย


 


เธอเหมือนกับเสียสติเต็มที่ ฟาดฝ่ามือออกไปไม่หยุด นี่เป็นครั้งแรกที่เธอถูกผู้ชายทำอย่างนี้กับเธอ เธอก็อยากจะใจเย็นอยู่หรอก แต่ก็ทำไม่ได้ เธอที่ถูกกระทำดั่งเจ้าหญิง เลยถูกทำรุ่มร่ามอย่างนี้ที่ไหน แล้วอย่างนี้จะไม่ให้โกรธได้ยังไง


 


“ตำหนักเทียนเหวินมีกฎว่าห้ามต่อสู้กัน เจ้าก็น่าจะรู้ดีนะ” อี้เทียนหยุนยังไม่ลืมพูดเตือนเธอ


 


มู่เซียนเอ้อที่คิดได้ก็ขบฟันสีเงินแน่น พร้อมกับหยุดมืออย่างรวดเร็ว หลังจากระงับอารมณ์ เธอก็จ้องไปที่อี้เทียนหยุนอย่างเกลียดชัง “เจ้าคนโรคจิต อายุก็ไม่ต่างกับข้าเท่าไหร่ แต่ไม่คิดว่าจะเป็นคนลามกอย่างนี้!”


 


เห็นได้ชัดว่าเธอได้สติแล้ว กฎห้ามต่อสู้กันนี้สามารถใช้ได้กับทุกคน กระทั่งตัวมู่เซียนเอ้อเองก็ด้วย


 


มู่เซียนเอ้อคนนี้เกิดมาเพื่อแกล้งคนอื่นโดยเฉพาะ บ่อยครั้งที่เธอทำสำเร็จ แต่ด้วยฐานะที่เป็นหลานสาวของผู้อาวุโสใหญ่ ทำให้ใครไม่กล้าทำอะไรเธอ ต่อให้จะถูกแกล้ง พวกเขาก็ไม่กล้าทำอย่างอี้เทียนหยุนที่ทำการเอาคืน ทั้งยังตีก้นเธออีก!


 


แม้ว่าก้นของมู่เซียนเอ้อจะไม่ใช่ก้นเสือ แต่ผลลัพธ์ของมันนั่นน่ากลัวกว่าก้นของเสือเสียอีก…..”


 


“นี่เป็นการช่วยสั่งสอนเจ้า ให้รู้ว่าแกล้งคนอื่นแล้วจะโดนอะไร เจ้าเป็นคนฉลาด น่าจะรู้ว่ามันอันตรายแค่ไหน ที่จริงแล้ว ควรจะพูดว่า นี่เป็นราคาที่เจ้าต้องจ่ายสำหรับการแกล้งข้าถึงจะถูก” อี้เทียนหยุนกอดอกมองเธออย่างสนใจ คนอื่นอาจจะกลัวมู่เซียนเอ้อ แต่ว่าเขานั้นไม่กลัว


 


“ดีมาก!” มู่เซียนเอ้อโกรธจนตัวสั่น จากนั้นก็พูดลอดไรฟันออกมา “เจ้ารอก่อนเถอะ แล้วข้าจะทำให้เจ้าเสียใจกับการกระทำครั้งนี้ของเจ้า!”


 


พูดจบ เธอก็ฮึดฮัดเดินจากไป ตรงไปยังหอคอยเทียนหลิง ไม่สนใจอี้เทียนหยุนอีก เห็นได้ชัดว่าเธอมีเรื่องต้องทำ ไม่อย่างนั้น เธอคงจะต้องตามเอาเรื่องอี้เทียนหยุนให้ถึงที่สุดแล้ว


 


อี้เทียนหยุนส่ายหัว ไม่คิดจะเก็บมาใส่ใจ จากนั้นก็หมุนตัวเดินจากไป


 


อย่างรวดเร็ว เขาก็กลับมาถึงตำหนักเทียนเหวิน เมื่อเขามาถึง เรื่องที่หอคอยเทียนหลิงก็ได้แพร่ไปทั่วแล้ว


 


เรื่องสำคัญก็คือ อี้เทียนหยุนชนะเจี่ยผิง! นี่หมายความว่าระดับของเขานั้น สูงกว่าเจี่ยผิง


 


อี้เทียนหยุนเงยหน้าขึ้นมา แล้วก็พบว่าอันดับของตนได้เปลี่ยนแล้ว ตอนนี้อยู่อันดับที่ 24! เข้าแทนที่ตำแหน่งของเจี่ยผิง ทำให้เจี่ยผิงตกไปยังอันดับที่ 25


 


เขาเพิ่งจะกลับมาถึงที่นี่ ก็ได้ถูกกลุ่มคนที่อยู่รอบๆ พากันจ้องมองมาที่เขา สายตาของพวกเขามีทั้งประหลาดใจ อิจฉา สงสัย ไม่ว่าจะสายตาแบบไหนก็มีหมด


 


แต่ว่าอี้เทียนหยุนก็ไม่สนใจ แต่เมื่อเขากำลังจะจากไปนั้นเอง ก็ได้มีคนสองคนเดินมาด้วยท่าทางเอาเรื่อง ดูจากท่าทางแล้วไม่ธรรมดา จากเส้นทางที่พวกเขาเดินมา เห็นได้ชัดว่าตั้งใจเดินมาหาเขา


 


“ลูกพี่!”


 


ในตอนนี้เอง หยางอวี่ก็ได้รีบวิ่งมา และเมื่อเห็นพวกเขา สายตาก็เผยให้เห็นถึงความหวาดกลัวอยู่หลายส่วน หลังจากวิ่งมาถึง เขาก็ได้กระซิบอี้เทียนหยุนว่า


 


“พวกเขาคือเหลียงปิงอันดับที่ 19 และหยวนเจิ้งหยางอันดับที่ 20 พวกเขามีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลเฟิงและตระกูลเจี่ย เห็นได้ชัดว่ามีเจตนาไม่ดี”


 


“มันก็แน่อยู่แล้ว เรื่องที่ข้าทำในการประลอง ถ้าไม่มีเรื่องสิแปลก”


 


อี้เทียนหยุนมองดูท่าทางของผู้มาก็รู้แล้วว่าคงมาหาเรื่องตนแน่ คิดว่าเพื่อนของเจี่ยผิงกลุ่มนี้ หรือคนที่เขาคบด้วย ล้วนแต่มีนิสัยเหมือนกันไม่มีผิด


 


อี้เทียนหยุนเพิ่งจะกลับมา พวกเขาก็มากันแล้ว ความอดทนของพวกเขาช่างต่ำจริงๆ แต่นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดา พวกเขาล้วนแต่ก๊กเดียวกัน การที่จะไม่ถูกใจเขานั้นเป็นเรื่องธรรมดาอย่างมาก


 


พวกเขาเดิน พร้อมกับหรี่ตามองตัวเขาสักพัก จากนั้นก็หันไปจับจ้องยังหยางอวี่ จากนั้นก็จางปินก็พูดอย่างคนอารมณ์ร้อนว่า “ไง ไม่คิดว่าเจ้าจะมาเป็นเด็กรับใช้ของเจ้าหนูนี่? มีคนหนุนหลังแล้วเก่งนักหรือไง กล้าดียังไงถึงได้มาต่อต้านพวกเรา? ใครก็ไม่รู้นะ ก่อนหน้านี้ยังร้องขอความเมตตาอยู่เลย ทั้งที่หนีหางจุกตูด แต่ก็ยังกล้ามองพวกเราตรงๆ อีก”(จางปินโผล่มาไงไม่รู้นะ เมื่อกี้ยังเป็นหยวนเจิ้งหยางอยู่ ไม่รู้ว่าชื่อไหนกันแน่ที่ผิด)


 


“จางปิน เจ้าก็พูดไป ระดับอย่างมันก็ต้องหาคนหนุนหลังอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นจะคิดว่าตัวเองร้ายกาจอย่างนี้เหรอ” เหลียงปิงเผยรอยยิ้มออกมา จากนั้นก็มองไปที่อี้เทียนหยุนแล้วพูดว่า “แล้วก็เจ้า จะหาคนหนุนหลังก็หาให้ดีๆ หน่อย ถ้าเจอเรื่องอะไรเข้า มันจะหนีก่อนเป็นคนแรก ทิ้งเจ้าไว้เอาตัวรอดคนเดียว”


 


“เจ้าพูดเหลวไหล!” หยางอวี่พูดอย่างโมโห “ข้าเป็นคนแบบนั้นที่ไหน ถึงข้าจะแพ้เจ้า ข้าก็ไม่ได้ร้องขอความเมตตาสักหน่อย คำพูดเจ้ามันไร้สาระ!”


 


น้ำเสียงของเขาแน่วแน่ ไม่เหมือนกับคนพูดจาเหลวไหล เห็นได้ชัดว่าพวกนี้ตั้งใจหาเรื่อง


 


“จะยังไงก็ช่าง ปีกกล้าขาแข็งดีนี่ เพิ่งมาก็จัดการพี่น้องพวกเราไปสองคน….. ร้ายกาจจริงๆ เจ้าคิดว่าที่นี่เป็นบ้านของตัวเองหรือไง?” เหลียงปิงหัวเราะเยาะ “คิดจะอยู่ที่นี่ให้ทิ้งความร้ายกาจไปซะ ไม่อย่างนั้น ระวังจะตายอยู่ในนี้ไม่รู้ตัว!”


 


นี่เป็นคำขู่อย่างเห็นได้ชัด พวกเขาอาศัยฐานะของตนเข้าข่ม


 


อี้เทียนหยุนโบกมือแล้วพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “พูดมากไร้สาระ ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าต้องการดวลกับข้าหรอกเหรอ? ถ้าพวกเจ้าต้องการดวลก็เข้ามา ข้าพร้อมเสมอ!”


 


“ดี!” สายตาของเหลียงปิงเต็มไปด้วยจิตสังหาร พูดเย้ยออกมาว่า “พวกเราไปยังสนามเกียรติยศกันตอนนี้เลย!”


 


ที่เขาต้องการก็คือสิ่งนี้ การสอบใกล้จะเริ่มแล้ว ถ้าเป็นการประลอง ต่อให้อี้เทียนหยุนจะบาดเจ็บหรือตายไป การสอบก็จะไม่มีเขามาเกี่ยวข้อง เมื่อเป็นอย่างนี้ อันดับของเหลียงปิงก็จะมั่นคงขึ้น


 


ยังไงก็ตาม อี้เทียนหยุนไม่ได้คิดว่าจะให้ความร่วมมืออะไรกับการสอบนี้อยู่แล้ว เพราะว่านี่ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา


 


“ลูกพี่ ระดับของพวกเขา เมื่อเทียบกับเจี่ยผิงแล้วแข็งแกร่งกว่ามากเลยนะ” หยางอวี่พูดอย่างกังวล ระดับของเหลียงปิงนั้นไม่ต่ำเลย เห็นได้จากเจตนาที่เข้ามายั่วยุ แต่ไม่คิดว่าอี้เทียนหยุนจะกินเบ็ดเข้าไปจริงๆ


 


นี่ถือเป็นเรื่องที่ร้ายแรงอย่างมาก ถ้าเกิดบาดเจ็บขึ้นมา ก็ต้องรอสอบรอบต่อไป ไม่มีได้เข้าร่วมแน่


 


“ไม่เป็นไร ข้ามีแผน” อี้เทียนหยุนวางมือบนบ่าของเขา แล้วพูดขึ้นว่า “รังแกคนของข้า ไม่ว่าจะเป็นใคร ข้าก็จะทำให้มันต้องจ่ายค่าตอบแทน!”


 


“นี่…..” หยางอวี่ตกใจ ในใจเกิดรู้สึกตื้นตันขึ้นมา จากนั้นก็กัดฟันแน่นแล้วพูดว่า “ลูกพี่ จากนี้ต่อไป ท่านจะเป็นพี่ใหญ่ของข้า!”


 


การเรียกพี่ใหญ่ในครั้งนี้ เป็นการเรียกที่ออกมาจากหัวใจของเขา การเรียกลูกพี่เมื่อก่อนหน้า เป็นการเรียกที่คิดว่าอี้เทียนหยุนเหมาะกับมัน ทั้งเขายังช่วยจัดการเฟิงยู่หลง เจ้าขยะที่คอยตามติดพี่สาวของเขา แต่ตอนนี้ การที่อี้เทียนหยุนช่วยเขาคราวนี้ มันทำให้เขาตัดสินใจติดตามอี้เทียนหยุนด้วยความเต็มใจ!


(ลูกพี่กับพี่ใหญ่มันใช้คำว่าต้าเกอเหมือนกัน แต่ในอังกฤษมันเขียนว่า boss กับ big brother)



CLS ตอนที่ 215: กระบวนท่าเดียวปลิวชีพ


 


“ฮ่าๆ เจ้าเรียกมันว่าพี่ใหญ่อย่างงั้นเหรอ?” เหลียงปิงหัวเราะ “งั้นเจ้าก็รอรับมันกลับด้วยแล้วกัน รอแบกพี่ใหญ่เจ้ากลับไปรักษาตัว! จำไว้ว่าต้องดูแลพี่ใหญ่เจ้าให้ดี อย่าปล่อยให้มันวิ่งพล่านอีก ไม่อย่างนั้นความตายจะมาเยือนมันโดยไม่รู้ตัว!”


 


ยังไม่ทันจะประลอง เหลียงปิงก็คุยทับเสียแล้ว คิดว่าตัวเองเป็นผู้ชนะอย่างแน่นอน


 


“พี่ใหญ่ของข้าจะไม่แพ้!” หยางอวี่พูดอย่างเย็นชา


 


“ฮึ งั้นเจ้าก็คอยดูก็แล้วกัน?” เหลียงปิงแค่นเสียงออกมา จากนั้นก็เดินไปยังลานประลองที่อยู่อีกฝั่งพร้อมกับจางปิน


 


อย่างรวดเร็ว พวกเขาก็มายืนยังลานประลอง จากเรื่องราวที่แพร่ออกไป ทำให้คนหลายคนมามุงกันอย่างรวดเร็ว และเมื่อเห็นว่าอี้เทียนหยุนและเหลียงปิงจะประลองกันก็พากันตกใจ นี่ไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย เหลียงปิงมีระดับสูงมาก เจ้าเด็กใหม่นี่เพิ่มเข้ามาได้ไม่ได้ ก็มีปัญหาวิ่งเข้าใส่มากขนาดนี้เชียว?


 


“อี้เทียนหยุนคนนี้กำลังหารที่ตายชัดๆ ไม่คิดว่าจะประลองกับเหลียงปิง เหลียงปิงไม่เพียงแต่จะเก่งทางด้านสลักอาคมเท่านั้น แต่ด้านการต่อสู้ก็ร้ายกาจไม่แพ้กัน!”


 


“ได้ยินว่าเขาจะช่วยแก้แค้นให้หยางอวี่ ทำให้เขาตัดสินใจทำอย่างนี้”


 


“เพื่อหยางอวี่คนนั้นถึงกับรนหาที่ตายเชียวเหรอ? นี่มันฆ่าตัวตายชัดๆ!”


 


……


 


พวกเขาพากันส่ายหัว รู้สึกว่าการกระทำนี้ไม่คุ้มค่าอย่างมาก ไม่ต่างอะไรจากคนบ้า


 


“นี่เป็นแค่ประลองเท่านั้น ห้ามมีการฆ่ากันเกิดขึ้นเด็ดขาด!” ยามที่อยู่ใกล้จ้องมา ที่นี่มีกฎว่าห้ามฆ่าคน ตำหนักเทียนเหวินไม่อยากเห็นศิษย์ของตนต้องห้ำหั่นกันจนตาย


 


“วางใจเถอะ ข้าจะไม่ฆ่ามันหรอก ถึงยังไงก็เป็นคนสำนักเดียวกัน ข้าแค่อยากจะทำให้มันรู้เท่านั้น ว่าอย่าได้ทำตัวโอหังที่นี่” เหลียงปิงยิ้มเย็นชา ในใจมีความคิดอยู่แล้ว จริงอยู่ที่ว่าฆ่ากันไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าห้ามลงมือจนสาหัส แค่ให้มันยังมีชีวิตอยู่ก็พอแล้ว คิดจะสั่งสอนอี้เทียนหยุนอย่างโหดเหี้ยม


 


อี้เทียนหยุนยืนอยู่บนเวที มองไปที่เขาอย่างเย็นชา “เตรียมตัวเสร็จหรือยัง?”


 


“ข้าเตรียมตัวเสร็จแล้ว แต่เห็นแก่เจ้าที่เป็นศิษย์น้อง ข้าจะต่อให้เจ้าสามกระบวนท่า!” เหลียงปิงยื่นนิ้วออกมาสามนิ้ว เขามั่นใจในตัวเองมาก ถึงจะจัดการเฟิงยู่หลงได้ แต่ก็ไม่สามารถจัดการเขาได้อยู่ดี


 


เมื่อเทียบกับเฟิงยู่หลงแล้ว เขาแข็งแกร่งกว่าไม่รู้กี่เท่า ดังนั้นที่อี้เทียนหยุนสามารถกับเฟิงยู่หลงได้นั่น ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาเลยสักนิด ส่วนความพ่ายแพ้ของเจี่ยผิงนั้น เขาคิดว่าอีกฝ่ายจงใจไม่ป้องกัน จึงทำให้ไม่สามารถต้านทานการโจมตีของอี้เทียนหยุนได้


 


“สามกระบวนท่า?” อี้เทียนหยุนส่ายหัว พร้อมกับชูนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้ว แล้วพูดอย่างจริงจังว่า “ข้าต้องการแค่กระบวนท่าเดียวก็สามารถล้มเจ้าได้แล้ว!”


 


“ยังคงโอหังเหมือนเดิม บิดาอยู่นี่แล้ว ข้าจะคอยดูว่าเจ้าจะล้มข้าด้วยกระบวนท่าเดียวได้ยังไง!” เหลียงปิงไม่หัวร้อน ไม่คิดว่าเด็กใหม่อย่างเขาจะร้ายกาจพอ นี่ก็แค่การข่มขู่เท่านั้น


 


คนดูพากันส่ายหัว คิดว่าอี้เทียนหยุนอวดดีเกินไป คนๆ นี้ยังไม่เคยพ่ายแพ้ แต่จากนี้ไปยังไงก็ต้องพ่ายแพ้เข้าสักวัน ถึงยังไง การทำตัวอวดเก่งก็ไม่ใช่เรื่องดี


 


ทุกสิ่งล้วนต้องทำด้วยความอดทน คนที่คิดอย่างนี้ล้วนแต่มีเบื้องหลังต่ำต้อย เมื่อถูกรังแก จำเป็นต้องอดทนทุกครั้งไป!


 


“ยังจะมาอวดเก่งอีก พี่หลิว สั่งสอนมันให้หนักเลย! ให้มันรู้ว่าพวกเราร้ายกาจแค่ไหน!”


 


“แค่อันดับกระโดดขึ้นสูงหน่อย ก็ไม่รู้จักคิดแล้ว!”


 


“ใช่ สั่งสอนมันให้หนัก ให้มันรู้ซะบ้างว่าพวกเราร้ายกาจแค่ไหน!”


 


พวกที่สนับสนุนเหลียงปิงล้วนแต่เป็นก๊กเดียวกัน เมื่อเห็นอี้เทียนหยุนซึ่งเป็นเด็กใหม่ข้ามหน้าข้ามตาพวกเขา ก็ทำให้พวกเขารู้สึกไม่พอใจ คิดว่าเป็นการเสียหน้าอย่างมาก


 


คำพูดเพิ่งจะจบ “ปัง” เสียงระเบิดก็ปะทุออกมาจากร่างของอี้เทียนหยุน เห็นเพียงร่างของเขาปะทุพลังที่น่าสะพรึงออกมา จากนั้นเขาก็ถีบเท้าลงกับพื้น ภายใต้แรงถีบที่มหาศาล ทำให้พื้นดินเริ่มสั่น


 


พร้อมๆ กับเสียงที่ดังสนั่น ทุกคนก็พากันเซ่อไป จากนั้นเมื่อมองไป พวกเขาก็พลันเห็นเงาสายหนึ่งพุ่งผ่าน ทำให้สายตาเต็มไปด้วยความตกใจ


 


แรงกดดันของเงานั้นมาถึงจุดสูงสุด เส้นเลือดสีเขียวผุดขึ้นตามขาทั้งสองข้าง พลังปะทุขึ้นมาจนเกิดเป็นคลื่นอัดอากาศกระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง! ความน่าเกรงขามที่แสดงออกมาถึงขั้นสุด พร้อมๆ กับพลังกายที่พุ่งขึ้นถึงขีดจำกัด!


 


“ตุบ ตุบ ตุบ!”


 


เสียงย่ำเท้าดังสะท้อนออกมา ให้ความรู้สึกราวกับทุกสิ่งช่างเปราะบาง ทันใดนั้น แรงระเบิดที่น่าสะพรึงก็ปะทุขึ้น ทำให้อี้เทียนหยุนพุ่งไปตรงหน้าเหลียงปิง โดยที่ไม่จำเป็นต้องลอบโจมตี เมื่อไปถึง เขาก็วาดเท้าเข้าใส่ร่างเหลียงปิง ราวกับแส้ ซัดเข้าใส่กลางลำตัวของอีกฝ่าย


 


เหลียงปิงรีบยกมือขึ้นรับ แต่ขณะที่ปะทะกับเท้าที่น่าสะพรึง ก็เหมือนกับมีภูเขาหล่นทับเป็นชั้น ทำให้ตัวเขาสั่นอย่างบ้าคลั่ง “แกรก” เสียงกระดูกแขนหักดังมา แขนทั้งสองข้างอ่อนยวบ ทำให้เท้าที่น่าสะพรึงนี้ซัดเข้าใส่หน้าอกเขาอย่างจัง!


 


“เปรี้ยง!”


 


ร่างที่หนักกว่าร้อยจินของเหลียงปิงราวกับว่าวสายป่านขาด ถูกซัดปลิวขึ้นสูง ก่อนจะกระแทกเข้ากับอาคารที่อยู่ไกลออกไปจนเกิดเสียงดังสนั่น ไม่กระดุกกระดิก!


 


นี่ทำให้ทุกคนตกตะลึง เท้าเดียวก็จัดการเตะเหลียงปิงจนแน่นิ่ง พลังที่น่าสะพรึงนี้ทำให้พวกเขาถึงกับสะท้าน จนต้องสูดลมหายใจเฮือก นี่มันพลังอะไรกัน นี่ยังเรียกว่าอ่อนแอได้อยู่เหรอ?


 


“พี่เหลียง!” จางปินรีบวิ่งไปยังอาคารที่พังทลายนั้น ขณะที่พยุงเหลียงปิง เขาก็เห็นหน้าอกของเหลียงปิงยุบเป็นโพลง แม้จะไม่ตาย แต่อย่างน้อยต้องนอนบนเตียงอีกหลายเดือนถึงจะพอเคลื่อนไหวได้


 


ด้วยลูกเตะที่น่าสะพรึง เหลียงปิงไม่มีทางที่จะต้านรับได้เลย ด้วยพลังที่บดขยี้อีกฝ่ายได้โดยสมบูรณ์ เขาจะไปต้านรับได้ยังไง? ยิ่งเป็นพลังจากความโกรธด้วยแล้ว ใครจะสามารถหยุดได้กัน!


 


“เยี่ยม ร้ายกาจมาก……” หยางอวี่ฟื้นจากความตกตะลึง “พี่ใหญ่ร้ายกาจมาก พลังนี้น่ากลัวสุดๆ ต่อให้เป็นหมีใหญ่ก็เชื่อว่าต้องถูกเตะจนปลิว เรียกได้ว่าเป็นกระบวนท่าเดียวปลิวชีพอย่างแท้จริง”


 


“ร้ายกาจมาก พี่ใหญ่หลิน…..” เธอไม่ส่งเสียง แต่เมื่อเห็นอี้เทียนหยุนปลอดภัย ในใจก็รู้สึกสงบ(อันนี้ผมก็ไม่เข้าใจนะว่าพี่ใหญ่หลินนี่คือใคร อาจจะเขียนผิดก็ได้)


 


“โหดเหี้ยมเกินไปแล้ว ผู้จัดการหวง เขาฆ่าคน!” จางปินชี้ไปยังอี้เทียนหยุนพร้อมกับพูดใส่ร้ายด้วยความโกรธ


 


ผู้จัดการหวงที่อยู่ใกล้ๆ มาตรวจดู จากนั้นก็ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่ นี่เป็นการประลองปกติ พาเขาไปรักษา” หมัดและเท้าไร้นัยน์ตา นี่เป็นผลจากการประลอง ในเมื่อเหลียงปิงยังไม่ตาย ดังนั้นจึงไม่ถือว่าผิดกฎ


 


จางปินถึงกับสะอึก ไม่คิดว่าเหลียงปิงจะแพ้ ส่วนอี้เทียนหยุนกลับไม่เป็นอะไรเลย


 


“เจ้ายังอยากจะประลองกับข้าด้วยไหม?” อี้เทียนหยุนมองมาที่เขาจากลานประลองด้วยสายตาเย็นชา


 


จางปินสั่นสะท้านในใจ ขนาดเหลียงปิงยังแพ้ แล้วระดับอย่างเขาจะให้ไปประลองกับอี้เทียนหยุน? เขาจะต้องถูกลูกเตะของอี้เทียนหยุนซัดปลิวเหมือนกับเหลียงปิงอย่างแน่นอน


 


“เป็นอะไร ไม่กล้าอย่างงั้นเหรอ!” อี้เทียนหยุนหัวเราะเยาะ ต้องการเหยียบซ้ำ


 


“ข้า ข้าจะพาพี่เหลียงไปรักษาก่อน จากนั้นครั้งหน้าค่อยประลองกับเจ้า เมื่อถึงตอนนั้น ข้าจะจัดการเจ้าให้หนักเลย!” จางปินรีบพาเหลียงปิงจากไปทันที หลบเลี่ยงคำท้านี้ไปได้อย่างสวยงาม แต่ขณะที่เขากำลังพาตัวเหลียงปิงไปนั้น สายตาดูถูกของทุกคนก็มองมายังเขา เห็นได้ชัดว่าพวกเขาดูออกว่าเขากลัว ทำให้สายตาที่มองมาเต็มไปด้วยความดูแคลน


 


คนอื่นๆ ที่สนับสนุนเหลียงปิง ตอนนี้พากันหมดไฟกันแล้ว พวกเขาพากันมองมาที่อี้เทียนหยุนด้วยสายตาไม่พอใจ พวกเขาเทียบไม่ได้กับเหลียงปิงด้วยซ้ำ ไม่คิดว่าเรื่องที่คิดว่าจะจัดการได้ง่ายๆ กลับกลายเป็นตาลปัตร ใครจะคิดล่ะว่าเด็กใหม่จะมีพลังรบที่น่าสะพรึงขนาดนี้กัน?


 


อี้เทียนหยุนแค่นเสียงออกมา จากนั้นก็ก้าวลงจากลานประลอง หยางอวี่รีบวิ่งเข้ามาหาอย่างดีใจ แล้วพูดอย่างตื่นเต้นว่า “พี่ใหญ่ ทำไมท่านถึงได้ร้ายกาจขนาดนี้? พลังที่ปะทุออกมาเมื่อกี้นี้มันระดับปรับแต่งวิญญาณขั้นสูงสุดชัดๆ ท่านทำได้ยังไง!”


 


“ฝึกสิ ยิ่งฝึกก็ยิ่งเก่ง” อี้เทียนหยุนตอบ ทำให้หยางอวี่แทบกระอักเลือดออกมา นี่มันคำตอบแบบไหนกัน


 


เหตุผลที่เขาต้องกดระดับเอาไว้นั้น เพราะเขากลัวว่าเหลียงปิงจะตายเอา ถ้าเกิดเขาใช้พลังเต็มที่! นี่เป็นแค่การต่อสู้ของแต่ละตระกูลเท่านั้น กับคนชั้นต่ำพวกนี้ เขาไม่จำเป็นต้องเอาจริง ถ้าไม่ใช่เพราะว่าพวกมันเป็นคนในวังเทียนจี๋ เขาคงกำจัดพวกมันทิ้งไปแล้ว


 


ยังไงก็ตาม หลังจากผ่านเหตุการณ์นี้ ทำให้เขารู้สถานการณ์ในตำหนักเทียนเหวินคร่าวๆ แล้ว คนที่เหมาะที่จะดึงเข้านิกายเทียนเฉวียนมีอยู่น้อยนัก



CLS ตอนที่ 216: เจอ


 


หลังจากการประลองสิ้นสุด ชื่อเสียงของอี้เทียนหยุนก็ดังกระฉ่อน แพร่กระจายไปทั่ววังเทียนจี๋ หลายคนรู้เรื่องราวของเขา ไม่เพียงแต่พลังวิญญาณจะแข็งแกร่งเท่านั้น กระทั่งระดับฝึกตนยังไม่ธรรมดา ยิ่งกว่านั้นยังเด็กอีกด้วย!


 


ฉายาอัจฉริยะคนใหม่ได้ถูกรับรอง ทำให้หลายคนต้องสั่นสะท้าย สิ่งสำคัญที่สุดก็คืออัจฉริยะมากความสามารถ ไม่คิดเลยว่าจะมีอัจฉริยะมาที่วังเทียนจี๋!


 


แม้ว่าวังเทียนจี๋ตอนนี้จะยังคงเป็นขุมอำนาจชั้น 3 แต่ก็ถือว่าเป็นขุมอำนาจชั้น 3 อันดับท้ายๆ ศิษย์ที่ยังอยู่ที่นี่ แม้ว่าจะโดดเด่น แต่ถ้าเทียบกับขุมอำนาจอื่นแล้วยังต่างกันมาก


 


ดังนั้น หลายคนที่รู้ว่าอี้เทียนหยุนเลือกที่จะเข้าร่วมสำนัก จึงมีสีหน้าไม่เข้าใจ ถ้าเปลี่ยนเป็นพวกเขา พวกเขาคงจะเข้าร่วมกับสำนักอื่นในขุมอำนาจชั้น 3 ไม่เข้าร่วมสำนักนี้อย่างแน่นอน


 


นี่เป็นความจริงที่โหดร้าย กับสำนักที่กำลังตกต่ำ พวกเขาไม่มีทางเลือกเป็นตัวเลือกแรกๆ อย่างแน่นอน แม้จะมีชื่อเป็นขุมอำนาจชั้น 3 แต่คนที่คิดจะเข้าร่วมที่นี่มีน้อยยิ่งกว่าน้อย


 


หลังจากจบการประลอง อี้เทียนหยุนก็กลับมายังห้อง แต่หลังจากนั้นสักครู่ เขาก็รู้สึกว่ามีคนกำลังมาที่นี่ จากนั้นก็ได้ยินเสียงเคาะประตู เขาจึงเปิดประตูออกไปดู


 


หลังจากเปิดประตูออกไป คนที่เขาเห็นก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นเหอเชียนหาน


 


“หือ เป็นเจ้า!” หลังจาเหอเชียนหานเห็นอี้เทียนหยุน นัยน์ตาลูกงามก็เบิกกว้าง เธอไม่คิดว่าคนที่ปรากฏตัวจะเป็นอี้เทียนหยุน คนที่เมื่อเทียบกับเธอแล้วยังแข็งแกร่งกว่า อ่อนวัยกว่า ในด้านสลักอาคม!


 


“เจอจนได้ ผู้จัดการเหอ” อี้เทียนหยุนยิ้มคลุมเครือ ในที่สุดผู้จัดการเหอก็กลับมา ดีที่ไม่ต้องรอนานเกินไป


 


ถ้าเธอยังไม่กลับมาอีก เขาก็ว่าจะจากไปก่อน พูดโดยไม่เกรงใจแล้ว ที่นี่ไม่เหมาะที่จะทำอะไร เพราะว่ามีข้อจำกัดเยอะ ทั้งยังต่างสถานที่ เขาเป็นแค่คนผ่านทาง ดังนั้นการจะสืบข่าวอะไร จึงเป็นไปได้ยาก


 


“เจ้าคือลูกศิษย์ที่ข้าแนะนำ ที่ปัจจุบันคือศิษย์ชั้นยอด พลังวิญญาณแข็งแกร่ง ระดับฝึกตนไม่แย่ เป็นศิษย์ใหม่ยอดเยี่ยมคนนั้นเหรอ?” เหอเชียนหานฝืนยิ้มออกมา เมื่อเห็นอี้เทียนหยุน เธอก็รู้ว่าเกิดเรื่องเข้าใจผิดขนานใหญ่แล้ว


 


 


“ใช่ ข้าส่งตรานี้ให้พวกเขา จากนั้นพวกเขาก็บอกว่านี่เป็นตราแนะนำ ดังนั้นจึงให้ข้าเป็นศิษย์” อี้เทียนหยุนเอาตราออกมา “ผู้จัดการเหอ เจ้าให้ตราข้ามาผิดหรือเปล่า? ทำไมพวกเขาถึงคิดว่าข้าจะมาเข้าร่วมกับวังเทียนจี๋”


 


“ตราที่ให้ไม่ผิดหรอก พวกเขาคงจะเข้าใจผิดน่ะ” เหอเชียนหานฝืนยิ้มแล้วพูดออกมา “เป็นเพราะว่าข้าแนะนำศิษย์เยอะเกินไป พวกเขาจึงคิดว่าเจ้าเป็นคนที่ข้าแนะนำมาด้วย ดังนั้นจึงไม่ได้ตรวจสอบให้ละเอียด ทั้งเจ้ายังค่อนข้างเด็ก ดังนั้นจึงไม่มีใครคิดว่าข้าเชิญเจ้ามาเป็นแขก”


 


ที่เธอพูดก็ถูก ตรานี้ไม่ได้ผิด เพียงแต่ตราเชิญแขกก็ไม่ได้ต่างจากตราแนะนำนัก ดังนั้นถ้าไม่ดูให้ดีก็อาจจะเข้าใจผิดได้


 


“ถ้าอย่างนั้น ผู้จัดการเหอคงจะไม่คิดให้ข้าเป็นศิษย์อย่างนั้นสินะ?” อี้เทียนหยุนยิ้ม เขารู้ว่าเป็นการเข้าใจผิดแต่เริ่ม แต่ที่เขามานี่ เป้าหมายก็เพื่อตรวจสอบอยู่แล้ว ดังนั้นความเข้าใจผิดนี้จึงถือว่าเป็นเรื่องดีเช่นกัน


 


“จะเป็นไปได้ยังไง ระดับอย่างเจ้าเหนือกว่าพวกเราเหล่าผู้จัดการแล้ว จะเป็นแค่ศิษย์ได้ยังไง!” เหอเชียนหานพูดอย่างกระอักกระอ่วน “ครั้งนี้เป็นเราต้อนรับผิดพลาด ตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปตำหนักหลักก่อน จะได้ต้อนรับเจ้าอย่างเป็นทางการ”


 


อี้เทียนหยุนพยักหน้า จากนั้นก็ตามเหอเชียนหานไป การอยู่ที่นี่ต่อไม่มีความหมายอะไร ตำหนักเทียนเหวินถูกเขาตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว ถ้าจะให้พูดแล้วล่ะก็ มันเป็นสถานที่ที่ธรรมดา


 


แม้จะมีการจัดแบ่งหมวดหมู่ได้อย่างดี แต่โดยรวมแล้วก็ธรรมดา พิสูจน์ได้ว่าวังเทียนจี๋แห่งนี้ไม่ค่อยโดดเด่น นอกจากศิษย์ที่โดดเด่นบางคนแล้ว คนอื่นล้วนธรรมดา แน่นอนว่าหากเทียบกับนิกายเทียนเฉวียนแล้วย่อมแข็งแกร่งกว่ามาก แต่นี่เป็นเพราะบรรยากาศมันต่างกัน


 


มีการเข้าร่วมกับกลุ่มตระกูล มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย ถ้าไม่สามารถรวมตัวเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว แล้วจะเป็นสำนักที่โดดเด่นได้ยังไง? เขารู้สึกเสมอว่าการที่กลุ่มตระกูลพวกนี้เข้าร่วมสำนัก ล้วนเพราะต้องการทรัพยาการเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตระกูลของตน ไม่ใช่เพื่อวังเทียนจี๋


 


ทำให้เขานึกถึงการทรยศของผู้จัดการเชียนเมื่อก่อนหน้า เขารู้สึกว่านี่คือสาเหตุที่ทำให้วังเทียนจี๋ตกต่ำ


 


ภายใต้การนำของเหอเชียนหาน ทำให้ตลอดเส้นทางผ่านไปได้โดยสะดวก ศิษย์บางคนเห็นเหอเชียนหานมาด้วยกันกับอี้เทียนหยุนก็เผยสายตาอิจฉาออกมา เห็นได้ชัดว่านี่เป็นโอกาสที่ดี โดยไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเลยด้วยซ้ำ


 


ยิ่งเป็นศิษย์ที่มีศักยภาพมากเท่าไหร่ก็ยิ่งได้รับทรัพยากรมากเท่านั้น นี่เป็นความจริงที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้


 


อย่างรวดเร็ว พวกเขาก็ออกมาจากตำหนักเทียนเหวิน จนมาถึงตำหนักหลัก ตำหนักหลักนี้เป็นหัวใจหลักของวังเทียนจี๋ เป็นสถานที่ที่โดดเด่นที่สุด ผู้อาวุโสและผู้จัดการหลายคนล้วนแต่ฝึกฝนอยู่ในนี้ และยังมีศิษย์หลักที่ฝึกฝนอยู่ด้านในเช่นกัน


 


ศิษย์หลักพวกนี้ไม่ว่าจะมาจากส่วนไหน ตราบเท่าที่โดดเด่นเพียงพอก็สามารถเข้ามาได้


 


เมื่อมาถึงตำหนักหลัก อี้เทียนหยุนก็เงยหน้าขึ้นมอง เห็นตัวอักษรสามตัวที่เขียนว่า “วังเทียนจี๋” อยู่ด้านบน ซึ่งตัวอักษรทั้งสามตัวนี้ต่างก็พากันปลดปล่อยแรงกดดันที่ทรงพลังออกมา เห็นได้ชัดว่าคนที่เขียนตัวอักษรสามตัวนี้ห่างจากคำว่าคนธรรมดาไปไกลนัก อย่างน้อยต้องเป็นระดับบรรพชนของวังเทียนจี๋


 


วังเทียนจี๋ที่สามารถสร้างคนระดับราชาวิญญาณเซวียนเทียนขึ้นมาได้ เห็นได้ชัดว่าศักยภาพของวังเทียนจี๋นั้นไร้ขีดจำกัด


 


หลังจากเข้ามา ที่ปรากฏแก่สายตาไม่ใช่เครื่องเรือนที่ตกแต่งอย่างหรูหรา หรือแม้แต่สิ่งของที่ส่งกลิ่นอายเก่าแก่โบราณออกมา กระทั่งไม่ใช่เครื่องเรือนที่ทำมาจากเงินหรือทอง แต่กลับตกแต่งทั้งหมดด้วยไม้วิญญาณ ไม้วิญญาณพวกนี้ไม่ธรรมดา เมื่อใช้มาเป็นของประดับตกแต่ง ไม่เพียงแต่จะมอบความสบายตาให้แล้ว แต่ยังทำให้พลังวิญญาณของที่นี่แน่นขนัดขึ้นอีกขั้น


 


ดังนั้น เพิ่งจะเข้ามา เขาก็สามารถรู้สึกได้ถึงความสบายที่แทรกซึกไปทุกอณู ยิ่งพลังวิญญาณสูงยิ่งเหมาะแก่การฝึกฝน ให้ความรู้สึกสดชื่นอย่างถึงที่สุด ต่อให้เป็นคนธรรมดา ถ้าได้อยู่ภายใต้ความสดชื่นนี้ ก็สามารถมีอายุยืนยาวขึ้น


 


“ผู้จัดการเหอ คราวนี้เจ้าพาเมล็ดพันธุ์แบบไหนกลับมากัน ดูแล้วยังเด็กมากนัก ได้ยินว่าศิษย์ที่เจ้าแนะนำมาคราวนี้ดีมาก พาศิษย์หลายคนกลับมา ในที่สุดรอบนี้ก็โชคดีแล้ว?” บนใบหน้าของชายชราเต็มไปด้วยความดูถูก ที่เขามาคราวนี้ไม่ได้มาแสดงความยินดี แต่มาเพื่อดูถูกความสามารถในการมองคนของเหอเชียนหานอย่างสมบูรณ์


 


“ผู้จัดการกวน นี่คือศิษย์ที่ข้าแนะนำมาและเพิ่งจะสร้างเรื่องเมื่อเร็วๆ นี้…. แต่ที่จริงแล้วเขาไม่ใช่ศิษย์ที่ข้าแนะนำมา แท้จริงแล้วเขาเป็นแขกของวังเทียนจี๋ แต่เพราะเกิดการผิดพลาดจากการอ่านตราที่ข้ามอบให้ ทำให้คนพากันคิดว่าเป็นตราแนะนำ” เหอเชียนหานไม่สนใจต่อการยั่วยุของผู้จัดการกวน แต่เลือกที่อธิบายออกมาตรงๆ


 


“แขกของวังเทียนจี๋อย่างงั้นเหรอ?” ผู้จัดการกวนอ้าปากค้าง จากนั้นก็มองไปที่เขาแล้วพูดอย่างดูถูก “ไม่ใช่ศิษย์ แต่เป็นแขกที่เชิญมา? ข้าก็ว่าอยู่ว่าทำไมเจ้าถึงได้โชคดีหาศิษย์พรสวรรค์สูงอย่างนี้มาได้ ที่แท้ก็เป็นคนจากสำนักอีก….. ไม่รู้ว่าเจ้ามาจากสำนักไหนในขุมอำนาจชั้น 3?”


 


“ข้าไม่ได้มาจากขุมอำนาจชั้น 3 ข้ามาจากขุมอำนาจชั้น 2” อี้เทียนหยุนตอบกลับเบาๆ


 


“ขุมอำนาจชั้น 2?” ผู้จัดการกวนตกใจ เหอเชียนหานก็ตกใจเช่นกัน เธอไม่คิดว่าอี้เทียนหยุนจะมาจากขุมอำนาจชั้น 2


 


“ข้าก็คิดว่ามาจากขุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่ ที่แท้ก็มาจากขุมอำนาจชั้น 2 นี่ก็สามารถเป็นแขกของเราได้?” ผู้จัดการกวนส่ายหัว “เรื่องที่ผู้จัดการเหอเจ้าจัดการนี่ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี ข้าชักสงสัยแล้วสิว่าตำแหน่งผู้จัดการนี้เหมาะกับเจ้าหรือเปล่า”


 


เหอเชียนหานสีหน้าเย็นชา ผู้จัดการกวนคนนี้หาเรื่องเธอไม่ใช่วันสองวันนี้ แต่เป็นทุกครั้งที่พบหน้ากันเลยก็ว่าได้


 


“ขุมอำนาจชั้น 2 แล้วยังไง? ระดับชั้นสลักอาคมของเขาไม่ได้ต่ำ กระทั่งเทียบได้กับตำหนักซิงเฉินด้วยซ้ำ!” ผู้จัดการเหอพูดอย่างจริงจัง


 


“ระดับชั้นสลักอาคมไม่ต่ำอย่างงั้นเหรอ?” ผู้จัดการกวนมองอี้เทียนหยุนตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตาเต็มไปด้วยความดูถูกโดยสมบูรณ์ “เป็นแค่ขุมอำนาจชั้น 2 หรือจะเทียบกับมาตรฐานของขุมอำนาจชั้น 3 ระดับเริ่มได้? ในตำหนักเทียนเหวินก็มีคนระดับนี้อยู่มาก เขาไม่สามารถติด 1 ใน 5 ได้ด้วยซ้ำ”


 


“ไม่ เขาเป็นอาจารย์สลักอาคมชั้น 4!” เหอเชียนหานแก้ให้ถูกโดยไม่ปรานี


 


“อาจารย์สลักอาคมชั้น 4….. อะไรนะ อาจารย์สลักอาคมชั้น 4 อย่างงั้นเหรอ!?” ผู้จัดการกวนในตอนนี้ตกใจโดยสมบูรณ์!



CLS ตอนที่ 217: ผู้สืบทอดของราชาวิญญาณเซวียนเทียน


 


เมื่อผู้จัดการกวนได้ยินว่าอี้เทียนหยุนเป็นอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 ก็เกือบจะกลืนลิ้นตัวเอง นี่มันน่าตกใจจริงๆ ทั่วทั้งวังเทียนจี๋ก็มีอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 เช่นกัน และทุกคนล้วนแต่อยู่ระดับผู้จัดการ แต่จำนวนที่มีก็น้อยจนแทบจะขาดแคลน


 


แล้วเด็กหนุ่มคนนี้ที่อายุเพิ่งจะ 17-18 ปี ก็เป็นอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 ด้วย นี่มันเป็นไปได้?


 


“อย่างเขานี่นะจะเป็นอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 จะเป็นไปได้ยังไง!”


 


“เจ้าจะเชื่อหรือไม่ก็เรื่องของเจ้า” ผู้จัดการเหอส่งสัญญาณให้อี้เทียนหยุน จากนั้นก็พาเขาเดินเข้าไปข้างใน “คุณชายอี้ โปรดตามข้ามา ข้าจะแนะนำผู้อาวุโสคนอื่นในสำนักให้ท่านรู้จัก”


 


เหอเชียนหานไม่สนใจผู้จัดการกวนคนนี้อีก เธอพาอี้เทียนหยุนเดินเข้าไปในด้านใน ทำให้ผู้จัดการกวนมองตามหลังเธอด้วยความเดือดดาล หลังจากคิดอะไรบางอย่าง เขาก็เดินตามหลังมา ขณะที่มุมปากปรากฏรอยยิ้มน่ารังเกียจขึ้น


 


“คุณชายอี้ พรสวรรค์ของท่านช่างน่าสะพรึงนัก ไม่รู้ว่าท่านคิดจะเข้าร่วมกับวังเทียนจี๋ของเราหรือไม่?” ในตอนนี้เอง เหอเชียนหานก็พลันเอ่ยปากชักชวนด้วยใจที่เต้นรัว เมื่อได้ยินว่าอี้เทียนหยุนมาจากขุมอำนาจชั้น 2 ในใจก็เต้นอย่างแรง รู้สึกมีความสุขอย่างมาก ถ้าเป็นขุมอำนาจชั้น 3 เธอไม่มีทางเอ่ยชวนเขาอย่างแน่นอน


 


แต่ตอนนี้เมื่อรู้ว่าเขามาจากขุมอำนาจชั้น 2 ก็พลันต่างออกไป แม้ว่าวังเทียนจี๋จะอยู่ในช่วงตกต่ำ แต่อย่างน้อยก็ยังเป็นขุมอำนาจชั้น 3 ถ้าสามารถชักชวนอัจฉริยะเข้าร่วมได้ล่ะก็  นั่นก็เท่ากับว่าวังเทียนจี๋จะมีอัจฉริยะเพิ่มมากขึ้นอีกคน


 


“เรื่องนี้ข้าไม่ได้คิดจริงๆ” อี้เทียนหยุนปฏิเสธอย่างมีชั้นเชิง ตัวเขามาที่นี่เพื่อขุดคนออกไป หรือไม่ก็หาทางรวมวังเทียนจี๋เข้ากับนิกายเทียนเฉวียน เพื่อทำให้นิกายเทียนเฉวียนของเขาเป็นใหญ่ ไม่ใช่ให้วังเทียนจี๋เป็นใหญ่!


 


ถ้าเป็นวังเทียนจี๋อย่างแต่ก่อนเขาก็คงจะเลือกทำการอย่างช้าๆ แต่สำหรับวังเทียนจี๋ในตอนนี้ พวกเขาย่อมไม่ยินยอมที่จะรวมเข้ากับสำนักเล็กๆ อย่างแน่นอน ถึงแม้จะกำลังตกต่ำ แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังเป็นขุมอำนาจชั้น 3 อยู่ดี


 


แต่จากที่อี้เทียนหยุนดู ถ้ายังปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป วังเทียนจี๋จะต้องล่มสลายลงในไม่ช้าอย่างแน่นอน เมื่อภายในไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ต่อให้พูดอะไรไปก็เปล่าประโยชน์


 


“นี่….” เหอเชียนหานเผยสีหน้าที่ผิดหวังออกมา


 


“ถ้าผู้จัดการเหอคิดจะเข้าร่วมกับนิกายเทียนเฉวียนเรา ข้าก็จะรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก” ในตอนนี้เอง กลับเป็นฝ่ายของอี้เทียนหยุนที่ทำให้เหอเชียนหานเป็นฝ่ายตกใจ


 


ขุมอำนาจชั้น 2 กำลังชวนคนจากขุมอำนาจชั้น 3 เข้าร่วมอย่างงั้นเหรอ ถ้าไม่ใช่คนโง่ล่ะก็ คงจะไม่มีใครยินยอมรับข้อเสนออย่างแน่นอน


 


“นี่ ต้องขอบคุณในความใจดีของคุณชายอี้อย่างมาก แต่ว่าข้ายังไม่ได้คิดอะไรในตอนนี้” เหอเชียนหานส่ายหัว เรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้อยู่แล้ว


 


ภายใต้การนำของเหอเชียนหาน พวกเขาก็เข้ามายังส่วนในของตำหนัก เพิ่งมาถึง พวกเขาก็เห็นศิษย์หลักบางคนเดินไปมาในนี้แล้ว ศิษย์หลักพวกนี้ระดับฝึกตนไม่ธรรมดา บางคนกระทั่งทะลวงเข้าสู่ระดับหลอมรวมแล้ว นี่เทียบเท่ากับระดับผู้จัดการเลยทีเดียว


 


ผู้จัดการเหอตอนแรกก็เป็นศิษย์หลักนี่แหละ จากนั้นภายหลังจึงได้กลายเป็นผู้จัดการ ศิษย์หลักและผู้จัดการนั้นมีอำนาจต่างกันมาก ซึ่งแน่นอนว่าผู้จัดการมีอำนาจมากกว่า


 


และอี้เทียนหยุนก็เห็นร่างที่คุ้นเคยของมู่เซียนเอ๋อ(ตอนเอาชื่อไปอ่านด้วยกันมันออกเสียง “เอ้อ” ครับ แต่พอแยกเอาทีละตัวมันออกเสียง “เอ๋อ” ทั้งยังแปลว่าเด็กด้วย จึงขอเปลี่ยนมาใช้ “เอ๋อ” นะครับ) มู่เซียนเอ๋อกำลังคุยอยู่กับชายชรา และเมื่ออี้เทียนหยุนมองดูชายชราคนนั้น เขาก็พบว่าชายชราคนนั้นมีระดับก่อแกนวิญญาณขั้นที่ 5 เห็นได้ชัดว่าเป็นตัวตนระดับผู้อาวุโส


 


เมื่อเขาเห็นมู่เซียนเอ๋อ มู่เซียนเอ๋อก็เห็นเขาเช่นกัน ตอนแรกเธออ้าปากค้าง จากนั้นก็มองมาที่เขาด้วยความโกรธ “เป็นเจ้า!”


 


เสียงตะโกนที่อยู่ในตัวตำหนัก แม้ว่าจะไม่ดังมาก แต่ก็ทำให้ทุกคนที่อยู่ในตำหนักพากันหันมามอง จากนั้นก็มองตามนิ้วที่ชี้มาของมู่เซียนเอ๋อ ทำให้พวกเขาเห็นอี้เทียนหยุนที่กำลังเดินมา


 


“ใช่แล้ว ข้าเอง” อี้เทียนหยุนพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ “เซียนเอ๋อ พบกันอีกแล้ว”


 


“พบกับหัวเจ้าสิ!” มู่เซียนเอ๋อมองไปที่พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงโมโห


 


“เซียนเอ๋อเป็นอะไร หรือว่าเขารังแกเจ้า?” ผู้อาวุโสที่อยู่ใกล้ๆ พูดด้วยรอยยิ้มใจดี


 


“นี่ จะไปมีเรื่องแบบนั้นได้ยังไง….” มู่เซียนเอ๋อจะไปกล้าพูดได้ยังไงว่าตัวเองถูกอี้เทียนหยุนตีก้นเข้าน่ะ?


 


“ถ้าไม่ใช่ แล้วทำไมเจ้าต้องตะโกนใส่เขาด้วยล่ะ?” ผู้อาวุโสใหญ่พูดเชิงสั่นสอน “เป็นเด็กผู้หญิง เวลาพูดต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ จะทำตัวป่าเถื่อนอย่างนี้ไม่ได้ ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ใครจะกล้ามาเป็นคู่บำเพ็ญเต๋าของเจ้ากัน?”


 


“ท่านปู่ ทำไมท่านพูดกับข้าอย่างนี้ล่ะ!” มู่เซียนเอ๋อกระทืบเท้า ท่าทางไม่พอใจอย่างมาก จากนั้นก็พูดด้วยท่าทางเชิดๆ ว่า “คนที่จะมาเป็นคู่บำเพ็ญเต๋าของข้า ตอนนี้ยังไม่เกิดด้วยซ้ำ!”


 


อี้เทียนหยุนพลันยิ้มออกมา นี่ช่างเป็นเด็กผู้หญิงที่เอาแต่ใจจริงๆ ยังไงก็ตาม พรสวรรค์ของเธอก็น่าตื่นตะลึงอย่างมาก คนที่จะคู่ควรกับเธอนั้นมีน้อย แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มี


 


“น้องชาย ที่เซียนเอ๋อแกล้งเจ้า หวังว่าเจ้าอย่าเอามาใส่ใจ เธอก็ซุกซนไปเรื่อยนั่นแหละ”


 


เห็นได้ว่าผู้อาวุโสใหญ่คนนี้ตามใจหลานสาวของตนอย่างมาก แม้ว่าภายนอกจะทำเป็นสั่งสอนเธอ แต่ที่จริงแล้วกลับตามใจจนเกินพอดี


 


“ไม่เป็นไรหรอก ข้าไม่ใส่ใจ” อี้เทียนหยุนยิ้ม


 


“เจ้าก็ต้องไม่ใส่ใจแน่นอนอยู่แล้ว!” มู่เซียนเอ๋อราวกับถูกเหยียบหาง ร้องออกมาในทันที


 


“ผู้อาวุโสใหญ่ นี่คือคุณชายอี้ที่ช่วยข้าในงานประลองของตำหนักซิงเฉิน ทั้งยังเป็นอันดับที่ 1 ในงานนั้น แต่เพราะความเข้าใจผิด ทำให้คนนึกว่าเขาเป็นศิษย์ที่ข้าแนะนำมา แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่ศิษย์ที่ข้าแนะนำ” เหอเชียนหานออกมาแนะนำตัวอี้เทียนหยุน


 


“ผู้ชนะอันดับ 1 ในงานประลองตำหนักซิงเฉิน?”


 


ผู้อาวุโสใหญ่ตาเป็นประกาย มู่เซียนเอ๋อที่อยู่ใกล้ๆ ก็พลันสงบลงด้วยการโจมตีของข่าวนี้ เรื่องที่ตำหนักซิงเฉินเธอก็ได้ยินมา นี่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ทั้งเรื่องที่เหอเชียนหานถูกช่วยไว้ ดังนั้นเธอจึงเข้าใจ


 


สามารถได้อันดับ 1 นั่นหมายความว่าจะต้องมีระดับไม่ต่ำกว่าชั้นที่ 4 ไม่อย่างนั้นไม่มีทางได้อันดับนี้ แต่ด้วยรูปลักษณ์ที่ยังเยาว์ของเขา แต่กลับเป็นถึงอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 ช่างเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อจริงๆ


 


“แค่พูดใครก็พูดได้ ไม่รู้ว่าที่พูดมานั้นจริงหรือหลอก? พวกเราไม่ได้ไปดู คิดจะพาใครมาก็ได้ แค่บอกว่าเป็นอันดับที่ 1 ข้าก็พามาได้!” ในตอนนี้ ผู้จัดการกวนก็ได้เดินมาพร้อมกับยิ้มเยาะ “นี่ก็เหมือนกับศิษย์ที่ผู้จัดการเหอพามาตอนแรกนั่นแหละ ตอนแรกก็บอกว่าเป็นคนที่โดดเด่น จะต้องเป็นศิษย์ที่โดดเด่นแน่ๆ แต่แล้วเป็นไง? ศิษย์ที่โดดเด่นที่ว่า พรสวรรค์ที่มีกลับน่าผิดหวัง ซ้ำยังทนการฝึกไม่ไหวจนต้องหนีไป!”


 


“ข้า นี่…. ข้าทำทุกอย่างเพื่อสำนัก” เหอเชียนหานรู้สึกเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม เธอทำทุกอย่างเพื่อวังเทียนจี๋ ออกคนหาศิษย์ที่มีระดับดี แต่สุดท้ายกลับถูกพูดอย่างนี้ใส่


 


“ทำทุกอย่างเพื่อสำนัก?” ผู้จัดการกวนยิ้มเยาะ “ถ้าเพื่อสำนักล่ะก็ ทีหลังก็อย่าได้พาขยะกลับมามากมายขนาดนั้น มันเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากร! เอาจริงๆ นะ ถ้าเจ้าไม่ใช่สายเลือดของราชาวิญญาณเซวียนเทียน เจ้าคงไม่ได้ตำแหน่งผู้จัดการนี้หรอก!”


 


“ผู้จัดการกวน พอได้แล้ว!” ผู้อาวุโสใหญ่คำรามเสียงต่ำ หยุดคำพูดที่ไม่เกรงใจของผู้จัดการกวน


 


อี้เทียนหยุนตกใจ เหอเชียนหานคนนี้เป็นสายเลือดของราชาวิญญาณเซวียนเทียนอย่างงั้นเหรอ ไม่แปลกที่เธอจะทำทุกอย่างเพื่อวังเทียนจี๋ ยิ่งรู้เรื่องมากเท่าไหร่ มันยิ่งทำให้เขารู้สึกถึงกลิ่นตุๆ มากเท่านั้น


 


“ผู้อาวุโสใหญ่ ข้าพูดอะไรผิดอย่างงั้นเหรอ? เธอพาศิษย์ที่เรียกว่าเมล็ดพันธุ์กลับมาบ่อยๆ แต่สุดท้ายกลับวิ่งหนีออกไปกันทุกคน” ผู้จัดการกวนพูดอย่างเย็นชา


 


“เจ้ารู้ไหมว่าทำไมคนที่ผู้จัดการเหอพามาถึงได้หนีไป?” อี้เทียนหยุนพลันพูดแทรกขึ้นมา “ทั้งหมดนั่นเป็นเพราะวังเทียนจี๋แห่งนี้มันโคตรโสมมยังไงล่ะ! ในนี้เต็มไปด้วยการจับกลุ่มแบ่งพรรคแบ่งพวก คนใหม่ที่เข้ามาเป็นต้องถูกกดหัว ถูกบังคับให้ต้องขึ้นประลอง อย่าว่าแต่ศิษย์ใหม่ที่พึ่งมาเลย กระทั่งข้ายังอยากจะออกไปมันซะตอนนี้เลยด้วยซ้ำ!”


 


“เจ้าเกี่ยวอะไรด้วย นี่เป็นเรื่องของวังเทียนจี๋เรา ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องมาสอด!” ผู้จัดการกวนพูดอย่างเย็นชา


 


“เพราะข้าคือผู้สืบทอดของราชาวิญญาณเซวียนเทียนยังไงล่ะ แค่นี้พอไหม!” อี้เทียนหยุนพูดอย่างเย็นชา



CLS ตอนที่ 218: ผุพัง


 


ผู้สืบทอดของราชาวิญญาณเซวียนเทียน!


 


เมื่อข่าวนี้ถูกเอ่ยออกมาก็ทำให้ทุกคนที่ได้ยินรู้สึกคาดไม่ถึง เหอเชียนหานมองไปที่อี้เทียนหยุน ทำไมอยู่ๆ ถึงได้ปรากฏผู้สืบทอดของราชาวิญญาณเซวียนเทียนขึ้นมาล่ะ?


 


อี้เทียนหยุนคิดว่าเหอเชียนหานต้องประสบกับความลำบากอย่างมาก เขาเห็นถึงความทุ่มเทที่เหอเชียนหานมีต่อวังเทียนจี๋ ดังนั้นจึงอยากช่วยเหลือคนๆ นี้ ถึงยังไงเขาก็ทำได้แค่ทุ่มเทจิตใจให้กับนิกายเทียนเฉวียน ช่วยทำให้นิกายเทียนเฉวียนแผ่ขยายออกไป ส่วนที่นี่ก็ได้แต่ทิ้งไว้อย่างนี้


 


ถ้าก่อนหน้านี้เขายังไม่ได้ไปที่ตำหนักเทียนเหวิน เขาก็คงจะไม่รู้ถึงเหตุผลที่ทำให้วังเทียนจี๋ตกต่ำ แต่ตอนนี้เขารู้แล้ว ถ้าตำหนักอื่นๆ เป็นเหมือนกันแล้วล่ะก็ ไม่แปลกที่จะไม่มีใครอยากเข้าร่วมวังเทียนจี๋ มีกลุ่มนายน้อยจากตระกูลร่ำรวยคอยสร้างปัญหาอยู่รอบๆ แล้วอย่างนี้จะให้ฝึกฝนได้ยังไง


 


เห็นได้ชัดว่าเพื่อขยายอำนาจตัวเอง ทำให้วังเทียนจี๋รับตระกูลเหล่านี้เข้ามา ทั้งตอนแรกยังต้องมีข้อเสนออย่างมาก แต่ใครจะรู้ว่าสุดท้ายแล้วกลับเป็นการนำปัญหามาสู่ตัวเอง


 


ตอนนี้เมื่อรู้ว่าเหอเชียนหานเป็นสายเลือดของราชาวิญญาณเซวียนเทียน เขาก็จำเป็นต้องออกหน้า ตามทฤษฎีแล้ว เขาเท่ากับเป็นศิษย์ครึ่งหนึ่งของราชาวิญญาณเซวียนเทียน ทั้งนิกายเทียนเฉวียนยังต้องพึ่งพาซากโบราณสถานเทียนเฉินเพื่อความปลอดภัย ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องตอบแทนบุญคุณที่ได้รับมานี้


 


“เจ้าเป็นผู้สืบทอดของราชาวิญญาณเซวียนเทียน น่าขำ เจ้ารู้ไหมว่าเจ้าพูดอะไรออกมา?” ผู้จัดการกวนหัวเราะเยาะ “ผู้อาวุโสใหญ่ ท่านดูสิ คนที่ผู้จัดการเหอพามาคนนี้ กล้ามาหลอกว่าเป็นผู้สืบทอดของราชาวิญญาณเซวียนเทียน! พูด เจ้ามาที่นี่ แท้จริงแล้วมีเป้าหมายอะไร คิดจะขโมยทรัพยากรของวังเทียนจี๋เราอย่างนั้นใช่ไหม?”


 


อึดใจต่อมา สายตาของอี้เทียนหยุนก็มีแสงเย็นชาวาบผ่าน พร้อมกับฟาดฝ่ามือออกไป บนฝ่ามือนั้นมีลำแสงสีฟ้าจางๆ คลุมอยู่ “เพี๊ยะ” ผู้จัดการกวนถูกตบจนปลิว จนไปชนเข้ากับกำแพงหนา


 


แรงปะทะที่รุนแรงทำให้กำแพงถึงกับสั่น เห็นได้ชัดว่าฝ่ามือนี้รุนแรงแค่ไหน


 


ภายใต้ฝ่ามือนี้ ใบหน้าของผู้จัดการกวนถึงกับบวม ฟันร่วงลงมามากมาย ฝ่ามือที่ฟาดออกมาอย่างกะทันหันนี้ทำให้ผู้จัดการกวนถึงกับมึนงง หลังจากลุกขึ้นมา เขาก็ชี้มาที่อี้เทียนหยุนพร้อมกับร่างกายที่สั่นเทา แล้วพูดขึ้นว่า “เจ้า เจ้ากล้าตบข้า…. นี่ นี่คือเคล็ดวิชาเซวียนเทียนอย่างงั้นเหรอ?”


 


บนฝ่ามือของอี้เทียนหยุนมีลำแสงที่คล้ายกับผลึก นี่คือผลยามเมื่อใช้เคล็ดวิชาเซวียนเทียน ซึ่งสามารถควบแน่นให้ผลึกแข็งขึ้นคลุมร่างไว้ชั้นหนึ่ง ช่วยต้านรับการโจมตีที่เข้ามา ก่อนหน้านี้อี้เทียนหยุนไม่ได้ใช้มันออกมา ไม่ใช่เพราะว่าวิชานี้ไม่ดี แต่เพราะว่าเพียงแค่พลังของเขาก็สามารถสังหารศัตรูทุกคนได้ในพริบตาแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องป้องกัน


 


เมื่อคนอื่นๆ เห็นผลลัพธ์นี้ ทันใดนั้นก็รู้ว่านี่คือเคล็ดวิชาเซวียนเทียน! ซึ่งเป็นเคล็ดวิชาของราชาวิญญาณเซวียนเทียน หากไม่ใช่ศิษย์สายตรงแล้วล่ะก็ จะไม่มีทางรู้วิธีฝึกวิชานี้อย่างแน่นอน แม้กระทั่งสายเลือดของราชาวิญญาณเซวียนเทียนอย่างเหอเชียนหานเอง ก็ยังไม่มีเคล็ดวิชาเซวียนเทียนนี้ให้ฝึก


 


จนกระทั่งทุกวันนี้ วังเทียนจี๋ยังไม่มีเคล็ดวิชาเซวียนเทียนที่สมบูรณ์อยู่กับตัว ดังนั้น เมื่อพวกเขาได้เห็นก็พากันตกใจ ยิ่งกว่านี้ พวกเขายังเชื่อในทันทีว่านี่คือเคล็ดวิชาเซวียนเทียน


 


“ฮึ่ม นี่คือเคล็ดวิชาเซวียนเทียน บอกว่าข้าแกล้งเป็นผู้สืบทอดของราชาวิญญาณเซวียนเทียนอย่างงั้นเหรอ นี่มันใส่ร้ายข้าชัดๆ! คุณชายอย่างข้าจำเป็นต้องแกล้งด้วยอย่างงั้นเหรอ!” อี้เทียนหยุนพูดอย่างเย็นชา


 


“ท่านคือผู้สืบทอดของท่านบรรพชน” เหอเชียนหานเอามือกุมปากด้วยท่าทางมีความสุข ทั้งตกใจ รู้สึกไม่อยากจะเชื่ออย่างมาก


 


“ใช่แล้ว ข้าคือผู้สืบทอดของราชาวิญญาณเซวียนเทียน” อี้เทียนหยุนพยักหน้า


 


มู่เซียนเอ๋อที่อยู่ใกล้ๆ มีท่าทางตกตะลึง เด็กหนุ่มลามกตรงหน้านี้ กลับเป็นผู้สืบทอดของราชาวิญญาณเซวียนเทียน? ยิ่งกว่านั้นยังได้ยินว่าเป็นอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 นี่มันจะไม่ท้าทายสวรรค์มากไปหน่อยเหรอ?


 


“นี่ นี่คือเคล็ดวิชาเซวียนเทียนจริงๆ ดี ดีมาก!” ความเจ็บปวดบนใบหน้าของผู้จัดการกวนเหมือนกับหายไป เขารีบพูดขึ้นว่า “เร็ว รีบส่งเคล็ดวิชาเซวียนเทียนมาซะ นี่เป็นสมบัติของวังเทียนจี๋เรา!”


 


“ใช่ เคล็ดวิชาเซวียนเทียนเป็นสมบัติของวังเทียนจี๋เรา โปรดมอบเคล็ดวิชาเซวียนเทียนคืนมาด้วย!” ในตอนนี้เอง คนที่พูดขึ้นมาไม่ใช่ผู้อาวุโสใหญ่ แต่เป็นชายชราอีกคนที่เดินออกมาจากข้างใน ระดับของเขาอยู่ที่ระดับก่อแกนวิญญาณขั้นที่ 4 นับว่าไม่อ่อนแอ


 


หลังจากชายชราคนนี้ออกมา ก็มีชายชราอีกคนออกมาด้วย ชายชราคนนี้ก็มีพลังระดับก่อแกนวิญญาณขั้นที่ 4 เช่นกัน เห็นได้ชัดว่าเป็นตัวตนระดับผู้อาวุโส


 


สายตาที่พวกเขามองมาที่อี้เทียนหยุนราวกับมองมายังสมบัติ ดวงตาทั้งสองข้างเป็นประกาย ทั้งลึกลงไปในแววตายังมากไปด้วยความโลภ


 


“ผู้อาวุโสรอง ผู้อาวุโสสาม ท่านมาแล้ว!” ผู้จัดการกวนรีบวิ่งไป ราวกับพบคนหนุนหลัง


 


“ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้ามาจากไหน แต่เคล็ดวิชาเซวียนเทียนเป็นสมบัติของวังเทียนจี๋เรา โปรดมอบมันให้เราด้วย!” ผู้อาวุโสรองมองมาที่เขาแล้วพูดอย่างจริงจัง


 


อี้เทียนหยุนสายตาเย็นชา เห็นได้ชัดว่าคนพวกนี้ได้ยินว่าเป็นมีเคล็ดวิชาเซวียนเทียน จึงรีบบอกให้เขาส่งมอบออกไป ไม่คิดเลยว่าราชาวิญญาณเซวียนเทียนจะไม่ทิ้งเคล็ดวิชาเซวียนเทียนไว้ที่นี่ เขาต้องมีเป้าหมายของเขาอย่างแน่นอน


 


“ผู้อาวุโสรอง ก่อนหน้านี้บรรพชนของข้าไม่ได้บอกอย่างนี้ ท่านบอกว่าวิชานี้ส่งมอบให้แก่ศิษย์ของตนเท่านั้น ไม่ได้ส่งมอบให้สำนัก!”


 


อี้เทียนหยุนยังทันได้พูดอะไร เหอเชียนหานก็พูดออกมาก่อน ยิ่งกว่านั้น น้ำเสียงของเธอยังเป็นการปกป้องอี้เทียนหยุนอีกด้วย


 


“อืม คำพูดของราชาวิญญาณเซวียนเทียนพวกเราต้องทำตาม” ผู้อาวุโสใหญ่พูดขึ้นมาจากอีกฝั่ง คิ้วของเขาขมวดมุ่น ไม่พอใจกับคำพูดของผู้อาวุโสรอง


 


“ผู้อาวุโสใหญ่ ข้ามีคำถาม ถ้าเขาเป็นผู้สืบทอดจริง ทั้งยังไม่ส่งมอบเคล็ดวิชาเซวียนเทียนออกมาอีก หรือท่านจะยอมให้เขาเป็นผู้อาวุโสของวังเทียนจี๋?” ผู้อาวุโสรองพูดอย่างเย็นชา


 


“ถ้าเจ้ามีความสามารถจริง ทำไมไม่ฝึกมันล่ะ?” อี้เทียนหยุนพูดแทรกขึ้นมา


 


ผู้อาวุโสรองคนนี้ช่างน่าขำนัก คำพูดแบบนี้ยังกล้าพูดออกมา เห็นได้ชัดว่าเป็นข้ออ้างที่จะบังคับเอาเคล็ดวิชาเซวียนเทียนไปจากเขา


 


“ท่านบรรพชนไม่ได้ทิ้งเคล็ดวิชาเซวียนเทียนไว้ ตราบเท่าที่ใครก็ตามสามารถฝึกวิชานี้ได้ ก็เท่ากับเป็นผู้สืบทอด! และตามเงื่อนไข คนๆ นั้นสามารถขึ้นเป็นผู้อาวุโสของวังเทียนจี๋ได้!” เหอเชียนหานพูดอย่างเย็นชา


 


เธอพร้อมจะต่อสู้เพื่อความปรารถนาสุดท้ายของบรรพบุรุษตัวเอง ไม่ว่าอี้เทียนหยุนจะเป็นใคร ถ้าเขาฝึกวิชาเซวียนเทียน เขาก็คือผู้สืบทอด


 


“ผู้จัดการเหอ ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไร แต่พวกเราไม่รู้จักเขา ยิ่งกว่านั้น วังเทียนจี๋ของเราตอนนี้ยังอยู่ในขั้นวิกฤต ถ้าไม่ส่งมอบเคล็ดวิชาเซวียนเทียนออกมา ก็อย่างหวังว่าจะออกไปจากที่นี่ได้!” ผู้อาวุโสรองก้าวออกมา พร้อมกับประทุพลังระดับก่อแกนวิญญาณออกมา แพร่กระจายออกไปทั่วทุกทิศทาง


 


ผู้อาวุโสสามที่อยู่ใกล้ๆ ก็ปลดปล่อยพลังออกมาเช่นกัน พร้อมทั้งทำการปิดเส้นทางไว้ ไม่ปล่อยให้มีช่องหลบออกไป


 


“ท่านจะทำอะไร!” เหอเชียนหานยืนขวางหน้าอี้เทียนหยุน พร้อมกับพูดอย่างไม่ยอมถอย “ท่าน ท่านคิดจะละเมิดความหวังสุดท้ายของท่านบรรพชนอย่างงั้นเหรอ!”


 


“ไม่ พวกเราทำอย่างนี้เพื่อวังเทียนจี๋ สำหรับราชาวิญญาณเซวียนเทียนนั้น….. แต่แรกแล้ว พวกเราก็ไม่รู้ว่าราชาวิญญาณเซวียนเทียนหายไปไหน ทั้งยังไม่ยอมกลับมาอีก กระทั่งกระดูกยังไม่เห็น บางทีอาจจะเป็นเจ้าหนูนี่เป็นคนเก็บได้ก็ได้!” ผู้อาวุโสรองพูดเหน็บ “แล้วอย่างนี้เจ้ายังจะให้ข้ายอมรับมันอย่างงั้นเหรอ? นี่เหมือนกับเป็นการทำร้ายราชาวิญญาณเซวียนเทียนชัดๆ!”


 


บิดเบือนความจริง นี่เป็นสิ่งที่เดรัจฉานมักทำกัน


 


สายตาของอี้เทียนหยุนพลันมีแสงเย็นเยียบแวบผ่าน เขาคิดว่าการเปิดเผยฐานะจะทำให้พวกเขายอมรับตนเอง แต่ใครจะรู้ว่าจะเป็นการนำกลุ่มคนโลภเข้ามาแทน จากสายตาพวกเขา เห็นราชาวิญญาณเซวียนเทียนอยู่ในสายตาซะที่ไหน เห็นได้ชัดว่าคิดลงมือกับตัวเอง!


 


เคล็ดวิชาเซวียนเทียนช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้ตัวเอง ทำให้มีโอกาสสูงมากที่จะทะลวงเข้าสู่ระดับผันแปรวิญญาณได้ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้พวกเขาตื่นเต้นได้ยังไง?


 


ดูเหมือนว่าวังเทียนจี๋แห่งนี้จะมาถึงจุดที่แม้แต่ความหวังสุดท้ายของบรรพชนยังต้องผุพังลง แล้วอย่างนี้จะไปพูดถึงเรื่องการขยับขยายอะไรอีก?


CLS ตอนที่ 219: รวมหัว


 


ขณะที่อี้เทียนหยุนเตรียมจะพูดอะไรอยู่นั้น ผู้อาวุโสใหญ่ก็ได้ออกมายืนด้านหน้าเหอเชียนหาน พร้อมกับเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสรอง แล้วพูดขึ้นว่า “เจ้าจะเอาอย่างนี้จริงๆ? นี่คือความหวังสุดท้ายของราชาวิญญาณเซวียนเทียน ใช่ว่าเจ้าไม่รู้ เฒ่าชราอย่างเจ้าควรจะรู้ เขาเป็นผู้สืบทอดของราชาวิญญาณเซวียนเทียน นอกจากเขาจะเต็มใจมอบให้เองแล้ว ไม่มีใครสามารถบีบบังคับเขาได้! ราชาวิญญาณเซวียนเทียนพูดเอาไว้ว่า ท่านจะส่งมอบมันให้กับลูกศิษย์ของท่านเท่านั้น คนอื่นไม่มีสิทธิ์ ข้าคิดว่านี่ก็เป็นเหตุผลของมันอยู่แล้ว!”


 


เหตุผลนี้ทำให้อี้เทียนหยุนรู้สักทีว่าทำไมวังเทียนจี๋ถึงได้ตกต่ำ เพราะขาดเคล็ดวิชาเซวียนเทียนฉบับสมบูรณ์ ทำให้สุดท้ายแล้วไม่มีใครในวังเทียนจี๋สามารถไปถึงระดับวิญญาณเที่ยงแท้ แม้ว่าวิธีนี้จะช่วยทำให้ระดับพลังแข็งแกร่งขึ้นมาก แต่ก็ไม่ใช่ความปรารถนาของราชาวิญญาณเซวียนเทียน


 


ด้วยเหตุที่ว่าเคล็ดวิชาเซวียนเทียนไม่เหมาะให้ศิษย์หมู่มากเป็นคนฝึก ซึ่งง่ายมากที่จะก่อให้เกิดปัญหากับวังเทียนจี๋ ยิ่งกว่านั้น เงื่อนไขในการฝึกยังไม่เหมือนเกณฑ์ทั่วไป จึงส่งผ่านเพียงแค่ศิษย์ของตนเท่านั้น ให้แต่ละรุ่นทำการขัดเกลากันไป ซึ่งจะช่วยทำให้เคล็ดวิชาเซวียนเทียนพัฒนาขึ้น


 


พูดตรงๆ แล้ว วิชานี้ส่งต่อให้ศิษย์ของตนเท่านั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับศิษย์คนอื่นในวังเทียนจี๋หรือสายเลือดของตน


 


“ผู้อาวุโสใหญ่ ท่านอยากจะให้วังเทียนจี๋ยอมรับสิทธิ์นี้จริงๆ น่ะเหรอ?” ผู้อาวุโสรองสายตาเย็นชา จากนั้นก็พูดอย่างจริงจังว่า “อย่าว่าแต่ข้าเท่านั้น กระทั่งประมุขเองก็เห็นชอบด้วยเช่นกัน ท่านลองคิดดู เคล็ดวิชาเซวียนเทียนมีชื่อเสียงขึ้นที่นี่ ทั้งราชาวิญญาณเซวียนเทียนยังเป็นคนของวังเทียนจี๋ ข้าคิดว่า ถ้าราชาวิญญาณเซวียนเทียนยังมีชีวิตอยู่ ท่านก็ต้องเลือกสนับสนุนเราอย่างแน่นอน!”


 


คำพูดของเขาเต็มไปด้วยความเที่ยงธรรม ทุกคำพูดล้วนแต่ทำเพื่อวังเทียนจี๋


 


“ผู้อาวุโสรอง อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าท่านคิดอะไรอยู่ ที่ท่านต้องการเคล็ดวิชาเซวียนเทียนนี้ก็ไม่ใช่เพราะอะไร แต่เป็นเพราะท่านไม่สามารถเลื่อนระดับได้มาหลายปีแล้ว ดังนั้นจึงต้องการฝึกเคล็ดวิชาเซวียนเทียนนี้!” เหอเชียนหานเปิดเผยความในใจของพวกเขาออกมา “ป่าวประกาศว่าเพื่อบรรพชน เพื่อวังเทียนจี๋ แต่แค่ความหวังสุดท้ายของบรรพชนท่านยังไม่เห็นอยู่ในสายตา? แล้วถ้าเกิดท่านได้เคล็ดวิชาเซวียนเทียนนี้ไปจริงๆ ท่านเต็มใจที่จะส่งต่อให้กับศิษย์คนอื่นๆ หรือเปล่า?”


 


“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ตราบเท่าที่ศิษย์คนนั้นมีพรสวรรค์มากพอ ทำคุณประโยชน์มากพอ ก็สามารถฝึกเคล็ดวิชาเซวียนเทียนนี้ได้!” ผู้อาวุโสรองพูดออกมาอย่างเที่ยงธรรม


 


“เดี๋ยวก่อนนะ” อี้เทียนหยุนยื่นมือออกมาขัดขวางการทะเลาะกันของพวกเขา ทำให้สายตาของทุกคนจับจ้องมา “พูดไร้สาระกันพอหรือยัง ข้าไม่สนว่าจะเพื่อสำนักหรือว่าอะไรก็ตาม ตอนนี้ข้าคือผู้สืบทอด เป็นคนเดียวที่รู้วิธีฝึกเคล็ดวิชาเซวียนเทียนนี้ ถ้าข้าไม่ให้ พวกเจ้าจะทำยังไง?”


 


“วางใจได้ ข้ามีเป็นร้อยวิธีที่จะทำให้เจ้าพูด!” ในสายตาที่มองมาของผู้อาวุโสรองปรากฏลำแสงดุร้ายวาบผ่าน


 


“ข้าก็มีเป็นร้อยวิธีที่จะจัดการเจ้าคนลุกไม่ขึ้น” อี้เทียนหยุนพูดเยาะ “ถ้าเก่งจริงก็ลองลงมือกับข้าดู?” เขาก้าวออกไป ยืนขวางหน้าผู้อาวุโสใหญ่ พร้อมกับส่งสายตาให้พวกเขาลงมือ


 


“โอหังนัก ไม่คิดว่าเคล็ดวิชาเซวียนเทียนจะตกมาอยู่ในมือขยะอย่างเจ้า! เมื่อเป็นอย่างนี้ วันนี้ข้าก็จะขอกวาดล้างสำนักเพื่อราชาวิญญาณเซวียนเทียน!” ผู้อาวุโสรองยิ้มเย็นชา ถีบเท้าลงกับพื้นพร้อมกับพุ่งเข้าใส่อี้เทียนหยุนราวกับพายุเฮอริเคน ระหว่างที่พุ่งมา เขาก็ยื่นมือเป็นกรงเล็บเหยี่ยวออกมา ตรงใส่ร่างอี้เทียนหยุน


 


ผู้อาวุโสใหญ่รีบมาขวางอยู่ข้างหน้าอี้เทียนหยุนอย่างรวดเร็ว พร้อมกับพูดอย่างเย็นชาว่า “ผู้อาวุโสรอง หยุดมือ!”


 


“ผู้อาวุโสใหญ่ ดูเหมือนท่านจะเลอะเลือนแล้ว ถ้าอย่างนั้นโปรดระวังตัวด้วย!” ผู้อาวุโสรองไม่สนใจผู้อาวุโสใหญ่ พร้อมทั้งปะทุพลังทั้งหมดออกมาทันที คลื่นพลังที่ปล่อยออกมานั้น แข็งแกร่งกว่าก่อนหน้ามาก เป็นการระเบิดพลังทั้งหมดออกมาเพื่อจัดการศัตรูให้สิ้นซาก


 


ผู้อาวุโสใหญ่ก็ปะทุพลังออกมาเช่นกัน เขาที่ออกมาขวางหน้าอี้เทียนหยุนไว้ เห็นได้ชัดว่าสนับสนุนความหวังสุดท้ายของราชาวิญญาณเซวียนเทียน


 


“ท่านปู่ ท่านบาดเจ็บอยู่นะ…..” มู่เซียนเอ๋อที่อยู่ใกล้ๆ ร้องออกมา


 


ขณะที่กำลังจะปะทะกันนั้น ทันใดนั้นก็มีร่างๆ หนึ่งโผล่เข้ามาขวาง พร้อมกับเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสรอง


 


“เปรี้ยง!”


 


เสียงปะทะกันดังสนั่นทั่วทั้งตำหนัก ผู้อาวุโสรองถูกฝ่ามือนั้นซัดจนปลิวไปอัดกับกำแพง หลังจากกระอักเลือดออกมาคราหนึ่งก็หล่นตุบลงมา ปากกระอักเลือดออกมาเป็นสาย คอเอียงไปด้านข้าง ราวกับได้รับบาดเจ็บสาหัส


 


“นี่คือวิธีแรก ตบหน้าเจ้ายังไงล่ะ! ข้าเพิ่งจะใช้วิธีนี้ไปเร็วๆ นี้เอง คนบางคนนั้นใช้การไม่ได้ แต่หนังหนาหน้า พูดจาโกหกได้โดยที่ไม่กระพริบตา!”


 


อี้เทียนหยุนเดินมา ความเร็วที่น่าตื่นตะลึง ทำให้พวกเขาไม่รู้ว่าอี้เทียนหยุนลงมือตั้งแต่เมื่อไหร่!


 


ผู้อาวุโสรองลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก พร้อมกับร้องตะโกนออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว “เจ้าลูกสำส่อน ตายซะ!” ขณะเดียวกัน เขาก็ทำการตบพื้น พร้อมกับกระโจนเข้าใส่เขาด้วยพลังระดับก่อแกนวิญญาณ ความเร็วที่พุ่งเข้ามานี้ ราวกับเสือร้ายที่กำลังตะปบเหยื่อ


 


สายตาของอี้เทียนหยุนมีแสงเย็นชาแวบผ่าน ถีบเท้าพุ่งออกมา ความเร็วที่ใช้ออกยังเร็วกว่าของผู้อาวุโสรองเสียอีก เมื่อไปถึงด้านหน้าผู้อาวุโสรอง เขาก็ทำการฟาดขาออกไปอย่างแรง ราวกับสายฟ้าฟาด เร็วจนผู้คนเห็นไม่ถนัดตา


 


“เปรี้ยง!”


 


ผู้อาวุโสรองเป็นราวกับลูกหนัง ถูกแข้งหวดกระเด็นจนไปติดกำแพง หน้าอกยุบลงเป็นโพลงใหญ่ ไม่รู้ว่าซี่โครงหักไปกี่ซี่


 


“นี่คือวิธีที่สอง อัดให้จำ!”


 


อี้เทียนหยุนพูดจบก็เดินตรงเข้าหาผู้อาวุโสรอง เหอเชียนหานกับพวกพากันตกใจ พลังที่อี้เทียนหยุนแสดงออกมาน่ากลัวนัก จัดการกับผู้อาวุโสรองได้ง่ายราวกับปอกกล้วย! ผู้อาวุโสรองมีระดับอะไรกัน เขาเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญระดับก่อแกนวิญญาณขั้นที่ 4 แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ถูกอี้เทียนหยุนจัดการได้อย่างง่ายดาย นี่หมายความว่าระดับของเด็กหนุ่มคนนี้ก็อยู่ในระดับก่อแกนวิญญาณเช่นกันอย่างงั้นเหรอ?


 


“ช่วย ช่วยข้าด้วย…..” ผู้อาวุโสรองกระทั่งมือยังยกไม่ขึ้น รีบร้องขอความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสสาม


 


และในตอนนี้เองที่ผู้อาวุโสสามได้สติ เขามองมาที่อี้เทียนหยุนด้วยสายตาแตกตื่น “เจ้าเด็กนี่ได้รับเคล็ดวิชาเซวียนเทียนแล้วจริงๆ สมกับเป็นสมบัติล้ำค่า ไม่อย่างนั้น เด็กหนุ่มคนนี้คงไม่สามารถมีระดับที่น่าตื่นตะลึงขนาดนี้ได้……..”


 


เขาหยิบแผ่นหยกออกมาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับบดขยี้มัน ขณะที่จ้องไปที่อี้เทียนหยุนแล้วพูดขึ้น “เจ้าหนู ดูเหมือนว่าข้าจะดูถูกเจ้าไปหน่อย แต่ตอนนี้เจ้าหนีไปไหนไม่ได้แล้ว…..” เขาเลียริมฝีปาก พร้อมกับมองมาอี้เทียนหยุนราวกับมองสมบัติ


 


น้ำเสียงเขาเพิ่งจะจบ ก็พลันมีร่างหลายร่างปรากฏขึ้นจากสี่ทิศแปดทาง คนหลายคนนี้สวมชุดสีดำ มองไม่เห็นหน้าตาของพวกเขา แต่บนตัวของพวกเขากลับเปล่งกลิ่นอายผู้เชี่ยวชาญระดับก่อแกนวิญญาณออกมา


 


“นี่ นี่คือผู้คุ้มกันเงาจากอาณาจักรใต้พิภพ!!” ผู้อาวุโสใหญ่ร้องออกมาอย่างเดือดดาล “เจ้า เจ้ารวมหัวกับอาณาจักรใต้พิภพ…… ถ้าอย่างนั้น คนที่ลอบโจมตีข้าเมื่อสองวันก่อนก็เป็นผู้คุ้มกันเงาพวกนี้สินะ!”


 


“ฮ่าๆ ผู้อาวุโสใหญ่ เจ้าก็ไม่ได้โง่นี่ การลอบโจมตีครั้งนั้นเจ้ารอดมาได้ ถือว่าโชคดีมาก ข้าคิดที่จะครอบครองวังเทียนจี๋แห่งนี้มานานแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าผู้สืบทอดเคล็ดวิชาเซวียนเทียนจะโผล่ออกมาได้ถูกเวลาอย่างนี้!” ผู้อาวุโสรองยิ้มเยาะ “ถ้าเอาเคล็ดวิชาเซวียนเทียนไปมอบให้กับอาณาจักรใต้พิภพได้ล่ะก็ ข้าจะต้องได้รางวัลอย่างงามอย่างแน่นอน!”


 


“ท่านประมุข…..” ผู้อาวุโสใหญ่สีหน้าซีดขาว


 


“ประมุขอย่างงั้นเหรอ?” ผู้อาวุโสรองยิ้มเยาะ “เขาได้ถูกพวกเราควบคุมไว้เรียบร้อยแล้ว เจ้ายังอุตส่าห์คิดถึงเขาอีกนะ? ตอนนี้เขาถูกทำลายเส้นชีพจรพร้อมกับขังเอาไว้ในห้องใต้ดิน….. เป็นเพราะเขาไม่ยอมจำนน จึงทำให้ต้องเป็นแบบนี้!”


 


“เจ้า เจ้ามันกบฏ!” ผู้อาวุโสใหญ่หน้าแดง พร้อมกับกระอักเลือดออกมา เห็นได้ชัดว่าบาดเจ็บหนัก


 


“ท่านปู่…..” มู่เซียนเอ๋อรีบเข้าไปประคองผู้อาวุโสใหญ่


 


อี้เทียนหยุนมองไปยังผู้เชี่ยวชาญรอบๆ พร้อมกับยิ้มออกมา “นี่มันก้อนประสบการณ์ชัดๆ….. ตอนแรกว่าจะมาดูว่าสถานที่ที่ราชาวิญญาณเซวียนเทียนเติบโตมาว่าเป็นยังไง ตอนนี้ดูเหมือนว่าต้องช่วยทำความสะอาดสำนักให้ซะแล้ว!”


CLS ตอนที่ 220: ต่อไปตาเจ้า


 


เมื่อผู้อาวุโสสามเห็นอี้เทียนหยุนยิ้มออกมาก็หัวเราะ “ความตายกรายมาถึงศีรษะยังไม่รู้ตัวอีก อย่าคิดว่ามีความสามารถแค่เล็กน้อยแล้วจะคิดว่าตัวเองไร้เทียนทาน? เคล็ดวิชาเซวียนเทียนเป็นวิชาที่ดี นอกเสียจากว่าเจ้าจะมีระดับผันแปรวิญญาณ ไม่อย่างนั้น ต่อให้เป็นมังกรก็ต้องสยบอยู่ที่นี่!”


 


เหอเชียนหานกับพวกสีหน้าน่าเกลียด ไม่คิดว่าผู้อาวุโสพวกนี้จะทรยศ ยิ่งกว่านั้น ดูเหมือนว่าจะวางแผนมานานแล้ว ที่สำคัญ ประมุขยังถูกพวกมันควบคุมไว้อีก พวกเขาคิดว่าประมุขปิดด่าน แต่ไม่คิดว่าจะถูกควบคุมตัวไว้ ถูกขังไว้ในห้องลับ!


 


“เจ้าพวกทรยศ ก่อนหน้านี้เป็นผู้จัดการเชียน ตอนนี้เป็นพวกเจ้า…. นี่เป็นไปไม่ได้ที่จะป้องกัน ไม่แปลกที่พวกเจ้าจะตามหาเคล็ดวิชาเซวียนเทียนอย่างเอาเป็นเอาตาย ที่แท้ก็เพื่ออาณาจักรใต้พิภพ!” ผู้อาวุโสใหญ่ตะโกนออกมา ถ้าสามารถพ่นไฟออกจากดวงตาได้ ที่นี่คงกลายเป็นทะเลเพลิงไปแล้ว


 


“วังเทียนจี๋ตกต่ำแล้ว อยากได้ทรัพยากรอะไรก็ไม่มี สุดท้ายทำได้เพียงมอบข้อเสนอให้แก่ตระกูลพวกนั้นเพื่อต่อชีวิต ชีวิตแบบนั้นข้าไม่เอาด้วยหรอก สู้เข้าร่วมกับอาณาจักรใต้พิภพเสียยังดีกว่า นี่จึงจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดต่อวังเทียนจี๋….” ผู้อาวุโสสามมองดูพวกเขาแล้วพูดอย่างคลุมเครือ “แต่เพราะว่าประมุขไม่เอาด้วย บอกว่าต้องเลือกอิสรภาพ ต่อให้ตายก็ไม่ยอมเข้าร่วม….. สุดท้ายก็เป็นอย่างที่เขาหวัง ต่อให้ตอนนี้จะยังไม่ตาย แต่ก็ถูกขังเอาไว้ อยากปฏิเสธดีนัก ข้าจึงทำให้เขารู้ ว่าผลของการปฏิเสธนั้นเป็นยังไง!”


 


เขาพูดขณะที่เดินไปถึงด้านหน้าของผู้อาวุโสรอง พร้อมกับมองลงไปอย่างเย็นชา


 


“ช่วย ช่วยข้าด้วย….” ผู้อาวุโสรองใช้น้ำเสียงแผ่วๆ ร้องขอให้ช่วย


 


“ไสหัวไป!” ในตอนนี้เอง ผู้อาวุโสสามก็ฟาดเท้าออกไป เตะผู้อาวุโสรองกระเด็น หลังจากกลิ้งไปหลายสิบตลบ ก็กระอักเลือดออกมาไม่หยุด


 


การกระทำนี้ทำให้ผู้อาวุโสใหญ่กับพวกพากันตกใจ นี่ไม่ใช่พวกเดียวกันอย่างงั้นเหรอ ทำไมถึงลงมือแม้แต่พวกเดียวกันล่ะ


 


“ขยะ สภาพอย่างเจ้าช่วยไปแล้วจะได้อะไร?” ผู้อาวุโสสามพูดพลางหัวเราะ “ตั้งแต่วันนี้ไป ข้าก็คือประมุข! ส่วนเจ้า…. วันนี้ต้องตาย!”


 


ที่อยู่ตรงนี้ไม่มีใครอื่น นอกจากอี้เทียนหยุนกับพวก ตราบเท่าที่สังหารพวกเขาทิ้ง ก็จะไม่มีข่าวรั่วไหลออกไป เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็จะกลายเป็นประมุข ตอนแรกคนที่จะนั่งตำแหน่งประมุขคือผู้อาวุโสรอง แต่ตอนนี้ ประมุขก็คือเขา!


 


ผู้อาวุโสรองตายไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เขาแล้วใครจะเป็นประมุข?


 


“เจ้า เจ้า….” ผู้อาวุโสรองชี้มายังเขา ถลึงตามอง ในสายตาเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ว่าสุดท้ายแล้วจะต้องตายด้วยน้ำมือฝั่งเดียวกัน


 


“แค่ก….”


 


เขาที่ถูกความโกรธสุมอยู่ในอก สุดท้ายก็กระอักเลือดออกมา ตาเบิกโพลง ตายไปอย่างไม่ยินยอมพร้อมใจ


 


“ติ๊ง ท่านสังหารผู้อาวุโสรองสำเร็จ ได้รับค่าประสบการณ์ 24,000, ค่าความคลั่ง 3,400, ค่าความชั่ว 50, ได้รับดาบหลิวหยุน, เม็ดยาค่าประสบการณ์ 100,000”


 


“หือ อะไรกัน?”


 


อี้เทียนหยุนอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าผู้อาวุโสรองจะมาตายอย่างนี้ เขาจึงไม่ทันได้เปิดโหมดคลั่ง ช่างเสียเปล่าจริงๆ แม้ว่าคนที่ลงมือสุดท้ายจะเป็นผู้อาวุโสสาม แต่เขาก็บาดเจ็บสาหัสจากการลงมือของเขาอยู่ก่อนแล้ว ทำให้ระบบตัดสินว่าเขาตายเพราะเขา


 


สำหรับการตัดสินใจของผู้อาวุโสสามนั้น อี้เทียนหยุนไม่ประหลาดใจ พวกเขาทรยศสำนักได้อย่างง่ายๆ สำหรับพวกเดียวกันแล้ว การแทงข้างหลังไม่ใช่เรื่องแปลก เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอันตราย การกำจัดฝั่งเดียวกันเป็นเรื่องที่แน่นอนอยู่แล้ว


 


ผู้อาวุโสสามมองสีหน้าโกรธแค้นของพวกเขา จากนั้นก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม “อย่าได้โกรธไป เดี๋ยวข้าก็จะส่งพวกเจ้าไปพบกับเขาแล้ว…..” จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้น พร้อมกับชี้มายังพวกเขา “ฆ่าพวกมันซะ นอกจากเจ้าเด็กนั่น คนอื่นฆ่าให้หมด อย่าให้เหลือ!”


 


เมื่อน้ำเสียงของเขาจบลง ร่างของผู้คุ้มกันเงาก็หายไปในอากาศ ตอนนี้อยู่ที่ไหนพวกเขามองไม่เห็น การที่สามารถหายตัวไปกลางอากาศได้อย่างนี้ พวกเขาจะต้องฝึกวิชาตัวเบาที่เกี่ยวเนื่องกับพวกมิติอย่างแน่นอน สามารถซ่อนตัวในอากาศได้อย่างสมบูรณ์แบบขนาดนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงได้รับบทบาทให้ทำการลอบสังหาร


 


ระดับของพวกเขาแต่ละคนอยู่ที่ระดับก่อแกนวิญญาณขั้นที่ 2 ที่ 3 แม้ว่าระดับของพวกเขาจะไม่สูง แต่ความสามารถในการลอบสังหารนั้นสูงมาก กระทั่งผู้อาวุโสใหญ่ยังได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการลอบโจมตีของคนพวกนี้ ต่อให้ระดับจะสูงแค่ไหน แต่ก็ไม่สามารถป้องกันการโจมตีที่มองไม่เห็นได้อยู่ดี


 


“มาอยู่ข้างข้าเร็ว!” ผู้อาวุโสใหญ่คำรามออกมา สายตาของเขาเปล่งแสงวาวโรจน์ ตัดสินใจปกป้องหลานสาวของตนไม่ว่าจะต้องเสียอะไรไปก็ตาม เขาเตรียมเดิมพันด้วยชีวิตเพื่อเปิดเส้นทางโลหิต ไม่ว่ายังไงก็ต้องพาพวกเธอหนีไปจากที่นี่ให้ได้!


 


“ปัง!”


 


“ปัง!”


 


“ปัง!”


 


ในตอนนี้เอง ร่างเงาสามร่างพลันถูกเตะจนปลิว กระเด็นไปกระแทกกับกำแพงเสียงดังสนั่น จนกำแพงถึงกับสั่น แทบจะยุบเป็นรูปคน การสั่นนี้ เมื่อเทียบกับก่อนหน้าแล้วแรงกว่ามาก


 


พร้อมกับแรงสั่นนี้ ทำให้พวกเขาเห็นร่างของผู้คุ้มกันเงาสามร่างหล่นลงมาจากกำแพง ไม่เหลือกลิ่นอายแห่งชีวิตแม้แต่น้อย…..


 


“คิดจะจับข้าด้วยขยะพวกนี้อย่างงั้นเหรอ?”


 


อี้เทียนหยุนเก็บเท้าลงอย่างช้าๆ หนึ่งฟาดหนึ่งชีวิต ตอนนี้เขาไม่ได้ออมแรง ทำให้แค่ครั้งเดียวก็ทำให้พวกเขาถึงแก่ความตาย!


 


“ติ๊ง ท่านสังหารผู้คุ้มกันเงาสำเร็จ ได้รับค่าประสบการณ์ 170,000, ค่าความคลั่ง 3,200, ค่าความชั่ว 50, กริชเงา(ระดับจิตวิญญาณขั้นกลาง), ท่าเท้าเงา!”


 


“ติ๊ง ท่านสังหารผู้คุ้มกันเงาสำเร็จ ได้รับค่าประสบการณ์ 176,000, ค่าความคลั่ง 3,300, ค่าความชั่ว 50, กริชเงา, ท่าเท้าเงา…..”


 


“ติ๊ง ท่านได้สังหาร…….”


 


เสียงระบบดังขึ้นมาสามครั้ง เป็นข้อพิสูจน์ว่าผู้คุ้มกันเงาได้ถูกเขาสังหารไปอย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะลอบเข้ามาแบบไหน เขาก็สามารถมองเห็นได้อย่างง่ายดาย เพราะว่าระดับของพวกเขาต่างกันเกินไป ทำให้การซ่อนตัวของพวกเขาไร้ผล เมื่ออยู่ต่อหน้าอี้เทียนหยุน


 


“นี่ นี่….” ผู้อาวุโสสามเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ผู้คุ้มกันเงาห้าคนตอนนี้ถูกจัดการไปแล้วสาม นี่มันพลังอะไรกัน?


 


ในตอนนี้เอง ในมีร่างสองร่างปรากฏขึ้นข้างหลังอี้เทียนหยุน พร้อมกับแทงกริชเงาเข้าใส่ที่หน้าอกของเขา เมื่อเห็นโอกาส พวกเขาก็จะลงมือโดยไม่ลังเล


 


“ระวัง…….”


 


ในพริบตาที่การโจมตีถูกส่งออกไป ผู้อาวุโสใหญ่ก็มองเห็นร่างของผู้คุ้มกันเงาคนนี้ แต่อี้เทียนหยุนกลับเร็วกว่า เขาไม่แม้แต่จะมองกลับไป แต่กลับยื่นมือออกไปที่กลางอากาศ พร้อมกับกระชากร่างของอีกฝ่ายออกมา จากนั้นก็เหวี่ยงร่างของผู้คุ้มกันเงาที่ลอบโจมตีจากด้านหลังทั้งสองข้ามไหล่ ฟาดลงกับพื้นอย่างแรง


 


“ปัง!”


 


เสียงกระแทกพื้นดังมา แม้แต่พื้นยังแตกออก แสดงให้เห็นว่าการฟาดครั้งนี้รุนแรงแค่ไหน ทุกคนเห็นร่างที่อยู่บนพื้นกระตุกเบาๆ จากนั้นก็แน่นิ่งไป


 


“ติ๊ง ท่านสังหารผู้คุ้มกันเงาสำเร็จ ได้รับ…..”


 


เพียงแค่ฟาดเท่านั้น คนทั้งสองก็ถูกจัดการไปอย่างง่ายดาย เพียงแค่ลงมือครั้งเดียวก็จัดการผู้คุ้มกันเงาทั้งสองนี้สำเร็จ ผู้คุ้มกันเงาพวกนี้เป็นคนที่โหดเหี้ยมมาก ไม่ว่าวิธีไหนก็ทำทั้งนั้น ต่อให้ต้องทำลายตัวเองก็ตาม ตอนนี้กลับถูกอี้เทียนหยุนจับฟาดข้ามหัวราวกับขยะ ตายไปโดยที่ไม่ทันได้ส่งเสียงออกมาแม้แต่ครึ่งคำ


 


และในตอนนี้ ร่างที่ยืนอยู่ของเขาก็ได้หันไปมองร่างของผู้อาวุโสสามที่กำลังหวาดกลัวจนแข้งขาอ่อน พร้อมกับตบมือแล้วพูดว่า “ต่อไปตาเจ้าแล้ว”


CLS ตอนที่ 221: ได้ค่าประสบการณ์เหมือนเดิม


 


ต่อไปตาเจ้า ทำให้ผู้อาวุโสสามถึงกับสั่นสะท้าน ห้าผู้คุ้มกันเงาตายโดยสมบูรณ์! พวกเขาสามารถสัมผัสได้ว่าพวกเขาไม่มีลมหายใจเหลืออยู่แล้ว หมายความว่าพวกเขาได้ตายลงโดยสมบูรณ์


 


ห้าผู้คุ้มกันเงาถูกสังหารทิ้งในพริบตาโดยที่ไม่มีความยากอะไร นั่นหมายความว่าระดับของอี้เทียนหยุนจะต้องน่าสะพรึงมาก บางทีอาจจะอยู่ในระดับก่อแกนวิญญาณขั้นที่ 7 ที่ 8 หรือสูงกว่า ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถจัดการกับผู้คุ้มกันเงาพวกนี้ราวกับไม่มีอะไรได้


 


ผู้อาวุโสใหญ่กับพวกพากันตาโต มู่เซียนเอ๋อในตอนนี้ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี เธอนึกถึงตอนที่อี้เทียนตีเข้าที่ตรงนั้นของเธอ ถ้าเกิดว่าตอนนั้นอี้เทียนหยุนใช้แรงจริงๆ ของเขา ในตอนนั้น เธอคงจะถูกเขาตีจนตายไปแล้ว


 


ไม่คิดเลยว่าคนที่เธอไปแกล้งจะเป็นอัจฉริยะขนานแท้! ไม่ว่าจะอัจฉริยะคนไหนล้วนแต่ห่างไกลจากอี้เทียนหยุนโดยสิ้นเชิง เขาดูแล้วยังเด็กนัก แต่ก็มาถึงระดับก่อแกนวิญญาณแล้ว ซึ่งเป็นระดับที่แม้แต่เธอยังไม่กล้าที่จะฝันถึง


 


ปากน้อยๆ ของเหอเชียนหานก็เปิดกว้าง เธอคิดว่าตัวเองต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่แล้ว แต่ตอนนี้กลายเป็นว่า คนที่ต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่กลับเป็นอีกฝ่ายไปแทน


 


“นี่ นี่คือพลังของราชาวิญญาณเซวียนเทียนอย่างงั้นเหรอ?” ผู้อาวุโสสามตกใจ เขาไม่คิดว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นแบบนี้


 


“ราชาวิญญาณเซวียนเทียนอย่างงั้นเหรอ?” อี้เทียนหยุนส่ายหัว “อย่าได้ทำเหมือนกับว่าราชาวิญญาณเซวียนเทียนจะร้ายกาจขนาดนั้น ที่ข้าฝึกเคล็ดวิชาเซวียนเทียนก็จริงอยู่ แต่ตอนนี้ข้ายังไม่ได้ใช้เคล็ดวิญญาณเซวียนเทียนแม้แต่น้อยเลยด้วยซ้ำ”


 


เขาเดินเข้าไปทีละก้าว ทำให้ผู้อาวุโสสามอดไม่ได้ต้องถอยออกไป จากนั้นเขาก็กัดฟัน พร้อมกับหมุนตัววิ่งหนีออกไปข้างนอก แต่ความเร็วของอี้เทียนหยุนนั้นเร็วกว่าเขามาก ทันใดนั้นก็มาโผล่ขึ้นตรงหน้าของเขา พร้อมกับฟาดเท้าออกไป “ปัง” ร่างของผู้อาวุโสสามกระเด็นมา ตกลงตรงหน้าพวกผู้อาวุโสใหญ่อย่างแม่นยำ


 


“แค่ก…..” ผู้อาวุโสสามกระอักออกมา นอนกองกับพื้น ที่หน้าอกของเขายุบลงเป็นโพลงขนาดใหญ่ ได้รับบาดเจ็บสาหัสในทันที


 


“อยากจะถามอะไร ก็รีบถาม” อี้เทียนหยุนบอกให้พวกผู้อาวุโสใหญ่ถามคำถาม


 


ผู้อาวุโสใหญ่กับพวกพลันได้สติ พร้อมกับมองไปยังผู้อาวุโสสามด้วยความโกรธ แล้วพูดขึ้นว่า “การก่อกบฏในครั้งนี้ ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะวางแผนไว้ก่อนแล้ว พวกเจ้ายังมีแผนอะไรอีก!”


 


“ฮ่าๆๆ….. ไม่มี ไม่ว่าอะไรก็ไม่มี….. ฆ่าข้าซะ ข้าแพ้แล้ว ไม่มีแผนอะไรทั้งนั้น ประมุขก็ไม่มีแล้ว ฐานะก็ไม่มีแล้ว…..” ผู้อาวุโสสามหน้าซีด สายตาเหม่อลอย เหมือนหมดหวังในชีวิต


 


เขารู้ว่าตัวเองยากที่จะหนีไปจากสถานการณ์นี้ ต่อให้จะขอร้องไปก็เปล่าประโยชน์


 


“ในเมื่อเจ้าอยากจะตายนัก ข้าก็จะทำให้เจ้าสมหวัง” อี้เทียนหยุนเดินเข้ามา มองไปยังผู้อาวุโสใหญ่แล้วพูดว่า “ผู้อาวุโสใหญ่ ท่านจะจัดการหรือจะให้ข้าจัดการ?”


 


ถ้าพวกเขาอยากจะจัดการด้วยตัวเอง อี้เทียนหยุนก็จะปล่อยให้พวกเขาทำ แต่ถ้าให้เขาเป็นคนลงมือก็จะเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ค่าประสบการณ์นี้ แม้ว่าจะไม่มาก แต่เมื่อรวมๆ กัน มันก็จะมากขึ้นอยู่ดี


 


“กับเดรัจฉานตัวนี้ ข้าขอลงมือเองดีกว่า!” ผู้อาวุโสใหญ่เดินไปยังตรงหน้าผู้อาวุโสสาม พร้อมกับฟาดฝ่ามือลงไป


 


ในตอนนี้เอง ผู้อาวุโสสามก็พลันดิ้นรนเฮือกสุดท้าย ทำการสวนกลับไปอย่างรวดเร็ว แต่ผู้อาวุโสใหญ่ก็สมกับเป็นผู้มากประสบการณ์ ทำการตวัดหลังมือฟาดกลับไป


 


“ปัง!”


 


ผู้อาวุโสสามถูกฝ่ามือของผู้อาวุโสใหญ่ฟาดจนแน่นิ่งกับพื้น พลังที่ใช้ออกไปทำให้ผู้อาวุโสสามต้องกระอักเลือดออกมา เพราะโดนลูกเตะจากอี้เทียนหยุนอยู่ก่อนแล้ว ทำให้เขาไม่มีปัญญาที่จะไปต่อต้านการโจมตีของผู้อาวุโสใหญ่


 


“ยังจะดิ้นรนอีก ข้าจะลงโทษเจ้าที่กล้ากบฏต่อวังเทียนจี๋!”


 


สายตาที่อ่อนโยนของผู้อาวุโสใหญ่กลายเป็นเย็นชา พร้อมกับฟาดฝ่ามือลงไปยังผู้อาวุโสสามอย่างโหดเหี้ยมโดยไม่ลังเล มู่เซียนเอ๋อกับพวกหลับตา ไม่กล้ามองดูภาพนี้


 


“วังเทียนจี๋….. อีกไม่นานหลังจากนี้ก็จะต้องเป็นของอาณาจักรใต้พิภพ ฮ่า ฮ่าๆ…..”


 


“ปัง!”


 


ฝ่ามือได้ฟาดลงไป ผู้อาวุโสสามไร้ซึ่งกลิ่นอายแห่งชีวิตโดยสมบูรณ์ ถูกฝ่ามือของผู้อาวุโสใหญ่จนร่างแหลก


 


“ติ๊ง ท่านสังหารผู้อาวุโสสามสำเร็จ ได้รับค่าประสบการณ์ 23,000, ค่าความคลั่ง 3,300, ค่าความชั่ว 50, ได้รับฝ่ามือเทียนจี๋, ท่าเท้าเทียนเฉิน”


 


อี้เทียนหยุนต้องตกใจอีกครั้ง ไม่คิดว่าลูกเตะเมื่อก่อนหน้าของเขาจะให้ผลลัพธ์เหมือนกัน ช่างคาดไม่ถึงจริงๆ เขาคิดว่าต้องเป็นสภาพปางตายถึงจะได้ผล แต่เห็นได้ชัดว่าตราบเท่าที่บาดเจ็บเพราะเขา หลังจากตายไป เขาก็ยังจะได้รับค่าประสบการณ์เช่นกัน


 


และนี่ก็เป็นการพลาดค่าประสบการณ์อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะถ้าเปิดไว้มันจะเป็นการเสียค่าความคลั่งไปเปล่าๆ ดังนั้น หลังจากที่เขาจัดการผู้คุ้มกันเงาเสร็จแล้ว เขาก็ได้ทำการปิดโหมดคลั่งลง


 


“ในที่สุดก็จัดการกับกบฏนี้ได้สักที…..” ผู้อาวุโสใหญ่ถอนหายใจอย่างโล่งอก ด้วยอาการบาดเจ็บ ทำให้เขาต้องระงับเลือดฉีไว้ ทำให้ไม่เหมาะที่ต่อสู้


 


หลังจากจัดการกับกบฏนี้ ผู้อาวุโสใหญ่ก็คารวะด้วยความขอบคุณ “ขอบคุณผู้กล้าน้อยอี้มาก ไม่คิดว่ายังเยาว์ก็มีพลังถึงระดับนี้แล้ว ช่างทำให้ข้าคาดไม่ถึงจริงๆ นี่มันเหนือจินตนาการของข้าไปมาก แซงหน้ารุ่นผู้เฒ่าอย่างพวกเราไปโดยสมบูรณ์แล้ว”


 


“ไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอก ข้าเป็นผู้สืบทอดของราชาวิญญาณเซวียนเทียน การช่วยเหลือวังเทียนจี๋ทำการกวาดล้างกบฏเป็นเรื่องสมควรแล้ว” อี้เทียนหยุนพูดอย่างจริงจัง “ตอนนี้สิ่งแรกที่ต้องทำคือต้องไปช่วยประมุขออกมาก่อน ไม่รู้ว่าห้องลับอยู่ที่ไหน ท่านทราบหรือเปล่า?”


 


“ข้ารู้!” ผู้อาวุโสใหญ่พยักหน้าแรงๆ ในสายตาเต็มไปด้วยความกังวล ไม่รู้ว่าสภาพของประมุขในตอนนี้เป็นยังไงบ้างแล้ว


 


จากนั้น ผู้อาวุโสใหญ่ก็นำพวกเขาเดินไปยังห้องลับ มู่เซียนเอ๋อก็แอบมองเขาอย่างลับๆ สายตาที่มองมานั้นต่างออกไป ทั้งเป็นประกาย แต่ก็แฝงไว้ด้วยความหวาดกลัว ไม่คิดว่าแม่มดน้อยนางนี้จะรู้จักกลัวกับเขาด้วย


 


“มองข้าทำอะไร มีอะไรแปลกอย่างงั้นเหรอ?” อี้เทียนหยุนหันไปยิ้มให้มู่เซียนเอ๋อที่อยู่ข้างๆ


 


มู่เซียนเอ๋อตกใจจนคอหด ไม่กล้ามองไปยังอี้เทียนหยุนอีก ด้วยระดับพลังที่ท้าทายสวรรค์ขนาดนี้ คิดไปแล้วก็น่ากลัวจริง


 


“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรแปลก….. เจ้าก็อายุพอๆ กับข้า แต่ทำไมระดับพลังถึงได้มากกว่าข้านัก” มู่เซียนเอ๋อยืดหัวขึ้น มองไปที่เขาแล้วพูดว่า “เจ้าฝึกยังไงของเจ้ากัน?”


 


“นี่ก็….. แค่สู้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวระดับก็เพิ่มขึ้นเอง” อี้เทียนหยุนไม่ได้โกหก เขาต่อสู้เพื่อเพิ่มระดับจริงๆ


 


“อย่างนี้ข้าก็พูดได้….” มู่เซียนเอ๋อแลบลิ้นออกมาน้อยๆ รูปแบบการต่อสู้ของอี้เทียนหยุนเมื่อกี้นี้ โหดเหี้ยมมาก


 


เธอเติบโตขึ้นมาจากที่นี่ตั้งแต่เด็ก เรื่องการต่อสู้เกิดขึ้นน้อยมาก ยิ่งเป็นการต่อสู้ถึงตายด้วยแล้ว ในฐานะหลานสาวของผู้อาวุโสใหญ่ ใครจะกล้าทำร้ายเธอ?


 


เหอเชียนหานที่อยู่ใกล้ๆ มีท่าทางครุ่นคิด จากนั้นก็พูดว่า “ท่านบรรพชน ท่าน ท่านได้ทิ้งความปรารถนาสุดท้ายอะไรไว้หรือเปล่า?”


 


เธอเลื่อมใสราชาวิญญาณเซวียนเทียนมาตั้งแต่เด็ก ราชาวิญญาณเมื่อเทียบกับระดับผันแปรวิญญาณแล้ว แข็งแกร่งจนไม่สามารถเอามาเทียบกันได้ นี่คือตำนานของวังเทียนจี๋ เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ตั้งแต่ที่ก่อตั้งวังเทียนจี๋มา แต่น่าเสียดายที่ด่วนตายไปเสียก่อน


 


“เรื่องนี้ไม่มีจริงๆ จะมีก็แต่ขอให้ข้ามาดูวังเทียนจี๋บ้าง หรือไม่ก็เข้าเป็นศิษย์ ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ได้มีการบังคับแต่อย่างใด”


 


นี่เป็นคำพูดที่เหล่าเซวียนบอกกับเขา ว่าอยากจะให้เขาเป็นศิษย์ของวังเทียนจี๋ นี่เป็นความปรารถนาที่ยาวนาน


CLS ตอนที่ 222: ประมุข


 


“เป็นศิษย์ของพวกเราวังเทียนจี๋….”


 


เหอเชียนหานตาเป็นประกาย แต่ก็อายเกินกว่าจะเอ่ยปาก ระดับของอี้เทียนหยุนแข็งแกร่งมาก เหมาะกับการเป็นศิษย์ที่ไหน? อย่างน้อยต้องระดับผู้อาวุโสแล้ว แต่ถ้าจะให้เขาเป็นผู้อาวุโสทั้งอย่างนี้ มันก็ไม่ค่อยเหมาะใช่ไหมล่ะ?


 


ผู้อาวุโสใหญ่หันกลับมา จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “น้องชายอี้ เอาจริงๆ นะ ด้วยระดับอย่างเจ้า การจะให้เป็นผู้อาวุโสก็ไม่ใช่ปัญหา ครั้งนี้เจ้าช่วยพวกเราจัดการเรื่องกบฏไปได้มาก การจะให้เจ้าเป็นแค่ศิษย์ก็คงจะไม่เหมาะสักเท่าไหร่ ถ้าเจ้าเต็มใจที่จะเข้าร่วมวังเทียนจี๋ของเราจริงๆ ตำแหน่งผู้อาวุโสเป็นของเจ้าแน่แล้ว กระทั่งข้ายังเต็มใจที่จะลดตัวลงมาเป็นผู้อาวุโสรองเองเลย”


 


“นี่….” อี้เทียนหยุนเงียบไป ตามจริงแล้ว มันไม่มีปัญหามากนักที่ต้องเข้าร่วมวังเทียนจี๋


 


กลุ่มขุมอำนาจชั้น 2 มากมายต่างก็อยากจะให้ศิษย์ของตนเข้าร่วมกับขุมอำนาจที่ชั้นสูงกว่า ซึ่งก็เท่ากับการเข้าใกล้ความทรงอำนาจขึ้นไปอีก ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาของเขาคือเขาไม่ชอบที่ต้องจัดการงานอะไรมากมาย เพราะทุกวันนี้เขาก็ยุ่งจนแทบบ้าอยู่แล้ว


 


“ข้ารู้ว่าสถานการณ์ของวังเทียนจี๋ตอนนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ข้าก็อยากให้เจ้าคิดดู พวกเราไม่ได้บังคับอะไร” ผู้อาวุโสใหญ่ไม่ว่าอะไรหากเขาจะไม่เข้าร่วม เพราะถึงยังไงเขาก็เป็นผู้สืบทอดของราชาวิญญาณเซวียนเทียนอยู่แล้ว


 


อี้เทียนหยุนเงยหน้าขึ้น เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสใหญ่เข้าใจความหมายของเขาผิด เขาแค่อยากจะบอกว่าเขามีเรื่องอีกหลายอย่างต้องจัดการ เขาไม่มีเวลาสำหรับเรื่องนี้ ยังมีเรื่องมากมายรอคอยเขาอยู่


 


จากนั้น ภายใต้การนำของผู้อาวุโสใหญ่ พวกเขาก็มาถึงยังห้องลับของวังเทียนจี๋ จากนั้นพวกเขาก็เดินลงไปยังชั้นใต้ดินพร้อมๆ กัน


 


“ที่นี่ไม่ค่อยมีคนลงมา นอกเสียจากจะมีนักโทษให้ต้องจับมาคุมขัง แต่ใครจะคิดว่าประมุขจะถูกขังที่นี่แทน…..” ผู้อาวุโสใหญ่พูดมาถึงตรงนี้ ฝีเท้าก็เร่งความเร็วขึ้น เขาเป็นห่วงอาการของประมุข


 


จากนั้น พวกเขาก็มาถึงอย่างรวดเร็ว กลิ่นอับชื้นโชยมาจากข้างใน ด้านหน้ามีแต่ความมือคงอยู่ ผู้อาวุโสใหญ่จุดคบเพลิงขึ้น พร้อมกับถือคบเพลิงเดินเข้าไปด้านใน รอบๆ มีแต่โซ่ตรวนที่ว่างเปล่า เดินมาได้ไม่ไกล ก็ได้ยินเสียงแผ่วๆ ดังมาจากข้างหน้า


 


“หึหึ พวกลูกสำส่อน คิดจะมาทรมานข้าอีกสินะ…..” เสียงที่อ่อนแรง พร้อมทั้งเต็มไปด้วยความเจ็บปวดดังมาจากข้างใน


 


“ท่านประมุข!!”


 


ผู้อาวุโสใหญ่ตะโกนออกมา พร้อมกับเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อไปถึง ก็ได้เห็นชายกลางคนที่ถูกโซ่ล่ามไว้ตรงกำแพง ตั้งแต่บนลงล่าง ล้วนแต่เต็มไปด้วยคราบเลือด ผมฟูยุ่งไม่เป็นทรง มองด้วยตาเปล่าก็เห็นบาดแผลบนร่างเขามากมาย โดยเฉพาะมือและเท้าที่แทบจะขาดออกจากกัน ทำให้ไม่สามารถเคลื่อนไปไหนได้ ทำได้เพียงนั่งพิงกำแพงอย่างอ่อนแรง


 


“ผู้ ผู้อาวุโสใหญ่อย่างงั้นเหรอ?” ชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างในราวกับมีพลังขึ้นมาอีกหลายส่วน มองมาที่นี่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวัง


 


“ท่านประมุข ข้า ข้ามาช่วยท่านแล้ว!”


 


ผู้อาวุโสใหญ่คำรามอย่างกราดเกรี้ยว เรียกกระบี่ออกมาตัดโซ่ออก ความจริงโซ่นี้ก็ไม่ได้แน่นหนานัก ทำให้ขาดออกได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่ประมุขคนนี้มือและเท้าใช้การไม่ได้ ทั้งพลังฝึกตนยังถูกทำลายอีก อย่าว่าแต่หนีเลย แค่ยังมีชีวิตอยู่ก็บุญแล้ว


 


อย่างกะทันหัน เมื่อมู่เซียนเอ๋อได้เห็นสภาพของประมุขชัดๆ ก็ร้องเสียงหลงออกมา พร้อมกับเอามือกุมปาก


 


สภาพของประมุขน่าสงสารมาก ยิ่งมาเห็นใกล้ๆ ยิ่งน่าสงสาร เลือดของเขายังไหลออกมาไม่หยุด กระทั่งรอบๆ ยังเต็มไปด้วยตะปูหลากหลายแบบ ดูแล้วน่ากลัวมาก ไม่รู้ว่าต้องเจอกับการทรมานแบบไหน


 


เมื่ออี้เทียนหยุนได้เห็นก็อดขมวดคิ้วออกมาไม่ได้ คนพวกนี้โหดเหี้ยมจริงๆ แค่หักหลังพวกเดียวกันก็น่ารังเกียจพออยู่แล้ว แต่นี่ยังทำเรื่องที่ไร้มนุษย์แบบนี้อีก


 


“ทะ ที่นี่อันตราย เจ้ารีบ รีบออกไป….” ประมุขรีบยกแขนขึ้น แต่ด้วยสภาพที่เป็นอยู่ ทำให้ไม่สามารถยกขึ้นได้


 


“ไม่ พวกมันถูกจัดการแล้ว กระทั่งสุนัขรับใช้ของอาณาจักรใต้พิภพ พวกผู้คุ้มกันเงาก็ถูกพวกเราจัดการแล้ว!” ผู้อาวุโสใหญ่เบ้าตาแดงก่ำ ความกล้าหาญในใจพังทลายลงโดยสมบูรณ์ เมื่อต้องมาเห็นสภาพที่น่าสงสารของประมุขอย่างนี้ จะไม่ให้ในใจของเขาเจ็บปวดได้ยังไง


 


ประมุขที่มีท่าทางใจดี ไม่คิดเลยว่าจะต้องมาถูกทรมานอย่างนี้ ตอนนี้เขาคิดว่าฆ่าพวกมันง่ายเกินไป ความโกรธในใจของเขาได้ปะทุขึ้นอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง


 


“ดี ดี….. นี่มันดีมาก” ประมุขเผยรอยยิ้มออกมา แต่รอยยิ้มนี้กลับดูน่าสงสารอย่างมาก


 


“ท่านประมุข กินยารักษานี้เร็ว จะได้รีบฟื้นตัว….” ผู้อาวุโสใหญ่รีบหยิบยารักษาออกมา แต่เมื่อประมุขเพิ่งจะกินเข้าไปก็ไอเป็นเลือดสีดำออกมา


 


“นี่มันอาการของคนถูกพิษ….” เมื่ออี้เทียนหยุนเห็นเลือดสีดำก็ขมวดคิ้ว ดูเหมือนพวกมันจะวางยาพิษเอาไว้ด้วย  ซึ่งพิษคงออกฤทธิ์ถึงขั้นสุดท้ายแล้ว ต่อให้รักษาได้ สุดท้ายก็กลายเป็นคนไร้ประโยชน์อยู่ดี


 


ถ้าอยากจะฟื้นคืนระดับฝึกตนอีกครั้งเกรงว่าจะเป็นเรื่องยาก นอกจากจะได้เม็ดยาเทวะระดับชั้นยอดมา แต่กลัวว่าราคาของมันนั้น ต่อให้ขายวังเทียนจี๋ทั้งสำนักก็ไม่มีทางซื้อได้


 


“ไอ้พวกลูกสำส่อนนั่น!” ผู้อาวุโสใหญ่คำรามเสียงต่ำ ในใจอัดแน่นไปด้วยเพลิงโกรธ


 


“ข้าทำอะไรไม่ได้แล้ว…. ไม่ต้องสนใจข้าหรอก” ประมุขเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา ราวกับปล่อยวางแล้ว


 


“ไม่ ท่านประมุขไม่ต้องกังวล พวกเราจะไปหายาถอนพิษมาเดี๋ยวนี้ล่ะ…..” ผู้อาวุโสใหญ่เพิ่งจะยกเขาขึ้น เลือดก็ไหลออกมาจากบาดแผลของเขาไม่หยุด ตอนนี้อย่าว่าแต่พาเขาออกไปเลย กลัวว่าถ้าไม่รีบ กระทั่งชีวิตก็จะไม่เหลือ


 


ตอนนี้สภาพของประมุขย่ำแย่มาก เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถมีชีวิตได้เป็นเวลานาน


 


“เปล่าประโยชน์….. ยาพิษของพวกมัน ต้องใช้ยาถอนพิษเฉพาะ….” เสียงของประมุขยิ่งมายิ่งแผ่ว ราวกับเปลวไฟแห่งชีวิตกำลังจะมอดดับได้ทุกเมื่อ


 


สายตาของอี้เทียนหยุนเป็นประกายขึ้นมา จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ให้ข้าลองดูไหม?”


 


“เจ้าจะลองอะไร?” ผู้อาวุโสใหญ่กับพวกตกใจ


 


“ติ๊ง ท่านรับภารกิจ “รักษาประมุข” สำเร็จ เมื่อสำเร็จได้รับ ค่าประสบการณ์ 1 ล้าน, ค่าความคลั่ง 10,000, ค่าความชอบของประมุขเพิ่มขึ้น 100, ค่าความชอบของผู้อาวุโสใหญ่เพิ่มขึ้น 100, ค่าความชอบของมู่เซียนเอ๋อเพิ่มขึ้น 100, ค่าความชอบของเหอเชียนหานเพิ่มขึ้น 100, ค่าความดีเพิ่มขึ้น 100!”


 


อี้เทียนหยุนไม่รอช้า ยื่นมือออกไปแตะเลือด ตาทั้งสองข้างจ้องเขม็ง พร้อมกับใช้ดวงตาประเมินตรวจสอบข้อมูลของเลือดนี้อย่างบ้าคลั่ง พยายามวิเคราะห์ยาพิษข้างใน จากนั้นก็กลั่นยาแก้พิษออกมา


 


แล้วก็จริง ภายใต้ดวงตาประเมิน ข้อมูลของพิษก็ถูกวิเคราะห์ออกมาอย่างรวดเร็ว ดวงตาประเมินนั้น ไม่เพียงแต่จะสามารถเห็นข้อมูลของคนได้เท่านั้น แต่ยังสามารถมองเห็นผลลัพธ์ของเม็ดยาได้ด้วย กระทั่งสามารถวิเคราะห์ว่ายาเม็ดนี้มีส่วนประกอบอะไรบ้าง


 


ยังไงก็ตาม กับยาระดับสูง กลัวว่าจะไม่สามารถวิเคราะห์ออกมาได้ แต่ยาพิษที่อยู่เลือด ยังสามารถวิเคราะห์ออกมาได้อยู่


 


“กำลังวิเคราะห์…..”


 


“……”


 


“วิเคราะห์พิษในเลือดสำเร็จ, พิษผีเสื้อ, หญ้าลั่วหยุน…..”


 


“เข้าใจแล้ว!”


 


อี้เทียนหยุนพยักหน้า จากนั้นก็เอาเตาหลอมเพลิงม่วงศักดิ์สิทธิ์ออกมา จากนั้นก็เอาสมุนไพรใส่เข้าไปข้างใน พร้อมกับเรียกเปลวเพลิงนิรันดร์ออกมา ทำให้ทั่วทั้งห้องสว่างไสว


 


“กละ กลั่นโอสถ?”


 


พวกเขาพากันตกใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหอเชียนหาน อี้เทียนหยุนไม่เพียงแต่จะสลักอาคมได้เท่านั้น แต่กระทั่งกลั่นโอสถก็ได้ด้วย?


 


แม้ว่าการเรียนสลักอาคมและกลั่นโอสถจะไม่ขัดแย้งกันก็จริง แต่ว่าเวลาที่ต้องใช้นั้นนานมาก


CLS ตอนที่ 223: ความรวดเร็วในการกลั่นโอสถ


 


เมื่อสมุนไพรถูกใส่ลงไปในเตาหลอมเพลิงม่วงศักดิ์สิทธิ์ อี้เทียนหยุนก็เริ่มกลั่นโอสถอย่างรวดเร็ว เพราะว่าระดับของมันไม่ได้สูงมาก ดังนั้นจึงใช้เวลากลั่นไม่นาน เมื่อเปลวไฟของเขาถูกจุดขึ้นมา ทำให้ไม่จำเป็นต้องพึ่งคบเพลิงจากผู้อาวุโสใหญ่ก็ทำให้ความมืดอันตรธานหายไปจากห้องลับนี้จนหมด


 


“นี่เจ้า เจ้ากลั่นโอสถได้ด้วย?” เหอเชียนหานมองไปยังเปลวเพลิงในมือของอี้เทียนหยุน รู้ว่านี่ต้องไม่ใช่เปลวเพลิงธรรมดาอย่างแน่นอน


 


“การกลั่นยาถอนพิษจะไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน” อี้เทียนหยุนรีบปิดเตา พร้อมทั้งเพิ่มอุณหภูมิความร้อนเพื่อควบกลั่นสมุนไพร ความเร็วยิ่งมายิ่งเร็ว เมื่อมีเตาหลอมเพลิงม่วงคอยช่วย ทั้งความเร็วและอัตราสำเร็จก็เพิ่มขึ้นอย่างยิ่งยวด ทำให้ขจัดปัญหาที่ควรจะเกิดออกไป


 


แน่นอนว่าที่น่าสะพรึงที่สุดไม่ใช่พวกนี้


 


“เปิดโหมดคลั่ง หมวดกลั่นโอสถ!”


 


น้อยครั้งมากที่เขาจะเปิดใช้งานโหมดคลั่งหมวดกลั่นโอสถ เหตุผลก็ธรรมดา นั่นเพราะเขาไม่อยากให้ความเร็วที่กลั่นนั้นเร็วเกินไป นอกจากจะเป็นการแข่งขันหรือสถานการณ์เร่งด่วน ไม่อย่างนั้น เขาไม่จำเป็นต้องกลั่นโอสถด้วยความเร็วขนาดนั้น แต่ตอนนี้สถานการณ์ค่อนข้างฉุกเฉิน ดังนั้นเขาจึงใช้โหมดคลั่งหมวดกลั่นโอสถออกมา ทำให้ความเร็วในการกลั่นของเขาเพิ่มขึ้น 8 เท่าในทันที!


 


ภายใต้ดวงตาประเมิน สมุนไพรที่อยู่ในเตาจำเป็นต้องใช้เวลาในการกลั่นอย่างคร่าวๆ ประมาณ 1 ชั่วยามถึงจะสำเร็จ แต่ภายใต้โหมดคลั่ง ทำให้ความเร็วที่ต้องใช้ลดลงถึง 8 เท่าในทันที! นั่นหมายความว่าต้องใช้เวลาเพียงแค่ 10 นาทีเท่านั้น ก็จะสามารถกลั่นยาเม็ดนี้ออกมาได้สำเร็จ


 


และแน่นอนว่าระหว่างนี้ก็จำต้องเปิดโหมดคลั่งเอาไว้ ไม่อย่างนั้นผลลัพธ์ก็จะไม่แสดงออกมา ซึ่งก็คือในช่วงเวลานี้เป็นการเสียค่าความคลั่งไปเปล่าๆ และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่เขาไม่อยากจะใช้หมวดนี้นัก แต่ตอนนี้คงได้แต่ยอมเสียค่าความคลั่งนี้ไป เพราะการช่วยชีวิตคนนั้นสำคัญกว่า


 


พริบตา หลังจากผ่านไป 10 นาที เม็ดยาก็กลั่นออกมาสำเร็จ “ปัง” เตาหลอมพ่นเม็ดยาออกมา ยาถอนพิษหลายเม็ดพลันหล่นลงมาในมือของเขา การกลั่นประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ทั้งคุณภาพก็ถือว่าดีเยี่ยม


 


“สำเร็จแล้ว!” อี้เทียนหยุนถอนหายใจออกมา โหมดคลั่งนี่ช่างรวดเร็วทันใจเสียจริง ยิ่งเป็นยาระดับสูงก็จะยิ่งแสดงประสิทธิภาพออกมาได้สูงยิ่งขึ้น จากต้องใช้เวลานาน ก็ถูกย่นลงมาอีกขั้นใหญ่ ทำให้กลั่นออกมาได้อย่างรวดเร็ว


 


“อะไรนะ เสร็จแล้ว!?”


 


พวกเขาพากันตกใจ การกลั่นโอสถนี้จะเร็วเกินไปแล้ว นี่มันพอๆ กับทอดปลาเลยด้วยซ้ำ เพียงพริบตาก็กลั่นออกมาจนสำเร็จ พวกเขาไม่เคยพบไม่เคยเจออะไรอย่างนี้มาก่อน


 


“เอายาถอนพิษนี้ไปให้ประมุขเพื่อถอนพิษออกไปก่อน จากนั้นค่อยให้ยาฟื้นฟูทีหลัง ไม่อย่างนั้น ต่อให้ใช้ยาฟื้นฟูไปก็เสียเปล่า” อี้เทียนหยุนส่งยาถอนพิษให้กับผู้อาวุโสใหญ่


 


ผู้อาวุโสใหญ่พยักหน้าหงึกหงัก จากนั้นก็รับยาถอนพิษไปให้กับประมุข คราวนี้ไม่มีการกระอักเลือดออกมา คราวนี้ผลลัพธ์ปรากฏออกมาอย่างรวดเร็ว จากรอยดำเพราะพิษที่อยู่บนพิษ ตอนนี้เริ่มจางลงน้อยๆ ค่อยๆ ลดน้อยลง แม้จะไม่ได้หายโดยทันทีทันใด แต่อย่างน้อยก็ทุเลาลงมาก


 


หลังจากทุเลาลงเล็กน้อย ผู้อาวุโสใหญ่ก็ให้ยาฟื้นฟูกับประมุขอีกครั้ง คราวนี้สีหน้าของประมุขดีขึ้นเล็กน้อย บาดแผลเริ่มสมานตัวอย่างรวดเร็ว แม้ความเร็วจะเหมือนเชื่องช้า แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้สิ้นหวังเหมือนกับก่อนหน้า


 


“อาการเริ่มมั่นคงขึ้นเล็กน้อย หลังจากทุเลาลงกว่านี้ค่อยเคลื่อนย้ายออกไปรักษาข้างนอก” อี้เทียนหยุนมองดูอาการ จากนั้นก็สบายใจขึ้น


 


พวกเขาก็พากันโล่งใจเช่นกัน อาการของประมุขดูแล้วดีขึ้นมาก แม้ว่าจะไม่สามารถรักษาระดับพลังให้กลับคืนมาได้ แต่อย่างน้อยคนก็ยังมีชีวิตอยู่


 


“ขอบคุณน้องชายมาก…..” ประมุขพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าที่เข้มแข็งขึ้น


 


“ท่านประมุขโปรดอย่าได้เกรงใจ” อี้เทียนหยุนยิ้ม สามารถรักษาชีวิตได้ก็ดีแล้ว ถึงยังไง การช่วยชีวิตคนก็ได้บุญมากกว่าการสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น


 


จากนั้น ประมุขก็ไมได้พูดอะไรอีก เพียงนั่งพิงกำแพงเพื่อรอคอยการฟื้นตัว เพียงไม่นาน เลือดก็ไม่ไหลออกมาอีก ตอนนี้พวกเขาสามารถเคลื่อนย้ายประมุขออกจากที่นี้ และพาไปยังห้องนอนได้แล้ว


 


หลังจากรับยาถอนพิษไปหลายเม็ด อาการก็ดีขึ้นมาก ถ้าไม่มีอาการแทรกซ้อน อีกไม่กี่วันก็กำจัดพิษออกไปได้หมด จากนั้นอาการบาดเจ็บก็จะดีขึ้น อาการบาดเจ็บนี้ค่อนข้างรุนแรง โดยเฉพาะที่มือและเท้า จำเป็นต้องจ่ายราคาอย่างหนัก ถึงจะสามารถรักษาได้


 


ยังไงก็ตาม ระดับฝึกตนของเขาก็ได้ถูกทำลายไปแล้ว ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ไม่สามารถแก้ไขได้ในปัจจุบัน


 


“กล้ามเนื้อแขนและขาของประมุขถูกตัดขาดแล้ว จำเป็นต้องรักษา ต้องใช้ยาทาผสานกล้ามเนื้อมาทา ไม่รู้ว่าทางวังเทียนจี๋มีสมุนไพรที่พอจะใช้ได้หรือเปล่า ข้าจะได้ทำให้”


 


ยาทาผสานกล้ามเนื้อนี้เป็นยาชั้น 4 ซึ่งตอนนี้ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา


 


“นี่ นี่เจ้ากลั่นยาชั้น 4 ได้ด้วย…..” ผู้อาวุโสใหญ่ตกใจ แม้ว่ายาถอนพิษนี้เขาจะไม่รู้ว่าเป็นยาชั้นไหน แต่กลับยาทาผสานกล้ามเนื้อนั้นเขารู้ดี


 


ยังเด็กแต่ก็เป็นถึงอาจารย์กลั่นโอสถชั้น 4 ทั้งยังเป็นอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 ด้วย นี่มันจะท้าทายสวรรค์เกินไปแล้ว!


 


“แน่นอน ข้าทำได้” อี้เทียนหยุนตอบกลับอย่างสบาย


 


“งั้น งั้นข้าจะให้เซียนเอ๋อพาเจ้าไปที่หอโอสถเพื่อเลือกเองเลย” ผู้อาวุโสใหญ่บอกให้มู่เซียนเอ๋อที่อยู่ใกล้ๆ พาอี้เทียนหยุนไปเอาสมุนไพร


 


เหอเชียนหานกำลังรับหน้าที่ช่วยเหลือ ทั้งดูอาการรวมถึงเช็ดทำความสะอาดแผล ทำให้ค่อนข้างยุ่ง ไม่สามารถปลีกตัวไปเอาสมุนไพรได้


 


“ทราบแล้วท่านปู่” มู่เซียนเอ๋อพยักหน้า จากนั้นก็พูดกับอี้เทียนหยุน “คะ คุณชายอี้…. ข้าจะพาท่านไปเอง”


 


เผชิญกับเรื่องหนักๆ มาหลายเรื่อง ทำให้เธอรู้สึกตกใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เรื่องระดับพลังที่สูงนั้นช่างมันเถอะ แต่อาจารย์สลักอาคมชั้น 4 นี่มันอะไร? แม้ว่าค่ายกลชั้น 4 เธอจะไม่เคยเห็นเขาทำมาก่อน แต่กับความสามารถในการกลั่นโอสถที่ได้เห็นกับตานี้ ทำให้เธอรู้สึกตกตะลึงไปโดยสมบูรณ์


 


ขณะที่อี้เทียนหยุนตามมู่เซียนเอ๋อไป ก็พูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “แม่มดน้อย เจ้าเรียกข้าว่าคุณชายอี้ ไม่เรียกข้าว่าตัวลามกแล้วเหรอ?”


 


“เจ้า เจ้า…..” มู่เซียนเอ๋อกัดริมฝีปากแน่น ในตอนนั้นเธอยังไม่เคยเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ หรือว่าเรื่องใหญ่อะไร ทำให้เธอกล้าที่จะเล่นอย่างนั้น แต่ตอนนี้ได้มาเห็นความต่างที่ใหญ่มาก ซึ่งเทียบเท่าได้กับระดับผู้อาวุโส แล้วอย่างนี้เธอจะไปกล้าสร้างปัญหาให้กับเขาได้ยังไง


 


“ช่างเถอะ ไม่ล้อเจ้าเล่นแล้ว สถานการณ์ปัจจุบันของวังเทียนจี๋นี้ค่อนข้างวุ่นวาย ไม่รู้ว่ายังมีกบฏคนอื่นอยู่หรือเปล่า ถ้าไม่กวาดล้างให้หมด เรื่องความปลอดภัยก็จะเป็นปัญหาเช่นกัน….. ไม่เพียงเท่านี้ แต่ยังมีเรื่องของอาณาจักรใต้พิภพที่คอยจับตาดูอยู่อีก”


 


ต่อให้จะกวาดล้างกบฏจนหมด แต่ก็ยังมีอาณาจักรใต้พิภพที่คอยจับตาวังเทียนจี๋อยู่ ทำให้ไม่สามารถวางใจได้ พวกเขาวางแผนที่จะควบคุมวังเทียนจี๋ในเงามืด แต่ตอนนี้แผนของพวกเขาถูกทำลายแล้ว อาณาจักรใต้พิภพจะต้องไม่ยอมแพ้แค่นี้อย่างแน่นอน


 


ยังไงก็ตาม พวกเขาก็ทำได้เพียงลงมือในเงามืดเท่านั้น ถ้าเกิดว่าทำให้ขุมอำนาจอื่นล่วงรู้ มันจะก่อให้เกิดการต่อต้าน และสังหาร เมื่อเป็นอย่างนี้ ต่อให้ได้วังเทียนจี๋มาก็ได้ไม่คุ้มเสีย


 


มู่เซียนเอ๋อพยักหน้า เรื่องมันเป็นแบบนี้จริงๆ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความหนักใจ แม่มดน้อยที่ร่าเริง ตอนนี้ไม่กล้าซุกซนอีกแล้ว ตอนนี้เธอไม่มีอารมณ์นี้แล้ว


CLS ตอนที่ 224: ที่มาของคำว่าเทียนเฉวียน


 


หลังจากมู่เซียนเอ๋อพาอี้เทียนหยุนไปเอาสมุนไพรก็ได้กลับมาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเริ่มการกลั่นโอสถในทันที ซึ่งกระบวนนี้ไม่มีใครไปรบกวนเขา อาจจะเป็นเพราะไม่กล้ารบกวน หรืออาจจะคอยระวังว่าจะมีคนทรยศเหลืออยู่


 


พวกเขาต่อสู้กันในตำหนักหลัก ส่วนด้านนอกเป็นที่ที่เหล่าศิษย์เอาไว้ใช้ฝึก ทำให้ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ ไม่รู้ว่าประมุขของพวกเขานั้นกำลังบาดเจ็บหนัก รวมถึงถูกขังไว้ในห้องลับ


 


“ฟู่ เสร็จเรียบร้อย นี่ยาทาสมานกล้ามเนื้อ หลังจากนี้ใช้ทาแขนทาขา หลังจากนี้สักพักก็จะดีขึ้น” อี้เทียนหยุนส่งกล่องที่ข้างในเต็มไปด้วยขี้ผึง


 


หลังจากผู้อาวุโสใหญ่รับมาก็พูดอย่างตื่นเต้นว่า “ต้องขอบคุณเจ้ามากจริงๆ ถ้าเจ้าทำไม่ได้ พวกเราคงต้องออกไปซื้อที่ตำหนักซิงเฉินถ่ายเดียว”


 


ที่ตำหนักซิงเฉินมียาทาสมานกล้ามเนื้อขายอยู่ ถึงยังไงที่นั่นก็มีอาจารย์กลั่นโอสถชั้น 4 อยู่แล้ว ถ้าไม่มีแม้กระทั่งอาจารย์กลั่นโอสถชั้น 4 คงไม่สามารถเปิดตำหนักที่มีมูลค่ามหาศาลขนาดนั้นได้ ไม่เพียงแต่อาจารย์กลั่นโอสถชั้น 4 เท่านั้น อาจารย์หลอมศาสตราชั้น 4 ก็มีเหมือนกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่มีอำนาจที่แข็งแกร่งรอบด้านพอที่จะไม่เกรงกลัวสำนักใหญ่


 


“ไม่เป็นไร ทั้งในฐานะผู้สืบทอดของราชาวิญญาณเซวียนเทียน หรือในสมาชิกวังเทียนจี๋ การช่วยเหลือครั้งนี้สมควรแล้ว” อี้เทียนหยุนยิ้ม มองไปยังประมุขที่นอนอยู่บนเตียง สีหน้าของเขาดีขึ้นมาก ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป เขาก็ไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานมากนัก ก่อนที่จะลุกออกจากเตียงแล้วเดินด้วยตัวเองได้


 


“ติ๊ง ท่านทำภารกิจ “ช่วยเหลือและรักษาประมุข” สำเร็จ ได้รับค่าประสบการณ์ 1 ล้าน, ค่าความคลั่ง 10,000, ค่าความชอบของประมุขเพิ่มขึ้น 100, ค่าความชอบของผู้อาวุโสใหญ่เพิ่มขึ้น 100, ค่าความชอบของมู่เซียนเอ๋อเพิ่มขึ้น 100, ค่าความชอบของเหอเชียนหานเพิ่มขึ้น 100, ค่าความดี 100!”


 


ภารกิจนี้ดีนัก พริบตาก็เพิ่มค่าความชอบของทุกคนขึ้นมาก และที่สำคัญเลยก็คือค่าความดีที่เพิ่มขึ้นมา 100! นี่คือสิ่งที่เชื่อมต่อกับทุกการกระทำของเขา แน่นอนว่ายิ่งสูงยิ่งดี และเมื่อถึงตอนนั้น ถึงเขาไม่ได้เปิดโชคดีขึ้นมา เขาก็ยังจะเหมือนกับมีโชคดีเปิดใช้งานอยู่ตลอด


 


“ผู้สืบทอดราชาวิญญาณเซวียนเทียน……” ประมุขที่นอนอยู่บนเตียงยิ้มคลุมเครือออกมา จากนั้นก็ชี้นิ้วมายังเขาแล้วพูดขึ้นว่า “น้องชาย ระดับพลังของข้าถูกทำลายแล้ว ไม่สามารถดำรงตำแหน่งประมุขได้อีก ตอนนี้ข้าอยากให้เจ้ารับตำแหน่งประมุขอย่างเป็นทางการ และจะให้ผู้อาวุโสใหญ่คอยช่วยเจ้า เจ้าเต็มใจที่จะรับตำแหน่งประมุขนี้ไว้ไหม?”


 


คำขอที่อยู่ๆ ก็พูดขึ้นมาของประมุข ทำให้อี้เทียนหยุนตกใจ กระทั่งเหอเชียนหานและคนอื่นๆ ก็เช่นกัน นี่มันออกจะกะทันหันเกินไป จะให้อี้เทียนหยุนเป็นประมุขอย่างงั้นเหรอ! การจะเป็นประมุขได้นั้น นอกจากระดับพลังจะต้องสูงแล้ว ที่สำคัญเลยก็คือตัวตนที่สูงศักดิ์ รวมถึงค่าชื่อเสียงที่ดีงาม


 


อี้เทียนหยุนเพิ่งจะเข้าร่วม ชื่อเสียงอะไรก็ไม่มี แล้วอย่างนี้ใครหน้าไหนจะเชื่อฟัง? ผู้อาวุโสใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆ ใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ราวกับเห็นด้วยกับความคิดของประมุข


 


“นี่…. ข้าไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร เป็นไปไม่ได้ที่จะได้รับการสนับสนุนจากศิษย์จำนวนมาก ไม่มีทางที่พวกเขาจะเชื่อฟัง แล้วอย่างนี้จะรับตำแหน่งประมุขได้ยังไง?” อี้เทียนหยุนส่ายหัว การจะให้เขาเป็นประมุขนั้นไม่ใช่ปัญหา เขาไม่ได้รังเกียจ เพราะนี่จะทำให้ความสัมพันธ์ของสองสำนักเชื่อมถึงกันได้อย่างไม่มีปัญหา ทั้งยังจะทำให้การหลอมรวมกันหลังจากนี้ง่ายขึ้นไปด้วย


 


“นี่เป็นเพราะพวกเราคิดว่าเจ้าในฐานะผู้สืบทอดของราชาวิญญาณเซวียนเทียนนั้นเหมาะสม ส่วนเรื่องชื่อเสียงนั้น เจ้าคงไม่รู้ว่าชื่อของราชาวิญญาณเซวียนเทียนนั้นมีชื่อเสียงอย่างสูงมากในวังเทียนจี๋แห่งนี้ เจ้าในฐานะผู้สืบทอดจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะรับตำแหน่งประมุขนี้ ส่วนเรื่องต่างๆ ในวังเทียนจี๋นี้ มีผู้อาวุโสใหญ่คอยช่วย เจ้าจะไม่มีปัญหาอย่งแน่นอน”


 


เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้อยู่แล้วว่าต้องทำยังไง อี้เทียนหยุนนั้นเหมาะสมมาก เพียงแค่ฐานะผู้สืบทอดของราชาวิญญาณเซวียนเทียนก็รับตำแหน่งประมุขนี้ได้อย่างสะดวกดายแล้ว


 


พูดไปแล้วตอนนี้สถานการณ์ของวังเทียนจี๋ก็อันตรายมาก นอกจากผู้อาวุโสใหญ่แล้วก็ไม่มีผู้อาวุโสอื่นอีก ผู้อาวุโสสองคนถูกอี้เทียนหยุนฆ่า เหลือเพียงแต่ผู้อาวุโสใหญ่ที่ยังอยู่ ส่วนระดับบรรพชนนั้นไม่มีอยู่ตั้งแต่แรก แรงสนับสนุนจากด้านบนจึงไม่มีอยู่


 


นี่หมายความว่าพวกเขาเหลือแค่ผู้อาวุโสใหญ่เพียงคนเดียวที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ นี่สอดคล้องกับสถานการณ์ของวังเทียนจี๋ที่ตกต่ำลง ไม่แปลกเลยที่จะถูกดูถูก นอกจากเหล่าตระกูลต่างๆ แล้ว ผู้อาวุโสกลับมีอยู่น้อยนิด ช่างน่าอนาถจริงๆ


 


อี้เทียนหยุนเงียบไป จากนั้นก็บอกความจริงออกไป “ที่จริงแล้วข้ามาจากอาณาจักรตี้จิ่ง เป็นผู้อาวุโสของขุมอำนาจชั้น 2 ซึ่งข้าไม่คิดที่จะเข้าร่วมกับขุมอำนาจอื่น สิ่งที่ข้าต้องการคือการรับศิษย์จากสำนักอื่น หรือผู้ฝึกตนอื่นเข้าร่วม เพื่อขยายขุมอำนาจชั้น 2 ของพวกเรา วังเทียนจี๋ในตอนนี้ตกต่ำลง ถ้าให้ข้ารับตำแหน่งประมุข ข้าจะต้องรวมสองสำนักเข้าด้วยกัน ส่วนที่ว่าใครจะเป็นประมุขนั้น ข้าคิดว่าคงไม่จำเป็นต้องพูด”


 


คำสารภาพของอี้เทียนหยุนทำให้พวกเขาตกใจ ไม่คิดว่าอี้เทียนหยุนจะพูดออกมา แต่ถึงตอนนี้จะไม่พูด แต่หลังจากนี้ก็ต้องพูดอยู่ดี เป็นไปไม่ได้ที่จะเก็บเป็นความลับจากพวกเขา


 


“คำว่าหลอมรวมนี้ของเข้า แน่นอนว่าต้องรวมเข้ากับฝ่ายเจ้า ส่วนวังเทียนจี๋ของพวกเรานั้นต้องหายไป….” ประมุขส่ายหัวพร้อมกับพูดปฏิเสธ “นี่แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ วังเทียนจี๋ของพวกเราก่อตั้งมาหลายปี ต่อให้ตอนนี้จะตกต่ำ แต่จะให้หายไปอย่างนี้ไม่ได้”


 


“งั้นก็แยกเป็นสองสำนัก ผู้หญิงให้เข้าร่วมสำนักของข้า ส่วนผู้ชายก็ให้อยู่ที่นี่ คอยดูแลวังเทียนจี๋” อี้เทียนหยุนคิดหาวิธีให้นิกายเทียนเฉวียนยังคงมีแต่ศิษย์หญิงต่อไป ส่วนศิษย์ผู้ชายนั้น ให้อยู่ในวังเทียนจี๋อย่างนี้ต่อไปก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร


 


“หืม นิกายของเจ้ารับเฉพาะศิษย์หญิงอย่างงั้นเหรอ?” พวกเขาตกใจ แม้ว่าอาณาจักรเทียนจิ่งจะมีสำนักแบบนี้เหมือนกัน แต่ไม่คิดว่าที่อาณาจักรตี้จิ่งจะมีแบบนี้ด้วย


 


“ใช่แล้ว รับเฉพาะศิษย์หญิง ด้วยเหตุนี้ จึงง่ายต่อการยกระดับการฝึกฝน” อี้เทียนหยุนพูด


 


“ไม่ได้…..” ประมุขส่ายหัว จากนั้นก็ถามขึ้นว่า “ใช่แล้ว สำนักของเจ้าชื่ออะไร?”


 


“นิกายเทียนเฉวียน หรือจะเรียกตำหนักเทียนเฉวียนก็ได้ เพราะว่ายกระดับขึ้นเป็นขุมอำนาจชั้น 2 จึงได้เรียกว่านิกาย” อี้เทียนหยุนตอบ


 


“นิกายเทียนเฉวียน ตำหนักเทียนเฉวียน….. เทียนเฉวียน!” ประมุขพูดออกมาอย่างตกใจ “นี่ นี่เจ้ารู้ไหมว่าเทียนเฉวียนนี้เป็นชื่อของใคร?”


 


“……” อี้เทียนหยุนตาโต ในสมองผุดความคิดมากมายขึ้น


 


“ดี เทียนเฉวียนก็คือชื่อของราชาวิญญาณเซวียนเทียน ชื่อของเขาคือเหอเทียนเฉวียน!” ประมุขพูดออกมาอย่างประหลาดใจ “ถ้านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ตำหนักเทียนเฉวียนแห่งนี้จะต้องเป็นสำนักที่ราชาวิญญาณเซวียนเทียนก่อตั้งขึ้นอย่างแน่นอน เพราะราชาวิญญาณเซวียนเทียนไม่พอใจวังเทียนจี๋อย่างมาก ดังนั้นจึงออกจากสำนักไป พร้อมกับไปก่อตั้งสำนักข้างนอก….. แต่ทำไมถึงรับแต่ศิษย์หญิงล่ะ”


 


“ไม่ เหมือนว่าเจ้าตำหนักคนแรกจะเป็นผู้ชาย นี่อาจจะเป็นสำนักที่ราชาวิญญาณเซวียนเทียนสร้างขึ้นจริงๆ ก็ได้ เรื่องนี้จำเป็นต้องตรวจสอบอย่างละเอียด” อี้เทียนหยุนพูดด้วยรอยยิ้ม “งั้นก็หมายความว่าพวกเราล้วนแต่เป็นครอบครัวเดียวกัน ถ้าเป็นอย่างนั้น ไม่ทราบว่าประมุขต้องการจะรวมสองสำนักเข้าด้วยกันไหม?”


 


นี่มีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะรวมสำนักเข้าด้วยกัน ถ้าต้องการขยายสำนัก การจะมีเพียงแค่ศิษย์หญิงนั้นไม่ถูกต้อง หลังจากนี้ยังไงก็ต้องรับศิษย์ชายเข้ามาเพื่อความก้าวหน้าอยู่ดี


 


“ถ้าเป็นอย่างนี้ มันก็ต้องรวมเข้าด้วยกันแน่นอนอยู่แล้ว!” ประมุขยิ้มออกมา เพราะในตอนนี้มันต่างออกไปแล้ว


CLS ตอนที่ 225: ราชทูตจากอาณาจักรใต้พิภพ


 


ไม่คิดเลยว่าตำหนักเทียนเฉวียนที่ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นนิกายเทียนเฉวียนจะเป็นสำนักที่ราชาวิญญาณเซวียนเทียนสร้างขึ้น ตอนแรกตำหนักเทียนเฉวียนล้วนรับศิษย์ทั้งชายและหญิง แต่หลังจากราชาวิญญาณเซวียนเทียนจากไป กลัวว่าจะมีข้อโต้แย้งอะไรกันเกิดขึ้น ทำให้สุดท้ายแล้วก็เกิดการไล่ผู้ชายทั้งหมดออกไป


 


อี้เทียนหยุนเดาว่าราชาวิญญาณเซวียนเทียนได้ทำการกำจัดบรรพชนของตำหนักเทียนเฉวียน ดังนั้นจึงทำให้บรรพชนของตำหนักเทียนเฉวียนโมโห จึงได้ทำการไล่ผู้ฝึกตนชายทั้งหมดออกไป จนกระทั่งเป็นอย่างทุกวันนี้


 


ตามจริงแล้วเขาควรกลับไปสืบดู ดูว่าแท้ที่จริงแล้วเจ้าตำหนักคนแรกชื่อนี้หรือเปล่า ถ้าใช้ราชาวิญญาณเซวียนเทียนจริง การหลอมรวมเข้าด้วยกันก็จะเป็นไปอย่างสะดวก คนของวังเทียนจี๋นี้ไม่ได้มาก แต่ดินแดนที่ครอบครองนั้นค่อนข้างดี เหมาะแก่การเป็นที่ฝึกฝน


 


ยามเมื่อแต่ละสำนักทำการเลือกที่ตั้ง ล้วนแต่ทำการเลือกจากสถานที่ที่โดดเด่น ดังนั้น จึงไม่ต้องเป็นกังวลเลยว่าสภาพแวดล้อมจะด้วยกว่าสำนักอื่น


 


“ในเมื่อจะหลอมรวมกันแล้ว ข้าก็จะขอรับตำแหน่งประมุขนี้อย่างเต็มใจ!” อี้เทียนหยุนยิ้ม ผลลัพธ์นี้เป็นที่พอใจของเขามาก


 


“จริงเหรอ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ดี แต่ไม่รู้ว่าราชาวิญญาณเซวียนเทียนคิดอะไรอยู่ ทำไมถึงได้ไปสร้างสำนักใหม่ที่อาณาจักรตี้จิ่ง?”


 


พวกเขาพากันส่ายหัว เรื่องราวส่วนใหญ่พวกเขาไม่รู้ แต่ถ้าแค่เล็กน้อยก็พอจะเดาได้


 


หลังจากตัดสินใจเรื่องนี้แล้ว อี้เทียนหยุนก็เริ่มทำความเข้าใจสถานการณ์ของวังเทียนจี๋ ส่วนว่าเมื่อไหร่จะประกาศเรื่องการแต่งตั้งประมุขคนใหม่นั้น เรื่องนี้คงต้องรอไว้ก่อน อย่างน้อยก็จนกว่าประมุขคนปัจจุบันจะทุเลาจนพอจะเดินเหินเองได้ จากนั้นค่อยประกาศก็ยังไม่สาย


 


เพราะถ้าสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้อยู่ การประกาศออกไปจะทำให้ศิษย์จำนวนมากรู้สึกลังเลใจ ดังนั้น เรื่องประกาศนี้จึงต้องละเอาไว้ก่อน ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบอะไร


 


ภายใต้ความเข้าใจของอี้เทียนหยุน วังเทียนจี๋แห่งนี้ดูแล้วย่ำแย่จริงๆ แม้จะได้ชื่อว่าเป็นสำนักใหญ่แห่งอาณาจักร แต่ระดับผู้อาวุโสกลับไม่มี ดูได้จากตำหนักต่างๆ นอกจากตำหนักเทียนเหวินแล้ว ตำหนักอื่นๆ ล้วนแต่น่าผิดหวังเป็นอย่างมาก ชื่อเสียงย่ำแย่ ทรัพยากรก็ขาดแคลน


 


กระทั่งบางตำหนักยังน่าผิดหวังยิ่งกว่านิกายเทียนเฉวียน สามารถจินตนาการได้เลยว่า วังเทียนจี๋แห่งนี้น่าผิดหวังแค่ไหน


 


“สถานการณ์ของวังเทียนจี๋ในตอนนี้เหมือนจะย่ำแย่มากเลยนะ…..” อี้เทียนหยุนปิดหนังสือลง เมื่อเขาอ่านบันทึกสถานการณ์ต่างๆ ของที่นี่ก็ได้เงยหน้ามองไปยังผู้อาวุโสใหญ่ ฝั่งตรงหน้าก็มีสีหน้าอึดอัด


 


“มันก็เป็นเช่นนี้จริงๆ นานแล้วที่ไม่มีศิษย์ใหม่เข้าร่วม หรือเข้าร่วมเพียงไม่นานก็จากไป สภาพแวดล้อมของที่นี่ดีมาก แต่ก็ไม่มีใครคิดจะเข้าร่วม…. เฮ้อ การทำให้ทั้งสำนักตกอยู่ในสภาพนี้ เป็นความรับผิดชอบของพวกเรา” ผู้อาวุโสใหญ่ถอนใจ


 


“ก่อนหน้านี้ข้าได้ไปยังตำหนักเทียนเหวิน สถานการณ์ที่นั่นค่อนข้างน่าเป็นห่วงอย่างมาก ศิษย์บางคนมีนิสัยก้าวร้าว ลอบแทงกันข้างหลัง แม้ว่าข้าจะไม่คัดค้าน แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับการประลองลักษณะนี้” อี้เทียนหยุนพูดอย่างจริงจัง “ตะกอนพวกนี้จำเป็นต้องกำจัด ไม่อย่างนั้น ยามใดที่มีศิษย์ที่มีพรสวรรค์แต่กลับมีระดับต่ำเข้ามา ก็จะถูกตะกอนพวกนี้กดหัว หรือไม่ก็ถูกบังคับให้ต้องเข้าร่วมกับตระกูลพวกนี้ไป!”


 


“ก่อนหน้านี้พวกเราก็ได้มีการพูดคุยกันแล้ว….. แต่ในการพูดคุยกัน พวกเขาก็ได้มอบข้อเสนอให้กับพวกเรา” ผู้อาวุโสใหญ่มีสีหน้าอึดอัด สถานการณ์ของวังเทียนจี๋เป็นยังไงใครบ้างไม่รู้ การจะควบคุมคนนั้น จำเป็นต้องมีข้อเสนอเพื่อรั้งผู้คน หากไร้ซึ่งข้อเสนอ คนคงหนีหายไปหมด


 


“ทำอย่างนี้ก็ไม่ต่างจากการดื่มยาพิษดับกระหาย ไม่นานหลังจากนี้สำนักจะต้องดับสลายอย่างแน่นอน ข้าไม่เชื่อว่าสำนักใหญ่จะเอาแต่พึ่งพาวิธีนี้เพื่อเอาชีวิตรอดต่อไปอย่างนี้หรอกนะ? ข้าคิดว่าเหตุผลส่วนใหญ่ที่พวกท่านทำอย่างนี้เพราะศิษย์ใหม่ที่เข้าร่วมมีน้อย แต่ถึงจะมีศิษย์ใหม่เข้าร่วมจำนวนมาก แต่สุดท้ายก็ต้องถูกขยะพวกนี้ขับไล่ไปอยู่ดี!” อี้เทียนหยุนพูดอย่างจริงจัง “ผู้อาวุโสใหญ่ อะไรที่ควรทิ้งก็ต้องทิ้ง พวกเขาบางส่วนจำเป็นต้องถูกกำจัด เมื่อตัดเนื้อร้ายทิ้งไป ส่วนที่เหลืออยู่ก็จะเป็นปกติ”


 


ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะรับศิษย์จากตระกูลใหญ่ เขามั่นใจว่ามีความเป็นไปได้ที่จะรับศิษย์จากตระกูลใหญ่ แต่ศิษย์จากตระกูลใหญ่ที่เข้าร่วมทุกวันนี้ล้วนแต่หยิ่งยโส เอาแต่ใจ ยิ่งมายิ่งไม่เห็นหัวใคร


 


หลังจากผู้อาวุโสใหญ่เงียบไปก็ได้พยักหน้าแล้วพูดว่า “เจ้าในตอนนี้คือประมุข ข้าจะทำตามที่เจ้าเสนอ”


 


“เอาล่ะ ข้าจะไม่พูดอะไรมาก ที่จริงแล้วก็มีคนมากมายที่รู้ว่าจะจัดการยังไง จากนี้เราต้องจัดการให้ดี ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไป ก็ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะรวมสำนักเข้าด้วยกัน แต่อย่างน้อยข้าก็อยากให้สถานการณ์ที่นี่มั่นคง จากนี้ไปเมื่อรวมสำนักเข้าด้วยกันแล้ว ข้าถึงจะรับตำแหน่งประมุขของที่นี่” อี้เทียนหยุนพูด


 


ผู้อาวุโสใหญ่พยักหน้า “ถ้าอย่างนั้น ไว้ท่านประมุขหายดีแล้ว เราค่อยประกาศเรื่องนี้กันอีกครั้ง การเปลี่ยนประมุขของวังเทียนจี๋ถือเป็นเรื่องใหญ่”


 


อี้เทียนหยุนพยักหน้า ตั้งแต่นี้ไปคงต้องทำให้ดีที่สุด กลัวแต่ว่าจะพวกเขาจะไม่เต็มใจเปลี่ยน เมื่อถึงตอนนั้น ตอนที่ซังข้าวถูกตั๊กแตนกัดแทะไปแล้ว อยากจะเปลี่ยนก็สายเกินไป แต่ถ้าเปลี่ยนตอนนี้ อย่างน้อยก็ช่วยได้นิดหน่อย แต่ถ้ายิ่งช้า ทุกอย่างก็จะสายเกินไป


 


ขณะที่พวกเขากำลังจะคุยหัวข้อถัดไป ก็ได้มีศิษย์เดินเข้ามารายงาน พร้อมกับพูดอย่างเคารพว่า “ผู้อาวุโสใหญ่ ราชทูตจากอาณาจักรใต้พิภพได้มาขอพบครับ!”


 


“ราชทูตจากอาณาจักรใต้พิภพ?”


 


อี้เทียนหยุนและผู้อาวุโสใหญ่ต่างมองตากัน ช่างมาได้ถูกเวลาจริงๆ การมาของฝั่งตรงข้ามถือเป็นข่าวร้ายอย่างแน่นอน


 


“ไป พวกเราไปดูกัน” ผู้อาวุโสใหญ่พยักหน้า จากนั้นก็ลุกนำไป


 


เมื่อมาถึงตำหนักหลัก พวกเขาก็เห็นชายกลางคนกำลังนั่งจิบชาด้วยท่าทางเกียจคร้าน เมื่อเห็นพวกเขาเข้ามา เขาไม่ได้ลุกขึ้นทักทาย แต่กลับพูดออกมาแทน “พวกเจ้ามาแล้ว”


 


ท่าทางอวดดีของเขาราวกับเป็นเจ้าของบ้านก็ไม่ปาน เหมือนคนมาเยี่ยมที่ไหน ส่วนระดับพลังของเขาก็ไม่ต่ำ อยู่ในระดับก่อแกนวิญญาณขั้นที่ 7 สำหรับคนส่งสารแล้ว ถือว่ามีระดับสูงอย่างมาก


 


ถึงจะบอกว่าเป็นราชทูต แต่ที่จริงก็แค่คนส่งสาร


 


“ที่แท้ก็ตัวแทนฝ่าบาท เสียมารยาทแล้ว” ผู้อาวุโสใหญ่ทักทายอย่างสุภาพ แม้ว่าก่อนหน้านี้จะถูกลอบโจมตีจากผู้คุ้มกันเงา แต่บางเรื่องก็ไม่สามารถพูดออกมาตรงๆ ได้ อาณาจักรใต้พิภพนี้มีอำนาจมาก ทำไมพวกเขาจะต้องลงมือกับเจ้าด้วย ทำไปแล้วได้อะไร?


 


วังเทียนจี๋มีราชาวิญญาณเซวียนเทียนอยู่ แต่ก็เป็นเรื่องเมื่อหลายปีมากแล้ว แต่อาณาจักรใต้พิภพตอนนี้มีปรมาจารย์ระดับวิญญาณเที่ยงแท้นั่งบัญชาการด้วยตัวเอง ส่วนฉายาราชาวิญญาณนั้นเป็นเรื่องที่ภายนอกพูดถึง แต่ตอนนี้เหลือแค่ชื่อเท่านั้น ส่วนทางนั้นมีปรมาจารย์ระดับวิญญาณเที่ยงแท้อยู่หลายคน!


 


แค่ส่งมาคนเดียวก็สามารถทำลายขุมอำนาจชั้น 3 ทิ้งอย่างง่ายดาย นี่ก็คือพลังอำนาจ


 


“อืม ครั้งนี้ข้ามาเชิญเจ้าเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงอาณาจักร” พูดจบ ตัวแทนก็ได้ยื่นบัตรเชิญให้ พร้อมพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เมื่อถึงเวลาต้องไป ข้าไม่ต้องการให้เจ้าขาด”


 


เขายังคงไม่ลุกขึ้น ยังคงนั่งพูดอยู่เช่นเดิม ท่าทางก็ยังคงไม่จริงจังเหมือนก่อนหน้า เชื่อว่าที่ผู้คุ้มกันเงาที่อยู่ที่นี่ตายไปแล้ว ทางฝั่งนั้นคงรู้แล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่ส่งคนมามอบบัตรเชิญด้วยตัวเองแบบนี้


 


“งานนี้พวกเราจะต้องไปอย่างแน่นอน” ผู้อาวุโสใหญ่รับบัตรเชิญมา บนใบหน้ายังประดับไว้ด้วยรอยยิ้ม เหมือนกับถูกตบหน้า แต่ยังคงต้องยิ้มรับ


 


“อืม งั้นข้าขอตัว” ตัวแทนลุกขึ้น เดินวางมาดออกไปข้างนอก ไม่แปลกใจเลยว่าพวกนั้นจะต้องไม่ตัดใจจากพวกเขา


 


ไม่ต้องสงสัยเลยว่า งานเลี้ยงนี้ต้องไม่เรื่องดีอย่างแน่นอน

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม