Crazy Leveling System 175-192

 CLS ตอนที่ 175: สองพี่น้อง


 


เพียงแค่ค่ายกลง่ายๆ ที่อี้เทียนหยุนวาดออกไปก็เทียบได้กับค่ายกลชั้น 4 ได้แล้ว ยิ่งกว่านั้น นี่ยังเป็นรูปแบบที่ปรับลดลงมา ดังนั้น การวาดจึงเป็นเรื่องง่าย เวลาที่ใช้ก็ไม่นาน แต่ถึงจะใช้เวลาไม่นาน แต่นี่ก็เป็นค่ายกลชั้น 4 อย่างแน่นอน แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้ว่าการวาดค่ายกลต้องทำยังไง แต่ก็สามารถดูรู้ ว่านี่เป็นค่ายกลชั้น 4


 


เพียงแค่ผลที่มันแสดงออกมาเพียงเล็กน้อยนี้ก็สามารถบอกได้แล้วว่ามันคือค่ายกลชั้น 4 จริงๆ! เอาจริงๆ แล้ว ขอแค่เพียงสามารถสร้างค่ายกลชั้น 4 ออกมาได้แม้ว่ามันจะน่าผิดหวังหรือใช้งานไม่ได้ยังไงก็ถือว่าเป็นอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 แล้ว


 


ดังนั้น ที่เหล่าเซวียนบอกว่าการที่จะซ่อมแซมค่ายกลสำหรับบินนั้นจำเป็นต้องใช้อาจารย์สลักอาคมชั้นยอดถึงจะทำได้ ความหมายก็คือสิ่งนี้นี่เอง อาจารย์สลักอาคมขั้นต้นกับอาจารย์สลักอาคมขั้นสุดท้ายนั้น ถือว่าเป็นสองระดับที่ต่างกัน (ประมาณชั้น 4 ขั้นต้น กับ ชั้น 4 ขั้นท้าย)


 


ผู้จัดการหลิวกับพวกพากันตกใจ พวกเขาทำผิดมหันต์ โดยเฉพาะผู้จัดการหลิวที่ออกปากว่าจะกินโต๊ะลงไป ตอนนี้งามหน้าแล้วไหมล่ะ เศษโต๊ะยังกระจายอยู่บนพื้น แต่ว่าเขาก็ไม่รู้ว่าจะกินมันได้ยังไง


 


“ว่ายังไง ตกลงแล้วข้าใช้อาจารย์สลักอาคมชั้น 4 จริงๆ ไหม แล้วจะกินโต๊ะได้หรือยัง?” อี้เทียนหยุนมองเขาแล้วพูดขึ้นมาเบาๆ


 


ผู้จัดการหลิวสีหน้ากลายเป็นน่าเกลียด เขาไม่อยากกินโต๊ะ ไม่ใช่เพราะว่ามันแข็งยากที่จะกัดลงไป แต่เป็นเพราะว่ามันเสียหน้า! แม้ว่าคนที่อยู่ที่นี่จะไม่มาก แต่ก็มีกันหลายคน การที่ต้องกินโต๊ะต่อหน้าพวกเขา ถือเป็นการเสียหน้าอย่างมาก


 


“นี่เป็นเพราะข้ามีตาแต่ไร้แวว ต้องขออภัยอย่างมาก….. ข้าขอแสดงความขอโทษจากใจจริง ได้โปรดยกโทษให้ความผิดพลาดของข้าด้วย” ผู้จัดการหลิวเอ่ยขอโทษด้วยใจจริง ทั้งยังมากไปด้วยความอึดอัด


 


ใครจะไปคิดล่ะว่าเขาจะเป็นอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 จริงๆ เพียงแค่เรื่องนี้ ก็เพียงพอที่อี้เทียนหยุนจะขึ้นราคาอย่างมหาศาลแล้ว! ถ้าเอาตามระดับ ยังมีอีกหลายคนที่มีระดับพอๆ กับเขา แต่ถ้าพูดถึงเรื่องอายุแล้วล่ะก็ มันเป็นอะไรที่น่าตื่นตะลึงมากจริงๆ ในอนาคตเป็นไปได้ว่าเขาจะมีความสามารถเป็นได้ถึงปรมาจารย์สลักอาคม ด้วยอัจฉริยภาพระดับนี้ แม้แต่ขุมอำนาจชั้น 4 ยังต้องการ


 


“กินโต๊ะลงไปซะ!” เสียงที่เปล่งออกมาของอี้เทียนหยุนทั้งต่ำและลึกล้ำอย่างมาก “คำพูดบางคำเมื่อพูดไปแล้วจำเป็นต้องจ่ายราคา! ยิ่งกว่านั้น ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่า เพื่อตระกูลจู้แล้ว เจ้าเต็มใจสละทุกอย่าง หรือว่าตอนนี้เจ้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากข้าแล้ว?”


 


“นี่….”


 


ผู้จัดการหลิวตกใจ แม้อี้เทียนหยุนจะตัดสินใจช่วย แต่ถ้าเกิดว่าเขาตั้งใจทำพลาดขึ้นมา แม้ว่าตระกูลจู้ของพวกเขาจะไม่ถึงจุดจบ แต่ก็ต้องเสียหายอย่างหนัก เมื่อเวลาผ่านไป ตระกูลจู้ของพวกเขาก็จะไม่มีฐานะอะไรอีก แม้ว่าจะสามารถอาศัยอยู่ที่นี่ได้ แต่ฐานะและทรัพยากรที่ได้รับการแจกจ่ายจะต้องน้อยลงอย่างมาก


 


“ผู้อาวุโสอี้ ได้โปรดอย่าใส่ใจความปากพล่อยของเขาเลย ผู้จัดการหลิวคิดว่าท่านที่ดูเด็ก ดูไม่เหมือนกับอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 เป็นพวกเราที่ผิดเอง” ผู้จัดการหวงช่วยพูดอยู่ข้างๆ


 


“นี่ไม่ใช่ความผิดพลาด แต่เป็นการดูถูกข้า!” อี้เทียนหยุนพูดอย่างจริงจัง “ข้าพูดตรงๆ เลย พวกเจ้าบอกว่าข้าล้อเล่น? เจ้าคิดว่าข้าจะเอาเรื่องอิสรภาพของผู้อาวุโสจู้มาล้อเล่นอย่างงั้นเหรอ? บางคำข้าก็ไม่อยากจะพูดเป็นครั้งที่ 2 ถ้าเปลี่ยนเป็นอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 คนอื่น ข้าคิดว่าด้วยคำพูดนี้ของเขา จะทำให้พวกเขาหันหลังกลับไปอย่างแน่นอน!”


 


ผู้จัดการหลิวเงียบไป คิ้วขมวดแน่น เหมือนกำลังคิดอะไรอยู่


 


“ก็ได้ ข้าจะกิน!” ผู้จัดการหลิวหยิบเศษโต๊ะขึ้นมา พร้อมกับใช้ปากกัดอย่างแรก เมื่อมาถึงระดับหลอมรวมแล้ว ไม่เพียงแต่พลังกาย อวัยวะภายในเท่านั้น กระทั่งฟันก็ยังกลายเป็นน่าตกใจ การจะกัดโต๊ะไม้ไม่ใช่ปัญหา


 


ท่าทางของเขาเหมือนกับกำลังกินข้าวแข็งๆ ที่ติดก้นหม้อ เพียงแต่ความแข็งของมันเป็นระดับสิบ เขาเคี้ยวและกลืนเศษไม้ลงไปอย่างรวดเร็ว ในใจของเขาเต็มไปด้วยความอับอาย


 


อี้เทียนหยุนก็ไม่ใจอ่อน เรื่องบางเรื่องสมควรทำ เขาไม่รังเกียจที่จะต้องตบหน้าบางคน โดยเฉพาะกับท่าทางของคนพวกนี้ ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจอย่างมาก


 


จู้อวี่เหว่ยและจู้อวี่เสวียนที่อยู่ใกล้ๆ ก็อดไม่ได้ให้ยิ้มออกมา คิดว่าผู้จัดการหลิวสมควรแล้วที่โดน ใครใช้ให้เขาอวดดีกันล่ะ ตอนนี้จากที่ไม่พอใจก็พลันกลายเป็นมีความสุข ก่อนหน้านี้คำพูดของพวกเขาทำให้พวกเธอเสียใจอย่างมาก


 


“พอใจแล้วใช่ไหม?” ผู้จัดการหลิวพูดด้วยท่าทางจริงจัง


 


“พอใจแล้ว พวกเจ้าไปเตรียมตัวเถอะ ถึงเวลาแล้วค่อยมาบอกข้า” อี้เทียนหยุนพูดอย่างไม่ใส่ใจ


 


“ไม่มีปัญหา!” ผู้จัดการหลิวกัดฟันแน่น จากนั้นก็เดินตามผู้จัดการหวงออกไป


 


“ติ๊ง ท่านรับภารกิจ “ติด 1 ใน 3 ในงานประลองสลักอาคมเพื่อช่วยเหลือสองพี่น้อง” สำเร็จ เมื่อสำเร็จจะได้รับค่าประสบการณ์ 1 ล้าน, สิทธิ์ในการสุ่มลอตเตอรี่แบบเพิ่มประสิทธิภาพ 1 ครั้ง, ความชำนาญในการสลักอาคมเพิ่มขึ้น 5,000, ค่าความชอบของจู้อวี่เหว่ยและจู้อวี่เสวียนเพิ่มขึ้น 100!”


 


ทันใดนั้น ภารกิจเล็กๆ ก็เด้งขึ้นมา ทำให้ตาของเขาพลันเป็นประกาย ไม่คิดเลยว่าเรื่องที่เขากำลังทำจะกลายเป็นภารกิจ


 


หลังจากออกมา ผู้จัดการหลิวก็พูดอย่างโมโหว่า “เจ้าลูกสำส่อนนั่น กล้าให้ข้ากินโต๊ะจริงๆ! ถ้าไม่ใช่เพราะมันเป็นอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 ล่ะก็ ข้าจะตัดหัวมันทิ้งซะตรงนั้นเลยคอยดู!”


 


“ใครจะไปรู้ล่ะว่าเขาจะเป็นอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 จริงๆ ไม่แปลกเลยที่จะกลายเป็นผู้อาวุโสของนิกายเทียนเฉวียน ดูเหมือนว่านิกายเทียนเฉวียนนี้ไม่เพียงแต่จะดูลึกลับเท่านั้น แต่ยังแข็งแกร่งด้วย…..” ผู้จัดการหวงพูดด้วยความสงสัย “หรือว่านิกายเทียนเฉวียนจะเป็นพยัคฆ์หมอบ มังกรซ่อนจริงๆ แต่ว่าทำไมถึงได้แสดงออกมาเอาตอนนี้”


 


“ดูแลมันให้ดี ถึงยังไงมันก็เป็นถึงอาจารย์สลักอาคมชั้น 4” ผู้จัดการหลิวพูดอย่างขมขื่น “คงจะดีมากถ้ามันไม่ติด 1 ใน 3 เมื่อเป็นอย่างนั้น ไม่เพียงแต่จะช่วยพวกเราอย่างเสียเปล่า กระทั่งสองพี่น้องนั่นก็ไม่สามารถหนีไปจากเงื้อมมือของพวกเรา!”


 


“ก็หวังให้เป็นแบบนั้น เพียงแค่นิกายที่เพิ่งจะเลื่อนขั้นขึ้นมา กล้าดียังไงมาอวดดีต่อหน้าพวกเรา!” ในใจผู้จัดการหวงก็ไม่พอใจเช่นกัน


 


และในตอนนี้เอง ที่มุมหนึ่ง ได้มีเงาคนพุ่งออกมา จากนั้นก็เปิดประตูเดินเข้าไป


 


“ผู้อาวุโสอี้ เมื่อกี้ท่านไปไหนมา?” จู้อวี่เหว่ยเห็นอี้เทียนหยุนเดินเข้ามาก็ถามขึ้นอย่างสงสัย


 


“ไม่มีอะไร แค่ออกไปเดินเล่นน่ะ” อี้เทียนหยุนเมื่อกี้นี้แอบซ่อนตัวเพื่อฟังพวกเขาคุยกัน แล้วก็จริง พวกเขาไม่มีเจตนาดีจริงๆ ด้วย


 


เขาจะใช้กำลังพาคนไปก็ได้ แต่ว่าเขาไม่อยากจะฆ่าคนตามใจ แม้ว่าพวกเขาจะแยกเป็นหลายสาขา แต่ถ้าตำหนักซิงเฉินสาขาไหนพังลง ก็จะมีสาขาอื่นเข้ามารับช่วงต่อทันที


 


ต่อให้สาขานี้จะเป็นของตระกูลจู้ แต่พวกเขาก็ต้องส่งคนมาช่วยอยู่ดี ถึงยังไงก็เป็นหน้าตาของพวกเขา! ถึงจะเป็นแค่สาขา แต่ก็เป็นตำหนักซิงเฉิน จึงมีสมบัติมากมายของตำหนักเก็บไว้ ไม่มีทางที่พวกเขาจะปล่อยให้สำนักอื่นมาขโมยไปตามใจ


 


อี้เทียนหยุนไม่ต้องการตอแยขุมอำนาจอื่นให้กับนิกายเทียนเฉวียน มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ ว่าตำหนักเทียนเฉวียนมีปรมาจารย์อยู่กี่คน ยังคงระวังไว้จะดีกว่า ที่เขากล้าทำตัวอวดดีอย่างนี้ไม่ใช่เพราะสถานการณ์บังคับ แต่เป็นเพราะว่าเขาเป็นคนกุมประตูชีวิตของพวกเขาอยู่ ทำให้พวกเขาไม่กล้าลงมือ ทำได้เพียงกล้ำกลืนความโกรธแค้นเอาไว้


 


“ผู้อาวุโสอี้ ขอบคุณท่านมากที่ให้ความช่วยเหลือ….. ขอแค่ให้ร่างนี้เป็นอิสระ ไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมนิกายเทียนเฉวียน ข้าก็จะขอช่วยนิกายเทียนเฉวียนตลอดชีวิต” จู้อวี่เสวียนค้อมตัว คำนับเขาด้วยความรู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง


 


จู้อวี่เหว่ยก็ทำแบบเดียวกัน เธอรู้สึกขอบคุณอี้เทียนหยุนอย่างมาก


 


“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา ข้าบอกแล้วว่าจะให้เจ้าเข้าร่วมนิกายเทียนเฉวียนเรา พวกเจ้าสองพี่น้องมีพรสวรรค์ที่แข็งแกร่ง ถ้าไม่เข้าร่วมนิกายเทียนเฉวียน มันจะเป็นความสูญเสียของพวกเรา” อี้เทียนหยุนพูดด้วยรอยยิ้ม “ส่วนเรื่องอื่นๆ ไม่ต้องพูดแล้ว ไว้ข้าติด 1 ใน 3 เมื่อไหร่ เจ้าก็ไม่ต้องเป็นหนี้อะไรตำหนักซิงเฉินอีก”


 


“อืม พวกเราเข้าใจแล้ว พวกเราต้องอดทนกับตำหนักซิงเฉินมานาน เมื่อเรื่องนี้แล้วเสร็จ พวกเราก็ไม่มีอะไรติดค้างพวกเขาอีก!” ดวงตาของพวกจู้อวี่เหว่ยเป็นประกายมุ่งมั่น พวกเธอไม่ใช่คนไม่รู้จักบุญคุณคน แต่ตำหนักซิงเฉินที่ดูแลพวกเธอมาก็ทำให้ความอดทนของพวกเธอมาถึงขีดจำกัด เมื่อเรื่องนี้จบลงเมื่อไหร่ ก็ถือว่าพวกเธอตัดขาดกับที่นี่โดยสมบูรณ์


 


จากนั้น พวกเธอก็มองหน้ากัน พร้อมกับพยักหน้า แล้วพูดออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า “จากนี้ไป พวกเราสองพี่น้องจะติดตามผู้อาวุโสอี้ด้วยความเต็มใจ จะเชื่อฟังแค่คำสั่งของผู้อาวุโสอี้เท่านั้น! จะทำทุกอย่างตามที่ผู้อาวุโสอี้ต้องการโดยที่ไม่บ่นหรือเสียใจ!”


 


คำพูดนี้ของพวกเธอทำให้อี้เทียนหยุนใจสั่น เขาไม่คิดเลยว่าพวกเธอจะทำถึงขนาดนี้!


CLS ตอนที่ 176: เจ้าตระกูลจู้


 


คำพูดที่สองพี่น้องนี้พูดทำให้อี้เทียนหยุนใจสั่นจริงๆ แต่ว่าเขาก็ได้ยินถึงความจริงใจที่สื่อออกมาของพวกเธอ เรื่องนี้เห็นได้จากค่าความชอบ ขนาดเขายังไม่ทันทำอะไร ค่าความชอบของพวกเธอก็มากกว่า 200 แล้ว โดยเฉพาะจู้อวี่เหว่ยที่มีมากกว่า 300!


 


หมายความว่าถ้าเขาทำภารกิจนี้สำเร็จ ค่าความชอบของพวกเธอที่มีต่อเขาก็จะเพิ่มขึ้นจนถึงระดับสมบูรณ์


 


“เรื่องนี้ไม่จำเป็น ข้าไม่ได้มีความคิดแบบนั้น” อี้เทียนหยุนยิ้มอายๆ คิดว่าช่างน่าอายจริงๆ


 


“นี่เป็นความคิดของพวกเรา แค่ท่านช่วยพวกเรามาจนถึงตอนนี้ก็ถือว่าเป็นผู้มีพระคุณของพวกเราแล้ว ถ้าท่านช่วยปลดปล่อยพวกเราได้จริงๆ ก็ถือว่าเป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดสำหรับพวกเรา” ในสายตาของพวกเธอเต็มไปด้วยความขอบคุณ “พวกเราเชื่อว่าผู้อาวุโสอี้จะทำพวกเราไปยังหนทางที่ดีที่สุด!”


 


อี้เทียนหยุนฟังคำพูดของพวกเธอแล้วยิ่งอายขึ้นไปอีก นี่มันจะไปกันใหญ่แล้ว


 


“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เอาไว้ผลของงานประลองออกมาแล้วค่อยว่ากันอีกที” อี้เทียนหยุนพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“ข้าเชื่อผู้อาวุโสอี้ ในเมื่อท่านมั่นใจ ข้าก็เชื่อว่ามันจะไม่มีปัญหา” จู้อวี่เหว่ยยิ้ม เธอรู้นิสัยอี้เทียนหยุนดี เรื่องที่เขาทำไม่ได้ เขาจะรับปากได้ยังไง


 


อี้เทียนหยุนส่ายหัว แต่ก็ไม่พูดอะไร


 


จากนั้น พวกเขาก็แค่รอคอยให้วันประลองมาถึง แต่ก็ไม่นานนัก ไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ก็เริ่มแล้ว ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงจะไม่กังวลกันถึงขนาดนี้


 


หลังจากจัดการห้องรับรองแล้ว เขาก็รอแค่ให้การประลองสลักอาคมของตำหนักซิงเฉินเริ่ม ระหว่างนี้ อี้เทียนหยุนก็ร้องขอวัตถุดิบเพื่อใช้ฝึกฝน ที่เขามาที่นี่ก็เพื่อเพิ่มความชำนาญให้กับการสลักอาคม ดังนั้นเขาต้องการวัตถุดิบที่เหมาะสมเพื่อใช้ฝึกฝน ไม่อาจปล่อยให้เวลาเสียไปเปล่าๆ ได้


 


“ก๊อก ก๊อก ก๊อก”


 


เสียงเคาะประตูดังนั้น หมายความว่าถึงเวลาของงานประลองสลักอาคมแล้ว


 


อี้เทียนหยุนเปิดประตูเดินออกไป เห็นว่าสองพี่น้องคู่นั้นคอยอยู่ข้างนอกก่อนแล้ว


 


“ผู้อาวุโสอี้ การประลองใกล้จะเริ่มแล้ว พวกเราจำเป็นต้องไปที่ตำหนักซิงเฉินสาขาหลัก ไม่ทราบว่าท่านมีอะไรต้องเตรียมหรือไม่?” จู้อวี่เหว่ยถามขึ้น


 


“ไม่มีอะไรต้องเตรียม ไปตอนนี้ได้” อี้เทียนหยุนพูด


 


จู้อวี่เหว่ยพยักหน้า จากนั้นก็พาเขาเดินไปที่ทางเข้า ตรงนั้นมีรถบินจัดเตรียมรอไว้แล้วหลายคัน ผู้จัดการหวงกับพวกก็รออยู่ที่นี่ หลังจากขึ้นรถบินแล้วเสร็จ ก็ทำการบินตรงไปยังตำหนักซิงเฉินสาขาหลักในทันที


 


การประลองนี้เป็นการประลองของตำหนักซิงเฉินแต่ละตระกูล สำหรับคนนอกนั้น มีเพียงแค่คนที่ได้รับการแนะนำเท่านั้นถึงจะเข้าไปชมได้ คนอื่นไม่มีทางที่จะได้ชม


 


ระยะทางไม่ได้ไกลเป็นพิเศษ โดยเฉพาะยิ่งเดินทางโดยรถบินแล้ว หลังจากเดินทางมาครึ่งวัน พวกเขาก็มาถึงตำหนักซิงเฉินสาขาหลัก ยังไงก็ตาม ที่นี่ก็ยังไม่ใช่ตำหนักใหญ่โดยสมบูรณ์ แต่เป็นเพียงพื้นที่ภายนอกที่สร้างไว้เท่านั้น


 


เมื่ออี้เทียนหยุนลงมาจากรถบิน มันไม่ได้มีการตกแต่งอะไรเป็นพิเศษให้น่ามอง มีแต่กำแพงหินที่รอบล้อมพื้นที่เปิด ถ้าคนนอกอยากจะดู นอกเสียจากจะบินได้แล้ว ก็ได้แต่ดูจากตึกสูงที่อยู่ไกลๆ เท่านั้น


 


เมื่อพวกเขามาถึงที่นี่ ที่นี่ก็เต็มไปด้วยผู้คนที่คราครั่งอยู่แล้ว พวกเขาไม่ได้ไปไหน แต่เหมือนจะเป็นคนที่มาดูการแข่งขันนี้โดยเฉพาะ ที่นี่เรียงรายไว้ด้วยรถบินของแต่ละตระกูล แน่นอนว่าตัวรถแต่ละคันนั้นล้วนแต่ดูหรูหราเตะตา


 


ยังไงก็ตาม เขาก็เห็นรถบินที่สลักตัวอักษร “จู้” ไว้บนรถ แสดงว่าคนของตระกูลจู้ได้มาถึงที่นี่แล้ว


 


คนที่เดินออกมาจากรถเป็นชายวัยกลางคน ท่าทางดูแล้วไม่ธรรมดา แสดงท่วงท่าของผู้เชี่ยวชาญออกมาเต็มที่ ระดับของเขาแข็งแกร่งมาก มาถึงระดับก่อแกนวิญญาณขั้นที่ 7 เลยทีเดียว และเมื่อลงมา เขาก็มองมายังพวกเขา ขณะที่สายตาจับจ้องมาที่อี้เทียนหยุนโดยเฉพาะ


 


“นี่คืออาจารย์สลักอาคมชั้น 4 ที่เจ้าหามาอย่างงั้นเหรอ ช่างเด็กอย่างที่เจ้าบอกจริงๆ” จู้เทียนหงมองสำรวจอี้เทียนหยุน “เจ้าบอกว่าเขาเป็นอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 ข้าล่ะไม่อยากจะเชื่อจริงๆ ยินดีที่ได้รู้จัก ข้าคือเจ้าตระกูลจู้ ครั้งนี้ที่เชิญท่านมาก็เพื่อนำชัยชนะมาให้กับตระกูลจู้ของพวกเรา เรื่องอื่นข้าจะไม่พูดมาก ของที่เป็นของท่านก็จะเป็นของท่าน แต่ถ้าท่านทำไม่สำเร็จอย่างที่ตกลงกัน พวกเราคงต้องขอล่วงเกินแล้ว”


 


เปิดปากมาก็พูดเข้าเรื่องผลประโยชน์กันโต้งๆ เลยทีเดียว ไม่เสียทีที่เป็นถึงระดับเจ้าตระกูล


 


“วางใจได้ ข้าพูดคำไหนคำนั้น จะไม่ทำให้ท่านผิดหวังอย่างแน่นอน” อี้เทียนหยุนตอบกลับอย่างไม่เค็มไม่จืด


 


“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี” จู้เทียนหงพยักหน้า “แล้วก็อาจจะมีบางเรื่องที่ท่านไม่ชอบใจ แต่นี่ก็เป็นตัวเลือกที่ลำบากใจของคนที่อยู่ในตำแหน่ง เรื่องที่ท่านอาจจะพูดว่าข้านั้นไร้ความรู้สึก แต่บางครั้งตระกูลจู้ก็ต้องมีผู้เสียสละ ไม่อย่างนั้นทั่วทั้งตระกูลจู้คงถึงกาลอวสาน….. แม้นี่จะโหดร้ายกับพวกเธอ แต่ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลจู้ พวกเธอสองพี่น้องคงมีชะตากรรมที่เลวร้ายยิ่งกว่าตอนนี้ ยังไงก็ตาม ถ้าท่านติด 1 ใน 3 เงื่อนไขทุกอย่างของท่าน พวกเราจะมอบให้อย่างไม่มีบิดพลิ้ว ข้าจะไม่ขัดขวางท่านแม้แต่น้อย กระทั่งจะมอบรางวัลที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าให้อีก ทั้งยังจะลงโทษพวกผู้จัดการหลิวที่ไม่มีตาอย่างแรงด้วย!”


 


จู้เทียนหงบอกกล่าวทุกอย่างกับอี้เทียนหยุน บอกความจริงโดยไม่มีการอ้อมค้อม สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความจริงใจอย่างมาก กระทั่งค้อมตัวให้เขาอย่างไม่มีการถือตัว


 


การจัดการเรื่องราวของเขาทำให้อี้เทียนหยุนไม่ชอบใจ แต่เขาก็รู้ว่าพวกตระกูลใหญ่ล้วนแต่เป็นอย่างนี้ บางครั้งย่อมต้องมีผู้เสียสละ ไม่อย่างนั้นก็จะจบสิ้นทั้งตระกูล ถ้าการต้องเสียสละสักคนสองคนแล้วทำให้เรื่องทุกอย่างจบ เรื่องนี้ก็เป็นที่เข้าใจได้


 


“เรื่องที่เจ้าตระกูลจู้พูดนั้นข้าเข้าใจ แต่ข้าก็หวังว่าเมื่อจบเรื่องแล้วจะไม่มีการแทงข้างหลังกันเกิดขึ้นหรอกนะ” อี้เทียนหยุนพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม


 


“ข้าจู้เทียนหงพูดคำไหนคำนั้น แม้ท่านจะไม่ชอบวิธีจัดการเรื่องราวของข้า แต่นี่ก็คือวิธีชีวิตของข้า ข้าจะไม่มีวันแทงข้างหลังท่านเด็ดขาด เพราะทำไปข้าก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร” จู้เทียนหงพูดอย่างเฉยชา “มีเพียงผลประโยชน์ที่ยั่งยืน ไม่มีเพื่อนที่ถาวร ตราบเท่าที่ท่านช่วยข้า ข้าจะให้ทุกอย่างที่ท่านต้องการ แต่ถ้าท่านไม่มีประโยชน์อะไรกับข้า ข้าก็จะไม่ยุ่งอะไรกับท่าน ไม่หาเรื่องท่าน ทั้งยังไม่แทงข้างหลังท่านอีกด้วย”


 


“ถึงแม้ว่าครั้งนี้จะไม่ได้ร่วมมือกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าครั้งหน้าจะไม่มีโอกาส ข้าไม่ใช่คนที่ชอบหาเรื่องใคร หรือจะให้พูดอีกอย่างก็คือ น้อยครั้งมากที่จะโจมตีใคร ทั้งยังไม่ชอบการลอบโจมตีอีกด้วย”


 


ช่างเป็นคำตอบที่เรียบง่ายและแข็งกระด้างจริงๆ แม้ว่าจะไม่น่าฟัง แต่ก็เป็นการพูดตรงๆ เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งที่เขานั่งอยู่ทำให้เขาต้องทำอย่างนี้ แม้ว่าเขาจะชอบหรือไม่ก็ตาม


 


“ดีมาก คำพูดนี้ข้าชอบ” อี้เทียนหยุนก็ไม่ได้คิดที่จะญาติดีอะไรกับเขา ตอนนี้แค่ทำการแลกเปลี่ยนกันเท่านั้น


 


ตัวจู้เทียนหงที่มีนิสัยอย่างนี้ เป็นตัวเลือกที่ดีที่เขาจะแลกเปลี่ยนด้วย ถ้าคิดจะเป็นเพื่อนกับเขา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการเป็นเพื่อนกับคนแบบนี้คือการหาที่ตาย ถ้าวันไหนที่ท่านหมดประโยชน์แล้วล่ะก็ อีกฝ่ายก็จะไม่มีทางที่จะช่วยเหลือท่าน นี่มันต่างจากคำว่าเพื่อนมากนัก เป็นได้อย่างมากก็แค่การร่วมมือกันเท่านั้น


CLS ตอนที่ 177: รางวัล


 


และตอนนี้เอง ได้มีผู้เชี่ยวชาญเดินเข้ามาพร้อมกับคนอีกหลายคน เมื่อเขาเห็นจู้เทียนหงก็พูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าตระกูลจู้ ไม่ได้เจอกันนาน ไม่ทราบว่าคราวนี้ท่านเตรียมตัวมายังไงบ้าง? ถ้าเป็นเหมือนก่อนหน้าที่ผลออกมาไม่ดีเท่าไหร่ มันจะน่าอับอายซะเปล่าๆ”


 


“เจ้าตระกูลหวัง คราวนี้ท่านไม่ต้องกังวล พวกเราเตรียมตัวกันมาอย่างดีแล้ว” จู้เทียนหงสีหน้าเย็นชา ท่าทางที่มีต่อเจ้าตระกูลหวังไม่เป็นมิตรอย่างมาก


 


“ก็ดี หวังว่าคราวนี้ท่านจะเป็นผู้ชนะนะ….. หือ แล้วเด็กหนุ่มคนนี้เป็นใครกัน อย่าบอกข้านะว่าเขาเป็นนักสลักอาคมที่ท่านจะส่งเข้าร่วมประลองในคราวนี้?” เมื่อเจ้าตระกูลหวังเห็นอี้เทียนหยุนก็อดไม่ได้ต้องยิ้มออกมา “ท่าทางดูนุ่มนิ่มอ่อนแอเสียจริง….. อยากมากคงจะเป็นนักสลักอาคมชั้น 2 อย่างนั้นสินะ?


 


อี้เทียนหยุนที่อยู่ใกล้ๆ ไม่แสดงสีหน้าอะไร ค่าความชั่วของเขามีค่อนข้างสูง ทำให้ง่ายที่จะดึงดูดความเกลียดชัง แม้ว่าเขาจะยืนอยู่เฉยๆ แต่ระบบก็ยังหาเรื่องมาให้เขาจนได้ ไม่รู้ว่ามันทำงานแบบไหน ถ้าเป็นแบบเปิดใช้งานตลอด แล้วมันคำนวณมาจากอะไร?


 


“เรื่องนี้ท่านไม่จำเป็นต้องรู้!” จู้เทียนหงแค่นเสียงออกมา เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการเปิดเผยความลับของอี้เทียนหยุน


 


“เจ้าตระกูลจู้ ท่านก็อย่ากังวลนักเลย ข้าก็แค่อยากจะเตือน ข้าพึ่งนึกออก ก่อนหน้านี้ที่ท่านเชิญคนนอกมาช่วยผลลัพธ์ไม่ดีนัก ตอนนี้กลับส่งเด็กหนุ่มอย่างนี้มาอีก ถ้าเจ้าตระกูลจู้ขาดคนนักล่ะก็ ข้าสามารถส่งคนมาช่วยท่านได้นะ อย่างน้อยก็คงจะดีกว่าให้เด็กหนุ่มอย่างนี้ลงแข่ง จริงไหม?” เจ้าตระกูลหวังยิ้มอย่างดูถูก เห็นได้ชัดว่าไม่ถูกกับเจ้าตระกูลจู้


 


“ข้าจะทำอะไรมันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับท่าน!” จู้เทียนหงตอบกลับออกไป แต่ถ้าพูดไปแล้ว เมื่อเทียบกับคนที่เจ้าตระกูลหวังเชิญมา พวกนั้นระดับแย่กว่ามากจริงๆ


 


“แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับข้า ข้าก็แค่เป็นห่วงเพื่อนเก่าเพื่อนแก่อย่างท่านก็เท่านั้น…. ฮ่าๆๆ!” เจ้าตระกูลหวังโบกพัดพร้อมกับหัวเราะเสียงดัง “พวกเราไป การแข่งขันใกล้จะเริ่มแล้ว”


 


“พวกเราไป!” จู้เทียนหงใบหน้าเย็นชาสุดๆ นำคนเดินเข้าไปข้างใน


 


อี้เทียนหยุนหรี่ตาสำรวจรอบๆ ได้ยินมาว่าความสัมพันธ์ภายในของตำหนักซิงเฉินนี้แย่มากจริงๆ ตอนนี้ได้มาเห็นกับตาแล้วนับว่าจริงอย่างที่ว่า


 


หลังจากหยุดพักเล็กๆ พวกเขาก็เข้ามายังสถานที่ที่ใช้ประลอง


 


อี้เทียนหยุนเดินเข้าไปในที่ประลอง รอบๆ นั่งไว้ด้วยคนหลายคน ที่นี่แยกไปตามแต่ละเขต ในแต่ละเขตล้วนแต่มีตระกูลคอยจัดการ


 


จำนวนตระกูลในตำหนักซิงเฉินนี้ไม่มากเท่าไหร่ มีเพียงแค่ 5 ตระกูลเท่านั้น และแต่ละตระกูลต่างก็ส่ง 5 นักสลักอาคมลงแข่งขัน ซึ่งแต่ละคนสามารถส่งผู้ช่วยลงไปช่วยได้ แต่จำกัดจำนวนผู้ช่วยอยู่ที่ไม่เกิน 5 คน


 


เมื่อนับๆ ดู จำนวนทั้งหมดก็จะเป็น 25 คน จำนวนนี้นับว่าไม่มากเท่าไหร่ แต่จากที่เจ้าตระกูลหวังพูดก่อนหน้านี้ เขาบอกว่าตระกูลจู้หาคนมาได้เพียงไม่กี่คนเท่านั้น สามารถจินตนาการได้ว่าระดับของเขานั้นน่าผิดหวังแค่ไหน


 


อี้เทียนหยุนกวาดตามองรอบๆ คนที่มาในวันนี้เยอะมาก ดูแล้วอายุก็ไม่ใช่น้อยๆ น้อยสุดอยู่ที่ประมาณ 23-24 ปี มากสุดไม่เกิน 30 ปี ดูเหมือนว่าที่นี่จะมีการจำกัดอายุ ถ้าเกิดไม่มีการกำหนดอายุ เกิดปรมาจารย์สลักอาคมเข้าร่วมด้วย แบบนั้นพวกเขาไม่ตายเหรอ?


 


“นี่เป็นตราตัวแทนของเจ้า เป็นเครื่องหมายว่าเจ้าเป็นคนของตระกูลจู้เรา” จู้เทียนหงส่งตราให้กับเขา ตรานี้มีตัวอักษร “จู้” สลักอยู่ เป็นเครื่องหมายแทนตัวของตระกูลจู้


 


การแข่งขันภายในนี้ ผู้ตัดสินคือเจ้าตำหนักสาขาใหญ่ เพื่อเป็นการตรวจสอบระดับของสาขาทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ ระดับของเขาจึงไม่ต่ำ นับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสลักอาคมที่เก่งกาจทีเดียว! ยิ่งกว่านั้น เพื่อที่จะเป็นผู้ตัดสินได้ เขายังมีระดับที่น่าตื่นตะลึงอีกด้วย ระดับของเขาก็คือระดับผันแปรวิญญาณขั้นที่ 2!


 


นี่เข้ากฎที่ว่าพลังเป็นใหญ่ ระดับของเจ้าตำหนักสาขาใหญ่ที่มีระดับผันแปรวิญญาณ แม้ว่าเขาจะคาดไว้แล้ว แต่เมื่อมาเห็นกับตา ก็ทำให้อี้เทียนหยุนรู้สึกตกใจอยู่ดี


 


นี่คืออำนาจของขุมกำลังชั้น 3 เจ้าตำหนักของแต่ละสาขาต่างก็อยู่ในระดับก่อแกนวิญญาณ ไม่ต่ำไม่สูง แต่ก็ไม่มีใครต่ำกว่าระดับก่อแกนวิญญาณขั้นที่ 5 ส่วนคนอื่นๆ ก็เป็นระดับผู้จัดการ แต่นี่ก็เป็นเพียงยอมของภูเขาน้ำแข็ง เมื่อนับรวมพลังทั้งหมดแล้ว พลังของพวกเขากระทั่งแข็งแกร่งว่าวังชิงเซวียน


 


สามารถจัดการตำหนักที่มูลค่าขนาดนี้ได้ แน่นอนว่าย่อมไม่ขาดอำนาจ เพื่อที่จะปกป้องขุมสมบัติ อย่างแรกที่ต้องมีคือความแข็งแกร่ง ไม่อย่างนั้นก็คงไม่สามารถรักษาสมบัติในมือได้


 


อี้เทียนหยุนรับตรามา จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นถาม “หัวข้อการประลองคราวนี้คืออะไร?”


 


จู้เทียนหงส่ายหัว จากนั้นก็พูดว่า “จากสถิติแล้ว หัวข้อการประลองจะเป็นอะไรนั้น ไม่มีใครรู้ นอกเสียจากตัวเจ้าตำหนักใหญ่เอง”


 


ในขณะที่แต่ละตระกูลกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น บนเวทีที่อยู่ไม่ไกลก็ได้มีชายชราเดินขึ้นมา พร้อมกับรุ่นเยาว์คนอื่นๆ อีกสองสามคนเดินขึ้นมา พร้อมกับนั่งบนเวทีด้วย และในตอนนี้ เสียงพูดคุยของทุกคนก็ได้หยุดลง ทำให้พริบตานี้กลายเป็นเงียบสงบ


 


ชายชราคนนี้คือเจ้าตำหนักใหญ่ของตำหนักซิงเฉิน เรียกว่าหลี่เทียนหลง คนที่ขึ้นมาด้วยกันกับเขาคือผู้จัดการสาขาใหญ่ ซึ่งระดับของพวกเขาก็ไม่ธรรมดา เป็นถึงอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 เป็นไปไม่ได้ที่หลี่เทียนหลงจะตรวจสอบทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว จำเป็นต้องให้ผู้จัดการพวกนี้ช่วยตรวจสอบด้วย


 


เพียงแค่อาจารย์สลักอาคมชั้น 5 ก็เพียงพอที่จะสำเร็จภารกิจนี้แล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องสำคัญ


 


หลี่เทียนหลงยืนอยู่บนเวที พร้อมกับกวาดตามองทุกคนอย่างรวดเร็ว ทำให้ทุกคนต้องสูดหายใจอย่างหนัก ไม่เสียทีที่ฝึกฝนพลังวิญญาณ พลังวิญญาณระดับนี้ไม่สามารถต่อต้าน เพียงแค่การปรายตามองเบาๆ ก็เพียงพอที่จะสังหารคนกลุ่มหนึ่งทิ้งได้ง่ายๆ เลย


 


หลังจากกวาดตามองคราหนึ่งแล้ว เขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “การประลองภายในกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ตอนนี้ข้าขอประกาศรางวัล 3 อันดับแรกก่อน!” หลี่เทียนหลงไม่พูดเรื่องไร้สาระ มาถึงก็ประกาศรางวัลของ 3 อันดับแรกในทันที


 


“อันดับที่ 1 จะได้เข้าไปฝึกฝนที่สระเทียนหลิงยี่เป็นเวลา 5 วัน!”(สระสวรรค์วิญญาณหยก ไม่รู้ว่าจะแปลยังไง)


 


“อันดับที่ 2 จะได้รับประสบการณ์การฝึกฝนสลักอาคมของข้า!”


 


“อันดับที่ 3 จะได้รับพู่กันสลักอาคมระดับจิตวิญญาณ!”


 


รางวัล 3 อันดับแรกน่าสนใจมาก สระเทียนหลิงยี่เป็นสถานที่ฝึกฝนในตำนาน เพราะว่ามันเป็นสถานที่ที่รวบรวมพลังวิญญาณไว้มากมาย จากนั้นก็กลั่นเป็นของเหลว การที่ได้แช่ตัวในนั้นเป็นเวลา 5 วัน สามารถจินตนาการได้เลยว่าพลังวิญญาณที่ดูดซับได้จะมากมายขนาดไหน มันสามารถทำให้ระดับพลังที่ฝึกฝนก้าวหน้าขึ้นอย่างแน่นอน


 


ส่วนรางวัลอันดับที่ 2 ก็ไม่ได้แย่เช่นกัน หลี่เทียนหลงเป็นอาจารย์สลักอาคม ประสบการณ์ด้านการฝึกฝนของเขานั้น แน่นอนว่าราคาของมันจะต้องไม่ต่ำแน่ คนธรรมดากระทั่งไม่มีสิทธิ์ถาม


 


ส่วนอันดับที่ 3 นั้นจะได้รับพู่กันสลักอาคมระดับจิตวิญญาณ พู่กันสลักอาคมระดับจิตวิญญาณนี้ ราคาของมันแพงกว่าอาวุธระดับจิตวิญญาณธรรมดามาก อี้เทียนหยุนสามารถหลอมศาสตราจิตวิญญาณได้ แต่ถ้าจะให้เขาหลอมพู่กันสลักอาคมระดับจิตวิญญาณ อัตราสำเร็จของมันจะต้องตกลงขั้นใหญ่อย่างแน่นอน


 


ยังไงก็ตาม ของรางวัลสองอย่างหลังนั้นอี้เทียนหยุนรู้สึกสนใจ ประสบการณ์ด้านการสลักอาคม เพียงเนตรสวรรค์ที่เย่ชิงเสวียนมอบพร้อมกับความรู้ด้านการสลักอาคมที่ฝังอยู่ในสมองก็ทำให้เขาท้าทายสวรรค์มากเกินพอแล้ว มันไม่ใช่อะไรที่อาจารย์สลักอาคมผู้นี่จะเทียบเคียงได้ นี่เป็นหัวใจสำคัญของทั่วทั้งเผ่าภูติ ความสำคัญมันต่างกัน


 


มีเพียงสิทธิ์ในการเข้าไปฝึกฝนในสระเทียนหลิงยี่ 5 วันเท่านั้นที่น่าสนใจ เพราะที่นั่นเต็มไปด้วยพลังวิญญาณ ด้วยวิชามหาเวทดูดดาวที่เขามี นั่นหมายความว่านั่นคือค่าประสบการณ์กองใหญ่! ทั้งยังมีสิทธิ์อยู่ในนั้นได้ถึง 5 วัน แล้วแบบนี้จะไม่ให้เขาตื่นเต้นได้ยังไง จริงไหม?


 


“รางวัลของอันดับที่ 1 นั้นยอดมากจริงๆ มีสิทธิ์เข้าไปฝึกฝนในสระเทียนหลิงยี่อย่างงั้นเหรอ!”


 


“ของอันดับ 2 ก็ดีเหมือนกัน ประสบการณ์การฝึกฝนด้านการสลักอาคมของเจ้าตำหนักใหญ่ ต่อให้มีเงินแค่ไหนก็ไม่สามารถซื้อได้!”


 


“ช่างเถอะ ขอแค่ติด 1 ใน 8 ได้ก็ดีแค่ไหนแล้ว อย่าว่าแต่ 3 อันดับแรกเลย……”


 


แม้ว่าอี้เทียนหยุนจะไม่สนใจ แต่กับคนอื่นนั้นไม่ใช่ พวกเขาตื่นเต้นกันมาก ในดวงตาของแต่ละคนเต็มไปด้วยความตื่นเต้น หวังว่าตัวเองจะชนะการประลองนี้โดยเร็ว


 


กลุ่มคนพร้อมที่จะลงประลองแล้ว แม้ว่าจะประกาศเพียงแค่ 3 อันดับแรกเท่านั้น แต่อันดับอื่นๆ ก็มีของรางวัลให้เช่นกัน เพียงแต่เป็นรางวัลภายใน ยิ่งได้ตำแหน่งสูง ยิ่งนำเกียรติมาสู่ตระกูลของตน นี่คือการแข่งขัน


 


ไม่จำเป็นต้องติด 1 ใน 3 ตราบเท่าที่เหนือกว่าตระกูลอื่นๆ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว


 


คนรักหน้าตา ขณะที่ต้นไม้ห่วงเปลือก นี่ก็คือความจริง


 


หลี่เทียนหลงเห็นความตื่นเต้นที่ทุกคนแสดงออกมาก็รู้สึกพึงพอใจ รางวัลนี้จะว่าสูงก็ไม่สูง จะว่าต่ำก็ไม่ต่ำ มันเป็นแค่วิธีการเท่านั้น


CLS ตอนที่ 178: เหน็บแนม


 


“ของรางวัลดีมาก” จู้เทียนหงพยักหน้า แล้วหันไปพูดกับอี้เทียนหยุนว่า “ของรางวัล 3 อันดับแรกนั้นดีมาก ตราบเท่าที่เจ้าติด 1 ใน 3 ของรางวัลที่ได้จะเป็นของเจ้าทั้งหมด ข้าจะไม่เข้าไปยุ่งกับมันอย่างแน่นอน”


 


อี้เทียนหยุนพยักหน้า นี่ก็เป็นหนึ่งในเงื่อนไขของเขา ถ้าปฏิเสธ งั้นก็อย่ามาโทษหากเขาไม่เกรงใจ


 


หลังจากปล่อยให้ผู้คนคุยกันสักพัก หลี่เทียนหลงก็เริ่มประกาศหัวข้อในการแข่งขันขึ้น


 


“เอาล่ะ เรื่องรางวัลก็อย่างที่บอกไป ตอนนี้มาว่ากันเรื่องหัวข้อแรกที่ใช้แข่งขันในการประลองสลักอาคมกันดีกว่า!” หลี่เทียนหลงกวาดตามองผู้คน จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “การสลักอาคมนั้นเป็นศาสตร์ที่ค่อนข้างโหดร้าย จะช้าไปก็ไม่ได้ บิดเบี้ยวแม้สักนิดก็ไม่ได้ พลังวิญญาณที่ใช้ก็จะต้องพอดี ทั้งยังต้องมีความแข็งแกร่ง! ไม่อย่างนั้นมันจะนำไปสู่ความล้มเหลว”


 


“หัวข้อแรกในวันนี้ก็คืออัตราความหนาแน่น ระดับของค่ายกลนั้นว่ากันถึงเรื่องความหนาแน่น ยิ่งความหนาแน่นสูงเท่าไหร่ ก็จะยิ่งสามารถรับการปะทะได้มากเท่านั้น เรื่องนี้ข้าเชื่อว่าทุกคนต่างก็รู้ดี โดยทั่วไปแล้ว ค่ายกลส่วนมากล้วนถูกสลักลงบนเครื่องป้องกัน เพื่อใช้ต้านทานการโจมตี”


 


“ข้าจะใช้วิชายุทธ์ที่มีระดับแตกต่างกันเข้าโจมตี ใครที่สามารถทนได้นานกว่าก็จะมีคะแนนสูงกว่า สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำคือใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมา สร้างค่ายกลที่สามารถต้านทานการโจมตีให้นานที่สุด การแข่งขันรอบนี้ไม่สนใจถึงระดับของค่ายกล สนใจเพียงแต่ว่าค่ายกลที่ใครสร้างขึ้นมาสามารถทนรับการโจมตีได้นานกว่า!”


 


หลี่เทียนหลงอธิบายถึงความสำคัญของความหนาแน่น พร้อมกับหัวข้อแรกของการประลองที่ให้สลักอาคมลงบนเครื่องป้องกัน ค่ายกลของใครแข็งแกร่งกว่า รับการโจมตีได้ยาวนานกว่าก็จะเป็นผู้ชนะไป


 


“ติ๊ง ท่านรับภารกิจสุ่ม “ผ่านหัวข้อแรกของการประลอง” สำเร็จ เมื่อสำเร็จได้รับค่าประสบการณ์ 500,000, ค่าความชำนาญในการสลักอาคมเพิ่มขึ้น 1,000”


 


อี้เทียนหยุนตาเป็นประกายในทันที “น่าสนใจ เพียงแค่ผ่านรอบแรกก็สามารถเพิ่มค่าความชำนาญให้การสลักอาคมได้แล้ว เยี่ยม….”


 


หลังจากที่ทุกคนได้ฟังจนเสร็จ ต่างก็พากันตาเป็นประกาย การแข่งขันนี้ค่อนข้างยุติธรรมทีเดียว


 


การสลักอาคมลงบนเครื่องป้องกัน เป็นการเพิ่มผลลัพธ์แบบหนึ่ง ต่อให้เป็นเครื่องป้องกันระดับเหล็กธรรมดา แต่ภายใต้ความแข็งแกร่งของค่ายกล แม้ว่าอาจจะอ่อนแอกว่าระดับวิญญาณชั้นยอด แต่ก็เหนือกว่าระดับวิญญาณทั่วไป นี่คือความน่ากลัวของค่ายกล ไม่อย่างนั้น ฐานะของผู้เชี่ยวชาญการสลักอาคมคงไม่สูงอย่างนี้


 


“การแข่งขันรอบแรกคือการทดสอบความหนาแน่น นี่นับว่าเป็นพื้นฐานของการสลักอาคม” จู้เทียนหงพยักหน้า จากนั้นก็หันมาถามอี้เทียนหยุน “เรื่องนี้สำหรับเจ้าคงไม่มีปัญหาอะไรสินะ?”


 


“ไม่มีปัญหา” อี้เทียนหยุนส่งยิ้มบางๆ กลับไป ในสีหน้าที่เกือบจะไร้อารมณ์ เผยให้เห็นถึงความมั่นใจที่เต็มเปี่ยม


 


จู้เทียนหงพยักหน้า ตราบเท่าที่เป็นผู้เชี่ยวชาญสลักอาคม ก็ต้องเข้าใจในเรื่องนี้ ถึงยังไงนี่ก็เป็นพื้นฐานก่อนที่จะข้ามไปยังระดับที่สูงกว่า ถ้าไม่เข้าใจเรื่องนี้ก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงแล้ว แต่ถ้าสร้างค่ายกลป้องกันชั้น 1 ขึ้นมา พลังของมันก็ไม่มากพอ ไม่มีทางได้คะแนนสูงๆ อย่างแน่นอน


 


แม้ว่าหลี่เทียนหลงจะบอกว่าไม่สนใจเรื่องระดับ แต่จะไม่สนใจเรื่องระดับจริงๆ อย่างงั้นเหรอ? แม้เขาจะพูดว่าไม่เกี่ยวกับระดับ แต่ยิ่งค่ายกลมีระดับสูงเท่าไหร่ ก็ไม่ใช่ว่าจะยิ่งต้านทานได้นานอย่างงั้นเหรอ


 


อย่างรวดเร็ว เครื่องป้องกันแบบต่างๆ ก็ถูกนำออกมาวาง มีตั้งแต่ชุดเกราะ ยันไปถึงโล่แบบต่างๆ เครื่องป้องกันเหล่านี้จะให้ผู้เข้าแข่งกันเลือกกันไปคนละชิ้น ซึ่งส่วนมากต่างก็เลือกโล่กัน โล่ถือเป็นเครื่องป้องกันที่เหมาะแก่การสลักอาคมลงไปชิ้นหนึ่ง


 


หลังจากทุกคนเลือกเครื่องป้องกันกันแล้ว หลี่เทียนหลงก็พยักหน้า แล้วพูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “ในเมื่อทุกคนเลือกเครื่องป้องกันกันแล้ว ข้าก็มีเวลาให้ 1 ชั่วยาม หวังว่าใน 1 ชั่วยามนี้ ทุกคนจะใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด”


 


หลังจากพูดจบ หลี่เทียนหลงก็ส่งสายตาบอกให้ผู้จัดการที่อยู่ใกล้ๆ ทำการคว่ำนาฬิกาทรายจับเวลาลง ทรายในแก้วเริ่มตกลงอย่างรวดเร็ว และเมื่อทรายไหลลงมาจนหมด นั่นก็เท่ากับหมดเวลา และเมื่อหมดเวลาแล้วยังทำไม่เสร็จ ก็จะถือว่าถูกตัดสิทธิ์ไป


 


แม้ว่าจะเป็นวิธีคิดแบบนับคะแนน แต่ก็เป็นการตรวจสอบคุณสมบัติของนักสลักอาคมด้วย ดังนั้น แม้จะสร้างค่ายกลขยะออกมา แต่ก็ดีกว่าไม่ทำอะไร เพราะอย่างน้อยก็แค่ถูกคัดออก อย่างมากก็แค่เสียหน้า


 


หลังจากนาฬิกาทรายได้คว่ำลง ผู้เข้าแข่งขันทุกคนก็ได้หยิบพู่กันที่ตนมั่นใจที่สุดออกมาวาดค่ายกล นี่ต้องแข่งกับเวลา การสลักอาคมแท้จริงแล้วไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น เวลา 1 ชั่วยามอาจจะฟังดูมาก แต่ความจริงแล้วกลับค่อนข้างน้อยเลยทีเดียว


 


ถ้าจะทำของชั้นต่ำ อย่างมากก็ผิดพลาดได้เพียงแค่ครั้งเดียว แต่ถ้าเกิดล้มเหลวสองครั้งติดต่อกัน นั่นก็หมายความว่าหมดสิทธิ์ เพราะเวลาที่จำกัด ทำให้ไม่เพียงพอที่จะสร้างอันที่สาม


 


และด้วยเหตุนี้ ผู้เข้าแข่งขันทุกคนจึงรีบวาดค่ายกลโดยที่ไม่รีรอ เวลากระชั้นมากจริงๆ กระทั่งไม่มีเวลาว่างให้ทำเรื่องอื่น สายตาของอี้เทียนหยุนเป็นประกายอย่างต่อเนื่อง แน่นอนว่าเขากำลังวาดค่ายกลอยู่เช่นกัน เขาไม่สามารถพ่ายแพ้ที่นี่ได้ เพื่อติด 1 ใน 3 เขาจำเป็นต้องชนะ!


 


พวกเขานั้นง่วนอยู่กับเวลา แต่คนอื่นๆ ในตระกูลต่างก็มีเวลาว่าง ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มเหน็บแนมกัน


„Zhu Family Lord, does not know how many helpers this time you did invite?” Nearby Wang Family Lord could not endure at this time lonely, inquired in side: „I have heard probably, did you invite two level good Divine Rune Master ?”


“เจ้าตระกูลจู้ ไม่ทราบว่าคราวนี้ท่านเชิญผู้ช่วยมากี่คนกัน?” เจ้าตระกูลหวังที่อยู่ใกล้ๆ ทนรออยู่เฉยๆ ไม่ไหว จึงถามขึ้น “ข้าได้ยินมาว่าท่านได้เชิญผู้เชี่ยวชาญสลักอาคมมา 2 คนอย่างงั้นเหรอ?”


 


เจ้าตระกูลจู้พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ใช่ พวกเราเชิญผู้ช่วยมาสองคน แล้วมันมีปัญหาอะไรอย่างงั้นเหรอ?”


 


“ที่จริงก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก เชิญผู้ช่วยมาได้สองคนก็ดีแล้ว….. แต่ว่าน่าเสียดายที่ข้าเชิญมาได้แค่คนเดียว จำนวนนับว่าน้อยจนน่าผิดหวัง”


 


สีหน้าของเขากลับสวนทางกับคำพูด มันเต็มไปด้วยความรู้สึกจองหอง ตรงกันข้ามกับคำพูดอย่างเห็นได้ชัด


 


แล้วก็จริง เจ้าตระกูลอีกฝั่งก็สอดคำขึ้นมาว่า “เจ้าตระกูลหวัง ท่านพูดอย่างนี้ก็ไม่ถูก แม้ว่าท่านจะเชิญมาได้แค่คนเดียว แต่เหมือนว่าคนๆ นั้นจะมาจากวังเสินเหวินใช่ไหม? แต่สำหรับสองคนที่เจ้าตระกูลจู้เชิญมา ไม่รู้ว่ามาจากไหน จะมีชื่อเสียงมากกว่าวังเสินเหวินได้อย่างงั้นเหรอ?”


 


“ใช่ ข้าคิดว่าเจ้าตระกูลจู้ก็เชิญคนมาจากวังเสินเหวินเช่นกัน ตัวอย่างเช่นหนุ่มน้อยคนนั้น เขาดูเด็กที่สุดในผู้ที่อยู่บนเวทีเลย เขาไม่ใช่คนจากวังเสินเหวินอย่างงั้นเหรอ?” เจ้าตระกูลหวังพูดออกมาด้วยรอยยิ้มน่ารังเกียจ “แล้วถ้าไม่ใช่คนจากวังเสินเหวิน ทำไมถึงกล้ามาช่วยล่ะ?”


 


“เจ้าตระกูลหวัง ท่านจะพูดเหลวไหลอย่างนี้ไม่ได้! แม้ว่าข้าจะไม่ได้ไปที่วังเสินเหวิน แต่ก็ไม่เคยเห็นศิษย์ที่ยังเด็กขนาดนี้มาก่อน ถ้าให้ข้าเดา ข้าว่าเขาต้องไม่ใช่ศิษย์ของวังเสินเหวินอย่างแน่นอน” เจ้าตระกูลที่อยู่ใกล้ๆ พูดเหน็บแนมขึ้น


 


คำพูดที่เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยแบบนี้ทำให้สีหน้าของเจ้าตระกูลจู้จมลง สองคนนี้รวมหัวกันหัวเราะเยาะเขา พวกเขาไม่ลงรอยกับตระกูลหวังอยู่บ่อยครั้ง นี่เป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น


 


“เจ้าตระกูลหวัง ท่านคิดว่าผู้ชนะตกเป็นของท่านแล้วอย่างงั้นเหรอ?” เจ้าตระกูลจู้ก็ไม่ใช่คนที่จะยอมคนง่ายๆ เช่นกัน เขาแค่นเสียงออกมา


 


“ข้าก็ไม่ได้ว่าอย่างนั้น แต่อย่างน้อยโอกาสของข้าก็ยังมากกว่าคนอื่นๆ” เจ้าตระกูลหวังยิ้ม นี่มันเหมือนกับการถ่อมตัวที่ไหนกัน แต่เป็นการอวดดีที่ฝังลึกไปถึงกระดูก “แล้วทางเจ้าตระกูลจู้ล่ะ ท่านคิดว่าตัวเองจะได้ที่เท่าไหร่กัน?”


 


ตอนแรกมีโอกาสมาก กระทั่งสามารถเป็นผู้ชนะก็ยังได้ แต่ต่อให้ไม่ได้เป็นผู้ชนะ แต่การที่จะติด 1 ใน 3 ก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ตอนนี้มีคนของวังเสินเหวินเข้ามาร่วม แน่นอนว่าผลลัพธ์คงจะต่างออกไป


 


“ได้ที่เท่าไหร่ข้าไม่รู้ แต่คงจะเทียบตระกูลหวังของท่านไม่ได้หรอก!” เจ้าตระกูลจู้ก็รู้สึกไม่มั่นใจเช่นกัน แต่เขาจะมายอมแพ้ที่นี่ไม่ได้ เพราะว่าเขาได้คอตนเองขึ้นเขียงแล้ว


 


“แล้วข้าจะคอยดู!” เจ้าตระกูลหวังยิ้มเยาะ เขารู้ว่าเจ้าตระกูลจู้ยังไม่เต็มใจยอมแพ้ ตราบเท่าที่ผลลัพธ์สุดท้ายยังไม่ออกมา เขาก็จะไม่ตัดใจอย่างแน่นอน


 


นี่ก็เหมือนกับเมื่อก่อน ตระกูลจู้ในตอนนี้ได้เอาคอขึ้นเขียงแล้ว สุดท้ายคงต้องรอให้ผลลัพธ์แสดงออกมาเท่านั้น


 


สีหน้าอี้เทียนหยุนยังคงเฉยชา ในการประลองนี้ สำหรับคนอื่นจะคิดยังไงเขาไม่รู้ แต่สำหรับเขานั้น เขาต้องการเพียงแค่ทำภารกิจให้สำเร็จแล้วติด 1 ใน 3 เท่านั้น!


CLS ตอนที่ 179: หัวเราะเยาะ


 


เมื่อมาถึงตรงนี้ เวลาก็ได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว บางคนก็ได้ทำเสร็จแล้ว และคนที่น่าสนใจที่สุดในรอบแรกนี้ก็คือศิษย์ของวังเสินเหวิน หลินหลี่ เขาเป็นคนที่ทำเสร็จเป็นคนแรก ทำให้เป็นที่สนใจของทุกคน ไม่เสียทีที่เป็นถึงอัจฉริยะจากวังเสินเหวิน ทำเสร็จเร็วมาก


 


“ผู้ช่วยที่เจ้าตระกูลหวังหามาในคราวนี้ช่างน่าตื่นตะลึงจริงๆ เสร็จเป็นคนแรกเลย!” เจ้าตระกูลที่อยู่ใกล้ๆ พูดประจบเอาใจ


 


“ชื่อเสียงของวังเสินเหวินใครบ้างจะไม่รู้จัก ถ้าทำไม่ได้ถึงระดับนี้ แล้วยังจะถูกเรียกว่าคนของขุมกำลังชั้น 3 ได้ยังไง?” เจ้าตระกูลหวังยิ้ม รู้สึกสุขสลายไปทั้งตัว ทั้งยังไม่ลืมเหลือบไปมองจู้เทียนหง อยากจะเห็นว่าจู้เทียนหงทำสีหน้ายังไง


 


ใบหน้าของเขาดำคล้ำ คนที่เขาเชิญมา พวกเขาทำได้ช้ามาก ไม่สามารถเอาไปเทียบกันได้ โดยเฉพาะอี้เทียนหยุนที่ช้าเป็นพิเศษ ทำให้เห็นความต่างได้อย่างชัดเจน


 


วังเสินเหวิน หลินหลี่ ก็ถูกความเชื่องช้าของอี้เทียนหยุนดึงดูดเข้า เมื่อเห็นอี้เทียนหยุนวาดค่ายกลอย่างระวังก็หัวเราะออกมาแล้วพูดเสียงดังว่า “ไม่รู้ว่าตระกูลไหนส่งมากัน เด็กขนาดนี้ยังกล้าให้ขึ้นมา ไม่รู้อยู่ชั้นไหน อย่างมากคงจะเป็นนักสลักอาคมชั้น 2 ใช่ไหม?”


 


เขาเห็นอี้เทียนหยุนวาดอาคมได้ช้ามากๆ จึงอดไม่ได้ต้องพูดเหน็บสักประโยค สายตาของเขาเต็มไปด้วยความดูถูก จากที่เห็น เห็นได้ชัดว่าเขากำลังวาดค่ายกลชั้น 1


 


อี้เทียนหยุนเป็นธรรมดาที่จะไม่สนใจเขา เขาทำการวาดค่ายกลของตนต่อด้วยความเร็วไม่เร็วไม่ช้า


 


อย่างรวดเร็ว คนส่วนมากก็วาดค่ายกลเสร็จกันแล้ว อีกคนที่จู้เทียนหงเชิญมาก็วาดเสร็จเรียบร้อย เหลือแต่เพียงอี้เทียนหยุนที่มีท่าทีไม่รู้ร้อนรู้หนาว สถานการณ์แบบนี้ทำให้จู้เทียนหงต้องขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าอี้เทียนหยุนกำลังทำอะไรอยู่


 


“ประหลาดมาก เจ้าหนูนั่นกำลังทำอะไร ทำไมถึงได้ช้าอย่างนี้?” ผู้จัดการหลิวที่อยู่ด้านข้างอดพูดออกมาไม่ได้ เขาไม่พอใจอี้เทียนหยุนอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อเห็นอี้เทียนหยุนทำช้าอย่างนี้อีก ยิ่งทำให้เขาไม่พอใจมากกว่าเดิม


 


พวกเขาหวังให้อี้เทียนหยุนติด 1 ใน 3 แต่ตอนนี้แม้แต่ 1 ใน 10 ยังแทบจะเป็นไปไม่ได้!


 


“ผู้อาวุโสอี้กำลังทำอะไร เหมือนกับว่าค่ายกลที่เขากำลังวาดดูจะยากมากอย่างไงอย่างงั้น?” จู้อวี่เสวียนถามขึ้น


 


“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก เราต้องเชื่อในผู้อาวุโสอี้” จู้อวี่เหว่ยส่งยิ้มออกมา ไม่เป็นกังวลแม้แต่น้อย


 


เธอเชื่อในตัวอี้เทียนหยุนอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เธอคิดว่าอี้เทียนหยุนจะต้องเป็นผู้ชนะอย่างแน่นอน


 


ในที่สุด อี้เทียนหยุนก็วาดตัวอักษรสุดท้ายเสร็จ เขาเก็บพู่กันแล้วยิ้มออกมา “ดี…..”


 


คำว่าดีของเขาทำให้คนอื่นๆ ที่อยู่ใกล้ๆ แสดงสายตาดูถูกออกมา นี่น่ะนะดีของเจ้า? เห็นชัดๆ ว่าเป็นแค่ระดับพื้นฐาน ยังมีน่ามาบอกว่าดีอีก ความมั่นใจของเจ้ามันจะไม่มากเกินไปหน่อยเหรอ?


 


หลังจากทรายเม็ดสุดท้ายล่วงลงจนหมด เวลาในรอบแรกก็สิ้นสุดลง ผู้จัดการสองคนที่อยู่ข้างกายหลี่เทียนหลงก็เริ่มทำการตรวจสอบ ผู้เข้าแข่งขันในรอบนี้ไม่มีคนถูกคัดออก ล้วนแต่ทำเสร็จกันทุกคน


 


แค่ค่ายกลง่ายๆ ถ้าทำไม่สำเร็จก็ขายหน้าแย่


 


จากนั้น พวกเขาก็ทำเรียกให้เข้าไปทำการทดสอบ คนแรกที่ถูกเรียกขึ้นไปก็คือเครื่องป้องกันของหลินหลี่ เพราะเขาทำเสร็จเป็นคนแรก ดังนั้นเขาจึงเป็นคนแรกที่ต้องทดสอบ หลังจากรับเครื่องป้องกันชิ้นนั้นไป ผู้จัดการคนนี้ก็ทำการตรวจสอบ จากนั้นก็พูดว่า “ค่ายกลป้องกันชั้น 3 เริ่มทดสอบ ณ บัดนี้!”


 


ค่ายกลป้องกันชั้น 3 ก่อให้เกิดเสียงโห่ร้องดังขึ้นมาในทันที ไม่เสียทีที่เป็นศิษย์วังเสินเหวิน ด้วยระดับที่แสดงออกมานี้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นนักสลักอาคมชั้น 3


 


นอกจากเขาแล้ว ยังมีบางคนที่สร้างค่ายกลป้องกันชั้น 3 ขึ้นมา แต่ก็มีจำนวนน้อยมาก ส่วนมากจะสร้างค่ายกลป้องกันชั้น 2 เท่านั้น หลินหลี่ที่สร้างเสร็จเป็นคนแรก ทั้งยังเป็นค่ายกลป้องกันชั้น 3 นับว่ามีระดับเหนือกว่าพวกเขาโดยสมบูรณ์!


 


“ปัง ปัง ปัง!”


 


ทันใดนั้น เครื่องป้องกันชิ้นนี้ก็ถูกผู้จัดการทำการโจมตี ขั้นแรกเขาใช้การโจมตีในระดับปรับแต่งกายาเข้าโจมตี เมื่อไม่สามารถทำลายได้ เขาก็ค่อยๆ เพิ่มระดับขึ้นทีละขั้น เพื่อที่จะดูว่า ท้ายที่สุดแล้วขีดจำกัดของมันจะอยู่ที่ระดับไหน


 


ในที่สุด ภายใต้การโจมตี เครื่องป้องกันของหลินหลี่ก็พ่ายแพ้ ระดับที่ปรากฏคือระดับปรับแต่งวิญญาณขั้นที่ 7! นี่เป็นแค่เครื่องป้องกันธรรมดา มีระดับเพียงแค่เหล็ก สามารถรับการโจมตีได้ถึงระดับปรับแต่งวิญญาณขั้นที่ 7 นับว่าไม่ธรรมดาแล้ว


 


จากนั้น คนอื่นๆ ก็เริ่มทดสอบอย่างรวดเร็ว ระดับของพวกเขาไม่สูงนัก อยู่ที่ระดับปรับแต่งวิญญาณขั้นที่ 4 ที่ 5 บางคนกระทั่งอยู่ในระดับปรับแต่งวิญญาณขั้นที่ 2 เห็นได้ชัดว่าความแตกต่างระหว่างพวกเขากับหลินหลี่นั้นมากขนาดไหน


 


ความแข็งแกร่งที่หลินหลี่แสดงออกมาทำให้คนของหลายตระกูลพากันโห่ร้อง นี่เป็นระดับที่สูงมากจริงๆ กระทั่งเหนือกว่าผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ไปช่วงใหญ่!


 


“ระดับของศิษย์วังเสินเหวินนี้สูงจริงๆ นำหน้าคนอื่นๆ จนไม่เห็นฝุ่น สามารถทำให้หลินหลี่มาเป็นแขกของตระกูลหวังไว้ นับว่าความสามารถของเจ้าตระกูลหวังไม่ธรรมดาจริงๆ!” เจ้าตระกูลที่อยู่ใกล้ๆ พูดประจบออกมาไม่หยุด


 


“ก็ไม่ขนาดนั้น….” ปากเจ้าตระกูลหวังพูดอย่างถ่อมตน แต่รอยยิ้มบนใบหน้าแทบจะฉีกถึงหู แถมยังหันไปมองทางจู้เทียนหงด้วยดวงตาที่แฝงไปด้วยความดูถูก


 


แค่การทดสอบแรกก็เหนือกว่าขนาดนี้ แล้วยังจะแข่งต่อไปเพื่ออะไร? ตระกูลจู้ในตอนนี้ถูกถีบไปไกลแล้ว!


 


จู้เทียนหงยังคงนิ่งเงียบ เพราะเขารู้ว่าไม่สามารถปฏิเสธอะไรได้ ทำได้เพียงรอเวลาที่จะกู้หน้าคืนเท่านั้น


 


เขารู้สึกประหลาดใจอย่างมาก ไม่ใช่ว่าอี้เทียนหยุนเป็นอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 อย่างนั้นเหรอ ทำไมการแสดงออกถึงได้ต่ำขนาดนี้?


 


อย่างรวดเร็ว ผลลัพธ์ก็ค่อยๆ แสดงออกมา บางคนกระทั่งต้านทานได้แค่ระดับปรับแต่งกายาขั้นที่ 8 นับว่าต่ำจนน่าสงสาร นี่ไม่สามารถทนได้กระทั่งระดับปรับแต่งวิญญาณ ช่างดูไม่ได้เสียจริงๆ


 


ด้วยเวลาที่ผ่านไป ก็ไม่ได้มีอะไรเหนือความคาดหมาย ส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็นค่ายกลชั้น 2 น้อยมากที่จะเป็นค่ายกลชั้น 3 กระทั่งค่ายกลชั้น 3 ยังมีระยะห่างจากหลินหลี่ไม่น้อย


 


ทั้งที่เป็นค่ายกลชั้น 3 เช่นเดียวกันทำไมถึงได้มีระยะห่างที่มากขนาดนั้นได้ล่ะ?


 


นี่ต้องดูที่วิธีการ และระดับของพู่กันแล้ว ว่าจะสามารถแสดงผลลัพธ์ของทั้งสองสิ่งนี้ออกมาได้แค่ไหน


 


ในที่สุดก็ถึงคราวของตระกูลจู้ ผู้จัดการคนนั้นตรวจสอบเพียงเล็กน้อยก็ตัดสินออกมาทันทีว่า “ค่ายกลป้องกันชั้น 2”


 


และเมื่อเริ่มการทดสอบ ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ทั่วไป ไม่ได้มีอะไรพิเศษ


 


“ระดับของคนที่เจ้าตระกูลจู้เชิญมาไม่ธรรมดาจริงๆ……” เจ้าตระกูลหวังพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “คราวนี้ไม่ใช่ว่าเขาจะได้ตำแหน่งเหมือนครั้งก่อนหรอกนะ?”


 


ความหมายของคำพูดหมายถึงการเยาะเย้ยอย่างเห็นได้ชัด แทบจะเหยียบจู้เทียนหงติดดิน


 


“ฮึ่ม!” จู้เทียนหงแค่นเสียงออกมา แต่ก็ไม่ตอบโต้อะไร ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดขนาดนี้ เขาจะไปตอบโต้อะไรได้


 


สุดท้าย ก็มาถึงคราวค่ายกลที่อี้เทียนหยุนสร้างขึ้น ผู้จัดการเดินเข้ามาตรวจ จากนั้นก็พูดว่า “ค่ายกลชั้น 1 อย่างงั้นเหรอ?”


 


นี่เป็นค่ายกลชั้น 1 ที่ไม่มีอะไรพิเศษ ก่อนหน้านี้ก็มีบางคนวาดค่ายกลชั้น 1 ออกมา แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เพราะการวาดค่ายกลระดับสูงได้ล้มเหลวหลายครั้ง เมื่อเห็นว่ามีเวลาไม่พอ จึงทำได้เพียงเลือกแผนการที่แย่ที่สุดนี้ แม้จะได้คะแนนต่ำ แต่อย่างน้อยก็ไม่ถูกคัดออก


 


ยังไงก็ตาม นี่เป็นสิ่งที่อี้เทียนหยุนค่อยๆ ทำขึ้นตั้งแต่เริ่ม ไม่ได้ผิดพลาดใดๆ เรื่องนี้พวกเขาล้วนเห็นกันดี ตอนแรกพวกเขาก็คิดว่าอย่างน้อยต้องเป็นค่ายกลชั้น 2 ชั้น 3 แต่ไม่คิดเลยว่าค่ายกลที่เขาใช้เวลาวาดตั้งนานจะเป็นเพียงค่ายกลชั้น 1?


 


เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็ทำให้ผู้ชมล้วนพากันตกตะลึง หลังจากนั้นเจ้าตระกูลหวังก็หัวเราะแล้วพูดขึ้นว่า “ค่ายกลชั้น 1 อย่าบอกข้านะว่าที่ทำตั้งนานนั่นเป็นค่ายกลชั้น 1 นี้น่ะ? ทำได้แค่นี้ยังกล้าลงแข่ง ข้าล่ะก็อยากจะหัวเราะจริงๆ! แต่คิดไปแล้วก็เหมาะสมอยู่ ยังเด็กขนาดนี้ แต่ได้เป็นนักสลักอาคมชั้น 1 แล้ว สามารถวาดค่ายกลชั้น 1 ออกมาได้ นับว่าไม่ธรรมดาจริงๆ”


 


สีหน้าจู้เทียนหงจมลงในทันที ไม่ใช่ว่าเขาเป็นอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 อย่างงั้นเหรอ?


 


“ฮ่าๆๆ ที่แท้เจ้าก็สร้างค่ายกลชั้น 1….. สหาย นี่ไม่ที่ที่เจ้าจะทำเป็นเล่นได้นะ ข้าว่าเจ้าไสหัวกลับไปกินนมดีกว่า! ถ้าไม่มีความสามารถก็อย่าขึ้นมาสิ น่าขายหน้าชะมัด” หลินหลี่หัวเราะเยาะ เล่นทำซะนานแต่ก็ทำได้เพียงค่ายกลชั้น 1 เขาที่เห็นก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้


 


“โปรดทดสอบ” เผชิญหน้ากับการดูถูกของพวกเขา สีหน้าอี้เทียนหยุนยังคงเฉยชา ไม่นำมันมาใส่ใจ พร้อมกับผายมือให้ผู้จัดการเริ่มการทดสอบ


CLS ตอนที่ 180: ตกใจ


 


หลายคนคาดคิดเกี่ยวกับระดับของอี้เทียนหยุน แต่ไม่คิดว่าพอทำออกมาจริงๆ จะเป็นแค่ค่ายกลชั้น 1 ซึ่งทำให้ทุกคนพากันตกใจ จากนั้นก็พากันหัวเราะเยาะออกมา หลายคนมองดูด้วยความอึดอัด ทุกคนที่ขึ้นมานี่ระดับก็ไม่ได้ต่ำ แต่เขากลับใช้เวลาตั้งนานแต่ทำออกมาได้แค่ค่ายกลชั้น 1 นี้ ช่างน่าขายหน้าจริงๆ!


 


หลังจากขึ้นมาบนเวที ผู้คนพากันคิดว่าระดับของอี้เทียนหยุนจะต้องไม่สูงนัก แต่ไม่คิดว่าจะต่ำขนาดนี้


 


“โปรดทดสอบ” อี้เทียนหยุนบอกให้ผู้จัดการคนนั้นทดสอบค่ายกลของตน ตั้งแต่เริ่มจนจบ หลินหลี่มองมาที่เขาด้วยความดูถูก


 


ผู้จัดการคนนี้ส่ายหัว ค่ายกลชั้น 1 นี้เป็นได้แค่ของห่วยๆ เท่านั้น เพียงแค่หมัดธรรมดาก็จัดการได้ จำเป็นต้องทดสอบที่ไหนกัน? เขาแทบอยากจะให้คะแนนเดียวให้มันจบๆ ไปด้วยซ้ำ


 


เมื่อคนอื่นๆ เห็นท่าทางใจเย็นของอี้เทียนหยุนก็พากันส่ายหัว ไม่รู้เจ้าเด็กนี่ไปเอาความกล้ามาจากไหน ระดับเพียงแค่นี้ยังทำใจเย็นได้อีก?


 


“ปัง!”


 


ผู้จัดการต่อยลงบนเครื่องป้องกันของอี้เทียนหยุน ระดับที่ส่งออกไปเป็นระดับปรับแต่งกายาขั้นที่ 5 หลังจากต่อยลงไป ค่ายกลมีการสั่นไหวเล็กน้อย แต่กลับไม่แตกสลายโดยไม่คาดคิด! ผลลัพธ์นี้ทำให้ผู้จัดการถึงกับตาโต ในใจเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ ถ้าเป็นค่ายกลชั้น 1 ทั่วไป ด้วยแรงระดับนี้คงสลายไปแล้ว


 


คนอื่นๆ ก็อ้าปากค้างเล็กน้อย ไม่คิดว่าค่ายกลชั้น 1 จะต้านทานได้?


 


“พู่กันที่เขาใช้เมื่อกี้นี้เหมือนจะเป็นของชั้นสูง? อย่างน้อยต้องเป็นระดับวิญญาณขึ้นไป!”


 


ทันใดนั้นก็มีคนตาดีเห็นว่าพู่กันที่อี้เทียนหยุนใช้เป็นของระดับวิญญาณ ทันใดนั้นผู้คนก็พากันตาสว่าง ที่แท้ก็พึ่งพลังของพู่กัน ไม่แปลกที่หมัดนี้จะทำอะไรไม่ได้


 


“ช่างน่าเสียดายพู่กันด้ามนี้จริงๆ วาดค่ายกลชั้น 1 ด้วยพู่กันระดับวิญญาณ ช่างเป็นการเสียของจริงๆ!”


 


“ถ้าให้ข้าเป็นคนใช้นะ มันจะต้องสร้างค่ายกลที่แข็งแกร่งกว่านี้ได้อย่างแน่นอน! แต่ตอนนี้กลับถูกนำมาใช้วาดค่ายกลชั้น 1 ช่างน่าขันชะมัด”


 


……


 


พวกเขาพากันส่ายหัว คิดว่าช่างเป็นการเสียของจริงๆ


 


แต่ไม่ว่าจะยังไง ในใจของพวกเขาก็พากันคิดว่าตระกูลจู้ช่างน่าขันเสียจริง ถึงกับให้คนระดับต่ำแบบนั้นขึ้นเวที ช่างน่าขายหน้าชะมัด!


 


“ไม่แปลกใจเลย งั้นข้าจะเพิ่มพลังขึ้นอีกหน่อย” ผู้จัดการพยักหน้า จากนั้นก็ต่อยไปที่เครื่องป้องกันด้วยแรงที่มากขึ้น แรงที่เขาใช้เป็นพลังระดับปรับแต่งกายาขั้นที่ 7


 


“ปัง!”


 


หมัดของเขาต่อยลงไป แต่ค่ายกลกลับไม่แตก!


 


นี่ทำให้ผู้จัดการต้องขมวดคิ้ว ยังไม่แตกอีก?


 


ผลลัพธ์ของพู่กันนี้มันจะดีเกินไปแล้ว งั้นมาลองพลังที่แรงกว่านี้ดู!


 


“ปัง!”


 


พลังระดับปรับแต่งกายาขั้นที่ 8 ก็ยังไม่สามารถทำลายค่ายกลที่สลักลงบนเครื่องป้องกันนี้ได้!


 


ในตอนนี้ คนอื่นๆ ต่างมีสีหน้าตกใจ ต่อให้จะพึ่งพลังของพู่กัน แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่น่าจะมากมายขนาดนี้นี่นา? กระทั่งพลังระดับปรับแต่งกายาขั้นที่ 8 ยังป้องกันได้ นี่มันอยู่ระดับเดียวกับค่ายกลชั้น 2 เชียวนะ


 


“ข้าไม่เชื่อ!”


 


ผู้จัดการเพิ่มพลังขึ้นอีกครั้ง เขาไม่เชื่อว่าค่ายกลนี้จะไม่แตก ครั้งนี้เขาใช้พลังระดับปรับแต่งกายาขั้นที่ 9 แต่ปรากฏว่าค่ายกลก็ยังไม่แตกอยู่ดี!


 


เขายังคงทำการทดสอบต่อไป จนมาถึงระดับปรับแต่งวิญญาณขั้นที่ 1 ด้วยหมัดที่ต่อยลงไปจำนวนมาก แต่ก็ไม่สามารถทำลายค่ายกลนี้ได้ กระทั่งรูปแบบค่ายกลยังไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด!


 


ตกใจ ทุกคนพากันตกใจ ค่ายกลชั้น 1 แต่กลับสามารถทนการโจมตีระดับปรับแต่งวิญญาณขั้นที่ 1 ได้ ทำไมถึงไม่แตก? นี่มันไม่น่าเชื่อ นี่เป็นแค่ค่ายกลชั้น 1 จริงๆ เหรอ ไม่ได้ดูผิดใช่ไหม?


 


รอยยิ้มเยาะเย้ยบนใบหน้าของทุกคนตอนนี้กลายเป็นแข็งค้าง ไม่สามารถรักษารอยยิ้มเอาไว้ได้อีก


 


“นี่คือค่ายกลชั้น 1 อย่างงั้นเหรอ ข้าว่าต้องดูผิดแน่ นี่ต้องเป็นค่ายกลชั้น 3! ต่อให้ไม่ใช่ค่ายกลชั้น 3 แต่อย่างน้อยก็เหนือกว่าค่ายกลชั้น 2 แน่ๆ?”


 


“นี่ นี่คือค่ายกลชั้น 1 อย่างนั้นเหรอ ทำไมทนได้นานขนาดนี้!”


 


“รีบตรวจใหม่เร็วเข้า มันจะต้องเป็นค่ายกลชั้น 2 แน่ๆ!”


 


เสียงที่ส่งออกมาดังขึ้นทุกที ถ้าเป็นค่ายกลชั้น 2 ผลที่ออกมานี้ก็ไม่แปลกอะไร


 


ผู้จัดการที่ทำการทดสอบรู้สึกตกใจ เขาไม่ได้ออมมือแม้แต่น้อย แต่กลับไม่สามารถทำลายค่ายกลนี้ได้


 


“นี่มันอะไรกัน เจ้าแน่ใจใช่ไหมว่านั่นคือค่ายกลชั้น 1?” ในตอนนี้เอง หลี่เทียนหลงก็ได้ยืนขึ้น พร้อมกับมองมาที่ตรงนี้


 


“เจ้าตำหนักหลี่ ข้าแน่ใจว่านี่คือค่ายกลชั้น 1 ไม่ใช่ค่ายกลชั้น 3 อย่างแน่นอน…..” ผู้จัดการที่ทำหน้าที่ทดสอบยิ้มอย่างขมขื่น เขาจะไปดูผิดได้ยังไงกัน?


 


จากนั้น หลี่เทียนหลงก็ได้เดินมาดู ที่จริงแล้ว การทดสอบนี้ไม่จำเป็นต้องให้เขาตรวจสอบด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้เขาต้องลงมาดู ว่าแท้จริงแล้วมันเป็นเรื่องอะไรกันแน่


 


เมื่อหลี่เทียนหลงมาถึง เขาก็ทำการตรวจสอบเครื่องป้องกันชิ้นนี้ หลังจากตรวจดูตั้งแต่บนลงล่าง ในสายตาก็เผยให้เห็นถึงความตกใจ พร้อมกับหันไปมองยังอี้เทียนหยุน แล้วพูดออกมาอย่างตกใจว่า “นี่เป็นค่ายกลชั้น 1 จริงๆ…..”


 


“ไม่น่าเชื่อว่านี่จะเป็นค่ายกลชั้น 1 จริงๆ เพียงแต่การวาดอาจจะยากไปหน่อย ทำให้มันแสดงพลังออกมาได้สูงสุดเทียบเท่ากับค่ายกลชั้น 3….”  หลี่เทียนหลงพูดอธิบายออกมา “ค่ายกลชั้น 1 นี้ไม่ใช่ค่ายกลชั้น 1 ธรรมดา แต่เป็นค่ายกลชั้น 1 สามชั้นซ้อน! เป็นค่ายกลชั้น 1 สามชั้นซ้อนกัน ทำให้พลังที่มันแสดงออกมาเทียบได้กับค่ายกลชั้น 3 การโจมตีธรรมดาจะไปจัดการมันได้ยังไงกัน?”


 


หลังจากหลี่เทียนหลงอธิบายออกมา ทุกคนก็แสดงสีหน้าตกใจ เจ้าตระกูลหวังก็เช่นกัน แม้แต่จู้เทียนหงยังตาโตจนแทบจะหลุดออกจากเบ้า รอยยิ้มดูถูกบนใบหน้าของหลินหลี่กลายเป็นแข็งค้าง…..


 


นักสลักอาคมทั้งหลายต่างก็เคยได้ยินถึงการสลักอาคมวิธีนี้ ยิ่งซ้อนทับกันมากเท่าไหร่ ความยากยิ่งทวีคูณ แต่พลังที่ได้ก็คุ้มค่าอย่างแท้จริง


 


ดูเหมือนว่าค่ายกลชั้น 1 นี้จะมีความยากพอๆ กับค่ายกลชั้น 3 ระดับสูงสุดเลยทีเดียว! นักสลักอาคมธรรมดาไม่มีทางสร้างออกมาได้อย่างแน่นอน ไม่เพียงแต่ต้องมีความแม่นยำสูงเท่านั้น หากผิดเพี้ยนไปแม้แต่น้อยล่ะก็ ค่ายกลก็จะล้มเหลวโดยสมบูรณ์ โอกาสที่จะแก้กลับมาทำใหม่เป็นไปไม่ได้เลย


 


ดังนั้น คนส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะวาดค่ายกลชั้น 3 แทนที่จะวาดค่ายกลซ้อนทับ เหตุผลเพราะ แม้ว่าค่ายกลชั้น 3 จะล้มเหลว แต่ก็สามารถซ่อมกลับมาเป็นได้ในทันที แต่ถ้าค่ายกลชั้นที่ 3 เสียหาย 2 ชั้นแรกก็จะเสียไปด้วย


 


ทำให้ความยากในการสร้างค่ายกลนี้เป็นอะไรที่สูงมาก แต่อี้เทียนหยุนกลับวาดมันออกมาได้ เรื่องนี้ทำให้ทุกคนตกใจ ก่อนหน้าคนที่ดูถูกและหัวเราะเยาะเขา ตอนนี้กลับกลายเป็นเงียบ การตอกกลับนี้สำหรับพวกเขาถือว่าร้ายแรงมาก!


 


ค่ายกลชั้น 1 คือขยะอย่างงั้นเหรอ? พวกเขาต่างหากที่เป็นขยะ กระทั่งหลินหลี่ก็ด้วย!


 


คำพูดที่หลี่เทียนหลงพูดออกมา แน่นอนว่าทุกคนล้วนเชื่อ เพียงแต่ข่าวนี้ออกจะกะทันหันเกินไป ทำให้พวกเขาทำได้เพียงตกตะลึง


 


“เจ้าไม่ตรวจสอบให้ดี ครั้งนี้เป็นความผิดพลาดของเจ้า!” หลี่เทยีนหลงขมวดคิ้ว นี่เกือบจะกลายเป็นเรื่องผิดพลาดอย่างหนักแล้ว ผู้จัดการคนนั้นก้มหัวลงด้วยความอับอาย เขาเพียงแค่เหลือบตาดู เมื่อเห็นว่าเป็นแค่ค่ายกลชั้น 1 ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ดูให้ละเอียด แต่ใครจะไปคิดกันล่ะว่าจะเป็นค่ายกลซ้อนทับเสียฉิบ


 


เขาไม่เคยเห็นค่ายกลซ้อนทับมาก่อน แต่วันนี้กลับปรากฏขึ้นมา ค่ายกลซ้อนทับที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ทำไมวันนี้ถึงปรากฏขึ้นได้กัน!


 


“ไม่จำเป็นต้องทดสอบต่อแล้ว ข้าตัดสินให้คะแนนเต็มได้ทันที มันกระทั่งสามารถต้านทานพลังระดับปรับแต่งวิญญาณขั้นที่ 8 ได้โดยที่ไม่ยากลำบากอะไร ไม่คิดเลยว่าจะมีค่ายกลซ้อนทับปรากฏขึ้น นี่เป็นความผิดของพวกเรา แต่คะแนนเต็มมีแค่ 10 เท่านั้น ไม่อย่างนั้นข้าคงจะให้ 12 คะแนนไปแล้ว!” หลี่เทียนหลงตัดสินใจมอบคะแนนสูงสุดให้ทันที แม้ว่าเขาอยากจะให้คะแนนสูงกว่านี้ แต่กฎก็ต้องเป็นกฎ มันไม่ค่อยดีถ้าจะเปลี่ยนมัน


 


หลี่เทียนหลงมองไปที่อี้เทียนหยุนด้วยความพอใจ แล้วพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าเป็นตัวแทนของตระกูลจู้ใช่ไหม? ดี”


 


ผลลัพธ์นี้ทำให้ทุกคนต้องตาโต ก่อนหน้าพวกเขาดูถูกอี้เทียนหยุนที่ใช้พู่กันระดับวิญญาณไม่คุ้มค่า ตอนนี้พวกเขาต่างพากันเงียบ พวกเขาจะไปกล้าพูดได้ยังไงกันเล่า ค่ายกลซ้อนทับนี้ จำเป็นต้องเป็นคนที่มีพรสวรรค์สูงมากๆ เท่านั้นถึงจะวาดออกมาได้


 


สีหน้าหลินหลี่กลายเป็นน่าเกลียด ก่อนหน้านี้เขาหัวเราะเยาะอี้เทียนหยุนที่วาดค่ายกลชั้น 1 ออกมา ตอนนี้กลับปรากฏว่าเป็นค่ายกลซ้อนทับ นี่ไม่ต่างอะไรจากการตบหน้าตนเอง


CLS ตอนที่ 181: รอบสอง


 


“เจ้าตระกูลหวัง สหายน้อยคนนี้เราเป็นคนเชิญ ก็จริงที่เขาสร้างค่ายกลชั้น 1 ออกมา แต่ก็เป็นค่ายกลชั้น 1 แบบซ้อนทับ ไม่ทราบว่าตอนนี้ท่านรู้สึกยังไง?” จู้เทียนหงพลันเริ่มเหน็บแนมกลับทันที ก่อนหน้านี้เป็นพวกเขาที่เยาะเย้ยเขาอย่างหนัก ตอนนี้ถึงตาเขาเยาะเย้ยกลับบ้างแล้ว


 


คนที่ชอบหาเรื่อง ต้องถูกเอาคืน


 


จู้เทียนหงหัวเราะเสียงดัง ทั้งยังคิดว่าการตอบกลับของอี้เทียนหยุนคราวนี้ดีนัก นี่สิถึงจะสมกับคำว่าอัจฉริยะ!


 


จู้อวี่เหว่ยกับจู้อวี่เสวียนพลันแสดงใบหน้าดีใจออกมา นี่คือความแข็งแกร่งของผู้อาวุโสอี้ของพวกเธอ


 


“เป็นไปได้ยังไงกัน ยังเด็กอยู่แท้ๆ แต่กลับสร้างค่ายกลซ้อนทับที่ทรงพลังออกมาได้?” สีหน้าของเจ้าตระกูลหวังดิ่งลง ที่แท้ เจ้าหนูนี่ก็มีพรสวรรค์ที่น่าตื่นตะลึงขนาดนี้เชียว?


 


บนเวที


 


หลินหลี่ที่ตกใจก็พูดขึ้นมา “เป็นไปได้ยังไง ค่ายกลซ้อนทับออกจะยากขนาดนั้น ทำไมเจ้าถึงสร้างมันขึ้นมาได้?”


 


จากสายตาที่เต็มไปด้วยความดูถูก ตอนนี้กลับเปลี่ยนเป็นความตกใจแทน ถูกความสามารถของอี้เทียนหยุนทำให้สั่นสะท้านอย่างแรง


 


“โอ้ ข้าสร้างได้แค่ค่ายกลชั้น 1 ควรกลับไปดื่มนมมารดาแล้วฝึกมาใหม่…. ถ้าข้าต้องกลับไปดื่มนมมารดา แล้วเจ้าล่ะ? อย่างเจ้าคงต้องกลับไปอยู่ในครรภ์มารดาเลยสินะ?” อี้เทียนหยุนปรายตาไปทางหลินหลี่ คำกล่าวเรียบๆ พร้อมกับรอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้าของเขา เปรียบดั่งฝ่ามือยักษ์ที่ฟาดลงบนหน้าของหลินหลี่


 


“เจ้าว่าอะไรนะ!” หลินหลี่ถูกคำพูดของอี้เทียนหยุนจนใบหน้ากลายเป็นบิดเบี้ยว แต่เขาก็ไม่มีเหตุผลให้ลงมือ จึงทำได้เพียงจ้องไปที่เขาอย่างเดือดดาล


 


“ไม่ได้ว่าอะไร ข้าก็แค่พูดความจริง ก็แค่เอาคำพูดของเจ้าคืนเจ้าไปเท่านั้น” อี้เทียนหยุนส่งรอยยิ้มให้เขา หลินหลี่เป็นพวกหยิ่งผยอง คิดว่าตัวเองคือที่สุด ตอนนี้ต้องมาถูกคนอื่นหัวเราะเยาะเข้า เขาจะไปยอมได้ยังไง?


 


สำหรับคนที่กล้าดูหมิ่นเขา อย่าว่าโทษหากว่าเขาจะไม่เกรงใจ! กล้าบอกให้เขากลับไปดื่มนมมารดา ถ้าอย่างนั้นหลี่หลินคงต้องกลับเข้าไปในครรภ์มารดาแล้ว!


 


“อย่าได้มั่นใจนัก! ข้าจะไม่รู้ระดับของเจ้าได้ยังไง ก็แค่ค่ายกลซ้อนทับ ข้าก็ทำได้เช่นกัน!” หลินหลี่ปฏิเสธอย่างดื้อด้าน พูดอย่างไม่ยอมแพ้ว่า “อย่าได้คิดว่าจะจบเพียงแค่นี้ ยังเหลือการประลองอีกหลายรอบ!”


 


เขายังไม่ทราบระดับของอี้เทียนหยุนดี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าเยาะเย้ยมากนัก เอาไว้ระหว่างการประลองรอบต่อไป แล้วค่อยว่ากันอีกที


 


เขาไม่คิดว่าอยู่ๆ จะเกิดความเปลี่ยนแปลงระหว่างทาง กลับมีค่ายกลซ้อนทับโผล่ออกมา บดขยี้เขาทิ้งเสียฉิบ ค่ายกลซ้อนทับเขาก็ทำได้ เพียงแต่ไม่ค่อยชินมือเท่านั้น จำเป็นต้องใช้ความแม่นยำสูง ตลอดทั้งกระบวนการต้องห้ามมีความผิดพลาดเกิดขึ้นเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเกิดล้มเหลวขึ้นมา ผลลัพธ์ที่ตามมาคงน่าสังเวชสุดๆ


 


โดยทั่วไปแล้วในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนแบบนี้ ไม่มีใครเขากล้าทำหรอก


 


แต่อี้เทียนหยุนกลับเอากรรมาวิธีที่แข็งแกร่งที่สุดนี้ออกมา ทำให้คว้าคะแนนเต็มไปได้ในที่สุด ดังนั้น เขาจึงตกเป็นเป้าสายตาของคนทั้งหลายในทันที การทดสอบรอบนี้เขาแสดงออกได้อย่างโดดเด่นที่สุด ไม่รู้ว่าการทดสอบรอบต่อไป เขายังจะสามารถคงความโดดเด่นนี้ไว้ได้หรือไม่?


 


พูดไปแล้วมันก็แค่ค่ายกลชั้น 1 แม้จะเป็นค่ายกลซ้อนทับ แต่สุดท้ายก็ยังเป็นแค่ค่ายกลชั้น 1 ต่อให้คนที่เรียนแย่แค่ไหนก็สามารถสร้างออกมาได้


 


“ค่ายกลซ้อนทับสามารถต้านทานการโจมตีได้ถึงระดับปรับแต่งวิญญาณขั้นที่ 8…..”


 


อี้เทียนหยุนพอใจกับผลลัพธ์นี้มาก เครื่องป้องกันนี้เมื่อวาดค่ายกลซ้อนทับลงไป แม้จะไม่พังทลายภายใต้พลังโจมตีระดับปรับแต่งวิญญาณขั้นที่ 8 แต่ก็ต้านรับได้เพียงแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น ถ้าเกิดโจมตีหลายครั้งเข้า มันก็ยังจะพังลงอยู่ดี


 


อย่างรวดเร็ว การประลองรอบแรกก็จบลง อี้เทียนหยุนคว้าอันดับที่ 1 ด้วยคะแนนเต็ม ส่วนอันดับที่ 2 คือหลินหลี่ ตัวหลินหลี่ก็ได้คะแนนเต็มเช่นกัน ดังนั้นจึงถือว่าเสมอ ยังไงก็ตาม ถ้าเทียบตามระดับแล้ว อี้เทียนหยุนยังเหนือกว่าอยู่นิดหน่อย


 


หลังจากการประลองรอบแรก คราวนี้ก็มาถึงการประลองรอบที่ 2


 


“การประลองรอบแรกได้มีบางคนสร้างค่ายกลซ้อนทับออกมา ทำให้ได้รับอันดับที่ 1 ไป เรื่องนี้ทำให้ข้าคาดไม่ถึงจริงๆ” หลี่เทียนหลงพูดพร้อมกับมองไปที่อี้เทียนหยุน จากนั้นก็กวาดตามองทุกคนคราหนึ่ง แล้วพูดต่อว่า “การประลองในรอบที่ 2 นี้ ข้าจะมีการเปลี่ยนกฎและหัวข้อเล็กน้อย จะไม่มีการตั้งคะแคนสูงสุดไว้ อย่างน้อยก็จะไม่เป็นเหมือนกับรอบแรก ถึงยังไงแต่ละตระกูลก็มีสถานการณ์ที่แตกต่างกัน เรื่องนี้ทำให้ข้ารู้สึกดีใจมาก ยิ่งแต่ละสาขาแข็งแกร่งขึ้นเท่าไหร่ นั่นก็ยิ่งจะเป็นการดีต่อตำหนักซิงเฉินของเราเท่านั้น”


 


เมื่อสิ้นคำกล่าว ผู้จัดการหลายคนก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป นี่หมายความว่าหัวข้อจะต้องเปลี่ยนไป ส่วนคนของตระกูลทั้งหลายก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เพราะการเปลี่ยนหัวข้อนี้!


 


ไม่มีกำแพงใดที่จะไม่มีลมลอดผ่าน ผู้จัดการพวกนี้ต่างก็รู้หัวข้อการประลองก่อนเวลาอยู่แล้ว ดังนั้นจึงมีหลายตระกูลติดสินบนด้วยราคาสูง เพื่อให้รู้หัวข้อการประลองจากปากของผู้จัดการพวกนี้ แต่มาตอนนี้หัวข้อการประลองรอบที่ 2 ก็มาเปลี่ยนไป ทำให้เงินที่พวกเขาติดสินบนออกไปกลายเป็นเสียเปล่าในทันที


 


แต่เรื่องนี้ก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้แล้ว ก่อนหน้านี้การดูถูกอี้เทียนหยุนทำให้พวกเขารู้สึกพอใจ แต่ตอนนี้กลายเป็นไม่พอใจแล้ว ถ้าหัวข้อเปลี่ยนไป การฝึกฝนก่อนเริ่มการประลองก็จะกลายเป็นสูญเปล่าไป


 


ตอนนี้พวกเขาทำได้เพียงภาวนาในใจ หวังว่าหัวข้อจะไม่มีการเปลี่ยนไป แค่เปลี่ยนแปลงกฎเล็กน้อยก็เพียงพอแล้ว


 


หลี่เทียนหลงเป็นเจ้าตำหนักสาขาหลัก เว้นแต่ว่าเขาจะมีความลำเอียงให้กับตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ไม่อย่างนั้นอย่าหวังว่าจะติดสินบนได้ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญการสลักอาคม ทั้งยังเป็นเจ้าตำหนักสาขาหลัก ใครจะติดสินบนเขาได้?


 


หลังจากลังเลสักพัก เขาก็พูดขึ้นว่า “หัวข้อรอบที่สองคือ “ความเร็ว!” ภายในเวลา 1 ชั่วยาม ยิ่งวาดค่ายกลได้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งได้คะแนนมาก! ส่วนเรื่องระดับนั้น ถ้าทำค่ายกลชั้นต่ำออกมา คะแนนที่ได้ก็จะต่ำ แต่ยิ่งค่ายกลชั้นสูงเท่าไหร่ คะแนนก็จะยิ่งสูงเท่านั้น ค่ายกลชั้น 1 จะได้ 1 แต้ม, ค่ายกลชั้น 2 จะได้ 2 แต้ม, ค่ายกลชั้น 3 จะได้ 5 แต้ม และค่ายกลชั้น 4 จะได้ 10 แต้ม! คะแนนทั้งหมดจะไม่มีการจำกัดจำนวนสูงสุด!”


 


หัวข้อการประลองรอบที่ 2 นี้ธรรมดาอย่างมาก คำจำกัดความของหัวข้อนี้คือ “ความเร็ว” หลังจากที่ทุกคนได้ฟัง ก็รู้ว่าหัวข้อมีการเปลี่ยนไปใหญ่มาก ก่อนหน้านี้ถ้าเป็นการประลองตามปกติ หัวข้อที่ใช้จะเป็นการวาดค่ายกลโดยใช้เวลาที่สั้นที่สุด ใครที่สร้างค่ายกลในเวลาที่สั้นที่สุดและระดับชั้นสูงที่สุดก็จะได้คะแนนสูงสุดไป


 


นี่หมายความว่าการทำค่ายกลชั้นต่ำกลายเป็นใช้การไม่ได้ ต่อให้จะวาดค่ายกลชั้น 1 เสร็จภายในเวลา 1 วินาที คะแนนที่ได้ก็เพียงแค่ 1 คะแนนเท่านั้น เพราะว่าเป็นค่ายกลชั้นต่ำ ดังนั้นจึงไม่ได้มีความสำคัญมากนัก


 


แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปแล้ว หัวข้อในคราวนี้คือ “ความเร็ว” นี่เหมือนกับการพลิกกลับของสวรรค์และโลกอย่างไงอย่างงั้น เพราะการแข่งขันในคราวนี้คือการสร้างค่ายกลออกมาให้มากที่สุด นี่เป็นการแข่งขันว่าใครจะใช้เวลาได้คุ้มที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย


 


เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับเวลา 1 ชั่วยามนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการสร้างค่ายกลชั้นสูงเป็นเรื่องที่บ้ามาก มันไม่ได้มีความหมายอะไรเลย ถ้าดูจากระดับสูงสุดของผู้เข้าแข่งขัน ในเวลา 1 ชั่วยามนี้ พวกเขาจะสามารถสร้างค่ายกลชั้น 3 ออกมาได้เพียงค่ายกลเดียวเท่านั้น นั่นหมายความว่าพวกเขาจะได้เพียงแค่ 5 คะแนน


 


ถ้าเปลี่ยนเป็นค่ายกลชั้น 2 ในเวลา 1 ชั่วยาม พวกเขาจะสามารถสร้างค่ายกลชั้น 2 ได้ถึง 3 ค่ายกล ทำให้คะแนนที่จะได้เป็น 6 คะแนน เอาชนะค่ายกลชั้น 3 ไปในทันที เรื่องนี้ดูกันที่ความเชี่ยวชาญ แต่ถ้าจะวัดกันว่าค่ายกลไหนสูงกว่ากัน แน่นอนว่าต้องเป็นค่ายกลชั้น 3 อย่างไม่ต้องสงสัย


 


แม้ว่าหัวข้อจะเปลี่ยนไป แต่ทุกคนก็ยอมรับได้


 


“ติ๊ง ท่านสำเร็จภารกิจต่อเนื่องขั้นที่ 1 ได้รับค่าประสบการณ์ 500,000, ความชำนาญในการสลักอาคมเพิ่มขึ้น 1,000!”


 


“ติ๊ง ท่านรับภารกิจต่อเนื่องขั้นที่ 2 “เอาชนะการประลองรอบที่ 2” สำเร็จ เมื่อสำเร็จจะได้รับค่าประสบการณ์ 500,000, ค่าความชำนาญในการสลักอาคม 1,000!”


 


ยังมีภารกิจต่อเนื่องมาให้อีก นี่ทำให้อี้เทียนหยุนมีความสุขอย่างมาก ที่เขาต้องการก็คือค่าความชำนาญนี้! ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป การที่จะเข้าสู่ความชำนาญในการสลักอาคมขั้นสูงก็ไม่ใช่เรื่องยากแล้ว!

 

 

 


ตอนที่ 182

 

CLS ตอนที่ 182: ทำเหมือนเดิม!


 


“ภารกิจต่อเนื่องนี้ เป็นครั้งแรกเลยที่เจอ แต่ก็รู้สึกดีจริงๆ ทั้งยังดีมากๆ ด้วย”


 


อี้เทียนหยุนพอใจกับค่าความชำนาญที่ได้รับมาอย่างมาก ถ้าได้มากกว่านี้ก็จะยิ่งดีขึ้นไปอีก จากขั้นกลางขึ้นไปสู่ขั้นสูง ค่าความชำนาญที่ต้องใช้ไม่ต่ำเลย แต่ก็ไม่ได้สูงมาก เพียงแค่ 10,000 แต้มเท่านั้น


 


ยังไงก็ตาม การไปถึงขั้นสูงไม่ใช่เป้าหมายของเขา แต่เป็นการไปถึงระดับอาจารย์สลักอาคมต่างหาก ซึ่งค่าความชำนาญที่ต้องการนั้นไม่มีทางต่ำอย่างแน่นอน


 


“การประลองรอบที่สองนี้ ที่จริงแล้วไม่ยาก แต่ขึ้นอยู่กับความเร็ว…..” อี้เทียนหยุนหรี่ตา หัวข้อในคราวนี้สามารถทดสอบระดับของพวกเขาได้เป็นอย่างดี


 


แต่สำหรับเขาแล้ว เรื่องนี้ไม่ได้ยากเลย เขาสามารถจัดการมันได้อย่างง่ายดาย


 


ในขณะที่พวกเขากำลังผ่อนคลายนั้น หลี่เทียนหลงก็ได้พูดขึ้นอีกว่า “การประลองรอบนี้ ไม่เพียงแต่ทดสอบเรื่องความชำนาญเท่านั้น แต่ยังเป็นการทดสอบเรื่องความเข้มข้นของพลังวิญญาณ และการจัดการเวลาอีกด้วย ข้าหวังว่าทุกคนจะทำได้ดี ได้รับคะแนนที่สูง”


 


คำพูดของเขาไม่ได้เจาะจงไปที่ใคร แต่พูดให้กับทุกๆ คน บางคนสามารถสร้างค่ายกลชั้น 2 ได้เร็วมาก ภายในเวลา 1 ชั่วยามนี้ สามารถสร้างออกมาได้เป็นสิบอัน นี่ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าคะแนนนั้นจะต้องสูงมากอย่างแน่นอน


 


หลังจากที่เขาพูดจบ ผู้เข้าแข่งกันก็พากันคิดว่าจะสร้างค่ายกลชั้นไหนดี แน่นอนว่าตัวเลือกจะต้องเป็นค่ายกลที่ใช้ความสามารถที่มีได้คุ้มที่สุด ทั้งยังได้คะแนนสูงอีกด้วย


 


“เจ้าตำหนักหลี่ แล้วค่ายกลซ้อนทับจะได้คะแนนเพิ่มไหม?” ในตอนนี้เอง ได้มีผู้เข้าแข่งขันคนหนึ่งถามขึ้น


 


“แน่นอนว่าต้องมีอยู่แล้ว ตัวอย่างเช่นการประลองรอบที่แล้ว ความยากของค่ายกลซ้อนทับมีความยากเทียบเท่ากับค่ายกลชั้น 3 ดังนั้นจึงถือว่ามีคะแนนเทียบเท่าค่ายกลชั้น 3” หลี่เทียนหลงพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ “แต่ค่ายกลซ้อนทับนี้จำเป็นต้องใช้เวลามาก ถ้าคิดจะทำจริงๆ จำเป็นต้องใช้ความระมัดระวัง มีความเป็นไปได้ที่จะล้มเหลวอยู่มาก ถ้าจะให้ดีควรจะสร้างค่ายกลธรรมดาดีกว่า”


 


กฎของการประลองก็ได้ถูกกล่าวออกมาหมดแล้ว คะแนนในรอบนี้เหมือนจะเยอะมาก ทั้งยังเป็นการทดสอบเรื่องการคิดวิเคราะห์อีกด้วย


 


จากนั้น ผู้จัดการก็จัดหากระดาษมามอบให้ผู้เข้าแข่งขัน คราวนี้ไม่ได้วาดลงบนเครื่องป้องกัน แต่ให้วาดลงกระดาษนี้แทน การวาดค่ายกลลงกระดาษนี้ สามารถแสดงผลลัพธ์ได้เหมือนกับอาวุธและเครื่องป้องกันเช่นกัน ทั้งยังสะดวกกว่าด้วย


 


หลังจากวาดลงไป ค่ายกลก็จะแสดงผล สามารถแสดงประสิทธิภาพของค่ายกลออกมาได้


 


“ข้าหวังว่าเจ้าจะยังทำค่ายกลชั้น 1 แบบซ้อนทับอีกนะ….” หลินหลี่พูดเหน็บแนมออกมา เขาหวังว่าอี้เทียนหยุนจะทำแบบนั้นจริงๆ ซึ่งเป็นการรนหาที่ตาย


 


ถ้าใช้ความเร็วในการสร้างค่ายกลเหมือนรอบที่แล้ว อี้เทียนหยุนคงจอดสนิท การสร้างค่ายกลที่ใช้เวลานานนั้น ไม่ต้องสงสัยว่าในรอบที่สองนี้ท่านจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน


 


“วางใจเถอะ ข้าไม่ได้โง่เหมือนเจ้าสักหน่อย” อี้เทียนหยุนตอบกลับไปเบาๆ บรรยากาศรอบข้างพวกเขากลายเป็นนิ่งสนิท


 


“ฮึ่ม ข้าล่ะอยากจะเห็นจริงๆ ว่าเจ้าจะวาดค่ายกลชั้นไหนออกมา!” หลินหลี่ไม่เชื่อ ไม่เชื่อว่าอี้เทียนหยุนจะเป็นนักสลักอาคมชั้น 3 ไปได้ หรือว่าเขาจะเป็นแกนหลักที่สำนักหรือตระกูลปิดบังไว้จริงๆ? ถึงยังไงเขาก็ยังเด็กมาก บนเวทีนี้เขาเป็นคนที่เด็กที่สุด แล้วอย่างนี้จะให้เขาเชื่อได้ยังไง


 


หลังจากทุกคนเตรียมตัวเรียบร้อย หลี่เทียนหลงก็บอกให้ผู้จัดการที่อยู่ใกล้ๆ ทำการคว่ำนาฬิกาทรายลงอีกครั้ง เมื่อทรายในแก้วร่วงหล่น นั่นก็หมายความว่าการแข่งขันได้เริ่มขึ้นแล้ว!


 


พริบตาที่เริ่ม ทุกคนก็เริ่มสร้างค่ายกลในทันที ปลดปล่อยพลังวิญญาณออกมา โคจรจนถึงจุดสูงสุด! ความใส่ใจเมื่อเทียบกับรอบแรกแล้ว ต่างกันมากนัก


 


รอบแรกแม้เวลาจะจำกัด แต่หลายคนก็สร้างค่ายกลอย่างสบาย แต่รอบนี้ต่างออกไป พวกเขาจำเป็นต้องคว้าทุกนาทีเอาไว้ ถ้าช้าไปแม้แต่นิดเดียว นั่นก็หมายความว่าพวกเขาจะต้องถูกทิ้งไว้ข้างหลัง


 


และในตอนนี้ สายตาของคนทั้งหลายก็มาตกลงที่ร่างของอี้เทียนหยุน อยากจะรู้ว่าคราวนี้เขาจะสร้างค่ายกลชั้นไหนออกมา ถ้ายังคิดจะสร้างค่ายกลชั้น 1 อยู่ นั่นก็คงจะน่าหัวเราะอย่างมาก การสร้างค่ายกลชั้น 1 ออกมามีความหมายอะไรด้วยเหรอ? ต่อให้เขาทำสำเร็จ คะแนนที่ได้ก็ต่ำมากอยู่ดี


 


เมื่อเมื่ออี้เทียนหยุนเริ่มวาด ความจริงก็ปรากฏให้ทุกคนเห็นในทันที เป็นค่ายกลชั้น 1 จริงๆ ด้วย ทั้งเขายังวาดด้วยความเร็วไม่เร็วไม่ช้าอีกต่างหาก


 


“ค่ายกลชั้น 1?”


 


ผู้คนพากันตกใจ พวกเขาคิดว่าอย่างน้อยก็ต้องเป็นค่ายกลชั้น 2 แต่ไม่คิดว่าจะยังคงเป็นค่ายกลชั้น 1 อยู่อีก ทุกคนที่อยู่บนเวทีนอกจากเขาแล้ว ต่างก็พากันสร้างค่ายกลที่ไม่ต่ำกว่าชั้น 2 ไม่มีใครสร้างค่ายกลชั้น 1 เหมือนอย่างเขาเลยสักคน


 


“ฟุฟฟฟ….” เจ้าตระกูลหวังเผลอหัวเราะออกมา พร้อมกับชี้ไปอี้เทียนหยุนแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ดูเหมือนว่าเขาจะรู้จักแค่ค่ายกลชั้น 1 เท่านั้น ไม่แปลกที่สามารถวาดค่ายกลชั้น 1 แบบซ้อนทับได้ สร้างได้เพียงค่ายกลชั้น 1 แน่นอนว่าต้องทำอย่างนั้นได้อยู่แล้ว”


 


“ใช่ ค่ายกลชั้น 1 นี้ต่ำไปจริงๆ หลินลี่ยังสร้างค่ายกลชั้น 3 เลย หากสำเร็จเขาก็จะได้รับ 5 คะแนน เทียบได้กับค่ายกลชั้น 1 ถึง 5 อันเลยทีเดียว” เจ้าตระกูลที่อยู่ใกล้ๆ ก็เออออห่อหมก ร่วมหัวเราะเยาะอี้เทียนหยุนไปด้วยกัน


 


ในสายตาของพวกเขา ตัวแทนของเจ้าตระกูลจู้ล้วนแต่เผยระดับของตนออกมาหมดแล้ว ไม่สามารถสร้างค่ายกลที่สูงไปกว่านี้ได้


 


“ยังจะสร้างค่ายกลชั้น 1 อยู่อีก ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยสงสัยว่าเจ้าอาจจะไม่มือใหม่ แต่เป็นถึงนักสลักอาคมชั้น 3 ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าคิดผิด เจ้ามันทำได้เพียงค่ายกลชั้น 1 เท่านั้นจริงๆ!” หลังจากที่ได้เห็น ตอนแรกหลินหลี่ก็อ้าปากค้าง จากนั้นก็หัวเราะออกมา นี่มันต้องโง่ขนาดไหนกัน เขาต้องวาดค่ายกลกี่ชิ้นถึงจะแซงพวกเขาได้?


 


จู้เทียนหงก็ตกใจเช่นกัน ก่อนหน้านี้เขาเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวอี้เทียนหยุน ตอนนี้ใบหน้าพลันจมลงโดยทันที ยังจะสร้างค่ายกลชั้น 1 ต่ออีก นี่เจ้าไม่สามารถสร้างค่ายกลชั้น 2 ได้จริงๆ?


 


เสียงสงสัยจากผู้ชมรอบๆ ดังขึ้นมา


 


“ยังจะวาดค่ายกลชั้น 1 อยู่อีก นี่เขาคงไม่ได้วาดเป็นแค่ค่ายกลชั้น 1 จริงๆ หรอกนะ?”


 


“อาจจะจริงก็ได้ ไม่งั้นทำไมเขายังคงวาดค่ายกลชั้น 1 อยู่อีกล่ะ?”


 


“ข้าก็คิดว่าอัจฉริยะที่ซ่อนความสามารถไม่อยากเปิดเผยเสียอีก แต่ไม่คิดว่าจะเป็นแค่เด็กที่วาดเป็นแค่ค่ายกลชั้น 1 จริงๆ….. เพราะสร้างเป็นแค่ค่ายกลชั้น 1 ดังนั้นจึงทำค่ายกลชั้น 1 แบบซ้อนทับออกมาได้อย่างงั้นเหรอ!”


 


ไม่นาน พวกเขาก็ยิ้มพร้อมกับหัวเราะออกมา ด้วยวิธีนี้ แต่คิดจะไล่ตาม? หลักฐานก็คือเขาไม่คิดจะเปลี่ยนแผน ยังคงสร้างค่ายกลชั้น 1 ต่อไปจริงๆ!


 


“น้องสาว ผู้อาวุโสอี้ทำได้แต่ค่ายกลชั้น 1 จริงๆ เหรอ? หรือว่าบางทีเขาอาจจะสร้างค่ายกลซ้อนทับขึ้นมา แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นจริง มันเหมือนจะไม่คุ้มค่าเท่าไหร่นะ?


 


“เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ความคิดของผู้อาวุโสอี้ข้าเดาไม่ถูกหรอก แต่ในเมื่อเขาเลือกที่สร้างค่ายกลชั้น 1 ในการแข่งขันรอบนี้ ก็แสดงว่าเขาจะต้องมีเหตุผลของเขา” จู้อวี่เหว่ยพยักหน้า ในใจเชื่อมั่นในตัวอี้เทียนหยุนอย่างเต็มเปี่ยม


 


ไม่ว่าอี้เทียนหยุนจะทำอะไร จู้อวี่เสวียนก็เชื่อมั่นในตัวอี้เทียนหยุนเช่นกัน เพียงแต่เธอแค่สงสัยเท่านั้นเอง เพราะว่าเธอไม่ได้ใช้เวลากับอี้เทียนหยุนนานนัก ดังนั้นเธอจึงรู้เกี่ยวกับตัวเขาแค่เล็กน้อยเท่านั้น แม้จะยินบางเรื่องจากปากของน้องสาวของตน แต่ส่วนใหญ่เธอก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่


 

 

 

 


ตอนที่ 183

 

CLS ตอนที่ 183: เมื่อคะแนนไม่ถึง ก็ต้องเอาจำนวนเข้าว่า!


 


อี้เทียนหยุนยังคงสร้างค่ายกลชั้น 1 ต่อไป พูดได้ว่าเป็นไปตามคาด พวกเขารู้สึกว่าอี้เทียนหยุนทำเป็นแค่ค่ายกลชั้น 1 ทั้งยังเอาแต่ฝึกทำค่ายกลชั้น 1 อย่างบ้าคลั่ง ทำให้สร้างค่ายกลชั้น 1 แบบซ้อนทับออกมาได้ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ได้รับอันดับ 1 ในรอบที่แล้ว?


 


รอบแรกแสดงออกมาได้ดี พอรอบที่สองก็คิดจะทำแบบเดิม เห็นได้ชัดว่าเป็นการนำหายนะมาให้ตัวเอง นอกจากจะสร้างค่ายกลชั้น 1 แบบซ้อนทับด้วยความเร็วที่มากขึ้น ไม่อย่างนั้นอย่าได้หวังว่าจะได้คะแนนเหนือกว่าคนอื่นๆ อย่างเช่นรอบแรก ค่ายกลชั้น 1 แบบซ้อนทับที่เขาสร้าง ใช้เวลาไปเกือบจะ 1 ชั่วยามเต็มๆ


 


ถ้าเป็นอย่างนี้ คะแนนที่เขาจะได้ก็เพียงแค่ 5 คะแนนเท่านั้น ขณะที่เขาได้เพียง 5 คะแนน คนอื่นๆ กลับสร้างค่ายกลชั้น 3 ได้มากกว่า 2-3 ชิ้น ทำให้ได้รับคะแนน 15 คะแนน ด้วยช่องว่างที่กว้างขนาดนี้ เขาไม่สามารถตามทันได้อย่างแน่นอน


 


ตอนแรกพวกเขาคิดว่าอี้เทียนหยุนอาจจะสร้างค่ายกลซ้อนทับเหมือนรอบแรก แต่ภายหลังพวกเขากับพบว่าตัวเองคิดผิด อี้เทียนหยุนในตอนนี้กำลังสร้างค่ายกลชั้น 1 จริงๆ ไม่ใช่ค่ายกลซ้อนทับ ความเร็วในตอนนี้ของเขาไม่เร็วแต่ก็ไม่ช้า ถ้ายังคงความเร็วไว้แบบนี้ต่อไป เมื่อหมดเวลา อย่างมากเขาก็สร้างออกมาได้แค่ 5-6 ชิ้น ได้คะแนนแค่ 5-6 คะแนน ซึ่งนับว่าต่ำมาก


 


หลังจากหลี่เทียนหลงที่อยู่บนเวทีสังเกตเห็น ตอนแรกเขาก็อ้าปากค้าง จากนั้นก็ส่ายหัวพร้อมกับถอนหายใจ เขาคิดว่าระดับของอี้เทียนหยุนจะต้องสูงมากแน่ๆ ดังนั้นจึงเลือกที่จะเปลี่ยนหัวข้อเป็นกรณีพิเศษ แต่ไม่คิดว่าอี้เทียนหยุนจะสร้างออกมาแค่ค่ายกลชั้น 1 นี่มันช่างน่าผิดหวังจริงๆ


 


“หรือว่าข้าจะคิดผิด?” หลี่เทียนหลงคิดว่าคนที่สามารถสร้างค่ายกลซ้อนทับออกมาได้ แม้จะเป็นเพียงแค่ค่ายกลชั้น 1 อย่างน้อยก็ต้องมีความสามารถพอที่จะสร้างค่ายกลชั้น 4 ออกมาได้ แต่การจะสร้างอย่างต่อเนื่องนั้น หมายความว่าต้องมีพลังวิญญาณมากพอ ไม่อย่างนั้นจะไม่สามารถทำจนเสร็จได้


 


เพราะการสร้างค่ายกลชั้น 1 สามชั้นซ้อนนั้นสูญเสียพลังวิญญาณมากกว่าค่ายกลชั้น 3 ธรรมดา แต่ถึงจะสร้างค่ายกลชั้น 1 สามชั้นซ้อนออกมาจริงๆ มันก็เทียบได้กับค่ายกลชั้น 3 หนึ่งชิ้นเท่านั้น


 


มีหลายคนชื่นชอบเขา แต่ตอนนี้เหมือนจะผิดหวัง ดูเหมือนว่าเขาจะเพียงแค่มีพื้นหลังที่ดีเท่านั้น ด้วยอายุขนาดนี้ จากนี้ไป โอกาสของเขาจะต้องมีอีกมากอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้กลัวว่าเขาคงต้องจบลงตรงนี้แล้ว


 


สีหน้าของอี้เทียนหยุนยังคงสงบ ไม่ได้รับผลกระทบจากผู้คนรอบข้างแม้แต่น้อย เขาใส่ใจในการสร้างค่ายกลชั้น 1 นี้เป็นพิเศษ และหลังจากนั้น สายตาของเขาก็ระเบิดแสงแห่งความยินดีออกมา พร้อมกับรอยยิ้มที่แขวนบนใบหน้า “เสร็จสักที ข้ารู้สึกว่าเมื่อเทียบกับก่อนหน้า อันนี้ดีกว่ามาก…..”


 


และหลังจากนั้น พู่กันในมือของเขาก็พลันเปล่งแสงเจิดจ้าออกมา ความเร็วในการวาดของเขาพลันเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า!


 


“!”


 


ภายใต้แสงเจิดจ้าของพู่กันบนมือเขา ค่ายกลบนกระดาษก็แล้วเสร็จไปทีละชิ้นอย่างรวดเร็ว นี่คือค่ายกลชั้น 1! ความเร็วที่เขาทำออกมาเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้แล้ว เร็วกว่ากันตั้งหลายเท่า ถ้าเขายังใช้ความเร็วแบบนี้ต่อไป คะแนนของเขาจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งแน่


 


สถานการณ์ของเขาถูกคนอื่นสังเกตเห็นอย่างรวดเร็ว พวกเขามองมือที่เคลื่อนไหวของอี้เทียนหยุน มันไวมากจริงๆ ไวจนพวกเขามองตามไม่ทัน นี่เขาสามารถสร้างค่ายกลชั้น 1 ได้เร็วขนาดนี้เลยเหรอ


 


เมื่อวาดเสร็จก็หยิบกระดาษขึ้นมา หลังจากวาดเสร็จอีกครั้งก็หยิบกระดาษขึ้นมาอีกครั้ง


 


ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป เขาก็วาดค่ายกลออกมาได้ 5-6 ชิ้นแล้ว เมื่อเทียบกันแล้ว คนอื่นยังทำไม่เสร็จเลยสักชิ้นเดียว ขณะที่คนอื่นยังทำไม่เสร็จ เขาก็ทำเสร็จไป 5-6 ชิ้น นี่หมายความว่าเขาได้คะแนนเทียบเท่ากับการสร้างค่ายกลชั้น 3 หนึ่งชิ้นเลยทีเดียว!


 


“นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมอยู่ๆ ความเร็วของเขาก็เพิ่มขึ้นล่ะ!”


 


“ใช่ นี่มันจะเร็วเกินไปไหม? เร็วจนน่ากลัวจริงๆ!”


 


“พริบตาก็วาดออกมาได้ 7-8 อัน สวรรค์ ค่ายกลชั้น 3 ที่คนอื่นสร้างยังไม่ทันจะเสร็จเลยด้วยซ้ำ!”


 


……


 


พวกเขาพากันตกใจ ราวกับเห็นเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ นี่เหมือนกับรอบแรกเลย พวกเขาดูถูกอี้เทียนหยุนเกินไป ตอนนี้ดูแล้ว ถ้าเขายังคงความเร็วแบบนี้ต่อไป มันจะไม่เป็นการคว้าอันดับหนึ่งไปอย่างง่ายดายอย่างงั้นเหรอ!


 


หลินหลี่ก็สังเกตเห็นเหตุการณ์นี้เหมือนกัน ในใจที่มีความสุขของเขาตอนนี้พลันดิ่งลงไปถึงตาตุ่ม นี่ไม่อาจเอาสามัญสำนึกไปวัดได้จริงๆ การวาดค่ายกลชั้น 1 ด้วยความเร็วขนาดนี้ มันจะไม่เร็วเกินไปหน่อยหรือไง?


 


นี่สมกับหัวข้อการประลองนี้ที่เรียกว่า “ความเร็ว” จริงๆ!


 


หลี่เทียนหลงก็ตกใจจนต้องลุกจากเก้าอี้เลยทีเดียว เขามองไปที่อี้เทียนหยุนที่วาดค่ายกลออกมาด้วยความเร็วแสนบ้าคลั่ง ในปากก็อดไม่ได้ต้องพึงพำออกมา “เร็วมาก นี่มันความสามารถอะไรกัน ทำไมถึงได้ทำได้เร็วขนาดนี้?”


 


“ขอโทษด้วย กระดาษข้าหมดแล้ว ขอกระดาษเพิ่มหน่อย” อี้เทียนหยุนพลันชูมือขึ้น พร้อมกับบอกผู้จัดการที่อยู่ใกล้ๆ เอากระดาษมาให้ตนเพิ่ม


 


ตอนนี้เขาใช้กระดาษที่ได้รับมาหมดแล้ว กระดาษที่ได้รับมานั้นไม่ถือว่ามาก แต่ก็เกินสิบชิ้น ซึ่งก็ถูกเขาใช้จนหมด โดยปกติแล้ว กระดาษสิบชิ้นนี้ เพียงพอแล้วที่จะใช้ในเวลา 1 ชั่วยาม


 


แต่ไม่คิดเลยว่าจะถูกใช้จนหมด ตอนนี้เวลายังเหลือกว่าครึ่ง ยังวาดต่อได้!


 


“ได้!” ผู้จัดการที่ค่อยๆ ได้สติจากการตกใจก็ได้ส่งกระดาษชุดใหม่ให้กับเขาอย่างรวดเร็ว


 


จากนั้น อี้เทียนหยุนก็ลงมือวาดอีกครั้ง เสียงพู่กันตวัดลงบนกระดาษช่างรื่นหูจริงๆ ทันใดนั้นค่ายกลชั้น 1 อีกชิ้นก็แล้วเสร็จ ไม่มีความยากแม้แต่น้อย


 


“ผิดปกติเกินไปแล้ว นี่มันความเร็วอะไรกัน?”


 


“แม้จะแค่คะแนนเดียว แต่ถ้าทำด้วยความเร็วขนาดนี้ ต้องแซงพวกเราแน่ๆ!”


 


“ที่แท้ค่ายกลชั้น 1 ก็ทำแบบนี้ได้ด้วย…. ข้าตัดสินใจผิดจริงๆ”


 


ผู้เข้าแข่งขันรอบๆ พากันส่ายหัว ไม่สามารถเทียบได้ ในความคิดของพวกเขา ค่ายกลชั้น 1 จะไปได้คะแนนสูงได้ยังไง มันสามารถพูดได้ว่า เมื่อคะแนนไม่ถึง ก็ต้องเอาจำนวนเข้าว่า!


 


“นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมถึงได้วาดได้เร็วอย่างนี้!?” หลินหลี่มีสีหน้าน่าเกลียด ความเร็วในมือเขาลดลงเล็กน้อย แต่ใครจะรู้ อยู่ๆ ก็มีเสียง “ปัง” กระดาษในมือเขาพลันมีไฟลุกขึ้นมา หมายความว่าค่ายกลชั้น 3 ที่เขาวาดนี้ ล้มเหลว


 


“โทษที นี่เจ้าจงใจออมมือให้ข้าอย่างงั้นเหรอ?” อี้เทียนหยุนเงยหน้าขึ้นไปมอง พร้อมกับกล่าวออกมาด้วยสีหน้าเฉยชา


 


หลินหลี่โมโหจนแทบจะลุกเข้าไปต่อย แต่ก็ได้แต่เก็บความโกรธไว้ ความล้มเหลวเมื่อกี้นี้เพราะเขาถูกเรื่องนี้รบกวน ทำให้เขาไม่เต็มใจที่ตอบกลับไป พร้อมกับตั้งใจวาดค่ายกลของตนต่อ ต่อให้จะล้มเหลว แต่ถ้าดึงคะแนนกลับมาได้สักคะแนนก็ยังดี


 


และแล้วเวลาก็ผ่านไป อีกไม่นานก็ครบ 1 ชั่วยาม เมื่อทรายในแก้วร่วงลงจนหมด ผู้จัดการที่อยู่ใกล้ๆ ก็ตะโกนขึ้นมาทันทีว่า “หยุดมือได้!”


 


ในตอนนี้ ทุกคนต่างพากันหยุดมือ วางพู่กันในมือลง!


 


ในตอนนี้ บนมือของอี้เทียนหยุนมีกระดาษที่วาดค่ายกลปึกใหญ่ เมื่อเทียบกับคนอื่นๆ ที่มีแค่ไม่กี่แผ่นแล้ว ของเขาดูหนากว่ามากจริงๆ…..


 


กระดาษค่ายกลปึกหนานี้ ดูแล้วให้ความกดดันไม่น้อย เพียงแค่มองผ่านๆ ก็รู้ได้ว่ามีอย่างน้อย 20-30 ชิ้น แบบนี้ก็ได้เหรอ?

 

 

 


ตอนที่ 184

 

CLS ตอนที่ 184: ชนะขาด


 


ผู้คนพากันมองไปที่ปึกกระดาษในมืออี้เทียนหยุน พลางรู้สึกตกใจอย่างมาก นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นว่ามีนักสลักอาคมที่สร้างค่ายกลได้เร็วขนาดนี้ ความเร็วของเขาเร็วมากจริงๆ เร็วจนคนไม่อยากจะเชื่อ!


 


เพราะตอนแรกอี้เทียนหยุนทำเหมือนกับไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ ตอนนั้นทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่ค่ายกลซ้อนทับ มาตอนนี้เขากลับสร้างค่ายกลชั้น 1 ธรรมดา ซึ่งท่าทางของเขาก็เหมือนกับไม่คุ้นชิน แม้ว่าจะทำสำเร็จ แต่ก็ช้ามากอยู่ดี


 


ทีนี้พอหลังจากทำความคุ้นชินไปสักระยะ ความเร็วของเขาก็เพิ่มขึ้นแบบพรวดพราด ค่ายกลชั้น 1 สามชั้นซ้อนก็เช่นกัน ถ้าเขาไม่มีความสามารถจริง เขาจะใช้เวลาแค่นั้นทำออกมาได้อย่างงั้นเหรอ


 


“ตอนนี้เรามานับคะแนนกัน!” หลี่เทียนหลงได้สติกลับมาหลังจากที่ตกใจไป เขาออกคำสั่งให้ผู้จัดการคนอื่นๆ เริ่มตรวจสอบจำนวน เพื่อที่จะคำนวณคะแนนออกมา


 


หลังจากพวกเขาเดินเข้ามา การนับคะแนนก็เริ่มขึ้น เริ่มนับคะแนนจากคนที่อยู่ด้านหน้าก่อน อย่างรวดเร็วก็มาถึงตาของหลินหลี่ หลังจากนับคะแนน ผู้จัดการก็พยักหน้าแล้วประกาศคะแนนออกมาว่า “ค่ายกลชั้น 3 ทั้งหมด 3 ชิ้น 15 คะแนน!”


 


“ค่ายกลชั้น 3 สองชิ้น, ค่ายกลชั้น 2 สองชิ้น รวมเป็น 14 คะแนน! ดี” คะแนนของผู้เข้าแข่งขันคนอื่นถูกขานออกมา


 


“ค่ายกลชั้น 3 สองชิ้น, ค่ายกลชั้น 2 สองชิ้น และก็ค่ายกลชั้น 1 หนึ่งชิ้น, รวมทั้งหมด 15 คะแนน! หือ คะแนนของเจ้าดีนี่” นี่เป็นคะแนนของผู้เข้าแข่งขันอีกคน


 


คะแนนพวกนี้พอๆ กับหลินหลี่ ตามจริงแล้วหลินหลี่ควรจะได้ 20 คะแนน ไม่ควรจะมีใครแซงเขาได้


 


ตอนนี้หลินหลี่รู้สึกเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรม เขาควรจะได้ 20 คะแนน แต่ตอนนี้เขาไม่คิดเลยว่าจะมีคนอื่นได้คะแนนเท่ากับตัวเขา นี่ไม่ใช่เรื่องน่าอายหรอกเหรอ? เขาเป็นถึงศิษย์วังเสินเหวิน ทำไมถึงได้คะแนนพอๆ กับพวกเขากัน


 


หลังจากคะแนนของคนส่วนใหญ่ถูกขานออกมา คะแนนที่ชนะขาดยังไม่ปรากฏออกมา ในที่สุดก็มาถึงตาของอี้เทียนหยุน ผู้จัดการรับกระดาษปึกนั้นมา หลังจากนับจำนวนดูแล้ว เขาก็ประกาศคะแนนออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นๆ “ค่ายกลชั้น 1 จำนวน 32 ชิ้น รวมเป็น 32 คะแนน….”


 


เมื่อคะแนนนี้ถูกประกาศออกมา ในใจทุกคนก็พลันสั่นสะท้านอย่างแรง นี่เป็นคะแนนที่เหนือกว่าที่สองอย่างขาดลอย ถ้าก่อนหน้านี้หลินหลี่ไม่พลาด อย่างมากเขาก็ได้แค่ 20 คะแนน ซึ่งยังห่างกันถึง 12 คะแนน เป็นระยะห่างของค่ายกลชั้น 3 ถึง 2 ชิ้น!


 


แล้วนี่จะให้หลินหลี่ถมช่องว่างนี้ได้ยังไง?


 


หลังจากทุกคนได้ยินประกาศนี้ก็พากันสูดหายใจดังเฮือก นี่มันจะท้าทายสวรรค์เกินไปหน่อยเหรอ? แม้ว่าค่ายกลชั้น 1 จะได้แค่ 1 คะแนน แต่เพียงเวลาสั้นก็สร้างออกมาได้ 32 ชิ้น นี่มันความชำนาญแบบไหนกัน


 


“เจ้าตระกูลหวัง ขอบคุณมากที่ออมมือให้! รอบนี้ ตระกูลจู้ของพวกเราเป็นฝ่ายชนะ” จู้เทียนหงก็ไม่ลืมที่จะเย้ยเจ้าตระกูลหวังกลับ ใครใช้ให้ก่อนหน้านี้พวกเขาเยาะเย้ยตัวเองก่อนล่ะ


 


ยังไงก็ตาม ในที่สุด ในใจเขาก็รู้สึกว่าอี้เทียนหยุนนี้ช่างน่าหวาดกลัวเสียจริง ทั้งยังมากไปด้วยความคาดไม่ถึง ตอนแรกก็ทำให้คนหวั่นใจ พอตอนหลังกลับเอาชนะขาด นี่มันอัจฉริยะชัดๆ!


 


“นี่เพิ่งจะรอบที่สองเท่านั้น! อย่าเพิ่งดีใจเร็วไปนัก!” เจ้าตระกูลหวังพูดออกมา ขณะที่พูดออกมานี้ ในใจเขาก็รู้สึกไม่มั่นใจเช่นกัน คะแนนของอี้เทียนหยุนในรอบที่ 2 นี้ห่างกันอยู่ 12 คะแนน แล้วแบบนี้จะไล่ตามได้ยังไง?


 


“ใช่ นี่แค่รอบที่สองเท่านั้น แต่ทั้งสองรอบนี้ ตระกูลจู้ของเราเป็นฝ่ายชนะ!” จู้เทียนหงพูดพร้อมกับรอยยิ้มบางๆ


 


เจ้าตระกูลที่อยู่ใกล้ๆ ก็บ่นขึ้นในใจ ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าเจ้าเองตอนที่เห็นอี้เทียนหยุนสร้างค่ายกลชั้น 1 ก็หน้าเปลี่ยนสีจนดูไม่ได้อยู่เลยไม่ใช่หรือไง


 


“ถ้ารอบต่อไปเป็นการแข่งขันเรื่องระดับของค่ายกลว่าของใครสูงกว่า ข้าว่าเขาก็คงสร้างค่ายกลชั้น 1 ต่อไปอยู่ดีนั่นแหละ? ถ้ามีความสามารถจริง ก็สร้างค่ายกล 4 ชั้นซ้อนออกมาเสียเลยสิ แล้วข้าถึงจะยอม!” เจ้าตระกูลหวังแค่นเสียงออกมา ต่อให้ตายก็จะไม่ยอมรับความพ่ายแพ้


 


ค่ายกลชั้น 1 สี่ชั้นซ้อน ความยากของมันสูงมาก กระทั่งสูงกว่าการสร้างค่ายกลชั้น 4 เสียอีก! ดังนั้น การทำอย่างนั้นก็เหมือนกับการทำงานที่ไม่ได้รับคำขอบคุณ ไม่มีใครเต็มใจทำ ด้วยความยากที่สูงขนาดนั้น กลัวว่าแม้แต่อาจารย์สลักอาคมชั้น 5 ก็ยังไม่กล้าทำ


 


ยิ่งซ้อนหลายชั้นเท่าไหร่ ความผิดพลาดก็จะยิ่งสูงตามไปด้วย ถ้าเป็นอย่างนั้น สู้สร้างค่ายกลชั้น 4 ออกมาเลยไม่ดีกว่าเหรอ


 


“เขาสร้างค่ายกลชั้นสูงออกมาได้แน่ๆ ใครบอกกันว่าเขาสร้างเป็นแต่ค่ายกลชั้น 1?” จู้เทียนหงรีบปฏิเสธทันที เขาไม่เชื่อว่าอี้เทียนหยุนจะทำเป็นแค่ค่ายกลชั้น 1


 


“ก็ใช่ งั้นเรามาคอยดูกัน!” เจ้าตระกูลหวังก็ไม่เชื่อเช่นกัน ต่อให้สร้างค่ายกลชั้นสูงได้แล้วยังไง หลินหลี่ก็ทำได้เช่นกัน!


 


ที่นี่ยังคงมีเสียงดังขึ้นไม่หยุด อี้เทียนหยุนเป็นดั่งกับสัญลักษณ์แห่งความปีติ จู้อวี่เหว่ยและจู้อวี่เสวียนพากันตื่นเต้น ผู้อาวุโสอี้ของพวกเธอร้ายกาจที่สุด


 


“ผู้อาวุโสอี้ชนะแล้ว ยิ่งกว่านั้นยังนำห่างอันดับสองไปไกล นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาทำได้ถึงขนาดนี้!”


 


“ใช่ ผู้อาวุโสอี้ร้ายกาจมาก ไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญสลักอาคมที่ร้ายกาจขนาดนี้!”


 


จู้อวี่เหว่ยและจู้อวี่เสวียนสองพี่น้องตาเป็นประกาย มองไปที่อี้เทียนหยุนบนเวทีด้วยแววตาระยิบระยับ อัจฉริยะที่โดดเด่น ใครบ้างที่จะไม่ชอบ?


 


“เป็นไปไม่ได้ เจ้า ทำไมเจ้าถึงได้สร้างค่ายกลได้เร็วขนาดนี้?!” หลินหลี่ที่อยู่อีกด้านตกตะลึง ไม่เชื่อว่าจะมีคนที่ทำได้เร็วแบบนี้อยู่ อีกฝ่ายไม่ใช่คนของวังเสินเหวินสักหน่อย แล้วจะมาชนะตัวเขาได้ยังไง!


 


นี่ทำให้เขารู้สึกอับอายอย่างมาก เขาแบกรับเกียรติยศของวังเสินเหวินไว้บนบ่า นี่เขาจะต้องมาแพ้เด็กน้อยต่อหน้านักสลักอาคมทั้งหลายแบบนี้เหรอ?


 


“ไม่ใช่ว่าเจ้าบอกให้ข้าตั้งใจสร้างค่ายกลชั้น 1ไปหรอกเหรอ?” อี้เทียนหยุนพูดด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ข้าก็ตั้งใจสร้างค่ายกลชั้น 1 อย่างที่เจ้าบอกแล้วไง? ตอนนี้เจ้าแพ้แล้ว ข้าว่าเจ้ากลับเข้าครรภ์มารดา แล้วไปฝึกอีกสักหลายปีแล้วค่อยออกมาดีกว่า!”


 


คำพูดที่อี้เทียนหยุนพูดออกมาทำให้หลินหลี่แทบกระอักเลือดออกมา ใครจะไปคิดว่าอี้เทียนหยุนจะใช้ค่ายกลชั้น 1 เอาชนะเขาจริงๆ? นี่เท่ากับการยืมดาบสนองผู้ใช้ชัดๆ


 


อี้เทียนหยุนก็เป็นคนแบบนี้ ใครหาเรื่องเขา เขาจะเอาคืนมันผู้นั้นเป็นสิบเท่า!


 


หลังจากคะแนนประกาศออกมา หลี่เทียนหงก็พยักหน้าด้วยความพอใจ “ครั้งนี้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจมาก สามารถสร้างค่ายกลชั้น 1 ด้วยความเร็วขนาดนี้ ทั้งยังความแม่นยำที่ไม่ผิดพลาดอีก ถ้าเปลี่ยนเป็นข้า ความเร็วที่ได้คงจะธรรมดากว่านี้”


 


หลี่เทียนหลงพูด ทำให้ผู้คนพากันโห่ร้องออกมา หลี่เทียนหงเป็นถึงอาจารย์สลักอาคม คำพูดที่ว่าความเร็วของเขาไม่เทียบเท่าอี้เทียนหยุนนี้ ทำให้พวกเขาตกใจจริงๆ


 


“นี่ช่างเหนือจากการคาดการณ์ของข้าจริงๆ แม้ว่าจะคะแนนน้อย แต่ก็ได้ความเร็วมาชดเชย ทำให้เอาคืนกลับมาได้สำเร็จ” จากนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่เทียนหลงก็หายไป แล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ถ้างั้นตอนนี้ ก็ได้เวลาที่ทดสอบระดับที่แท้จริงของพวกเจ้าแล้ว จงทำให้เต็มที่ แสดงค่ายกลที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเจ้าออกมา ใครที่สร้างค่ายกลชั้นสูงที่สุด ซับซ้อนที่สุด ผู้นั้นจะได้รับคะแนนสูงที่สุด คะแนนในรอบนี้ไม่จำกัด!”


 


“นี่คือโอกาสที่จะคืนชีพอย่างแท้จริง ใครที่มีความสามารถก็จะได้อยู่ต่อ ส่วนคนที่ไร้ความสามารถก็จะถูกกำจัดไป!” หลี่เทียนหลงพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงหนักๆ


 


ครั้งนี้เป็นการทดสอบพลังที่แท้จริง ยิ่งค่ายกลชั้นสูงเท่าไหร่ก็จะยิ่งได้คะแนนสูงเท่านั้น ถ้าชั้นเท่ากัน ก็จะดูที่ความยาก ใครทำได้ยากกว่าก็จะชนะไป ตัวอย่างเช่นค่ายกลที่เพิ่มพลังให้กับอาวุธ ความยากอยู่ระดับกลางๆ คะแนนย่อมไม่ต่ำ ทั้งหมดนี้ล้วนแต่ดูกันที่ระดับความยากของค่ายกล


 


การทดสอบนี้ไม่เพียงแต่ดูระดับว่าใครสูงใครต่ำเท่านั้น แต่ยังดูไปถึงเนื้อในว่าใครมีความเข้าใจมากน้อยแค่ไหน! บางคนรู้จักอักษรรูนหายาก ในขณะที่บางคนไม่รู้จัก นี่จะเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้เอาชนะคนอื่นไปได้


 


เมื่อได้ยินอย่างนี้ สีหน้าที่ดำคล้ำของหลินหลี่ก็กลายมามีรอยยิ้มอีกครั้ง เขามีเบื้องหลังเป็นวังเสินเหวิน อี้เทียนหยุนจะมาเทียบกับเขาได้ยังไง!

 

 

 


ตอนที่ 185

 

CLS ตอนที่ 185: เหอเชียนหาน


 


“ติ๊ง ท่านทำภารกิจต่อเนื่องขั้นที่ 2 “เอาชนะการประลองรอบที่ 2” สำเร็จ ได้รับค่าประสบการณ์ 500,000, ความชำนาญในการสลักอาคมเพิ่มขึ้น 1,000!”


 


หลังจากเอาชนะการประลองรอบที่สองมาได้ ระบบก็ประกาศรางวัลออกมาทันที แม้ค่าประสบการณ์ที่ได้จะสูง แต่ที่สำคัญที่สุดเลยก็คือค่าความชำนาญ อี้เทียนหยุนเผยรอยยิ้มพึงพอใจออกมา การสร้างค่ายกลชั้น 1 ของเขานั้น แท้จริงแล้วกลับไม่ได้มอบค่าประสบการณ์อะไรให้กับเขาเลย


 


ที่จริงเขาสร้างค่ายกลชั้นสูงก็ได้ แต่เขาชอบที่จะตบหน้าคน ทั้งยังต้องตบอย่างรุนแรงด้วย! ยิ่งทำเป็นถ่อมตัวเท่าไหร่ เสียงวิจารณ์ก็จะยังยิ่งมาก อย่างนี้ถึงจะสะใจ


 


“เยี่ยม ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป การทำให้ความชำนาญในการสลักอาคมเข้าสู่ขั้นสูงก็ไม่ใช่เรื่องยาก” ดวงตาของอี้เทียนหยุนเป็นประกาย


 


หลี่เทียนหลงเห็นผู้คนเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น เขาก็รู้สึกปลื้มปีติอย่างมาก จนต้องเผยรอยยิ้มออกมา “จิตวิญญาณนักสู้ของพวกเจ้าทำให้ข้ามีความสุขอย่างมาก แม้จะพึ่งผ่านการต่อสู้เมื่อกี้มา แต่ก็ยังคงพร้อมที่จะต่อสู้ในรอบต่อไป นี่ทำให้ข้ารู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก”


 


อยู่ๆ ก็เปลี่ยนหัวข้อ ทำให้หลายคนไม่ทันตั้งตัว แต่ก็ทุ่มสุดตัว หลังจากผ่านการประลองรอบที่แล้ว คนส่วนใหญ่ก็เริ่มเผยให้เห็นถึงความอ่อนล้า ดังนั้น การประลองรอบนี้จึงเป็นการทดสอบพลังที่เหลืออยู่ของทุกคนด้วย


 


บางคนที่พลังเหลือไม่มากพอที่จะสร้างค่ายกลชั้นสูง ซึ่งอาจจะมีสิทธิ์ล้มเหลวได้ ดังนั้นอาจจะเปลี่ยนมาสร้างค่ายกลที่ลดระดับลงมา เพราะถึงยังไงในรอบที่สองนั้น คนอื่นๆ ก็ล้วนแต่สูญเสียพลังวิญญาณไปมากพอๆ กัน ดังนั้น รอบนี้จึงเป็นการวัดว่าพลังวิญญาณของใครเหลือมากที่สุด


 


“จากนี้จะขอประกาศกฎการให้คะแนน ค่ายกลชั้น 1 ไล่จากต่ำไปสูงได้ 1, 2 และ 3 คะแนน, ค่ายกลชั้น 2 จากต่ำไปสูง เป็น 4, 5 และ 6 คะแนน, ค่ายกลชั้น 3 เป็น 5, 8 และ 10 คะแนน, ค่ายกลชั้น 4 เป็น 20, 40 และ 60 คะแนน…..”


 


เมื่อไปถึงชั้นที่ 4 คะแนนก็กระโดดพรวดขึ้นไป เพียงขั้นต่ำก็ได้ถึง 20 คะแนนแล้ว! ขั้นกลางที่ยากขึ้นมาก็กลายเป็น 40 คะแนน ส่วนขั้นสูงนั้นได้ไปถึง 60 คะแนน ไม่ว่าตรงหน้าจะมีคะแนนมากเพียงไหน แค่อันนี้อันเดียวก็เติมเต็มทุกสิ่งแล้ว


 


“ทั้งนี้ยังมีการแบ่งแยกความยากเข้าไปด้วย ถ้าใครสามารถสร้างค่ายกลซ้อนทับขึ้นมาได้ แน่นอนว่าคะแนนที่ได้ก็จะต่างไปจากนี้ นี่เป็นเพียงคะแนนพื้นฐานเท่านั้น หากมีคนสร้างค่ายกลซ้อนทับขึ้นมาจริงๆ ถึงตอนนั้นเราค่อยมาพูดถึงเรื่องคะแนนกันอีกครั้ง แต่แน่นอนว่าคะแนนนั้นจะต้องมากเกินกว่าที่พวกเจ้าคิดอย่างแน่นอน!”


 


หลี่เทียนหลงมองไปที่พวกเขาพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมา “ดังนั้น ขอให้พวกเจ้าทุกคนทำให้เต็มที่ ยิ่งค่ายกลชั้นสูงเท่าไหร่ยิ่งดี จากนั้นเรามาดูกันว่า สุดท้ายนี้ใครจะได้อันดับไหน!”


 


นี่เป็นเพียงแค่รอบที่สามเท่านั้น จำนวนที่เหลือไม่มากไม่น้อย นี่ไม่ใช่การประลองยุทธ์ เมื่อสูญเสียพลังวิญญาณไปแล้วไม่สามารถกินยาเพื่อฟื้นฟูได้ ทั้งเม็ดยาฟื้นฟูพลังวิญญาณนั้นหายากมาก ราคาจึงค่อนข้างแพง


 


ดังนั้น การจะใช้ในการแข่งขันนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยคุ้มเท่าไหร่


 


ผู้เข้าแข่งขันพากันพยักหน้า พวกเขาเข้าใจเป็นอย่างดีว่าพวกเขาต้องทำให้เต็มที่ หากไม่ทำตอนนี้แล้ว จะให้ไปทำตอนไหน


 


“ติ๊ง ท่านรับภารกิจต่อเนื่องขั้นที่ 3 “ชนะการประลองรอบที่ 3” สำเร็จ เมื่อสำเร็จจะได้รับค่าประสบการณ์ 500,000, ความชำนาญในการสลักอาคมเพิ่มขึ้น 1,000!”


 


รางวัลเหมือนครั้งก่อนหน้า ไม่มีอะไรเปลี่ยน แต่แค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับเขา


 


“ดีมาก ในเมื่อทุกคนเข้าใจแล้ว ข้าก็จะไม่ขอพูดมากอีก เวลาในรอบนี้ก็ไม่มากไม่น้อย 5 ชั่วยาม ภายใน 5 ชั่วยามนี้ ขอให้ทุกคนทำให้เต็มที่!” หลี่เทียนหลงพูด


 


เวลา 5 ชั่วยามนี้ถือว่านานมาก ต่อให้รอบก่อนๆ จะสูญเสียพลังวิญญาณไป ในรอบนี้ก็สามารถฟื้นฟูกลับมาได้ทัน เพียงแค่พักผ่อนชั่วครู่ รอให้พลังวิญญาณฟื้นคืน หลังจากนั้นก็สร้างค่ายกลอีกครั้งด้วยความระมัดระวัง นี่คือวิธีการในรอบนี้


 


หลังจากนาฬิกาทรายอันยักษ์พลิกกลับ เวลา 5 ชั่วยามก็เริ่มนับถอยหลัง หมายความว่าการประลองรอบนี้ได้เริ่มขึ้นแล้ว!


 


หลังจากเริ่มการแข่งขัน บางคนก็เริ่มสร้างค่ายกลในทันที ในขณะที่บางคนกำลังนั่งสมาธิ เลือกที่จะพักก่อน


 


“ครั้งนี้ถ้าเจ้าเก่งจริง ก็ลองสร้างค่ายกลชั้น 1 อีกทีสิ?” หลินหลี่มองมาที่อี้เทียนหยุนอย่างเย็นชา เขาไม่เชื่อว่าอี้เทียนหยุนจะยังสร้างค่ายกลชั้น 1 อยู่อีก


 


ค่ายกลชั้น 1 นั้นให้คะแนนน้อย ต่อให้เป็นค่ายกลซ้อนทับเองก็เถอะ ยิ่งกว่านั้น ค่ายกลชั้น 4 ยังมีคะแนนก้าวกระโดดกว่าค่ายกลชั้นอื่นๆ ถ้าเขาคิดจะสร้างค่ายกลชั้น 1 สามชั้นซ้อนเหมือนรอบแรก อย่างมากก็ได้เพียงแค่ 10 คะแนนเท่านั้น


 


“ข้าสร้างค่ายกลชั้นไหนเกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย?” อี้เทียนหยุนไม่สนใจเขา แต่กลับเลือกที่จะนั่งขัดสมาธิ พร้อมกับหลับตาลงเพื่อฟื้นฟูพลังวิญญาณที่เสียไป เขาไม่คิดจะสร้างค่ายกลในทันที


 


หลินหลี่แทบสำลักอากาศเพราะความโกรธ ถ้าที่นี่ไม่ได้มีคนอยู่เยอะล่ะก็ เขาคงระเบิดไปแล้ว


 


หลังจากนั้น เขาก็ไม่คิดจะพูดอะไรอีก เริ่มนั่งขัดสมาธิเช่นกัน เขาไม่คิดจะสร้างค่ายกลในทันที ก่อนหน้านี้เขาเผาผลาญพลังวิญญาณไปมาก ดังนั้น คนส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะนั่งขัดสมาธิฟื้นฟูพลังวิญญาณ หลังจากฟื้นฟูได้สักหน่อย จากนั้นค่อยสร้างค่ายกลที่ชั้นสูงที่สุดออกมา อย่างนี้ถึงจะมีประสิทธิภาพที่สุด


 


พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้ว 2 ชั่วยาม คนส่วนมากเริ่มสร้างค่ายกลกันแล้ว ขณะที่บางคนเลือกที่จะสร้างค่ายกลหลังจากผ่านไปแล้ว 3 ชั่วยาม และหลินหลี่ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่เลือกจะสร้างค่ายกลหลังจากไปแล้ว 3 ชั่วยาม


 


การลงมือของเขาได้ดึงดูดความสนใจของทุกคนอย่างรวดเร็ว พวกเขาอยากจะดูว่าหลินหลี่จะสร้างค่ายกลชั้นไหนออกมา


 


หลังจากพักผ่อนมาแล้ว 3 ชั่วยาม ต่อให้จะล้มเหลว พวกเขาก็ยังมีเวลาพอที่จะสร้างค่ายกลได้อีก 1 ครั้ง


 


ก่อนหน้านี้ก็มีหลายคนที่แสดงออกมาได้ค่อนข้างดี จึงดึงดูดความสนใจของทุกคนอยู่บ้าง และครั้งนี้ คนที่โดดเด่นที่สุดกลับไม่ใช่หลินหลี่ แต่เป็นหญิงสาวที่อยู่ใกล้ๆ


 


“ดูนั่นเร็ว คนที่ตระกูลหัวเชิญมา เหมือนว่าจะสร้างค่ายกลแปลกๆ ออกมา?”


 


“ใช่ ของคนอื่นมีแสงสีทอง แต่ของเธอกลับเป็นสีแดง ดูแล้วไม่น่าใช่ค่ายกลธรรมดา?”


 


……


 


หลายคนพากันเบนสายตาไปยังหญิงสาวคนนั้น ค่ายกลที่เธอกำลังสร้างในตอนนี้ไม่ธรรมดาอย่างมาก แสงที่เปล่งออกมาเห็นได้ชัดว่าต่างจากของคนอื่น ทำให้สายตาของทุกคนต่างเบนมาที่ร่างของเธอมากขึ้น และมากขึ้น ถึงยังไงนี่ก็คือค่ายกลที่มีความพิเศษ


 


ในตอนนี้ บนหน้าผากของหญิงสาวนางนี้เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อที่ผุดพราย เธอกัดฟันพร้อมกับจับพู่กันในมือแน่น ในขณะที่วาดค่ายกล ซึ่งอีกไม่นานก็เสร็จ ทำให้แสงสีแดงยิ่งมายิ่งจับตาผู้คน


 


อี้เทียนหยุนก็เบนสายตาไปทางเธอเช่นกัน รูปร่างของผู้หญิงคนนี้ยังห่างจากคำว่างดงามนัก แต่ก็ดูนวลตา ดูเป็นคนสะอาดสะอ้านคนหนึ่ง ดูแล้วรู้สึกสบายตา มือเรียวยาวของเธอวาดค่ายกลบนกระดาษด้วยความเร็วไม่เร็วไม่ช้า


 


“ถ้าข้าจำไม่ผิด ผู้หญิงคนนี้น่าจะชื่อว่า เหอเชียนหาน?” ก่อนหน้านี้อี้เทียนหยุนได้ยินคนตะโกนชื่อเธอ เธอเป็นคนที่ตระกูลหัวเชิญมา ไม่รู้ว่ามาจากไหน ดูแล้วความสามารถดีทีเดียว


 


เธอคือคนที่ได้ 15 คะแนนเท่ากันกับหลินหลี่


 


“นี่น่าสนใจมาก ค่ายกลชั้น 3 แบบซ้อนทับ ยิ่งกว่านั้นยังเป็นแบบดัดแปลงอีก หายากมาก” หลี่เทียนหลงตาเป็นประกายขึ้นมา ครั้งนี้เขาเป็นผู้ตัดสินเต็มตัว ดังนั้นเขาจึงขึ้นมาอยู่บนเวทีนี้แต่เริ่มแล้ว เมื่อเขาเห็นค่ายกลที่เหอเชียนหานกำลังสร้าง เขาจึงรู้สึกสนใจขึ้นมา


 


แสงสีแดงที่เปล่งออกมานี้ไม่ใช่อะไร แต่เป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าค่ายกลนี้มีธาตุไฟแฝงอยู่ ถ้าค่ายกลนี้ถูกสลักลงไปยังอาวุธแล้วล่ะก็ มันจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งธาตุไฟให้กับอาวุธชิ้นนั้น ถือว่าเป็นค่ายกลชั้น 3 ขั้นสูงได้เลย แต่นี่ไม่ใช่เพียงค่ายกลชั้น 3 ธรรมดาเท่านั้น แต่ยังเป็นค่ายกลชั้น 3 แบบซ้อนทับ! เมื่อสร้างชั้นที่ 2 ขึ้น อย่างน้อยมันก็จะทำให้ธาตุไฟแข็งแกร่งขึ้นอีกระดับ


 


ค่ายกลซ้อนทับทั้งหายากและล้ำค่าอย่างมาก อาวุธทุกชนิดสามารถสลักค่ายกลลงไปได้เพียงชนิดเดียวเท่านั้น ดังนั้น จึงควรเลือกค่ายกลที่ให้ประโยชน์สูงสุด ไม่เพียงแต่ค่ายกลซ้อนทับจะดีกว่าเท่านั้น แต่ยังหายากอีกด้วย ทำให้ราคาจึงสูงตามไปด้วย


 


ตอนนี้การแสดงของเหอเชียนหานโดดเด่นอย่างมาก ดูแล้วเมื่อเสร็จออกมาคงจะเป็นค่ายกลชั้น 3 สองซ้อนทับ คะแนนที่ได้ก็จะเทียบเท่ากับค่ายกลชั้น 4 ในทันที นั่นหมายความว่า หลังจากสร้างเสร็จ เธอจะได้รับ 20 คะแนน!


 


สำหรับเรื่องคะแนนไม่ต้องพูดถึง ทุกคนเห็นได้จากท่าทีของหลี่เทียนหลง ยังไงพวกเขาก็มั่นใจได้เล็กน้อยว่า ระดับของเหอเชียนหานนี้ต้องไม่ต่ำอย่างแน่นอน!

 

 

 


ตอนที่ 186

 

CLS ตอนที่ 186: ไม่ลองแล้วจะรู้ได้ยังไง


 


ค่ายกลของคนอื่นเป็นยังไงนั้น หลายคนไม่ให้ความสนใจ ตอนนี้พวกเขากำลังให้ความสนใจไปยังหลินหลี่ ด้วยการแสดงออกของเหอเชียนหาน ทำให้ตำแหน่ง 3 อันดับแรกยิ่งดูสับสนขึ้นไปอีก


 


อี้เทียนหยุนสนใจเธอ ระดับของเธอไม่ต่ำเลย ไม่รู้ว่ามาจากสำนักไหน


 


“ระดับของเธอดีมาก ไม่รู้ว่าเชิญมาจากไหน? หรือว่าจะเป็นตระกูลหัวฝึกขึ้นมา?”


 


“ตระกูลหัวสามารถฝึกนักสลักอาคมที่มีพรสวรรค์ขนาดนี้ได้ด้วยเหรอ? อายุของเธอก็ดูไม่มากนะ ประมาณ 20 ปีเอง ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน”


 


“เธอไม่ใช่คนที่ตระกูลหัวฝึกมา แต่เป็นแขกจากวังเทียนจี๋”


 


“วังเทียนจี๋? วังเทียนจี๋ที่ตกต่ำนั่นน่ะนะ?”


 


ตอนนี้พวกเขารู้แล้วว่าเหอเชียนหานมาจากไหน ไม่คิดว่าวังเทียนจี๋ที่ตกต่ำจนใกล้จะจบนั้น ตอนนี้จะมาปรากฏตัวที่นี่ ทั้งยังช่วยตระกูลหัวลงแข่งด้วย


 


“วังเทียนจี๋?” อี้เทียนหยุนอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าเหอเชียนหานจะเป็นคนจากวังเทียนจี๋ที่มีโชคชะตากับตน


 


แต่ถ้าคิดให้ดีๆ แล้ว วังเทียนจี๋ที่ตกต่ำลง หากต้องการทรัพยากรเพื่อพัฒนาแล้วล่ะก็ การที่พวกเขาติดต่อกับตำหนักซิงเฉินถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย


 


พร้อมกับเวลาที่ล่นลงไป ค่ายกลที่พวกเขาสร้างก็ค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่าง ในช่วงวิกฤตนี้ มือของเหอเชียนหานเริ่มสั่นน้อยๆ เห็นได้ชัดว่าพลังในร่างเริ่มไม่มั่นคงแล้ว เกิดความรู้สึกขึ้นว่าไม่รู้จะวาดยังไงต่อ


 


เห็นได้ชัดว่าค่ายกลนี้ของเธอยังอยู่ในช่วงทดลอง เธอเลือกที่จะสร้างค่ายกลนี้แทนที่จะสร้างค่ายกลที่เหมาะกับความสามารถ เห็นได้ชัดว่าครั้งนี้เธอทุ่มสุดตัว เพราะเธอไม่ต้องการตำแหน่งที่ต่ำ ดังนั้นจึงต้องทุ่มทุกอย่างที่มีออกไป


 


ข้อผิดพลาดที่ปรากฏขึ้นทำให้เธอไม่รู้ว่าจะวาดต่อยังไง ถ้าครั้งนี้ทำพลาด ทุกอย่างก็ถือว่าจบ


 


“เธอใกล้จะจบแล้ว มือเริ่มสั่น ไม่มั่นคงอย่างมาก!”


 


“นี่คือจังหวะแห่งความล้มเหลว ถ้าพลาด เธอคงทำได้เพียงสร้างค่ายกลชั้น 2 ออกมาเท่านั้น”


 


“ถ้าสร้างค่ายกลชั้น 2 ออกมา อย่างนั้นคงต้องพลาดสามอันดับแรกอย่างแน่นอน!”


 


พวกเขาพากันส่ายหัว นี่เป็นเพราะระดับของเธอยังไม่เพียงพอ จึงต้องเผชิญกับโชคชะตาที่ยากลำบาก ตอนนี้เวลาใกล้จะหมดแล้ว ไม่เพียงพอที่จะสร้างค่ายกลชั้น 3 ให้เสร็จอย่างแน่นอน


 


เจ้าตระกูลหวังที่เห็นสถานการณ์นี้ก็พลันเผยรอยยิ้มพึงใจออกมา เขาไม่อยากให้คนอื่นเด่นเกินหน้าเกินตาหลินหลี่


 


“จบแล้ว….” เหอเชียนหานมองเส้นสายอาคมที่ค่อยๆ พร่าเลือนไปจากสายตา ตอนนี้เธอไม่เห็นเส้นทางที่จะเดินหน้าต่อ


 


“ใจเย็น ค่ายกลนี้จุดหลักอยู่ตรงการเชื่อมต่อภายใน การซ้อนทับของค่ายกลทำได้ดีแล้ว เพียงแต่พลังธาตุไฟที่ซ้อนทับกันกำลังทำปฏิกิริยาต่อกันเท่านั้นเอง”


 


ในตอนนี้เอง ก็ได้มีเสียงส่งผ่านมายังหูของเธอ เธอหันไปมอง และก็พบว่า นี่ไม่ใช่เด็กหนุ่มที่สร้างค่ายกลชั้น 1 หรอเหรอ? หลังจากได้ฟัง เธอก็ราวกับได้รับการตื่นรู้ ความกังวลใจพลันสลายไป


 


อึดใจต่อมา มือที่จับพู่กันของเธอก็เริ่มมั่นคง ไม่มีร่องรอยของความสั่นเทาอีก พร้อมกับวาดเสริมเติมเส้นต่ออย่างบ้าคลั่ง แต่ละครั้งที่จรดพู่กันลงไปดูมั่นคง อย่างรวดเร็ว ค่ายกลชั้น 3 สองซ้อนทับก็เสร็จสมบูรณ์แบบด้วยมือของเธอ!


 


“เสร็จแล้ว!” เหอเชียนหานตะโกนออกมา น้ำเสียงราวกับได้รับการปลดปล่อย!


 


“เยี่ยม!” เจ้าตระกูลหัวที่อยู่ใกล้ๆ ลุกขึ้นพร้อมกับตะโกนออกมาอย่างตื่นเต้น


 


จากนั้น หลี่เทียนหลงก็เดินเข้าไปดู หลังจากมองดูได้นิดหน่อย เขาก็พยักหน้าอย่างพอใจ แล้วพูดขึ้นว่า “เยี่ยม การเสริมธาตุไฟเข้าไปในค่ายกลสองซ้อนทับนี้ ทำให้ผลลัพธ์ดีขึ้นจริงๆ ข้าให้เจ้า 25 คะแนน 3 คะแนนให้แก่ความคิดสร้างสรรค์ที่เสริมธาตุไฟเข้าไป ค่ายกลสองซ้อนทับของเจ้านี้แข็งแกร่งกว่าค่ายกลสองซ้อนทับทั่วไป ขอให้เจ้าพยายามต่อไป!”


 


“ขอบคุณท่านเจ้าตำหนักหลี่!” เหอเชียนหานพูดด้วยความเคารพ จากนั้นก็หันไปยังอี้เทียนหยุนที่นั่งขัดสมาธิอยู่อีกด้าน แล้วพูดเบาๆ ว่า” ขอบคุณคุณชายมาก ถ้าไม่ใช่เพราะท่าน ข้าคงต้องล้มเหลวแล้ว”


 


“เกรงใจเกินไปแล้ว นั่นเพราะว่าฝีมือของเจ้าดีอยู่แล้ว ข้าไม่ได้ทำอะไรเลย” อี้เทียนหยุนยิ้ม ไม่คิดจะรับความดีนี้ใส่ตัว


 


ดวงตาที่ใสกระจ่างของเหอเชียนหานมองมายังร่างของเขา ยังเด็กแถมยังเก่งกาจ นี่ทำให้เธอรู้สึกตกใจจริงๆ


 


“ดูเร็ว ค่ายกลที่หลินหลี่สร้าง!” เจ้าตระกูลหวังในตอนนี้ตาเป็นประกาย เขาฝากความหวังทุกอย่างไว้ที่หลินหลี่ ตราบเท่าที่เขาชนะได้อันดับหนึ่ง เกียรติยศทุกอย่างจะเป็นของตระกูลหวัง ไม่ใช่ตระกูลจู้


 


จู้เทียนหงที่มั่นใจในตัวอี้เทียนหยุน เมื่อชำเลืองไปทางหลินหลี่ ทันใดนั้นสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป


 


เหตุการณ์เริ่มดึงดูดสายตาของผู้คน พริบตาทุกคนก็ถูกหลินหลี่ดูดเข้าไป ค่ายกลที่เขาสร้างเริ่มเป็นรูปร่างอย่างรวดเร็ว มันกำลังปลดปล่อยกลิ่นอายออกมา ทำให้ทุกคนรู้ว่าค่ายกลที่เขาสร้างเป็นค่ายกลชั้น 4 ขั้นกลาง!


 


นี่ไม่ใช่ค่ายกลชั้น 4 ธรรมดา แต่ดูเหมือนค่ายกลชั้น 4 ที่ดัดแปลงขึ้น นั่นหมายความว่าคะแนนของเขาจะต้องไม่ต่ำกว่า 40 คะแนนอย่างแน่นอน!


 


ถ้าอี้เทียนหยุนสร้างได้เพียงค่ายกลชั้น 1 สามชั้นซ้อน การประลองครั้งนี้ เขาจะเป็นฝ่ายชนะ ถึงยังไงค่ายกลชั้น 1 สามชั้นซ้อนนั้น อย่างมากก็ได้เพียงแค่ 10 คะแนน ห่างกันถึง 30 แต้ม ไม่ใช่ความต่างที่เขาจะเติมเต็มได้?


 


“บ้าไปแล้ว ด้วยอายุขนาดนี้แต่สามารถสร้างค่ายกลชั้น 4 ออกมาได้ นี่มันช่างไม่ธรรมดาจริงๆ!”


 


“แม้ว่าจะดูเหมือนยังไม่ชำนาญนัก แต่สามารถสร้างค่ายกลชั้น 4 ออกมาได้ นั่นก็หมายความว่าเขามีระดับเทียบเท่าอาจารย์สลักอาคมชั้น 4!”


 


พวกเขาพากันร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ ความเจิดจรัสของเหอเชียนหานเมื่อก่อนหน้าถูกกดทับในทันที ระดับของทั้งสองไม่สามารถเอามาเทียบกันได้ นี่คือความแข็งแกร่งที่แท้จริงของหลินหลี่ หลังจากกลิ่นอายปะทุออกมา เมื่อใดที่ค่ายกลชั้น 4 เสร็จสมบูรณ์ เขาก็จะขึ้นนำในทันที!


 


ในขณะเดียวกัน อี้เทียนหยุนยังไม่เริ่มลงมือโดยไม่คาดคิด เขายังคงนั่งฟื้นฟูพลังอยู่เช่นเดิม มองไปที่ค่ายกลชั้น 4 ที่หลินหลี่สร้างอย่างใจเย็น สีหน้าของอี้เทียนหยุนยังคงสงบ ไม่มีท่าทางตกใจแต่อย่างใด


 


อย่างไรก็ตาม อี้เทียนหยุนก็พลันลุกขึ้น ภายใต้แรงกดดัน เขาก็เริ่มทำการสร้างค่ายกล ภายใต้กระบวนการที่คุ้นเคย เขาก็สร้างค่ายกลชั้น 1 ที่ทำให้ผู้คนตกใจอีกครั้ง!


 


นี่เขาคิดจะท้าทายสวรรค์หรือยังไง? ค่ายกลชั้น 1 คิดจะสู้กับค่ายกลชั้น 4 อย่างน้อยต้องเป็นค่ายกลชั้น 1 4-5 ชั้นซ้อน? ถึงจะสามารถเอาชนะได้ นี่มันจะท้าทายสวรรค์เกินไปหรือเปล่า การค่ายกลชั้น 1 4-5 ชั้นซ้อน ความยากของมันยากกว่าการสร้างค่ายกลชั้น 4 นี่เขาคิดหาเรื่องใส่ตัวหรือยังไง?


 


ผู้ชมตกใจกับความสามารถของหลินหลี่ ขณะเดียวกันก็ตกใจกับค่ายกลชั้น 1 ของอี้เทียนหยุน นี่หรือว่าอี้เทียนหยุนคิดจะสร้างแต่ค่ายกลชั้น 1 จริงๆ? นี่เขาไม่คิดจะสร้างค่ายกลแบบอื่นเลยหรือไง อุตส่าห์มีสมาธิน่าตกใจขนาดนี้แล้ว ถ้าใช้มันสร้างค่ายกลชั้นสูง ผลลัพธ์จะต้องไม่แย่อย่างแน่นอน


 


แต่อี้เทียนหยุนยังคงทำอะไรเอาแต่ใจ ยังคงเลือกที่จะสร้างค่ายกลชั้น 1!


 


หลินหลี่ก็มองมาจากด้านข้าง สายตาของเขาเผยให้เห็นถึงความรังเกียจ “ค่ายกลชั้น 1 ดูเหมือนว่าเจ้าจะบ้าจริงๆ คิดจะล้มข้าด้วยค่ายกลชั้น 1 อย่างงั้นเหรอ? ปัญญาอ่อนเกินไปแล้ว ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าจะสร้างค่ายกลซ้อนทับได้หลายชั้นขนาดนั้น!”


 


“ถ้าไม่ลองแล้วจะรู้ได้ยังไง?” อี้เทียนหยุนพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ


CLS ตอนที่ 187: สำเร็จ!


 


“ก็เอาสิ ถ้าเจ้าคิดว่าทำได้ก็ลองเลย ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้าจะเอาชนะข้าได้ยังไง!” หลินหลี่เยาะเย้ย แล้วกลับไปจดจ่อกับค่ายกลของตน ไม่สนใจอี้เทียนหยุนอีก


 


ในความคิดของเขานั้น อี้เทียนหยุนได้แพ้ไปแล้ว หัวข้อรอบก่อนๆ นั้นเอื้อประโยชน์ต่ออี้เทียนหยุน แต่หัวข้อในรอบนี้นั้นต่างออกไป มีเพียงแต่ระดับที่สูงเท่านั้นถึงจะได้คะแนนสูง ถ้าระดับต่ำ ก็ยากมากที่จะทำให้ได้คะแนนเท่าเขา


 


นอกเสียจากอี้เทียนหยุนจะทำค่ายกลชั้น 1 จำนวนหลายชั้นออกมา แต่นั่นก็ยากที่จะเป็นไปได้ มันจะดีกว่าถ้าเขาจะทำค่ายกลชั้น 4 ออกมาแทน


 


อี้เทียนหยุนไม่สนใจสายตาของคนอื่น เขายังคงทำค่ายกลชั้น 1 ของเขาอย่างเนิบช้าต่อไป ในสายตาของคนอื่นนั้น รู้ดีว่าค่ายกลชั้น 1 ที่เขาทำเป็นขั้นสูง แต่ถึงจะเป็นขั้นสูงก็เป็นเพียงค่ายกลชั้น 1 ไม่ใช่ค่ายกลชั้น 4


 


ยังไงก็ตาม ค่ายกลชั้น 1 ขั้นสูงนี้ หากคิดจะทำการซ้อนทับเข้าไป มันจะเป็นเรื่องยากอย่างมาก


 


แต่อี้เทียนหยุนราวกับไม่สนใจ เขายังคงทำของเขาต่อไป หลินหลี่ที่อยู่อีกด้านก็เต็มไปด้วยสายตาดูถูก เขาไม่เชื่อว่าอี้เทียนหยุนจะสามารถสร้างค่ายกล 5 ซ้อนทับออกมาได้ นั่นมันยากกว่าการสร้างค่ายกลชั้น 4 ด้วยซ้ำ


 


ในตอนนี้ สายตาของทุกคนล้วนมารวมกันอยู่ที่พวกเขา พวกเขาเป็นตัวละครสำคัญ หนึ่งคืออัจฉริยะที่สร้างค่ายกลชั้น 4 ออกมาได้ ส่วนอีกหนึ่งนั้นกำลังสร้างค่ายกลชั้น 1 ทั้งยังเป็นค่ายกลชั้น 1 แบบซ้อนทับเพื่อเอามาสู้กับค่ายกลชั้น 4 นี้!


 


สายตาของหลี่เทียนหลงเป็นประกาย เขาไม่คิดว่าการที่อี้เทียนหยุนสร้างค่ายกลชั้น 1 จะเป็นเรื่องผิด ตราบเท่าที่เขาสามารถสร้างค่ายกล 5 ซ้อนทับขึ้นมาได้ คะแนนที่เขาจะได้นั้นย่อมเป็นคะแนนที่สูงเช่นกัน แต่ความยากก็อยู่ตรงนั้นเช่นกัน


 


ภายใต้เวลาที่ล่วงผ่านไป หลินหลี่ก็เข้าใกล้ความสำเร็จทีละน้อย ขาดอีกเพียงนิดเดียวก็จะเสร็จแล้ว ส่วนทางด้านอี้เทียนหยุนนั้น ตอนนี้เพิ่งจะถึงค่ายกล 2 ซ้อนทับเท่านั้น ความเร็วในการทำถือว่าช้ามาก


 


ในที่สุด เมื่อเวลาเหลืออยู่เพียงครึ่งชั่วยาม หลินหลี่ก็สร้างค่ายกลชั้น 4 นี้ออกมาสำเร็จจนได้ หลังจากลงเส้นสุดท้าย “ฟรึบ” แสงค่ายกลชั้น 4 ก็สว่างจ้าออกมา กระดาษทั้งใบเปล่งแสงเจิดจ้า นี่เป็นผลลัพธ์ที่ค่ายกลชั้น 4 นำมา!


 


“สำเร็จ!” หลินหลี่มีความสุขอย่างมาก เขาสร้างค่ายกลชั้น 4 สำเร็จแล้ว ก่อนหน้านี้เขาล้มเหลวอยู่หลายครั้ง แต่ตอนนี้เขาทำสำเร็จแล้ว ตราบเท่าที่อี้เทียนหยุนสร้างค่ายกลซ้อนทับไม่สำเร็จ ชัยชนะก็จะตกมาอยู่ในมือเขาอย่างแน่นอน!


 


“เขาทำสำเร็จ ยังหนุ่มขนาดนี้แต่ก็สามารถเป็นอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 ได้ ช่างเปี่ยมพรสวรรค์จริงๆ!”


 


“ใช่ ระดับของวังเสินเหวินช่างน่ากลัวนัก ปีนี้มีศิษย์ที่เป็นถึงอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 แล้ว ไม่รู้ว่าศิษย์คนอื่นๆ อยู่ที่ระดับไหนกัน?”


 


“แน่นอนอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นจะสร้างอาจารย์สลักอาคมออกมาได้ยังไง!”


 


ผู้ชมรอบๆ เอ่ยชมไม่หยุดปาก แววตาของหลินหลี่เผยให้เห็นถึงความดูถูก ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่อาจารย์สลักอาคมมีมากราวกับเป็นผักกาด? ที่เขาสร้างค่ายกลชั้น 4 ออกมาได้ ส่วนมากล้วนขึ้นอยู่กับโชค ทำให้เขาสร้างออกมาได้โดยที่ไม่มีอุปสรรค


 


แม้ว่าจะถูกตัดสินว่าเป็นอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 แต่เขายังห่างจากอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 ที่แท้จริงอยู่ไกลมาก คนที่บังเอิญทำออกมาได้อย่างเขา ไม่ควรเรียกว่าอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 ที่แท้จริง อาจารย์สลักอาคมชั้น 4 ที่แท้จริงนั้น ต้องสามารถสร้างค่ายกลขั้นสูงออกมาได้ง่ายๆ อย่างเขานั้น เป็นได้แค่อาจารย์สลักอาคมชั้น 4 ปลอมๆ เท่านั้น


 


และเมื่อเขาเบนสายตามองไปยังอี้เทียนหยุน เขาก็พบว่าพริบตานี้ อี้เทียนหยุนได้สำเร็จค่ายกลชั้น 1 สามชั้นซ้อนแล้ว พร้อมกับทำชั้นที่ 4 ต่อเลย!


 


ในตอนนี้ดูแล้วมั่นคงมาก ไม่มีร่องรอยของความสับสนแม้แต่น้อย ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป เขาต้องสามารถสร้างค่ายกล 4 ซ้อนทับออกมาได้จริงๆ แน่ ถ้าอย่างนั่น ก็เท่ากับว่าเขาได้คะแนนเทียบเท่ากับค่ายกลชั้น 4 ขั้นต่ำแล้ว


 


แต่ต่อให้สำเร็จ ก็ต้องแพ้ให้กับหลินหลี่อยู่ดี เพราะค่ายกลที่เขาสร้างเป็นแบบดัดแปลง ทำให้ได้รับคะแนนเพิ่มไม่น้อย นี่หมายความว่าอี้เทียนหยุนจะต้องสร้างค่ายกล 5 ซ้อนทับออกมาเท่านั้น ไม่อย่างนั้นอย่าหวังว่าจะไล่ทันเขา


 


นี่เขาจะทำได้สำเร็จจริงๆ น่ะเหรอ?


 


นี่มันเทียบเท่ากับการท้าทายสวรรค์เลยนะ ระดับของมันเทียบได้กับค่ายกลชั้น 4 ขั้นกลางเลยทีเดียว แต่ที่จริงแล้ว ความยากของมันกลับมากกว่าค่ายกลชั้น 4 ขั้นกลางด้วยซ้ำ


 


นี่ก็เหมือนกับอาวุธระดับเหล็ก ต่อให้จะหลอมใหม่อีกสักกี่ครั้ง ก็ยังเป็นอาวุธระดับเหล็กอยู่ดี ไม่มีทางเปลี่ยนเป็นอาวุธระดับวิญญาณได้ แม้จะมีพลังใกล้เคียงกันขนาดนั้น แต่ก็ไม่สามารถขายในราคาเทียบเท่าอาวุธระดับวิญญาณอยู่ดี


 


จู้อวี่เหว่ยกับพวกในตอนนี้เงียบอย่างมาก นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญ พวกเธอหวังว่าอี้เทียนหยุนจะเป็นผู้ชนะการประลองนี้ ในใจของพวกเธอเชื่อว่าอี้เทียนหยุนจะต้องชนะ!


 


ค่ายกล 5 ซ้อนทับ นี่เรียกว่าเป็นการท้าทายสวรรค์อย่างแท้จริง! ต้องเป็นอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 ที่มีประสบการณ์มากเท่านั้น ถึงจะสร้างค่ายกลระดับนี้ออกมาได้


 


จู้เทียนหงรู้สึกปากแห้ง เขาหวังให้อี้เทียนหยุนทำออกมาได้สำเร็จ อย่าได้ล้มเหลวเด็ดขาด! เพราะถ้าล้มเหลว เวลาที่เหลือก็จะไม่พอแล้ว เมื่อถึงตอนนั้น อย่าว่าแต่สามอันดับแรกเลย ถ้าติด 1 ใน 10 ได้ ก็ถือว่าดีแล้ว


 


“ค่ายกลชั้น 1 ห้าซ้อนทับ….. ตั้งแต่เริ่มจนจบ สร้างออกมาแต่ค่ายกลชั้น 1 ข้าล่ะสงสัยจริงๆ ว่าเขารู้จักแต่วิธีนี้เท่านั้นอย่างงั้นเหรอ?” เจ้าตระกูลหวังที่อยู่ข้างๆ พูดเหน็บแนมออกมา “ความสามารถนับว่าดี แต่คิดจะใช้วิธีนี้ ข้าว่าเป็นไปไม่ได้ ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะสร้างค่ายกล 5 ซ้อนทับออกมาได้!”


 


ในหมู่ผู้ชมไม่มีใครชอบค่ายกลของอี้เทียนหยุน คิดว่ามันเป็นอะไรที่หยาบมาก แต่เมื่อคิดว่าเขาสร้างได้เพียงค่ายกลนี้เท่านั้น ก็เกิดรู้สึกช่วยไม่ได้ขึ้นมา


 


ในใจอี้เทียนหยุนนิ่งมาก ไม่มีการวอกแวกแม้แต่น้อย ภายใต้การสร้างของเขา ทำให้ค่ายกล 4 ซ้อนทับเสร็จออกมาอย่างรวดเร็ว พร้อมกับเริ่มสร้างค่ายกล 5 ซ้อนทับต่อทันที!


 


พู่กันในมือของเขายังคงขยับไม่หยุด กระดาษที่ใช้วาดเริ่มเปล่งแสงเจิดจ้าออกมา ภายใต้พลังที่บ้าคลั่งของค่ายกล ทำไมมันถึงจะไม่เปล่งแสงออกมาล่ะ?


 


ผู้เข้าแข่งขันที่ยังคงสร้างค่ายกลอยู่ตอนนี้เหลืออยู่น้อยแล้ว แต่ที่สะดุดตาที่สุดคงเป็นอี้เทียนหยุน ในตอนนี้ ค่ายกลชั้นที่ 5 ของเขาได้เสร็จไปครึ่งทางแล้ว ใกล้จะสำเร็จแล้ว


 


เมื่อเห็นว่าเหลืออีกแค่นิดเดียว ในใจของแต่ละคนก็เริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ จะสำเร็จจริงๆ เหรอ?


 


“ล้มเหลว ต้องล้มเหลว!” หลินหลี่ร้องตะโกนในใจ ถ้าเกิดสำเร็จขึ้นมา เขาก็แพ้น่ะสิ


 


ที่นี่มีคนมากมายดูอยู่ ถ้าเขาสอดมือเข้าไป ภายใต้สถานการณ์นี้ มีนจะต้องล้มเหลวอย่างแน่นอน


 


แต่ตอนนี้เขาไม่กล้าที่จะทำอย่างนั้น ถ้าเขาทำ แน่นอนว่าจะต้องถูกหลี่เทียนหลงตัดสิทธิ์ เมื่อเทียบกับการแพ้แล้ว นี่นับว่าน่าสมเพชยิ่งกว่า


 


ในที่สุด ภายใต้สายตาที่จับจ้องของผู้คน อี้เทียนหยุนก็ทำเสร็จจนได้


 


“ฟรึบ!!”


 


กระดาษทั้งใบในตอนนี้พลันเปล่งแสงเจิดจ้าออกมา แสงที่ระเบิดออกมานี้ ทะลุขึ้นไปในอากาศ อึดใจต่อมา แสงจึงค่อยๆ หายไป หมายความว่าค่ายกลชั้น 1 ห้าซ้อนทับ สร้างออกมาได้สำเร็จแล้ว!


 


นี่ทำให้ทุกคนตกตะลึง เขาทำสำเร็จจริงๆ!


 


“สำเร็จแล้ว?!” สีหน้าของหลินหลี่ซีดขาว เขาขยี้ตาตัวเอง นี่คือค่ายกลชั้น 1 ห้าซ้อนทับจริงๆ! ไม่ผิดแน่ นี่คือค่ายกลชั้น 1 ห้าซ้อนทับ นี่มันจะท้าทายสวรรค์เกินไปแล้ว!


 


ไม่คิดเลยว่าเขาจะพ่ายแพ้ต่ออี้เทียนหยุนอีกครั้ง ยิ่งกว่านั้นยังเป็นการแพ้ต่อค่ายกลชั้น 1 นี่เป็นความอับอายในความอับอาย! เขาสร้างค่ายกลชั้น 4 ออกมาอย่างยากลำบาก แต่กลับมาพ่ายแพ้ต่อค่ายกลชั้น 1 บัดซบนี้


 


หลังจากเจ้าตระกูลหวังเห็นอี้เทียนหยุนทำสำเร็จ สีหน้าก็กลายเป็นน่าเกลียดในทันที เขาพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทางหมดแรง เจ้าเด็กนี่เป็นใครมาจากไหน ทำไมถึงทำได้ขนาดนี้!


 


“เยี่ยม!” หลี่เทียนหลงเป็นผู้นำในการแสดงความยินดี สำหรับพวกเขาแล้ว นี่เป็นเรื่องที่น่าตกตะลึงมาก แล้วอย่างนี้จะไม่ให้พวกเขาปรบมือให้ได้ยังไง?


 


หลี่เทียนหลงตะโกนออกมาด้วยความพอใจ คนอื่นๆ ก็อดไม่ได้ต้องปรบมือให้ แต่ก็มีบางคนที่ไม่ปรบมือ จะให้ทำไงได้ ก็พวกเขายืนอยู่ฝั่งตระกูลหวังนี่นา แล้วจะให้ปรบมือได้ยังไง?


 


แม้ว่าจะเป็นเพียงค่ายกลชั้น 1 แต่ก็เป็นค่ายกลชั้น 1 ห้าซ้อนทับ ถือว่ามีความสามารถมาก




CLS ตอนที่ 188: ตบหน้าอย่างแรง!


 


“ติ๊ง ท่านสร้างค่ายกลชั้น 1 ห้าชั้นซ้อนสำเร็จ ได้รับค่าประสบการณ์ 5,000, ค่าความชำนาญ 100”


 


หลังจากสร้างค่ายกลนี้สำเร็จ ค่าประสบการณ์และค่าความชำนาญที่ได้ก็ไม่ต่ำทราม ถึงยังไงก็เป็นถึงค่ายกลซ้อนทับที่มีความยากไม่ต่างจากค่ายกลชั้น 4 ดังนั้น นอกจากอี้เทียนหยุนจะทำให้พวกเขาตกใจได้แล้ว ยังได้รับค่าประสบการณ์กลับมาอีกด้วย


 


อี้เทียนหยุนทำสำเร็จ ทำให้ทุกคนต้องสูดหายใจเฮือกด้วยความตกใจ เขาทำสำเร็จจริงๆ นอกจากอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 ขึ้นไปแล้วก็ไม่มีใครที่สามารถทำได้ ดังนั้น ตามทฤษฎีแล้ว เขาต้องเป็นอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 เช่นกัน


 


เขาไม่ได้สร้างค่ายกลชั้น 4 ดังนั้นจึงห่างจากการเป็นอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 นอกเสียจากว่าเขาจะสร้างค่ายกลชั้น 4 ได้


 


ยังไงก็ตาม มีเพียงจู้เทียนหงกับพวกเท่านั้นที่รู้ว่าอี้เทียนหยุนเป็นอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 จริงๆ ทั้งยังสามารถสร้างค่ายกลชั้น 4 ได้อีกด้วย


 


“ยอดเยี่ยมมาก เจ้าทำสำเร็จจริงๆ ข้าก็คิดว่าเจ้าจะแพ้แล้วซะอีก” หลี่เทียนหลงเดินเข้ามา พร้อมกับรับกระดาษค่ายกลในมืออี้เทียนหยุนไป หลังจากมองอย่างระวัง เขาก็พูดด้วยความพึงพอใจว่า “เป็นค่ายกลที่เยี่ยมมาก เทียบได้กับค่ายกลชั้น 4 ขั้นกลางเลยทีเดียว กระทั่งว่ายากกว่าเล็กน้อยด้วยซ้ำ แต่ข้าสามารถให้คะแนนได้แค่ 40 คะแนนเท่านั้น”


 


“แค่นี้ผู้เยาว์ก็พึงพอใจมากแล้ว” อี้เทียนหยุนยิ้มอย่างเลื่อมใส ถึงยังไงเขาก็ชนะอยู่ดี ต่อให้การแข่งรอบนี้คะแนนเขาจะน้อยกว่าหลินหลี่เล็กน้อย แต่คะแนนรวมเขาก็เหนือกว่าหลินหลี่อยู่ดี


 


ต่อให้จะเป็นค่ายกลที่ดัดแปลงแล้วยังไง ถึงยังไงก็เป็นไปไม่ได้ที่จะได้ถึง 60 คะแนน ดังนั้นเขาก็ยังต้องพบกับความพ่ายแพ้อยู่ดี


 


“การดัดแปลงค่ายกลของเจ้าดีมาก คะแนนของเจ้าคือ 45 คะแนน!” หลี่เทียนหลงประกาศคะแนนของหลินหลี่ออกมา


 


“ขอบคุณท่านเจ้าตำหนักหลี่มาก…..” แม้ปากจะเอ่ยขอบคุณ แต่สีหน้ากลับไม่น่าดู เขาจับจ้องมาทางอี้เทียนหยุนด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง


 


อันดับ 1 ถูกชิงไปแล้ว ความหวังในการเข้าไปในสระเทียนหลิงยี่ของเขาก็หลุดลอยไปด้วย แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เขาเกลียดอี้เทียนหยุนได้ยังไง? ในฐานะศิษย์วังเสินเหวิน ความพ่ายแพ้ถือเป็นความล้มเหลวที่น่าอับอายที่สุด


 


และเมื่อการประลองรอบที่ 3 สิ้นสุด หลี่เทียนหลงก็ได้ประกาศคะแนนอย่างรวดเร็ว


 


“การประลองทั้ง 3 รอบจบลงแล้ว อันดับในการประลองสลักอาคมได้ออกมาแล้ว ตอนนี้ข้าจะขอประกาศ…. อันดับที่ 1 อี้เทียนหยุน! อันดับที่ 2 หลินหลี่! อันดับที่ 3 เหอเชียนหาน…..”


 


ไม่ว่าจะเป็นการแข่งขันอะไร สิ่งที่ผู้คนจดจำมีเพียงอันดับที่ 1 เท่านั้น ไม่ใช่อันดับที่ 2 หรือว่าอันดับที่ 3


 


“เจ้าตระกูลหวัง ครั้งนี้ถือว่าน่าอายอย่างมาก ที่ตระกูลจู้ของพวกเขาเป็นฝ่ายชนะ” จู้เทียนหงแน่นอนว่ายังไม่ลืมจะเหยียบใส่ตระกูลหวังอีกสักที ด้วยความสัมพันธ์ของพวกเขา เขาจะปล่อยให้อีกฝ่ายรู้สึกดีกว่าได้ยังไง?


 


“ฮึ่ม!” เจ้าตระกูลหวังแค่นเสียงออกมา จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกจากงานไป คราวนี้ เขาไม่พอใจหลินหลี่อย่างมาก!


 


นี่เป็นการทำให้ตระกูลหวังเสียหน้าครั้งใหญ่ วันเวลาหลังจากนี้ เขาจะไม่มีทางเงยหน้าขึ้นได้อีก ความสัมพันธ์ทางการค้าก็จะตกลง แล้วอย่างนี้จะให้เขามีความสุขได้ยังไง


 


หลังจากประกาศอันดับ ก็มาถึงเวลาของการมอบของรางวัล อี้เทียนหยุนได้รับสิทธิ์ในการใช้สระเทียนหลิงยี่ 5 วัน จึงได้รับมอบป้ายตรามา ป้ายตรานี้ใช้เพื่อเข้าไปในตำหนักสาขาใหญ่


 


“สิทธิ์ในการเข้าไปในสระเทียนหลิงยี่นี่เป็นของดีจริงๆ…..” อี้เทียนหยุนรับป้ายตราเพื่อเข้าไปยังสระเทียนหลิงยี่มา พร้อมทั้งพยักหน้าด้วยความพอใจ


 


“ติ๊ง ท่านทำภารกิจขั้นที่ 3 สำเร็จ ได้รับค่าประสบการณ์ 500,000, ค่าความชำนาญ 1,000!”


 


ภารกิจสำเร็จเสร็จสิ้น ทำให้เขาได้รับค่าความชำนาญเพิ่มขึ้นอีก 1,000 เขาได้ทำการตรวจดูแล้ว เขายังห่างจากการเข้าสู่ขั้นสูงอีกไม่ไกล ถ้าได้สร้างค่ายกลต่อไปอีกไม่กี่อัน เขาก็จะบรรลุเป้าหมายได้โดยง่าย


 


“นอกจากค่ายกลชั้น 1 แล้ว เจ้ายังสร้างค่ายกลอะไรได้อีกบ้าง!” หลินหลี่เดินเข้ามา พร้อมกับพูดอย่างเย็นชา “ต่อให้จะสร้างค่ายกลชั้น 1 ออกมาดีแค่ไหน แต่สุดท้ายก็เป็นแค่นักสลักอาคมชั้น 1 ไม่ใช่อาจารย์สลักอาคมชั้น 4!”


 


“แล้วเกี่ยวอะไรกับเจ้า?” อี้เทียนหยุนตอบเขาอย่างไม่ใส่ใจ ตัวเขาจะอยู่ชั้นไหน แล้วเกี่ยวอะไรกับเขาด้วย?


 


“นี่ต้องเกี่ยวกับข้าแน่นอน! ถ้ามีความสามารถก็ลองสร้างค่ายกลชั้น 4 ออกมาสิ สร้างแค่ค่ายกลชั้น 1 นับว่ามีความสามารถอะไรได้!” หลินหลี่เกลียดชังจนเข้ากระดูก แค่เห็นเลือดในกายก็เดือนจนแทบระเบิดแล้ว


 


“ค่ายกลชั้น 4 อย่างงั้นเหรอ ถ้าข้าทำแล้วจะได้อะไร?” อี้เทียนหยุนถามอย่างไม่ใส่ใจ


 


“ตราบเท่าที่เจ้าสร้างค่ายกลชั้น 4 ออกมาได้ ประสบการณ์ในการสลักอาคมของเจ้าตำหนักหลี่จะเป็นของเจ้า!” หลินหลี่ที่อยู่ตรงหน้าเอารางวัลที่ตนได้รับออกมาพนัน อี้เทียนหยุนไม่แม้แต่จะปรายตามอง สำหรับเขาแล้ว ไอ้ประสบการณ์อะไรนี่ไม่ได้ช่วยอะไรเขามากนัก


 


“ไม่สนใจ เจ้าเก็บไว้ดูเองเถอะ” อี้เทียนหยุนตอบกลับอย่างเฉยชา


 


“ไม่ว่าอะไรก็ไม่สน ข้าว่าเจ้าสร้างไม่ได้มากกว่า!” หลินหลี่แค่นเสียงอย่างเย็นชา “ตราบเท่าที่เจ้าสร้างค่ายกลชั้น 4 ขึ้นที่นี่ ไม่เพียงแต่จะมอบสมุดประสบการณ์นี้ให้เจ้าเท่านั้น แต่ข้าจะให้ทุกสิ่งของข้ากับเจ้าเลย!”


 


เขาถอดแหวนเก็บของของเขาออกมาวางเดิมพัน ในแหวนบรรจุไว้ด้วยสมบัติอะไรนั้น ไม่มีใครรู้ อย่างไรก็ตาม แค่ตัวแหวนเก็บของเองนั้นก็ถือว่าล้ำค่ามากแล้ว ต่อให้มีเงินหลายแสนก็ไม่สามารถซื้อได้ นับว่าเป็นของหายากอย่างแท้จริง


 


ยังไงก็ตาม แหวนเก็บของนี้สำหรับเขาแล้วไม่ถือเป็นของหายาก เพราะเขามีช่องเก็บของของระบบอยู่แล้ว ไม่ว่าอะไรก็สามารถเก็บได้ทั้งนั้น


 


แม้ว่าเขาจะไม่สนใจแหวนเก็บของ แต่ของที่อยู่ข้างในกลับต่างกัน หลินหลี่จะต้องเก็บของมีค่าไว้แน่ๆ ดังนั้น ในนั้นจะต้องมีของดีอยู่แน่นอน


 


“ในเมื่อเจ้าอยากจะให้ขอบข้าขนาดนั้น งั้นข้าก็จะไม่ขอเกรงใจแล้วกัน”


 


อี้เทียนหยุนหยิบกระดาษและพู่กันออกมา พร้อมทั้งเริ่มวาดค่ายกล คนที่ยังไม่ทันจากไปก็พลันหันมาสนใจเขาในทันที


 


“มีเรื่องอะไรกัน หรือว่าเขาจะสร้างค่ายกลชั้น 4 จริงๆ?”


 


“จริงหรือหลอก ไม่ใช่ว่าเขาสร้างเป็นแค่ค่ายกลชั้น 1 เท่านั้นหรอกเหรอ?”


 


“รีบดูเร็ว ถ้าเขาสร้างค่ายกลชั้น 4 ได้จริงๆ นั่นจะเป็นฉากเด็ดเลยนะ!”


 


……


 


อย่างรวดเร็ว พวกเขาก็ได้เห็นผลลัพธ์ อี้เทียนหยุนสร้างค่ายกลชั้น 4 ออกมาเร็วมาก แม้ว่าจะไม่เร็วเท่ากับการสร้างค่ายกลชั้น 1 แต่ก็ถือว่าเร็วมาก เขาสร้างค่ายกลชั้น 4 เสร็จอย่างรวดเร็ว จากเริ่มจนจบ เขาใช้เวลาไปไม่ถึง 1 ชั่วยาม ถือเป็นเวลาที่เร็วมาก!


 


โดยไม่ลำบากอะไร ค่ายกลก็แล้วเสร็จ! แม้ว่าจะเป็นเพียงค่ายกลชั้น 4 ขั้นต่ำ แต่อย่างน้อยก็เป็นค่ายกลชั้น 4!


 


“มารดามันเถอะ เสร็จแล้วจริงๆ?”


 


พวกเขาพากันตาโต เมื่อเห็นอี้เทียนหยุนวาดเส้นสุดท้ายเสร็จ กลิ่นอายของค่ายกลชั้น 4 ก็เปล่งออกมาอย่างสมบูรณ์ หลินหลี่ตกตะลึงจนตาค้าง เขาคิดว่าอี้เทียนหยุนจะสร้างเป็นแค่ค่ายกลชั้น 1 อย่างเดียว ตอนนี้กลายเป็นเขาที่ถูกตบเข้าที่หน้าอย่างแรงอีกครั้ง


 


ค่ายกลชั้น 4 ปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขา ทั้งยังสมบูรณ์แบบอีกด้วย!


 


“ไม่ใช่ว่าเจ้าทำเป็นแค่ค่ายกลชั้น 1 อย่างเดียวหรอกเหรอ?” หลินหลี่ถามขึ้นด้วยความตกใจ


 


“ใครบอกเจ้าว่าข้าทำเป็นแค่ค่ายกลชั้น 1?” อี้เทียนหยุนพูดอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าเคยพูดอย่างงั้นเหรอ?”


CLS ตอนที่ 189: สิ้นสุด


 


“ใครบอกว่าข้าสร้างเป็นแต่ค่ายกลชั้น 1?”


 


คำพูดนี้ของอี้เทียนหยุนเปรียบได้กับฝ่ามือที่ตบลงบนหน้าของพวกเขา ค่ายกลชั้น 4 ที่ปรากฏตรงหน้าของพวกเขานั้นสร้างออกมาได้สมบูรณ์แบบมาก ทำให้พวกเขาไม่อาจหาที่ติได้ ไม่ว่าจะยากหรือไม่ ขอแค่สร้างออกมาได้เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว


 


นี่เหมือนกับการกระชากหลินหลี่ออกมาตบหน้ากลางฝูงชน! แค่นี้ก็อธิบายได้แล้วว่า ถ้าไม่ใช่อาจารย์สลักอาคมชั้น 4 แล้วจะสร้างออกมาง่ายๆ อย่างนี้ได้ยังไง!


 


หลังจากคนรอบๆ ได้เห็น ทันใดนั้นก็พากันตกใจ บอกว่าจะสร้างก็สร้างออกมาจริงๆ เมื่อมองดูใบหน้าของแต่ละคนแล้ว ล้วนแต่มีความตกใจฉายชัดอยู่บนนั้น


 


ในตอนนี้เอง หลี่เทียนหลงที่ยังไม่ได้ไปไหน เมื่อเห็นฉากนี้เข้า ก็พลันฉวยกระดาษในมืออี้เทียนหยุนขึ้นมาดูอย่างระวัง พร้อมกับพูดชมขึ้นมาว่า “ดี ดีมาก! นี่เป็นค่ายกลชั้น 4 ที่สร้างได้ดีจริงๆ แต่ว่านะ ทำไมเจ้าถึงไม่สร้างค่ายกลชั้น 4 ออกมา? แต่กลับเลือกที่จะสร้างค่ายกลชั้น 1 ออกมาแทน ว่าก็ว่าเถอะ ค่ายกลชั้น 1 ห้าซั้นซ้อนของเจ้ามันยากกว่าค่ายกลชั้น 4 เสียอีก?”


 


นี่เป็นเรื่องที่คนอื่นๆ ก็สนใจเช่นกัน เห็นได้ชัดว่าเขามีความสามารถพอที่จะสร้างค่ายกลชั้น 4 ออกมาได้ แต่กลับเลือกที่จะสร้างค่ายกลชั้น 1 ออกมาอย่างเจียมตัว หรือเพราะอยากจะตบหน้าคน? ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เป้าหมายของเขาก็สำเร็จอย่างที่หวัง


 


“ที่จริงผู้เยาว์ก็อยากจะทำอย่างนั้นเหมือนกัน แต่เพราะสร้างค่ายกลชั้น 1 ออกมาแล้วโดนดูถูก ทั้งกฎในการประลองยังเป็นแบบนี้อีก ไม่ว่าจะเป็นค่ายกลชั้นไหน ตราบเท่าที่ผลลัพธ์ออกมาดีก็พอ ยิ่งกว่านั้น ใครกันที่บอกว่าการสร้างค่ายกลชั้น 1 ให้ผลไม่คุ้มค่า? ลองดูค่ายกลชั้น 1 ห้าชั้นซ้อนของข้าดีๆ สิ ข้ายึดมั่นในผลลัพธ์ ไม่ใช่ความเลิศหรู!”


 


อี้เทียนหยุนเผชิญหน้ากับพวกเขาอย่างเฉยชา ตอบสนองพวกเขาด้วยความสงบ


 


หลี่เทียนหลงคิดตาม จากนั้นก็พูดขึ้นมาอย่างพึ่งเข้าใจ “เมื่อคิดดูดีๆ แล้ว ค่ายกลชั้น 1 ที่เจ้าสร้างขึ้น สุดท้ายก็เป็นแค่ค่ายกลที่ธรรมดาอย่างที่สุด แต่เมื่อซ้อนทับลงไปถึง 5 ชั้น ก็ทำให้พลังของมันแสดงออกมาได้อีกเท่าตัว แต่เมื่อเทียบกับค่ายกลชั้น 4 พื้นฐานที่เสริมธาตุเข้าไป ถ้าเกิดเป็นอาวุธและเครื่องป้องกันของตน การที่จะใช้มันแทนค่ายกลชั้น 4 ออกจะไม่คุ้มสักเท่าไหร่….”


 


“ใช่ ก็อย่างที่ผู้เยาว์ได้พูดไป ว่าข้ายึดมั่นในผลลัพธ์ไม่ใช่ความเลิศหรู” อี้เทียนหยุนยิ้ม “ก่อนหน้านี้ผู้เยาว์เชื่อว่า ค่ายกลที่สร้างออกมานี้ก็เพียงพอแล้ว…..”


 


“ฮ่าๆๆ นี่เพราะว่าระดับของเจ้าสูงพอหรอก” หลี่เทียนหลงคิด จากนั้นก็เอ่ยชวนอย่างใจดี “ได้ยินว่าเจ้าเป็นผู้ช่วยที่เจ้าตระกูลจู้เชิญมา แน่นอนว่าระดับจะต้องไม่ธรรมดา แม้ว่าจะไม่รู้ว่าเจ้ามาจากสำนักหรือว่าตระกูลไหน แต่ข้าขอเชิญเจ้ามาเป็นแขกของตำหนักใหญ่เรา พวกเขาให้ความสนใจต่ออัจฉริยะอย่างมาก พวกเราจะไม่ร้องขอให้เจ้าต้องทำอะไรให้ แต่ถ้าเจ้าไม่มีอะไรทำ ก็อยากจะให้ช่วยสร้างค่ายกลให้พวกเราบ้างเท่านั้น”


 


คำเชิญที่หลี่เทียนหลงเอ่ยออกมานี้ ไม่ต่างอะไรไปจากการตบหน้าหลินหลี่เลย


 


อี้เทียนหยุนส่งยิ้มอย่างสงบไปให้ พร้อมกับพูดปฏิเสธอย่างมีเล่ห์เหลี่ยมว่า “ขอบคุณสำหรับคำเชิญของเจ้าตำหนักหลี่มาก เพียงแต่ตอนนี้ผู้เยาว์ยังไม่มีความคิดนี้”


 


“น่าเสียดายจริง” หลี่เทียนหลงยิ้ม จากนั้นก็พูดต่อว่า “หวังว่าเจ้าจะเก็บไปคิด พวกเราจะไม่ทำการควบคุมเจ้าอย่างแน่นอน ทั้งยังจะมอบทรัพยากรที่มากพอให้กับเจ้าด้วย”


 


“ไว้ผู้เยาว์จะเก็บไปคิดดู” อี้เทียนหยุนพยักหน้าแล้วพูดออกไป


 


หลังจากเสร็จเรื่องนี้ หลี่เทียนหลงก็ไปจัดการดูแลเรื่องอื่นๆ เขาได้ยื่นกิ่งมะกอกออกไปแล้ว แต่ไม่รู้ว่าอี้เทียนหยุนจะรับไปหรือว่า


 


ส่วนหลินหลี่ที่อยู่ใกล้ๆ ได้ถูกหลี่เทียนหลงเพิกเฉยโดยสมบูรณ์ ต่อให้ระดับเขาจะไม่เลว แต่หลี่เทียนหลงก็ไม่ได้เอ่ยเชิญเขา แม้ระดับนี้จะดี แต่ก็ไม่มากพอที่จะให้เขาเป็นคนเชิญด้วยตนเอง


 


เพราะว่าเขาเป็นได้แค่อาจารย์สลักอาคมชั้น 4 เทียม ส่วนอี้เทียนหยุนนั้นเป็นอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 เต็มตัวแล้ว จากความสามารถที่แสดงออกมา เขาเห็นได้ชัดว่าระดับของเขาได้มาถึงระดับสุดยอดของอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 แล้ว ยิ่งกว่านั้นเขายังเด็กมาก แล้วอย่างนี้จะไม่ให้เขาลดตัวลงไปเชิญด้วยตัวเองได้ยังไง?


 


นี่ไม่ใช่เพราะความชอบพอของหลี่เทียนหลง แต่เป็นเพราะอี้เทียนหยุนมีค่าพอที่เขาจะเป็นคนเชิญด้วยตัวเอง!


 


นี่ไม่ต่างอะไรไปจากการตบหน้าหลินหลี่เล่น


 


“การเดิมพันครั้งนี้ข้าชนะ งั้นข้าจะขอรับรางวัลไปอย่างไม่เกรงใจล่ะนะ” อี้เทียนหยุนยิ้ม พร้อมกับรับแหวนเก็บของไป การเดิมพันนี้เขาชนะ ส่วนหลินหลี่จะคิดยังไงนั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา


 


หลินหลี่หน้าซีด ในสายตามีประกายโกรธแค้นวาบผ่านไม่หยุด เขากัดฟันแน่น ราวกับระยับความโกรธไว้ ไม่ให้อารมณ์โกรธต้องระเบิดออกไป


 


“ฮึ่ม!” หลินหลี่แค่นเสียงออกมาคำหนึ่ง จากนั้นก็เดินจากไป เขาไม่มีหน้าจะเจอใครแล้ว ทำได้เพียงออกไปจากที่นี่ให้เร็วเท่านั้น


 


หลินหลี่ที่เดินจากมา อย่างรวดเร็วก็เดินไปหาเจ้าตระกูลหวังด้วยสีหน้าดำคล้ำ


 


“เจ้าตระกูลหวัง ขอโทษด้วย ครั้งนี้เป็นความผิดของข้าเอง!” หลินหลี่พูดขอโทษออกไป


 


“เรื่องนี้ไม่อาจพูดว่าเป็นความผิดของเจ้า ยิ่งกว่านั้น ได้อันดับที่ 2 ก็ถือว่าดีแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเจ้าหนูนั่นกระโดดออกมาจากไหน เรื่องนี้ต้องสืบให้รู้….. ความแค้นครานี้ ข้าจะไม่ทน!” เจ้าตระกูลหวังพูดอย่างหน้าดำคร่ำเครียด


 


“เจ้าตระกูลหวัง ที่ท่านพูดหมายถึง…..” หลินหลี่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย เขาเหมือนเห็นประกายดุร้ายวาบผ่านดวงตาของเจ้าตระกูลหวัง


 


“มันจะมีชีวิตอยู่ต่อไม่ได้ ดูจากที่มันอยู่ฝั่งเจ้าตระกูลจู้ ครั้งหน้าเจ้าตระกูลจู้จะต้องเป็นคู่แข่งในการขึ้นเป็นรองเจ้าตำหนักของข้าแน่ ครั้งนี้มันเป็นฝ่ายชนะ….. ทั้งเจ้าตำหนักหลี่ยังชื่นชมเจ้าเด็กนั่นอีก เมื่อเป็นอย่างนี้ การที่มันชีวิตอยู่จึงเป็นเรื่องร้ายแรง!” สีหน้าเจ้าตระกูลหวังเย็นชา


 


หลินหลี่พยักหน้า เป็นอย่างนี้ก็ดี ในฐานะศัตรู แน่นอนว่าต้องทำลายให้สิ้นซาก เพื่อไม่ให้เป็นปัญหาในภายหลัง!


 


หลังจากพวกเขาจากไป จู้เทียนหงก็หัวเราะ พร้อมกับเดินเข้ามา “เห็นสีหน้าเจ้าตระกูลหวังหรือเปล่า หน้าดำเชียว! นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าเห็นเขาต้องกล้ำกลืนความโกรธไว้ขนาดนั้น ครั้งนี้ลำบากเจ้าแล้วจริงๆ”


 


“นั่นก็สมกับเขาแล้ว” อี้เทียนหยุนส่งยิ้มเอื่อยๆ กลับไป ที่เขาช่วยจู้เทียนหงนั้นไม่ใช่อะไร แต่เพื่อรับตัวจู้อวี่เหว่ยกับจู้อวี่เสวียนสองพี่น้อง


 


“เรื่องนี้ข้าเข้าใจ ครั้งนี้เจ้าช่วยข้าไว้มากจริงๆ!” จู้เทียนหงส่งสายตาให้ผู้จัดการหลิวและผู้จัดการหวงให้เข้ามา พวกเขาเดินเข้ามาอย่างขลาดเขลา พร้อมด้วยอาการก้มหัว ไม่กล้าเงยหน้ามองอี้เทียนหยุน


 


“พวกเจ้าทั้งคู่คงรู้ใช่ไหมว่าต้องทำอะไร?” จู้เทียนหงมองพวกเขาอย่างเย็นชา


 


ผู้จัดการหวงและผู้จัดการหลิวแม้ว่าจะไม่อยาก แต่ยกมือขึ้น พร้อมกับตบเข้าที่หน้าของตนอย่างแรง จนเกิดรอยฝ่ามือขึ้นบนหน้า


 


“ขอโทษคุณชายอี้….. นี่เป็นความผิดของพวกเรา เป็นพวกเราที่ปากเสีย มีตาแต่ไร้แวว….” พวกเขาไม่อยากจะทำอย่างนี้ แต่เจ้าตระกูลจู้ได้สั่งมาเป็นพิเศษ พวกเขาจึงทำได้เพียงทำตามคำสั่งอย่างเชื่อฟังเท่านั้น


 


อี้เทียนหยุนมองพวกเขาอย่างเย็นชา เขาขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจสองคนนี้ ในความเห็นของเขา นี่เป็นเพียงการทำร้ายตนเองให้ศัตรูดูเท่านั้น


 


จู้อวี่เหว่ยกับจู้อวี่เสวียนส่ายหัว แต่ก็ไม่พูดอะไร พวกเขาเพื่อตระกูลจู้แล้ว ทำเรื่องที่ผิดไปมากมายนัก


 


“ช่างเถอะ เรื่องนี้ก็ได้จบลงแล้ว จากนี้ไป พวกเธอสองคนจะไม่ใช่คนของตระกูลจู้อีก บุญคุณเมื่อก่อนหน้า สิ้นสุดลงวันนี้” อี้เทียนหยุนพูดอย่างจริงจัง


 


“แน่นอนอยู๋แล้ว ข้าเป็นคนรักษาคำพูด ไม่คิดจะสร้างความรู้สึกอับอายให้กับพวกเธออีกแม้แต่น้อย” จู้เทียนหงพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ “จากนี้ไป หวังว่าพวกเราจะร่วมมือกันด้วยดี ส่วนของรางวัลอะไรนั้น เราคุยกันได้”


 


“ถ้ามีโอกาสล่ะนะ” อี้เทียนหยุนมีสีหน้าเฉยชา ยังไม่คิดที่จะร่วมมืออะไรกับพวกเขาต่อในตอนนี้


 


จู้เทียนหงส่ายหัว พร้อมกับแอบถอนหายใจอย่างหดหู่ ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องที่ทำลงไปก่อนหน้า พวกเขาจะต้องกลายมาเป็นคู่หูที่ดีต่อกันอย่างแน่นอน ถ้าเขากลายเป็นแขกของตระกูลจู้ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า อำนาจของตระกูลจู้ของพวกเขาจะต้องเพิ่มขึ้นอีกหลายจุด


 


ส่วนเรื่องจะให้ใช้กำลังกับอี้เทียนหยุนนั้น จู้เทียนหงไม่คิดจะทำ เพราะเขาก็มีอุดมการณ์ของตนอยู่


CLS ตอนที่ 190: ตำหนักใหญ่


 


หลังจากจู้เทียนหงและพวกผู้จัดการหลิวเดินจากมา ที่มุม ผู้จัดการหลิวเอามือกุมปากพูดขึ้นว่า “ท่านเจ้าตำหนักจู้ ท่านจะปล่อยเจ้าหนูนั่นไปแบบนี้อย่างงั้นเหรอ? เขาเป็นถึงอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 นี่ถือเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่เลยนะ……”


 


จู้เทียนหงสีหน้าเย็นชา ยกมือขึ้นตบหน้าเขาคราหนึ่ง “เพี๊ยะ” ผู้จัดการหลิวถูกตบจนตัวปลิว พร้อมกับฟันที่ร่วงจากปากหลายซี่


 


“เจ้ายังมีหน้ามาพูดอีกเหรอ?” จู้เทียนหงพูดอย่างเย็นชา “ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า เขาคงกลายเป็นแขกของพวกเราแล้ว! หรือเจ้าคิดจะใช้กำลังกับเขา? ถ้าเจ้าอยากตายก็อย่าดึงข้าไปเกี่ยวด้วย! ระดับอาจารย์สลักอาคมชั้น 4 เจ้าคิดว่าเบื้องหลังเขาจะธรรมดาอย่างงั้นเหรอ? ไม่ใช่ว่ามีปรมาจารย์ลึกลับหนุนหลังเขาอยู่หรือไง ปรมาจารย์คนนั้นถึงขนาดที่ว่าสามารถทำลายวังชิงเซวียนได้ แม้ว่าเขาอาจจะทำลายตำหนักซิงเฉินจนราบคาบไม่ได้ แต่แค่ตระกูลจู้ของพวกเรา เขาทำได้อย่างสบาย เจ้าเข้าใจหรือเปล่า!”


 


สำหรับจู้เทียนหงแล้ว ตระกูลคือสิ่งสำคัญที่สุด เขาสามารถสังเวยใครก็ได้เพื่อตระกูล แต่เขาจะไม่ไปหาเรื่องคนอื่น ไม่ยื่นคอออกไป นี่เป็นวิธีจัดการเรื่องราวที่ดีที่สุด


 


ผู้จัดการหลิวลุกขึ้นมา ร่างกายสั่นเทา ทำได้เพียงก้มหัวลง สักครึ่งคำก็ไม่หลุดออกมาจากปาก


 


“แต่ไม่ว่ายังไง อย่างน้อยเรื่องนี้ก็ถือว่าจบแล้ว หวังว่าพวกเราคงจะมีโอกาสได้ร่วมมือกันอีก” เจ้าตระกูลจู้ส่ายหัว รู้สึกเสียใจอยู่ไม่น้อย “พวกเธอได้ติดตามคนที่ดีแล้ว…… แม้ตอนแรกจะเป็นบุตรบุญธรรม แต่ก็ทำงานเยี่ยงสาวใช้ ไม่คิดจริงๆ ว่าตระกูลจู้ของพวกเราต้องจ่ายออกไปมากมายเพียงนั้น ข้ารู้สึกละอายต่อพวกเธอจริงๆ ถ้าจะเกลียด ก็อยากจะให้เอาความเกลียดชังทั้งหมดมาลงที่ข้าคนนี้……”


 


เขาพาผู้จัดการหลิวกับพวกจากไป ไม่อยู่ทำอะไรที่นี่ต่อ


 


นี่ถือเป็นโชคดีของพวกเขา ที่มุมๆ หนึ่ง หลังจากพวกเขาจากไปก็ได้มีร่างคนโผล่ออกมา คนๆ นี้ก็คืออี้เทียนหยุน เขาอยากจะมาสืบดู ดูว่าพวกเขามีความคิดอะไรอื่นไหม เจ้าตระกูลจู้คนนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นคนตรงๆ คนหนึ่ง ไม่ใช่คนชั่วร้ายอย่างบางคน แต่ในใจของเขาก็เด็ดขาดเพียงพอ เพราะสามารถสังเวยใครก็ได้เพื่อตระกูล


 


“ติ๊ง ท่านทำภารกิจ “ติด 1 ใน 3 ในการประลองสลักอาคมเพื่อช่วยสองพี่น้อง” สำเร็จ ได้รับค่าประสบการณ์ 1 ล้าน, สิทธิ์ในการสุ่มลอตเตอรี่แบบเพิ่มประสิทธิภาพ 1 ครั้ง, ค่าความชำนาญในการสลักอาคม 5,000, ค่าความชอบของจู้อวี่เหว่ยและจู้อวี่เสวียนเพิ่มขึ้น 100!”


 


“ติ๊ง ยินดีด้วย ระดับการสลักอาคมของผู้เล่นอี้เทียนหยุนได้เลื่อนจากขั้นกลางขึ้นสู่ขั้นสูง!”


 


ราบรื่นมาก การเลื่อนขั้นของการสลักอาคมจากขั้นกลางขึ้นสู่ขั้นสูงไม่มีความยากแม้แต่น้อย เพียงแต่ค่าความชำนาญที่ต้องการในระดับต่อไปสูงถึง 100,000 นี่จึงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเจ็บปวด


 


“สิทธิ์ในการสุ่มลอตเตอรี่แบบเพิ่มประสิทธิภาพเอาไว้ใช้คราวหน้าแล้วกัน” อี้เทียนหยุนให้ความสำคัญกับสิ่งนี้มาก นี่เทียบได้กับค่าความคลั่ง 500,000 ของที่ได้แต่ละครั้งแน่นอนว่าไม่แย่ แล้วอย่างนี้เขาจะไม่ตื่นเต้นได้ยังไง


 


หลังจากตรวจสอบอีกเล็กน้อย เขาก็หมุนตัวเดินจากไป เตรียมจะไปกับจู้อวี่เหว่ย แต่ยังไงก็ตาม เพิ่งจะหันมาก็เจอเข้ากับคนคุ้นเคยที่กำลังเดินมา


 


“เจอคุณชายแล้ว เมื่อกี้ต้องขอบคุณมาก ค่ายกลนั้น ถ้าไม่ได้ท่าน ข้าคงทำไม่สำเร็จ” เหอเชียนหานเดินมา พูดด้วยรอยยิ้ม “เกือบจะลืมแนะนำตัวไปเลย ข้ามาจากวังเทียนจี๋ชื่อว่าเหอเชียนหาน ไม่ทราบชื่อที่ทรงเกียรติของคุณชายคืออะไร?”


 


“ชื่อที่ทรงเกียรติอะไรกัน ข้าชื่ออี้เทียนหยุน มาจากนิกายเทียนเฉวียน” อี้เทียนหยุนพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ “ข้าแค่บังเอิญพูดไปงั้นเอง ที่คุณหนูเหอข้าถือว่าเป็นเกียรติแล้ว และที่สำคัญที่สุดคือคุณหนูเหอมีความสามารถมากพอ ไม่อย่างนั้น ต่อให้ข้าพูดอะไรไปก็เปล่าประโยชน์”


 


“ถึงจะพูดอย่างนั้นก็ต้องขอบคุณคุณชายอี้อยู่ดี….. ไม่คิดเลยว่าขุมอำนาจชั้น 2 จะมีบุคคลอัจฉริยะอย่างคุณชายอี้อยู่ด้วย ช่างคาดไม่ถึงจริงๆ” เหอเชียนหานเผยรอยยิ้มคลุมเครือออกมา “ไม่ทราบว่าคุณชายอี้มีเวลาว่างพอที่จะมาที่วังเทียนจี๋ของพวกเราหรือไม่?”


 


“เรื่องนี้ไม่จำเป็น ข้ายังมีเรื่องสำคัญต้องไปทำ หลังจากมีเวลา ข้าจะต้องไปที่สำนักท่านอย่างแน่นอน” อี้เทียนหยุนพูดด้วยรอยยิ้ม


 


“ถ้าอย่างนั้น ข้าในฐานะตัวแทนวังเทียนจี๋ จะตั้งตาคอยคุณชายอี้มาเยือน นี่เป็นตราแนะนำ เมื่อท่านไปที่วังเทียนจี๋ ท่านสามารถใช้สิ่งนี้หาข้าได้” หลังจากเหอเชียนหานส่งตรานี้ให้เขา เธอก็เขย่ามือเขาเบาๆ จากนั้นก็ส่งยิ้มให้เขาแล้วจากไป ทำเรื่องของใครของมัน


 


เมื่ออี้เทียนหยุนกลับมา จู้อวี่เหว่ยกับจู้อวี่เสวียนที่กำลังแลกเปลี่ยนบางอย่างอยู่ เมื่อเห็นเขาก็ยิ้มออกมา


 


“อะไร ทำไมถึงมองข้าแบบนี้ หรือว่าหน้าข้ามีอะไรอยู่?” อี้เทียนหยุนยกมือลูบหน้าตนเอง แต่ก็เหมือนว่าไม่มีอะไร


 


“ผู้อาวุโสอี้ พวกเราขอใช้แซ่อี้กับท่านได้หรือเปล่า?” จู้อวี่เหว่ยถามขึ้น


 


“นี่….” อี้เทียนหยุนตกใจ นี่มันจะไม่เกินไปหน่อยเหรอ?


 


“พวกเราเป็นกำพร้าตั้งแต่เด็ก เมื่อติดตามตระกูลจู้จึงใช้แซ่จู้ ตอนนี้ติดตามท่านแล้ว พวกเราก็ไม่ใช่คนตระกูลจู้อีกต่อไป ดังนั้นจึงไม่อยากจะใช้แซ่จู้อีก” สีหน้าของพวกเธอยืนกราน มองมายังอี้เทียนหยุน


 


“เอาอย่างนั้นก็ได้ ข้าไม่ว่าหรอก…..” อี้เทียนหยุนไม่สนใจเรื่องนี้จริงๆ แต่ในเมื่อพวกเธออยากจะทำอย่างนี้ เขาก็ไม่ว่าอะไร


 


“เยี่ยม นับแต่นี้ไป ข้าชื่ออี้อวี่เหว่ย!”


 


“ข้าชื่ออี้อวี่เสวียน!”


 


“จากไปนี้ พวกเราจะเชื่อฟังคำสั่งของผู้อาวุโสอี้ ผู้อาวุโสอี้คือเจ้านายของพวกเรา”


 


พวกเธอยิ้ม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความร่าเริง ในที่สุดพวกเธอก็หลุดพ้นแล้ว


 


“ได้ ได้…. แล้วแต่พวกเจ้าเลย” อี้เทียนหยุนรู้สึกช่วยไม่ได้ แต่ก็มีรอยยิ้มประดับที่ใบหน้า


 


หลังจากจัดการเรื่องของสองพี่น้องนี้ อี้เทียนหยุนก็นำตราไปยังตำหนักใหญ่ ตอนนี้เขาต้องการเข้าไปยังสระเทียนหลิงยี่ เพราะว่าเขายุ่งมาก ไม่รู้ว่าจะกลับมายังตำหนักใหญ่นี่เมื่อไหร่ ดังนั้นใช้ๆ มันไปให้หมดเลยดีกว่า


 


หลังจากมาถึงตำหนักใหญ่นี้ ระดับการตกแต่งเมื่อเทียบกับตำหนักสาขาแล้ว ต่างกันราวกับสวรรค์และโลก การประดับตกแต่งดูแล้วมีท่วงทำนอง ทั้งระดับยังถือว่าใหญ่มาก เทียบได้กับเมืองๆ หนึ่ง สมกับเป็นสาขาใหญ่ของตำหนักซิงเฉิน


 


ดังนั้น ที่ลานประลองนี้ จึงถือว่าเป็นเมืองๆ หนึ่ง ชื่อว่าเมืองชิงเฉิน! เมืองนี้เป็นตำหนักชิงเฉินสร้างขึ้น ดูแล้วคล้ายกับสำนักขนาดใหญ่


 


ที่นี่เต็มไปด้วยผู้คน ไม่ได้แตกต่างไปจากเมืองอื่นๆ แต่สิ่งที่แตกต่างก็คือ ที่นี่มีตำหนักซิงเฉินเป็นผู้ดูแล


 


และเมื่อมาถึงตำหนักใหญ่ อี้เทียนหยุนก็หยิบตราออกมา เมื่อยามเห็นตรานี้ สีหน้าของพวกเขาก็เปลี่ยนไป พร้อมกับรีบเชิญเขาเข้าไปในทันที


 


“ข้ามาแลกของรางวัล ไม่ทราบว่าสระเทียนหลิงยี่อยู่ที่ไหน?” อี้เทียนหยุนถาม


 


“นี่ต้องให้ผู้อาวุโสพาท่านไป อยากให้ท่านคอยตรงนี้สักเดี๋ยว”


 


จากนั้น ยามก็ไปหาผู้อาวุโสอย่างไว ไม่นาน ผู้อาวุโสก็เดินมา พร้อมกับมองเขาตั้งแต่บนจรดล่าง ในสายตาเผยให้เห็นความประหลาดใจอยู่หลายส่วน “เจ้าคือผู้ชนะอันดับ 1 อย่างงั้นเหรอ?”


 


แม้ว่าการประลองครั้งนี้จะทำให้อี้เทียนหยุนกลายเป็นคนมีชื่อเสียง แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะได้ดู ทำให้มีหลายคนที่ไม่รู้ว่าเขามีหน้าตาที่แท้จริงยังไง


 


“ใช่แล้ว ข้าเป็นผู้ชนะอันดับ 1” อี้เทียนหยุนพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ


 


“ยังเด็กมากจริงๆ……” ผู้อาวุโสพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง “เมื่อเทียบกับข่าวลือที่ได้ยินแล้ว ดูเหมือนจะเด็กกว่ามาก….. มากับข้า เจ้าตำหนักหลี่บอกข้าเป็นพิเศษแล้ว ถ้าคุณชายอี้มา ให้ต้อนรับให้ดี ไม่อย่างนั้นจะถือว่าพวกเราเสียมารยาท”


 


อี้เทียนหยุนพยักหน้า สามารถได้รับการรับรองอย่างนี้ เป็นเพราะพลังที่เขาแสดงออกมานั้นน่าตื่นตะลึงโดยสมบูรณ์ ถ้าเป็นหลินหลี่ คงถูกปฏิบัติด้วยอย่างเย็นชา


 


โลกนี้ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่ง เมื่อขาดพลัง ก็ไม่มีสิทธิ์เสนอหน้า!


CLS ตอนที่ 191: สระเทียนหลิงยี่


 


ภายใต้การนำของผู้อาวุโสคนนี้ อี้เทียนหยุนก็ได้เดินตามเข้าไปยังตำหนัก หลังจากเดินผ่านทางเดินยาว อย่างรวดเร็วก็มาถึงทางเดินที่ดูพิเศษ


 


ที่นี่มีสภาพแวดล้อมที่ต่างไปจากด้านนอกอย่างเห็นได้ชัด รอบๆ เต็มไปด้วยค่ายกลที่ถูกสลัก เห็นได้ชัดว่ามีไว้ต่อต้านศัตรู แต่จะมีผลอะไรนั้น จำเป็นต้องดูก่อนถึงจะรู้ได้ ยังไงก็ตาม อี้เทียนหยุนก็ไม่ได้มีความสนใจกับมัน ต่อให้ไม่ต้องเดาเขาก็รู้ ที่นี่จะต้องเป็นที่ที่สำคัญมากอย่างแน่นอน


 


“ตรงหน้าคือสระเทียนหลิงยี่” ผู้อาวุโสที่นำเขามาหยุดลงตรงบานประตูที่อยู่ไม่ไกล ตรงนั้นมียามระดับหลอมรวมสองคนเฝ้าเอาไว้ ต้องให้ผู้มีระดับหลอมรวมเฝ้าเอาไว้ ที่นี่จะต้องเป็นที่ที่สำคัญมากอย่างแน่นอน


 


“ผู้อาวุโสหยุน ไม่ทราบว่ามีเรื่องอะไร?” ยามทั้งสองถามขึ้น


 


“นี่คือผู้ชนะอันดับ 1 ในการประลองสลักอาคม เขามาเพื่อแลกเปลี่ยนของรางวัล” ผู้อาวุโสหยุนหยิบตราในมือออกมาแล้วพูดขึ้น “นี่เป็นคำสั่งที่เจ้าตำหนักหลี่เขียนขึ้น ทั้งสองตรวจสอบดู”


 


เพื่อที่จะเข้าไปยังสระเทียนหลิงยี่นี้ แม้แต่ผู้อาวุโสหยุนเองยังไม่สามารถเข้าไปได้ตามใจ เห็นได้ชัดว่ามันสำคัญขนาดไหน


 


ยามรับตราที่เขียนคำสั่งมาดู หลังจากตรวจดูแล้วก็พยักหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “อืม นี่เป็นคำสั่งที่เจ้าตำหนักหลี่เขียนจริงๆ ตามกฎแล้ว เขามีสิทธิ์เข้าไปได้ 5 วัน”


 


ขณะที่พูด พวกเขาก็ทำการเปิดประตูบานนี้ออก หลังจากที่ประตูเปิดออก คลื่นพลังวิญญาณที่หนักหน่วงก็โถมออกมาจากข้างใน ทำให้อี้เทียนหยุนรู้สึกสบายอย่างมาก ความหนาแน่นของมันเข้มข้นมาก เทียบกับข้างนอกแล้วเข้มข้นกว่าหลายเท่า


 


ถ้าเทียบกับค่ายกลรวมวิญญาณของซากโบราณสถานเทียนเฉินแล้ว แตกต่างกันสองสามเท่าได้!


 


ขณะที่ประตูเปิดออก ยามก็ร้องออกมาว่า “เร็วเข้า อีก 5 วันพวกเราจะเปิดประตูให้เจ้าออกมาอีกครั้ง ระหว่างนั้นให้เจ้าดูดกลืนพลังวิญญาณได้ตามใจ แต่จะดูดได้เท่าไหร่นั้นขึ้นอยู่กับความสามารถของเจ้าเอง! ยังไงก็ตาม สมุนไพรวิญญาณที่อยู่ในนั้นห้ามเจ้าแตะต้องมันเด็ดขาด ถ้าเจ้าแตะต้องมัน เจ้าจะต้องเป็นคนรับซื้อมัน”


 


อี้เทียนหยุนพยักหน้า ไม่พูดอะไรแม้แต่ครึ่งคำ พร้อมกับพุ่งเข้าไปในนั้นทันที


 


หลังจากเข้าไป ยามก็รีบปิดประตู ไม่ให้พลังวิญญาณข้างในรั่วไหลออกไป


 


“นี่คือสระเทียนหลิงยี่…..”


 


หลังจากเข้ามา ตรงหน้าของเขาก็ปรากฏทะเลสาบขึ้น! ทะเลสาบค่อนข้างกว้าง ทั้งยังเต็มไปด้วยพืชหญ้าและสมุนไพร แต่พืชหญ้าและสมุนไพรที่อยู่ในนี้นั้นล้วนแต่ไม่ธรรมดา บางส่วนเป็นสมุนไพรวิญญาณ! ส่วนระดับนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่ต่ำทราม ระดับสูงอยู่ถึงชั้น 5 ขณะที่ระดับต่ำกลับไม่ต่ำไปกว่าชั้น 4 นับเป็นวัตถุดิบสำหรับกลั่นเม็ดยาชั้น 4 ที่ดีเยี่ยม


 


นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีอะไรอีก ไม่มีคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วย


 


“ช่างเป็นพลังวิญญาณที่หนาแน่นจริงๆ นี่ราวกับเป็นแดนสวรรค์แห่งพลังวิญญาณ…..”


 


อี้เทียนหยุนมองไปที่สระ พร้อมกับใช้ดวงตาประเมินสำรวจดูทันที


 


สระเทียนหลิงยี่ : เส้นชีพจรวิญญาณชั้น 5, สามารถให้กำเนิดสมุนไพรวิญญาณชั้น 5, ความหนาแน่นของพลังวิญญาณอยู่ในขั้นสูงมาก, เหมาะแก่ระดับก่อแกนวิญญาณในการดูดกลืนเพื่อฝึกฝนเพิ่มระดับ, มีผลช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับพลังวิญญาณ


 


“5 วันต่อจากนี้จะต้องไม่สูญเปล่า”


 


อี้เทียนหยุนไม่เสียเวลา ก้าวลงไปยังสระเทียนหลิงยี่ในทันที และเมื่อลงในสระ พลังวิญญาณก็แทรกซึมเข้าไปในร่างของเขาในทันที ทั้งที่เขายังไม่ได้เริ่มทำการดูดกลืนเลยด้วยซ้ำ


 


“ท่านได้รับค่าประสบการณ์ 500, 300, 460…..”


 


ค่าประสบการณ์ค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยที่เขาไม่ต้องทำอะไร ค่าประสบการณ์ก็ไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง นี่หมายความว่าต่อให้เขาจะนอนหลับในนี้ หลังจากตื่นขึ้นมา เขาก็ยังจะได้รับค่าประสบการณ์หลายล้านอยู่ดี แต่แน่นอนว่าเขาจะไม่ทำเรื่องที่เสียเปล่าอย่างนั้น ต่อให้เป็นค่าประสบการณ์ 1 ล้น แต่สำหรับเขาในตอนนี้ นับว่าน้อยนิดจนน่าสงสาร


 


“มาเริ่มดูดกลืนกันเลย!”


 


“เปิดใช้งานโหมดคลั่งหมวดค่าประสบการณ์!”


 


อี้เทียนหยุนไม่ยอมเสียเวลาเปล่า เปิดใช้งานโหมดคลั่งหมวดค่าประสบการณ์ในทันที พร้อมกับเริ่มดูดกลืนพลังวิญญาณเข้ามาในร่างอย่างต่อเนื่อง ภายใต้วิชามหาเวทดูดดาว พลังวิญญาณรอบๆ ก็ก่อตัวเป็นพายุ พร้อมกับถูกดูดเข้าไปในร่างของเขา


 


“ท่านได้รับค่าประสบการณ์ 32,000, 35,000, 34,000…..”


 


ภายใต้โหมดคลั่งที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพขึ้น 8 เท่า ทำให้ค่าประสบการณ์ที่เขาได้รับปะทุขึ้นในทันที ในตัวเขายังมีบัตรค่าประสบการณ์อยู่ แต่ว่าเขายังรังเกียจที่จะใช้มัน ถึงยังไงนี่ก็เป็นแค่ค่าประสบการณ์เล็กน้อยสำหรับเขาเท่านั้น นอกเสียจากมันจะช่วยเพิ่มระดับให้เขาได้ล่ะนะ!


 


การจะให้เคล็ดวิชาเทพอุดรทมิฬเลื่อนจากขั้นกลางขึ้นเป็นขั้นสูงของระดับปฐพี จำเป็นต้องใช้ค่าประสบการณ์อีกมาก การเลื่อนระดับของวิชามหาเวทดูดดาวเขาไม่กังวลนัก แต่เคล็ดวิชาเทพอุดรทมิฬนั้นเป็นต้นกำเนิดของค่าประสบการณ์ของเขา


 


วิชามหาเวทดูดดาวมีดีเพียงแค่การดูดกลืนพลังวิญญาณ แต่ไม่สามารถเปลี่ยนให้เป็นค่าประสบการณ์ได้ แต่เคล็ดวิชาเทพอุดรทมิฬกลับเป็นหัวใจหลักที่จะเปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นค่าประสบการณ์


 


ในตอนนี้อี้เทียนหยุนไม่สนใจอะไรแล้ว เขาจมจ่อมอยู่กับการฝึกฝนเพื่อเพิ่มค่าประสบการณ์ให้กับตนเองอย่างบ้าคลั่ง พร้อมกันนั้น ภายใต้การเพิ่มประสิทธิภาพขึ้น 8 เท่า ทำให้เขาต้องเสียค่าความคลั่งไปมากมายเช่นกัน


 


ดังนั้น เขาจึงไม่กล้าผลาญค่าความคลั่งเล่นตามใจ เพราะการจะได้รับมานั้นค่อนข้างยาก แต่การใช้ออกกลับรวดเร็วนัก!


 


พริบตา เขาก็อยู่ในนี้เป็นเวลา 1 วันแล้ว ในที่สุดเสียงที่เขาอยากจะฟังก็ดังขึ้น


 


“ติ๊ง ยินดีด้วย ผู้เล่นอี้เทียนหยุนได้เข้าสู่ระดับก่อแกนวิญญาณขั้นที่ 7!”


 


กระบวนการทั้งหมดค่อนข้างลำบาก ภายใต้โหมดคลั่งที่เพิ่มพลังขึ้น 8 เท่า แม้จะคำนวณแบบเป็นนาที แต่การสูญเสียก็ยังมหาศาลอยู่ดี ถ้ายังทำต่อไป ค่าประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้นต้องมหาศาลอย่างแน่นอน


 


แต่เขาก็เปิดใช้งานมาค่อนข้างนานแล้ว ดังนั้นจึงเลือกที่จะปิดมัน ไม่อย่างนั้น กว่าจะเลื่อนระดับอีกครั้งยังต้องใช้เวลาอีกนาน


 


“ในที่สุดก็เลื่อนระดับเสียที ตอนนี้มาดูกันว่าเคล็ดวิชาอุดรทมิฬเป็นยังไงบ้างแล้ว”


 


เขาตรวจดูค่าความชำนาญของเคล็ดวิชาเทพอุดรทมิฬ แล้วก็พบว่าขาดอีกเพียงแค่ 7,000 กว่าๆ ก็สามารถเลื่อนระดับให้กับเคล็ดวิชาเทพอุดรทมิฬได้แล้ว


 


“มาดูดกลืนกันต่อเลย!”


 


อี้เทียนหยุนจมจ่อมเข้าสมาธิในทันที ทำการดูดกลืนอย่างบ้าคลั่ง เพิ่มความชำนาญให้กับเคล็ดวิชาเทพอุดรทมิฬนี้ พริบตา เวลาก็ผ่านไปอีกวัน และเมื่อเขาตรวจดูอีกครั้ง เขาก็พบว่าค่าความชำนาญของเขาเพิ่มขึ้นมาแค่ 3,000 กว่าๆ เท่านั้น!


 


“วันหนึ่งได้ค่าความชำนาญแค่ 3,000 กว่าๆ นี่มันไม่น้อยไปหน่อยเหรอ?”


 


ค่าความชำนาญนี้ไม่ใช่แค่ดูดกลืนอะไรนิดอะไรหน่อยก็เพิ่มขึ้น แต่จำเป็นต้องดูดกลืนเป็นจำนวนมากอย่างต่อเนื่องถึงจะช่วยเพิ่มค่าความชำนาญได้ ไม่อย่างนั้น ออกไปดูดกลืนท้องฟ้าข้างนอกก็ไม่ใช่ว่าจะเลื่อนระดับได้เหมือนกันหรอกเหรอ?


 


“เอาล่ะ เวลากระชั้นเข้ามาแล้ว กัดฟันซื้อเคล็ดวิชาเทพอุดรทมิฬระดับปฐพีขั้นกลางเลยแล้วกัน!”


 


เขาเปิดร้านค้าขึ้นมา พร้อมกับเลือกเคล็ดวิชาเทพอุดรทมิฬระดับปฐพีขั้นกลาง ซึ่งมีราคาที่เจิดจ้าจนแสบตาถึง 300,000 ค่าความคลั่ง!


 


“ซื้อ!” อี้เทียนหยุนกัดฟัน พร้อมกับเลือกซื้อเคล็ดวิชาเทพอุดรทมิฬระดับปฐพีขั้นกลางนี้มา ที่นี่มีพลังวิญญาณที่หนาแน่นมาก เขาไม่สามารถปล่อยโอกาสที่ได้มาอย่างยากลำบากนี้เสียเปล่าได้


 


อย่างรวดเร็ว เขาก็ทำการผสมเคล็ดวิชาเทพอุดรทมิฬระดับปฐพีขั้นกลาง


 


“ติ๊ง ท่านผสมเคล็ดวิชาเทพอุดรทมิฬสำเร็จ ได้รับค่าความชำนาญ 5,000!”


 


“ติ๊ง เคล็ดวิชาเทพอุดรทมิฬได้ยกระดับกลายเป็นระดับปฐพีขั้นสูงสำเร็จ ความเร็วในการดูดกลืนเพิ่มเป็น 6 เท่า! ระดับถัดไปต้องการค่าความชาญ 1 ล้าน”


 


“ฟู่ ในที่สุดก็สำเร็จสักที ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ที่ได้จะออกมาเป็นยังไง?” ในใจอี้เทียนหยุนตื่นเต้นมาก ในที่สุดก็เลื่อนระดับเคล็ดวิชานี้สำเร็จจนได้


CLS ตอนที่ 192: พลังดูดกลืนที่เพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง


 


หลังจากเคล็ดวิชาเทพอุดรทมิฬเลื่อนระดับ จากความสามารถในการดูดกลืน 2 เท่าเพิ่มขึ้นเป็น 6 เท่า! ผลลัพธ์นี้ค่อนข้างน่าตกใจ เพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 3 เท่า


 


จากนั้น เขาก็เปิดใช้งานเต็มกำลัง ดูดกลืนพลังวิญญาณเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง จนคลื่นพลังวิญญาณที่ก่อตัวเป็นพายุลูกเล็กๆ เมื่อก่อนหน้า ตอนนี้กลายเป็นพายุขนาดใหญ่ โถมเข้ามาในร่างของอี้เทียนหยุนอย่างบ้าคลั่ง!


 


“ท่านได้รับค่าประสบการณ์ 12,000, 13,000, 12,800….”


 


ค่าประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นมากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยังไงก็ตาม อี้เทียนหยุนคิดว่านี่ยังไม่ใช่ขีดจำกัด เคล็ดวิชาเทพอุดรทมิฬนี้ยังสามารถดูดกลืนได้อีกมาก!


 


“วิชามหาเวทดูดดาวเริ่มตามไม่ทันแล้ว ระดับของเคล็ดวิชาเทพอุดรทมิฬนั้นสูงเกินไป ทำให้ระดับการดูดกลืนเข้ามาตามไม่ทันการย่อยสลาย” (เหมือนว่าวิชามหาเวทดูดดาวจะเป็นตัวดูด ส่วนเคล็ดวิชาเทพอุดรทมิฬจะเป็นตัวย่อยสลายพลังที่ดูดเข้ามาให้เปลี่ยนเป็นค่าประสบการณ์)


 


อี้เทียนหยุนขมวดคิ้ว จากนั้นตาก็พลันเป็นประกายขึ้นมา “เกือบลืมไปเลย ก่อนหน้านี้จำได้ว่าได้วิชากลืนสวรรค์มา มันสามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดกลืนได้!”


 


ทันใดนั้น เขาก็เปิดใช้งานวิชากลืนสวรรค์ในทันที หลังจากเปิดใช้งาน เขาก็รู้สึกเหมือนกับพลังวิญญาณที่อยู่รอบๆ โถมเข้าใส่ร่างของเขาราวกับพายุทอร์นาโด!


 


วิชากลืนสวรรค์นี้เป็นวิชาที่ใช้ดึงพลังรอบๆ มาเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตน แต่ตอนนี้ถูกเขาใช้มันดูดพลังวิญญาณเข้าสู่ร่างแทน


 


“ท่านได้รับค่าประสบการณ์ 23,000, 24,000, 22,000…..”


 


ค่าประสบการณ์ที่ได้พลันเพิ่มขึ้นอีก 10,000 ในพริบตา นี่จึงจะเป็นความสามารถที่สมกับการเลื่อนระดับของเคล็ดวิชาเทพอุดรทมิฬ! ไม่ต้องเปิดใช้งานโหมดคลั่งก็สามารถได้รับค่าประสบการณ์จำนวนมหาศาลขนาดนี้ได้แล้ว


 


“เปิดใช้งานโหมดคลั่ง หมวดค่าประสบการณ์!”


 


หลังจากนั้น ค่าประสบการณ์ที่เขาได้รับก็เพิ่มขึ้นอีก 8 เท่าในทันที!


 


“ท่านได้รับค่าประสบการณ์ 180,000, 182,000, 183,000…..”


 


ช่างสมกับเป็นโหมดคลั่งจริงๆ ทำให้เขาแทบตาถลนออกจากเบ้า ไม่เสียทีที่เลื่อนระดับเคล็ดวิชาเทพอุดรทมิฬ ผลลัพธ์เมื่อรวมกันแล้ว ทำให้ค่าประสบการณ์ที่ได้ต่างไปจากเดิมมาก


 


“แล้วยังจะรออะไรอยู่อีก รีบเก็บเกี่ยวก่อน อย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลัง!”


 


“เปิดใช้งานบัตรค่าประสบการณ์ 20 เท่า!”


 


“เปิดใช้งานบัตรค่าประสบการณ์ 10 เท่า!”


 


เมื่อเพิ่มบัตรค่าประสบการณ์อีกสองใบ ทำให้ค่าประสบการณ์ของเขาเพิ่มขึ้นเป็น 38 เท่าในพริบตา


 


“ท่านได้รับค่าประสบการณ์ 760,000, 770,000, 768,000…..”


 


เสียงบอกค่าประสบการณ์ที่ได้รับเป็นราวกับฟ้าที่ผ่าลงกลางแจ้ง ทำให้หูของเขาแทบระเบิด จำนวนของมันนั้นบ้ามาก ทำให้เอาต้องโห่ร้องออกมาอย่างสะใจ! มีเพียงความเร็วระดับนี้ถึงจะทำให้เขาสามารถเลื่อนระดับได้อย่างรวดเร็ว


 


ค่าประสบการณ์ที่เขาต้องการ แน่นอนว่าไม่ใช่น้อยๆ แต่ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไป การเลื่อนระดับอีกหลายขั้นไม่จำเป็นต้องกังวลเลยสักนิด


 


ขณะที่เขากำลังคิดอย่างมีความสุขนั้น พลังวิญญาณที่อยู่รอบๆ ก็เริ่มเบาบางลงอย่างรวดเร็ว ปริมาณการเผาผลาญเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้แล้วเร็วกว่ามากนัก นี่เป็นผลจากเคล็ดวิชาเทพอุดรทมิฬ ซึ่งช่วยให้ความเร็วในการดูดกลืนแข็งแกร่งขึ้น แข็งแกร่งกว่าผู้เชี่ยวชาญทั่วไปหลายเท่าจนเรียกว่าบ้าคลั่งก็ยังได้


 


อย่างช้าๆ ของเหลวที่อยู่ในเส้นชีพจรวิญญาณนี้ก็เริ่มเบาบางลง แม้จะถูกเติมเต็มด้วยขอบเหลวนี้ แต่ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไป กลัวว่ากระทั่งเส้นชีพจรวิญญาณนี้ก็ต้องถูกเขาดูดเข้าไปด้วยเป็นแน่


 


พริบตาก็ผ่านไปอีกวัน ในหูของเขาก็ได้ยินเสียงที่ต้องการในที่สุด


 


“ยินดีด้วย ผู้เล่นอี้เทียนหยุนได้เข้าสู่ระดับก่อแกนวิญญาณขั้นที่ 8!”


 


หลังจากดูดกลืนเป็นเวลา 2 วัน ในที่สุดเขาก็เข้าสู่ระดับก่อแกนวิญญาณขั้นที่ 8 ได้สำเร็จ ในระยะเวลาเพียง 4 วันสั้นๆ นี้ เขาได้ทะลวงผ่านถึง 2 ระดับ ถือว่าเป็นความเร็วที่เรียกว่าท้าทายสวรรค์อย่างมาก


 


ตอนนี้เขาไม่เหลือบัตรค่าประสบการณ์อีกแล้ว ถ้าจะซื้อ ราคาก็แพงจนเกินไป


 


“ในที่สุดก็เลื่อนระดับสักที เป็นอย่างที่คำนวณไว้เลย” อี้เทียนหยุนพอใจอย่างมาก ถ้าเรื่องนี้ถูกคนอื่นรู้เข้า พวกเขาจะต้องกระอักเลือดออกมาอย่างแน่นอน เลื่อนขึ้น 2 ระดับในเวลาสั้นๆ นี่ยังอยู่ในการคำนวณอย่างงั้นเหรอ?


 


ถ้าเปลี่ยนเป็นพวกเขา ต่อให้ใช้เวลาไป 2-3 ปีก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทะลวงผ่านแม้แต่ระดับเดียว อย่าว่าแต่ 2 ระดับนี้เลย


 


มาถึงระดับก่อแกนวิญญาณขั้นที่ 7 ที่ 8 โดยที่อายุยังไม่ถึง 40-50 ปี ถือว่าเป็นระดับอัจฉริยะอย่างแน่นอน ถ้าเป็นโดยปกติแล้ว อายุแค่สิบกว่าปีไม่มีทางทำอะไรที่โลกต้องตื่นตะลึงอย่างนี้ได้อย่างแน่นอน


 


“ใช่แล้ว ข้ายังมีสิทธิ์สุ่มลอตเตอรี่ที่ยังไม่ได้ใช้อยู่นี่นา บางทีอาจจะได้บัตรค่าประสบการณ์มาก็ได้ มาลองใช้ดูดีกว่า!”


 


ตอนนี้เขาไม่มีบัตรค่าประสบการณ์เหลือแล้ว ถ้าเกิดสุ่มได้มา เขาจะได้ใช้มันที่นี่เลย


 


ทันใดนั้นเขาก็เปิดใช้งานโชคดี จากนั้นก็เปิดหน้าต่างสุ่มลอตเตอรี่แบบอัพเกรดขึ้นมา


 


โดยที่ไม่ต่างไปจากครั้งก่อน เขาทำการหมุนกรงล้อในทันที กรงล้อหมุนเร็วจี๋ เข็มสะบัดไปตามแรงไม่หยุด ในใจของเขาก็ลุ้นตาม อะไรจะออกก็ต้องออก


 


อย่างรวดเร็ว เข็มก็หยุดลงตรงช่องไอเท็มพิเศษ!


 


“ติ๊ง…..”


 


เสียงกล่องตกลงบนช่องเก็บไอเท็มของเขา นี่ทำให้เขาต้องจ้องมองด้วยความประหลาดใจ “ไอเท็มพิเศษ หรือว่าจะเป็นความสามารถศักดิ์สิทธิ์อีกอัน?”


 


เขาไม่คิดมาก่อนว่าตัวเองจะเปิดได้ไอเท็มพิเศษอีกอัน ก่อนหน้านี้เขาเปิดได้ไอเท็มพิเศษ ขอที่เขาได้ก็คือหน้าการร้อยแปลง ตอนนี้เขาสุ่มได้จากกรงล้อแบบอัพเกรด ไม่รู้ว่าของที่ออกมาจะเป็นของแบบไหน


 


จากนั้นเขาก็เปิดกล่องขึ้นมา พร้อมกันนั้นก็มีของที่มีรูปร่างเหมือนปีกฟีนิกซ์ปรากฏขึ้น!


 


ปีกฟีนิกซ์ : ไม่สามารถอัพเกรดได้, เครื่องประดับ, เมื่อสวมใส่จะสามารถบินได้, ถ้าบินได้อยู่แล้ว จะช่วยเพิ่มความเร็วในการบินขึ้น 3 เท่า!


 


“ของดีนี่!”


 


อี้เทียนหยุนตัวสั่น เขาไม่คิดเลยว่าจะได้ปีกฟีนิกซ์นี้มา ต่อให้เขาจะยังไม่ถึงระดับผันแปรวิญญาณเขาก็สามารถบินได้ แล้วต่อให้เขาทะลวงเข้าสู่ระดับผันแปรวิญญาณ ปีกฟีนิกซ์นี้ก็ยังจะช่วยเพิ่มความเร็วในการบินให้เขาอีก 3 เท่า นี่จึงเป็นของดีอย่างไม่ต้องสงสัย!


 


“เมื่อเป็นอย่างนี้ก็เท่ากับว่าข้าบินได้แล้ว นี่เป็นตัวช่วยชั้นดีในเรื่องหนีเลย เมื่อรวมกับเทเลพอร์ท ใครจะมาสู้กับข้าได้?”


 


อี้เทียนหยุนหัวเราะอย่างโง่งม พร้อมกับก้าวถอยไปด้านข้าง 2-3 ก้าว จากนั้น อยู่ๆ เท้าเขาก็เกิดลื่นขึ้นมา โดยไม่ทันให้เขาได้ตั้งตัว “จ๋อม” ตัวเขาก็จมลงไปใต้น้ำในทันที


 


เมื่อเขาจมลงไป เขาก็รีบลุกขึ้นในทันที แต่ก็พบว่าตนได้ตกลงมายังอุโมงค์ใต้น้ำ พร้อมกับกำลังถูกกระแสน้ำดูดเข้าไป หลังจากหมุนคว้างอยู่หลายตลบจนแทบจะหมดสติอยู่นั้น เขาก็รู้สึกเหมือนหลุดออกมาได้แล้ว


 


หลังจากหลุดออกมา เขาก็รู้สึกว่าไม่ได้รับแรงกดดันจากน้ำอีกแล้ว เขารู้สึกเหมือนหลุดกำลังร่วง หลังจากหมุนอีก 2-3 ตลบ เขาก็ตกลงพื้นอย่างรวดเร็ว และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมอง เขาก็พบว่าตนอยู่ในห้องลับที่สร้างมาจากหยกขาว ตรงหน้าเขามีประตูบานหนึ่งที่ทำจากหยก ดูแล้วไม่ธรรมดา


 


“นี่มันอะไรกัน?”


 


อี้เทียนหยุนหันกลับไปมองข้างหลัง และก็พบว่าตรงอุโมงค์ที่เขาหล่นมานั้นยังมีน้ำไหลออกมาไม่หยุด


 


“รีบปิดโหมดโชคดีก่อนแล้วค่อยว่ากัน….” เขาที่กำลังงงอยู่นั้นได้รีบปิดโหมดโชคดีในทันที หลังจากปิดแล้ว ในใจของเขาก็พลันเต้นตึกตัก “หรือว่าจะเป็นเพราะโชคดีที่พาข้ามายังที่แห่งนี้?”


 


เขาเข้ามาเพื่อดูดกลืนพลังวิญญาณ แต่พอเปิดใช้งานโชคดีเท่านั้นล่ะ เขาก็ถูกดูดมายังที่นี่แทน!


ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม