Crazy Leveling System 193-211

 CLS ตอนที่ 193: โลงศพผลึกน้ำ


 


โดยที่ไม่รอให้อี้เทียนหยุนได้คิดอะไร เขาก็พบว่าอุโมงค์ที่เขาเข้ามาเมื่อก่อนหน้า ตอนนี้กระแสน้ำกำลังไหลย้อนกลับ นี่หมายความว่าถ้าอยากจะลงมาจากข้างบน มีเพียงแต่ทวนกระแสน้ำมาเท่านั้น ไม่อย่างนั้นจะเป็นเรื่องที่ยากมาก


 


“ดูเหมือนว่าจะเป็นเพราะโชคดีจริงๆ หลังจากนี้ถ้าได้ไปสถานที่ที่พิเศษ ต้องลองเปิดใช้งานโชคดีดูแล้วล่ะ”


 


อี้เทียนหยุนเลียริมฝีปาก ไม่คิดว่าตัวเองจะเจอห้องลับเข้า ดูแล้วไม่ธรรมดาเลย ภายใต้เส้นชีพจรวิญญาณนี้กลับมีห้องลับตั้งอยู่ แม้ว่านี่จะไม่ผิดสามัญสำนึก แต่คิดว่าทางตำหนักซิงเฉินคงจะไม่รู้ว่าที่นี่มีห้องลับอยู่ ถ้าพวกเขารู้คงจะส่งยามมาคุ้มกันอย่างแน่นหนาไปแล้ว ทั้งยังต้องคอยเฝ้าระวังรอบๆ อย่างดี ที่นี่มีหญ้าขึ้นเต็มไปหมด ไม่รู้ว่าไม่มีคนเข้ามาที่นี่นานแค่ไหนแล้ว


 


“เพิ่งจะได้ปีกฟีนิกซ์มา ก็เข้ามายังที่แห่งนี้ได้แล้ว ช่างเป็นโชคที่น่าเหลือเชื่อจริงๆ!”


 


อี้เทียนหยุนเผยรอยยิ้มออกมา ปีกฟีนิกซ์นี้ถือว่าเป็นของดีไว้ใช้ช่วยชีวิต แม้ว่าเขาจะมีมังกรดำที่บินได้อยู่ แต่ถ้ามังกรดำถูกขัดขวางล่ะ? ยิ่งกว่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดก็คือความเร็ว เมื่อมีปีกฟีนิกซ์นี้อยู่ ความเร็วในการหลบหนีของเขาก็เพิ่มขึ้นอีก 3 เท่า นอกเสียจากว่าเขาจะเจอกับผู้เชี่ยวชาญที่แข็งแกร่งกว่าตนมากเท่านั้น ไม่อย่างนั้นอย่าหวังว่าจะตามเขาได้ทัน


 


หลังจากนั้น เขาก็ทำการสำรวจรอบๆ นอกจากหญ้าที่รกชัฏแล้ว ที่นี่ยังเต็มไปด้วยสมุนไพรวิญญาณจำนวนมาก ไม่ต่างจากข้างนอกเลย ในเมื่อเขาได้เข้ามายังที่แห่งนี้แล้ว เขาก็จะไม่ขอเกรงใจเช่นกัน เขาทำการเก็บสมุนไพรทั้งหมดเข้าช่องเก็บของอย่างไม่ลังเล สมุนไพรวิญญาณชั้น 5 กองใหญ่ขนาดนี้ เมื่อเขาได้เจอเข้า เขาจะไม่ยอมพลาดอย่างแน่นอน


 


หลังจากเก็บกวาดจนสะอาดเอี่ยม รอบๆ ก็ไม่มีอะไรเหลืออีกนอกจากประตูหยกตรงหน้า เมื่อเขาเดินมาถึงประตูหยก เขาก็ทำการเคาะลงไปเบาๆ พร้อมกับตะโกนเข้าไปว่า “มีคนอยู่ไหม?”


 


หลังจากตะโกนออกไป นอกจากเสียงสะท้อนของตนแล้ว ก็ไม่มีเสียงตอบรับอะไรอีก


 


เขาใช้มือผลักมันเบาๆ แต่ประตูก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไร นอกเสียจากเสียง “เอี๊ยด” ที่ดังขึ้น ประตูหยกก็ได้ทำการเปิดออกเป็นสองฝั่ง พร้อมๆ กับคลื่นความเย็นที่ส่งออกมาจากข้างใน ทำให้เขาต้องหรี่ตาลง ไม่รู้ว่าในนั้นมีอะไรอยู่?


 


ในเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว ก็มีแต่ต้องเข้าไปดูเท่านั้นไม่ใช่หรือไง?


 


“ไม่รู้ว่าห้องนี้มีอะไรอยู่ข้างใน?”


 


อี้เทียนหยุนก้าวเท้าเดินเข้าไป และเมื่อเท้าของเขาเหยียบเข้าไปในห้อง หยกที่อยู่รอบๆ ก็พากันเปล่งแสงออกมาในทันที ทำให้ห้องที่มืดสลัว สว่างไสวไปด้วยแสงจากหยก ยิ่งกว่านั้น แสงนี้ยังสว่างกว่าไข่มุกเรืองแสง ทั้งยังไม่ก่อให้เกิดอาการตาพร่าอีกด้วย


 


หินวิญญาณหยก : หินวิญญาณพลังสูง ให้พลังมากกว่าหินวิญญาณทั่วไป 3 เท่า


 


“เล่นใหญ่มาก ถึงกับใช้หินวิญญาณหยกมาสร้างเป็นห้องลับนี้กันเลยทีเดียว…..” อี้เทียนหยุนคิดภายใต้ความรู้สึกที่ผ่อนคลาย ที่นี่ก็เป็นอีกหนึ่งเส้นชีพจรวิญญาณ ไม่แปลกใจที่ต้องสร้างห้องลับด้วยหินวิญญาณหยกเป็นพิเศษ แต่เขาไม่คิดที่จะทำอะไรกับมัน


 


มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่ากำแพงนี้มีอะไรอยู่ ถ้าเกิดว่าคนของที่นี่รู้เข้า เขาคงติดหนี้ก้อนใหญ่ แต่ถึงจะไม่มีใครรู้ เขาก็ยังคงรู้สึกผิดในใจอยู่ดี อย่างคำว่าความโลภ คือตัวที่นำพาไปสู่ความตายได้เร็วที่สุด


 


ภายใต้ความรอบคอบ เขาไม่ได้เดินเล่นนาน แล้วเดินเข้าห้องไป ที่นี่เมื่อเทียบกับข้างนอกแล้วเย็นกว่า แต่ไม่ถึงกับมีน้ำแข็งเกาะ ยังไงก็ตาม มันก็ยังส่งผลต่อเสื้อผ้าของเขา ถ้าเปลี่ยนเป็นคนธรรมดาเข้ามาที่นี่ล่ะก็ จะต้องถูกแช่แข็งจนตายอย่างแน่นอน


 


และเมื่อเขามองสำรวจดู เขาก็พบโลงศพปรากฏขึ้นตรงหน้า แต่เป็นโลงศพผลึกน้ำ เขามองผ่านโลงเข้าไป และก็พบว่าในโลงศพผลึกน้ำนี้ นอนไว้ด้วยหญิงสาวนางหนึ่ง!


 


“มีคนอยู่ด้วย?”


 


อี้เทียนหยุนเดินเข้าไป และก็พบว่าเป็นหญิงสาวนอนอยู่ข้างในจริงๆ รูปลักษณ์ของเธองดงามมาก แก้มที่เนียนละเอียด แต่ก็มีสีสัน สีหน้าดูแล้วดูดีมาก ราวกับกำลังนอนหลับอย่างไงอย่างงั้น เธอสวมชุดสีขาวซึ่งคลี่กางอยู่ในโลงศพผลึกน้ำนี้ ล้อมรอบไปด้วยดอกบัวขาว ภายใต้การตรวจดู เขาก็พบว่าดอกบัวขาวนี้ เหมือนกับบัวหิมะน้ำแข็งสวรรค์ที่หายากอยู่นิดหน่อย!


 


นี่คือสมุนไพรวิญญาณชั้น 5 ถ้าเป็นปกติเป็นเรื่องยากที่พบสักต้น แต่ที่นี่กลับมีมากกว่าโหล กลิ่นหอมของมันโชยออกมาจากข้างใน ทำให้ผู้คนรู้สึกจิตใจสงบลงหลายส่วน


 


หญิงสาวที่ดูเหมือนกำลังนอนหลับอยู่นี้ แท้จริงนั้นได้ตายไปแล้ว อี้เทียนหยุนสัมผัสไม่ได้ถึงกลิ่นอายชีวิตของเธอแม้แต่น้อย ถึงจะตายไปแล้ว แต่เขาก็มองไม่เห็นบาดแผลจากร่างกายเธอแม้สักนิด


 


“ไม่คิดเลยว่าจะเป็นคนตาย…..”


 


อี้เทียนหยุนขมวดคิ้ว ไม่คิดว่าจะพบคนตายที่นี่ ยังไงก็ตาม การวางร่างของหญิงสาวไว้ที่นี่ก็ถือว่าดีมาก เพราะพลังวิญญาณของที่นี่หนาแน่นมาก น่าจะเป็นจุดศูนย์กลางของชีพจรวิญญาณ ภายใต้พลังวิญญาณที่หนาแน่น รวมกับบัวหิมะน้ำแข็งสวรรค์ ต่อให้เส้นชีพจรวิญญาณนี้พังทลายไป ร่างกายของหญิงสาวนางนี้ก็ยังสามารถคงสภาพได้อีกนาน


 


จากนั้น อี้เทียนหยุนก็หลับตาพร้อมกับพนมมือขึ้นกล่าวคำขอขมา “ข้าไม่ได้มีเจตนาจะล่วงเกิน ได้โปรดให้อภัยด้วย…..”


 


เขาไม่ได้คิดที่จะเปิดโลงศพผลึกน้ำนี้ แต่หมุนตัวเดินไปที่อื่น แม้ว่าโลงศพผลึกน้ำจะเป็นของดี แต่เขาก็ไม่มีความคิดที่จะทำอะไรที่เป็นการล่วงเกินหรือหมิ่นประมาทโดยเด็ดขาด


 


หลังจากเดินสำรวจ เขาก็พบข้อความที่สลักบนกำแพงว่า : ยามใดที่บัวหิมะเบ่งบาน ยามนั้นคือเวลาแห่งการถือกำเนิดขึ้นอีกครั้ง


 


“ยามใดที่บัวหิมะเบ่งบาน ยามนั้นคือเวลาแห่งการถือกำเนิดขึ้นอีกครั้ง อะไรกันล่ะนี่?”


 


อี้เทียนหยุนขมวดคิ้ว พร้อมกับกลับไปดูอีกรอบหนึ่ง แล้วก็พบว่าบัวหิมะน้ำแข็งสวรรค์ที่อยู่ในโลงศพผลึกน้ำกำลังจะบานแล้วจริงๆ เขาสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ว่าบัวหิมะพวกนี้กำลังบานออกอย่างช้าๆ แต่แม้จะช้า แต่มันก็กำลังเบ่งบานอยู่จริงๆ


 


บัวหิมะน้ำแข็งสวรรค์พวกนี้ไม่ได้ถูกฝังเอาไว้เฉยๆ แต่เพื่อรอเวลาบาน นี่ช่างเป็นเรื่องที่มหัศจรรย์จริงๆ


 


“หลังจากที่บัวหิมะน้ำแข็งสวรรค์นี้บานออก เธอก็จะตื่นขึ้นมา….. ไม่ นี่มันไม่ลึกลับเกินไปหน่อยเหรอ?” อี้เทียนหยุนคิด คิดว่าควรจะรีบออกไปจากที่นี่เลยดีไหม เพราะว่าที่นี่นอกจากโลงศพผลึกน้ำนี้แล้วก็ไม่มีอะไรอื่น มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่จะรู้ว่าเมื่อเธอตื่นขึ้นมาแล้วจะเกิดอะไรขึ้น?


 


“ออกไปเลยแล้วกัน ได้ค่าประสบการณ์เพิ่มอีกนิดก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย…..”


 


แต่ในขณะที่เขากำลังจะจากไปนี้เอง ในตอนนี้ ก็ได้มีเสียงดังออกมาจากโลงศพผลึกน้ำนี้เบาๆ


 


“อืม…..”


 


เขาพลันกลายเป็นเซ่อไป จากนั้นก็หันกลับไปมองที่โลงศพผลึกน้ำอย่างช้าๆ และก็พบว่าหญิงสาวที่งดงามคนนั้นได้ตื่นขึ้นมาจริงๆ ขนตาของเธอสั่นเบาๆ เหมือนกับคนที่กำลังจะตื่นอย่างไงอย่างงั้น


 


“ไปหรือไม่ไปดี?”


 


อี้เทียนหยุนสองจิตสองใจ ไม่รู้ว่าควรจะไปหรือไม่ไปดี? คนก็ตื่นแล้ว ไม่รู้ว่าจะเกิดอันตรายอะไรกับตนบ้าง แต่ดูเหมือนว่า คงจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ใช่ไหม? แม้จะไม่แน่ใจ แต่คิดว่าน่าจะมีโอกาสอยู่!


 


ในขณะที่เขากำลังลังเลอยู่นั้น หญิงสาวนางนี้ก็ได้ตื่นขึ้น เธอลืมตาขึ้นช้าๆ ดวงตาสีฟ้าอ่อนที่เหมือนอัญมณีค่อยๆ มีโชนแสง เปล่งแสงสีฟ้าออกมา พร้อมกับเปิดโลงศพผลึกน้ำออกจากช้าๆ แล้วลุกขึ้นนั่ง


 


อี้เทียนหยุนที่กำลังคิดอยู่ใกล้ๆ อดมองไปอย่างช่วยไม่ได้ คิดว่าจริงๆ แล้ว เธอเป็นคนหรือว่าผีกันแน่?

.

CLS ตอนที่ 194: ข้าไม่ใช่พี่ชายของเจ้า


 


หญิงสาวเหยียดตัวออกเบาๆ ดูแล้วราวกับเพิ่งตื่นจริงๆ ทั้งอยู่ๆ ก็มีกลิ่นอายแห่งชีวิตขึ้นมาอย่างฉับพลัน ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่ไร้ซึ่งกลิ่นอายแห่งชีวิต กลายเป็นคนเป็นอย่างสมบูรณ์แบบ!


 


และตอนนี้เอง หญิงสาวนางนี้ก็ได้หันมาเห็นเขาเข้าพอดี สายตาทั้งสี่ข้างประสานกัน ทำให้อี้เทียนหยุนไม่รู้ว่าจะเอ่ยอะไรดี และจากนั้น หญิงสาวก็พลันเผยรอยยิ้มออกมา ดูแล้วงดงามเป็นอย่างมาก ราวกับนางเซียนที่เสด็จลงมาเยือนโลกหล้าพร้อมกับกลิ่นหอมอ่อนๆ


 


ยังไงก็ตาม อี้เทียนหยุนก็ได้สติขึ้นมาแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดีอยู่ดี


 


“พี่ชาย ท่านมาแล้ว?” หญิงสาวพูดออกมาพร้อมรอยยิ้มบางๆ


 


“พี่ชาย พี่ชายอะไร?” อี้เทียนหยุนหันกลับไปมองข้างหลัง แต่ก็พบว่าไม่มีใครอยู่ ทั่วทั้งห้องมีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น


 


“พี่ชาย ท่านพูดเหลวไหลอะไร ท่านไม่ใช่พี่ชายของข้าอย่างงั้นเหรอ” หญิงสาวลุกออกมาจากโลงศพผลึกน้ำ พร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้ม “ผู้อื่นตื่นขึ้นแต่ละครั้ง ไม่ใช่เพราะว่าท่านคอยคุ้มกันอยู่ด้านข้างหรอกเหรอ”


 


“อะไรนะ ข้าน่ะเหรอที่คอยคุ้มกันอยู่ข้างๆ?” อี้เทียนหยุนพูดอย่างอึกอัก “นี่… ขอโทษด้วยสาวน้อย ข้าไม่ใช่พี่ชายของเจ้า ข้าแค่ผ่านทางมา ที่นี่ไม่มีใครเข้ามานานแล้ว ทั้งข้ายังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร”


 


“พี่ชาย อย่าพูดเล่นสิ ท่านจะหยอกข้าให้มีความสุขใช่ไหม” หญิงสาวกระโดดขึ้นคราหนึ่ง แต่เพราะว่านอนนานเกินไป ทำให้ร่างกายของเธอเซมาหาเขา


 


ดีที่เขาหูตาว่องไว ทำให้อี้เทียนหยุนยื่นมือออกไปรับเธอได้ทันท่วงที “เจ้าไม่เป็นไรนะ?”


 


“ข้าไม่เป็นไร พี่ชาย แล้วตอนนี้พวกเราจะไปที่ไหนกัน?” หญิงสาวเผยรอยยิ้มแล้วพูดออกมา ดวงตาสีฟ้าของเธอจ้องมองมาที่เขา ราวกับอี้เทียนหยุนกำลังมองไปยังทะเล “กลับบ้านเหรอ?”


 


“นี่เจ้า….. ข้าไม่ใช่พี่ชายของเจ้า เจ้าจำผิดคนแล้ว” หลังจากอี้เทียนหยุนพยุงเธอขึ้นมาแล้วเขาก็ปล่อยเธอ เพื่อหลีกเลี่ยงความเข้าใจผิด


 


“จะเป็นไปได้ยังไง ท่านคือพี่ชายของข้า….. ท่าน ท่านมารับข้าอย่างนั้นใช่ไหม….” ขณะที่เธอจะพูดอะไรต่อนั้น เธอก็พลันขมวดคิ้ว จากนั้นก็เอามือขึ้นกุมหัวตัวเอง “เจ็บจัง ข้าปวดหัว….”


 


“เจ้า เจ้าไม่เป็นไรนะ….” อี้เทียนหยุนได้แต่มองเธอ เขาละอายเกินกว่าที่จะประคองเธออีกครั้ง ถึงยังไงผู้ชายและผู้หญิงก็ไม่ควรแตะเนื้อต้องตัวกัน ทั้งเขาในตอนนี้ก็ไม่ใช่พี่ชายของเธอด้วย


 


หลังจากใช้ดวงตาประเมิน เขาก็พบว่าพื้นฐานฝึกตนของฝั่งตรงข้ามไม่ต่ำเลย ถึงกับเป็นระดับผันแปรวิญญาณขั้นที่ 5 ทำให้เขาต้องสูดหายใจเฮือกด้วยความตกใจ อายุเพิ่งจะเท่าไหร่เอง อย่างมากก็พอๆ กับท่านน้าของเขาเท่านั้น แต่กับมาถึงระดับผันแปรวิญญาณจริงๆ!


 


“เจ้า เจ้าไม่ใช่พี่ชายข้า…..” หญิงสาวเอามือกุมหัวพร้อมกับพูดออกมาด้วยความเจ็บปวด


 


“ก็ไม่ใช่น่ะสิ ข้าบอกเจ้าแต่แรกแล้ว” อี้เทียนหยุนรีบพูด


 


“ถ้างั้น ข้าเป็นใครกัน…..” หญิงสาวขมวดคิ้ว เอามือกุมหัวพร้อมกับคุกเข่าลงกับพื้น เหมือนกับว่าปวดหัวมากจนกระทั่งยืนไม่ไหว


 


“นี่ เจ้า…..” อี้เทียนหยุนมองไปเห็นบัวหิมะน้ำแข็งสวรรค์ในโลงศพผลึกน้ำ เขาก็รีบไปนำมันมา จากนั้นก็วางไว้บนหัวเธอ กลิ่นอายความเย็นอ่อนๆ แทรกซึมเข้าไปในหัวเธอในทันที


 


ทันใดนั้น อาการปวดของหญิงสาวก็ดีขึ้นเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเพราะเพิ่งจะฟื้นขึ้นมา ทำให้ความทรงจำของเธอยังคงสับสนอยู่


 


“ขอบใจ…..” อาการของหญิงสาวดีขึ้นเล็กน้อย เธอกุมบัวหิมะไว้กับหัว พร้อมกับยืนขึ้นมา “ข้าพอจะจำได้แล้ว ข้าคือเริ่นจื่อโหรว ข้ามาจาก….. จาก…..”


 


เธอคิดจนคิ้วขมวด แต่ก็คิดไม่ออก ยิ่งคิดอาการปวดของเธอก็ยิ่งมาก


 


“คิดออกแค่นี้ก็ดีแล้ว เรื่องอื่นๆ ไว้ค่อยคิดก็ได้” อี้เทียนหยุนพูดปลอบเธอ


 


อย่างน้อยก็จำชื่อตัวเองได้ ส่วนเรื่องอื่นที่ไม่รู้นั้น เขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงดีเหมือนกัน


 


“ท่านพี่ หัวข้าปวดอีกแล้ว….” เริ่นจื่อโหรวกระตุกแขนอี้เทียนหยุน พร้อมกับเอามือกุมหัวท่าทางเจ็บปวด ตอนแรกก็เหมือนจะจำได้แล้วว่าเขาไม่ใช่พี่ชายของเธอ มาตอนนี้เป็นอีกแล้ว


 


อี้เทียนหยุนรู้สึกพูดไม่ออก จึงอุ้มเธอกลับไปนอนบนโลงศพผลึกน้ำอีกครั้ง “เจ้านอนอยู่ตรงนี้ก่อน เจ้าเพิ่งจะฟื้นขึ้นมา ความทรงจำก็เลยสับสน”


 


เริ่นจื่อโหรวพยักหน้า จากนั้นก็นอนลง เมื่อได้สัมผัสกับบัวหิมะที่อยู่ข้างใน ก็รู้สึกสบายตัวขึ้นหลายส่วน


 


อี้เทียนหยุนยังไม่จากไป เขาเลือกที่จะนั่งอยู่ใกล้ๆ ในนี้เต็มไปด้วยแม่น้ำวิญญาณ ซึ่งห้องนี้ออกแบบได้ผิดปกติมาก รอบๆ ห้องถูกขุดเจาะเป็นทางน้ำให้แม่น้ำวิญญาณไหลผ่านอย่างถ้วนทั่ว ทำให้ที่นี่เต็มไปด้วยพลังวิญญาณ


 


เขาใช้ที่นี่เป็นที่สำหรับดูดกลืนพลังวิญญาณ เขาไม่สามารถปล่อยให้มันสูญเปล่าได้ เขาได้เวลาเข้ามาในนี้เป็นเวลา 5 วันอย่างยากลำบาก แล้วเขาจะปล่อยให้เวลาเสียเปล่าไปได้ยังไง? นี่เป็นโอกาสดีที่จะได้รับค่าประสบการณ์มหาศาล ถ้าพลาดไปแล้ว ไม่รู้เมื่อไหร่ถึงจะได้มาอีก


 


“ที่นี่เป็นที่ที่ดี ไม่สามารถปล่อยให้เสียเปล่าได้ รออยู่ที่นี่ก่อน จากนั้นค่อยถามว่าจะกลับเข้ามาที่นี่ได้อีกยังไง…..”


 


ด้วยที่ที่มีพลังวิญญาณหนาแน่นขนาดนี้ เขาจะพลาดค่าประสบการณ์มหาศาลได้ยังไง เส้นชีพจรวิญญาณนี้สำหรับระดับผันแปรวิญญาณแล้วไม่ค่อยส่งผลเท่าไหร่ แต่กลับเหมาะกับระดับก่อแกนวิญญาณเป็นอย่างมาก แต่ถึงจะบอกว่าเหมาะกับระดับก่อแกนวิญญาณ ก็ใช่ว่าจะดูดกลืนได้ตามใจ ถ้าเจ้าดูดกลืนมันมากไป มันก็จะเหือดแห้งไปโดยสมบูรณ์


 


ดังนั้น ตำหนักซิงเฉินจึงมีข้อจำกัดสำหรับที่นี่ ไม่ใช่ใครอยากจะมาก็มาได้ จำนวนวันที่เข้ามาได้ จำกัดจำเขี่ยเป็นอย่างมาก ไม่กล้าให้เวลามากไป


 


ในตอนนี้ ถึงเขาจะกำลังดูดกลืนพลังวิญญาณ เขาก็ยังคอยมองอาการของเริ่นจื่อโหรวอยู่ อาการของเริ่นจื่อโหรวค่อยๆ ดีขึ้น ไม่เหมือนกับก่อนหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด


 


ยังไงก็ตาม เวลาก็ใกล้เข้ามาแล้ว อีกไม่นานก็จะครบ 5 วัน เมื่อถึงเวลาเขาก็ต้องออกไป เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่แต่ในนี้


 


แต่ก็ดีเพราะว่าเขาไม่ต้องรอนาน เริ่นจื่อโหรวก็ได้ลุกขึ้นแล้วพูดขึ้นว่า “ท่านพี่ ข้าดีขึ้นมากแล้ว เราจะกลับกันเมื่อไหร่?”


 


“คุณหนูเริ่น ข้าไม่ใช่พี่ชายของเจ้า…..” อี้เทียนหยุนอธิบายอยู่หลายครั้งแล้ว แต่เธอก็ยังจะคิดว่าเขาเป็นพี่ชายของเธออยู่ดี


 


“ท่านพี่ ท่านนี่ชอบล้อเล่นจริงๆ……” เริ่นจื่อโหรวเป็นเหมือนก่อนหน้า ทำเป็นเรื่องชวนหัวเสียอย่างงั้น


 


“ก็ได้ ข้าเป็นพี่ชายเจ้าก็ได้….” อี้เทียนหยุนเบื่อที่จะแย้งแล้ว จึงพยักหน้าอย่างจำยอม “แล้วเจ้าคิดออกหรือยังว่าเจ้ามาจากไหน?”


 


“มาจากไหนเหรอ….. ข้าจำไม่ได้ ท่านพี่ ท่านก็จำไม่ได้อย่างงั้นเหรอ?” เริ่นจื่อโหรวถามขึ้นอย่างสงสัย


 


“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน!”


 


อี้เทียนหยุนสบถขึ้นในใจ เขาจะไปรู้ได้ยังไง? จากนั้นก็ยืนขึ้น แล้วพูดว่า “ข้าจะไปจำได้ที่ไหน แต่ช่างเถอะ เวลาใกล้เข้ามาแล้ว พวกเราต้องออกไปจากที่นี่ก่อน”


 


เริ่นจื่อโหรวพยักหน้า อาการของเธอดีขึ้นแล้ว เธอจึงลุกออกมาจากโลงศพผลึกน้ำอย่างง่ายดาย ภายใต้การนำของอี้เทียนหยุน พวกเขาก็ออกมาจากห้อง พร้อมกับเตรียมตัวออกไปตามทางน้ำที่เข้ามา เริ่นจื่อโหรวก็ถามขึ้นอย่างสงสัย “ท่านพี่ผิดทางแล้ว ทางออกอยู่ทางนี้”


 


เธอชี้ไปยังแอ่งน้ำด้านข้าง พร้อมกับมองไปที่อี้เทียนหยุนด้วยท่าทางสงสัย


 


“ออกทางนี้เหรอ?”


 


อี้เทียนหยุนคิด จากนั้นก็เชื่อคำพูดของเริ่นจื่อโหรว กระโดดลงไปยังแอ่งน้ำพร้อมกัน จากนั้นก็ว่ายไปตามทางน้ำเพื่ออกไปยังข้างนอกอย่างรวดเร็ว เมื่อพวกเขาโผล่ขึ้นมาอีกครั้ง พวกเขาก็พบว่าตอนนี้ได้มาโผล่ยังแอ่งน้ำเล็กๆ ที่ด้านนอกเรียบร้อยแล้ว!


 


แอ่งน้ำเล็กๆ แห่งนี้มีพลังวิญญาณเล็กน้อย ไม่ใช่แอ่งน้ำธรรมดา ด้านนอกมีต้นไผ่เล็กๆ โตอยู่ ไม่แปลกที่จะไม่มีใครเจอทางลับนี้ ที่นี่จึงค่อนข้างลึกลับ


 


“ถ้าเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าข้าสามารถกลับเข้าไปดูดกลืนพลังวิญญาณได้ตามใจหรอกเหรอ?” ในใจอี้เทียนหยุนมีความสุขอย่างมาก ถ้าเป็นอย่างนี้ เขาก็ไม่จำเป็นต้องขอก่อนเข้าไป แต่สามารถอ้อมมาที่นี่ แล้วเข้าผ่านทางนี้ไปตรงๆ เลย!


 


นี่นับเป็นวิธีที่สะดวกสบายอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งยังช่วยประหยัดแรงไปได้มาก แต่ก็ออกจะดูชั่วร้ายอยู่บ้าง……


CLS ตอนที่ 195: คำเชิญ


 


หลังจากอี้เทียนหยุนรู้ว่ามีช่องทางอื่นที่เข้าไปได้ ในใจก็ให้รู้สึกมีความสุขอย่างมาก เอาไว้คราวหน้าค่อยกลับมาดูดกลืนพลังวิญญาณจากที่นี่อีกครั้ง ถ้ายังสามารถดูดกลืนได้อย่างนี้ต่อไป การจะทะลวงเข้าสู่ระดับผันแปรวิญญาณขั้นสูงสุดก็ไม่ใช่ปัญหา เมื่อถึงตอนนั้น ยามเมื่อเขาใช้ไอเท็มที่ช่วยเพิ่มระดับ เขาก็จะสามารถเข้าสู่ระดับผันแปรวิญญาณได้อย่างง่ายดาย


 


เขายังมีไอเท็มเพิ่มระดับที่ยังไม่ได้ใช้อยู่ มันมีผลเฉพาะกับระดับก่อแกนวิญญาณเท่านั้น แน่นอนว่าเขายังจะไม่ใช้มันในตอนนี้ แต่เขาจะใช้มันเมื่อเขาไปถึงระดับก่อแกนวิญญาณขั้นสูงสุดแล้วเท่านั้น ยิ่งระดับสูงเท่าไหร่ ค่าประสบการณ์ที่ต้องใช้ก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการใช้ไอเท็มเพิ่มระดับในตอนนั้น จะเป็นวิธีที่จะแสดงพลังของไอเท็มได้สูงสุด


 


ทั้งรางวัลที่ได้รับยามต่อสู้ข้ามระดับยังถือว่าดีมากอีกด้วย แต่ราคาที่ต้องจ่ายก็ถือว่ามากเช่นเดียวกัน


 


“เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่ก่อน ข้าจะไปหาคนอื่นก่อน จากนั้นค่อยกลับมาหาเจ้าอีกครั้ง เจ้าอย่าเพิ่งไปไหนเสียก่อนล่ะ เข้าใจไหม?” อี้เทียนหยุนพูดออกมา


 


“อืม ทราบแล้วท่านพี่” เริ่นจื่อโหรวพยักหน้า เธอไม่พูดมาก จากนั้นก็เลือกที่จะหาที่นั่ง พร้อมกับขมวดคิ้วมุ่น เหมือนกับกำลังคิดอะไรอยู่


 


เธอพึ่งจะตื่นขึ้นจากการจำศีล ไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปนานเท่าไหร่ การที่ความทรงจำจะสับสนนั้นถือเป็นเรื่องธรรมดา หรือไม่ เธอก็อาจจะถูกโจมตีหรืออะไรสักอย่าง ทำให้ความทรงจำสับสนได้เช่นกัน ยังไงก็ตาม การที่จะทำให้ปรมาจารย์ระดับผันแปรวิญญาณบาดเจ็บได้นั้น เชื่อว่าฝั่งตรงข้ามต้องน่าสะพรึงมากอย่างแน่นอน


 


หลังจากดูว่าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว อี้เทียนหยุนก็ทำการมุดลงไปยังแอ่งน้ำนั้นอีกครั้ง ว่ายกลับไปยังที่เดิมอย่างรวดเร็ว จากนั้น เขาก็ไม่มีรีรอ พร้อมกับว่ายกลับทวนกระแสน้ำกลับไปยังถ้ำแรกที่เขาเข้ามา


 


ทันใดนั้นเขาก็กลับมาถึงที่เดิม พร้อมกับสำลักน้ำออกมาอย่างรุนแรง เพราะข้างนอกเป็นทะเลสาบ ดังนั้น เขาจึงไม่สามารถบินเหมือนก่อนหน้าได้


 


เพิ่งจะเข้ามาถึง ในหูก็พลันได้ยินเสียงร้องออกมาว่า “คุณชายอี้ เจ้าได้ยินไหม? ตอนนี้ได้เวลาแล้ว รีบออกมาจากน้ำได้แล้ว!”


 


ผู้อาวุโสหยุนตะโกนเรียกเขาจากข้างบน เขาก็รีบลุกออกจากน้ำอย่างรวดเร็ว


 


“ในที่สุดเจ้าก็ออกมา หมดเวลาแล้ว เร็วเข้า” เมื่อผู้อาวุโสหยุนเห็นอี้เทียนหยุนว่ายอยู่ในน้ำ เขาก็พลันโล่งใจ


 


“ขอโทษด้วย พอดีเมื่อกี้กำลังอยู่ในภวังค์ฝึกตน” อี้เทียนหยุนหาข้ออ้าง


 


“คุณชายอี้ เจ้าดูดกลืนไปมากจริงๆ ถ้าเจ้ายังดูดกลืนอย่างนี้ต่อไปอีก ที่นี่จะต้องถูกเจ้าดูดจนแห้งอย่างแน่นอน” ผู้อาวุโสหยุนมีสีหน้าช่วยไม่ได้ ทั้งยังรู้สึกตกใจอยู่หลายส่วน


 


อี้เทียนหยุนหันกลับไปมอง แล้วก็พบว่าพลังวิญญาณในที่แห่งนี้เหลืออยู่ไม่มากจริงๆ ยิ่งทะเลสาบตรงทางเข้า แทบจะจับสัมผัสของพลังวิญญาณไม่ได้ ถ้าเขายังดูดกลืนอย่างนี้ต่อไป แน่นอนว่าจะทำให้ทะเลสาบแห่งนี้กลายเป็นเพียงทะเลสาบธรรมดาอย่างแน่นอน


 


“ข้าไม่ได้ดูดกลืนมากเท่าไหร่เลยนะ…..” อี้เทียนหยุนยักไหล่ ในใจรู้สึกว่าที่นี่ก็ไม่ได้เจ๋งอย่างที่คิด มิน่าถึงได้มีการจำกัดเวลา


 


สถานที่แห่งนี้ถูกเผาผลาญไปมากแล้วเมื่อก่อนหน้านี้ ตอนนี้เมื่อถูกเขาดูดกลืนซ้ำเข้าไปอีก ทำให้พลังวิญญาณของที่แห่งนี้แทบจะหมดไป ไม่รู้เมื่อไหร่พลังวิญญาณของที่แห่งนี้จะฟื้นฟูกลับมาอยู่ในจุดเดิม


 


“สระเทียนหลิงยี่แห่งนี้ถูกดูดกลืนพลังวิญญาณมาเป็นเวลานานตั้งแต่อดีตจนถึงตอนนี้ แต่ถึงจะเป็นอย่างนี้ ความเร็วของเจ้าก็ถือว่าเร็วมาก ถึงกับทำให้พลังวิญญาณลดน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด” ผู้อาวุโสหยุนถอนหายใจ


 


ภายใต้การนำของผู้อาวุโสหยุน พวกเขาก็ออกมาจากที่นั่น จากนั้น ประตูหน้าก็ได้ปิดลง


 


“ผู้อาวุโสหยุน ไม่ทราบว่าต้องทำยังไงถึงจะสามารถเข้าไปยังสระเทียนหลิงยี่ได้?” อี้เทียนหยุนถาม


 


“เจ้ายังอยากจะเข้าไปอีกเหรอ?” ผู้อาวุโสหยุนยิ้ม “ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างเจ้านี่แหละ การที่จะเข้าไปในนั้นก็ไม่ได้ยากอะไร เพียงแค่ใช้ศาสตราจิตวิญญาณขั้นกลางก็สามารถแลกเวลาได้ 2 วันแล้ว ส่วนศาสตราจิตวิญญาณขั้นต่ำนั้น แลกเวลาได้เพียงครึ่งวันเท่านั้น”


 


“ราคานี้ถือว่าพอรับได้……”


 


อี้เทียนหยุนไม่สามารถหลอมศาสตราจิตวิญญาณขั้นกลางได้ แต่สำหรับศาสตราจิตวิญญาณขั้นต่ำนั้น ไม่มีปัญหา การที่เขาจะเอาออกมาสักสิบอันเพื่อแลกเวลา ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่


 


“ราคานั้นไม่แพงก็จริง แต่พลังวิญญาณข้างในมีจำกัด อย่างมากก็อยู่ได้ต่อเนื่องแค่ 10 วันเท่านั้น” ผู้อาวุโสหยุนพูดออกมา “ตอนนี้ความเร็วในการฟื้นคืนของมันต่ำมาก เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน การที่จะให้มันฟื้นสภาพกลับเป็นเหมือนเมื่อก่อน จำเป็นต้องใช้เวลาอีกหลายเดือน”


 


“ดูเหมือนว่าสภาพของสระเทียนหลิงยี่จะไม่ดีเท่าไหร่” อี้เทียนหยุนส่ายหัว ต่อให้เขาจะพบทางเข้าอื่น แต่ก็ไม่สามารถดูดกลืนเป็นเวลานานได้อยู่ดี


 


สิ่งที่มีค่าจริงๆ คงจะเป็นห้องลับที่สร้างจากหินวิญญาณหยก เชื่อว่าที่มาของพลังวิญญาณต้องเกี่ยวพันกับสิ่งนั้นอยู่ไม่มากก็น้อย


 


“เอาเถอะ ถ้าไม่มีขีดจำกัดก็คงจะมากเกินไป ถ้าไม่มีหนทางฟื้นฟูที่พิเศษ ก็ทำอะไรไม่ได้หรอก” ผู้อาวุโสหยุนพูดด้วยรอยยิ้ม “เพราะงั้น การที่คุณชายอี้ได้อยู่ในนั้นถึง 5 วัน ถือว่าเป็นรางวัลชิ้นใหญ่แล้ว คนอื่นล้วนแต่พากันอิจฉา”


 


อี้เทียนหยุนพยักหน้า รางวัลอันดับ 1 นี่ ถือว่าดีมากจริงๆ ดีกว่ารางวัลของคนอื่นๆ หลายเท่านัก


 


“ใช่แล้ว เจ้าตำหนักหลี่บอกข้าว่า ถ้าเจ้าออกมาแล้ว ให้มอบสิ่งนี้ให้กับเจ้า” พูดจบ ผู้อาวุโสหยุนก็หยิบตราส่งให้กับอี้เทียนหยุน “นี่คือตราแขกผู้ทรงเกียรติ ท่านหวังว่าเจ้าจะกลายเป็นแขกของตำหนักซิงเฉินได้ ฐานะนี้ เจ้าไม่จำเป็นต้องทำอะไร”


 


อี้เทียนหยุนลังเลนิดหน่อย จากนั้นก็รับเอาไว้ “ก็ได้ ข้าจะเป็นแขก”


 


แม้ว่าทางฝั่งตระกูลจู้จะทำให้เขาไม่รู้สึกประทับใจอะไรด้วย แต่ทางฝั่งสาขาใหญ่นั้นต่างกัน อย่างน้อยทางนี้ก็ดีต่อเขา การที่สามารถเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ ไม่นับว่าเป็นอะไร ถึงยังไง ในอาณาจักรเทียนจิ่งแห่งนี้ ฐานะของตำหนักซิงเฉินก็ถือว่าไม่ธรรมดา


 


“แขกผู้ทรงเกียรติอี้ ยินดีด้วยที่ได้เป็นพวกเดียวกัน” ผู้อาวุโสหยุนพูดแสดงความยินดี “จากนี้ไป เจ้าถือว่าเป็นแขกที่อายุน้อยที่สุดของตำหนักซิงเฉินเรา”


 


“นี่ถือว่าเป็นเกียรติกับข้าจริงๆ” อี้เทียนหยุนยิ้ม นี่ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอะไร มีนักสลักอาคมน้อยคนนักที่จะมีอายุเท่าเขา การที่ได้กลายเป็นแขกที่อายุน้อยที่สุด ถือเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก


 


“เจ้าตำหนักหลี่บอกว่า ถ้าเจ้าเต็มใจที่จะเป็นแขกของที่นี่ จะรังเกียจไหมที่ทางเราจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับขึ้นเย็นนี้?” ผู้อาวุโสหยุนพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“เรื่องนี้คงต้องขอโทษอย่างมาก ข้ายังมีเรื่องอื่นให้จัดการอยู่” อี้เทียนหยุนพูดด้วยความเสียใจอย่างยิ่ง


 


“เอาเถอะ ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ข้าก็จะไม่รบกวนอะไรมาก แต่ถ้าเจ้ามีเวลาว่าง อาจจะเป็นเดือนหน้า” ผู้อาวุโสหยุนยิ้ม “ตอนนั้นจะมีงานเลี้ยงพิเศษขึ้น เหล่าขุมอำนาจชั้น 3 หลายสำนักจะมารวมตัวกัน ได้ยินว่าทางอาณาจักรใต้พิภพก็จะมาเช่นกัน นี่ถือเป็นโอกาสหายากมาก ดังนั้น แขกผู้ทรงเกียรติอี้ พอเป็นไปได้ไหมที่เจ้าจะเข้าร่วมงานนี้”


 


“อาณาจักรใต้พิภพ?” อี้เทียนหยุนหรี่ตา นี่ถือว่าเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่อย่างมาก ทำให้เขาสนใจกับงานเลี้ยงพิเศษนี่ซะแล้ว


 


“ใช่แล้ว อาณาจักรใต้พิภพได้ส่งต้าเฉินมา(ประมาณนายกรัฐมนตรี ผมหาคำแปลเหมาะๆ ไม่ได้) เหมือนว่าจะมีเรื่องสำคัญอะไรจะประกาศ” ผู้อาวุโสหยุนคิด จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ดังนั้น แขกผู้ทรงเกียรติอี้ ถ้าเจ้ามาได้ก็อยากให้มา ถ้าไม่มาอาจจะเสียใจได้”


 


“ก็ได้ ถ้าตอนนั้นข้ามีเวลาว่า ข้าจะมา” อี้เทียนหยุนไม่ได้ยืนยัน ถ้าเป็นพรุ่งนี้เขาคงไม่ว่างอย่างแน่นอน แต่เดือนหน้านั้น อันนี้ต้องรอดูกันอีกที


CLS ตอนที่ 196: บีบบังคับ


 


ในป่าไผ่ หลังจากอี้เทียนหยุนจากไปก่อนที่จะกลับมาอย่างรวดเร็ว และเมื่อกลับมา เขาก็เห็นเริ่นจื่อโหรวกำลังนั่งอยู่ที่นั่น ทำให้เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่เมื่อเขากวาดสายตามองรอบๆ เขาก็พบว่ามีชายที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามสองคนกำลังนอนอยู่ห่างไม่ไกลในสภาพบาดเจ็บสาหัส


 


ทำให้เขากลายเป็นพูดไม่ออกไปในทันที “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?”


 


“ท่านพี่ สองคนนี้บอกว่าจะมาพาตัวข้าไป บอกว่าข้าหลงทาง ดังนั้นจึงอยากจะพาข้าไปที่บ้านของพวกเขา…..” เริ่นจื่อโหรวเมื่อเห็นเขากลับมากำหมัดแล้วพูดขึ้น “พอข้าบอกว่าไม่ไป พวกเขาก็ใช้กำลังพาข้าไป…. ดังนั้นข้าจึงตอบโต้จนพวกเขากลายเป็นแบบนี้ ข้าไม่ผิดนะ….”


 


เธอส่งสายตาน่าสงสารออกมา แต่ก็น่าสงสารจริงๆ นั่นแหละ ไม่ใช่เธอนะ แต่เป็นพวกนั้น ใครจะคิดล่ะว่าจะมีคนบ้าพอที่จะมาหาเรื่องกับปรมาจารย์ระดับผันแปรวิญญาณขั้นที่ 5 จริงๆ


 


“งั้นพวกนี้ก็เป็นอัธพาลงั้นสินะ….” อี้เทียนหยุนแสดงสีหน้าเห็นใจคนทั้งสอง หาเรื่องใครไม่ทำ ดันมาหาเรื่องเริ่นจื่อโหรว นี่เท่ากับแส่หาที่ตายชัดๆ สองคนนี้คงจะเห็นเธอเข้าแล้วเกิดอาการตื่นเต้น ดังนั้นจึงคิดจะบังคับพาเธอกลับบ้าน แต่ใครจะคิดว่าต้องมาเจอกับโศกนาฏกรรมอย่างนี้เข้า


 


“ช่างเถอะ พวกเราไปกัน” อี้เทียนหยุนพยักหน้าให้เธอ จากนั้นก็พาเธอไปยังที่ที่พวกอี้อวี่เหว่ยอยู่


 


เขาบอกกับพวกเธอว่าจะไปรับรางวัลที่ตำหนักซิงเฉิน และจะเข้าฝึกในสระเทียนหลิงยี่ 5 วัน ตอนนี้เมื่อกลับไป กลับมีคนเพิ่มขึ้นมา ไม่รู้ว่าพวกเธอจะคิดยังไง


 


“เจ้าคิดอะไรออกหรือยัง?” อี้เทียนหยุนถามขึ้น


 


“ยังคิดไม่ออกเลย….” เริ่นจื่อโหรวเอียงหัว พร้อมกับขมวดคิ้วสีดำมุ่น พร้อมกับทำท่าคิด แต่ก็คิดอะไรไม่ออก


 


“ไม่ต้องรีบร้อนหรอก ค่อยๆ คิดก็ได้” อี้เทียนหยุนไม่รู้ว่าจะช่วยยังไง จึงทำได้เพียงพาเริ่นจื่อโหรวมาด้วยกันก่อน


 


และเมื่อเขากลับมายังที่พักของตน เขาก็พบว่ามีอะไรไม่ถูกต้อง เพราะว่าเขาสัมผัสไม่ได้ถึงกลิ่นอายของอี้อวี่เหว่ยและอี้อวี่เสวียนเลยสักนิด ทำให้ในใจของเขารู้สึกหนักอึ้ง พร้อมกับรีบวิ่งตรงไปยังที่พักของพวกเธออย่างไว


 


และเมื่อไปถึง เขาก็พบว่าที่พักของพวกเขาอยู่ในสภาพเละเทะ ประตูถูกพังจนมีสภาพเสียหาย พร้อมกับร่องรอยของการต่อสู้อย่างชัดเจน!


 


สีหน้าของเขาพลันดิ่งลงในทันที กลายเป็นบิดเบี้ยวจนน่าเกลียด จากที่กวาดตาดู เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ฝึกตนบุกมา พร้อมกับพาคนไป


 


และเมื่อเขาก้มหัวดู เขาก็พบว่าที่พื้นมีตัวอักษรแถวหนึ่งเขียนทิ้งไว้ว่า “ถ้าอยากจะช่วยคน ให้มาที่เขาอวี่ซานเพียงลำพัง!”


 


นอกนั้นก็ไม่มีอะไรอีกแล้ว ไม่มีข้อมูลมากกว่านี้ แต่ในสมองของเขาพอจะเดาได้หลายส่วน เห็นได้ชัดว่าต้องศัตรูของเขา และแน่นอนว่าไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นหลินหลี่กับเจ้าตระกูลหวังนั่นเอง


 


“เจ้าตระกูลหวัง, หลินหลี่!” อี้เทียนหยุนสีหน้าเย็นชา พูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ถ้าพวกเธอเป็นอะไรไปแม้แต่น้อยล่ะก็ ข้าจะกลบฝังตระกูลหวังของพวกเจ้าทั้งตระกูล!!”


 


เขากำลังโกรธสุดๆ ถึงกับไม่เลือกวิธีการจับพวกอี้อวี่เหว่ยไป ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะต้องเป็นหลินหลี่อย่างแน่นอน นอกจากมันแล้ว จะมีใครกล้วพอที่จะจับพวกอี้อวี่เหว่ยเพื่อบีบบังคับเขากัน!


 


ดูจากร่องรอยการต่อสู้นี้ เห็นได้ชัดว่ายังผ่านไปได้ไม่นาน นี่หมายความว่าเพิ่งจะเกิดขึ้น


 


“ท่านพี่ เป็นอะไร?” เริ่นจื่อโหรวเห็นสีหน้าอี้เทียนหยุนกลายเป็นเย็นชา พร้อมกับมีจิตสังหารเล็ดรอดออกมา


 


“ข้าจะไปฆ่าคน เจ้าจะไปไหม?” อี้เทียนหยุนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง


 


“ไป! ไม่ว่าท่านพี่จะไปที่ไหน ข้าก็จะไปด้วย!” เริ่นจื่อโหรวเผยรอยยิ้มคลุมเครือออกมา


 


“ดี งั้นไปกัน!”


 


จากนั้น เขาก็สวมปีกฟีนิกซ์ พร้อมกับพาเริ่นจื่อโหรวทะยานขึ้นฟ้า บินไปยังเขาอวี่ซานอย่างรวดเร็ว พริบตา ความเร็วของเขาก็เพิ่มขึ้นมาถึงขีดจำกัด เพื่อช่วยเหลือพวกอี้อวี่เหว่ยแล้ว เขาไม่ยอมเสียเวลาไปแม้แต่น้อย


 


ยิ่งกว่านั้น ที่นี่ยังไม่มีใครอยู่ จึงไม่มีใครเห็นเหตุการณ์ที่นี่


 


อี้เทียนหยุนบินมาด้วยความเร็วสูงสุด จากนั้นก็ร่อนลงตรงบริเวณสันเขา เมื่อลงมาถึงพื้น เขาก็เก็บปีกฟีนิกซ์


 


หลังจากมาถึง เขาก็ส่งพลังวิญญาณสำรวจเขาลูกนี้ในทันที ภายใต้ความโกรธ พลังวิญญาณของเขาถูกเปิดออกโดยสมบูรณ์ สำรวจทุกซอกทุกมุมของเขาอวี่ซานลูกนี้ อย่างรวดเร็ว เขาก็พบสถานที่ที่พวกอี้อวี่เหว่ยถูกจับไปอย่างรวดเร็ว พวกเธอถูกขังไว้ในถ้ำ พร้อมกับมีคนสามคนเฝ้าอยู่ และหนึ่งในนั้น แน่นอนว่าอี้เทียนหยุนจำมันได้ นั่นก็คือ หลินหลี่!


 


ต่อให้กลายเป็นเถ้าธุลี อี้เทียนหยุนก็รู้ว่านี่คือหลินหลี่


 


หลังจากรู้สถานที่แล้ว เขาก็วิ่งไปอย่างรวดเร็ว และเมื่อมาถึงหน้าถ้ำ เขาก็พลันได้ยินเสียงกรีดร้องดังมาจากข้างใน


 


“ยังคิดจะหนีอีก? ช่างน่ารำคาญจริงๆ ข้าล่ะอยากฆ่าพวกมันทิ้งไปซะเดี๋ยวนี้เลย!” หวังสุ่ยพูดอย่างไม่พอใจ


 


“รอเจ้าเด็กนั่นมาก่อน เมื่อจัดการมันได้แล้ว สองคนนี้เจ้าอยากจะทำอะไรกับพวกเธอก็ได้ทั้งนั้น!” เสียงของหลินหลี่ดังมาจากข้างใน


 


“คุณชายหลี่ เจ้าเด็กนั่นอ่อนแอจะตาย ไม่ใช่ว่าท่านให้ค่ามันสูงเกินไปหรอกเหรอ ถึงกับใช้พวกเราถึงสองคน?” หวังชิงพูดขึ้นมาอย่างดูถูก คิดว่าแค่จัดการอี้เทียนหยุน คนเดียวก็เหลือเฟือแล้ว


 


“ข้าคิดว่าเจ้าเด็กนั่นจะต้องมีผู้ช่วยอย่างแน่นอน มีความสามารถขนาดนั้น จะขาดคนคุ้มกันได้ยังไง!” เห็นได้ชัดว่าหลินหลี่ค่อนข้างระวังตัว แต่ความโกรธก็เหมือนจะไม่ได้ลดลงเลย


 


“เจ้าเด็กนั่นมีผู้ช่วย? แล้วยังไง มีพวกเราอยู่ที่นี่ ทั้งยังจำคนของมันมาอีก ข้าไม่เชื่อว่ามันจะไม่มา!” หวังสุ่ยแค่นเสียงออกมา


 


“เจ้าจำทำอะไรผู้อาวุโสอี้!” น้ำเสียงเย็นชาของอี้อวี่เหว่ยดังออกมา


 


“แล้วเจ้าคิดว่าพวกข้าจะทำอะไรกับมันล่ะ? ผู้อาวุโสอย่างงั้นเหรอ ยังเด็กขนาดนั้นแต่ก็เป็นถึงผู้อาวุโส แต่แล้วยังไง สุดท้ายมันก็ต้องตายในเงื้อมมือพวกข้าอยู่ดี…..” หวังสุ่ยยิ้มชั่วร้ายออกมา “เจ้าเด็กนั่นช่างโชคดีจริงๆ ถึงกับได้ดอกไม้แฝดของตระกูลจู้ไปครอบครอง”


 


“พวกเราไม่ใช่คนของตระกูลจู้อีกต่อไปแล้ว พวกเราแซ่อี้!” อี้อวี่เหว่ยเอ่ยแก้กับพวกเขา จากนั้นก็พูดอย่างเย็นชาว่า “ผู้อาวุโสอี้ไม่มาหรอก พวกเจ้าจงผิดหวังจนตายซะ! จะฆ่าก็ฆ่า อย่ามัวแต่พูดมาก!” อี้อวี่เหว่ยเด็ดขาดมาก ไม่ยอมอ่อนข้อให้เด็ดขาด


 


“ถ้ามันไม่มา ข้าก็จะยิ่งมีความสุข อยากจะรู้นัก ว่าผู้หญิงที่มันชอบ รสชาติจะเป็นยังไง!” หลินหลี่มีน้ำเสียงเย็นชา ความอดทนของเขาได้มาถึงขีดสุดแล้ว เพราะไม่สามารถสู้กับเขาได้ตรงๆ ดังนั้นจึงได้เล่นสกปรกอย่างนี้


 


อี้อวี่เหว่ยกับพวกพากันหน้าซีดในทันที เมื่อคิดว่าตนจะต้องถูกทำให้มัวหมอง ตายไปก็สามารถลบล้างได้


 


“ใช่แล้ว ข้าอยากจะเห็นจริงๆ ว่าเจ้าจะมีชีวิตที่มีความสุขยังไง!” ร่างของอี้เทียนหยุนปรากฏขึ้นอย่างเงียบงัน


 


ทำให้พวกเขาตกใจจนตัวโยน นี่มันอะไรกัน อยู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นโดยไม่มีสัญญาณบ่งบอก


 


“ผู้อาวุโสอี้!” เมื่ออี้อวี่เหว่ยเห็นอี้เทียนหยุนมา ในใจก็ทั้งดีใจและกังวล พวกมันมีกันถึง 3 คน ทั้งพลังยังแข็งแกร่งมากอีกด้วย


 


อี้เทียนหยุนมองไปยังพวกเธอ เมื่อเห็นว่าบนแขนที่ขาวเนียนของอี้อวี่เหว่ยกับพวกปรากฏรอยเขียวช้ำเล็กๆ ที่เกิดจากการถูกมัน แต่ไม่พบรอยแผลอื่น เขาก็พลันวางใจ แต่คำพูดของหลินหลี่กับพวกนั้นทำให้เขาโกรธจนแทบคลั่ง ไม่เสียทีที่เป็นพี่น้องกัน นกจากรังเดียวกันย่อมมีสีเหมือนกัน!


 


“มาเร็วดีนี่ หวังว่าครั้งนี้เจ้าไม่ได้พาผู้ช่วยมาด้วยหรอกนะ? ถ้าพาผู้ช่วยมาล่ะก็ อย่าหาว่าพวกข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน!” หวังสุ่ยยิ้ม พร้อมกับหยิบมีดสั้นออกมา พร้อมกับเล็งไปยังแก้มของพวกอี้อวี่เหว่ย มีความหมายว่า ถ้าอี้เทียนหยุนเคลื่อนไหวบุ่มบ่ามล่ะก็ มีดนี้จะเฉือนพวกเธออย่างแน่นอน


 


“ดีมาก ถึงกับกล้าบีบบังคับข้า ตายซะ!” ในสายตาของอี้เทียนหยุนเต็มไปด้วยจิตสังหาร


CLS ตอนที่ 197: กำราบในพริบตา


 


“บีบบังคับแล้วเจ้าจะทำไม?” หวังชิงหัวเราะเยาะ “ตอนนี้พวกเธออยู่ในกำมือพวกข้าแล้ว จงยอมให้พวกข้าจับแต่โดยดี ไม่อย่างนั้น สองคนนี้ตาย!”


 


“ผู้อาวุโสอี้ อย่าไปฟังคำพวกมัน ถ้าท่านไม่สู้ พวกเราทั้งหมดจะต้องจบอย่างแน่นอน!” อี้อวี่เสวียนและอี้อวี่เหว่ยร้องออกมา


 


“ใช่แล้ว ถ้าเขาสู้ พวกเจ้าตายแน่!” หวังชิงหันไปมองแล้วพูดกับอี้เทียนหยุนว่า “ผู้อาวุโสอี้อย่างงั้นสินะ ว่ายังไง เจ้าจะยอมจำนนหรือสู้? ได้เป็นถึงผู้อาวุโส ระดับของเจ้าคงไม่ต่ำสินะ? ระดับหลอมรวม? ยังหนุ่มแต่มีพลังถึงระดับนี้แล้ว นับว่าเก่งไม่เบา”


 


ระดับของพวกเขาก็อยู่ในระดับหลอมรวมเช่นกัน มีแต่หวังสุ่ยที่อยู่ในระดับก่อแกนวิญญาณ ดังนั้นหลินหลี่จึงระมัดระวังเป็นพิเศษ


 


“ข้ายอมแล้ว อย่าทำอะไรพวกเธอ!” อี้เทียนหยุนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาเป็นที่สุด ถ้าเขาระเบิดความโกรธออกไป ที่นี่จะต้องกลายเป็นขุมนรกในทันที


 


สายตาของเขาจับจ้องไปยังคนทั้งสาม ระดับของหลินหลี่เป็นเหมือนกับก่อนหน้า อยู่ในระดับหลอมรวมขั้นที่ 2 ส่วนหวังสุ่ยและหวังชิงสองพี่น้องนั้นเป็นผู้จัดการและผู้อาวุโสของตระกูลหวัง ดังนั้นระดับของพวกเขาจึงค่อนข้างน่าตื่นตะลึง


 


“ข้าไม่เชื่อหรอก ขอเตือนเจ้าว่าอย่าทำอะไรวู่วาม ไม่อย่างนั้นอย่ามาโทษข้าที่ใจร้าย!” หวังสุ่ยยังคงเล็งมีดไปที่คอของพวกเธอ พร้อมกับส่งสายตาบอกให้หวังชิงเข้าไปตรวจดู


 


แต่หลินหลี่กลับยกมือขึ้น บอกให้พวกเขาอย่าเคลื่อนไหว พร้อมกับส่งพลังวิญญาณออกไปสำรวจทั้งด้านนอกด้านใน แต่ก็ไม่พบว่ามีอะไรหลบซ่อนอยู่แม้แต่น้อย


 


“ด้านนอกไม่มีคน แต่ไม่รู้ว่าไกลออกไปจะมีหรือเปล่า” หลินหลี่บอกออกไป พลังวิญญาณของเขาไม่อ่อนด้อย นอกเสียจากระดับจะสูงเป็นพิเศษ ไม่อย่างนั้นต้องถูกเขาตรวจเจออย่างง่ายดาย


 


เขาคิดว่าผู้ช่วยที่ใหญ่ที่สุดของอี้เทียนหยุนคือตระกูลจู้ และผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในตระกูลจู้ก็คือเจ้าตระกูลจู้ ส่วนผู้อาวุโสอื่นๆ นั้น ล้วนแต่อยู่ระดับเดียวกับพวกหวังสุ่ย ดังนั้น เขาจึงวางใจ ว่าไม่มีเรื่องอะไรให้กังวล


 


“หึ ดูเหมือนเจ้าจะใจกล้าไม่เบา ถึงกับมาคนเดียวจริงๆ” หวังสุ่ยพยักหน้า จากนั้นก็เดินเข้าไป พร้อมกับพูดเยาะเย้ยว่า “ขอเตือนว่าอย่าได้คิดหนี ถ้าเจ้าหนีไป ชีวิตของพวกเธอ พวกเราไม่รับประกัน…..” เขาพูดขึ้นระหว่างที่เดิน เขาเตรียมตัวที่จะลงมืออยู่ทุกขณะ เขาไม่เชื่อว่าอี้เทียนหยุนจะสามารถหลบหนีไปจากเงื้อมมือของตนได้


 


“ข้าไม่หนีอย่างแน่นอน ตราบเท่าที่พวกเจ้าปล่อยพวกเธอ ไม่ว่าอะไรข้าก็ยอมทั้งนั้น!” อี้เทียนหยุนจ้องไปยังหวังชิงที่กำลังเดินเข้ามาแล้วพูดออกไป


 


“ผู้อาวุโสอี้ อย่าไปเชื่อพวกมัน พวกมันจะฆ่าท่าน รีบหนีไป!” อี้อวี่เหว่ยตะโกนเสียงดัง ไม่สนใจแม้แต่ชีวิตของตน


 


“!”


 


หลินลี่เงื้อมือขึ้น คิดจะตบไปยังใบหน้าของเธอ แต่ก็ได้อี้อวี่เสวียนเอาตัวเข้าขวาง ทำให้มือของหลินหลี่ตบเข้าที่ไหล่ของอี้อวี่เสวียนแทน แต่เพราะว่าฝ่ามือนี้หนักเกินไป ทำให้เธอเจ็บลึกถึงกระดูกจนต้องหลั่งเหงื่อออกมา


 


“อย่าทำร้ายน้องสาวข้า!” อี้อวี่เสวียนสีหน้าเย็นชา โชคดีที่ครั้งนี้ปกป้องน้องสาวเอาไว้ได้


 


“ช่างเป็นพี่น้องที่รักกันนัก ไม่ใช่ว่าพวกเจ้าก็แค่คนด้อยค่าอย่างงั้นเหรอ? ได้ยินมาว่าเพราะไม่ต้องการแต่งงานจึงได้ถูกกำจัด ดูเหมือนว่าตระกูลจู้จะให้หน้า แต่กลับไม่มีค่าอะไร เพราะว่าฝั่งตรงข้ามไม่ชอบ” หลินหลี่เยาะเย้ย จากนั้นก็มองไปที่อี้เทียนหยุนแล้วพูดว่า “ถ้าเจ้ามีความสามารถก็ให้หนีไป แต่ว่าข้าไม่รับประกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอ!”


 


“อย่าได้ลงมือ ข้าบอกแล้วไงว่าข้าจะไม่หนี!” อี้เทียนหยุนน้ำเสียงเย็นชา ในใจเต็มไปด้วยจิตสังหาร


 


ในตอนนี้หวังชิงก็ได้พุ่งเข้าไป พร้อมกับจับตัวอี้เทียนหยุนไว้ ล็อกมือทั้งสองข้างของเขาแน่น ไม่ให้เขาเคลื่อนไหวอะไรได้


 


“คุณชายหลิน ข้าจับมันไว้แล้ว มันหนีไปไหนไม่ได้อีก!” หวังชิงยิ้ม นี่เป็นเรื่องที่ง่ายมาก ไม่มีความยากแม้แต่น้อย


 


“ดีมาก พามันมาหาข้า!” หลินหลี่ยิ้มเยาะ ในสายตาเต็มไปด้วยจิตสังหาร


 


อี้เทียนหยุนที่ถูกพาตัวเข้าไป ในสายตาไม่มีร่องรอยของความสิ้นหวังแม้แต่น้อย แต่ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยจิตสังหารเช่นก่อนหน้า


 


“ข้าก็ถูกจับแล้ว ปล่อยพวกเธอซะ” อี้เทียนหยุนพูดอย่างเฉยชา


 


หลินหลี่กับพวกมองหน้ากัน จากนั้นก็หัวเราะเสียงดังลั่น ในเสียงหัวเราะยังเต็มไปด้วยความดูถูก ราวกับกำลังมองตัวตลกที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร


 


“คุณชายหลิน เจ้าเด็กนี้มันเชื่อจริงๆ?” หวังสุ่ยหัวเราะ พร้อมกับลดมีดสั้นที่เล็งไปยังพวกอี้อวี่เหว่ยลงโดยไม่ได้ตั้งใจ


 


และในพริบตานี้เอง สายตาของอี้เทียนหยุนพลันเป็นประกาย กระจ่างใสขึ้นหลายส่วน


 


“น้องชาย เจ้าจะพูดอย่างนี้ไม่ได้ นี่แสดงว่ามันมีหัวใจที่บริสุทธิ์ ไม่เข้าใจถึงความชั่วร้ายบนโลกใบนี้ ฮ่าๆๆ…..” หวังชิงที่จับอี้เทียนหยุนพูดเหน็บ พร้อมกับหัวเราะออกมาจนแทบน้ำตาไหล


 


คำพูดนี้ พวกเขาได้จัดว่าอี้เทียนหยุนเป็นประเภทที่ไม่เคยเห็นโลกมาก่อนเรียบร้อยแล้ว


 


“กล้าเล่นเล่ห์ต่อหน้าข้า อัจฉริยะนักสลักอาคมแล้วยังไง ตอนนี้เมื่อตกอยู่ในมือของข้าแล้ว ดูสิว่าข้าจะจัดการเจ้ายังไง?” หลินหลี่หัวเราะเยาะ มองไปที่อี้เทียนหยุนแล้วพูดว่า “ในเมื่อได้รับมาก็ต้องชดใช้คืน!”


 


จากนั้น เขาก็ยกฝ่ามือขึ้น เล็งไปยังใบหน้าของอี้เทียนหยุน เขาไม่ได้คิดจะฆ่าอี้เทียนหยุนในทันที แต่คิดจะสร้างความอับอายให้กับเขาก่อน


 


“เปิดใช้งานโหมดคลั่ง!”


 


“ปัง!”


 


พลังของเขาระเบิดขึ้น 8 เท่าในพริบตา ทำให้พลังรบทั้งหมดของเขาพุ่งขึ้นถึง 3 ล้านในทันที ร่างของเขาสั่นอย่างรุนแรง พร้อมกับกระแทกหวังชิงที่จับกุมเขาจนกระเด็นไปติดกำแพง!


 


จากนั้น เขาก็ยกเท้าขึ้นถีบหลินหลี่ที่อยู่ตรงหน้าอย่างโหดเหี้ยม


 


“เปรี้ยง!”


 


หลินหลี่ถูกถีบกระเด็นไปติดกำแพง หลังจากเงยหน้าขึ้น เขาก็กระอักเลือดออกมา พร้อมกับค่อยๆ เลื่อนไถลลงจากกำแพง แทบหมดสติ เท้าที่ถีบนี้รุนแรงมาก แต่ก็ยังถือว่าออมแรงอยู่ เพราะว่าอี้เทียนหยุนไม่คิดจะให้เขาตายสบายนัก


 


“เจ้าเด็กนี่ ตายซะ!” หวังชิงที่ถูกกระแทกกระเด็น ในใจก็ให้สั่นสะท้าน พร้อมกับหยิบกริชออกมา พร้อมกับแทงใส่หลังอี้เทียนหยุนอย่างโหดเหี้ยม


 


ในตอนนี้เอง ก็ได้มีเงาคนโผล่ออกมา พร้อมกับหมุนตัววาดเท้าเตะใส่ร่างหวังชิง หวังชิงรีบยกมือขึ้นรับอย่างไว แต่ด้วยพลังระดับก่อแกนวิญญาณอย่างเขาจะไปต้านรับได้ยังไง?


 


“เปรี้ยง!”


 


ร่างของหวังชิงถูกเตะจนปลิว ลูกเตะนี้แรงมาก แรงจนทำแขนเขาหักได้โดยตรง ร่างของเขาลอยไปพร้อมกับเสียงโหยหวน หวังสุ่ยตอบสนองอย่างรวดเร็ว รีบพุ่งเข้าใส่พวกอี้อวี่เสวียน หวังจะใช้เป็นโล่ป้องกัน


 


แต่เปลวเพลิงที่ร้อนลวกก็ได้ปรากฏขึ้นที่กลางหลังของเขาอย่างร้ายกาจ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ อี้เทียนหยุนได้มาอยู่ที่ข้างหลังของเขา พร้อมกับฝ่ามือที่ตบลงมาอย่างแรง นอกจากพลังที่ใช้ออกโดยไม่รั้งเอาไว้แล้ว ยังมีเปลวเพลิงนิรันดร์ที่ลุกท่วมร่างของเขาอีก


 


เปลวเพลิงที่น่าสะพรึงแผดเผาร่างของเขา ภายใต้เสียงร้องโหยหวน เปลวเพลิงได้กลืนกินร่างของเขาอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างของเขาถูกเผาไหม้จนกลายเป็นสีดำ พร้อมกับมีเปลวเพลิงลุกโชนบนร่างของเขาไม่ยอมหยุด


 


“เจ้า เปลวเพลิงนี้มัน…..” หวังสุ่ยตกใจ เขารู้สึกว่าอวัยวะภายในของเขาถูกเผาไหม้จนหมด เขารีบดับเพลิงนี้ให้ได้เร็วที่สุด แต่ก็พบว่าไม่มีความหมาย เปลวเพลิงนี้ได้กลืนกินร่างของเขาอย่างรวดเร็ว


 


“แหลกไปซะ!”


 


อี้เทียนหยุนยกเท้ากระทืบลงไปอย่างแรง


 


“เปรี้ยง!”


 


ร่างของหวังสุ่ยที่ถูกกระทืบ บนหน้าอกปรากฏหลุมขนาดใหญ่ ด้วยร่างที่ถูกไฟเผาจนไหม้ ตอนนี้เมื่อมาถูกกระทืบซ้ำอีกที ต่อให้ไม่อยากตายก็อยากแล้ว


 


“ติ๊ง ท่านสังหารหวังสุ่ยสำเร็จ ได้รับค่าประสบการณ์ 150,000, ค่าความคลั่ง 2,400, ได้รับท่าเท้าทวนสวรรค์, ได้รับกระบี่เทียนฉาน”


 


เสียงระบบดังขึ้น เป็นเครื่องหมายว่าอีกฝ่ายได้ตายลงโดยสมบูรณ์แล้ว


 


อี้เทียนหยุนแก้มัดให้พวกเธออย่างไว นี่เป็นอุปกรณ์ระดับวิญญาณ แค่เชือกธรรมดาไม่มีทางมัดพวกเธอได้


 


“ผู้อาวุโสอี้ ขอโทษด้วยที่สร้างปัญหาให้กับท่าน…..” อี้อวี่เหว่ยกับพวกพูดขอโทษด้วยความรู้สึกผิด


 


“ข้าจะไปโทษพวกเจ้าได้ยังไง…..” อี้เทียนหยุนส่ายหัว จากนั้นก็เลื่อนสายตาไปยังพวกหลินหลี่ที่ยังไม่ตาย แม้จะยังไม่ตาย แต่ตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้ว


CLS ตอนที่ 198: ดวลตัวต่อตัว


 


และในตอนนี้เอง อี้อวี่เสวียนและอี้อวี่เหว่ยก็ได้เห็นว่าข้างๆ อี้เทียนหยุนมีเริ่นจื่อโหรวปรากฏขึ้น รูปลักษณ์ที่งดงามราวกับนางเซียน ทำให้พวกเธอรู้สึกตกใจ


 


นี่เป็นครั้งแรกที่อี้อวี่เหว่ยเห็นคนที่สวยจนน่าตกใจระดับชิเสวี่ยอวิ๋น ทั้งตอนนี้ยังยืนอยู่ข้างๆ อี้เทียนหยุนอีก นี่ทำให้เธอรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก นี่เพิ่งจะผ่านไปไม่กี่วัน ทำไมหญิงสาวที่งดงามระดับนางเซียนถึงได้มาอยู่ด้วยกันกับผู้อาวุโสอี้ได้?”


 


“เจ้า เจ้าเป็นใครกัน…..” หลินหลี่มองไปที่เริ่นจื่อโหรวอย่างตกใจ เขาไม่ทันเห็นด้วยซ้ำว่าคนๆ นี้เข้ามาได้ยังไง


 


มีสาวงามระดับนี้ข้างกาย นี่ทำให้เขารู้สึกอิจฉาจนแทบคลั่ง


 


“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า…..” อี้เทียนหยุนเดินมาหยุดตรงหน้าหวังชิงที่ถูกซัดจนปลิวมา เขาที่ถูกอี้เทียนหยุนเตะปลิวมา ตอนนี้ดูท่าทางราวกับกำลังจะขาดใจตาย “คิดจะจับตัวประกันเพื่อบีบบังคับคนอื่น คิดจะฆ่าพวกเธอ? ตอนนี้ ข้าว่าเจ้านั่นแหละที่จะตายก่อน”


 


พูดจบ เขาก็ชูมือขึ้น พร้อมกับโยนเปลวเพลิงนิรันดร์ลงบนร่างหวังชิง เมื่อเปลวเพลิงลุกโชนขึ้น เขาก็ร้องโหยหวนออกมาไม่หยุด แต่ด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส ทำให้เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้


 


“ติ๊ง ท่านสังหารหวังชิงสำเร็จ ได้รับค่าประสบการณ์ 250,000, ค่าความคลั่ง 3,400, ได้รับฝ่ามือเมฆาคล้อย, ท่าเท้าทวนสวรรค์”


 


สายตาของหลินหลี่ในตอนนี้เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ชีวิตของพวกนั้นไม่เกี่ยวกับเขา เขายังไม่อยากตาย


 


“ต่อไปตาเจ้าแล้ว….” อี้เทียนหยุนหันหัวไป มองไปยังหลินหลี่ที่นอนอยู่ ฝั่งตรงข้ามรีบกินยาฟื้นฟูอย่างไว ในสายตานอกจากความเกลียดชังแล้ว ยังมากไปด้วยความตื่นตระหนก


 


เขาไม่คิดว่าพลังของอี้เทียนหยุนจะแข็งแกร่งขนาดนี้ ทั้งผู้ช่วยที่เขาพามายังน่าตื่นตะลึง เพียงกระบวนท่าเดียวก็สังหารหวังชิงที่เป็นถึงผู้เชี่ยวชาญระดับก่อแกนวิญญาณไปในพริบตา! นี่หมายความว่าหญิงสาวคนนั้น จะต้องมีระดับที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าหวังชิง! เขาจำได้ว่าตระกูลจู้ไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนี้ นอกเสียจากว่าเจ้าตระกูลจะมาเอง แต่คนอย่างเจ้าตระกูลจะมาเป็นผู้คุ้มกันส่วนตัวของอี้เทียนหยุนได้ยังไง?


 


“ปล่อยข้าไปเถอะ แล้วข้าจะไม่เอาเรื่องอีก! ข้าเป็นคนของวังเสินเหวิน เจ้ารู้ไหมว่ากำลังเผชิญหน้ากับขุมอำนาจไหน! ข้าเป็นศิษย์หลักของวังเสินเหวิน ถ้าฆ่าข้า เท่ากับเจ้าเป็นศัตรูของวังเสินเหวิน!” หลินหลี่มองไปยังเริ่นจื่อโหรวกับพวก ตัวเขาในตอนนี้ไม่มีทางหนีไปได้แน่ ดังนั้นจึงทำได้เพียงร้องขอความเมตตา


 


“วังเสินเหวิน?” อี้เทียนหยุนหัวเราะเยาะ “ข้าฆ่าเจ้าที่นี่ เจ้าคิดว่าวังเสินเหวินจะรู้อย่างงั้นเหรอ?”


 


“เขา พวกเขาจะต้องมาตรวจดูแน่! ขอแค่ปล่อยข้าไป ข้าจะไม่ถือสาเรื่องนี้อีก ทั้งยังจะแนะนำเจ้าให้กับวังเสินเหวินของข้าด้วย ให้เจ้าได้เป็นศิษย์หลักของพวกเรา…..” หลินหลี่พยายามโยนข้อเสนอออกมาไม่หยุด อวดอ้างความแข็งแกร่งของวังเสินเหวินออกมา ในอาณาจักรเทียนจิ่งนี้ สำนักของพวกเขาถือว่าเป็นระดับชั้นยอด


 


“เข้าร่วมวังเสินเหวินอย่างงั้นเหรอ? แล้วยังไงล่ะ ข้าไม่เห็นจะสนใจสักนิด ยิ่งกว่านั้น คำพูดของเจ้าเชื่อได้หรือไง? ข้าว่า ถ้าข้าเข้าไปยังวังเสินเหวินเมื่อไหร่ ข้าคงจะตายลงเมื่อนั้น” อี้เทียนหยุนพูดอย่างไม่แยแส “ก็อย่างที่เจ้าพูด ในเมื่อได้รับมา ก็ย่อมต้องใช้คืน”


 


อี้เทียนหยุนไม่มีทางเมตตาศัตรูของตน อะไรที่เรียกว่าสิ่งล่อลวง อะไรที่เรียกว่าความเมตตา อะไรที่เรียกว่าความปรานี ของเหล่านี้ เขาไม่มีทำมัน เขาไม่ใช่นักบุญ ใครไม่หาเรื่องเขา เขาไม่หาเรื่องคนอื่น


 


หลินหลี่หน้าซีด เขารู้ว่าอี้เทียนหยุนไม่มีทางปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน


 


“ถ้า ถ้าเจ้าเก่งจริงก็รอให้ข้ารักษาตัวเสร็จ จากนั้นค่อยมาสู้กันอย่างยุติธรรม!” ในเวลานี้ หลินหลี่ยังคงดื้อด้านไม่ยอมตาย


 


“คำนี้เจ้ายังกล้าพูด? แล้วผู้ช่วยสองคนของเจ้าเมื่อกี้ล่ะ มันหมายความว่ายังไง?” อี้เทียนหยุนสีหน้าเย็นชา บางคนก็ช่างต่ำช้าจนเกินเยียวยา


 


ชอบหาข้ออ้าง ชอบรุม แต่เมื่อสู้ไม่ได้ก็บอกว่าจะดวลตัวต่อตัว ถ้าแพ้การดวล ก็คงจะพูดว่าร่างกายไม่พร้อม หาข้ออ้างไปเรื่อย แบบนี้มีความหมายอะไร? นี่ก็เป็นแค่การแสดงความเห็นแก่ตัวของตนออกมาเท่านั้น


 


“ข้าถามเจ้า กล้าดวลตัวต่อตัวกับข้าหรือเปล่า ถ้าเป็นลูกผู้ชาย ก็ให้มาสู้กับข้าตัวต่อตัว!” หลินหลี่ลุกขึ้น ด้วยผลของยาฟื้นฟูที่กินลงไปเมื่อก่อนหน้า ทำให้เขาฟื้นฟูกลับมาเล็กน้อย


 


“คิดจะยั่วยุข้า?” อี้เทียนหยุนพูดอย่างไม่แยแส “วางใจเถอะ ข้ายอมรับคำท้าของเจ้า!”


 


“ห้ามเธอลงมือ นี่เป็นการดวลของพวกเรา!” หลินหลี่พูดอย่างเย็นชา


 


“ไม่มีปัญหา จัดการขยะอย่างเจ้า ไม่จำเป็นต้องถึงมือเธอ ตราบเท่าที่เจ้าสังหารข้าได้ เจ้าก็สามารถออกไปจากที่นี่ได้แบบมีชีวิต!” อี้เทียนหยุนสีหน้าเย็นชา คิดถึงคำพูดก่อนหน้าที่หลินหลี่พูดไว้ เขาย่อมต้องการสังหารหลินหลี่ด้วยมือตัวเอง!


 


คำพูดเพิ่งจบ หลินหลี่ก็พุ่งเข้ามา ในมือของเขาไม่รู้ว่ามีกระบี่ปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาแทงเข้าใส่อี้เทียนหยุนอย่างโหดเหี้ยม แสงสีเงินเป็นประกายสว่างวาบขึ้นในถ้ำ ดูแล้วเจิดจ้าบาดตาอย่างมาก


 


ลำแสงกระบี่กระพริบวาบ กระทบเข้าใส่ดวงตาของอี้เทียนหยุน ส่งผลให้เกิดอาการตาบอดชั่วขณะ


 


“กระบี่ประกายแสง!”


 


“ตายซะ!” สีหน้าของเขาทั้งอึมครึมและเย็นชา ใบหน้าที่หล่อเหลาด้วยเหตุผลบางอย่าง กลายเป็นบิดเบี้ยว ดูแล้วน่ากลัวอย่างมาก


 


หลินหลี่ใช้กระบวนท่านี้ออกมาโดยไม่ลังเล กระบี่ในมือของเขาเล็งเข้าใส่ลำคอของอี้เทียนหยุน ซึ่งถือว่าเป็นจุดตายจุดหนึ่ง เขาไม่มีการออมมือแม้แต่น้อย ใช้กระบวนท่าสังหารออกมา คิดหมายเอาชีวิตของอีกฝ่ายอย่างเดียว!


 


ตอนนี้ไม่เห็นร่องรอยของอาการบาดเจ็บของเขา พลังที่ระเบิดออกมาคือทั้งหมดของเขา นี่เกี่ยวเนื่องจากเม็ดยาที่เขากินไปเมื่อครู่ ไม่เพียงแต่ช่วยฟื้นฟูอาการบาดเจ็บอย่างรวดเร็วแล้ว ยังช่วยกระตุ้นความสามารถที่ซ่อนเร้นออกมาด้วย


 


เหตุผลหลักเลยก็คือ ความคุกคามต่อชีวิตของอี้เทียนหยุน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่คิดจะใช้เม็ดยานี้ แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ตัวอย่างที่ดีที่สุดก็คือพวกหวังชิง เพียงลูกเตะเดียวก็สิ้นสภาพ ถ้าไม่ได้เม็ดยานี้ เขาคงไม่มีแรงแม้แต่จะตอบโต้


 


เผชิญหน้ากับการโจมตีนี้ของหลินหลี่ สายตาของอี้เทียนหยุนเป็นประกาย แสร้งทำเป็นตาพร่าเพราะแสงกระบี่นี้ เขาไม่คิดที่จะหลบ อึดใจต่อมา เขาก็เคลื่อนไหวในทันที พลังที่น่าสะพรึงระเบิดออกในพริบตา


 


ขาทั้งสองข้างดูราวกับมีพลังที่ไร้ขีดจำกัด กระทืบลงที่พื้นอย่างแรง ระเบิดพลังออกมา ช่วยให้ประสารทสัมผัสของเขาคมกริบขึ้น พร้อมกับเบี่ยงหลบกระบี่อย่างผ่อนคลาย จากนั้นก็กำหมัด ต่อยเข้าที่ร่างของอีกฝ่ายอย่างแรง


 


“แหลกไปซะ!”


 


อี้เทียนหยุนต่อยใส่ท้องหลินหลี่อย่างแรง “เปรี้ยง” หลินหลี่ถูกต่อยปลิว กระบี่หลุดออกจากมือ ถูกแรงจากกำปั้นซัดปลิวไปไกล


 


ความต่างระหว่างทั้งสองนั้นใหญ่มาก อี้เทียนหยุนนั้นอยู่ในระดับก่อแกนวิญญาณขั้นที่ 8 ส่วนฝั่งตรงข้ามอยู่แค่ระดับหลอมรวมเท่านั้น ทั้งสองคนไม่มีอะไรที่จะเทียบกันได้อยู่แล้ว


 


“เจ้ามีพลังแค่นี้?” อี้เทียนหยุนมองไปยังหลินหลี่ที่นอนกองกับพื้น แล้วพูดขึ้นอย่างเฉยชา


 


“ไอ้ลูกสำส่อน ตายซะ!” หลินหลี่ตะโกนออกมา กระโดดขึ้นจากพื้น เหวี่ยงหมัดเข้าใส่เขา หมัดของเขาราวกับมีพายุหมุนคลุมอยู่ พุ่งมาที่เขา


 


พายุหมุนนี้ ด้อยกว่าหมัดของอี้เทียนหยุนอย่างมาก!


 


“ไสหัวไป!”


 


อี้เทียนหยุนต่อยหมัดลงไปที่หลินหลี่ซ้ำอีกครั้ง “เปรี้ยง” หลินหลี่ถูกชัดปลิวอีกรอบ รอบนี้มีเสียง “แกรก” ดังขึ้น เป็นเสียงแขนที่หักของหลินหลี่นั่นเอง


 


“อ๊ากกก…..” หลินหลี่ร้องโหยหวน เอามือกุมแขนข้างที่หัก ความเจ็บปวดนี้รุนแรงมาก มากจนทำให้เขาต้องหลั่งเหงื่อออกมาไม่หยุด


 


ตั้งแต่เล็กจนโต เขาเคยได้รับความเจ็บปวดแบบนี้ที่ไหน แต่ในตอนนี้ คู่ต่อสู้ที่เขาเผชิญนั้น น่ากลัวมาก……ทั้งที่เด็กกว่าเขา แต่ทำไมถึงได้มีพลังที่น่าสะพรึงขนาดนี้!


CLS ตอนที่ 199: สังหาร!


 


อี้เทียนหยุนมองไปยังหลินหลี่ที่กองอยู่กับพื้นอย่างเย็นชา ความเจ็บปวดทำให้หลินหลี่ถึงกับหลั่งเหงื่อเย็นเยียบออกมาทั่วร่าง ใบหน้าบิดเบี้ยว แต่เขาไม่มีความสงสารแม้แต่น้อย มีเพียงแค่ความโกรธเกรี้ยวเท่านั้น


 


ดีที่วันนี้กลับมาเร็ว ไม่อย่างพวกอี้อวี่เหว่ยคงตกอยู่ในอันตรายแล้ว


 


“จะดวลตัวต่อตัวกับข้าไม่ใช่เหรอ ทำไมไม่ลุกขึ้นมาล่ะ!” อี้เทียนหยุนร้องออกมา ความโกรธที่อัดแน่นในใจไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย


 


หลินหลี่ถูกโจมตีจนอยู่ในสภาพครึ่งเป็นครึ่งตาย จะไปมีปัญญาลุกขึ้นมาได้ยังไง ใบหน้าของเขาซีดขาว บนใบหน้าเต็มไปด้วยความอับอายอย่างถึงที่สุด ทั้งยังมากไปด้วยความแตกตื่น เขาไม่คิดว่าพลังของอี้เทียนหยุนจะน่าสะพรึงขนาดนี้ ถ้าเขารู้ เขาจะไม่โจมตีอี้เทียนหยุนอย่างแน่นอน


 


“พลังของเจ้า ทำไมถึงได้แข็งแกร่งขนาดนี้…..” ลำคอของเขาแห้งผาก น้ำเสียงที่เปล่งออกมาแหบจนฟังไม่ได้


 


อี้เทียนหยุนไม่ตอบเขา เดินเข้าไปสองก้าว พร้อมกับยื่นมือออกไปคว้าแขนอีกข้างของหลินหลี่ แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “มือนี้สินะที่คิดจะตบคนของข้าเมื่อกี้นี้!”


 


จากนั้น เขาก็บิดมันอย่างแรง พร้อมกับกระชากแขนจนขาด หลินหลี่ร้องโหยหวน เมื่อแขนขาด เขาในตอนนี้ก็ไม่ต่างอะไรไปจากขยะ


 


“ฆ่า ฆ่าข้าซะ วังเสินเหวินจะทำให้เจ้าเสียใจ!” หลินหลี่กู่ร้อง เขารู้ว่าต่อให้ร้องขอความเมตตาไปก็ไร้ประโยชน์ ยังไงอี้เทียนหยุนก็ต้องฆ่าเขาอย่างแน่นอน


 


“วางใจเถอะ ถ้าวังเสินเหวินมาหาเรื่องข้า ข้าก็จะบดขยี้มันเช่นเดียวกัน!” อี้เทียนหยุนพูดอย่างเย็นชา


 


“บดขยี้วังเสินเหวินอย่างงั้นเหรอ ฮ่าๆๆ….. ฝีมืออย่างเจ้า หรือว่าจะผู้ช่วยนั่น? ฮ่าๆ เจ้ามันอวดดีเกินไปแล้ว เจ้าคิดว่าวังเสินเหวินของข้าไร้น้ำยาหรือยังไง?” หลินหลี่ร้องออกมา สีหน้าเต็มไปด้วยความยั่วยุ


 


“ไม่ลองแล้วจะรู้ได้ยังไง ต่อให้จะไม่สามารถบดขยี้ได้ ข้าก็จะเล่นกับมันอย่างช้าๆ เวลาของข้ายังมีอีกมาก!” อี้เทียนหยุนชูมือขึ้น พร้อมกันนั้นก็มีเปลวเพลิงผุดขึ้นมา นี่คือเปลวเพลิงนิรันดร์ เป็นเปลวเพลิงที่มีความร้อนสูง มันขับไล่ความเย็นออกไปจากถ้ำแห่งนี้ได้โดยสมบูรณ์


 


“เจ้า เจ้า…..” เมื่อเผชิญหน้ากับความตาย ร่างของหลินหลี่ก็สั่นสะท้าน


 


“สุดท้ายนี้ ข้าจะให้เจ้าตายภายใต้เปลวเพลิงนี้ ถ้าเกิดชาติหน้า อย่าได้หาเรื่องข้าอีก….. ไม่อย่างนั้นจะต้องตายอย่างน่าสมเพชอย่างนี้!” อี้เทียนหยุนโยนไฟในมือออกไป ปลดปล่อยเปลวเพลิงนิรันดร์ซึ่งน่าสะพรึงให้แผดเผาหลินหลี่ที่เบื้องหน้า


 


“ต่อให้ข้าต้องกลายเป็นวิญญาณร้าย ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไป!” หลินหลี่ตะโกนพูดสุดท้ายออกมา


 


“วิญญาณร้ายอย่างงั้นเหรอ ถ้ามีปัญญาก็เข้ามา สิ่งที่ข้าไม่กลัวที่สุดก็คือวิญญาณร้ายนี่แหละ!” อี้เทียนหยุนหัวเราะเยาะ


 


พร้อมกับเสียงโหยหวน หลินหลี่ก็ถูกเผาจนตาย เขาไม่ได้กลายเป็นวิญญาณร้าย แต่ถูกทำลายทิ้งโดยสมบูรณ์


 


“ติ๊ง ท่านสังหารหลินหลี่สำเร็จ ได้รับค่าประสบการณ์ 170,000, ค่าความคลั่ง 2,400, ค่าความชำนาญในการสลักอาคม 500, ได้รับฝ่ามือเมฆาสวรรค์(ระดับปฐพีขั้นต่ำ), ได้รับกระดาษวาดอาคม(ชั้นสูง), เม็ดยาพลังงาน”


 


จริงอย่างที่คิด เมื่อสังหารนักสลักอาคม ก็จะได้รับค่าความชำนาญมา ถ้าเกิดสังหารวังเสินเหวิน มันคงจะเป็นเรื่องง่ายที่จะสะสมค่าความชำนาญในการสลักอาคม แน่นอนว่าเขาหวังว่าวังเสินเหวินจะไม่มาตอแยเขา ไม่อย่างนั้น เขาก็ไม่รังเกียจที่จะทำลายวังเสินเหวินทิ้งไป!


 


จากนั้น อี้เทียนหยุนก็มองไปยังซากศพพวกนั้นด้วยความไม่สบอารมณ์ พร้อมกับหมุนตัวเดินออกไปข้างนอก


 


“ผู้อาวุโสอี้ ขอบคุณมากที่ช่วยพวกเราไว้” เมื่ออี้อวี่เสวียนกับพวกออกมาพร้อมกับอี้เทียนหยุน พวกเธอก็ทำการขอบคุณเขาในทันที


 


“ไม่ คราวนี้เป็นข้าที่ทำให้พวกเจ้าต้องมาพัวพันด้วย แทบจะก่อให้เกิดความผิดพลาดที่ไม่อาจแก้ไขได้!” ความโกรธในใจอี้เทียนหยุนยังไม่สลายไป เขาไม่มีปัญหาหากอีกฝ่ายจะมาหาเรื่องเขาโดยตรง แต่เอาเพื่อนของเขามาเกี่ยวด้วย นี่มันหมายความว่ายังไง?


 


เมื่อต้องเจอกับเหตุการณ์นี้ ในใจของเขาจึงโกรธมาก เมื่อข้ามขีดอดทนของเขามา สิ่งที่พวกมันต้องจ่าย ไม่เรียบง่ายแค่นี้แน่


 


“ไม่เป็นไรหรอก ตราบเท่าที่พวกเราปลอดภัยก็พอแล้ว…..” ในใจของเธอรู้สึกพอใจ แต่ก็ยังเป็นกังวลอยู่


 


อี้อวี่เหว่ยรู้ว่าอี้เทียนหยุนนั้นแข็งแกร่งมาก แต่ก็กลัวว่าเขาจะต้องติดกับ โดยเฉพาะถูกบีบบังดับด้วยตัวประกัน ถ้าเขายอมเชื่อฟังโดยไม่ต่อสู้ นั่นก็เท่ากับตายสถานเดียว


 


“ข้าจะต้องมาแน่ นี่เป็นปัญหาที่ข้าก่อ เพราะงั้นข้าจะต้องมาอย่างแน่นอน” อี้เทียนหยุนพูดอย่างจริงจัง “ตอนนี้พวกเจ้ากลับไปก่อน จะไม่มีใครไปก่อปัญหาให้พวกเจ้า ข้ามีที่ที่ต้องไปจัดการก่อน!”


 


อี้อวี่เหว่ยมองไปที่เขาที่เต็มไปด้วยความเย็นชา ร่างแบบบางของเธอก็อดสั่นขึ้นมาไม่ได้ แต่ก็พยักหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “ได้ ข้าจะกลับไปรอท่านที่โรงเตี๊ยม…..”


 


“อืม คุณหนูเริ่น เจ้าก็กลับไปด้วยกันกับพวกเธอด้วย รอฟังข่าวจากข้าอยู่ที่นั่น” อี้เทียนหยุนสีหน้าเย็นชา ครั้งนี้เขาอยากจะไปคนเดียว


 


“ทราบแล้ว ท่านพี่” เริ่นจื่อโหรวพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง


 


จากนั้น พวกเธอก็จากไปอย่างรวดเร็ว หลังจากพวกเธอจากไป อี้เทียนหยุนก็เรียกมังกรดำออกมา พร้อมกับบินไปยังตระกูลหวังอย่างรวดเร็ว ความเร็วที่ใช้พลังพุ่งมาถึงขีดสุดในทันที!


 


ตระกูลหวังตั้งอยู่ที่ไหนเขาไม่รู้แน่ชัด แต่แค่หยาบๆ ล่ะก็เขาพอรู้ ถ้าไม่ได้ทำลายตระกูลหวังทิ้ง ความโกรธในใจของเขาก็คงไม่อาจทุเลาลง


 


ขณะเดียวกัน สถานการณ์ในตระกูลหวังก็ได้มีการเปลี่ยนแปลง


 


“ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ทางฝั่งหลินหลี่เป็นยังไงบ้าง ไม่รู้ว่าจะสังหารเจ้าเด็กนั่นได้แล้วหรือยัง? ถ้าปล่อยมันไว้ มันจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต” เจ้าตระกูลหวังขมวดคิ้วมุ่น เขาหวังว่าหลินหลี่คงจะไม่ทำพลาด


 


“ครั้งนี้พวกเราส่งผู้อาวุโสหวังชิงไปด้วย ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าเด็กนั่นจะหนีไปจากเงื้อมมือเขาได้” ผู้อาวุโสหวังเส้าหัวที่อยู่ใกล้ๆ พูดกลั้วหัวเราะขึ้นมา


 


“มันแน่นอนอยู่แล้ว ส่งกระทั่งผู้อาวุโสหวังชิงไป นี่เป็นการเชือดไก่ด้วยมีดฆ่าวัวชัดๆ!” เจ้าตระกูลหวังสีหน้าเย็นชา “ตราบเท่าที่ขวางหน้าข้า ขัดขวางความก้าวหน้าของเขา มันผู้นั้นก็ต้องถูกกำจัด ต่อให้เป็นตระกูลจู้ก็ตาม!”


 


ขณะที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่นั้น ทันใดนั้นก็มีเสียงดังจากข้างนอกส่งเข้ามา “เปรี้ยง!” จากนั้นก็มีเสียงร้องโหยหวนดังตามมาไม่หยุด ทำให้พวกเขาต้องรีบลุกขึ้น พร้อมกับพูดขึ้นด้วยความสงสัย “เกิดอะไรขึ้นข้างนอก พวกเราไปดูกัน!”


 


เจ้าตระกูลหวังสัมผัสได้ถึงลางที่ไม่ดี ดังนั้นจึงได้พาผู้อาวุโสของตระกูลหวังวิ่งออกไปที่ด้านนอก และเมื่อออกจากห้องมา เขาก็พบว่าด้านนอกถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิง เปลวเพลิงลุกท่วมตระกูลเขาราวกับฟืนท่อนใหญ่ เสียงโหยหวนดังออกมาจากทุกพื้นที่ไม่หยุด


 


ศิษย์ในตระกูลหลายคนพากันวิ่งหนีจากด้านนอกเข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่ก็มีบางคนที่ตัวติดไฟ พริบตาก็ถูกเผากลายเป็นเถ้าถ่าน ไม่มีปัญญาจะต่อต้านเปลวเพลิงที่น่าสะพรึงนี้


 


“นี่ นี่มันเรื่องอะไรกัน?” พวกเขาพากันเบิกตากว้าง ทำไมตระกูลหวังของตนถึงได้กลายเป็นทะเลเพลิงไปแล้วล่ะ นี่ทำให้พวกเขาตกใจมาก ยิ่งกว่านั้น เปลวเพลิงนี้ดูแล้วไม่น่าใช่เปลวเพลิงธรรมดา แต่เป็นเปลวเพลิงที่มีพลังน่าสะพรึงอย่างถึงที่สุด


 


หลังจากนั้น ก็ได้มียามวิ่งมาจากข้างนอก พร้อมกับรายงานด้วยร่างที่ชุ่มเหงื่อ “ท่านเจ้าตระกูล ข้างนอกมีคนพามังกรดำเข้ามาสังหารคนตระกูลของเรา!”


 


“มังกรดำ!?” พวกเขาพากันตกตะลึงอีกครั้ง นี่มันระดับสัตว์เทวะเลยนะ แน่นอนว่าต้องเป็นสำนักที่มีอิทธิพลอย่างมาก แล้วนี่พวกเขาไปตอแยสำนักที่มีอิทธิพลขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่?


CLS ตอนที่ 200: อัดด้วยหมัดจนตัวแตก


 


ความน่าสะพรึงของมังกรดำทำให้พวกเขารู้สึกตกใจอย่างมาก แม้ว่าตระกูลหวังจะไม่เห็นกฎหมายในสายตา แต่พวกเขาก็ไม่โง่พอที่จะไปตอแยสำนักที่ทรงอิทธิพลได้ เพราะการทำอย่างนั้นก็ไม่ต่างอะไรไปจากการรนหาที่ตาย เรื่องนี้พวกเขาไม่มีทางทำอย่างแน่นอน


 


“รีบออกไปดูสถานการณ์กันดีกว่า!”


 


พวกเขารีบพุ่งออกไป ทันใดนั้นก็พบว่ายามได้ถูกเตะกระเด็กผ่านหน้า จนไปชนเข้ากับกำแพง พร้อมกับกระอักเลือดออกมาไม่หยุด


 


“เจ้าตระกูลหวัง ไม่ทราบว่าเจ้ากำลังจะไปไหน?” ในตอนนี้เอง ก็ได้มีชายหนุ่มสีหน้าเย็นชาปรากฏขึ้น สายตาของเขาเต็มไปด้วยจิตสังหาร ราวกับยมทูตก็ไม่ปาน!


 


ทั้งยังมีมังกรดำที่กำลังพ่นไฟเผาทุกที่ที่ผ่าน มองไกลๆ นึกว่าเป็นทะเลเพลิง ดูแล้วเสียหายมากกว่าครึ่ง นี่คือพื้นที่ของตระกูลหวัง ไม่ใช่ตำหนักซิงเฉินสาขาย่อย


 


พวกเขาไม่ได้อาศัยอยู่ในตำหนักซิงเฉิน แต่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ด้านนอกแทน ดังนั้น การจะทำลายพวกเขาทิ้ง ไม่จำเป็นต้องไปถึงตำหนักซิงเฉินสาขาย่อย


 


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชายหนุ่มคนนี้ก็คืออี้เทียนหยุน เขาพามังกรดำตรงเข้ามาสังหารโดยไม่ลังเล เพียงแค่เปลี่ยนแปลงใบหน้าเท่านั้น ส่วนมังกรดำนั้น เขาไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะมีคนจำได้ เพราะยังไงก็ไม่มีใครจำมันได้อยู่แล้ว


 


เขาในตอนนี้ไม่สนว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนของตำหนักซิงเฉินหรือไม่ ตราบเท่าที่ตอแยเขา มันต้องตาย! เขาไม่คิดจะปล่อยให้มีปัญหาเกิดขึ้นในอนาคต เพราะงั้น สำหรับศัตรูของเขา ต้องถูกกำจัดให้สิ้นซาก!


 


เมื่อเจ้าตระกูลหวังเห็นเขา ในใจก็ให้หนักอึ้ง เพียงไม่นานก็ก่อความเสียหายขึ้นขนาดนี้แล้ว ไม่รู้ว่าตนไปตอแยตัวตนที่น่าสะพรึงขนาดนี้ตอนไหนกัน? ยิ่งกว่านั้น คนๆ นี้ยังดูหนุ่มนัก ซึ่งต่างจากการคาดเดาของพวกเขาไปไกล แล้วที่สำคัญ พวกเขายังไม่เคยเห็นเขามาก่อนด้วย


 


“ข้าคือเจ้าตระกูลหวัง ไม่ทราบว่าตระกูลหวังของเราไปทำอะไรสหายท่านนี้ไว้อย่างงั้นเหรอ?” เจ้าตระกูลหวังมีสีหน้าสงบ ต่อให้เป็นขุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่ แต่การจะลงมือกับตระกูลหวังอย่างรีบร้อนนั้น เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน


 


“ทำแน่นอนอยู่แล้ว!”


 


อี้เทียนหยุนรังเกียจแม้แต่จะตอบคำถามเขา เขาควบคุมมังกรดำที่ขี่อยู่ให้พุ่งออกไป พร้อมกับโจมตีเข้าใส่เจ้าตระกูลหวังที่อยู่ด้านหน้า มันเหวี่ยงกรงเล็บเข้าใส่เจ้าตระกูลหวัง ขณะที่อี้เทียนหยุนก็ได้โยนเปลวเพลิงนิรันดร์ออกไปเช่นกัน


 


“ไม่ว่าเจ้าจะมาจากขุมอำนาจไหน แต่ในเมื่อคิดจะลงมือแล้วล่ะก็ อย่าหาพวกเราไม่เกรงใจ!” เจ้าตระกูลหวังตะโกนออกมา พร้อมกับระเบิดพลังระดับก่อแกนวิญญาณขั้นที่ 6 ทั้งหมดออกมา ดูแล้วน่าเกรงขามอย่างมาก


 


จากนั้น เขาก็เรียกหอกระดับจิตวิญญาณออกมา พร้อมกับแทงเข้าใส่มังกรดำอย่างโหดเหี้ยม


 


มังกรดำไม่แม้แต่จะหลบ มันยังคงกระโจนเข้าใส่อย่างเดิม!


 


“เคร้ง!!”


 


หอกไม่สามารถทำอะไรมังกรดำตัวนี้ได้ กลับกัน เจ้าตระกูลหวังกลับถูกกระแทกกลับจนปลิว ขณะที่ปลิว มังกรดำก็ทำการตะปบกรงเล็บใส่อย่างเหี้ยมโหด พลังของสัตว์เทวะน่าสะพรึงแค่ไหน สามารถเห็นได้จากเหตุการณ์นี้


 


“ปัง!”


 


เจ้าตระกูลหวังทำการตอบโต้อย่างรวดเร็ว แต่ก็สายไป เขาไม่มีอาวุธอะไรให้ต่อต้าน ทำได้เพียงยกแขนขึ้นต้านรับกรงเล็บนี้ แต่แขนเปล่าๆ จะไปต้านรับกรงเล็บมังกรที่แหลมคมได้ยังไง ทำให้เขาได้รับอาการบาดเจ็บหนักจนต้องถอยไปในทันที


 


“อ๊ากกก!”


 


เนื้อที่แขนก้อนใหญ่ถูกเกี่ยวหลุด เจ้าตระกูลหวังร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด พร้อมกับรีบถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว แขนของเขาแทบจะขาดไปทั้งข้าง เลือดไหลออกมาจากบาดแผลไม่หยุด ไม่ว่าจะยังไงก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว


 


ส่วนหวังเส้าหัวที่อยู่ใกล้ๆ ก็ได้ร้องออกมา เขาก็ไม่ได้อยู่ว่างเช่นกัน ทำการระเบิดพลังสูงสุดระดับก่อแกนวิญญาณขั้นที่ 3ของตนออกมา พร้อมกับเข้าไปช่วยต้านรับมังกรดำนี้อย่างรวดเร็ว


 


ทันทีที่ร่างของเขาปรากฏขึ้น ก็ได้ถูกโจมตีกลับไปในทันที “เปรี้ยง” ร่างของหวังเส้าหัวปลิวออกมา แขนทั้งสองข้างที่ยกขึ้นป้องกันสั่นสะท้านเพราะความชา เกือบจะกันเอาไว้ไม่อยู่


 


“ช่างเป็นพลังการที่แข็งแกร่งนัก แค่พลังกายอย่างเดียวแข็งแกร่งได้ขนาดนี้เชียว!?” หวังเส้าหัวตกใจกับพลังนี้ พลังกายของฝั่งตรงข้ามแข็งแกร่งมากจริงๆ


 


เพิ่งจะเริ่ม พวกเขาสองคนก็ถูกทำให้ถอยเสียแล้ว เจ้าตระกูลหวังแทบจะเสียแขนไป ทำให้พลังรบตกลงในทันที ยังไงก็ตาม ต่อให้ไม่บาดเจ็บ เขาก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี


 


“เร็ว รีบไปหากำลังสนับสนุนมาเร็วเข้า!” เจ้าตระกูลหวังหยิบป้ายหยกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่ในขณะที่กำลังจะบีบมันแตกนั้น มังกรดำก็ได้คำรามออกมา พร้อมกับโถมเข้าใส่ มันพุ่งมาจากด้านบน ราวกับประกายแสงสีดำ พุ่งชนเขาอย่างแรง


 


“เปรี้ยง!”


 


การโจมตีของมังกรดำเป็นการโจมตีที่หยาบอย่างมาก แม้เขาจะพยายามป้องกัน แต่ก็ยังถูกชนจนปลิวอยู่ดี จากนั้น มังกรดำก็พ่นไฟจากปาก คลุมร่างของเขาอย่างรวดเร็ว


 


ทันใดนั้น เจ้าตระกูลหวังก็ถูกเปลวเพลิงคลุมร่างไว้ ทำให้เขาเจ็บปวดหนักจนต้องร้องโหยหวนออกมา พร้อมกับดิ้นบนพื้นไม่หยุด หวังจะทำให้ไฟนี้ดับ แต่ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่มีความหมาย


 


นี่คือเพลิงมังกรดำระดับก่อแกนวิญญาณขั้นที่ 5 ขึ้นชื่อเรื่องการทำลายล้างอยู่แล้ว อย่างน้อย ถ้าถูกเพลิงนี้เข้า ต่อให้ยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่ต่างไปจากตายทั้งเป็นอยู่ดี


 


หวังเส้าหัวก็รีบเข้ามาช่วยอย่างรวดเร็ว แต่ก็ถูกอี้เทียนหยุนโจมตีกลับไปอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็เหมือนกับเขาไม่กลัวการโจมตี ร่างของเขาเป็นดั่งกับโล่ ไม่ว่าจะโจมตีไปเท่าไหร่ก็ไม่เกิดผล


 


“ปัง ปัง ปัง!”


 


พริบตานี้เอง หวังเส้าหัวก็เหมือนจะต้านไม่ไหว ด้วยหมัดที่กระทบร่างของเขาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ร่างของหวังเส้าหัวต้องปลิวไป และเมื่อร่างของเขากระทบพื้นก็ได้ก่อให้เกิดหลุมขนาดใหญ่ พร้อมกับอาการบาดเจ็บสาหัส! เพียงพริบตา คนทั้งสองก็ถูกทำให้บาดเจ็บหนัก


 


“ท่านเจ้าตระกูล!” ในตอนนี้เอง ผู้อาวุโสทั้งหลายก็ได้วิ่งออกมา ขณะที่เจ้าตระกูลหวังถูกซัดปลิวนั้น เขาก็ได้ทำการขยี้ป้ายหยกนี้ ทำให้ผู้อาวุโสที่อยู่ใกล้ๆ พากันออกมาอย่างรวดเร็ว และเมื่อมาเห็น พวกเขาก็พากันตกใจในทันที


 


“ฆ่า ฆ่าพวกมัน!” เจ้าตระกูลหวังรักษาสติจากการถูกเพลิงเผา ตัวเขาในตอนนี้ถูกเผาจนดำเมี่ยม บาดเจ็บหนักจนไม่สามารถเคลื่อนไหวได้


 


ผู้อาวุโสพวกนี้ระดับไม่สูงนัก มีพลังแค่ระดับก่อแกนวิญญาณขั้นที่ 2 เท่านั้น ไม่สามารถทำอะไรได้


 


“จะฆ่าข้า นั่นต้องดูว่าพวกเจ้ามีความสามารถพอหรือเปล่า?” อี้เทียนหยุนควบคุมมังกรดำเข้าโจมตีอย่างรวดเร็ว ครั้งนี้ เขาไม่มีการออมมือแม้แต่น้อย กำหมัดต่อยออกไป


 


“เปรี้ยง!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งถูกต่อยปลิว กระแทกกับบ้านที่อยู่ห่างออกไป จากนั้นก็ไม่มีเสียงตอบกลับมาอีก!


 


แค่หมัดเดียวก็จัดการได้แล้ว ยิ่งกว่านั้น ในขณะที่ผู้อาวุโสที่ถูกต่อยปลิวไปนั้น ร่างกายก็ได้ระเบิดออกมา เป็นการสังหารในพริบตา


 


แค่ไม่กี่หมัดก็สังหารพวกเขาจนหมด ช่างไม่ไว้หน้ากันจริงๆ!


 


“ติ๊ง ท่านสังหารผู้อาวุโสตระกูลหวังสำเร็จ ได้รับค่าประสบการณ์ 140,000, ค่าความคลั่ง 3,100, ค่าความชั่ว 30, ความชำนาญในการสลักอาคม 500, ได้รับฝ่ามือหวงเทียน, ได้รับกระดาษสลักอาคม(ชั้นสูง)”


 


“ติ๊ง ท่านสังหารผู้อาวุโสตระกูลหวังสำเร็จ ได้รับค่าประสบการณ์ 150,000, ค่าความคลั่ง 3,200, ค่าความชั่ว 35, ความชำนาญในการสลักอาคม 500…..”


 


เสียงระบบดังขึ้นเมื่อเขาสังหารผู้อาวุโสพวกนี้จนหมด


 


เมื่อคิดจะโหดเหี้ยม ก็ไม่จำเป็นต้องออมมือ เขาไม่ได้มีความสนใจอะไรกับตระกูลหวัง ถึงยังไงภายใต้การประลองสลักอาคมก็ไม่ได้มีการลงไม้ลงมืออะไรกัน ดังนั้น เขาจึงไม่ได้รู้สึกชอบหรือเกลียดอะไรตระกูลนี้


 


แต่ในเมื่อพวกเขาร่วมมือกับหลินหลี่เพื่อจับตัวพวกอี้อวี่เหว่ยไป จุดจบของพวกเขาก็มีเพียงแค่ทางเดียว!


CLS ตอนที่ 201: ทำลายล้างสิ้น


 


หลังจากที่อี้เทียนหยุนทำลายผู้อาวุโสเหล่านี้เสร็จ เขาก็เดินเข้าไปหาเจ้าตระกูลหวังทีละก้าว สายตาที่เย็นชาของเขาไม่มีอารมณ์ความรู้สึกอยู่ในนั้นแม้แต่น้อย


 


“เจ้า เจ้าเป็นใครกันแน่ ตระกูลหวังไปตอแยเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่…..” เจ้าตระกูลหวังลุกขึ้น ในสายตาเต็มไปด้วยความโกรธและความไม่ยินยอม ตระกูลหวังที่เขาก่อตั้งขึ้น ตอนนี้ไม่เหลือแล้ว แล้วจะให้เขายอมรับมันได้ยังไง?


 


แม้จะเป็นสมาชิกของตำหนักซิงเฉิน แต่ก็เป็นแค่เพียงสมาชิกเท่านั้น ถ้าพวกเขาถูกทำลายที่นี่ ทุกอย่างก็จบ ดังนั้น เขาไม่ยอม


 


ด้วยทะเลเพลิงที่ล้อมรอบ ทำให้คนตายยิ่งมายิ่งมาก ไม่ต่างจากโรงเชือด! ตระกูลหวังจบสิ้นลงอย่างสมบูรณ์ในน้ำมือของหนึ่งคนหนึ่งสัตว์เทวะโดยที่ไม่เปลืองแรงแม้แต่น้อย โดยเฉพาะเพลิงมังกรดำ เพียงแค่มันอย่างเดียวก็สะกดที่นี่ได้อย่างเหลือเฟือ


 


อี้เทียนหยุนเดินเข้าไปทีละก้าว พร้อมกับหรี่ตาจ้องมองเขา แล้วพูดว่า “เจ้ามาตอแยข้าตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะเหรอ? ถ้าเป็นเพราะหลินหลี่สองคำนี้ล่ะ พอจะเข้าใจไหม?”


 


“หลินหลี่ไปตอแยเจ้า…..” เจ้าตระกูลหวังตกใจ จากนั้นก็ด่ากราดออกมาอย่างโกรธเกรี้ยว “นี่ นี่เป็นเรื่องของหลินหลี่คนเดียว ไม่เกี่ยวอะไรกับตระกูลหวังเรา เจ้าเอาเรื่องผิดคนหรือเปล่า? เขาเป็นคนของวังเสินเหวิน ไม่ใช่คนตระกูลหวัง! พวกเราเป็นคนของตำหนักซิงเฉิน เจ้ารู้จักตำหนักซิงเฉินไหม!”


 


เขาด่ากราดออกมา ถ้าเป็นเพราะหลินหลี่เป็นคนไปหาเรื่องจริงๆ เขาจะเกลียดหลินหลี่ไปถึงกระดูกดำ หาเรื่องใครไม่ดูตาม้าตาเรือ จนทำให้ตระกูลหวังของเขาถูกทำลายไปด้วย


 


“ไม่ ไม่ใช่แค่หลินหลี่คนเดียว….. ยังมีพี่น้องนั่นด้วย คนหนึ่งชื่อว่าหวังชิง และอีกคนชื่อว่าหวังสุ่ย ที่นี้เข้าใจหรือยัง?” อี้เทียนหยุนพูดอย่างเย็นชา


 


“ผู้อาวุโสหวังชิง…..” นัยน์ตาของเจ้าตระกูลหวังหดลง พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ว่า “เจ้า เจ้าเป็นผู้พิทักษ์ของเจ้าเด็กนั่น?!”


 


“ไม่ใช่” อี้เทียนหยุนพูดพร้อมกับถอดหน้ากากร้อยแปลงออก เผยให้เห็นใบหน้าที่อ่อนเยาว์ของตน


 


“เป็นเจ้า!”


 


เจ้าตระกูลหวังตกใจตาโต พร้อมกับแหงนหน้าแล้วพ่นเลือดออกมาเป็นฟูฝอย ราวกับสะท้านไปกับข้อมูลที่ได้รับฟัง เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ไม่คิดว่าจะเป็นอี้เทียนหยุนที่เขาวางแผนสังหาร! ไม่เพียงแต่จะมีพรสวรรค์ด้านการสลักอาคมที่น่าตื่นตะลึงเท่านั้น แต่ยังมีพลังที่น่าสะพรึงอีกด้วย


 


“ใช่แล้ว ข้าเอง คิดไม่ถึงล่ะสิ?” อี้เทียนหยุนยิ้มเยาะ “ส่งคนไปจับข้า จับคนของข้าเพื่อบีบบังคับ ความกล้าของเจ้านี่ช่างน่าชื่นชมจริงๆ? ตอนนี้ข้าทำลายตระกูลหวังของเจ้า ทำให้เจ้ารู้ ว่าข้าไม่ใช่คนที่ใครจะมาตอแยได้!”


 


“เจ้าทำเกินไปแล้ว ข้า ข้าเป็นเจ้าตำหนักของตำหนักซิงเฉิน ถ้าเจ้าฆ่าข้า ตำหนักซิงเฉินจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”


 


ตำหนักซิงเฉินเป็นฟางเส้นสุดท้ายของเขา หวังว่ามันจะทำให้ฝั่งตรงข้ามหวาดกลัวจนต้องถอยกลับไป แต่ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ ถ้าทำให้อี้เทียนหยุนโกรธ ต่อให้เบื้องหลังจะใหญ่แค่ไหนก็ไม่มีความหมาย ต่อให้จะมาจากขุมอำนาจไหน ถ้ามาหาเรื่องเขา จุดจบเดียวคือตาย!


 


“เจ้าคิดว่าจะมีคนจำข้าได้อย่างงั้นเหรอ?” อี้เทียนหยุนสวมหน้ากากร้อยแปลงกลับ กลายเป็นบุคคลอื่นไปทันที


 


“เจ้า เจ้า…..”


 


หลังจากเจ้าตระกูลหวังได้เห็นก็กลายเป็นพูดไม่ออก ถ้าไม่ได้เห็นกับตาเขาก็คงไม่เชื่อ ทำให้ตอนนี้เขาได้รับการจู่โจมด้านจิตใจอย่างรุนแรงจนกระอักเลือดออกมาพร้อมกับหมดสติไป ทั้งร่างกายที่บาดเจ็บสาหัส มารวมกับข้อมูลที่สะท้านขวัญ ทำให้เขาหมดสติไปราวกับตายไปแล้ว


 


“ฟรึบ!”


 


อี้เทียนหยุนปล่อยเพลิงนิรันดร์ออกไป คลุมร่างของเจ้าตระกูลหวังเอาไว้ พร้อมกับลุกไหม้ หลังจากนั้นเขาก็ตายไปโดยที่ไม่สามารถตายไปได้อีก ลมหายใจของเขาในตอนนี้ไม่เหลือแล้ว ส่วนผู้อาวุโสหวังเส้าหัวที่อยู่ใกล้ๆ ก็ถูกเพลิงนิรันดร์ของเขาเผาไหม้ไปเช่นเดียวกัน


 


“ติ๊ง ท่านสังหารเจ้าตระกูลหวัง ได้รับค่าประสบการณ์ 270,000, ค่าความคลั่ง 3,600, ความชำนาญในการสลักอาคม 1,000, ค่าความชั่ว 100! ได้รับฝ่าคลื่นเมฆา, เพลงหมัดวายุสวรรค์, ได้รับกระดาษสลักอาคม(ชั้นสูง), เม็ดยาค่าประสบการณ์ 100,000×10”


 


“ติ๊ง ท่านสังหารผู้อาวุโสตระกูลหวังสำเร็จ ได้รับค่าประสบการณ์……”


 


การสังหารพวกเขาเป็นไปอย่างง่ายดาย ทำให้ได้รับค่าประสบการณ์มหาศาล ซึ่งนี่อยู่ภายใต้การเพิ่มขึ้นของโหมดคลั่ง 8 เท่า ซึ่งเขาไม่มีทางพลาดโอกาสนี้ ขอแค่เป็นค่าประสบการณ์ เขาก็ไม่ลืมที่เปิดโหมดคลั่งขึ้นมาอย่างแน่นอน


 


“ดูท่าคงต้องไปแล้ว ไม่อย่างนั้นกำลังสนับสนุนอาจจะมาถึง มันจะเป็นปัญหาได้”


 


อี้เทียนหยุนไม่ได้รู้สึกกลัวกำลังสนับสนุน แต่เขาขี้เกียจเกินกว่าที่จะลงมือกับผู้บริสุทธิ์ ดังนั้นเขาจึงเริ่มออกสำรวจ พร้อมกับยกเค้าสมบัติทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าทั้งหมดในทันที


 


ที่เขาขาดในตอนนี้คือทรัพยากร ยิ่งเจอเยอะยิ่งดี เพราะสิ่งเหล่านี้จะช่วยทำให้สำนักแข็งแกร่งขึ้น ไม่อย่างนั้น การจะขึ้นเป็นขุมอำนาจชั้น 3 คงไม่มีทางเป็นไปได้ ภารกิจหลักนี้ไม่ง่ายจริงๆ!


 


อย่างรวดเร็ว เขาก็ยกเค้าทุกอย่างสำเร็จ เมื่อกลับออกมา เขาก็เรียกใช้ปีกฟีนิกซ์ ไม่ใช่มังกรดำ แต่เลือกที่จะบินด้วยตัวเอง อย่างรวดเร็ว เขาก็หายไปท่ามกลางกลางวันแสกๆ เหลือทิ้งไว้ก็แต่ตระกูลหวังที่ลุกท่วมไปด้วยเปลวเพลิง เมื่อตระกูลหวังถูกทำลายสิ้นแล้ว ต่อให้จะสามารถสร้างคืนมาได้ใหม่ แต่ก็ต้องสูญเสียความมั่งคั่งไปจำนวนมาก อยากจะให้ฟื้นคืนเป็นอย่างเก่า ถ้าไม่ใช้เวลาหลายสิบ หรืออาจจะเกินร้อยปี ไม่มีทางกลับมาเป็นอย่างเดิมได้อย่างแน่นอน


 


เมื่อเขาจากไปได้ไม่นาน กำลังสนับสนุนก็ได้มาถึง ผู้เชี่ยวชาญระดับก่อแกนวิญญาณหลายคนรีบพุ่งมา แต่เมื่อเห็นทุกที่เต็มไปด้วยทะเลเพลิง ก็ให้รู้สึกสะท้าน


 


“นี่เกิดอะไรขึ้น เพิ่งจะไม่นาน ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ นี่เจ้าตระกูลหวังกับพวกต้านทานไม่ได้เลยอย่างงั้นเหรอ?”


 


พวกเขาล้วนแต่เป็นระดับผู้อาวุโส เมื่อเห็นทะเลเพลิงที่ลุกท่วม พร้อมกับร่างที่ถูกไหม้จนเป็นตอตะโกของคนตระกูลหวังก็ให้รู้สึกตกใจ


 


“เพลิงนี้ไม่ธรรมดา…. ถึงกับสังหารเจ้าตระกูลหวังได้ หรือว่าคนร้ายจะเป็นอาจารย์กลั่นโอสถ หรือไม่ก็อาจารย์หลอมศาสตรา?” พวกเขาขมวดคิ้ว คิดว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายนัก ไม่รู้ว่าตระกูลหวังไปตอแยขุมอำนาจไหนเข้า


 


“เรื่องนี้ไม่กระจ่างนัก คงทำได้เพียงกลับไปรายงานตามความจริง ตระกูลหวังจบสิ้นแล้ว ไม่รู้ว่าพวกเขาไปตอแยขุมอำนาจไหนเข้า ทั้งที่รู้ว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของตำหนักซิงเฉินเรา แต่ยังกล้าลงมือ เห็นได้ชัดว่าฝั่งตรงข้ามก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน”


 


“หรือว่าจะเป็นอาณาจักร?”


 


“อาณาจักรอย่างงั้นเหรอ? นี่เป็นไปได้ แต่ทำไมตระกูลหวังถึงไปหาเรื่องอาณาจักรล่ะ นี่ไม่เท่ากับหาเรื่องแตกดับใส่ตัวหรือยังไง?”


 


พวกเขาพากันส่ายหัว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำได้เพียงกลับไปเท่านั้น ตระกูลหวังจบสิ้นแล้ว พวกเขาอยู่ต่อก็ไม่มีความหมายอะไร


 


อย่างรวดเร็ว เรื่องที่ตระกูลหวังถูกทำลายก็กลายเป็นข่าวที่แพร่ไปทุกที่ สร้างความตกใจให้กับสำนักมากมาย นี่เท่ากับเป็นการตบหน้าตำหนักซิงเฉินชัดๆ แล้วอย่างนี้จะไม่ให้พวกเขาโกรธได้ยังไง? ดังนั้น พวกเขาจึงได้สร้างประกาศจับอย่างรวดเร็ว จากข้อมูลที่รวบรวมมา ทำให้พวกเขารู้ตัวฆาตกรอย่างคร่าวๆ


 


ประกาศจับ : ฆาตกรมีอายุประมาณ 26-27 ปี ระดับไม่ชัดแจ้ง มีมังกรดำเป็นสัตว์เลี้ยง! ถ้าใครให้ข้อมูลได้ จะได้รับเม็ดยาชั้น 3! ถ้าข่าวที่นำมาสามารถนำไปสู่การจับกุม จะได้รับศาสตราระดับจิตวิญญาณขั้นสูง 1 ชิ้น, เม็ดยาชั้น 5, ทอง 1,002,000! จับเป็นเท่านั้น ห้ามจับตาย


 


ขณะที่ประกาศจับถูกประกาศออกไป อี้เทียนหยุนก็ได้กลับมาแล้ว มีศิษย์ตระกูลหวังได้เห็นรูปลักษณ์ของเขายามเมื่อจากมา แต่รูปลักษณ์ที่พวกเขาเห็นนั้น ไม่ใช่ตัวอี้เทียนหยุน ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์อะไร


CLS ตอนที่ 202: ธิดาเทพ


 


หลังจากอี้เทียนหยุนทำลายตระกูลหวังแล้วเสร็จ เขาก็กลับมายังโรงเตี๊ยมอย่างรวดเร็ว ก่อนหน้านี้ที่เขาไม่อยู่ ทำให้เกิดการลักพาตัวเกิดขึ้น ซึ่งสร้างความขุ่นแค้นให้กับอี้เทียนหยุน แต่ตอนนี้ตระกูลหวังถูกทำลายแล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่มีใครมาสร้างปัญหาให้กับพวกเธออีก


 


“ผู้อาวุโสอี้ ท่านไม่เป็นไรนะ…..”


 


พวกเธอมองสำรวจอี้เทียนหยุนขึ้นๆ ลงๆ ในสายตาเต็มไปด้วยความห่วงใย แม้อี้เทียนหยุนจะไม่บอกว่าเขาไปไหน แต่พวกเธอก็พอจะจินตนาการได้ว่าอี้เทียนหยุนหายไปทำอะไรมา


 


“ข้าจะไปมีอะไรได้ยังไงล่ะ?” อี้เทียนหยุนยิ้ม จากนั้นก็มองไปรอบๆ แต่ก็พบว่าเริ่นจื่อโหรวไม่อยู่ในห้อง จึงถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ “แล้วคุณหนูเริ่นล่ะ?”


 


“คุณหนูคนนั้นอยู่ด้านนอก ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ข้าเห็นเธอยืนพึมพำ ไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไร” อี้อวี่เหว่ยชี้ไปยังด้านนอกแล้วพูดออกมา


 


อี้เทียนหยุนพยักหน้า จากนั้นก็เดินไปยังระเบียงด้านนอก ดวงตาของเริ่นจื่อโหรวมองไปยังสถานที่ห่างไกล ไม่รู้ว่ากำลังมองอะไรอยู่


 


“คุณหนูเริ่นคิดอะไรออกหรือยัง?” อี้เทียนหยุนถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม


 


“ข้านึกบางอย่างออกแล้ว เมื่อกี้ตอนที่สู้ ข้าก็คิดอะไรบางอย่างออก ทั้งยังจำได้ด้วยว่าบ้านของข้าอยู่ที่ไหน……” เริ่นจื่อโหรวคิดถึงสถานที่อันห่างไกล


 


“คิดออกแล้ว?” อี้เทียนหยุนพูดด้วยรอยยิ้ม “งั้นเจ้าก็รู้แล้วสิ ว่าข้าไม่ใช่พี่ชายของเจ้า?”


 


“อืม ข้าคิดออกแล้ว เจ้าไม่ใช่พี่ชายของข้า…..” เริ่นจื่อโหรวส่งยิ้มเจิดจ้าออกมา จากนั้นก็หันมาหาเขา แล้วพูดขึ้นว่า “แต่ข้ารู้สึกว่าเจ้าใจดีมาก เหมือนกับท่านพี่ของข้า….. ที่ท่านพี่ไม่ได้รอให้ข้าตื่นขึ้นมา อาจเป็นเพราะมีเรื่องอะไรให้ต้องทำก็เป็นได้”


 


อี้เทียนหยุนพยักหน้า แล้วคาดเดาขึ้น “อาจจะเป็นอย่างนั้น ในห้องลับนั้นไม่มีร่องรอยของผู้คนมานานมาก เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครเข้าไปในนั้นมานานแล้ว”


 


“อืม ข้าจึงอยากกลับไปดู สัญชาตญาณของข้าร้องเตือนบางสิ่ง บอกว่าข้ามีเรื่องอะไรบางอย่างที่ต้องทำ” เริ่นจื่อโหรวมองไปยังที่ที่ไกลโพ้น “เวลาไม่ช้าแล้ว ข้าคงต้องไปเสียที ขอบคุณเจ้ามากที่ช่วยดูแลข้ามาหลายวันนี้”


 


“เจ้าจะไปแล้ว…..” อี้เทียนหยุนถาม “อยากให้ข้าช่วยไหม?”


 


“ไม่ต้องหรอก บางสิ่งก็เป็นเรื่องที่ต้องจัดการด้วยตัวเอง” เริ่นจื่อโหรวพูดด้วยรอยยิ้มสว่างไสว “ท่านพี่ ข้าไปแล้ว เอาไว้โอกาสหน้าเราค่อยพบกันใหม่”


 


พูดจบเธอก็กระโดดขึ้นไปเลย จากนั้นที่หลังของเธอก็ปรากฏปีกที่มองไม่เห็น พาเธอทะยานขึ้นฟ้า พริบตาก็หายไปลับสายตา นี่คือพลังของระดับผันแปรวิญญาณ สามารถควบแน่นพลังของตนให้กลายเป็นปีกวิญญาณ ซึ่งช่วยให้บินได้


 


เธอคือปรมาจารย์ระดับผันแปรวิญญาณขั้นที่ 5 พลังของเธอนั้น เมื่อเทียบกับบรรพชนของวังชิงเซวียนแล้วแข็งแกร่งกว่า จินตนาการไม่ออกเลยว่าสำนักที่เธออยู่คือขุมอำนาจชั้นไหน


 


“ติ๊ง ท่านได้เปิดภารกิจลับแบบต่อเนื่อง “ช่วยเหลือธิดาเทพ” สำเร็จ เมื่อสำเร็จจะได้รับค่าประสบการณ์ 50 ล้าน, ค่าความคลั่ง 1 ล้าน, ค่าความชอบของเริ่นจื่อโหรวเพิ่มขึ้น 200, ได้รับฉายาผู้พิทักษ์ธิดาเทพ(คำเตือน : ไม่ว่าจะเลือกช่วยเหลือหรือไม่ก็มีผลต่อความเป็นไปของภารกิจ)”


 


อี้เทียนหยุนตกใจ ภารกิจที่อยู่ๆ ก็เด้งขึ้นมาทำให้เขาตกตะลึง เริ่นจื่อโหรวเป็นธิดาเทพอย่างงั้นเหรอ? แต่เมื่อคิดดีๆ แล้ว เพียงแค่ระดับของเธอก็เพียงพอที่จะเป็นธิดาเทพแล้ว ไม่แปลกเลยสักนิด แต่รางวัลที่ได้นี่สิ ช่างมากมายยิ่งนัก เทียบได้กับภารกิจที่มีผลต่อความเป็นไปของโลกได้ด้วยซ้ำ นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาได้รับภารกิจที่มีผลต่อความเป็นไปของเรื่องราว


 


เห็นได้ชัดว่าระดับอาณาจักรเป็นอะไรที่น่าตื่นตะลึงกว่าที่คิด สามารถพูดได้ว่าการก้าวเท้าเข้าไปของเขาทำให้สถานการณ์นั้นเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น มันจึงมีผลเป็นพิเศษ สามารถพูดได้ว่า ไม่ว่าเขาเลือกที่จะช่วยหรือไม่ช่วย มันก็ยังจะมีผลอยู่ดี ถ้าเขาเลือกที่จะช่วย ไม่เพียงแต่จะส่งผลต่อความเป็นไปของเรื่องราวเท่านั้น แต่ยังจะส่งผลต่อตัวเขาเองด้วย


 


ซึ่งนี่ต้องตัดสินใจให้ดี อย่างเรื่องที่ช่วยเย่ชิงเสวียน ซึ่งมีผลต่ออาณาจักรใต้พิภพ เห็นได้ชัดว่าเกิดจากการกระทำของเขา ซึ่งเขาเพียงแค่ช่วยเธอออกมาเท่านั้นก็ส่งผลต่อความเป็นไปของโลกแล้ว แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ตราบเท่าที่เขาไม่เข้าร่วม ตัวเขาก็จะไม่เป็นอันตรายอะไร


 


“ธิดาเทพ…. ไม่แปลกเลยที่จะปฏิเสธข้า ดูเหมือนคงจะคิดว่าข้าช่วยอะไรไม่ได้งั้นสินะ?” อี้เทียนหยุนส่ายหัว พร้อมกับกลับเข้าห้องไป


 


อี้อวี่เหว่ยกับพวกมองมา จากนั้นก็ถามขึ้นอย่างอดไม่อยู่ว่า “แล้วคุณหนูเริ่นล่ะ เธอเป็นยังไงบ้าง?”


 


“เธอกลับไปแล้ว” อี้เทียนหยุนพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ “พวกเขาก็ต้องกลับนิกายเทียนเฉวียนเช่นกัน อย่างแรกก็ต้องพาพวกเธอกลับไปก่อน”


 


พวกเธอพยักหน้า พวกเธอรู้ว่าอี้เทียนหยุนมีเรื่องให้ทำมากมาย ถ้าพวกเธออยู่ด้วย มันมีแต่จะเป็นตัวถ่วงของเขา ดังนั้นสู้ส่งพวกเธอกลับนิกายเทียนเฉวียนยังจะดีซะกว่า


 


จากนั้น อี้เทียนหยุนก็พาพวกเธอเดินออกมา คนรอบๆ ที่เดินผ่านล้วนแต่คุยกันเสียงดังไม่หยุด จากนั้นพวกเขาก็เห็นใบประกาศจับที่ติดอยู่ใกล้ๆ ด้วยสีทองดูโดดเด่น พร้อมกับรางวัลที่มหาศาล


 


“นี่…. ตระกูลหวังถูกทำลายอย่างงั้นเหรอ?”


 


แม้พวกเธอจะเตรียมตัวไว้แล้ว แต่ก็ยังตกใจอยู่ดี และเมื่อพวกเธอเห็นคำว่ามังกรดำสองคำนี้ ในใจก็เต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง เพื่อที่จะช่วยพวกเธอล้างแค้น ถึงกับทำลายตระกูลหวังทั้งตระกูล นี่ทำให้พวกเธอถึงกับไม่รู้จะพูดอะไรดี


 


ในที่สุด อี้อวี่เสวียนก็ประสบกับตนเองแล้วว่า อี้เทียนหยุนนั้นร้ายกาจแค่ไหน บอกว่าจะทำลายตระกูลหวังก็ทำลาย ทั้งยังใช้เวลาไม่นานอีกด้วย


 


“ไปกันเถอะ ไม่มีอะไรน่าดูหรอก”


 


อี้เทียนหยุนเผยรอยยิ้มคลุมเครือออกมา ราวกับว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตน พาพวกเธอเดินออกจากเมืองเทียนซินไป และเมื่อพวกเขาเดินออกนอกเมืองมาไกลแล้ว อี้เทียนหยุนก็ได้จับแขนพวกเธอไว้ การกระทำนี้ทำให้พวกเธอตกใจจนถึงกับสะดุ้งโหยง


 


นี่ผู้อาวุโสอี้เขาคิดจะ?


 


หน้าของพวกเธอพากันขึ้นสี แต่ก็ไม่ได้ต่อต้านอะไร ถึงยังไงอี้เทียนหยุนก็เป็นคนช่วยพวกเธอเอาไว้ ทำให้พวกเธอเป็นอิสระ ต่อให้เขาจะอยากทำอย่างนั้นกับพวกเธอก็ไม่เห็นว่าจะมีปัญหาอะไร?


 


ใครจะรู้ว่าพวกเธอกำลังคิดอะไรอยู่ เพื่อไม่ให้พวกเธอเข้าใจผิด อี้เทียนหยุนได้พูดขึ้นว่า “จับให้แน่นๆ ล่ะ เรากำลังจะบินกันแล้ว”


 


“อะไรนะ?” พวกเธอไม่ทันได้ตั้งตัว ทันใดนั้นอี้เทียนหยุนก็กระทืบเท้า พร้อมกับปีกฟีนิกซ์ที่อยู่ด้านหลังก็สั่นอย่างแรง ทันใดนั้นก็บินลับขอบฟ้าไป


 


เขาไม่เรียกมังกรดำออกมา แต่ใช้ปีกฟีนิกซ์เพื่อบินกลับนิกายเทียนเฉวียนให้เร็วที่สุด มังกรดำในตอนนี้โดนประกาศจับอยู่ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย เขาจึงเลือกที่จะใช้ปีกฟีนิกซ์แทน


 


“ผู้อาวุโสอี้ ท่าน ท่านบินได้….. หรือว่าท่านทะลวงเข้าสู่ระดับผันแปรวิญญาณแล้ว?”


 


พวกเธอตกใจมากจริงๆ คนที่บินได้มีแต่คนที่อยู่ในระดับผันแปรวิญญาณแล้วเท่านั้น นี่หมายความว่าอี้เทียนหยุนทั้งที่ยังเด็กขนาดนี้ แต่ก็มาถึงระดับผันแปรวิญญาณแล้ว ช่างไม่น่าเชื่อจริงๆ!


 


“มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอก” อี้เทียนหยุนพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “จับให้แน่นๆ ล่ะ เราจะรีบกลับนิกายเทียนเฉวียนให้เร็วที่สุด พวกเจ้าอดทนไว้”


 


“อืม….”


 


พวกเธอพากันมองหน้ากัน จากนั้นก็หัวเราะคิกคักออกมาอย่างอดไม่อยู่ ก่อนหน้านี้พวกเธอก็คิดว่าอี้เทียนหยุนจะทำอย่างนั้นกับพวกเธอ ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่อย่างที่พวกเธอคิด เขาก็แค่จะพาพวกเธอบินก็เท่านั้น นี่เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะพวกเธอคิดมากกันไปเอง


 


เมื่อเห็นพวกเธอหัวเราะ อี้เทียนหยุนก็รู้สึกงง มีเรื่องอะไรให้น่าหัวเราะหรือไงกัน?


CLS ตอนที่ 203: ความรู้สึกที่อ่อนโยน


 


ภายใต้การนำของอี้เทียนหยุน พวกเขาก็กลับมาถึงนิกายเทียนเฉวียนอย่างรวดเร็ว ความเร็วของปีกฟีนิกซ์นี้ เมื่อเทียบกับความเร็วของมังกรดำแล้ว ไม่ได้ช้ากว่ามากนัก ยังไงก็ตาม ประสิทธิภาพที่แท้จริงของปีกฟีนิกซ์นี้จะแสดงผลออกมาก็ต่อเมื่ออยู่ระดับผันแปรวิญญาณขึ้นไป


 


ตอนนี้มันช่วยให้บินได้เท่านั้น ยังไม่ได้เพิ่มความเร็วในการบิน แต่เมื่อไหร่ที่ไปถึงระดับผันแปรวิญญาณแล้วล่ะก็ ความเร็วของเขาก็จะเพิ่มขึ้นอีก 3 เท่า! เมื่อถึงตอนนั้น ความเร็วในการบินของเขาจะต้องน่าสะพรึงอย่างแน่นอน


 


“ถึงแล้ว”


 


อี้เทียนหยุนปล่อยพวกเธอลง พร้อมกับเดินเข้าไปในนิกายเทียนเฉวียน ในตอนนี้ นิกายเทียนเฉวียนไม่ได้ลำบากอย่างแต่ก่อนแล้ว เมื่อมองดูเหล่าศิษย์ เทียบกับเมื่อก่อนแล้วมากกว่ามาก


 


“ผู้อาวุโสอี้ ผู้อาวุโสจู้….” เมื่อพวกเธอเห็นอี้เทียนหยุนและอี้อวี่เหว่ยก็พากันร้องออกมา


 


“หลังจากนี้ให้เรียกข้าว่าผู้อาวุโสอวี่ ถ้าเรียกผู้อาวุโสอี้ เดี๋ยวมันจะสับสนเอาได้” อี้อวี่เหว่ยหัวเราะ ตอนนี้เธอใช้แซ่เดียวกับอี้เทียนหยุน ถ้าเกิดมีคนเรียกเขาแล้วเธอเกิดหันไป มันจะทำให้วุ่นวายได้


 


“ทราบแล้ว ผู้อาวุโสอวี่” พวกเธอก็ไม่เรื่องมาก เปลี่ยนคำเรียกตามที่เธอบอก


 


อี้เทียนหยุนส่ายหัว นี่เป็นเรื่องเฉพาะของพวกเธอ เมื่อตระกูลจู้เลือกที่จะละทิ้งพวกเธอ พวกเธอจึงไม่ต้องการแซ่จู้อีก แม้เขาจะรู้ว่าน่าอายไปบ้างที่มาใช้แซ่เดียวกับเขา แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร ถึงเขาจะคิดว่าแซ่จื่อก็ดีเช่นกันก็ตาม


 


แน่นอนว่าเป็นเรื่องของพวกเธอ อี้เทียนหยุนจึงไม่คิดจะไปวุ่นวายมากนัก


 


ขณะที่พวกเขาเดินเข้าไป ชิเสวี่ยอวิ๋นก็ได้เดินออกมาจากข้างใน เมื่อเธอเห็นอี้เทียนหยุนก็ได้ยิ้มออกมา “กลับมาแล้ว?”


 


“กลับมาแล้ว” อี้เทียนหยุนแนะนำพวกเธอด้วยรอยยิ้ม “นี่คือผู้อาวุโสจู้…. ไม่สิ ตอนนี้เธอใช้แซ่เดียวกับข้าแล้ว และนี่คือพี่สาวของเธอ อี้อวี่เสวียน”


 


“คารวะท่านเจ้าตำหนัก” อี้อวี่เสวียนพูดแสดงความเคารพ


 


“ไม่ต้องมากมารยาท ที่นี่คนกันเองทั้งนั้น” ชิเสวี่ยอวิ๋นยิ้มให้กับอี้เทียนหยุน จากนั้นก็พูดกับอี้เทียนหยุนว่า “เจ้าจะไม่บอกเรื่องที่ไปทำให้ข้าฟังหน่อยเหรอ?”


 


จากนั้น อี้เทียนหยุนก็อธิบายเรื่องราวที่เขาทำออกมา รวมกับอี้อวี่เหว่ยที่อยู่ข้างๆ ก็ช่วยอธิบายด้วย นี่ทำให้ชิเสวี่ยอวิ๋นเข้าใจความเป็นมาของเรื่องราว รวมถึงเรื่องการเปลี่ยนแซ่ด้วย เรื่องนี้ที่จริงก็ออกจะวุ่นวายอยู่บ้าง แต่เมื่อคิดถึงเหตุผลแล้วก็พอจะเข้าใจได้


 


“เรื่องราวคร่าวๆ ก็ประมาณนี้ ท่านน้า ข้าว่าจะให้เธอเป็นผู้อาวุโสของนิกายเทียนเฉวียนเช่นกัน แต่ก็กลัวว่าจะเป็นที่ครหาเอาได้ ดังนั้นข้าจึงอยากจะให้เธอรับตำแหน่งผู้จัดการไปก่อน ไว้เธอสร้างคุณความชอบเมื่อไหร่ค่อยเลื่อนให้เธอเป็นผู้อาวุโสอีกที” อี้เทียนหยุนทำเช่นนี้ไม่ใช่เพราะว่าเธอเป็นพี่ของอี้อวี่เหว่ย


 


แต่เขารู้ว่าความแข็งแกร่งของอี้อวี่เสวียนก็ไม่ต่ำต้อย ถ้าไร้ซึ่งอำนาจ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะยื่นไม้ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ


 


“ผู้อาวุโสอี้ เรื่องนี้ไม่จำเป็นก็ได้ ให้ข้าเป็นผู้ช่วยของน้องสาวก็พอแล้ว ข้าไม่ได้หวังจะมีตำแหน่งอะไรที่นี่ แค่นิกายเทียนเฉวียนให้การปกป้องข้าก็มีความสุขมากแล้ว” อี้อวี่เสวียนพูดพวกนี้ออกมาจากใจ เธอไม่ได้หวังฐานะอะไรจากที่แห่งนี้ แค่ให้ที่ปกป้องเธอแค่นี้ก็ดีมากแล้ว อย่างน้อยเมื่อเทียบกับตระกูลจู้ก็ถือว่าดีกว่ามาก


 


“อย่าพูดเหลวไหล ขอแค่เจ้ามีความสามารถมากพอ เจ้าก็จะได้รับตำแหน่งตามความสามารถที่เจ้ามี” ชิเสวี่ยอวิ๋นพูดด้วยรอยยิ้ม “เพราะงั้น ตอนนี้เจ้าก็เริ่มจากการเป็นผู้จัดการไปก่อนก็แล้วกัน”


 


“ขอบคุณท่านเจ้าตำหนัก!” ดวงตาของอี้อวี่เสวียนเป็นประกาย แน่นอนว่าเธอไม่รังเกียจตำแหน่งผู้จัดการนี้ สามารถพูดได้ว่าดีใจอย่างมากเลยล่ะ และในเมื่อเป็นอย่างนี้ เธอก็จะขอทำหน้าที่ให้ดีที่สุดอย่างแน่นอน!


 


หลังจากจัดการเรื่องราว ชิเสวี่ยอวิ๋นก็กรอกตาใส่เขา พร้อมกับแค่นเสียงออกมาว่า “เจ้านี่ช่างมีความสามารถจริงๆ กลับมาแต่ละครั้งเป็นต้องพาผู้หญิงกลับมาด้วย หญิงกว่านั้นยังเป็นคนที่มีความสามารถยอดเยี่ยมทั้งนั้น ดูเหมือนเจ้าจะชอบลักพาตัวผู้คนเสียจริงนะ ทำไมเมื่อก่อนข้าถึงมองไม่เห็นกันนะ?”


 


“นี่…. ท่านน้า ท่านอย่าพูดอย่างกับข้าเป็นคนเลวอย่างนั้นสิ ข้าไปลักพาตัวพวกเธอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” อี้เทียนหยุนพูดอย่างช่วยไม่ได้


 


“ฮึ่ม!” ชิเสวี่ยอวิ๋นยื่นมือออกมาเขกหัวเขา จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “กลับมาก็ดีแล้ว ข้าจะไม่ถามอะไรอีก แค่เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัยก็เพียงพอแล้ว”


 


อี้เทียนหยุนพยักหน้า จากนั้นก็ถามขึ้นด้วยความดีใจผสมกับความประหลาดใจ “ท่านน้า นี่ท่านทะลวงผ่านแล้วอย่างงั้นเหรอ?”


 


เพียงเวลาผ่านไปแค่ไม่นาน ไม่คิดเลยว่าชิเสวี่ยอวิ๋นจะทะลวงเข้าสู่ระดับก่อแกนวิญญาณแล้ว ความเร็วของเธอนี่ช่างสมกับฉายาอัจฉริยะจริงๆ


 


“มันยังไม่มั่นคงนัก ถ้าข้าไม่รีบทะลวงผ่านให้เร็ว มันจะไม่เป็นการเสียชื่อเจ้าตำหนักอย่างงั้นเหรอ?” ชิเสวี่ยอวิ๋นยิ้มอย่างคลุมเครือ


 


“ท่านก็อย่าได้กดดันตัวเองไป ไม่ใช่ว่ายังมีข้าอยู่หรอกเหรอ” อี้เทียนหยุนพูดอย่างเป็นห่วง


 


“ยิ่งมีเจ้าอยู่ข้าก็ยิ่งต้องแข็งแกร่งขึ้น ไม่อย่างนั้นข้าจะดูแลนิกายเทียนเฉวียนได้ยังไง?” ชิเสวี่ยอวิ๋นพูดด้วยรอยยิ้ม “นี่ไม่อาจเอาแต่พึ่งพาเจ้าฝ่ายเดียว นี่ต้องเป็นเรื่องของทั้งนิกายเทียนเฉวียนสิถึงจะถูก จริงไหม? ตั้งแต่วันนั้น สถานการณ์ก็ดีขึ้นมาก ศิษย์หลายคนก็พากันทะลวงผ่าน ขอเวลาอีกไม่นาน พวกเขาก็จะกลายเป็นขุมอำนาจชั้น 2 ระดับหัวแถว!”


 


อี้เทียนหยุนพยักหน้า จากนั้นก็เหมือนกับนึกบางสิ่งออก พร้อมกับหยิบแหวนเก็บของออกมา และพูดว่า “นี่เป็นของที่ข้าปล้นมาจากข้างนอก ข้าให้ท่านเก็บเอาไว้ เรื่องการจัดการอะไรนั่น ข้าไม่ถนัดเรื่องพวกนี้”


 


เขาส่งแหวนเก็บของที่ได้มาจากหลินหลี่ และสมบัติที่ได้มาจากตระกูลหวังส่งให้กับชิเสวี่ยอวิ๋น แม้ว่าบางสิ่งจะสามารถขายเป็นค่าความคลั่งได้ แต่เขาก็เลือกที่จะส่งมอบออกไป เพราะการทำให้นิกายเทียนเฉวียนแข็งแกร่ง คือเรื่องหลักในตอนนี้


 


หลังจากชิเสวี่ยอวิ๋นรับของมา เธอก็ไม่ได้ตรวจดูว่าข้างในมีอะไร แต่กลับจับจ้องไปที่เขาแทน


 


“ทำไมไม่ดูล่ะว่าข้างในมีของอะไรบ้าง?” อี้เทียนหยุนบอกให้เธอดู ในนั้นมีของดีอยู่มากมาย


 


“น่าโง่….” ชิเสวี่ยอวิ๋นดึงเขาเข้ามากอดเบาๆ กอดเขาราวกับเด็ก แต่ร่างกายของอี้เทียนหยุนในตอนนี้ใหญ่กว่าเธอมาก ดูแล้วเหมือนกับเด็กสาวอ่อนแอหรือเด็กที่กำลังอ้อนมากกว่า “เจ้าคงจะเหนื่อยมากสินะ……”


 


“นี่ไม่เท่าไหร่หรอก ขอแค่มันดีต่อนิกายเทียนเฉวียน ดีต่อท่านก็พอแล้ว” อี้เทียนหยุนยกมือขึ้นกอดตอบชิเสวี่ยอวิ๋นเบาๆ ในสายตามีประกายระยิบระยับ ต่อให้ตอนนี้จะมีหญิงสาวมากมายล้อมรอบ แต่สำหนับเขาแล้ว คนที่เขาสนใจมีแต่ชิเสวี่ยอวิ๋นเท่านั้น


 


“ดูเหมือนว่าเจ้าจะโตขึ้นแล้วจริงๆ ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่ต้องให้ข้าคอยปกป้อง” ชิเสวี่ยอวิ๋นออกมาจากอ้อมแขนของเขา พร้อมกับเผยรอยยิ้มคลุมเครือออกมา


 


“ก็ไม่เห็นแปลก ถึงยังไงสักวันข้าก็ต้องโตขึ้น จากนี้ไป ข้าจะเป็นคนปกป้องท่านเอง” อี้เทียนหยุนพูดด้วยรอยยิ้ม


 


พวกเขาคุยกันอีกนิดหน่อย จากนั้นก็แยกไปจัดการเรื่องของใครของมัน พวกเขายังมีเรื่องให้ต้องทำอีกมาก ดังนั้นเวลาที่จะอยู่ด้วยกันจึงมีจำกัด


 


จากนั้นอี้เทียนหยุนก็เดินมาถึงประตูหน้า เตรียมที่จะซ่อมแซมค่ายกลป้องกันชั้น 5 นี้


 


“นายท่าน ท่านคิดจะซ่อมแซมค่ายกลป้องกันชั้น 5 นี้อย่างงั้นเหรอ?” เหล่าเซวียนที่โผล่ออกมาได้ถามขึ้น


 


“มีปัญหาอย่างงั้นเหรอ?” อี้เทียนหยุนพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“นี่…. ถ้าการซ่อมแซมเกิดล้มเหลว มันง่ายที่จะเกิดปัญหา ดังนั้น…..”


 


เหล่าเซวียนยังพูดไม่ทันจบ อี้เทียนหยุนก็เริ่มทำการซ่อมแซมแล้ว หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็ซ่อมแซมเสร็จสมบูรณ์ แล้วเงยหน้าขึ้นมาถามว่า “ถ้าซ่อมแซมล้มเหลว มันง่ายที่จะเกิดปัญหา แล้วยังไงนะ?”


 


“……”


 


เหล่าเซวียนกลายเป็นพูดไม่ออก ความสำเร็จนี้ มันเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการถึง


CLS ตอนที่ 204: วังเทียนจี๋


 


หลังจากอี้เทียนหยุนซ่อมแซมค่ายกลป้องกันชั้น 5 แล้วเสร็จ สถานการณ์ของซากโบราณสถานเทียนเฉินก็ได้รับการปรับปรุงขึ้นขนานใหญ่ โดยเฉพาะด้านการป้องกันของประตูหน้าที่ได้รับความแข็งแกร่งสมบูรณ์แบบกลับมาแล้ว


 


“เยี่ยมมาก ไม่คิดเลยว่าหลังจากซ่อมแซมแล้วจะดีอย่างนี้ นอกเสียจากปรมาจารย์ระดับผันแปรวิญญาณมาเอง ไม่อย่างนั้นไม่มีทางทำลายมันได้แน่…..”


 


อี้เทียนหยุนตกใจกับผลลัพธ์ที่ได้ แม้ว่าจะมีแต่ระดับผันแปรวิญญาณขึ้นไปถึงจะทำลายได้ แต่ระดับผันแปรวิญญาณก็ยังจำเป็นต้องใช้เวลาหลายปีถึงจะทำลายค่ายกลป้องกันนี้ได้


 


ไม่เสียทีที่เป็นถึงค่ายกลใหญ่ที่ราชาวิญญาณเซวียนเทียนเชื้อเชิญคนมาสร้างขึ้น ถ้าสามารถทำให้มันกลับไปเป็นเหมือนตอนแรกที่เป็นได้ ปรมาจารย์ระดับผันแปรวิญญาณทั่วไป อย่าหวังว่าจะทำลายมันได้เลย!


 


“ในที่สุดก็ซ่อมแซมค่ายกลป้องกันนี้ได้สักที จากนี้ไป ต่อให้ข้าจะไม่ได้อยู่ที่นี่เป็นเวลานาน ที่นี่ก็ยังจะสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ” อี้เทียนหยุนพยักหน้า เขารู้สึกโล่งใจขึ้นมาก


 


เหล่าเซวียนที่อยู่ใกล้ๆ กำลังมองดูด้วยความตกตะลึง ค่ายกลป้องกันทั้งหมดของซากโบราณสถานเทียนเฉินได้รับการซ่อมแซมแล้ว จะเหลือก็แต่ค่ายกลสำหรับบินที่ยากสักหน่อย ที่จำเป็นต้องใช้ระดับปรมาจารย์ในการซ่อมแซม ตอนนี้ซากโบราณสถานเทียนเฉินไม่ได้เป็นซากโบราณสถานอีกต่อไปแล้ว แต่ได้กลายเป็นวิหารเทียนเฉินแทน!


 


“นายท่าน ท่านสามารถซ่อมแซมค่ายกลนี้ได้จริงๆ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่มีทางทำได้เลยแท้ๆ” แม้ว่าเหล่าเซวียนจะเห็นกับตา แต่เขาก็ยังคงมีท่าทางไม่เชื่ออยู่เล็กน้อย อี้เทียนหยุนยังหนุ่มขนาดนี้ แต่ก็ยังสามารถซ่อมแซมค่ายกลป้องกันนี้ได้อย่างสมบูรณ์ ช่างเป็นอะไรที่ไม่น่าเชื่อจริงๆ


 


นายท่านคนก่อนไม่มีความสามารถนี้ การสลักอาคมถ้าไม่มีพรสวรรค์ที่ดีก็ไม่สามารถทำได้ จึงต้องไปขอให้คนมาช่วย


 


“นี่จำเป็นต้องใช้เวลาฝึกฝนอยู่สักหน่อย แต่สุดท้ายก็ทำสำเร็จจนได้” อี้เทียนหยุนยิ้มออกมา


 


“อืม…..”


 


เหล่าเซวียนในตอนนี้ตอบได้เพียงเท่านี้ คิดว่าช่างเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อจริงๆ


 


หลังจากซ่อมแซมค่ายกลแล้วเสร็จ อี้เทียนหยุนก็ใช้เวลาอยู่ในนิกายเทียนเฉวียน 2-3 วัน เมื่อเขาพบว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี การฝึกฝนของเหล่าศิษย์เป็นไปอย่างรวดเร็ว จำนวนศิษย์ที่มาถึงระดับปรับแต่งวิญญาณเพิ่มขึ้นมาก กระทั่งระดับหลอมรวมยังมากกว่าก่อนหน้านี้มาก


 


ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ พวกเขาจะพัฒนาจนกลายเป็นขุมอำนาจชั้น 2 ขนาดใหญ่ได้ในที่สุด


 


ส่วนขุมอำนาจชั้น 3 นั้นยังห่างไกลนัก จำเป็นต้องมีผู้เชี่ยวชาญระดับก่อแกนวิญญาณจำนวนมาก แต่ตอนนี้มีแค่สองคนเท่านั้น นั่นก็คืออี้เทียนหยุนกับชิเสวี่ยอวิ๋น


 


“ดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ภายใต้การจัดการของพวกเธอ ที่นี่คงไม่มีปัญหา” อี้เทียนหยุนไม่ได้เชี่ยวชาญด้านการจัดการงานต่างๆ ดังนั้นจึงทำได้เพียงมองดูอยู่ด้านข้างเท่านั้น


 


ขณะที่เขากำลังเดินเตร่ไปเรื่อยในนิกายเทียนเฉวียน ทันใดนั้นเขาก็เห็นในห้องฝึกตน จิ่วหลิงจวินกำลังนั่งอยู่ด้านบน พร้อมกับกำลังใช้พู่กันสลักอาคมสอนผู้คนด้านหน้า “การสร้างค่ายกลจำเป็นต้องใช้ความอดทน รวมถึงสมาธิที่มั่นคง…..”


 


เธอกำลังสอนคนใหม่ทีละคน ทีละคน สอนว่าจะข้ามธรณีประตูนี้ยังไง จิ่วหลิงจวินในตอนนี้รับหน้าที่ที่สำคัญมาก เธอในตอนนี้เป็นถึงนักสลักอาคมชั้น 2 พรสวรรค์ของเธอนับว่าเป็นที่น่าตกใจมาก


 


นี่เป็นการจัดการของอี้อวี่เหว่ย เพื่อเพิ่มความสามารถพิเศษให้แก่ศิษย์แต่ละคน พวกเธอถูกแบ่งไปตามแต่พรสวรรค์ของแต่ละคน บางคนถูกส่งไปฝึกหลอมศาสตรา บางคนถูกส่งไปฝึกกลั่นโอสถ ขณะที่บางคนถูกส่งไปฝึกสร้างค่ายกล


 


อี้เทียนหยุนพยักหน้า และไม่ไปกวนพวกเธอ ห้องอื่นๆ ก็เช่นกัน แต่ละห้องต่างก็กำลังฝึกศิษย์ในด้านต่างๆ ก้าวเข้าสู่การพัฒนาอย่างเต็มขั้น


 


“คงถึงเวลาต้องไปแล้ว…..”


 


ตอนนี้เขาต้องไปยังวังเทียนจี๋ ก่อนหน้านี้ก็ว่าจะไป แต่ก็ถูกลากถ่วงออกไป โดยเฉพาะงานเลี้ยงที่ทางตำหนักซิงเฉินจัดขึ้น เขาต้องไปให้ได้ และตอนนี้เวลาก็ได้กระชั้นเข้ามาแล้ว


 


หลังจากบอกลาชิเสวี่ยอวิ๋น เขาก็สวมใส่ปีกฟีนิกซ์ พร้อมกับออกจากที่นี่ บินไปยังวังเทียนจี๋อย่างรวดเร็ว


 


เขตที่วังเทียนจี๋ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก หลังจากแวะถามทางเล็กน้อย เขาก็ไปถึงอย่างรวดเร็ว


 


หลังจากเดินทางมาสองวัน ในที่สุดเขาก็มาถึงวังเทียนจี๋


 


“ในที่สุดก็มาถึงวังเทียนจี๋….” เมื่อมองเห็นสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ตรงหน้า อี้เทียนหยุนก็อดไม่ได้พยักหน้าออกมา


 


เบื้องหลังของวังเทียนจี๋ไม่ธรรมดา เพียงแค่ประตูหน้าก็ให้ความรู้สึกโอ่อ่าแล้ว จะดีจะเลวยังไงก็เป็นถึงขุมอำนาจชั้น 3 แต่ทำไมถึงได้ตกต่ำลงล่ะ ได้ยินมาว่าทรัพยากรข้างในว่างเปล่า ศิษย์ก็ไม่สามารถเลื่อนระดับได้ ทำให้จำนวนประชากรลดลงในทันที


 


เป็นอย่างนี้ ข้ากลัวว่าอาจจะเป็นเพราะของล้ำค่า นอกจากจะทำให้ตกต่ำลงแล้ว ในนั้นอาจจะมีเรื่องราวที่ไม่ธรรมดาก็ได้


 


“ผู้มาเป็นใคร!”


 


ขณะที่เขาจะเข้าไป ศิษย์ด้านนอกก็ได้มาขวางเขาไว้ ไม่ปล่อยให้เขาเข้าไป


 


“ข้ามาหาคุณหนูเหอเชียนหาน” อี้เทียนหยุนพูด


 


“มีตราแนะนำหรือไม่?” ศิษย์คนหนึ่งถามขึ้น


 


“มี” อี้เทียนหยุนหยิบตราออกมา หลังจากฝั่งตรงข้ามดูแล้วก็พยักหน้าออกมา


 


“อืม เข้าไปได้ ไปที่ตำหนักเทียนเหวิน ตรงไปตามเส้นทางนี้ หลังจากเจอทางแยกให้เลี้ยวซ้าย หลังจากนั้นเจ้าก็จะเห็นเอง” ศิษย์บอกเส้นทางแก่เขา


 


ขณะที่เขาเดินจากมา ศิษย์ด้านนอกก็ส่ายหัว “หรือผู้จัดการเหอจะรับศิษย์ใหม่เข้ามา? ตอนนี้ไม่รู้ว่ายังมีของอะไรเหลืออยู่บ้าง ถ้าเป็นก่อนหน้านี้ก็คงดี ช่างโชคร้ายจริงๆ…..”


 


“ช่างเถอะ ผู้จัดการเหอทำทุกอย่างเพื่อวังเทียนจี๋ กลัวแต่ว่าจะรับขยะเข้ามาน่ะสิ…..”


 


อี้เทียนหยุนหูขยับ นี่คงไม่ใช่ว่าเหอเชียนหานรับศิษย์อยู่บ่อยๆ หรอกนะ?


 


หลังจากเดินมา เขาก็เข้ามายังตำหนักใน เพิ่งจะเข้ามาถึง เขาก็พบกับศิษย์หลายคนที่กำลังเดินไปมา แต่ละคนที่เดินผ่าน ระดับไม่ต่ำกว่าระดับปรับแต่งวิญญาณขั้นที่ 5 ที่ 6 ระดับโดยรวมถือว่าสูง อยู่ในระดับดี


 


เมื่อศิษย์พวกนี้เห็นอี้เทียนหยุน พวกเขาก็พากันมองมาที่เขาเล็กน้อย จากนั้นก็ไม่สนใจเขาอีก อี้เทียนหยุนก็ไม่สนใจพวกเขาเช่นกัน ที่ห่างออกไป ในที่สุดเขาก็เห็นตำหนักเทียนเหวิน มีศิษย์หลายคนกำลังเดินเข้าออกที่นั่น


 


หลังจากเข้ามา เขาก็เห็นว่าในตำหนักเทียนเหวินแห่งนี้มีศิษย์อยู่มากมายที่เข้ามารับภารกิจ ที่จริงแล้ว ตำหนักแห่งนี้เป็นที่รับภารกิจ ทุกคนที่มาที่นี่มาเพื่อแต้มภารกิจ ยิ่งระดับภารกิจสูง ก็ยิ่งได้แต้มสูง และแต้มก็มีไว้เพื่อแลกของรางวัล และของรางวัลนั้น แน่นอนว่าต้องใช้แต้มสูงมาก วังเทียนจี๋จะไม่ปล่อยให้เหล่าศิษย์ทำตัวขี้เกียจและคอยรับแต่อาหารที่เอามาป้อน


 


ทุกเดือนแต่ละคนจำเป็นต้องทำภารกิจ ถ้าทำไม่ครบตามเป้า ศิษย์คนนั้นจะต้องถูกลงโทษ ด้วยวงจรนี้ ทำให้สำนักพัฒนาต่อไปได้


However he comes is not chooses Quest, but is finds the person. He has swept the eye toward front, then sees the registration place, took this Token to walk. When just arrived at that side, immediately was shocked, because must pay the Token female is not others, that female Yang Xixue that before rescued, has the female of strength of spirit extremely.


ยังไงก็ตาม เขามาที่นี่ไม่ใช่เพื่อเลือกภารกิจ แต่เขามาเพื่อหาคน เขากวาดสายตามองตรงหน้า จากนั้นก็เห็นสถานที่ประชาสัมพันธ์ เขาจึงถือตราเดินเข้าไป และเมื่อไปถึงเขาก็ต้องตกใจ เพราะประชาสัมพันธ์หญิงคนนี้ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นหยางซีเสวี่ยที่เขาเคยช่วยไว้เมื่อก่อนหน้านั่นเอง


 


ยังไงก็ตาม เขาก็ตัดสินใจอย่างรวดเร็ว พร้อมกับยื่นตรานี้ให้กับหยางซีเสวี่ย


 


“ตรานี้ผู้จัดการเหอมอบให้ข้า บอกว่าให้ข้ามาหาเธอ” อี้เทียนหยุนส่งตรานี้ออกไป


 


“ผู้จัดการเหอแนะนำมาอย่างงั้นเหรอ?” หยางซีเสวี่ยมองมาที่เขา จากตอนแรกที่มองอย่างไม่ใส่ใจนัก แต่เมื่อมองดีๆ แล้ว ก็พูดขึ้นมาอย่างตกใจว่า “เด็กขนาดนี้เชียว?”


 


“มีเรื่องอะไรอย่างงั้นเหรอ?” อี้เทียนหยุนถาม


 


“ไม่มีอะไรหรอก แค่คิดว่าเจ้าดูเด็กเกินไปเท่านั้น ทำไมผู้จัดการเหอถึงได้แนะนำเด็กขนาดนี้กัน……” เธอพูดพร้อมกับลุกขึ้น ฟังจากน้ำเสียงแล้วเจือความสงสารเล็กน้อย แต่ก็ถูกเขาได้ยินอยู่ดี “ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปตรวจสอบด้านใน”


 


“ตรวจสอบ ตรวจสอบอะไร?” อี้เทียนหยุนตกใจ เขามาหาคนนะ จำเป็นต้องตรวจสอบด้วยเหรอ


 


ตอนนี้ในที่สุดเขาก็เข้าใจ ที่แท้คนพวกนี้ก็คิดว่าเขามาสมัครเป็นศิษย์ของวังเทียนจี๋ ดังนั้นจึงต้องผ่านการตรวจสอบก่อน! นี่ต้องโทษที่ความเข้าใจผิด ตัวเขามีพลังที่เป็นถึงระดับผู้อาวุโสได้โดยที่ไม่มีปัญหาแท้ๆ จำเป็นต้องตรวจสอบที่ไหนกัน


CLS ตอนที่ 205: ป่าวงกต


 


“ไม่ตรวจสอบแล้วจะรู้ได้ยังไง? ผู้จัดการเหอไม่ได้บอกเจ้าเหรอ เจ้าที่ถูกแนะนำ เมื่อมาแล้วต้องถูกตรวจสอบก่อน จากนั้นจึงจะสามารถเข้าร่วมกับตำหนักเทียนเหวิน ซึ่งเป็นที่สำหรับฝึกสลักอาคม” หยางซีเสวี่ยมองเขาอย่างสงสัย คิดว่าเขาค่อนข้างประหลาด


 


แต่ที่เขารู้แน่ๆ คือ เขาไม่ได้มาเพื่อตรวจสอบ แต่มาพบเหอเชียนหาน


 


“แล้วผู้จัดการเหออยู่ที่นี่ไหม?” อี้เทียนหยุนถาม


 


“ผู้จัดการเหอยังไม่กลับมาจากข้างนอก ถ้าเจ้าอยากจะพบกับเธอคงต้องรอหลังจากนี้ ยังไงก็ตาม ต่อให้เจ้าจะไปถามเธอก็เปล่าประโยชน์ ถ้าไม่สามารถผ่านการตรวจสอบ เจ้าก็ไม่สามารถเข้าร่วมตำหนักเทียนเหวินได้!” หยางซีเสวี่ยขมวดคิ้วพูด “เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปยังตำหนักเทียนเหวินเพื่อทำการตรวจสอบ หลังจากผ่านการตรวจสอบมาได้ เจ้าต้องเรียกข้าว่าศิษย์พี่!” ริมฝีปากที่น่าดึงดูดของหยางซีเสวี่ยวาดออกเป็นรอยยิ้ม ความรู้สึกจริงจังเมื่อครู่หายไปสิ้น


 


“ศิษย์พี่?” อี้เทียนหยุนมองสำรวจหยางซีเสวี่ย อย่างเธอเนี่ยนะจะมาเป็นศิษย์พี่ของเขา คำพูดนี่ช่างน่าตลกจริงๆ


 


“นี่…. เอาเถอะ งั้นก็ไปตรวจสอบกันเถอะ ศิษย์พี่” อี้เทียนหยุนคิด ทันใดนั้นก็เปลี่ยนความคิดของตน จากที่จะบอกฐานะของตนออกไป แต่คิดแล้วก็ช่างมันดีกว่า


 


ดีแล้วที่เจอเธอที่นี่ จากนี้จะได้สำรวจดูด้วยว่าวังเทียนจี๋นี้เป็นยังไง ทำไมถึงได้ตกต่ำลง


 


“เจ้าต้องผ่านการตรวจสอบก่อนถึงจะเรียกอย่างนั้นได้!” หยางซีเสวี่ยทำสีหน้าจริงจัง คิดว่าเด็กหนุ่มตรงหน้ายังไม่ทันผ่านการตรวจสอบ ดังนั้นจึงต้องปั้นหน้าจริงจัง


 


อี้เทียนหยุนยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ สำหรับหยางซีเสวี่ยนี้ ไว้ค่อยคุยกันทีหลังก็แล้วกัน


 


จากนั้น หยางซีเสวี่ยก็พาเขาไปยังตำหนักเทียนเหวิน หลังจากเดินวกไปวนมา พวกเขาก็ถึงที่ด้านหลังภูเขา ซึ่งตอนนี้ปกคลุมไปด้วยป่า ดูแล้วธรรมดาอย่างมาก ดูแล้วไม่มีอะไรผิดปกติเลยสักนิด


 


“ซีเสวี่ย เจ้ากำลังทำอะไร?” ในตอนนี้เอง ก็ได้มีเด็กหนุ่มสองคนโผล่มาจากข้างหลัง พร้อมกับจ้องมาที่หยางซีเสวี่ยและอี้เทียนหยุนราวกับมองศัตรูหัวใจ


 


สายตาที่มองมานี้ทำให้อี้เทียนหยุนรู้สึกแปลกๆ……


 


หยางซีเสวี่ยขมวดคิ้ว พร้อมกับพูดออกไปว่า “โปรดอย่าเรียกข้าด้วยความสนิทสนมขนาดนั้น มันจะทำให้เข้าใจผิดเอาได้!”


 


“เจ้าเป็นคู่หมั้นของข้า ทำไมข้าจะเรียกเจ้าอย่างนี้ไม่ได้?” เฟิงยู่หลงหรี่ตาพร้อมกับยิ้มออกมา แต่กับอี้เทียนหยุนที่อยู่ใกล้ๆ หยางซีเสวี่ยนั้น เขากลับแสดงสีหน้ารังเกียจราวกับกินแมลงวันเข้าไปอย่างไงอย่างงั้น


 


“เฟิงยู่หลง ข้าขอเตือนเจ้า นี่เป็นเรื่องที่พวกท่านพ่อเป็นคนตัดสินใจ ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า นอกเสียจากเจ้าจะเหนือไปกว่าข้าในด้านการสลักอาคม! สำหรับข้าแล้ว ข้าจะแต่งงานกับชายที่แข็งแกร่งกว่าข้าเท่านั้น จะไม่แต่งงานกับคนที่อ่อนแอกว่าเด็ดขาด!” หยางซีเสวี่ยสีหน้าเย็นชา ไม่พอใจเฟิงยู่หลงคนนี้อย่างมาก


 


อี้เทียนหยุนที่อยู่ใกล้ๆ พลันตาเป็นประกาย ที่แท้ผู้หญิงคนนี้ก็มีเป้าหมายอยู่แล้ว แต่คำพูดนี้ของเธอก็พูดถูก ผู้ชายถ้าอ่อนแอกว่า แล้วมีสิทธิ์อะไรมาแต่งงานกับตนเอง? นี่ทำให้เขารู้ว่านิสัยของหยางซีเสวี่ยเป็นยังไง


 


สายตาของเฟิงยู่หลงที่มองมาพลันปรากฏเป็นแสงเย็นเยียบ แต่จะให้เขาพูดได้ยังไงว่าเขาอ่อนแอกว่าหยางซีเสวี่ยในทุกๆ ด้าน


 


“นี่เป็นเรื่องที่พวกท่านทั้งสองตัดสินใจ เจ้าคิดจะทำลายความสัมพันธ์ของทั้งสองอย่างงั้นเหรอ เจ้าคิดว่านี่เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว?” เฟิงยู่หลงพูดเยาะ “ข้าว่าเจ้าคิดให้ดีๆ ดีกว่า แล้วอีกอย่าง เจ้าเด็กนี่มันเป็นใคร ทำไมเจ้าถึงได้มาอยู่ด้วยกันกับมันสองคน?”


 


ผู้ชายที่ไม่สามารถเอาชนะผู้หญิง และเมื่อเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นมากับผู้ชายคนอื่น ในใจก็ย่อมมีเพลิงริษยาเพิ่มขึ้น เห็นเป็นที่ขัดตาเป็นธรรมดา


 


“ข้าหยางซีเสวี่ยพูดคำไหนคำนั้น เจ้ามีสิทธิ์มาพูดกับข้าอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่!” หยางซีเสวี่ยพูดอย่างไม่ใส่ใจ “เขาเป็นศิษย์น้องคนใหม่ที่ผู้จัดการเหอแนะนำมา กำลังจะเขารับการทดสอบ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรแล้ว เจ้าก็ไปซะ”


 


“คนที่ผู้จัดการเหอแนะนำมาอย่างงั้นเหรอ?”


 


เฟิงยู่หลงมองอี้เทียนหยุนขึ้นๆ ลงๆ ด้วยสายตาสงสัย


 


“เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ได้เข้าใจอะไรผิด?” เฟิงยู่หลงรู้สึกน่าขัน “เด็กขนาดนี้ ทั้งท่าทางยังระดับไม่เท่าไหร่ จะผ่านเขาวงกตได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ข้าว่าคงจะแกล้งมากกว่า ไม่รู้ว่าไปเก็บป้ายได้ที่ไหน ข้าว่าจับเขาไปตำหนักลงทัณฑ์ดีกว่า!”


 


“ใช่ ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ตำหนักเทียนเหวินรับศิษย์เด็กขนาดนี้ ข้าว่าต้องมาหลอกแน่ๆ! ท่าทางก็ดูยากจน ข้าว่าคงจะขโมยมามากกว่า!” เพื่อนของเฟิงยู่หลง เลี่ยวเหวินสนับสนุนคำพูดของเฟิงยู่หลงอยู่ข้างๆ


 


พูดไปแล้วอี้เทียนหยุนก็แต่งตัวดูยากจนจริงๆ นั่นแหละ เขาแต่งตัวธรรมดา ห่างไกลจากชุดจอมยุทธ์ของพวกเขาไม่รู้กี่แสนลี้


 


“เรื่องของเจ้าข้าไม่อยากจะสน ข้าแค่อยากจะทดสอบให้เร็วขึ้นหน่อย เจ้าที่อายุเท่านี้แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จ อย่าได้คิดว่าคนอื่นจะทำไม่สำเร็จเหมือนกับเจ้าด้วย เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน” อี้เทียนหยุนยืนอยู่เฉยๆ ก็ถูกลูกหลง นี่เขาเกี่ยวอะไรด้วย


 


เจ้าพวกตัวประกอบพวกนี้ เขายืนอยู่เฉยๆ ยังถูกโจมตี ทำให้เขารู้สึกพูดไม่ออกเลยจริงๆ


 


“หืม? คำพูดคำจาใหญ่โตไม่เบานี่ งั้นเจ้าคงจะผ่านเขาวงกตนี้ไปได้แน่นอนงั้นสินะ?” เฟิงยู่หลงสีหน้าเย็นชา พูดเยาะว่า “ข้าว่าระดับอย่างเจ้าจะต้องถูกขังไว้ข้างในอย่างแน่นอน ชั่วชีวิตนี้จะออกมาได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้? ถ้าเจ้าสามารถผ่านไปได้ใน 1 ชั่วยาม หลังจากนี้ข้าจะเดินกลับหลังให้ดูเลย!”


 


“พี่เฟิงพูดถูก ถ้าเจ้าสามารถผ่านได้ ชั่วชีวิตนี้ข้าก็จะเดินกลับหัวเช่นกัน!” เลี่ยวเหวินพูดเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย


 


ที่พวกเขาพูดก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผล เพราะคนที่สามารถฝึกฝนเพื่อเป็นนักสลักอาคมนั้น ล้วนแต่มาจากตระกูลใหญ่ด้วยกันทั้งนั้น แล้วอี้เทียนหยุนคนนี้ดูคล้ายกับนายน้อยตระกูลใหญ่อย่างงั้นเหรอ ถ้าบอกว่าเขาเป็นเด็กที่เพิ่งมาจากบ้านนอกยังจะเป็นไปได้ซะกว่า


 


“ก็ดี แล้วข้าจะคอยดูเจ้าเดินกลับหลัง พร้อมกับดูเจ้าเดินกลับหัวเช่นกัน” อี้เทียนหยุนหันไปมองหยางซีเสวี่ย แล้วพูดอย่างเฉยชาว่า “การทดสอบที่เจ้าบอกคือเดินผ่านเขาวงกตในป่านี้อย่างงั้นเหรอ?”


 


“ใช่แล้ว ขอแค่ผ่านเป็นใช้ได้ ไม่จำกัดเรื่องเวลา เพียงแต่เวลาจะมีผลกับผลลัพธ์เช่นกัน…..” หยางซีเสวี่ยยังอธิบายไม่จบ อี้เทียนหยุนก็หมุนตัวเดินเข้าไปในป่า พร้อมกับหายไปในนั้นอย่างรวดเร็ว


 


“พี่เฟิง เจ้าหนูนี่จะอวดดีเกินไปแล้ว พูดอย่างกับว่าจะผ่านไปได้ง่ายๆ จริงๆ อย่างงั้นแหละ!” เลี่ยวเหวินโมโห “พวกเรามาดูกัน ว่าเจ้าหนูนี่จะออกมาจากป่าวงกตนี้ตอนไหน!”


 


พูดเสร็จ พวกเขาก็เดินเข้าไปยังป่าวงกต หยางซีเสวี่ยก็หายเข้าไปในป่าวงกตนี้เช่นกัน


 


ขณะเดียวกัน อี้เทียนหยุนที่เดินเข้ามาก่อน ตอนนี้ตัวเขามองไม่เห็นพวกหยางซีเสวี่ยแล้ว เพราะว่าเขาได้เข้ามายังกลางวงกตแล้ว มีเพียงทำลายวงกตนี้เท่านั้น เขาจึงจะสามารถออกไปได้


 


ใช้สิ่งนี้เป็นบททดสอบ นับว่าเป็นการทดสอบที่คุ้มค่าจริงๆ จะผ่านแต่ละครั้งจำเป็นต้องทำลายเป็นครั้งๆ ไป และเมื่อยิ่งชำนาญ การผ่านมันไปก็จะเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้นเรื่อยๆ


 


“ป่าวงกตนี่มันอะไรกัน? ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่าง ทั้งยังดูเหมือนระดับจะไม่ต่ำด้วย ต่อหน้าอาจารย์สลักอาคมชั้น 5 กลับมองไม่เห็นร่องรอยอะไรเลย” อี้เทียนหยุนส่ายหัว ไม่สนใจอะไรกับวงกตนี้อีก


 


จากนั้น หลังจากเขาหาตำแหน่งเจอ เขาก็ก้าวเท้าเดินออกไปในทันที



CLS ตอนที่ 206: ตอกหน้า


 


หลังจากอี้เทียนหยุนพบทางออก เขาก็ก้าวเท้าเดินออกมาตรงมาอย่างรวดเร็ว หลังจากออกมาแล้ว ตรงหน้าของเขาก็พบกับสภาพแวดล้อมที่งดงามเป็นอย่างมาก รอบด้านประดับด้วยหินผา พร้อมกับต้นไม้ที่ขึ้นแซม ให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวาอย่างมาก


 


นี่คือตำหนักเทียนเหวิน เป็นสถานที่สำหรับฝึกสลักอาคมโดยเฉพาะ นี่คือสิ่งที่สำนักใหญ่เป็น ด้วยศิษย์ที่มากมาย ทำให้ปรากฏศิษย์ที่มีความสามารถหลากหลาย จึงจำเป็นต้องแยกกันไปตามความถนัด


 


ถ้ามีคนเพียงคนเดียวที่สลักอาคม เป็นไปไม่ได้ที่จะถูกแยกออกมา ซึ่งจะเป็นการสูญเสียทรัพยากรมหาศาล


 


“ผู้มาโปรดแสดงป้ายยืนยันตัวตนด้วย”


 


ยามที่เฝ้าหน้าทางเข้าเมื่อเห็นอี้เทียนหยุน ตอนแรกก็อ้าปากค้าง เนื่องเพราะว่าเขาดูเด็กเกินไป ยังไงก็ตาม พวกเขาก็ไม่ได้ขับไล่เขาไป ทุกอย่างต้องทำตามกฎ ไม่ว่าจะคนคุ้นเคยหรือคนแปลกหน้า ล้วนแต่ต้องแสดงป้ายยืนยันตัวตนด้วยกันทั้งนั้น


 


“ป้ายยืนยันตัวตนอย่างงั้นเหรอ นี่คือป้ายของข้า” อี้เทียนหยุนหยิบป้ายที่เหอเชียนหานมอบให้ออกไป แล้วพูดว่า “นี่คือป้ายของข้า แต่ไม่รู้ว่าจะใช้ได้หรือเปล่า?”


 


“นี่ไม่ใช่ป้ายของศิษย์ นี่คือป้ายแนะนำ เป็นป้ายแนะนำของผู้จัดการเหอ….”


 


“หือ เดี๋ยวก่อนนะ เหมือนมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง นี่ไม่ใช่ป้ายแนะนำหนิ…..”


 


ขณะที่ยามกำลังตรวจดูป้ายอย่างระวังนั้น ก็มีอีก 3 ร่างเดินออกมาจากป่าวงกต สีหน้าของพวกเขาล้วนเต็มไปด้วยความตกใจ


 


“เจ้า เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?”


 


ในตอนนี้เอง เมื่อเฟิงยู่หลงกับพวกเดินออกมา เมื่อเห็นอี้เทียนหยุนยืนอยู่ตรงหน้า ทันใดนั้นก็แสดงสีหน้าตกใจออกมาทันที จากนั้นหยางซีเสวี่ยก็เดินตามออกมา เมื่อเธอเห็นอี้เทียนหยุน ทันใดนั้นก็แสดงอาการตกใจออกมาเช่นกัน


 


ความเร็วของเขาเร็วมาก เทียบกับพวกเขาแล้วยังเร็วกว่า พวกเขาเดินผ่านที่นี่บ่อยๆ และการเดินผ่านแต่ละครั้งก็จะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย จึงทำให้เวลาที่ได้ต่างกันไปในแต่ละครั้ง นี่เป็นหนึ่งในการฝึกฝนเช่นกัน


 


แต่ไม่คิดเลยว่าอี้เทียนหยุนที่เพิ่งเคยเดินผ่านครั้งแรกจะมาถึงเร็วกว่าพวกเขา นี่คงไม่ใช่อัจฉริยะหรอกนะ!


 


“ทางออกอยู่นี่ ถ้าไม่ให้ข้าอยู่ที่นี่ แล้วจะให้ข้าเดินวนอยู่ในนั้นอย่างงั้นเหรอ?” อี้เทียนหยุนมองไปยังเลี่ยวเหวินแล้วพูดออกมา “แล้วอีกอย่าง หลังจากนี้เจ้าต้องเดินกลับหัว ข้าคาดหวังอย่างมากที่จะเห็นเจ้าเดินเช่นนั้น”


 


คำพูดประโยคนี้ เขาไม่รังเกียจที่จะเหยียบซ้ำลงไปยังหน้าของพวกเขา ในเมื่อพูดอย่างนั้นออกมา ก็เตรียมรับการตอกหน้ากลับได้เลย!


 


“นี่ นี่เป็นไปไม่ได้ เจ้า เจ้าจะต้องโกงแน่ๆ!” เลี่ยวเหวินไม่เชื่อคำพูดของอี้เทียนหยุน เขาไม่เคยเห็นคนที่เข้ามาครั้งแรกแล้วออกมาได้เร็วอย่างนี้


 


“งั้นเจ้าบอกข้าหน่อยว่าข้าโกงยังไง?” อี้เทียนหยุนจ้องไปที่เขา ราวกับสนใจอย่างมากว่าอีกฝั่งจะบอกว่าเขาโกงยังไง


 


อี้เทียนหยุนมองไปที่เลี่ยวเหวินคนนี้ด้วยความสนใจอย่างมาก อยากจะฟังว่าเขาจะพูดว่าตนเองโกงยังไง


 


“เจ้า เจ้าเคยมาที่นี่มาก่อน!” เลี่ยวเหวินคิดแล้วพูดออกมา


 


“เจ้าบอกว่าข้าเคยมาที่นี่มาก่อนอย่างงั้นเหรอ ทำไมข้าไม่รู้เลยล่ะ?” อี้เทียนหยุนพูดอย่างไม่ใส่ใจ “งั้นทำไมเจ้าไม่บอกว่าข้าเป็นศิษย์ของตำหนักเทียนเหวินไปซะเลยล่ะ แต่จะยังไงก็ช่าง ในเมื่อข้าออกมาได้แล้ว เจ้าก็ต้องเดินกลับหัวอยู่ดี”


 


เลี่ยวเหวินกดอาการโกรธจนหน้าแดง พร้อมกับชี้ไปที่อี้เทียนหยุน แต่ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธยังไงดี ศิษย์ตำหนักเทียนเหวินมีใครบ้าง พวกเขาล้วนรู้จัก ใครที่เคยมาที่นี่ ยามล้วนต้องเคยเห็นอย่างแน่นอน คำพูดของเลี่ยวเหวินนี้ช่างไม่เป็นไปตามจิตสำนึกเลยสักนิด


 


อี้เทียนหยุนผ่านมาแล้ว ทั้งยังผ่านมาด้วยความเร็วที่เหนือกว่าพวกเขา ใช่แล้ว ตอนนี้เลี่ยวเหวินจึงต้องเดินกลับหัว


 


“เจ้าบอกว่าเขามาเป็นครั้งแรก ยิ่งกว่านั้นยังเร็วกว่าพวกเจ้าด้วย?” ยามที่ยืนฟังอยู่ใกล้ๆ ให้รู้สึกตกใจ นี่มันไม่เก่งเกินไปหน่อยเหรอ?


 


มาเป็นครั้งแรก ทั้งความเร็วยังมากกว่าพวกหยางซีเสวี่ยอีก พวกเขานับเป็นศิษย์ระดับแถวหน้า แต่เขาก็ยังเร็วกว่า นี่มันจะท้าทายสวรรค์เกินไปหรือเปล่า? ดูจากอายุที่ยังเยาว์ขนาดนี้ มันจะน่ากลัวเกินไปแล้ว


 


“ใช่ เร็วกว่าพวกเรา” หยางซีเสวี่ยมองไปที่อี้เทียนหยุนด้วยสีหน้าซับซ้อน พร้อมถามขึ้นว่า “คนที่ผู้จัดการเหอแนะนำมาครั้งนี้ ไม่น่าผิดหวังเหมือนครั้งก่อน ที่แม้แต่ป่าวงกตยังผ่านไม่ได้”


 


การผ่านป่าวงกตนี้ เป็นการทดสอบพลังวิญญาณรวมถึงวิสัยทัศน์ แม้จะไม่ยากมาก แต่ก็ไม่ง่ายจนเกินไป อย่างน้อยก็ไม่ใช่ประเภทที่เดินเล่นๆ แล้วจะออกมาได้ แต่จำเป็นต้องใช้ความคิด แต่ไม่คิดว่าอี้เทียนหยุนผ่านได้เร็วอย่างนี้ เหนือกว่าการคาดการณ์ของพวกเธอไปมาก


 


“แล้วข้าสอบผ่านหรือเปล่า?” อี้เทียนหยุนพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว” หยางซีเสวี่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “ยิ่งกว่านั้น ยังเป็นผลลัพธ์ที่โดดเด่นอย่างมาก ขอต้อนรับสู่ตำหนักเทียนเหวิน!”


 


ตอนแรกที่เธอมา เธอต้องเสียเวลาไปหลายชั่วยามถึงจะออกมาได้ แต่อี้เทียนหยุนกลับผ่านมาได้อย่างง่ายดาย ทั้งยังเร็วอย่างมาก ความต่างนี่ช่างใหญ่มากจริงๆ


 


“มีความสามารถแค่นิดหน่อย แต่กลับพูดจาใหญ่โต” เฟิงยู่หลงแค่นเสียงออกมา เดินแยกจากเลี่ยวเหวิน มายืนอยู่ข้างๆ อี้เทียนหยุน แล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “ในตำหนักเทียนเหวินแห่งนี้ ระดับอย่างเจ้าไม่นับว่าเป็นอย่างไรได้ เจ้าระวังไว้ให้ดีเถอะ….. อย่าไปชนสิ่งที่ไม่ควรชนเข้าเสียล่ะ แล้วข้าจะทำให้เจ้าเสียใจตลอดชีวิต!”


 


เขากล่าวเตือนอี้เทียนหยุนว่าอย่าให้เข้าใกล้หยางซีเสวี่ยเกินไป ไม่อย่างนั้น เขาจะลงมาจัดการอี้เทียนหยุนด้วยตนเอง


 


ยังไงก็ตาม อี้เทียนหยุนก็ไม่ได้สนใจอะไรเธออยู่แล้ว แต่คำพูดนี้ก็ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจเช่นกัน เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน?


 


“เดี๋ยวก่อน เจ้ายังไม่ได้เดินกลับหลังเลย ส่วนเจ้าก็ยังไม่ได้เดินกลับหัว คิดจะกลับคำพูดหรือไง” อี้เทียนหยุนไม่รังเกียจที่จะเปิดเผยคำพูดเมื่อก่อนหน้าของพวกเขา ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนกับการผายลม


 


“เจ้าอยากตายอย่างงั้นเหรอ?” เฟิงยู่หลงสีหน้าเย็นชา ก่อนหน้านี้เขาแค่อยากจะดูถูกอี้เทียนหยุน แต่ใครจะคิดว่าเขาจะเดินออกมาได้ในเวลา 1 ชั่วยามจริงๆ ยิ่งกว่านั้นยังออกมาได้เร็วกว่าพวกเขามาก


 


“เฟิ่งยู่หลง นี่เจ้ากำลังข่มขู่อย่างงั้นเหรอ? คำพูดนี้เจ้าเป็นคนพูดเองเมื่อก่อนหน้า!” เมื่อหยางซีเสวี่ยเห็นเฟิงยู่หลงข่มขู่อี้เทียนหยุน ก็พลันรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา


 


เธอไม่ได้มีความสัมพันธ์หรือสนิทอะไรกับอี้เทียนหยุน เธอแค่เห็นท่าทางข่มขู่ที่เฟิงยู่หลงแสดงออกมา แล้วไม่พอใจก็เท่านั้นเอง เธอไม่ชอบเฟิงยู่หลงเป็นทุนเดินอยู่แล้ว คนผู้นี้เป็นพวกก้าวร้าว ทั้งยังไม่รู้จักอดทนอดกลั้น ชอบใช้กำลัง ใครที่ตอแยเขา อย่าได้หวังว่าจะได้อยู่สบาย


 


“นี่เจ้าออกตัวแทนเจ้าขยะนี่อย่างงั้นเหรอ?” เฟิงยู่หลงส่ายหัว สายตาเป็นไปด้วยความโกรธ พร้อมกับพูดเยาะขึ้นว่า “วางใจเถอะ ข้าไม่ทำอะไรมันหรอก แต่ที่นี่คือตำหนักเทียนเหวิน ไม่ใช่บ้านนอก ไม่สามารถต่อสู้วุ่นวายได้ ข้ามีวิธีของข้า!”


 


คำพูดนี้ทำให้อี้เทียนหยุนขมวดคิ้ว สถานการณ์ในสำนักค่อนข้างย่ำแย่ เหมือนว่าศิษย์ต่างก็สังกัดตระกูลที่ต่างกัน ทำให้สถานการณ์ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เมื่อเป็นอย่างนี้ ทั่วทั้งสำนักจึงได้ไม่ได้มีอนาคต!


 


“มีบางคำพูดที่ควรพูดกับไม่ควรพูด เจ้าไม่รู้หรือไง?” อี้เทียนหยุนมองไปที่เขาอย่างเย็นชา กล้าพูดข่มขู่เขาซึ่งหน้าอย่างงั้นเหรอ?




CLS ตอนที่ 207: แพร่ออกไป


 


“คำที่ไม่ควรพูดอย่างงั้นเหรอ?” เฟิงยู่หลงยิ้มเยาะ “มีคำไหนที่ข้าไม่ควรพูด? ข้าอยากจะพูดอะไรก็พูดอย่างนั้น เจ้าจะทำอะไรข้าได้ ถ้าเก่งจริงมาดวลกับข้าไหมล่ะ?”


 


“ไม่ ที่ข้าอยากจะพูดก็คือ ในเมื่อเจ้าร้องขอ ข้าก็จะเติมเต็มให้” อี้เทียนหยุนพูดอย่างไม่ใส่ใจ “สำหรับข้า บางคำ ไม่ควรเอ่ยออกมา”


 


“เจ้านี่มันช่างอวดเก่งจริงๆ ถ้าเก่งจริงก็มาดวลกันตอนนี้เลย!” เฟิงยู่หลงโมโหขึ้นมาทันที เขาไม่คิดว่าศิษย์ใหม่ที่เพิ่งมาถึงจะกล้าต่อต้านเขาจริงๆ


 


“ไม่มีปัญหา มาเริ่มตอนนี้เลยก็ได้ เชิญเจ้าลงมือก่อนได้เลย” อี้เทียนหยุนกวักมือเป็นท่าทางเชื้อเชิญ


 


“ดี ดี ดี!” เฟิงยู่หลงแค่นเสียงออกมาสามคำติด จากนั้นก็ฟาดฝ่ามือออกไปอย่างรวดเร็ว ปะทุพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของตน ตบเข้าที่หัวของอี้เทียนหยุนโดยไม่มีการออมแรง


 


ถ้าถูกฝ่ามือนี้เข้า ต่อให้ไม่ตายก็กลายเป็นปัญญาอ่อน


 


“!”


 


แต่ที่เร็วกว่าเขาก็คือฝ่ามือของอี้เทียนหยุน ตบลงที่หน้าของเฟิงยู่หลงจนปลิวออกไป พร้อมกับกลิ้งอยู่สิบตลบก่อนที่จะหยุดได้ จากนั้นก็กระอักเลือดออกมา พร้อมกับฟันที่ร่วงแทบหมดปาก


 


นี่ทำให้ทุกคนที่ได้เห็นต้องตะลึง แม้ว่าฟางยู่หลงจะไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก แต่อย่างน้อยก็มีพลังในระดับปรับแต่งวิญญาณขั้นที่ 7 กลับถูกตบปลิวทั้งอย่างนี้จริงๆ? นี่หมายความว่า ระดับของเด็กหนุ่มคนนี้แข็งแกร่งกว่าเฟิงยู่หลงอย่างงั้นเหรอ?


 


เฟิงยู่หลงถูกฝ่ามือนี้เข้าจนฟันร่วง เลือดกบปาก ไม่รู้ออก ตก ใต้ เหนือ เฟิงยู่หลงผงกหัวขึ้นมาคราหนึ่ง จากนั้นก็หมดสติไป ฝ่ามือนี้จะว่าแรงก็ไม่แรง แต่อย่างน้อยก็จัดการกับเขาได้


 


นี่เป็นเพราะเขาออมมือไว้ ถ้าไม่อย่างนั้น เฟิงยู่หลงคงจะหัวระเบิดค่าฝ่ามือเขาไปแล้ว


 


“เจ้า เจ้ากล้าทำร้ายพี่เฟิงจริงๆ!!” เลี่ยวเหวินที่อยู่ใกล้ๆ รีบวิ่งไปช่วยเฟิงยู่หลง พร้อมกับชี้มายังอี้เทียนหยุนด้วยความโมโห “เจ้าจะต้องไม่ตายดีแน่!”


 


“แล้วข้าจะรอ” อี้เทียนหยุนพูดอย่างไม่ใส่ใจ


 


หลังจากเฟิงยู่หลงถูกพาตัวไป หยางซีเสวี่ยก็พูดขึ้นมาด้วยความตกใจว่า “เจ้า เจ้าทำร้ายเขา…. เป็นอย่างนี้ตระกูลเฟิงจะต้องมาหาเรื่องเจ้าแน่ ในตำหนักเทียนเหวินแห่งนี้ พวกเขามีพรรคพวกอยู่หลายคน”


 


“ไม่เป็นไรหรอก มาแค่ไหนก็จัดการตามนั้น” อี้เทียนหยุนพูดอย่างเฉยชา


 


“นี่ นี่เป็นความผิดของข้า เพราะข้า เจ้าจึงต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ ข้าจะจัดการเรื่องนี้เอง!” หยางซีเสวี่ยมีสีหน้าจริงจัง เรื่องนี้หนีไม่พ้นความรับผิดชอบของเธอ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ เฟิงยู่หลงคงไม่มาหาเรื่องอี้เทียนหยุน


 


ถ้าเพราะเธอทำให้อี้เทียนหยุนต้องเจอปัญหา เธอจะไม่ยกโทษให้ตัวเองอย่างแน่นอน


 


“ช่างเถอะ ข้าไม่ใส่ใจ” อี้เทียนหยุนส่ายหัว ไม่สนใจเสียงร้องของเฟิงยู่หลงนี้ คนแบบนี้เขาไม่แม้แต่จะเห็นอยู่ในสายตา


 


เหมือนว่าเรื่องเข้าใจผิดจะหาปัญหามาให้เขา แต่ด้วยท่าทางอวดดีแบบนี้ กลัวแต่ว่าไม่ว่าจะเจอใครก็ยังจะสร้างปัญหาขึ้นอยู่ดี


 


ไม่แปลกที่จะไม่มีศิษย์ใหม่เข้าร่วม ก็เพราะมีกลุ่มสัตว์พวกนี้อยู่ ไม่รู้ว่ามีศิษย์ใหม่กี่คนที่หนีไปเพราะความกลัว? ต่อให้ไม่หนีไปเพราะความกลัว กลัวว่าสุดท้ายก็ยังคงถูกหักขาทิ้งอยู่ดี


 


ต่อให้ไม่มีหยางซีเสวี่ยอยู่ เขาเชื่อว่าหลังจากนี้ เฟิงยู่หลงก็ยังจะมาหาเรื่องเขา ด้วยสันดารอย่างเขา เพียงมีเรื่องกันเล็กน้อย เขาก็จะถือว่าเป็นศัตรูที่ต้องกำจัดไป ตราบเท่าที่มีการแข่งขัน ยังไงก็ต้องเจอกับเขาเข้าสักวัน


 


จากนั้น หยางซีเสวี่ยก็พาเขาเข้าไปยังตำหนักเทียนเหวิน พร้อมกับส่งป้ายฐานะให้กับเขา บนนั้นสลักชื่อไว้ด้วยวิธีการพิเศษ พร้อมทั้งบอกว่าอยู่ในสังกัดไหน ทั่วทั้งวังเทียนจี๋แห่งนี้มีป้ายฐานะ แต่ป้ายฐานะของตำหนักเทียนเหวินไม่สามารถทำเลียนแบบได้


 


ถ้าหาย มันจะเกิดปัญหา จากศิษย์อย่างเป็นทางการก็จะกลายเป็นศิษย์สายนอกไป นี่เป็นดั่งตัวแทนสำนัก ถ้าหาย จำเป็นจะต้องได้รับโทษตามระดับ


 


เมื่อจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้ว หยางซีเสวี่ยก็ไปจัดการเรื่องของตน เธอไม่ใช่พี่เลี้ยงของอี้เทียนหยุน ดังนั้นเธอจึงไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ต่อ


 


ก่อนหน้านี้อี้เทียนหยุนใส่หน้ากาก ดังนั้นหยางซีเสวี่ยจึงจำเขาไม่ได้ จึงไม่ได้คุยกัน ถ้าอี้เทียนหยุนใส่หน้ากากเหมือนก่อนหน้า นั่นจะต้องสร้างความตกใจให้กับเธอครั้งใหญ่อย่างแน่นอน


 


อี้เทียนหยุนไม่คิดจะอยู่ที่นี่นาน เขามาที่นี่ไม่ใช่เพื่อกลายเป็นศิษย์ แต่มาเพื่อดูสถานการณ์ปัจจุบัน และเมื่อมาถึงได้ไม่นาน ก็ทำให้เขาต้องรู้สึกไม่ประทับใจแล้ว เหมือนกับหนูตายในหม้อน้ำแกง ถ้ามีศิษย์ที่นิสัยอย่างเฟิงยู่หลงอยู่มาก สำนักนี้คงจะจบสิ้นจริงๆ


 


การแข่งขันกันนั้นเป็นเรื่องดี แต่ไม่ใช่การแข่งขันที่ชั่วร้าย ถ้ามีครั้งหน้าอีก อาจจะมีคนตายก็เป็นได้


 


หลังจากออกมา อี้เทียนหยุนก็พบว่ามีสายตาหลายคู่จับจ้องมาที่ตน บางคนมีสายตาแปลกๆ บ้างก็มองมาด้วยความไม่อยากจะเชื่อ


 


“ไง ลูกพี่ ได้ยินว่าเพิ่งมาก็ทำลายสถิติแล้ว ทั้งยังทำร้ายเฟิงยู่หลงซะสาหัสเลย ยอดเยี่ยมจริงๆ! ข้ารู้สึกขัดลูกตามันมานานแล้ว ตบได้สะใจจริงๆ!” ในตอนนี้เอง ก็ได้มีเด็กหนุ่มเดินมาจากด้านข้าง ถูมือเดินเข้ามา พร้อมกับรอยยิ้มที่เป็นมิตร


 


อี้เทียนหยุนไม่ประหลาดใจ เฟิงยู่หลงกับพวกต้องไม่ได้เป็นคนพูดอย่างแน่นอน แต่พวกยามไม่ยอมให้ปากอยู่ว่างแน่ๆ พวกเขากระจายเรื่องราวออกไป ทำให้ทั่วทั้งตำหนักเทียนเหวินรู้เรื่องนี้ ทำให้พวกเขาตกใจ บางคนก็สงสัยว่าเป็นเรื่องจริงไหม


 


พวกเขาสงสัยว่าอี้เทียนหยุนมาที่นี่ครั้งแรกจริงไหม แต่ไม่ได้สงสัยว่าเขาจะฝึกฝนมาจากข้างนอกก่อนแล้ว! ถึงยังไงป่าวงกตนี้ก็เป็นค่ายกลที่ไม่ได้มีความยากสูงนัก ทั้งยังมีการเลียนแบบด้านนอกอยู่เล็กน้อย


 


ยังไงก็ตาม บางคนก็เชื่อ บางคนก็ไม่เชื่อ แต่พวกเขาก็ไม่คิดจะเข้ามาคุยกับเขา ผู้ซึ่งตอแยเฟิงยู่หลง! การทำร้ายเฟิงยู่หลงจนสาหัสนี้ เรื่องนี้พวกเขาไม่เข้าไปยุ่งอย่างแน่นอน


 


เฟิงยู่หลงมีฐานะอยู่ในที่แห่งนี้อย่างมาก ทั้งระดับก็ยังไม่แย่ ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าเข้ามาคุยกับเขา หรือคิดจะเป็นเพื่อนกับเขา ยังไงก็ตาม ก็มีเด็กหนุ่มคนนี้ที่ไม่กลัว เดินเข้ามาคุยกับเขาตรงๆ ราวกับคนคุ้นเคย


 


“ข้าว่าสถิตินี้ต้องมีบางคนทำลายได้อยู่แล้ว ใช่ไหม?” อี้เทียนหยุนไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนที่เร็วที่สุด


 


“ก็จริง มีคนที่เร็วกว่าท่านอยู่….. แต่ถ้าดูตามอายุ อย่างน้อยท่านก็ติด 1 ใน 3 ท่าทางเด็กขนาดนี้ ท่านพอจะบอกข้าได้ไหมว่าปีนี้อายุเท่าไหร่?” เจ้าอ้วนคนนี้ถามขึ้น


 


คำตอบของเจ้าอ้วนไม่ได้ทำให้เขาประหลาดใจ อัจฉริยะมีอยู่มากมาย ต้องมีคนที่ออกมาเร็วกว่าเขาอยู่แล้ว ทั้งเหมือนจะมีคนที่อายุน้อยกว่าเขาด้วย นี่ไม่ใช่เรื่องพิเศษอะไร พวกนี้ถือเป็นอัจฉริยะแต่กำเนิด พรสวรรค์ทางด้านพลังวิญญาณน่ากลัวมาก


 


“ปีนี้ข้าอายุ 17 ไม่ก็ 18” อี้เทียนหยุนคิดว่าอายุของเขาน่าจะประมาณนี้


 


“จริงดิ อายุ 17 จริงๆ!” เด็กหนุ่มถูมือ พูดอย่างตื่นเต้น “เกือบลืมแนะนำตัวเองไปเลย ข้าชื่อหยางอวี่ อันดับ 83 ในตำหนักเทียนเหวิน ชื่อท่านข้ารู้แล้ว เรียกว่าอี้เทียนหยุนสินะ เป็นชื่อที่ดีจริงๆ”


 


อี้เทียนหยุนไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี หยางอวี่คนนี้ช่างทำตัวสนิทสนมกับคนอื่นเก่งจริงๆ แต่ที่เขาสนใจอย่างมากก็คือเรื่องอันดับ


 


“แล้วตอนนี้ข้าอยู่ในอันดับไหน?” อี้เทียนหยุนถาม


 


“เรื่องนี้เราคงต้องไปที่จัตุรัสถึงจะรู้ ตามข้ามา” หยางอวี่พาอี้เทียนหยุนไปยังจัตุรัส ที่นั่นเขาเห็นป้ายศิลา บนนั้นแขวนไว้ด้วยป้ายไม้ที่มีชื่อเขียนอยู่หลายอัน


 


อี้เทียนหยุนกวาดตาดู จากนั้นก็เห็นชื่อตนเองอยู่ในอันดับที่ 81 สูงกว่าหยางอวี่อยู่ 2 อันดับ ประชากรในตำหนักเทียนเหวินไม่ได้มาก ทั้งหมดมีแค่ 133 คนเท่านั้น ซึ่งเขาในตอนนี้อยู่ในอันดับที่ 81!


 


อันดับนี้สำคัญมาก มันสัมพันธ์ต่อการได้รับทรัพยากร การทดสอบวงกตคือการตรวจสอบอันดับ ยิ่งอันดับสูง ทรัพยากรที่ได้ก็ยิ่งมาก ดังนั้น จึงต้องพยายามเลื่อนอันดับให้สูงขึ้น


 


แน่นอนว่าสำหรับเขาแล้วไม่ได้มีความหมายอะไรมากนัก ต่อให้เป็นอันดับ 1 สำหรับเขาที่เป็นอาจารย์สลักอาคมชั้น 5 ใครกันที่จะมีระดับเท่าเขา? เขามาที่นี่เพียงเพื่อเล่นๆ เท่านั้น


 


เป้าหมายจริงๆ ของเขาคือการรวมวังเทียนจี๋เข้ากับนิกายเทียนเฉวียน นี่จึงจะเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของเขา



CLS ตอนที่ 208: หอคอยเทียนหลิง


 


“81 อย่างงั้นเหรอ อันดับนี้ออกจะต่ำไปหน่อยนะ…..”


 


เป็นธรรมดาที่อี้เทียนหยุนจะไม่พอใจ เขาคิดว่าตัวเองควรจะได้อันดับที่สูงกว่านี้ แม้ว่าเขาจะไม่สนใจเกี่ยวกับสิ่งนี้ ทั้งยังไม่ได้วางแผนว่าจะเข้าเป็นศิษย์ของที่นี่ แต่ด้วยความเร็วที่ออกมา อันดับที่ 81 ออกจะต่ำไปจริงๆ


 


“ลูกพี่ ท่านคิดว่าต่ำไปอย่างงั้นเหรอ?” หยางอวี่เผยรอยยิ้มหน้าเกลียดจนเกือบจะกลายเป็นร้องไห้ออกมา แทบจะคุกเข่าให้กับเขา “ข้าเข้าร่วมกับที่นี่มานานยังอยู่แค่อันดับที่ 83 แต่ท่านยังคิดว่าอันดับของตนต่ำไอย่างงั้นเหรอ? ท่านอยู่เหนือรายชื่ออื่นๆ ไปตั้งหลายคน ไม่ได้อยู่อันดับท้ายๆ สักหน่อย ท่านยังไม่พอใจอีกเหรอ”


 


อี้เทียนหยุนรู้กฎของการจัดอันดับดี การตัดสินอันดับของเขามาจากความเร็วในการผ่านป่าวงกต ถ้าเขาเป็นอันดับ 1 อย่างนั้นคงจะไม่ยุติธรรมเท่าไหร่ นี่จำเป็นต้องทดสอบระดับความเข้าใจอีก เพียงแค่ความเร็วในการผ่านป่าวงกตอย่างเดียวก็ได้อันดับที่ 81 แล้ว ไม่ใช่เพราะว่าเขาแข็งแกร่งมาก แต่เป็นเพราะว่าเขามีความเป็นไปได้ที่แข็งแกร่งซ่อนอยู่ ดังนั้นจึงได้อันดับที่ 81 ไป


 


“ข้าก็แค่พูดเล่นเท่านั้นเอง” อี้เทียนหยุนยิ้มสบายๆ ออกมา “คนอื่นไม่กล้าเข้าใกล้ข้า เพราะกลัวจะมีปัญหากับเฟิงยู่หลง แต่เจ้ากลับกล้าเข้าใกล้ข้า แท้จริงแล้วเจ้ามีเป้าหมายอะไร?”


 


เขามองขึ้นอันดับที่สูงขึ้นไป จากนั้นก็เห็นรายชื่อของเฟิงยู่หลงอยู่ในอันดับที่ 30 หยางซีเสวี่ยอยู่ในอันดับที่ 22 ดูแล้วอันดับของพวกเขาก็สูงมาก ที่หยางซีเสวี่ยปฏิเสธเฟิงยู่หลง ที่แท้ก็เพราะความสามารถของตนไม่ได้แย่ สามารถอยู่ในอันดับที่ 23 จากอัจฉริยะจำนวนมาก แค่นี้ก็บอกได้แล้วว่าระดับของเธอนั้นน่าตื่นตะลึงขนาดไหน


 


“ไม่ได้มีเป้าหมายอะไร แค่เห็นท่านผ่านป่าวงกตได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เข้ามา ก็เลยอยากทำความรู้จักก็เท่านั้น…..” เขาถูมือ พร้อมกับยิ้มออกมา ดูแล้วไม่ได้เจตนาร้ายอะไร


 


“ถ้าไม่อยากพูด ข้าก็ไม่บังคับ เมื่อเป็นอย่างนี้ ข้าก็ขอตัวก่อนก็แล้วกัน ส่วนเจ้าก็อยู่ที่นี่เถอะ” อี้เทียนหยุนไม่สนใจเขา พร้อมกับหมุนตัวเดินออกไปข้างนอก


 


“เดี๋ยวก่อน ข้าบอก!” หยางอวี่กลัวอี้เทียนหยุน จึงเลือกจะบอกความจริงออกไป


 


“ข้ากำลังฟัง” อี้เทียนหยุนยิ้มออกมา


 


“ที่จริงแล้วข้ามีความแค้นกับเฟิงยู่หลง เพียงแต่ไม่กล้าสู้กับมัน การที่ท่านทำร้ายมันจนสาหัส ทำให้ข้ารู้สึกเลื่อมใส!” หยางอวี่ยิ้ม “มาเป็นเพื่อนกันเถอะ เรื่องราวในวังเทียนจี๋ข้ารู้ดี เรื่องไหนที่ไม่เข้าใจ ท่านสามารถถามข้าได้!”


 


“เจ้ารู้เรื่องทุกอย่างดีอย่างงั้นเหรอ?”  อี้เทียนหยุนเริ่มสนใจ


 


“แน่นอนอยู่แล้ว ในวังเทียนจี๋ไม่มีใครที่ข้าไม่รู้จัก กระทั่งสถานการณ์ภายนอก ข้าก็รู้เรื่องเป็นอย่างดี ตระกูลหยางของเราเป็นตระกูลที่เก็บรวบรวมข่าวสาร ท่านอยากรู้อะไรข้าจะไปถามมาให้” หยางอวี่ยิ้ม เต็มไปด้วยความมั่นใจ


 


“หยางซีเสวี่ยเป็นอะไรกับเจ้า?” อี้เทียนหยุนถาม


 


“เธอเป็นพี่สาวของข้า….” หยางอวี่พูดด้วยรอยยิ้ม “เฟิงยู่หลงนั้นไม่เหมาะที่จะเป็นพี่เขยของข้า ยิ่งกว่านั้น ตระกูลเฟิงตอนนี้ยิ่งมายิ่งอวดดี ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลพวกเรายิ่งมายิ่งย่ำแย่ ท่านสามารถจัดการเขาได้นับว่าเป็นเรื่องดี ยังไงก็ตาม ท่านก็ต้องระวังตัวไว้ให้ดี ตระกูลเฟิงจะต้องไม่ปล่อยท่านไปแน่ คนอื่นๆ ในตำหนักเทียนเหวินก็จะไม่ปล่อยท่านไปเช่นกัน”


 


“แม้ข้าจะช่วยท่านต่อสู้ไม่ได้….. แต่ข้าจะบอกข่าวทุกอย่างให้กับท่าน บอกเส้นทางหลบหนี บอกว่าใครที่มีความแค้นต่อท่าน หรือจะลงมือกับท่าน ข้าจะบอกท่านล่วงหน้าเอง!”


 


นี่ช่างเป็นสหายผู้ส่งข่าวสารอันสมบูรณ์แบบจริงๆ แต่เรื่องนี้สำหรับเขาแล้ว ไม่ได้มีความหมายอะไร


 


“ไม่ต้องหรอก ข้าจัดการของข้าเองได้”


 


ต่อหน้าพลังที่เด็ดขาดของเขา ไม่ว่ากลโกงหรือแผนร้ายอะไร เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็เป็นได้แค่ขยะเท่านั้น


 


“นี่ท่านมั่นใจขนาดนั้นเชียว?” หยางอวี่ถึงกับตัวสั่น เรื่องที่ควรพูดเขาก็พูดไปหมดแล้ว


 


“ก็ตามนั้นแหละ” อี้เทียนหยุนยิ้ม “เอาล่ะ แล้วข้าจะไปหาคนที่มีพรสวรรค์โดดเด่นได้ที่ไหน?”


 


“นี่…. ต้องไปที่หอคอยเทียนหลิง ถ้าอยากจะหาคนเก่งๆ ล่ะก็ ต้องไปที่หอคอยเทียนหลิง…… หรือว่าท่านจะไปท้าพวกเขา?” หยางอวี่พูดอย่างตกใจ


 


“ไม่หรอก ข้าแค่อยากจะดูเท่านั้น” อี้เทียนหยุนพูด “ข้าจะไปหอคอยเทียนหลิง เจ้าจะไปด้วยกันไหม?”


 


“ไป ไปแน่นอนอยู่แล้ว!” หยางอวี่เหมือนได้กลิ่นว่าจะมีเรื่องเกิดขึ้น


 


เขาไม่รู้ว่าที่อี้เทียนหยุนไปนั้น ไม่ได้ต้องการไปท้าดวลกับใคร เขาแค่อยากจะไปดูว่ามีอัจฉริยะหน้าไหนที่คุ้มค่าแก่การขุดค้นบ้างก็เท่านั้น


 


จากนั้น พวกเขาก็เดินไปยังหอคอยเทียนหลิง และไม่นาน พวกเขาก็มาถึงยังหอคอยเทียนหลิงซึ่งอยู่ในตำหนักเทียนเหวิน ในเมื่อตำหนักเทียนเหวินแห่งนี้ไม่ได้มีฐานะต่ำนัก ดังนั้น ที่นี่จึงเต็มไปด้วยทรัพยากรชั้นดีหลายอย่าง


 


หอคอยเทียนหลิงเป็นหอคอยที่มีไว้เพื่อรวบรวมพลังวิญญาณ มีด้วยกันทั้งหมด 5 ชั้น ยิ่งชั้นสูง ก็ยิ่งต้องการพลังวิญญาณที่สูงตามไปด้วย ด้วยเหตุนั้น การฝึกฝนยังที่แห่งนั้น จึงทำให้ผลลัพธ์ในการฝึกยิ่งแข็งแกร่งขึ้นตามไปด้วย ไม่เพียงแต่จะช่วยฝึกฝนด้านพลังวิญญาณเท่านั้น แต่ยังช่วยยกระดับฝึกตนอีกด้วย! สามารถพูดได้ว่า เป็นการยกระดับสองต่อ


 


การเข้าไปในที่นั่นมีเวลาจำกัด ซึ่งขึ้นอยู่กับอันดับสูงต่ำ ทำให้มีจำนวนวันที่แตกต่างกัน


 


เพราะว่าอี้เทียนหยุนเพิ่งเข้ามาใหม่ ดังนั้นจึงมีจำนวนวันเพิ่มให้ แต่จำนวนวันนี้ก็ไม่ได้มากนัก เพียงแค่ 5 วันนั้น เมื่อรวมกับอันดับของเขา ทำให้อยู่ในนั้นได้ทั้งหมด 10 ซึ่งก็ไม่ได้มากมายอะไร


 


“นี่คือหอคอยเทียนหลิง ช่างโอ่อ่าจริงๆ”


 


อี้เทียนหยุนเงยหน้าขึ้นมอง หอคอยนี้ตั้งตระหง่านพร้อมกับสร้างขึ้นวิธีพิเศษเซวียนเทียน ทำการกักเก็บพลังวิญญาณเอาไว้ข้างใน นอกจากตรงประตูทางเข้าแล้ว ตรงอื่นไม่มีพลังวิญญาณรั่วไหลออกมาแม้แต่น้อย


 


หลังจากเขาเดินเข้ามา ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่กดทับลงมาจากข้างบน นี่ขนาดยังไม่ได้เดินขึ้นบันไดเลยนะ เขาก็สามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่หนักราวกับเหล็ก กำลังกดทับลงมายังร่างของเขา


 


“แรงกดดันนี้ช่างเยี่ยมจริงๆ เหมาะแก่การฝึกฝนของพวกระดับต่ำยิ่งนัก” อี้เทียนหยุนพยักหน้า พื้นเพของวังเทียนจี๋นี่ไม่เลวจริงๆ แม้ว่าจะตกต่ำ แต่ก็ไม่อ่อนแอ


 


เมื่อมีสถานที่เหมาะสมแก่การฝึกฝน ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะเพิ่มเป็นสองเท่าโดยที่ลงแรงเพียงแค่ครึ่งเดียว นี่เปรียบได้กับอาวุธลับของผู้ด้อยพรสวรรค์เพื่อใช้ไล่ตามอัจฉริยะ


 


“มันแน่นอนอยู่แล้ว หอคอยเทียนหลิงนี้เป็นของเรา เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การฝึกฝนเป็นที่สุด แต่ข้อจำกัดก็ค่อนข้างใหญ่ ถ้าไม่มีจำนวนวันก็ไม่สามารถเข้าไปได้…..” หยางอวี่พูดอย่างน่าสงสาร “จำนวนวันของข้าใช้ไปหมดแล้ว ไม่อย่างนั้นข้าคงจะเข้าไปฝึกในนั้นเช่นกัน”


 


หลังจากเข้ามา เขาก็เห็นชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ


 


หยางอวี่ยิ้ม จากนั้นก็พูดกับชายชราคนนั้นว่า “ผู้จัดการหวง พวกเรามาฝึก”


 


นี่ไม่จำเป็นต้องให้อี้เทียนหยุนเอ่ยปาก หยางอวี่ก็จัดการพูดให้ก่อน จากนั้น อี้เทียนหยุนก็หยิบป้ายฐานะส่งออกไป ต้องการฝึกฝนที่นี่ จำเป็นต้องใช้ป้ายฐานะนี้


 


ชายชราคนนั้นรับป้ายฐานะนี้ไป จากนั้นก็มองดูเขา แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าคือคนที่เพิ่งมาใหม่สินะ เพิ่งเข้ามาก็สร้างสถิติขึ้นไม่น้อย พรสวรรค์ก็ดี….. น่าสนใจมาก แล้วเจ้าอยากจะเข้าไปฝึกที่ชั้นไหน?”


 


“ชั้น 5” อี้เทียนหยุนตอบไปโดยไม่ต้องคิด เขาเลือกชั้นที่สูงที่สุดทันที


 


ชั้นอื่นไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับเขา ถึงยังไงก็ตัดวันเหมือนกัน ด้วยระดับปัจจุบันของเขา ต่อให้เป็นชั้น 5 ก็ไม่ได้มีแรงกดดันใดๆ ต่อเขาอย่างแน่นอน



CLS ตอนที่ 209: ชั้น 5


 


เปิดปากออกมาก็ชั้น 5 แล้ว อย่าว่าแต่หยางอวี่ แม้แต่ผู้จัดการหวงเองยังตกใจ


 


“ชั้น 5?” ผู้จัดการหวงตกใจ จากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ความทะเยอทยานของเจ้านี่ไม่ใช่น้อยๆ จริงๆ ยังไม่เคยสัมผัสชั้นอื่นๆ เลยด้วยซ้ำก็คิดจะไปชั้น 5 แล้ว? ตอนนี้ที่ชั้น 5 นั้น คนที่สามารถทนได้มีเพียงผู้อยู่ในรายชื่อ 30 อันดับแรกเท่านั้น เจ้าจะเอาอย่างนี้จริงๆ? ถ้าลงมา จำนวนวันของเจ้าจะต้องถูกตัดเช่นกัน เมื่อถึงตอนนั้น ไม่เพียงแต่จะเสียหน้าเท่านั้น แต่จำนวนวันก็จะน้อยลงไปอีกวันด้วย”


 


“ขอบคุณผู้จัดการหวงสำหรับคำแนะนำ แต่ข้าจะไปที่ชั้น 5 จริงๆ ส่วนจำนวนวันนั้น เอาเป็นสิบวันไปเลย” อี้เทียนหยุนพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“อะไรนะ สิบวัน?” ผู้จัดการหวงตาโต มองไปยังอี้เทียนหยุนพร้อมกับพูดออกมาด้วยท่าทางเซ่อๆ ว่า “เจ้าจะเอาอย่างนี้จริงๆ? คนที่จะอยู่บนชั้น 5 ได้ถึง 10 วัน มีแต่ 15 อันดับแรกเท่านั้น”


 


เขารู้ว่าพรสวรรค์ด้านพลังวิญญาณของอี้เทียนหยุนนั้นยอดเยี่ยม แต่เพิ่งมาก็เลือกระดับความยากสูงสุดแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด ถ้าเลือกเป็นวันแล้ว จำนวนที่ถูกตัดก็จะเป็นจำนวนวัน ถ้าทนไม่ไหว ก็จะกลายเป็นสูญเปล่าไป


 


“ผู้เยาว์ตัดสินใจว่าจะเอาอย่างนี้แน่แล้ว!” อี้เทียนหยุนมีสายตามุ่งมั่น ทำให้ผู้จัดการหวงส่ายหัวถอนใจ เขาเป็นแค่ผู้เฝ้าหอ ไม่มีสิทธิ์แทรกแซงตัวเลือกของศิษย์ ถึงยังไงถ้ามาข้อผิดพลาดขึ้น มันก็เป็นสิ่งที่พวกเขาเลือกเอง


 


เขาหวังจะให้ประสบการณ์สั่งสอนเขา จึงไม่พูดอะไรอีก


 


“ก็ได้ ข้าจะลงทะเบียนให้ จำนวนวันทั้งหมดของเจ้าหมดลงแล้ว ตอนนี้ขึ้นไปที่ชั้น 5 ได้ แต่จำไว้ ถ้าไม่ไหวก็ให้ลงมา ส่วนชั้นอื่นๆ นั้น เจ้าไม่สามารถเข้าไปได้” ผู้จัดการหวงพูดเตือนเขา


 


หอคอยเทียนหลิงเมื่อเลือกชั้นไหนก็เป็นชั้นนั้น ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นชั้นอื่นได้ เห็นได้ชัดว่าไม่มีความใจอ่อน แต่กฎนี้ก็เป็นธรรมเนียมที่ปฏิบัติกันมาช้านานแล้ว เมื่อเลือกแล้ว ก็ไม่สามารถถอยกลับได้ เหตุผลที่ตั้งกฎอย่างนี้ก็เพราะว่ามียันต์ช่วยชีวิตยังไงล่ะ


 


ครั้งหนึ่งเคยมีคนฝึกจนหมดสติ ทำให้ยันต์ช่วยชีวิตแตกออกเป็นชิ้นๆ พร้อมกับเปิดใช้งานระบบช่วยชีวิต พร้อมกับส่งคนในนั้นออกมา แต่ละชั้นต่างก็มียันต์ช่วยชีวิตที่ต่างกัน ถึงยังไงแล้ว ความหนาแน่นของแต่ละชั้นก็ไม่เท่ากัน


 


ทั้งยันต์ช่วยชีวิตยังมีระบบในการช่วยรวบรวบพลังวิญญาณอีกด้วย ถ้าให้พูดตรงๆ ก็คือ เมื่อเปิดใช้ยันต์ช่วยชีวิต ก็เท่ากับว่าตนเองกลายเป็นเป้าหมายในการโจมตี ต้องถูกพลังวิญญาณโจมตีอย่างต่อเนื่อง


 


หากปราศจากสิ่งนี้ การไปยังชั้น 5 ก็จะกลายเป็นไร้ความหมายไป


 


ส่วนถ้าจะให้เปลี่ยนจากยันต์ช่วยชีวิตเป็นอย่างอื่นก็ไม่ได้เหมือนกัน ดังนั้นนี่จึงเป็นความรับชอบต่อตัวเลือกของตน ใครใช้ให้ตัวเองเลือกสิ่งที่เกินตัวกันล่ะ


 


“มารดามันเถอะ ลูกพี่ ท่านจะเอาอย่างนั้นจริงๆ เหรอ? ชั้น 5 เป็นที่ที่เหล่า 25 อันดับแรกขึ้นไป ถ้าท่านขึ้นไป ท่านจะต้องหมดสติอย่างรวดเร็วแน่นอน ท่านจะเอาอย่างนั้นจริงๆ?” หยางอวี่ที่ตกตะลึงก็ได้สติแล้วพูดถามออกมา


 


“แน่นอน หรือว่าเจ้าคิดว่าข้ากำลังเล่นๆ อย่างงั้นเหรอ?” อี้เทียนหยุนส่ายหัว


 


“นี่….. ข้าว่าท่านลองเริ่มที่ชั้น 3 ดีกว่าไหม ข้าคิดว่าที่นั่นเหมาะกับท่านมากกว่า หรือว่าจะชั้น 4 …… ไม่ ไม่ได้….. แม้ว่าชั้น 5 จะให้ค่าประสบการณ์ต่อวันที่ดีกว่า แต่ถ้าเกิดท่านล้มเหลวขึ้นมาล่ะ นั่นเท่ากับเสียจำนวนวันเปล่าๆ ไปหลายวันเลยนะ? เมื่อถึงตอนนั้นทุกอย่างก็ถือว่าจบสิ้น” หยางอวี่พยายามหว่านล้อมไม่หยุด เขาคิดว่าอี้เทียนหยุนจะต้องอยู่ได้ไม่นานแน่ ถ้าหมดสติไป นั่นเท่ากับเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่เชียวนะ


 


“ก็ใช่ ถ้าข้าหมดสติ ทรัพยากรที่ได้ก็น้อยจนไม่พอให้เคี้ยว” อี้เทียนหยุนทราบถึงความหวังดีของเขา แต่ว่าเขาก็รู้จักระดับตนเองดี


 


ระดับก่อแกนวิญญาณอย่างเขาจะมาหมดสติในที่แห่งนี้เนี่ยนะ? พูดเป็นเล่น!


 


อี้เทียนหยุนรับยันต์ช่วยชีวิตนี้มา จากนั้นก็เดินตรงไปยังชั้น 5 อย่างรวดเร็ว เขาขึ้นบันไดจนมาถึงชั้น 5 บนนี้ แรงกดดันที่ส่งออกมารุนแรงมาก แม้จะมีค่ายกลใหญ่ที่ประตูหน้าผนึกไว้ แต่ก็เหมือนจะมีบางสิ่งจากข้างในส่งผ่านออกไปได้อยู่ดี


 


เมื่อเขามาถึงชั้น 5 เขาก็เห็นประตูขวางอยู่ ในนั้นมีคนจำนวนไม่มากเท่าไหร่กำลังนั่งฝึกฝน


 


อี้เทียนหยุนไม่ลังเล เขาก้าวเข้าไปข้างใน ที่ด้านนอก หยางอวี่ยังคงมองดูเขา หลังจากที่เข้าไป ทันใดนั้นก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่พุ่งเข้ามาจากสี่ทิศแปดทาง หลังจากเลือกตำแหน่งได้แล้ว เขาก็หยิบเอายันต์ช่วยชีวิตออกมา หลังจากใส่พลังวิญญาณเข้าไป แรงกดดันที่น่าสะพรึงก็โหมซัดเข้ามาในทันที ซึ่งแน่นอนว่าสำหรับเขาแล้ว มันไม่ได้มีความหมายอะไรนัก


 


เขารู้สึกเพียงแค่ได้ยินเสียงหึ่งๆ ดังในหัว จากนั้นก็เริ่มขจัดแรงปะทะของพลังวิญญาณนี้ออกไป ยังไงก็ตาม ผลลัพธ์ที่ได้ก็มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ได้ช่วยให้พลังวิญญาณของเขาเพิ่มขึ้นแม้แต่น้อย มีเพียงความรู้สึกคันเล็กๆ ยังไงก็ตาม แม้จะเล็กน้อย แต่มันก็ช่วยเพิ่มค่าประสบการณ์ให้กับเขา!


 


ภายใต้พลังวิญญาณที่โถมเข้ามา ก็ย่อมมีพลังวิญญาณบริสุทธิ์ปนอยู่ด้วย ซึ่งกำลังแทรกซึมเข้าไปในร่างของเขาอย่างต่อเนื่อง นี่ก็เหมือนกับการใช้แรงปะทะของพลังวิญญาณเพื่อทะลวงเข้าไปยังร่างของเขา พร้อมกับแหวกว่ายไปเรื่อยเปื่อยในร่างกายของเขา ช่วยให้เขาดูดซับได้ง่ายขึ้น


 


“ท่านได้รับค่าประสบการณ์ 300, 350, 340…..”


 


เนื่องเพราะเป็นสถานที่ฝึกสำหรับระดับปรับแต่งวิญญาณ ดังนั้นค่าประสบการณ์ที่ได้จึงไม่มาก เพราะงั้นเขาก็เลยไม่คิดที่จะเปิดใช้งานโหมดคลั่ง


 


“ช่างเป็นที่ฝึกที่ดีจริงๆ ถ้ามีหอคอยเทียนหลิงอยู่ในซากโบราณสถานเทียนเฉินได้ก็ดีสิ จะได้ทำเป็นที่ฝึกพิเศษ เหมาะให้ศิษย์ที่ฝึกเป็นนักสลักอาคมไว้ฝึกฝน…..” อี้เทียนหยุนชื่นชมที่แห่งนี้ แม้ว่าจะไม่พอใจผลลัพธ์ที่ได้ แต่ก็ค่อนข้างพอใจกับระบบของที่นี่ ถ้ามีไว้ที่ซากโบราณสถานเทียนเฉินสักอันจะดีแค่ไหนกันนะ


 


แม้ว่าเขาจะมีความรู้ของเผ่าภูต แต่ก็มีอักษรรูนบางตัวที่เขายังสร้างไม่ได้ เพราะอักษรรูนของเผ่าภูตนั้นมีอำนาจมาก แม้แต่ระดับที่แย่ที่สุดยังต้องเป็นระดับหลอมรวมขึ้นไปถึงจะสร้างออกมาได้ แต่ระดับของศิษย์ใหม่นั้นไม่มีอยู่ในความทรงจำของเขา


 


นี่จึงถือเป็นแหล่งอ้างอิงใหญ่สำหรับเขา ให้เขาได้ศึกษาว่าจะนำกลับไปสร้างที่ซากโบราณสถานเทียนเฉิน เพื่อเป็นที่ฝึกเฉพาะ


 


ในขณะที่เขากำลังสำรวจรอบๆ เขาก็ทำการมองหาศิษย์ที่โดดเด่นของที่นี่ไปด้วย และเมื่อมองไป ทันใดนั้น สายตาของเขาก็พบเข้ากับคนคุ้นเคยที่กำลังนั่งฝึกฝนอยู่ นั่นก็คือหยางซีเสวี่ย เหมือนว่าก่อนหน้านี้ที่เธอจากมา เธอจะมาฝึกฝนในหอคอยเทียนหลิงแห่งนี้


 


“นี่ นี่เจ้าเข้ามาชั้น 5 เลยเหรอ?” หยางซีเสวี่ยตกใจ อี้เทียนหยุนเพิ่งจะมาได้ไม่ถึงวัน เขาไม่แม้แต่ลองที่ชั้นอื่น แต่กลับมาที่ชั้น 5 เลย!


 


อี้เทียนหยุนเพิ่งมาถึงก็มีหลายคนสังเกตเห็นเขาแล้ว กระทั่งหยางซีเสวี่ยก็เช่นกัน


 


เพิ่งมาได้ไม่นานก็คิดจะเทียบรุ่นกับเหล่าศิษย์พี่แล้ว ขึ้นมาชั้น 5 นี้ นี่เขาไม่กลัวตายเลยอย่างงั้นเหรอ?


 


หลังจากเขามา ผู้คนก็ราวหม้อต้มที่กำลังเดือน หลายคนมองมาที่เขาด้วยสายตาไม่ปกติ บางคนรู้สึกดูถูก คิดว่าอี้เทียนหยุนไม่ประมาณตน คิดเคี้ยวกลืนสิ่งที่ยากจะกลืนไหว!


 


“นี่ไม่ใช่คนที่เพิ่งมาใหม่หรอกเหรอ? กล้าไม่เบาเลยนี่ มาถึงก็ขึ้นไปชั้น 5 แล้ว ข้าขอพนันว่า ไม่เกิน 1 วัน เขาจะต้องม้วนหัวกลับมาอย่างแน่นอน”


 


“1 วันอย่างงั้นเหรอ? ข้าว่าอยากมากก็ได้แค่อีกไม่นานนี้หรอก!”


 


“ไม่รู้ว่าเขาลงทะเบียนไว้กี่วัน ถ้าลงไว้หลายวัน นั่นก็ถือว่าโง่แล้ว”


 


……


 


คนที่คุยกันนี้คือพวก 30 อันดับแรก พวกเขาพากันส่ายหัว ไม่พอใจอี้เทียนหยุนอย่างมาก เขาจัดการเฟิงยู่หลงอย่างสาหัส แล้วตอนนี้ยังคิดจะมาเทียบชั้นพวกเขาอีก?


 


ไม่มีใครรู้ว่าอี้เทียนหยุนมาที่นี่ทำไม เขามาเพราะอยากจะมาดูอัจฉริยะ แต่ตอนนี้เขาได้เปลี่ยนมาศึกษาค่ายกลของที่นี่แล้ว ดูว่าจะสร้างมันขึ้นมาได้ยังไง



CLS ตอนที่ 210: ดวล


 


“เจ้ามานี่ได้ยังไง ที่นี่สำหรับเจ้าแล้ว มันมีแรงกดดันมากเลยนะ….” หยางซีเสวี่ยรีบพูดขึ้นมา


 


“มีแรงกดดันอะไรที่ไหน? เจ้าฝึกของเจ้าไปเถอะ ขอข้าเดินดูที่นี่หน่อย” อี้เทียนหยุนไม่ได้นั่งลงฝึก แต่กลับเอาแต่เดินไปเดินมาในห้องนี้แทน พร้อมกับสำรวจอักษรรูนบนผนัง


 


หยางซีเสวี่ยไม่กล้าเดินไปไหนมาไหนตามใจ หลังจากมองตามเขาด้วยสายตาช่วยไม่ได้แล้ว ก็กลับมานั่งฝึกของตนต่อ ที่นี่ไม่ได้มีอันตรายอะไร แต่ในเมื่อบอกแล้วไม่เชื่อก็คงต้องแล้วแต่บุญแต่กรรม


 


หยางอวี่ที่อยู่ข้างนอกมองอย่างตกตะลึง อี้เทียนหยุนไม่เพียงเข้าไปได้เท่านั้น แต่กลับเดินเตร่ไปทั่ว ทำแบบนี้แล้วมีความหมายอะไร?


 


เรื่องนี้พลันแพร่กระจายไปในตำหนักเทียนเหวินอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็นำมาซึ่งเสียงหัวเราะเยาะ เพิ่งจะเข้าร่วมตำหนักเทียนเหวิน แต่กลับท้าทายกับชั้น 5 โดยตรง ยิ่งกว่านั้นยังมากถึง 10 วัน! ทรัพยากรจำนวนมากขนาดนี้ ไม่ควรเสียเปล่าอย่างนี้เลย


 


หลังจากแพร่ออกไป ศิษย์ตำหนักเทียนเหวินหลายคนก็เข้ามามุง เจี่ยผิงพร้อมด้วยเลี่ยวเหวินก็มาดูเช่นกัน เมื่อเลี่ยวเหวินสังเกตเห็นอี้เทียนหยุนอยู่ข้างใน ในสายตาก็เกิดประกายขึ้นหลายส่วน พร้อมกับพูดกับเพื่อนที่อยู่ใกล้ๆ ว่า “ลูกพี่เจี่ย เจ้าเด็กนี่แหละที่ทำร้ายพี่เฟิง!”


 


เจี่ยผิงหัวเราะหึหึ แล้วพูดขึ้นว่า “มันเข้าไปนานแค่ไหนแล้ว?”


 


“เกือบจะชั่วยามแล้ว” เมื่อศิษย์ที่อยู่ใกล้ๆ เห็นเขา ก็อ้าปากค้างพร้อมกับพูดออกมา


 


“เกือบชั่วยามอย่างงั้นเหรอ….” เจี่ยผิงแค่นเสียงออกมา น้ำเสียงของเขาดังลงมาถึงชั้นล่าง หลังจากนั้น เขาก็ลงไปรับยันต์ช่วยชีวิตมา มีเพียงยันต์ช่วยชีวิตนี้เท่านั้นถึงจะสามารถเข้าไปได้ ไม่มีมันก็ทำได้เพียงมองดูจากข้างนอกเท่านั้น


 


หลังจากได้ยันต์ช่วยชีวิตมาแล้ว เขาก็ก้าวเข้าไปในห้อง ตำแหน่งของเขาอยู่ในอันดับที่ 24 ผู้จัดการหวงบอกว่ามีเพียง 30 อันดับแรกเท่านั้นถึงจะสามารถทนอยู่ในนี้ได้เป็นเวลานาน เวลานานที่ว่านี้คือจำนวน 2-3 วัน


 


ถ้าไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้ 2-3 วัน ถือว่ามาไม่คุ้มอย่างแท้จริง


 


“ลูกพี่ มีคนกำลังไปสร้างปัญหาให้ท่าน!” ในตอนนี้เอง หยางอวี่ก็ตะโกนเข้าไปข้างใน


 


เลี่ยวเหวินมองมาที่เขาอย่างเย็นชา พร้อมกับพูดเสียงเย็น “หยางอวี่ เจ้าจะหาเรื่องพวกเราอย่างงั้นเหรอ?”


 


“หาเรื่องอะไร ข้าก็ตะโกนเท่านั้น มีปัญหาอะไรอย่างงั้นเหรอ?” หยางอวี่ได้กลัวพวกเขา


 


ในตอนนี้เอง ที่ข้างใน เจี่ยผิงก็ได้เดินมาตรงหน้าอี้เทียนหยุน พร้อมกับพูดอย่างจริงจังว่า “เจ้าหนู นี่ที่ที่ข้าชอบ ไสหัวไปซะ!”


 


แน่นอนว่าที่เข้ามา เขาไม่ได้เข้ามาเพื่อรบกวนการฝึกฝนของคนอื่น เจี่ยผิงมาที่นี่เพื่อแก้แค้นให้กับเฟิงยู่หลงโดยเฉพาะ ไม่ได้เข้ามาเพื่อฝึกฝน


 


อี้เทียนหยุนเงยหน้ามองมาที่เจี่ยผิงด้วยสายตาเย็นชา “อาจารย์ของเจ้าไม่เคยสอนเหรอว่า การรบกวนการฝึกฝนของคนอื่น เท่ากับเป็นการฆ่าคนอื่นทางอ้อม!”


 


“โทษที พอดีข้าไม่มีอาจารย์ และนี่ก็เป็นที่ที่ข้าชอบ ไสหัวออกไปฝึกที่อื่นซะ!” เจี่ยผิงคนนี้หนังหน้าหนาจริงๆ เขาไม่ลงมือ แต่คิดจะก่อกวนไม่ให้อี้เทียนหยุนสามารถฝึกฝนได้


 


“เจี่ยผิง พอได้แล้ว! มารบกวนการฝึกของคนอื่น ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป เจ้าไม่กลัวจะถูกหัวเราะเยาะหรือไง!” หยางซีเสวี่ยที่อยู่ใกล้ๆ ทนมองไม่ไหว จึงลุกขึ้นพูด


 


“หยางซีเสวี่ย เจ้าเกี่ยวข้องอะไรกับมัน ถึงได้ช่วยพูดให้กับมัน?” เจี่ยผิงพูดอย่างเย็นชา “คู่หมั้นของเจ้ายังนอนอยู่ที่เตียง แต่เจ้าไม่แม้แต่จะไปดู เจ้ายังมีความรู้สึกอยู่หรือเปล่า?”


 


“ข้ากำลังพูดความจริง ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป เจ้าจะเป็นคนทำให้ตระกูลเจี่ยเสียหน้า! แล้วเขาก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับข้า ยิ่งกว่านั้น เฟิงยู่หลงก็ไม่ใช่คู่หมั้นข้า!” หยางซีเสวี่ยพูดอย่างจริงจัง “ถ้าแน่จริงก็ท้าดวลกันตรงๆ ไปเลยสิ นี่จึงจะเป็นวิธีที่ลูกผู้ชายใช้กัน ไม่ใช่ใช้วิธีการชั้นต่ำแบบนี้!”


 


เธอทนไม่ได้ที่จะมองเรื่องแบบนี้ ขอดวลไปตรงๆ เลยสิ นั่นถึงจะเป็นลูกผู้ชายที่แท้จริง การที่มาก่อกวนอย่างนี้ มันมีแต่จะทำให้คนหัวเราะ แบบนี้มันจะไปต่างอะไรจากพวกอันธพาลกัน?


 


“ดวลอย่างงั้นเหรอ ข้ากำลังคิดอยู่พอดี!” เจี่ยผิงมองไปยังอี้เทียนหยุน พร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยว่า “เจ้าเต็มใจยอมรับการประลองกับข้าหรือเปล่า!”


 


“ประลองอย่างงั้นเหรอ? มีอะไรน่าสนใจ” อี้เทียนหยุนพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ข้ามาที่นี่เพื่อฝึกฝน อย่างอื่นไม่เกี่ยวอะไรกับข้า”


 


คำพูดนี้ทำให้เจี่ยผิงแทบจะระเบิดออกมา ไม่แม้แต่จะคิดถึงเรื่องคำท้าของเขา ทั้งยังปฏิเสธออกมาตรงๆ อีก


 


“เจ้ามันขี้ขลาด!” เจี่ยผิงดูถูก “ทุกคนดู ข้าอยากจะท้าดวงกับมันอย่างลูกผู้ชาย แต่ว่ามันกลับปฏิเสธ!”


 


ผู้คนที่อยู่ข้างนอกพลันโห่ร้องออกมาทันที คิดว่าอี้เทียนหยุนเป็นคนขี้ขลาด ไม่กล้าแม้แต่จะขึ้นประลอง


 


อี้เทียนหยุนมองเขาด้วยหางตาตั้งแต่หัวจรดเท้า พร้อมกับพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “แล้วเจ้าอยากจะดวลอะไร?”


 


“ดีมาก ในที่สุดเจ้าก็รับคำท้าของข้า!” เจี่ยผิงพลันตาเป็นประกาย พูดออกมาว่า “ไม่ใช่ว่าเจ้าคือคนที่ออกจากป่าวงกตเร็วที่สุดหรอกเหรอ ทั้งยังเลือกจะอยู่ที่นี่เป็นเวลา 10 วันอีก! เอาอย่างนี้ ข้าจะแข่งขันพลังวิญญาณกับเจ้า ใครอยู่ที่นี่ได้นานกว่าเป็นผู้ชนะ เป็นยังไง!”


 


“ไม่มีปัญหา แล้วบทลงโทษสำหรับผู้ชนะและผู้แพ้ล่ะ?” อี้เทียนหยุนพูดอย่างไม่ใส่ใจ


 


“ถ้าข้าแพ้ ข้าจะเป็นคนรับใช้เจ้า! แต่ถ้าเจ้าแพ้ เจ้าจะต้องเป็นคนรับใช้ข้า ระยะเวลา 1 ปี ว่ายังไง!” เจี่ยผิงบอกเงื่อนไข


 


“ไม่จำเป็น สำหรับคนรับใช้ข้านั้น เจ้ายังมีคุณสมบัติไม่เพียงพอ” อี้เทียนหยุนพูดออกมา “คำขอของข้าก็ง่ายๆ ให้ข้าตบหน้าเจ้า มันจะได้ซึมลึกลงไปในสมองของเจ้านานหน่อย”


 


คำพูดนี้ของเขาทำให้หลายคนพากันตกใจ เด็กใหม่คนนี้ช่างใจกล้าจริงๆ? กล้าพูดคำนี้ออกมาอย่างไม่คาดคิด แม้ว่าอันดับของเจี่ยผิงจะไม่ได้สูงเป็นพิเศษ แต่ก็อยู่ในอันดับที่ 24 ถือว่าเป็นศิษย์ที่โดดเด่นคนหนึ่ง แต่เขากลับมีคุณสมบัติไม่พอ? ต้องติด 1 ใน 10 อย่างงั้นเหรอ ถึงจะมีคุณสมบัติพอ?


 


“ดี ดี ดี!” เจี่ยผิงโกรธจนตัวสั่น “เอาตามเจ้าว่า! ตราบเท่าที่เจ้าชนะข้า อย่าว่าแต่ทีเดียว ข้าให้เจ้าตบ 2 ทีด้วยซ้ำ แล้วตอนนี้จะเริ่มได้หรือยัง!”


 


เขาระเบิดความโกรธออกมา ถ้าไม่ใช่เพราะกฎ เขาคงลงมือกับอี้เทียนหยุนไปแล้ว นอกจากความยินยอมทั้งสองฝ่าย ไม่อย่างนั้นห้ามลงมือเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง!


 


“เริ่มตอนไหนแล้วแต่เจ้าเลย” อี้เทียนหยุนบอกเขา


 


“งั้นก็เริ่มตอนนี้เลย!” เจี่ยผิงหยิบยันต์ช่วยชีวิตออกมา พร้อมกับนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม จากนั้นก็ใส่พลังวิญญาณเข้าไปในยันต์ ทำให้ยันต์เปล่งแสงออกมา จากนั้น พลังวิญญาณที่อยู่รอบๆ ก็โหดซัดเข้าใส่ร่างของเขาอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ร่างของเขาสั่นน้อยๆ เริ่มการดวลในทันที


 


อี้เทียนหยุนก็หยิบยันต์ออกมาเหมือนกัน หลังจากใส่พลังวิญญาณลงไป จากนั้นก็ทนรับพลังวิญญาณที่โจมตีเข้ามาจากรอบด้าน


 


อี้เทียนหยุนไม่ได้หลับตา แต่ยังคงตรวจสอบอักษรรูนที่อยู่ใกล้ๆ ไม่ได้เก็บการประลองนี้มาใส่ใจ


 


คนที่มุงอยู่ข้างนอกหลายคนไม่ได้ชอบหน้าอี้เทียนหยุน เหตุผลนั้นง่ายมาก เพราะอันดับของอี้เทียนหยุนต่ำเกินไปยังไงล่ะ แค่อันดับที่ 81 แต่กลับกล้าเผชิญหน้ากับเจี่ยผิงที่อยู่ในอันดับ 24 ซึ่งห่างกันหลายสิบอันดับ!


 


อันดับนี้ไม่ได้จัดขึ้นมามั่วๆ แต่เป็นการแสดงถึงความต่าง พวกเขาคิดว่าอี้เทียนหยุนคงคิดว่ามันเป็นเรื่องง่าย ว่าการทะลวงระดับของพลังวิญญาณจะเหมือนกับระดับฝึกตน ซึ่งบอกได้เลยว่ายากกว่ามาก เพราะงั้น มันจึงมีแต่การประลองยุทธ์ แต่ไม่มีการประลองพลังวิญญาณ


 


ยิ่งกว่านั้น อี้เทียนหยุนยังเลือกที่จะไม่หลับตาอีก เขาไม่ได้ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย ที่จริงแล้วเพราะเขาโง่ หรือว่ามั่นใจจริงๆ กันแน่?



CLS ตอนที่ 211: คนล่ะ?


 


การดวลนี้ก่อให้เกิดความปั่นป่วนในตำหนักเทียนเหวิน ศิษย์ทุกคนที่อยู่ว่างต่างพากันมุ่งมาที่นี่ กระทั่งเหล่าผู้จัดการก็ยังมา นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นบางคนกำลังประลองพลังวิญญาณขึ้นที่นี่ ยิ่งกว่านั้น อี้เทียนหยุนซึ่งเป็นศิษย์ใหม่ก็เพิ่งจะเข้าร่วมวันนี้เอง


 


“พระเจ้า ลูกพี่ประลองพลังวิญญาณกับเจี่ยผิงจริงๆ นี่เขารู้หรือเปล่าว่ากำลังทำอะไรอยู่!” หยางอวี่ที่อยู่ข้างนอกเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา


 


ถ้าอี้เทียนหยุนแพ้ เขาจะต้องกลายเป็นข้ารับใช้ของเจี่ยผิง และด้วยนิสัยของเจี่ยผิง เขาจะต้องทำเหมือนกับอี้เทียนหยุนเป็นสุนัขอย่างแน่นอน บางที อาจจะแย่ยิ่งกว่าสุนัขจริงๆ ก็ได้


 


“อี้เทียนหยุนคนนี้ช่างไม่รู้จักใจเย็นเลยสักนิด ถึงกับตอบรับการดวลซึ่งเกิดจากการยั่วยุ คนๆ นี้ช่างเด็กจริงๆ ขนาดความตายเข้ามาใกล้ก็ยังไม่รู้ตัวอีก”


 


“ใช่ เพิ่งเข้าร่วม แถมยังไม่มีความเข้าใจก็ทำอย่างนี้ซะแล้ว ไม่นานหรือหลังจากนี้คงต้องเจอดีเข้าสักวัน”


 


“หึหึ เขาจะต้องพ่ายแพ้ต่อเจี่ยผิงในครั้งนี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องรอหลังจากนี้หรอก”


 


คนรอบๆ พากันส่ายหัว คนหนุ่มที่มีความสามารถอยู่นิดหน่อยมักจะอวดดีกันอย่างนี้ล่ะ คงสักวันที่ต้องตายอยู่ข้างถนนโดยที่ไม่รู้ตัว


 


“มา เร่เข้ามา เร่เข้ามา!” ในตอนนี้เอง คนที่อยู่ด้านนอกบางคนก็ได้ร้องตะโกนขึ้น “มาพนันกัน ระหว่างเจี่ยผิงกับอี้เทียนหยุน ใครจะเป็นผู้ชนะ อัตราต่อรองอยู่ที่ 1 ต่อ 3!”


 


“โอ้ นี่ไม่ใช่ว่าเสียเงินเปล่าหรอกเหรอ ข้าลงข้างเจี่ยผิง!”


 


“ข้าด้วย ข้าลง 1,200!”


 


“ข้าลง 520!”


 


ส่วนใหญ่ทุกคนล้วนแต่ลงข้างเจี่ยผิงเป็นผู้ชนะกันทั้งนั้น มีน้อยมากที่ลงข้างอี้เทียนหยุนเป็นผู้ชนะ และลงกันแค่ 1-2 เหรียญเท่านั้น


 


“พวกเจ้าจะลงแต่อย่างนี้ไม่ได้ เขาเป็นคนที่ออกมาจากป่าวงกตได้เร็วที่สุด พวกเจ้าไม่คิดถึงเรื่องนี้บ้างหรือไง?” ศิษย์ที่เป็นเจ้ามือมีสีหน้าเจ็บปวด ถ้าทุกคนเอาแต่ลงข้างเดียวแบบนี้ เขาคงหมดตัวจนไม่เหลือแม้แต่กางเกงใน


 


“ผ่านป่าวงกตเป็นแค่ความสามารถเล็กๆ เท่านั้น แม้ว่าเขาจะบอกว่าไม่เคยผ่านป่าวงกตมาก่อน แต่เขาจะต้องเคยเจอแบบที่คล้ายๆ กันมาแล้วอย่างแน่นอน คนที่ลงข้างเขามีแต่คนโง่เท่านั้นแหละ และข้าก็ไม่ใช่คนโง่ด้วย!”


 


“ใช่แล้ว ปากบอกว่าไม่เคยผ่านป่าวงกตนี้ แต่ที่จริงต้องเคยผ่านมาแล้วแน่ แถมอาจจะใช้ทางลัดก็ได้!”


 


พวกเขาพากันหัวเราะครื้นเครง คิดว่าเจ้ามือคนนี้ คราวนี้จะต้องติดหนี้หัวโตแน่


 


“ข้าลงข้างเขา 3,200!” เสียงคำรามดังมาจากฝูงชน หยางอวี่เดินออกมา พร้อมกับวางเงิน 3,200 ลงข้างอี้เทียนหยุน “ข้าลงข้างเขา 3,200!”


 


“หยางอวี่ วิธีดึงดูดความสนใจของเจ้าดีนี่ แต่ถ้าเขาแพ้ล่ะ เจ้าจะทำยังไง?” คนที่อยู่ใกล้ๆ คนเดิมพูดเยาะเย้ย


 


“เรื่องของข้า เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?” หยางอวี่ถลึงตาใส่เขา ไม่สนใจสายตาของคนอื่นอีก


 


หลายคนต่างก็พากันมองเขาด้วยท่าทางยโส อย่างทำตัวโง่เอง งั้นก็อย่ามาโทษว่าพวกเขาไม่บอกก็แล้วกัน


 


ด้านนอกยังคงเต็มไปด้วยเสียง ขณะที่ข้างในกำลังแข่งขันกันอย่างต่อเนื่อง อี้เทียนหยุนและเจี่ยผิงกำลังนั่งเข้าสมาธิในจุดของตน และแน่นอนว่าอี้เทียนหยุนก็ยังคงมองสำรวจอักษรรูนที่สลักตามฝาผนังด้วยดวงตาประเมินอย่างต่อเนื่อง ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป เขาจะต้องสร้างค่ายกลนี้ขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์แน่นอน


 


และเวลาก็ได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่เวลาล่วงเลยผ่าน พวกเขายังคงไม่ส่งเสียง


 


อย่างรวดเร็ว หนึ่งวันก็ได้ผ่านไป อี้เทียนหยุนยังคงไม่แพ้ เขายังคงทนได้


 


วันถัดมา สีหน้าของเจี่ยผิงเริ่มซีดเล็กน้อยแล้ว ด้วยระดับอย่างเขา ไม่สามารถทนได้เป็นเวลานาน แต่สีหน้าของอี้เทียนหยุนยังคงปกติดี ไม่มีอะไรเปลี่ยนแม้แต่น้อย


 


และวันที่สามก็ได้ผ่านไป สีหน้าของเจี่ยผิงกลายเป็นน่าเกลียด เขาลืมตาขึ้นเหลือบมองเล็กน้อย และก็เห็นว่าอี้เทียนหยุนยังคงมีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง ราวกับไม่เป็นอะไร ทำให้เขาต้องมองไปรอบๆ ถ้าเขาไม่เห็นว่ามีคลื่นพลังวิญญาณกระเพื่อมอยู่รอบๆ ร่างของอี้เทียนหยุนแล้วล่ะก็ เขาคงคิดว่าเขายังไม่ได้เริ่มเลยด้วยซ้ำ


 


ผู้คนที่มุงอยู่ด้านนอกล้วนพากันตกใจ พวกเขาคิดว่าอี้เทียนหยุนคงจะได้สักวัน หรือไม่ก็สองวันก็ดีแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าเขาจะทนได้ถึงวันที่สาม!


 


และเมื่อถึงวันที่สี่ เจี่ยผิงก็ได้ลุกขึ้น ใบหน้าซีดขาวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ยันต์ช่วยชีวิตในมือเขาในตอนนี้หยุดทำงานไปแล้ว นี่ไม่ใช่เพราะว่ายันต์ช่วยชีวิตได้แตกออก แต่เป็นเพราะว่าเวลาของเขาหมดลงแล้ว เขายื่นเรื่องลงทะเบียนไว้แค่ 4 วัน และที่จริงแล้ว 4 วันก็คือขีดจำกัดของเขา


 


ตอนนี้วันที่สี่ได้ผ่านไปแล้ว แต่ว่าอี้เทียนหยุนยังคงอยู่ดี ส่วนตัวเขานั้นเริ่มเดินเซแล้ว ในตอนนี้ ในใจของนักพนันก็ได้ดิ่งลง หรือว่าพวกเขาจะแพ้?


 


“ข้าขอเพิ่มเวลาอีก 5 วัน!” เจี่ยผิงเอ่ยกับผู้จัดการหวง


 


“คนหนุ่มไม่ควรเอาแต่ตามใจตน เจ้าทนได้อีกไม่นานแล้ว เป็นอย่างนั้นมันจะกลายเป็นเสียเปล่า” ผู้จัดการหวงแนะนำด้วยเจตนาดี


 


“ไม่เป็นไร ผู้เยาว์รู้จักตนเองดี!”


 


พูดจบเขาก็รับยันต์ช่วยชีวิตมา พร้อมกับกลับขึ้นไปยังชั้น 5 อย่างรวดเร็ว พร้อมกับนั่งลงเข้าสมาธิอีกครั้ง แต่ไม่นานเขาก็เริ่มทนไม่ไหว ในวันที่ห้า เขาก็ได้กระอักเลือดออกมา ร่างกายส่ายไปมา จากนั้นก็ล้มลงไปด้านข้าง หมดสติไป!


 


ส่วนอี้เทียนหยุนยังคงจดจ่ออยู่กับค่ายกล แม้แต่ขนตายังไม่กระดิก มองสำรวจต่อไป ราวกับไม่ใช่เรื่องของตน


 


หลังจากเจี่ยผิงกระอักเลือดออกมา ยังไม่ทันที่ตัวจะถึงพื้น ยันต์ช่วยชีวิตในมือก็ได้ส่งเขาไปยังห้องรักษาในทันที ซึ่งการจะออกมาจากห้องนั้นได้ มีเพียงแต่เขารู้สึกตัวแล้วเดินออกมาเอง หรือไม่ก็ต้องให้ผู้จัดการหวงเป็นคนพาออกมา


 


แต่ไม่ว่าจะอย่างไหน ผลลัพธ์ก็ได้ออกมาแล้ว นั่นก็คืออี้เทียนหยุนเป็นฝ่ายชนะ เจี่ยผิงได้พ่ายแพ้โดยสมบูรณ์ พ่ายแพ้ให้กับเด็กใหม่ที่เพิ่งเข้ามา!


 


เมื่อมองไปยังความว่างเปล่าตรงจุดที่เจี่ยผิงเคยอยู่ ทุกคนก็พากันตกใจ และเมื่อมองไปทางฝั่งเจี่ยผิงที่พวกเขาเดิมพันไว้ ก็พากันสะท้านขึ้นมา พวกเขาพากันวางเดิมพันข้างเจี่ยผิง ตอนนี้เจี่ยผิงพ่ายแพ้แล้ว นั่นหมายความว่า เงินของพวกเขาก็จะหายไปด้วย!


 


“นี่ นี่เป็นไปไม่ได้ เจี่ยผิงแพ้จริงๆ?”


 


“สวรรค์ เงินข้า!”


 


“เจ้าเด็กนั่นชนะ ไม่อยากจะเชื่อ? ข้าลงเงินข้างเขา 12 เหรียญ!!”


 


……


 


คนทั้งหลายพากันกรีดร้อง ส่วนใหญ่ลงว่าเจี่ยผิงจะเป็นผู้ชนะ แต่สุดท้ายก็ทำให้พวกเขาสูญเงินไปจนหมด แม้ว่าจะไม่มาก แต่เงินสำหรับซื้อเม็ดยาของพวกเขาก็ได้บินลอยไป


 


“ลูกพี่ชนะ?” หยางอวี่พลันโล่งอก จากนั้นก็หัวเราะออกมา “ข้ารู้อยู่แล้วว่าลูกพี่จะต้องชนะ ข้าลงเงินไป 3,200 รีบเอาเงินมาให้ข้า!”


 


หยางอวี่ยื่นมือออกไปหาเจ้ามือพร้อมกับถามหาเงิน เจ้ามือส่งเงิน 9,200 ให้กับหยางอวี่ พร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มว่า “นี่เงินของเจ้า 9,200 ไว้คราวหน้ามาเล่นใหม่!”


 


ครั้งนี้เขาได้กำไรมหาศาล เงินที่เจ้ามือคนนี้ได้ ทำให้เขายิ้มจนปากจะถึงใบหู คิดว่าตัวเองไม่ต้องเป็นหนี้แล้ว ทั้งคราวนี้ยังได้กำไรอีก แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เขาดีใจได้ยังไง


 


ตอนนี้ ชื่อเสียงของเจี่ยผิงตกต่ำจนไปถึงจุดแช่แข็ง แต่ชื่อเสียงของอี้เทียนหยุนกลับเพิ่มขึ้นถึงขีดสุด! อันดับ 81 ชนะเจี่ยผิงในด้านพลังวิญญาณ ช่างเป็นอะไรที่ไม่น่าเชื่อจริงๆ!


 


“ชนะ….” หยางซีเสวี่ยเอามือปิดปากด้วยความประหลาดใจ เหตุการณ์นี้ทำให้เธอตกตะลึงอย่างมาก


 


มีหลายคนที่ไม่ชอบอี้เทียนหยุน แต่ตอนนี้เขาชนะแล้ว ยิ่งกว่านั้น เจี่ยผิงก็จบสิ้นแล้ว แต่เขายังคงฝึกฝนอยู่ข้างในต่อ! ถึงแม้จะไม่เหมือนว่าเขากำลังฝึกฝนอยู่ก็ตาม แต่ว่าคลื่นพลังวิญญาณที่กระเพื่อมอยู่รอบร่างของเขาก็แสดงให้เห็นว่าเขากำลังฝึกฝนอยู่จริงๆ ทั้งยังดูดกลืนพลังวิญญาณไม่หยุด


 


“หืม คนล่ะ?” อี้เทียนหยุนที่หันไปมองด้านข้างแล้วพูดออกมาด้วยความสงสัย


 


“……”


 


ทุกคนกลายเป็นพูดไม่ออกในทันใด


————————–

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม