Chaotic Lightning Cultivation โกลาหลแห่งอัสนีบาต 235-241
บทที่ 253: จดหมายจากสามปีศาจ
สำหรับคุณชายใหญ่และคุณชายรอง เมื่อได้ยินเช่นนั้นทั้งสองโกรธจัดถึงขั้นที่มีควันพุ่งขึ้นจากศีรษะ แม้ว่าทั้งสองจะคิดว่ามันคือแผนของนักบวชฮัวอวิ๋น แต่ปัญหาก็คือเหตุใดมันจึงไปตกหลุมพรางนี้?
แม้ว่ามู่ซื่อหรงจะล่อลวงพี่ใหญ่จิน แต่ด้วยความที่เขานั้นอยู่ในสำนักแห่งความชอบธรรม จึงไม่ควรถูกล่อลวงด้วยสิ่งเหล่านี้ได้ แต่ปัญหาก็คือพี่ใหญ่จินไม่สามารถอดทนต่อการถูกล่อลวงเช่นนี้ได้ เขาเข้าไปในห้องนอนของมู่ซื่อหรง และตอนนี้เขาไม่มีทางปฏิเสธได้ว่ามันไม่ใช่ความผิดของเขา!
ในเวลากลางดึกเขาปรากฏตัวในห้องนอนของหญิงสาวที่มีคู่หมั้นแล้ว พร้อมทั้งเปลือยกายและมีผู้คนอื่นพบเห็น ไม่ว่าพี่ใหญ่จินจะเก่งกาจแค่ไหน เขาก็ไม่อาจหลบหนีความยุ่งเหยิงนี้ได้!
นี่เป็นช่วงเวลาที่คุณชายใหญ่และคุณชายรองรู้สึกกดดันอย่างมาก ในขณะที่ทั้งคู่พยายามจะหาทางช่วยพี่ใหญ่จิน แต่ก็มองไม่เห็นทางใดที่จะช่วยเหลือได้เลย ทั้งสองรู้สึกเศร้าจนแทบจะกระอักเลือดตายอยู่ตรงนั้น
อย่างไรก็ตามพี่ใหญ่จินนั้นคงเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา หากถูกตัดสินว่ากระทำความผิด ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้นที่จะเสื่อมเสียชื่อเสียง แต่ทั้งคุณชายใหญ่และคุณชายรองจะโดนไปด้วยเช่นกัน อีกทั้งคุณชายใหญ่และคุณชายรองจะไม่สามารถตั้งรากฐานได้ภายในสำนักเสวียนเทียน
คุณชายใหญ่และคุณชายรองทำได้เพียงเข้าพบนักบวชฮัวอวิ๋นเพื่อสนทนาอย่างลับๆเท่านั้น ในที่สุดพวกเขาก็คิดหาข้ออ้างให้พี่ใหญ่จินว่า เขาเพียงแค่เข้าไปในลานเพื่อปลดปล่อยตนเองและไม่มีเจตนาร้ายใดๆ การลงโทษจึงควรตำหนิเขาเล็กน้อยและปล่อยตัวออกมา
แน่นอนว่านักบวชฮัวอวิ๋นจะใช้ประโยชน์ในครั้งนี้เพื่อสูบความมั่งคั่งของคุณชายใหญ่และคุณชายรองอีกครั้ง เขาต่อรองสองถึงสามข้ออีกทั้งยังขอให้มอบสมบัติวิเศษให้กับมู่ซื่อหรงเพื่อเป็นการปลอบใจนางอีกด้วย
แม้ว่าคุณชายใหญ่และคุณชายรองจะจ่ายเป็นจำนวนมากเพื่อช่วยเหลือพี่ใหญ่จิน แต่เรื่องราวอื้อฉาวนี้จะจบลงหรือไม่? นักบวชฮัวอวิ๋นจะไม่ยอมให้เรื่องนี้จบลงอย่างง่ายดายแน่นอน เพื่อจัดการกับคุณชายใหญ่แน่นอนว่าทุกคนล้วนแต่เข้าใจเรื่องราวที่เกิดเป็นอย่างดี
ในตอนนี้จึงเป็นคุณชายใหญ่และคุณชายรองที่ไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมาได้อีก แต่นับจากนี้ต่อไปพวกเขาไม่มีสิทธิ์หรือเสียงที่จะไปต่อสู้แย่งชิงอำนาจภายในสำนักเสวียนเทียนอีกแล้ว
ในที่สุดพวกเขาทั้งหมดได้เดินทางออกจากเส้นทางแห่งชะตากรรมที่โหดร้ายเหล่านี้ พร้อมกับประกาศว่าจะเลิกยุ่งกับโลกภายนอกและจะเข้าสู่การฝึกฝนแบบปิดกับศิษย์ของตน ทั้งหมดเลือกที่จะฝึกฝนเพื่อกลับมาทวงคืนทุกอย่างให้ได้ในอนาคต
หลังจากที่นักบวชฮัวอวิ๋นได้ปราบปรามคุณชายใหญ่และคุณชายรองลงไปโดยสมบูรณ์ เขาส่งมู่ซื่อหรงไปที่ทะเลตะวันออกอีกครั้ง ในเวลานี้เขาเขียนจดหมายให้นางนำติดตัวไปด้วย
สำหรับซ่งจงตอนนี้ชีวิตของเขาในทะเลตะวันออกนั้นไม่ง่ายดายเช่นกัน นับตั้งแต่มีข่าวแพร่กระจายออกไปว่าเขาคือหัวหน้าทะเลตะวันออกอีกคน บ้านที่เงียบสงบของเขากลายเป็นตลาด เต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่มาเยี่ยมเยือนเขา
ทุกคนที่เดินทางมาล้วนแต่ต้องการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเขา โดยเฉพาะเหล่าเพื่อนบ้านใกล้เคียงที่ต้องการใกล้ชิดกับเขา ในส่วนที่เหลือมาเพื่อบอกว่าตนเองต้องการเป็นพันธมิตรกับซ่งจง แต่ก็ยังมีคนที่มาสถานที่แห่งนี้เพื่อจะฉกฉวยเหรียญแห่งหัวหน้าทะเลตะวันออกไปจากเขา
ซ่งจงรู้สึกหงุดหงิดมากสำหรับคนเหล่านั้น ในตอนแรกเขาไม่รู้ว่าจะจัดการกับบุคคลเหล่านี้เช่นไร แต่ในตอนท้ายเขาไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไปพร้อมกับหลบซ่อนตนเองและปล่อยให้ตาเฒ่าพิษจัดการกับบุคคลเหล่านั้นแทนเขา
สำหรับคำขอที่ต้องการจะร่วมเป็นพันธมิตร ซ่งจงตอบไปอย่างคลุมเครือเท่านั้น เขาไม่ได้ปฏิเสธแต่ก็ไม่ยอมรับเช่นกัน ในส่วนของคนที่ต้องการปล้นเหรียญหัวหน้าทะเลตะวันออกจากเขา ทั้งหมดได้ถูกจัดการไปแล้วอย่างเจ็บแสบโดยลืมความสามารถของตนเองจนหมดสิ้น
ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าซ่งจงนั้นเป็นคนป่าเถื่อน หลังจากนั้นมีหนึ่งทีมที่ต้องการจะปล้นเหรียญจากซ่งจง ภายในทีมมีผู้ฝึกตนระดับจินตันอยู่หนึ่งคน อย่างคำกล่าวที่ว่าเราจะต้องดูเจ้าของก่อนที่จะจัดการกับสุนัข สุดท้ายแล้วซ่งจงเอาชนะคนเหล่านั้นทั้งหมดพร้อมกับโยนพวกเขาออกไปราวกับสุนัขกองหนึ่ง ทำให้ทีมเหล่านั้นรู้สึกเสียหน้าอย่างมาก
นอกจากนี้ในบรรดาผู้คนที่เขาเอาชนะได้ มีลูกน้องของเหล่าสามปีศาจแห่งทะเลตะวันออก นับตั้งแต่ที่เขาได้รับคำเตือนจากฮัวเฉียนหวู่ ซ่งจงรู้ได้ทันทีว่าจะต้องพบเจอกับเหล่าสามปีศาจนี้อย่างแน่นอน แต่เขาไม่คาดคิดมาก่อนว่ามันจะรวดเร็วเช่นนี้และทั้งสามไม่แสดงใบหน้าของตนเองอีกด้วย!
ปีศาจทั้งสามนั้นไม่อาจพบกับซ่งจงเป็นการส่วนตัวได้ จึงได้ส่งเหล่าลูกน้องของพวกเขาออกไปแทน ทั้งสามต้องการเหรียญแห่งหัวหน้าทะเลตะวันออกและให้จัดการกับซ่งจงอย่างชั่วร้ายที่สุดเพื่อให้ซ่งจงยอมเป็นหลานชายของทั้งสาม!
แล้วซ่งจงจะอดทนต่อข้อเสนอเช่นนี้ได้อย่างไร? ในขณะที่เขาเห็นว่าอีกฝ่ายหยาบคาย เขาโกรธจัดและปฏิบัติกับพวกมันเหล่านั้นดั่งเช่นกระสอบทราย ซ่งจงนั้นมีความเย่อหยิ่งในตนเองและจะไม่ยอมถูกหยามศักดิ์ศรีเด็ดขาด ถ้าหากเขายินยอมให้ผู้อื่นลบหลู่เขาเพียงครั้งเดียว แน่นอนว่าครั้งต่อไปมันจะมากขึ้น เขาจึงไม่แสดงความเมตตาใดๆ ซ่งจงไม่เพียงแต่เอาชนะพวกมันเหล่านั้น เขายังสร้างความอับอายให้กับพวกมันต่อหน้าบรรดาแขกที่มาเยี่ยมเยือนเขาที่บ้าน
แน่นอนว่าปีศาจทั้งสามไม่สามารถทนกับเหตุการณ์เช่นนี้ได้ พวกเขาโต้ตอบอย่างรวดเร็วโดยการส่งจดหมายว่าจะมาพบซ่งจงอีกภายในสามวัน!
เหตุผลเดียวที่ปีศาจทั้งสามต้องการพบซ่งจงคือเหรียญแห่งหัวหน้าทะเลตะวันออกซึ่งมีเพียงอันเดียว และทั้งหมดไม่สามารถแบ่งมันเท่าๆกันได้ เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง พวกเขาจึงทำข้อตกลงขึ้นมาว่าจะไม่ค้นหาซ่งจงและจะไม่แอบไปจัดการเรื่องนี้ตามลำพัง
แม้ว่าในจดหมายจะบอกว่าเป็นการมาเยี่ยมเยือนซ่งจง แต่ไม่มีผู้ใดที่เชื่อว่าทั้งสามมาเพื่อเหตุนั้นจริงๆ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการแจ้งให้ทราบล่วงหน้าเท่านั้น! ในตอนนี้ซ่งจงได้กลายเป็นเป้าหมายของทั้งสามคนไปแล้ว! แน่นอนว่าหลังจากนั้นจะมีความขัดแย้งตามมาอย่างแน่นอน!
ปีศาจทั้งสามนั้นล้วนแต่เป็นผู้ฝึกตนระดับจินตันขั้นสมบูรณ์และแข็งแกร่งกว่าซ่งจงอย่างมาก อีกทั้งความจริงก็คือพวกเขารวมตัวกัน แทบจะไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าซ่งจงจะมีชีวิตรอดหลังจากที่ปีศาจทั้งสามมาเยี่ยมที่บ้าน ในตอนนี้ไม่มีผู้ใดที่กล้าเข้าไปสร้างสัมพันธ์ใกล้ชิดกับซ่งจงอีกแล้วในช่วงเวลาที่เปราะบางเช่นนี้ พวกเขาเกรงว่าสามปีศาจจะเล่นงานทุกคนไปด้วย
แม้แต่ตาเฒ่าพิษและแม่มดเปลือยกายยังแยกตนออกห่างจากซ่งจง เห็นได้ชัดว่าการกระทำเหล่านี้เป็นการหลบเลี่ยงการพบเจอกับสามปีศาจ
แต่ขอบคุณสวรรค์ ซูหยู่ ซูหยุนและหินยังยืนอยู่ข้างเขา นั้นทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
วันนี้เป็นวันก่อนที่สามปีศาจจะเดินทางมา มู่ซื่อหรงเดินทางมาหาซ่งจงพร้อมกับจดหมายของนักบวชฮัวอวิ๋น นางมาพร้อมกับฮัวเฉียนหวู่
เมื่อทั้งคู่เดินเข้ามา ทั้งสองได้เห็นว่าซ่งจงนั้นอยู่กับซูหยู่และซูหยุนกำลังเพลิดเพลินกับการจิบชาใต้ต้นไม้พร้อมกับชมทิวทัศน์ของทะเลที่สวยงาม ดูการแสดงออกที่สนุกสนานของพวกเขา แน่นอนว่ามันเป็นช่วงเวลาที่ดีของทุกคน
มู่ซื่อหรงที่ไม่เคยคิดว่าซ่งจงนั้นเป็นบุรุษของนาง แต่ในตอนนี้ในหัวใจของนางกลับรู้สึกหวั่นไหวกับภาพตรงหน้าขึ้นมาทันที
ซ่งจงนั้นไม่รู้ว่ามู่ซื่อหรงรู้สึกอย่างไรในตอนนี้ เมื่อเขาเห็นว่าฮัวเฉียนหวู่และมู่ซื่อหรงเข้ามา เขาตกใจไปชั่วขณะ จากนั้นเขาลุกขึ้นและรีบกล่าวขอโทษทันที “อาวุโสมาถึงแล้ว ยกโทษให้ข้าด้วยที่ไม่ได้ต้อนรับท่านอย่างดี!”
“ฮ่าฮ่า!” ฮัวเฉียนหวู่หัวเราะ “ทุกอย่างจะเรียบร้อยถ้าหากเจ้าไม่คิดว่าข้าเป็นแขกที่ไม่ได้รับเชิญ! แน่นอนว่าข้าคงไม่กล้าให้ปีศาจตนที่สี่มาต้อนรับข้าที่หน้าประตูด้วยตนเองอย่างแน่นอน!”
สำหรับซ่งจงที่ได้ยินเช่นนั้น เขาไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ออกมาดี ทำได้เพียงตอบกลับอย่างขื่นขม “อาวุโส ปีศาจทั้งสามได้เขียนจดหมายถึงข้าแล้วว่าพวกเขาจะมาพบข้าในวันพรุ่งนี้! บางทีปีศาจตนที่สี่คนนี้อาจจะหมดฤทธิ์ในวันพรุ่งนี้ก็ได้!”
จากนั้นซ่งจงพาฮัวเฉียนหวู่ไปนั่งที่เก้าอี้พร้อมกับเตรียมชาให้ “อาวุโสได้โปรดนั่งลงก่อน!”
“ยอดเยี่ยม เยี่ยมมาก!” ฮัวเฉียนหวู่นั่งลงอย่างสบายใจ แต่มู่ซื่อหรงกลับยืนอยู่ด้านหลังของเขาอย่างไร้ตัวตน ทั้งฮัวเฉียนหวู่และซ่งจงนั้นเพิกเฉยต่ออย่างโดยสมบูรณ์
หลังจากที่เขานั่งลงแล้ว ฮัวเฉียนหวู่หัวเราะออกมา “ฮ่าฮ่า ข้าจะคิดเช่นนั้นถ้าหากเป็นผู้อื่น แต่ข้าไม่คิดเช่นนั้นแน่นอนถ้าหากเป็นเจ้า! ความจริงก็คือเจ้าสามารถทำให้อินทรีย์สายฟ้าหลบหนีไปได้อีกทั้งยังสังหารราชาฉลามดำ ข้าเชื่อว่าปีศาจทั้งสามตนนั้นไม่อาจทำอะไรเจ้าได้อย่างแน่นอน!”
“ข้าไม่ได้เกรงกลัวหนึ่งในพวกเขา แต่ถ้าหากพวกเขามาพร้อมกันสามคน ข้าคิดว่าคงไม่อาจรับมือไหว…”
ในขณะที่กล่าวเช่นนั้น เขาหยิบยกถ้วยชาให้กับฮัวเฉียนหวู่
ฮัวเฉียนหวู่รับถ้วยชาพร้อมกับจิบหนึ่งครั้ง “หลานรัก ตอนนี้เหล่าสามปีศาจนั้นอยู่ในสถานะเดียวกันอีกทั้งยังเต็มไปด้วยความขัดแย้งระหว่างกัน แน่นอนว่าทั้งสามไม่อาจร่วมงานกันได้อย่างกลมกลืน ตราบใดที่เจ้าไม่ยั่วยุให้ทั้งสามโจมตีเจ้าพร้อมกัน แน่นอนว่าเจ้าจะสามารถคลี่คลายสถานการณ์ได้อย่างง่ายดายและสร้างชื่อปีศาจตนที่สี่ให้กับตนเอง!”
“ข้าหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น แต่ไม่ว่ากรณีใดข้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว!”
“ฮี่ฮี่ เพียงแค่พยายามต่อไป!” ฮัวเฉียนหวู่กล่าวออกมา เขาหยิบชาขึ้นมาจิบพร้อมกับมองไปที่ซูหยู่และซูหยุนอย่างตั้งใจ
ซูหยู่และซูหยุนนั้นไม่ได้โง่เขลา ทั้งสองเข้าใจได้ทันทีว่าฮัวเฉียนหวู่ต้องการจะกล่าวอะไรกับซ่งจงเป็นการส่วนตัว ดังนั้นพวกนางรีบตอบโต้อย่างรวดเร็วด้วยความสุภาพ “ข้าทั้งสองมีสิ่งที่ต้องทำ เช่นนั้นพวกเราขอตัวก่อน หวังว่าอาวุโสจะยกโทษให้พวกเราที่บริการท่านไม่ดี!”
สำหรับฮัวเฉียนหวู่ได้ยินเช่นนั้น เขาพยักหน้าพร้อมกล่าวว่า “ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้น ไปทำธุระของพวกเจ้าเถิด!”
“ขอบคุณอาวุโส!” ซูหยู่และซูหยุนคำนับ พร้อมกับมองไปที่ซ่งจงอย่างลึกซึ้งก่อนที่จะเดินออกไปอย่างไม่เต็มใจ
หลังจากที่ทั้งคู่ออกไปแล้ว ฮัวเฉียนหวู่วางถ้วยชาลงพร้อมกล่าวว่า “หลานรัก สามีและภรรยานั้นแน่นอนว่าจะต้องทะเลาะกันบ้างในบางครั้ง แต่เจ้าไม่สามารถระเบิดทุกครั้งเมื่อทะเลาะกันได้ ถูกไหม? ดั่งคำกล่าวที่ว่า ถ้าหากมันเริ่มจากเตียง มันก็จะต้องจบที่เตียง! ตรรกะนี้ไม่ถูกต้องงั้นหรือ?”
“ฮี่ฮี่!” สำหรับซ่งจงที่ได้ยินเช่นนั้น เขาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น “อาวุโสกล่าวถูกแล้ว! แต่ข้าไม่คิดว่าการที่ภรรยาต้องการจะนอกใจสามีรวมอยู่ในนั้นด้วย ข้าพูดถูกต้องไหม?”
บทที่ 236: ยั่วยุ
“แค่กๆ” หลังจากฮัวเฉียนหวู่ได้ยินเช่นนั้นเขาไอออกมาสองครั้งก่อนที่จะอธิบายอย่างรวดเร็ว “มันเป็นเพราะนางยังเด็กไม่ใช่หรือนางจึงเป็นเช่นนี้? ในตอนนี้ทางตระกูลได้ตำหนินางแล้วและนางเปลี่ยนไปแล้ว!”
เมื่อกล่าวเช่นนั้น ฮัวเฉียนหวู่ส่งสัญญาณให้กับมู่ซื่อหรงที่อยู่ด้านข้าง มู่ซื่อหรงไม่รอช้านางเดินเข้าไปข้างๆซ่งจงพร้อมกับอ้อนวอนอย่างน่าสงสาร “สามี ข้ารู้ความผิดของตนเองแล้วจริงๆ!”
ในขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น น้ำตาเอ่อล้นออกมาจากดวงตาทั้งสองราวกับว่านางได้สำนึกผิดแล้วจริงๆ ถ้าหากซ่งจงไม่รู้จักมู่ซื่อหรงมากพอ เขาคงจะเชื่อนางแล้ว แต่ในตอนนี้เขารู้ว่านางฝึกฝนวิชาเบญจสตรีศักดิ์สิทธิ์สังหาร อีกทั้งนางยังไม่สามารถแก้ไขสิ่งใดได้ แน่นอนว่ามันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรในอนาคตได้อีกแล้ว
ดังนั้นซ่งจงไม่ได้เชื่อนางทันทีว่านางสำนึก เขาขมวดคิ้วพร้อมกับจ้องมองนางด้วยสายตาที่เย็นชา
เมื่อฮัวเฉียนหวู่เห็นเช่นนั้น เขารู้ทันทีว่าซ่งจงจะไม่ยอมยกโทษให้โดยง่าย ดังนั้นเขาจึงกล่าวขอโทษพร้อมกับหัวเราะ “ฮ่าฮ่า ข้าลืมไปเสียสนิทว่ามีจดหมายถึงเจ้าด้วย จากจ้าวสำนักเสวียนเทียน เจ้าคงจะเข้าใจเรื่องราวหลังจากอ่านมัน!”
หลังจากเขากล่าวเช่นนั้นเสร็จสิ้น เขายื่นจดหมายให้กับซ่งจง
ซ่งจงรับจดหมายมาและรู้ได้ว่ามันเป็นลายมือของนักบวชฮัวอวิ๋น เขาขอโทษซ่งจงเกี่ยวกับเรื่องราวที่ทำให้มู่ซื่อหรงเป็นเช่นนี้ ซึ่งต่อจากนี้เขามั่นใจว่ามู่ซื่อหรงจะไม่ทำเช่นนั้นอีก ถ้าหากนางทำอีกครั้ง ตระกูลฮัวจะไม่กล่าวสิ่งใดทั้งสิ้นแม้ว่าซ่งจงจะต้องการสังหารนางทิ้งก็ตาม และจดหมายนี้จะเป็นหลักฐาน!
หลังจากที่ซ่งจงอ่านจดหมายเสร็จแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ อย่างไรก็ตามเขารู้สึกว่านักบวชฮัวอวิ๋นยังคงเป็นสุนัขจิ้งจอกอยู่ดี ถึงแม้ว่าในตอนแรกซ่งจงจะละเลยมู่ซื่อหรงและปฏิบัติกับนางราวกับของเล่น แต่เขาต้องพิจารณาอีกครั้งเมื่อได้อ่านจดหมายจากนักบวชฮัวอวิ๋น ในตอนนี้ฮัวอวิ๋นได้ถอยให้เขาหนึ่งก้าว ถ้าหากเขาจะยืดเยื้อเรื่องราวเหล่านี้ต่อไป มันจะดูเหมือนเขาเป็นบุรุษที่คิดเล็กคิดน้อยจนเกินไป
จากนั้นซ่งจงจึงยิ้มออกมาพร้อมกล่าวว่า “ถ้าหากเป็นเช่นนี้ ข้าจะลองเชื่อเข้าอีกสักครั้ง ต่อจากนี้ที่นี่คือบ้านของเจ้า!”
“ขอบคุณ!” มู่ซื่อหรงพุ่งเข้าไปในอกของซ่งจงราวกับนางประทับใจการตัดสินใจของเขาอย่างมาก
ฮัวเฉียนหวู่ที่อยู่ด้านข้างหัวเราะออกมา “ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมจริงๆ ข้าชอบเหลือเกินบรรยากาศของหนุ่มสาว!”
มู่ซื่อหรงและซ่งจงรู้สึกเขินอายทันที พวกเขาทั้งสองผละออกจากกัน ซ่งจงตอบกลับด้วยรอยยิ้มเขินอาย “อาวุโสช่างอารมณ์ขันยิ่งนัก!”
“ฮ่าฮ่า ข้าไม่ได้ล้อเล่น!” ฮัวเฉียนหวู่ลุกขึ้นพร้อมกล่าวต่อ “เอาล่ะ เรื่องราวก็ได้จบลงแล้ว ภารกิจข้าถือว่าเสร็จสิ้น ข้าขอตัวก่อนไว้พบกันในอนาคต ลาก่อน!” เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น เขาบินออกไปด้วยดาบบินอย่างรวดเร็ว
เมื่อซ่งจงเห็นเช่นนั้น เขาอดไม่ได้ที่จะติดกับตนเอง ‘บุคคลนี้คิดจะมาก็มา คิดจะไปก็ไป เขาช่างไม่มีความกังวลใดๆเลย ยอดเยี่ยมจริงๆ!’
เมื่อเห็นว่าฮัวเฉียนหวู่จากไปแล้ว มู่ซื่อหรงจึงไม่ต้องเขินอายอีกต่อไป จากนั้นนางเอนร่างกายเข้าหาซ่งจงพร้อมกล่าวอย่างยั่วยวน “สามี ทาสผู้นี้รับรู้ความผิดในอดีตแล้ว ข้าไม่กล้าที่จะทำมันอีกแน่นอน ข้าแค่หวังว่าท่านจะไม่ใช้แม่มดเทวะควบคุมร่างกายข้าอีก ได้หรือไม่?”
เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาตอบกลับพร้อมกับหัวเราะอย่างปีศาจ “ข้าไม่สามารถไม่ควบคุมเจ้าได้ เพราะว่าสิ่งที่เจ้าทำในอดีตมันเลวร้ายอย่างมาก ถ้าหากว่าข้าไม่สั่งสอนบทเรียนให้กับเจ้า เช่นนี้เจ้าจะเรียนรู้ได้อย่างไรกัน?”
“ถ้าเช่นนั้น ท่านจงลงโทษข้าด้วยทุกสิ่งที่ท่านมี!” มู่ซื่อหรงกล่าวออกมาด้วยดวงตาที่เปล่งประกายพร้อมพูดต่อ “ข้าต้องการให้ท่านใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดที่มีเพื่อลงโทษข้า!”
ในวันถัดมา ซ่งจงลุกออกจากเตียงด้วยพลังงานที่เต็มเปี่ยม เขาหันไปข้างๆพร้อมกับเห็นว่ามู่ซื่อหรงหมดซึ่งเรี่ยวแรงกำลังนอนหลับอย่างสนิท จากนั้นเขาระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง ต่อมาเขาอาบน้ำและออกค้นหาซูหยู่และซูหยุนเพื่ออธิบายเรื่องเมื่อวาน
อย่างไรก็ตาม เมื่อซ่งจงก้าวออกมาเพียงก้าวเดียว เขารู้สึกได้ถึงบางอย่างที่ผิดปกติ โดยรอบเต็มไปด้วยบรรยากาศของปีศาจ ซึ่งบรรยากาศเช่นนี้ต้องอยู่ในระดับผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นจึงจะรู้สึกถึงมันได้ ผู้ฝึกตนธรรมดาทั่วไปจะไม่มีทางรู้ได้เลย
ซ่งจงจำได้ว่าวันนี้คือวันที่สามของเหล่าปีศาจทะเลตะวันออกจะมาเยี่ยมเยือนเขา ดูเหมือนว่าบรรยากาศเหล่านี้จะเป็นเพราะพวกเขาเหล่านั้น
ทันใดนั้นปรากฏเมฆสีดำขึ้นสามดวงในพื้นที่ห่างไกล บินมาจากสามทิศทางที่ต่างกัน ทั้งหมดมุ่งหน้ามาหาซ่งจงอย่างรวดเร็ว
เมื่อเกิดความปั่นป่วนขนาดใหญ่เช่นนี้ ทุกคนสังเกตได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น ทีมของซ่งจงนั้นมาถึงอย่างรวดเร็ว แม่มดเปลือยกาย ซูหยู่ ซูหยุน หินและตาเฒ่าพิษ แม้แต่มู่ซื่อหรงยังนำร่างกายที่ไร้กำลังของนางออกมายืนเคียงข้างซ่งจง
เมฆดำเปิดออกทันที มันจางหายไปในอากาศพร้อมปรากฏกลุ่มคนจำนวนนับสิบออกมา
ทางด้านทิศตะวันออก มันเต็มไปด้วยผู้ฝึกตนที่มีความงดงามอย่างยิ่งและอยู่ในขั้นปฐมภูมิ ทั้งหมดล้อมรอบเก้าอี้ขนาดใหญ่เอาไว้ซึ่งดูอายุของทั้งหมดแล้วราวๆไม่เกินสามสิบปี
ใบหน้าของบุคคลผู้นั้นดูคล้ายกับบุรุษแต่ว่าเขากลับแต่งหน้า ดวงตาของเขาโค้งเว้าอย่างยั่วยวน ทำให้ไม่สามารถกล่าวได้เต็มปากว่าเขาคือชายหรือหญิง ซ่งจงคิดทันทีว่าเขาคือไม่หยินไม่หยาง เหลียวเซียวเย่า ว่ากันว่าเขามีสองเพศในร่างเดียวกัน และความชั่วร้ายของเขาน่าเกรงกลัวอย่างมาก เขารักได้ทั้งหญิงสาวที่สวยงามและบุรุษผู้หล่อเหล่า
สำหรับกลุ่มทางด้านซ้าย พวกเขาเต็มไปด้วยบุรุษร่างเล็กและผิวซีด มีผู้ฝึกตนที่เป็นหญิงสาวอยู่เพียงไม่กี่คนในกลุ่ม ทั้งหมดล้อมรอบบุรุษที่มีใบหน้าแปลกประหลาดอายุราวๆสี่สิบปี
เมื่อซ่งจงเห็นเคราและเสื้อคลุมสีแดงของเขา รวดเร็วดั่งความคิดเขารู้ได้ทันทีว่าผู้นี้คือไม่หญิงไม่ชาย ฉิงชิงเหยา
ซ่งจงอดไม่ได้ที่จะคิดกับตนเอง ‘ทำไมเขาจึงกล้าที่จะเรียกตนเองว่าฉิงชิงเหยา? ชื่อนี้ทำให้ข้าอยากจะอ้วกออกมาจริงๆ!’
สำหรับกลุ่มสุดท้าย พวกเขาดูธรรมดามากที่สุดไร้สิ่งใดที่ดูแปลกตา ในกลุ่มนี้เต็มไปด้วยความหลากหลาย บุรุษ สตรี เด็ก และคนแก่ เหล่าผู้ชอบธรรมและปีศาจ ผู้นำของทั้งหมดคืออาวุโสที่สวมเสื้อคลุมสีเหลือง หนวดเคราของเขาหยาวเหยียดและมีผิวสีเข้ม มองผ่านๆเขาก็คล้ายกับเกษตรจากชนบท อย่างไม่ต้องสงสัยเขาคือไม่ดีไม่ร้าย ฉงลั่วเหยาแน่นอน
เมื่อคนเหล่านี้มารวมกันพร้อมกับแสดงพลังของพวกเขาทันทีที่มาถึง พวกเขาใหญ่เมฆาดำเพื่อปกปิดแสงของดวงอาทิตย์ จากนั้นจึงเปิดตัวผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมินับร้อยพร้อมด้วยผู้ฝึกตนระดับจินตัน พวกเขาใหญ่เหตุการณ์เหล่านี้แสดงความยิ่งใหญ่ของตนเอง ทีมของเจ้าอ้วนมองเหตุกาณ์เช่นนี้ทำให้ทั้งหมดหน้าซีดและเริ่มตัวสั่น
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ เหล่าสามปีศาจแห่งทะเลตะวันออกได้แต่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ
อย่างไรก็ตาม เจ้าอ้วนไม่ได้เกรงกลัวสิ่งใด เขาคือบุคคลที่สามารถหลบหนีจากลูกน้องของราชาฉลามดำนับหมื่นตัวได้ แล้วเขาจะมาเกรงกลัวกลุ่มคนเล็กๆเช่นนี้ได้อย่างไร? ดังนั้นเขาจึงพ่นคำสบประมาทออกมาอย่างเย็นชา “เอาล่ะเจ้าตัวบัดซบทั้งหลาย มาถึงดินแดนของข้าจนได้อีกทั้งยังกล้าเอาสุนัขพวกนี้มาเหยียบหน้าบ้านของข้าอีก พวกเจ้านั้นรนหาที่ตายจริงๆ!”
เมื่อซ่งจงกล่าวออกไปเช่นนั้น ทุกคนตกตะลึงในทันที ในขณะที่สามปีศาจแห่งทะเลตะวันออกนั้นเดินใกล้เข้ามาที่หน้าประตูของซ่งจง ตราบใดที่ไขมันก้อนนี้ยังมีสมอง เขาควรจะคุกเข่าพร้อมกับอ้อนวอนให้ปีศาจทั้งสามเมตตา แต่เหตุการณ์กลับพลิกผันเมื่อซ่งจงไม่ได้ทำสิ่งที่ทุกคนคาดหวังแต่กลับสบประมาทเหล่าปีศาจทั้งสามอีกด้วย!
ทั้งสามคนนี้เคยชินกับการอยู่เหนือผู้อื่นมาโดยตลอด เมื่อได้ยินเช่นนั้นพวกเขาตกใจไปชั่วขณะ หลังจากที่สติฟื้นคืนกลับมาทั้งหมดเริ่มโต้ตอบทันที
“ไขมันน้อย เจ้าพูดว่าอะไรนะ? เหนื่อยแล้วงั้นหรือกับชีวิตในตอนนี้?”
“นายท่านอยู่ตรงหน้าเจ้าในวันนี้แต่เจ้ากลับกล้าพ่นวาจาไร้สาระงั้นหรือ? เจ้านี่มันโง่จริงๆใช่หรือไม่?”
“ไอ้บัดซบ วันนี้เป็นวันตายของเจ้าอย่างแน่นอน!”
แน่นอนว่าซ่งจงเพียงคนเดียวไม่สามารถเอาชนะการโต้เถียงกับบุคคลนับร้อยได้ เมื่อมองเห็นว่าเขาเสียเปรียบ ดวงตาของเขาแคบลงและต้องการจะสั่งสอนบทเรียนให้กับบุคคลเหล่านี้
ในเวลานั้นจู่ๆไม่หยินไม่หยาง เหลียวเซียวเย่าก็ไอออกมาอย่างไร้สาเหตุ
เสียงไอของเขานั้นอ่อนหวานราวกับสตรีที่งดงาม ทำให้ทุกคนรู้สึกผ่อนคลายเมื่อได้ยิน หลังจากนั้นทั้งหมดหยุดก่นด่าซ่งจงและเริ่มเงียบเพื่อฟังเขาพูด
เห็นได้ชัดว่าทักษะล่อลวงนี้ช่างทรงพลังอย่างยิ่ง ระฆังทองแดงนั้นมีความสามารถที่จะใช้พลังคลื่นเสียงและเขาสามารถเข้าใจมันได้โดยธรรมชาติ ในตอนนี้ซ่งจงระงับทุกอย่างไว้พร้อมกับตั้งใจฟังเขาอย่างเต็มที่ เขารวบรวมสติอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเขาอดไม่ได้ที่จะสาปแช่งในใจ ‘บัดซบ ไม่ต้องกล่าวอะไรยืนยันแต่พวกมันคือปีศาจที่แท้จริง พวกมันเพิ่งจะเปิดการโจมตีเมื่อครู่ ถ้าไม่ใช่สภาพจิตใจที่เข้มแข็งของข้า แน่นอนว่าข้าคงต้องตายในวันนี้!’
เมื่อคิดว่าเขาถูกล่อล่วงโดยไม่หยินไม่หยางเหลียวเซียวเย่า ซ่งจงได้แต่เดือดดาลอยู่ภายในใจ ‘มันไม่สำคัญว่าวันนี้จะได้ต่อสู้กันหรือไม่ แต่ถ้าหากข้าจะต้องต่อสู้ แน่นอนว่าข้าจะจัดการกับไอ้บัดซบนี้ก่อน!’
ในขณะที่ซ่งจงหงุดหงิด เขาไม่ได้คาดคิดว่าเหล่าปีศาจทั้งสามนั้นก็ตกใจในตัวเขาเช่นกัน ไม่หยินไม่หยาง เหลียวเซียวเย่า นั้นใช้ทักษะพิเศษที่ทำให้เกิดอารมณ์ทางเพศผ่านน้ำเสียง เขาสามารถใช้น้ำเสียงที่เย้ายวนเพื่อกล่อมให้ศัตรูทำตามในสิ่งที่เขาต้องการได้ และทักษะนี้เมื่อใช้งานมันจะไม่มีผู้ใดรู้เห็นได้อย่างแน่นอน จึงยากมากที่จะป้องกัน ดังนั้นถ้าหากถูกโจมตีด้วยทักษะนี้แล้วแม้แต่ผู้ฝึกตนระดับจินตันยังต้องถูกควบคุมโดยไร้ข้อกังขา
อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่เคยคาดคิดว่าซ่งจงที่อยู่ในระดับปฐมภูมิจะสามารถป้องกันการโจมตีนี้ได้ เขาไม่ถูกล่อลวงแม้แต่วินาทีเดียว ทั้งสามได้แต่คิดกับตนเองอยู่ภายในใจ ‘ซ่งจงนั้นมีชื่อเสียงเพราะเขามีความสามารถที่แท้จริงและทักษะของเขาลึกลับอย่างมาก!’
ไม่หยินไม่หยาง เหลียวเซียวเย่าเห็นว่าการโจมตีของตนเองนั้นไร้ประโยชน์ เขาถอนตัวจากการโจมตีพร้อมกล่าวว่า “ฮ่าฮ่า ศิษย์น้องซ่งช่างแข็งแกร่งจริงๆ! เจ้าไม่ได้รับผลจากเสียงแห่งสวรรค์ของข้าเลย!”
เมื่อได้ยินเสียงของเขาซึ่งไม่รู้ว่าเป็นบุรุษหรือสตรี ซ่งจงนั้นจุกอกอย่างบอกไม่ถูก เขารู้สึกขยะแขยงอย่างมากพร้อมกับคำรามออกมาอย่างเยือกเย็น “ถ้าหากเสียงของท่านไม่น่าขยะแขยงจนเกินไป แน่นอนว่าข้าคงจะตกหลุมพรางนั้นแล้ว!”
ไม่หยินไม่หยาง เหลียวเซียวเย่าไม่เคยคิดว่าซ่งจงจะกล่าววาจาไม่ไว้หน้าเขาเช่นนี้ เขาโดนดูถูกต่อหน้าผู้คนนับร้อย นับว่านี่เป็นการตบหน้าอย่างสมบูรณ์
เมื่อไม่ดีไม่ร้าย ฉงลั่วเหยาและไม่หญิงไม่ชาย ฉิงชิงเหยาได้ยินเช่นนั้น เขาอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มออกมา สำหรับไม่หยินไม่หยาง เหลียวเซียวเย่าเขาโกรธพร้อมกับตะโกนออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าก้อนไขมัน เจ้ากล้าที่จะฉีกหน้าข้างั้นหรือ?”
“ข้าทำอะไร?” ซ่งจงขมวดคิ้วพร้อมกับตอบกลับ “ข้าคิดว่าข้าเพียงพูดความจริงเท่านั้น อย่าบอกนะว่าท่านไม่ใช่ไม่หยินไม่หยาง เหลียวเซียวเย่า?”
“ข้าคือไม่หยินไม่หยาง เหลียวเซียวเย่า!” ไม่หยินไม่หยาง เหลียวเซียวเย่าตอบกลับอย่างเยือกเย็น
“ฮ่า! งั้นถูกต้องแล้ว ไม่ใช่หญิง ไม่ใช่ชาย ถ้าหากท่านไม่ใช่ปีศาจ แล้วท่านจะเป็นอะไรล่ะ?” ซ่งจงเย้ยหยัน
“สารเลว!” ไม่หยินไม่หยาง เหลียวเซียวเย่าได้ครอบครองทะเลตะวันออกแห่งนี้มานานนับร้อยปี เมื่อไหร่กันที่เขาได้โกรธจัดเช่นนี้? แน่นอนว่าเขาดูแลคนที่ทำให้เขาไม่พอใจอย่างดีเสมอมา! ชื่อเสียงของเขานั้นโหดร้ายเกินกว่าจะมีใครกล้าหยาบคายกับเขาเช่นนี้ บวกกับต่อหน้าฝูงชนนับร้อยอีกด้วย!
บทที่ 237: ต่อสู้กับปีศาจ
ไม่ต้องพูดถึงความแข็งแกร่งของไม่หยินไม่หยาง เหลียวเซียวเย่าเลย แม้ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนสามัญธรรมดา ก็ไม่อาจระงับความโกรธนี้ไว้ได้ เช่นนี้เมื่อความโกรธถาโถมอย่างรุนแรง เขาเริ่มเปิดฉากการโจมตีทันที
ไม่หยินไม่หยาง เหลียวเซียวเย่าคำรามออกมาอย่างดุร้าย “ทำไมคนอย่างเจ้าถึงมีชีวิตอยู่ได้จนถึงวันนี้กันนะ?”
ด้วยอิทธิพลแห่งเสียงสวรรค์ที่น่าสะพรึง คำพูดเหล่านั้นราวกับมีเวทย์มนต์อยู่ภายใน มันทำให้ทุกคนที่ได้ยินเสียงนั้นเกิดอารมณ์อยากฆ่าตัวตายทันที
แต่ซ่งจงนั้นแข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดและสามารถต่อต้านมันได้ แต่กับผู้คนรอบข้างเขานั้นไม่อาจทำได้เช่นนั้น โดยเฉพาะมู่ซื่อหรงและแม่มดเปลือยกายที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาของปีศาจ เดิมทีพลังใจของพวกนางนั้นอ่อนแออยู่แล้ว เงาภายในใจของทั้งคู่ได้กลับมาเล่นงานทั้งสองคนอย่างทรมาน ทั้งคู่ไม่อาจทนได้ไหวพร้อมกับยกมือขึ้นมาปิดหูจนเองอย่างเจ็บปวดและคิดหาทางหลุดพ้นจากเสียงกังวาลเหล่านี้
เมื่อซ่งจงเห็นเช่นนั้น เขาสะดุ้งทันที! เขาคว้าตัวของทั้งสองไว้อย่างรวดเร็ว แต่ในขณะนั้นมีความผิดพลาดเกิดขึ้นกับซูหยู่และซูหยุน ใบหน้าของทั้งสองเปลี่ยนไปราวกับว่ากำลังจะเดินทางไปสวรรค์ จากนั้นทั้งสองเริ่มทุบตีตนเองอย่างรุนแรงทันที
ซ่งจงนั้นไร้มือที่จะรั้งทั้งสี่คนไว้ได้ เขาทำอะไรไม่ถูกนอกจากคำรามออกมาเสียงดังทำให้เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง ซ่งจงหยิบระฆังทองแดงออกมาพร้อมกับยันต์เครื่องรางจากนั้นทำให้เกิดเสียงดังทันที ทุกคนที่เห็นภาพต่างตกใจในการกระทำของเขา
มันคือเสียงที่ทำให้ทุกคนตื่นตัวและตกใจ หลังจากนั้นทุกคนที่ได้ยินได้หลุดออกจากภวังค์ของเหลียวเซียวเย่าทันที เมื่อคิดว่ากำลังจะฆ่าตัวตายทุกคนไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากหลั่งเหงื่อออกมาท่วมร่างกาย ทั้งหมดอดไม่ได้ที่จะเกรงกลัวต่อเหลียวเซียวเย่า ความแข็งแกร่งของเขาคือการควบคุมทุกอย่างได้ในประโยคเดียว!
เมื่อเห็นว่าคลี่คลายสถานการณ์ได้แล้ว ซ่งจงถอนหายใจอย่างโล่งอกพร้อมกับความโกรธที่เพิ่มขึ้นภายในใจทันที ไม่ว่าจะเป็นซูหยู่ ซูหยุนหรือมู่ซื่อหรง ทั้งสามล้วนแต่เป็นสตรีของเขา! ไม่ว่าใครก็ตามที่กล้าแตะต้องพวกนางต่อหน้าเขา แน่นอนว่าเขาจะไม่มีวันยกโทษให้อย่างแน่นอน!
ในความโกรธนี้ ซ่งจงเลิกสนใจสิ่งอื่น เขายกมือขึ้นเผยให้เห็นสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ทันที ในขณะที่เขาเปิดการใช้งานของมัน เขาเผยยิ้มที่อันตรายออกมาพร้อมกล่าวว่า “เจ้าปีศาจจงรับระเบิดจากข้า!”
ในตอนแรกเหลียวเซียวเย่าไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับซ่งจงมากนัก และในตอนนี้เขาก็ยังหัวเราะอยู่ “อย่างเจ้าน่ะหรือ?”
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเห็นว่าซ่งจงนั้นรวมสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบเข้าด้วยกันและกลายเป็นลูกบอลสายฟ้าสีสดใส เขาตกใจทันที “อะไรกัน? สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์หยินหยางแห่งธาตุทั้งห้า? บัดซบ เจ้ารู้วิธีที่จะใช้มันได้จริงๆงั้นหรือ?”
ที่จริงแล้วเรื่องที่ซ่งจงสามารถใช้สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์หยินหยางแห่งธาตุทั้งห้าทั้งแพร่กระจายไปในทะเลตะวันออกนานมากแล้ว การปรับแต่งมันนั้นเป็นศาสตร์ขั้นสูงและผู้ที่จะทำได้จะต้องอยู่ในระดับจินตันขั้นกลางเท่านั้น การเรียนรู้มันจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบทศวรรษ มันเป็นไปไม่ได้เลยที่ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิจะสามารถทำเช่นนี้ได้
แน่นอนว่าเมื่อข่าวนี้แพร่กระจายออกไป ผู้คนในทะเลตะวันออกจำนวนมากไม่เชื่อข่าวนี้ พวกเขาคิดว่ามันเป็นเพียงของเลียนแบบเท่านั้น และเหลียวเซียวเย่าคิดเช่นนั้นเหมือนกัน
อย่างไรก็ตามหลังจากที่เห็นว่าซ่งจงสามารถใช้สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์หยินหยางแห่งธาตุทั้งห้า เขารู้ได้ทันทีว่าตอนนี้เขาได้ทำผิดพลาดอย่างหนัก มันคือสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของจริงและนั่นทำให้เหลียวเซียวเย่าตกใจอย่างมาก
ในตอนนี้เหลียวเซียวเย่าไม่ได้กังวลเกี่ยวกับซ่งจงอีกต่อไป แต่เขากังวลเกี่ยวกับสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในมือของซ่งจงมากกว่า
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ เหลียวเซียวเย่านั้นไม่กล้าที่จะประมาทเช่นกัน เขาหยิบสมบัติวิเศษออกมา มันคือผ้าคลุมสีแดง แสงของมันครอบคลุมพื้นที่กว่าพันฟุตเพื่อป้องกันการปะทะของสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์
สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของซ่งจงนั้นถูกสร้างขึ้นมาเป็นลูกบอลลูกใหญ่ หลังจากการปะทะกันเกิดการระเบิดจนแผ่นดินสนั่นหวั่นไหว ผ้าคลุมสีแดงของเหลียวเซียวเย่านั้นสั่นสะเทือนอย่างหนักแต่ทว่ามันไม่ได้แตกสลาย เห็นได้ชัดว่าเหล่าปีศาจพวกนี้นั้นครอบครองสมบัติล้ำค่ามากมาย
เมื่อเห็นว่าสามารถป้องกันการโจมตีได้ เหลียวเซียวเย่าได้แต่ถอนหายใจด้วยความโล่งอก อย่างไรก็ตามเขาไม่ต้องการแสดงความอ่อนแอออกมาพร้อมกับเยาะเย้ยซ่งจงทันที “ฮ่าฮ่า นี่น่ะหรือชื่อเสียงของสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์หยินหยางแห่งธาตุทั้งห้า? เหตุใดมันจึงอ่อนแอนักเมื่ออยู่ในมือของเจ้า?”
เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาโกรธจัดจนแทบอยากตายทันที แท้จริงแล้วสายฟ้าที่เขาใช้ในตอนนี้นั้นถูกสร้างขึ้นในตอนที่เขายังเป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิขั้นกลาง ถ้าหากเทียบกับพลังของผู้ฝึกตนนั้นสามารถเทียบได้กับพลังของผู้ฝึกตนระดับจินตันขั้นต้นเท่านั้น ซึ่งไม่สามารถทำอะไรเหลียวเซียวเย่าที่อยู่ในระดับจินตันขั้นสมบูรณ์ได้เลย
อย่างไรก็ตามในตอนนี้ซ่งจงได้อยู่ในระดับปฐมภูมิขั้นสมบูรณ์แล้ว แน่นอนว่าเครื่องสร้างสายฟ้าของเขาจะสร้างสายฟ้าที่แข็งแกร่งตามระดับพลังของเขาออกมา
เหตุผลมีอยู่ว่าซ่งจงนั้นเพิ่งเข้าสู่ระดับปฐมภูมิขั้นสมบูรณ์ได้เพียงไม่กี่วันและเขาไม่มีสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์มากพอ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าที่จะใช้มันอย่างสิ้นเปลืองจึงใช้เพียงของเก่าที่เหลือเท่านั้น
แต่ในตอนนี้เขาถูกเหลียวเซียวเย่าสบประมาท ซ่งจงนั้นไม่อาจรับได้ ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกตนประเภทสายฟ้าแต่กลับถูกล้อเลียนเรื่องนี้ เขารู้สึกว่าเสียหน้าอย่างมาก! นี่คือความอัปยศครั้งยิ่งใหญ่ที่เขาเคยพบเจอมา!
ดังนั้น เขาไม่สามารถรอช้าได้อีกต่อไป ซ่งจงหยิบเอาสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ออกมาอีกครั้งเพื่อสร้างสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์หยินหยางแห่งธาตุทั้งห้า ในเวลานั้นเขาหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น “ถ้าหากเจ้ายังมีไข่ทั้งสองใบ ก็จงรับระเบิดจากข้าอีกครั้งแล้วกัน!”
เมื่อเขากล่าวจบ สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์พุ่งเข้าชนกับผ้าคลุมสีแดงอีกครั้งทันที
อย่างไรก็ตาม เหลียวเซียวเย่าไม่ได้ใส่ใจกับอะไรตรงหน้าอีกต่อไป เขาคิดว่าสายฟ้าที่พุ่งเข้ามาอีกครั้งคงจะไม่แตกต่างอะไรจากครั้งแรก เพราะมันปรับแต่งมาจากคนๆเดียว ดังนั้นเขาจึงเย้ยหยันออกมา “ต่อให้เจ้าพยายามเป็นร้อยครั้ง ก็คงเหนื่อยเปล่า เพราะผลลัพธ์มันก็คงเป็นแบบเดิม!”
อย่างไรก็ตามเมื่อเหลียวเซียวเย่ากล่าวจบ การปะทะได้เริ่มต้นขึ้นเช่นกัน แสงสีแดงนั้นสั่นสะเทือนอยู่ชั่วขณะ หลังจากนั้นคลื่นไฟที่สวยงามได้แผ่กระจายไปทั่ว
ไม่เพียงแค่เหลียวเซียวเย่าที่ตกใจ แต่ปีศาจทั้งสองนั้นใบหน้าซีดขาวไปอย่างสมบูรณ์แล้ว รัศมีการระเบิดของลูกบอลสายฟ้านี้รุนแรงเกินไปจนทั้งสองได้รับผลกระทบ
แน่นอนว่าเหล่าปีศาจแห่งทะเลตะวันออกย่อมไม่เกรงกลัวต่ออะไรเช่นนี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าลูกน้องของพวกเขาจะต้านทานได้ เมื่อต้องปกป้องทีมของตนเอง เหล่าปีศาจทั้งสามกรีดร้องออกมาพร้อมกันพร้อมกับหยิบสมบัติวิเศษออกมาทันทีและสามารถป้องกันทุกอย่างไว้ได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากที่สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ระเบิด เมฆดำทั้งหลายได้หายไปทันที เปิดเผยให้เห็นท้องฟ้าสีครามที่สวยงาม ทุกคนที่อยู่รอบข้างซ่งจงร่าเริงอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นซ่งจงจึงกล่าวออกมาพร้อมกับหัวเราะ “เจ้าปีศาจขยะ ตอนนี้รู้ถึงพลังของข้าบ้างหรือยัง?”
ในช่วงเวลาแห่งความประมาทนั้น เหลียวเซียวเย่าได้สูญเสียสมบัติวิเศษไปหนึ่งชิ้นอีกทั้งใบหน้าของเขายังแตกหักอย่างไม่มีชิ้นดี กล่าวได้ว่าตอนนี้ความโกรธของเขาพุ่งขึ้นถึงขีดสุดแล้ว
แม้ว่าซ่งจงจะใช้สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่ง สำหรับเหลียวเซียวเย่าที่อยู่ในทะเลตะวันออกมานานหลายปี เขาก็ไม่ได้อ่อนแอเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงไม่มีความกลัวแม้แต่น้อย หลังจากที่พ่ายแพ้เขาคำรามออกมาพร้อมกับทิ้งลูกทีมของตนเองไว้ด้านหลัง พุ่งเข้าหาซ่งจงอย่างรวดเร็วราวกับแสง เขาคำรามออกมา “เจ้าบัดซบ เจ้าคิดจริงๆหรือว่าข้าเกรงกลัวเจ้า?”
“เหอะ!” เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาปล่อยลมหายใจออกมาเล็กน้อยพร้อมกับปรายตามองเหลียวเซียวเย่าอย่างเย็นชา “ข้าจะทุบตีเจ้า จนกว่าเจ้าจะร้องขอชีวิต!”
เมื่อเหลียวเซียวเย่าได้ยินเช่นนั้น นัยน์ตาของเขาหรี่ลงพร้อมตะโกนออกมาว่า “ไอ้สารเลว เจ้ามันรนหาที่ตาย!” เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น เหลียวเซียวเย่าโบกมือพร้อมปรากฏเส้นสีดำขึ้นในอากาศพร้อมที่จะฟาดลงมาที่ซ่งจง
ซ่งจงไม่รู้ว่ามันคือสิ่งใด เขารับรู้ได้เพียงว่ามันน่าขยะแขยงอย่างมาก และต้องไม่ปล่อยให้มันเข้าใกล้ร่างกายของเขา ดังนั้นเขาจึงยกมือขึ้นมาพร้อมปรากฏดาบศักดิ์สิทธิ์แห่งธาตุทั้งห้าทันทีพร้อมกับปลดปล่อยปราณดาบออกมาอย่างรุนแรง
แม้ว่าปราณดาบจะคมอย่างมาก แต่ไม่อาจตัดผ่านแส้สีดำนี้ได้เลย มันวิ่งตัดผ่านไปราวกับอากาศไม่สามารถทำอะไรได้ และแส้สีดำเริ่มเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที บังคับให้ซ่งจงปล่อยสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งอัคคีออกไปเพื่อถ่วงเวลาไว้
อย่างไรก็ตามสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งอัคคีไม่สามารถทำอะไรสิ่งนั้นได้ ทำให้ซ่งจงตกใจทันที เขาไม่รู้เลยว่าตอนนี้ต้องทำอย่างไร
เมื่อเหลียวเซียวเย่าเห็นเช่นนั้น เขาหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้าขยะ นี่คือแส้แห่งจิตวิญญาณหมื่นดวงเป็นสมบัติวิเศษขั้นเก้าที่ผู้ฝึกตนโบราณได้ปรับแต่งไว้ อีกร้อยปีข้างหน้ามันจะกลายเป็นสมบัติวิญญาณ ถ้าหากเจ้าสามารถป้องกันมันได้ แน่นอนว่าข้าจะยกมันให้เจ้า!”
เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของเขาในตอนแรกบิดเบี้ยวอย่างสมบูรณ์ แม้ว่าเขาจะกำลังวุ่นวายอย่างมาก เขาก็ไม่ลืมที่จะตะโกนกลับไป “สวรรค์และโลก ได้โปรดจงรับฟัง! ถึงแม้ว่าข้าจะต้องตาย! ข้าก็จะไม่มีวันกลายเป็นปีศาจเช่นเจ้า!”
บทที่ 238: ขับไล่ปีศาจทั้งสาม
สำหรับเหลียวเซียวเย่าที่ได้รับความอัปยศจากซ่งจงในครั้งนี้ เขาโกรธจัดจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียว จากนั้นเขาคำรามออกมา “จงไปตายซะ!” เมื่อสิ้นสุดคำพูด เขาฟาดแส้สีดำลงมาที่ซ่งจงทันที
ซ่งจงนั้นไม่รู้ว่าแส้สีดำนี้คืออะไร เขาปลดปล่อยแม่มดเทวะออกมาอย่างหมดหนทางพร้อมกับส่งกระแสจิตอย่างลับๆเพื่อถามไถ่พวกนาง “รีบบอกข้ามาเร็วว่าไอ้สิ่งน่าเกลียดเช่นนี้คืออะไร!”
จากสิ่งที่ซ่งจงมองเห็นคือเหล่าแม่มดเทวะนั้นเป็นถึงผู้ฝึกตนระดับเฟินเสินและมีชีวิตพบเจอทุกสิ่ง แน่นอนว่าพวกนางสามารถรู้ถึงที่มาของสมบัติวิเศษนี้ได้
หลังจากที่แม่มดเทวะปรากฏตัวขึ้น ดวงตาของนางเบิกโพลงและรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว “นายท่านมันคือแส้แห่งจิตวิญญาณหมื่นดวง มันถูกสร้างจากดวงวิญญาณของผู้ฝึกตนปีศาจ ซึ่งความแข็งแกร่งของมันเทียบเท่ากับพลังของดวงวิญญาณนับสองแสนดวง!”
เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาตื่นตระหนกทันที ก่อนอื่นที่ต้องรู้คือแส้สีดำของเหลียวเซียวเย่านั้นแข็งแกร่งมากและครอบคลุมทั่วท้องฟ้า ภายในแส้เหล่านี้มีดวงวิญญาณสองถึงสามหมื่นดวง! ซ่งจงอุทานออกมา “เรื่องแบบนี้เป็นไปได้ด้วยงั้นหรือ? ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งขนาดไหน ก็คงไม่สามารถสังหารผู้ฝึกตนจำนวนแสนคนได้ใช่ไหม?”
“เขาสืบทอดมันมาจากผู้อื่นอย่างแน่นอน อีกทั้งเขายังสามารถใช้จิตวิญญาณของเหล่าอสูรกายเพื่อปรับแต่งมันได้ เมื่อมองถึงสถานที่แห่งนี้ สมบัติวิเศษชิ้นนี้น่าจะถูกปรับแต่งด้วยจิตวิญญาณของเหล่าอสูรกายอย่างแน่นอน!” แม่มดเทวะอธิบายอย่างรวดเร็ว
“อืม เป็นเช่นนี้เอง!” ซ่งจงเข้าใจทุกอย่างทันที แต่เขารีบถามออกไปอย่างรวดเร็ว “ข้าไม่สามารถทำลายมันได้ด้วยปราณดาบหรือสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ อย่าบอกนะว่าข้าทำได้เพียงหนีเท่านั้น? มีวิธีป้องกันมันไหม?”
“นายท่านแส้แห่งจิตวิญญาณหมื่นดวงนั้นมีชีวิตเหมือนเราแต่ทว่าไม่มีร่างกาย หลังจากที่ผ่านการปรับแต่งมาแล้ว มันมีความแข็งแกร่งอย่างมาก ยากที่จะทำลายได้ด้วยอาวุธหรือเวทย์มนต์ ด้วยเหตุผลนี้มันจึงเป็นสมบัติวิเศษที่ทรงพลังอย่างมาก อย่างไรก็ตามมันง่ายดายมากที่จะจัดการกับมันตั้งแต่ที่ท่านมีพวกข้าอยู่เคียงข้าง!” แม่มดเทวะกล่าวกับซ่งจงอย่างเว้าวอน “นายท่าน สิ่งนี้มีประโยชน์กับพวกเราอย่างมาก! เอ่อ พวกเรา… สามารถกินมันได้ไหม?”
“เจ้ายังจะถามอีกงั้นหรือ?” ซ่งจงตอบกลับอย่างรวดเร็วพร้อมกับตะโกนออกมา “รีบกินมันเดี๋ยวนี้เลย!”
“รับทราบ!” แม่มดทั้งเก้าร่าเริงพร้อมกับรีบกลืนกินเส้นด้ายเหล่านั้นทันที
แน่นอนว่าทุกสิ่งย่อมมีจุดอ่อน! ซ่งจงนั้นปลดปล่อยไพ่ตายของเขาแล้วแต่ไม่สามารถทำอะไรกับมันได้ แต่ด้วยพลังของแม่มดเทวะ แส้สีดำเหล่านี้เป็นเพียงอาหารของพวกนาง ชั่วพริบตาพวกนางกลืนกินมันไปมากกว่าสิบเส้น พวกนางเคลื่อนที่ไปรอบๆอย่างมีความสุขท่ามกลางแส้สีดำ นอกเหนือจากซ่งจงที่เป็นเจ้านายของพวกนาง ไม่มีใครที่เห็นพวกนางแม้แต่คนเดียว ทุกคนเห็นเพียงแส้สีดำกำลังลดปริมาณลงอย่างช้าๆ
ในฐานะที่เป็นเจ้าของแส้แห่งจิตวิญญาณหมื่นดวง เหลียวเซียวเย่าสามารถรู้สึกได้อย่างชัดเจนที่สุด เขาพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ ราวกับว่ามีบางอย่างกำลังกลืนกินสมบัติของตนเอง นี่คือสมบัติที่มีค่าที่สุดของเขา ถ้าหากมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับมัน แน่นอนว่าคนที่จะต้องทุกข์ทรมานจะต้องเป็นเขา!
ดังนั้น เขารีบเรียกคืนแส้สีดำทันทีจากนั้นจึงตะโกนออกมา “บัดซบ นี่มันอะไรกัน!”
“บางอย่างที่ยอดเยี่ยม!” ซ่งจงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “เจ้าสามารถลิ้มรสชาติที่ดีของมันได้!”
ในช่วงเวลาที่ทั้งสองคุยกัน แม่มดเทวะได้กลืนกินมันไปนับพันแล้ว เหลียวเซียวเย่าแทบจะตายตกไปเพราะความปวดหัว อย่างไรก็ตามเขาจะต้องรักษามันไว้ก่อน ดังนั้นแม้ว่าจะกังวลมากเพียงใด เขาก็ไม่มีทางเลือกมากนัก เหล่าแม่มดเทวะนั้นกลืนกินแส้เหล่านั้นอย่างรวดเร็ว เมื่อเหลียวเซียวเย่าเก็บกวาดแส้ของเขาเสร็จสิ้นแล้ว เขาตรวจสอบและพบว่าเขาสูญเสียมันไปกว่าหมื่นเส้น เช่นนี้ทำให้ความแข็งแกร่งของสมบัติวิเศษที่เขามีนั้นลดลงไปอย่างมาก ระยะเวลาที่จะให้มันกลายเป็นสมบัติวิญญาณก็จะล่าช้าออกไปอีกเช่นกัน
เหลียวเซียวเย่าไม่มีทางเลือกนอกจากต้องหนี ในขณะที่พยายามจะหนีออกไป เขารีบเก็บแส้แห่งจิตวิญญาณหมื่นดวงไปด้วย
ในฐานะที่เขาเป็นผู้ฝึกตนที่มีชื่อเสียง ถ้าหากเขาต้องการจะหนี เขาจะต้องทิ้งบางคำไว้เบื้องหลังเสียก่อน “ไขมันบัดซบ เรื่องนี้ไม่จบง่ายๆแน่นอน วันนี้ข้ามีเรื่องที่ต้องจัดการและต้องรีบไป ข้าจะกลับมาพบกับเจ้าในอนาคต!” เมื่อเขากล่าวจบ เขาบินออกไปอย่างรวดเร็วด้วยดาบบินของตนเอง
เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาโกรธจัดพร้อมกับหยิบดาบบินออกมาทันที ในขณะนั้นเขาตะโกนออกมา “แล้วจะรอวันพรุ่งนี้ทำไมกัน? เรื่องระหว่างเรายังไม่จบ ทำไมเราจึงไม่จบมันในวันนี้!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาหยิบดาบศักดิ์สิทธิ์แห่งธาตุทั้งห้าออกมาพร้อมกับปลดปล่อยปราณดาบออกไปทันที
เมื่อเหลียวเซียวเย่าเห็นเช่นนั้น เขาได้แต่ปลดปล่อยสมบัติวิเศษออกไปเพื่อป้องกันเท่านั้น แม้ว่ามันจะสามารถปิดการโจมตีได้ มันก็ส่งผลกับความเร็วที่เขาใช้หลบหนีรวมถึงการเก็บแส้สีดำอีกด้วย นั่นส่งผลให้แม่มดเทวะได้กินแส้สีดำต่อไป
เหลียวเซียวเย่ารู้สึกกังวลอย่างมาก ในขณะที่เขาต้องการสั่งสอนบทเรียนให้กับซ่งจง เขากลับต้องสูญเสียสมบัติวิเศษของเขา อีกทั้งในตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกกลัวซ่งจงขึ้นมาจริงๆแล้ว สมบัติวิเศษที่สำคัญที่สุดของเขาแต่ตอนนี้กลับไร้ประโยชน์แล้ว อย่างนี้เขาจะใช้อะไรต่อสู้กับซ่งจง?
ในขณะที่เหลียวเซียวเย่ารู้สึกกลัวขึ้นมาในหัวใจ เขาตะโกนสาปแช่งซ่งจงอีกครั้งพร้อมกับสั่งลูกน้องของตนเองทันที “พวกเจ้าทุกคนตายไปแล้วหรือยังไง? ทำไมถึงไม่พยายามที่จะหยุดมัน!”
เมื่อลูกน้องเห็นว่าผู้นำของตนได้สติแตกไปแล้ว ทั้งหมดหวาดกลัวและหยิบทุกสิ่งที่มีออกมาเพื่อโจมตีซ่งจง
ในขณะที่ต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีจากทุกทิศ ซ่งจงไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เขาเรียกระฆังทองแดงออกมาเพื่อป้องกันการโจมตีทั้งหมด ในระยะเวลาสั้นๆที่โดนถ่วงเวลา ทำให้เหลียวเซียวเย่าหนีออกไปได้อย่างรวดเร็ว
ซ่งจงนั้นต้องการให้แม่มดเทวะของเขากินแส้เหล่านี้เข้าไปอีก แล้วเขาจะทนให้เหลียวเซียวเย่าหลบหนีไปได้อย่างไร? แต่ในตอนนี้เขามีแมลงวันมากมายกำลังไต่ตอมและไม่สามารถหลุดออกไปจากตรงนี้ได้
ในขณะที่กำลังกังวล เขาเต็มไปด้วยความเดือดดาล โดยไม่ต้องกล่าวสิ่งใดเขาปลดปล่อยสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์หยินหยางแห่งธาตุทั้งห้าออกไปทันที
ในขณะที่ทุกคนเห็นว่าซ่งจงปลดปล่อยสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์หยินหยางแห่งธาตุทั้งห้า ทั้งหมดแยกย้ายทันที แม้ว่าเหลียวเซียวเย่าจะน่าเกรงกลัว แต่สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์นั้นน่ากลัวยิ่งกว่า แม้แต่ผู้นำของพวกเขาเหลียวเซียวเย่า ยังไม่สามารถต้านทานมันไว้ได้ ถ้าหากเป็นพวกเขาแน่นอนว่าคงไม่ต่างอะไรจากขยะชิ้นหนึ่ง
ซ่งจงไม่คาดคิดว่าการที่เขาทำเช่นนี้ จะทำให้ทั้งหมดแยกย้ายกันออกไปอย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้นเหลียวเซียวเย่านั้นไม่ได้อยู่ตรงนี้ เขาไม่สามารถติดตามไปได้อีกแล้ว! ดังนั้นเขาเลยเก็บสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ไว้
ซ่งจงโกรธจัดอยู่ภายในใจ เขาหงุดหงิดอย่างมาก เขามองไปรอบๆเพื่อต้องการหาที่ระบายและพบกับปีศาจทั้งสองคนที่ยังเหลืออยู่ จากนั้นเขาพึมพำในใจ ‘เนื่องจากพวกเจ้ามาที่แห่งนี้เพื่อสร้างปัญหา แน่นอนว่าข้าก็จะไม่ปล่อยพวกเจ้าไปง่ายๆเช่นกัน เหลียวเซียวเย่าหนีไปแล้ว ข้าจะระบายความโกรธทั้งหมดกับพวกเจ้า!’
เมื่อคิดได้เช่นนั้น ซ่งจงปลดปล่อยจิตสังหารออกมาอย่างรุนแรง ไม่หญิงไม่ชาย ฉิงชิงเหยาและไม่ดีไม่ร้าย ฉงลั่วเหยานั้นเป็นผู้ฝึกตนที่อยู่มาเนิ่นนาน เขาจะไม่รู้ความตั้งใจของซ่งจงได้อย่างไร?
แน่นอนว่าทั้งคู่ไม่ต้องการที่จะต่อสู้กับซ่งจงจนตาย โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของซ่งจง ความตั้งใจในตอนแรกของทั้งหมดได้หายไปแล้ว
ดังนั้น ฉงลั่วเหยา จึงหัวเราะออกมา “ฮ่าฮ่า วันนี้อากาศช่างดียิ่งนัก! พี่น้องซ่ง ข้าเพียงแค่ต้องการมาทักทายเจ้าและแสดงความยินดีกับตำแหน่งหัวหน้าทะเลตะวันออกเท่านั้น และตอนนี้ข้าได้กล่าวสวัสดีไปแล้ว ข้ามีหลายสิ่งที่ต้องทำจึงต้องขอตัวกลับบ้าน! ลาก่อน!”
เมื่อเขากล่าวจบ เขายกมือคำนับและออกไปอย่างรวดเร็วก่อนที่ซ่งจงจะบ้าคลั่ง
เมื่อฉงลั่วเหยาออกไปแล้ว มีเพียงไม่หญิงไม่ชาย ฉิงชิงเหยาที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง ซ่งจงกำลังจับจ้องมาที่เขาอย่างรวดเร็ว
เมื่อฉิงชิงเหยาเห็นเช่นนั้น เขาอดไม่ได้ที่จะสาปแช่งฉงลั่วเหยาที่หลบหนีออกไปอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการให้ตนเป็นที่ระบายความโกรธของซ่งจง!
แน่นอนว่าฉิงชิงเหยานั้นไม่ใช่คนโง่และเขาจะไม่ติดกับอย่างแน่นอน ดังนั้นเขารีบกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว “ฮี่ฮี่ ข้าฉิงชิงเหยาของแสดงความยินดีกับพี่น้องซ่งด้วย ในตอนนี้พิธีการทั้งหมดได้จบลงแล้ว ข้าจะไม่กล่าวอะไรให้มากความ ลาก่อน!”
เมื่อกล่าวจบ เขารีบออกไปอย่างรวดเร็ว เร็วที่สุดเท่าที่ชีวิตนี้จะทำได้!
สถานการณ์ในตอนนี้คือเหล่าปีศาจทั้งสามได้หลบหนีไปอย่างสมบูรณ์
สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือพวกพ้องของเขาซึ่งกำลังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และซ่งจงที่ยืนอยู่กับสายฟ้าของเขาอย่างไร้เป้าหมาย
แน่นอนว่าความโชคร้ายของเขาคือเขาได้สร้างสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์หยินหยางแห่งธาตุทั้งห้าขึ้นมาแล้ว และมันจะต้องถูกโยนออกไป ถ้าไม่เช่นนั้นมันจะระเบิดคามือของเขาอย่างแน่นอน
เนื่องจากซ่งจงไม่สามารถหาเป้าหมายได้ เขาทำได้เพียงโยนมันลงไปในทะเล จากนั้นเกิดระเบิดเสียงดังพร้อมกับลูกไฟวิ่งขึ้นฟ้าอย่างสวยงาม พร้อมกับสึนามิขนาดใหญ่ถาโถมมาที่พื้นที่ราบสูงสีเขียวแห่งนี้
ขณะนี้เหล่าทีมของเขาได้เข้ามาเพื่อชื่นชมเขาอย่างรวดเร็ว แม้แต่แม่มดเปลือยกายยังอดไม่ได้ที่จะชื่นชมเขา นี่คือความแข็งแกร่งที่ทุกคนต้องการจะบูชาไว้อย่างแน่นอน!
หลังจากนั้นไม่นาน แม่มดเปลือยกายได้กล่าวออกมาด้วยใบหน้าที่เคอะเขิน “สวรรค์ เจ้า… เจ้าสามารถทำให้ปีศาจทั้งสามออกไปได้ด้วยตัวคนเดียวจริงๆงั้นหรือ? ให้ตายาเถอะ ข้าคิดว่าข้าตกหลุมรักเจ้าเข้าแล้ว!”บทที่ 239: เกาะแห่งวิญญาณ
เมื่อได้ยินคำพูดของแม่มดเปลือยกาย ซ่งจงตอบกลับอย่างสบายใจ “เจ้าควรลืมเรื่องความรักที่มีต่อข้าไปซะ เพราะข้าไม่สามารถยอมรับคนเจ้าอย่างได้!”
“อืมมม…” แม่มดเปลือยกายปล่อยเสียงครวญครางออกมาเบา ๆ ซ่งจงเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถพูดกับนางเช่นนี้ได้ รับรองได้เลยว่าถ้าหากมีผู้อื่นทำเช่นนี้ พวกมันเหล่านั้นจะต้องถูกหั่นเป็นชิ้นอย่างแน่นอน แต่สำหรับซ่งจงที่เพิ่งขับไล่ปีศาจทั้งสามแห่งทะเลตะวันออกและยังคงอยู่ในสภาพที่ยอดเยี่ยม ท่าทีของแม่มดเปลือยกายนั้นไม่สามารถเรียกความสนใจจากเจ้าอ้วนได้แม้แต่น้อย อีกทั้งเขายังกล่าวต่อ “มา มาเถอะ ทุกคนเข้าไปด้านในเพื่อฉลองชัยชนะกันเถิด!”
“ตกลง!” ซูหยู่และซูหยุนตอบรับอย่างร่าเริง จากนั้นพวกนางรีบวิ่งเข้าไปด้านในเพื่อเตรียมงานเลี้ยง
ทักษะการทำอาหารของทั้งคู่นั้นยอดเยี่ยมมาก อีกทั้งยังใช้เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น ทุกคนรวมตัวกันอยู่ใต้ต้นไม้และเริ่มงานเลี้ยงทันทีพร้อมกับดื่มด่ำกับธรรมชาติรอบ ๆ
หลังจากที่งานเลี้ยงได้เริ่มขึ้น ซูหยู่และซูหยุนกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่ซ่ง ท่านแข็งแกร่งมากเกินไปแล้ว ท่านไม่ได้อยู่ในระดับจินตันด้วยซ้ำแต่กลับสร้างความหวาดกลัวให้กับเหล่าปีศาจแห่งทะเลตะวันออกได้ ซึ่งพวกเขานั้นอยู่ในระดับจินตันขั้นสมบูรณ์ด้วยซ้ำ ถ้าหากว่าข้าไม่ได้เห็นมันด้วยตนเอง แน่นอนว่าเรื่องนี้คงเป็นเรื่องที่เชื่อถือได้ยาก!”
“ข้าคิดเช่นนั้นเหมือนกัน!” แม่มดเปลือยกล่าวเสริม “ในตอนนี้เจ้ากำลังจะมีชื่อเสียงแล้วล่ะ ฉายาของเจ้าจะต้องเป็นปีศาจที่สี่อย่างแน่นอน!”
เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของเขาแสดงความหดหู่ออกมาทันที “เห็นได้ชัดว่าข้าเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ทำไมข้าจะต้องกลายเป็นปีศาจที่สี่ด้วยล่ะ?”
“สวรรค์เถอะ!” ซูหยู่และซูหยุนอุทานออกมา พร้อมกล่าวต่อ “ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิสามารถทำให้เหล่าปีศาจทั้งสามหนีไปได้ นี่เป็นสิ่งที่บุคคลธรรมดาสามารถทำได้หรือไม่? ไม่ต้องพูดถึงการเรียกท่านว่าปีศาจที่สี่ แม้ว่าเราจะเรียกท่านว่าปีศาจที่หนึ่งก็ไม่สามารถมีผู้ใดคัดค้านได้!”
“เป็นเช่นนั้น ด้วยการต่อสู้ของหัวหน้าในวันนี้ ท่านควรเป็นปีศาจที่หนึ่ง!” ตาเฒ่าพิษกล่าวเสริม
“หยุดพูดเรื่องไร้สาระ!” ซ่งจงโบกมืออย่างหดหู่ “ข้ายอมตายมากกว่าที่จะกลายเป็นปีศาจ!”
“ฮ่าฮ่า!” เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้น ทั้งหมดระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที ซูหยู่และซูหยุนก็เช่นกัน “พี่ชายซ่ง มันคือสิ่งที่ถูกยอมรับจากทุกคนแล้ว ข้าเกรงว่าท่านจะไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับมัน!”
ซ่งจงรู้ดีว่าสิ่งที่สองคนนั้นกล่าวคือเรื่องจริง เพราะมันคือธรรมเนียมที่สืบทอดกันมายาวนานและเขาไม่สามารถคัดค้านมันได้ ดังนั้นเขาจึงกล่าวออกมาอย่างเศร้า ๆ “เยี่ยมจริง ๆ แล้วข้าจะมีหน้าไปพบปะผู้อื่นได้อย่างไรกัน!” เมื่อเขากล่าวออกมาเช่นนั้น เขากุบขมับอย่างหดหู่ ทุกคนที่เห็นภาพเช่นนี้ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที มู่ซื่อหรงที่ยืนอยู่ด้านข้างไม่รู้จะทำอย่างไร จึงกอดแขนซ่งจงไว้พร้อมกล่าวว่า “สามี ชื่อเสียงมันไม่ใช่ทุกอย่างไม่ใช่หรือ? แล้วมันเกี่ยวอะไรกันกับเรื่องอนาคตล่ะ? ไม่ว่าท่านจะถูกเรียกว่าอะไร ข้าจะยืนอยู่เคียงข้างและสนับสนุนท่านเสมอ!”
“เจ้าช่างยอดเยี่ยมจริง ๆ!” ซ่งจงรู้สึกอบอุ่นจากถ้อยคำของมู่ซื่อหรงอย่างช่วยไม่ได้
มู่ซื่อหรงหัวเราะออกมาพร้อมกับอยู่ในอ้อมกอดของซ่งจง ซึ่งเป็นภาพที่มองแล้วดูอบอุ่นอย่างยิ่ง
ในขณะที่ทุกคนมองเห็นสายตาอันอบอุ่นของพวกเขา ทั้งหมดรู้สึกอึดอัดใจอย่างช่วยไม่ได้ เพื่อที่จะทำลายความอึดอัดนี้ แม่มดเปลือยกายไอออกมาสองครั้งพร้อมกล่าวว่า “นายท่านนั้นเป็นหัวหน้าเกาะแห่งนี้อยู่แล้ว ถึงเวลาแล้วล่ะที่ข้าจะต้องละทิ้งตำแหน่งหัวหน้าทีม! ข้าหวังว่าท่านจะไม่ปฏิเสธ!”
ในขณะที่นางกล่าวออกมาเช่นนั้น แม่มดเปลือยกายมองไปที่ซ่งจง ทุกคนมองไปที่เขาเช่นกันราวกับกลัวว่าเขาจะปฏิเสธ เพราะว่าไม่ง่ายเลยที่จะค้นหาสมาชิกที่แข็งแกร่ง การที่มีซ่งจงผู้แข็งแกร่งคนนี้เป็นหัวหน้าทีม แน่นอนว่าพวกเขาจะรู้สึกยินดีอย่างยิ่ง
เมื่อซ่งจงเห็นเช่นนั้น เขาไม่ปฏิเสธและตอบกลับ “เอาล่ะ เนื่องจากเจ้ายอมปล่อยวาง ข้าก็จะยอมรับมัน แม้ว่าจะไม่เต็มใจนัก!”
ทุกคนแสดงใบหน้าที่มีความสุขออกมาทันที แต่แม่มดเปลือยกายนั้นรู้สึกผิดหวังในใจพร้อมกับคิดกับตนเอง ‘มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละที่ยอมแพ้ในตำแหน่งหัวหน้าทีมด้วยความเต็มใจ เหตุผลเดียวที่ข้าทำสิ่งนี้ก็คือเจ้า แน่นอนว่าข้ารู้ว่าเจ้าต้องการจะสังหารข้า หึ’ แน่นอนว่าแม่มดเปลือยกายนั้นเก็บคำพูดเหล่านี้ไว้ในใจ การพูดออกไปนั้นเท่ากับการแสวงหาความตาย
หลังจากซ่งจงประกาศว่าจะรับตำแหน่งหัวหน้าทีม แม่มดเปลือยกายยืนขึ้นพร้อมกล่าวว่า “มา ฉลองให้กับการเริ่มต้นใหม่ของทีมเรา!”
ทุกคนยกแก้วไวน์ขึ้นเพื่อฉลองให้กับซ่งจง “เพื่อผู้นำคนใหม่ของเรา!”
“ฮ่าฮ่า ขอบคุณ ขอบคุณมาก!” ซ่งจงไม่กล้าเสียมารยาท เขาลุกขึ้นและดื่มกับพวกเขา
จากนั้นเมื่อทุกคนนั่งลง แม่มดเปลือยกายกล่าวต่อ “หัวหน้า ตอนนี้ท่านมีตำแหน่งหัวหน้าทะเลตะวันออกแล้ว มันจะเป็นการดีถ้าหากท่านจะรีบไปครอบครองเกาะวิญญาณให้เร็วที่สุด ก่อนอื่นที่ต้องรู้คือเกาะวิญญาณนั้นเต็มไปด้วยสมบัติ ยิ่งท่านรวดเร็วมากเท่าไหร่ สมบัติก็จะเป็นของท่านมากเท่านั้น!”
“ถูกต้อง!” ตาเฒ่าพิษรีบกล่าวเสริมทันที “ข้าได้ยินมาว่าเกาะวิญญาณที่ปีศาจทั้งสามครอบครองอยู่สามารถสร้างหินจิตวิญญาณได้ถึงหนึ่งแสนก้อนต่อวัน! หัวหน้า มันจะเป็นการดีอย่างยิ่งถ้าหากท่านเริ่มวางแผน!”
“มากกว่าหนึ่งแสนในทุกวันงั้นหรือ?” ซ่งจงอุทานออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “มันมีอยู่จริงงั้นหรือ?”
“แน่นอน เกาะแห่งวิญญาณนั้นเต็มไปด้วยสมบัติ อีกทั้งยังมีสมุนไพรวิญญาณมากมาย หรือแม้แต่สมบัติวิเศษก็เช่นกัน!” ตาเฒ่าพิษกล่าวเสริม
“โอ มีเกาะแห่งวิญญาณอยู่มากมายงั้นหรือ?”
“แน่นอนว่าไม่ ในทะเลตะวันออกแห่งนี้มีเพียงสิบเกาะเท่านั้น!” แม่มดเปลือยกายตอบกลับ
“โอ้!” ซ่งจงได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของเขาเป็นประกายทันที พร้อมกล่าวว่า “ถ้าหากเป็นเช่นนั้น นอกเหนือจากเกาะที่ปีศาจทั้งสามครอบครอง ข้ายังคงมีให้เลือกอยู่อีกสิบเกาะใช่หรือไม่?”
“ไม่จำเป็น!” แม่มดเปลือยกายตอบกลับ “หมู่เกาะวิญญาณนั้นไม่มีเจ้าของ มันเป็นการแบ่งปันกันในสำนักใหญ่!”
“พวกเขามีเครื่องหมายหัวหน้าทะเลตะวันออกงั้นหรือ? ข้ามีสิทธิ์เป็นเจ้าของเกาะ!” ซ่งจงอุทานออกมา
“หัวหน้าที่รัก ดูเหมือนว่าท่านจะลืมอะไรไปสักอย่าง ทะเลตะวันออกไม่ใช่สถานที่ที่ผู้คนจะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ตราบใดที่ทุกคนกล่าวว่ามันเป็นของพวกเขา มันก็คือของของพวกเขา! แม้ว่าท่านจะมีเครื่องหมายหัวหน้าทะเลตะวันออก แต่มันหมายถึงเป็นเจ้าของเพียงแค่ในนามเท่านั้น! ถ้าหากท่านต้องการที่จะครอบครองเกาะแห่งวิญญาณ ท่านจะต้องแย่งชิงมา ถ้าหากท่านชนะ มันจะเป็นของท่าน ถ้าหากท่านแพ้ แม้แต่ชีวิตก็ไม่อาจรักษาไว้ได้!”
“บัดซบ ทะเลตะวันออกนี่ไร้กฎจริง ๆ! ถ้าเป็นเช่นที่เจ้าพูด เครื่องหมายหัวหน้าทะเลตะวันออกนี่ก็คงไร้ประโยชน์ใช่หรือไม่? มันไม่คล้ายจะทำอะไรได้สักอย่าง!”
“แน่นอนว่าไม่! เครื่องหมายหัวหน้าทะเลตะวันออกนั้นมีประโยชน์อยู่ มันแสดงถึงความเป็นเจ้าของบนเกาะ” แม่มดเปลือยกายเริ่มอธิบาย “บนเกาะวิญญาณแห่งอื่น ทุกคนต่อสู้กันระหว่างสำนักเพื่อแย่งชิงเนื่องจากพวกเขาไม่มีเครื่องหมายเหล่านี้ แต่ในกรณีของท่านคือได้ด้วยความสามารถแล้ว เกาะที่ถูกครอบครองโดยสามปีศาจแห่งทะเลตะวันออก ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะเข้าไปยุ่มย่าม พวกเขาไม่เพียงแต่แข็งแกร่ง แต่พวกเขามีสิทธิ์เป็นเจ้าของเกาะ ถ้าหากถูกรังแกขึ้นมา แน่นอนว่าเหล่าพันธมิตรทะเลตะวันออกอาจยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือพวกเขาด้วย ทั้งหมดที่บุกรุกจะถูกออกหมายจับ แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าทำเช่นนั้นเพราะมันเกี่ยวกับเรื่องชื่อเสียงของตนเอง! ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ผู้คนจำนวนมากจับตาดูการเป็นหัวหน้าทะเลตะวันออกของท่าน!”
“ฮี่ฮี่ น่าเสียดายที่พวกเขาทำได้เพียงต้องการมันเท่านั้น แต่ว่าไม่มีความสามารถที่จะปล้นไป!” ซ่งจงเยาะเย้ย “ลืมมันไป ลืมเรื่องพวกสารเลวเหล่านั้นเสีย เราควรหารือที่เราจะเข้ายึดเกาะแห่งวิญญาณกันดีกว่า พวกเจ้าอาศัยอยู่ที่นี่มานานหลายปี พอจะมีอะไรแนะนำข้าบ้างหรือไม่?”
“ข้าคิดว่าเกาะแห่งวิญญาณบริสุทธิ์ก็ไม่เลวนะ ที่นั่นมีน้ำพุวิญญาณ หากผู้ใดที่เป็นผู้ฝึกตนธาตุน้ำได้อาศัยอยู่ที่นั่น เขาจะรู้สึกราวกับว่าอยู่ในโถงวารีเทวะ ซึ่งผลลัพธ์ของมันจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าในความพยายามเท่าเดิม อีกทั้งยังเหมาะแก่การปรับแต่งสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์หรือเวทมนต์ธาตุน้ำ!” ตาเฒ่าพิษยิ้มออกมา “และที่สำคัญเหล่าผู้ที่ปกป้องเกาะแห่งนั้นมีความอ่อนแอที่สุด ด้วยความแข็งแกร่งและชื่อเสียงของท่าน แน่นอนว่าจะสามารถครอบครองมันได้อย่างง่ายดาย!”
“โอ้!” เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น ดวงตาเขาเป็นประกายพร้อมถามว่า “ในตอนนี้ใครเป็นผู้รับผิดชอบเกาะแห่งนั้น?”
“หอเฉวียนจี้ที่อยู่ในทะเลตะวันออก ผู้หญิงเหล่านั้นอ่อนแอที่สุด!” ตาเฒ่าพิษตอบกลับอย่างไม่ลังเล
“บัดซบ!” เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาตะโกนออกมา “นี่มันความคิดโง่ ๆ แบบไหนกันที่เจ้าหยิบยื่นให้ข้า? อย่าบอกนะว่าต้องการให้ข้ารังแกหญิงสาวเหล่านั้น?”
“ว่าอะไร?” ตาเฒ่าพิษตกใจไปชั่วครู่ เขาไม่เคยคิดว่าซ่งจงจะมีศักดิ์ศรีมากขนาดนั้น เขาเผยยิ้มออกมาพร้อมตอบกลับอย่างรวดเร็ว “อย่าเพิ่งโกรธข้าเลยท่านหัวหน้า มันเป็นความผิดของข้าเอง เราไม่ควรต่อสู้กับสตรี!”
“เป็นเช่นนั้นก็ดี! แล้วเรามีเกาะวิญญาณอื่นอีกไหม?”
“แน่นอน!” ตาเฒ่าพิษตอบกลับ “เนื่องจากท่านไม่มีความเต็มใจที่จะต่อสู้กับสตรี ท่านต้องการเกาะแห่งวิญญาณประเภทไหนกันล่ะ? ข้าจะได้วางแผนถูก!”
“แน่นอนว่ามันจะต้องเป็นที่ที่มีประโยชน์มากที่สุด!” ซ่งจงตอบกลับอย่างรวดเร็ว “สถานที่ที่มีประโยชน์คือสิ่งที่ข้าต้องการ เรื่องความแข็งแกร่งของผู้คุมเกาะนั้นลืมไปได้เลย ข้าจะระเบิดพวกมันด้วยสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์หยินหยางแห่งธาตุทั้งห้า ถ้าพวกมันไม่ยอมหนีไปแน่นอนว่าจุดจบก็คือกลายเป็นเถ้าถ่าน!”
“ยอดเยี่ยม สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของท่านหัวหน้านั้นแข็งแกร่งอยู่แล้ว!” ตาเฒ่าพิษเยินยอ “ถ้าเป็นเช่นนั้น ทุกอย่างก็ง่ายดาย หมู่เกาะที่ถือได้ว่าเป็นขุมสมบัติที่แท้จริงก็คือเกาะแห่งกำมะถัน มันกว้างห้าพันลี้อีกทั้งยังเต็มไปด้วยหินจิตวิญญาณและซากอสูรกายมากมาย ยังไม่รวมถึงสมบัติที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน หรือแม้แต่เหล่าสิ่งที่จำเป็นต่อผู้ฝึกตนระดับจินตัน เพียงแค่อุปกรณ์นี้เพียงชิ้นเดียว สามารถสร้างความร่ำรวยได้อย่างไม่รู้จบ! แต่ว่า…”
“แต่อะไร?” ซ่งจงถามต่อ “เกาะแห่งนี้เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย มีผู้ฝึกตนระดับจินตันนับสิบคนปกป้องมันอยู่ ถ้าหากเราต้องการจะต่อสู้ แน่นอนว่าจะต้องมีผู้ฝึกตนระดับจินตันยี่สิบถึงสามสิบคนที่จะเข้าร่วมการต่อสู้นี้!” ตาเฒ่าพิษกล่าวออกมาอย่างสุภาพ “หัวหน้าบนเกาะนั้นมีผู้ฝึกตนระดับจินตันมากมาย อีกทั้งบางคนยังอยู่ในระดับจินตันขั้นสมบูรณ์ ท่านแน่ใจหรือว่าสามารถจัดการได้?”
หลังจากได้ยินว่ามีผู้ฝึกตนระดับจินตันจำนวนมาก ซ่งจงนั้นควรจะถอยกลับ แต่เขากลับกล่าวออกมาว่า “กลุ่มใดกันที่เป็นเจ้าของเกาะนั้น?”
“โอ้ เกาะนี้นั้นมีมีห้าคนที่มีพลังแตกต่างกันออกไปปกครองอยู่ แต่มีสี่คนที่อ่อนแอ จึงทำให้ไม่สามารถเข้าทีมกับพลังที่แข็งแกร่งได้” ตาเฒ่าพิษอธิบาย
“สำนักไหนกัน?” ซ่งจงถามกลับ
“สำนักเสวียนเทียน!” ตาเฒ่าพิษตอบกลับ
“บัดซบ!” เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาตบโต๊ะด้วยความโกรธพร้อมกับคำรามออกมา “เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรืออย่างไร? ข้ามาจากสำนักเสวียนเทียนและเจ้ากำลังบอกให้ข้าปล้นสมบัติของสำนักตนเอง? เมื่อข้ากลับไป ข้าจะไม่ถูกจ้าวสำนักถลกหนังเล่นงั้นหรือ? เจ้ามีเจตนาอะไรกันแน่!?”
“เอ่อ!” ตาเฒ่าพิษรู้ได้ทันทีว่าเขาได้ทำผิดพลาดอีกครั้ง เขาลืมสนิทว่าซ่งจงมาจากที่แห่งใด จากนั้นจึงรีบอธิบายทันที “ท่านหัวหน้า ฟังข้าอธิบายก่อน! ข้าลืมไปเสียสนิท! ถ้าไม่เช่นนั้น ข้าคงไม่คิดเช่นนี้!”
“ไป ไปไหนก็ไป!” ซ่งจงโบกมืออย่างหงุดหงิด “เป็นการที่ดีสุดถ้าเจ้าจะย้ายก้นของเจ้าออกไปให้ไกลข้าและให้คนอื่นอธิบายแทน!”
เมื่อเห็นว่าซ่งจงโกรธอย่างสมบูรณ์แล้ว ตาเฒ่าพิษรู้สึกผิดหวังในทันที เขาไม่กล้ากล่าวอะไรอีกต่อไปพร้อมกับดื่มคนเดียวเงียบ ๆ ในขณะนั้นแม่มดเปลือยกายเผยยิ้มและกล่าวออกมา “ท่านหัวหน้า ข้ามีสถานที่ที่ดีเยี่ยมไม่แพ้กับเกาะแห่งกำมะถัน อีกทั้งยังไม่ได้ครอบครองโดยสำนักเสวียนเทียน นอกจากนั้นการป้องกันนั้นอ่อนแออย่างมาก!”
“ว่าอะไร?” เมื่อซ่งจงได้ยิน เขาตื่นเต้นทันที “มันคือที่ใด?”
“มันถูกเรียกว่าเกาะแห่งไผ่เขียว ซึ่งเป็นป่าไผ่กว่ากว่าห้าร้อยลี้ จึงเป็นที่มาของชื่อนั้น!” แม่มดเปลือยกายยิ้มออกมา “ไม้ไผ่เขียวเป็นสมบัติที่สามารถนำมาปรับแต่งอุปกรณ์วิเศษได้ถ้าหากมีอายุร้อยปี ถ้าหากมีอายุพันปีจะสามารถปรับแต่งสมบัติวิเศษขั้นห้าได้ และถ้าหากมีอายุหมื่นปีจะสามารถปรับแต่งสมบัติวิเศษขั้นเก้าได้ นับได้ว่ามันเป็นแหล่งขุมทรัพย์ที่แท้จริง!”
“โอ้! มันมีสิ่งที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้จริงหรือ?” ซ่งจงถามอย่างตื่นเต้น
“แน่นอนว่าไผ่เขียวนั้นยอดเยี่ยม แต่เหล่าไผ่เขียวที่มีอายุพันปีขึ้นไปถูกนำมาปรับแต่งจนหมดสิ้นแล้ว เหลือเพียงไผ่ที่มีอายุร้อยกว่าปีเท่านั้น!” ซูหยู่และซูหยุนกล่าวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “แม้ว่าไผ่เขียวจะยอดเยี่ยม แต่มันกลายเป็นสมบัติที่ไร้ค่าไปเสียแล้ว ไม่สามารถเทียบกับเกาะแห่งกำมันถันได้แม้แต่น้อย!”
“อะไรกัน?” เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาตอบกลับอย่างขุ่นเคืองทันที “ยัยสารเลว เจ้ากล้าหลอกลวงข้างั้นหรือ?”
“ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น!” เมื่อเห็นว่าซ่งจงเริ่มอารมณ์ไม่ดี นางรีบตอบกลับอย่างช่วยเร็ว “อย่าเข้าใจข้าผิด ข้ากล่าวความจริง! ซูหยู่และซูหยุนนั้นไม่รู้อะไรมากกว่า!”
“เจ้าหมายความว่าอะไร?”
“ข้าหมายถึงอะไรน่ะหรือ ที่เกาะแห่งไผ่เขียวนั้นมีประโยชน์ก็เพราะว่ามันมีเถาวัลย์มังกรปฐพี!”
หลังจากซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาถามต่อ “เถาวัลย์ที่ได้รับการขนานนามว่าแข็งแกร่งที่สุดในโลกน่ะเหรอ?”
“ถูกต้อง มีการกล่าวว่าผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินมักจะชอบใช้เถาวัลย์มังกรปฐพีซึ่งมีอายุนับพันปีในการปรับแต่งเกราะของตนเอง!” แม่มดเปลือยกายกล่าวเสริม
“ข้ารู้ว่าของสิ่งนี้มีค่าเหนือกว่าไผ่เขียว!” ซ่งจงกล่าวต่อ “อย่าบอกนะว่าเกาะแห่งไผ่เขียวนั้นมีอุปกรณ์นี้?”
“แน่นอน!” แม่มดเปลือยกายรีบตอบกลับ “มันถูกฝังอยู่ใต้ดินราวสองถึงสามพันฟุตและไม่สามารถพบเจอได้ง่าย เหตุผลที่ไม่มีใครรู้เรื่องนี้เป็นเพราะเจ้าของเกาะไม่เคยบอกผู้ใด เขาได้พบกับมันเพียงครั้งเดียวโดยบังเอิญและเก็บซ่อนข่าวนี้ไว้อย่างเงียบเชียบ!”
หลังจากที่ซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขากล่าวออกมาอย่างสับสน “ถ้าหากถูกเก็บเป็นความลับ แล้วทำไมเจ้าจึงรู้?”
“เพราะว่าข้ามาจากสำนักพันปีศาจ!” แม่มดเปลือยกายตอบกลับอย่างกระดากใจ
“แล้วมันเกี่ยวข้องกันอย่างไร?” ซ่งจงถามอีกครั้ง
เมื่อซูหยู่และซูหยุนได้ยินเช่นนั้น ทั้งคู่รีบอธิบายทันที “พี่ชายซ่ง นั่นเป็นเพราะป่าไผ่เขียวเป็นสมบัติของสำนักพันปีศาจ!”
“โอ้! ไม่แปลกใจที่เจ้าจะรู้เรื่องนี้ สำนักของเจ้าเป็นผู้ปกป้องเกาะนั่นเอง!”
แต่ซ่งจงยังคงสับสน “แต่แปลก เนื่องจากมันเป็นความลับของสำนักพันปีศาจ แล้วทำไมเจ้าจึงบอกข้า?”
แม่มดเปลือยกายบิดร่างกายไปมาราวกับต้องการกล่าวอะไรบางอย่าง ซ่งจงรีบโบกมืออย่างรวดเร็วพร้อมกล่าวว่า “อย่าคิดว่าเจ้าเอาเรื่องแบบนี้มาพูดกับข้าแล้วข้าจะเชื่อว่าเจ้าภักดี ข้าไม่ได้โง่และไม่เชื่อผู้ใดง่าย ๆ ถ้าหากเจ้าคิดว่าข้าฉลาดมากกว่าคนโง่นิดหน่อย เจ้าก็ควรบอกความจริงกับข้ามา ไม่เช่นนั้นข้าจะลงโทษเจ้า!”
แม่มดเปลือยกายตกใจไปชั่วขณะพร้อมหัวเราะออกมาอย่างขื่นขม “ตกลง ข้าพูดแล้ว ข้าไม่สามารถซ่อนอะไรท่านได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าจะกล่าวความจริง!”
แม่มดเปลือยกายจัดทรงผมของนางก่อนที่จะเริ่มสาปแช่ง “แม้ว่าข้าจะมาจากสำนักพันปีศาจ แต่ข้าเกลียดกฏที่บังคับให้ข้าฝึกฝนการเผาไหม้ปรารถนาศักดิ์สิทธิ์! ข้าคนนี้จะต้องอดทนกับความต้องการของตัวเองทุกวันและไม่สามารถปลดปล่อยได้ เรื่องเช่นนี้เลวร้ายเสียยิ่งกว่าความตาย!”
เมื่อนางกล่าวเช่นนั้น นางมองไปที่ซ่งจงอย่างขมขื่น
อย่างไรก็ตาม เขาโบกมืออย่างไม่แปลกใจนัก “ข้ารู้เรื่องกฎของสำนักพันปีศาจ เจ้าจะต้องเลือกวิชาที่เจ้าต้องการฝึก กล่าวก็คือเจ้าเป็นคนเลือกมันด้วยตนเองและทำได้เพียงโทษตัวเองเท่านั้น! ถ้าหากว่ามีใครบังคับเจ้า มันก็คงไม่ใช่เรื่องร้ายแรง นี่ไม่ใช่เหตุผลที่เจ้าจะหักหลังสำนักของตนเอง! บอกความจริงกับข้ามาจะดีกว่า!”
หลังจากที่แม่มดเปลือยกายได้ยินเช่นนั้น นางกล่าวออกมาอย่างขื่นขม “ก็ได้ ถ้าจะกล่าวความจริง ข้าต้องต่อสู้ให้กับสำนักปีศาจด้วยชีวิตของข้าเอง แต่พวกเขาปฏิเสธที่จะบอกอะไรเมื่อข้าถามถึงเถาวัลย์มังกรปฐพี!”
“เหอะ!” แม่มดเปลือยกายสาปแช่งออกมา “ไม่ใช่เพราะว่าข้าไม่มีคุณสมบัติ แต่เป็นเพราะข้าไม่สามารถรับใช้พวกเขาได้ ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการมอบเถาวัลย์ให้กับหญิงสาวที่อ่อนเยาว์และรับใช้พวกเขาได้เต็มที่ยิ่งกว่าข้า! ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ข้าก็ไม่ต้องกังวลอะไรและยินยอมมอบทุกสิ่งให้กับหัวหน้าที่รักของข้าเสียดีกว่า!
เมื่อนางกล่าวเช่นนั้น นางมองไปที่ซ่งจงอย่างอ้อนวอน “ท่านหัวหน้า ท่านตกลงไหม?”
ซ่งจงขมวดคิ้วอยู่ครู่หนึ่งพร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างขื่นขม “ไม่ว่ายังไง ข้าก็ยังสงสัยในคำพูดของเจ้าอยู่ดี แน่นอนว่าข้ายังไม่เชื่อ!”
“หัวหน้า!” เมื่อแม่มดเปลือยกายได้ยินเช่นนั้น นางรีบกล่าวต่อทันที “ข้าเป็นของท่านแล้ว ทำไมข้าจะต้องโกหกด้วย? อย่าบอกนะว่าข้าผู้นี้ไม่เกรงกลัวต่อสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของท่าน?”
“อืม ก็ถูกของเจ้า!” ซ่งจงพยักหน้า
“แท้จริงข้าไม่ได้ต้องการอะไรมาก!” แม่มดเปลือยกายกล่าว “ข้าเพียงต้องการให้ท่านมอบสิ่งประดิษฐ์ที่มาจากเถาวัลย์มังกรปฐพีให้กับข้าบ้าง แม้ว่ามันจะมีอายุเพียงร้อยปีก็ตาม!”
“เหอะ เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องนั้น!” ซ่งจงกล่าวอย่างภูมิใจ “ข้ามีรางวัลให้เจ้าอย่างแน่นอน ถ้าหากข่าวที่เจ้ากล่าวมาเป็นเรื่องจริง ข้าจะไม่ผลักดันเจ้าออกจากเถาวัลย์มังกรปฐพี แน่นอนว่ามันจะต้องมีอายุพันปีและมากกว่าหนึ่งชิ้น!”
“สวรรค์ ข้าขอขอบคุณท่านหัวหน้ามาก!” แม่มดเปลือยกายตอบกลับอย่างร่าเริง
“อย่าเพิ่งรีบที่จะขอบคุณข้า!” ซ่งจงตอบกลับ “ข้าจะตกลงกับเจ้าก่อน ถ้าหากที่เจ้าพูดมาเป็นความจริง แน่นอนว่าจะมีรางวัล แต่ถ้าเจ้ากล้าที่จะโกหกข้า เหอะ ข้าจะทำให้เจ้าเสียใจที่ได้เกิดมาบนโลกนี้!”บทที่ 240: เผชิญหน้าอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าซ่งจงปล่อยจิตสังหารออกมา แม่มดเปลือยกายได้แต่หลั่งเหงื่อออกมาด้วยความหวาดกลัว พร้อมกล่าวอย่างรวดเร็ว “ข้าไม่กล้า ไม่กล้าที่จะทำเช่นนั้นแน่นอน!”
“มันจะดีมากถ้าเจ้าไม่คิดทำเช่นนั้น!” ซ่งจงตะคอกออกมา “เนื่องจากเป็นเช่นนี้ เราจะไปตั้งรกรากกันที่เกาะไผ่เขียว หลังจากที่เราได้ครอบครองมันแล้ว ข้าคือเจ้าของเกาะและแม่มดเปลือยกายจะเป็นรองหัวหน้า!”
“ว่าอะไร! ข้าสามารถเป็นได้จริงหรือ?” นางถามออกมาอย่างตื่นเต้น
ซ่งจงตอบกลับอย่างอารมณ์ดี “แน่นอน ถ้าหากข้ากล่าวออกไปแล้ว แน่นอนว่าซ่งจงผู้นี้ไม่เคยกลับคำพูด!” เขายกแก้วไวน์ของตนเองพร้อมกล่าวว่า “มา! ดื่มอวยพรให้กับชัยชนะของพวกเรา!”
“โอ้!” ทุกคนตอบกลับอย่างร่าเริงพร้อมกับยกแก้วไวน์ขึ้น
ผ่านไปไม่กี่วัน นาวายักษ์สีดำได้ออกมาโลดแล่นอีกครั้ง มันมาหยุดอยู่ที่เกาะไผ่เขียว ในภูเขาลูกนี้เต็มไปด้วยป่าทึบ บนยอดเขาปกคลุมไปด้วยหิมะ รอบเกาะนั้นเต็มไปด้วยต้นไผ่มากมายนับไม่ถ้วน
แม้ว่าเกาะนี้จะปลอดภัย ไม่พบเจอมนุษย์ที่นี่ อย่างไรก็ตามในขณะที่นาวายักษ์สีดำเข้าใกล้ยอดเขา ปรากฏลำแสงขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิปรากฏตัวขึ้นรอบเรือทันที
ชายผู้หนึ่งสวมชุดคลุมสีดำและชี้ไปที่เรือพร้อมตะโกนว่า “เจ้าเป็นผู้ใดกันจึงกล้าเข้ามาแสวงหาความตายในเกาะไผ่เขียว? อยากตายงั้นหรือ?”
เงารอบเรือค่อย ๆ ปรากฏขึ้นเป็นร่างกายของมนุษย์ มีสตรีสี่คนและบุรุษสองคนยืนเคียงข้าง บุรุษชุดดำยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น
“คำพูดที่กล้าหาญเช่นนี้ออกมาจากคนอย่างเจ้างั้นหรือ?” แน่นอนว่าบุคคลที่กล้าถามคำถามเช่นนี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น เป็นซ่งจง!
บุรุษชุดดำเริ่มงุนงงที่ซ่งจงกล้าพูดเช่นนี้กับเขา จากนั้นเขาจึงเริ่มคิดว่าซ่งจงเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง แต่ด้วยความที่เขาอยู่ในระดับปฐมภูมิขั้นสมบูรณ์แน่นอนว่าจะต้องอ่อนแอกว่าผู้ฝึกตนระดับจินตันเช่นตนแน่นอน!
“เด็กน้อยเจ้าอย่าอวดดี!” บุรุษชุดดำตอบกลับ เขาโกรธจนตัวสั่นพร้อมกล่าวต่อ “ไขมันก้อนนี้มันมาจากแห่งหนใดกันจึงกล้าที่จะไม่เคารพข้าที่เป็นอาวุโส!”
ซ่งจงเมื่อได้ยินคำว่าไขมัน แน่นอนว่าเขาโกรธจัดทันทีพร้อมตอบกลับว่า “บุคคลที่มีความสามารถเทียบเท่ากับขยะเช่นนี้ เหตุใดจึงกล้าเรียกตนเองว่าอาวุโส? เหอะ ความสามารถเจ้าเล็กน้อยแต่กลับรู้วิธีที่จะแสดงให้ยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่เจ้ารู้ไหมว่าผลลัพธ์มันจะดูแย่แค่ไหนถ้าหากมาแสดงกิริยาเช่นนี้ต่อหน้าข้า?!”
ชายชุดดำใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงพร้อมอุทานออกมา “สิ่งเดียวที่ข้ารู้ในตอนนี้คือเจ้ากำลังจะตาย!”
ชายชุดดำเปิดฉากการโจมตีโดยสร้างดาวตกขึ้นมาพร้อมระบุเป้าหมายเป็นซ่งจง เขาเห็นฝ่ามือสีแดงกำลังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว
ด้วยระยะเพียงไม่กี่ร้อยฟุต เกิดเป็นลูกบอลขนาดเล็กพุ่งออกมาจากฝ่ามือของเขา พุ่งมาที่หน้าผากของซ่งจงอย่างรวดเร็ว
ขณะนั้นซ่งจงเผยยิ้มออกมา เมื่อลูกบอลสีแดงกำลังจะสัมผัสกับหน้าผากของเขา ทันใดนั้นลำแสงศักดิ์สิทธิ์สีเขียวปรากฏออกมาเพื่อปกป้องเขาทันที เช่นนี้เขาจึงหลีกเลี่ยงการโจมตีของชายชุดดำได้อย่างง่ายดาย
แน่นอนว่าสถานการณ์ปกติไม่มีทางที่ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิจะต่อกรกับผู้ฝึกตนระดับจินตันได้ อย่างไรก็ตามกฎเหล่านั้นไม่อาจใช้กับซ่งจงได้อีกต่อไป เขาสามารถป้องกันการโจมตีจากผู้ฝึกตนระดับจินตันได้อย่างง่ายดาย ความประหลาดเช่นนี้ทำให้ผู้คนรอบข้างจ้องมองด้วยความตกใจ
แต่เขาไม่ได้มีโอกาสตอบโต้เพราะซ่งจงนั้นรวดเร็วราวกับสายฟ้า ซ่งจงปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขาพร้อมกับลงมือทุบตีอย่างรุนแรง
เมื่อผู้ฝึกตนระดับจินตันเห็นเช่นนั้น เขาไม่กล้าที่จะประมาทพร้อมกับยกมือขึ้นอย่างรวดเร็ว ยิงลูกบอลสีแดงออกมาอีกครั้งเพื่อป้องกันการโจมตีจากซ่งจง อย่างไรตามเขายังไม่เข้าใจความแข็งแกร่งที่ซ่งจงมี ร่างกายของซ่งจงนั้นแข็งแกร่งเท่ากับอสูรกายขั้นห้า ซึ่งสามารถเอาชนะราชาฉลามดำที่อยู่ในขั้นห้าระดับสมบูรณ์จนตายตกไปได้
ในขณะที่โล่สีแดงของผู้ฝึกตนระดับจินตันยังคงเปราะบาง แล้วจะสามารถป้องกันการโจมตีที่แข็งแกร่งเช่นนี้ได้อย่างไร? แม้แต่ราชาฉลามดำยังต้องยอมสยบให้กับซ่งจง แน่นอนว่าเขาคงไม่สามารถหลบหนีการโจมตีในครั้งนี้ได้
ภายใต้สายตาที่เป็นพยานของทุกคน ฝ่ามือของซ่งจงทำลายโล่สีแดงนั้นอย่างรวดเร็ว แรงส่งที่เหลือไปถึงใบหน้าของผู้ฝึกตนระดับจินตันอย่างโหดร้าย เกิดเสียงเพี๊ยะดังสนั่นพร้อมกับส่งผู้ฝึกตนระดับจินตันขึ้นฟ้าไป ภาพสุดท้ายคือเขาร่วงหล่นลงสู่พื้นอย่างน่าสมเพช ไม่เพียงแต่ร่างกายที่เต็มไปด้วยโคลน ใบหน้าของเขาบวมอย่างหนักและเลือดที่ไหลออกมาจากริมฝีปาก เขาอ้าปากและคายฟันออกมาสามถึงสี่ซี่ก่อนที่จะเริ่มพูดอะไรสักอย่าง
แต่ในขณะนั้น ซ่งจงตะโกนออกมาเสียงดัง “เด็กน้อย ข้าจะบอกอะไรให้ นี่คือผลลัพธ์ที่น่าสมเพชเมื่อแสดงตนว่ายิ่งใหญ่เกินตัว เช่นเดียวกับเจ้าที่แสดงตนเกินไปจึงทำให้กลายเป็นคนโง่งมเช่นนี้!”
เมื่อผู้ฝึกตนชุดดำได้ยินเช่นนั้น เขาโกรธจัดภายในหัวใจทันที เมื่อรวมกับการบาดเจ็บจากการตบของซ่งจงเมื่อครู่นี้ จึงทำให้เขาคายเลือดออกมาก้อนใหญ่
ผู้ฝึกตนที่ยืนอยู่รอบข้างเขาล้วนแต่ตกตะลึงในทันที พวกเขาไม่เคยคาดคิดว่าผู้ฝึกตนระดับจินตันที่แข็งแกร่งผู้นี้จะถูกทารุนโดยไขมันเดินได้เช่นนี้ และนั่นยังไม่น่าแปลกใจเท่าที่เขาถูกผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิตบตีจนอยู่ในสภาพที่น่าสมเพช
แน่นอนว่าความผิดปกติเช่นนี้ทำให้เกาะไผ่เขียวปั่นป่วนทันที ปรากฏลำแสงขึ้นมารวดเร็วและเป็นผู้ฝึกตนระดับจินตันสองคนได้เดินทางมาถึง อาวุโสสวมชุดคลุมสีแดงเดินก้าวมาด้านหน้าพร้อมกล่าวว่า “ข้าขอถามว่าเจ้าคือซ่งจงผู้มีชื่อเสียงใช่หรือไม่?”
ซ่งจงหันไปมองเขาพร้อมกับเห็นว่าเขาคือผู้ฝึกตนระดับจินตันขั้นสมบูรณ์ อายุราวเจ็ดถึงแปดสิบ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยริ้วรอยและอยู่ในชุดคลุมสีเลือด ทำให้ดูน่าขยะแขยงอย่างมาก
ด้วยการมองรวดเดียว ซ่งจงรู้สึกหมองหม่นอย่างมาก จากนั้นเขาตอบอย่างตัดรำคาญ “ใช่ ข้าเอง!”
เมื่อซ่งจงกล่าวออกไปเช่นนั้น ทุกคนตกใจทันที เมื่อไม่นานมานี้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังอย่างมาก ทั้งหมดไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากระมัดระวังตัวให้มากขึ้น
เมื่ออาวุโสชุดแดงได้ยินเช่นนั้น เขาขมวดคิ้วพร้อมกับเผยยิ้มออกมาและกล่าวว่า “โอ เป็นน้องชายซ่งนั่นเอง เจ้าเดินทางมาไกลนัก ข้าต้องการรู้ว่าเจ้าต้องการอะไร?”
“แน่นอน!” ซ่งจงไม่กล่าวอะไรพร้อมกับหยิบเครื่องหมายหัวหน้าทะเลตะวันออกแสดงให้เขาดู “ข้าชอบเกาะไผ่เขียวของเจ้า ทุกคนที่อาศัยอยู่ที่นี่จะต้องออกไปทันที!”
ในขณะที่ผู้ฝึกตนรอบข้างได้ยินคำพูดที่ไม่สุภาพของซ่งจง ทั้งหมดโกรธจัดทันที อาวุโสชุดแดงเช่นกัน เขาคำรามทันที “ซ่งจง อย่าหยิ่งผยองให้มากนัก! เจ้าต้องรู้ว่าสำนักพันปีศาจไม่ใช่สิ่งที่จะมายั่วยุกันง่าย ๆ!”
“ฮ่าฮ่า!” ซ่งจงระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “มันยากตรงไหนที่จะยั่วยุพวกเจ้า อย่าคิดว่าพวกเจ้ามีพวกพ้องอยู่ด้วยแล้วข้าจะทำอะไรไม่ได้ ถ้าหากต้องการให้ข้าทำให้เจ้ากรีดร้อง แน่นอนว่าสามารถทำได้ ถ้าหากพวกเจ้ายังคงมีสมองหลงเหลืออยู่บ้าง ก็ควรออกไปจากที่นี่ซะ ไม่เช่นนั้น….”
“ไม่เช่นนั้นอะไร?” อาวุโสชุดแดงถามออกมาด้วยความโกรธ
ซ่งจงยืดอกพร้อมกับกล่าวอย่างอหังการ “เหอะ ถ้าไม่เช่นนั้น ข้าจะสังหารทุกคนที่อยู่ที่นี่! นอกจากนี้ข้ายังได้รับขนานนามว่าได้กำจัดสิ่งชั่วร้ายออกไปจากโลกใบนี้!”
ในขณะนั้น ซ่งจงนั้นยืนเผชิญหน้ากับผู้เชี่ยวชาญในขณะที่เขาอยู่ในระดับปฐมภูมิ เขาสามารถบังคับให้อินทรีย์สายฟ้าหนีไปได้ เขาสังหารราชาฉลามดำและขับไล่สามปีศาจแห่งทะเลตะวันออก ออร่าความแข็งแกร่งเปล่งประกายออกมาจากร่างกายของเขาอย่างไม่รู้ตัว
ในขณะที่ผู้คนที่ยืนอยู่รอบ ๆ นั้นเต็มไปด้วยผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิและผู้ฝึกตนระดับจินตัน ทั้งหมดไม่กล้าที่จะเทียบรัศมีกับซ่งจง ทั้งหมดทำได้แค่ยืนเงียบและเฝ้าดูห่าง ๆ
แต่ในขณะที่ซ่งจงกำลังกดดันฝูงชนอยู่นั้น เกิดเสียงหัวเราะขึ้นมาจากที่ไกล ๆ
“หึหึหึ!”
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะที่น่ากลัวนี้ ป่าไผ่เขียวนั้นโบกสะบัดทันทีพร้อมด้วยลูกทีมของซ่งจงเริ่มยืนไม่ได้และตกจากเรือในที่สุด
แม้แต่ซ่งจงก็ยังหวั่นไหวถึงจุดที่เขามึนงงและไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้
โชคดีที่เสียงหัวเราะนี้เกิดขึ้นในเวลาสั้น ๆ เท่านั้น จากนั้นปรากฏรูปร่างสีดำคล้ายกับปีศาจด้านหลังของซ่งจง
จากนั้นเกิดเสียงชั่วร้ายดังขึ้น “นี่มันเจ้าไขมันบัดซบนี่ ซ่งจงจากสำนักเสวียนเทียนงั้นหรือ? ข้าคิดถึงเจ้าจนจะตายอยู่แล้ว!”
ผู้อื่นอาจจะเพียงแค่รู้สึกโชคร้ายเมื่อได้ยิน แต่ซ่งจงนั้นกลัวจนแทบจะตายตกไปทันที เขาตัวสั่นอย่างไม่อาจอดกลั้นเมื่อได้ยินเสียงนั้น จากนั้นเขาสูดหายใจลึกเพื่อรวบรวมความกล้าที่จะหันหลังกลับไปดู
แน่นอนว่าชายชุดดำผู้นี้เป็นคนที่ซ่งจงกำลังนึกถึง เขาคือตาเฒ่าเฟิงแห่งสำนักพันปีศาจ!
ในขณะที่ซ่งจงเห็นเขา ใบหน้าของเขากลายเป็นสีเขียวทันที เขารู้ดีว่าความเกลียดชังที่ตาเฒ่าเฟิงมีต่อตนเองนั้นจะไม่มีวันถูกลบออกไปเด็ดขาด
จากการต่อสู้ครั้งล่าผลไม้วิญญาณ ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินถูกตัดนิ้วจากความร่วมมือของผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนนั่นก็คือซ่งจงและหานปิง มันทำให้เขาแทบไม่มีใบหน้าไปพบผู้คนได้ อย่างไรก็ตามในครั้งนั้นซ่งจงได้ซุ่มโจมตีโดยใช้สมบัติวิญญาณขั้นเก้าช่วยเหลือ แต่ถึงอย่างไรมันก็น่าอับอายอยู่ดี
แต่เหตุการณ์ในก่อนหน้านี้เขาไม่สามารถอธิบายได้อย่างเต็มปาก เพราะเหตุการณ์ในหุบเขาครั้งนั้นซ่งจงได้ใช้ยันต์เคลื่อนย้ายเพื่อส่งเขาไปที่หอคอยลอยฟ้าของสำนักเสวียนเทียน จากนั้นเขาก็ถูกฆ่าตายไปครึ่งชีวิตโดยผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินสามคนและจากนั้นก็รอดมาได้!
มันเป็นสิ่งที่น่าอับอายเกินไป ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินถูกหลอกโดยผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิ เมื่อใดที่เรื่องนี้เผยแพร่ออกไป แน่นอนว่าตาเฒ่าเฟิงจะต้องกลายเป็นตัวตลกของผู้คนทั่วทั้งภูเขา และคงจะไม่สามารถเงยหน้าขึ้นมาได้อีกครั้ง
เช่นนี้ เขาจึงสาบานว่าจะสังหารซ่งจงให้ได้หลังจากที่ถูกปล่อยตัวออกจากสำนักเสวียนเทียน
อย่างไรก็ตามซ่งจงนั้นไม่โง่ นับตั้งแต่นั้นเขาไม่ได้ออกจากสำนักเสวียนเทียนเลย เพื่อไม่ให้ตาเฒ่าเฟิงมีโอกาสที่จะสังหารเขา แต่หลังจากหลายปีผ่านไป ซ่งจงออกเดินทางมาอยู่ในทะเลตะวันออกเพียงไม่กี่เดือน ตาเฒ่าเฟิงกลับไล่ตามเขามายังสถานที่แห่งนี้
ในตอนนี้ตาเฒ่าเฟิงมองเจ้าอ้วนและกล่าวออกมาอย่างตื่นเต้น “เด็กน้อย เจ้ามีความสุขไหมที่ได้พบข้าอีกครั้ง?”
“ความสุขอะไร?” เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขากล่าวอย่างขื่นขม “การปรากฏตัวของเจ้าทำให้ข้านึกถึงความโชคร้ายเป็นเหตุการณ์ที่เหล่ามนุษย์มักพูดถึง!”
“ว่าอะไร?” เมื่อตาเฒ่าเฟิงได้ยินเช่นนั้น เขากล่าวออกมาอย่างสนใจ “เหตุการณ์อะไรงั้นหรือ?”
“นักบวชน้อยเคาะประตูบ้านของหญิงม่ายกลางดึก แต่แทนที่หญิงม้ายจะเปิดประตู แต่กลับเป็นคนหัวล้านแทน!” ซ่งจงกล่าวออกมาในขณะที่อยากจะร้องไห้ด้วยเช่นกัน
เขาพยายามคิดว่าเกาะไผ่เขียวนั้นไม่มีสิ่งสำคัญใด เขาจะสามารถทำลายประตูของเกาะไผ่เขียวอย่างง่ายดายราวกับประตูบ้านของหญิงม้าย แต่เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าคนที่จะเปิดประตูให้เขาคือนักบวช ในตอนจบเขากลายเป็นเหยื่อไปเสียแล้ว!
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” เมื่อตาเฒ่าเฟิงได้ยินซ่งจงเล่าเช่นนั้น เขาระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที
หลังจากที่รอให้ตาเฒ่าเฟิงหัวเราะจนเสร็จสิ้น ซ่งจงถามออกไปทันที “อาวุโสเฟิง ข้าเพิ่งมาที่ทะเลตะวันออกเพียงสองเดือนเท่านั้น! ท่านรู้เรื่องของข้าได้อย่างไรกัน?”
“ฮ่าฮ่า เด็กน้อย ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณหญิงงามที่ยืนอยู่ข้างหลังเจ้า!” อาวุโสเฟิงตอบกลับอย่างสดใส
ซ่งจงตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นเขาหันกลับหลังไปและเห็นว่าแม่มดเปลือยกายละทิ้งนาวายักษ์สีดำไปแล้วพร้อมกับยืนอยู่ด้านหน้าตาเฒ่าเฟิง นางทำความเคารพเขาและกล่าวทักทาย “แสดงความเขาเคารพต่ออาวุโสลุง!”
“ลุกขึ้นได้ ทำได้ดีมากเด็กน้อย!” ตาเฒ่าเฟิงหัวเราะออกมา “ถ้าหากไม่ใช่เพราะเจ้าบอกข้า แน่นอนว่าข้าคงไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่นี่!”
เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขารู้ได้ทันทีว่าเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง เขาถูกหักหลังโดยแม่มดเปลือยกายและการเดินทางมาที่นี่นั้นเป็นกับดัก!
หลังจากเข้าใจทุกอย่างแล้ว เขาโกรธจัดจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีดำทันที เขามองไปที่แม่มดเปลือยกายพร้อมกับเย้ยหยันออกมาอย่างรังเกียจ “ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมจริง ๆ ในที่สุดข้าก็ถูกเจ้าหลอกจนได้!”
“ฮ่าฮ่า ใครขอให้เจ้าโง่ถึงเพียงนี้กันล่ะ?” แม่มดเปลือยกายกล่าวออกมาอย่างร่าเริง “แม้แต่คนโง่ยังรู้ว่าไม่มีผู้ใดสามารถทรยศสำนักของตนเองได้อย่างง่ายดาย มันเป็นสิ่งที่พวกเราไล่ล่ากันมาเนิ่นนานทั้งสำนักชอบธรรมและสำนักปีศาจ
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” ตาเฒ่าเฟิงและผู้คนที่มาจากสำนักพันปีศาจเมื่อได้ยินเช่นนั้นต่างก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างไม่อาจอดกลั้น
หลังจากที่เจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาหัวเราะอย่างโกรธแค้น “ฮ่า! แม่มดเปลือยกาย เจ้าเยี่ยมมาก แต่เจ้าไม่ควรที่จะมีความสุขมากนัก ข้าจะจดจำเจ้าไว้ ถ้าหากในวันนี้ข้าไม่ตาย แน่นอนว่าข้าจะทำให้เจ้ารู้สึกเสียใจที่ได้เกิดมาบนโลกใบนี้!”
แม้ว่านางจะมีตาเฒ่าเฟิงสนับสนุน แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นไหวกับคำสาปแช่งของซ่งจง
เมื่อตาเฒ่าเฟิงเห็นเช่นนั้น เขายักไหล่พร้อมกล่าวว่า “แล้วต้องกลัวอะไรกับแค่คำพูดของซ่งจง เจ้าคิดงั้นหรือว่ามันจะมีหนทางให้หนีได้?”
“ฮ่าฮ่า แน่นอนว่าไม่ถ้าหากท่านอยู่ตรงนี้ เขาไม่สามารถไปไหนได้ แม้ว่าจะมีปีกก็ตาม!” แม่มดเปลือยกลายกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“แน่นอน!” ตาเฒ่าเฟิงยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย
ราวกับว่านางนึกอะไรขึ้นได้พร้อมกับหันไปหาทุกคนที่กำลังตกใจ “พวกเจ้าทั้งหมด ถ้าหากยังมีสมองอยู่ มาเถิด ข้าจะให้เจ้าอยู่กับข้าเพราะเราคือทีมเดียวกัน แต่ถ้าหากเจ้าไม่รู้จักวิธีเอาตัวรอด ก็จงตายไปพร้อมกับซ่งจงซะ!”
ตาเฒ่าพิษเป็นคนแรกที่วิ่งออกไปด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม “ท่านพี่ใหญ่ ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านจะพลิกสถานการณ์กับเด็กเหลือขออย่างเช่นซ่งจงได้ แม้ว่าเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ไม่พ้นเงื้อมมือของท่านเลย!”
“ฮ่าฮ่า!” เมื่อนางได้ยินตาเฒ่าพิษประจบ นางหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี
ราวกับว่าเขากำลังสนุกที่ได้เห็นซ่งจงถูกหักหลัง จากนั้นตาเฒ่าเฟิงจึงกล่าวต่อ “พวกเจ้ายังไม่เข้ามากันอีกงั้นหรือ? อย่าบอกนะว่าพวกเจ้ามีแผนจะตายตกไปพร้อมกับซ่งจงในวันนี้? ข้าจะบอกอะไรให้อย่างหนึ่งว่าเขาจะไม่ตายอย่างง่ายดาย อย่างน้อยที่สุดเขาจะไม่ตายในอีกร้อยปีข้างหน้าอย่างแน่นอน ข้าได้จัดเตรียมอุปกรณ์หลายรูปแบบไว้ทรมานเขา ข้าจะไม่ปล่อยให้เขาตายอย่างง่ายดาย! พวกเจ้าสนใจที่จะไปร่วมสนุกกับเขาไหมล่ะ?”
ในขณะที่ทุกคนได้ยินตาเฒ่าเฟิงกล่าวเช่นนั้น ทั้งสี่คนตะลึงทันที ความพังพินาศในครั้งนี้คือสิ่งที่มู่ซื่อหรงกล่าวกับซ่งจง “สามี คู่รักเช่นเราคล้ายกับนกที่อยู่ในรังด้วยกัน แต่เมื่อพบเจออันตราย ในสุดท้ายแล้วจะต้องบินไปด้วยปีกของตนเอง ได้โปรดอย่ากล่าวโทษข้า!”
เมื่อนางกล่าวจบ นางพุ่งออกไปทันที ทิ้งซ่งจงให้ยืนหมดอาลัยอยู่ตรงนั้น
เมื่อตาเฒ่าเฟิงเห็นว่าซ่งจงนั้นผิดหวังแค่ไหน เขารู้สึกมีความสุขอย่างมาก
คนต่อไปที่จะจากไปคือหิน เขาโค้งคำนับให้ซ่งจงพร้อมกับเดินออกไปจากนาวายักษ์สีดำ จากนั้นปรากฏตัวเงียบ ๆ ข้างแม่มดเปลือยกาย
ซ่งจงนั้นรู้ว่าเขาเป็นคนดี แต่ในเวลานี้เขาก็ไม่ต้องการให้หินมาตายไปพร้อมกับเขาเช่นกัน เขาทำได้เพียงหัวเราะอย่างขื่นขมและก้มหน้าก้มตายอมรับ
แต่ในขณะนั้นซูหยู่และซูหยุนที่ยืนอยู่ด้านหลังกล่าวออกมา “พี่ชายซ่งไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเราพี่น้องเป็นของท่าน!”
เนื่องจากการเผชิญหน้าในครั้งนี้ ศัตรูแข็งแกร่งเกินกว่าจะรับมือได้ไหว เมื่อเขาได้ยินคำพูดของหญิงสาวทั้งสอง หัวใจของเขาไม่สามารถบรรยายความรู้สึกออกมาได้ น้ำตาของซ่งจงไหลอาบแก้มทั้งสองอย่างไม่สามารถอดกลั้น
เมื่อซูหยู่และซูหยุนได้เห็นเช่นนั้น ทั้งคู่เข้าไปกอดเขาทันทีราวกับรับรู้ความเจ็บปวดนั้น ทั้งหมดเช็ดน้ำตาพร้อมกับสะอื้น “พี่ชายซ่งอย่าร้องไห้ พวกเราพี่น้องเต็มใจ!”
“ข้ารู้!” ซ่งจงฝืนยิ้มออกมา “ที่จริงแล้วข้าไม่ได้ร้องไห้ แต่ข้าเพิ่งสัมผัสได้เท่านั้น!”
หลังจากนั้น ซ่งจงยืดตัวขึ้นพร้อมกับปล่อยลมหายใจออกมายาว ๆ พร้อมกับพูดออกมาอย่างแน่วแน่ “สำหรับข้าแล้ว การมีสหายเช่นนี้ มันทำให้ชีวิตของข้านั้นมีคุณค่า! อย่างไรก็ตามข้านั้นไม่ใช่อัจฉริยะ แต่ก็ไม่สามารถที่จะสังหารข้าได้โดยง่าย! แม้ว่าข้าจะต้องตายในวันนี้ แต่ข้าจะไม่ยอมตายถ้าหากไม่แน่ใจว่าเจ้าทั้งสองคนปลอดภัย!”บทที่ 241: ความลับเขย่าสวรรค์
เมื่อตาเฒ่าเฟิงได้ยินว่าซ่งจงพูดอะไรออกมา เขาระเบิดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ไขมันบัดซบ เจ้ายังไม่อาจรักษาแม้ชีวิตของตัวเองได้ แต่แล้วเจ้าคิดที่จะปกป้องพวกนางงั้นหรือ? นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน! ฮ่าฮ่าฮ่า!”
“ฮ่าฮ่า!” แม่มดเปลือยกายที่อยู่ด้านข้างก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเช่นกัน
แต่ซ่งจงยังคงสงบ “ตาเฒ่าเฟิง ในขณะที่เจ้ากำลังแสดงท่าทีว่ามั่นใจมากแต่ความจริงแล้วเจ้านั้นยังกังวลว่าจะสังหารข้าได้หรือไม่ ถูกไหม?”
“ใครพูดกัน?” เมื่อตาเฒ่าเฟิงได้ยินเช่นนั้น เขากล่าวโต้ทันที “ไขมันน้อย ให้ข้าพูดกับเจ้าตรง ๆ ตอนนี้เถอะว่าเจ้าไม่มีหนทางที่จะหลบหนีได้แล้ว!”
“ฮ่าฮ่า จริงหรือ? ตาเฒ่าเฟิง ถ้าหากเจ้าคิดว่าข้าจะต้องตายในวันนี้แล้ว เจ้ากล้าที่จะเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับการตายของครอบครัวข้าได้หรือไม่?”
“หืม?” เมื่อตาเฒ่าเฟิงได้ยินเช่นนั้น เขาตกใจไปชั่วขณะก่อนที่จะถามว่า “เจ้ารู้อะไร?”
“สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับความตายของครอบครัวข้า และข้าตรวจสอบมันโดยละเอียด ความจริงแล้วนับตั้งแต่ที่เจ้าแอบซุ่มโจมตีในครั้งที่ข้าไปที่จุดเกิดเหตุ ข้าก็สงสัยเรื่องนี้มาตลอด เฒ่าเฟิง เจ้ากล้าที่จะบอกข้าหรือไม่ว่ามีใครบางคนบอกตำแหน่งครอบครัวข้าให้เจ้ารู้ เพื่อที่จะซุ่มโจมตีได้สำเร็จ?”
“ฮี่ฮี่!” เมื่อตาเฒ่าเฟิงได้ยินเช่นนั้น เขายิ้มออกมา “ทำไมข้าต้องบอกเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย?”
“ยังไงข้าก็ไม่สามารถหนีไปได้ มันไม่สำคัญหรอกถ้าหากเจ้าจะพูดมันออกมา จริงหรือไม่ใช่?” เจ้าอ้วนกล่าว “หรือว่าเจ้ากลัวว่าข้าจะสามารถหลบหนีไปได้ถึงไม่กล้าที่จะพูดมันออกมา? เจ้ากลัวว่าจะทรยศต่อสายลับที่อยู่ในสำนักเสวียนเทียนงั้นหรือ?”
“เหอะ ชายชราผู้นี้ไม่จำเป็นต้องกลัวว่าเจ้าจะหลบหนี ข้าเพียงแค่ต้องการให้เจ้าตายตกไปพร้อมกับความเสียใจเท่านั้น ข้าต้องการให้เจ้าตายโดยที่ไม่รู้ว่าใครที่สั่งฆ่าครอบครัวของตัวเอง!”
“ฮ่า!” เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาหัวเราะทันที “ตาเฒ่าเฟิง เจ้าคิดผิดแล้ว ถ้าหากว่าเจ้าเกลียดข้าจริง ๆ เจ้าควรที่จะพูดกับจริงกับข้า เจ้าควรให้ข้าได้รู้ว่าใครที่สังหารครอบครัวข้า ทำให้ข้าพบว่ามันสามารถเดินร่อนไปมาได้อย่างอิสระโดยที่ข้าไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว นี่คือความเจ็บปวดที่สุด ถ้าหากข้าไม่รู้อะไร ข้าก็คงไม่ต้องคิดอะไรอีก เข้าใจหรือไม่?”
“หืม?” เมื่อตาเฒ่าเฟิงได้ยินเช่นนั้น เขาตะลึงไปชั่วขณะ เขาก้มหน้าลงเพื่อไตร่ตรองอยู่สักพักจากนั้นจึงระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ฮ่าฮ่า เห็นได้ชัดว่าเจ้ากำลังพยายามหลอกล่อให้ข้าพูด อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดว่าจะหนีรอดไปได้?”
“ฮ่าฮ่า ที่แท้เจ้าก็กลัวว่าข้าจะหนีไปจริงสินะ?” ซ่งจงกล่าวออกมาพร้อมกับระเบิดหัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ “การเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน แม้ว่าข้าจะเป็นผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิและมียันต์เคลื่อนที่ แต่ข้าก็คงไม่มีโอกาสที่จะใช้งานมันอย่างแน่นอน แล้วเจ้าเกรงกลัวอะไรกันล่ะ?”
“ฮ่าฮ่า เจ้ากล่าวถูก!” ตาเฒ่าเฟิงพยักหน้า พร้อมกล่าวต่อ “แต่สิ่งที่ดีที่สุดคือการระวังตัว ข้าคิดว่าควรจะจับเจ้าไว้ก่อนและหาสถานที่ที่ไม่มีใครค้นพบเรา เช่นนี้เป็นอย่างไร?”
ในขณะที่เขาพูดเช่นนั้น เขายิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย
เมื่อซ่งจงเห็นเช่นนั้น เขาเริ่มกังวลและตะโกนออกมา “รอก่อน! ข้ามีบางอย่างจะพูด!”
“ว่าอะไร? เจ้าต้องการจะพูดอะไร?” ตาเฒ่าเฟิงยิ้ม “งั้นจงใช้เวลาของเจ้าเสียให้คุ้ม ข้าไม่รีบ!”
เห็นได้ชัดว่าตาเฒ่าเฟิงมาที่นี่เพื่อที่จะมาเล่นกับซ่งจงอย่างเต็มที่
แม้ว่าซ่งจงจะรู้เช่นนั้นแต่เขาก็ไม่มีทางเลือกมากนัก เขามีแต่ความโกรธที่กักเก็บไว้ในหัวใจเท่านั้น “ถ้าหากเจ้าบอกข้าเกี่ยวกับเรื่องครอบครัว ข้าจะบอกบางสิ่งที่เจ้าควรได้รับรู้เป็นการตอบแทน!”
“ว่าอะไรนะ?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของเขาหรี่ลง จากนั้นเขาถามออกมาด้วยความสงสัย “เจ้าเป็นเพียงมือใหม่ระดับปฐมภูมิ จะมีข่าวอะไรที่เจ้ารู้และมันสำคัญกับข้า?”
“ฮี่ฮี่ ข้าอาจจะไม่มีความรู้มากดังเช่นเจ้า แต่มีบางสิ่งที่ข้ารู้มาและเป็นข้าเท่านั้นที่รู้ อย่างเช่นใครกันที่สังหารนายน้อยยู่เฟิงในการแข่งขันล่าผลไม้วิญญาณ!” ซ่งจงกล่าวออกมาพร้อมกับหัวเราะคิกคัก
“ว่าอะไรนะ?” เมื่อตาเฒ่าเฟิงได้ยินเช่นนั้น ท่าทีของเขาเปลี่ยนทันทีพร้อมรีบถามต่อ “เจ้ารู้งั้นหรือ?”
“แน่นอน อีกทั้งข้ายังรู้ว่าใครครอบครองภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า!” ซ่งจงยิ้มตอบ “อย่างนี้เป็นเช่นไร ข่าวนี้น่าสนใจมากพอหรือไม่?”
“พอสมควร!” ดวงตาของตาเฒ่าเฟิงเบิกกว้างจนแถบจะถลนออกมา จากนั้นเขากล่าวต่ออย่างโกรธแค้น “เพราะเหตุการณ์นี้ทำให้ข้าไม่มีใบหน้าที่จะไปพบศิษย์พี่ของข้า ถ้าหากเจ้าสามารถบอกข้าได้ ในช่วงที่ข้าผ่อนคลาย ข้าจะให้เจ้าทรมานน้อยลงสักหน่อย!”
“นั่นไม่สำคัญ ข้าต้องการแลกเปลี่ยนเพื่อรับรู้ข่าวเกี่ยวกับครอบครัวของข้า!” ซ่งจงตอบกลับอย่างหนักแน่น “ตาเฒ่าเฟิง ข้าขอเตือนว่าอย่าฝันว่าจะได้จับตัวข้าในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เจ้ารู้ดีว่าข้าฝึกฝนสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่เหล่าปีศาจแห่งทะเลทั้งสามยังไม่อาจต้านทานข้าได้ ถ้าหากเจ้าคิดจะต่อสู้ ข้าคงจะต้องระเบิดร่างกายของตนเองแล้วให้เศษชิ้นเนื้อบอกเล่าข่าวให้เจ้าฟังแทน!”
เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น เขาหยิบสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิบออกมาลอยกลางอากาศทันที
ตาเฒ่าเฟิงนั้นมีความคิดที่จะพาซ่งจงไปสอบปากคำด้วยตนเอง แต่ในขณะที่เขาได้ยินซ่งจงกล่าวเช่นนั้นพร้อมด้วยสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่รอบตัว ในตอนนี้เขาต้องระวังมากขึ้น เขาไม่รู้ว่าร่างกายของซ่งจงนั้นสามารถต้านทานสายฟ้าได้มากเท่าไหร่ สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์สามารถทำลายผู้ฝึกตนจินตันได้ถ้าหากไม่ป้องกันอะไรเลย เมื่อเห็นว่าซ่งจงนั้นเล่นกับสายฟ้าในมืออย่างสบายโดยไร้เครื่องมือป้องกัน แน่นอนว่าเขาสามารถถูกระเบิดให้กลายเป็นชิ้นเนื้อได้ตลอดเวลา
ตาเฒ่าเฟิงในตอนนี้เกรงกลัวว่าซ่งจงจะฆ่าตัวตาย ถ้าหากเป็นเช่นนั้นเขาคงไม่สามารถตามหาภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าได้อีกต่อไป เขากล่าวออกมาอย่างหมดหนทาง “ยอดเยี่ยม ซ่งจง เจ้ายอดเยี่ยมมาก! ข้าจะพูดก็ได้ แต่เจ้าจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเจ้าจะไม่เสียใจเมื่อได้ยินมัน? อีกทั้งเจ้ายังสามารถโกงข้าได้เสมอ”
“ข้า ซ่งจงไม่เคยผิดคำพูด!” ซ่งจงกล่าวออกมาพร้อมกับหัวเราะอย่างเย็นชา “อย่านำข้าไปรวมกลุ่มกับผู้ฝึกตนปีศาจ”
ตาเฒ่าเฟิงถูกสะกิดถึงความหลังทำให้เขาโกรธจัดทันที แต่เพื่อภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า เขาไม่มีทางเลือกนอกจากเก็บกดความโกรธนี้ไว้ จากนั้นเขากล่าวว่า “ยอดเยี่ยมมาก เด็กน้อย เจ้าเก่งมาก! ข้าจะบอกข่าวเกี่ยวกับครอบครัวของเจ้าก่อน! แต่ถ้าหากเจ้าไม่บอกเกี่ยวกับภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า รับรองว่าชีวิตที่เหลือของเจ้าจะเลวร้ายยิ่งกว่าความตาย!”
“ฮี่ฮี่ เนื่องจากเจ้าคิดไว้แล้วว่าเจ้าจะชนะ แล้วจะเกรงกลัวอะไรอีกล่ะ? รีบกล่าวมา ข้ารอฟังอยู่!” ซ่งจงกล่าวอย่างเยือกเย็น
“เยี่ยม!” ตาเฒ่าเฟิงกัดฟันพูดอย่างเจ็บใจพร้อมกับคิดกับตนเองว่า ‘ซ่งจงนั้นเป็นเพียงเนื้อที่อยู่บนเขียง ไม่สำคัญว่าข้าจะบอกอะไรกับเขา ถ้าหากว่าเขาสามารถบอกที่อยู่ของภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าได้ ความเสี่ยงนี้มันคุ้มค่า!’
เมื่อคิดเช่นนี้ ตาเฒ่าเฟิงโบกแขนของเขาพร้อมออกคำสั่งอย่างเย็นชา “พวกเจ้าจงแยกย้ายกันออกไปให้ห่างจากพื้นที่แห่งนี้เป็นระยะห้าพันลี้ ถ้าหากว่าผู้ใดกล้าที่จะเข้ามาใกล้ ข้าจะฆ่าทั้งหมด!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนรู้ได้ทันทีว่าตาเฒ่าเฟิงกำลังจะบอกซ่งจงเกี่ยวกับความลับของสำนัก ดังนั้นทุกคนไม่ชักช้าแต่ก็ไม่ลืมที่จะทำความเคารพ เวลาถัดมามีเพียงตาเฒ่าเฟิง ซ่งจง ซูหยู่และซูหยุนเท่านั้น
ในสายตาของตาเฒ่าเฟิง ซูหยู่และซูหยุนนั้นได้ตายไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับพวกนาง ในขณะที่ทุกคนออกไปแล้ว เขากล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “ซ่งจง เจ้าบอกว่าได้ตรวจสอบเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว ถ้าหากเป็นเช่นนั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครเป็นคนทรยศครอบครัวเจ้า?”
“เหอะ เจ้ากำลังทดสอบข้า?” ซ่งจงเย้ยหยัน “จะมีใครอื่นเว้นเสียแต่ฮัวเฉียนหวู่?”
“หือ?” เมื่อตาเฒ่าเฟิงได้ยินเช่นนั้น เขาระเบิดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “ยอดเยี่ยมเด็กน้อย เจ้าเป็นคนมีความสามารถจริง ๆ ถ้าหากว่าเจ้ารู้อยู่แล้ว เหตุใดจึงต้องมาถามข้าอีก?”
“ข้าเพียงแค่เดาว่าคือนาง แต่ก็ไม่มีหลักฐานอะไรเลย!” ซ่งจงตอบกลับอย่างหงุดหงิด “ถ้าหากเป็นเช่นนี้นางก็คือคนทรยศงั้นหรือ?”
“ถูกต้อง!” ตาเฒ่าเฟิงพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “นางเป็นคนบอกข้าเอง จากนั้นข้าจึงส่งศิษย์ระดับจินตันออกไปสังหารพวกเขา!”
“บัดซบ!” ซ่งจงไม่สามารถระงับความโกรธได้ ภายในหัวใจของเขามีแต่การสาปแช่ง “แต่ฮัวเฉียนหวู่นั้นมาจากสำนักเสวียนเทียนและเจ้ามาจากสำนักพันปีศาจ ระยะห่างของพวกเจ้าห่างกันอย่างมาก เหตุใดจึงรู้จักกัน?”
“ฮี่ฮี่ เรื่องมันยาว!” ตาเฒ่าเฟิงกล่าวพร้อมกับเล่นเคราตนเอง
“ข้ามีเวลา!” ซ่งจงกล่าวอย่างเย็นชา “ถ้าหากเจ้าไม่บอกรายละเอียดทั้งหมด เจ้าก็คงทำได้แค่ฝันว่าได้รู้ตำแหน่งของภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า! เมื่อเทียบกับสมบัติวิญญาณขั้นเก้าแล้วมันคงมีค่ามากกว่าคนที่กำลังจะตาย ถูกไหม?”
“ฮี่ฮี่ ในเมื่อว่าเจ้ารู้ว่าตัวเองกำลังจะตาย จึงขอให้ข้าใจกว้างและบอกทุกอย่างสินะ!” ตาเฒ่าเฟิงหัวเราะออกมา “ถ้าหากเจ้าอยากรู้ว่าข้ารู้จักกับฮัวเฉียนหวู่ได้อย่างไร เจ้าจะต้องรู้ต้นกำเนิดของนางเสียก่อน!”
“ต้นกำเนิด?” ซ่งจงตกใจชั่วขณะพร้อมถามกลับทันที “นางไม่ใช่น้องสาวของนักบวชฮัวอวิ๋นงั้นหรือ?”
“ผิดแล้ว นั่นมันเรื่องโกหกทั้งเพ!” ตาเฒ่าเฟิงยิ้มออกมา “ในความจริงแล้ว ฮัวเฉียนหวู่เป็นหลานสาวของนักบวชฮัวอวิ๋น นางควรจะเรียกฮัวอวิ๋นว่าลุง!”
“ลุง?” ซ่งจงตกอีกครั้ง “กล่าวก็คือฮัวเฉียนหวู่เป็นลูกสาวของน้องสาวเขา?”
“ไม่ใช่ นางเป็นลูกสาวของพี่สาวฮัวอวิ๋น!” ตาเฒ่าเฟิงยิ้ม
“ใครกันคือพี่สาวของนักบวชฮัวอวิ๋น?” ซ่งจงถาม
“ฮี่ฮี่ นี่เป็นความลับที่ไม่สามารถถือว่าเป็นความลับ ในยุคของข้ามีหลายคนที่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ทว่าในหมู่คนรุ่นใหม่มีไม่มากนักที่รู้!” ตาเฒ่าเฟิงหัวเราะออกมา “พี่สาวของนักบวชฮัวอวิ๋นนั้นเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงอย่างมาก ถ้าหากข้ากล่าวว่าเทพธิดาชิงหยุน ข้าเชื่อว่าไม่มีผู้ใดในภูเขาไม่รู้จักนางหรอก จริงไหม?”
“เทพธิดาชิงหยุน?” ซ่งจงคิดอยู่ชั่วขณะ จากนั้นเขาตะโกนออกมาอย่างรวดเร็ว “บัดซบ เทพธิดาชิงหยุนนั้นเทียบเท่ากับเทพธิดาเหมยฮวา หนึ่งในเทพธิดาทั้งสามของภูเขา นางไม่ใช่ผู้นำของหอเฉวียนจี้งั้นหรือ? นางเป็นอาจารย์ของหานปิงเอ๋อไม่ใช่หรือไร?”
“ฮี่ฮี่ ใช่แล้ว นางนั่นแหละ!” ตาเฒ่าเฟิงยิ้ม “ทำไม เจ้าแปลกใจงั้นหรือ?”
“ไม่แปลกเลยที่นักบวชฮัวอวิ๋นนั้นสนิทสนมกับหอเฉวียนจี้!” ในขณะที่ซ่งจงเริ่มรู้ตัวเขาพยายามคิดต่อ แต่อย่างไรก็ตามเขาถามออกไปอย่างสับสน “ข้าว่ามันไม่ถูกต้อง เนื่องจากเป็นพี่น้องกัน เหตุใดนางจึงต้องไปอยู่ที่หอเฉวียนจี้แทนที่จะอยู่ในสำนักเสวียนเทียน?”
“ฮี่ฮี่ นั่นคือสิ่งที่เจ้าไม่รู้!” ตาเฒ่าเฟิงอธิบายด้วยรอยยิ้ม “หอเฉวียนจี้นั้นเป็นสำนักย่อยของสำนักเฉวียนจี้ และสำนักใหญ่นั้นมีกฎอยู่ว่าผู้ฝึกตนของสำนักสามารถแต่งงานและมีลูกได้ แต่ผู้ชายจะต้องถูกส่งออกไปและผู้หญิงจะต้องเข้าร่วมกับหอเฉวียนจี้ นักบวชฮัวอวิ๋นนั้นอยู่สำนักเสวียนเทียน ดังนั้นเมื่อเกิดเรื่องจึงมีคนหนึ่งอยู่ที่สำนักเสวียนเทียน! และอีกคนหนึ่งไปอยู่ในหอเฉวียนจี้”
“สวรรค์ ช่างเป็นความสัมพันธ์ที่ยาวนาน!” ซ่งจงตะโกนออกมา จากนั้นเขาถามด้วยความงุนงง “แต่ข้าก็ยังไม่เข้าใจ ฮัวเฉียนหวู่เป็นสตรี นางควรจะอยู่ในหอเฉวียนจี้ แต่เหตุใดจึงได้อยู่ที่สำนักเสวียนเทียน?”
“ฮี่ฮี่ นั่นเป็นเพราะเทพธิดาชิงหยุนไม่ได้แต่งงานและฮัวเฉียนหวู่เป็นลูกนอกสมรส ดังนั้นนางจึงไม่สามารถอยู่ในหอเฉวียนจี้ได้ นางจึงต้องทำตัวเป็นลูกสาวของฮัวอวิ๋นและอาศัยอยู่ในสำนักเสวียนเทียน!” ตาเฒ่าเฟิงยิ้ม “เจ้าเข้าใจหรือยังว่าทำไมข้าจึงทำแบบนี้?”
“ข้าเข้าใจ!” ซ่งจงพยักหน้า “แต่เจ้ายังไม่ได้บอกว่ารู้จักกับฮัวเฉียนหวู่ได้อย่างไร!”
“ฮ่าฮ่า เรื่องนั้น!” ตาเฒ่าเฟิงหัวเราะ “แน่นอนว่าข้ารู้จักนางผ่านทางมารดาของนาง!”
“เทพธิดาชิงหยุน? ในฐานะผู้นำของหอเฉวียนจี้ นางรู้จักผู้ฝึกตนปีศาจเช่นเจ้างั้นหรือ?” ซ่งจงอดไม่ได้ที่จะงุนงง “พวกเจ้าสองคนนั้นมีความสัมพันธ์แบบไหนกัน?”
“ฮ่าฮ่า เจ้าคิดว่าอะไรล่ะ? หญิงสาวที่สิ้นหวังและผู้ชายที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการฝึกฝนแบบคู่ เจ้าคิดว่าเรามีความสัมพันธ์แบบไหนกัน?” ตาเฒ่าเฟิงกล่าวออกมาอย่างร่าเริง
ซ่งจงนั้นไม่ได้โง่เขลาและเข้าใจว่าอะไรเกิดขึ้น แต่เขาไม่อาจเชื่อได้ว่ามันคือเรื่องจริง “มันไม่ถูกต้องไม่ใช่หรือ? อย่าบอกนะว่าพวกเจ้าลืมว่าตนเองเป็นใคร?”
“โอ เราเป็นคู่กัน!” ตาเฒ่าเฟิงกล่าวออกมาอย่างภูมิใจ “แม้ว่าเทพธิดาชิงหยุนจะเป็นผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินที่แข็งแกร่ง แต่ทว่านางก็ยังอยู่ใต้เป้ากางเกงของข้าอยู่ดี!”
“เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้!” เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซ่งจงสติแตกทันที “เจ้ากำลังหลอกข้าใช่หรือไม่?”
“เจ้าเด็กโง่ ทำไมข้าจะต้องมานั่งโกหกคนที่กำลังจะตาย? มันคือเรื่องจริง!” ตาเฒ่าเฟิงยักไหล่อย่างไม่แยแส
“แล้วทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?” ซ่งจงถามอย่างช่วยไม่ได้
“อืม ข้าควรจะอธิบายอย่างไรดี?” ตาเฒ่าเฟิงทำท่าหมดหนทาง “ความจริงแล้วเทพธิดาชิงหยุนนั้นกล่าวได้ว่าเป็นหญิงสาวที่น่าสงสาร หลังจากที่นางมีลูกนอกสมรส นางก็ถูกทอดทิ้งโดยชายใจร้าย ในช่วงเวลาหลังจากนั้นนางได้รับบาดเจ็บ ประกอบกับความขัดแย้งภายในหอเฉวียนจี้ นางไม่มีทางเลือกจึงต้องเดินทางมาหาข้าและร่วมฝึกฝนแบบคู่! เพื่อที่จะสร้างความแข็งแกร่งเพื่อปกป้องตนเอง!”
“ว่าอะไร?” เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาตกใจ “เทพธิดาชิงหยุนเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับตนเองด้วยฝึกฝนแบบคู่กับเจ้า? เจ้าคิดว่าข้าโง่งั้นหรือ? ปีศาจอย่างพวกเจ้านั้นสามารถทำสิ่งดี ๆ ให้กับโลกนี้ได้ด้วยงั้นหรือ ถ้าหากนางไปพบเจ้า แน่นอนว่านางจะถูกดูดจนแห้งตาย เป็นไปได้อย่างไรที่ความแข็งแกร่งของนางจะเพิ่ม?”
“ฮ่าฮ่า เด็กน้อย เจ้าช่างไร้เดียงสา ความรู้ของเจ้านั้นมีจำกัด!” ตาเฒ่าเฟิงหัวเราะ “หอเฉวียนจี้นั้นมีแต่สตรี แต่แน่นอนว่าพวกเขาเป็นผู้ฝึกตนชอบธรรม เมื่อการฝึกฝนชอบธรรมและปีศาจมาพบกัน มันจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกลับ แน่นอนว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องที่ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินเท่านั้นที่จะเข้าใจ เจ้าจะไม่มีวันเข้าใจมันแม้ว่าข้าจะพยายามอธิบายสักเท่าไหร่ก็ตาม!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น