Chaotic Lightning Cultivation โกลาหลแห่งอัสนีบาต 207-213

 บทที่ 207: อย่าดูถูกสถานที่แห่งนี้


เจ้าอ้วนนั้นไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน นี่มันเวลากลางวันแสก ๆ รวมถึงเป็นการพูดต่อหน้าหญิงสาวของตนเอง ต้องเป็นคนแบบไหนกันจึงจะพูดมันออกมาได้? เขาไม่กลัวหญิงสาวข้างกายจะโกรธงั้นหรือ? เมื่อคิดเช่นนี้เจ้าอ้วนไม่เร่งรีบที่จะตอบกลับ เขามองไปที่ผู้ฝึกตนหญิงสาวผู้นั้นเพื่อดูปฏิกิริยาของนาง


เมื่อหญิงสาวเห็นสถานการณ์เช่นนี้ นางเอามือปิดปากพร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นนางกล่าวออกมาอย่างเอาอกเอาใจ “ดูสิว่าเขาโง่แค่ไหน ราวกับมนุษย์เพิ่งออกมาจากถ้ำครั้งแรก เขาทำราวกับว่ามันเป็นเรื่องใหญ่อะไรอย่างนั้นแหละ”


เจ้าอ้วนไม่เคยคาดคิดว่าอีกฝ่ายจะให้อิสระกันถึงเพียงนี้ ราวกับว่าเรื่องบนเตียงของนางนั้นเป็นสิ่งที่เล็กน้อยเท่านั้น มันก็เป็นเพียงการกินอาหารจานหนึ่ง พฤติกรรมเช่นนี้นางมาจากหอเฉวียนจี้จริงงั้นหรือ? สิ่งที่นางกำลังทำอยู่นั้นราวกับว่านางมาจากสำนักพันปีศาจ!


เมื่อคิดได้เช่นนี้ เจ้าอ้วนคิดในใจกับตนเอง ‘เดี๋ยวก่อนนะ หรือว่าหญิงสาวผู้นี้ไม่ได้มาจากหอเฉวียนจี้แต่ว่ามาจากสำนักพันปีศาจจริงๆ?’


เพื่อยืนยันความคิดของตนเอง เจ้าอ้วนถามออกไปอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าขอถามอะไรสักอย่างได้หรือไม่ เจ้ามาจากหอเฉวียนจี้หรือว่าสำนักพันปีศาจ?”


“ฮ่าฮ่า!” เมื่อนางได้ยินเช่นนั้น นางระเบิดเสียงหัวเราะก่อนจะตอบกลับ “หนุ่มน้อย เจ้าไม่รู้งั้นหรือว่าทะเลตะวันออกนั้นไร้กฏใด? แน่นอนว่าข้ามาจากหอเฉวียนจี้ แต่ข้าก็มีความต้องการไม่ต่างจากสตรีที่มาจากสำนักพันปีศาจ ทำไมหรือ? เจ้าดูเหมาะสมกับข้าดีนะ เราลองหาที่เงียบ ๆ เพื่อเล่นกันดูสักครั้งไหม?”


“อ๋อเป็นเช่นนี้!” เจ้าอ้วนเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดทันที เขาโบกมือพร้อมตอบกลับ “ข้าขอโทษด้วย ข้าไม่ชอบเล่นกับอีตัว!”


แท้จริงแล้วที่เขากล่าวออกไปเช่นนั้น เพียงเพราะเขาโกรธ แม้ว่ามู่ซื่อหรงจะทำตัวเหมือนพวกนาง แต่แน่นอนว่านางเป็นภรรยาของเขา สองคนนี้ต้องการให้เขานอกใจนาง แล้วเขาจะทำเช่นนั้นเพื่ออะไรกัน? ดังนั้นเขาจึงกล่าวออกไปอย่างไร้ความปราณี


เมื่อเจ้าอ้วนกล่าวเช่นนั้น ใบหน้าของทั้งสองเปลี่ยนทันที โดยเฉพาะผู้ฝึกตนหญิงสาว นางคำรามออกมา “ไอ้บัดซบ เจ้ากล้ามากที่หักหน้าข้า!”


“มันถือเป็นความอัปยศงั้นหรือ? หรือว่าข้าไม่สามารถทำได้?” เจ้าอ้วนยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ


“สารเลว แกมันคนไร้ยางอาย!” ผู้ฝึกตนปีศาจคนอื่นตะโกนออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “นายน้อยของข้าต้องการที่จะแลกเปลี่ยนกับเจ้า ให้เกียรติเจ้า แต่เจ้ากลับทำเช่นนี้ แน่นอนว่ามันคือการท้าทาย! บัดซบ นี่เจ้ากำลังดูถูกข้างั้นหรือ?”


“ถูกต้อง!” เจ้าอ้วนตอบกลับอย่างเขร่งขรึม “ทุกคนที่มาจากลัทธิเต๋าจะดูถูกพวกเจ้า!”


ผู้ฝึกตนจากสำนักปีศาจใบหน้ากลายเป็นสีเขียวพร้อมกับหยิบเอาดาบบินของตนเองออกมา ในขณะที่เขาเหวี่ยงมัน เขาคำรามออกมาว่า “ข้าผู้นี้จะทำให้เจ้ากลายเป็นง่อยไปเสียในวันนี้!”


ทว่าเด็กเหลือขอผู้นั้นที่กำลังเหวี่ยงดาบ แน่นอนว่าเขาต้องการให้เจ้าอ้วนตกใจเท่านั้น เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าตนเองจะต้องถูกโจมตีเพราะเจ้าอ้วนนั้นเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว


เจ้าอ้วนพุ่งไปด้านหน้าพร้อมกับยกขาของเขาขึ้นเหมือนในครั้งที่เขาทำกับพี่รองยิน การเตะนั้นพุ่งเข้าที่กล่องดวงใจของผู้ฝึกตนปีศาจอย่างรุนแรง อีกฝ่ายไม่มีโอกาสแม้แต่จะหลบเพราะไม่คาดคิดว่าเจ้าอ้วนจะเคลื่อนไหวได้รวดเร็วเช่นนี้ เขาไม่มีโอกาสป้องกันใดและรวมกับความเร็วที่เจ้าอ้วนมี แน่นอนว่าใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีเขียวพร้อมกับพุ่งทะยานขึ้นฟ้าไป


เขาถูกส่งให้บินไปไกลหลายร้อยฟุต หลังจากนั้นเขาล่วงลงพื้นพร้อมกับกลิ้งไปอีกสองถึงสามตลบก่อนจะหยุดลง หลังจากนั้นเขาตะโกนออกมาด้วยความเจ็บปวด “อา ไม่นะ อา! เจ้าบัดซบ ทำไมเจ้าต้องเตะตรงนี้?”


“ฮี่ฮี่ ข้าเพียงชอบตำแหน่งนี้ที่สุดเท่านั้น!” เจ้าอ้วนหัวเราะอย่างสบายใจ “ความรู้สึกที่ได้เป็นขันที มันดีหรือไม่?”


เมื่อผู้ฝึกตนปีศาจได้ยินเช่นนั้น เขาโกรธจัดทันที อย่างที่ฝูงชนได้เห็นสถานการณ์ทั้งหมดระเบิดเสียงหัวเราะออกมา เห็นได้ชัดว่ามีผู้คนมากมายที่ชื่นชอบความเจ็บปวดของผู้อื่น


การแสดงออกของหญิงสาวเปลี่ยนไปทันที นางตัดสินเจ้าอ้วนผ่านการเตะเมื่อครู่และท่าทีที่เย่อหยิ่ง นางจึงมั่นใจได้ว่าเจ้าอ้วนไม่ใช่บุคคลธรรมดา ถ้าหากเขาไม่มีผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง เขาจะกล้าทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร? นางเก็บความโกรธแค้นไว้ในใจพร้อมถามออกไปอย่างเรียบง่าย “เจ้าอ้วน จงบอกชื่อของเจ้ามาได้หรือไม่?”


“ซ่งจง!” เจ้าอ้วนตอบกลับอย่างไม่สนใจ “ข้าซ่งจงนักบวชแห่งเต๋าพร้อมที่จะส่งอีตัวอย่างพวกเจ้าไปสู่ความตาย!”


“ว่าอะไร?” เมื่อหญิงสาวได้ยินเช่นนั้น นางถอนลมหายใจเย็นออกมาและกล่าวว่า “เจ้าเป็นผู้ฝึกตนสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักเสวียนเทียนใช่หรือไม่ กล่าวกันว่าเจ้าสามารถส่งสายฟ้าออกไปได้เพียงสะบัดนิ้วเท่านั้น?”


“นั่นแหละข้า!” เจ้าอ้วนกล่าวพร้อมกับหัวเราะอย่างเยือกเย็น “ทำไม? เจ้ายังโกรธข้าอยู่งั้นหรือ? เจ้าอยากจะเล่นกับข้าอยู่หรือไม่?”


“ข้าไม่กล้า!” เห็นได้ชัดว่านางตระหนักได้ถึงชื่อเสียงของเจ้าอ้วนเป็นอย่างดีและนางรีบกล่าวเสริมอย่างรวดเร็ว “ภายในหอเฉวียนจี้ เจ้าอยู่ในหัวข้อสนทนาเสมอ เจ้าต่อสู้กับผู้ฝึกตนปีศาจนับสิบเพียงคนเดียวตลอดทั้งคืนและปกป้องหานปิงเอ๋อจากพวกนั้น จากนั้นเจ้าสังหารผู้ฝึกตนระดับจินตัน และสร้างการบาดเจ็บสาหัสให้กับผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่ทุกคนทราบดี! ข้ารู้ว่าข้าไม่อาจเทียบกับเจ้าได้และจะไม่ล่อลวงให้เจ้ามาร่วมการละเล่นกับข้าอีกต่อไป!”


ในขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น นางถอยหลังไปหาผู้ฝึกตนที่ได้รับบาดเจ็บและเริ่มช่วยเหลือเขา จากนั้นนางกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “แต่เจ้าก็ไม่ควรจะได้ใจมากเกินไป ที่แห่งนี้คือทะเลตะวันออกและไม่ใช่สำนักเสวียนเทียน! บุคคลที่เจ้าสร้างความบาดเจ็บให้นี้เขามีพี่ชายอยู่ในระดับจินตัน! เหอะ รอเวลาที่เขาจะไล่ล่าเจ้าแล้วกัน!” ในขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น นางไม่ได้รอคำตอบใดจากเจ้าอ้วนพร้อมกับใช้ดาบบินเพื่อออกจากสถานที่แห่งนี้ทันที


ในขณะนั้นผู้ฝึกตนนับร้อยจ้องมองมาที่เจ้าอ้วนเป็นสายตาเดียวกัน สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความอิจฉา แต่บางคนก็มองเขาด้วยสายตาที่ชื่นชม อย่างไรก็ตามยังมีคนจำนวนมากที่มองเขาด้วยแววตาสมเพช แน่นอนว่าทุกคนต่างคิดไปทางเดียวกันว่าเจ้าอ้วนจะไม่ได้มีช่วงเวลาที่สงบสุขในทะเลตะวันออก เมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนระดับจินตันแล้วเจ้าอ้วนนั้นเทียบไม่ได้เลย


แต่เจ้าอ้วนไม่สามารถใส่ใจกับสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้ได้ เขาเพียงแต่กล่าวออกมาเบา ๆ “เจ้าคิดว่าเพียงผู้ฝึกตนระดับจินตันจะสามารถทำให้ข้าหวาดกลัวได้งั้นหรือ? น่าขัน!” ในขณะที่เขากล่าวจบ เขาไม่พูดสิ่งใดต่อนอกจากเดินออกไปพร้อมกับมู่ซื่อหรง


ไม่กี่นาทีถัดมา เจ้าอ้วนและมู่ซื่อหรงมาหยุดอยู่ที่อาคารใหญ่ที่ยอดภูเขา สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่ผู้ฝึกตนระดับจินตันนามว่าฮัวอาศัยอยู่


หลังจากที่พบกับยามหน้าประตูและรายงานตัวเพื่อเข้าพบ มู่ซื่อหรงและเจ้าอ้วนรีบเข้ามาด้านในทันที ทั้งสองมองเห็นลูกชายคนโตของนักบวชฮัวอวิ๋นนามว่าฮัวนั่งอยู่ภายในห้องนั่งเล่น


ฮัวนั้นเป็นชายวัยกลางคนที่ดูสง่างาม เห็นได้ชัดว่าเขาไม่มีบุคลิกที่ดื้อรั้นอย่างเช่นนักบวชฮัวอวิ๋น แต่เขาดูฉลาดและเจ้าเล่ห์อย่างมาก หลังจากที่ได้เห็นเจ้าอ้วนและมู่ซื่อหรงเข้ามา เขาทักทายทั้งสองอย่างอบอุ่นราวกับพี่น้อง ซึ่งทำให้เจ้าอ้วนรู้สึกอบอุ่นหัวใจอย่างมาก


เจ้าอ้วนถึงกับอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาภายในใจ ‘ช่างเป็นบุคคลที่น่าเกรงขาม!’


หลังจากที่ส่งจดหมายที่นักบวชฮัวอวิ๋นเขียนมาให้ ฮัวอ่านอย่างรวดเร็วพร้อมกับเก็บมันไว้ จากนั้นเขากล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “แม้ว่าศิษย์น้องซ่งจงจะดูเหมือนไม่มีอะไรมาก แต่แท้จริงแล้วเจ้าเป็นคนที่แข็งแกร่ง ต่อสู้กับผู้ฝึกตนสี่คนด้วยตัวคนเดียว อีกทั้งยังสังหารสามคนและสร้างการบาดเจ็บสาหัสหนึ่งคน! และหนึ่งในนั้นเป็นผู้ฝึกตนระดับจินตันเสียด้วย สวรรค์! นานแล้วที่ไม่มีอัจฉริยะปรากฏตัวขึ้นในสำนักเสวียนเทียน!”


“ท่านเยินยอข้าเกินไปแล้ว!” เจ้าอ้วนตอบกลับอย่างถ่อมตัว “ข้าได้เปรียบตรงที่การจู่โจมอย่างรวดเร็วเท่านั้น!”


“ผลลัพธ์ของการต่อสู้นั้นถือว่าเป็นความสามารถของเจ้า! ด้วยความแข็งแกร่งที่เจ้ามี แน่นอนว่าสถานที่แห่งนี้จะเป็นที่ที่เจ้าสามารถแสดงฝีมือได้อย่างเต็มที่!” ฮัวกล่าวออกมาพร้อมกับหัวเราะ “ข้ากล้าพูดได้เต็มปากว่าสถานที่แห่งนี้มันเหมาะกับเจ้าอย่างมาก!”


“จริงหรือ?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาหัวเราะออกมาอย่างขื่นขม “แต่ข้ายังไม่เห็นอะไรดี ๆ ในสถานที่แห่งนี้เลย”


“ว่าอะไร? เจ้าพบกับคนที่สร้างปัญหาให้กับเจ้าแล้วหรือ?” ฮัวรีบถามออกมาอย่างรวดเร็ว


“มันก็ไม่ได้เป็นปัญหามากนัก” เจ้าอ้วนลังเลก่อนจะกล่าวต่อ “เมื่อข้ามาถึง ข้าพบกับหนุ่มสาวคู่หนึ่งพยายามจะขอแลกเปลี่ยนคู่นอนกับข้า แล้วข้าจะยอมให้ไอ้สารเลวนั่นรังแกมู่ซื่อหรงได้เช่นไร? ดังนั้นข้าจึงสั่งสอนบทเรียนให้กับเขาเล็กน้อย ข้าไม่เคยคาดหวังว่าเขาจะบอกว่าเขามีพี่ชายอยู่ในระดับจินตันก่อนที่ทั้งสองจะออกไป เขาขอให้ข้าทำความสะอาดร่างกายให้ดีเพื่อรอรับความตาย! ข้าไม่มีอะไรจะกล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้”


“มันสารเลวจริง ๆ บุคคลเช่นนี้มีมากขึ้นเรื่อย ๆ เกินกว่าจะรับมือไหว!” ฮัวคำรามออกมา “ไม่ต้องสนใจเขา ข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้เจ้าเอง!”


“ไม่เป็นไรมิได้ ให้เขาค้นพบตัวข้าก่อน เขาเป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับจินตันไม่ใช่หรือ? หรือว่ามันไม่เหมือนกับผู้ฝึกตนระดับจินตันทั่วไปที่ข้าเคยพบเจอ?” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างขมขื่น “ข้าสามารถใช้เขาเพื่อต่อสู้ให้ความยุติธรรมของตัวข้าเอง!”


เมื่อฮัวได้ยินเช่นนั้น เขาไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีพร้อมกับกล่าวออกมาอย่างขมขื่น “ศิษย์น้อง เจ้าอย่าได้ดูถูกผู้คนที่นี่ ทะเลตะวันออกเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตราย ผู้ฝึกตนที่นี่ต่อสู้กันทุกวัน พวกเขามีคู่หูที่ยอดเยี่ยมและเข้าขากันได้อย่างดี เจ้าไม่สามารถนำพวกเขาไปเปรียบเทียบกับการต่อสู้ที่ยุติธรรมในเทือกเขาใหญ่ที่เคยอาศัยอยู่ได้ แม้ว่าเจ้าจะสามารถรับมือกับผู้ฝึกตนระดับจินตันภายในสำนักเสวียนเทียนได้ แต่ในสถานที่แห่งนี้นั้นไม่เหมือนกัน!”


“จริงหรือ?” เจ้าอ้วนถามออกไปด้วยความสับสน


“แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องจริง!” ฮัวตอบกลับด้วยความรู้สึกขื่นขม “หรือเจ้าคิดว่าข้าจะทำร้ายเจ้างั้นหรือ?”


“ฮี่ฮี่ ข้าขออภัย ศิษย์น้องคิดมากเกินไปเท่านั้น!” เจ้าอ้วนรีบขอโทษอย่างรวดเร็ว


“เอาล่ะ ไม่เป็นไร มันเป็นเรื่องธรรมดาที่เจ้าจะเย่อหยิ่ง แต่อย่าลุ่มหลงในความยโสของเจ้ามากนัก เพราะเจ้ามีเพียงชีวิตเดียว มันจะไม่เหลืออะไรเลยถ้าหากเจ้าตายตกไป!” ฮัวเตือนอีกครั้ง


“ขอบคุณศิษย์พี่สำหรับคำสอน!” เจ้าอ้วนกล่าวอย่างน้อบน้อมหลังจากนั้นเขาถามว่า “ศิษย์พี่ ทำไมในสถานที่แห่งนี้ทุกคนดูแปลกประหลาด? แม้แต่สตรีจากหอเฉวียนจี้ยังทำตัวราวกับมาจากสำนักพันปีศาจ? ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?”


“เฮ้อ เรื่องมันยาว!” ฮัวถอนหายใจออกมาพร้อมกับเริ่มอธิบายให้เจ้าอ้วนฟัง


ภายในทะเลตะวันออก อันตรายนั้นเกิดขึ้นทุกวันและมากมายกว่าที่ตำนานได้กล่าวไว้ แม้ว่าตำนานจะกล่าวไว้ว่าเจ็ดในสิบจะต้องตายตกไปเมื่อมายังสถานที่แห่งนี้ หรือมายังสถานที่แห่งนี้สิบคนจะได้กลับมีชีวิตออกไปเพียงสาม แต่ความจริงก็คือสถิติเหล่านี้เป็นเพียงเรื่องโกหกเท่านั้น เพราะความจริงมีเพียงหนึ่งในสิบเท่านั้นที่จะมีชีวิตรอดและได้กลับออกไป


บทที่ 208: เจ้าพวกนิสัยเสีย!


ข้อเท็จจริงในเรื่องที่เหล่าอาวุโสระดับสูงในสำนักแจ้งว่าอัตราการตายอยู่ที่เจ็ดในสิบ คือสิ่งที่มีไว้เพื่อล่อลวงให้เหล่าศิษย์ในสำนักเดินทางมายังทะเลตะวันออก อย่างไรแล้วเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ยากโป้ปด เพราะท้ายที่สุดแล้วมีเพียงน้อยคนนักจะทราบว่าแท้จริงแล้วทะเลตะวันออกเป็นเช่นไร แม้จะมีผู้ที่ได้กลับมาน้อยลงสักหน่อย อย่างมากก็ยกอ้างความโชคร้ายไป ข้อเท็จจริงและหลักฐานให้สืบสาวล้วนไม่มี


แต่พอพวกเขาได้มาถึงสถานที่จริง พวกเขาจะได้ทราบทันทีว่าไม่ใช่คำหลอกลวง ความตายเกิดขึ้นได้ง่ายดายในทะเลตะวันออก ผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งหากอยู่ที่โลกภายนอกนี้ไม่มีค่าแตกต่างอะไรไปกว่าอาหารของเหล่าอสูรกายที่อาศัยในที่นี้ ทุกวันจะต้องมีผู้ฝึกตนตายตกและยังไม่รวมถึงผู้ที่ได้รับบาดเจ็บอีกมากมาย


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แน่นอนว่าคนที่อาศัยอยู่ที่นี่มักจะรู้สึกสิ้นหวังอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อความตายอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อม พวกเขาทั้งหมดเริ่มควบคุมสติของตนเองไม่ได้ เพื่อเพิ่มโอกาสการอยู่รอด ไม่ว่าจะเป็นวิธีการใด แม้ว่ามันจะหมายถึงการขายร่างกายของตนเอง แต่ถ้าหากมันนำพาชีวิตไปสู่อนาคตได้พวกเขาก็จะทำมัน สุดท้ายแล้วไม่มีบุรุษหรือสตรีคนใดที่ต้องการรักษาพรหมจรรย์ไว้จนถึงวันตาย


ภายในทะเลตะวันออก มีผู้คนมากมายทั้งผู้ฝึกตนชอบธรรมและผู้ฝึกตนปีศาจ ทำให้สถานที่แห่งนี้มีบรรยากาศที่เลวร้ายมากยิ่งขึ้น อีกทั้งที่นี่ยังไร้กฏเกณฑ์ใด ความกังวลเดียวของพวกเขาคือการสังหารอสูรกาย ตราบใดที่สามารถทำภารกิจได้สำเร็จ จะไม่มีใครสนว่ามีผู้ใดต่อสู้กันจนถึงแก่ความตาย


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ผู้ฝึกตนปีศาจมักจะอาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม ในทางกลับกันเหล่าผู้ฝึกตนชอบธรรมจะกลายเป็นภาระของพวกเขา ดังนั้นผู้ฝึกตนชอบธรรมจึงไม่จำเป็นต้องทำตัวชอบธรรมอีกต่อไปเพื่อการอยู่รอดของตนเอง เมื่อเวลาผ่านไปบรรยากาศทั้งหมดจึงถูกเปลี่ยนให้เลวร้ายอย่างที่เห็นในวันนี้


หลังจากที่ฟังฮัวจิงซืออธิบาย เจ้าอ้วนเหงื่อท่วมร่างกายพร้อมหายใจอย่างยากลำบาก เขาถามออกมาอย่างอดทนไม่ได้ “อย่างนั้นก็หมายความว่าที่ทะเลตะวันออกไม่มีอะไรผิด?”


“ใช่แล้ว เป็นเช่นนั้น!” ฮัวจิงซือกล่าวออกมาอย่างขื่นขม “ความจริงแล้ว ทะเลตะวันออกนั้นสามารถอยู่รอดได้ถ้าหากแข็งแกร่งมากพอ ถ้าหากเจ้าเป็นเช่นนั้น เจ้าสามารถสังหารคนที่เดินไปมาบนถนนได้โดยไม่มีผู้ใดสนใจ อีกทั้งยังสามารถคว้าสตรีที่เจ้าชอบมาจากผู้อื่นได้ถ้าหากไม่เกรงกลัวการแก้แค้นในอนาคต กล่าวก็คือทุกอย่างสามารถเป็นไปได้ และสถานที่แห่งนี้ผู้ฝึกตนปีศาจนั้นแข็งแกร่งที่สุด!”


“สวรรค์ ถ้าหากเป็นเช่นนี้ ก็เป็นเรื่องยากที่ผู้ฝึกตนชอบธรรมจะอาศัยอยู่ที่นี่?” เจ้าอ้วนขมวดคิ้ว


“เป็นเช่นนั้น ถ้าหากพวกเขายึดติดกับกฏของตนเอง แน่นอนว่ามันยากมากที่จะอาศัยอยู่ที่นี่ และสำนักชอบธรรมนั้นมีกฏที่ต้องปฏิบัติ แต่กลับถูกส่งตัวมายังทะเลตะวันออกที่เต็มไปด้วยผู้คนจากสำนักปีศาจ เขาจึงต้องกระทำตนเช่นนั้นแม้ว่าต้องทำลายกฏของสำนักก็ตาม” ฮัวจิงซือกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “ข้าเชื่อว่าจ้าวสำนักจะต้องบอกเรื่องนี้กับเจ้าก่อนที่เจ้าจะเดินทางมาที่นี่ ใช่หรือไม่?”


“เขาทำเช่นนั้น แต่ข้าไม่เข้าใจความหมายจนกระทั่งข้ามายืนอยู่ตรงนี้!” เจ้าอ้วนเม้มปากพร้อมเผยรอยยิ้มออกมา “ทั้งท่านและจ้าวสำนักได้กล่าวถูกต้องแล้ว สถานที่แห่งนี้เหมาะกับข้า!”


“ฮ่าฮ่า ข้าบอกแล้ว!” ฮัวจิงซือหัวเราะออกมา “เจ้ามีความแข็งแกร่งและไหวพริบ อีกทั้งยังได้ข้าสนับสนุน แน่นอนว่าเจ้าจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสนุกสนานในที่แห่งนี้ แต่ว่า…”


“แต่อะไร?” เจ้าอ้วนรีบถาม


“แต่ในทะเลตะวันออก เจ้าไม่สามารถรุกรานได้ทุกคน มีสามคนที่เจ้าจะต้องหลีกเลี่ยงเพราะแม้แต่ข้าก็ไม่อาจช่วยเหลือได้!” ฮัวจิงซือกล่าวออกมาอย่างจริงจัง “เมื่อต้องเข้าพบกับบุคคลเหล่านี้ เจ้าจะต้องอ่อนน้อมให้มากที่สุด เข้าใจหรือไม่?”


“พวกเขาเป็นใคร?” เจ้าอ้วนถามออกไปอย่างช่วยไม่ได้


“พวกเขาจะเป็นใครได้ล่ะ? นอกเหนือจากสามปีศาจแห่งทะเลตะวันออก ข้าเกรงกลัวแค่พวกเขาเท่านั้น!” ฮัวจิงซือกล่าวออกมาอย่างขื่นขม


“สามปีศาจแห่งทะเลตะวันออก?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาถามอีกครั้ง “ใครกัน?”


“สามปีศาจแห่งทะเลตะวันออกนั้นเติบโตมาในสถานที่แห่งนี้ พวกเขาอยู่ในระดับจินตันขั้นสูงสุดและสามารถโจมตีผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินได้ทุกเมื่อ ร่างกายของพวกเขาเต็มไปด้วยจิตสังหารที่รุนแรง พวกเขามีปราณจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งและการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม แม้กระทั่งสามารถต่อกรกับผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินได้ จิตสังหารของพวกเขาส่งผลกระทบอย่างรุนแรงกับคู่ต่อสู้ แต่นั่นหมายความว่าทั้งสามจึงไม่เข้าใจกฏแห่งสวรรค์ ดังนั้นท้ายที่สุดพวกเขาอยู่ในสภาวะตีบตันและไม่อาจก้าวข้ามผ่านไปได้!” ฮัวจิงซือกล่าวออกมา “แต่ถ้าหากทั้งสามคนสามารถประสบความสำเร็จได้ แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินอายุร้อยปียังต้องยอมศิโรราบให้กับทั้งสามอย่างแน่นอน!”


“ผู้ฝึกตนระดับจินตันสามารถต่อกรกับผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินงั้นหรือ?” เจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาถามออกมาอย่างไม่เข้าใจ “พวกเขาเป็นใครกันแน่? เหตุใดจึงขวางโลกเช่นนี้?”


“สามปีศาจแห่งทะเลตะวันออกก็คือไม่หยินไม่หยาง เหลียวเซียวเย่า ไม่หญิงไม่ชาย ฉิงชิงเหยา และไม่ดีไม่ร้าย ฉงลั่วเหยา!” ฮัวจิงซือกล่าวด้วยรอยยิ้ม


เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ฮ่าฮ่า ชื่อของพวกเขาแปลกยิ่งนัก เหตุใดพวกเขาจึงตั้งฉายาของตนเองเช่นนั้น?”


“แน่นอนว่ามันมีเหตุผล!” ฮัวจิงซือยิ้ม “ตัวอย่างเช่น ไม่หยินไม่หยาง เหลียวเซียวเย่า ที่ถูกตั้งเช่นนี้เพราะร่างกายของเขานั้นมีการกลายพันธุ์ เขามีทั้งเพศหญิงและเพศชาย นอกจากนี้แต่ละร่างของเขายังฝึกฝนไม่เหมือนกัน เคล็ดวิชาที่เขาใช้เรียกว่า เคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์หยินหยางประสาน! เป็นเคล็ดวิชาที่มาจากสำนักพันปีศาจ การฝึกฝนวิชานี้ทำให้ร่างกายของเขาต่อต้านมันอย่างมาก นั่นส่งผลให้เขาชื่นชอบทั้งบุรุษและสตรี ในทุกวันเขาจะต้องหลับนอนร่วมกับบุรุษสตรีถึงสามคนเขาจึงจะพอใจ ถ้าไม่เช่นนั้นอารมณ์ของเขาจะไม่มั่นคงและสังหารทุกคนโดยปราศจากเหตุผล!”


“เขาแปลกจริง ๆ” เจ้าอ้วนขำออกมาอย่างช่วยไม่ได้


“มันไม่สำคัญว่าเขาจะแปลกแค่ไหน แต่เขานั้นลุ่มหลงในกามอย่างมาก ถ้าหากเขาชื่นชอบใคร เขาสามารถทำได้ทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ” ฮัวจิงซือกล่าวออกมา “เจ้าทั้งสองนั้นยังไม่อยู่ในเป้าหมายของเขา ข้าขอแนะนำว่าจงหลีกหนีเขาให้ไกลที่สุดถ้าเป็นไปได้ ดีที่สุดถ้าเขาไม่เห็นเจ้าถ้าไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหาตามมาอย่างใหญ่หลวง!”


สันหลังของเจ้าอ้วนเย็นวาบขึ้นมาทันทีพร้อมกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว “เราจะโชคร้ายถ้าหากพบเจอกับเขา ถูกต้องไหม?”


“อืม สำหรับเจ้าแล้วคงจะไม่!” ฮัวจิงซือยิ้มออกมา “สามปีศาจแห่งทะเลตะวันออกล้วนแต่เป็นคนดังและเขาไม่ค่อยออกมาด้านนอกเท่าไหร่นัก ถ้าหากพวกเขาออกมา แน่นอนว่ามันจะเกิดความปั่นป่วนและเจ้าจะรู้ได้ทันทีว่าเขามาแล้ว สิ่งที่เจ้าต้องทำมีเพียงอย่างเดียวคือวิ่งหนีไปให้ไกลที่สุด!”


“ยอดเยี่ยม!” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าอ้วนผ่อนคลายลงและถามต่อ “แล้วไม่หญิงไม่ชาย ฉิงชิงเหยา?”


“โอ้ เจ้ารู้จักเคล็ดวิชาพิเศษที่เกี่ยวกับการละทิ้งตนเองบ้างหรือไม่?” ฮัวจิงซือถามออกมา


“คิดว่ารู้ ข้าคิดว่ามันคือเคล็ดวิชาลับหยินหยาง!” เจ้าอ้วนกล่าวพร้อมกับไตร่ตรองไปอย่างช้า ๆ “ข้าเข้าใจว่าสหายผู้นี้คงจะฝึกมันและแยกมันออกจากกันดังนั้นเขาจึงถูกเรียกว่าไม่หญิงไม่ชาย!”


“ถูกต้องเป็นเช่นนั้น!” ฮัวจิงซือกล่าวออกมา “เมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าจะต้องระวังเป็นอย่างมาก เพราะเขานั้นเชื่อมั่นในตนเองต่ำมาก ฉิงชิงเหยานั้นเกลียดคนที่มีกล้ามเนื้อเยอะ ทุกครั้งที่เขาพบเจอบุรุษที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ เขาจะเสียสติทันที ในตอนนี้มีผู้คนมากมายในทะเลตะวันออกที่ต้องทนทุกข์ทรมานภายใต้เงื้อมมือของเขา ไม่ว่าอย่างไร เจ้าจงระวังตัวไว้ให้ดี!”


“แน่นอนว่าข้าจะระวังตัว!” เจ้าอ้วนเช็ดใบหน้าชุ่มเหงื่อของเขาด้วยท่าทีอ่อนแรงพร้อมกล่าวต่อ “ข้าจะไม่ปล่อยให้เขามีโอกาสได้พบเจอข้าอย่างแน่นอน!”


“เจ้าเข้าใจนับเป็นเรื่องดี!” ฮัวจิงซือกล่าวต่อ “ส่วนทางด้านไม่ดีไม่ร้ายฉงลั่วเหยา คงไม่พูดถึงนั้นไม่ได้ เขาเป็นคนที่อารมณ์ประหลาดในบางเวลา บางครั้งเขาคล้ายเป็นนักบุญเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม แต่บางครั้งเขาก็ชั่วร้ายราวปีศาจ! หากเจ้าพบเจอเขาในคราบนักบุญ เขาจะสอนสั่งและแนะนำสิ่งที่ดีให้กับเจ้าอย่างมากมาย แต่หากเขาอารมณ์แปรปรวน เขาอาจสังหารผู้คนเพื่อความสนุก! เมื่อมีสภาพเช่นนี้ ทางที่ดีหากเขาบ้าคลั่งอยู่จงถอยหนีให้ห่าง เพราะเจ้าจะไม่รู้เลยว่าวินาทีถัดไปเขาจะหั่นเจ้าเป็นชิ้นหรือให้คำชี้แนะแก่เจ้า!”


“ศิษย์เข้าใจแล้ว!” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขากล่าวออกมาอย่างขื่นขม “ปีศาจแห่งทะเลตะวันออกนี้คงอยู่มาได้เพราะชื่อเสียงของพวกเขา ทั้งหมดนั้นประหลาดเกินไป! เหตุใดจึงต้องมีคนประเภทนี้อยู่ในสถานที่แห่งนี้เสมอ? อย่าบอกข้านะว่าสถานที่แห่งนี้ไม่เหมาะกับคนปกติ?”


“ฮ่าฮ่า มีคนธรรมดาทั่วไปอยู่เต็มพื้นที่ในเทือกเขาที่เจ้าจากมา แต่สามปีศาจแห่งทะเลตะวันออกเขาอยู่ที่นี่จนเป็นเรื่องปกติ และคนปกติที่เจ้ากำลังพูดถึงอยู่นั้น สักวันเขาจะกลายเป็นคนแปลก ๆ กล่าวก็คือถ้าหากเจ้าไม่ต้องการได้รับการปฏิบัติตนแปลก ๆ ในที่แห่งนี้ เจ้าก็จะต้องทำตัวแปลกประหลาดเช่นกัน เชื่อข้าว่านี่จะทำให้ชีวิตของเจ้าสบายขึ้น!” ฮัวจิงซือกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ศิษย์ผู้นี้จะพยายามทำให้ดีที่สุด!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาเช่นนั้นพร้อมกับถามออกไปอย่างขื่นขม “แต่ศิษย์ใช้ชีวิตแบบปกติมาตลอดและข้าก็ไม่รู้วิธีที่จะทำตัวแปลกประหลาด อาวุโสสามารถสอนข้าสักหนึ่งหรือสองอย่างได้หรือไม่? แบบอย่างเช่นข้าต้องทำอะไรบ้าง?”


“ฮ่าฮ่า ได้!” ฮัวจิงซือเผยยิ้มและกล่าวออกมา “การที่มู่ซื่อหรงอยู่ที่นี่มันคงไม่ดีนักถ้าหากข้าจะแสดงให้เจ้าดู แต่ข้าสามารถสอนเจ้าได้เล็กน้อย!”


เมื่อกล่าวเช่นนั้น ฮัวจิงซือกระซิบกับเจ้าอ้วนด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “มีผู้ฝึกตนหญิงสาวหลายร้อยคนมาพักที่นี่และข้านั้นเลือกสรรอย่างดี เมื่อพวกนางอยู่ในห้องนอน ไม่จำเป็นต้องสวมใส่สิ่งใด!”


“ว่าอะไร?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของเขาส่องสว่างพร้อมกับอุทานออกมา “สามารถทำเช่นนั้นได้?”


“แน่นอน เพราะนี่คือทะเลตะวันออก ทุกคนทำเช่นนั้น ถ้าหากเจ้าไม่ทำ แน่นอนว่าเจ้าจะกลายเป็นคนแปลกประหลาดทันที!” ฮัวจิงซือยักไหล่พร้อมกล่าวต่อ “อย่างไรก็ตาม เจ้าสามารถทำได้ทุกอย่าง มันไม่มีข้อจำกัดอะไรเลยแม้แต่ข้า แน่นอนว่าข้าก็จะทำสิ่งที่ข้าชอบเช่นกันในสถานที่แห่งนี้! ความจริงก็คืออาคารร้อยบุบผาของข้านั้นค่อนข้างจะโด่งดังเช่นกันในทะเลตะวันออก ฮี่ฮี่!”


จากนั้นเจ้าอ้วนก็จำได้ว่าป้ายอาคารระบุชื่อไว้ว่า ‘อาคารร้อยบุบผา’ เดิมทีเขาคิดว่าฮัวจิงซือแต่งเรื่องขึ้นมา แต่เขาไม่เคยคาดคิดว่าบุรุษผู้นี้เป็นบุรุษอย่างแท้จริง! ซึ่งนั่นสร้างความประหลาดใจให้กับเจ้าอ้วนอย่างมาก ทำให้เขารู้สึกชื่นชมและอิจฉาไปพร้อมกัน ในขณะนั้นเขาก่นด่าในใจอย่างช่วยไม่ได้ ‘เจ้าคนขี้โกงนี้เป็นบุตรชายคนโตของนักบวชฮัวอวิ๋น เขาช่างเหมือนกันพ่อของเขาอย่างมาก ไม่สิ มากกว่าพ่อของเขาด้วยซ้ำ! พ่อของเขามีภรรยาเพียงแปดคนเท่านั้น แต่เขาผู้นี้กลับสร้างสวรรค์เป็นของตัวเองและจำนวนของมันแน่นอนว่าจะต้องมากกว่าสามสิบ! เขาก้าวไปไกลกว่าพ่อของตนเองเสียอีก!’


บทที่ 209: เปลือยกาย


หลังจากที่พูดคุยและหัวเราะกับฮัวจิงซือ เจ้าอ้วนรู้สึกว่าตนเองได้รับการยอมรับให้เป็นครอบครัวเดียวกับเขามากขึ้น ความวิตกกังวลต่าง ๆ เริ่มหายไป ในจังหวะเวลาเช่นนี้ ฮัวจิงซือรู้สึกว่าบรรยากาศดูดีขึ้นเขาจึงเริ่มตั้งคำถามบ้าง “จริงสิ แล้วพวกเจ้าทั้งคู่วางแผนไว้ว่าจะเริ่มต้นทีมอย่างไรล่ะ?”


เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาถามออกไปอย่างสับสน “ทีมอะไร? ข้าไม่เข้าใจ!”


“ฮ่าฮ่า ความผิดข้า ความผิดข้าเอง! ข้าลืมไปว่ายังไม่ได้อธิบายให้เจ้าฟัง!” ฮัวจิงซือหัวเราะออกมาพร้อมกับอธิบาย “นี่คือโครงสร้างของเหล่าอสูรกายในทะเลตะวันออก!”


จากนั้นฮัวจิงซือพยายามอธิบายให้เจ้าอ้วนฟังอย่างช้า ๆ เมื่อเขาได้ยินทุกอย่างแล้ว เจ้าอ้วนเข้าใจทันทีว่าในทะเลตะวันออกไม่มีนักล่าอสูรกายผู้ใดที่ทำงานเพียงคนเดียว จะต้องมีทีมอย่างน้อยสิบคน ทุกคนจะถูกแบ่งออกตามความแข็งแกร่งตามลำดับเซียนเทียน ปฐมภูมิ และจินตัน


ทีมของเซียนเทียนนั้นย่อมตั้งมาจากเหล่าศิษย์ระดับเซียนเทียน และทีมระดับปฐมภูมินั้นจะผสมไปด้วยศิษย์ระดับเซียนเทียนและปฐมภูมิ แน่นอนว่าความแข็งแกร่งของทีมระดับปฐมภูมินั้นมากกว่า สำหรับจินตันนั้นง่ายมาก แม้ว่าทีมจะมีผู้ฝึกตนระดับจินตันเพียงคนเดียวก็สามารถเรียกว่าทีมระดับจินตันได้ เพราะจำนวนนั้นไม่สำคัญมากกว่าตำแหน่งที่มีอยู่


ด้วยความแข็งแกร่งที่แตกต่างกันของทีม พวกเขานั้นรับผิดชอบด้านต่าง ๆ ของทีมในหมู่เกาะที่นับไม่ถ้วนในทะเลตะวันออก ความแข็งแกร่งของอสูรกายในทะเลตะวันออกนั้นจะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอเทียบได้จากระยะห่างจากพื้นมหาสมุทร เหล่าอสูรที่อ่อนแอที่สุดมักจะถูกดูแลโดยเหล่าผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียน


ถัดออกไปอีกสักหน่อยก็จะเป็นอสูรกายขั้นสามถึงสี่ ซึ่งผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิจะเป็นผู้ดูแล ถ้าหากผู้ฝึกตนระดับเซียนเทียนถูกส่งไปที่นั่น ก็คงจะเป็นได้แค่อาหารของอสูรกายเท่านั้น ในทำนองเดียวกันก็คือเหล่าอสูรกายที่แข็งแกร่งสามารถถูกดูแลโดยเหล่าผู้ฝึกตนระดับจินตันเท่านั้น


การดูแลนั้นเรียกได้ว่าเป็นการกวาดล้างเสียมากกว่า สังหารให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ การสังหารทั้งหมดจะเป็นการถอนรากถอนโคน แต่การจะทำเช่นนั้นได้ต้องอาศัยพลังอันยิ่งใหญ่ด้วย


ตามกฏของทะเลตะวันออก ทุกทีมจะต้องดูแลอย่างน้อยสองเกาะตามความแข็งแกร่งของทีม นอกจากนี้พวกเขาจะต้องได้รับหลักฐานว่าได้ทำลายครั้งยิ่งใหญ่ ถ้าหากว่าไม่บรรลุเป้าหมายนี้ทีมทั้งหมดจะต้องถูกลงโทษ การลงโทษนี้ไม่ใช่การทารุนแต่อย่างใด แต่กลับเป็นการฝึกฝนอย่างหนัก ซึ่งมันรุนแรงอย่างมากในทะเลตะวันออก


นักล่าอสูรกายทุกคนจะมีตราประจำตัวเก็บไว้ และจะไม่สามารถหลบหนีได้ หลังจากที่ได้ทำการกวาดล้างแล้วทะเลตะวันออกจะส่งคนเพื่อไปตรวจสอบผลลัพธ์ ถ้าหากถูกรายงานว่าทุกอย่างเป็นเท็จ แน่นอนว่ามันจะเป็นอาชญากรรมขนาดใหญ่


แน่นอนว่าในการลงโทษจะมีความรุนแรงอย่างมาก แต่รางวัลก็ยิ่งใหญ่เช่นเดียวกัน หลังจากนั้นมันจะเป็นผลประโยชน์ของทีมสำหรับเหล่าวัสดุที่ได้จากอสูรกาย เหล่าพันธมิตรในทะเลตะวันออกจะมอบหินจิตวิญญาณและยาอายุวัฒนะสำหรับเป็นของรางวัล ถ้าหากพวกเขาทำได้เหนือความคาดหมาย แน่นอนว่ารางวัลก็จะใหญ่มากตาม นอกจากนี้ทุกสามปีพวกเขาจะถูกตรวจสอบผลงานทั้งหมดที่ผ่านมาและได้รับรางวัลสำหรับทีมที่ทำได้ดีที่สุดสิบทีมแรก โดยเฉพาะทีมอันดับต้นๆ ของรางวัลจะประกอบไปด้วยอุปกรณ์วิเศษระดับสูง


สำหรับนักล่าอสูรกายที่ไม่ได้มีผลงานที่ยิ่งใหญ่มากนัก ชีวิตของพวกเขาก็ราวกับแขวนอยู่บนเส้นด้ายและเปรียบเหมือนผักชิ้นหนึ่งเท่านั้น


ภายใต้สถานการณ์ปกติ มันไม่ยากนักที่จะทำภารกิจให้สำเร็จ เพราะว่าก่อนหน้านั้นคณะสำรวจแห่งทะเลตะวันออกจะทำการประเมินสถานการณ์ให้ก่อนเสมอ ทั้งชนิดและความแข็งแกร่งของเหล่าอสูรกาย ตราบใดที่ทีมนั้นไม่ได้โง่เขลาจนเกินไปมันไม่ยากเลยที่จะจัดการกับเหล่าอสูรกายที่อ่อนแอกว่า เหล่าคณะสำรวจนั้นเข้ามาอยู่ในทะเลตะวันออกนานหลายปีแล้ว และพวกเขาค่อนข้างจะเข้าใจอสูรกายเป็นอย่างดี ตัวอย่างเช่นพวกเขารู้ว่าอสูรกายชนิดนี้จะกลัวพิษบางอย่าง และนั่นจะทำให้พวกเขาแพร่พิษเข้าไปในสายลมเพื่อจัดการพวกมันอย่างง่ายดาย


การทำเช่นนั้นนับว่าเป็นการกระทำที่ยอดเยี่ยมและจะได้รับรางวัลที่ดี ทุกคนที่อยู่ในสถานที่แห่งนั้นมักจะตื่นเต้นกับของรางวัลที่ได้รับอย่างบ้าคลั่ง ทั้งกระดูก เนื้อ ผิวหนังและแกนกลางของเหล่าอสูรกาย พร้อมทั้งเหล่าสมุนไพรต่าง ๆ ที่อยู่ในบริเวณนั้นซึ่งมันมากเพียงพอที่จะแบ่งให้กับคนสิบคน


ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ผู้คนในทะเลตะวันออกมักจะร่ำรวยกว่าบุคคลที่อาศัยอยู่ในเทือกเขาใหญ่ ถ้าหากเปรียบเทียบกันภายในเทือกเขาใหญ่จะเป็นผู้ฝึกตนระดับจินตันเท่านั้นที่สามารถครอบครองสมบัติวิเศษระดับสูง แต่ถ้าหากเป็นทะเลตะวันออกเพียงแค่อยู่ในระดับปฐมภูมิก็สามารถครอบครองมันได้แล้ว


แต่ในความเป็นจริงการเป็นนักล่าอสูรกายนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป ประการแรกเหล่าอสูรกายนั้นไม่โง่เขลา พวกมันมีสมองและความหลักแหลม บางครั้งพวกมันรู้วิธีที่จะปกปิดพลังของตนเองอีกด้วย นอกจากนี้ไม่ใช่ว่าทุกสถานที่ในทะเลตะวันออกจะสามารถเดินไปมาได้อย่างง่ายดาย เหล่านักสำรวจเคยทำผิดพลาดและไม่เหลือพวกพ้องเคียงข้างแม้แต่คนเดียว นั้นทำให้พวกเขาไม่กล้าเดินต่อเข้าไปลึกกว่านี้


ตัวอย่างเช่น บางครั้งมีอสูรกายขั้นสองที่อยู่ด้านนอกและเมื่อได้รับรายงานเช่นนี้ เหล่าทีมเซียนเทียนจะรับภารกิจและเมื่อเดินทางมาถึงพวกเขาจึงค่อยรู้ว่ามีอสูรกายขั้นสามและสี่หลบอยู่ด้านข้าง ในเวลานั้นสิ่งเดียวที่เฝ้ารอพวกเขาอยู่คือความตาย แน่นอนว่าเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นทุกปี


นอกเหนือจากนั้น เหล่าอสูรกายนั้นไม่รวมตัวอยู่เพียงเกาะเดียวหรืออาศัยอยู่ในสถานที่เดิม ๆ พวกมันเคลื่อนไหวไปมาราวกับเป็นนก ดังนั้นจึงมีผู้ฝึกตนที่ถูกโจมตีจากเหล่าอสูรกายขนาดใหญ่ที่บังเอิญได้พบเจอภายในทะเลตะวันออก เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะเกิดโศกนาฏกรรมขึ้น แม้กระทั่งบางทีมถูกสังหารระหว่างทางก่อนที่จะไปถึงจุดหมายเสียด้วยซ้ำ


นอกเหนือจากสัตว์ร้าย สภาพอากาศที่แปรปรวนของทะเลตะวันออกยังเป็นอุปสรรคอย่างร้ายแรงสำหรับผู้ฝึกตน ตัวอย่างเช่นมักจะมีพายุที่รุนแรงเกิดขึ้น แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับจินตันก็ไม่สามารถอยู่รอดได้ หรือในบางพื้นที่ที่แปลกประหลาด หากผู้ใดพลัดหลงเข้าไปก็จะไม่ได้กลับออกมาอีก แม้แต่การส่งผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินเข้าไปตรวจสอบก็ยังไม่ได้กลับออกมาเช่นกัน ด้วยเหตุนี้สถานที่เหล่านั้นจึงกลายเป็นสถานที่ต้องห้ามแห่งทะเลตะวันออกและมันมีมากกว่าสิบแห่ง


เนื่องจากเหตุการณ์ไม่คาดฝันเหล่านี้ จึงส่งผลให้อัตราการตายในทะเลตะวันออกพุ่งสูงมาก


หลังจากที่อธิบายสถานการณ์ของที่นี่ให้เจ้าอ้วนฟัง ฮัวจิงซือถามด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นเจ้าต้องการที่จะสร้างทีมของตนเองด้วยการเริ่มต้นใหม่กับระดับเซียนเทียนมือใหม่? หรือเจ้าต้องการเข้าร่วมกับทีมขั้นปฐมภูมิ? หรือว่าเจ้าต้องการจะเข้าทีมจินตันล่ะ? ข้าแนะนำให้เจ้าเข้าร่วมทีมเดียวกับพวกข้าเป็นการส่วนตัวนะ ข้าไม่กล้าจะรับประกันอะไรเลย แต่ข้าสามารถสัญญาได้ว่าเจ้าจะไม่พบเจอกับอันตราย!”


เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้พร้อมกล่าวออกมาอย่างขื่นขม “ข้าขอขอบคุณสำหรับน้ำใจของท่าน แต่ข้าคงจะประเมินตนเองสูงเกินไปถ้าหากเข้าร่วมในทีมจินตันทันทีที่มาถึงที่นี่ แน่นอนว่าสถานที่ที่ท่านต้องไปจะต้องอันตรายอย่างมากและข้าจะเป็นเพียงภาระให้กับท่านเท่านั้น!”


สำหรับคนที่ฉลาดเช่นฮัวจิงซือเขาเข้าใจทันทีว่าเจ้าอ้วนไม่ยินยอมที่จะอยู่ใต้เท้าของเขา ด้วยความสามารถของการต่อสู้กับเหล่าพี่น้องหัวล้านทั้งสี่ เจ้าอ้วนน่าจะต่อสู้กับฮัวจิงซือได้อย่างไม่มีปัญหา แล้วเขาจะเป็นภาระได้อย่างไร? เห็นได้ชัดว่านี่เป็นข้อแก้ตัวเท่านั้น


เมื่อฮัวจิงซือเห็นแล้วว่าเจ้าอ้วนไม่ต้องการที่จะอยู่ในทีมของเขา แน่นอนว่าเขาก็ไม่ต้องการคนหัวดื้อเช่นเขาเหมือนกัน เมื่อเจ้าอ้วนได้ปฏิเสธเขาแล้ว เขามีความสุขและกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “เด็กน้อยเห็นได้ชัดว่าเจ้าไม่ต้องการอยู่ภายใต้การนำทีมของอาวุโสและต้องการออกไปสร้างความเสียหายด้วยตนเองสินะ ถูกไหม?”


ใบหน้าของเจ้าอ้วนกลายเป็นสีแดงพร้อมกับจะอธิบายบางอย่าง แต่ฮัวจิงซือหยุดเขาไว้ “ฮ่าฮ่า ไม่จำเป็นต้องอธิบายสิ่งใดอีกแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าก็เป็นอย่างเช่นเจ้า ก็ตามนี้ ข้าเข้าใจความรู้สึกเจ้าดี ดังนั้นบอกข้ามาว่าเจ้าเลือกอะไร ข้ามีอำนาจนิดหน่อยในสถานที่แห่งนี้และสามารถส่งเจ้าไปอยู่กับทีมอื่นได้!”


“ขอขอบคุณอาวุโสด้วยถ้าหากเป็นเช่นนั้น!” เจ้าอ้วนคำนับ จากนั้นเขาไตร่ตรองอยู่ชั่วขณะพร้อมตอบกลับว่า “ศิษย์ต้องการไปอยู่ในทีมที่เต็มไปด้วยผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิ ทีมที่แข็งแกร่งและเหมาะกับข้าที่สุด!”


เหตุผลที่เขาเลือกทีมปฐมภูมิเพียงเพราะว่าเขาไม่ต้องการที่จะเลี้ยงดูเด็กใหม่เพิ่งหัดเดินอย่างเช่นเซียนเทียน นอกจากนั้นถ้าหากเขาต้องการเป็นหัวหน้าทีม เขาก็ต้องการผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาที่แข็งแกร่งเช่นกัน สำหรับสถานการณ์เช่นนี้เป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าอ้วนจะเกรงกลัวให้กับผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิ ด้วยความแข็งแกร่งที่เขามีอยู่ตอนนี้นั้นสามารถจัดการกับผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิขั้นสุดท้ายได้อย่างง่ายดาย หากเป็นเช่นนี้ตำแหน่งหัวหน้าทีมก็จะกลายเป็นของเขาอย่างง่ายดาย


สำหรับฮัวจิงซือเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขายิ้มออกมาพร้อมกับชื่นชม “เจ้ามีความคิดที่ดีมาก ทีมที่เจ้าเลือกจะเข้าสู่ระดับจินตันในอนาคต ถ้าเป็นเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาเหล่านี้แน่นอนว่าอนาคตของเจ้าจะสดใสอย่างมากภายในทะเลตะวันออก อา ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมจริงๆ ข้าขอคิดสักครู่ว่าทีมไหนกันที่เหมาะกับเจ้า”


หลังจากนั้นชั่วขณะ ฮัวจิงซือกล่าวออกมา “ในทีมนับพันภายในทะเลตะวันออก มีเพียงไม่กี่ร้อยทีมเท่านั้นที่เป็นผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิเต็มทีม และมีเพียงสามทีมเท่านั้นที่แข็งแกร่ง ข้าอยากรู้ว่าเจ้าชอบทีมไหนมากที่สุด?”


“รบกวนท่านอธิบายให้ข้าฟังมากกว่านี้!” เจ้าอ้วนรีบตอบ


“ได้!” ฮัวกล่าวออกมา “ในหมู่พวกเขาที่แข็งแกร่งที่สุดคือทีมนักบวชดำ มีบุรุษเก้าคนอยู่ภายใต้การดูแลของเขาและมีสามคนที่เป็นผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิขั้นแรก สี่คนขั้นสุดท้ายและสองคนขั้นกลาง”


“ฟังดูยอดเยี่ยมมาก!” เจ้าอ้วนแสดงความเห็น


“ใช่ มันยอดเยี่ยมมากแต่ทีมนี้เต็มอยู่ จะต้องมีสองคนที่ถูกลบออกจากทีมถ้าหากเจ้าต้องการจะเข้าไป ถ้าหากเป็นทีมอื่น ข้าสามารถจัดการเรื่องเช่นนี้ได้เพียงแค่ดีดนิ้ว แต่สำหรับนักบวชดำนี้มีปัญหาเล็กน้อย ผู้สนับสนุนพวกเขาแข็งแกร่งและไม่สนใจที่จะฟังข้า!” ฮัวจิงซือกล่าวออกมาอย่างหงุดหงิด


เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าอ้วนไม่พยายามถามอะไร เขารีบกล่าวออกมา “ถ้าหากเป็นเช่นนั้น จงลืมมันไปเถิด แน่นอนว่าข้าคงเลือกเขาไม่ได้! แล้วอีกสองทีมที่เหลือล่ะ?”


“โอ้ ใช่!” ฮัวจิงซือกล่าวต่อ “พวกเขาเป็นบุรุษแปดคน หัวหน้าทีมเป็นผู้ฝึกตนปีศาจประเภทแมลง เขาเชี่ยวชาญในการใช้แมลงมีพิษอย่างมาก และเขาจะจารึกคำสาปลงบนร่างกายของผู้ที่ร่วมทีมเพื่อป้องกันปัญหาการหักหลังกันในภายหลัง นี่ก็นับว่าเป็นปัญหาเช่นกัน!”


“ลืมเรื่องนี้ไปได้เลย!” เจ้าอ้วนโบกมือพร้อมกล่าวว่า “ข้าไม่ต้องการที่จะโดนคำสาป!”


“ย่อมได้!” ฮัวจิงซือกล่าวออกมาพร้อมกับหัวเราะอย่างขื่นขม “ถ้าหากเป็นเช่นนั้น เจ้าเหลือเพียงทางเลือกสุดท้าย ด้วยความสัตย์จริงทั้งหมดข้าอยากจะบอกว่าเหล่าบุรุษทั้งเจ็ดคนนี้อาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด!”


“ว่าอะไร? ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?” เจ้าอ้วนถาม


“เพราะว่าหัวหน้าทีมนั้นเป็นแม่มดมาจากสำนักพันปีศาจ!” ฮัวจิงซือกล่าวพร้อมกับยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้


“แม่มด?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขารู้สึกประหลาดใจทันที “นางเป็นอีตัวประเภทไหนกัน?”


เมื่อฉัวจิงซือได้ยินเช่นนั้น เขาจ้องมองเจ้าอ้วนด้วยท่าทีแปลก ๆ พร้อมกับตอบกลับ “เกรงว่าเจ้าจะต้องผิดหวัง แม้ว่านางจะชั่วร้าย แต่นางกลับปกป้องร่างกายของตนเองได้อย่างดี! นางไม่ได้ยอมให้ผู้ใดหลับนอนกับนางได้!”


เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาตกใจทันทีพร้อมกับถามออกไป “เดี๋ยวนะ อะไรกัน? ปกป้องร่างกายตนเอง? นี่มันเรื่องอะไรในโลกนี้? ใครบางคนที่มาจากสำนักพันปีศาจปกป้องร่างกายของตนเอง?”


“นางเป็นข้อยกเว้น!” ฮัวจิงซืออธิบาย “นั่นเป็นเพราะว่านางฝึกฝนเคล็ดวิชาที่วิปริตที่สุดของสำนักพันปีศาจ นั่นคือการเผาไหม้ปรารถนาศักดิ์สิทธิ์!”


“การเผาไหม้ปรารถนาศักดิ์สิทธิ์?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาอุทานออกมา “ข้าคิดว่าข้าเคยได้ยินเกี่ยวกับเคล็ดวิชานี้มาก่อน ว่ากันว่าผู้ที่ฝึกฝนมันจะต้องทนทุกข์ทรมานจากการถูกเผาทุกวัน ยิ่งต้องทุกข์ทรมานมากเท่าไหร่ ศักยภาพของพวกเขาจะยิ่งเพิ่มมากขึ้นรวมถึงความเร็วของการฝึกฝนด้วย แต่บุคคลที่ฝึกเคล็ดวิชานี้จะไม่สามารถสูญเสียพรหมจรรย์ได้ มิเช่นนั้นจะพิการหรือตายตกไป!”


“ถูกต้อง!” ฮัวจิงซือหยักไหล่พร้อมกล่าวต่อ “นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมนางต้องปกป้องร่างกายของตนเอง! มันไม่ใช่ว่านางไม่ต้องการนอนกับผู้คนที่อยู่รอบ ๆ แต่นางไม่สามารถทำมันได้ต่างหาก ถ้าหากทำเช่นนั้นสิ่งเดียวที่รอนางอยู่คือความตาย!”


“โอ้!” เจ้าอ้วนอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา “ข้าไม่ได้คาดหวังว่าจะต้องพบเจอกับความบิดเบือนเช่นนี้บนโลก ว่ากันว่าเป็นการเร่งความเร็วในการฝึกฝนเท่านั้น อีกอย่างผู้ที่ฝึกฝนมันจะมีความต้องการเรื่องบนเตียงอย่างมาก ถ้าหากไม่สามารถปลดปล่อยมันออกมาได้ แน่นอนว่าจะต้องทุกข์ทรมานอย่างมาก เมื่อเวลาผ่านไปบุคคลเหล่านั้นจะป่วย จริงหรือไม่?”


“เห็นได้ชัดว่าเป็นเช่นนั้น!” ฮัวจิงซือกล่าวออกมา “อย่างไรก็ตาม นางเป็นคนวิปริต! ชื่นชอบการทรมานให้ผู้อื่นตายอย่างช้าๆ ว่ากันว่านางเคยต่อสู้กับใครบางคนในตลาดและเปลือยกายของตนเองหลังจากที่ได้รับชัยชนะ จากนั้นนางเริ่มลูบไล้ตนเองและปลดปล่อยเสียงครวญครางออกมาท่ามกลางบุคคลที่บาดเจ็บสาหัส ว่ากันว่าอีกฝ่ายตายหลังจากถูกนางหั่นเป็นสามชิ้น ตั้งแต่นั้นมา ชื่อเล่นของนางคือแม่มดเปลือยกายและไม่มีผู้ใดจำชื่อจริงของนางได้อีกเลย!”


“แม่มดเปลือยกาย?” เจ้าอ้วนเช็ดเหงื่อที่เย็นเยือกบนใบหน้าของเขาพร้อมกล่าวอย่างขื่นขม “ข้าขอกล่าวอะไรสักหน่อย ทะเลตะวันออกนี้เปิดโลกให้กับข้าอย่างมาก หลังจากที่ข้ามีชีวิตอยู่มาสองสามทศวรรษ ข้าไม่เคยคิดฝันว่าจะต้องพบเจอกับความวิปริตเช่นนี้มาก่อน แต่ในวันนี้ข้ามายืนอยู่ตรงนี้แล้ว!”


“ฮ่าฮ่า แน่นอนว่าในอนาคตเจ้าจะได้เห็นเรื่องเช่นนี้มากขึ้นกว่าเดิมแน่นอน!” ฮัวจิงซือกล่าวออกมาอย่างสบาย ๆ “เจ้าจงเตรียมใจให้พร้อม!”


“มากกว่านี้งั้นหรือ?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาไม่รู้จะกล่าวอะไรนอกจากหัวเราะออกมาเบา ๆ “ลืมมัน ลืมมันไปก่อน เอาล่ะ ข้าจะไปเตรียมตัว!”


“ฮ่าฮ่า ยอดเยี่ยม!” ฮัวกล่าวออกมา “จริงสิ เจ้าจะไปที่ทีมของแม่มดเปลือยกายงั้นหรือ? ถ้าหากเจ้าไม่ต้องการ ข้าจะหาทีมอื่นให้เจ้า!”


“ไม่จำเป็น!” เจ้าอ้วนรีบโบกมือพร้อมกล่าวว่า “ข้าคิดว่ามันยอดเยี่ยมถ้าหากเป็นนาง!”


บทที่ 210: แม่มดที่แสนเร้าใจ


“นางน่ะหรือ?” หลังจากที่ฮัวจิงซือได้ยินเช่นนั้น เขาไม่สามารถยับยั้งนอกจากอุทานออกมา “เจ้าอาจจะต้องทบทวนเรื่องนี้สักหน่อย สตรีผู้นี้เป็นบ้าโดยสมบูรณ์ นางไม่เพียงแต่ล่วงละเมิดลูกทีมของตนเอง บางครั้งนางก็สังหารพวกเขาเพียงเพราะนางหงุดหงิด สาเหตุที่มีที่นั่งว่างในทีมของนางถึงสามที่เพราะว่านางสังหารพวกเขาทิ้งหลังจากที่พวกเขาฝ่าฝืนกฏของนาง! ถ้าไม่หากไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ทีมของนางนั้นก็แข็งแกร่งไม่แพ้กับทีมนักบวชดำ เพราะแม้ว่านางจะขาดคนถึงสามแต่ก็ยังอยู่ในอันดับที่สามของทั้งหมด”


“ข้าเชื่อว่านางไม่สามารถสังหารข้าได้!” เจ้าอ้วนตอบกลับอย่างเฉยเมย “ในความจริง มันน่าตื่นเต้นอย่างมากที่ต้องปราบม้าพยศให้เชื่อง!”


“ฮ่าฮ่า เจ้าช่างเลือดร้อนเสียจริง!” ฮัวจิงซือกล่าวออกมาพร้อมกับหัวเราะ “ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ข้าจะเขียนจดหมายแนะนำตัวให้เจ้า ข้าเชื่อว่านางจะดูแลเจ้าอย่างดีและจะยังเห็นแก่หน้าของข้า อย่างน้อยนางก็ไม่อาจสังหารเจ้าได้!”


“โอ้!” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาโบกมือ “อย่าเขียนจดหมายถึงนาง ข้าไม่ต้องการตกเป็นเป้าหมายใด ๆ ท่านเพียงส่งตัวข้าตามขั้นตอนปกติ เช่นนี้จะทำให้เรื่องราวสนุกขึ้นยิ่งกว่าเดิม!”


“เจ้าจะทำตัวเป็นหมูกินเสืองั้นหรือ?” ฮัวจิงซือรู้ตัวทันทีว่าเจ้าอ้วนต้องการอะไรพร้อมกล่าวออกมาอย่างร่าเริง “ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมมาก ๆ เจ้าช่างเป็นบุรุษที่แท้จริง! เอาล่ะ ข้าจะช่วยเหลือเจ้าตามที่เจ้าว่า!”


ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น ฮัวจิงซือยื่นยันต์หยกสองอันมอบให้กับเจ้าอ้วนและมู่ซื่อหรง จากนั้นเขาบรรจุปราณจิตวิญญาณวิเศษลงไปในนั้น หลังจากทำเช่นนั้นแล้ว เขากล่าวว่า “เจ้าจงแสดงยันต์หยกนี้ให้นางดูและนางจะรู้เองว่าเจ้าเป็นคนใหม่ที่พันธมิตรส่งมาให้ ที่ตั้งของนางอยู่บนที่ราบสูงไม่ห่างจากที่นี่นัก นี่คือแผนที่ จงเก็บมันให้ดี!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาส่งมอบแผนที่ของทะเลตะวันออกให้กับเจ้าอ้วน บนแผนที่มีเครื่องหมายอยู่สองสามแห่งที่แสดงว่าจุดนี้อันตราย เห็นได้ชัดว่าไม่ควรไปที่นั่น


เจ้าอ้วนรับมันพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณและพูดคุยกับเขาต่อสักพักก่อนที่จะเดินทางออกไปพร้อมกับมู่ซื่อหรง


ฮัวจิงซือลุกขึ้นและส่งพวกเขาออกไป ถ้าหากเขาเป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิทั่วไป แน่นอนว่าฮัวจิงซือจะไม่มีวันสนใจ แต่สถานะของเจ้าอ้วนนั้นแตกต่าง เขาเป็นผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิที่สามารถต่อสู้กับผู้ฝึกตนระดับจินตันได้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งเช่นนี้ แน่นอนว่าฮัวจิงซือไม่อาจล่วงเกินได้ ดังนั้นเขาจึงพยายามให้ความเป็นส่วนตัวกับเจ้าอ้วนมากที่สุด


เมื่อทั้งสามเดินออกมาถึงหน้าอาคารร้อยบุบผาพร้อมทั้งกล่าวคำร่ำลา ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงคำรามดังลั่น “นั่นไงมัน! ไขมันบัดซบนั่นมันทำร้ายข้า! ท่านพี่ ท่านต้องแก้แค้นให้กับข้า!”


ทั้งสามคนหันหลังกลับมามองทันทีและพบว่ามีผู้ฝึกตนสามคนกำลังบินตรงมาหาพวกเขา ผู้ฝึกตนทั้งสองคนด้านหลังนั้นเจ้าอ้วนจำพวกเขาได้อย่างแม่นยำ เขาเป็นศิษย์ของสำนักปีศาจและหอเฉวียนจี้ที่พ่ายแพ้ต่อเขาในระหว่างทาง ส่วนบุคคลที่อยู่ด้านหน้านั้นเป็นผู้ฝึกตนวัยกลางคน แม้จะไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ดูเหมือนว่าเขาจะมีความสง่างามและดูยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ตามเขาเป็นผู้ฝึกตนระดับจินตัน


เมื่อทั้งสามมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเจ้าอ้วน ผู้ฝึกตนปีศาจที่กลายเป็นขันทีต้องการที่จะด่ากราดเจ้าอ้วนทันที แต่เขาถูกหยุดไว้โดยผู้ฝึกตนระดับจินตัน จากนั้นผู้ฝึกตนระดับจินตันโค้งคำนับให้กับฮัวจิงซือพร้อมกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “ทำความเคารพศิษย์พี่ฮัวจิงซือ!”


“โอ้ เป็นเจ้านี่เองหลีเฟิง ศิษย์น้องหลีจากสำนักพันปีศาจ!” ฮัวจิงซือตอบกลับ “ข้าสงสัยว่าเจ้ามาทำอะไรที่นี่ในวันนี้?”


“ฮ่าฮ่า ท่านอ่อนน้อมเกินไปแล้ว ข้ามีบางอย่างต้องการจะพูดคุยกับน้องชายผู้นี้ อา ข้าสงสัยว่าท่านรู้จักเขาหรือไม่?” หลีเฟิงกล่าวด้วยรอยยิ้มพร้อมกับมองไปที่เจ้าอ้วนด้วยสายตาที่เป็นมิตร


“โอ้ นี่เป็นศิษย์น้องของข้าจากสำนักเสวียนเทียน ทำไมหรือ? ศิษย์น้องหลีเฟิงมีอะไรกับเขางั้นรึ?” ฮัวจิงซือถามกลับอย่างสงบ เขารู้เรื่องราวเกี่ยวกับความขัดแย้งของพวกเขาแล้วในบ่ายที่ผ่านมาและเพียงถามเพื่อความแน่ใจเท่านั้น


เมื่อหลีเฟิงได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของเขาเปลี่ยนทันที จากนั้นเขากล่าวว่า “ศิษย์พี่ฮัวจิงซือ ศิษย์น้องของท่านหยาบคายและทำให้น้องชายของข้าบาดเจ็บสาหัสโดยไร้เหตุผล ข้าสงสัยว่าศิษย์พี่สามารถอธิบายเรื่องนี้กับข้าได้หรือไม่!”


“เป็นเรื่องปกติที่เหล่าคนรุ่นใหม่จะมีความขัดแย้งกันเอง มันคงไม่ดีนักถ้าหากว่าเราเข้าไปยุ่งเรื่องของพวกเขา ถูกไหม?” ฮัวจิงซือถามกลับ “อย่าบอกข้านะว่าศิษย์น้องหลีเฟิงต้องการสอนบทเรียนให้กับน้องชายของข้าเป็นการส่วนตัว?”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลีเฟิงแทบจะตายทันที ฮัวจิงซือจงใจว่ามันเป็นเรื่องของเด็ก ๆ แต่ความจริงคนที่ถูกทำร้ายคือน้องชายของหลีเฟิง กล่าวก็คือทั้งหลีเฟิงและน้องชายของเขาอายุน้อยกว่าฮัวจิงซือ


อย่างไรก็ตามสถานการณ์เช่นนี้เขาไม่สามารถทำอะไรได้! หลีเฟิงอยู่ในระดับจินตันขั้นต้นเท่านั้นแต่ฮัวจิงซือนั้นอยู่ในขั้นสุดท้ายแล้ว ช่องว่างระหว่างทั้งสองนั้นมากเกินไป อีกทั้งฮัวจิงซือนั้นมาจากสำนักเสวียนเทียน ซึ่งสำนักขนาดใหญ่เช่นนี้ไม่ได้ส่งผู้ฝึกตนระดับจินตันมาเพียงคนเดียว จำนวนของพวกเขานั้นมากกว่าสิบ โดยปกติแล้วพวกเขามักจะไม่ติดต่อกันมาก แต่ความจริงก็คือพวกเขามีองค์กรเล็ก ๆ เป็นของตนเอง ถ้าหากผู้ใดในกลุ่มเดือดร้อน คนอื่นที่อยู่ในกลุ่มจะต้องเข้าช่วยเหลืออย่างแน่นอน ซึ่งหมายความว่าทั้งหมดไม่ใช่คนธรรมดาที่สามารถเข้าไปยั่วยุได้ตามใจชอบ


ถึงแม้ว่าสำนักพันปีศาจจะเป็นสำนักขนาดใหญ่เช่นกัน แต่พวกเขาไม่ได้มีผู้ฝึกตนระดับจินตันมากเท่ากับสำนักเสวียนเทียนภายในทะเลตะวันออกนี้ นอกจากนี้การต่อสู้ในกลุ่มของสำนักพันปีศาจนั้นเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ หลีเฟิงเพิ่งก้าวเข้าสู่ระดับจินตันเมื่อไม่นานมานี้ และไม่มีการสนับสนุนที่แข็งแกร่งดังนั้นเขาจึงไม่สามารถต่อกรกับฮัวจิงซือที่เต็มไปด้วยการสนับสนุนที่แข็งแกร่งอยู่ด้านหลัง


ดังนั้นแม้ว่าเขาจะถูกยั่วยุหรือเยาะเย้ยโดยฮัวจิงซือ เขาจึงต้องเก็บกักความโกรธไว้พร้อมทั้งบังคับใบหน้าให้เปื้อนรอยยิ้มเพื่อตอบกลับ “ข้าไม่กล้าทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน พี่ชายนักบวชกล่าวถูกแล้ว มันไม่ถูกต้องถ้าหากเราจะเข้าไปยุ่งเรื่องของมือใหม่ ข้ามีอย่างอื่นต้องทำเพราะฉะนั้นขอตัวก่อน!” ขณะที่เขากล่าวจบเขารีบลากน้องชายของตนพร้อมทั้งผู้ฝึกตนหญิงสาวออกไปทันที


เมื่อเห็นฉากเช่นนี้ ฮัวจิงซือไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากหัวเราะออกมา “แม้แต่เหล่ากระดูกหมายังกล้ามาเรียกร้องความยุติธรรมที่อาคารร้อยบุบผางั้นหรือ? เขาช่างวอนหาที่ตาย!”


ฮัวจิงซือหันไปกล่าวกับเจ้าอ้วน “ซ่งจงเจ้าจงจำไว้ นอกเหนือจากปีศาจทั้งสามแห่งทะเลตะวันออก เจ้าไม่ต้องเกรงกลัวผู้ใด ข้าจะคอยสนับสนุนเจ้าเอง!”


เมื่อเห็นความยิ่งใหญ่ของฮัวจิงซือ เจ้าอ้วนมีความสุขอย่างมากพร้อมกับคำนับให้เขา “ขอบคุณศิษย์พี่ ศิษย์น้องจะจดจำไว้!”


“ดีมาก!” ฮัวจิงซือโบกมือด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ ไปได้แล้ว!”


“เช่นนั้นศิษย์น้องขอตัวลา!” เจ้าอ้วนเดินออกไปพร้อมมุ่งหน้าสู่ที่ราบสูงสีเขียวทันที


สำหรับคนธรรมดา ระยะทางสองถึงสามพันลี้นั้นไกลมาก แต่สำหรับซ่งจงในตอนนี้มันเป็นเพียงการเดินเล่นเท่านั้น ด้วยการเรียกใช้งานดาบศักดิ์สิทธิ์แห่งธาตุทั้งห้าและดาบเทวะเงาครามขั้นสุดท้าย ซ่งจงและมู่ซื่อหรงเดินทางมาถึงภูเขาภายในเวลาสองชั่วโมง


หลังจากที่พวกเขาทั้งสองเดินทางมาถึงจุดหมายที่เขียนไว้ในแผนที่ ซ่งจงยังไม่ได้ลงพื้นทันที เขามองไปรอบ ๆ ก่อนสองถึงสามรอบ เขาตระหนักว่าที่ราบสูงสีเขียวนี้มีความยาวไม่กี่พันฟุต มีหน้าผาที่คลื่นทะเลซัดเข้ามาตลอดเวลา ทำให้เกิดภาพที่งดงามอย่างยิ่ง


บนยอดเขานั้นมีหอคอยไม้สูงประมานหนึ่ง ตรงกลางของภูเขามีหอคอยสำหรับฝึกฝน เห็นได้ชัดว่าสถานที่แห่งนี้ค่อนข้างจะเหมาะสมและน่าอยู่มาก


ในขณะที่ซ่งจงมาถึง เขาพบว่ายอดเขาแห่งนี้นั้นสวยงามเสียยิ่งกว่าลานม่านหมอกของเขาเสียอีก เขาตื่นเต้นอย่างมากพร้อมกับพามู่ซื่อหรงไปที่หอคอยและพบกับบุคคลทั้งเจ็ดซึ่งกำลังดื่มชากันอยู่


ซ่งจงไม่ได้หลบซ่อนแต่อย่างใด เขาพามู่ซื่อหรงเข้าไปเปิดเผยต่อหน้าคนทั้งเจ็ด จากการมองครั้งแรก ทั้งเจ็ดคนมีท่าทีประหลาดมาก


บุคคลที่เรียกตนเองว่าผู้นำกลุ่มนั้นมีท่าทีที่ประหลาดมาก นางมีเพียงผ้าบาง ๆ เท่านั้นคลุมร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นสีผิวของนาง ทั้งยอดเขาและหุบเขาที่ซ่อนอยู่ ทุกคนสามารถมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน


ไม่เพียงแต่การแต่งตัวของนางที่เปิดเผยอย่างมาก นางดูเหมือนมีความต้องการที่เหลือล้น ริมฝีปากของนางถูกเลียอยู่ตลอดเวลา ดวงตาของนางแสดงออกถึงความต้องการและมือจับที่หน้าอกของตนเองอยู่เสมอ ทั้งรูปร่างและการแต่งตัวพร้อมท่าทางเช่นนี้ทำให้นางมีเสน่ห์อย่างมาก มันเพียงพอที่จะทำให้ทุกคนเดือดดาลจากภาพนี้อย่างไม่อาจควบคุมได้ โดยเฉพาะซ่งจงที่จ้องมองนางอยู่ในตอนนี้ เขากำลังได้รับผลกระทบมากที่สุด! นางคงจะเป็นแม่มดเปลือยกายผู้โด่งดังคนนั้น!


แต่ซ่งจงนั้นได้รับภูมิต้านทานหลังจากที่เขาเข้ารับการทดสอบของเหล่าแม่มดเทวะ ดังนั้นเขาจึงไม่สูญเสียการควบคุมโดยง่าย


ด้านขวาของหญิงสาวเป็นบุรุษสูงใหญ่รูปร่างสง่าอยู่ในชุดสีดำ นับตั้งแต่ที่ซ่งจงและมู่ซื่อหรงมาถึง สายตาของเขาหยุดลงที่มู่ซื่อหรงราวกับว่าต้องการข่มขืนนางให้กลายเป็นของเขาผ่านสายตา!


ถัดจากเขาเป็นชายแก่หน้าตาเจ้าเล่ห์ อย่างไรก็ตามความกล้าหาญและสถานะของเขาไม่มากเท่ากับบุรุษด้านข้าง ดังนั้นเขาเพียงแค่แอบดูและไม่แสดงความปรารถนาออกมามากนัก


บุคคลที่อยู่ด้านซ้ายของแม่มดเปลือยกายเป็นเด็กผู้ชายแต่งตัวด้วยชุดสีขาว ซึ่งทำให้รู้สึกราวกับเขาเป็นเพียงก้อนหินโดยสมบูรณ์ หลังจากที่ซ่งจงและมู่ซื่อหรงมาถึง เขาไม่สนใจอะไรและอยู่ในสมาธิตลอดเวลา ดูเหมือนว่าเขาจะไม่สนใจอะไรนอกจากการฝึกฝน


ข้างเขามีหญิงสาวสองคนแต่งกายด้วยชุดขาวเช่นกัน ร่างกายของพวกนางนั้นเต็มไปด้วยเสน่ห์แต่หน้าตากลับน่าเกลียดจนรับไม่ได้ มีรอยแผลสดมากมายบนใบหน้าของพวกนางพร้อมทั้งหนองไหลออกมาตลอดเวลา ส่งกลิ่นเหม็นอบอวล มันยิ่งทำให้ดูน่าเกลียดมากขึ้นไปอีก


ในขณะที่ซ่งจงเฝ้าสังเกตทั้งเจ็ดคน พวกเขาก็กำลังสังเกตุเจ้าอ้วนพร้อมทั้งมู่ซื่อหรงเช่นกัน หลังจากผ่านไปชั่วขณะ แม่มดเปลือยกายได้กล่าวขึ้นมาพร้อมรอยยิ้ม “อา อ้วนน้อยที่พาคนรักของตนเองมาที่นี่ อย่าบอกข้านะว่ามาเพื่อพบรักกัน?”


“แน่นอนว่าไม่ใช่เช่นนั้น!” เจ้าอ้วนตอบกลับอย่างสุภาพ “ข้าเป็นสมาชิกใหม่!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาหยิบเอายันต์หยกจากฮัวจิงซือออกมา ในขณะนั้นมู่ซื่อหรงก็ทำอย่างนั้นเช่นกัน


เมื่อแม่มดเปลือยกายได้เห็นเช่นนั้น นางตกใจไปชั่วขณะ จากนั้นนางหยิบยันต์หยกมาเพื่อตรวจสอบว่าเป็นของจริงหรือไม่ หลังจากนั้น นางสาปแช่งออกมา “มารดามัน พวกเจ้าทำอะไรอยู่? ทำไมพวกเขาจึงมอบขยะชิ้นนี้ให้กับข้า? ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิขั้นกลางกับผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิขั้นต้นอย่างนั้นหรือ? เขาปล่อยขยะเช่นนี้มาอยู่ในทีมของข้าได้อย่างไรกัน?”


บทที่ 211: ซื่อหรงผู้เกรี้ยวกราด


เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซ่งจงเผยรอยยิ้มเย็นเยือกออกมาและไม่ได้ตอบกลับอะไรนาง แต่ความเป็นจริงเขากำลังจะรับชมการแสดงดี ๆ ต่อจากนี้ต่างหาก


มู่เอ๋อที่ควบคุมร่างกายของมู่ซื่อหรงอยู่ยืนขึ้นพร้อมกล่าวอย่างเยือกเย็น “นังเพศยา ได้โปรดสุภาพต่อพี่ชายซ่งด้วย! ถ้าไม่เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าได้ตายอย่างน่าสยดสยอง!”


เมื่อแม่มดเปลือยกายได้ยินเช่นนั้น นางโกรธจัดแทบจะตายอยู่ตรงนั้น ทุกคนในบริเวณตกใจอย่างสิ้นเชิง ทุกคนรู้ว่านางไม่ใช่คนธรรมดา นี่คือแม่มดที่ร้ายกาจ แต่กลับมีมือใหม่ระดับปฐมภูมิขั้นต้นเรียกนางว่าเพศยาต่อหน้าผู้คน? นี่เป็นการแสวงหาความตายอย่างชัดเจน!


แม่มดเปลือยกายโกรธจัดจนดวงตาของนางสั่นคลอน คล้ายกับว่านางจะเป็นลมอยู่ตรงนั้น ชายร่างสูงยืนขึ้นพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงขอโทษปนหัวเราะ “ลูกพี่หญิง สำหรับหญิงสาวผู้นี้คงไม่เหมาะที่ท่านจะลงมือเองเป็นการส่วนตัว ทำไมท่านจึงไม่ให้ข้าลองดูล่ะ ข้าสัญญาว่าข้าจะทรมานนางจนกว่านางจะตาย และท่านจะต้องพึงพอใจอย่างแน่นอน!”


เมื่อแม่มดเปลือยกายได้ยินเช่นนั้น นางหลับตาลงพร้อมกล่าวออกมา “ยอดเยี่ยม ข้าไม่ได้รับชมการแสดงสดมาสักพักหนึ่งแล้ว เจ้าสามารถมอบประสบการณ์ใหม่ให้กับทุกคนได้วันนี้ เหล่าฉือทำงานหนักหน่อยนะ!”


“ลูกพี่หญิงสามารถมั่นใจในตัวของเหล่าฉือผู้นี้ได้!” เขาหัวเราะพร้อมก้าวออกมายืนอยู่ตรงหน้าของมู่ซื่อหรง ทั้งสองมือเหยียดออกมาพร้อมกับมีโลหิตเปื้อนมือทั้งสองข้าง เลือดเหล่านั้นพุ่งเน้นไปที่หน้าอกของมู่ซื่อหรง


สำหรับมู่ซื่อหรงที่เห็นเช่นนั้น นางหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “หัตถ์โลหิตแห่งสำนักพันปีศาจงั้นหรือ เจ้ากล้ามากที่ใช้เคล็ดวิชาโง่เง่าเช่นนี้กับข้า ช่างน่าประทับใจเหลือเกิน!”


ในขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น มู่ซื่อหรงสัมผัสมือทั้งสองเผยเงาดาบของตน พร้อมกับตวัดไปที่หัตถ์โลหิตอย่างรวดเร็ว


หลังจากนั้นเหล่าฉือได้แต่กรีดร้องออกมาอย่างน่าสยดสยอง มือของเขาทั้งสองข้างถูกเจาะอย่างโหดร้าย แต่มู่ซื่อหรงไม่ได้ปล่อยเขาไป นางไม่หยุดและโจมตีต่อไปเรื่อยอย่างนับไม่ถ้วน ร่างกายของเหล่าฉือแดงฉานเต็มไปด้วยเลือดพร้อมกับล้มลงบนพื้นทันที นางจึงหยุดมือลง


เมื่อเห็นฉากดังนั้น ทุกคนที่อยู่ในบริเวณไม่อาจช่วยได้นอกจากอุทานออกมา แม้แต่ชายที่แต่งตัวสีขาวราวกับหินก็ลืมตาขึ้นมาด้วยความตกใจ เผยให้เห็นถึงความประหลาดใจอย่างแท้จริง


ทุกคนรู้ดีว่าเหล่าฉือนั้นไม่ใช่บุคคลธรรมดา ทั้งหมดที่นั่งอยู่ข้างแม่มดเปลือยกายนั้นเป็นพยานในความสามารถของเขา เขาอยู่ในระดับปฐมภูมิขั้นท้ายและทำการแลกเปลี่ยนกับระดับปฐมภูมิขั้นแรก นี่เป็นการกินกล้วยชัด ๆ แต่ในตอนจบเขากลับพ่ายแพ้และพิการ ถ้าหากทั้งหมดนี้ไม่ได้พบเจอเหตุการณ์นี้ด้วยตนเอง แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่มีวันเชื่อ


แน่นอนว่าสำหรับซ่งจงนั้นเขาไม่ได้ประหลาดใจอะไรนัก เขารู้ดีว่าภายในมู่ซื่อหรงความจริงแล้วคือมู่เอ๋อ ถ้าหากนำมู่ซื่อหรงตัวจริงออกมาต่อสู้แน่นอนว่านางจะพ่ายแพ้แม้ว่าจะมีดาบเทวะเงาคราม นอกจากนั้นช่องว่างระหว่างพวกเขาทั้งสองนั้นมากเกินไป


แต่ปัญหาก็คือผู้ที่ควบคุมร่างกายของมู่ซื่อหรงอยู่นั้นสังกัดธาตุไม้และฝึกฝนดาบมานับพันปี ด้วยการฝึกที่ยาวนาน เห็นได้ชัดเจนว่านางสามารถเอาชนะผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิได้อย่างง่ายดายเนื่องจากประสบการณ์ของนางมีมากจนเหลือล้น ถ้าหากนางไม่สามารถเอาชนะคนผู้นี้ได้ แน่นอนว่าการฝึกที่ผ่านมาคงจะสูญเปล่า


ทุกคนกำลังตกตะลึงกับการโจมตีของมู่ซื่อหรง มู่ซื่อหรงไม่ปล่อยให้เหล่าฉือออกไป เมื่อนางได้รับอนุญาตจากซ่งจง จิตวิญญาณแม่มดร้ายก็ถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างกายของนางโดยสมบูรณ์


จากนั้นนางก็เดินไปที่เหล่าฉือที่ยังนอนหายใจอยู่พร้อมกับใช้ดาบเงาครามเทวะชี้ไปที่เขาและหัวเราะ “ฮ่าฮ่า เจ้าไม่ได้ต้องการเล่นกับข้าจนข้าตายงั้นหรือ? ทำไมเจ้าจึงหดตัวเช่นนี้ล่ะ? ทำไมเจ้าไม่ลุกขึ้นมาเล่นกับข้าล่ะ? ข้าหากเจ้าไม่เล่นกับข้า งั้นข้าจะเล่นกับเจ้าแทน! ฮี่ฮี่ เจ้านี่ช่างเป็นคนตลกจริง ๆ กล้ามเนื้อของเจ้านั้นถูกสร้างมาอย่างดี นั้นทำให้ข้าสนุกมากยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าควรจะแทงเจ้าตรงเส้นเอ็นก่อน จากนั้นข้าจะคอยดูว่าในอนาคตเจ้าจะยังสามารถเดินได้หรือไม่?”


อย่างที่นางกล่าว มู่ซื่อหรงไม่ได้หยุดลงและเริ่มแทงเหล่าฉืออย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้โดนเส้นเลือดใหญ่ ท้ายที่สุดนางทำให้เหล่าฉือร้องออกมาอย่างเจ็บปวด มันเป็นชะตากรรมที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตาย


เมื่อเผชิญหน้ากับแม่มดที่ร้ายกาจ เหล่าฉือพังลงอย่างสมบูรณ์พร้อมกับอ้อนวอนขอชีวิตอย่างน่าสมเพช แน่นอนว่ามู่ซื่อหรงไม่สนใจและจ้วงแทงอีกฝ่ายต่อไปอย่างมีความสุข ราวกับว่านางไม่ได้ทรมานมนุษย์แต่เป็นการทรมานสัตว์อยู่


เมื่อเห็นฉากที่น่ากลัวนี้ ทุกคนที่อยู่บริเวณนี้ได้แต่แสดงใบหน้าที่หวาดกลัวออกมา แม้แต่แม่มดเปลือยกายยังรู้สึกแตกตื่นในใจและท่าทีของนางเริ่มเปลี่ยนไปเป็นหวาดกลัวแทน ความรู้สึกนี้เป็นสิ่งที่นางไม่ได้รู้สึกมานานมากแล้ว


เสียงร้องของเหล่าฉือกินเวลายาวนานกว่าสี่ชั่วโมง ไม่ใช่ว่าเขาตาย แต่เป็นเพราะมู่ซื่อหรงรำคาญและตัดลิ้นเขา ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถกรีดร้องได้อีก หลังจากนั้นนางเริ่มเบื่อที่จะเล่นกับเขาและเตะให้เขาออกไปพ้นทาง จากนั้นนางเดินกลับไปหาเจ้าอ้วนอย่างเชื่อฟัง จากนั้นนางหยิบอุปกรณ์ชงชาขึ้นมา เห็นได้ชัดว่านางต้องการจะเตรียมชาให้กับเจ้าอ้วน


ซ่งจงนั่งบนเก้าอี้ที่มู่ซื่อหรงจัดไว้ให้อย่างพอใจ จากนั้นเขาลูบหัวของมู่ซื่อหรงพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าซ่งจง ได้โปรดดูแลข้าด้วย!”


มู่ซื่อหรงที่ก่อนหน้านี้ทรมานเหล่าฉืออย่างโหดร้ายได้กลายเป็นแมวน้อยภายใต้เจ้าอ้วนไปเรียบร้อยแล้ว นางอนุญาตให้เขากอดรัดและลูบผมหรือหลังของนางโดยไม่ปริปากสักคำ และในเวลาเดียวกันนางไม่ได้ชักช้าในการชงชาเลย


เมื่อได้เห็นฉากดังกล่าวของเจ้าอ้วนที่ดูสุภาพอ่อนโยนแต่กลับแฝงไปด้วยความคุกคาม ทุกคนที่พบเห็นได้แต่แสดงสีหน้าความประหลาดออกมา


เมื่อเห็นใบหน้าของทุกคนเป็นเช่นนั้น เจ้าอ้วนอดไม่ได้ที่จะมีความสุขในหัวใจ จากนั้นเขามองไปที่แม่มดเปลือยกายพร้อมกับถามว่า “เจ้าคงเป็นคนที่ถูกเรียกว่าแม่มดเปลือยกายสินะ?”


“ใช่ ข้าเอง!” ในขณะนี้นางไม่กล้าที่จะเย่อหยิ่งอีกต่อไป เพราะตอนนี้ความจริงคือเหล่าฉือเป็นซากอยู่ตรงหน้าของนาง คุณต้องรู้ว่าแม้เหล่าฉือจะเทียบกับนางไม่ได้ แต่พวกเขามีความแข็งแกร่งที่คล้ายกัน ถ้าหากทั้งคู่จะต้องต่อสู้กัน นางก็สามารถชนะได้แต่ต้องจ่ายราคาแพง แต่สิ่งที่ดูจะไม่อันตรายอย่างเช่นมู่ซื่อหรงจะสร้างความปวดร้าวให้กับเหล่าฉือจนถึงตาย กล่าวก็คือนางสามารถทรมานให้แม่มดเปลือยกายตายตกไปได้อย่างง่ายดาย


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แม่มดเปลือยกายไม่คิดที่จะเย่อหยิ่งอีกต่อไป ถ้าหากนางทำเช่นนั้นก็เท่ากับว่านางต้องการแสวงหาความตาย ในความจริงนางรู้สึกขอบคุณภายในใจอย่างเงียบงันที่ใครบางคนเข้าไปต่อสู้แทนนาง ไม่เช่นนั้นคนที่นอนกองอยู่บนพื้นจะต้องเป็นนางอย่างแน่นอน!


เมื่อเผชิญกับการตอบกลับอย่างนุ่มนวล ซ่งจงรู้สึกดีขึ้นอย่างมาก แต่เขาไม่สามารถปล่อยให้คนที่สร้างความอัปยศให้กับเขาจากไปอย่างง่ายดาย ดังนั้นเขาจึงเผยรอยยิ้มปีศาจออกมา “ถ้าอย่างนั้น ในอนาคตข้าสามารถเรียกเจ้าว่าอีตัวได้หรือไม่?”


เมื่อแม่มดเปลือยกายได้ยินเช่นนั้น นางโกรธจัดทันทีแต่นางก็เก็บกดความโกรธนั้นได้อย่างรวดเร็วพร้อมตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนเจ้าทำได้ เจ้าสามารถทำได้อย่างที่เจ้าต้องการ!”


“ยอดเยี่ยม!” ซ่งจงกล่าวออกมาพร้อมกับหัวเราะ “อีตัวคนนี้ช่างหลักแหลมยิ่งนัก ข้าชอบ!”


เมื่อแม่มดเปลือยกายได้ยินเช่นนั้น นางโกรธจัดจนเลือดในร่างกายเดือด นางถูหน้าอกเบา ๆ เพื่อระบายความโกรธออกไปก่อนที่จะถูกดูแลโดยมู่ซื่อหรง นางต้องปรับอารมณ์อย่างรวดเร็วถ้าไม่เช่นนั้นสถานการณ์ของนางคงไม่ต่างอะไรจากเหล่าฉือ


เมื่อมองเห็นว่าแม่มดเปลือยกายสามารถจัดการกับความโกรธของตนเองได้และลดความเย่อหยิ่งลงแล้ว ซ่งจงพยักหน้าด้วยความพอใจจากนั้นจึงถามต่อ “ข้าจำได้ว่าเคล็ดการฝึกฝนของเจ้านั้นเป็นสิ่งที่พิเศษอย่างมาก มันจะปล่อยกลิ่นพิเศษ ใครก็ตามที่ได้กลิ่นมันจะถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง ซึ่งมันจะรบกวนจิตใจของคนเหล่านั้นจะทำให้พวกเขาต่อสู้กันเอง มันเป็นเช่นนี้จริงหรือไม่?”


“ใช่!” แม่มดเปลือยกายไม่กล้าที่จะชักช้าและรีบตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ในความจริงแล้วเรามักใช้กลิ่นนี้เพื่อกำจัดเหล่าอสูรกาย รวมกับพิษ เหล่าอสูรกายจะล้มลงได้โดยง่าย หลังจากที่พวกมันต่อสู้กันจนหมดแรง พวกเราจะปรากฏตัวขึ้นและจัดการกับพวกมันได้อย่างง่ายดาย!”


“ยอดเยี่ยม!” ซ่งจงพยักหน้า จากนั้นเขาหันไปมองชายชราที่มีท่าทีแปลกประหลาด “เจ้าคือตาเฒ่าพิษ?”


“เป็นข้าเอง!” ตาเฒ่าพิษรีบตอบกลับ


“เจ้าเชี่ยวชาญด้านการใช้พิษงั้นหรือ?” เจ้าอ้วนถามออกไป


“ใช่ ข้ามาจากสำนักพิษศักดิ์สิทธิ์และใช้พิษเหล่านี้เพื่อปกป้องตนเอง!” ตาเฒ่าพิษรีบตอบเรื่องราวเกี่ยวกับตนเอง


“ยอดเยี่ยม!” ซ่งจงพยักหน้าพร้อมหันไปหาหญิงสาวทั้งสองคน “ข้าขอถามชื่อศิษย์พี่ทั้งสองได้หรือไม่? สำนักที่ท่านมา? แล้วก็ความพิเศษของพวกท่าน?”


ทั้งคู่มองหน้ากัน จากนั้นเปล่งเสียงไพเราะออกมาซึ่งขัดแย้งกับหน้าตาของพวกนางอย่างยิ่ง “สามารถเรียกพวกเราว่าซื่อหยู่และซื่อหยุ่น เรามาจากสำนักประตูแห่งครหา ความเชี่ยวชาญของพวกข้าคือการก่อตัว!”


ดวงตาของเจ้าอ้วนส่องสว่างเมื่อได้ยินพวกนางพูด เขารู้ถึงความแข็งแกร่งของพวกนางดี เมื่อใดที่ประสบความสำเร็จในการวางจะสามารถสังหารศัตรูได้มากกว่าพวกเขาถึงสิบเท่า มันเป็นความยากในเรื่องของเวลาเมื่อเทียบกับสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของเขา มีคนน้อยมากที่เรียนรู้วิชาเช่นนี้ เจ้าอ้วนไม่คาดหวังว่าจะได้พบเจอกับพวกนางทั้งสอง อีกทั้งยังกลายเป็นลูกทีมของเขาอีกด้วย


ซ่งจงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ “จงฝึกฝนให้กลายเป็นผู้ฝึกตนที่มีชื่อเสียง ในอนาคตข้าหวังว่าศิษย์พี่ทั้งสองจะดูแลข้าเป็นอย่างดี!”


เมื่อเห็นว่าซ่งจงนั้นสุภาพมากกว่ามู่ซื่อหรงเมื่อครู่ พวกเขาลดการป้องกันลงและผ่อนคลายมากขึ้นได้ตอบกลับว่า “เจ้าเยินยอข้ามากไปแล้ว!”


เพียงแค่ในขณะนั้น มู่ซื่อหรงที่กำลังจิบชาอยู่ถามด้วยความสงสัย “เห็นได้ชัดว่าท่านทั้งสองงดงามราวกับนางฟ้า เหตุใดจึงต้องกินยาเพื่อเปลี่ยนแปลงให้ใบหน้าของท่านน่าเกลียดเช่นนี้?”


บทที่ 212: ทรยศ


เมื่อทั้งสองพี่น้องได้ยินเช่นนั้น พวกเขาตกใจทันที พร้อมกับใบหน้าเปลี่ยนเป็นซีดขาว หนึ่งในนั้นรีบตอบกลับอย่างรวดเร็ว “พวกข้าไม่รู้จักยาเปลี่ยนใบหน้าหรอก แต่ว่าใบหน้าของพวกข้าเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เกิด!”


แม้ว่าพวกนางจะปฏิเสธเสียงแข็ง แต่การแสดงออกเช่นนี้ได้ทรยศพวกนางอย่างชัดเจน ทุกคนที่อยู่ในที่นี้ล้วนแต่มีความฉลาดและบอกได้ทันทีว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น เห็นได้ชัดว่าพวกนางกลัวว่ารูปลักษณ์ที่ดีจะดึงดูดเหล่าบุรุษและทำให้พวกนางต้องมีค่าใช้จ่าย น่าเสียดายที่มู่ซื่อหรงรู้เรื่องนี้อยู่แล้วตั้งแต่เริ่มต้น


หลังจากได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของตาเฒ่าพิษจ้องมองไปที่หญิงสาวทั้งสองอย่างเป็นประกาย แม่มดเปลือยกายเผยรอยยิ้มเยือกเย็นออกมา แสดงความไม่พอใจอย่างออกนอกหน้าเรื่องดังกล่าว มีเพียงบุคคลที่ทำตัวดั่งเช่นก้อนหินเท่านั้นที่เข้าสู่สมาธิไปแล้ว


เมื่อเห็นสายตาของซ่งจง ทั้งสองพี่น้องเริ่มกังวลถึงความคิดของเขา จากวิธีที่ซ่งจงใช้มู่ซื่อหรงก่อนหน้านี้ แน่นอนว่าทั้งสองรู้ได้ทันทีว่าซ่งจงเป็นคนเจ้าเล่ห์ ช่วงเวลาที่ได้สัมผัสกับประสบการณ์ตรงหน้าทั้งสองกลัวว่าซ่งจงจะคิดร้ายกับพวกนาง


เมื่อเห็นเช่นนี้ ซ่งจงรู้ได้ทันทีว่าพวกนางเกรงกลัวสิ่งใด เขาได้แต่หัวเราะออกมาอย่างขมขื่นและกล่าวว่า “เจ้าทั้งสองไม่จำเป็นต้องระแวงข้าหรอก เพราะข้าไม่ใช่บุคคลที่จะเล่นกับผู้หญิงทุกคนที่ข้าพบเจอ!”


แม้ว่าจะตกใจกับสิ่งที่ซ่งจงกล่าว แต่พวกนางก็พยักหน้ารับอย่างไม่มีเงื่อนไข แต่รูปลักษณ์ที่กำลังบิดเบือนนั้นไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ซึ่งมันก็ไม่น่าประหลาดใจสักเท่าไหร่ที่เป็นเช่นนี้ เพราะก่อนหน้านี้มู่ซื่อหรงผู้ที่ยืนอยู่ข้างเขาได้ทำร้ายใครคนหนึ่งจนตาย แม้แต่แม่มดเปลือยกายยังรู้สึกหวาดกลัว ถ้าหากเขายิ้มและกล่าวออกมาว่าไม่ได้เป็นคนเช่นนั้น ใครกันจะสามารถเชื่อถือเขาได้?


เมื่อซ่งจงเห็นการตอบรับเช่นนั้น เขารู้ได้ทันทีว่านับตั้งแต่เขาอนุญาตให้มู่ซื่อหรงจัดการกับเหล่าฉือ เขาได้กลายเป็นปีศาจไปเสียแล้ว และคงไม่อาจล้างชื่อนี้ออกไปได้ จากนั้นเขาจึงเลิกใส่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้และส่ายหัวอย่างไร้ประโยชน์ พร้อมกันเขามองไปที่บุคคลที่ทำตัวดั่งเช่นก้อนหินและถามว่า “ข้าขอถามชื่อพี่ชายนักบวชได้หรือไม่?”


อย่างไรก็ตาม บุรุษก้อนหินได้เมินเฉยต่อซ่งจงไปแล้วโดยสมบูรณ์


ซ่งจงไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะถูกเมินเฉยเช่นนี้พร้อมกับใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นเย็นชา มู่ซื่อหรงที่กำลังดื่มชาอยู่จ้องมองไปที่เขาพร้อมกับปล่อยจิตสังหารออกมาอย่างรวดเร็ว


เมื่อสองพี่น้องเห็นเช่นนั้น พวกนางรีบตะโกนออกมา “ศิษย์พี่ได้โปรดอย่าสร้างปัญหาให้กับพี่ชายหิน เขาไม่ชอบพูดนัก”


“พี่ชายหิน?” ซ่งจงช่วยไม่ได้นอกจากหัวเราะออกมา “อย่าบอกข้านะว่าทุกคนเรียกเขาว่าหิน?”


“เขาเป็นเช่นนั้น!” ซื่อหยู่และซื่อหยุ่นตอบกลับอย่างเรียบง่าย “เขามาจากสำนักดาบเหล็กและรู้เพียงการฝึกฝนเท่านั้น เขาจะพูดออกมาถ้ามันสุดหนทางแล้วจริง ๆ ได้โปรดท่านอย่าคิดมากกับเขา!”


“ย่อมได้!” ซ่งจงกล่าวออกมา “เพื่อเห็นแก่ศิษย์น้อง ข้าจะไม่รบกวนหินก้อนนี้ เนื่องจากเขามาจากสำนักดาบเหล็ก ข้าเชื่อว่าเขาคงเป็นผู้ฝึกตนประเภทดาบและมีทักษะการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม นอกจากนั้นมู่ซื่อหรงของข้ายังเป็นผู้ฝึกดาบเช่นกันและพวกท่านก็ได้เห็นมันแล้ว! ทีมของเราช่างเต็มไปด้วยอัจฉริยะจริง ๆ!”


เมื่อซ่งจงกล่าวจบ ทุกคนมองมาที่เขาแต่ไม่กล้าที่จะกล่าวอะไรออกมา จนท้ายที่สุดแม่มดเปลือยกายได้รวบรวมความกล้าและถามออกไปว่า “แล้วพี่ชายตัวน้อยมีความพิเศษอะไรงั้นหรือ?”


“ข้าน่ะหรือ?” ซ่งจงยิ้มพร้อมกับจิบชา “ข้ามีความสามารถในการดื่มช้า ข้าเกลียดการต่อสู้ที่สุด!”


เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้น ทั้งหมดหัวเราะออกมาทันที พวกเขาไม่เข้าใจสิ่งที่ซ่งจงจะสื่อความหมายแต่อย่างใด


แม้ว่าทั้งหมดจะอยู่ในความงง แต่ซ่งจงกลับไม่คิดอะไรเช่นนั้น หลังจากจิบชาอีกครั้ง เขาถามออกไป “พวกท่านกำลังประชุมกันอยู่หรือ? แล้วกำลังคุยเรื่องอะไรกันอยู่ล่ะ?”


“โอ เป็นเช่นนั้น นี่ผ่านมานานนับเดือนแล้วหลังจากการออกกำลังกายครั้งสุดท้ายของพวกเรา เมื่อผ่านพ้นวันพักฟื้น ทุกคนต้องเตรียมพร้อมเพื่อรับภารกิจอีกครั้ง” แม่มดเปลือยกายตอบกลับ


“ยอดเยี่ยม!” ซ่งจงพยักหน้าพร้อมกล่าวว่า “ข้าคงไม่อาจตัดสินใจอะไรได้ ขอให้พวกท่านบอกข้าตามสมควร!”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น แม่มดเปลือยกายตาตื่นทันที นางคิดว่าเจ้าอ้วนกำลังจะแย่งบทบาทของการเป็นหัวหน้าทีม ด้วยพลังการต่อสู้อันน่ากลัวของมู่ซื่อหรง แน่นอนว่านางไม่อาจรักษาตำแหน่งหัวหน้าทีมได้ และนางก็ไม่คิดว่าเจ้าอ้วนจะปล่อยละเลยเรื่องเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาอยู่ในลัทธิเต๋าที่ต้องการเดินตามรอยเท้าตนเอง ถ้าหากเป็นเช่นนี้นางก็ยังพอใจที่จะอยู่ใต้บังคับบัญชาของเจ้าอ้วนและใช้ความสามารถของมู่ซื่อหรงเพื่อพิชิตทะเลตะวันออก!


เมื่อคิดได้เช่นนั้น แม่มดเปลือยกายเผยรอยยิ้มและกล่าวว่า “ไม่ต้องกังวล พี่สาวผู้นี้จะจัดการเรื่องยากลำบากทั้งหมดเอง ท่านจงใช้ชีวิตให้มีความสุขเถิด!”


“เป็นเรื่องที่ดีมาก!” ซ่งจงกล่าวออกมาอย่างยินดี “ถ้าหากเป็นเช่นนั้น พวกเจ้าจงไปทำหน้าที่ของตนเองในเรื่องที่สมควร และไม่รบกวนการพักผ่อนของข้า!”


สำหรับแม่มดเปลือยกายเมื่อได้ยินเช่นนั้น นางโกรธจัด ต้องเข้าใจว่าสถานที่แห่งนี้เป็นของนางและมันสวยงามอย่างมาก แต่เมื่อถึงเวลาที่ซ่งจงมาถึง เขาคว้ามันไว้และกำลังขับไล่นางออกไป


เมื่อเห็นว่ามันไม่ใช่เรื่องของตนเอง ทุกคนเริ่มทยอยกันออกไปเพราะเกรงว่าถ้าหากนั่งอยู่นานกว่านี้อาจจะถูกมู่ซื่อหรงจ้วงจนตายเหมือนอย่างเหล่าฉือ หลังจากที่แม่มดเปลือยกายจ้องมองเจ้าอ้วนอยู่ชั่วครู่ นางตัดสินใจยอมแพ้และเริ่มเก็บข้าวของ นางลงจากภูเขาและเริ่มมองหาที่พักใหม่ด้วยความโกรธ


แต่ซ่งจงไม่สนใจอย่างสมบูรณ์ เขาและมู่ซื่อหรงเริ่มตรวจสอบสถานที่พักใหม่อย่างสนุกสนาน เมื่อคิดว่าพวกเขาจะทำอะไรในวันแรกของการมาอยู่ที่นี่ เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างมากภายในหัวใจของตนเอง ในคืนนั้น เขาทุบตีมู่ซื่อหรงและเรียกแม่มดปีศาจเทวะทั้งเก้าออกมาร่วมต่อสู้กันอย่างดุเดือดจนรุ่งสาง


ในขณะที่เจ้าอ้วนกำลังดูแลมู่ซื่อหรงอย่างตื่นเต้น แม่มดเปลือยกายและตาเฒ่าพิษกำลังหารือเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างเงียบ ๆ


เมื่อทั้งคู่ได้พบกัน แม่มดเปลือยกายนั่งบนเก้าอี้หินพร้อมกับกล่าวว่า “ตาเฒ่าพิษเจ้ารู้เบื้องหลังของไอ้เจ้าซ่งจงนั่นหรือไม่? มันกล้ามากที่ละเมิดสิทธิ์ของข้า อีกทั้งข้ายังไม่อยู่ในสายตาของเขาแม้แต่น้อย!”


“ซ่งจง มู่ซื่อหรง…” ตาเฒ่าพิษพยายามนึกถึงอะไรบางอย่างก่อนจะกล่าวออกมา “พวกเขามาจากสำนักเสวียนเทียน ข้าจำได้ว่าทั้งสองเป็นบุคคลสำคัญของสำนักเสวียนเทียน มู่ซื่อหรงเป็นหลานสาวของจ้าวสำนักคนปัจจุบันและเป็นหนึ่งในเหล่าอัจฉริยะ สำหรับซ่งจง เขารุ่งโรจน์หลังจากเหตุการณ์นั้น ผู้คนในหอเฉวียนจี้ต่างพากันนับถือเขา เขามีความสามารถในการต่อสู้เพียงคนเดียวในการล่าผลไม้วิญญาณ เขาต่อสู้ร่วมกับหานปิงเอ๋อแห่งหอเฉวียนจี้ สังหารผู้ฝึกตนระดับจินตันสองคนและสร้างความบาดเจ็บสาหัสให้กับผู้ฝึกตนหยวนหยิน เรื่องเหล่านี้โด่งดังมากข้าคิดว่าเจ้าก็น่าจะรู้เช่นกัน”


“ว่าอะไร?” แม่มดเปลือยกายตอบกลับอย่างเข้าใจ “แน่นอนว่าข้าได้ยินเรื่องเหล่านี้มาก่อน แต่ข้าจำชื่อเขาไม่ได้ ไม่เคยคาดหวังว่าจะเป็นเขาด้วยซ้ำ แปลกมาก คนแบบนี้มักอยู่ในชนชั้นสูงของสำนักและมีหินจิตวิญญาณจำนวนมากสำหรับการฝึกฝน ทั้งคู่ไม่จำเป็นต้องแสวงหาความตายมาที่ทะเลตะวันออกแห่งนี้!”


“ข้าไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนั้น” ตาเฒ่าพิษกล่าวออกมาพร้อมยักไหล่ “แต่มู่ซื่อหรงนั้นแข็งแกร่งผิดปกติ! ข้าสามารถยอมรับได้หากเหล่าอัจฉริยะสามารถล้มคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่าได้ แต่ไม่ว่าพวกเขาจะอัจฉริยะมากเพียงใด ก็จะต้องต่อสู้อย่างดุเดือดก่อนที่จะได้รับชัยชนะ เป็นไปได้อย่างไรที่นางจะสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ระดับปฐมภูมิขั้นสุดท้ายได้อย่างง่ายดาย มันเป็นไปได้อย่างไรกัน!”


“ข้าก็คิดเช่นกันว่าเรื่องนี้มันแปลก!” แม่มดเปลือยกายไม่อาจทำอะไรได้นอกจากก่นด่าออกมา “หญิงเฒ่าผู้นี้มีชีวิตมานานนับร้อยปี ได้พบเห็นมาแล้วทุกสิ่งแม้แต่ในทะเลตะวันออก  เคยพบเจอกับอัจฉริยะนักดาบมามากมาย แต่ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นอัจฉริยะมากเท่าใด มันจะต้องใช้เวลาหลายปีในการฝึกฝนและเข้าใจมันอย่างลึกซึ้ง สิ่งที่มู่ซื่อหรงกระทำในวันนี้ไม่ใช่สิ่งที่นักดาบระดับปฐมภูมิควรจะทำได้ แม้แต่เหล่าผู้ฝึกตนระดับจินตันหรือหยวนหยินยังอาจอยู่ใต้อำนาจของนาง ความสามารถของนางนั้นอย่างกับผู้ฝึกตนอายุหนึ่งพันปี ความน่ากลัวของมันส่งผลมาถึงกระดูกสันหลังของข้า จนถึงตอนนี้ความกลัวยังหลงเหลืออยู่ในจิตใจข้าอยู่เลย ถ้าหากไม่ใช่เหล่าฉือที่ออกหน้าแทนข้า แน่นอนว่าคนที่ต้องตายต้องเป็นข้า!”


เมื่อได้ยินที่แม่มดเปลือยกายกล่าวเช่นนั้น เขาไม่กล้าที่จะตอบกลับ เขาไม่กล้าพูดว่าแม่มดเปลือยกายนั้นทำตัวน่าเกลียดเสียยิ่งกว่าขยะ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงนั่งเงียบราวกับไม่ได้ยินสิ่งใด


หลังจากที่แม่มดเปลือยกายได้ระบายความโกรธของตนเองออกมา นางถามต่อ “ตาเฒ่าพิษ เจ้าคิดว่าสองคนนี้มีเจตนาร้ายหรือไม่? เราควรจะจับกุมพวกเขาและกำจัดเขาทิ้งเสียดีไหม?”


“ไม่! ไม่ได้!” ตาเฒ่าพิษรีบกล่าว “พวกเขาทั้งคู่แข็งแกร่งมากและหลายอย่างยังเป็นความลับอยู่ เพียงแค่มู่ซื่อหรงคนเดียวก็เพียงพอที่จะสร้างความปวดหัว แต่ซ่งจงกลับทำให้นางเชื่องได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าเจ้าบ้าไขมันนั่นจะกล่าวว่าเขาเก่งในเรื่องการดื่มชา แต่เขาอยู่ในระดับปฐมภูมิขั้นกลางและยังสามารถสังหารผู้ฝึกตนระดับจินตันได้ในขณะที่เขาอยู่ในระดับเซียนเทียน แน่นอนว่าเขาคงไม่ใช่ขยะจริงหรือไม่? ข้าคิดว่าเขานั้นน่ากลัวเสียยิ่งกว่ามู่ซื่อหรง! เราไม่ควรประมาท!”


“แต่… อย่าบอกนะว่าจะปล่อยให้เขาข้ามหัวข้าไปมาเช่นนี้?” แม่มดเปลือยกายกล่าวออกมาอย่างเกรี้ยวกราด


“ไม่จำเป็น!” ตาเฒ่าพิษเผยรอยยิ้มปีศาจพร้อมกล่าวออกมา “เราควรวางแผนล่วงหน้าสำหรับเรื่องนี้ สำนักเสวียนเทียนนั้นแข็งแกร่งอย่างมากภายในทะเลตะวันออกและทั้งสองคนนั้นมาจากสำนักเสวียนเทียน ถ้าหากพวกเขาตาย ฮัวจิงซือและผู้ฝึกตนจินตันคนอื่นจะถามหาเหตุผลกับเรา!”


“เป็นเช่นนั้น!” เมื่อแม่มดเปลือยกายได้ยินดังนั้น นางกลับสู่ความสงบทันที นางรู้ว่าไม่มีความยุติธรรมภายในทะเลตะวันออก ถ้าหากซ่งจงและมู่ซื่อหรงพบกับอุบัติเหตุในขณะทำภารกิจกับทีม ความผิดทั้งหมดจะเป็นของพวกเขาทันทีไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ในเวลานั้นแม้ว่าจะอยากตายหนีเรื่องนี้ไป ก็คงเป็นได้เพียงแค่ฝัน


“แต่ลูกพี่หญิงไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก ทุกสิ่งที่เกิดย่อมมีทั้งดีและไม่ดี ตอนนี้ทั้งคู่ได้เข้าร่วมกับเราแล้วทำให้ทีมของเราแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก เหตุใดไม่ลองเลือกภารกิจที่ยากกว่าเดิมสักเล็กน้อยล่ะ? ไม่ว่าอย่างไรรางวัลของทีมเราก็จะได้เพิ่มมากขึ้นด้วย!” ตาเฒ่าพิษหัวเราะออกมา “สำหรับเรื่องอื่น เราควรจะพิจารณาอย่างช้า ๆ แต่คงมั่นใจได้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ข้าจะเป็นพันธมิตรของเจ้าเสมอ!”


“อืม แน่นอนว่าเจ้าเป็นคนที่ข้าไว้ใจมากที่สุด!” แม่มดเปลือยกายจับไหล่ของตาเฒ่าพร้อมกับลุกขึ้น “ตามนั้น ลืมมันไปซะ ในตอนนี้ข้าจะอดทนกับพวกเขาก่อน ในตอนนี้ความคิดเหล่านี้ไม่ได้ทำให้ภารกิจของเราสำเร็จหรือส่งผลดีใด!” เมื่อนางพูดจบ นางบินออกไปโดยไม่กล่าวลา


หลังจากที่แม่มดเปลือยกายได้จากไปแล้ว ตาเฒ่าพิษได้ลูบเคราของตนเองพร้อมยิ้มออกมาอย่างสนุกสนาน “ฮ่าฮ่า ดูเหมือนว่าลูกพี่หญิงจะไม่สามารถรักษาตำแหน่งของตนเองไว้ได้นาน เจ้าไขมันนั่นมาพร้อมกับเจตนาร้าย เขาไม่เพียงแต่แข็งแกร่งแต่กลับได้รับการสนับสนุนจากสำนักเสวียนเทียน ข้าเกรงว่าทีมนี้จะต้องถูกเขายึดไปในไม่ช้า แม้ว่าลูกพี่หญิงจะแข็งแกร่งแต่นางยังฉลาดไม่พอ สมองของนางนั้นถูกไฟแห่งความปรารถนากลืนกินจนหมดสิ้น ในเวลาเช่นนี้นางยังไม่คิดจะส่งมอบตำแหน่งแต่กลับจะใช้งานพวกเขาอีกงั้นหรือ? นี่มันเรื่องตลกจริงๆ เรื่องนี้คงไม่สามารถทำได้ ข้าจะไม่ยอมถูกลูกพี่หญิงลากไปด้วยแน่ เจ้าไขมันนั่นเป็นคนฉลาดมาก ถ้าหากเขารู้ว่าข้าสมรู้ร่วมคิดกับลูกพี่หญิง เขาจะต้องเกลียดข้าและส่งข้าไปตายโดยที่ไม่ทันรู้ตัว เฮ้อ สำหรับชีวิตของข้าเอง ในครั้งนี้คงต้องทรยศต่อลูกพี่หญิงแล้ว!”


ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น ตาเฒ่าพิษลุกขึ้นพร้อมกับเดินขึ้นภูเขาไปอย่างลับ ๆ หลังจากนั้นไม่กี่นาที เขากลายเป็นแขกของซ่งจงและเพลิดเพลินกับอาหารที่ซ่งจงมอบให้ ตาเฒ่าพิษกล่าวถึงแม่มดเปลือยกายที่กล่าวถึงซ่งจงโดยละเอียด ในขณะเดียวกันเขาได้แสดงความจงรักภักดีต่อเจ้าอ้วนโดยกล่าวว่าเต็มใจที่จะทำทุกอย่างเพื่อเขา


ซ่งจงนั้นรู้ดีว่าไม่อาจเชื่อถือตาเฒ่าพิษได้ แต่เขาเป็นบุคคลที่มีอำนาจ วันนี้เขาสามารถหักหลังแม่มดเปลือยกายได้อย่างน่ากลัว ในวันพรุ่งนี้เขาจะต้องทรยศต่อเขาได้อย่างแน่นอน การกระทำเช่นนี้ของเขาทำให้เจ้าอ้วนรู้สึกเกลียดชังเขาอย่างมาก


แต่เป็นเพราะซ่งจงเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรกและไม่คุ้นเคยกับทีมมากนัก ตอนนี้มีคนทรยศที่ต้องการสนับสนุนเขา มันจะเป็นประโยชน์อย่างมากเพื่อให้เขาเข้าใจทีมมากขึ้น ด้วยการช่วยเหลือของตาเฒ่าพิษ ซ่งจงสามารถรับรู้ข้อมูลของเพื่อนร่วมทีมได้อย่างง่ายดาย รวมถึงประวัติการทำภารกิจที่แสนอันตรายของพวกเขา ทั้งหมดนี้จะเป็นประโยชน์อย่างมากเมื่อวันที่เขาได้ขึ้นเป็นผู้นำทีม


เหตุผลที่ซ่งจงสุภาพต่อตาเฒ่าพิษนั้นเป็นเพราะเขาต้องการข้อมูล อีกทั้งต้องการคนที่ล้วงข้อมูลจากแม่มดเปลือยกายได้เพื่อคาดหวังว่านางจะไม่ทำอะไรบ้า ๆ


ตาเฒ่าพิษใช้เวลาสองชั่วโมงในสถานที่ของซ่งจง เมื่อเขาออกมาจากภูเขา เขาได้รับมอบหมายให้ล้วงความลับจากแม่มดเปลือยกาย


หลังจากที่ตาเฒ่าพิษออกไปแล้ว ซ่งจงได้แต่หัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ “แม่มดเปลือยกายน่ะหรือ แน่นอนว่านางคงไม่ซื่อสัตย์!”


“ข้าควรไปสังหารนางดีหรือไม่?” มู่เอ๋อที่ควบคุมมู่ซื่อหรงอยู่ถามออกมา “แน่นอนว่าข้าจะทรมานนางจนตาย!”


“ไม่ต้อง ไม่จำเป็น!” ซ่งจงส่ายหัวพร้อมกล่าวว่า “นี่เพิ่งวันแรกและการสังหารเพียงหนึ่งคนนั้นพอแล้ว ถ้าหากข้าสังหารมากกว่านี้ ทุกคนจะเริ่มระมัดระวังตัวมากขึ้นและมันจะไม่ส่งผลดีกับทีมเราในอนาคต!”


บทที่ 213: ออกเดินทาง


“ทำไมนายท่านจึงไม่ให้ข้าควบคุมนาง!” ปีศาจเทวะอีกตนที่อยู่ด้านข้างกล่าวออกมาอย่างตื่นเต้น


เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขารู้สึกถูกล่อลวงทันที แต่หลังจากไตร่ตรองแล้วสักครู่เขาส่ายหัวพร้อมกับกล่าวออกมาว่า “คงจะดีกว่าถ้าไม่ทำเช่นนั้น อย่างน้อยก็ในตอนนี้!”


“เหตุใดจึงทำไม่ได้ในตอนนี้?” ปีศาจเทวะถามออกมาอย่างสับสน


“มันง่ายเกินไปที่คนอื่นจะมองเห็นว่ามีบางอย่างผิดปกติ!” ซ่งจงอธิบายพร้อมกับหัวเราะอย่างขื่นขม “ในตอนนี้มีมู่ซื่อหรงที่ใช้ทักษะดาบที่เก่งกาจผิดปกติอยู่ข้างกายข้า เท่านี้ก็ทำให้เรื่องราวมันแปลกประหลาดมากเกินไปแล้ว หากผู้อื่นเห็นว่าแม่มดเปลือยกายแข็งแกร่งผิดปกติ มันง่ายมากที่จะเป็นจุดสังเกตและสามารถคาดเดาได้ว่าเป็นความสามารถของภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า! ข้าไม่ต้องการสร้างปัญหาให้ตนเองด้วยการเปิดเผยว่าครอบครองพวกเจ้า!”


เมื่อปีศาจเทวะได้ยินเช่นนั้น นางพยักหน้าทันทีด้วยความเข้าใจ จากนั้นมู่เอ๋อถามออกมาว่า “นายท่านคิดอย่างไรเกี่ยวกับแม่มดเปลือยกาย? อย่าบอกนะว่าท่านต้องการให้นางวางแผนทุกอย่างอยู่เบื้องหลังของท่าน?


“อา ในตอนนี้เรายังไม่ต้องสนใจนาง อย่างไรก็ตามตาเฒ่าพิษก็เป็นสายลับให้กับเราแล้ว นางไม่สามารถสร้างปัญหาได้โดยง่าย!” ซ่งจงกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้มเยือกเย็นพร้อมกล่าวเสริมว่า “ถ้าหากนางคิดที่จะวางแผนทำอะไรลับหลังข้า เหอะ! ข้าจะสั่งสอนบทเรียนให้กับนางเอง!”


“นายท่านฉลาดจริง ๆ!” แม่มดทั้งเก้ากล่าวออกมา


“ฮ่าฮ่า พวกเจ้าทั้งหมดรู้อยู่แล้วว่าจะทำยังไงให้ข้ามีความสุข!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาด้วยใบหน้าชั่วร้ายพร้อมกับเริ่มลูบไล้ที่ร่างกายของพวกนาง


แน่นอน แม่มดทั้งเก้ารู้ทันทีว่าเขาต้องการอะไรและไม่ปฏิเสธ สุดท้ายแล้วความปรารถนาครั้งใหญ่ได้ถูกปลุกขึ้นอีกครั้ง พวกเขาเริ่มต่อสู้กันอย่างดุเดือดด้วยบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสุข


หลังจากผ่านไปไม่กี่วัน แม่มดเปลือยกายมาถึงอาคารบนยอดเขา ภายในศาลาขนาดเล็ก นางเห็นว่าเจ้าอ้วนกำลังฉวยโอกาสกับมู่ซื่อหรง


เมื่อนางได้เห็นเช่นนั้น ความเจ็บปวดที่ถูกเผาไหม้ตลอดเวลาของนางได้ปะทุขึ้น ดวงตาของนางไม่อาจอดกลั้นความปรารถนาไว้ได้พร้อมกับปากที่เริ่มกระตุก ในเวลานั้นนางเริ่มลูบคลำร่างกายของตนเองไปทั่วทั้งตัวพร้อมกับส่งเสียงครางออกมา


ซ่งจงรู้สึกไม่พอใจอย่างมากที่นางปรากฏตัวขึ้นในตอนนี้พร้อมกับผลักมู่ซื่อหรงออกไป เขาส่ายหัวพร้อมกับหยิบชาขึ้นมาจิบพร้อมถามว่า “เจ้ามาที่นี่ด้วยเหตุใด?”


แน่นอนว่าแม่มดเปลือยกายนั้นเตรียมใจที่จะถูกเจ้าอ้วนตำหนิไว้แล้ว ดังนั้นนางจึงพูดเข้าประเด็นทันที “ข้าได้เลือกภารกิจแล้ว เป็นเกาะภูเขาไฟซึ่งกว้างประมานร้อยลี้ บนนั้นมีอสูรกายกว่าร้อยตัว! มันเป็นภารกิจที่เหมาะสมกับเรามากที่สุดที่จะขึ้นไปทำความสะอาดมัน!”


“เกาะภูเขาไฟ?” ซ่งจงขมวดคิ้วพร้อมกับถามว่า “พวกมันเป็นอสูรกายขั้นสี่ที่เติบโตขึ้นจากที่นั่น แน่นอนว่าความแข็งแกร่งของพวกมันเทียบเท่ากับระดับผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิ ด้วยจำนวนของพวกมัน เจ้าคิดงั้นหรือว่าเราจะสามารถทำลายมันได้?”


“นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ด้วยการฝึกฝนของข้ารวมกับตาเฒ่าพิษมากพอที่จะทำให้พวกมันทั้งหมดบ้าคลั่ง หลังจากนั้นพวกมันจะลงเอยด้วยการต่อสู้กันเอง เราเพียงแค่ดูแลหลังจากที่พวกมันทั้งหมดตายตกไปแล้วเท่านั้น!” แม่มดเปลือยกายกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “ถ้าทุกอย่างประสบความสำเร็จ เราก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรมาก!”


“อือ!” ซ่งจงพยักหน้าพร้อมกับคิดตาม จากนั้นเขากล่าวว่า “เอาล่ะ ถ้าหากเป็นเช่นนั้น เราก็ออกเดินทางกันได้ แล้วเราจะไปกันเมื่อไหร่?”


“ทุกคนจะต้องใช้เวลาในการเตรียมตัว พวกเขาจะต้องใช้อุปกรณ์บางอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่อยู่บนเกาะภูเขาไฟ อย่างน้อยรายการพวกนี้ไม่ได้หาได้โดยง่ายแต่ก็ไม่ได้ยากจนเกินไป ข้าคิดว่าสามวันก็เพียงพอ!” แม่มดเปลือยกายรีบตอบกลับ


“เอาล่ะ เราจะแจ้งให้ทุกคนทราบว่าจะออกเดินทางหลังจากนี้สามวัน!” ซ่งจงออกคำสั่งราวกับเขาเป็นหัวหน้าทีม “เหอะ!” แม้ว่าแม่มดเปลือยกายจะรู้สึกหงุดหงิดอย่างมาก แต่นางไม่กล้าที่จะแสดงอารมณ์ของตนออกไปพร้อมกับตอบกลับอย่างเชื่อฟัง “ถ้าเช่นนั้นก็ไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวก่อน!”


“อืม ข้าไม่สามารถไปส่งเจ้าได้!” ซ่งจงโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ


“ข้าไม่กล้าที่จะสร้างปัญหาให้แก่ท่าน!” แม่มดเปลือยกายออกไปจากอาคารพร้อมกับมุ่งหน้าไปหาตาเฒ่าพิษอย่างรวดเร็ว


เมื่อนางพบกับตาเฒ่าพิษ นางเริ่มระบายอารมณ์ออกมา “บัดซบ เจ้าอ้วนนั่นมันทำเกินไปแล้ว เขาไม่เสนอชาให้ข้าสักถ้วย แถมยังออกคำสั่งราวกับข้าเป็นแม่บ้านของมัน! มันจะมากเกินไปแล้ว!”


เมื่อตาเฒ่าพิษได้ยินเช่นนั้น เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงขื่นขม “เจ้าอ้วนนั้นทำมากเกินไปจริง ๆ แต่เราก็ไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้ ถูกไหม? เราจะไม่ยอมก้มหัวได้อย่างไรในเมื่อเราอ่อนแอกว่าเขา? จะเป็นการดีที่สุดถ้าหากเรารู้จักระงับความโกรธของตนเองไว้!”


“บัดซบ!” แม่มดเปลือยกายเตะเก้าอี้ที่อยู่ตรงหน้าด้วยความโกรธพร้อมกับตะโกนออกมา “หญิงชราผู้นี้ไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป!”


“แล้วยังไงล่ะถ้าหากเจ้าทนไม่ได้? อย่าบอกนะว่าเจ้าต้องการต่อสู้กับมู่ซื่อหรง?” ตาเฒ่าพิษกล่าวออกมาอย่างช่วยไม่ได้


“เรื่องนั้น…” แม่มดเปลือยกายไร้คำพูดทันที หลังจากนั้นนางกล่าวออกมาอย่างโกรธแค้น “บัดซบ ถ้าหากนางบังคับให้ข้าจนมุม ข้าก็จะต่อสู้กับนางแม้ว่าในตอนสุดท้ายจะต้องตาย!”


“ข้าว่าเจ้าจงเก็บงำความโกรธไว้เสียดีกว่า บางทีอีกสักพักซ่งจงอาจจะจากไปก็ได้” ตาเฒ่าพิษพยายามหว่านล้อม “ด้วยสายสัมพันธ์ของสำนักเสวียนเทียน มันง่ายมากถ้าหากเขาจะเข้าร่วมในทีมระดับจินตัน การมาอยู่ในทีมนี้แน่นอนว่าพรสวรรค์ของเขาจะถูกปิดกั้น!”


“อย่างนั้นหรือ? ข้าลืมไปเลย งั้นข้าจะอดทนไปก่อน!” แม่มดเปลือยกายกล่าวออกมาอย่างมีหวัง จากนั้นนางกล่าวเสริม “จริงด้วย เราจะไปยังเกาะภูเขาไฟในอีกสามวันข้างหน้า เจ้าจงเตรียมตัวด้วย!” ในขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น นางบินออกไปโดยไม่กล่าวคำลาใดทั้งสิ้น


เมื่อเห็นว่าแม่มดเปลือยกายได้จากไปแล้ว ตาเฒ่าพิษรีบขึ้นไปพบซ่งจงทันทีและรายงานเขาเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น ซ่งจงชื่นชมเขาเล็กน้อยพร้อมกับส่งเขากลับออกไป แม้ว่าเขาจะไม่ได้สนใจที่จะดำเนินการกับแม่มดเปลือยกายเท่าไหร่นัก แต่เขาก็ระมัดระวังนางมากยิ่งขึ้น


ซ่งจงเกรงว่าภารกิจนี้จะเป็นกับดักของแม่มดเปลือยกาย ดังนั้นเขาจึงเดินทางไปที่อาคารร้อยบุบผาเพื่อพบกับฮัวจิงซือเพื่อที่จะเข้าใจในสถานการณ์มากขึ้น จากนั้นเขาก็พบว่าภารกิจเช่นนี้เป็นเหมือนที่แม่มดเปลือยกายได้อธิบายไว้ก่อนหน้า มีอสูรกายภูเขาไฟประมานหนึ่งร้อยตัว นอกเหนือจากลูกของพวกมัน มีอสูรกายขั้นสี่เพียงหลักสิบเท่านั้น และในพวกมันไม่มีตัวไหนที่อยู่ในขั้นห้า


หลังจากที่ได้รับข้อมูลจากฮัวจิงซือ ซ่งจงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาเล็กน้อย ด้วยอสูรกายเพียงขั้นสี่ เขาสามารถจัดการพวกมันได้และถึงแม้ว่าจะเป็นอสูรกายขั้นห้าที่อยู่ในระดับจินตันเขาก็ไม่เกรงกลัวพวกมันแม้แต่น้อย ไม่มีสิ่งใดที่จะสร้างความหวาดกลัวให้กับเขาได้ในตอนนี้ หลังจากที่พูดคุยกับฮัวจิงซืออยู่สักพักหนึ่ง เขากลับไปที่อาคารบนยอดเขาของตนเอง เพื่อรอเวลาอีกสามวัน


สามวันผ่านไปรวดเร็วราวกับกระพริบตา เช้าวันรุ่งขึ้นทุกคนรวมตัวกันอยู่ใต้ต้นไม้บนยอดเขาราวกับทุกคนพร้อมที่จะเข้าร่วมสงคราม มีเพียงซ่งจงเท่านั้นที่แสดงสีหน้าออกมาอย่างไร้ความกังวลใด อีกทั้งขวดไวน์ในมือของเขา


เมื่อทุกคนเห็นดังนั้น ทั้งหมดขมวดคิ้วทันทีแสดงท่าทีที่ไม่พอใจออกมา มันเป็นเพราะทั้งหมดเกรงกลัวต่อความแข็งแกร่งของมู่ซื่อหรงจึงทำให้ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะต่อกรกับเขา


แม้ไม่มีใครกล่าวสิ่งใดออกมา แต่ในฐานะหัวหน้าทีมอย่างเช่นแม่มดเปลือยกายไม่สามารถมองข้ามสิ่งนี้ได้ นางทำได้เพียงกัดฟันและกล่าวออกมาว่า “ทุกคนพร้อมหรือยัง? เราจะต้องบินไปยังเกาะภูเขาไฟและใช้เวลาเดินทางสักสองสามวัน!”


แม้ว่านางจะกล่าวกับทุกคน แต่เป้าหมายของนางคือซ่งจง


เมื่อซ่งจงเห็นเช่นนั้น เขาอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “เดินทางเพียงไม่กี่ร้อยลี้ เราต้องใช้เวลาบินถึงสามวันเลยงั้นหรือ?”


ในความจริงด้วยความเร็วของผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิขั้นสุดท้าย สามารถเดินทางห้าพันลี้ได้ในเวลาเพียงสองชั่วโมง สำหรับเพียงร้อยกว่าลี้และใช้เวลาสองวันนั้นดูจะมากเกินไป


เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของพวกเขาแสดงออกถึงความรังเกียจ แม่มดเปลือยกายอธิบายพร้อมกับขมวดคิ้ว “ภายในทะเลตะวันออกนั้นไม่เหมือนกันเทือกเขาใหญ่ที่เจ้าจากมา มีอันตรายมากมายซ่อนอยู่ในทุกหนแห่งและการต่อสู้สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ดังนั้นเราจะไม่ใช้ปราณจิตวิญญาณในการเดินทาง เราสามารถเดินทางได้เพียงหนึ่งหมื่นลี้ การจะฟื้นฟูปราณจิตวิญญาณนั้นต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งวัน ถ้าไม่เช่นนั้นเราจะพ่ายแพ้เมื่อต้องพบเจอกับการต่อสู้ครั้งใหญ่!”


“ฮ่าฮ่า ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าไม่ต้องกังเวลเกี่ยวกับเรื่องนั้น!” สำหรับซ่งจงที่กล่าวเช่นนั้นออกมา เขาโบกมือพร้อมกับปรากฏนาวายักษ์สีดำออกมาภายในอากาศ


“โอ้ เรือบิน!” ซูหยุนและซูหยู่อุทานออกมาอย่างตื่นเต้น


ดวงตาของทุกคนเป็นประกายทันทีและอุทานออกมาอย่างช่วยไม่ได้ แม่มดเปลือยกายร้องออกมาทันที “โอ้ ข้าไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าท่านจะมีสมบัติเช่นนี้ ด้วยสิ่งนี้เราจะไม่ต้องห่วงเรื่องการใช้ปราณจิตวิญญาณและเวลาการเดินทางของเราจะสั้นลงอย่างมาก พร้อมทั้งลดความเสี่ยงขณะเดินทางอีกด้วย! อุปกรณ์นี้ควรเป็นสมบัติล้ำค่าสำหรับพวกเรา!” ซูหยุ่นและซูหยู่กล่าวออกมา “พี่ชายนักบวชนั้นเป็นคนที่ร่ำรวยอย่างมาก! ท่านสามารถนำสมบัติล้ำค่าของสำนักออกมาได้เช่นนี้ เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจอย่างมาก!”


“ฮี่ฮี่!” ซ่งจงกล่าวออกมาอย่างร่าเริง “ไม่ใช่อย่างนั้น นี่เป็นสมบัติที่ข้าได้รับหลังจากการต่อสู้ เดิมทีมันเป็นของสำนักจักรกล ข้าหยิบฉวยมันมาจากบุตรชายของจ้าวสำนัก!”


ถ้าหากเป็นที่อื่น แน่นอนว่าเขาจะต้องถูกรังเกียจอย่างแน่นอนที่ฉกฉวยสมบัติของผู้อื่น แต่ที่แห่งนี้คือทะเลตะวันออกซึ่งไร้กฏเกณฑ์ใด ถ้าหากว่าไม่รู้จักการปล้นใครสักคนจะกลายเป็นตัวเราเองที่โดนดูถูก เพราะสถานที่แห่งนี้มีแต่การแย่งชิง


เช่นนั้นซ่งจงจึงกล้าเปิดเผยความจริงออกมาและตอบอย่างมั่นใจ เมื่อทุกคนเห็นว่าเขามีความสามารถขนาดไหน พวกเขามองเจ้าอ้วนด้วยสายตาชื่นชม แม้แต่นักบวชหินยังอดไม่ได้ที่จะส่งสายตาชื่นชมเขาออกมาถึงจะเป็นเพียงแวบเดียวก็ตาม นั่นทำให้ซ่งจงรู้สึกดีมากยิ่งขึ้น


เมื่อเป็นเช่นนี้ซ่งจงไม่กล่าวอะไรต่อ เขาบอกให้ทุกคนขึ้นเรือ แม้ว่าสิ่งนี้จะเป็นสมบัติวิเศษที่มีขนาดเล็กที่สุดในบรรดาสมบัติขนาดยักษ์ แต่มันก็ยังมีความกว้างถึงร้อยฟุตและสามารถบรรทุกคนได้ถึงเจ็ดคน ขณะที่ทุกคนขึ้นไปบนเรือเสร็จสิ้นแล้ว ซ่งจงไม่ได้กล่าวอะไรต่อพร้อมกับออกเรือทันที

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม