Chaotic Lightning Cultivation โกลาหลแห่งอัสนีบาต 214-220
บทที่ 214: เดินทางมาถึงเกาะภูเขาไฟ
ด้านบนของนาวายักษ์สีดำมีศาลาที่สวยงามและเจ้าอ้วนกับทีมกำลังพักผ่อน ทั้งหมดเพลิดเพลินกับชาและฉากตรงหน้าที่สวยงาม แต่แน่นอนว่านักบวชหินยังคงหลบมุมเงียบและอยู่ในสมาธิเช่นเดิม สิ่งนี้ทำให้เจ้าอ้วนรู้สึกว่าเขาฝึกฝนอย่างหนักเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
หลังจากบินมาสักครู่หนึ่ง ซูหยุ่นและซูหยู่กล่าวออกมาพร้อมกัน “พี่ชายนักบวช…”
หลังจากที่ซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขากล่าวออกมาอย่างขื่นขม “ข้านั้นอายุน้อยและอ่อนแอกว่า ได้โปรดเรียกข้าว่าศิษย์น้องเถิด อย่าเรียกข้าว่าพี่ชายนักบวช คำนี้มันทำให้ข้าดูแก่ไปมาก!”
“อา!” ซูหยู่และซูหยุ่นเมื่อได้ยินคำพูดของเขาเช่นนั้นได้แต่หัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ พวกนางได้แต่ยอมรับและกล่าวว่า “ถ้าหากเป็นเช่นนั้น เราจะไม่มีพิธีรีตองอีกต่อไป! ศิษย์น้องซ่ง!”
“ดี!” ซ่งจงกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “ข้าสงสัยว่าศิษย์พี่หญิงทั้งสองต้องการอะไรจากข้า?”
“อ๋อเรื่องนั้น!” ซูหยุ่นและซูหยู่รีบกล่าวออกมา “เมื่อเจ้าต้องบินผ่านส่วนที่ลึกที่สุดของทะเลตะวันออก จะดีที่สุดถ้ารักษาระดับความสูงให้ต่ำที่สุด สักร้อยฟุตเหนือจากทะเล จะต้องไม่สูงไปกว่านี้!”
“ว่าอะไร?” เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาถามออกมาด้วยความสับสน “ดีกว่างั้นหรือถ้าไม่บินสูง? ทิวทัศน์นั้นดีกว่ามากและเรายังคาดเดาสถานการณ์ได้ ถ้าหากบินต่ำ เราอาจจะชนกับภูเขาได้!”
ซ่งจงนั้นไม่ใช่ว่าไม่สนใจสิ่งที่ทั้งสองกล่าว แต่การที่เรือนี้สามารถบินด้วยความเร็วห้าร้อยลี้ภายในสิบนาที ถ้าหากมันอยู่ใกล้กับทะเลเกินไป ความเร็วของมันจะสร้างคลื่นทะเลขึ้นมา และถ้าหากมีเกาะปรากฏขึ้นอย่างกระทันหัน แน่นอนว่าคงไม่สามารถหลบได้ทัน
เมื่อซูหยุ่นและซู่หยู่ได้ยินเช่นนั้น นางรีบอธิบายออกมาทันที “เจ้าสามารถลดความเร็วลงได้ แต่อย่าบินสูงเกินไปเพราะบนท้องฟ้านั้นอันตรายอย่างยิ่ง ทั้งผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งและอสูรกายนั้นอยู่บนท้องฟ้า แน่นอนว่าไม่อาจพบเห็นพวกเขาได้โดยง่าย แต่ถ้าเราต้องพบเจอ แน่นอนว่ามันจะสร้างปัญหาให้กับพวกเรา!”
“สร้างปัญหา?” ซ่งจงกล่าวออกมาอย่างสับสน “อย่าบอกข้านะว่าคนพวกนั้นมีนิสัยชอบปล้นมือใหม่?”
“ไม่ใช่อย่างนั้น พวกเขาไม่ปล้นมือใหม่ ในความจริงแล้วการแบ่งรุ่นนั้นไม่ได้มีความหมายอะไรกับพวกเขาเลย มันเกี่ยวข้องกับสมบัติเท่านั้น แน่นอนว่าทุกคนพร้อมที่จะต่อสู้เพื่อเรือของเจ้า สมบัติเช่นนี้หาได้ยากยิ่งในสถานที่แห่งนี้ แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับจินตันยังไม่สามารถครอบครองได้ ถ้าหากสิ่งของเช่นนี้อยู่ในมือของผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิ เจ้าคิดว่าพวกเขาจะไม่เข้ามาเพื่อแย่งไปงั้นหรือ?” ทั้งสองอธิบาย
“อา เจ้าพูดถูก!” ซ่งจงเข้าใจสถานการณ์ทันที
ในขณะนั้นมู่ซื่อหรงที่ยืนอยู่ด้านข้างกล่าวออกมา “ข้าขอให้พวกมันเข้ามาและฉกฉวยมันเถิด! อย่าบอกนะว่าเราจะต้องเกรงกลัวต่อผู้ฝึกตนระดับจินตันเพียงคนเดียว?”
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้น พวกเขาตะลึงทันที แม้ว่าความสามารถของมู่ซื่อหรงจะแข็งแกร่งแต่ทว่าความมั่นใจของนางกลับมากกว่าหลายเท่า พวกเขาไม่เคยคาดหวังว่านางจะคิดว่าตนเองสามารถต่อสู้กับผู้ฝึกตนระดับจินตันได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือนางอยู่ในระดับปฐมภูมิขั้นต้นเท่านั้น นางไปเอาความเย่อหยิ่งเช่นนี้มาจากไหนกัน?
เมื่อเห็นว่าในสายตาของทุกคนเต็มไปด้วยความสงสัย ซ่งจงรู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ ถ้าหากพลังที่แท้จริงของมู่ซื่อหรงถูกเปิดเผย แน่นอนว่าความลับของภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าก็จะไม่ใช่ความลับอีกต่อไป
เขาทำได้เพียงจ้องมองมู่ซื่อหรงและบังคับให้นางหยุดพูดอะไรออกมาอีก จากนั้นเขาอธิบายด้วยรอยยิ้ม “อย่าใส่ใจกับเรื่องไร้สาระที่นางกล่าวเลย นางจะเอาชนะผู้ฝึกตนระดับจินตันได้อย่างไรกัน? เหตุผลเดียวที่นางกล้ากล่าวเช่นนี้คงเป็นเพราะการมีสำนักเสวียนเทียนคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ภายในทะเลตะวันออกนี้มีอยู่หลายคนที่ไม่กล้าต่อกรกับสำนักเสวียนเทียน ถูกต้องหรือไม่?”
เมื่อได้ยินเจ้าอ้วนอธิบายเช่นนั้น ทุกคนแสดงท่าทีโล่งอกออกมา จากนั้นเจ้าอ้วนได้แต่ถอนหายใจด้วยความผ่อนคลาย
แต่ซูหยุ่นและซูหยู่รีบกล่าวว่า “ศิษย์น้องซ่ง เจ้าคิดน้อยเกินไป ผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งในทะเลตะวันออกไม่ได้เกี่ยวข้องกับกลุ่มพันธมิตรทะเลตะวันออก นอกจากนี้ยังมีอสูรกายระดับสูงมากมาย พวกมันฉลาดและชอบท่องเที่ยวไปในทะเล อีกทั้งยังสามารถบุกเข้ามาที่ทะเลออกที่กลุ่มพันธมิตรเช่นเราอาศัยอยู่เพื่อสังหารคนเล่น ถ้าหากเราพบกับพวกนิสัยเสียเช่นนี้ พวกมันจะสังหารเจ้าโดยไม่นึกถึงสถานะที่เจ้ามี จะดีกว่าถ้าหากเราระวังตัว!”
“เจ้าพูดถูก!” ซ่งจงตอบรับและกล่าวว่า “ลดระดับลง!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาควบคุมให้เรือบินเหนือทะเลเล็กน้อย ในขณะนั้นเขาได้ลดความเร็วของมันลงด้วยเพื่อหลีกเลี่ยงการชนกับภูเขา
แม้ว่าจะลดความเร็วลงแล้ว พวกเขาไม่ได้พักผ่อนแต่อย่างใดในยามค่ำคืน ทุกคนยังคงอยู่ในสมาธิเตรียมพร้อมอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นอีกสองวันพวกเขาก็จะถึงที่หมาย
ในที่สุด เรือก็จอดลงบนเกาะสีดำที่มีปล่องภูเขาไฟที่ในตอนนี้ปล่อยเพียงแค่ควันออกมาเท่านั้น
เมื่อมองไปที่เกาะตรงหน้าของพวกเขา ทุกคนเปิดเผยความรู้สึกตื่นเต้นออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ในเวลานั้นพวกเขารู้สึกว่าประหยัดเวลาอย่างมาก การเดินทางครั้งนี้ปลอดภัยมากและไม่ต้องหยุดพัก ทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดหวังไว้และสามารถเริ่มต่อสู้ตอนไหนก็ได้ โดยปกติแล้วเมื่อมาถึงสถานที่ทั้งหมดจะต้องพักก่อนหนึ่งวันเพื่อเตรียมพร้อมที่จะต่อสู้ เรื่องนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกแตกต่างไปจากเดิมอย่างมาก
แม้ว่าทุกคนจะไม่ได้กล่าวอะไรออกมา แต่พวกเขาก็ซาบซึ้งที่เจ้าอ้วนนำเรือยักษ์ออกมาใช้มันเพื่อทีม แม้แต่นักบวชหินยังพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อขอบคุณเจ้าอ้วน สิ่งเหล่านี้ทำให้เจ้าอ้วนรู้สึกตื้นตันใจอย่างมาก
หลังจากนั้นแม่มดเปลือยกายได้ถามออกมา “พวกเราพร้อมจะลงมือกันเลยหรือไม่?”
“เจ้าสามารถตัดสินใจได้เลย!” เจ้าอ้วนตอบกลับ “เจ้าเป็นหัวหน้าทีม พวกเราจะฟังเจ้า!”
เพียงประโยคเดียวที่เจ้าอ้วนออกคำสั่งออกมา นั่นไม่ใช่เพราะเขาวางใจแม่มดเปลือยกาย แต่นี่เป็นครั้งแรกของเขาในภารกิจเช่นนี้และเขาไม่รู้อะไรเลย ถ้าหากเขาสั่งออกไปมั่วซั่ว เขาคงทำให้ทุกอย่างพังลง จากนั้นสิ่งที่เขาพยายามสร้างมาทั้งหมดจะพังลงโดยสมบูรณ์ ดังนั้นในตอนนี้เขาจึงเลิกออกคำสั่งและเข้าร่วมในฐานะลูกทีม ถ้าหากว่าแม่มดเปลือยกายสร้างผลงานที่ดี เขายังสามารถมีความสุขร่วมกับนางได้ แต่ถ้าหากนางทำพลาด เขาก็จะสามารถดูแลความยุ่งเหยิงได้ สิ่งนี้จะทำให้เขาได้รับความนิยมจากทีมเพิ่มขึ้นอีกด้วย การตัดสินใจเช่นนี้จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในตอนนี้
แม่มดเปลือยกายนั้นไม่ได้เอะใจอะไรในแผนการของซ่งจงแม้แต่น้อย นางคิดว่าเขาแค่ขี้เกียจและได้แต่ก่นด่าเขาภายในใจ จากนั้นนางยึดครองตำแหน่งผู้นำพร้อมกับออกคำสั่งทันที “หิน จงไปตรวจสอบสถานการณ์ภายในเกาะ!”
หินไม่ได้กล่าวอะไรนอกจากพยักหน้า จากนั้นเขาหยิบดาบออกมาและเดินหายไป เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนสอดแนมของทีมและคุ้นเคยกับการทำเช่นนี้
จากนั้นแม่มดเปลือยกายหันไปกล่าวกับซูหยู่และซูหยุ่น “พวกเจ้าไปในบริเวณที่สูงที่สุดของเกาะและเริ่มการก่อตัวได้!”
“อืม!” ทั้งสองพยักหน้ารับพร้อมกับปฏิบัติทันที ทั้งสองบินขึ้นไปบนท้องฟ้าและเริ่มสำรวจเกาะ
เมื่อเห็นเช่นนี้ ซ่งจงจึงถามออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้าไม่ได้กล่าวว่าเจ้าและตาเฒ่าพิษจะจัดการพวกมันงั้นหรือ? ทำไมยังต้องการให้ซูหยุ่นและซูหยู่เริ่มเคล็ดวิชาก่อตัว?”
“นั่นเป็นแผนสำรอง!” แม่มดเปลือยกายอธิบาย “ทะเลตะวันออกนั้นโกลาหลอย่างมาก อาจมีคนที่พยายามจะแทงข้างหลังเราในขณะที่เรากำลังต่อสู้ ดังนั้นเราต้องมีแผนเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันด้วย!”
“ฉลาดมาก! แผนของเจ้านั้นยอดเยี่ยม!” ซ่งจงอดไม่ได้ที่จะชื่นชม
“เหอะ ข้าเรียนรู้ทุกอย่างจากความผิดพลาด!” แม่มดเปลือยกายถอนหายใจยาวพร้อมกล่าวต่อ “หลังจากที่ข้าได้อาศัยอยู่ในทะเลตะวันออกมาหลายปี ข้าพบกับเรื่องไม่คาดฝันมากเกินไป ข้าจึงต้องระวังให้มากขึ้น!”
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวผู้นี้ถอนหายใจยาว เจ้าอ้วนได้แต่ถามออกมาอย่างสงสัย “อย่าบอกข้านะว่าสิ่งไม่คาดฝันชอบเกิดขึ้นในทะเลตะวันออก?”
“แล้วข้าไม่ควรใส่ใจมัน?” แม่มดเปลือยกายยักไหล่พร้อมกล่าวต่อ “หากเจ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องยากถ้าต้องหากพบกับสิ่งนั้น มันก็คงไม่ปรากฏขึ้นภายในสิบปี แต่ถ้าหากเจ้าคิดว่ามันง่ายมากถ้าต้องพบเจอกับปัญหา เจ้าอาจจะพบกับสิ่งเหล่านั้นภายในสองถึงสามปีก็ได้! สองปีที่ผ่านมาทีมของเราโชคไม่ค่อยดีนัก เราพบกับอุบัติเหตุมากมายจนสูญเสียสมาชิกไปสี่คน! โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการพยายามสังหารอสูรกายให้หมดเกาะครั้งล่าสุด ในเวลานั้นเราต่อสู้ด้วยทุกอย่างที่มีและทุกอย่างได้หมดสิ้นแล้ว แล้วเราจะปกป้องตนเองได้อย่างไร? ดังนั้นเราจึงไม่มีทางเลือกและต้องเสียสละทีมของเราเพื่อความอยู่รอด ทั้งหมดนี้เป็นเพราะซูหยู่และซูหยุ่นได้ทำการก่อตัวเรียบร้อยแล้วด้วย ถ้าไม่เช่นนั้นพวกเราคงตายตกไปทั้งหมด!”
แม้ว่าแม่มดเปลือยกายจะกล่าวทุกอย่างออกมาอย่างเรียบง่าย ซ่งจงยังสามารถจินตนาการได้ว่าการต่อสู้ในครั้งนั้นขมขื่นเพียงใด เขาเพียงนึกภาพทีมที่เหนื่อยล้าและไม่ได้รับการช่วยเหลือใด อีกทั้งยังถูกโจมตีโดยเหล่าอสูรกาย สถานการณ์มันช่างน่าเวทนานัก แน่นอนว่ามันคงไม่ง่ายนักที่พวกเขาทั้งหมดจะอยู่รอดในสถานการณ์เช่นนั้น
แน่นอน ซ่งจงเชื่อว่าบุคคลทั้งสองที่ต้องเสียสละนั้นก็ไม่ได้เต็มใจ เขาอาจจะถูกบังคับโดยแม่มดเปลือยกายด้วยวิธีใดสักวิธี
แต่เรื่องเหล่านี้ไม่สามารถทำให้ซ่งจงใส่ใจได้ เขาจึงปล่อยมันไป
ในขณะนั้น หินกลับมาและเริ่มอธิบายด้วยน้ำเสียงเย็นชา เขากล่าวกับแม่มดเปลือยกายด้วยท่าทีเฉยเมย “เก้าสิบแปดใหญ่ เจ็ดสิบสอง ยี่สิบหกกลาง ภูเขาไฟ!” หลังจากเขากล่าวจบเขาก็ไม่ได้กล่าวอะไรต่อ
ทุกคนเข้าใจสิ่งที่เขากล่าวยกเว้นเจ้าอ้วนและมู่ซื่อหรงผู้ที่อยู่ในความงุนงงอย่างสมบูรณ์ เมื่อเห็นเช่นนั้น แม่มดเปลือยกายอธิบายทันที “หินบอกว่าภูเขาไฟแห่งนี้มีอสูรกายเก้าสิบแปดตน มีเจ็ดสิบสองตนที่โตเต็มวัยและอีกยี่สิบหกตนที่ยังเด็ก! พวกมันอาศัยอยู่ที่ใจกลางของภูเขาไฟ!”
เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขากล่าวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “เขาช่างประหยัดถ้อยคำเหลือเกิน!”
“ช่วยไม่ได้ เขาเป็นเช่นนี้เสมอ และเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้!” แม่มดเปลือยกายกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
ในขณะนั้น ซูหยุ่นและซูหยู่ร่อนลงบนพื้นพร้อมกับรายงาน “ทางด้านตะวันออกของเกาะมีปราณจิตวิญญาณแห่งโลหิตไหลผ่าน เราจะก่อตัวตรงนั้น!”
“ถ้าเช่นนั้น มุ่งหน้าไปตรงนั้นเพื่อรวมตัว! จงระวังในทุกการเคลื่อนไหว อย่าให้ถูกเหล่าอสูรกายที่ลาดตะเวนจับตัวได้!” แม่มดเปลือยกายกล่าวกับเจ้าอ้วน “ได้โปรดเก็บเรือบินของเจ้าด้วย!”
“ตกลง!” ซ่งจงตอบกลับพร้อมกับเก็บเรือบิน จากนั้นทั้งหมดเริ่มลักลอบเข้าเกาะทันที
บทที่ 215: สังหารอสูรกาย
ในทิศตะวันออกของเกาะภูเขาไฟนั้นเป็นที่ราบ พืชสีเขียวชอุ่มเกิดขึ้นอย่างหนาแน่นราวกับว่าไม่เคยมีใครผ่านมาทางนี้ นอกเหนือจากมู่ซื่อหรงและซ่งจงนั้น ทุกคนเคยผ่านการต่อสู้มาก่อนและรู้ตำแหน่งของตนเองเป็นอย่างดี
ซูหยู่และซูหยุ่นสร้างแผ่นการก่อตัวเป็นจำนวนมาก ทั้งสองรีบคำนวนปริมานการใช้หินจิตวิญญาณระดับกลางและทำทุกอย่างให้รอบคอบที่สุด
ส่วนคนที่เหลือถูกส่งไปประจำอยู่ในตำแหน่งที่แตกต่างกันไป เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติในบริเวณที่พวกเขายืนอยู่ ในเวลานั้นทั้งหมดจะแน่ใจและเริ่มแผนการซุ่มโจมตี
มีเพียงซ่งจงและมู่ซื่อหรงเท่านั้นที่ไม่รู้ตัวว่าจะต้องทำอย่างไร ความแข็งแกร่งของทั้งสองคนทำให้ไม่มีใครกล้าออกคำสั่งกับเขา เมื่อเห็นเช่นนั้นซ่งจงไม่ได้โกรธเคืองแต่อย่างใด เขายิ้มและดึงมู่ซื่อหรงออกมาเพื่อไม่ให้ไปรบกวนผู้อื่น จากนั้นเขานั่งลงพร้อมกับดื่มไวน์และกินของว่างอย่างสบายใจ
เมื่อซูหยุ่นและซูหยู่เห็นเช่นนั้น ทั้งสองขมวดคิ้วในทันทีพร้อมกล่าวกับซ่งจงอย่างสุภาพ “ศิษย์น้องซ่ง เจ้ายังไม่กินตอนนี้ได้หรือไม่?”
“ทำไม?” เจ้าอ้วนถามกลับ
“เพราะว่าเหล่าอสูรกายนั้นมีสัมผัสในการดมกลิ่นที่เหลือเชื่อ โดยเฉพาะกลิ่นไวน์และเนื้อย่างอย่างยิ่ง มันสามารถดมกลิ่นได้ในระยะไม่กี่ลี้ ในขณะที่พวกเรายังไม่พร้อม เราจะถูกลากเข้าสู่การต่อสู้ที่ขมขื่นถ้าหากว่าเจ้าลากมันมาที่นี่!” หญิงสาวทั้งสองอธิบายอย่างรวดเร็ว
“อา ข้าเข้าใจแล้ว!” เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขารู้ทันทีว่าตนเองทำผิดพร้อมกับรีบเก็บอาหารทั้งหมดทันที หลังจากนั้นเขากล่าวอย่างสุภาพว่า “เป็นความผิดของข้าเอง! ข้าจะไม่ทำมันอีก!”
“ยอดเยี่ยม!” เมื่อเห็นว่าซ่งจงขอโทษแล้ว หญิงสาวทั้งสองตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “คงไม่แปลกถ้าจะทำผิดในภารกิจแรก ศิษย์น้องซ่งทำอะไรก็ทำเถิด พวกข้าจะทำงานต่อ!” หลังจากที่นางกล่าวเช่นนั้นกับซ่งจง พวกนางหันหลังกลับไปวุ่นวายกับภารกิจของตนเองต่อ
“ข้าจะไม่รบกวนเจ้า!” ซ่งจงกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “จริงสิ ข้าจะปกป้องเจ้าทั้งสองเอง!” จากนั้นเขาเดินไปนั่งใกล้ๆอย่างเงียบๆ
เห็นได้ชัดเจนว่าหญิงสาวทั้งสองทำสิ่งนี้จนคุ้นเคยกับมันเสียแล้ว ภายในเวลาเพียงสองชั่วโมงพวกนางก่อตั้งได้มากกว่าหนึ่งหมื่นฟุต อีกทั้งยังสามารถเปิดใช้งานทั้งหมดได้ในครั้งเดียวและความแข็งแกร่งของมันเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับจินตันขั้นสุดท้าย
หลังจากที่มันถูกเปิดใช้งาน ปรากฏหมอกสีขาวขึ้นทันทีพร้อมกับเสียงเบาๆ เมื่อเห็นเช่นนั้นแม่มดเปลือยกายและทุกคนรู้ได้ทันทีว่าสถานการณ์ได้ถูกเตรียมพร้อมแล้ว ดังนั้นนางและตาเฒ่าพิษเริ่มเข้าหาเหล่าอสูรอย่างลับๆทันที
ในขณะนั้น ซูหยู่และซูหยุนเริ่มผ่อนคลายและเข้าสู่สมาธิเพื่อพักผ่อนทันที
ซ่งจงนั่งอยู่เฉยๆโดยไม่ได้ทำอะไรเลย แม้ว่าดูเหมือนเขาจะไม่ได้ทำอะไรแต่เขาได้ส่งแม่มดเทวะเพื่อติดตามตาเฒ่าเฟิงและแม่มดเปลือยกายไปเพื่อสังเกตการณ์
ทั้งคู่เปิดใช้งานการปกปิดร่างกายและแทรกซึมเข้าไปที่ใจกลางเกาะอย่างเงียบเชียบ แม่มดเปลือยกายบินขึ้นไปบนท้องฟ้าและตาเฒ่าพิษวิ่งลงด้านล่างเพื่อไปอยู่ในทิศทางของลม
เขาเลือกสถานที่ของต้นลมอย่างรอบคอบ ในที่สุดเขาก็พบสถานที่ที่เหมาะสมแก่การซุ่มโจมตี มันเป็นที่ราบสูงและอยู่ในทิศทางของลม ใกล้กันมีทะเลสาปที่เต็มไปด้วยเหล่าอสูรกายประมานสิบกว่าตน ทั้งหมดนั้นดูเหมือนจรเข้แต่รูปร่างของมันดูแข็งแกร่งและมีปากที่สั้นกว่า
อสูรเหล่านี้ชอบอยู่ในลาวาของภูเขาไฟ เมื่อมันหิว มันจะบินออกไปยังทะเลเพื่อตามหาปลา แม้ร่างกายของพวกมันจะเป็นธาตุไฟ แต่พวกมันเหล่านี้มีทักษะในการล่าปลาในทะเลอย่างยอดเยี่ยม อีกทั้งความแข็งแกร่งในธาตุไฟของพวกมันยังถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้ามได้ ช่วงเวลาที่พวกมันเข้าสู่การต่อสู้ พวกมันนับสิบจะรวมตัวกันเพื่อปลดปล่อยพลัง เปลวไฟนั้นมีความสามารถในการหลอมให้โลหะละลายได้ในพริบตา แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับจินตันยังไม่อาจอยู่รอดได้ถ้าหากต้องพบเจอกับเหล่าอสูรกายธาตุไฟเหล่านี้
อย่างไรก็ตาม ศัตรูของพวกมันในตอนนี้คือเหล่ามนุษย์ที่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมและไม่คิดที่จะต่อสู้โดยตรง หลังจากที่ตาเฒ่าพิษค้นหาสถานที่ที่เหมาะสมได้แล้ว เขาหยิบถุงยาออกมาด้วยความระมัดระวังพร้อมกับปล่อยมันไปตามสายลมอย่างเงียบเชียบ
เนื่องจากเกาะภูเขาไฟนั้นมีความสูงพอประมาน ลมนั้นมีความรุนแรงพอที่จะนำผงพิษทั้งหมดลอยล่องไปในอากาศ พิษทั้งหมดถูกกระจายออกไปอย่างรวดเร็ว
ในเวลานั้นแม่มดเปลือยกายเริ่มดำเนินการในส่วนของตนเองทันที นางลอยตัวอยู่เหนือทะเลสาปลาวาพร้อมกับกระตุ้นตนเองและส่งเสียงครางเบาๆออกมา จากนั้นปรากฏหมอกสีชมพูจางๆขึ้นรอบร่างกายของนาง ภายใต้แสงแดดเช่นนี้แน่นอนว่าไม่สามารถมองเห็นได้ถ้าหากไม่จ้องมองอย่างจริงจัง และหมอกเหล่านี้ไม่ใช่หมอกธรรมดามันคือการควบแน่นของเคล็ดวิชาการเผาไหม้ที่นางฝึกฝนและลมที่รุนแรงนั้นไม่ได้สร้างผลกระทบต่อมันแต่อย่างใด ทั้งหมดค่อยๆแทรกซึมลงไปภายในทะเลสาปลาวาอย่างช้าๆ
ภายใต้ความแข็งแกร่งของตาเฒ่าพิษและเทคนิคพิเศษของแม่มดเปลือยกาย ในไม่ช้าเหล่าอสูรกายในทะเลสาปก็เกิดปฏิกริยาทันที ดวงตาของพวกมันทั้งหมดเปลี่ยนเป็นสีแดงและเริ่มหายใจติดขัด พิษนั้นกระตุ้นความต้องการของพวกมันทำให้เกิดความสับสนภายในจิตใจ ทั้งหมดเริ่มร้อนรนและโจมตีกันเองเพื่อระบายพลังเหล่านี้ออกไป
ในขณะนั้นพวกมันไม่รู้เลยว่าที่กำลังโจมตีอยู่นั้นคือสหายของพวกมันเอง พวกมันทั้งหมดกำลังห่ำหั่นกันเองอย่างคึกคะนอง เกิดเสียงคำรามดังขึ้น พวกมันฆ่าฟันกันเองด้วยกรงเล็บและฟันที่แหลมคม เพียงไม่นานทั้งหมดอยู่ในสภาพที่บาดเจ็บสาหัส ในทะเลสาปลาวาตอนนี้เต็มไปด้วยกลิ่นเลือดคละคลุ้ง
แม้ว่าผิวหนังของพวกมันจะหนาและสามารถอดทนต่ออุณหภูมิของลาวาได้ แต่เครื่องในของพวกมันนั้นไม่อาจทนได้ ในขณะที่ผิวหนังของมันฉีกขาด ลาวาได้แทรกซึมผ่านบาดแผลสร้างความเจ็บปวดซึ่งไม่อาจอดกลั้นได้
อย่างไรก็ตามไม่เพียงแต่ความเจ็บปวดจะถาโถมพวกมัน ความบ้าคลั่งที่มีกลับทวีคูณความรุนแรงมากยิ่งขึ้น พวกมันไม่อาจโจมตีกันทางกายภาพได้อีกต่อไป จึงเริ่มใช้เปลวไฟต้นกำเนิดของตนเองเพื่อโจมตีพวกพ้องทันที
สำหรับอสูรกายขั้นสี่ เป็นอสูรกายอาศัยอยู่ในเกาะภูเขาไฟแน่นอนว่าพวกมันอยู่ในธาตุไฟ พวกมันสามารถใช้ไฟต้นกำเนิดของตนเองได้อย่างน่าเกรงขาม แม้ว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่จะเป็นเรื่องที่อันตรายต่อตนเอง แต่มันกลับเป็นสิ่งที่สามารถใช้ตัดสินการต่อสู้ว่าจะอยู่หรือจะตายได้ ความรุนแรงของเปลวไฟต้นกำเนิดนั้นไม่มีอสูรตนไหนในเกาะภูเขาไฟสามารถรับมือได้เลย
การต่อสู้ของพวกมันดำเนินการมาถึงขั้นสุดท้ายแล้วเมื่อทั้งหมดเปิดการใช้งานเปลวไฟต้นกำเนิด พวกมันตายตกไปทีละตัว แม้แต่เหล่าอสูรกายที่ยังเด็กก็ไม่ได้รับการยกเว้น พวกมันตายอย่างทรมาน หลังจากการโจมตีด้วยเปลวไฟต้นกำเนิดสิ้นสุดลง เหล่าอสูรกายมากกว่าครึ่งที่ตายตกไปเพราะไม่อาจทนต่อความเจ็บปวดได้ไหว แต่อย่างไรก็ตามการต่อสู้ไม่ได้หยุดลง กลับกลายเป็นว่าพวกมันขึ้นจากทะเลสาปลาวาเพื่อมาต่อสู้กันต่อ เหล่าอสูรทั้งหลายกลิ้งอยู่บนพื้นดินบนภูเขา ทั่วทุกบริเวณเต็มไปด้วยคราบเลือดและเป็นภาพที่ช่างน่าสมเพช
แม้ว่าจะเป็นการทำภารกิจครั้งแรกของเขา แต่ซ่งจงรู้ได้ทันทีว่าในครั้งนี้เหล่าอสูรกายภูเขาไฟจะพ่ายแพ้ มีเพียงความตายเท่านั้นที่รอพวกมันอยู่ข้างหน้า แต่เดิมทีเขาคิดว่าแม่มดเปลือยกายและตาเฒ่าพิษจะกลับมารายงานสถานการณ์ให้กับทีมทราบ แต่เขาไม่ได้คาดคิดว่าทั้งคู่จะไม่กลับมา
ตาเฒ่าพิษพุ่งเข้าใส่อสูรกายที่ถูกส่งขึ้นมาจากทะเลสาป เขาสังหารมันอย่างทารุน จากนั้นเขาเริ่มผ่าท้องมันเพื่อเอาสิ่งที่อยู่ภายใน
สำหรับแม่มดเปลือยกาย นางยิ่งกล้าหาญมากขึ้น นางไม่สนใจเหล่าอสูรกายที่อยู่ด้านนอกอีกต่อไป นางเดินไปที่ริมทะเลสาปด้วยการช่วยเหลือของคาถาปกปิดที่นางใช้งานอยู่ นางเริ่มค้นหาสมบัติที่อยู่ภายในร่างกายของมันอย่างจริงจัง
สถานที่ที่เหล่าอสูรกายอาศัยอยู่นั้นเต็มไปด้วยปราณจิตวิญญาณที่หนาแน่น ยิ่งปราณจิตวิญญาณหนาแน่นมากเท่าไหร่ หมายความว่าโอกาสที่จะค้นพบสมบัติยิ่งมากขึ้นเท่านั้น อย่างเหล่าสถานที่แห่งนี้เป็นของเหล่าอสูรธาตุไฟ แน่นอนว่ามันเต็มไปด้วยเหล่าสมุนไพรที่มีอายุยาวนานนับพันปี
เหล่าอสูรกายเหล่านี้พอจะมีความฉลาดอยู่เล็กน้อยและมันรู้ว่าสมุนไพรเหล่านี้จำเป็นต่อพวกวมัน ถ้าหากว่าพวกมันได้รับบาดเจ็บสาหัสสามารถใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อรักษาได้ ดังนั้นพวกมันจึงไม่ทำลายเหล่าสมุนไพรเหล่านี้โดยธรรมชาติ อีกทั้งยังปกป้องสมุนไพรเหล่านี้จากอสูรกายตนอื่นด้วย สมุนไพรจำนวนมากอยู่ที่ริมทะเลสาปและมีอายุยาวนานยิ่งนัก
ทั้งหมดนี้เป็นสมบัติล้ำค่าอย่างนี้ ถ้าหากพวกเขานำมันกลับมาทั้งหมดจะสามารถใช้แลกเปลี่ยนกับอุปกรณ์วิเศษระดับต่ำได้อย่างง่ายดาย แน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นของทีมและควรจะแจกจ่ายให้กับทุกคน แต่เห็นได้ชัดเจนว่าแม่มดเปลือยกายไม่ได้ต้องการที่จะทำเช่นนั้น นางแอบเก็บพวกมันโดยไม่ให้ทีมทราบ นางเก็บสิ่งดีๆไว้ทั้งหมดเพียงคนเดียว และเริ่มลบรอยเท้าของตนเองเพื่อปกปิดหลักฐาน จากนั้นนางหันไปเก็บแกนของอสูรภูเขาไฟอย่างรวดเร็ว
ถ้าหากซ่งจงไม่ส่งแม่มดเทวะตามนางไป แน่นอนว่าภารกิจครั้งนี้เขาจะต้องขาดทุน เขาสามารถนับได้ว่าแกนของอสูรนั้นมีเท่าไหร่และสามารถแจกจ่ายให้กับทีมได้ แต่ในส่วนของสมุนไพรนั้น แม่มดเปลือยกายนั้นไม่ยอมรับอย่างแน่นอน นางจัดการกับหลักฐานทุกสิ่งหมดสิ้นจนไม่เหลือร่องรอยอะไรไว้เลย
ซ่งจงสามารถยินยอมได้ทุกอย่างในชีวิตยกเว้นการสูญเสีย เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เป็นเช่นนี้ เขาจะสามารถนั่งอยู่เฉยได้อย่างไร? แต่เขาก็ไม่สามารถกล่าวออกไปได้ว่าเขานั้นสะกดรอยตามทั้งสองไป ดังนั้นเขาจึงแสร้งทำเป็นกังวลและกล่าวออกมาว่า “ทำไมพวกนั้นยังไม่กลับมาอีก? เป็นไปได้หรือไม่ว่าทั้งสองจะพบกับปัญหา? เราควรจะออกไปดู!” หลังจากเขากล่าวเช่นนั้น เขายืนขึ้นทันที
เมื่อเห็นเช่นนั้น ซูหยู่และซูหยุ่นรีบดึงเขาไว้พร้อมกล่าวว่า “ไม่ได้นะศิษย์น้องซ่ง! หัวหน้าไม่ชอบให้เราทำผิดจากแผน ถ้าหากเราออกไป นางจะตำหนิเจ้าแม้ว่าจะเข้าไปช่วยนางก็ตาม!”
“แล้วเจ้าคิดว่าอีตัวคนนี้มันจะกล้าตำหนิข้าไหม?”
“เอ่อ…” เพียงเท่านั้นหญิงสาวทั้งสองจดจำเรื่องของแม่มดเปลือยกายกับเจ้าอ้วนได้ทันที แต่อย่างไรก็ตามพวกนางก็ยังเกลี้ยกล่อมต่อไป “ข้ารู้ดีว่าเจ้าไม่เกรงกลัวนาง แต่เจ้าไม่ควรจะทำอะไรเช่นนั้นเพียงแค่ต้องการของรางวัลจากภารกิจ ความจริงแล้วทำไมไม่รออยู่ที่นี่อย่างปลอดภัยและเตรียมตัวเพื่อพบกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันล่ะ?”
เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาโกรธจัดพร้อมกับสาปแช่งอยู่ภายในหัวใจ ‘รองั้นหรือ? มันคงสายเกินไปถ้าหากรอคอยอยู่เช่นนี้!’
แต่หญิงสาวทั้งสองกล่าวว่ามันไม่ดีและซ่งจงไม่อาจตำหนิพวกนางได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงยิ้มและตอบกลับ “ศิษย์พี่ผิดแล้ว ตอนนี้เราเป็นทีมเดียวกัน เราควรรับผิดชอบหน้าที่ทุกอย่างร่วมกัน เราทั้งหมดนั้นอยู่บนเรือลำเดียวกัน จึงไม่สามารถปล่อยให้เรื่องส่วนตัวมาเป็นอุปสรรคในการทำงานได้ และนั่นจะสร้างปัญหาให้กับพวกเรา ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องการที่จะออกไปดูเพื่อให้แน่ใจว่าทั้งสองคนนั้นไม่ได้พบกับปัญหาใดๆ!”
เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น ซ่งจงไม่ให้พวกนางกล่าวอะไรอีกพร้อมกับเดินออกไปกับมู่ซื่อหรง
ซูหยู่และซูหยุ่นตกตะลึงทันทีเมื่อได้ยินที่ซ่งจงกล่าวเช่นนั้น ในความจริงแล้วพวกนางรู้สึกละอายใจที่กล่าวออกมาเช่นนั้น จึงกล่าวออกมาว่า “ศิษย์น้องซ่งกล่าวถูก พวกเราควรตามเขาไป!”
เมื่อนางกล่าวเช่นนั้น นางไม่ลืมที่จะหันไปหานักบวชหิน “พี่ชายหินเจ้าจะไปด้วยกันหรือไม่?”
หินยังคงเย็นชาและเงียบขรึม เขายืนขึ้นและเดินตามทั้งสองไปและแสดงคำตอบผ่านการกระทำ หญิงสาวทั้งสองยิ้มออกมาพร้อมกับเดินตามมู่ซื่อหรงและซ่งจงไป
ทั้งหมดเดินทางมาถึงริมทะเลสาปอย่างรวดเร็ว ในขณะนั้นแม่มดเปลือยกายเพิ่งจะเก็บสมุนไพรทั้งหมดเสร็จและกำลังผ่าท้องอสูรกายอยู่ มีซากศพมากมายอยู่ที่ริมทะเลสาปและสมบัติที่ยังไม่ถูกค้นพบ
เมื่อเห็นซ่งจง มู่ซื่อหรง ซูหยู่ ซูหยุ่นและหินเข้ามาในพื้นที่ ตาเฒ่าพิษและแม่มดเปลือยกายตกใจทันที จากนั้นแม่มดเปลือยกายพูดออกมาอย่างเขร่งขรึม “ทำไมพวกเจ้ามาที่นี่? ข้าไม่ได้บอกให้รอข้าอยู่ตรงนั้นหรือ?”
แม่มดเปลือยกายนั้นแข็งแกร่งกว่าที่หญิงสาวทั้งสองจะกล้าตอบโต้ได้ แต่ซ่งจงไม่ได้เกรงกลัวนางและกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก “รอให้เจ้าเก็บรายการที่ดีให้หมดก่อนแล้วพวกเราค่อยได้รับในส่วนที่เหลืองั้นหรือ?”
เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น ดวงตาของซ่งจงแดงฉาน แม่มดเปลือยกายนั้นลืมไปว่าทีมไม่ได้เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ในตอนนี้นางไม่ได้เป็นหัวหน้าทีมเพียงคนเดียว
แม้ว่านางจะโกรธ แต่นางก็ตอบกลับด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้มต่อซ่งจงและมู่ซื่อหรง “ข้าไม่กล้าทำเช่นนั้น ไม่กล้าจริงๆ ข้าแค่เป็นห่วงพวกเจ้าเท่านั้น!”
บทที่ 216: แยบยล
“ห่วงว่าพวกเราจะเจอศพเหล่านี้? ข้ารู้สึกขอบคุณเจ้าจากใจอย่างแท้จริง!” ซ่งจงประชด
“ไม่ใช่ ไม่ใช่เลย ข้ากลัวว่าเจ้าจะได้รับบาดเจ็บจากเหล่าอสูรกายที่เหลืออยู่!” แม่มดเปลือยกายรีบปกป้องตนเองอย่างรวดเร็ว
“ยอดเยี่ยม! ถ้าหากเป็นเช่นนั้น จงไปลาดตระเวณซะ เจ้าสามารถออกจากสถานที่แห่งนี้ได้แล้ว!” ซ่งจงกล่าวเช่นนั้นพร้อมกับโบกมือราวกับว่าเขาตบอากาศอย่างรุนแรง
เมื่อแม่มดเปลือยกายได้ยินเช่นนั้น นางเปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็ว สำหรับสิ่งที่ซ่งจงทำนั่นคือให้นางสละสิทธิ์จากสมบัติจากสงครามดี ๆ นั่นเอง หลังจากที่พยายามกำจัดเหล่าอสูรกายเหล่านี้ด้วยความยากลำบาก ทำไมนางจะต้องละทิ้งมันไปด้วย? ซ่งจงและคนอื่นแทบจะไม่ได้ใช้ความพยายามอะไรเลย แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาทั้งหมดกลับต้องการสมบัติเหล่านี้ จะไม่ให้นางโกรธแค้นได้อย่างไร?
ดังนั้นแม่มดเปลือยกายอดไม่ได้ที่จะเถียง “นี่เจ้าไม่คิดว่ามันมากเกินไปหน่อยงั้นหรือ? ไม่ว่ายังไงก็ตามพวกมันทั้งหมดถูกสังหารโดยข้า แต่เจ้ากำลังทำสิ่งที่ถูกต้องที่เรียกว่าการเรียกร้องสิทธิ์ของตนเองน่ะหรือ?”
“เหอะ! เจ้าเป็นเพียงโจรเท่านั้น!” ซ่งจงกล่าวออกมาอย่างรังเกียจ “แล้วเจ้ายังมีหน้ามากล่าวโทษพวกข้าในการต่อสู้ครั้งนี้อีกงั้นหรือ? ถ้าหากพวกข้าไม่เดินทางมา มันจะทำให้เจ้าได้รับสมบัติทั้งหมดงั้นหรือ?”
“เรื่องนั้น” แม่มดเปลือยกายตอบสนองอย่างรวดเร็วพร้อมกับปกป้องตนเอง “เจ้าพูดเรื่องอะไรกัน? เพียงแกนกลางของเหล่าอสูรกาย ข้าเพียงถือมันไว้ชั่วคราวเท่านั้นและจะนำมันไปแบ่งให้กับทีมอย่างไม่ต้องสงสัย!”
“เหอะ!” เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาโต้กลับทันที “แกนกลางอสูรนั้นสามารถนับได้ แล้วสมุนไพรล่ะ?” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาจ้องมองที่แม่มดเปลือยกายพร้อมชี้ไปที่พื้นดิน
เมื่อทุกคนเห็นซ่งจงทำเช่นนี้ ต่างตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่ามีบางอย่างผิดปกติ แม้ว่าตรงนี้จะไม่มีน้ำอมฤตก็ตามแต่พื้นดินนั้นมีความชุ่มชื้นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่ามีบางอย่างเพิ่งถูกถอนรากถอนโคนไป ทันใดทุกคนก็ทราบว่าแม่มดเปลือยกายนั้นกอบโกยผลประโยชน์ในครั้งนี้อย่างใหญ่หลวง
เมื่อเห็นว่าซ่งจงนั้นรู้แผนการของตนเอง นางรีบปกป้องตนเองทันทีเพราะกลัวว่าเขาจะฉกฉวยสมุนไพรไป “วันนี้อากาศดีมาก พวกเจ้าเพียงแค่พักผ่อนไปก่อน ข้าจะไปลาดตระเวนแถวนี้เพื่อดูว่าเหล่าอสูรกายยังคงเหลืออยู่หรือไม่!” เมื่อนางกล่าวจบ นางไม่รอคำตอบจากใครพร้อมกับบินออกไปทันที ความร้อนรนของนางนั้นราวกับหัวขโมยที่เต็มไปด้วยความผิด
เมื่อเห็นเช่นนี้ ทุกคนโกรธแค้นอย่างมากที่ไม่สามารถทำอะไรได้ การเดินทางมาในครั้งนี้ ซ่งจงเพียงต้องการปลุกระดมความเกลียดชังในตัวของทุกคนที่มีต่อแม่มดเปลือยกายเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่เปิดเผยเรื่องราวแต่ไม่มีสิทธิ์ที่จะตัดสินอะไร อย่างไรก็ตามมันไม่ได้สำคัญมากมายนักสำหรับเขา หากสิ่งที่เขากำลังจะได้รับมันคุ้มค่ามากพอ ก็ถือว่าเขายังไม่ขาดทุน
เมื่อเห็นว่าแม่มดเปลือยกายจากไปแล้ว ทุกคนเข้าทำความสะอาดพื้นที่ทันที ซูหยู่และซูหยุ่นดูแลเหล่าสมุนไพรและวัสดุที่มีค่า ส่วนหิน ตาเฒ่าพิษและมู่ซื่อหรงเก็บกวาดเหล่าอสูรกายที่กองอยู่บนพื้น
ปกติแล้วร่างกายของเหล่าอสูรกายจะได้รับการดูแลอย่างยอดเยี่ยม รวมถึงผิวหนังของมัน ไขกระดูก เส้นเอ็น และแกนกลางภายในของมัน สิ่งของเหล่านี้สามารถนำไปขายได้ราคาที่ดีเยี่ยม แน่นอนว่าสิ่งที่มีค่าที่สุดคือแกนกลางภายใน โดยเฉพาะแกนกลางของเหล่าอสูรกายธาตุไฟในที่แห่งนี้ ความพิเศษก็คือมันมีแกนกลางสองถึงสามอันในร่างกายซึ่งมากกว่าอสูรกายทั่วไปถึงสองเท่า
การจัดการซากศพของเหล่าอสูรกายนั้นมีมูลค่าสูงมาก แต่มันก็ลำบากมากเช่นกัน หินและตาเฒ่าพิษจัดการกับพวกมันอย่างคุ้นเคย ทั้งหมดใช้เวลาร่วมชั่วโมงกว่าจะจัดการทั้งหมดได้
อย่างเช่นซ่งจงแนะนำให้ดึงแค่แกนกลางของมันเท่านั้น แกนด้านในของมัน ทั้งสมุนไพรและวัสดุมีค่าจะถูกแบ่งให้ทีมอย่างเท่าเทียม และเขาไม่ต้องการอะไรนอกจากซากศพของเหล่าอสูรกายทั้งหมดเท่านั้น
หลังจากที่ฟังซ่งจงแนะนำ ทุกคนได้แต่ตกใจอย่างช่วยไม่ได้ มันไม่ใช่ความโลภของเขาแต่มันกลับตรงกันข้าม ซ่งจงใจกว้างเกินไป ก่อนอื่นที่ต้องรู้คือถ้าหากสมบัติจากสงครามนั้นถูกแบ่งแยกตามสัดส่วน ซ่งจงจะได้รับแต่ของคุณภาพต่ำเท่านั้น เหล่าของคุณภาพสูงนั้นไม่มีทางกระเด็นมาหาเขาอย่างแน่นอน ถ้าหากพวกเขาประเมินค่าของสิ่งของเหล่านี้ พวกเขาจะต้องรู้สึกสูญเสียครั้งใหญ่ เพราะวัสดุคุณภาพสูงนั้นมากมายเหลือเกินบนเกาะแห่งนี้ ซึ่งไม่ด้อยไปกว่าอสูรกายเลย
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ต้องการมัน แล้วทำไมเขาจึงต้องการเช่นนี้? ทุกคนงุนงงอย่างมาก หญิงสาวพี่น้องยังเอ่ยปากถามเขาด้วยซ้ำ แต่ซ่งจงเพียงตอบกลับด้วยรอยยิ้มและไม่อธิบายอะไรทั้งนั้น
ดังนั้นทุกคนจึงคิดว่าซ่งจงเป็นสุภาพบุรุษที่แท้จริงและไม่ลุ่มหลงกับวัตถุ ดังนั้นเขาจึงเลือกตัดส่วนที่ใหญ่ที่สุดออกไป สำหรับเรื่องนี้ทุกคนขอบคุณเขาอย่างสุดหัวใจ ทั้งหมดสัมผัสเรื่องราวดีงามได้อย่างลึกซึ้ง
เมื่อเห็นฉากเช่นนี้ ซ่งจงไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ ในความเป็นจริงเหตุผลเดียวที่เขาต้องการศพของเหล่าอสูรกายไม่ใช่เพราะเขาใจกว้าง มันเป็นเพราะมิติลึกลับของเขาต้องการมัน
นับตั้งแต่เขาออกจากสำนักเสวียนเทียนและมาอาศัยอยู่ที่ทะเลตะวันออก ซ่งจงไม่สามารถไปที่หุบเขานภาเพื่อรวบรวมขยะได้อีกต่อไป ถ้าหากขยะทั้งหมดที่อยู่ในมิติถูกย่อยสลายไปจนหมด แบบนั้นก็นับว่ามันจะไม่เหลืออะไรอีกแล้ว แน่นอนว่ามันจะต้องเกิดการปั่นป่วนของปราณจิตวิญญาณที่ไม่เพียงพออย่างแน่นอน ที่รุนแรงที่สุดคือน้ำแห่งองค์ประกอบธาตุทั้งห้าจะไม่ถูกผลิตอีกต่อไป พร้อมด้วยดอกบัวจะเหี่ยวเฉา ถ้าเกิดกรณีเช่นนี้ขึ้นผลกระทบของมันคือหายนะอย่างแน่นอน
ต้องขอบคุณมิติลึกลับของซ่งจง มันไม่เพียงแต่ย่อยสลายอุปกรณ์วิเศษต่าง ๆ ได้ แต่มันยังย่อยสลายศพได้ด้วย สิ่งเดียวที่มีอยู่เต็มไปหมดในทะเลตะวันออกแห่งนี้คือศพของเหล่าอสูร และเพียงภารกิจนี้เพียงครั้งเดียว ซ่งจงสามารถรวบรวมศพของเหล่าอสูรกายได้มากกว่าร้อยตัว พร้อมทั้งอยู่ในขั้นสี่ ความแข็งแกร่งของมันเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิ ถ้าหากได้รับมา แน่นอนว่ามันจะต้องปล่อยปราณจิตวิญญาณออกมามากมาย
แน่นอนว่าแม้ส่วนใหญ่จะเป็นปราณจิตวิญญาณของธาตุไฟ แต่มันผสมไปด้วยธาตุอื่นอยู่ภายใน สิ่งเหล่านี้จึงไม่จำเป็น สิ่งที่น่าแปลกใจที่สุดคือมิติลึกลับสามารถควบแน่นปราณจิตวิญญาณที่เหลืออยู่ให้กลายเป็นหินจิตวิญญาณได้ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกสิ่งจะคงอยู่ เขาต้องนำศพเหล่านี้ไปฝังไว้ในดินสีดำ
ทุกคนอยู่ในสีหน้าตกใจ เมื่อซ่งจงเก็บอสูรกายขนาดยักษ์จำนวนหนึ่งร้อยตัวอย่างง่ายดาย! ถ้าจับมันมาทับถมกันแน่นอนว่ามันคือภูเขาขนาดเล็ก กระเป๋ามิติของเขาจะต้องใหญ่ขนาดไหนจึงจะเก็บสิ่งของเหล่านี้ได้? ทุกคนต่างตกตะลึงกับกระเป๋ามิติของซ่งจง
ในความจริงแล้ว ซ่งจงไม่ได้เก็บสิ่งของเหล่านี้ไว้ในแหวนมิติแต่เขาเก็บไว้ในมิติลึกลับ นอกจากนี้เหล่าแม่มดเทวะทั้งแปดที่อยู่ด้านในเริ่มทำงานกันทันทีเพื่อนำศพเหล่านี้ฝังลงไปในดินสีดำ ทุกอย่างดำเนินการอย่างรวดเร็วทำให้ซ่งจงพอใจกับปริมาณปราณจิตวิญญาณที่หนาแน่นเช่นนี้
แม้ว่าการกระทำของซ่งจงจะทำให้พวกเขาทั้งหมดประหยัดเวลาไปมาก แต่พวกเขาก็ไม่ได้รีบกลับแต่อย่างใด ทั้งหมดเริ่มกระจายตัวออกไปรอบๆเกาะเพื่อตามหาสมบัติ เพราะสถานที่แห่งนี้ไม่ได้มีมนุษย์มาเยือนเป็นเวลานานแล้ว อาจจะมีสมบัติซ่อนอยู่ ทั้งหมดตัดสินใจที่จะยกระดับภารกิจของตนเอง ดังนั้นทุกคนจึงตั้งใจอย่างมากที่จะค้นหาสมบัติ ในที่สุดทุกคนได้รับสมบัติมากมายกลับบ้าน โดยเฉพาะซูหยู่และซูหยุ่นได้รับเห็ดหลินจืออายุกว่าสองพันปี!
ดวงตาของแม่มดเปลือยกายเปลี่ยนเป็นสีแดงด้วยความอิจฉาและเรียกร้องให้นางขายมันพร้อมทั้งแบ่งให้กับทุกคน แน่นอนว่าตาเฒ่าพิษเห็นด้วย แต่ทั้งสองถูกตักเตือนโดยซ่งจง อีกทั้งหินยังคงสนับสนุนซูหยู่และซูหยุ่น ดังนั้นเห็ดจึงเป็นสมบัติของสองพี่น้องอย่างสมบูรณ์
หญิงสาวทั้งสองรู้สึกขอบคุณซ่งจงอย่างมาก เมื่อเห็นเช่นนั้นซ่งจงกล่าวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ถ้าหากพวกเจ้ารู้สึกขอบคุณข้าจริงๆ ทำไมไม่ยอมให้ข้าเห็นใบหน้าที่แท้จริงเสียที?”
ในขณะที่ซ่งจงกล่าวเช่นนั้น ซูหยู่และซูหยุ่นกล่าวออกมาดังเดิมและยืนยันว่ามันเป็นใบหน้าที่แท้จริงของพวกนาง พร้อมกับหัวเราะคิกคักและวิ่งออกไป ทำให้ซ่งจงรู้สึกหดหู่อย่างมาก
ในชั่วพริบตาเดียว เวลาล่วงเลยมาจนค่ำ แม้ว่าในวันนี้พวกเขาจะไม่ได้ต่อสู้มากมายนัก แต่ทั้งหมดก็เหนื่อยล้าจากการวิ่งไปทั่วเพื่อค้นหาสมบัติ นอกจากนี้ทะเลตะวันออกยังไม่ปลอดภัยอย่างมากในยามค่ำคืน มีเหล่าอสูรกายมากมายที่ชอบเที่ยวเล่นในเวลากลางคืน ดังนั้นทุกคนจึงตัดสินใจที่จะพักผ่อนที่นี่ก่อนหนึ่งคืน นับตั้งแต่ที่เหล่าอสูรกายภูเขาไฟถูกกำจัดไปหมด แน่นอนว่ามันมีความปลอดภัยระดับหนึ่ง
ในตอนกลางคืนซ่งจงและทีมรวมตัวกันอยู่ริมทะเลสาปลาวา พวกเขาพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน แม้ว่าแม่มดเปลือยกายที่ดูเหมือนจะสูญเสียกำไรครั้งยิ่งใหญ่ แต่นางก็เป็นคนที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดในภารกิจครั้งนี้ นางเก็บสมุนไพรคุณภาพสูงไว้เพียงผู้เดียวซึ่งมันมีค่ามากกว่าเหล่าอสูรกายเสียอีก ดังนั้นอารมณ์ของนางจึงค่อนข้างดีและเข้าร่วมวงสนทนาด้วยเสียงหัวเราะ ราวกับว่าเรื่องราวทั้งหมดในวันนี้ไม่เคยเกิดขึ้น แน่นอนว่านางเป็นคนเดียวที่รู้ว่าตนเองกำลังทำอะไรอยู่!
เช้าวันถัดมา ทุกคนตื่นทันทีเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น หลังจากที่ชำระล้างร่างกายแล้ว ซ่งจงหยิบเรือออกมาอีกครั้ง ทุกคนรู้ดีว่าพวกเขาไม่ควรอยู่ที่นี่นานนัก ทุกคนเดินทางออกทันทีหลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จสิ้น
อย่างไรก็ตาม เพียงแค่ซ่งจงหยิบเรือออกมา เกิดเสียงนกร้องดังไปทั่วท้องฟ้า เสียงนี้ดังอย่างมากและมันมาจากระยะไกล จากนั้นทุกคนมองไปบนท้องฟ้าและเห็นว่ามีแสงสีขาวกำลังพุ่งตรงมาหาพวกเขา ในไม่ช้ามันลอยอยู่เหนือหัวของทุกคนอย่างรวดเร็ว
มันคืออินทรีย์ขาวมีปีกทอดยาวกว่าสิบฟุต ร่างกายของมันถูกล้อมรอบไปด้วยลำแสงสายฟ้า อย่างที่ทุกคนเห็นในตอนนี้ มันเปลี่ยนทิศทางการบินและบินวนเป็นวงกลมอยู่เหนือศีรษะของพวกเขา ในเวลานั้นมันส่งเสียงร้องออกมาอย่างต่อเนื่องราวกับกำลังส่งข้อความบางอย่าง
เมื่อได้พบเห็นอินทรีย์สีขาวเงินตนนี้ ซ่งจงถามออกมาอย่างรวดเร็ว “ฮ่าฮ่า นี่หรือที่เรียกว่าอสูรกาย? มันสวยงามเหลือเกิน!”
บทที่ 217: สถานการณ์ที่เต็มไปด้วยอันตราย
หลังจากที่ซ่งจงกล่าวเช่นนั้น เขารู้สึกว่าบรรยากาศค่อนข้างตึงเครียด เขารีบหันมองทุกคนทันทีและพบว่านอกจากมู่ซื่อหรงแล้ว ทุกคนนั้นใบหน้าซีดขาว พวกเขาจ้องมองอินทรีย์ขาวราวกับว่ามันเป็นสัญลักษณ์แห่งความตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตาเฒ่าพิษที่แสดงความขี้ขลาดออกมาอย่างไม่อาจเก็บไว้ได้ เขากลัวจนร่างกายสั่นไหวและเริ่มพึมพำกับตนเอง “พวกเราต้องตายอย่างแน่นอน เวลาตายของพวกเรามาถึงแล้ว!”
แม้ว่าซูหยู่และซูหยุนจะไม่ขลาดเขลา ทว่าใบหน้าของพวกนางนั้นหมดหวังและซีดขาว แม้แต่หินผู้ที่ไม่เคยสนใจสิ่งใด ใบหน้าของเขายังมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่
แม่มดเปลือยกายก็เช่นกัน ใบหน้าของนางนั้นบิดเบี้ยวจนน่าเกลียด จากนั้นนางกัดฟันพร้อมปาอาหารลงบนพื้น “เรื่องราวทั้งหมดที่จบลงเช่นนี้ จะกล่าวโทษข้าไม่ได้!” เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาตกใจไปชั่วขณะ เขาคิดว่าแม่มดเปลือยกายต้องการจะต่อสู้กับเขาในเวลาเช่นนี้ มู่ซื่อหรงนั้นแกว่งดาบของตนไปมาพร้อมกับจ้องมองแม่มดเปลือยกาย
แต่แม่มดเปลือยกายนั้นไม่มีเจตนาที่จะโจมตี จากนั้นนางถอยไปหนึ่งก้าวพร้อมกับทุบหน้าอกตนเองด้วยมือทั้งสอง เกิดเสียงดังสนั่น นางพ่นเลือดออกมาก้อนใหญ่ เมื่อซ่งจงและมู่ซื่อหรงเห็นดังนั้น พวกเขางุนงงและไม่รู้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นกันแน่ เหตุใดนางจึงต้องทรมานตนเองเช่นนั้น? หรือนี่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของตนเองได้?
ทั้งหมดเข้าใจสถานการณ์อย่างรวดเร็ว หลังจากที่แม่มดเปลือยกายได้พ่นเลือดออกมา นางเรียกใช้งานเวทมนตร์ด้วยโลหิต จากนั้นนางใส่ปราณจิตวิญญาณลงไปพร้อมตะโกนออกมา “ร่างเงาหมื่นโลหิตเร้นกาย!”
ตามด้วยเสียงของนาง แม่มดเปลือยกายถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีแดงเข้มและหายไปในพริบตา
ซ่งจงและมู่ซื่อหรงตกใจทันที พวกเขาเคยได้ยินชื่อร่างเงาหมื่นโลหิตเร้นกายมาก่อน ซึ่งมันเป็นมาตรการสุดท้ายในการหนีเอาชีวิตรอด มันสามารถส่งคนผู้หนึ่งหลบหนีไปได้ไกลกว่าหมื่นลี้ แต่ว่ามันจะเป็นอันตรายอย่างมาก แม้ว่าแม่มดเปลือยกายจะเป็นผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิขั้นสุดท้าย นางจะต้องล้มป่วยเป็นเวลาครึ่งปีและใช้เวลาหนึ่งปีเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกาย นอกจากนั้นนางยังต้องล่าช้าในการเข้าสู่ระดับจินตันไปร่วมทศวรรษ ในตอนนี้เป็นเวลากลางวันและไม่มีอันตรายใดนอกจากเหล่าอสูรกายขั้นสี่ที่อยู่รอบ ๆ อีกทั้งพวกมันทั้งหมดถูกกำจัดแล้วและนาวายักษ์สามารถพาทุกคนเดินทางได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย ทำไมนางจึงต้องหนีไป? ซ่งจงและมู่ซื่อหรงต่างพากันงุนงงโดยสมบูรณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้
ตาเฒ่าพิษที่เห็นเช่นนั้นได้แต่สาปแช่งออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “นังสารเลว เป็นถึงหัวหน้าทีมแต่กลับหนีเอาตัวรอด!”
เมื่อซูหยุ่นและซูหยู่ได้ยินเช่นนั้น อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาอย่างขื่นขม “ถ้านางยังอยู่ มีแต่นางจะตายตกไปกับพวกเราเท่านั้น การหลบหนีไปนั้นดีกว่าที่จะมาตายตรงนี้ ถูกไหม? น่าเสียดายสำหรับศิษย์น้องซ่งและศิษย์น้องมู่ นี่เป็นเพียงภารกิจแรกเท่านั้นและทั้งสองต้องมาตายในทะเลตะวันออก ช่างน่าสงสารจริง ๆ!”
“อะไรกัน?” เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาตอบกลับอย่างมึนงง “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมพวกเราจะต้องตาย? ใครสามารถอธิบายข้าได้บ้าง?”
“เฮ้อ!” หญิงสาวทั้งสองถอนหายใจพร้อมกับมองไปที่อินทรีย์ขาว “เจ้าเห็นอินทรีย์ขาวตนนั้นไหม? มันคือราชันเหยี่ยวฟ้า เหลยซานเอ๋อ เมื่อเขามาถึงที่นี่ เราทั้งหมดจะตาย!”
“อะไรกัน?” ซ่งจงกล่าวอย่างขื่นขม “ข้าขอถามหน่อยใครคือราชันเหยี่ยวฟ้าเหลยซานเอ๋อ? ช่วยกล่าวให้มันชัดเจนหน่อยได้ไหม?”
“อา ต้องขออภัย ข้าลืมไปว่าเจ้าเพิ่งมาถึงทะเลตะวันออก ข้าลืมไปสนิท ข้าจะอธิบายให้เจ้ารู้ก่อนตายแล้วกัน!” ซูหยู่และซูหยุ่นอธิบาย “เรื่องมันเป็นเช่นนี้!”
เมื่อฟังซูหยู่และซูหยุ่นอธิบายข้อมูลต่าง ๆ เหล่าอสูรกายในทะเลตะวันออกนั้นไม่ได้กระจัดกระจายกันอยู่ เหล่าอสูรกายระดับสูงโดยเฉพาะขั้นหกขึ้นไป สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้และมีความเฉลียวฉลาดไม่ต่างจากมนุษย์ เมื่อเวลาผ่านไปมันสร้างเขตแดนของตนเองขึ้นมาและเรียกว่าจักรววรดิทะเลตะวันออก
เกี่ยวกับเขตนี้ มนุษย์รู้จักมันแค่ชื่อเท่านั้น พวกเขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับจำนวนของพวกมัน ใครเป็นคนปกครองหรือโครงสร้างใดๆ สิ่งเดียวที่รู้ก็คือเขตแดนของมัน นอกจากนี้เหล่าอสูรกายทุกคนยังเป็นประชากรของพวกมันด้วย
ดังนั้นเมื่อประชากรของพวกมันมากมายเกินไป พวกมันจึงเกิดความขัดแย้งภายในขึ้นและเริ่มบุกเข้ามาในเขตแดนของมนุษย์
จากนั้นเมื่อผู้ฝึกตนได้รวมกลุ่มขึ้นมาเพื่อจัดการกับพวกมัน จึงจัดตั้งเป็นกลุ่มพันธมิตรทะเลตะวันออก อีกทั้งยังมีกองกำลังเพื่อเฝ้าระวังพวกจักรวรรดิทะเลตะวันออกตรงเขตแดนอีกด้วย แต่ทางฝั่งของอสูรกายก็มีทีมเฝ้าระวังเช่นกัน พวกมันไม่ได้มีจำนวนมากแต่เต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง เมื่อพวกมันเริ่มต่อสู้มักเทียบเท่ากับกองกำลังหลายร้อยหรือพัน
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกองกำลังเช่นนี้ ทางกลุ่มพันธมิตรนั้นไม่อาจรับมือได้ไหว ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดก็คือการไม่พบเจอกับพวกมัน หากทีมใดต้องพบเจอพวกมัน สิ่งเดียวที่ทำได้คือการวิ่งหนี ในบางครั้งพวกเขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะหลบหนี โชคดีที่เหล่าอสูรกายเหล่านี้นั้นมีความขี้เกียจอย่างมากและจะไม่ยอมออกจากเขตแดนของตนเอง และโอกาสที่ทีมนักล่าจะพบเจอกับพวกมันก็ไม่ได้สูงมากนัก ดังนั้นทีมพันธมิตรทะเลตะวันออกก็คงออกล่าอสูรกายกันตามปกติ
อย่างไรก็ตาม พวกมันนั้นชอบออกมาเที่ยวเล่นอยู่เสมอในบางครั้ง อย่างเช่นในสถานการณ์ครั้งนี้ ทีมที่ต้องพบเจอกับความโชคร้ายทำได้เพียงโทษตนเองเท่านั้น แต่ว่าอสูรกายเหล่านั้นเป็นกองทัพขนาดใหญ่ พวกมันเคลื่อนไหวได้ช้า ผู้ฝึกตนจึงมีโอกาสที่จะหลบหนีได้
อย่างไรก็ตาม มีบางตนที่ผิดปกติไปจากพวก เมื่อมันพบกับผู้ฝึกตนแล้วเป็นไปไม่ได้แม้ว่าจะหลบหนี ราชันเหยี่ยวฟ้าเหลยซานเอ๋อที่เจ้าอ้วนได้พบคือหนึ่งในนั้น ราชันเหยี่ยวฟ้าเหลยซานเอ๋อนั้นเป็นอสูรกายขั้นห้า แต่ความบังเอิญของมันก็คือมันพบกับถ้ำของผู้ฝึกตนและกินยาอายุวัฒนะของเขาจนหมด จากนั้นมันเข้าใจเคล็ดการฝึกฝนอย่างลึกซึ้ง ราชันเหยี่ยวฟ้าเหลยซานเอ๋อจึงเป็นอสูรกายขั้นห้าที่สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้และนางเป็นหญิงสาววัยสิบกว่าที่งดงามอย่างยิ่ง
แน่นอนแม้ว่านางจะเปลี่ยนโฉม แต่ความเป็นเหยี่ยวของนางนั้นไม่ได้เปลี่ยนไป ทุกที่ที่นางได้เดินทางไป นางมักจะอยู่ในกองทัพขนาดใหญ่ มันคือนกอินทรีย์นับหมื่นตัวที่บินอยู่บนทองฟ้า แน่นอนว่าจำนวนของมันเพียงพอที่จะบดบังทุกอย่างบนฟ้าได้
อินทรีย์สายฟ้านั้นมีความสามารถพิเศษสองอย่าง หนึ่งพวกมันมีสายฟ้าอยู่ในร่างกายของตนเอง เมื่อเวลาต่อสู้สายฟ้าจะถูกยิงออกมาจากปีกของมัน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอินทรีย์สายฟ้าเพียงตัวเดียว ไม่ถือว่าอันตราย แต่การที่พวกมันรวมตัวกันและยิงสายฟ้าออกมาดั่งเช่นห่าฝน สถานการณ์คงไม่ต่างอะไรจากวันสิ้นโลก แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินก็ไม่อาจต้านทานอินทรีย์สายฟ้านับหมื่นตัวได้ สองก็คือความเร็วในการบินของมันซึ่งไม่อาจหาที่เปรียบได้ พวกมันบินได้เร็วเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับจินตัน ดังนั้นถ้าหากผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิถูกค้นพบโดยราชันเหยี่ยวฟ้าเหลยซานเอ๋อ แน่นอนว่าจะไม่มีโอกาสหนีรอดไปได้
ดั่งเช่นซ่งจงและทีมของเขาในตอนนี้ แม้แต่แม่มดเปลือยกายยังต้องใช้วิชาต้องห้ามเพื่อหลบหนี ส่วนคนที่เหลือทำได้เพียงยืนรอความตายเท่านั้น ซึ่งความเร็วของนาวายักษ์ก็ไม่อาจหลบหนีเงื้อมมือของอินทรีย์สายฟ้าได้ ความเร็วของดาบบินที่พวกเขามีนั้นก็ไม่ได้ช่วยให้ความตายนั้นช้าลงแต่อย่างใด นอกจากนี้ทุกคนยังอยู่ในสภาพที่สิ้นหวังและไม่คิดที่จะหลบหนีเลย
หลังจากที่ซ่งจงและมู่ซื่อหรงได้ยินเช่นนั้น ทั้งสองเข้าใจทันทีว่าทำไมแม่มดเปลือยกายจึงหนีเอาตัวรอดไป หลังจากที่เขาเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด เขาได้แต่ก่นด่าออกมาอย่างอดกลั้น “นังเพศยา ในฐานะผู้นำ นางไม่เพียงแต่ไม่ต่อสู้ร่วมกับพวกเรา แต่ยังกล้าที่จะหนีรอดไปคนเดียว นี่มันตัวอะไรกันแน่ ถ้าหากข้ามีชีวิตกลับไป แน่นอนว่าข้าจะต้องสั่งสอนบทเรียนให้กับนาง!”
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้น สายตาของพวกเขากรอกกลิ้งไปมา เพราะไม่มีใครคิดว่าซ่งจงจะสามารถรอดชีวิตกลับไปได้
อย่างไรก็ตาม ซ่งจงนั้นไม่ได้สนใจเรื่องนี้นัก แม้ว่าในตอนนี้เขาจะพบกับราชันเหยี่ยวฟ้าเหลยซานเอ๋อ เขาก็ไม่กลัว แม้ว่าเขาจะต้องตาย แน่นอนว่าเขาจะลากมันลงไปด้วยอย่างแน่นอน
เนื่องจากมันไร้ประโยชน์ที่จะหลบหนี ซ่งจงจึงตัดสินใจเมินเฉยต่อเรื่องราวทั้งหมดนี้ จากนั้นเขามองไปที่ซูหยุ่นและซูหยู่พร้อมกล่าวอย่างติดตลก “โอ้ ในตอนนี้เรากำลังจะตายแล้ว ข้าขออะไรจากเจ้าสักอย่างได้หรือไม่?”
เนื่องจากหญิงสาวทั้งสองนั้นประทับใจซ่งจงอยู่แล้ว นางตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ขอสิ่งใด? ถ้าหากเราทำได้ แน่นอนว่าเราจะทำมัน!”
“ฮ่าฮ่า ยอดเยี่ยม! สิ่งที่ข้าจะขอนั้นง่ายมากและเจ้าทั้งสองก็สามารถทำได้!” ซ่งจงยิ้ม “ข้าต้องการเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเจ้า!”
เมื่อซู่หยู่และซู่หยุ่นได้ยินเช่นนั้น ทั้งสองหัวเราะออกมาพร้อมตอบกลับ “นี่เราอยู่ในสถานการณ์แบบไหนกัน เจ้ายังคงคิดถึงแต่เรื่องนี้?”
“แล้วข้าควรคิดอะไรอีก? ในเมื่อตอนนี้ข้ากำลังจะตายแล้ว อย่าบอกนะว่าเจ้ายินดีที่จะให้ข้าตายไปพร้อมกับความเสียใจนี้?” ซ่งจงกล่าวอย่างอาลัยอาวรณ์ “นี่เป็นเรื่องสุดท้ายที่ข้าจะขอแล้ว เจ้าทำให้ข้าไม่ได้หรือ? ได้โปรด”
เมื่อเห็นซ่งจงอ้อนวอน ซู่หยุนและซูหยู่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ในขณะนั้นภายในใจของพวกนางก็อ่อนลงและเริ่มคิดว่า ‘เนื่องจากพวกเรากำลังจะตาย มันคงไม่สำคัญหรอกว่าเราจะรักษาความลับของเราไว้ได้หรือไม่ ทำไมเราจึงไม่ทำตามที่เขาขอดูล่ะ!’
บทที่ 218: ราชันเหยี่ยวฟ้า เหลยซานเอ๋อ
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว ซูหยู่และซูหยุ่นมองหน้ากันชั่วครู่ จากนั้นนางหยิบเอาขวดเล็ก ๆ ออกมาจากแหวนมิติและดื่มมันเข้าไป ใบหน้าของทั้งสองเริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หนองทั้งหมดหายไปเผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามและผิวที่ขาวสะอาด ทั้งสองคนเป็นฝาแฝด ใบหน้าของนางนั้นเปรียบกับนางฟ้า พวกนางนั้นแตกต่างจากหานปิงเอ๋อ และมีความลึกลับมากเสียยิ่งกว่าฉุ่ยจิ้งพร้อมทั้งดูไร้เดียงสาเสียยิ่งกว่าหงหยิง ทั้งสองคนดูน่าเวทนาอย่างมากซึ่งผู้คนที่พบเห็นได้แต่อดรู้สึกสงสารอย่างช่วยไม่ได้
แม้ว่าผู้ฝึกตนที่เป็นหญิงสาวส่วนใหญ่แล้วจะสวยงามและได้มีการเตรียมสภาพจิตใจมาแล้ว แต่สีหน้าของซูหยุ่นและซูหยู่นั้นทำให้พวกเขาตกตะลึง แม้แต่หินก็ยังมึนงงไปชั่วขณะ สำหรับตาเฒ่าพิษเขาตบหน้าตนเองพร้อมกับบ่นออกมาว่า “บัดซบ ทำไมข้าถึงไม่สังเกตเลยนะก่อนหน้านี้ ถ้าหากข้ารู้ว่าพวกนางสวยงามเช่นนี้ ข้าจะได้เล่นสนุกกับพวกนางวันละหลายๆรอบ!”
สำหรับซ่งจงดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีเขียวในขณะที่จ้องมองทั้งคู่ สายตาของเขาทำให้หญิงสาวทั้งสองอับอายจนหันหลัง ซ่งจงเรียกคืนสติของตนเองพร้อมกับกระทืบเท้าอย่างขัดใจ “ในโลกนี้มีหญิงสาวที่งดงามเช่นนี้ด้วยงั้นหรือ! ข้า! ข้าจะไม่ยอมปล่อยให้ความงามนี้ต้องมาตายที่นี่อย่างแน่นอน!”
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้น ทั้งหมดตำหนิซ่งจงอยู่ภายในใจ ‘คนเช่นนี้ยังมีอยู่จริงงั้นหรือ ที่จะไม่ยอมตายเพื่อที่จะติดตามความงามนี้? มันเรื่องตลกอะไรกัน! สิ่งที่รออยู่เบื้องหน้ามีเพียงเหล่าอินทรีย์ที่ดุร้าย!’
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งของราชันเหยี่ยวฟ้าเหลยซานเอ๋อ ไม่มีใครคิดว่าเรื่องที่ซ่งจงกล่าวออกมาจะเป็นความจริง ซูหยุ่นและซูหยู่หัวเราะออกมา “ฮ่าฮ่า ถ้าหากเจ้าช่วยให้พวกข้ารอดพ้นจากชะตากรรมนี้ พวกเราจะตอบแทนเจ้าด้วยร่างกายนี้!”
“จริงหรือ?” เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาเริ่มมีพลังและตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ถ้าอย่างนั้นข้าตกลง!”
“ฮ่าฮ่า แน่นอนว่ามันจริง แต่ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะมีโอกาส!” ซูหยู่และซูหยุ่นยักไหล่พร้อมกล่าวต่อ “มีข่าวเล่าต่อกันมาว่าผู้ฝึกตนระดับจินตันจำนวนยี่สิบคน ยังพ่ายแพ้ให้กับกองทัพราชันเหยี่ยวฟ้าเหลยซานเอ๋อ ตอนนี้เรากำลังเผชิญหน้ากับนางและไม่มีโอกาสที่จะรอดชีวิต!”
“ไร้สาระ!” ซ่งจงกล่าวออกมาอย่างมีเลศนัย จากนั้นเขาไม่พูดอะไรต่อพร้อมกับจ้องมองฝูงอินทรีย์ที่กำลังบินเข้ามา
ในเวลานั้นท้องฟ้าเต็มไปด้วยสายฟ้ากระพริบอยู่เต็มไปหมด ฝูงอินทรีย์จำนวนมากกำลังบินมาบดบังท้องฟ้าทั้งหมด พวกมันมีจำนวนกว่าหมื่นตัวพร้อมทั้งเป็นอสูรกายขั้นสี่ คำตอบนั้นชัดเจนและไม่ต้องอธิบายอะไร พวกมันดูราวกับคลื่นสายฟ้าลูกใหญ่กำลังถาโถมเข้ามาและมาถึงเพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น
แต่เหล่าอินทรีย์สายฟ้านั้นมีวินัยที่ดี พวกมันเพียงล้อมรอบเกาะไว้เท่านั้นเพราะยังไม่ได้รับคำสั่ง แสงของสายฟ้าที่เปล่งออกมาจากร่างกายของพวกมัน ทำให้คนที่อยู่บนเกาะไม่สามารถลืมตาได้
เมื่อภาพนั้นปรากฏตรงหน้า ใบหน้าของทุกคนเปลี่ยนเป็นสีเขียวด้วยความหวาดกลัว แม้แต่ซูหยุ่นและซูหยู่ยังไม่อาจควบคุมร่างกายไม่ให้สั่นไหวได้
เมื่อมองเห็นสภาพที่น่าสงสารของพวกเขา เขาจึงกล่าวอะไรออกมาสักอย่างเพื่อคลายความกังวล “เหลยซานเอ๋อ! จงออกมาถ้าเจ้ามีความกล้าหาญ อย่าหลบซ่อนราวกับเป็นสตรี!”
ทุกคนได้ยินเช่นนั้นต่างตื่นตกใจทันที จากนั้นซูหยู่และซูหยุ่นรีบเตือนความจำเขาทันที “ศิษย์น้องซ่ง เหลยซานเอ๋อเป็นสตรี!”
“โอ้ ข้าลืมไป!” เจ้าอ้วนตอบกลับอย่างเคอะเขิน
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้น ความโกรธถาโถมแทบจะทำให้พวกเขาตายในจุดนั้นทันที
ในขณะนั้น มีเสียงหญิงสาวเล็ดลอดออกมาจากฝูงอินทรีย์สายฟ้า “ผู้ใดกันที่กล้าเย้ยหยันหญิงสาวผู้นี้!”
หลังจบเสียงเหล่าอินทรีย์เงียบลงและเริ่มเปิดเส้นทาง มีอินทรีย์สีเงินขนาดใหญ่ตัวหนึ่งบินออกมา ด้านหลังของมันคือเด็กสาวอยู่ในชุดคลุมสีชมพู นางดูราวกับเด็กอายุสิบห้าเท่านั้นพร้อมกับจ้องมองมาที่ทุกคนด้วยดวงตากลมโต
ซ่งจงรู้ได้ทันทีว่านางคือเหลยซานเอ๋ออย่างไม่ต้องสงสัย ในตอนแรกเขาตกใจในรูปร่างที่กระทัดรัดของนาง แต่เขาฟื้นคืนสติอย่างรวดเร็วพร้อมกล่าวอย่างช้าๆ “ข้าพูดเอง มันไม่สำคัญ ถ้าเจ้าต้องการที่จะฟังเสียงนกและต้องการที่จะออกเร่ร่อนไปทั่ว แต่อย่ามาล้อมรอบพวกเราเช่นนี้ ข้ารู้สึกว่ามันน่ารำคาญอย่างยิ่ง!”
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้น พวกเขากลัวจนแทบจะตายอยู่ตรงนั้นทันที ‘ซ่งจงนั้นหน้าหนายิ่งนัก เขาพูดกับเหลยซานเอ๋ออย่างนั้นได้ยังไงกัน? เขาไม่สามารถสู้นางได้แม้สักนิด อย่างน้อยก็ควรจะรู้วิธีที่จะตายอย่างไม่เจ็บปวดมากนัก ถ้าเขากล่าวเช่นนั้น พวกเราทุกคนจะเดือดร้อนไปด้วย!’
เหลยซานเอ๋อตกใจเมื่อได้ยินซ่งจงกล่าวเช่นนั้น “ฮ่าฮ่า ข้าผู้นี้ปกป้องทะเลตะวันออกโดยไร้การควบคุมใด แน่นอนว่าไม่เคยมีผู้ใดกล้ากล่าวเช่นนี้กับข้ามาก่อน แต่หมูตอนเช่นเจ้ากลับกล้าที่จะดูถูกข้าเช่นนี้ นี่เจ้าคิดจริงงั้นหรือว่าสาวน้อยผู้นี้จะไม่กล้าสังหารพวกเจ้าทุกคนที่นี่?”
“ฮ่าฮ่า แน่นอนข้ารู้ว่าเจ้าต้องการสังหาร แต่ปัญหาก็คือเจ้าจะสังหารข้าได้หรือไม่?” เจ้าอ้วนตอบกลับอย่างไม่สนใจ
เมื่อเหลยซานเอ๋อได้ยินเช่นนั้น นางหรี่ตาลงพร้อมกล่าวว่า “ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมยิ่งนัก! นานแค่ไหนแล้วที่ข้าไม่ได้พบเจอผู้ฝึกตนที่มีความมั่นใจเช่นนี้ แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับจินตันยังไม่เคยคิดที่จะเผชิญหน้ากับข้า น้อยมากที่จะกล้าเช่นเจ้า ข้าขอชื่นชมความกล้าหาญที่เจ้ามี! แต่ระดับของเจ้านั้นอยู่เพียงปฐมภูมิขั้นกลาง ซึ่งไม่ต่างอะไรจากมือใหม่ แล้วเจ้ามีความกล้าหาญประเภทไหนกันที่กล้ามายืนอยู่ตรงหน้าของข้า?”
“เจ้าได้รู้แน่ถ้าหากเจ้าลองดู!” ซ่งจงตอบกลับ
“ยอดเยี่ยม ข้าก็มีความตั้งใจเช่นนั้น! ตราบใดที่เจ้าสามารถรับการโจมตีร้อยครั้งของข้าได้เพียงคนเดียว ข้าจะยอมรับว่าเจ้านั้นมีความสามารถ!” เมื่อนางกล่าวเช่นนั้น นางโบกมือพร้อมกับปรากฏสายฟ้านับร้อยลูกพุ่งมาที่ซ่งจง
“นกแค่ร้อยตัวทำอะไรข้าไม่ได้หรอก แต่เนื่องจากเจ้าต้องการให้มันตาย ข้าก็จะมอบความปรารถนานี้ให้!” เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น ซ่งจงยื่นมือออกมาพร้อมกับปรากฏสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์หยินหยางแห่งธาตุทั้งห้าออกมา พร้อมกันกับเหยียดแขนออกไปเพื่อปลดปล่อยสายฟ้าไปสู่เหล่าอินทรีย์ทั้งสิบตัว
ในขณะนั้นอินทรีย์ทั้งร้อยตัวอยู่ห่างจากซ่งจงหนึ่งหมื่นฟุตและมันก็อยู่ในระยะของเขาพอดี พร้อมด้วยเหล่าอินทรีย์เปิดฉากโจมตีด้วยเช่นกัน มันกางปีกออกพร้อมกับปล่อยสายฟ้าใส่ซ่งจง เสียงสายฟ้าฉีกอากาศดังสนั่นไปทั่วท้องฟ้า ราวกับมังกรนับร้อยกำลังพุ่งทะยานเข้าหากัน
สายฟ้าของเหล่าอินทรีย์นั้นเร็วกว่าสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของซ่งจงมาก เพียงอึดใจเดียวมันมาถึงร่างกายของเขาอย่างรวดเร็ว
เมื่อเผชิญกับการโจมตีง่าย ๆ เช่นนี้ ซ่งจงรู้สึกเหยียดหยามทันที เขาถอนหายใจพร้อมกับหยิบระฆังทองแดงออกมาไว้เหนือศีรษะเพื่อป้องกันการโจมตีทั้งหมด สายฟ้าพุ่งเข้าหาระฆังทองแดงราวกับเม็ดฝน เปลือกของทองแดงถูกเผาไหม้อย่างสมบูรณ์แต่ไม่อาจทำลายระฆังได้ ซึ่งแน่นอนว่าซ่งจงนั้นไม่ได้รับอันตรายใดเลย
อย่างไรก็ตามในขณะที่ซ่งจงส่งสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์หยินหยางแห่งธาตุทั้งห้าออกไป เหลยซานเอ๋อเปลี่ยนสีหน้าทันทีพร้อมกับหยิบอุปกรณ์วิเศษออกมาเพื่อป้องกันอย่างรวดเร็ว เพียงแค่นางสะบัดมือผ้านั้นเปลี่ยนเป็นโล่สีเขียวพร้อมกับปกคลุมลูกน้องของนางทั้งร้อยตัวทันที
แสงสีเขียวนั้นก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนที่สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์จะมาถึงเพียงเสี้ยวนาที เกิดเสียงดังสนั่นเมื่อมันปะทะกัน การระเบิดนี้รุนแรงจนโล่สีเขียวสั่นไหว ทว่ามันก็ไม่ได้ถูกทำลายแต่อย่างใดพร้อมทั้งเหล่าอินทรีย์นับร้อยตัวก็ปลอดภัยเช่นกัน ไม่ว่าพวกมันจะมั่นใจมากเพียงใด แต่ท่าทีของพวกมันเปลี่ยนไปทันทีเมื่อรู้ตัวว่ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ ถ้าไม่ใช่การโต้ตอบที่รวดเร็วของเหลยซานเอ๋อแน่นอนว่าเหล่าอินทรีย์นั้นต้องตายตกไปมากกว่าครึ่ง
ทุกคนที่เห็นภาพดังนั้นต่างตกใจในความสามารถของซ่งจง แม้ว่าเขาจะเตรียมใจไว้แล้วว่าซ่งจงนั้นแข็งแกร่งกว่ามู่ซื่อหรง แต่ไม่ได้คาดคิดว่าจะแข็งแกร่งขนาดนี้ สายฟ้าของเขาน่ากลัวเกินไปซึ่งความรุนแรงของมันเทียบได้กับผู้ฝึกตนระดับจินตัน ในขณะนั้นทุกคนเริ่มมีความหวังและจุดประกายในใจขึ้นมา ‘อย่าบอกนะว่าพวกเรามีโอกาสที่จะหนีจากเหลยซานเอ๋อ?’
เหลยซานเอ๋อนั้นตกใจมากจนกล่าวออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์หยินหยางแห่งธาตุทั้งห้า? เป็นไปได้อย่างไร? เจ้ารู้วิธีปรับแต่งมันได้อย่างไรกัน?”
“อา อย่างที่เจ้าเห็น ข้าสามารถทำได้!” เจ้าอ้วนตอบกลับพร้อมหัวเราะอย่างสบาย ๆ “เอาล่ะ ข้าพอจะเท่าเทียมกับเจ้าบ้างไหมล่ะ?”
“ใช่ เจ้าทำได้!” เหลยซานเอ๋อตอบกลับพร้อมหัวเราะ “ด้วยพลังของสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ ข้ายอมรับว่าเจ้าเป็นคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งและคุ้มค่ากับความแข็งแกร่งที่ข้ามีเช่นกัน!” หลังจากนางกล่าวจบ สีหน้าของนางเปลี่ยนเป็นจริงจังทันที
เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาขมวดคิ้วพร้อมกล่าวออกมาอย่างสงบ “เราไม่มีความคับข้องใจใดกันมาก่อน เหตุใดเราจึงต้องต่อสู้กันจนบาดเจ็บสาหัส? อากาศวันนี้ดีมาก ทำไมเจ้าจึงไม่เที่ยวเล่นต่อไปและข้าก็จะกลับบ้านไปนอน เราเพียงแค่แยกย้ายกันไปตามทางของตนเอง อย่างนี้เป็นเช่นไร?”
“ฮ่าฮ่า เด็กน้อยเจ้าช่างเป็นคนที่น่าสนใจ เจ้าคิดว่าเจ้าจะทำให้ข้าตกใจเพียงเท่านี้งั้นหรือ?” เหลยซานเอ๋อหัวเราะ “เหตุใดเหล่าผู้ฝึกตนที่เป็นมนุษย์จึงหยิ่งผยอง?”
“ว่าอะไร?” เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาได้แต่ถามด้วยความอยากรู้ “ข้าขอโทษนะ แต่ข้าไม่เข้าใจสิ่งที่เจ้ากำลังจะบอก”
“ฮ่าฮ่า เจ้าเข้าใจมันอย่างดี! เจ้าคิดจริงงั้นหรือว่าข้าเป็นเด็กและโง่เง่า? ถ้าเช่นนั้นเจ้าคิดผิด!”
“ฮ่าฮ่า!” ซ่งจงหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์หยินหยางแห่งธาตุทั้งห้าของข้านั้นเป็นของจริง ถ้าหากเจ้าคิดว่ามันเป็นของเล่น ทำไมถึงไม่ลองอีกครั้งล่ะ?”
“เหอะ! สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าไม่ใช่ของปลอมและข้ารู้เรื่องนี้ดี! แต่สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์หยินหยางแห่งธาตุทั้งห้าต้องใช้สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์จำนวนสิบลูกต่อครั้ง แน่นอนว่าแต่ละครั้งมันใช้เงินจำนวนมาก ข้าคาดว่าเจ้าคงปรับแต่งมันได้เพียงยี่สิบถึงสามสิบลูกต่อเดือนเท่านั้น!” เหลยซานเอ๋อกล่าวออกมาพร้อมหัวเราะอย่างเยือกเย็น “เจ้าเป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิขั้นกลางและอายุไม่เกินห้าสิบปี คงจะต้องใช้เวลาอีกสิบปีเพื่อเรียนรู้สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นข้าคิดว่าเจ้ามีสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์เพียงสองร้อยลูกเท่านั้น ซึ่งนี่คิดมาจากที่เจ้าไม่เคยใช้มันมาก่อนเลย ถ้าหากเจ้าใช้มันไปแล้ว แน่นอนว่าเจ้าเหลือมันอยู่ไม่มากนัก ข้าพูดถูกไหม?”
เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาเข้าใจความคิดนางทันทีพร้อมตอบกลับอย่างสดใส “ที่เจ้าจะกล่าวก็คือข้าไม่มีสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์มากพอที่จะคุกคามเจ้างั้นหรือ?”
“เป็นเช่นนั้น!” เหลยซานเอ๋อตอบกลับอย่างภูมิใจ “อย่างมากที่สุด ข้าก็คงต้องเสียสละอุปกรณ์วิเศษสักชิ้นและข้าก็จะสามารถป้องกันการโจมตีของสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ได้ สำหรับส่วนที่เหลือข้าจะดูแลต่อเอง จากนั้นเจ้าก็รอความตายของตนเองได้เลย!”
เมื่อซูหยู่และซูหยุ่นได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของพวกนางเปลี่ยนทันที ในตอนแรกพวกเขามีความหวัง แต่ตอนนี้เหลยซานเอ๋อได้ทำลายมันลงไปอย่างสมบูรณ์
เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาหัวเราะเบา ๆ พร้อมกล่าวว่า “เหลยซานเอ๋อ เจ้านั้นฉลาดมากแต่ในเวลานี้เจ้าคิดผิด! ดีแล้วที่เจ้ากล่าวเช่นนี้ก่อนที่เราจะต่อสู้กัน ถ้าหากเจ้ากล่าวมันหลังการต่อสู้ ข้าเกรงว่าข้าจะทำให้เจ้าผิดหวัง!”
เมื่อเหลยซานเอ๋อได้ยินเช่นนั้น นางตกใจพร้อมกับถามออกมาอย่างเย็นชา “เจ้าหมายความว่าอะไร?”
“มันง่ายมาก! แม้ว่าข้าจะไม่มีสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์มากมายนัก แต่อย่างน้อยข้าก็สามารถนำมันออกมาได้สักพันลูก!” เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น เขายกมือทั้งสองข้างขึ้นพร้อมกับปรากฏสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วนออกมา สายฟ้าทั้งห้าธาตุลอยวนอยู่รอบตัวของซ่งจง ในบริเวณโดยรอบรัศมีหนึ่งพันฟุตเต็มไปด้วยสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้นี่เป็นสิ่งที่ซ่งจงหยิบออกมา ไม่มีใครรู้ว่าเขามีสำรองอยู่อีกหรือไม่ แน่นอนว่าไม่มีใครโง่พอที่จะเผยไพ่ตายของตนเองทั้งหมด ดังนั้นซ่งจงจะต้องมีมันมากกว่านี้!
บทที่ 219: อำนาจแห่งสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์
ในขณะนั้น เจ้าอ้วนได้แต่ขอบคุณตัวเองในใจที่ดิ้นรนหาทรัพยากรมาเพื่อเปิดใช้งานสถานีสายฟ้าของเขา ‘ถ้าหากไม่ใช่เพราะสถานีสายฟ้า ข้าคงไม่สามารถปรับแต่งสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ได้มากมายขนาดนี้ ถ้าหากเป็นเช่นนั้น แน่นอนว่าข้าคงต้องตายในวันนี้! ขอบคุณสวรรค์ ขอบคุณ!’
เหลยซานเอ๋อตกใจทันทีเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ก่อนอื่นที่ต้องรู้คือมันยากมากถ้าหากนางต้องจัดการสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์มากถึงสามร้อยครั้งและการทำเช่นนั้นหมายความว่านางต้องเสียสละอุปกรณ์วิเศษของตนเอง ในตอนนี้นางเผชิญกับสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์นับพันลูก นางไม่สามารถต่อสู้ได้เลย มีหนทางเดียวคือยอมรับความพ่ายแพ้เท่านั้น แน่นอนถ้าหากต้องส่งลูกน้องของตนเองไปเผชิญหน้ากับสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของซ่งจง โอกาสชนะอาจจะพอมีอยู่บ้างแต่คงเป็นชัยชนะที่ขื่นขม ถ้าหากนางต้องการจะทำเช่นนั้น นางจะต้องสูญเสียลูกน้องจำนวนมากเช่นกัน จากนั้นนางจะกลายเป็นผู้นำที่ไร้ซึ่งผู้ใต้บังคับบัญชาทันที
ในทะเลตะวันออก มันยากมากที่นางจะอยู่รอดในสถานที่แห่งนี้โดยลำพัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่แห่งนี้ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่าอสูรกายที่แข็งแกร่ง เหตุผลเดียวที่นางอยู่รอดมาได้เพราะเหล่าอินทรีย์สายฟ้านับหมื่นตัว ถ้าหากนางต้องสูญเสียพวกมันทั้งหมด สถานะของนางจะต้องลดลงอย่างแน่นอน เมื่อเวลานั้นมาถึงทุกคนที่เป็นศัตรูกับนางจะต้องหาช่องทางเพื่อโจมตีนางอย่างแน่นอน สิ่งเดียวที่รอนางอยู่เบื้องหน้าคือการถูกไล่ล่าและหลบหนีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ดังนั้นเหลยซานเอ๋อจึงตัดสินใจที่จะไม่ต่อสู้กับซ่งจงในเวลานี้แม้ว่าจะโกรธจัดเพียงใด
นางตัดสินใจแล้วว่าสถานการณ์เช่นนี้ไม่ดีแน่ เหลยซานเอ๋อสูดหายใจเข้าลึกพร้อมกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “เจ้าสามารถบอกชื่อของเจ้าให้ข้ารู้ได้หรือไม่?”
“ซ่งจงจากสำนักเสวียนเทียน!” เจ้าอ้วนตอบกลับอย่างไม่แยแส
“ซ่งจง? เป็นชื่อที่น่าสนใจ!” เหลยซานเอ๋อตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “แม้ว่าชื่อของเจ้าจะไม่เป็นมงคลนัก อา เจ้ามีความสามารถจริง ๆ ในตอนนี้ข้ารับรู้แล้ว! ก็ตามนี้ ข้ายอมรับว่าเจ้าแข็งแกร่ง วันนี้ก็อากาศดี ข้าคิดว่าคงดีที่สุดถ้าเราจะแยกย้ายกันไป!”
เมื่อได้ยินเหลยซานเอ๋อกล่าวเช่นนั้น ซูหยู่และซูหยุ่นกระโดดด้วยความดีใจ อย่างไรก็ตาม ซ่งจงยังอยู่ในความสงบและตอบกลับอย่างเฉยชา “งั้นหรือแม่นางเหลยซานเอ๋อ เจ้าอยากจะไปแล้วงั้นหรือ!” เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น เขาโบกมือราวกับว่าส่งแขกกลับบ้านไป
นางไม่ได้กล่าวอะไรต่อ เพียงแค่โบกมือกลับอย่างสงบและสั่งให้ลูกน้องของนางทั้งหมดออกไป
แต่ในขณะนั้น เสียงร้องอันน่าเวทนาดังจากกลุ่มผู้ใต้บัญชาเหลยซานเอ๋อ “ศิษย์พี่ซ่ง ศิษย์พี่ซ่ง ได้โปรดช่วยพวกข้าด้วย พวกข้ามาจากสำนักเสวียนเทียน!”
ซ่งจงตกใจทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขามองหาต้นทางของเสียงพร้อมกับรู้ว่ามันมาจากเหล่าอินทรีย์สายฟ้า เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ถูกจับได้และยังมีชีวิต ซึ่งมีมากกว่าห้าสิบคน แต่สายฟ้าบนร่างกายของเหล่าอินทรีย์นั้นมากมายเกินไปจึงทำให้เขาไม่สามารถมองเห็นได้
เหล่าเชลยส่วนใหญ่นั้นบาดเจ็บล้มตาย ไม่ว่าจะบาดเจ็บสาหัสหรือหมดสติ มีหนึ่งคนที่เห็นว่าซ่งจงสามารถต่อกรกับเหลยซานเอ๋อได้ ดังนั้นเขาจึงอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาเพื่อขอความช่วยเหลือ
ดวงตาของเหลยซานเอ๋อเบิกโพลงทันทีเมื่อได้ยินเสียงร้องนั้น จากนั้นนางหยุดกองกำลังของตนเอง จากนั้นนางให้อินทรีย์สายฟ้านำตัวผู้ชายคนนั้นออกมายืนอยู่ต่อหน้าของนางและถามว่า “เจ้ารู้จักน้องซ่งด้วยงั้นหรือ?”
บุรุษผู้นี้ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดจากการต่อสู้และท่าทีของเขาหวาดกลัวอย่างมาก เมื่อเขาได้ยินคำถามจากเหลยซานเอ๋อ เขารีบตอบกลับทันที “ซ่งจงนั้นเป็นอัจฉริยะของสำนักเสวียนเทียน แน่นอนว่าข้ารู้จักเขา!”
“ฮ่าฮ่า ข้ายินดีที่พวกเจ้าได้พบกัน เอาล่ะในตอนนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนไป น้องชายของเจ้าอยู่ในมือของข้า แล้วอย่างไรต่อดี? เจ้าจะยอมแพ้ตอนนี้หรือไม่?”
“ฮ่าฮ่าฮ่า!” เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น “แม้ว่าเราจะเป็นเพื่อนร่วมสำนัก แต่ไม่นับว่าเรารู้จักกันมากนัก อย่างน้อยข้าก็จะไม่ยอมเสียสละตนเองเพื่อช่วยเหลือเขา ถ้าหากเจ้าต้องการใช้ชีวิตของเขามาข่มขู่ข้า ก็จงทำซะสิ!”
“จริงหรือ?” เมื่อเหลยซานเอ๋อได้ยินเช่นนั้น นางรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยแต่ก็ยังกล่าวต่อไป “ถ้าหากข้าฉีกเขาเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยต่อหน้าเจ้า เจ้าจะไม่สนใจเลยงั้นหรือ?” เมื่อนางกล่าวเช่นนั้น นางใช้สายฟ้าเพื่อส่งไปถึงอินทรีย์สายฟ้าที่จับเขาไว้ทันที
อินทรีย์ตนนั้นขยับกรงเล็บของตนเองให้แน่นขึ้นและเจาะลึกเข้าที่ร่างกายของบุรุษผู้นั้น ทำให้เขาร้องไห้ออกมาด้วยความเจ็บปวด เพื่อความอยู่รอดของตนเอง เขาได้แต่ตะโกนออกมา “ศิษย์พี่ซ่ง เรานั้นมาจากสำนักเดียวกัน ได้โปรดช่วยข้าด้วย!”
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม สำนักของพวกเขานั้นถือว่าเหนียวแน่น แม้ว่าจะไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัวและซ่งจงไม่ได้มองเห็นเขา แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสารเมื่อได้ยินเสียงร้องเช่นนั้น จากนี้ต้องกำหนดว่าใครจะเป็นนายหรือสุนัข แต่ก่อนที่จะตีสุนัข สำหรับเหลยซานเอ๋อที่กำลังทรมานศิษย์น้องต่อหน้าเขา เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้เคารพอะไรเขาเลย แล้วเขาจะอดทนกับเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร?
ใบหน้าของซ่งจงเปลี่ยนไปพร้อมกับมองขึ้นไปบนท้องฟ้า ตอนนี้ระฆังทองแดงลอยอยู่เหนือศีรษะของเขาพร้อมกับเหล่าบอลสายฟ้าที่ล้อมรอบไว้ เขาปลดปล่อยจิตสังหารออกไปอย่างรุนแรง พร้อมกับมองที่เหลยซานเอ๋อและกล่าวออกมาอย่างเลือดเย็น “ซานเอ๋อ เจ้าคิดว่าเจ้าจะสามารถเอาชนะข้าได้แน่นอนใช่ไหม?”
เมื่อเห็นซ่งจงพร้อมที่จะต่อสู้และตัดสินด้วยความตาย ซานเอ๋อรู้สึกกระวนกระวายภายในจิตใจอย่างมาก แต่นางไม่สามารถถอยหลังได้อีกแล้ว นางจึงตอบกลับอย่างไม่ยอมแพ้ “ข้าเพียงแค่จัดการกับเชลยของตัวเองเท่านั้น อย่าบอกว่าเจ้าคิดจะแทรกแซงเรื่องนี้?”
“ข้าไม่สนใจเรื่องอื่น แต่เขามาจากสำนักเสวียนเทียนและในฐานะที่ข้าเป็นศิษย์พี่ แน่นอนว่าข้าต้องกังวลเกี่ยวกับเขา!” ซ่งจงตอบกลับ
“ฮ่า! เพียงแค่กับเจ้างั้นหรือ? ข้าต้องการจะเห็นว่าเจ้าจะกังวลกับเขาอย่างไร!” ซานเอ๋อตอบกลับอย่างหงุดหงิด
“ซานเอ๋อ อย่าบีบบังคับให้ข้าต้องทำลายล้างเจ้า!” ซ่งจงกล่าวอย่างเยือกเย็น “ข้ามีสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์มากมายรอบตัวข้า ถ้าหากข้าสั่งให้มันระเบิดพร้อมกันทั้งหมด ไม่เพียงลูกน้องของเจ้าจะตาย แต่เจ้าก็ไม่อาจเอาชีวิตรอดได้!”
เมื่อเหลยซานเอ๋อได้ยินเช่นนั้น การแสดงออกของนางเปลี่ยนไปพร้อมสาปแช่ง “แต่เจ้าก็จะไม่อาจอยู่รอดได้เช่นกัน! ทำไมล่ะ? เจ้าต้องการจะตายไปด้วยกันงั้นหรือ?”
“หากเจ้าไม่ต้องการแสดงความเคารพใดต่อข้า ข้าก็คงไม่มีทางเลือก!” ซ่งจงตอบกลับ “ในฐานะบุรุษ ข้าสามารถตายได้ แต่ไม่สามารถถูกเหยียดหยามได้!”
“เจ้า เจ้า!” เหลยซานเอ๋อโกรธจัดจนคำถามออกมา “มีเพียงคนอื่นเท่านั้นที่จะก้มหัวให้กับเจ้า แต่ไม่ใช่ข้า! ข้ามีลูกน้องนับหมื่นอยู่ตรงนี้และข้าต้องปล่อยตัวเขาเพียงแค่คำพูดของเจ้างั้นหรือ? ถ้าทำเช่นนั้น ข้าจะมีศักดิ์ศรีในการมีชีวิตอยู่ในทะเลตะวันออกต่อไปได้อย่างไร?”
เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ เขารู้ว่าคนที่มีสถานะเช่นนางจะต้องมีปัญหาตามมาอย่างแน่นอนหากทำเช่นนั้น ถ้าหากเขาบังคับให้นางจนมุม นางอาจจะเลือกทางเดินคือต่อสู้กับเขาจนตาย ความจริงแล้วซ่งจงนั้นไม่คิดที่จะต่อสู้กับนางเช่นกัน หนึ่งคือเขาอาจพ่ายแพ้ หรือสองแม้ว่าเขาจะชนะ เขาก็จะต้องจ่ายในราคาที่สูงเช่นกันซึ่งเขาก็ไม่อาจยอมรับได้
แต่เขาก็ไม่อาจทิ้งศิษย์น้องของตนเองไว้เช่นนั้น ดังนั้นทั้งซ่งจงและเหลยซานเอ๋อติดอยู่ในความคิดเช่นนี้ ทั้งสองไม่เต็มใจที่จะต่อสู้กันแต่ก็ไม่อาจถอยหลังได้ สถานการณ์ตอนนี้คือทางตัน
โชคดีที่ซ่งจงนั้นเกิดมาพร้อมกับสติปัญญาอันแหลมคม เขาคิดออกอย่างรวดเร็ว “ฮ่าฮ่า แล้วถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะ พวกเราคนหนึ่งมาจากทะเลตะวันออกและจากเทือกเขาใหญ่ เราทั้งสองอยู่ห่างไกลกันนับหมื่นลี้แต่กลับได้พบกันในวันนี้ เพื่อเป็นความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างเรา เหตุใดเราจึงไม่ยอมแลกเปลี่ยนสิ่งของเพื่อเป็นตัวแทนความสัมพันธ์ของเราล่ะ?”
“แลกเปลี่ยนสิ่งของ? เจ้าหมายความว่าอะไร?”
“สิ่งที่ข้าพูดนั้นง่ายมาก!” ซ่งจงขว้างขวดเล็ก ๆ ให้กับเหลยซานเอ๋อ “นี่เป็นของขวัญจากข้า ถ้าหากว่าเจ้าชอบ จงเก็บมันซะ! ข้าไม่ได้คาดหวังนักหรอกว่าเจ้าจะชอบ แต่เจ้าต้องปลดปล่อยทุกคนที่มาจากสำนักเสวียนเทียน! แบบนี้เป็นเช่นไร?”
สำหรับเหลยซานเอ๋อที่ได้รับขวดที่ซ่งจงขว้างมาให้ นางเปิดมันพร้อมกับอุทานออกมา “น้ำศักดิ์สิทธิ์แห่งองค์ประกอบธาตุทั้งห้า?”
“ไม่ได้มากมายอะไร!” ซ่งจงตอบกลับเรียบๆ
“ฮ่าฮ่า นี่มันยอดเยี่ยมจริง ๆ!” เหลยซานเอ๋อกล่าวพร้อมกับหัวเราะออกมา จากนั้นนางขยิบตาพร้อมกล่าวอย่างเย้าแหย่ “แต่ว่าข้ายังไม่เห็นด้วยกับข้อตกลงของเจ้า เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะหนีไปพร้อมกับของขวัญนี้หรือ? เจ้ารู้ดีว่าเหล่าอินทรีย์สายฟ้าพวกนี้บินได้รวดเร็วมาก เจ้าจะไม่สามารถไล่ตามได้อย่างแน่นอน!” ในขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น นางเริ่มมีท่าทีที่พร้อมจะหลบหนีออกมาจริง
เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาเย้ยหยันพร้อมตอบโต้ด้วยการหยิบดาบอินทรีย์ทองออกมา พร้อมทั้งให้มันเปล่งประกายเจิดจ้าและแสดงท่าทีว่าพร้อมที่จะวิ่งไล่จับนางอย่างแน่นอน
ซ่งจงนั้นเป็นผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิขั้นกลาง รวมกับที่เขามีปราณจิตวิญญาณที่หนาแน่นอย่างมากพร้อมทั้งใช้ดาบบินอินทรีย์ทอง แน่นอนว่าเขาสามารถบินเร็วได้ถึงสามพันลี้ต่อชั่วโมง และสามพันลี้ต่อชั่วโมงคือความเร็วของอินทรีย์สายฟ้า กล่าวก็คือซ่งจงสามารถไล่ล่าพวกเขาได้อย่างสมบูรณ์แบบ แม้ว่าเหลยซานเอ๋อจะต้องการหนีเขาไปจริง แน่นอนว่าเขาจะไล่ล่านางด้วยสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดที่เขามี
ซานเอ๋อเข้าใจอย่างรวดเร็วเมื่อซ่งจงแสดงท่าทีเช่นนั้น นางจะไม่ยินยอมสูญเสียลูกน้องของตนเองเพื่อมนุษย์ห้าสิบคนอย่างแน่นอน ท่าทีของนางอ่อนลงพร้อมกับกล่าวออกมาอย่างเอาใจ “ฮ่าฮ่า ข้าเพียงล้อเล่นเท่านั้น ปล่อยผู้ฝึกตนทั้งหมดซะ!”
เมื่อนางออกคำสั่ง เหล่าอินทรีย์สายฟ้าได้ปล่อยผู้ฝึกตนทั้งห้าสิบคนล่วงหล่นจากท้องฟ้าทันที ซูหยู่และคนอื่นไม่กล้าชักช้า พวกเขาทั้งหมดรีบเข้าไปดูแลเหล่าผู้ฝึกตนที่ร่วงหล่นลงมาอย่างรวดเร็ว
ในขณะนั้น ซ่งจงอยู่ในสภาวะมึนงงอย่างสมบูรณ์ เขาตั้งใจที่จะช่วยเหลือผู้ฝึกตนสองสามคนจากสำนักเสวียนเทียนเท่านั้น เขาไม่รู้ว่าเหลยซานเอ๋อได้ยินคำขอของเขาผิดไปหรือไม่ เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ซ่งจงรู้สึกหดหู่ทันที บุคคลเหล่านี้บาดเจ็บหนักและไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ เพียงแค่หนึ่งหรือสองคน นาวายักษ์ของเขาสามารถรับได้ แต่ถ้าหากมากถึงห้าสิบคนมันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะแบกพวกเขาทั้งหมดกลับไป
ถ้าหากนาวายักษ์ไม่สามารถบรรทุกคนเหล่านี้ได้ แน่นอนว่าทางเลือกคือพวกเขาสามารถบินกลับไปได้อย่างช้า ๆ แต่มีผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนที่บาดเจ็บหลายคน สำหรับการบินย้อนกลับไปหลายพันลี้ เมื่อไหร่กันที่จะถึงจุดหมาย? หากพวกเขาพบเจอกับอุบัติเหตุ ซ่งจงไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องแก้ปัญหาเหล่านี้อย่างไร!
บทที่ 220: แผนการของราชันเหยี่ยวฟ้า
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เหลยซานเอ๋อได้ปล่อยพวกเขาแล้ว เขาก็ไม่อาจขอให้จับพวกเขากลับไปอีกอย่างแน่นอน ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่กัดฟันและยอมรับความจริง!
หลังจากที่เหลยซานเอ๋อปล่อยทุกคนเรียบร้อย นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ซ่งจง วันนี้เป็นวันที่ดีมาก ข้าหวังว่าเราจะได้พบเจอกันอีกในสักวัน!” หลังจากนางกล่าวจบ นางไม่รอให้ซ่งจงกล่าวอะไรตอบพร้อมกับบินจากไปทันที
แน่นอนว่าเหลยซานเอ๋อสามารถบินได้อย่างรวดเร็ว และซ่งจงไม่อาจกล่าวอะไรได้ทัน
ในขณะนั้นเหล่าอินทรีย์สายฟ้าหันหลังกลับมาพร้อมกล่าวกับเหลยซานเอ๋อด้วยภาษามนุษย์ “ลูกพี่หญิง เจ้าไขมันบัดซบนั่นต้องการเพียงศิษย์น้องของเขาเท่านั้น ทำไมท่านจึงปล่อยทุกคนไป? เราจะไม่สูญเสียมากเกินไปหน่อยงั้นหรือ?”
ที่จริงแล้วอินทรีย์สายฟ้าเหล่านี้มีความสามารถเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับจินตัน แม้ว่ามันจะไม่สามารถเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้ แต่พวกมันกลับพูดจาภาษาของมนุษย์ได้ อินทรีย์ตนนี้เป็นน้องชายของเหลยซานเอ๋อ
“เหอะ พวกมันเป็นเพียงมนุษย์ไม่กี่คน แม้ว่าวันนี้เราจะสูญเสีย แต่มันจะสักเท่าไหร่กัน? ไขมันบัดซบนั่นคิดว่าตนเองชนะ แต่อีกสักพักมันจะทราบว่าตัวมันพ่ายแพ้ครั้งใหญ่!”
“จริงหรือ? ลูกพี่หญิงทำไมเจ้าไขมันบัดซบนั่นถึงพ่ายแพ้?”
“เหอะ เจ้ารู้อะไรบ้าง? ถ้าหากข้าปล่อยคนให้มันเพียงสองถึงสามคน แน่นอนว่ามันจะสามารถจากไปโดยง่ายดาย เจ้าไขมันคนนี้มันทำให้ข้าต้องเดินทางอย่างไร้ความหมาย แล้วข้าจะยอมให้มันจากไปโดยง่ายได้อย่างไร? ดังนั้นข้าจึงปล่อยคนทั้งห้าสิบคนไว้กับพวกมัน ด้วยจำนวนคนที่มากเช่นนี้ แน่นอนว่ามันจะไม่สามารถละทิ้งเกาะแห่งนั้นไปได้โดยง่าย อีกทั้งยังไม่สามารถฆ่าทิ้งหรือลืมพวกเขาไว้ข้างหลัง ดังนั้นมันจะไม่มีทางเลือกนอกจากบินกลับไปช้า ๆ! การเดินทางในครั้งนี้ของมันจะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน!”
“มันจะพบปัญหาแบบไหนกัน? ไม่ว่าเจ้าไขมันนั่นจะเคลื่อนที่ได้ช้าเพียงใด มันมีสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์คอยปกป้องอยู่ แล้วเราจะสามารถทำอะไรได้?”
“เจ้าโง่ เจ้าไม่รู้จักการยืมมือคนอื่นเพื่อฆ่ามันหรือไง? แม้ว่าเราจะไม่สามารถต่อกรได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีใครทำได้!”
เขาถูคอของตนเองทันทีหลังถูกตำหนิ แต่เขาก็ยังถามต่อ “แต่เจ้าอ้วนอาจจะเป็นข้อยกเว้นถูกไหม? ถ้าหากอาวุโสของเราไม่สามารถดำเนินการได้ ก็จะไม่มีผู้ใดในจักรวรรดิทะเลตะวันออกจัดการกับมันได้”
เหลยซานเอ๋อไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี นางตอบกลับ “เจ้าโง่ ทำไมจึงเข้าใจยากเย็นเช่นนี้? แม้ว่าเจ้าอ้วนมันจะแข็งแกร่ง แต่มีเพียงเราที่รู้ ตราบใดที่เราปกปิดความจริงไว้และให้ผลประโยชน์กับพวกเขาบ้าง ไม่ต้องกลัวหรอกว่าจะไม่มีผู้ใดจะไม่เข้าไปดูแลเจ้าอ้วนนั่น!”
“อย่างนั้นหรือ? ลูกพี่หญิงวางแผนไว้อย่างไร?”
“เหอะ!” หลังจากคิดสักพัก เหลยซานเอ๋อกล่าวออกมา “เรียกหาฉลามดำ! มันเป็นพวกโง่เง่าไม่รู้จักคิด ดีที่สุดที่เราจะหลอกมัน ไปบอกมันว่าข้าถูกรังแกโดยผู้ฝึกตนนามว่าซ่งจง ถ้าหากเขาสามารถนำหัวของซ่งจงกลับมาได้ ข้าจะเลี้ยงอาหารสักมื้อ!”
“แค่นั้นจะพอหรือ?” เขาถามกลับ
“แน่นอนว่าสิ่งนี้ยังไม่มากพอ! แม้ว่าราชันฉลามดำจะโง่เง่าสักเล็กน้อยแต่เขาก็รู้ว่าอะไรที่มันคุ้มค่า หากเขารู้ว่าเจ้าอ้วนนั่นจัดการได้ยาก เขาคงไม่ต่อสู้กับเจ้าอ้วนจนตายตกไปเพียงเพราะต้องการให้ข้าเลี้ยงอาหาร!” เหลยซานเอ๋อหดหู่ทันที
“ถ้าอย่างนั้นเราจะทำอย่างไร?” เขารีบถาม
จากนั้นเหลยซานเอ๋อตอบกลับอย่างกระทันหัน “เหอะ! หนึ่งต้องจ่ายออกไปบางอย่างเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ! งั้นข้าผู้นี้จะไปคุยกับราชันฉลามดำเอง ถ้าหากเขาสามารถนำศีรษะของซ่งจงมาได้ ข้าจะแต่งงานกับเขา! ข้าเชื่อว่าราชันฉลามดำจะต้องใช้ทุกอย่างที่เขามีเพื่อแต่งงานกับข้า!”
เมื่อน้องชายได้ยินเช่นนั้น เขาตกใจทันที “ลูกพี่หญิง ท่านไม่สามารถทำได้! ท่านเปรียบเสมือนนางฟ้าและมีบุรุษนับพันติดตามท่านอยู่! ทำไมถึงคิดว่าไอ้โง่ฉลามดำเหมาะสมกับท่าน?”
“เหอะ เจ้าจะไปรู้อะไร? มันไม่มีอะไรมากไปกว่าการหลอกล่อเหยื่อ! เจ้าคิดว่าซ่งจงนั้นเป็นคนที่สามารถถูกรังแกได้โดยง่ายงั้นหรือ? มันมีสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในการครองครองมากกว่าห้าพันลูก! มันเพียงพอที่จะทำลายลูกน้องของราชันฉลามดำทั้งหมด และแม้ว่าราชันฉลามจะสามารถนำศีรษะของซ่งจงมา มันจะทำอะไรกับข้าได้หากข้าไม่แต่งงาน? ด้วยกองทัพที่รุ่งริ่งของมันก็คงทำได้เพียงโกรธแค้นข้าเท่านั้น!” เหลยซานเอ๋อกล่าวออกมาอย่างรังเกียจ “และแน่นอนว่าข้าผู้นี้จะเข้ายึดครองพื้นที่ของมันทั้งหมด!”
“โอ้ ลูกพี่หญิงท่านช่างร้ายกาจ!” เขาอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าท่านจะสามารถคิดแผนการเช่นนี้ได้ ข้ายอมรับท่านจริง ๆ!”
“หยุดกล่าวไร้สาระและรีบไปได้แล้ว!”
“ตกลง ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!” เขาพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วเหลือไว้เพียงแสงบาง ๆ ตรงเส้นขอบฟ้าเท่านั้น
กลับมาที่ฉากตรงหน้าของซ่งจงและทีม หลังจากเหลยซานเอ๋อได้จากไป ทุกคนได้ปรบมือให้กับเขา ทั้งหมดแทบจะไม่เชื่อเลยว่าพวกเขาจะสามารถรอดพ้นจากหญิงสาวชั่วร้ายคนนั้นได้ ราวกับว่ามันเป็นปาฏิหารย์ ทุกคนต่างขอบคุณซ่งจงด้วยความซาบซึ้ง แม้แต่หินยังกล่าวคำขอบคุณออกมา
ซูหยู่และซูหยุ่นที่ก่อนหน้านี้กล่าวไว้ว่าถ้าหากรอดพ้นไปได้จะมอบร่างกายให้ซ่งจงกลายเป็นอับอายและขบขัน ทั้งสองรู้สึกอับอายอย่างมากเมื่อต้องมองหน้าซ่งจง ราวกับไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน
เสียงเชียร์ของทุกคนดังขึ้น พร้อมทั้งความอายของทั้งสองก็เพิ่มมากขึ้นด้วย ฝูงชนทำเช่นนี้ราวกับว่าต้องการให้นางกล่าวอะไรสักอย่าง ทั้งสองคนถูกพาตัวไปยืนอยู่ตรงหน้าซ่งจง ใบหน้าของทั้งสองแดงก่ำและร่างกายเริ่มสั่นไหว
เมื่อซ่งจงเห็นเช่นนั้น เขาอดไม่ได้ที่จะหยอกล้อ “ฮี่ฮี่ ศิษย์พี่ ท่านจะต้องรักษาคำพูดของท่านอย่างแน่นอน! ในตอนนี้ข้าทำให้ราชันเหยี่ยวฟ้าเหลยซานเอ๋อจากไปแล้ว ตอนนี้ท่านต้องมอบร่างกายนี้ให้กับข้า!”
“เจ้า!” เมื่อหญิงสาวทั้งสองได้ยินเช่นนั้น พวกนางยิ่งอับอายและไม่สามารถกล่าวอะไรได้อีก สุดท้ายนางตอบกลับมาอย่างโกรธจัด “เจ้าแย่มาก! เห็นได้ชัดว่าเจ้ามั่นใจว่าจะต่อสู้กับเหลยซานเอ๋อได้และเจ้ายังมาล้อเล่นกับพวกข้าอย่างตั้งใจ ทำให้ข้าต้องกล่าวอะไรที่น่าอายเช่นนั้นออกไป!”
“ท่านกล่าวหาข้า! ข้าไม่เคยบังคับให้ท่านทั้งสองกล่าวอะไรเลย! ทุกคนในที่นี้เป็นพยานได้ เห็นได้ชัดว่าท่านทั้งสองกล่าวมันออกมาด้วยตนเอง!”
“ใช่แล้ว!” ตาเฒ่าพิษกล่าวออกมา “ข้าสามารถเป็นพยานได้ว่าเจ้าทั้งสองกล่าวมันออกมาเอง!”
แม้แต่หินก็ยังไม่ได้กล่าวอะไร เขายิ้มให้กับซูหยุนและซูหยู่ เห็นได้ชัดว่าเขาเห็นด้วยกับสิ่งที่ตาเฒ่าพิษกล่าว
ซูหยุนและซูหยูไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไปพร้อมกับตะโกนออกมา “พวกเจ้ากำลังข่มเหงพวกข้า!” จากนั้น พวกนางวิ่งหนีไปพร้อมกับเอาผ้าคลุมใบหน้าไว้
หลังจากนั้นทุกคนก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา สำหรับซ่งจงที่เห็นเช่นนั้นแล้ว เขาก็ไม่คิดจะดันทุรังอะไรมากนัก เขาหัวเราะออกมาพร้อมกับโบกมือ “เอาล่ะ พอได้แล้ว เลิกบังคับนางเถิด มาช่วยสหายของเราดีกว่า!”
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้น พวกเขาไม่ได้กล่าวอะไรต่อพร้อมกับรีบช่วยเหลือเหล่าผู้ฝึกตนที่บาดเจ็บ ผู้คนเหล่านี้บาดเจ็บจากการถูกฟ้าผ่าอย่างสาหัส อาการบาดเจ็บของทุกคนนั้นรุนแรงอยู่ภายในซึ่งจัดการมันได้ยากมาก โชคดีที่มียาอายุวัฒนะที่สามารถเยียวยาทั้งหมดได้ จากนั้นเขาพักฟื้นและเริ่มเข้าสู่สภาวะปลอดภัย
ผ่านไปสามชั่วโมง อาการบาดเจ็บของทุกคนได้รับการเยียวยา ซ่งจงนับจำนวนคน เขาตระหนักได้ว่าทั้งหมดมีห้าสิบเจ็ดคน เป็นผู้ฝึกตนชอบธรรมยี่สิบหกคนและผู้ฝึกตนปีศาจสามสิบเอ็ดคน มีสามคนมาจากสำนักเสวียนเทียนและห้าคนมาจากสำนักพันปีศาจ หลังจากที่ใช้ความพยายามอย่างมาก เขาได้ช่วยเหลือชีวิตของศัตรูมากกว่าเพื่อนร่วมสำนักเสียอีก สิ่งนี้ทำให้ซ่งจงหดหู่ไม่น้อย
อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ช่วยชีวิตของพวกเขาไว้แล้ว ซ่งจงไม่อาจสังหารเขาได้ในตอนนี้ ในสถานที่แห่งนี้ความสัมพันธ์ของเพื่อนร่วมสำนักนั้นมีความสำคัญอย่างมาก หลายคนมาจากสำนักพันปีศาจ มันจะลำบากมากถ้าหากซ่งจงคิดจะสังหารพวกเขา ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่เก็บงำความโกรธนี้ไว้ในใจเท่านั้น
อย่างไรก็ตามที่สิ่งทำให้ซ่งจงนั้นประทับใจอย่างมากก็คือการที่เขาได้ช่วยเหลือศิษย์พี่ระดับจินตันซึ่งมาจากสำนักเสวียนเทียน แม้ว่าเขาจะอยู่ในระดับจินตันขั้นต้น แต่สถานะของเขานั้นโดดเด่นและเป็นศิษย์พี่ สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับเขาอย่างมากในอนาคต เพราะนี่นับได้ว่าเขากลายเป็นหนี้ชีวิตซ่งจงไปเสียแล้ว
นอกจากนี้ สิ่งที่ควรค่าแก่การรู้จักกันไว้ก็คือเขานั้นเป็นเพื่อนของพ่อแม่ซ่งจง พวกเขาอยู่ในรุ่นเดียวกัน เพียงแค่เขาเพิ่งจะเข้าสู่ระดับจินตันเมื่อไม่นานมานี้และถือได้ว่าเป็นลุงอาวุโสของซ่งจง
เกี่ยวกับเรื่องที่เขาได้รับการช่วยเหลือจากศิษย์น้อง ผู้ฝึกตนระดับจินตันผู้นี้มีนามว่า ดันฉิงซี อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่เล็กน้อย การเป็นผู้ฝึกตนระดับจินตันในทะเลตะวันออกสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างสบาย ถึงแม้ว่าจะไม่อาจต่อสู้กับเหล่าอสูรกายได้ แต่เขาควรจะมีความสามารถในการหลบหนี
แต่เมื่อเขาพบกับเหลยซานเอ๋อ ทั้งหมดถูกล้อมรอบและไม่มีโอกาสจะหลบหนี สายฟ้าจากอินทรีย์นั้นร่วงลงมาราวกับเม็ดฝน สมบัติวิเศษของพวกเขาทั้งหมดถูกทำลายอย่างรวดเร็ว เดิมทีเขาคิดว่าเขาได้ตายตกไปแล้ว ไม่เคยคาดหวังว่าจะถูกจับกุมเป็นเชลยเช่นนี้ จากนั้นเหลยซานเอ๋อก็พบกับซ่งจงที่สามารถใช้สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ได้แข็งแกร่งกว่านาง และได้ช่วยเหลือพวกเขาไว้ทั้งหมด เมื่อคิดย้อนไปแล้วดันฉิงซียังคิดว่าตนเองอยู่ในความฝัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ช่วยเหลือเขาไว้ก็คือบุตรชายของเพื่อนร่วมสำนักรุ่นเดียวกัน ทำให้เขารู้สึกตื้นตันอย่างมาก อย่างไรก็ตามแม้จะมีหลายสิ่งที่ต้องการจะพูดคุยกัน แต่พวกเขาไม่มีเวลาจะทำเรื่องเช่นนั้นในตอนนี้ ไม่มีใครรู้ว่าเหลยซานเอ๋อนั้นมีแผนอะไรอีก ดังนั้นทั้งหมดควรจะรีบจากไปโดยเร็วที่สุด! ผู้ที่บาดเจ็บสาหัสนั้นถูกนำขึ้นนาวายักษ์สีดำ ท้ายที่สุดเรือน่าจะรับได้เพียงยี่สิบคน แต่ในตอนนี้มีคนอยู่บนนั้นถึงสี่สิบคน ผู้ฝึกตนที่เหลืออยู่จะต้องบินกลับไปด้วยตนเองแต่ไปด้วยความเร็วที่ต่ำมาก อีกทั้งพวกเขายังต้องพักผ่อนสองถึงสามชั่วโมงหลังจากการบินสักร้อยลี้ แล้วเมื่อไหร่กันกว่าพวกเขาจะกลับถึงบ้านได้?
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น