Chaotic Lightning Cultivation โกลาหลแห่งอัสนีบาต 242-251

 บทที่ 242: เจ้าต้องการที่จะรู้หรือไม่?


“เพราะการช่วยเหลือของข้าจึงทำให้เทพธิดาชิงหยุนสามารถฝึกฝนได้อย่างรวดเร็ว แทบจะนำหน้าข้าด้วยซ้ำไป! ด้วยสิ่งนี้จึงทำให้นางอยู่เหนือเพื่อนร่วมสำนักคนอื่น ถึงจุดที่นางสามารถอยู่เหนือจ้าวสำนักของตนเองและขึ้นเป็นผู้นำหอเฉวี้ยนจี้! ในตอนแรกที่นางตามหาข้า นางอยู่ในระดับหยวนหยินขั้นกลางเท่านั้น แต่ในตอนนี้ข้าเพิ่งเข้าสู่ระดับหยวนหยินขั้นกลาง แต่นางนั้นอยู่ในระดับหยวนหยินขั้นสมบูรณ์ที่พร้อมจะเข้าสู่ระดับเฟินเสินได้ตลอดเวลา! เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ทำให้ผู้คนไม่น้อยต้องตื่นตะลึง!” ตาเฒ่าเฟิงคร่ำครวญอย่างขื่นขม


ในขณะที่เขากล่าวออกมาเช่นนั้น ตาเฒ่าเฟิงอดไม่ได้ที่จะลูบเคราตนเองด้วยความขื่นขม เห็นได้ว่าเขาหดหู่มากขนาดไหน ซ่งจงนั้นยิ่งงุนงงเมื่อได้ยินเรื่องราวเช่นนี้ แม้จะรู้ว่าการตายของครอบครัวเขานั้นจะดูน่าสงสัยอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะซับซ้อนมากถึงขนาดนี้!


อย่างไรก็ตาม ทั้งสองมาถึงขั้นนี้แล้วไม่ว่าอย่างไรซ่งจงก็จะต้องเจาะข้อมูลลงไปให้มากที่สุด ดังนั้นเขาจึงเปิดปากอีกครั้งเพื่อถามต่อ “ถ้าเป็นเช่นนั้นฮัวเฉียนหวู่จึงมาหาเจ้าผ่านทางมารดาของตนหรือ?”


“ไม่เป็นเช่นนั้น!” ตาเฒ่าเฟิงโบกมือพร้อมกล่าวว่า “เรื่องระหว่างข้ากับชิงหยุนนั้นเป็นความลับอย่างมาก นอกเหนือจากเราทั้งคู่ ไม่มีใครรู้เลย แม้แต่สำนักของข้าก็ไม่เคยรับรู้! เหตุผลเดียวที่ทำให้ข้าได้พบกับฮัวเฉียนหวู่นั้นคือความบังเอิญ! ในวันนั้นข้านัดพบกับชิงหยุนและได้พบกับฮัวเฉียนหวู่โดยบังเอิญ ข้าไม่สามารถหลบหนีได้ทันและต้องยอมตกอยู่ในสภาวะเช่นนั้น ถ้าหากเป็นผู้อื่น แน่นอนว่าข้าจะไม่ยอมปล่อยให้เขามีชีวิตอยู่ต่อไป ปากของเขาจะต้องปิดสนิทไปตลอดกาล อย่างไรก็ตามนางเป็นลูกสาวคนเดียวของชิงหยุน! นางทนไม่ได้ที่จะสังหารบุตรของตนเอง ดังนั้นข้ากับฮัวเฉียนหวู่จึงรู้จักกัน!”

“แล้วถ้าเช่นนั้นนางจะทรยศครอบครัวข้าไปเพื่ออะไร?” ซ่งจงรีบถาม


“นางทรยศอย่างไร?” ตาเฒ่าเฟิงหยักไหล่ “นางมาหาข้า ขอให้ข้าซุ่มโจมตีบุรุษคนหนึ่งเพื่อสังหารครอบครัวของเจ้า อีกทั้งนางยังเต็มใจที่จะใช้ร่างกายของตนเองตอบแทนข้าอีกด้วย! เดิมทีแล้วข้าไม่เต็มใจนัก แต่แม่ของนางนั้นยังต่อสู้กับผู้ฝึกตนปีศาจเช่นพวกเราอยู่ อย่างไรก็ตามนางได้ใช้ความสัมพันธ์ข่มขู่ข้า ถ้าหากข้าไม่ยอมนางจะบอกทุกคนเกี่ยวกับการนัดเจอกันของเราและโยนความผิดทั้งหมดให้ข้า เฮ้อ ชิงหยุนนั้นเข้ามาในชีวิตข้าเองด้วยซ้ำ! เจ้าบอกข้าทีว่าผู้หญิงคนนี้เป็นบ้าหรือเปล่า นางนั้นเริ่มงี่เง่าหลังจากที่ถูกบิดาของเจ้าทอดทิ้งใช่หรือไม่?!”


“เฮ้อ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่มีทางเลือกมากนัก ความจริงแล้วข้าไม่เต็มใจที่จะลงมือกับครอบครัวของเจ้า เขาเป็นศิษย์คนสำคัญของสำนักเสวียนเทียน หากไม่มีเหตุผล ใครกันที่อยากจะเดินเข้าไปกระตุ้นมังกร? แต่ว่าข้าก็ไม่อาจปฏิเสธฮัวเฉียนหวู่ได้ นางบังคับข้าทุกหนทาง ดังนั้นข้าจึงยอมทำตามอย่างไม่เต็มใจนัก แต่ก็พูดเถอะว่าฮัวเฉียนหวู่นั้นเป็นผู้หญิงที่เล่นด้วยแล้วสนุกยิ่งนัก! ปัญหาเดียวก็คือเมื่อนางมาพบข้า นางมักจะครวญครางชื่อบิดาของเจ้าในขณะที่กำลังสนุกกับข้าอยู่!”


เมื่อได้ยินเรื่องราวมาถึงตรงนี้ ซ่งจงโกรธจัดจนแทบจะหมดสติ เขาอดไม่ได้ที่จะสาปแช่งออกมา “นังสารเลว แพศยา!”


“ฮี่ฮี่!” ตาเฒ่าเฟิงเผยรอยยิ้มออกมาพร้อมกล่าวว่า “เอาล่ะ เรื่องทั้งหมดก็เป็นตามที่ข้าบอก เจ้าควรที่จะบอกตำแหน่งของภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าได้แล้ว!”


“เดี๋ยวก่อน!” ซ่งจงยกมือขึ้นมาพร้อมกล่าวต่อ “เจ้ากล่าวถึงฮัวเฉียนหวู่เท่านั้น แต่ไม่มีหลักฐานอะไรเลยที่จะพิสูจน์คำพูดของตัวเอง แล้วเช่นนี้ข้าจะสามารถเชื่อเจ้าได้อย่างไร?”


“ฮ่าฮ่า แล้วถ้าหากเจ้าไม่เชื่อข้า เจ้าจะทำอะไรได้? ข้าไม่มีวิธีพิสูจน์หรอกว่านางคือผู้บงการเรื่องทั้งหมด! อย่างไรก็ตามถ้าหากเจ้าพบกับฮัวเฉียนหวู่ เจ้าสามารถดูรอยสักบนหน้าอกของนางได้!” ตาเฒ่าเฟิงกล่าวออกมาอย่างสดใส “อาจถือได้ว่านั้นเป็นหลักฐานใช่หรือไม่? ฮ่าฮ่า!”


“ข้าเดาว่าเช่นนั้น!” ซ่งจงตอบกลับอย่างเยือกเย็น “ถ้าหากข้ามีโอกาส ข้าจะไปและจัดการกับนาง!”


“ฮี่ฮี่ น่าเสียดาย ข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่มีโอกาสที่จะทำมัน!”


“อาจเป็นเช่นนั้น!” ซ่งจงกล่าวแบบไม่สนใจพร้อมถามต่อ “ข้ามีหนึ่งคำถามสุดท้าย ถ้าหากเจ้าสามารถตอบข้าได้ ข้าจะบอกตำแหน่งของภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า แน่นอนว่าข้าจะไม่ผิดคำพูดของตนเองอย่างแน่นอน!”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของตาเฒ่าเฟิงสดใสทันทีพร้อมกับรีบกล่าวออกมา “ย่อมได้ ถามมาเลย!”


“ในขณะที่ฮัวเฉียนหวู่ทรยศครอบครัวของข้า ฮัวอวิ๋นรับรู้เรื่องนี้หรือไม่?” ซ่งจงถามอย่างเยือกเย็น


“ฮี่ฮี่ เรื่องนี้หรือ? เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้รู้เรื่องเลยในตอนแรก แต่แผนนี้มันบ้าเกินไป ถ้าหากมันเดินทางไปถึงหูของเหล่ามังกร แน่นอนว่าหายนะที่ไม่อาจคาดเดามันจะเกิดขึ้นกับเรา! นอกจากนี้ฮัวอวิ๋นยังเป็นสหายของตระกูลหงและเหล่ามังกรที่ดุร้าย ดังนั้นเขาจึงไม่ยอมแน่นอนที่จะให้ฮัวเฉียนหวู่วางแผนทำร้ายบิดาของเจ้า!”


“จากคำพูดของเจ้า เขาอยู่ในความมืดอย่างสมบูรณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ?” ซ่งจงยังไม่ย่อท้อที่จะถาม นักบวชฮัวอวิ๋นปฏิบัติกับเขาอย่างเฉยชาในเรื่องครอบครัวของเขาและไม่ยอมให้เขาสืบค้นหาหลักฐานใดเพราะเกรงว่าจะกลายเป็นศัตรูกัน


อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คาดหวังอาจไม่เป็นดั่งใจ เมื่อได้ยินคำพูดของซ่งจง ตาเฒ่าเฟิงหัวเราะออกมาอย่างเย็นชาก่อนจะกล่าวว่า “หึ ซ่งจงเอ๋ย เจ้ากำลังดูถูกชายชราอย่างเช่นพวกเรา ฮัวอวิ๋นนั้นมีชีวิตมายาวนานร้อยกว่าปี เส้นสายของเขาในภูเขามากมาย ถือได้ว่าเขานั้นเป็นบุคคลสำคัญเลยก็ว่าได้ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งหรือวิธีการสอบสวน เขาทำทุกอย่างได้อย่างดีเยี่ยม ถ้าไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจนั่งอยู่ในตำแหน่งจ้าวสำนักเสวียนเทียนได้! เจ้าคิดว่าการเคลื่อนไหวเล็กน้อยของฮัวเฉียนหวู่จะสามารถรอดพ้นสายตาของเขาได้งั้นหรือ? เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าภูมิหลังของตนสูงส่งมากเพียงใด? ความตายของครอบครัวเจ้าจะถูกเพิกเฉยงั้นหรือ? เหอะ เด็กน้อย เจ้าไร้เดียงสายิ่งนัก!”


“อา!” หลังจากได้ยินคำพูดนั้น ซ่งจงแทบหมดสติทันที “เจ้าหมายความว่าอะไร สุดท้ายแล้วฮัวอวิ๋นรู้เรื่องนี้งั้นหรือ?”


“แน่นอน!” ตาเฒ่าเฟิงตอบกลับ “ถ้าหากเขาไม่อยู่ตรงนั้นเพื่อช่วยฮัวเฉียนหวู่จัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย เรื่องนี้คงไม่ถูกเก็บรักษาไว้อย่างมิดชิดหรอกจริงไหม? เจ้าคิดว่าผู้คนจากสำนักเสวียนเทียนนั้นโง่เขลางั้นหรือ? เป็นไปได้หรือไม่ที่เขาจะไม่รู้ว่าศิษย์ของตนเองตายอยู่ตรงไหน ตายด้วยน้ำมือของใคร? จะเป็นไปได้อย่างไรกัน?”


“เจ้ากำลังบอกว่าฮัวอวิ๋นไม่เพียงแต่ทำให้ฮัวเฉียนหวู่รอดไปได้ แต่เขายังช่วยจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย?” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างหมดความอดทน


“เจ้ายังต้องถามอีกงั้นหรือ? ในตอนจบฮัวเฉียนหวู่ก็คือลูกสาวของเขาในนาม ถ้าหากข่าวแพร่กระจายออกไปแน่นอนว่าจะเกิดความปฏิปักษ์ระหว่างตระกูลฮัวและตระกูลหง! ฮัวเฉียนหวู่ต้องตายและฮัวอวิ๋นก็จะไม่สามารถหลบหนีการลงโทษได้! เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเรื่องแบบนี้ฮัวอวิ๋นทำได้แค่กัดฟันและช่วยเหลือฮัวเฉียนหวู่ให้รอดพ้นจากเรื่องนี้โดยขาวสะอาดที่สุด!” ตาเฒ่าเฟิงยิ้มพร้อมกล่าวต่อ “แน่นอนว่าฮัวอวิ๋นไม่เพียงแต่ปล่อยฮัวเฉียนหวู่ไปอย่างง่ายดาย ในความจริงเขาไปพบกับชิงหยุนพร้อมกับเกิดการทะเลาะกันอย่างรุนแรง จากนั้นเขาโยนฮัวเฉียนหวู่ให้กับชิงหยุนไป ผ่านมาสิบปีแล้ว นางไม่เคยได้กลับสำนักเสวียนเทียนอีกเลย!”


“เหอะ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมฮัวเฉียนหวู่จึงหายไปจากสำนักทั้งที่นางเป็นคนที่น่านับถือ ทั้งหมดนี้คงเป็นเรื่องจริง!” ซ่งจงหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นความจริงได้ปรากฏกับข้าแล้ววันนี้! นังแพศยาฮัวเฉียนหวู่ เจ้าควรจะรอข้าอย่างใจเย็น วันหนึ่งบิดาของบิดาเจ้าคนนี้จะสับเจ้าให้เป็นชิ้นเพื่อล้างแค้นให้กับครอบครัวของข้า!”


“นี่ เจ้าไขมันน้อยเอ๋ยหยุดเพ้อฝันก่อน!” ตาเฒ่าเฟิงพูดแทรกขึ้นมา “ในตอนนี้ข้าบอกเจ้าไปหมดแล้ว ช่วยทำเรื่องนี้ให้จบโดยการรักษาสัญญาได้ไหม?”


“ฮี่ฮี่!” ซ่งจงยิ้มเยาะออกมาและวางมือบนไหล่ซูหยุนและซูหยู่


“ที่รัก ไม่ต้องกลัวนะ ข้าจะส่งเจ้าไปยังสถานที่ที่ปลอดภัยมาก ๆ!” เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น ซ่งจงไม่ได้รอให้พวกนางตอบอะไรพร้อมกับเปิดใช้งานทักษะของตนเองทันที ในขณะนั้นหญิงสาวทั้งสองที่อยู่ตรงหน้าของตาเฒ่าเฟิงได้หายเข้าไปอยู่ในมิติลึกลับของเจ้าอ้วนอย่างรวดเร็วรวมทั้งนาวายักษ์สีดำด้วย


เมื่อเห็นเช่นนั้น ตาเฒ่าเฟิงอุทานออกมาอย่างประหลาดใจ “ซ่งจงเจ้ากำลังพยายามจะทำอะไร?”


“เหอะ!” ซ่งจงตอบกลับอย่างยียวน “ข้ากำลังทำความสะอาดพื้นที่เพื่อเตรียมที่จะต่อสู้!”


“ต่อสู้?” ตาเฒ่าเฟิงโกรธจัด “เจ้าไขมันบัดซบ ข้าคิดว่าเจ้ากำลังจะบอกข้าเกี่ยวกับภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า อย่าบอกนะว่าเจ้ากำลังจะผิดคำพูด?”


“แน่นอนว่าไม่! ข้าไม่เหมือนเจ้า แน่นอนว่าคนอย่างข้านั้นสามารถเชื่อถือได้!” ซ่งจงกล่าวออกมาอย่างภูมิใจ “ตั้งแต่ข้าได้กล่าวออกไปแน่นอนมันหมายความว่าข้าจะเปิดเผยมัน ข้าจะบอกเจ้าเกี่ยวกับสิ่งนี้เช่นกัน!”


แม้ว่าตาเฒ่าเฟิงจะถูกเย้ยหยันอย่างหนักโดยซ่งจง เขาก็ต้องเก็บงำความโกรธไว้เพราะภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้านั้นสำคัญกว่า ดังนั้นเขาจึงยิ้มออกมาพร้อมกล่าวว่า “เยี่ยม ยอดเยี่ยมมาก เจ้าคือวีรบุรุษแท้จริง เอ้า ไหนล่ะวิธีที่เจ้าจะปฏิบัติตามคำสัญญา?”


“ไม่มีปัญหา เจ้าได้รู้แน่ว่ามันอยู่ที่ไหน ดูนี่!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาหยิบสิ่งหนึ่งออกมา เป็นพัดหยกสีเขียวอยู่ในมือของซ่งจง จากนั้นเขาเปิดมันออกเผยให้เห็นภาพวาดด้านในให้ตาเฒ่าเฟิงดู


“ภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า!” เมื่อเห็นเช่นนั้น ตาเฒ่าเฟิงตะโกนออกมาอย่างดีใจ “ฮ่าฮ่า ข้านั้นค้นพบทองคำโดยที่ไม่ต้องพยายามเลย! ภาพวาดนี้อยู่ในการครอบครองของเจ้างั้นหรือ ฮ่าฮ่า เด็กน้อย ยอดเยี่ยมมาก!”


“เหอะ!” ซ่งจงหัวเราะเบา ๆ อย่างช่วยไม่ได้ “ใช่ ภาพวาดนี้อยู่ในมือของข้า แต่ปัญหามีอยู่ว่าเจ้ามีความสามารถที่จะหยิบมันไปหรือไม่?” เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น ซ่งจงขยับมือเล็กน้อยเพื่อปลดปล่อยผู้ฝึกตนดาบทั้งห้าและนักบวชทั้งสี่ออกมา ทั้งหมดมีอุปกรณ์ครบมือ พวกนางจ้องมองที่ตาเฒ่าเฟิงอย่างระมัดระวัง


เมื่อเห็นเช่นนี้ ตาเฒ่าเฟิงจะไม่ตกใจได้อย่างไร “แม่มดเทวะทั้งเก้า? เป็นไปได้อย่างไร แม้ว่าข้าจะไม่สามารถเอาชนะพวกนางได้ แต่เจ้าทำให้พวกนางยอมรับได้อย่างไรกัน?”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าอ้วนตอบกลับอย่างสบาย ๆ “ลองเดาดูสิ”


“เด็กน้อยสารเลว ไม่คิดบอกข้างั้นหรือ?”


“แน่นอนว่าไม่!” ซ่งจงตอบกลับ “เพราะข้าต้องการให้เจ้าอยากรู้เรื่องนี้ไปตลอดกาล เหอะเหอะ เจ้าต้องการรู้หรือไม่? ถ้าหากเจ้าต้องการ เจ้าก็ควรที่จะออมมือให้ข้าบ้าง แต่ถ้าหากเจ้าเผลอสังหารข้าทิ้งไป ก็จงลืมวิธีเหล่านี้ไปได้เลย!”


“สารเลว!” ตาเฒ่าเฟิงแทบจะตายตกไปเพราะคำพูดเหล่านี้ เขาอดไม่ได้ที่จะสาปแช่งออกมา “นี่เจ้าคิดข่มขู่ข้างั้นหรือ!”


บทที่ 243: อาวุธ


ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้านั้นเป็นสมบัติวิญญาณ ระดับของมันนั้นเกินขั้นเก้าด้วยซ้ำ ด้วยคุณสมบัติเช่นนี้ใครบ้างจะไม่ต้องการมัน? แต่น่าเสียดายที่สมบัติวิญญาณนั้นมีความรู้สึก และไม่ใช่ทุกคนที่จะได้รับการยอมรับ โดยเฉพาะภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า การทดสอบของพวกนางนั้นโหดเหี้ยมอย่างมาก มีเพียงความตายเท่านั้นที่รอผู้ฝึกตนทั่วไปอยู่ถ้าหากต้องการจะทดสอบมัน ดังนั้นมันจึงถูกวางไว้ในสำนักพันปีศาจยาวนานหลายปีโดยไร้เจ้านาย


อย่างไรก็ตาม ความจริงก็คือซ่งจงได้รับการยอมรับจากสมบัติวิญญาณชิ้นนี้อย่างง่ายดาย! ถ้าหากตาเฒ่าเฟิงได้รู้เทคนิคที่ซ่งจงเอาชนะภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าได้ และดำเนินการเช่นเดียวกับเขา จากนั้นเขาก็จะได้เป็นเจ้านายของมัน! พลังที่แข็งแกร่งเหล่านั้นเขาจะได้รับมัน เขาอาจจะสามารถต่อสู้ด้วยพลังระดับทัดเทียมเฟินเสินได้อย่างง่ายดาย!


ภายใต้สถานการณ์ล่อลวงเช่นนี้ ตาเฒ่าเฟิงถูกความโลภครอบงำโดยสมบูรณ์ ดังนั้นเมื่อเขาเคลื่อนไหว เขาไม่กล้าที่จะใช้กำลังทั้งหมดที่มี เพราะถ้าหากเขาตั้งใจที่จะสังหารซ่งจง แน่นอนว่ามันจะเป็นการขัดขวางตนเองในการครอบครองสมบัติวิญญาณชิ้นนี้!


เมื่อเป็นเช่นนี้ตาเฒ่าเฟิงอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่ทางกลับกันซ่งจงสามารถระมัดระวังตนเองและโจมตีโต้กลับได้อย่างสุดกำลัง สิ่งนี้ทำให้ลดความห่างชั้นของทั้งสองคนได้อย่างดี แท้จริงแล้วทั้งหมดเป็นกลลวงของซ่งจงเท่านั้น!


อสูรกายดังเช่นตาเฒ่าเฟิงที่มีอายุมายาวนานกว่าสองถึงสามร้อยปี ความจริงแล้วเขาควรจะมองเห็นอุบายเล็กน้อยที่เจ้าอ้วนได้วางไว้ แต่ปัญหาในตอนนี้คือเขาตกเป็นเหยื่อความโลภจากภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าเสียแล้ว แม้รู้ว่าเป็นกับดัก แต่ก็ยอมที่จะกระโดดลงไปอย่างเต็มใจ!


หลังจากที่ได้คิดตามเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ตาเฒ่าเฟิงได้แต่พูดออกมาอย่างขมขื่น “ไขมันบัดซบ เจ้าฉลาดมาก! ข้าจะทำตามที่เจ้าต้องการ ถ้าหากเจ้าคิดว่าการทำเช่นนี้มันทำให้เจ้าสามารถต่อสู้กับข้าได้อย่างเท่าเทียม เจ้าก็ไม่ได้คิดผิดแต่อย่างใด! แต่ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินนั้นไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิอย่างเจ้าจะจัดการได้โดยง่าย!”


ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาสะบัดแขนพร้อมปรากฏธงสีดำขึ้นมาด้านหน้าทันที มันโบกสะบัดไปมาอย่างสง่างามและมีอสรพิษสองตัวอยู่ด้านบน จากนั้นอสรพิษได้เปลี่ยนเป็นมังกรสองตัวที่มีลำตัวยาวกว่าสิบฟุต พร้อมกับบินวนรอบร่างกายของตาเฒ่าเฟิง


เมื่อเห็นความสามารถของตาเฒ่าเฟิง ซ่งจงรู้สึกหวาดกลัวอยู่ภายในใจ พร้อมคิดกับตนเอง ‘ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินนั้นไม่ธรรมดา เจ้าปีศาจตนนี้ได้ถูกเฆี่ยนตีโดยข้าเป็นต้นเหตุในก่อนหน้านี้ สมบัติวิเศษส่วนตัวของเขา ถ้าหากมันไม่ถูกทำลาย ก็จะต้องถูกยึดไว้อย่างแน่นอน ปกติแล้วถ้าหากไร้ซึ่งสมบัติ ความแข็งแกร่งของเขาจะต้องลดลงอย่างมาก แต่ดูเขาในตอนนี้แล้วเหมือนว่าเขาจะมีสมบัติวิเศษชิ้นใหม่!”


เมื่อเห็นว่าซ่งจงตกใจกับสมบัติวิเศษของเขามากเพียงใด ตาเฒ่าเฟิงอดไม่ได้ที่จะเย้ยหยันออกมา “อะไรกัน? เจ้าคงไม่ได้คิดว่าข้านั้นไร้สมบัติที่แข็งแกร่งอยู่ในมือหรอกนะ?”


“เรื่องนี้มันน่าตกใจเกินไป!” ซ่งจงไม่รู้จะกล่าวอะไรนอกจากพยักหน้า “มันอยู่ในขั้นที่แปดใช่หรือไม่? ข้าจำได้ว่าเจ้าถูกริบของทุกอย่างเมื่อตอนที่กลายเป็นเชลยของสำนักเสวียนเทียน!”


“เหอะ!” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ตาเฒ่าเฟิงอดไม่ได้ที่จะพ่นลมหายใจออกมา เขาได้คำรามออกมาอย่างหงุดหงิด “เจ้าอ้วนที่โง่เขลา เหตุใดเจ้าจึงชอบมายุ่งกับแผลเก่าของข้านัก? ครั้งสุดท้ายที่ข้าได้รับความอับอายมันไม่ใช่เพราะเจ้างั้นหรือ? โชคดีที่สำนักของข้าไม่ได้ตำหนิอะไรและยังมอบวิญญาณอสรพิษขั้นหกชิ้นนี้ให้กับข้า เพื่อช่วยให้ข้าสามารถสร้างธงพายุอสรพิษได้! เด็กน้อย มาดูกันว่าธงพายุอสรพิษของข้าหรือภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าของเจ้า ใครจะเหนือกว่ากัน!”


ขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น ตาเฒ่าเฟิงโบกแขนอีกครั้ง อสรพิษทั้งสองตัวแหวกว่ายในอากาศอย่างรวดเร็วพร้อมกับพุ่งไปหาซ่งจงที่อยู่ห่างออกไปพันฟุต


เมื่อเห็นเช่นนั้น ซ่งจงไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด เขาสะบัดมือหนึ่งครั้งหญิงงามทั้งเก้าก็เริ่มทำงานโดยทันทีเพื่อเตรียมพร้อมที่จะปะทะกับพายุอสรพิษ จากนั้นการต่อสู้ที่ดุเดือดเหนือพื้นดินก็ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ


การโจมตีแรกคือผู้ฝึกตนดาบทั้งห้าเริ่มเปิดฉากการโจมตีก่อน นับตั้งแต่ทั้งหมดได้พบกับซ่งจง ทั้งห้าอยู่ในระดับจินตันขั้นกลางเป็นระดับการฝึกฝนปัจจุบันของพวกนาง อีกทั้งดาบศักดิ์สิทธิ์แห่งธาตุทั้งห้าที่อยู่ในมือของพวกนาง จึงทำให้ทั้งหมดใช้งานมันได้อย่างเป็นธรรมชาติ


การเคลื่อนไหวของพวกนางนั้นสมบูรณ์แบบ อีกทั้งยังปล่อยปราณดาบออกไปอย่างดุเดือดเพื่อที่จะทำลายพายุอสรพิษที่กำลังเข้ามา


พายุอสรพิษนั้นเป็นอสูรกายขั้นหกซึ่งแข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน แน่นอนว่าไม่อาจทำลายมันได้โดยง่าย มันหลบปราณดาบทั้งหมดได้อย่างรวดเร็ว และพุ่งเข้าหาผู้ฝึกตนดาบทั้งห้าอย่างรุนแรง


ทั้งสองฝ่ายต่างชุลมุนในตอนนี้ ปราณดาบของแม่มดเทวะนั้นคมมาก แต่พายุอสรพิษก็ไม่ได้มีร่างกายและยังว่องไวอย่างมาก พวกมันเคลื่อนที่อย่างว่องไวในอากาศ จนแทบจะมองไม่เห็นเลยว่ามันอยู่ตรงไหน ผู้ฝึกตนดาบทั้งห้าจึงไม่สามารถทำอะไรกับมันได้เลย และแน่นอนว่าพายุอสรพิษก็ไม่สามารถทำอะไรผู้ฝึกตนดาบทั้งห้าได้เช่นกัน


ฉากอีกด้านหนึ่งนั้นแตกต่างออกไป นักบวชทั้งสี่นั้นกำลังสร้างค่ายกลเพื่อจัดการกับพายุอสรพิษ เมื่อแสงสีทองได้ปรากฏออกมาจากค่ายกล พวกนางทำให้พายุอสรพิษล่าถอยกลับไป แต่อย่างไรก็ตามพายุอสรพิษนั้นเร็วเกินไป นักบวชทั้งสี่สามารถหยุดมันได้แต่ไม่สามารถจับกุมมันได้ นับได้ว่าทั้งหมดมาถึงทางตันโดยสมบูรณ์


ตาเฒ่าเฟิงมองดูฉากเหล่านี้ด้วยรอยยิ้ม “ฮ่าฮ่า ดูเหมือนว่าพวกมันจะเข้ากันได้ดี!”


“ข้าคิดว่าภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้านั้นเหนือชั้นกว่า!” ซ่งจงตอบกลับอย่างสงบ


“ฮ่าฮ่า ไม่ใช่เรื่องแปลก ภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้านั้นมีพลังมากเกินไป ไม่แปลกหรอกถ้าหากพายุอสรพิษจะพ่ายแพ้!” ตาเฒ่าเฟิงยิ้มออกมา “อย่างไรก็ตาม แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ข้าจะไม่ยอมให้มันพ่ายแพ้อย่างแน่นอน! เด็กน้อย ถึงเวลาที่เราจะสนุกกันได้หรือยัง?”


เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น ตาเฒ่าเฟิงยกมือขึ้นมาวางบนอากาศเกิดเป็นตราประทับ จากนั้นท้องฟ้าและก้อนเมฆได้เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก้อนเมฆรอบ ๆ ได้เปลี่ยนสภาพกลายเป็นอาวุธ บ้างก็ดาบ บ้างก็ใบมีด ขวาน ทั้งหมดถูกสร้างขึ้นมาจากเมฆสีขาวความยาวหนึ่งร้อยฟุต


ในตอนนี้ตาเฒ่าเฟิงเปิดเผยความสามารถของตนเองออกมาแล้ว เขานั้นเป็นผู้ฝึกตนด้านคาถาและสามารถใช้เวทมนตร์ลมได้ อีกทั้งยังเชี่ยวชาญที่จะควบคุมเมฆและหมอกเปลี่ยนให้มันเป็นอาวุธ เคล็ดวิชาเช่นนี้นั้นซับซ้อนอย่างมาก ในขณะที่เขาซ่อนเครื่องมือสังหารไว้ในเมฆนั้นทำให้ศัตรูสามารถป้องกันได้ยากยิ่งเพราะกว่าพวกเขาจะรู้ตัวนั้น ภัยก็ได้มาถึงซะแล้ว นับได้ว่าเป็นเคล็ดวิชาที่น่าสะพรึงยิ่ง


เนื่องจากสมบัติวิเศษของเขานั้นถูกทำลายลงไปเมื่อครั้งถูกจับเป็นเชลยในสำนักเสวียนเทียน เขาไม่สามารถกู้คืนมันได้ในเวลาเพียงเท่านี้แน่นอน ดังนั้นเขาจึงคิดที่จะใช้เวทมนตร์จัดการกับซ่งจงแทน


ซ่งจงนั้นไม่รู้ว่าตาเฒ่าเฟิงมีไพ่ตาย ในขณะที่เขาเห็นตาเฒ่าเฟิงใช้เวทมนตร์ที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน เขาย่อมอดไม่ได้ที่จะร้องอุทานออก “มันคืออะไรกัน?”


“ฮี่ฮี่ เด็กน้อย เจ้าช่างไร้เดียงสายิ่งนัก คาถาที่ซับซ้อนเหล่านี้เรียกว่าค่ายกลอาวุธเมฆา!” ตาเฒ่าเฟิงหัวเราะ “ตอนนี้ข้าจะให้เจ้าลิ้มรสอาวุธที่แข็งแกร่งเหล่านี้! เชือด!!”


ตามที่ตาเฒ่าเฟิงพูด เพียงเขาดีดนิ้วใบมีดทั้งหลายพุ่งเข้าหาซ่งจงทันที


แม้ว่าพวกมันจะทำมาจากก้อนเมฆ แต่มันเต็มไปด้วยปราณจิตวิญญาณของผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินอยู่ภายใน พลังของมันจึงเรียกได้ว่าเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน ซ่งจงไม่ประมาท เขาเรียกระฆังทองแดงออกมาทันที


ช่วงเวลาที่ระฆังทองแดงปรากฏขึ้น เกิดเสียงดังสนั่น ใบมีดเหล่านั้นแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและฟุ้งหายไปราวกับหมอก อย่างไรก็ตามมันสร้างรอยแผลไว้บนเปลือกชั้นนอกของระฆังราวสี่ฟุต


เมื่อซ่งจงเห็นเช่นนั้น ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีเขียวทันที เพราะนั่นคือลมทองแดง! นอกจากนั้นมันเป็นลมทองแดงที่ได้เสริมความแข็งแกร่งลงไปแล้วด้วยความสามารถของแม่มดเทวะ แม้ว่าจะไม่ได้แข็งแกร่งเทียบเท่ากับสมบัติวิเศษ แต่มันก็เทียบได้กับอุปกรณ์วิเศษขั้นห้า ใบมีดของตาเฒ่าเฟิงแข็งแกร่งมากเกินไป เช่นนี้จะไม่ให้ซ่งจงแปลกใจได้อย่างไร? สวรรค์ มันแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าผู้ฝึกตนระดับจินตันใช้ดาบโจมตีเขาเสียอีก!


 


 


 


ตาเฒ่าเฟิงก็ประหลาดใจกับซ่งจงเช่นกัน เขาตกใจกับระฆังของซ่งจงที่ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยทองแดงซึ่งเป็นเพียงวัสดุเกรดต่ำ อย่างไรก็ตามมันสามารถป้องกันใบมีดของเขาได้อย่างสมบูรณ์ แม้ว่ามันจะมีร่องรอยของบาดแผล ทั้งการถูกเผาไหม้ ทั้งฟ้าผ่า และอื่นๆอีกมากมาย สภาพของมันเต็มไปด้วยหลุมซึ่งดูน่าสังเวชอย่างมาก


ด้วยความที่มันเป็นเพียงวัสดุเกรดต่ำและยังมีร่องรอยมากมาย มองอย่างไรมันก็เป็นเพียงเห็บหมัดเท่านั้น แต่ความจริงแล้วดูเหมือนขยะชิ้นนี้จะป้องกันการโจมตีของเขาได้ ดังนั้นตาเฒ่าเฟิงจึงไม่อาจอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้! ขยะชั้นต่ำเช่นนี้น่ะหรือที่สามารถป้องกันการโจมตีของผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินได้?


‘อย่าบอกนะว่าข้าแก่จนเกินไป? หรือว่าข้ายังพยายามไม่มากพอ?’ ตาเฒ่าเฟิงได้แต่คิดในใจกับตนเอง เขาพุ่งไปที่ระฆังทองแดงของซ่งจงพร้อมกับดาบ และไม่ลืมที่จะเย้ยหยันซ่งจง “ข้าไม่เชื่อว่าขยะชิ้นนี้จะสามารถป้องกันการโจมตีของชายชราผู้นี้ได้!”


เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาตอบกลับอย่างสนุกสนาน “ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ เจ้าก็ไม่สามารถทำอะไรได้อยู่ดี!”


ในขณะที่ทั้งสองกำลังโต้เถียงกัน เกิดแผลขึ้นบนระฆังทองแดงอีกหนึ่งรอยเพราะว่ามันรับการโจมตีของตาเฒ่าเฟิงไว้ได้อีกครั้ง!


เมื่อตาเฒ่าเฟิงเห็นเช่นนั้น เขาขมวดคิ้วและกล่าวอย่างงุนงง “บัดซบ ข้าไม่สามารถเชื่อได้ วันนี้ข้าจะต้องทำลายมันให้ได้!”


“ฮ่าฮ่า ยอดเยี่ยม! ลองพยายามดู! ข้าจะยอมเรียกเจ้าว่าวีรบุรุษถ้าหากทำได้ แต่ถ้าไม่เจ้าก็เป็นแค่หมาน้อยตัวหนึ่งเท่านั้น!” ซ่งจงโต้กลับพร้อมกับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง


“ไอ้บัดซบ ชายชราคนนี้จะแสดงให้เจ้าเห็นเอง!” ตาเฒ่าเฟิงโกรธจัดโดยสมบูรณ์ มือของเขาเริ่มเคลื่อนไหวอีกครั้งเพื่อควบคุมค่ายกลอาวุธเมฆาทั้งหมด เหล่าอาวุธมากมายนับไม่ถ้วนที่อยู่ในอากาศตอนนี้กำลังพุ่งมาที่ระฆังทองแดงของซ่งจงอย่างรวดเร็ว


บทที่ 244: ปีศาจเข้าสู่ร่างกาย


จากการที่ตาเฒ่าเฟิงใช้ทุกอย่างที่มีทำให้ซ่งจงรู้สึกกดดันทันที ท้องฟ้าที่สดใสนั้นเต็มไปด้วยร่างเงานับร้อยพร้อมอาวุธนับพัน มันพุ่งเข้ามาเพื่อจะโจมตีระฆังทองแดงของซ่งจง


ใบมีดขนาดใหญ่ หอกแหลมและค้อนยักษ์ ทุกอย่างร่วงหล่นจากฟ้าราวกับดาวตก การโจมตีทุกครั้งหนักหน่วงและรุนแรงอย่างมาก เปลือกนอกของลมทองแดงนั้นเริ่มทนไม่ไหวและหลุดออกมา


ระฆังทองแดงในตอนนี้เต็มไปด้วยบาดแผลซึ่งทำให้มันน่าสงสารมากกว่าเดิม อย่างไรก็ตามหลังจากที่สร้างพื้นผิวให้มันมายาวนานหลายปี พื้นผิวด้านนอกที่ถูกเคลือบไว้นั้นหนามาก แม้ว่าจะถูกโจมตีอย่างต่อเนื่องโดยอาวุธเหล่านั้นแต่ก็ยังคงไม่สามารถทำให้มันหลุดออกไปทั้งหมดโดยง่ายดาย


ดังนั้นซ่งจงจึงไม่ได้กังวลอะไรมากนัก อย่างไรก็ตามในขณะที่เขาอยู่ใต้ระฆังทองแดงและกำลังฟังเสียงปะทะกันของอาวุธกับระฆัง เขากังวลเล็กน้อย ปัญหาก็คือนอกจากการทำเช่นนี้แล้ว ซ่งจงไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาตรงนี้อย่างไรดี


ก่อนอื่นเลยคือซ่งจงนั้นแข็งแกร่งเร็วเกินไปและเขาไม่มีเวลาที่จะค้นหาสมบัติ เขาครอบครองสมบัติไม่มากนักในตอนนี้ นอกเหนือจากระฆังทองแดงและภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า เขามีเพียงดาบศักดิ์สิทธิ์แห่งธาตุทั้งห้าเท่านั้น และตอนนี้ดาบศักดิ์สิทธิ์ก็อยู่ในมือของแม่มดเทวะซึ่งกำลังจัดการกับพายุอสรพิษอยู่ ซ่งจงทำได้เพียงป้องกันตนเองด้วยระฆังทองแดงเท่านั้น ในตอนนี้ซ่งจงอยู่ในสภาวะไม่มีสมบัติจะใช้ เขายืนดูการโจมตีที่พุ่งเข้ามาโดยไม่มีอะไรจะโต้กลับเลย


ความจริงด้วยสถานะผู้ฝึกตนสายฟ้า เขาควรจะปลดปล่อยสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์เพื่อตอบโต้ แต่ปัญหาก็คือหลังจากที่ได้ต่อสู้กับราชาฉลามดำและในระหว่างหนีลูกน้องของราชาฉลามดำนับหมื่นตัว เขาโยนสายฟ้าออกไปจำนวนมาก สายฟ้าที่เขาสะสมมานานหลายปีนั้นแทบจะไม่เหลืออยู่แล้ว ในตอนนี้เขามีสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ที่เพิ่งได้รับการปรับแต่งขึ้นมาใหม่เพียงนิดหน่อยเท่านั้น ถ้าหากโยนมันออกไปตอนนี้ เขาจะไม่เหลืออะไรเพื่อหนีในภายหลัง ซ่งจงได้แต่ยืนหัวเราะอย่างขมขื่นเมื่อเขาไม่อาจทำอะไรได้เลย


แต่ตาเฒ่าเฟิงไม่ได้กังวลอะไรเกี่ยวกับเรื่องนั้น เขาปลดปล่อยเวทมนตร์ทุกอย่างออกมา ส่งอาวุธนับพันเพื่อโจมตีซ่งจงอย่างอิสระ เมื่อเห็นว่าชั้นของลมทองแดงได้หลุดรุ่ยออกไป ตาเฒ่าเฟิงอดไม่ได้ที่จะมีความสุข สิ่งเดียวที่ทำให้เขาทุกข์ใจคือจำนวนเมฆที่เขาส่งออกไป แม้มันจะสามารถทำลายพื้นผิวของระฆังได้ แต่กลับไม่สามารถทำลายมันได้อย่างสมบูรณ์เสียที


แล้วเจ้าอ้วนก็ยังแสดงท่าทียียวนด้วยการยืนอยู่เฉยๆ ราวกับเขากำลังพูดว่า ‘ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร ข้าขอมีเพียงระฆังใบนี้ใบเดียวก็พอ’ นั่นราวกับว่าเขาไม่กลัวสิ่งใดบนโลกนี้แล้วเพียงมีแค่ระฆังทองแดง!


เมื่อเห็นเช่นนั้น ตาเฒ่าเฟิงที่ยังทำอะไรไม่ได้ถึงกับโกรธจัดอย่างรวดเร็ว เขาเปลี่ยนท่าทีพร้อมกับกล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น “ไขมันบัดซบ ถ้าหากชายชราผู้นี้ไม่สามารถทำลายกระดองเต่าของเจ้าได้ ข้าจะยอมรับว่าเจ้านั้นมีความสามารถจริง ๆ!”


ในขณะที่กล่าวเช่นนั้น ตาเฒ่าเฟิงยกมือขึ้นพร้อมกับร่ายเวทมนตร์อีกครั้ง อาวุธทุกชิ้นเข้ามาหลอมรวมกันทันที มันกว้างใหญ่ราวกับภูเขาสูงตระง่านกว่าห้าลี้


เมื่อเห็นเงาที่ปรากฏอยู่เหนือศีรษะของตน ใบหน้าของซ่งจงแปรเปลี่ยนเป็นสีเขียวด้วยความตกใจ อาวุธยาวเพียงไม่กี่ร้อยฟุตก็เพียงพอแล้วสำหรับการทำลายชั้นลมทองแดง แต่นี่คือภูเขายาวกว่าห้าลี้ เขาจะไม่กลายเป็นหลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่งั้นหรือ? แม้ว่าระฆังทองแดงจะสามารถต้านทานได้ แต่เขาที่อยู่ด้านในด้วยฐานะเจ้าของไม่สามารถต้านทานแรงกระแทกนั้นได้อย่างแน่นอน!


ไม่ว่าร่างกายของซ่งจงจะแข็งแกร่งมากเพียงใด เขาก็รู้ดีว่าขีดจำกัดของตนนั้นอยู่ที่ใด อย่างน้อยเขาก็ไม่อาจทัดเทียมกับภูเขาได้อย่างแน่นอน!


ดังนั้นเมื่อเขาเห็นภูเขาเช่นนั้น ซ่งจงไม่กล้าที่จะอยู่ในการป้องกันอย่างเดียวอีกต่อไป โชคดีที่ตาเฒ่าเฟิงต้องใช้เวลาในการเรียกใช้งานเวทมนตร์พอสมควร ซ่งจงใช้จังหวะนี้เพื่อหยิบสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบขึ้นมาพร้อมกับรวมกันให้กลายเป็นสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์หยินหยางแห่งธาตุทั้งห้าอย่างรวดเร็วที่สุด จากนั้นจึงโยนมันออกไป


สำหรับตาเฒ่าเฟิงที่เห็นเช่นนั้น เขาอดที่จะหัวเราะเยาะไม่ได้ แต่เขาก็ยังไม่ได้ปลดปล่อยเวทมนตร์ของตนเอง ในเวลานั้นเขากล่าวออกมาอย่างยินดี “งี่เง่า นี่คือภูเขาที่กลั่นออกมาจากเมฆ เจ้าคิดงั้นหรือว่าสายฟ้าเพียงแค่นี้จะสามารถทำลายภูเขาลูกนี้ได้? เจ้ากำลังล้อข้าเล่นอยู่หรือเปล่า?”


เมื่อตาเฒ่าเฟิงพูดเช่นนั้น สายฟ้าที่ซ่งจงโยนออกไปนั้นระเบิดเต็มอากาศ ทำลายเมฆที่อยู่รอบ ๆ อย่างไรก็ตามแม้ว่าเมฆจำนวนมากจะถูกทำลาย แต่ขนาดของภูเขาได้ลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น


ด้วยความแข็งแกร่งของตาเฒ่าเฟิงทำให้เขาซ่อมแซมส่วนที่เสียหายอย่างรวดเร็วในเวลาชั่วพริบตา


เมื่อซ่งจงเห็นเช่นนั้น ถ้าหากบอกว่าเขาไม่เคร่งเครียดคงจะเป็นการโกหก อย่างไรก็ตามเขาฟื้นสติอย่างรวดเร็วพร้อมกับหัวเราะอย่างเยือกเย็น “ในขณะที่ข้าไม่สามารถทำลายภูเขาลูกนี้ได้ ข้าก็ไม่เชื่อเช่นกันว่าเจ้าจะสามารถป้องกันตนเองจากสายฟ้าของข้าได้!”


ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาสร้างสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์หยินหยางแห่งธาตุทั้งห้าอีกครั้งพร้อมกับโยนไปที่ตาเฒ่าเฟิงโดยตรง


แม้ว่าตาเฒ่าเฟิงจะเห็นเช่นนั้น เขากลับหัวเราะออกมาดังลั่น “เด็กน้อย ให้ชายชราผู้นี้สอนบทเรียนให้กับเจ้าว่าอย่าโยนอะไรก็ตามใส่ผู้ฝึกตนธาตุลม เพราะไม่เช่นนั้นคนที่จะลำบากใจก็คือเจ้า! ฮ่าฮ่า!”


ในขณะที่ตาเฒ่าเฟิงหัวเราะเช่นนั้น ร่างกายของเขาก็ปกคลุมไปด้วยการระเบิดของสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นเขาเดินออกมาจากกลุ่มควันพร้อมกับใบหน้าที่สดใส “อ้วนน้อย ถ้าหากเจ้าต้องการให้สิ่งนี้มันเป็นอันตรายกับข้า เจ้าควรโยนมันออกมาสองถึงสามร้อยลูก! ถ้าไม่อย่างนั้น มันก็ไม่เกิดผลอะไรหรอก! ฮ่าฮ่า!”


เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาโกรธจัดจนแทบจะตายทันที ในมือของเขาไม่มีสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์มากขนาดนั้น แล้วเขาจะสามารถใช้มันโจมตีได้อย่างไร?


ในตอนนี้ตาเฒ่าเฟิงพร้อมที่จะใช้งานเวทมนตร์แล้ว ภูเขาลูกใหญ่ที่สร้างจากเมฆ รัศมีของมันยาวกว่าห้าสิบลี้ รวมกับปราณจิตวิญญาณของตาเฒ่าเฟิงที่แข็งแกร่งทำให้เมฆนั้นแข็งราวกับก้อนหินและมีน้ำหนักเท่ากับภูเขาจริง!


ตาเฒ่าเฟิงเผยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายออกมา “ไขมันน้อย ลองดูว่ากระดองเต่าของเจ้าจะอดทนต่อสิ่งนี้ของข้าได้หรือไม่!”


ในขณะที่พูดออกไปเช่นนั้น ตาเฒ่าเฟิงโบกมือเพื่อสั่งให้ภูเขาพุ่งเข้าหาซ่งจงทันที


ซ่งจงรู้ตัวดีว่าเขาไม่อาจหลบมันได้ และเขาก็ไม่ได้พยายามที่จะหลบ เขาเรียกให้ระฆังทองแดงเผชิญหน้ากับภูเขาลูกนั้นทันที จากนั้นเขาหมุนเวียนปราณจิตวิญญาณของตนเองเพื่อสร้างยันต์สีเทาขึ้นมากลางอากาศพร้อมทุบฝ่ามือลงบนระฆังและคำรามว่า “ทำลาย!”


หลังจากที่เขาใช้ปราณจิตวิญญาณทั้งหมดทุบลงบนระฆังทองแดง เกิดคลื่นเสียงรุนแรงออกมาจากระฆังทองแดงทันที คลื่นเสียงที่แข็งแกร่งกระแทกเข้ากับภูเขายักษ์ราวกับมังกรที่ดุร้าย


ภูเขาลูกนี้เคยถูกทำลายไปบางส่วนด้วยสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ ในตอนนี้มันเริ่มสลายกลายเป็นหมอกเมื่อปะทะกับคลื่นเสียง การปะทะนี้ทำให้เกิดหมอกหนาทั่วพื้นที่ทันที อย่างไรก็ตามทั้งหมดจางหายไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับปรากฏท้องฟ้าที่สดใสออกมาอีกครั้ง


เหตุผลที่ทำให้เมฆเหล่านั้นก่อตัวกันไว้มีเพียงอย่างเดียวคือการที่ตาเฒ่าเฟิงใช้เวทมนตร์ควบคุมไว้ แน่นอนว่าระฆังทองแดงนั้นมีความสามารถในการทำลายล้าง คลื่นเสียงผ่านทุกสิ่งอย่างไปทุกหนแห่งทำให้สิ่งที่ตาเฒ่าเฟิงพยายามทำได้ถูกทำลายลงทันที ภูเขาลูกนั้นที่ดูอันตรายจึงกลายเป็นเมฆที่ไร้พิษสงอย่างรวดเร็ว


เมื่อตาเฒ่าเฟิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ เขาตกใจมาก เขาไม่ได้ทุกข์ใจที่ภูเขาถูกทำลาย แต่ว่าเขาแปลกใจที่ระฆังที่น่าสมเพชใบนั้นสามารถปล่อยคลื่นเสียงที่รุนแรงเช่นนั้นออกมาได้


“โจมตีด้วยคลื่นเสียง? การทำเช่นนี้ได้แน่นอนว่ามันย่อมไม่ใช่อุปกรณ์วิเศษธรรมดาทั่วไป!” ตาเฒ่าเฟิงคำรามออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ไขมันบัดซบ เสียงของระฆังเมื่อครู่คืออะไรกันแน่? มันไม่ได้ทำมาจากลมทองแดงอย่างแน่นอน!”


ในโลกของผู้ฝึกตนสมบัติที่สามารถสร้างคลื่นเสียงเพื่อโจมตีได้นั้นเป็นสิ่งที่แข็งแกร่งอย่างมาก และหาได้ยากยิ่งที่มันจะมีความสามารถในการป้องกันไปพร้อมกันอีกด้วย การปรับแต่งสมบัติเช่นนี้เป็นไปได้ยากมาก เพราะถ้าหากมีความผิดพลาดเล็กน้อยคลื่นเสียงที่ถูกส่งออกมาจะทำลายตัวมันเองให้กลายเป็นเศษโลหะ


ดังนั้นจึงยากมากถ้าหากต้องการสร้างอาวุธประเภทโจมตีด้วยคลื่นเสียง วัสดุจะต้องถูกเลือกสรรอย่างดีเยี่ยมและต้องดีที่สุดเท่านั้น อีกทั้งยังต้องได้รับการปรับแต่งจนกลายเป็นสมบัติวิญญาณเพื่อให้สามารถโจมตีด้วยคลื่นเสียงได้ ถ้าไม่เช่นนั้นมันก็เป็นได้เพียงของเล่นหลอกเด็ก การโจมตีด้วยคลื่นเสียงนั้นเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนทั้งหมดชื่นชอบเพราะว่ามันแทบจะทรงพลังที่สุด


เช่นนี้มันจึงเป็นสมบัติที่อยู่ในระดับขั้นที่สูงมาก และอุปกรณ์ที่แข็งแกร่งเช่นนี้จะไม่ทำจากลมทองแดงแน่นอน ในความจริงแล้วจากการโจมตีที่สามารถทำลายภูเขาได้ ไม่ต้องกล่าวถึงลมทองแดง แม้แต่สมบัติที่ทำมาจากวัสดุที่ยอดเยี่ยมยังไม่อาจทำได้ จึงไม่แปลกที่ตาเฒ่าเฟิงอดไม่ได้ที่จะถามซ่งจงออกไปเช่นนั้น


แน่นอนว่าซ่งจงนั้นไม่คิดจะเปิดเผยความลับของระฆังทองแดงให้ตาเฒ่าเฟิงรู้แน่นอน เขาจึงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ลองเดาดูสิ!”


“ไอ้เด็กสารเลวซ่งจง!” ตาเฒ่าเฟิงที่ได้ยินเช่นนั้น คำรามออกมาด้วยความโกรธ “จงเย่อหยิ่งต่อไปเถิด เมื่อไหร่ที่ชายชราผู้นี้สามารถจับกุมเจ้าได้ เจ้าจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน!”


“ฮ่าฮ่า!” ซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาหัวเราะจนเสียงดังไปทั่วท้องฟ้า “ตาเฒ่าเฟิง ถ้าหากเจ้าไม่ได้ถูกจับกุมโดยสำนักเสวียนเทียน มันก็ไม่ผิดที่เจ้าจะกล่าวเช่นนั้น แต่ตอนนี้เจ้าใช้พลังแทบทั้งหมดแล้วแต่ยังไม่สามารถจับกุมข้าได้ ให้ข้าพูดเถอะนะว่าวันนี้เจ้าคงจับข้าไม่ได้หรอก!”


ขณะที่ตาเฒ่าเฟิงได้ยินเช่นนั้นแล้ว เขาได้แต่กรีดร้องในหัวใจอย่างทำอะไรไม่ได้ ‘เจ้าไขมันนี้มันรู้บางสิ่ง ถ้าไม่ใช่ว่าข้าถูกจับโดยสำนักเสวียนเทียน ข้าก็คงมีสมบัติวิเศษอย่างน้อยก็นับสิบและสามารถจัดการกับมันได้อย่างง่ายดาย แต่ในเวลานี้สมบัติของข้าได้ถูกยึดและทำลายไปจนหมดสิ้น หลังจากผ่านมาไม่กี่ปีข้าสามารถสร้างสมบัติวิเศษขั้นแปดได้ แต่กลับต้องถูกหยุดลงโดยภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า ข้ามีเพียงหมัดเท่านั้นที่จะต่อสู้ แต่มันกลับมีระฆังลลมทองแดงที่อันตรายเช่นนั้น การเคลื่อนไหวทั้งหมดที่ข้าทำลงไปไร้ประโยชน์โดยสมบูรณ์ จะทำยังไงดี? อย่าบอกนะว่าข้าจะปล่อยให้มันหนีไปเช่นนี้? สวรรค์ ข้าบอกมันไปหมดทุกสิ่งอย่างแล้วในตอนนี้ ถ้าหากว่าซ่งจงหนีไปและเผยแพร่เรื่องราวทุกอย่าง แน่นอนว่าความตายย่อมมาถึงตัวข้าอย่างแท้จริง!’


เมื่อคิดเช่นนี้ ตาเฒ่าเฟิงอดไม่ได้ที่จะหลั่งเหงื่อออกมา ในตอนนี้การต่อสู้ของพายุอสรพิษและภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าได้เปลี่ยนแปลงไป แม้ว่าพายุอสรพิษจะมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับหยวนหยินและหญิงงามทั้งเก้าอยู่ในระดับจินตัน แต่ทว่าพายุอสรพิษนั้นสติปัญญาน้อยเกินไป


แน่นอนว่าสมบัติวิเศษนั้นไร้ความรู้สึก มันต่อสู้ด้วยความสามารถของมันเท่านั้น แต่ภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้านั้นแตกต่าง พวกนางเป็นสมบัติวิญญาณและต่อสู้ด้วยความรู้ความสามารถทั้งหมดที่นางมี เมื่อรวมกับดาบศักดิ์สิทธิ์แห่งธาตุทั้งห้าทำให้พวกนางแข็งแกร่งอย่างมาก ชัดเจนว่าพวกนางสามารถเอาชนะพายุอสรพิษได้อย่างไม่ยากเย็นนัก


นักบวชทั้งสี่นั้นทำสำเร็จ ลำแสงศักดิ์สิทธิ์สีทองสามารถจับกุมพายุอสรพิษได้แล้ว ไม่ช้าจิตวิญญาณของมันถูกทำลายลงไปมากกว่าครึ่ง สิ่งนี้ทำให้มันเจ็บปวดอย่างมากและถูกทุบตีโดยแม่มดเทวะทั้งเก้าอย่างน่าเวทนา


ผู้ฝึกตนดาบทั้งห้าก็ไม่ได้อ่อนแอเช่นกัน เมื่อสังเกตเหตุการณ์สักครู่หนึ่ง ทั้งหมดเข้าใจการเคลื่อนไหวของพายุอสรพิษอย่างรวดเร็ว จากนั้นทั้งห้าจึงสร้างกรงขึ้นมาเพื่อจับกุมมันอีกครั้ง ทำให้พายุอสรพิษบาดเจ็บสาหัสทันที พายุอสรพิษดิ้นอยู่นานจนสุดท้ายแล้วหมดแรงที่จะต่อสู้ไปโดยปริยาย


เมื่อเห็นเช่นนั้น ซ่งจงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ตาเฒ่าเฟิง ดูเหมือนว่าลูกน้องของเจ้าจะไม่ได้ฉลาดดังที่เจ้าได้คุยโวไว้เลยนะ! ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวลา!”


เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น ซ่งจงแสดงท่าทีว่าเขาจะละทิ้งจากตรงนี้ไปจริง เนื่องจากเขาไม่สามารถทำอะไรกับผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินได้ ตอนนี้เขาไม่คิดจะกำจัดตาเฒ่าเฟิงเพื่อล้างแค้นให้กับครอบครัว เขาเพียงต้องการหนีไปจากตรงนี้และรอการฝึกฝนของเขาเพิ่มระดับมากพอที่จะแก้แค้นได้เสียก่อน


แต่ตาเฒ่าเฟิงที่ได้ยินเช่นนั้น โกรธจัดพร้อมกับคำรามออกมาทันที “ไขมันบัดซบ แม้ว่าข้าจะตาย เจ้าก็ไม่มีวันที่จะหนีไปได้!”


“โถตาเฒ่าเอ๋ย!” ซ่งจงกล่าวอย่างสงบ “เจ้าใช้ความสามารถทั้งหมดที่มีแล้ว ในตอนนี้เจ้าจะเอาอะไรมาหยุดข้างั้นหรือ?”


“เหอะ! เด็กเหลือขออย่างเจ้าไม่เข้าใจหรอกว่าข้านั้นมีอะไรมากกว่านั้น!” ตาเฒ่าเฟิงกล่าวออกมาด้วยใบหน้าที่ชั่วร้าย “ในเมื่อตอนนี้เจ้ารู้ความลับมากมาย แน่นอนว่าข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม้ว่าข้าจะต้องจ่ายสักหน่อย ข้าก็ยินยอม!”


เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น เขาเรียกพายุอสรพิษทั้งสองตัวทันที “ปีศาจจงเข้าสู่ร่างกาย!”


จากที่ตาเฒ่าเฟิงคำรามออกมา พายุอสรพิษตื่นเต้นทันทีพร้อมเคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นพวกมันพุ่งเข้าหาตาเฒ่าเฟิงทันที


หลังจากที่พายุอสรพิษทั้งสองเข้าไปแล้ว ร่างกายของเขาขยายออกพร้อมใบหน้าที่แสดงถึงความเจ็บปวด อย่างไรก็ตามปราณจิตวิญญาณของเขาเพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ในระยะเวลาสั้น ๆ มันเพิ่มขึ้นมากถึงสามเท่า ซึ่งมันมากพอที่จะจัดการกับซ่งจงให้ตายตกไปอยู่ตรงนั้นได้เลย!


บทที่ 245: ช่างน่าสมเพช


นี่เป็นครั้งแรกที่ซ่งจงได้เห็นอะไรเช่นนี้ ทำให้ใบหน้าของเขาซีดขาวด้วยความตื่นตระหนก หญิงงามทั้งเก้าถอยกลับมายืนข้างเขาทันที เขาไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากถามพวกนาง “มีใครบอกข้าได้บ้างว่ามันเกิดอะไรขึ้น?”


แม่มดเทวะตอบกลับอย่างรวดเร็ว “รายงานนายท่าน ตาเฒ่าเฟิงได้ใช้เวทมนตร์ที่เรียกว่าปีศาจเข้าสู่ร่างกาย มันคือการที่จิตวิญญาณของสมบัติวิเศษเข้าสู่ร่างกายพร้อมด้วยการเผาไหม้ให้เกิดเป็นปราณจิตวิญญาณที่รุนแรง พลังของเขาจะเพิ่มขึ้นสองถึงสามเท่าในระยะเวลาสั้น ๆ! เพราะว่าพายุอสรพิษทั้งสองตนนั้นเป็นอสูรกายขั้นหก พวกมันสามารถเผาไหม้ปราณจิตวิญญาณจำนวนมากออกมาได้! ซึ่งเวลานี้ตาเฒ่าเฟิงได้อยู่ในระดับหยวนหยินขั้นสมบูรณ์แล้ว การต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งเช่นนี้ พวกเราพี่น้องไม่อาจต่อกรกับเขาได้เลย นายท่านรีบหนีก่อนจะดีกว่า!”


เมื่อซ่งจงได้ยินว่าตาเฒ่าเฟิงเข้าสู่ระดับหยวนหยินขั้นสมบูรณ์ เขาไม่กล่าวอะไรไร้สาระอีกต่อไปพร้อมกับตะโกนออกมา “ตกลง! หนี!” เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น เขาคว้าดาบของตนเองพร้อมกับหนีด้วยทุกสิ่งที่เขามี


อย่างไรก็ตาม ตาเฒ่าเฟิงจะยอมให้เขาหนีไปได้อย่างไร? ปีศาจเข้าสู่ร่างกายนั้นไม่ใช่เวทมนตร์ธรรมดา มันใช้พายุอสรพิษขั้นหกถึงสองตน และมันเป็นอันตรายต่อเส้นลมปราณของผู้ฝึกตน ท้ายที่สุดแล้วร่างกายเขาไม่อาจทนได้นานและมันจะระเบิด อีกทั้งเมื่อใช้มันแล้วเขายังต้องพักฟื้นร่างกายเป็นเวลาสิบปีด้วย นอกจากนั้นสมบัติวิเศษขั้นแปดที่ปรับแต่งขึ้นมายังกลายเป็นขยะเนื่องจากไม่มีพายุอสรพิษอีกแล้ว


การจ่ายในราคาที่แพงมากเช่นนี้ จะเป็นไปได้อย่างไรที่ตาเฒ่าเฟิงจะยอมให้เจ้าอ้วนหนีไป? หลังจากที่ปราณจิตวิญญาณในร่างกายได้เพิ่มขึ้น เขาคำรามออกมาดังลั่น “ไขมันบัดซบ เจ้าคิดจะไปที่ใดกัน?!” เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น เขาพุ่งตัวไปด้านหน้าราวกับสายฟ้า ในพริบตาเดียว เขาปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าซ่งจง ในขณะนั้นเจ้าอ้วนรู้สึกสิ้นหวังอย่างแท้จริง


ก่อนอื่นเลยในตอนนี้เจ้าอ้วนอยู่ในระดับปฐมภูมิขั้นสมบูรณ์เท่านั้น เขาสามารถปลดปล่อยพลังของดาบบินได้เพียงแปดในสิบ ดังนั้นความเร็วของมันอยู่ที่สามพันลี้ต่อชั่วโมง กล่าวก็คือเขาสามารถบินได้เร็วสามพันลี้ในสิบนาที ความเร็วเช่นนี้ถือว่าไม่เลวเมื่อเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับจินตันทั่วไป แต่สำหรับตาเฒ่าเฟิงที่ไม่ต้องใช้แม้แต่ดาบบิน ด้วยปราณจิตวิญญาณที่ล้นเหลือและการเป็นผู้ฝึกตนธาตุลมของเขา ทำให้เขาสามารถจับกุมซ่งจงได้อย่างง่ายดาย กล่าวก็คือความเร็วของตาเฒ่าเฟิงอยู่ที่แปดพันลี้ต่อชั่วโมง! ซึ่งเร็วมากกว่าผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินทั่วไป! ความเร็วเช่นนี้ทำให้เขาน่ากลัวเกินไป!


ในความจริงแล้วความเร็วไม่ใช่สิ่งเดียวที่น่ากลัว การโจมตีของเขาแข็งแกร่งผิดปกติด้วยปราณจิตวิญญาณที่ล้นออกมา ในขณะที่เขาปรากฏตัวขึ้น เขาไม่ได้กล่าวสิ่งใดนอกจากปล่อยลูกบอลออกมาจากฝ่ามืออย่างรวดเร็ว เกิดเป็นลำแสงสีเขียวราวหนึ่งพันฟุตทุบลงที่หลังของซ่งจงราวกับมังกรคำราม!


ลำแสงสีเขียวนั้นแข็งแกร่งมาก ช่วงเวลาที่มันปรากฏออกมา เกิดเสียงสนั่นสะเทือนทั่วทั้งฟ้าดิน เพียงแค่เสียงของมันก็ทำให้ผู้คนธรรมดาตื่นตระหนกได้อย่างง่ายดาย!


เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้ ซ่งจงไม่กล้าที่จะใช้ร่างกายของตนเองรับมันโดยตรง ดังนั้นเขาจึงเรียกระฆังทองแดงออกมาทันที


ระฆังทองแดงปรากฏขึ้นได้ทันเวลาพอดี ถัดมาเกิดเสียงดังสนั่นจากการปะทะและลมทองแดงกว่าสามสิบฟุตได้ถูกร่อนออก ถ้าหากมีการโจมตีเกิดขึ้นอีกครั้ง แน่นอนว่าลมทองแดงจะหายไปทั้งหมด!


พลังที่น่ากลัวเช่นนี้ไม่ได้ทำให้ระฆังทองแดงถูกทำลาย แต่ทำให้มันกระเด็นไปไกลหลายร้อยลี้ ซ่งจงนั้นได้รับผลกระทบเช่นกัน เขากระเด็นไปพร้อมกับระฆัง ในตอนนี้ราวกับว่าถูกภูเขาใหญ่พุ่งชน


ขอบคุณสวรรค์ที่เส้นสายธารโลหิตนั้นทำงาน ด้วยลำแสงศักดิ์สิทธิ์ปกป้องเขาไว้ จึงทำให้ไม่เกิดการบาดเจ็บมากนัก ผลกระทบต่าง ๆ ถูกลดลงกว่าครึ่ง ดังนั้นกระดูกของซ่งจงยังอยู่ครบเหลือไว้เพียงรอยฟกช้ำเท่านั้น


ในขณะที่ซ่งจงกำลังมึนงง ตาเฒ่าเฟิงกระโดดมาด้านหน้า การกระโดดเพียงครั้งเดียวทำให้เขาเคลื่อนที่ได้กว่าร้อยลี้และมาอยู่ตรงหน้าซ่งจงอีกครั้ง เขายกมือขึ้นพร้อมส่งเสียงหัวเราะราวกับปีศาจ เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการจะกำจัดซ่งจงอย่างแท้จริง ในเวลานี้ซ่งจงที่กำลังมึนงงจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะตั้งรับได้ทัน ถ้าหากตาเฒ่าเฟิงเปิดฉากการโจมตีอีกครั้ง แน่นอนว่าความตายเป็นสิ่งสุดท้ายที่รอเขาอยู่!


ขอบคุณสวรรค์ที่แม่มดเทวะนั้นยังอยู่ข้างนอก เมื่อเห็นว่าเจ้านายของตนกำลังตกอยู่ในอันตราย ทั้งหมดพุ่งไปด้านหน้าโดยไม่นึกถึงสิ่งใด ถัดมาแม่มดเทวะทั้งเก้าระดมการโจมตี เกิดเป็นปราณดาบและลำแสงศักดิ์สิทธิ์อยู่ทั่วท้องฟ้า


แต่ในตอนนี้ระยะห่างของทั้งสองฝ่ายนั้นแตกต่างกันเกินไป อีกฝ่ายเป็นถึงผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินขั้นสมบูรณ์ที่กำลังจะก้าวเข้าสู่ระดับเฟินเสิน กล่าวก็คืออำนาจของเขานั้นเหนือกว่าสิ่งใดแล้ว เมื่อตาเฒ่าเฟิงมองเห็นว่าแม่มดเทวะนั้นเปิดฉากการโจมตีออกมา เขาหัวเราะอย่างรังเกียจ จากนั้นเขาปลดปล่อยลูกบอลออกมาอีกครั้งพร้อมกับเย้ยหยัน “ภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้านั้นสามารถทำอะไรได้บ้าง? ลองหยุดข้าดูสิ!”


เมื่อมันปะทะกัน ค่ายกลของแม่มดเทวะแตกสลายทันที พวกนางส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด ร่างกายของพวกนางถูกทำลายและถูกบังคับให้กลับไปอยู่ในภาพวาดอีกครั้ง


เมื่อจัดการกับแม่มดทั้งเก้าได้ ตาเฒ่าเฟิงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง “ฮ่าฮ่าฮ่า ไขมันบัดซบ! ภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้านั้นพ่ายแพ้ต่อข้าแล้ว เจ้ามีลูกไม้อะไรอีกล่ะ?”


ในที่สุดซ่งจงฟื้นคืนสติกลับมาพร้อมกับรับรู้ในสิ่งที่แม่มดเทวะได้ทำลงไปเพื่อปกป้องเขาจากตาเฒ่าเฟิง เมื่อเห็นว่าแม่มดเทวะนั้นพ่ายแพ้อย่างง่ายดาย เขาอดไม่ได้ที่จะต่อว่าตนเองที่เป็นคนอ่อนแอเช่นนี้ ถ้าหากเขาอยู่ในระดับหยวนหยิน แม่มดเทวะทั้งเก้าจะสามารถใช้พลังของตนเองได้อย่างเต็มที่ พวกนางที่อยู่ในระดับเฟินเสินจะสามารถเล่นกับบุคคลผู้นี้จนตายอย่างแน่นอน! แต่ความแข็งแกร่งของพวกนางถูกลดระดับลงเพราะความแข็งแกร่งของซ่งจงยังน้อยนิด จึงทำให้พวกนางอยู่ในระดับจินตันเท่านั้น แล้วพวกนางจะสามารถเอาชนะผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินขั้นสมบูรณ์ตรงหน้านี้ได้อย่างไรกัน?


อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะอยู่ในสภาพที่น่าสมเพชอย่างมาก แต่ซ่งจงก็ไม่ได้เกรงกลัวสิ่งใด ความชั่วร้ายของเขาค่อย ๆ เผยออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมกับบินไปด้วยดาบบินและไม่ลืมที่จะตะโกนกลับหลัง “ตาเฒ่าบัดซบ ลองทำลายระฆังทองแดงของข้าสิถ้าหากเจ้ามีความสามารถ! ไม่ใช่เจ้างั้นหรือที่บอกว่าจะทำลายมันให้ได้? เจ้าก็คงเป็นได้แค่หมาตัวหนึ่งเท่านั้นหากผิดคำพูดของตน!”


“ว่าอะไร?” เมื่อตาเฒ่าเฟิงได้ยินเช่นนั้น เขาโกรธทันทีพร้อมกับหัวเราะอย่างเยือกเย็น “ยอดเยี่ยม เยี่ยมมาก ชายชราผู้นี้จะตอบสนองความต้องการของเจ้า! ข้าไม่เชื่อหรอกว่าข้าไม่สามารถทำลายระฆังขยะใบนี้ได้!”


เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น ตาเฒ่าเฟิงปรากฏตัวขึ้นด้านหลังซ่งจงพร้อมกับปล่อยลูกบอลออกมา เกิดเสียงดังสนั่นพร้อมกับระฆังทองแดงและซ่งจงลอยออกไปด้วยกัน แต่สุดท้ายแล้วก็ยังไม่สามารถทำลายมันได้


เมื่อเห็นว่าผิดพลาดอีกครั้ง ตาเฒ่าเฟิงอดไม่ได้ที่จะหงุดหงิด เขาไม่กล่าวอะไรพร้อมกับปลดปล่อยลูกบอลออกไปอย่างต่อเนื่อง


ระฆังทองแดงลอยกระเด็นไปไกลด้วยการโจมตีของตาเฒ่าเฟิง ท้ายที่สุดทั้งสองมาถึงมหาสมุทร ในตอนนี้เปลือกนอกของระฆังทองแดงแทบจะถูกทำลายไปจนหมดสิ้น เผยให้เห็นพื้นผิวที่อยู่ด้านใน สีทองแดงและลักษณะที่โดดเด่นสะดุดตาเช่นนั้นดึงดูดความสนใจของตาเฒ่าเฟิงอย่างมาก


เขาเป็นผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินที่เต็มไปด้วยความรู้ ด้วยการมองเป็นครั้งเดียวทำให้รู้ว่ามันเป็นสมบัติล้ำค่า จากนั้นเขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ฮ่าฮ่า ไขมันบัดซบ ที่แท้เจ้าก็ซ่อนสมบัติไว้ภายในงั้นหรือ? ดูเหมือนว่ามันจะเป็นสมบัติวิญญาณ ฮ่าฮ่า ข้าจะร่ำรวยจริง ๆ แล้ว ข้าจะได้ครอบครองสมบัติวิญญาณสองชิ้น! ขอบใจเจ้ามากจริง ๆ!”


ซ่งจงเห็นว่าความลับของเขาถูกมองเห็นแล้วโดยตาเฒ่าเฟิง เขาตกใจทันที อย่างไรก็ตามเขากล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น “เฒ่าชราบัดซบหยุดฝันเสีย แม้ว่าข้าจะต้องตายในวันนี้ เจ้าก็จะไม่มีวันได้ครอบครองระฆังทองแดงและภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าแน่นอน!”


ในขณะนั้นซ่งจงได้รับบาดเจ็บเพราะกระเด็นออกมาหลายครั้ง ไม่ว่าร่างกายของเขาจะแข็งแกร่งเพียงใดก็ไม่อาจต้านทานการโจมตีอย่างต่อเนื่องโดยผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินขั้นสมบูรณ์ได้


เมื่อตาเฒ่าเฟิงได้ยินเช่นนั้น เขาอดไม่ได้ที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ฮ่าฮ่า มันไม่ใช่สิ่งที่เจ้าต้องตัดสินใจ ในตอนนี้ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าจะหนีไปที่ใด?”


เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขารู้สึกหมดหนทางอย่างช่วยไม่ได้ ทุกสิ่งของเขานั้นด้อยกว่าอย่างแท้จริง อีกทั้งในมหาสมุทรที่กว้างใหญ่นี้ไม่มีผู้ใดช่วยเหลือเขาได้ ไม่เหลือหนทางอะไรให้เขาเลยในตอนนี้ สถานการณ์เช่นนี้ทำให้เขารู้สึกสิ้นหวังอย่างแท้จริง


อย่างไรก็ตาม เรื่องราวได้ดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว ซ่งจงจะยอมให้ตนเองพ่ายแพ้ต่อตาเฒ่าเฟิงโดยง่ายได้อย่างไร? เมื่อมองไม่เห็นวิธีที่จะหลบหนี เขาเก็บระฆังทองแดง จากนั้นเขาพุ่งลงไปในมหาสมุทรทันทีและไม่ลืมที่จะตะโกนว่า “ตาแก่บัดซบ ข้าจะโยนขุมทรัพย์เหล่านี้ไว้ในทะเล ถ้าหากเจ้าต้องการก็จงหามันเอาเอง!”


ตาเฒ่าเฟิงไม่เคยคาดคิดว่าซ่งจงจะทำเช่นนี้ นอกจากนั้นเขายังไม่ได้ชักช้า ภายในพริบตาเขาหายไปในทะเลอย่างรวดเร็ว ตาเฒ่าเฟิงไม่มีโอกาสที่จะหยุดเขาไว้เลย ช่วงเวลาที่เขารู้สึกตัวได้ ซ่งจงนั้นพุ่งลงในทะเลไปหลายพันฟุตแล้ว


ซ่งจงนั้นรู้ดีแม้ว่าเขาจะดำน้ำในทะเล ตาเฒ่าเฟิงก็สามารถจัดการกับเขาได้เนื่องจากเขาเป็นถึงผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินขั้นสมบูรณ์ ในตอนนี้ที่เขาต้องการทำคือกระจายสมบัติของตนเองภายในทะเลเพื่อสร้างความยากลำบากให้กับตาเฒ่าเฟิงเท่านั้น


แต่ซ่งจงไม่เคยคาดคิดว่าตาเฒ่าเฟิงจะกลายเป็นทำอะไรไม่ถูกเมื่อซ่งจงพุ่งลงทะเล เขาไม่กล้าที่จะไล่ล่าได้แต่สาปแช่งซ่งจงอยู่ในอากาศ “ไขมันบัดซบ ออกมาเดี๋ยวนี้!”


เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาพลันยินดี! พร้อมทั้งอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ตาแก่สารเลว ข้านั้นสนุกกับตนเองในทะเลและยังไม่ต้องการขึ้นไป! มันจะดีกว่าถ้าหากเจ้าลงมาเล่นด้วยกัน!”


ที่จริงแล้วซ่งจงไม่ได้อหังการดังที่กล่าวเช่นนั้น เขารู้สึกว่าเขามีความสัมพันธ์กับทะเลแห่งนี้อย่างมาก เขาแทบจะไม่ต้องหมุนเวียนปฐมกาลแห่งความโกลาหลเลย ปราณจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์สามารถเข้าหาร่างกายของเขาเองโดยอัตโนมัติ ในตอนนี้ปราณจิตวิญญาณของเขากำลังฟื้นฟูตนเองอย่างช้า ๆ ทำให้เขารู้สึกปลอดโปร่งอย่างมาก


บทที่ 246: ดึงดูด


ในตอนแรกนั้นซ่งจงยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ในขณะที่เขายกแขนขึ้นเขาได้พบกับสิ่งที่น่าอัศจรรย์ จึงทำให้เขาเข้าใจทุกอย่างได้ทันที


ปรากฏว่าทุกสิ่งนั้นเกิดเพราะเส้นสายธารโลหิต! มันถูกปรับแต่งมาจากเต่าดำ โดยปกติแล้วเมื่อมันหลอมรวมกับมนุษย์ มันจะรวมได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ซ่งจงนั้นใช้ไฟต้นกำเนิดในการหลอมรวมจึงทำให้ทุกอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าซ่งจงนั้นมีโลหิตของเต่าดำไหลเวียนอยู่ในร่างกายด้วย นอกจากนี้เต่าดำยังไม่ใช่อสูรกายทั่วไป ตำนานเล่าว่ามันเป็นทายาทของอสูรกายชั้นสูงที่เป็นบรรพบุรุษของอสูรกายธาตุน้ำทุกชนิดหรือเรียกว่าผู้นำแห่งท้องทะเล!


ดังนั้นหลังจากที่ซ่งจงกระโดดลงมาในน้ำ เขารู้สึกราวกับปลา แสงศักดิ์สิทธิ์สีเขียวที่ห่อหุ้มเขาไว้ทำให้ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่ออยู่ในน้ำ รวมกับดาบศักดิ์สิทธิ์แห่งวารีทำให้ซ่งจงนั้นมีความเร็วเสียยิ่งกว่าตอนอยู่ในอากาศ ซึ่งตอนนี้ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นถึงห้าพันหน่วย


แน่นอนว่าความเร็วเช่นนี้ยังห่างไกลจากตาเฒ่าเฟิง แต่มันสามารถถ่วงเวลาไม่ให้เขาถูกจับตัวได้นานขึ้น สิ่งสำคัญคือตาเฒ่าเฟิงนั้นกลัวน้ำ เขาสาปแช่งซ่งจงอยู่บนท้องฟ้าแต่กลับไม่กล้าลงมาไล่ล่า


จากตอนแรกซ่งจงคิดว่าตาเฒ่าเฟิงต้องการเพียงเล่นกับเขาให้นานที่สุด แต่หลังจากรับรู้ได้ว่าตาเฒ่าเฟิงนั้นกังวลอย่างมาก ซ่งจงจึงเข้าใจทุกอย่างทันที ตาเฒ่าเฟิงนั้นเป็นผู้ฝึกตนธาตุลมประกอบกับที่เขาดูดกลืนพายุอสรพิษเข้าไป ร่างกายเขาในตอนนี้เต็มไปด้วยปราณจิตวิญญาณธาตุลม โดยธรรมชาติแล้วจะสามารถวิ่งบนท้องฟ้าได้อย่างสะดวกสบาย ดังนั้นความเร็วของเขาจึงมากถึงแปดพันหน่วย


ถ้าหากตอนนี้เขาพุ่งลงน้ำไป ทุกอย่างจะยังคงอิสระเหมือนเดิมหรือไม่? ช่วงเวลาที่ตาเฒ่าเฟิงลงสู่ทะเล ความเร็วของเขาจะลดลงอย่างมาก และไม่สามารถจับซ่งจงได้ ดังนั้นเขาจึงกังวลไม่น้อยเมื่อคิดถึงเหตุผลเหล่านี้ ซ่งจงรู้ได้ทันทีว่านี่คือโอกาสที่ดีที่สุดในการหลบหนี เขาไม่คิดที่จะขึ้นไปด้านบนอีก พร้อมทั้งดำดิ่งลึกลงไปเรื่อย ๆ ซ่งจงไม่เกรงกลัวถ้าหากต้องเผชิญหน้ากับอสูรกายใต้มหาสมุทรที่ดุร้าย เขาต้องการกำจัดปัญหาด้านหลังทิ้งให้เร็วที่สุด ในเวลานี้คงไม่มีสิ่งใดน่าเกรงกลัวไปกว่าผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินขั้นสมบูรณ์อีกแล้ว


สำหรับตาเฒ่าเฟิงในตอนนี้เขากำลังไล่ล่าเจ้าอ้วนอยู่ด้านบนของทะเล เมื่อเขามองเห็นความเร็วของซ่งจงที่อยู่ใต้ทะเลยิ่งทำให้เขากังวลมากขึ้นไปอีก ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าทะเลตะวันออกนั้นไม่ใช่สถานที่ที่ดีนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนลึกของทะเล เหล่าอสูรกายขั้นหกหรือเจ็ดมักจะฝึกฝนอยู่ตรงนั้น แม้ว่าเขาจะใช้เวทมนตร์ปีศาจเข้าสู่ร่างกายเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง แต่เขาก็ไม่อาจคงสภาพมันไว้ได้นาน หากลากนานเกินไปพายุอสรพิษจะถูกเผาไหม้จนหมด ความแข็งแกร่งของเขาจะหายไป ถ้าหากเขาได้พบกับอสูรกายขั้นหกหรือเจ็ดในเวลานั้น เขาคงไม่มีเวลาแม้แต่จะร่ำไห้!


ด้วยความกังวลใจ ตาเฒ่าเฟิงไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป เขาเคลื่อนไหวเข้าใกล้ผิวน้ำพร้อมกดฝ่ามือลงบนผิวน้ำสร้างลูกบอลขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นไปทั่วพื้นที่ ฝ่ามือของตาเฒ่าเฟิงสามารถเปิดปล่องภูเขาไฟลึกหนึ่งหมื่นฟุตได้อย่างง่ายดาย ลูกบอลนั้นพุ่งตรงไปที่ซ่งจงอย่างตั้งใจ


แม้ว่าจะมีแรงกระแทกที่รุนแรง แต่ว่ายังมีน้ำเป็นตัวคั่นกลางระหว่างเขากับซ่งจง กว่าที่ลูกบอลจะไปถึงที่หมาย ซ่งจงก็สามารถหลบหลีกมันได้อย่างง่ายดายราวกับมัจฉา อีกทั้งแรงดันของน้ำยังกีดขวางเส้นทางของลูกบอลอีกด้วย แต่แรงดันน้ำเหล่านั้นไม่สามารถทำลายสายเส้นธารโลหิตได้และแน่นอนว่าแรงดันเหล่านี้ไม่มีผลอะไรกับซ่งจงแม้แต่น้อย


เมื่อซ่งจงสามารถหลบฝ่ามือของตาเฒ่าเฟิงได้อย่างง่ายดาย เขามีความสุขอย่างมาก จากนั้นเขาจึงหัวเราะเยาะเย้ยตาเฒ่าเฟิง “ฮ่าฮ่า ตาเฒ่าบัดซบ เจ้าไม่สามารถตีก้นข้าได้! แน่นอนว่าวันนี้ข้าจะหลบหนีให้พ้นมือของเจ้าอย่างแน่นอน! เพียงแค่รอข้าก่อนเถอะ ข้าจะกลับมาเพื่อทวงค่าใช้จ่ายทุกอย่างแน่นอน!” เมื่อตาเฒ่าเฟิงได้ยินเช่นนั้น เขารู้สึกราวกับถูกโยนลงไปในกระทะร้อน ในตอนนี้เขารู้สึกอยากอ้วกออกมาเพราะปวดหัวกับการถูกเยาะเย้ย


ถ้าหากซ่งจงหลบหนีไปได้และเปิดเผยความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเทพธิดาชิงหยุน ชื่อเสียงของนางจะถูกทำลายอย่างแน่นอน และในเวลานั้นนางจะปล่อยให้ตาเฒ่าเฟิงอยู่อย่างสุขสบายได้อย่างไร? นางอยู่ในระดับหยวนหยินขั้นสมบูรณ์ ซึ่งแตกต่างจากเขาที่อยู่ในขั้นกลางและใช้เวทมนตร์เพื่อเสริมความแข็งแกร่งเท่านั้น ถ้าหากว่าเทพธิดาชิงหยุนโกรธจริง แน่นอนว่านางสามารถทำให้ตาเฒ่าเฟิงตายตกไปเพียงเพราะการง้างมือเพียงครั้งเดียว แม้แต่จ้าวสำนักพันปีศาจก็ไม่อาจปกป้องเขาได้ถ้าหากเวลานั้นมาถึง


เมื่อเขาคิดถึงผลกระทบที่จะตามมา ตาเฒ่าเฟิงหลั่งเหงื่อเย็นเฉียบทั่วทั้งร่างกาย ในตอนนี้เขาจะลังเลได้อย่างไร? เขาเริ่มใช้ฝ่ามือเพื่อปล่อยลูกบอลออกไปอย่างบ้าคลั่งทันที ในขณะนี้เขาคิดที่จะสังหารซ่งจงอย่างแท้จริงแล้ว


หลังจากที่ตาเฒ่าเฟิงปล่อยพลังอย่างบ้าคลั่ง ทำให้เกิดหลุมลึกขนาดหนึ่งหมื่นฟุตใต้ทะเลมากมาย


ภายในน้ำซ่งจงรู้สึกกดดันอย่างมากและเริ่มเพิ่มความเร็วในการหลบหนี ในเวลานั้นเขาไม่สามารถหลบลูกบอลได้จึงทำให้ถูกกระแทกเข้าอย่างรุนแรง ส่งผลให้เขากระเด็นออกไปอย่างน่าสมเพช


สองถึงสามครั้งที่ซ่งจงไม่สามารถขยับร่างกายได้ดั่งใจต้องการและเกือบจะถูกโจมตี ขอบคุณเส้นสายธารโลหิตที่ช่วยชีวิตของเขาไว้ในขณะนั้น ในตอนนี้ซ่งจงนั้นใช้เวทมนตร์ประเภทน้ำอยู่ และร่างกายของเขาค่อย ๆ ดูดซับปราณจิตวิญญาณธาตุน้ำอย่างต่อเนื่อง ทำให้เส้นสายธารโลหิตเริ่มแสดงผลของมันอย่างช้า ๆ ร่างกายของเขาเริ่มมีเกล็ดขึ้นและที่หลังมีกระดองเต่าปรากฏออกมา สิ่งเหล่านี้ช่วยลดแรงดันของน้ำและทำให้เขาเคลื่อนที่ได้เร็วขึ้น นอกจากนี้มันยังช่วยให้ดูดซับปราณจิตวิญญาณได้เร็วขึ้นอีกด้วย ส่งผลให้ความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มมากขึ้นอีก กระดองเต่าดำนั้นแสดงพลังการป้องกันที่น่ากลัว มันไม่เพียงแต่ป้องกันลูกบอลของตาเฒ่าเฟิงได้ แต่มันยังไปเสริมพลังของลำแสงศักดิ์สิทธิ์สีเขียวอีกด้วย ซ่งจงคิดว่าเมื่อมันถูกลูกบอลกระทบ ไม่นานมันจะหายไป แต่ความจริงคือมันเกิดการสั่นสะเทือนอยู่ชั่วขณะจากนั้นจะกลับสู่สภาพเดิม ดังนั้นซ่งจงจึงสามารถรับการโจมตีที่บ้าคลั่งของตาเฒ่าเฟิงได้อย่างง่ายดาย


อย่างไรก็ตาม สภาพร่างกายของซ่งจงในตอนนี้นั้นน่าเกลียดอย่างมาก นอกเหนือจากเส้นผมของเขา ทุกพื้นที่บนร่างกายเต็มไปด้วยเกล็ด เมื่อรวมกับกระดองบนหลังเขาแล้ว เขาดูเหมือนเต่าดำโดยสมบูรณ์!


ในขณะที่ซ่งจงหลบหนี เขาก็อดไม่ได้ที่จะบ่นกับภาพลักษณ์ของตนเอง ในตอนนี้เขาทำได้เพียงหัวเราะอย่างขื่นขม “แม้ว่ามู่ซื่อหรงจะไม่ทำให้ข้าขายหน้า แต่ในตอนนี้ข้าก็ยังคงเป็นสามีที่ถูกนอกใจ อีกทั้งยังกลายเป็นเต่า!”


แม้ว่าเขาจะทุกข์ใจมากเพียงใด เขาก็ยังคงต้องหลบหนีต่อไปเพื่อชีวิตของตนเอง ในตอนนี้เขาใช้พลังทั้งหมดเพื่อหลบหนีจากความตาย สำหรับตาเฒ่าเฟิงนั้นต้องการฆ่าซ่งจงด้วยทุกสิ่งที่เขามี ทั้งสองคนนั้นมีจุดมุ่งหมายที่แรงกล้า หนึ่งคนหนี หนึ่งคนไล่ล่า!


บนพื้นผิวของทะเลตะวันออก นานครั้งจะมีผู้ฝึกตนที่โชคร้ายและพบกับเหตุการณ์ที่น่ากลัว ในตอนนี้มีร่างสีดำกำลังไล่ล่าอยู่บนผิวน้ำ และร่างสีเขียวกำลังหลบหนีอยู่ใต้น้ำ ทุกครั้งที่มีการส่งลูกบอลออกไปเกิดเป็นหลุมขนาดหมื่นฟุตทิ้งไว้พร้อมทั้งมีกำแพงน้ำพุ่งขึ้นมาสูงราวหนึ่งพันฟุตเช่นกัน ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง มองจากระยะไกลราวกับว่าปลาวาฬกำลังพ่นน้ำอย่างสนุกสนาน เมื่อผู้ฝึกตนรอบ ๆ ได้เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ พวกเขาได้แต่เดาไปต่าง ๆ นา ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น


ซ่งจงและตาเฒ่าเฟิงนั้นไม่ได้ให้ความสนใจกับผู้อื่นที่เข้ามารับชมเหตุการณ์ เพราะคนหนึ่งกำลังใจจดใจจ่อกับการหลบหนี อีกคนหนึ่งกำลังไล่ล่าโดยมีชีวิตเป็นเดิมพัน ด้วยความเร็วที่ผิดปกติของทั้งคู่ ทั้งสองเดินทางหลายพันลี้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง และในตอนนี้ทั้งสองได้เข้าสู่ดินแดนของอสูรกายขั้นสูงเรียบร้อยแล้ว


ในขณะนั้น ซ่งจงเริ่มมีอาการเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด จากการที่เขาหลบลูกบอลมาตลอดเวลาทำให้พลังของเขาเหลือน้อยเต็มที นอกจากนั้นเขายังได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีของตาเฒ่าเฟิง ซึ่งต้องอดทนไว้เพื่อที่จะหลบหนี ในตอนนี้ความเจ็บปวดเริ่มครอบงำเขาแล้ว คงเป็นเรื่องมหัศจรรย์ถ้าหากเขาทนต่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ตาเฒ่าเฟิงนั้นยังไม่หยุดมือ และเพื่อความอยู่รอดของตนเองซ่งจงนั้นไม่มีทางเลือกนอกจากอดทน!


ในตอนนี้ตาเฒ่าเฟิงเริ่มอ่อนล้าแล้วเช่นกัน หลังจากที่ไล่ล่าซ่งจงมานาน เขาส่งลูกบอลออกไปจำนวนมากอีกทั้งพายุอสรพิษของเขากำลังจะหมดแรงแล้ว อย่างไรก็ตามเพื่อที่จะปกป้องความลับในชีวิตของตนเอง เขาถูกบีบให้อดทนและใช้พลังเฮือกสุดท้ายเพื่อที่จะสังหารซ่งจงให้ได้


ในตอนนี้กล่าวได้ว่าผู้ใดที่สามารถอดทนได้มากกว่าจะสามารถเป็นผู้ชนะ เห็นได้ชัดว่าตาเฒ่าเฟิงนั้นมีพื้นฐานการฝึกฝนที่ลึกซึ้ง เขาได้เปรียบซ่งจงที่อยู่ในอาการบาดเจ็บ ถ้าหากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ เป็นไปได้สูงมากว่าตาเฒ่าเฟิงจะได้รับชัยชนะ!


แต่เมื่อถึงช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้ เกิดเสียงกรีดร้องของนกดังไปทั่วบริเวณ ซ่งจงที่อ่อนล้าเต็มทีและตาเฒ่าเฟิงนั้นยังอดไม่ได้ที่จะหยุดฟังด้วยความตกใจ ทั้งคู่เงยหน้าขึ้นมา ทั้งคู่เห็นอินทรีย์สายฟ้าฝูงใหญ่ปกคลุมทั่วทั้งท้องฟ้า ทั้งคู่ขยี้ตาซ้ำแล้วซ้ำเล่า พวกมันก็ยังคงบินอยู่ที่เดิม อีกทั้งพวกมันกำลังส่งข้อมูลกลับไปยังผู้นำของตนเอง เมื่อซ่งจงเห็นอินทรีย์สายฟ้า เขานึกถึงหญิงสาวที่เต็มไปด้วยความงดงามแต่ซ่อนอันตรายไว้มากมาย ราชันเหยี่ยวฟ้า เหลยซานเอ๋อ! ในขณะนั้นซ่งจงคิดกับตนเอง ‘ถ้าหากเรื่องนี้ดำเนินต่อไป แน่นอนว่าข้าจะต้องพ่ายแพ้ต่อตาเฒ่าเฟิง ถ้าหากเป็นเช่นนั้นจุดจบของข้าคือตาย! ทำไมข้าจึงไม่เอาตาเฒ่าเฟิงนี้มอบให้กับเหลยซานเอ๋อไปล่ะ แน่นอนว่าเหลยซานเอ๋อพร้อมลูกน้องของนางอีกหมื่นตัวจะต้องดูแลตาเฒ่าเฟิงได้อย่างยอดเยี่ยมจนเขาจากไปอย่างสงบ! เหอะเหอะ ข้าจะมอบสิ่งนี้ให้กับเหลยซานเอ๋อ ถือว่าเป็นการชดใช้ในเรื่องที่ข้าก่อเอาไว้!’


เมื่อคิดเช่นนี้ ซ่งจงหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็นพร้อมทั้งวิ่งไปตามทิศทางของอินทรีย์สายฟ้า เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการพูดคุยกับเหลยซานเอ๋อ!


บทที่ 247: การต่อสู้อันดุเดือด


*ผู้แปล : ขอแก้ไขคำศัพท์ จาก เวทมนตร์ เป็น อาคม*


ตาเฒ่าเฟิงนั้นไม่ได้โง่ ไม่ว่ายังไงเขาก็คือชายชราผู้มีฝีมือ ดังนั้นเขาจึงสามารถคาดเดาการกระทำของซ่งจงได้อย่างง่ายดาย เช่นนี้จึงอดไม่ได้ที่จะสาปแช่งออกมา “ไขมันบัดซบ นั่นคือทิศทางของเหลยซานเอ๋อ เจ้าคิดจะล่อลวงข้าเพื่อไปที่นั่นงั้นหรือ ข้านั้นสามารถหนีจากพวกมันได้ตลอดเวลา แต่เจ้าจะหนีได้อย่างไรกัน? เพียงแค่เจ้ายอมไปกับข้าแต่โดยดี อย่างมากที่สุดข้าก็สัญญาว่าจะไม่สังหารเจ้า”


เห็นได้ชัดเจนว่าตาเฒ่าเฟิงก็ไม่ได้มั่นใจว่าจะสามารถเอาชนะเหลยซานเอ๋อกับลูกน้องของนางอีกนับหมื่นได้ แม้ว่าทั้งหมดอาจจะไม่ได้ลงเอยที่การต่อสู้ แต่เขาก็ยังพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการปะทะ ถ้าหากเขาต้องต่อสู้กับเหลยซานเอ๋อพร้อมกับปล่อยให้ซ่งจงหนีไปในช่วงชุลมุน เช่นนั้นคงไม่ได้ แน่นอนว่าเขาคิดจะถอยกลับ ทว่าซ่งจงไม่ได้คิดเช่นนั้นพร้อมตอบกลับมาอย่างเยือกเย็น “ฮ่าฮ่า เจ้ากลัวงั้นหรือ? เสียดายที่มันสายเกินไปแล้ว! ข้าจะบอกความจริงให้นะ แม้ว่าข้าจะตาย ข้าก็จะลากเจ้าตายไปพร้อมข้าด้วยเช่นกัน!”


“เจ้า… เจ้ามันบ้าไปแล้ว! ข้าให้ทางเลือกกับเจ้าแต่เจ้ากลับคิดจะวิ่งเข้าหาความตายงั้นหรือ?” ตาเฒ่าเฟิงตะโกนออกมาอย่างขุ่นเคือง


“เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อวาจาไร้สาระของเจ้าหรือไร?” ซ่งจงตอบกลับอย่างรังเกียจ


เมื่อเห็นว่าซ่งจงมองเขาเช่นไร ตาเฒ่าเฟิงอดไม่ได้ที่จะถอดหายใจออกมา เขากล่าวออกมาอย่างกังวล “ข้าสาบาน!”


“สาบาน?” เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาคิดในใจทันที ‘เฒ่าชราผู้นี้กำลังกลัวจริงงั้นหรือ? แม้ว่าเขาเต็มใจที่จะสาบาน ข้าก็ไม่สามารถเชื่อใจงูพิษเช่นนี้ได้!’


“ขอโทษด้วย ข้าไม่เชื่อแม้ว่าเจ้าจะสาบาน ถ้าหากว่าเจ้าเกรงกลัวอินทรีย์สายฟ้าก็จงรีบหนีไป ข้าสัญญาว่าจะไม่เปิดเผยความลับระหว่างเราเมื่อข้าหลบหนีไปได้!”


ซ่งจงไม่เชื่อมั่นในตัวของตาเฒ่าเฟิงเช่นไร ตาเฒ่าก็ไม่อาจเชื่อมั่นในตัวของซ่งจงเช่นนั้น แม้ว่าซ่งจงจะมีชื่อเสียงเรื่องรักษาคำพูด แต่เรื่องนี้นั้นเกี่ยวข้องกับชีวิตและความตายของเขา ตาเฒ่าเฟิงจะสามารถเชื่อใจซ่งจงโดยง่ายได้เช่นไร?


ตาเฒ่าเฟิงกัดฟันพร้อมกับก่นด่าออกมาอีกครั้ง “ไขมันบัดซบ เจ้ากำลังบังคับให้ข้าลงมือ!”


เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น ตาเฒ่าเฟิงปลดปล่อยการโจมตีออกมาอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง ในขณะที่เขาปลดปล่อยทุกอย่างออกมา ร่างกายของเขาสั่นไหวเล็กน้อย ลูกบอลมากมายนับไม่ถ้วนร่วงหล่นจากท้องฟ้าราวกับห่าฝน ในเวลานั้นซ่งจงที่อยู่ใต้น้ำรับรู้ได้ถึงแรงกดดันมหาศาล เขาพยายามอย่างมากเพื่อหลบพวกมัน ลำแสงศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังปกป้องเขาอยู่ในตอนนี้สั่นไหวราวกับว่ามันจะหายไปตอนไหนก็ได้ ช่วงเวลาที่มันแตกสลาย ร่างกายของซ่งจงจะต้องรับแรงกระแทกมหาศาลและเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แน่นอนว่าช่วงเวลาที่ได้รับบาดเจ็บ ความเร็วของเขาจะลดลงอย่างมากและจะไม่สามารถหลบการโจมตีของตาเฒ่าเฟิงได้ ในเวลานี้ไม่มีผู้ใดเลยที่สามารถจะช่วยเหลือเขาให้รอดพ้นจากวิกฤตินี้ ในขณะที่ซ่งจงกำลังรู้สึกหมดหนทางอย่างสมบูรณ์ เขาทำได้เพียงมองดูลำแสงศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังจางหายไปอย่างช้า ๆ และในที่สุดมันก็หายไป หลังจากนั้นแรงกดดันจากพลังของตาเฒ่าเฟิงได้ถาโถมเข้ามาจากทุกทิศทาง


ในขณะที่ซ่งจงถูกโจมตีโดยตาเฒ่าเฟิง ปรากฏอินทรีย์สายฟ้านับหมื่นตัวขึ้นบนท้องฟ้า พวกมันพุ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็วพร้อมกับปล่อยสายฟ้าออกมาจากปีก เป้าหมายของทั้งหมดแน่นอนว่าคือตาเฒ่าเฟิง!


ถ้าหากอยู่ในสถานการณ์ปกติ ตาเฒ่าเฟิงสามารถป้องกันสายฟ้าเหล่านี้ได้ด้วยสมบัติวิเศษ แต่ในตอนนี้สมบัติของเขาถูกทำลายไปหมดสิ้น ทำให้ฐานะของเขาอัตคัดมาก เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ตาเฒ่าเฟิงไม่กล้าที่จะประมาท เขาใช้อาคมวายุเพื่อหลบหลีกทุกอย่าง ในตอนนี้เขาสูญเสียโอกาสที่จะโจมตีซ่งจงแล้ว


ซ่งจงผู้สิ้นหวังมองเห็นสถานการณ์ทุกอย่าง เขาสดใสขึ้นมาทันที โดยไม่ต้องกล่าวอะไรต่อเขาเรียกระฆังทองแดงออกมาเพื่อป้องกันการโจมตีของตาเฒ่าเฟิง แม้ว่าจะได้รับบาดเจ็บจากแรงกระแทกที่ส่งออกมา แต่มันก็ดีกว่าการตายทันที ในตอนนี้ตาเฒ่าเฟิงถูกบังคับให้หนี ซ่งจงที่บาดเจ็บอย่างหนักในตอนนี้เขามีโอกาสได้พัก เหลยซานเอ๋อที่นั่งอยู่บนหลังอินทรีย์สายฟ้าขนาดใหญ่ได้ปรากฏตัวขึ้นแล้วเช่นกัน หน้าตาที่สวยงามของนางเต็มไปด้วยความกังวล นางตะโกนไปหาซ่งจงที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยอ่อน “โอ้ ฝ่าบาทน้อย ท่านสบายดีหรือไม่?”


ซ่งจงและตาเฒ่าเฟิงที่ได้ยินเช่นนั้น ทั้งสองคนตกใจทันที แม้แต่ซ่งจงเองก็เช่นกัน เขาคิดภายในใจกับตนเอง ‘ข้ากลายเป็นฝ่าบาทน้อยไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? เหลยซานเอ๋อกำลังคิดจะทำอะไรกันแน่?’


ใบหน้าของตาเฒ่าเฟิงบิดเบี้ยวด้วยความสงสัย อย่างไรก็ตามเขาคิดอย่างรวดเร็วว่าเหลยซานเอ๋อคงทำอะไรผิดพลาดสักอย่าง ดังนั้นเขาจึงตะโกนออกไป “ราชันเหยี่ยวฟ้าเหลยซานเอ๋อ นี่เป็นเรื่องระหว่างเราผู้ฝึกตนที่เป็นมนุษย์ ข้าอยากจะเตือนว่าท่านไม่ควรเข้ามาแทรกแซง ถ้าไม่เช่นนั้นอย่าได้กล่าวโทษว่าชายชราผู้นี้หยาบคาย!”


ถ้าหากเป็นสถานการณ์ปกติ เหลยซานเอ๋อหันไปรอบ ๆ และถอยออกไปเมื่อตาเฒ่าเฟิงตะโกนมาเช่นนั้น แต่ในตอนนี้สภาพของตาเฒ่าเฟิงค่อนข้างน่าสมเพช แต่เขาก็ยังคงอยู่ในระดับหยวนหยินขั้นสมบูรณ์ แม้ว่าปกติเขาจะไม่สามารถเอาชนะอินทรีย์สายฟ้านับหมื่นตัวได้ แต่การสังหารอินทรีย์สายฟ้าสักสองถึงสามพันตัวก่อนจะหลบหนีไม่ใช่เรื่องยาก เหลยซานเอ๋อไม่ได้โง่เขลา แน่นอนว่านางจะไม่เสียสละลูกน้องของตนเองเพื่อเข้าไปแทรกแซงเรื่องระหว่างมนุษย์


แต่ในตอนนี้ตาเฒ่าเฟิงนั้นคิดผิด ดวงตาของเหลยซานเอ๋อแสดงออกมาถึงความโกรธจัด นางชี้ไปที่ตาเฒ่าเฟิงพร้อมตะโกนออกมา “เจ้าคนสารเลว เจ้ากล้าที่จะโจมตีลูกหลานแห่งจักรวรรดิทะเลตะวันออก เจ้ามันสมควรตาย! เด็กน้อยทั้งหลาย จงสังหารไอ้แก่นี้เพื่อข้า!”


เหล่าอินทรีย์สายฟ้าได้ยินเช่นนั้น พวกมันไม่รีรอพร้อมกับสยายปีกและโจมตีไปที่ตาเฒ่าเฟิงอย่างพร้อมเพรียง


ตาเฒ่าเฟิงไม่ใช่คนที่อารมณ์ดีนัก หลังจากที่โดนโจมตีอย่างนับไม่ถ้วน เขาโกรธจัดทันที เขาสร้างหอกขึ้นมาด้วยอาคมลมจากนั้นส่งมันออกไปราวกับดาวตก ทั้งหมดพุ่งออกมาอย่างรวดเร็ว เหล่าอินทรีย์สายฟ้าที่ถูกแทงด้วยหอกกระดูกหักและบาดเจ็บสาหัสอย่างไม่มีข้อยกเว้น ทั้งหมดร่วงหล่นจากท้องฟ้าอย่างน่าสงสาร เห็นได้ชัดว่าพวกมันไม่มีโอกาสที่จะรอดชีวิตไปได้ ตาเฒ่าเฟิงนั้นอยู่ในระดับหยวนหยินขั้นสมบูรณ์ ด้วยการสะบัดมือเพียงครั้งเดียวเขาสามารถสังหารอินทรีย์สายฟ้านับร้อยตัวได้อย่างง่ายดาย ทั้งหมดเพื่อให้เหลยซานเอ๋อเกรงกลัวและถอยออกไป


ในเวลานั้นตาเฒ่าเฟิงไม่ลืมที่จะเย้ยหยัน “เหลยซานเอ๋อ เจ้าสามารถข่มเหงได้เพียงพวกมือใหม่ในทะเลตะวันออกเท่านั้น น่าเสียดายที่เจ้าไม่เหมาะสมที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของชายชราผู้นี้ ถ้าหากเจ้ายังมีสมองอยู่ จงฟังที่ข้าบอกและถอยออกไปซะ ข้าจะลืมเรื่องระหว่างเราทั้งหมดลงเพียงแค่นี้ แต่ถ้าหากไม่ ข้าจะฆ่านกเหล่านี้ให้หมด!”


เมื่อเหลยซานเอ๋อได้ยินเช่นนั้น นางชะงักไปชั่วครู่ นางมองที่ลูกน้องของตนเองพร้อมกับหันไปหาซ่งจง จากนั้นนางกล่าวออกมาอย่างเด็ดขาด “ข้าไม่สนว่าเจ้าจะเป็นใคร แต่ในตอนนี้เจ้าไม่สามารถที่จะข่มเหงฝ่าบาทน้อยแห่งทะเลตะวันออกได้ ถ้าหากเจ้ามีสมอง จงรีบหนีไปซะ ถ้าไม่เช่นนั้นข้าจะใช้ทุกอย่างที่มีเพื่อจับกุมเจ้า!”


ตาเฒ่าเฟิงได้ยินเช่นนั้นเขาโกรธจัดพร้อมกับตะโกนออกมาทันที “เยี่ยม ยอดเยี่ยมมาก! เจ้ามันโง่เขลานัก! ถ้าเช่นนั้นข้าจะแสดงให้เจ้าดูแล้วกันว่าข้าสามารถดูแลเจ้าได้อย่างไรบ้าง!” เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น เขาส่งหอกอีกมากมายพุ่งไปที่เหลยซานเอ๋อ


ในฐานะผู้นำ ชื่อเสียงของนางก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน เมื่อตาเฒ่าเฟิงโจมตีออกมา นางหลบหลีกได้อย่างรวดเร็ว ในเวลานั้นนางตะโกนเพื่อออกคำสั่งทันที “ฆ่ามัน!”


เหล่าอินทรีย์สายฟ้านับหมื่นที่ได้ยินเช่นนั้น พวกมันเริ่มสยายปีกออกมาอีกครั้ง บางตัวพยายามที่จะพุ่งเข้าไปกัดตาเฒ่าเฟิง บางส่วนพุ่งเข้าไปเพื่อต่อสู้ในระยะประชิด ส่วนที่เหลือนั้นโจมตีจากระยะไกล ทั้งหมดนี้ใช้ความตายเป็นเดิมพัน


ไม่ว่าตาเฒ่าเฟิงจะน่ากลัวเพียงใด เขาอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงคำรามออกมาหลังจากที่ถูกโจมตีอย่างหนักหน่วง ในช่วงเวลาแห่งความตายเขาส่งหอกออกไปอีกอย่างบ้าคลั่ง หอกพุ่งออกไปทุกทิศทางพร้อมกับสังหารอินทรีย์สายฟ้าจำนวนมาก อย่างไรก็ตามเหล่าอินทรีย์สายฟ้าก็ยังคงโจมตีออกไปอย่างต่อเนื่อง ทว่าตาเฒ่าเฟิงก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน!


ในตอนนี้เหลยซานเอ๋อใช้อินทรีย์สายฟ้าต่อสู้กับเวลา นางตะโกนบอกซ่งจงที่อยู่ใต้น้ำ “ฝ่าบาทน้อย หนีไป! ข้าจะรั้งเขาไว้เอง!” เมื่อนางกล่าวเช่นนั้น นางเข้าร่วมการต่อสู้ด้วยตนเองทันที นางเห็นว่าสหายของตนนั้นล้มตายไปจำนวนมาก ใบหน้าที่สวยงามกำลังเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา การแสดงออกเช่นนี้ของนางได้เอาชนะใจของซ่งจงอย่างสมบูรณ์! แม้ว่าจะไม่รู้ว่าเหตุใดเหลยซานเอ๋อจึงทำเช่นนี้ แต่ซ่งจงจะหลบอยู่ด้านหลังสตรีเพื่อหนีไปได้อย่างไร?


เมื่อเห็นว่าเหลยซานเอ๋อนั้นยอมตายเพื่อเขา ขนที่สวยงามของเหล่าอินทรีย์สายฟ้าเต็มไปด้วยเลือด ทั้งหมดร่วงลงมาราวกับฝนโลหิต ประกอบกับเสียงกรีดร้องที่ดังสนั่นไปทั่วท้องฟ้าพร้อมกับน้ำตาของเหลยซานเอ๋อ สุดท้ายซ่งจงไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป เขาพุ่งขึ้นจากน้ำราวกับลูกปืนใหญ่ เขาหยิบสายฟ้าทั้งสิบออกมาทันที


มือซ้ายของเขาคืออสนีขั้วลบ มือขวาคืออสนีขั้วบวก ครั้งนี้เขาไม่ได้ผสมมันเข้าด้วยกัน แต่ถือไว้ในมือเท่านั้น ส่งผลให้แสงของมันสว่างไสวออกมา เขากำลังดูดซับพลังของสายฟ้า พลังถูกฉีดเข้าไปในมือของซ่งจง แน่นอนว่าพลังของมันเข้มข้นอย่างมาก ไม่เหมือนกับสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ทั่วไปที่เพียงเอาออกมาแล้วต้องโยนออกไปทันที ไม่เช่นนั้นมันจะระเบิด แน่นอนว่าความแข็งแกร่งของมันไม่เป็นรองใคร แต่ก็มีข้อเสียอยู่เช่นกัน พลังของมันนั้นบ้าคลั่ง ดังนั้นมันสามารถทำให้ผู้ใช้สามารถบาดเจ็บได้ ถ้าหากจะใช้งานมัน แน่นอนว่าจะต้องมีร่างกายที่แข็งแกร่ง ถ้าไม่เช่นนั้นร่างกายของผู้ใช้จะระเบิดก่อนที่จะได้โจมตีออก แม้ว่าเขาจะสามารถปลดปล่อยมันออกไปได้ แต่ร่างกายเขาจะได้รับผลกระทบอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง นั่นเป็นเหตุผลที่ซ่งจงไม่เต็มใจที่จะใช้มัน!


ในตอนนี้ซ่งจงถูกบีบบังคับให้ทำเช่นนี้ เขาไม่สนใจร่างกายของตนเองและใช้มันทันที เขารีบเร่งทุกอย่างให้รวดเร็วที่สุด จากนั้นปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าตาเฒ่าเฟิงทันที พร้อมกับโยนมันออกไปอย่างรวดเร็วโดยที่ตาเฒ่าเฟิงยังไม่ทันได้ตั้งรับ


ตาเฒ่าเฟิงนั้นเป็นผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน แม้ว่าจะถูกรบกวนจากเหล่าอินทรีย์สายฟ้า แต่เขารับรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าถูกซ่งจงซุ่มโจมตี แต่เขามั่นใจในร่างกายของตนเองมากเกินไปหลังจากใช้อาคมปีศาจเข้าสู่ร่างกาย มันมากจนคิดว่าไม่มีสิ่งใดทำอันตรายเขาได้ ดังนั้นจึงเพิกเฉยต่อการโจมตีของซ่งจงและส่งลูกบอลออกไปเพื่อตอบโต้เท่านั้นแต่ไม่ได้คิดป้องกันแต่อย่างใด


ในตอนนี้ซ่งจงยังมีกระดองเต่าดำอยู่ แม้ว่ามันจะเป็นถึงเต่าดำแต่ก็ไม่อาจป้องกันการโจมตีของผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินขั้นสมบูรณ์ได้ กระดูกซี่โครงของเขาหักทันทีเมื่อถูกแรงกระแทก ก่อนที่จะได้พูดอะไรออกมา เขาพ่นเลือดออกมาพร้อมกับหมดสติไปทันที ก่อนที่จะหมดสติไปเขารู้สึกว่าร่วงหล่นบนอะไรสักอย่างที่นุ่มนิ่มพร้อมกับเสียงร้องไห้ที่กังวลว่าเขาจะเป็นอะไรไป


สำหรับตาเฒ่าเฟิง ร่างกายของเขานั้นแข็งแกร่งมาก ร่างกายของซ่งจงก็ไม่ได้อ่อนแอเช่นกัน ร่างกายของซ่งจงนั้นสามารถเทียบเท่าอสูรกายขั้นห้า ด้วยสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบ อสนีขั้วบวกและลบพุ่งเข้าปะทะกับหน้าอกของตาเฒ่าเฟิง พวกมันระเบิดออกอย่างทรงพลังพร้อมกับเหล่าอินทรีย์นับหมื่นที่พุ่งเข้าไปหาเขาอย่างพร้อมเพรียง ทำให้ตาเฒ่าเฟิงกระเด็นออกไปพร้อมกับบาดเจ็บสาหัสทันที! ตาเฒ่าเฟิงเหลือบไปเห็นว่าเจ้าอ้วนหลังจากที่ถูกเขาโจมตีนั้นเป็นเหลยซานเอ๋อเข้าไปกอดเขาไว้ในอ้อมแขน เขาโกรธจัดพร้อมกับกังวลอย่างมาก ในตอนนี้เขาเป็นเพียงปีศาจร้ายตนหนึ่งที่เหนื่อยล้าจากการต่อสู้ที่ยาวนาน ถ้าหากว่าเขาเพิ่งใช้อาคมปีศาจเข้าสู่ร่างกายระยะแรก ซ่งจงจะตายด้วยการสะบัดมือเพียงครั้งเดียว น่าเสียดายที่เรื่องราวดำเนินมาถึงตอนจบแต่เขาก็ยังไม่อาจสังหารซ่งจงได้


เห็นได้ชัดว่าเหลยซานเอ๋อนั้นตระหนักถึงจุดนี้เช่นกัน เมื่อนางปกป้องซ่งจงไว้ได้แล้ว นางรีบใช้ยาอายุวัฒนะเพื่อรักษาเขาทันที ไม่ต้องกล่าวสิ่งใดต่อ นางกอดเขาไว้ในอกพร้อมกับบินหนีทันที เมื่อตาเฒ่าเฟิงเห็นเช่นนั้น เขาเริ่มกระวนกระวายอย่างรุนแรง ในตอนนี้แม้ว่าเขาต้องการที่จะไล่ล่า แต่ก็ไม่สามารถออกจากฝูงอินทรีย์นับหมื่นที่กำลังโจมตีเขาอย่างบ้าคลั่งได้ ไม่ว่าจะต้องล้มตายกันอีกเท่าไหร่ แต่เหล่าอินทรีย์สายฟ้าจะไม่ยอมให้ตาเฒ่าเฟิงเข้าถึงเหลยซานเอ๋อได้อย่างเด็ดขาด!


ตาเฒ่าเฟิงนั้นติดอยู่กับเหล่าอินทรีย์สายฟ้านับหมื่น และในตอนนี้เป็นเวลาที่อาคมปีศาจเข้าสู่ร่างกายถึงขีดจำกัดแล้ว นอกจากนั้นเขายังบาดเจ็บสาหัสจากการโจมตีของซ่งจง อวัยวะภายในของเขาไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเดิมและกระดูกหักหลายที่ ถ้าหากเขาไม่ถอยในตอนนี้ จุดจบของเขาคือเป็นอาหารเย็นให้กับเหล่าอินทรีย์สายฟ้า


ตาเฒ่าเฟิงถอนหายใจอย่างหมดหนทาง เขาใช้อาคมหลบหนีของสำนักเพื่อส่งตัวเองกลับไปอย่างรวดเร็ว


บทที่ 248: เรื่องราวบานปลาย


*ผู้แปล : แก้ไข ผู้ฝึกตนชอบธรรม > ผู้ฝึกตนธรรมะ | ผู้ฝึกตนปีศาจ > ผู้ฝึกตนอธรรม*


แม้ตกอยู่ในการโจมตีของอินทรีย์สายฟ้า แต่พวกมันก็ไม่สามารถทำอะไรได้ถ้าหากผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินคิดจะหลบหนี ทั้งหมดทำได้แค่มองดูว่าตาเฒ่าเฟิงหลบหนีไปอย่างไรเท่านั้น หลังจากที่ไล่ล่าเขาอยู่สักพัก พวกมันยอมแพ้และบินกลับไปหาเหลยซานเอ๋อ สิ่งสุดท้ายที่เหลือทิ้งไว้ในสถานที่ต่อสู้คือเหล่าอินทรีย์มากมายที่ตายเกลื่อนผิวน้ำ


ในขณะที่การต่อสู้บนเกาะไผ่เขียวก็รุนแรง แต่ก็ไม่อาจถือได้ว่ารุนแรงเกินไป เพราะทั้งคู่ได้ละทิ้งเกาะไปอย่างรวดเร็ว แต่อย่างไรก็ตามผลลัพธ์ของการต่อสู้นี้รุนแรงอย่างมาก


เดิมทีตาเฒ่าเฟิงคิดว่าจะมาที่ทะเลตะวันออกอย่างเงียบเชียบและกำจัดซ่งจงอย่างเงียบงันที่สุด จากนั้นเขาจะจากไปอย่างไร้ความวุ่นวาย


แต่ตาเฒ่าเฟิงไม่คาดคิดว่าซ่งจงจะเป็นคนที่รับมือได้ยากเช่นนี้ เมื่อเขาหนีออกมาได้มีผู้ฝึกตนหลายคนเห็นเขาแล้ว ในเวลานี้ตาเฒ่าเฟิงถูกเปิดเผยแล้วว่าเขาเข้ามาเพื่อฆ่าซ่งจงและตาเฒ่าเฟิงไม่อาจปิดปากคนพวกนี้ได้


หลังจากที่ได้เกิดเรื่องราวขึ้น ข่าวนี้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ประกอบกับความจริงที่เขาลักพาตัวของมู่ซื่อหรงซึ่งสถานะของนางนั้นไม่ธรรมดา ในตอนนี้ตาเฒ่าเฟิงไม่กล้าที่จะดันทุรังอีกต่อไป เขาไม่สามารถปกปิดสิ่งใดได้อีกแล้ว เขาจึงต้องปล่อยตัวมู่ซื่อหรงกลับไปทันทีเมื่อฮัวจิงฉือได้รู้ข่าวนี้


ในตอนนี้สำนักเสวียนเทียนที่อยู่ภายในทะเลตะวันออกกำลังสร้างความปั่นป่วนอย่างมากภายใต้การนำของฮัวจิงฉือ ทั้งหมดนำเรื่องนี้เสนอต่อหัวหน้ากลุ่มพันธมิตรทะเลตะวันออกโดยตรง


หัวหน้ากลุ่มพันธมิตรทะเลตะวันออกนั้นเป็นผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินขั้นสมบูรณ์ นามนั้นคือตงไห่ เขาไม่มีสำนักและเป็นผู้ฝึกตนประเภทไม่เข้าร่วมกับฝ่ายใด แต่ความจริงคือเขาแข็งแกร่งและเป็นมิตรกับผู้คน เขาจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้นำหัวหน้ากลุ่มพันธมิตรทะเลตะวันออก


แน่นอนว่าการเป็นผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินขั้นสมบูรณ์ เขาไม่มีเวลาจัดการกับกลุ่มพันธมิตรทะเลตะวันออก เขามักจะอาศัยอยู่อย่างสันโดษเพื่อเข้าสู่ระดับเฟินเสิน ดังนั้นการจัดการทั้งหมดจึงตกเป็นของรองหัวหน้าทั้งสี่คน


รองหัวหน้าทั้งสี่นั้นเป็นผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินมาจากหลายสำนัก เป็นผู้ฝึกตนธรรมะสองคนและอธรรมสองคน อย่างไรก็ตามทั้งสี่มักไม่เต็มใจที่จะจัดการเรื่องราวยุ่งยากภายในทะเลตะวันออก ทั้งหมดเก็บตัวฝึกฝนอยู่ในบ้านของตนเองอย่างเงียบเชียบ กิจกรรมทั้งหลายจึงตกเป็นหน้าที่ของผู้ฝึกตนระดับจินตัน


อย่างไรก็ตามความวุ่นวายในครั้งนี้มากเกินไป เพราะตาเฒ่าเฟิงนั้นเป็นผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน ผู้ฝึกตนระดับจินตันไม่สามารถจัดการกับเรื่องราวเหล่านี้ได้ ดังนั้นฮัวจิงฉือจึงต้องรายงานเรื่องนี้ต่อรองหัวหน้าทั้งสี่และหัวหน้ากลุ่มพันธมิตรทะเลตะวันออกโดยตรง!


หลังจากที่ทั้งหมดได้ยินเรื่องราวจากฮัวจิงฉือและมู่ซื่อหรง พวกเขาโกรธจัดทันที ตาเฒ่าเฟิงถูกก่นด่าอย่างเจ็บแสบ แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินที่อยู่สำนักพันปีศาจยังยืนอยู่เคียงข้างกับสำนักเสวียนเทียน ทั้งหมดมุ่งหน้าไปที่เกาะไผ่เขียวทันทีเพราะต้องการคำอธิบายจากตาเฒ่าเฟิง


แน่นอนว่าเหตุผลที่ทั้งหมดทำเช่นนี้เพราะตาเฒ่าเฟิงได้รุกล้ำกฎบรรทัดล่างสุดของทะเลตะวันออก ตาเฒ่าเฟิงได้ข้ามขีดจำกัดนั้นไป ถ้าหากไม่ได้รับบทเรียนในครั้งนี้ แน่นอนว่าผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินจากหลายสำนักคงจะมาที่นี่เพื่อสังหารเหล่าอัจฉริยะจนหมดสิ้น ถ้าหากเป็นเช่นนั้นทะเลตะวันออกจะวุ่นวายมากเพียงใด?


หากทะเลตะวันออกกลับสู่ความวุ่นวายอีกครั้ง จำนวนอสูรกายที่สามารถสังหารได้ก็จะน้อยลง ถ้าหากภารกิจเหล่านี้ได้รับผลกระทบ แน่นอนว่าเหล่าอสูรกายจะลุกขึ้นมาอีกครั้ง ผู้ฝึกตนที่อาศัยอยู่รอบเทือกเขาจะต้องกลับสู่ขุมนรกอีกครั้ง


ดังนั้นการกระทำที่น่ารังเกียจของตาเฒ่าเฟิงทำให้ทุกคนจับตามองอย่างรวดเร็ว ผู้นำทั้งห้าไม่คำนึงถึงสถานะตนเองที่เป็นธรรมะหรืออธรรม ทั้งหมดร่วมมือกันเพื่อจุดมุ่งหมายเดียวกัน


ตาเฒ่าเฟิงนั้นรู้อยู่แล้วว่าการกระทำของเขาในครั้งนี้จะทำให้เขากลายเป็นศัตรูกับผู้คนมากมาย เหตุผลทั้งหมดของเรื่องนี้คือเขาเกลียดชังซ่งจงมากเกินไป ถึงจุดที่ไม่สามารถจะอดทนเก็บไว้ได้อีกต่อไป แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้นตาเฒ่าเฟิงก็ไม่คิดที่จะเปิดเผยเรื่องนี้ เขาไม่ต้องการให้ปัญหาวิ่งเข้าหาตนเอง ดังนั้นเขาจึงวางแผนว่าจะจัดการกับซ่งจงเป็นการลับ แม้ว่าในอนาคตสำนักเสวียนจะมาถาม เขาก็จะปฏิเสธอย่างแน่นอน ในเมื่อต้องเผชิญหน้ากับสำนักเสวียนเทียนอยู่ร่ำไป แน่นอนว่าเขาจะไม่สร้างศัตรูโดยไร้เหตุผลอย่างแน่นอน


อย่างไรก็ตามเรื่องราวทั้งหมดเกินกว่าที่ตาเฒ่าเฟิงจะควบคุมได้ ในขณะที่เขาพยายามล่อลวงซ่งจง เขาไม่สามารถสังหารซ่งจงได้และข่าวได้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว ตาเฒ่าเฟิงนั้นไม่ใช่คนโง่ เมื่อเห็นว่าทุกอย่างได้พังทลายลงไป เขาไม่กล้าที่จะอยู่ในทะเลตะวันออกนานและคิดจะหลบหนีออกไปให้เร็วที่สุด


เช่นนี้เมื่อผู้นำทั้งห้ามาถึงเกาะไผ่เขียวเพื่อขอคำอธิบายจากตาเฒ่าเฟิง สิ่งที่ทั้งหมดเห็นคือมีเพียงผู้ฝึกตนระดับจินตันเท่านั้น


ทั้งหมดไม่สามารถจับกุมตาเฒ่าเฟิงได้ แต่พวกเขาก็ยังต้องการคำอธิบายเพื่อที่จะอธิบายต่อสำนักเสวียนเทียนได้!


ภายในห้องโถงของเกาะไผ่เขียวได้มีการประชุมฉุกเฉินขึ้นทันที การประชุมครั้งนี้นำโดยผู้นำแห่งกลุ่มพันธมิตรทะเลตะวันออก ผู้นำตงไห่นั้นเป็นชายชราที่อ่อนโยน เขามักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นพ่อค้าผู้ร่ำรวยถ้าหากมองโดยผิวเผิน


ด้านข้างของผู้นำตงไห่นั้นเป็นรองหัวหน้าทั้งสี่คน ด้านซ้ายคือผู้ฝึกตนอธรรมซึ่งเป็นคนไร้มารยาท เย็นชาดั่งก้อนหิน อีกคนหนึ่งเป็นบุรุษร่างกายกำยำอยู่ในชุดคลุมที่ดูดุร้าย ฝั่งขวาคือผู้ฝึกตนธรรมะ คนหนึ่งเป็นบุรุษและอีกคนเป็นสตรี ชายผู้นี้อยู่ในวัยกลางคน เขาอ่อนโยนและมีเสน่ห์ แต่สตรีกลับเป็นหญิงชราที่ถือไม้เท้าหัวมังกร ผมของนางสีเงินและหน้าตาของนางน่าเกรงขามอย่างยิ่ง ซึ่งตรงข้ามกับการเป็นผู้ฝึกตนธรรมะอย่างสิ้นเชิง


นอกจากห้าคนนี้ยังมีมู่ซื่อหรงและผู้ฝึกตนอธรรมจากสำนักพันปีศาจนามว่าซุยเอ๋อ นางเป็นผู้รับผิดชอบสถานที่แห่งนี้


เมื่อส่งคนที่ไม่จำเป็นออกไปจนหมดสิ้น ผู้นำตงไห่กล่าวออกมาอย่างสงบ “วันนี้ ฮัวจิงฉือจากสำนักเสวียนเทียนได้ร้องเรียนว่าตาเฒ่าเฟิงจากสำนักพันปีศาจได้รังแกเหล่ามือใหม่และต้องการสังหารศิษย์จากสำนักเสวียนเทียนโดยไร้เหตุผล พวกเจ้าสามารถบอกความจริงกับข้าได้หรือไม่!”


“เรื่องนั้น?” ซุยเอ๋อขมวดคิ้วก่อนที่จะกล่าวต่อ “รายงานอาวุโส ซ่งจงนั้นมาที่เกาะไผ่เขียวเพื่อสร้างปัญหา ในตอนสุดท้ายเขาได้พบกับลุงอาวุโสเฟิงที่มาเยี่ยมเยียนที่นี่บ้างเป็นครั้งคราว ซ่งจงนั้นถูกอาวุโสเฟิงสั่งสอนบทเรียนให้เนื่องจากเขาไร้มารยาทและหยาบคายมากเกินไปเท่านั้น!”


“ไร้สาระ!” เมื่อฮัวจิงฉือได้ยินเช่นนั้น เขาคำรามออกมาทันที “เห็นได้ชัดว่าตาเฒ่าเฟิงนั้นได้รับข่าวจากแม่มดเปลือยกาย มันรอซ่งจงอยู่ที่นี่เสมอ! ซ่งจงที่น่าสงสารของข้าต้องมาถูกหลอกโดยแม่มดสวะนั่น! ทั้งหมดเป็นกับดักของสำนักพันปีศาจ!”


“นักบวชฮัว!” เมื่อซุยเอ๋อได้ยินเช่นนั้น นางอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมา “เกาะไผ่เขียวนั้นเป็นสมบัติของสำนักพันปีศาจ! ใครใช้ให้ไขมันบัดซบผู้ที่คิดว่าตนเองเก่งกาจมากพอมาฉกฉวยมันไป?”


“บัดซบ!” ฮัวจิงฉือตะโกนออกมา “เกาะไผ่เขียวนั้นเป็นสมบัติสาธารณะของกลุ่มพันธมิตรทะเลตะวันออก ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่มันเป็นของสำนักพันปีศาจ? หลานชายของข้าได้รับรางวัลเนื่องจากเขาสามารถสังหารราชาฉลามดำได้ ถ้าหากเขาต้องการเกาะไหน มันก็จะเป็นของเขา พวกเจ้ามีสิทธิ์อะไรที่จะไล่ล่าเขา?”


“เรื่องนั้น…” เมื่อซุยเอ๋อได้ยินเช่นนั้น นางหมดคำพูดทันที


แน่นอนว่าสำนักพันปีศาจไม่ได้เป็นเจ้าของเกาะไผ่เขียวโดยสมบูรณ์ อีกทั้งตอนนี้นางอยู่ต่อหน้าผู้นำทั้งห้า ดังนั้นนางจึงไม่สามารถดื้อดึงได้ แน่นอนว่านางไม่สามารถกล่าวอะไรต่อได้อีก


ฮัวจิงฉือเป็นคนฉลาด ขณะที่เขาเห็นว่าซุยเอ๋อนั้นหมดคำพูด เขาเริ่มกดดันนางอย่างรุนแรง “หลานซ่งของข้ามาเหยียบทะเลตะวันออกเพียงไม่กี่เดือน แต่เขากลับไล่ราชันเหยียวฟ้า เหลยซานเอ๋อออกไปได้ อีกทั้งยังสังหารราชาฉลามดำและช่วยเหลือผู้ฝึกตนที่ถูกจับเป็นเชลยครึ่งร้อย! ผลงานของเขาโดดเด่นอย่างมาก แต่บุคคลที่มีความสามารถเช่นนี้กลับไม่ได้ตายตกไปเพราะอสูรกาย แต่กลับตายตกไปเพราะผู้คนจากสำนักพันปีศาจ! นอกจากนี้ยังเป็นการดำเนินการอย่างลับ ๆ ของผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน ซ่งจงเป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิเท่านั้น! สำนักพันปีศาจรังแกเขาด้วยวิธีที่น่ารังเกียจ นี่คือสิ่งที่ทำให้ข้าโกรธอย่างแท้จริง ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับหลานของข้า!”


จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตนนี้พูดไปพร้อมกับน้ำตาอาบสองแก้ม ทำให้เขาดูน่าสงสารอย่างมาก เช่นนี้ผู้นำทั้งห้ารู้สึกเห็นอกเห็นใจเขามากยิ่งขึ้นกว่าเดิม


“เหอะ!” ผู้นำตงไห่ไม่เปิดโอกาสให้ซุยเอ๋อได้ตอบ เขากล่าวออกมาทันที “เจ้า กล่าวความจริงออกมา ตาเฒ่าเฟิงดำเนินการจัดการกับซ่งจงอย่างลับ ๆ ใช่หรือไม่? เขาทำหรือไม่ได้ทำ?”


ในตอนนี้เรื่องราวได้เกินเลยไปไกลแล้ว ซุยเอ๋อไม่สามารถต้านทานแรงกดดันของผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินทั้งห้าได้ นางได้แต่เพียงกล่าวออกมาเบา ๆ “เขาทำ!”


“บัดซบ!” เมื่อผู้นำตงไห่ได้ยินเช่นนั้น เขากัดฟันด้วยความโกรธ “เขาทำเช่นนั้นจริงงั้นหรือ? ตาเฒ่าเฟิงไร้ยางอายเกินไปแล้ว!”


“ข้าเห็นด้วย เหตุใดกันจึงทำให้เขาทำเรื่องเช่นนี้ได้?” บุรุษผู้มาจากสำนักฝ่ายธรรมะกล่าวอย่างโกรธเคือง


“น่ารังเกียจ!” สตรีผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินคำรามออกมา “ตาเฒ่าเฟิงช่างน่ารังเกียจ เราจะไม่ปล่อยเขาไปอย่างง่ายดาย!”


“ไม่เพียงแค่ตาเฒ่าเฟิง!” ผู้นำตงไห่ชี้ไปที่ซุยเอ๋อพร้อมตะโกนออกมา “ศิษย์ของสำนักพันปีศาจทั้งหมดในที่นี้ด้วยเช่นกัน! พวกเจ้านั้นไร้ความสามารถที่จะสังหารเหล่าทูตจากจักรวรรดิทะเลตะวันออกและมีความสามารถในการแทงข้างหลังคนอื่นเท่านั้น การกระทำเช่นนี้น่ารังเกียจเกินไป!”


ซุยเอ๋อหดคอลงอย่างหวาดกลัวและไม่กล้าตอบกลับสิ่งใด


ฮัวจิงฉือที่อยู่ด้านข้างไม่ลืมที่จะเติมเชื้อเพลิงลงไปในกองไฟ “ท่านผู้นำ เราสามารถลงโทษได้ภายในหลัง ข้าหวังว่าท่านจะมีเมตตาและช่วยเหลือซ่งจงก่อน! เด็กที่น่าสงสารเช่นนั้นแม้ว่าเขาจะตาย เขาก็ควรจะมีหลุมฝังศพของตนเอง!”


ในความเป็นจริงฮัวจิงฉือนั้นไม่สนใจว่าซ่งจงจะเป็นหรือตาย เขาเพียงแค่อยากจะใช้ความตายของซ่งจงเพื่อเรียกร้องความสนใจจากผู้นำทั้งห้า เพื่อให้สำนักเสวียนเทียนได้รับผลประโยชน์อย่างยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะมู่ซื่อหรงที่เป็นภรรยาของซ่งจง นางจะได้รับมรดกทั้งหมดของเขา อีกทั้งซ่งจงยังครอบครองเกาะวิญญาณได้หนึ่งเกาะ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้สำนักเสวียนเทียนจะสามารถครอบครองเกาะไผ่เขียวได้จากการตายของซ่งจง นับว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด!


บทที่ 249: เทพธิดาชิงหยุน


แน่นอนว่าผู้นำตงไห่นั้นไม่รู้ถึงแผนการของฮัวจิงฉือ เมื่อเขาได้ยินว่าฮัวจิงฉือเป็นห่วงซ่งจงมากเพียงใด เขาคิดเพียงว่าฮัวจิงฉือเป็นห่วงศิษย์น้องของตนเองเท่านั้น เขามองไปที่ฮัวจิงฉือด้วยความชื่นชมและหันไปพูดกับซุยเอ๋อ “พูดออกมาว่าซ่งจงอยู่ที่ไหน? เขาตายหรือยังมีชีวิตอยู่?”


ทุกคนที่ยืนอยู่ในตอนนี้คิดว่าซ่งจงนั้นตายไปแล้วอย่างแน่นอน เพราะเขาเป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิเท่านั้น เขาจะสามารถหลบหนีจากผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินได้อย่างไร? ในความจริงถือว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์อย่างมากที่เขาหนีไปจากเกาะไผ่เขียวได้


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ฮัวจิงฉือและมู่ซื่อหรงตกใจทันทีเมื่อคิดว่าซ่งจงนั้นตายไปแล้ว ทั้งคู่มั่นใจอย่างมากว่าสิ่งนี้จะตามมาด้วยปัญหาอย่างแน่นอน


อย่างไรก็ตาม ฮัวจิงฉือและมู่ซื่อหรงไม่ได้คาดคิดว่าซุยเอ๋อจะตอบกลับมาเช่นนี้ “รายงานอาวุโส ซ่งจงยังไม่ตาย!”


“ว่าอะไร?” ทุกคนตกใจทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น


โดยเฉพาะมู่ซื่อหรงและฮัวจิงฉือ ใบหน้าของพวกเขาแสดงออกถึงความไม่เชื่อถือ สำหรับมู่ซื่อหรงนั้นหัวใจของนางกำลังบีบรัดอย่างรุนแรงพร้อมกับคิดในใจ ‘เจ้าตัวปัญหานี่ยังไม่ตายงั้นหรือ? ถ้าหากเขามีชีวิตรอดกลับมา ข้าจะต้องถูกลงมือจนตายตกอย่างแน่นอนเพราะข้านั้นทิ้งเขาในช่วงที่เขาอยู่ในอันตราย’


ผู้นำตงไห่ที่ได้ยินเช่นนั้น เขาถามออกไปอย่างตื่นเต้น “เช่นนั้นเขาอยู่ที่ไหน?”


“เขาได้รับการช่วยเหลือจากราชันเหยี่ยวฟ้า เหลยซานเอ๋อ!” ซุยเอ๋อตอบกลับอย่างสงบ


“ว่าอะไรนะ?” เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้น ต่างพากันสับสนทันที


ผู้นำตงไห่นั้นดวงตาเบิกกว้างทันทีด้วยความตกใจ “เหลยซานเอ๋อช่วยเหลือซ่งจง? ข้าหูฝาดรึเปล่า? เหลยซานเอ๋อนั้นมีจิตใจงดงามตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”


“เขาถูกจับไปโดยเหลยซานเอ๋อใช่หรือไม่?” หญิงชรากล่าวออกมา


“ไม่ ไม่ใช่เลย เขาไม่ถูกจับ เขาถูกช่วยเหลือ!” ซุยเอ๋อรีบอธิบาย “อาวุโสลุงกล่าวว่าในขณะที่เขากำลังจะจับซ่งจงได้ เหลยซานเอ๋อปรากฎตัวขึ้นและโจมตีเขาด้วยทุกอย่างที่นางมี จากนั้นนางคว้าร่างกายที่หมดสติของซ่งจงและหนีไป อาวุโสลุงได้ยินเหลยซานเอ๋อเรียกซ่งจงว่า ฝ่าบาทน้อย เห็นได้ชัดว่าซ่งจงนั้นไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นสายลับที่จักรวรรดิทะเลตะวันออกส่งมา!”


เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้น ทั้งหมดตกใจก่อนที่จะถอนหายใจออกมาอย่างรังเกียจ ผู้นำตงไห่ได้แต่หัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “เด็กน้อย เจ้ากำลังพยายามโกหกใครอยู่? ถ้าหากซ่งจงเป็นสายลับ เขาจะสังหารราชันฉลามดำเพื่ออะไร?”


ฮัวจิงฉือหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น “ซ่งจงเกิดในสำนักเสวียนเทียนและครอบครัวของเขาอยู่ในสำนักเสวียนเทียน นอกจากนั้นบิดาของเขายังเป็นศิษย์คนสำคัญของจ้าวสำนักและชื่อของซ่งจงนั้นถูกตั้งโดยจ้าวสำนักคนก่อน ถ้าหากเจ้ากล่าวว่าเขาเป็นสายลับ นั่นเท่ากับว่าเจ้าพูดว่าคนที่มาจากสำนักเสวียนเทียนเป็นสายลับใช่หรือไม่?”


“นี่มันเรื่องไร้สาระ!” ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินกล่าวออกมาพร้อมขมวดคิ้ว “ซ่งจงนั้นอยู่ในระดับปฐมภูมิเท่านั้น ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะหลบหนีจากผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน เขาอาจจะถูกสังหารโดยตาเฒ่าเฟิงไปแล้ว เหตุใดเจ้าจึงคิดโกหก?”


“ถูกต้อง แม้ว่าเจ้าจะโกหก แต่ช่วยโกหกให้ดีกว่านี้หน่อยเถิด คำอธิบายเช่นนี้นั้นดูถูกสติปัญญาของพวกเราเกินไป!” ผู้ฝึกตนอธรรมอีกคนกล่าวออกมา


ในตอนนี้ทุกคนสงสัยนาง ซุยเอ๋อทำอะไรไม่ถูกทันที ดังนั้นนางจึงกล่าวออกมาว่า “อาวุโส เรื่องนี้ เรื่องนี้นั้นอาวุโสลุงได้บอกต่อให้กับข้า! เขาคืออาวุโสของข้า แน่นอนว่าข้าจะต้องพูดตามที่เขาได้บอกกล่าวมา!”


เมื่อนางกล่าวเช่นนั้น ทุกคนเข้าใจซุยเอ๋อแต่ก็ไม่มีใครเชื่อสิ่งที่ตาเฒ่าเฟิงกล่าว เรื่องเหล่านี้นั้นไร้สาระเกินไป ในไม่กี่พันปีมานี้ เหล่าอสูรกายนั้นไม่เคยส่งสายลับมาก่อน ในครั้งนี้เป็นเพียงตาเฒ่าเฟิงรังแกศิษย์อย่างไร้เหตุผล อีกทั้งยังกล่าวหาว่าซ่งจงเป็นสายลับ นอกจากนี้ซ่งจงยังเป็นคนสังหารราชันฉลามดำ ใครกันจะคิดเชื่อเรื่องนี้?


ฮัวจิงฉือคร่ำครวญออกมาอย่างขื่นขม “อาวุโส สำนักพันปีศาจนั้นทำตัวน่ารังเกียจอย่างมาก! เห็นได้ชัดว่าพวกเขาทั้งหมดตั้งใจที่จะซุ่มโจมตี ตอนนี้เขายังกล่าวหาว่าหลานชายสุดที่รักของข้าเป็นสายลับอีกงั้นหรือ? สวรรค์ พวกเขาช่างเหยียดหยามซ่งจงมากเกินไปแล้ว! ข้าหวังว่าอาวุโสจะทวงคืนความยุติธรรมให้กับพวกเรา!”


ผู้นำตงไห่ก็โกรธมากเช่นกัน เมื่อเขาได้ยินเช่นนั้น เขาตอบกลับอย่างเด็ดขาด “ไม่ต้องกังวล ข้าจะตัดสินอย่างยุติธรรมที่สุด!”


ผู้นำตงไห่และรองหัวหน้าทั้งสี่เริ่มถกเถียงเรื่องนี้ผ่านกระแสจิต หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาทั้งหมดได้ข้อสรุป ผู้นำตงไห่กล่าวออกมาอย่างเด็ดขาด “เกี่ยวกับการกระทำที่น่ารังเกียจของสำนักพันปีศาจ พวกเราทั้งห้าคนได้คุยกันแล้วและได้ข้อสรุปว่า ทะเลตะวันออกจะทำเครื่องหมายว่าตาเฒ่าเฟิงเป็นอาชญากรที่เราต้องการตัว ตราบใดที่เขามาปรากฏตัวที่นี่ เขาจะต้องถูกจับตายเท่านั้น!”


สำหรับซุยเอ๋อที่ยินเช่นนั้น ใบหน้าของนางเปิดเผยรอยยิ้มอันขมขื่นออกมา แท้จริงแล้วหมายจับนี้ไม่ได้รุนแรงมากนัก แทนที่จะเรียกว่าหมายจับเรียกว่าการห้ามเข้าพื้นที่เสียมากกว่า อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นเรื่องเล็ก ในช่วงเวลานี้เขาถูกตั้งให้เป็นอาชญากร ใบหน้าของตาเฒ่าเฟิงคงจะไม่เหลือให้เชิดหน้าชูตาอีกต่อไป แน่นอนว่าผู้ฝึกตนที่ทรงพลัง มักจะยึดถือศักดิ์ศรีมากกว่าสิ่งใด การทำเช่นนี้เท่ากับว่ากลุ่มพันธมิตรทะเลตะวันออกได้ตบหน้าเขาอย่างรุนแรง


แน่นอนว่าการตบเท่านี้ยังไม่เพียงพอสำหรับตาเฒ่าเฟิง หลังจากหยุดไปชั่วครู่ผู้นำตงไห่กล่าวต่อ “นับตั้งแต่นี้ต่อไป ในฐานะที่ซ่งจงเป็นหัวหน้าทะเลตะวันออก สถานที่แห่งนี้เป็นของเขาทันที แต่ในตอนนี้เขาไม่ได้อยู่ที่นี่ สถานที่แห่งนี้จะถูกดูแลโดยภรรยาของเขานั่นคือมู่ซื่อหรง คนของสำนักพันปีศาจจะต้องออกจากสถานที่แห่งนี้ทั้งหมด ถ้าหากผู้ใดกล้าที่จะอยู่ตรงนี้ อย่าให้กล่าวโทษว่าข้าไร้เมตตา!”


เมื่อซุยเอ๋อได้ยินเช่นนั้น นางได้แต่คร่ำครวญอยู่ภายในใจ ทุกคนรู้ดีว่าเกาะไผ่เขียวนั้นไม่ได้เป็นเพียงเกาะวิญญาณ ทุกสิ่งที่แม่มดเปลือยกายกล่าวออกมานั้นเป็นความจริง! เถาวัลย์มังกรปฐพีนั้นอยู่ใต้เกาะแห่งนี้ นอกจากนี้มันมีอายุมากแล้ว ดังนั้นถือว่ามันเป็นเกาะที่มีค่าอย่างยิ่งภายในทะเลตะวันออก


ในตอนนี้ทั้งหมดต้องมอบเกาะนี้ให้กับสำนักเสวียนเทียน ซุยเอ๋อซึ่งเป็นคนรับผิดชอบสถานที่แห่งนี้จะไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรจากมันอีกต่อไป ถ้าหากบอกว่านางไม่เสียใจนั้นคงเป็นการโกหก!


ผู้นำทั้งห้าจ้องมองนางอย่างเย็นชา แล้วนางจะทำอะไรได้บ้างในฐานะผู้ฝึกตนระดับจินตัน? นอกจากนี้พวกนางทำผิดอย่างสมบูรณ์และไม่สามารถโต้แย้งได้ ซุยเอ๋อได้แต่ยอมรับอย่างไม่อาจทำอะไรได้และจัดการให้ศิษย์จากสำนักพันปีศาจทั้งหมดออกไปอย่างรวดเร็ว อีกทั้งศิษย์จากสำนักเสวียนเทียนเข้ายึดพื้นที่ทันที สำหรับมู่ซื่อหรงนางได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าของเกาะโดยใช้ชื่อภรรยาของซ่งจง ตราบใดที่เขายังไม่ปรากฏตัว นางคือเจ้าของเกาะ!


เมื่อเหตุการณ์ทั้งหมดจบลง ฮัวจิงฉือและมู่ซื่อหรงพอใจอย่างมาก ทั้งสองขอบคุณผู้นำทั้งห้าอย่างยินดี ทั้งหมดเมื่อตัดสินใจเสร็จสิ้นพวกเขาไม่ได้ทำอะไรต่อพร้อมกับบินกลับไปที่บ้านของตน มู่ซื่อหรงอาศัยอยู่บนเกาะไผ่เขียวทันที ในขณะที่ฮัวจิงฉือเดินทางกลับไปที่อาคารพันบุปผาเมื่อส่งข่าวกลับสำนักเสวียนเทียน


ภายในสำนักเสวียนเทียน นักบวชฮัวอวิ๋นกำลังอยู่ในห้องนอนกับภรรยาทั้งเจ็ดของตน


เมื่ออ่านข้อความที่ฮัวจิงฉือส่งมา นักบวชฮัวอวิ๋นได้รับรู้ว่าซ่งจงตายแล้วและมู่ซื่อหรงได้เป็นหัวหน้าทะเลตะวันออกในนามภรรยาของซ่งจง เขาทั้งตกใจและร่าเริงในขณะเดียวกัน เขาตกใจที่ซ่งจงตายและก็ดีใจที่ได้รับรางวัลเป็นเกาะไผ่เขียว แน่นอนว่าเขาเพียงแค่เสียใจเล็กน้อยเท่านั้น ผลงานของซ่งจงนั้นเป็นเลิศแม้กระทั่งยามตาย นักบวชฮัวอวิ๋นรู้สึกดีใจที่ตนเองให้ความสำคัญกับเขา แน่นอนว่าลึก ๆ แล้วฮัวอวิ๋นก็เสียใจอยู่ไม่น้อย


ในขณะที่เขากำลังหลับนอนกับภรรยาทั้งเจ็ด เขารู้สึกแปลกอยู่บ้าง ใบหน้าของเขามองไปเห็นเงาดำที่ยืนอยู่ในห้อง บุคคลนี้เข้าห้องเขามาโดยที่ไม่ส่งเสียงอะไรเลย


นักบวชฮัวอวิ๋นตกใจทันที ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าสำนักเสวียนเทียนนั้นเต็มไปด้วยอาคมป้องกันอย่างแน่นหนา อีกทั้งยังมีค่ายกลมากมายและเหล่าศิษย์ที่คอยลาดตระเวนอย่างต่อเนื่อง บุคคลนี้ปรากฏตัวในสถานที่แห่งนี้ได้อย่างไร? เหตุใดด้วยพลังของฮัวอวิ๋นจึงไม่สามารถตรวจจับได้? เขารู้ตัวเมื่อบุคคลผู้นี้ปลดปล่อยพลังของตนเองออกมาเพื่อให้เขารู้สึกตัว


ฮัวอวิ๋นรู้สึกประหม่าทันที เขากอดภรรยาไว้พร้อมถามออกไปอย่างระมัดระวัง “เจ้าเป็นใคร? ทำไมจึงมายืนอยู่ที่สำนักเสวียนเทียน?”


“ข้าเอง!” เป็นเสียงของสตรีที่ดังขึ้น


หลังจากนักบวชฮัวอวิ๋นได้ยินเช่นนั้น เขาผ่อนคลายลงพร้อมกับหัวเราะอย่างขมขื่น “เจ้าเองงั้นหรือ? เหตุใดจึงมาพบข้าเวลานี้กัน? เจ้าต้องการให้ข้าตกใจจนตายเลยงั้นหรือ?”


“มันเป็นเรื่องด่วน!” นางตอบกลับอย่างสงบ


“งั้นหรือ!” เมื่อนักบวชฮัวอวิ๋นได้ยินเช่นนั้น เขาขมวดคิ้วทันที “สิ่งที่ทำให้เจ้ากังวลก็คงจะเป็นเรื่องสำคัญอย่างแน่นอน ถูกไหม?”


“แน่นอน!” นางตอบกลับช้า ๆ! นางหันไปรอบพร้อมกับปิดประตู


เมื่อนักบวชฮัวอวิ๋นเห็นเช่นนั้น เขาหัวเราะออกมาพร้อมกับกล่าวกับภรรยาทั้งเจ็ด “กลับไปพักผ่อนก่อน คืนนี้พวกเจ้าไม่ต้องรับใช้ข้า!”


ทั้งหมดตอบรับพร้อมเดินออกไปอย่างรวดเร็ว


หลังจากที่ทุกคนออกไป สตรีลึกลับปิดผนึกประตูด้วยอาคมของตนเอง พร้อมทั้งร่ายอาคมจำกัดพื้นที่เพื่อไม่ให้ผู้ใดแอบฟังได้


เมื่อนักบวชฮัวอวิ๋นได้ยินเช่นนั้น เขากล่าวอย่างขื่นขม “พี่สาวข้า สถานที่แห่งนี้คือที่ของข้า ท่านไม่ต้องระมัดระวังมากก็ได้ ไม่มีผู้ใดแอบดูอย่างแน่นอน!”


“จะดีกว่าถ้าหากระมัดระวัง!” สตรีลึกลับกล่าวออกมา ในเวลานั้น นางนั่งลงตรงหน้าของนักบวชฮัวอวิ๋นพร้อมกับถอดหน้ากากออกเผยให้เห็นใบหน้าที่สวยงามของนาง หากมีใครเคยพบกับนางแน่นอนว่าจะต้องตกอยู่ในความตื่นตระหนกอย่างแน่นอน เพราะบุคคลผู้นี้คือพี่สาวของฮัวอวิ๋น สถานะของนางคือผู้นำหอเฉวียนจี้ เทพธิดาชิงหยุน!


บทที่ 250: แผนการลับ


“พี่สาว เหตุใดเจ้าจึงมาหาข้าในเวลาที่เลวร้ายเช่นนี้ล่ะ? หรือเป็นเพราะว่าอาวุโสเสวียนจี้วางแผนจะก่อความวุ่นวาย?” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกไปอย่างไม่จริงจังพร้อมด้วยรอยยิ้มที่ยียวน เห็นได้ชัดว่าเขาทั้งคู่ค่อนข้างสนิทกัน


แต่นักบวชฮัวอวิ๋นไม่คาดคิดว่าคำพูดของเขาจะทำให้เทพธิดาชิงหยุนแสดงสีหน้าที่กังวลมากกว่าเดิม จากนั้นนางกล่าวออกมาอย่างขื่นขม “พวกเขาไม่ได้ทำเช่นนั้น มันเป็นเพียงเรื่องของเวลา!”


“ว่าอะไร?” นักบวชฮัวอวิ๋นตกใจทันที พร้อมกับถามต่อ “เจ้ากำลังล้อเล่นงั้นหรือ? เหตุใดพวกเขาจึงคิดจะก่อกบฏ?”

“เพราะข้ากำลังจะมีปัญหาในไม่ช้า ดังนั้นข้าเลยมาหาเจ้าเพื่อขอความช่วยเหลือ!” เทพธิดาชิงหยุนกล่าวออกมาอย่างเคร่งเครียด


“เหตุใดจึงพูดจาเคร่งเครียดเช่นนั้น? พวกเรานั้นเป็นพี่น้องท้องเดียวกัน ผ่านทุกข์และสุขมานับไม่ถ้วน ถ้าหากมีสิ่งใดที่เจ้าต้องการจากข้า แน่นอนว่าข้าไม่ลังเลเลยที่จะช่วยเหลือ!” นักบวชฮัวอวิ๋นตอบอย่างจริงใจ


นักบวชฮัวอวิ๋นและเทพธิดาชิงหยุนนั้นเติบโตขึ้นมาด้วยกัน ทั้งคู่นั้นอยู่ใกล้ชิดบิดามารดาตัวเองอย่างมาก ในอดีตนักบวชฮัวอวิ๋นมักจะโดนรังแกเพียงเพราะเขาอ่อนแออยู่เสมอ แต่เทพธิดาชิงหยุนนั้นเต็มไปด้วยพรสวรรค์ นางปกป้องน้องชายผู้นี้เสมอมา หลังจากที่เข้าสู่โลกของผู้ฝึกตนทั้งสองแยกกันไป แม้ว่าจะไม่ได้พบกัน แต่สายสัมพันธ์ของทั้งคู่นั้นแน่นเฟ้นยิ่งนัก


ดังนั้นเมื่อนักบวชฮัวอวิ๋นพบว่าเทพธิดาชิงหยุนนั้นพบกับปัญหา เขามักจะช่วยเหลือนางอย่างเต็มที่โดยไม่ลังเล


เมื่อได้ยินนักบวชฮัวอวิ๋นตอบเช่นนั้น เทพธิดาชิงหยุนรู้สึกลำบากใจทันที “โอ้ จะให้ข้าพูดอย่างไร นี่เป็นเรื่องที่ยากต่อการพิจารณาอย่างมาก!”


“โอ เรื่องนี้หากไม่ใช่ก่อปัญหาแก่เจ้า เจ้าก็คงไม่มาหาข้าไม่ใช่หรือ?” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวอย่างสบาย ๆ จากนั้นเขากล่าวเสริม “เอาล่ะ! พี่สาวแค่พูดมันออกมา ข้าจะตัดสินใจเองว่าสามารถช่วยได้หรือไม่!”


เทพธิดาชิงหยุนเงยหน้าขึ้นฟ้าพร้อมกล่าวว่า “ข้าคิดว่าเจ้าคงจะรู้เรื่องข่าวล่าสุดของทะเลตะวันออกแล้ว”


“ข่าวล่าสุด?”  นักบวชฮัวอวิ๋นถามพร้อมกล่าวต่อ “ข้าเพิ่งได้รับจดหมายจากฮัวจิงฉือ เขากล่าวว่าซ่งจงตายและมู่ซื่อหรงได้เป็นหัวหน้าทะเลตะวันออก ด้วยความช่วยเหลือของผู้นำกลุ่มพันธมิตรทะเลตะวันออก มู่ซื่อหรงได้ครอบครองเกาะไผ่เขียว ข้ารู้เพียงเท่านี้ พี่สาวมีสิ่งใดกล่าวเสริมหรือไม่?”


เทพธิดาชิงหยุนหยักหน้าพร้อมกับขมวดคิ้วและตอบกลับว่า “สิ่งเดียวที่เจ้ากล่าวผิดคือซ่งจงยังไม่ตาย!”


“เป็นเช่นนั้น!” เมื่อได้รับข่าวใหม่ นักบวชฮัวอวิ๋นตกใจทันทีพร้อมถามต่อ “พี่สาว ล้อเล่นใช่หรือไม่? แน่นอนว่าซ่งจงตายในเงื้อมือของตาเฒ่าเฟิง เหตุใดเขาจึงยังไม่ตายกันเล่า?”


“เพราะว่าตาเฒ่าเฟิงนั้นโง่เขลา งี่เง่าที่สุด!” เทพธิดาชิงหยุนกล่าวออกมาด้วยความโกรธ “เป็นถึงผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน แต่เขาไม่สามารถแม้แต่จะแลกเปลี่ยนกับซ่งจงได้ อีกทั้งยังต้องใช้อาคมต้องห้ามด้วยการระเบิดสมบัติวิเศษขั้นแปดเพื่อเอาชนะซ่งจง แม้ทำทุกอย่างแล้วเขาก็ไม่สามารถสังหารซ่งจงได้ ซ่งจงนั้นหนีหายไปไกลจนพบกับเหลยซานเอ๋อ!”


หลังจากที่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมด นักบวชฮัวอวิ๋นตกใจพร้อมกับกล่าวต่อด้วยรอยยิ้ม “พี่สาวได้ยินเรื่องนี้มาจากที่ใดกัน? มันไม่น่าเชื่อถือเลยแม้แต่น้อย ซ่งจงนั้นอยู่ในระดับปฐมภูมิเท่านั้น ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งอย่างไรก็ไม่สามารถเอาชนะตาเฒ่าเฟิงที่ใช้อาคมปีศาจเข้าสู่ร่างกายได้ นอกจากนี้มันยังรุนแรงอย่างมาก เหตุใดจึงไม่สามารถสังหารเขาได้? แถมเหลยซานเอ๋อยังเป็นอสูรกาย ทำไมนางจะต้องช่วยเหลือซ่งจง? เป็นนางหรือที่ไม่ต้องการให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ต่อสู้กันจนถึงแก่ความตาย?”


เทพธิดาชิงหยุนมองที่ฮัวอวิ๋นพร้อมกับพูดอย่างเคร่งเครียด “เจ้าพูดมีเหตุผล แต่สิ่งที่ข้ากล่าวคือความจริง นี่คือข้อมูลที่ตาเฒ่าเฟิงมอบให้ข้าและเขาไม่มีวันกล้าที่จะโกหกข้า!”


นักบวชฮัวอวิ๋นรู้ความสัมพันธ์ของตาเฒ่าเฟิงและเทพธิดาชิงหยุนมานานแล้ว แต่เขาไม่รู้ว่าทั้งคู่ใกล้ชิดกันมากแค่ไหน นักบวชฮัวอวิ๋นคิดว่าตาเฒ่าเฟิงนั้นยอมอ่อนข้อให้กับเทพธิดาชิงหยุนเท่านั้นและถูกใช้เพื่อเป็นสายลับภายในสำนักพันปีศาจ!


เมื่อได้ยินคำพูดนี้ออกจากปากของเทพธิดาชิงหยุน นักบวชฮัวอวิ๋นเริ่มมีโทสะและเปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็ว “ตาเฒ่าเฟิงไม่ได้โกหกจริงงั้นหรือ?”


“แน่นอนว่าข้าให้เขาใช้โลหิตสาบาน นอกจากนี้เรื่องนี้ยังสำคัญอย่างมาก เขาไม่กล้าที่จะโกหกแน่นอน เขาต่ำต้อยเกินกว่าที่จะโกหกข้า!” เทพธิดาชิงหยุนกล่าวออกมาอย่างเคร่งเครียด “ดังนั้นข้าจึงมั่นใจมากว่านี่คือเรื่องจริง”


“สวรรค์ มันเป็นไปได้อย่างไร?” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวอย่างตกใจ “แม้ว่าข้าจะรู้จักเจ้าอ้วนเป็นการส่วนตัว แต่ข้าไม่เคยคิดว่าเขาจะแข็งแกร่งจนสามารถแลกเปลี่ยนกับตาเฒ่าเฟิงที่ใช้ปีศาจเข้าสู่ร่างกายได้!”


เทพธิดาชิงหยุนถอนหายใจพร้อมกล่าวต่อ “เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้ ตาเฒ่าเฟิงนั้นไม่ควรถูกตำหนิ ไขมันนั่นเพียงแค่มีโชคอย่างมาก แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าอยู่ในมือของเขา”


“ข้าเพิ่งได้รู้เมื่อเร็ว ๆ นี้เช่นกัน” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวอย่างขื่นขม “ข้อมูลนี้มู่ซื่อหรงเป็นคนบอกข้า เจ้าบัดซบนั่นช่างปากแข็งยิ่งนัก!”


“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็รู้มานานแล้ว?” เทพธิดาชิงหยุนบ่นฮัวอวิ๋นต่อ “ทำไมเจ้าไม่คิดจะทำอะไรสักอย่าง?”


“นั่นเป็นเพราะซ่งจงนั้นพัฒนาไปไกลมากแล้ว นอกจากนี้เขาอยู่ในทะเลตะวันออกและอิทธิพลของข้าไปไม่ถึง” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวต่อ “แม้ว่าจะรวมพลังกับภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า แต่ตาเฒ่าเฟิงก็ควรจะสังหารเขาได้หรือไม่ใช่? ยังไงท้ายที่สุดแล้วระยะห่างของทั้งสองคนนั้นมากเกินไป”


“เพียงแค่ภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า แน่นอนว่าตาเฒ่าเฟิงไม่ต้องเกรงกลัว แต่ปัญหาก็คือเขามีสมบัติวิญญาณชิ้นอื่นอีก!” เทพธิดาชิงหยุนกล่าวอย่างขุ่นเคือง “นี่มันเรื่องอะไรกัน ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินไม่สามารถหามันได้ แต่ซ่งจงครอบครองถึงสองสิ่ง!”


นักบวชฮัวอวิ๋นตกใจพร้อมตอบกลับ “พี่สาว เขามีสมบัติอะไรอีก? มันคืออะไร?”


“ระฆังทองแดง! จากคำพูดของตาเฒ่าเฟิง ระฆังใบนี้เคลือบด้วยวัสดุระดับต่ำทำให้ดูไร้ค่า ไม่ว่าจะใช้อาคมใดก็ไม่สามารถทำลายได้เลย อีกทั้งระฆังนี้ยังส่งพลังคลื่นเสียงเพื่อทำลายภูเขาทั้งลูกได้! ในจุดนี้เขารู้สึกว่าระฆังไม่ธรรมดา จึงต้องใช้อาคมปีศาจเข้าสู่ร่างกาย จนท้ายที่สุดเขาสามารถลอกเปลือกนอกของมันออกได้จนหมด เผยให้เห็นระฆังที่น่าเกรงขามอยู่ด้านใน!” เทพธิดาชิงหยุนตอบกลับ


นักบวชฮัวอวิ๋นตบต้นขาตัวเองอย่างแรงพร้อมสาปแช่งออกมา “ไขมันบัดซบ มันกล้ามากที่เล่นกับข้าเช่นนี้!”


เทพธิดาชิงหยุนถามกลับอย่างอยากรู้อยากเห็น “อะไรหรือ? เกิดอะไรขึ้น?”


นักบวชฮัวอวิ๋นตอบกลับ “สิ่งที่พี่สาวไม่รู้ก็คือระฆังใบนี้สามารถปล่อยคลื่นเสียงออกมาระหว่างที่เขาต่อสู้กับฉุ่ยจิ้ง ทำให้เหล่าศิษย์บริเวณนั้นเข้าใจกฎแห่งสวรรค์ขึ้นมา พร้อมทั้งมีเจ็ดคนที่ผ่านสภาวะตีบตันเข้าสู่ระดับจินตันได้อย่างง่ายดาย!”


“โอ้ มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นด้วยงั้นหรือ?” เทพธิดาชิงหยุนอุทานออกมา “ในเวลานั้นเจ้าควรจะเดาได้แล้วว่ามีบางอย่างที่พิเศษเกี่ยวกับระฆังใบนี้ เหตุใดเจ้าจึงปล่อยให้เรื่องมันเป็นไปเช่นนั้น?”


“แน่นอน ข้าไม่ได้ปล่อยผ่านเรื่องนี้ ในเวลานั้นข้าไม่ลังเลเลยที่จะข้ามหน้าจ้าวสำนักคนเก่าและใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์แห่งธาตุทั้งห้าเพื่อแลกเปลี่ยนกับระฆัง แต่หลังจากแลกเปลี่ยนแล้ว ข้าได้เพียงเปลือกของมันเท่านั้น!” นักบวชฮัวอวิ๋นตอบกลับอย่างหงุดหงิด


“เจ้าโง่ยิ่งนัก ข้ามั่นใจว่าเขาเพียงขายเปลือกให้กับเจ้าและเอาสมบัติด้านในออก!” เทพธิดาชิงหยุนกล่าวอย่างอาลัยอาวรณ์


“เหอะ! ตอนนั้นข้ารู้แล้วแต่ก็ยังไม่แน่ใจ ใครก็รู้ว่าไอ้ไขมันนั่นฉลาดเป็นกรด! เป็นยิ่งกว่าสิ่งที่ข้ารังเกียจ ระฆังของมันก็ถือได้ว่าพิเศษมากเช่นกัน ในเวลานั้นมันปลุกความสงสัยของข้าขึ้นมา ใครจะรู้ว่าไอ้ไขมันนั่นจะเล่นแง่กับข้า? ข้าสูญเสียดาบศักดิ์สิทธิ์แห่งธาตุทั้งห้าไปทั้งหมด มันทำให้ข้าอับอายถึงสองครั้ง สมบัตินั่นมันควรจะเป็นของข้าด้วยซ้ำ! บัดซบ! เจ้าไขมันน้อย เจ้าได้เล่นกับข้าแน่นอน!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาอย่างโกรธแค้น


หลังจากตระหนักถึงความจริง นักบวชฮัวอวิ๋นตบขาของตนเองอย่างทุกข์ใจ


เทพธิดาชิงหยุนฟังพร้อมกับระเบิดเสียงหัวเราะออกมา นางคิดในใจ “เจ้ามีอายุมามากกว่าร้อยปีแล้ว แต่กลับโดนเด็กน้อยเล่นด้วยราวกับหุ่นเชิด ข้าควรทำอย่างไรกับเจ้าดี?”


แน่นอนว่าเทพธิดาชิงหยุนรู้ดีว่านักบวชฮัวอวิ๋นเต็มไปด้วยความเสียใจและไม่ต้องการเยาะเย้ยเขาอีกต่อไป ดังนั้นนางจึงกล่าวออกมาอย่างอ่อนโยน “ลืมมันเถิด ตอนนี้เรื่องได้เกิดขึ้นมาอีกครั้ง เรายังพอมีโอกาส”


“โอกาสอะไร? ในตอนนี้ไขมันนั่นมันก้าวหน้าไปไกลแล้ว แม้แต่ตาเฒ่าเฟิงยังไม่สามารถทำอะไรมันได้เลย เห็นได้ชัดว่าข้าก็ไม่อาจทำได้เช่นกัน รวมกับการที่เขาอยู่ได้ในทะเลตะวันออกอย่างสง่างาม ข้าเลยต้องปฏิบัติกับมันดังเช่นลูกหลานและเอาใจอย่างมาก ดีนะที่ข้ายังมองถึงอนาคตที่วางให้มู่ซื่อหรงยืนอยู่ข้างกับมัน และในตอนนี้ซ่งจงนั้นอยู่ฝ่ายเดียวกับข้า! นี่อาจจะเป็นพรเล็ก ๆ จากสวรรค์สำหรับข้าอย่างแท้จริง!”


หลังจากที่ได้ยินนักบวชฮัวอวิ๋นตอบเช่นนั้น เทพธิดาชิงหยุนไอออกมาสองครั้ง


นักบวชฮัวอวิ๋นเป็นคนฉลาด เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เขาสัมผัสได้อย่างรวดเร็วและรีบตอบกลับทันที “พี่สาว เจ้าต้องการให้ข้าช่วยจัดการซ่งจงงั้นหรือ?”


เทพธิดาชิงหยุนพยักหน้าอย่างขมขื่นพร้อมกับตอบกลับอย่างเศร้าโศก “เมื่อต้องพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ มันช่างอัปยศอย่างแท้จริง ตาเฒ่าเฟิงนั้นโง่เขลาอย่างถึงที่สุด เขาถูกทำให้ขายหน้าโดยซ่งจงและเขาไปที่แห่งนั้นเพื่อจัดการเรื่องราว แต่เขากลับตกลงไปในหลุมพรางของซ่งจง อีกทั้งก่อนที่จะสั่งสอนบทเรียนให้กับเด็กน้อย เขากลับบอกกล่าวความลับทั้งหมดของเรากับเขาออกไป!”


“ความลับอะไรงั้นหรือ?” นักบวชฮัวอวิ๋นตอบกลับอย่างตื่นตูม


“ความสัมพันธ์ของข้ากับตาเฒ่าเฟิงและวิธีที่ฮัวเฉียนหวู่วางแผนสังหารครอบครัวซ่งจง!” เทพธิดาชิงหยุนมองไปที่นักบวชฮัวอวิ๋นอย่างรอคำตอบ


นักบวชฮัวอวิ๋นกระทืบเท้าพร้อมกล่าวว่า “พี่สาวเรานั้นลงเรือลำเดียวกันแล้ว ในตอนนี้เมล็ดถั่วทั้งหมดได้หกไปเท่านั้น!”


เทพธิดาชิงหยุนกล่าวออกมาอย่างไม่อาจช่วยไม่ได้ “ตาเฒ่าเฟิงบอกซ่งจงว่าเจ้าก็รู้เห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้และช่วยเหลือฮัวเฉียนหวู่ปกปิดและหนีรอดจากข้อสงสัย ตาเฒ่าเฟิงนั้นโง่เง่าที่สุด!”


“เขาไม่เพียงแค่โง่เขลา แต่เรียกได้ว่าสารเลว!” นักบวชฮัวอวิ๋นกระโดดด้วยความโกรธ “ข้าไม่ควรฟังเจ้าที่ยอมปล่อยไอ้สารเลวนี้ออกไป มองมาที่ข้าตอนนี้สิ มันเอาข้าขายจนหมดสิ้น! เมื่อไหร่ที่ซ่งจงกลับมา เขาจะเปิดเผยทุกอย่างพร้อมทั้งแก้แค้นให้กับครอบครัว! บัดซบ ข้าไม่ต้องเป็นจ้าวสำนักอีกต่อไปแล้ว ในตอนนี้ทำได้เพียงแค่รอการลงโทษจากหอคุมกฏเท่านั้น!” นักบวชฮัวอวิ๋นอุทานออกมา


ในตอนนี้นักบวชฮัวอวิ๋นรู้สึกโกรธแค้นอย่างมาก


เทพธิดาชิงหยุนนั้นรู้ตัวว่าตนเองทำผิด ก่อนหน้านี้นักบวชฮัวอวิ๋นลังเลว่าจะปล่อยตาเฒ่าเฟิงออกไปหรือไม่ แต่ด้วยการอ้อนวอนของเทพธิดาชิงหยุนทำให้เขาใจอ่อนและปล่อยมันออกไปอีกครั้ง แต่สถานการณ์ปัจจุบันทำให้เทพธิดาชิงหยุนเสียคำพูดอย่างมาก ช่างน่าเศร้านักเพราะคนที่นางช่วยกลับกลายเป็นคนที่ย้อนกลับมาทำร้ายน้องชายของตนเอง


ในสถานการณ์ปัจจุบัน เทพธิดาชิงหยุนทำได้เพียงขอโทษน้องชายตนเองและหาวิธีแก้ปัญหา สำหรับตาเฒ่าเฟิงนางรับปากว่าจะไม่ปล่อยเขาไปอย่างแน่นอนและจะให้ความยุติธรรมกับนักบวชฮัวอวิ๋นอย่างถึงที่สุด


นักบวชฮัวอวิ๋นกระทืบเท้าจนพื้นยุบลงไปพร้อมกับตอบกลับพี่สาวของตน “พี่ควรรู้ว่าข้าไม่ควรเกี่ยวข้องอะไรกับมันเลยในนามของสำนักเสวียนเทียน คุณชายใหญ่และคุณชายรองจ้องที่จะจับผิดข้าอยู่ตลอดเวลา และศิษย์พี่เหมยฮวา ถ้าหากนางรู้เรื่องฮัวเฉียนหวู่ แน่นอนว่านางจะถลกหนังข้าทั้งเป็น!”


เทพธิดาชิงหยุนตอบกลับ “แน่นอนว่าเรื่องมันจะไม่รุนแรงเช่นนั้น นางอยู่อย่างสันโดษไม่ใช่หรือ? และไม่สนใจกิจกรรมทางโลกทั้งหมด!”


“เป็นเช่นนั้น แต่ศิษย์พี่เหมยฮวานั้นมีศิษย์หนึ่งคนนามว่าฉุ่ยจิ้งที่ฝึกฝนอยู่ด้านนอก สิ่งที่สำคัญคือฉุ่ยจิ้งและซ่งจงนั้นมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันอย่างมาก และทั้งสองเป็นสหายร่วมฝึกฝนแบบคู่ ถ้าหากไขมันนั่นพยายามจะไปพบฉุ่ยจิ้ง ตำแหน่งของข้าก็คงไม่อาจมีผลอะไรแล้วก็ไม่สามารถช่วยอะไรเจ้าได้อีกด้วย!” นักบวชฮัวอวิ๋นตอบกลับอย่างรวดเร็ว


“เทพธิดาเหมยฮวานั้นเป็นหนึ่งในสามเทพธิดาที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกนี้ แม้แต่ข้าก็ไม่อาจเทียบกับนางได้” เทพธิดาชิงหยุนขมวดคิ้วในขณะที่ตอบกลับ


“ถูกต้อง! ในเวลาเช่นนี้เราสามารถทำอะไรได้บ้าง?” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาพร้อมกับเดินไปรอบห้องอย่างกระวนกระวาย


“ไม่ต้องห่วง เหตุผลที่ข้ามาพบเจ้าก็เพื่อการแก้ปัญหาที่เกิดนี้และบอกความจริงกับเจ้า ในตอนนี้ข้ามีแผนแล้ว แต่มันเป็นเพียงเจ้าที่จะไม่กล้าดำเนินการ!” เทพธิดาชิงหยุนกล่าวอย่างสงบ


บทที่ 251: สายเลือดจักรพรรดิ (1)


เมื่อนักบวชฮัวอวิ๋นได้ยินเช่นนั้น เขาตอบกลับอย่างขื่นขม “พี่สาวที่รัก สถานการณ์ได้ดำเนินมาถึงตอนนี้แล้ว มีหรือที่ข้าจะไม่กล้าทำอะไรอีก? เพียงแค่บอกมาว่าเจ้าต้องการให้ทำอะไร!”


“ความจริงก็คือมันแป็นการกระทำที่น่ารังเกียจ!” เทพธิดาชิงหยุนพูดออกมาด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว “ตาเฒ่าเฟิงบอกว่าซ่งจงได้รับการช่วยเหลือจากเหลยซานเอ๋อ นอกจากนี้นางยังเรียกเขาว่าฝ่าบาทน้อย!”


“เห็นได้ชัดว่าตาเฒ่าเฟิงนั้นกล่าววาจาไร้สาระ!” นักบวชฮัวอวิ๋นตอบกลับ “ซ่งจงนั้นเติบโตในสำนักเสวียนเทียน แล้วเขาจะเป็นฝ่าบาทของเหล่าอสูรกายได้อย่างไรกัน?”


“ใครสนใจกันว่านี่คือเรื่องไร้สาระหรือไม่!” เทพธิดาชิงหยุนกล่าวออกมา “นับตั้งแต่ที่เจ้าเป็นจ้าวสำนัก ถ้าหากเจ้ากล่าวสิ่งใด ทุกอย่างจะเป็นความจริง!”


“ว่าอะไร?” นักบวชฮัวอวิ๋นได้ยินเช่นนั้นจึงเข้าใจทันทีพร้อมตอบกลับ “เจ้าต้องการให้ข้าบอกว่าซ่งจงเป็นสายลับให้กับเหล่าอสูรกายงั้นหรือ?”


“ถูกต้อง เจ้าเป็นจ้าวสำนัก ถ้าหากประกาศเรื่องนี้ออกไปทุกคนย่อมเชื่อเจ้า แม้ว่าซ่งจงรอดชีวิตกลับมา เขาจะกลายเป็นศัตรูของทุกคนทันที แม้ว่าเขาจะกล่าวอะไรออกมาก็จะไม่มีผู้ใดเชื่อถือเขา!” เทพธิดาชิงหยุนกล่าวอย่างเยือกเย็น “เช่นนี้เราไม่ต้องเกรงกลัวว่าเขาจะพูดความจริงออกมา นับตั้งแต่ที่เขาเป็นสายลับให้กับอสูรกาย ทุกสิ่งที่เขาพ่นออกมาจะเป็นเรื่องโกหกแม้ว่ามันคือเรื่องจริง!”


“เรื่องนั้น…” ฮัวอวิ๋นก้มหน้าลงพร้อมกับไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “พี่สาว การที่เราจะประกาศเช่นนั้นไม่ง่ายเลย ทุกคนรู้ดีว่าซ่งจงเกิดในสำนักเสวียนเทียนและเติบโตที่นี่ เขาแทบไม่เคยออกไปพบเจอกับโลกภายนอก แล้วจะกลายเป็นสายลับได้อย่างไร? แม้ข้าจะประกาศออกไปเช่นนั้น ก็คงไม่มีใครเชื่อถืออย่างแน่นอน!”


“ถ้าหากเป็นเช่นนั้น เราควรพูดถึงครอบครัวของเขาด้วย!” เทพธิดาชิงหยุนกล่าวออกมาอย่างเกลียดชัง “ถ้าข้าจำไม่ผิด บิดาของซ่งจงนั้นไม่รู้ชาติกำเนิดของตนเอง! เพียงกล่าวออกไปว่าเขาเป็นสายลับให้กับเหล่าอสูรกายและลูกชายของเขาก็เดินตามรอยเช่นกัน ถ้าหากเป็นเช่นนี้ ผู้คนควรจะเชื่อถูกต้องไหม?”


“เรื่องนั้น…” เมื่อนักบวชฮัวอวิ๋นได้ยินที่นางกล่าว เขาขมวดคิ้วทันที เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เต็มใจที่จะทำเช่นนั้น


เทพธิดาชิงหยุนที่เห็นเช่นนั้น นางสั่นศีรษะตนเองอย่างขมขื่นพร้อมกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าเจ้ารู้สึกผิดต่อพวกเขา ที่จริงแล้วเฉียนหวู่ไม่น่าลงมือเช่นนั้น นางทำมากเกินไปจริง ๆ แต่อย่างไรก็ตาม เขาเป็นถึงศิษย์หลักของพี่หง เรื่องนี้ทำให้เจ้ารู้สึกเหมือนกำลังหักหลงสหายของตนสินะ แต่ในตอนนี้เรื่องราวนั้นเกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย ถ้าหากไม่สร้างเรื่องให้ซ่งจงกลายเป็นสายลับ ไม่เพียงแต่เจ้าจะสูญเสียชื่อเสียงของตนเองทั้งหมด ข้ายังจะต้องโดนลากลงไปในเหวกับเจ้าด้วย ช่วงเวลาที่เรื่องของข้ากับตาเฒ่าเฟิงถูกเปิดเผย แน่นอนว่าข้าจะหลุดพ้นตำแหน่งผู้นำหอเฉวียนจี้ทันที แม้ว่าหอคุมกฎจะไม่สามารถจัดการกับข้าได้อย่างง่ายดาย แต่ถึงอย่างไรข้าก็ต้องขอความช่วยเหลือจากเจ้าในตอนนี้!”


“เฮ้อ!” นักบวชฮัวอวิ๋นถอนหายใจยาวพร้อมตอบกลับอย่างไร้หนทาง “ลืมมันไปเถอะ ตั้งแต่ที่ข้ามีส่วนร่วมในเรื่องนี้ ข้าก็กลายเป็นคนชั่วช้ามาตั้งแต่แรกแล้ว!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาอย่างหดหู่พร้อมก้มศีรษะลงอย่างเจ็บปวดหัวใจ


“เฮ้อ!” เมื่อเทพธิดาชิงหยุนได้ยินเช่นนั้น นางถอนหายใจก่อนที่จะกล่าวออกมา “ข้ารู้ว่าศิษย์พี่หงนั้นให้ความสำคัญกับเด็กคนนี้มาก หากเจ้าทำให้ครอบครัวของเขากลายเป็นสายลับของอสูรกาย ศิษย์พี่หงของเจ้าที่อารมณ์ร้อนเช่นนั้นคงจะตัดความสัมพันธ์ทั้งหมดกับเจ้าทันที ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าการกระทำของเฉียนหวู่ในครั้งนั้นจะสร้างคลื่นลูกใหญ่ในอนาคตเช่นนี้ อีกทั้งยังทำให้เจ้าต้องสูญเสียเหล่าพี่น้องของตนเองด้วย ทั้งหมดล้วนแต่เป็นความผิดข้าเอง!”


“พี่สาวไม่ต้องกล่าวสิ่งใดต่อแล้ว!” นักบวชฮัวอวิ๋นโบกมือพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ “แม้ว่าข้ากับศิษย์พี่หงจะรู้จักกันมายาวนานหลายร้อยปีแต่มันไม่อาจเทียบเท่าความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องของเราได้ นอกจากนี้เขาเคยทำให้ข้าผิดหวังด้วยการปฏิเสธการแต่งงาน ทำให้ข้าเสียหน้าอย่างมากจนไม่อายเงยหน้าขึ้นมาได้อีกครั้ง ถ้าหากไตร่ตรองอย่างละเอียด เขาควรจะรับผิดชอบเรื่องนี้! อีกทั้งเขาไม่สามารถตำหนิข้าในเรื่องนี้ได้ ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบแล้ว อย่างมากที่สุดข้าก็คงพ่ายแพ้เขาสักครั้ง!”


เทพธิดาชิงหยุนรู้ว่าการที่ฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาเหมือนทุกอย่างเรียบง่าย แต่ภายในใจของเขานั้นแตกสลาย มันเป็นเพียงนางที่ไม่รู้วิธีปลอบใจเขาเท่านั้น นางจึงตอบกลับด้วยอารมณ์ที่เศร้าโศก “ถ้าหากเป็นเช่นนั้น มาสรุปเรื่องนี้กันเถิด ถ้าซ่งจงกลายเป็นสายลับ เหรียญหัวหน้าทะเลตะวันออกที่เขาได้รับอาจถูกยึด แต่ไม่ต้องกังวลเนื่องจากเกาะไผ่เขียวนั้นเป็นของเจ้าแล้ว มันก็จะเป็นของเจ้าในอนาคต ตาเฒ่าเฟิงนั้นสร้างปัญหามากเกินไป เราจะให้เขาจ่ายในราคาที่สมน้ำสมเนื้ออย่างแน่นอน!”


“ฮ่าฮ่า ยอดเยี่ยม! ข้าต้องใช้เกาะไผ่เขียวเพื่อที่จะประสบความสำเร็จ!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม


อย่างไรก็ตาม เทพธิดาชิงหยุนรับรู้ได้ว่ารอยยิ้มนั้นปกปิดสิ่งต่าง ๆ ไว้มากมาย ใบหน้าของเขาพร้อมที่จะร้องไห้ตลอดเวลา แต่เนื่องจากเรื่องราวได้ดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว เทพธิดาชิงหยุนไม่ได้กล่าวอะไรต่อพร้อมจากไป นักบวชฮัวอวิ๋นส่งนางออกไป จากนั้นเขากลับมายืนมองพระจันทร์ที่สว่างไสวเต็มฟ้า เขาพึมพำกับตนเองอย่างช่วยไม่ได้ “ดวงจันทร์เปล่งประกายเจิดจ้าในขณะที่หัวใจข้ามืดสนิท ข้าไม่เคยคาดคิดเลยว่าข้านักบวชฮัวอวิ๋น จะได้ลงมือทำเรื่องที่ชั่วร้ายเช่นนี้ในชีวิต! ศิษย์พี่หง น้องชายผู้นี้ทำให้ท่านผิดหวังและผิดคำพูด! อ้วนน้อยเจ้าก็ไม่สามารถกล่าวโทษข้าได้เช่นกัน ใครกันขอให้เจ้าเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ต่อพวกเราทุกคนเช่นนี้? ถ้าหากเจ้าไม่ตาย ข้าก็คงไม่อาจใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้ ดังนั้นขอโทษด้วยที่ข้าทำให้เจ้าผิดหวัง!”


เมื่อเขากล่าวจบ นักบวชฮัวอวิ๋นนั่งลงที่โต๊ะทำงานพร้อมเขียนบางสิ่งอย่างเร่งด่วน


ในตอนนี้ซ่งจงได้ตื่นขึ้นมาแล้วหลังจากหมดสติไปเป็นเวลานาน


หลังจากที่ซ่งจงตื่นขึ้นมาแล้ว เขาลืมตามาพบกับใบหน้าที่สวยงามและเต็มไปด้วยสติปัญญา


อย่างไรก็ตาม ใบหน้าที่สวยงามนั้นทำให้ซ่งจงตกใจจนแทบตายอยู่ตรงนั้น เขาเกรงกลัวจนตัวสั่น เหตุผลนั้นไม่มีอะไรมากแต่เป็นเพราะซ่งจงนั้นจดจำใบหน้านี้ได้อย่างดีมันคือใบหน้าของ ราชันเหยี่ยวฟ้าเหลยซานเอ๋อ


แน่นอนว่าเหลยซานเอ๋ออยู่ในระดับตำนานของกลุ่มพันธมิตรทะเลตะวันออก ผู้ฝึกตนหลายพันคนตายตกไปในมือของนาง แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับจินตันยังไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้! สำหรับซ่งจงที่เผชิญหน้ากับบุคคลอันตรายเช่นนี้ เขาจะไม่เกรงกลัวได้อย่างไร?


อย่างไรก็ตาม เมื่อนางเห็นใบหน้าที่ซีดขาวของซ่งจง เหลยซานเอ๋อตกใจพร้อมถอยหลังออกไปหนึ่งก้าวทันที จากนั้นนางกล่าวออกมาอย่างน่าเวทนา “ฝ่าบาทน้อย เหตุใดท่านจึงมองข้าเช่นนั้น? ข้าเป็นคนดีนะ!”


เมื่อมองใบหน้าของเหลยซานเอ๋อ ซ่งจงรู้สึกผิดเล็กน้อยพร้อมกล่าวออกมาอย่างขื่นขม “เรื่องนั้น คือว่า… เหอะ ๆ”


หลังจากตอบกลับเช่นนั้น เขาไม่รู้จะกล่าวอะไรต่อ เขาตระหนักได้ว่าเหลยซานเอ๋อปฏิบัติกับเขาราวกับว่าเป็นคนสำคัญของอสูรกายไม่ใช่ผู้ฝึกตนของโลกมนุษย์ ซ่งจงนั้นไม่รู้ว่าเหตุใดจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ ในตอนนี้เขาทำได้เพียงเงียบไว้ ถ้าหากเหลยซานเอ๋อรู้ความจริง นางคงจะฉีกเขาเป็นชิ้นเพื่อให้อาหารปลา


เมื่อเหลยซานเอ๋อมองซ่งจงที่หัวเราะออกมาอย่างโง่เขลา นางอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ฝ่าบาทน้อย ข้าคือเหลยซานเอ๋อ อินทรีย์สายฟ้า ข้าเป็นทูตของจักรวรรดิทะเลตะวันออก ท่านมาจากไหน เหตุใดจึงถูกไล่ล่าโดยผู้ฝึกตนมนุษย์?”


“เรื่องนั้น…” ซ่งจงลูบหัวตนเองพร้อมตอบกลับอย่างขมขื่น “ข้าจำไม่ได้จริง ๆ! เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าเป็นเช่นนั้น?”


ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้นซ่งจงเริ่มมองไปรอบ ๆ และพบว่าเขาอยู่ในห้องที่สวยงาม ทุกอย่างตกแต่งอย่างลงตัวด้วยสีชมพู แน่นอนว่าการทำเช่นนี้ได้จะต้องร่ำรวยอย่างมาก อีกทั้งซ่งจงนอนอยู่บนเตียงของนาง ร่างกายของเขาถูกปกคลุมด้วยผ้าไหมที่นุ่มสบาย ทั่วทั้งห้องเต็มไปด้วยกลิ่นหอมทำให้รู้สึกผ่อนคลายอย่างมาก


สำหรับเหลยซานเอ๋อ นางนั่งอยู่ข้างเตียง เมื่อได้ยินซ่งจงกล่าวเช่นนั้น นางตกใจอยู่ครู่หนึ่งพร้อมกล่าวออกมาว่า “ฝ่าบาทน้อย เพื่อช่วยเหลือพวกเราท่านได้ต่อสู้กับผู้ฝึกตนที่น่ากลัวและถูกพลังของเขาระเบิดใส่ กระดูกของท่านแตกหักจำนวนมาก ท่านจึงได้รับบาดเจ็บที่สมองและสูญเสียความทรงจำไปชั่วคราว เป็นเช่นนี้?”


“อา!” ซ่งจงพยักหน้าพร้อมกล่าวว่า “อาจจะเป็นเช่นนั้น!”


“โอ เป็นเรื่องที่แย่จริง ถ้าหากสูญเสียความทรงจำจริง ๆ ท่านจะกลับบ้านได้อย่างไร?” เหลยซานเอ๋อรอคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ


“ฮ่าฮ่า!” ซ่งจงหัวเราะออกมาเบา ๆ “ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ข้าจะรอจนกว่าจะฟื้นคืนความทรงจำได้ เอาล่ะ ทำไมเจ้าจึงเรียกข้าว่าฝ่าบาทน้อย?”


“ท่านยังต้องถามอีกงั้นหรือ? ท่านคือผู้สืบทอดสายเลือดบริสุทธิ์ของจักรพรรดิอสูรกาย เหล่าอสูรกายทุกตนจะต้องเรียกท่านว่าฝ่าบาทน้อย!” เหลยซานเอ๋ออธิบายด้วยรอยยิ้ม


“สายเลือดของจักรพรรดิอสูรกาย?” เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาหัวเราะอย่างขื่นขมพร้อมกล่าวต่อ “มันคืออะไร?”


“โอ เรื่องนี้ท่านก็ลืมเลือน?” เหลยซานเอ๋อหัวเราะอย่างขื่นขมพร้อมอธิบาย


เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น ในที่สุดเขาก็เข้าใจ ปรากฏว่าเหล่าอสูรกายต่าง ๆ ที่อยู่บนระฆังทองแดงนั้นเป็นลูกหลานของจักรวรรดิอสูรกายทั้งสิ้น อสูรกายเหล่านี้ได้แก่เทพเจ้ามังกร พยัคฆ์ขาว เต่าดำ หงส์อัคคี นกฟีนิกซ์ กวางเก้าสีและอื่น ๆ ทั้งหมดถูกเรียกว่าจักรวรรดิอสูรกาย หลังจากผ่านมาหลายชั่วอายุคน มีการเปลี่ยนแปลงทางสายเลือดทำให้ทั้งหมดแตกต่างกันออกไป อย่างไรก็ตามเหล่าอสูรกายต่าง ๆ จะมีสายเลือดที่ใกล้ชิดกับจักรพรรดิอสูรกายอย่างมาก ทั้งหมดมักจะสืบทอดความทรงพลังของจักรพรรดิอสูรกายและถูกสร้างให้เป็นผู้นำ เมื่อเวลาผ่านไปทั้งหมดถูกเรียกว่าสายเลือดแห่งจักรพรรดิอสูรกาย!


หลังจากที่ซ่งจงเข้าใจความหมายของเลือดจักรพรรดิ เขายังคงมีความสับสนอยู่ ท้ายที่สุดเขาถามออกไปอย่างระมัดระวัง “ซานเอ๋อ แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้ามีสายเลือดแห่งจักรพรรดิอสูรกาย?”


“สวรรค์ ท่านลืมทุกสิ่งจนหมดสิ้น!” เหลยซานเอ๋อยกฝ่ามือลูบหน้าของตนเองก่อนที่จะอธิบาย “ฝ่าบาทน้อยท่านเป็นสายเลือดที่ยิ่งใหญ่ของเต่าดำ ท่านมีเส้นสายธารโลหิตและยังมีลำแสงศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นสัญลักษณ์ของเต่าดำ สิ่งเหล่านี้คือพื้นฐานที่ไม่อาจปฏิเสธได้!”


บทที่ 251: สายเลือดจักรพรรดิ (2)


เมื่อเหลยซานเอ๋ออธิบายเช่นนั้น ซ่งจงตระหนักได้ทันทีและเข้าใจว่าปัญหาเหล่านี้เกิดจากเส้นสายธารโลหิต หลังจากที่เขาใช้มันร่วมกับไฟต้นกำเนิด มันหลอมรวมเข้ากับซ่งจงอย่างสมบูรณ์ ในเวลานี้ถือได้ว่าเขามีสายเลือดของเต่าดำอยู่ภายในร่างกาย ดังนั้นเขาจึงมีการเปลี่ยนแปลงที่พิเศษเมื่ออยู่ในน้ำและมีคลื่นพลังของอสูรกาย อาจกล่าวได้ว่าเขาเป็นลูกครึ่งอสูรกายก็ได้


ในขณะที่ซ่งจงกำลังฝันกลางวัน เหลยซานเอ๋อถามออกมาด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาทน้อย ท่านอยู่ในขั้นสี่เท่านั้นและกำลังจะเลื่อนขั้นแล้ว ช่างโดดเด่นเหลือเกิน! แม้ว่าข้าจะมีโอกาสได้ฝึกฝนแต่ก็หยุดอยู่ที่ขั้นห้าเท่านั้น แต่กล่าวกันว่าสายเลือดอสูรกายจักรพรรดินั้นจะเปลี่ยนแปลงร่างกายตนเองเมื่อเข้าสู่ขั้นแปด เก้า หรือสิบไม่ใช่หรือ? ทำไมท่านจึงพัฒนารวดเร็วเช่นนี้?”


“เหอะ ๆ” ซ่งจงได้แต่ปล่อยเสียงหัวเราะโง่งมออกมา “ข้าไม่รู้ ข้าจำไม่ได้!”


ในตอนนี้ซ่งจงรู้สึกดีมากกับข้อแก้ตัวที่เขาจำอะไรไม่ได้เลย ตราบใดที่เขาพบเจอกับคำถามที่ไม่รู้จะตอบอย่างไร เขาจะใช้เหตุผลนี้เพื่อหลีกเลี่ยง อย่างน้อยที่สุดมันก็ไม่สร้างความสงสัยใด ๆ เพิ่มเติมให้กับเหลยซานเอ๋อ


เมื่อเหลยซานเอ๋อได้ยินเช่นนั้น นางขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้และไม่ได้ถามเขาต่อในเรื่องนั้น ใบหน้านางบิดเบี้ยวพร้อมกล่าวว่า “ฝ่าบาทน้อย มันไม่สำคัญว่าท่านจะพัฒนาได้รวดเร็วแค่ไหน แต่ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมท่านต้องเปลี่ยนแปลงมาในสภาพเช่นนี้?”


เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขางุนงงทันทีพร้อมถามกลับด้วยความสับสน “ข้าผิดปกติงั้นหรือ?”


“ไม่ใช่ว่ามันผิด แต่ว่ามัน…” เหลยซานเอ๋อไม่รู้จะตอบกลับอย่างไร


เมื่อซ่งจงเห็นเช่นนั้น เขาถามกลับพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ “อะไรงั้นหรือ?”


“อา ประมานว่า…” เหลยซานเอ๋อตอบ “เดือนที่แล้วข้าได้พบกับผู้ฝึกตนคนหนึ่ง เขาเป็นก้อนไขมันเดินได้ เขาบังคับให้ข้าถอยกองทัพของตนเองและปล่อยเชลยกว่าสิบคน ซึ่งน่ารังเกียจอย่างถึงที่สุด!”


เมื่อนางกล่าวเช่นนั้น นางกัดฟันราวกับต้องการจะแสดงว่ารังเกียจเขามากเพียงใด เมื่อซ่งจงเห็นว่านางเกลียดเขาเข้ากระดูกดำ เขาอดไม่ได้ที่จะหดตัวเนื่องจากความเย็นเข้าสู่ไขสันหลังของตนเอง


เหลยซานเอ๋อกล่าวต่อ “ฝ่าบาทน้อย ท่านรู้ไหมว่าท่านเหมือนเขาอย่างมาก ครั้งแรกที่ข้าเห็นท่าน ข้าคิดว่าท่านเป็นเขา!”


“โอ!” เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขารีบปฏิเสธทันที “แน่นอนว่าข้าไม่ใช่เขา!”


“ข้ารู้ ข้ารู้อยู่แล้ว!” เหลยซานเอ๋อเผยรอยยิ้มออกมา “ฝ่าบาทนั้นมีสายเลือดของเต่าดำ แต่ว่าไขมันบัดซบนั่นไม่มี นอกจากนี้ความแข็งแกร่งของท่านไม่ใช่สิ่งที่เขาจะเทียบได้ แม้ว่าท่านกับเขาจะอยู่ในระดับเดียวกัน แต่ข้าสามารถทุบตีไขมันบัดซบให้ตายตกได้ด้วยฝ่ามือเดียว สำหรับท่านที่สามารถไล่ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินกลับไปด้วยอาการบาดเจ็บสาหัสได้! สวรรค์ ข้าชื่นชมท่านเหลือเกิน ช่างแข็งแกร่งมากกว่าผู้ใด!”


ในขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น ดวงตาของนางที่มองซ่งจงนั้นเต็มไปด้วยความนับถือ ไม่แปลกเลยที่นางจะคิดเช่นนั้น การต่อสู้ของซ่งจงนั้นอัศจรรย์เกินไป เขาไล่ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินด้วยสถานะผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิ หากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป แน่นอนว่ามันจะเป็นข่าวที่สั่นสะเทือนโลกแห่งผู้ฝึกตน


เหล่าอสูรกายนั้นนับถือผู้ที่แข็งแกร่งอย่างมาก ดังนั้นด้วยการต่อสู้ที่ดุเดือด ไม่แปลกใจที่เหลยซานเอ๋อจะชื่นชมเขาอย่างมาก


เมื่อซ่งจงเห็นดังนั้น เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกปลื้มใจ แต่เขาเก็บอาการและกล่าวออกไปอย่างถ่อมตัว “ไม่ถึงขนาดนั้น เป็นเพียงข้าที่โชคดีเท่านั้น!”


“อา ฝ่าบาทน้อยช่างถ่อมตัว! โชคดีแบบไหนกันที่สามารถทำให้ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินหลบหนีได้?” เหลยซานเอ๋อกล่าวพร้อมรอยยิ้ม


ซ่งจงนั้นรู้ตัวอยู่แล้ว แต่ความลับของเขาไม่สามารถบอกกล่าวกับเหลยซานเอ๋อได้ ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนเรื่องคุยทันที “เอาล่ะ ซานเอ๋อ ตอนนี้ข้าอยู่ที่ใด?”


“รายงานฝ่าบาทน้อย ท่านอยู่ที่เกาะอินทรีย์สายฟ้า!” เหลยซานเอ๋อตอบกลับ


เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขารู้ไม่จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “อา เจ้าไม่เรียกข้าว่าฝ่าบาทน้อยได้หรือไม่ ข้าไม่ชิน!”


“แล้วข้าควรเรียกท่านว่าอะไร?” เหลยซานเอ๋อตอบกลับอย่างงุนงง


“ถ้าหากเจ้าไม่ถือ เจ้าสามารถเรียกข้าว่าพี่ชายได้!” ซ่งจงตอบกลับ


ในความเป็นจริงแม้ว่าซ่งจงจะดูแก่กว่าแต่ทว่าความแตกต่างเรื่องอายุของทั้งสองนั้นห่างกันอย่างมาก เหลยซานเอ๋อนั้นฝึกฝนมานานกว่าเจ็ดถึงแปดร้อยปี ในขณะที่ซ่งจงอายุเพียงสามสิบเท่านั้น ด้วยช่องว่างระหว่างอายุมันมากพอที่จะเรียกเหลยซานเอ๋อว่าอาวุโสยาย ดังนั้นเขาจึงเพิกเฉยต่อมันและทำเหมือนนางเป็นน้องสาวเท่านั้น


แน่นอนว่าเหลยซานเอ๋อไม่รู้ถึงความตั้งใจของซ่งจง อย่างไรก็ตามความแข็งแกร่งเป็นเครื่องชี้วัดทุกสิ่งของเหล่าอสูรกาย ความแข็งแกร่งของเขาทำให้เหลยซานเอ๋อเชื่อสนิทใจ ดังนั้นนางจึงไม่ค่อยพอใจนักและตอบกลับอย่างร่าเริงว่า “เป็นเกียรติของข้าอย่างยิ่ง ข้าจะเรียกท่านว่าพี่ชายน้อย!”


“ทำไมต้องเป็นพี่ชายน้อย?” ซ่งจงตอบกลับอย่างงุนงง “ดูร่างกายของข้าสิ มันดูเล็กน้อยงั้นหรือ?” เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น เขายกแขนทั้งสองข้างขึ้นมา


เหลยซานเอ๋อปิดปากพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ “เพราะว่าท่านยังเด็ก! อย่าบอกนะว่าข้าผิดที่จะเรียกท่านแบบนั้น?”


เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น ซ่งจงรู้ได้ทันทีว่าเหลยซานเอ๋อนั้นไม่ได้โง่เขลาและรู้อายุของเขาแล้ว แต่เพราะความแข็งแกร่งและสถานะที่เขามีทำให้นางยอมเรียกเขาว่าพี่ชาย


หลังจากที่ซ่งจงเข้าใจ เขาเผยยิ้มและกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ย่อมได้!”


ในขณะกล่าวเช่นนั้น เขาเหยียดตัวบนเตียงพร้อมอุทานอย่างประหลาดใจ “หือ อาการบาดเจ็บของข้าหายไปแล้ว? เกิดอะไรขึ้น? ข้าจำได้ว่ากระดูกของข้าหักไปมากเมื่อต้องพบเจอกับฝ่ามือนั้น”


“ฮี่ฮี่ ข้ามียาลึกลับ ราชาฉลามดำเคยมอบมันให้กับข้า!” เมื่อเหลยซานเอ๋อกล่าวถึงราชาฉลามดำ นางมีท่าทีที่เปลี่ยนไปและไม่กล่าวสิ่งใดต่อ


เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขารู้ว่าเหลยซานเอ๋อนั้นเป็นทุกข์ที่ราชาฉลามดำตายตกไป ท้ายที่สุดแล้วทั้งคู่ได้เป็นถึงทูตแห่งจักรวรรดิทะเลตะวันออก แต่กลับตายตกได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าในอดีตจะไม่ได้ใกล้ชิดกัน เหลยซานเอ๋อก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแปลกไปเมื่อราชาฉลามดำได้จากไป


ในขณะที่ซ่งจงกำลังคาดเดา เขาได้แต่ทำเป็นสับสนเพราะกลัวว่าจะถูกจับได้ “ซานเอ๋อเจ้าเป็นอะไรรึเปล่า?”


“ไม่เป็นอะไรมาก!” เหลยซานเอ๋อตอบกลับอย่างมีความสุข “เมื่อกล่าวถึงราชาฉลามดำ ข้ารู้สึกเศร้าเล็กน้อย ในอดีตข้านั้นขัดแย้งกับสหายผู้นี้เสมอและรังเกียจเขามาก แต่หลังจากที่เขาตายตกไปด้วยมือของไขมันบัดซบ ข้ากลับรู้สึกเศร้าเล็กน้อย!”


เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาอดไม่ได้ที่จะระแวง กลัวว่าเหลยซานเอ๋อจะจำตัวตนของเขาได้ เขาจึงรีบกล่าวออกไป “คนตายไม่สามารถกลับมามีชีวิตอีกได้ จงก้าวต่อไปเถิด!”


“เป็นเช่นนั้น!” เหลยซานเอ๋อพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “พี่ชายน้อยอย่ากังวล ข้าสบายดี หลายปีที่ผ่านมาเพื่อนของข้ามากมายต้องล้มหายตายจากจากไปหลายครั้งแล้ว ข้ารู้สึกคุ้นชินแล้ว!”


เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาหัวเราะออกมาอย่างขื่นขม “เอาล่ะ เราจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก เจ้าช่วยหาเสื้อผ้าให้ข้าหน่อยได้ไหม ข้าต้องการออกไปข้างนอก!”


หลังจากที่ผ่านการต่อสู้ที่โหดร้าย ร่างกายของซ่งจงฟกช้ำไปทั้งตัวและเสื้อผ้าของเขาไม่อยู่ในสภาพเดิม แน่นอนตอนนี้เขาเปลือยกายมานานเกินไปแล้ว แม้แต่ในตอนนี้ที่เขานอนอยู่บนเตียงก็เช่นกัน


“ย่อมได้!” เหลยซานเอ๋อได้ยินเช่นนั้น นางเดินไปหยิบชุดคลุมสีชมพูออกมาด้วยรอยยิ้ม “พี่ชายน้อยนี่เป็นชุดโปรดของข้าเลย แล้วข้าจะให้ท่านใส่มันอย่างไร?”


เมื่อซ่งจงเห็นเช่นนั้น เขาโกรธจัดจนแทบตายตก! สิ่งที่นางหยิบออกมานั้นเป็นเสื้อผ้าสตรี เขาจะสวมใส่มันได้อย่างไร? แต่ถ้าหากเขาไม่สวมมัน แน่นอนว่ามันจะขัดแย้งกับการที่เขาความจำเสื่อม เพื่อที่จะให้การแสดงนี้สมบูรณ์แบบ เขาย่อมไม่รู้ความแตกต่างระหว่างหญิงกับชาย อย่างไรก็ตามมันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะสวมชุดของสตรี


ขอบคุณสวรรค์ ซ่งจงตอบกลับด้วยไหวพริบ “ข้ารู้สึกว่ามันเล็กไป มันจะไม่ทำให้ข้าอึดอัดหรือ?”


“อา!” เหลยซานเอ๋อเข้าใจทันที “ข้าควรทำอย่างไรดี? ชุดของข้านั้นเล็กมาก ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะสวมมัน!”


“ถ้าเช่นนั้น ขอใบไม้สักใบให้ข้าปกปิดตนเองก็พอ!” ซ่งจงตอบกลับอย่างหดหู่ เขามีเสื้อคลุมของตนเองในแหวนมิติอยู่แล้ว ทั้งหมดเป็นชุดคลุมของมนุษย์ ถ้าหากเขาสวมใส่มันแน่นอนว่าเหลยซานเอ๋อจะต้องจดจำได้ว่าเขาคือไขมันบัดซบที่สังหารราชาฉลามดำ ดังนั้นเหตุผลนี้จึงทำให้เขาไม่กล้าที่จะสวมใส่ชุดของตนเอง


เมื่อเหลยซานเอ๋อได้ยินที่ซ่งจงกล่าว นางเผยยิ้มออกมา “ตามนั้น ข้าจะสร้างชุดใหม่ให้พี่ชายน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าจะตัดเย็บเสื้อผ้าเอง รอสักครู่เดี๋ยวข้ากลับมา!” เมื่อนางกล่าวเช่นนั้น นางไม่รอให้ซ่งจงตอบกลับพร้อมกับหมุนตัวออกจากห้องไปทันที นางดูตื่นเต้นอย่างยิ่งที่จะได้ตัดเสื้อผ้าให้ซ่งจงใส่


เมื่อซ่งจงได้เห็นเช่นนั้น เขาจะกล่าวอะไรได้อีก? สุดท้ายเขาทำได้เพียงรอ โชคดีที่เหลยซานเอ๋อกลับมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับกอดกองใบไม้ไว้ จากนั้นนางทิ้งใบไม้ทั้งหมดลงบนพื้นและเริ่มสร้างเสื้อผ้าให้ซ่งจง


เหลยซานเอ๋อนั้นรวดเร็วอย่างมาก ในเวลาเพียงสั้น ๆ นางยืนขึ้นพร้อมกับชุดใบไม้ที่ดูหรูหราพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่ชายน้อยออกมาดูมันสิ สิ่งนี้สร้างมาจากใบไม้ของต้นไม้สายฟ้าร่ำไห้ ดูสิมันมีสายฟ้าเป็นประกายอยู่รอบ ๆ ด้วย ท่านว่ามันสวยหรือไม่?”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม