Chaotic Lightning Cultivation โกลาหลแห่งอัสนีบาต 201-206

 บทที่ 201: ในดาบเดียว


เมื่อมองเห็นดาบธาตุทั้งห้าที่ดูแข็งแกร่งเช่นนั้น  เหล่าสี่พี่น้องคล้ายไม่ต้องการแสดงออกว่าเกรงกลัวต่อมัน จิน ยิน ถง และเที่ยทำการคำรามออกมาพร้อมกับปลดปล่อยปราณจิตวิญญาณเพื่อปกป้องตนเองทันที ในเวลานั้นฝ่ามือของพวกเขาส่องประกายสีทองออกมาเพื่อป้องกันการโจมตีของดาบธาตุทั้งห้า


พี่ใหญ่จินกระโดดมาที่ด้านหน้าเจ้าอ้วนทันทีพร้อมกับคำรามออกมา “ไขมันบัดซบ เจ้ากล้ามากที่คิดโจมตีพวกเราเช่นนี้ ดังนั้นพวกเราจะไม่ละเว้นให้อีกต่อไป เหล่าพี่น้องข้า โจมตีมันด้วยพลังทั้งหมดของพวกเจ้า วันนี้เราจะทำลายเจ้าไขมันนี้ให้สิ้นซาก!”


เมื่อทั้งสามคนได้ยินเช่นนั้น ในขณะที่กำลังจะดำเนินการต่อ บางสิ่งบางอย่างได้เกิดในใจของพวกเขา ‘พวกเราทั้งสี่จะต่อสู้ด้วยกัน โดยมีหนึ่งคนเป็นผู้ฝึกตนระดับจินตัน แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่พวกเราจะพ่ายแพ้?’ แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาทั้งหมดประหลาดใจก็คือเจ้าอ้วนเป็นฝ่ายเปิดการโจมตีก่อน กล่าวก็คือพี่น้องทั้งสี่สามารถอ้างการป้องกันไว้ได้ กระทั่งพวกเขาบดขยี้เจ้าอ้วน แต่อาวุโสไม่อาจเอาเรื่องพวกเขาได้! โอกาสเช่นนี้ในร้อยปีคงจะเกิดขึ้นสักครั้ง แล้วเช่นนี้พวกเขาจะปล่อยไปได้อย่างไร? ดังนั้นพวกเขาใช้ทั้งหมดที่มีเพื่อป้องกันพลังของดาบธาตุทั้งห้าเพื่อเปิดช่องทางให้พี่ใหญ่จินโจมตีจากท้องฟ้า


เมื่อได้ยินเสียงสนทนาของเหล่าพี่น้องทั้งสี่ เจ้าอ้วนโกรธจัดทันที เขาไม่อาจช่วยอะไรได้นอกจากสบถในใจเท่านั้น ‘เจ้าหัวล้านผู้โง่เขลา ไม่เพียงแต่เข้ามาเหยียบย่ำในบ้านของข้า แต่ยังกระทั่งยืนมองร่างกายที่เปลือยเปล่าของหญิงสาวที่ข้าดูแลอยู่ แล้วยังต้องการที่จะสังหารข้าอีกงั้นหรือ! พวกเจ้ามันสารเลว! ถ้าหากพวกเจ้าคิดที่จะสังหารข้าแล้วก็อย่ามาร้องขอความเมตตาจากข้าในภายหลัง!’


เมื่อคิดเช่นนั้น เจ้าอ้วนโกรธจัดถึงจุดที่เขาไม่ปกปิดจิตสังหารภายในจิตใจอีกต่อไป เขาคิดจะใช้พลังทั้งหมดที่มีเพื่อสังหารพวกเขาให้หมด


ภายใต้เสียงหัวเราะที่เย็นชา เจ้าอ้วนหยิบระฆังทองแดงออกมา ขนาดของมันในตอนนี้มีเพียงไม่กี่ฟุตเท่านั้น พร้อมกับหันหน้าไปหาพี่ใหญ่จินอย่างตั้งใจ จากนั้นเขาใส่ยันต์จิตวิญญาณลงไปที่ฐานของระฆัง


เกิดเป็นคลื่นเสียงปรากฏออกมาจากระฆังพร้อมกับพุ่งไปที่พี่ใหญ่จินซึ่งลอยอยู่กลางอากาศ


เขาปลดปล่อยเคล็ดวิชาเสียงอมตะทำลายกระดูกออกไป จากนั้นระฆังได้ปล่อยการโจมตีที่สามารถทำลายภูเขาทั้งลูกได้ออกไป สถานที่ที่คลื่นเสียงได้ผ่านไปล้วนแต่ถูกทำลายลงอย่างราบคาบ แม้แต่บ้านของเขานั้นก็ไม่ถูกละเว้นแต่อย่างใด


แม้ว่าอีกฝ่ายจะป้องกันตนเองด้วยปราณจิตวิญญาณและด้วยสถานะผู้ฝึกตนระดับจินตัน เขาก็ไม่อาจทำอะไรได้นอกจากถูกส่งให้ลอยออกไปอย่างรวดเร็ว ร่างกายของเขาในตอนนี้ราวกับถูกภูเขาทั้งลูกทุบลงอย่างไม่ใยดี เวลาเพียงชั่วพริบตาเขาถูกส่งให้ลอยออกไปนับร้อยฟุต


เมื่อพี่ใหญ่จินถูกส่งออกไป เจ้าอ้วนวางระฆังไว้ที่ด้านหลังเพื่อปกป้องหานหลิงเฟิงและมู่ซื่อหรง จากนั้นเขาก็ปลดปล่อยภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้าออกมา


เจ้าอ้วนตอนนี้อยู่ระดับปฐมภูมิขั้นกลาง ปีศาจหญิงงามทั้งเก้าต่างก็แข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอย่างมาก ความแข็งแกร่งของพวกนางตอนนี้ใกล้เคียงผู้ฝึกตนระดับจินตัน พวกนางสามารถเคลื่อนไหวไปไหนมาไหนได้อย่างไร้ร่องรอย แม้จะเป็นเวลากลางวันอย่างตอนนี้ หากคิดตรวจจับการเคลื่อนไหวของพวกนางให้พบก็ไม่ใช่เรื่องง่าย สถานการณ์ยุ่งยากมากยิ่งขึ้นเมื่อพี่น้องทั้งสามไม่อาจจัดการกับดาบธาตุทั้งห้าเล่มได้ ผลลัพธ์ปรากฏคือเครื่องเรือนทั้งหมดในห้องนอนถูกทำลายย่อยยับ ดาบบินได้บินว่อนไปทั่วจนเกิดความโกลาหลอย่างแท้จริง


เมื่อปีศาจหญิงงามทั้งเก้าออกมา พวกเขายิ่งจัดการทุกอย่างได้ยากเย็นยิ่งขึ้นไปอีก เพราะว่าพวกนางสามารถทะลุผ่านทุกสิ่งอย่างได้ ทำให้สามารถควบคุมเหล่าพี่น้องทั้งสามคนได้อย่างง่ายดาย


เสี้ยวนาทีสุดท้ายกว่าสามพี่น้องรู้สึกตัวว่าผิดปกติ นับว่าน่าเวทนาที่พวกเขาไม่อาจควบคุมร่างกายของตัวเองได้อีกต่อไป สิ่งเดียวที่แสดงออกมาในตอนนี้คือสีหน้าที่ผิดหวังโดยสมบูรณ์


เจ้าอ้วนไม่ได้แสดงความเมตตาต่อพวกเขาแต่อย่างใด เขาหยิบเอาดาบอินทรีทองออกมาพร้อมกับสะบัดมันอย่างรุนแรงด้วยความโกรธ ดังนั้นโลกทั้งใบพลันดับลงทันทีพร้อมกับศีรษะของสามพี่น้องที่ร่วงหล่น พร้อมกันนั้นเลือดก็พุ่งออกมาจากลำคอของพวกเขาราวกับลาวาพุ่งออกมาจากปล่องภูเขาไฟอย่างรุนแรง


ด้วยการตัดเพียงครั้งเดียว เขาจัดการศีรษะของทั้งสามคนได้ เห็นได้ว่าพลังของภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้านั้นแข็งแกร่งอย่างมาก แน่นอนว่าความพิเศษของมันนั้นเป็นสิ่งที่ไม่สามารถค้นหาที่ใดได้อีก ไม่ว่าจะเป็นการซุ่มโจมตีหรือโจมตีอย่างเปิดเผย มันทำได้อย่างแข็งแกร่งและไม่พ่ายแพ้ต่อผู้ใด แม้เหล่าพี่น้องทั้งสามจะไม่แข็งแกร่งเท่ากับพี่ใหญ่จิน แต่พวกเขาก็ยังอยู่ในระดับปฐมภูมิขั้นสุดท้าย ปราณจิตวิญญาณที่เขาร่ายออกมาป้องกันตนเองนั้นแม้แต่ผู้ฝึกตนระดับจินตันขั้นต้นก็ไม่อาจทำลายลงได้โดยง่าย แม้ว่าเจ้าอ้วนจะมีดาบธาตุทั้งห้าอยู่ในมือ เขายังต้องการพลังเสริมบางอย่างเพื่อสังหารและทำลายพวกเขา!


หลังจากที่ปีศาจหญิงงามเข้าควบคุมร่างกายของพวกเขา พวกนางปลดปล่อยให้ปราณจิตวิญญาณที่ป้องกันอยู่หายไป พร้อมกับรับการโจมตีจากเจ้าอ้วนภายในครั้งเดียว ในขณะนั้นพี่ใหญ่จินยังคงอยู่ในอากาศไกลนับพันฟุต!


แม้กระทั่งพี่ใหญ่จินยังตกใจอย่างมากกับสถานการณ์เช่นนี้ เพราะเขาเป็นผู้ฝึกตนร่างกาย ทว่าคลื่นเสียงเช่นนี้กลับทำให้เขากระเด็นออกมาได้ไกลขนาดนี้ อีกทั้งเขายังอยู่ในสภาวะการป้องกันตนเองอีกด้วย นั่นทำให้เขาตกใจพอสมควรแต่ก็ไม่ได้บาดเจ็บสาหัสแต่อย่างใด


ในขณะที่เขากำลังลอยอยู่ในอากาศ เขาเห็นภาพพี่น้องของตนเองถูกตัดหัว ในขณะนั้นร่างกายของเขาราวกับถูกเผาไหม้อย่างรุนแรง มันเป็นความเจ็บปวดที่ไม่สามารถอธิบายได้!


อย่างแรกนั้น ทั้งสี่ต่างเติบโตมาด้วยกัน ความสัมพันธ์ของพวกเขานั้นเหนียวแน่นอย่างยิ่ง พวกเขาสาบานว่าจะเป็นผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินด้วยกัน ประสบความสำเร็จไปพร้อมกัน แต่ในวันนี้พี่น้องของเขาทั้งหมดตายแล้ว! จะให้จินที่เป็นพี่ใหญ่อดทนกับสถานการณ์เช่นนี้ได้อย่างไร?


“อ๊าก!!!!” จินเปล่งเสียงคำรามร้องออกมาขณะที่ตนเองอยู่บนท้องฟ้าพร้อมกับตะโกนดังลั่น “ไอ้ไขมันสารเลว ข้าจะไม่ขอเป็นผู้คนอีกต่อไปหากไม่ได้สังหารเจ้า!”


ขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น ร่างที่ลอยลิ่วพลันหยุดขณะพุ่งเข้าหาเจ้าอ้วน


เมื่อเห็นดังนั้น เจ้าอ้วนหัวเราะอย่างสบายอารมณ์พร้อมกางแขนออกทันที สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ห้าลูกปรากฏแทบในทันที มันหมุนรอบเขาอย่างต่อเนื่อง มันหลอมรวมเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว กลายเป็นบอลสายฟ้าหลากสี จากนั้นเขาปล่อยมันออกไปเพื่อปะทะกับพี่ใหญ่จินที่กำลังพุ่งเข้ามา


“สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์หยินหยางแห่งธาตุทั้งห้า!” ในขณะที่พี่ใหญ่จินเห็นเช่นนั้น เขากรีดร้องออกมาพร้อมกับหันหลังกลับทันทีโดยหวังว่าจะเปลี่ยนวิถีของพวกมัน


อย่างไรแล้วมันไม่ง่ายนักที่จะหลบหลีกการโจมตีของบอลสายฟ้าเมื่อเจ้าอ้วนควบคุมมันด้วยสัมผัสวิญญาณ แล้วเขาจะหลบมันได้อย่างไร?


แม้ว่าจินจะมีความเร็วแต่เขาก็ยังช้ากว่าลูกบอลสายฟ้า นอกจากนั้นเขายังถูกโจมตีไปแล้วหนึ่งครั้งโดยคลื่นเสียงของระฆังทองแดงพร้อมกับยังมึนงงอยู่เล็กน้อย แม้ว่าเขาจะใช้ความเร็วสูงสุดในขณะนี้ก็ไม่อาจหลบหนีบอลสายฟ้าได้พ้น


เขาหยิบดาบดำออกมาอย่างหมดหนทาง พร้อมกับโยนมันไปที่บอลสายฟ้าด้วยพลังทั้งหมดของเขา หลังจากที่มันปะทะกันก็พลันเกิดระเบิดออกทันทีสร้างเป็นภูเขาไฟขนาดใหญ่ไปไกลกว่าพันฟุต


แม้ว่าจินจะอยู่ห่างจากบอลสายฟ้าร้อยกว่าฟุต แต่คลื่นพลังของมันยังส่งผลกระทบต่อร่างกายของเขา จินกระเด็นออกไปอีกครั้งพร้อมกับเสียงกรีดร้องอย่างรุนแรง


ผลกระทบในครั้งนี้รุนแรงยิ่งกว่าตอนที่โดนโจมตีด้วยคลื่นเสียงของระฆังทองแดง ปราณจิตวิญญาณที่จินใช้ปกป้องตนเองถูกทำลายโดยสมบูรณ์


ไม่กี่อึดใจเขาร่วงหล่นกับพื้นพร้อมกับสะเก็ดสายฟ้าที่หลงเหลืออยู่ ในขณะนั้นร่างกายของเขาเต็มไปด้วยรอยถูกเผาไหม้ บางแห่งบนร่างกายเปิดเผยให้เห็นถึงกระดูกภายใน โดยเฉพาะใบหน้าของเขาที่ผิวหนังได้หายไปครึ่งและเผยให้เห็นถึงกระดูกและฟันที่อยู่ภายในอย่างชัดเจน แม้ว่าด้านซ้ายของเขาจะดีกว่า แต่มันก็ยังคงไม่สามารถหลบหลีกการถูกเผาได้ ภาพที่เห็นนี้นับว่าน่าสังเวชมากนัก


ถ้าหากไม่ใช่ความจริงที่ว่าระฆังทองแดงได้ทำลายปราณจิตวิญญาณของเขาไปมากในตอนแรก ในฐานะผู้ฝึกตนระดับจินตันเขาจะไม่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้อย่างแน่นอน แต่เขาสูญเสียการควบคุมของตนเองไปเมื่อโกรธจัด การตายของน้องทั้งสามทำให้เขาสูญเสียสติไปจนหมดสิ้น ดังนั้นเขาจึงพุ่งเข้าหาเจ้าอ้วนด้วยปราณจิตวิญญาณที่อ่อนแอ หลังจากนั้นจึงถูกทุบตีด้วยสายฟ้าอย่างรุนแรง แม้จะเป็นผู้ฝึกตนระดับจินตันก็ไม่สามารถรับมือได้โดยง่าย กรณีนี้หากไม่บาดเจ็บสาหัสก็เป็นเรื่องประหลาดเกินไป! เพียงความจริงที่ว่าเขายังรอดชีวิตก็นับเป็นปาฏิหาริย์อย่างหนึ่งแล้ว


แม้ว่าจินจะอยู่ในสภาพเช่นนี้ เจ้าอ้วนก็หาได้คลายความโกรธลงไม่ เขาโบกมือของตนเพื่อปลดปล่อยดาบอินทรีทองและต้องการจะจัดการปัญหาตรงหน้าให้จบสิ้น


แต่หลังจากนั้นมีเสียงของผู้ฝึกตนระดับจินตันนับสิบกำลังบินลงมา แน่นอนว่าเจ้าอ้วนไม่สามารถสังหารเพื่อนร่วมสำนักที่กำลังบาดเจ็บสาหัสได้ เขาทำได้เพียงแค่หยุดมือแม้จะหงุดหงิดอยู่เต็มอก


ในขณะนี้สำนักเสวียนเทียนได้เปิดการแจ้งเตือนเพราะความรุนแรงของสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์หยินหยางแห่งธาตุทั้งห้าที่ระเบิดเมื่อครู่นี้ ทุกคนที่อยู่รอบ ๆ สามารถมองเห็นมันอย่างชัดเจน


ก่อนอื่นที่ต้องรู้คือเจ้าอ้วนพักอาศัยอยู่ในลานชั้นในของสำนักเสวียนเทียนและถูกป้องกันอย่างแน่นหนา ไม่มีทางที่ผู้ใดสามารถรุกรานเข้ามาได้ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้ชีวิตของศิษย์ทุกคนรอดพ้นจากการโจมตีรุนแรง


ในขณะที่ทั้งหมดเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ลมหายใจของพวกเขาเย็นเฉียบและไม่รู้ว่าจะกล่าวสิ่งใดต่อ


ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีการต่อสู้กันอย่างลับ ๆ ภายในสำนักเสวียนเทียน แต่ไม่มีใครบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ วันนี้มีสามคนที่ถูกสังหารและอีกหนึ่งคนบาดเจ็บสาหัส นอกจากนี้คนที่ตายตกไปยังไม่ได้เป็นศิษย์ธรรมดา แต่กลับเป็นศิษย์ในการดูแลของคุณชายใหญ่และคุณชายรอง เรื่องนี้จะใหญ่โตสักเพียงใดกัน? แน่นอนว่าสิ่งนี้สามารถทำให้คุณชายใหญ่และคุณชายรองบ้าคลั่ง


ความจริงก็คือหลังจากนั้นไม่นาน คุณชายใหญ่ คุณชายรอง และนักบวชฮัวอวิ๋นต่างมาถึงสถานที่เกิดเหตุและเห็นสถานการณ์ทั้งหมด คุณชายใหญ่และคุณชายรองเจ็บปวดถึงขั้นที่น้ำตาไหลอาบแก้มทั้งคู่ ศิษย์ที่เขาเฝ้าเลี้ยงดูมานับสิบปีตายตกไปสามคนและมีหนึ่งคนบาดเจ็บสาหัส ความเจ็บปวดนี้ราวกับหัวใจของพวกเขาถูกบีบอย่างรุนแรง


คุณชายใหญ่พุ่งเข้าหาจินทันทีเพื่อดูแลอาการบาดเจ็บของเขา คุณชายรองโกรธจัดพร้อมกับคำรามออกมาทันที “ใครทำเรื่องนี้!?”


เมื่อเห็นผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินโกรธจัด ทุกคนที่อยู่โดยรอบหวาดกลัวทันทีว่าพวกเขาจะโดนร่างแหไปด้วย แม้แต่เจ้าอ้วนยังตกใจ คุณชายรองเป็นถึงผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน แน่นอนว่าต้องแข็งแกร่งมากกว่าเขา ความจริงคือเจ้าอ้วนไม่กล้าแม้แต่จะยั่วยุเขาในเวลานี้ ถ้าหากเขาโจมตีออกมาด้วยความโกรธ เขาจะไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำว่าตายได้อย่างไร ดังนั้นเจ้าอ้วนเลือกที่จะเงียบปากของตนและขยับเข้าไปยืนด้านข้างนักบวชฮัวอวิ๋น


แม้ว่าเจ้าอ้วนจะเงียบแต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะเงียบตาม ในขณะนั้นจินเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับชี้ไปที่เจ้าอ้วนและร่ำไห้ออกมา “ท่านอาจารย์ เป็นมัน เป็นเจ้าไขมันสารเลวนั่นที่สังหารทั้งสามคน! ท่านจะต้องแก้แค้นให้กับพวกเรา!” ในขณะที่เขากล่าว น้ำตาไหลอาบแก้มทั้งสองข้างอย่างเจ็บปวด


เจ้าอ้วนตกใจและรีบซ่อนอยู่ด้านหลังนักบวชฮัวอวิ๋น สำหรับฮัวอวิ๋นที่เห็นเช่นนั้น เขาไม่สามารถทำสิ่งใดได้นอกจากหัวเราะอย่างขื่นขมและคิดภายในใจ ‘เจ้าอ้วน เจ้ากำลังใช้ข้าเพื่อหลบหนีจากโชคร้าย!’


แล้วนักบวชฮัวอวิ๋นจะยอมให้คุณชายรองสังหารเจ้าอ้วนได้อย่างไร? ดังนั้นเงาดาบสีแดงพุ่งออกจากมือของเขาทันที เพื่อบังคับให้คุณชายทั้งสองล่าถอยไป เขาเลือกกล่าวออกด้วยน้ำเสียงสงบ “ศิษย์น้อง มันคงจะไร้เหตุผลเกินไปถ้าหากเจ้าต้องการจะโจมตีศิษย์โดยไม่ถามถึงเหตุผลก่อน!”


“บัดซบ!” คุณชายรองสบถออกมาดังลั่น ในขณะนี้เขากำลังโกรธจัดและไม่สนใจสิ่งอีกแล้ว “ไขมันสารเลวนี้สังหารศิษย์ของข้า หลักฐานทั้งหมดกองอยู่ที่นี่ แต่เจ้ากลับหยุดข้าที่จะแก้แค้นงั้นหรือ?”


“อะไรคือหลักฐาน?” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาอย่างรังเกียจ “มันเป็นเพียงจินที่กล่าวหาเขา แต่ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ดังนั้นเราจึงต้องถามพวกเขาให้แน่ชัดก่อน ถูกต้องหรือไม่? อย่าบอกนะว่าเขาสมควรตายเพียงเพราะเจ้ากล่าวว่าเขาผิด?”


“เจ้า!” คุณชายรองเมื่อได้ยินก็อับจนถ้อยคำโดยทันที


อย่างน้อยในตอนนี้ยังมีคุณชายใหญ่ที่สามารถครองสติได้และดึงคุณชายรองกลับมา พร้อมกล่าวออกมาอย่างเย็นชา “ศิษย์พี่ฮัวอวิ๋นกล่าวถูกแล้ว ข้าจะอยู่ตรงนี้และรับฟังสิ่งที่เขาจะกล่าว! ซ่งจง ข้าไม่รู้ว่าศิษย์ของข้าไปสร้างความขุ่นเคืองอะไรให้กับเจ้า เหตุใดเจ้าจึงต้องสังหารพวกเขาทิ้ง!”


บทที่ 202-1: เหตุใดจึงฆ่า?


เมื่อเห็นท่าทีที่โกรธจัดของคุณชายใหญ่และคุณชายรอง เจ้าอ้วนแสดงสีหน้าที่หดหู่ “อาวุโสทั้งสองโปรดใจเย็น นั่นเป็นเพราะพวกเขาทั้งสี่คนมาถึงที่ห้องนอนของข้าราวกับพยัคฆ์ร้าย ดังนั้นข้าจึงต้องปกป้องตนเอง”


“อะไรนะ? เจ้ากล้าพูดออกมาได้อย่างไรว่าปกป้องตนเอง?” เมื่อคุณชายรองได้ยินเช่นนั้น เขาตะโกนออกมาทันที “นี่เป็นความเลวทรามอย่างถึงที่สุด เจ้าสังหารเขาแต่กล้าพูดว่าปกป้องตนเองงั้นหรือ?”


“พวกเขาทั้งสี่โจมตีข้าพร้อมกัน! แน่นอนว่าข้าก็ต้องใช้พลังทั้งหมดที่ข้ามีเช่นกัน!” เจ้าอ้วนตะโกนกลับไปพร้อมกล่าวว่า “อย่าบอกนะว่าศิษย์ผู้นี้ไม่มีสิทธิ์ปกป้องตนเอง? หรือข้าทำได้เพียงยืดคอของข้าเพื่อให้พวกเขาสังหารเท่านั้น?”


“เจ้า!” คุณชายรองโกรธจัดจนใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียวและต้องการสั่งสอนบทเรียนให้กับเจ้าอ้วน แต่เขาถูกดึงกลับมาโดยคุณชายใหญ่พร้อมการโต้ตอบที่เย็นชา “ซ่งจง เจ้าบอกว่ามันเป็นการปกป้องตนเองงั้นหรือ? นี่มันไม่ใช่เหตุผล เจ้ามีผู้ใดที่สามารถพิสูจน์เรื่องนี้ได้หรือไม่?”


“แน่นอน!” เจ้าอ้วนตะโกนออกมาพร้อมกับอ้าแขนของเขา “ทุกคนในที่นี้เป็นพยานของข้า!”


“ว่าอะไร?” ในขณะที่เจ้าอ้วนกล่าวเช่นนั้น ทั้งหมดตกใจทันที แม้แต่คุณชายใหญ่และคุณชายรองก็ต่างมองบุคคลโดยรอบอย่างมึนงง


คุณชายใหญ่รีบถามกลับทันที “เจ้าหมายความว่าอะไร? แล้วพวกเขาจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่ามันเป็นการปกป้องตนเอง?”


“แน่นอนว่าง่ายมาก!” เจ้าอ้วนตะโกนออกมา “ทุกคนรู้ใช่ไหมว่าสถานที่แห่งนี้คือลานม่านหมอก ถูกไหม?”


“ใช่!” ทุกคนตอบกลับ


“ลานม่านหมอกคือบ้านของข้า ถูกต้องไหม?” เจ้าอ้วนถามต่อ


“ใช่!” ทุกคนตอบกลับอีกครั้ง


“ทุกคนรู้เรื่องนี้ดีใช่หรือไม่?” เจ้าอ้วนถามอีกครั้ง


“ใช่!” ทุกคนตอบ


“เป็นเช่นนี้!” เจ้าอ้วนโบกมือพร้อมกับหันไปหาคุณชายใหญ่และคุณชายรองพร้อมกล่าวว่า “อาวุโส ทั้งหมดนี้ท่านได้ยินแล้วใช่หรือไม่? แม้แต่ทุกคนก็ล้วนแต่รู้ดีว่าที่นี่คือบ้านของข้า และเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าเชื่อว่าเหล่าพี่น้องทั้งสี่ก็ย่อมรู้ด้วยเช่นกัน ถ้าหากเป็นเช่นนั้น เขามาสร้างปัญหาในบ้านของข้า! พวกเขาและข้าไม่ใช่มิตรสหายกัน อีกทั้งข้าไม่เคยมีความคิดจะเชิญเขามาเป็นแขกแต่อย่างใด เพราะอะไรกันพวกเขาถึงมาเผชิญหน้ากับข้าในสถานที่ของข้าและเกิดการต่อสู้ขึ้น?”


“ถูกต้อง!” เมื่อนักบวชฮัวอวิ๋นได้ยินเช่นนี้ เขาได้สติทันทีพร้อมกล่าวว่า “พวกเจ้าจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร?”


“เรื่องนั้น…” คุณชายใหญ่และคุณชายรองคิ้วขมวดทันที จากนั้นคุณชายรองเดินเข้าไปหาจินพร้อมกล่าวว่า “พูดออกมา ทำไมจึงมาที่นี่? เจ้ามาที่บ้านของเขาทำไม?”


“เรื่องนั้น…” จินลังเลก่อนที่จะยอมเอ่ยปากออกมา “ท่านอาจารย์ ศิษย์ผู้นี้แค่อยากจะต่อสู้กับซ่งจง! แต่ข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะสังหารเขา!”


“ฮ่าฮ่าฮ่า!” ในขณะที่เจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง “อะไรคือการต่อสู้! ข้ออ้างเช่นนี้ ทำให้เจ้าสร้างความบาดเจ็บให้เพื่อนร่วมสำนักมามากมาย ตั้งแต่วันที่พวกเจ้าเข้ามา พวกเจ้ารังแกคนไม่มีทางสู้ไปมากกว่าสามสิบคน! สุดท้ายแล้ว เจ้าไม่สามารถเอาชนะข้าได้ด้วยตัวคนเดียว ดังนั้นเจ้าเลยต้องการที่จะต่อสู้กับข้าร่วมกับพี่น้องของเจ้า ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ยอมปล่อยให้เรื่องนี้หลุดไป แน่นอนว่าเจ้าจะต้องเหยียบย่ำข้าให้ตายอย่างไม่มีข้อยกเว้น ถูกไหม?”


“โอ้ นี่ต้องไร้ยางอายมากเพียงใดจึงทำได้!” เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้น พวกเขาได้แต่โห่ร้องออกมาอย่างรังเกียจ


“พวกเจ้าทั้งสี่คนรุมเขาเพียงคนเดียว? นี่เป็นการต่อสู้แบบไหนกัน? เรื่องเช่นนี้จะต้องอาศัยความไร้ยางอายมากเพียงใดกัน?”


“ข้าเห็นด้วย เป็นเพียงพวกอันธพาลเท่านั้นที่สามารถใช้วิธีการเช่นนี้ได้!”


เมื่อได้ยินเสียงซุบซิบนินทา คุณชายใหญ่และคุณชายรองไม่อาจอดทนได้อีกต่อ คุณชายรองกล่าวออกมาอย่างเงียบเชียบ “เด็กน้อย เจ้าหยุดสร้างปัญหาให้กับข้าไปมากกว่านี้ได้หรือไม่?”


เมื่อจินได้ยินเช่นนั้น เขารีบอธิบายทันที “ท่านอาจารย์ เขาใส่ร้ายข้า แม้ว่าพวกเราจะไร้ค่ามากเพียงใด แต่เราก็ไม่คิดที่จะต่อสู้กับเขาสี่ต่อหนึ่ง เราเพียงต้องการที่จะมาพบเขาในวันนี้พร้อมกันเท่านั้น และข้าเท่านั้นที่ต้องการต่อสู้กับเขา!”


“ผู้ฝึกตนระดับจินตันต้องการจะต่อสู้กับผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิ ฮ่าฮ่า จินช่างเป็นคนที่อารมณ์ขันสูงส่งยิ่งนัก!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาอย่างประชดประชัน


ใบหน้าของคุณชายใหญ่และคุณชายรองเปลี่ยนเป็นสีแดงทันทีเมื่อได้ยินสิ่งที่จินกล่าวออกมา


จินรู้สึกเสียวสันหลังทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาเร่งรีบอธิบาย “พวกเราไม่ได้ตั้งใจจะบังคับให้เขาต่อสู้ เราแค่มาถามและถ้าเขาไม่ต้องการ เราก็จะจากไป แต่ใครจะคาดคิดว่าสหายผู้นี้จะไม่ให้โอกาสเรากล่าวอะไรเลย เขาเปิดฉากต่อสู้ทันทีที่พบเห็นพวกเรา การกระทำนี้ไม่ต่างอะไรกับการซุ่มโจมตี ท่านอาจารย์! ท่านต้องมอบความยุติธรรมให้กับพวกเรา!”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น คุณชายใหญ่และคุณชายรองหันมาหาเจ้าอ้วนทันทีด้วยจิตสังหารเต็มเปี่ยม “ซ่งจง เจ้าไม่ได้ให้โอกาสพวกเขากล่าวอะไรเลยงั้นหรือ?”


เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาพยักหน้าพร้อมกับกล่าวว่า “เป็นความจริง ข้าเป็นคนโจมตีก่อน!”


“เจ้า!” คุณชายรองตะโกนออกมาทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น


แต่เจ้าอ้วนรีบโบกไม้โบกมือทันทีพร้อมกล่าวว่า “แต่ว่าไม่สามารถตำหนิข้าได้เช่นกัน! ศิษย์ของพวกท่านไม่ได้เคาะประตูหรือให้เกียรติข้าแต่อย่างใด พวกเขาบุกเข้ามาโดยตรง ประตูหน้าของข้าถูกทำลายลงโดยพวกเขา! ให้ข้าถามท่านกลับภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ท่านจะถามเขาด้วยรอยยิ้มหรือไม่ว่าเหตุใดจึงมาที่บ้านของข้า? เนื่องจากวิธีการที่พวกเขาทำ นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขามาด้วยความเป็นมิตร ถูกไหม? แม้แต่คนงี่เง่าที่ไหนก็ต้องรู้ มันผิดอะไรกันที่ข้าจะเปิดฉากโจมตีก่อน?”


“ว่าอะไร?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของคุณชายใหญ่และคุณชายรองเปลี่ยนเป็นสีเขียวทันทีพร้อมกับหันไปที่จินอย่างรวดเร็ว


จินตอบกลับอย่างอ่อนแอ “น้องยินรู้สึกกระวนกระวายมากและเข้ามาโดยไม่ได้ถามสิ่งใดเลย!”


“แล้วเกี่ยวอะไรกับประตู? มันถูกทำลายโดยพวกเจ้า?” คุณชายใหญ่ถามอีกครั้งด้วยความโกรธ


“พวกเราแค่แตะมันเบา ๆ เท่านั้น มันพังของมันเอง!” จินตอบกลับอย่างขมขื่น


“เหอะ!” เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้น พวกเขาไม่อาจพูดอะไรได้นอกจากถอนหายใจออกมา เห็นได้ชัดว่าพวกเขารังเกียจสิ่งที่จินกล่าว พวกเขาทุกคนต่างรู้ดีว่าสิ่งปลูกสร้างภายในสำนักเสวียนเทียนนั้นทำการลงพลังวิเศษไว้ แม้มันไม่อาจทนต่อพลังของอุปกรณ์วิเศษได้แต่มันจะไม่พังอย่างแน่นอนด้วยการสัมผัสปกติ


ในขณะนั้น คุณชายใหญ่และคุณชายรองรู้ได้ทันทีว่าศิษย์ของเขาโกหก ใครกันที่ขอให้พวกเขาทำตัวยโสโอหังเช่นนี้ด้วยการวิ่งไปทุบประตูบ้านคนอื่น? ในตอนนี้ไม่ว่าอย่างไรแน่นอนว่าพวกเขาจะต้องเป็นฝ่ายผิด


แต่คุณชายรองยังคงไม่ยอมแพ้พร้อมกับบ่นออกมา “เหอะ แม้ว่าเหล่าศิษย์ของข้าจะหยาบคาย แต่พวกเขาก็ไม่สมควรตาย ถูกไหมซ่งจง? เจ้าสังหารไปสามคนพร้อมกับอีกคนได้รับบาดเจ็บสาหัส เจ้าจะอธิบายเรื่องนี้เช่นไร?”


เมื่อคุณชายรองได้กล่าวเช่นนั้น เหล่าฝูงชนที่ยินฟังอยู่ได้แต่รู้สึกสงสาร การบุกเข้ามาในบ้านของผู้อื่นนั้นเป็นการแสวงหาความตายอย่างแท้จริงไม่ว่าใครก็รู้ดี อย่างมากที่สุดก็เพียงแค่สั่งสอนบทเรียนให้กับเขาก็อาจจะเพียงพอ การที่สังหารทั้งสามคนนั้นนับว่าเป็นสิ่งที่มากเกินไปอย่างแท้จริง


แต่เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างน้ำเสียงที่เย็นชา “อาวุโส ศิษย์ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนั้น! ข้ากำลังฝึกฝนอยู่ในขณะที่พวกเขาทั้งสี่เข้ามา ทำให้การฝึกฝนของข้ามีปัญหา! กล่าวได้ว่าข้าอาจถูกสังหารโดยพวกเขา ดังนั้นศิษย์จึงคิดว่าควรที่จะสังหารพวกเขาซะ เช่นนี้ข้าจึงไม่ได้ยับยั้งมือแต่อย่างใด ก่อนที่เราจะต่อสู้กัน จินกับเหล่าพี่น้องกล่าวว่าวันนี้จะทำให้ข้าผู้นี้พิการ! ถ้าหากไม่เชื่อข้า ก็จงถามเขาดูได้!”


เมื่อคุณชายรองได้ยินดังนั้น คลื่นความกังวลเริ่มแผ่กระจายชัดเจนภายในจิตใจโดยทันที หากสิ่งที่กล่าวเป็นเรื่องจริง แน่นอนว่าการสังหารพวกเขาทิ้งของซ่งจงไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด เขาถึงกับเร่งร้อนหันกลับไปถามจินทันทีว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรกันแน่


จินรู้สึกผิดทันทีที่กล่าวเช่นนั้นออกไป อีกทั้งมู่ซื่อหรงและหานหลิงเฟิงยังได้ยินเช่นนั้นด้วย ต่อหน้าผู้คนมากมาย ถ้าหากเข้าโกหก เขาจะถูกจับได้ในทันที หากเป็นแบบนั้นแล้วชื่อเสียงของเขาจะหายไปอย่างสมบูรณ์ แต่ถ้าหากเขากล่าวความจริง นั่นหมายความว่าเขาและพี่น้องผิดร่วมกัน ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ เขาควรจะทำเช่นไรกัน จากนั้นเขามีความคิดขึ้นมาทันทีพร้อมกับกล่าวออกมาอย่างไม่แยแสต่อเจ้าอ้วน “เจ้าไขมัน เจ้าโกหก เจ้าไม่ได้ฝึกฝนอยู่ แต่เจ้ากำลังอยู่ในกิจกรรมกับหานหลิงเฟิงและมู่ซื่อหรงบนเตียง! เจ้าสังหารพวกเราเพราะเราเห็นว่าเจ้ากำลังมีกิจกรรมที่ยุ่งยากบนเตียงนั้น!”


เมื่อจินกล่าวออกมาดังนั้น ความปั่นป่วนถึงกับบังเกิดขึ้น


เจ้าอ้วนโกรธจัดจนใบหน้าเปลี่ยนสี แต่หลังจากที่เขาเข้าใจสถานการณ์ เขากล่าวออกมาทันที “แม้ว่าข้าจะทำมันในเวลากลางวันแสก ๆ แต่ทำไมมันจะต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่? ในเมื่อพวกนางเป็นผู้หญิงของข้า จงอย่าได้พูดว่าหากข้าต้องการทำอะไรกับพวกนางต้องได้รับอนุญาตจากพวกเจ้าเสียก่อน? วิถีแห่งเต๋าสนใจเรื่องราวเหล่านี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น คุณชายใหญ่และคุณชายรองไม่มีคำใดจะกล่าวอีกต่อไป พวกเขาทั้งหมดเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากฟังตรงนี้ มันเป็นเพียงเหล่าสี่พี่น้องที่บุกเข้าบ้านของผู้อื่นด้วยอารมณ์ที่อยากท้าทาย ในตอนสุดท้ายพวกเขาเห็นสิ่งที่เจ้าอ้วนกำลังกระทำในกลางวันแสก ๆ และหยอกล้อ ดังนั้นพวกเขาจึงถูกเจ้าอ้วนสังหารด้วยอารมณ์ที่หงุดหงิด


ในความจริงผู้ชมโดยรอบต่างรู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดพลาด เหล่าพี่น้องทั้งสี่นั้นผิดที่คิดจะทำลายเจ้าอ้วนด้วยเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นนี้ ในตอนนั้นพวกเขาไม่เพียงแต่ออกไปทันที แต่ยังทิ้งร่องรอยของการเย้ยหยันไว้ นับว่าสมควรแล้วที่ทั้งหมดต้องถูกเจ้าอ้วนสังหาร เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นภายในบ้านของเขา หากเจ้าอ้วนยืนยันว่าทั้งสี่ต้องการสังหารเขา แน่นอนว่าเขาจะต้องปกป้องตนเอง ในตรงนี้ไม่สามารถตำหนิอะไรเขาได้เลย


บทที่ 202-2: เหตุใดจึงฆ่า?


 


สำนักเสวียนเทียนคือสำนักแห่งความชอบธรรม ภายใต้สถานการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายต่างถือครองอำนาจทัดเทียมกัน สองฝ่ายจะต้องถกเถียงกันด้วยหลักการแหละเหตุผล แม้คุณชายใหญ่และคุณชายรองต้องการหั่นเจ้าอ้วนเป็นพันชิ้น ทว่าพวกเขาไม่อาจหาข้ออ้างอื่นใดในการกระทำเช่นนั้นได้ นอกจากนี้กิจกรรมทางเพศของเจ้าอ้วนนั้นไม่นับเป็นความผิดถึงขั้นสมควรตายแต่อย่างใด


หลังผ่านการไตร่ครองพักหนึ่ง คุณชายรองกล่าวขึ้น “ศิษย์พี่ฮัวอวิ๋น ไขมันสารเลวผู้นี้ทำการสังหารสหายร่วมสำนัก มันนับว่าเป็นตัวอันตราย พวกเราไม่ควรปล่อยมันไปโดยง่าย ทางที่ดีควรทำลายการฝึกฝนของมันและขับไล่ออกจากสำนักเสีย!”


“ไม่มีทาง!” นักบวชฮัวอวิ๋นตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ “ข้าคิดว่าซ่งจงทำไปเพื่อปกป้องตนเองเท่านั้นและมันไม่ผิด!”


ในขณะที่จินได้ยินคำพูด เขาไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไปพร้อมกับตะโกนออกมา “เขาฆ่าพี่น้องของข้าไปสามคน เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจทำเรื่องนี้! อาชญากรรมที่เขาทำมันจะถูกลบล้างได้เพียงเพราะกล่าวว่ามันเป็นการป้องกันตนเองงั้นหรือ?”


“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าช่างเป็นคนมีอารมณ์ขันยิ่งนัก!” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ข้าตั้งใจทำมันงั้นหรือ? ข้าหนึ่งคนสังหารพวกเจ้าทั้งสี่หรือ? เจ้าช่างมีอารมขันนัก ข้าเป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิขั้นกลาง แต่ข้ากลับต้องการที่จะก่ออาชญากรรมกับผู้ฝึกตนระดับจินตันและผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิขั้นสุดท้ายงั้นหรือ? ในหัวของเจ้ายังมีสมองอยู่หรือไม่?”


“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!” ในขณะที่ทุกคนได้ยินเจ้าอ้วนกล่าวเช่นนั้น ทั้งหมดหัวเราะออกมาทันที


สำหรับจิน เขาโกรธจัดเมื่อได้รู้ตัวว่ากล่าวอะไรผิดพลาดอีกแล้ว


แต่เจ้าอ้วนยังไม่ยอมแพ้พร้อมกล่าวต่อไป “ทั้งสี่พี่น้องเข้ามาที่บ้านของข้าด้วยเจตนาชั่วร้าย แต่กลับถูกข้าสังหารไปสามคนและบาดเจ็บสาหัสหนึ่งคน เจ้าเป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับจินตันคนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่ เจ้ามีสิทธ์อะไรที่จะร้องไห้และอ้อนวอนกับอาจารย์ของตนเอง? สวรรค์ คนอย่างเจ้ายังนับเป็นบุรุษอยู่อีกหรือ? เจ้าแน่ใจนะว่าเจ้าไม่ได้เบี่ยงเบน? หากสิ่งนี้เกิดขึ้นกับข้า แน่นอนว่าข้าคงไม่สามารถแบกหน้ามีชีวิตอยู่ต่อไปได้แล้ว!”


“เจ้า!” จินหน้าซีดอย่างรวดเร็วพร้อมกับชี้ไปที่เจ้าอ้วนอย่างทำอะไรไม่ได้ เขาโกรธจัดจนพ่นเลือดออกมาหนึ่งคำพร้อมกับความรู้สึกที่คล้ายจะเป็นลม


เมื่อคุณชายรองเห็นเช่นนั้น เขาโกรธทันที ดวงตาของเขาหรี่ลงพร้อมกับต้องการสังหารเจ้าอ้วนในตอนนี้ แต่คุณชายใหญ่ดึงเขากลับมาพร้อมกล่าวกับนักบวชฮัวอวิ๋นอย่างเคร่งขรึม “ศิษย์พี่จ้าวสำนัก ศิษย์ผู้นี้ได้รับบาดเจ็บมากนักเพราะศิษย์ของท่านในวันนี้ ข้าจะขอตัวก่อนและจะเข้าพบท่านเพื่อหารือในภายหลัง ท่านคิดว่าอย่างไร?”


“ย่อมได้!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวอย่างสงบ “ข้าจะรอพวกเจ้า!”


“หากเป็นเช่นนั้น ข้าขอตัวก่อน!” คุณชายใหญ่กล่าวออกมา เขาดึงตัวคุณชายรองออกมาพร้อมกับไม่ลืมที่จะหิ้วจินออกไปด้วย


หลังจากที่พวกเขาออกไปแล้ว นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “เป็นเช่นนั้น ทุกคนสามารถแยกย้ายได้แล้ว ส่งคนมาเพื่อเก็บกวาดลานม่านหมอกด้วย ความยุ่งเหยิงนี้คงยากจะใช้ชีวิตต่อ!”


“ขอรับ” ศิษย์เหล่านั้นตอบกลับ


แต่เจ้าอ้วนถูกดึงตัวไปด้านข้างของนักบวชฮัวอวิ๋นและเขาเริ่มการบ่นทันที “เด็กน้อยทำไมเจ้าไม่รู้จักควบคุมตนเองบ้าง แม้ว่าเหล่าสี่พี่น้องจะมีความผิด แต่มันเพียงพอที่เจ้าจะสังหารหนึ่งหรือสองคนเท่านั้น เจ้าสังหารพวกเขาสามคนได้อย่างไรกัน? แน่นอนว่าคุณชายใหญ่และคุณชายรองเจ็บปวดกับเรื่องนี้มากและคงไม่ปล่อยไปโดยง่าย!”


“เฮ้อ…” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาถอนหายใจพร้อมกล่าวว่า “ท่านจ้าวสำนัก เรื่องทั้งหมดข้าโกหก!”


“หืม?” เมื่อได้ยินการตอบกลับของเจ้าอ้วนเช่นนั้น นักบวชฮัวอวิ๋นตกใจก่อนที่จะกล่าวต่อ “เจ้าโกหกเรื่องอะไร?”


“ที่ข้ากล่าวว่าทั้งสี่พี่น้องเข้ามากวนใจขณะที่ข้ากำลังฝึกฝน ข้าโกหก!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาช้า ๆ “ความจริงแล้วสิ่งที่จินพูดนั้นถูกต้อง ข้ากำลังทำเรื่องอย่างว่ากับมู่ซื่อหรงและหานหลิงเฟิง ในตอนจบพวกเขาทำลายประตูเพื่อเข้ามาและยืนมองร่ายกายหญิงสาวของข้า จากนั้นพวกเขาก็ไม่อาจควบคุมน้องชายของตนเองได้ แล้วบุรุษที่ใดกันเล่าจะทนได้ไหว? ให้ข้าถามท่านบ้าง ถ้าหากสิ่งนี้เกินขึ้นกับท่านบ้าง ท่านจะทำเช่นไร?”


“เรื่องนั้น…” นักบวชฮัวอวิ๋นขมวดคิ้วพร้อมกล่าวออกมาอย่างขื่นขม “ข้าจะสังหารพวกเขาโดยที่ไม่เหลือใครสักคนไว้!”


“ย่อมเป็นเช่นนั้น!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมา “ตอนนี้อาจกล่าวได้ว่าข้านั้นได้แสดงความเมตตาไปแล้ว!”


“ฮ่าฮ่า เจ้าไม่ได้แสดงความเมตตาใดต่อพวกเขาเลย เจ้าต้องการที่จะสังหารจินและไม่เคยคาดคิดว่าจะมีคนมาถึงที่นี่เร็วเช่นนี้ พวกเขาทำให้เจ้าหยุดมือลง ถูกไหม?” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“เหอะเหอะ!” เจ้าอ้วนลูบหัวตัวเองอย่างเขินอาย “ท่านเดาได้งั้นหรือ?”


“เจ้า!” นักบวชฮัวอวิ๋นบ่นออกมาพร้อมกล่าวต่อ “เอาตามนี้ วันนี้ข้าว่าพอแค่นี้ก่อน จงไปพักผ่อน ส่วนคำตอบก็คงอีกไม่กี่วันถึงจะทราบได้ คุณชายใหญ่และคุณชายรองไม่ปล่อยให้เรื่องราวมันจบลงอย่างง่ายดายแน่นอนในเมื่อศิษย์ของเขาตายถึงสามคน มันคงยากที่ข้าจะปกป้องเจ้า ดังนั้นเจ้าจะต้องเตรียมรับมือกับความทุกข์ยากที่จะเกิดขึ้น!”


“ความทุกข์ยากอะไรกัน?” เจ้าอ้วนถามอย่างหวั่นใจ


“ฮ่าฮ่า ไม่ได้น่ากลัวถึงขั้นนั้น อย่างมากที่สุดเราก็ทำได้เพียงขังเจ้าไว้ไม่กี่ทศวรรษ” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวต่อ “ข้าสามารถจัดสถานที่อย่างดีให้กับเจ้าได้และอนุญาตให้เจ้าพบกับมู่ซื่อหรงได้ทุกวัน แน่นอนว่ามันจะสะดวกสบายเหมือนกับอยู่ด้านนอก!”


“เหอะเหอะ ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าขอขอบคุณท่านมาก!” เจ้าอ้วนรีบตอบกลับ


“ฮ่าฮ่า ไม่ต้องพิธีรีตองให้มากนัก เราเป็นครอบครัวเดียวกัน!” นักบวชฮัวอวิ๋นตบไหล่เจ้าอ้วนพร้อมกับบินออกไปทันที


ในตอนนี้เหลือเพียงเจ้าอ้วนและหานหลิงเฟิงที่อยู่ในสถานที่ แต่มู่ซื่อหรงนั้นถูกพาออกไปโดยนักบวชฮัวอวิ๋น มันไม่ดีต่อชื่อเสียงของนางที่จะกระทำเรื่องเช่นนี้ในเวลากลางวัน นอกจากนั้นนางยังเป็นถึงหลานสาวของจ้าวสำนัก จึงจำเป็นที่นางจะต้องกลับไปอยู่เงียบๆเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกนินทาในเวลานี้


แต่สำหรับหานหลิงเฟิงนั้นไม่ได้มีข้อจำกัดดังกล่าว เมื่อเห็นว่าทุกคนออกไปแล้ว นางวิ่งมาหาเจ้าอ้วนพร้อมถามอย่างกังวล “เจ้าอ้วนทุกอย่างเรียบร้อยหรือไม่?”


“อือ!” เจ้าอ้วนพยักหน้า จากนั้นเขาเดินไปที่ซากปรักหักพังพร้อมกับหัวเราะอย่างขื่นขม “ในตอนนี้ปัญหาก็คือเราต้องหาที่พักใหม่!”


ด้วยอุปกรณ์ที่เขาใช้ในการต่อสู้ทำให้ลานม่านหมอกของเขาถูกทำลายทั้งหมด แม้ว่าทางสำนักจะส่งคนมาเพื่อจัดการมัน แน่นอนว่าจะต้องใช้เวลาฟื้นฟูหลายเดือน ดังนั้นเจ้าอ้วนจึงกลายเป็นคนจรจัดไปแล้วในตอนนี้


เมื่อหานหลิงเฟิงได้ยินเช่นนั้น นางไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “บ้านไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ข้าถามว่าเจ้าเป็นอย่างไรบ้างหลังจากสังหารเหล่าพี่น้องทั้งสามไปแล้ว?”


“เหอะ สามคนนั้นน่ะหรือ? พวกมันเป็นได้แค่หมาสามตัวเท่านั้น ไม่สำคัญหรอกเรื่องที่พวกมันตายไป แล้วจะมีปัญหาอะไรกันล่ะ?” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างรังเกียจ


“ไม่เป็นปัญหาจริงงั้นหรือ?” หานหลิงเฟิงถามกลับอย่างกังวล


“แน่นอน มากที่สุดก็เพียงแค่ขังข้าไว้สักทศวรรษหนึ่ง ข้าก็เพียงแค่เข้าสู่การเก็บตัวฝึกฝนเท่านั้น! มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย!” เจ้าอ้วนกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“โอ้ นับว่าวิเศษนัก!” หานหลิงเฟิงตอบกลับพร้อมกับกล่าวด้วยรอยยิ้ม “จริงด้วย ในตอนนี้เจ้าไม่มีที่อยู่อาศัย ทำไม… ทำไมเจ้าไม่…”


ในขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น ใบหน้าของนางเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที


ด้วยความฉลาดของเขา แน่นอนว่าเขาเข้าใจทันทีว่าหานหลิงเฟิงคิดอะไรอยู่ แต่เขาทำเป็นแกล้งไม่เข้าใจพร้อมกับถามออกไป “ทำไมไม่อะไรงั้นหรือ?”


หานหลิงเฟิงรู้ได้ทันทีว่าเจ้าอ้วนนั้นแกล้งนางพร้อมกับบ่นเขาทันที “สารเลว เจ้ารู้อยู่แล้วแต่กลับถามออกมางั้นหรือ!”


“แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรถ้าหากเจ้าไม่พูดออกมา?” เจ้าอ้วนยังคงเสแสร้งต่อไป


“เลิกกวนประสาทสักที!” หานหลิงเฟิงหยิกแขนเจ้าอ้วนพร้อมบ่น “ลืมมันไปถ้าหากเจ้าไม่รู้!” ในขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น นางหันหลังกลับพร้อมจะเดินออกไป


“แล้วเจ้าจะไปไหน?” เจ้าอ้วนดึงนางกลับมาทันที


“ข้าจะกลับบ้าน!” หานหลิงเฟิงตอบ


“แล้วข้าล่ะ? ข้าต้องทำอะไร?” เจ้าอ้วนแกล้งนางต่อ


“ข้าจะรู้กับเจ้าหรือ! ข้าไม่ขอสนใจอีกว่าเจ้าจะเป็นยังไง!” หานหลิงเฟิงตะโกนออกมา


“เจ้าใจร้ายมาก!” เจ้าอ้วนกอดเอวของนาง มือข้างหนึ่งของเขาขยับขึ้นและอีกข้างขยับลง จากนั้นเขาบ่นออกมา “เจ้าจะทิ้งข้าได้อย่างไร?”


“นี่มันเวลากลางวัน หยุดก่อนที่จะมีใครมาเห็น!” หานหลิงเฟิงตำหนิเขาอย่างลำบากใจ


“ข้าต้องการอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีใครเห็นเรา แต่น่าเสียดายที่เหล่าสุนัขทั้งสี่ทำลายบ้านของข้าไปแล้ว และในตอนนี้ข้าไม่มีที่ไป ข้าทำได้เพียงทำมันที่นี่เท่านั้น!” เจ้าอ้วนกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายพร้อมกับกอดหานหลิงเฟิงไว้เช่นนั้น


“ก็ได้ ข้ายอมแพ้!” หานหลิงเฟิงพ่ายแพ้ต่อเจ้าอ้วนพร้อมกล่าวออกมาอย่างหงุดหงิด “ตามข้ามา!” ในขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น นางแกะมือเจ้าอ้วนออกและเดินนำไปทันที


“แล้วข้าต้องไปที่ใด?” เจ้าอ้วนถาม


“บ้านของข้า!” หานหลิงเฟิงตอบกลับด้วยความโมโห


“เจ้าจะให้ข้าไปที่บ้านของเจ้าเหรอ?” เจ้าอ้วนยิ้มกว้าง “ยอดเยี่ยม ข้าคิดถึงบ้านของเจ้าและเตียงนุ่ม ๆ! เราจะได้ต่อสู้กันบนเตียงนั้น แน่นอนว่ามันจะต้องสบายมากและไม่มีผู้ใดเห็นเรา!”


“ไปตายเสีย!” หานหลิงเฟิงต้องการจะทุบเขาจริง ๆ นางโกรธจัดและเดินออกไปโดยไม่หันมามองด้านหลัง ในขณะที่เจ้าอ้วนเห็นเช่นนั้นเขาหัวเราะและรีบเดินตามไปติด ๆ


ไม่กี่วันให้หลัง บรรยากาศในสำนักเสวียนเทียนตึงเครียดเป็นอย่างยิ่ง คุณชายใหญ่และคุณชายรองต่างต้องการสั่งสอนบทเรียนให้เจ้าอ้วนโดยคิดทำถึงขั้นให้พิการ ทว่านักบวชฮัวอวิ๋นไม่ยินยอม การถกเถียงระหว่างขั้วอำนาจทั้งสองจึงเริ่มต้น


ในขณะที่ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินกำลังเถียงกัน ผู้ฝึกตนระดับจินตันและผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิต่างก็ต่อสู้กันอยู่ พวกเขาแบ่งออกเป็นสองฝ่าย พวกเขาต่างกำลังต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ในเวลานั้นพวกเขาโต้เถียงกันจนถึงขั้นที่เริ่มต่อสู้เป็นกลุ่ม แม้ว่าทั้งหมดจะต่อสู้ในสนามฝึกฝน แต่ทุกคนล้วนแต่มุ่งหมายจะเอาชีวิตอีกฝ่าย


ในเวลาสองสามวัน ทั้งสองฝ่ายสูญเสียคนไปมากมายจากการต่อสู้ แม้ว่าจะไม่มีใครตายแต่หลายคนได้รับบาดเจ็บสาหัส อาการบาดเจ็บเหล่านี้สามารถฟื้นฟูได้ด้วยการพักผ่อนไม่กี่ปี แต่เรื่องนี้จะส่งผลต่อความแข็งแกร่งของสำนักเสวียนเทียนอย่างมาก


จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นักบวชฮัวอวิ๋น คุณชายใหญ่ และคุณชายรองต่างมองเห็นถึงปัญหาทันที พวกเขากังวลและไม่ต้องการให้สำนักเสวียนเทียนเป็นเช่นนี้เนื่องจากการโต้เถียงของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงเลือกที่จะสั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้าใช้สนามฝึกซ้อมในช่วงเวลานี้อย่างเด็ดขาด


แน่นอนว่าแม้จะมีคำสั่งออกมา แต่ศิษย์ที่อยู่ในอารมณ์เกรี้ยวกราดเหล่านี้จะอดทนได้อย่างไร ดังนั้นจึงเกิดเป็นการต่อสู้เล็ก ๆ อย่างต่อเนื่อง


นักบวชฮัวอวิ๋นและคุณชายรองรู้ทันทีว่าเรื่องเหล่านี้จะต้องถูกแก้ไขอย่างรวดเร็ว ทั้งสองไม่ต้องการให้ความเสียหายเลยเถิดไปมากกว่านี้ ท้ายที่สุดพวกเขาทำได้เพียงส่งจดหมายไปที่ภูเขาเหมย ด้วยความหวังว่าเทพธิดาเหมยฮวาจะช่วยตัดสินใจในเรื่องนี้


สามวันแห่งการรอคอยได้สิ้นสุด แสงดาบของเทพธิดาเหมยฮวาถูกส่งถึงผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินทั้งสาม ในจดหมายมีเพียงสองคำเท่านั้น ทว่าสองคำนั้นทำให้ดวงตาของทั้งสามต้องเบิกกว้าง ในจดหมายเขียนเอาไว้ว่า “ทะเลตะวันออก!”


บทที่ 203: นักล่าอสูรกาย


ไม่กี่วันถัดมา นักบวชฮัวอวิ๋นเรียกให้เจ้าอ้วนเข้าพบ เมื่อเจ้าอ้วนมาถึง เขาต้องการที่จะทำความเคารพ แต่นักบวชฮัวอวิ๋นโบกมืออย่างไม่ใส่ใจพร้อมกับบอกให้เขานั่งลง


หลังจากนั้นนักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาทันที “เจ้าอ้วน วันนี้ข้าเรียกเจ้ามาเพื่อรับทราบเรื่องเกี่ยวกับที่เจ้าสังหารเหล่าพี่น้องทั้งสาม!”


“โอ้!” เจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขายิ้มออกมา “ได้โปรดกล่าวมาเถิด ข้าฟังอยู่! ฮี่ฮี่ ท่านจะขังข้าไว้สักกี่ปีกันหรือ? เรื่องแค่นี้ ข้าไม่สนใจหรอก!”


เมื่อได้ยินเจ้าอ้วนกล่าวเช่นนั้น นักบวชฮัวอวิ๋นหัวเราะออกมาอย่างขื่นขมพร้อมกล่าวว่า “มันไม่เป็นเช่นนั้น ทางเรามีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ข้อสรุปที่ออกมาก็คือเราจะไม่ขังเจ้าไว้!”


“ว่าอะไร?” ในขณะที่เขาได้ยิน เขากล่าวออกมาอย่างตกใจ “ยะ-อย่าบอกนะว่าท่านยินยอมให้คุณชายใหญ่และคุณชายรองทำให้ข้าเป็นง่อย?”


“แน่นอนว่าไม่!” นักบวชฮัวอวิ๋นสั่นศีรษะพร้อมกล่าวต่อ “นับตั้งแต่ข้าได้สัญญากับศิษย์พี่หงว่าจะดูแลเจ้า แล้วทำไมข้าต้องทำเช่นนั้น!”


หลังจากได้ยินเช่นนั้น เจ้าอ้วนผ่อนคลายลงพร้อมกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “ฮี่ฮี่ ตราบใดที่ท่านไม่ทำลายข้า แน่นอนว่าข้าจะยอมรับการลงโทษทุกอย่าง! มันคงไม่เลวร้ายเกินไปนัก!”


“เหอะเหอะ แน่นอนมันไม่ได้เลวร้าย!” นักบวชฮัวอวิ๋นตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่แสนอึดอัด


เจ้าอ้วนไม่ใช่คนโง่เขลา เขารู้ถึงความผิดปกติได้ทันทีจากใบหน้าของนักบวชฮัวอวิ๋น จากนั้นเจ้าอ้วนจึงรีบถาม “ท่านจ้าวสำนัก การลงโทษในครั้งนี้คืออะไรงั้นหรือ?”


“แท้จริงแล้วมันก็ไม่ได้มากมายนัก เราเพียงแค่จะส่งเจ้าไปที่ทะเลตะวันออกสักระยะหนึ่ง!” นักบวชฮัวอวิ๋นตอบกลับพร้อมกับถูมือของตนเองไปพร้อมกัน


เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาตอบกลับด้วยอย่างตกใจ “ว่าอะไร? ทะเลตะวันออก? อย่าบอกนะว่าท่านต้องการให้ข้ากลายเป็นนักล่าอสูรกาย?”


“เหอะเหอะ เป็นเช่นนั้น!” นักบวชฮัวอวิ๋นแสดงสีหน้าอึดอัดอีกครั้ง


“สวรรค์ ท่านจ้าวสำนัก ท่านรู้หรือไม่ว่ามันเป็นสถานที่แบบไหน? มันถูกขนานนามว่าเป็นสุสานของผู้ฝึกตน! น้อยกว่าสามในสิบที่จะมีชีวิตรอดกลับออกมา!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างหงุดหงิด “เท่ากับว่าส่งข้าไปตายชัด ๆ!”


ด้านตะวันออกของเทือกเขา มีมหาสมุทรขนาดใหญ่ถูกเรียกว่าทะเลตะวันออก มีอสูรกายวารีมากมายนับไม่ถ้วนอาศัยอยู่ที่แห่งนั้น อีกทั้งยังมีอสูรกายที่อยู่ในขั้นหกหรือเจ็ด พวกมันสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้อีกด้วย


อสูรกายเหล่านี้มีการฝึกฝนที่ลึกซึ้งและอาศัยอยู่ในเกาะที่ทะเลตะวันออก พวกมันไม่ค่อยเปิดเผยตนเอง และนอกจากนี้ยังมีอสูรระดับต่ำมากมายอาศัยอยู่แถบนั้น พวกมันอาศัยอยู่ที่เทือกเขาใกล้กับทะเล และสามารถข้ามไปมาได้อย่างง่ายดาย


ความสามารถในการสืบพันธุ์ของพวกมันนั้นไม่อาจคาดเดาได้ จำนวนที่มหาศาลของพวกมันนั้นทำให้เกิดการขาดแคลนอาหารอย่างหนักในแถบทะเลตะวันออก


แม้ว่าอสูรกายระดับต่ำจะไม่ได้ฉลาด แต่เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาขาดแคลนอาหาร พวกมันจะต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด ในบางครั้งพวกมันกินกันเอง จึงทำให้เกิดปัญหาภายในมากมายไม่รู้จบในสถานที่แห่งนั้น


อย่างไรก็ตามเหล่าอสูรกายระดับสูงไม่ต้องการให้พวกมันสังหารกันเองเช่นนี้ เมื่อเกิดเรื่องราวเหล่านี้ขึ้น พวกมันจึงคิดนำอสูรระดับกลางและต่ำมาอยู่ที่เทือกเขาใหญ่และปล่อยให้พวกมันสามารถปล้นได้อย่างอิสระในยามค่ำคืน


ดังนั้นผู้ฝึกตนที่อาศัยอยู่ใกล้กับเทือกเขาจึงได้รับความเดือดร้อนที่สุด แม้ว่าประตูของภูเขาจะถูกสร้างให้แข็งแรงมากขึ้นแต่มันก็ไร้ประโยชน์เมื่อต้องพบกับฝูงอสูรกายที่มหาศาล เมื่อเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น มีหลายสำนักที่ต้องหายสาบสูญไป ซึ่งรวมไปถึงสำนักที่มีประวัติมายาวนานนับพันปีก็ไม่อาจรอดพ้น


แน่นอนว่าผู้ฝึกตนนั้นไม่โง่เขลา หลังจากที่ต้องพ่ายแพ้ไม่กี่ครั้ง พวกเขาก้าวออกมาพร้อมกับแผนใหญ่นั่นคือการสังหารมนุษย์จำนวนมากพร้อมด้วยอสูรกายระดับต่ำอีกมากมาย สิ่งนี้ทำให้การขาดแคลนอาหารในทะเลตะวันออกหมดไปและอสูรกายจะไม่เข้ามายุ่งกับพวกเขาอีก


การสังหารอสูรกายจำนวนมากไม่สามารถทำได้โดยสำนักเดียว ดังนั้นทุกสำนักที่อาศัยอยู่ในเทือกเขาแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นสำนักชอบธรรมหรือปีศาจ ทุกที่จะต้องส่งผู้ฝึกตนออกไปทุกปี ศิษย์ทั้งหมดจะรวมกลุ่มกันและเรียกตนเองว่าพันธมิตรทะเลตะวันออก ความรับผิดชอบเดียวที่พวกเขาต้องทำคือการล่าอสูรกาย!


นักล่าอสูรกายจำเป็นที่จะต้องสังหารเหล่าอสูรกายจำนวนมากเพื่องานของพวกเขา แน่นอนว่าการทำเช่นนี้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บสาหัสได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีเหล่าอสูรกายมากกว่าหมื่นชนิดที่อาศัยอยู่ในทะเลตะวันออก จึงเป็นพวกเขาที่จะต้องเสียสละเพื่อสิ่งนี้ ระยะเวลาที่ได้เริ่มทำการล่าอสูรร้ายเหล่านี้มีมาเนิ่นนานกว่าห้าสิบปี มีอันตรายเกิดขึ้นทุกวันกับเหล่านักล่า และแน่นอนว่ามีเพียงสามในสิบเท่านั้นที่สามารถอยู่รอดและได้มีชีวิตกลับออกมา


ดังนั้นเมื่อเหล่าผู้ฝึกตนทั่วไปพูดถึงนักล่าอสูรกาย พวกเขาได้แต่ถอนหายใจด้วยความขื่นขม เพราะมันเป็นงานที่อันตรายและแน่นอนว่าไม่มีใครต้องการที่จะทำงานเช่นนี้ ดังนั้นในทุก ๆ สิบปีจะต้องมีการสูญเสียเหล่าศิษย์ไปจำนวนมากจากงานนี้


อย่างไรก็ตาม เจ้าอ้วนจำได้ว่าเพิ่งมีการส่งศิษย์ไปเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว ในขณะนั้นเขากำลังอยู่ในการฝึกฝนแบบคู่กับฉุ่ยจิ้ง ดังนั้นเขาจึงผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งหายนะมาได้ แน่นอนว่าเขาไม่สามารถปล่อยให้ตนเองต้องเผชิญกับจุดจบเช่นนั้นอย่างแน่นอน


เมื่อคิดถึงเรื่องนี้เจ้าอ้วนอดไม่ได้ที่จะถามออกไปด้วยความขุ่นเคืองใจ “ท่านจ้าวสำนัก การส่งศิษย์ออกไปนั้นเพิ่งได้ผ่านมาไม่นาน ท่านคิดจะทำอะไรกับข้ากันแน่?”


“อะแฮ่ม!” นักบวชฮัวอวิ๋นไอออกมาพร้อมกับกล่าวด้วยใบหน้าอึดอัด “สำหรับเจ้านั้นเป็นกรณีพิเศษ ใครกันเล่าที่ร้องขอให้เจ้าสังหารเหล่าสามพี่น้องพวกนั้นในคราวเดียว? คุณชายใหญ่และคุณชายรองโกรธจัดจนแทบจะทำให้เจ้าเป็นง่อยอยู่แล้วและข้าก็ไม่สามารถทำอะไรได้เกี่ยวกับเรื่องนี้! นอกจากส่งเจ้าไปที่ทะเลตะวันออก เช่นนี้มันดีกว่าการทำลายการฝึกฝนของเจ้าไม่ใช่หรือ?”


“ท่านไม่อาจหยุดความคิดของพวกเขาได้งั้นหรือ?” เจ้าอ้วนถามออกมาอย่างผิดหวัง


“หรือเจ้าต้องการให้ข้ากลายเป็นง่อยแทนเจ้า?” นักบวชฮัวอวิ๋นเริ่มมีอารมณ์


“ไม่ใช่ ข้าไม่ได้ต้องการเช่นนั้น!” เจ้าอ้วนรีบตอบกลับพร้อมโบกไม้โบกมือ เขาพยายามกล่าวออกไปอีกครั้งอย่างมีความหวัง “ท่านจ้าวสำนัก ก่อนหน้านี้ท่านบอกเพียงว่าจะขังข้าไว้เพียงสิบปีเท่านั้นไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงเปลี่ยนใจง่ายเช่นนี้?”


“เฮ้อ! เจ้าไม่สามารถเอาเรื่องนี้มาตำหนิข้าได้!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาอย่างขมขื่น “พวกเราสามคนก็เพิ่งรู้ว่าจะลงโทษเจ้าเช่นไรเมื่อไม่กี่วันมานี้ ไม่ว่าข้าจะพยายามต่อรองอย่างไร ทั้งสองคนก็ไม่ยอม เราไม่มีทางเลือกจึงต้องรบกวนให้เทพธิดาเหมยฮวาเป็นผู้ตัดสิน ในตอนแรกข้าคิดว่าความสัมพันธ์ของเจ้ากับฉุ่ยจิ้งจะสามารถช่วยเหลือเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้บ้าง เพราะฉุ่ยจิ้งนั้นประสบความสำเร็จได้ก็เพราะเจ้าด้วยส่วนหนึ่ง แต่ใครจะไปรู้ว่านางจะส่งเจ้าไปที่ทะเลตะวันออก! ข้าขอถามสักอย่าง เจ้าเคยไปสร้างปัญหาไว้กับนางหรือไม่?”


“ไม่เคย! ข้ายังไม่เคยพบนางเลยสักครั้ง!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างหงุดหงิด


“นั่นคงแปลว่าเจ้าทำให้ฉุ่ยจิ้งไม่พอใจ!” นักบวชฮัวอวิ๋นพยายามหาเหตุผล


“นั่นยิ่งเป็นไปไม่ได้ เราทั้งคู่ได้เข้าสู่การฝึกฝนแบบคู่ในช่วงสามปีที่ผ่านมา ถ้าปราศจากการช่วยเหลือของข้านางไม่สามารถผ่านสภาวะตีบตันเพื่อเข้าสู่ระดับปฐมภูมิขั้นกลางได้ด้วยตนเองอย่างแน่นอน!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาด้วยอารมณ์โกรธ “แล้วเช่นนี้ถือว่าข้าทำให้นางขุ่นเคืองใจได้อย่างไรกัน?”


“บัดซบ เจ้าไขมัน นี่กำลังหลอกลวงมู่ซื่อหรงของข้างั้นหรือ และเจ้ายังมีหน้าไปคิดถึงฉุ่ยจิ้งอีก นี่เจ้าต้องการให้ข้าสับเจ้าเป็นชิ้นใช่หรือไม่? นี่มันเป็นการลำเอียงหรือศิษย์น้องของข้ากำลังปกป้องเจ้ากันแน่!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาด้วยความโมโห “เอาล่ะ ข้าจะบอกข่าวดีให้อีกหนึ่งอย่างก็คือเจ้าจะต้องอยู่ที่นั่นเป็นเวลายี่สิบปีเพราะเป็นโทษทัณฑ์!”


“ยี่สิบปี?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาได้แต่อุทานออกมา “โอ้สวรรค์ แล้วข้าจะมีชีวิตรอดกลับมาหรือไม่!?”


“อัตราความตายอยู่ที่เจ็ดในสิบถ้าหากเจ้าอยู่ที่นั่นเป็นเวลาห้าสิบปี สำหรับยี่สิบปีแน่นอนว่ามันจะอยู่ที่ห้าในสิบเท่านั้น มันสรุปไว้แล้ว พวกเราทั้งสามคนได้ตกลงกันเรียบร้อย เอาล่ะไม่ว่าเจ้าจะเต็มใจหรือไม่ เจ้าก็จะต้องไปที่นั่น!” นักบวชฮัวอวิ๋นยักไหล่พร้อมกล่าวต่อ “ข้าไม่มีอะไรจะกล่าวแล้ว เจ้ามีอะไรจะพูดอีกหรือไม่?”


“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากข้าบอกว่าไม่?” เจ้าอ้วนถามอย่างหดหู่


“เจ้าก็จะเป็นคนพิการ!” นักบวชฮัวอวิ๋นตอบกลับด้วยใบหน้าไม่แยแส


“นั่นหมายความว่าข้าไม่มีทางเลือก?” เจ้าอ้วนถามออกมาอย่างไร้หนทาง


“ถูกต้อง!” นักบวชฮัวอวิ๋นพยักหน้าพร้อมกับถอนหายใจ “เฮ้อ จงอย่าสิ้นหวังนักเลย แม้ว่าทะเลตะวันออกจะอันตรายและไร้ความปราณี แต่ที่นั่นเต็มไปด้วยทรัพยากรมากมายเมื่อเทียบกับที่เรามีอยู่ นอกจากนี้มันยังมีราคาถูกกว่าในสำนักของเรา! การต่อสู้จะทำให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการส่งเจ้าไปที่นั่นจึงไม่ได้เป็นเรื่องเสียหายแต่อย่างใด การส่งเจ้าไปที่นั่นยี่สิบปีแน่นอนว่าเมื่อเจ้ากลับมา ความแข็งแกร่งจะต้องเพิ่มมากขึ้น นี่เป็นการยิงนกสองตัวด้วยหินก้อนเดียว!”


“แต่ถ้าหากข้าตายตกไปในสถานที่แห่งนั้น คุณชายใหญ่และคุณชายรองก็จะคิดว่าขว้างหินก้อนเดียวได้นกสองตัวเช่นกัน!” เจ้าอ้วนตอบกลับ


แน่นอนว่าเจ้าอ้วนไม่ยินยอมที่จะเข้าสู่สถานที่อันตรายเช่นนั้น เขาไม่ได้ยากจนและมีสมบัติมากมายสำหรับการฝึกฝนของตนเอง เขาไม่มีความจำเป็นที่จะต้องดิ้นรนเพื่อค้นหาสมบัติอะไรอีก! แน่นอนว่าเขาไม่คิดจะทำเรื่องเสี่ยงอันตรายและไม่ต้องกล่าวถึงผู้ฝึกตนทั่วไปเลย แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินยังไม่อยากที่จะย่างกรายเข้าไปในสถานที่เช่นนั้น เพราะสถานที่แห่งนี้ไม่เหมาะกับมนุษย์จะอาศัย!


น่าเสียดายที่เรื่องราวนี้ใหญ่โตเกินกว่าที่นักบวชฮัวอวิ๋นจะตัดสินใจได้ อีกทั้งเทพธิดาเหมยฮวายังเห็นด้วยกับคุณชายใหญ่และคุณชายรอง เขาเป็นเพียงจ้าวสำนักหัวเดียวกระเทียมลีบจึงไม่สามารถทำอะไรได้ เมื่อฟังที่เจ้าอ้วนตำหนิแน่นอนว่าเขาไม่อาจปกปิดความเสียใจบนใบหน้าของตนเองได้


เรื่องราวได้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว เหล่าศิษย์ภายในสำนักเสวียนเทียนได้รู้ข่าวว่าเจ้าอ้วนจะต้องออกไปเป็นนักล่าอสูรกาย เกิดอารมณ์ขึ้นมากมาย บางคนมีความสุข บางคนผิดหวัง บางคนรู้สึกโศกเศร้า


แน่นอนว่าเหล่าศิษย์ของคุณชายรองต่างพากันฉลองให้กับเรื่องราวเช่นนี้ ในขณะที่เหล่าอาวุโสภายในสำนักต่างพากันรู้สึกสงสารเจ้าอ้วน หานหลิงเฟิงเมื่อได้รู้ข่าวน้ำตาของนางไหลอาบทั้งสองแก้ม เจ้าลิงวิ่งค้นหาเจ้าอ้วนเพื่อสอบถามเรื่องเกี่ยวทะเลตะวันออก หานหลิงเฟิงนั้นเต็มไปด้วยความเสียใจพร้อมกับยืนยันที่จะตามเจ้าอ้วนไปด้วย


เจ้าอ้วนจะพาพวกเขาไปเสี่ยงได้อย่างไรกัน? เจ้าอ้วนหยุดยั้งความคิดเหล่านี้ด้วยความขมขื่นด้วยคำว่าสถานที่แห่งนั้นมันอันตรายและมันไม่ใช่สถานที่ที่ผู้ฝึกตนทั่วไปจะเข้าไปอาศัยอยู่ได้ ไม่เช่นนั้นมันจะเป็นการแสวงหาความตายอีกทั้งพวกเขาทั้งสองจะกลายเป็นภาระอีกด้วย


เมื่อได้ยินเช่นนั้นเจ้าลิงและหานหลิงเฟิงหมดคำจะพูดอะไรต่อ แม้ว่าพวกเขาจะไม่กลัวความตายแต่ว่าการเป็นภาระของเจ้าอ้วนนั้นพวกเขาก็ไม่อาจทำได้เช่นกัน ภายใต้สถานการณ์ดังกล่าวพวกเขาทำได้แค่เชื่อฟังเจ้าอ้วนและอาศัยอยู่ในสำนักเสวียนเทียนต่อไปอย่างขมขื่น ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจว่าเมื่อถึงระดับปฐมภูมิจะไปพบเจ้าอ้วนที่นั่น


เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าอ้วนรู้สึกถึงความห่วงใยในคำพูดเหล่านั้นได้อย่างง่ายดาย จากนั้นเขามอบของขวัญไว้ให้แก่ทั้งสองคน มันคือดอกบัวแห่งองค์ประกอบธาตุทั้งห้าจำนวนหนึ่ง นอกจากนี้เจ้าอ้วนยังเตือนพวกเขาอย่างเด็ดขาดว่าก่อนที่จะเข้าสู่ระดับปฐมภูมิห้ามให้พวกเขากินเมล็ดของดอกบัวแห่งองค์ประกอบธาตุทั้งห้า ไม่เช่นนั้นสิ่งที่รอคอยอยู่คือความตายเท่านั้น


ในขณะที่เจ้าอ้วนกำลังพูดคุยกับทั้งสอง ฉุ่ยจิ้งที่กำลังตามหาเจ้าอ้วนได้ปรากฏตัวขึ้น นางตรงดิ่งเข้ามาพร้อมกับขอคุยกับเขาเป็นการส่วนตัว


ทั้งหานหลิงเฟิงและเจ้าลิงนั้นไม่โง่เขลา ทั้งสองลุกขึ้นและเดินออกไปทันทีเพื่อให้ทั้งคู่ได้คุยกัน


เมื่ออยู่กันตามลำพัง ฉุ่ยจิ้งสูดลมหายใจเข้าลึกพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์พี่ซ่ง น้องสาวผู้นี้ต้องการติดตามท่านไปทะเลตะวันออกด้วย!”


เมื่อได้ยินเช่นนั้นในครั้งแรกเจ้าอ้วนรู้สึกร่าเริงอย่างมากในหัวใจ แต่เขากลับสู่ความปกติอย่างรวดเร็วพร้อมกล่าวอย่างขมขื่น “สถานที่แห่งนั้นไม่ใช่สวนสนุก เป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะไป”


“ทำไมข้าจึงไปไม่ได้?” ฉุ่ยจิ้งตอบกลับด้วยความขุ่นเคือง “อย่าบอกนะว่าศิษย์พี่ไม่เชื่อใจน้องฉุ่ยจิ้งผู้นี้?”


“ไม่ใช่ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น!” เจ้าอ้วนรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว “ข้าพยายามจะบอกเจ้าว่า ด้วยสมบัติวิญญาณทั้งสองชิ้นที่เจ้าครอบครองอยู่ นักบวชฮัวอวิ๋น คุณชายใหญ่และคุณชายรองจะยอมให้เจ้าไปยังสถานที่อันตรายเช่นทะเลตะวันออกงั้นหรือ? มันจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากเจ้าตาย?”


“ข้าสามารถทิ้งสมบัติไว้ที่สำนักได้!” ฉุ่ยจิ้งตอบกลับอย่างรวดเร็ว

“หยุดกล่าววาจาไร้สาระ!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาพร้อมกับขมวดคิ้ว “สมบัติทั้งสองชิ้นนั้นมีประโยชน์กับเจ้า ถ้าหากไม่มีแล้วเจ้าจะสามารถทำนายเรื่องราวอย่างรวดเร็วได้อย่างไร ข้าพูดถูกไหม?”


“ท่านเห็นแล้วหรือ?” ฉุ่ยจิ้งกล่าว


“แน่นอน ข้าไม่ได้โง่ เพียงผ่านสถานการณ์ไม่กี่ครั้งข้าก็สามารถเดาออก มันคือพื้นฐานของความแข็งแกร่งที่เจ้าต้องมี ไม่เช่นนั้นเจ้าจะทำนายเรื่องราวอย่างแม่นยำและรวดเร็วได้อย่างไร? ถ้าหากทุกคนทำได้เช่นนี้ ข้าเกรงว่าทุกคนจะต้องพ่ายแพ้ให้กับกฏของสวรรค์อย่างแท้จริง!” เจ้าอ้วนอธิบายด้วยรอยยิ้ม


“เหอะ เห็นได้ชัดว่าท่านอ้างอิงจากความแข็งแกร่งของอาจารย์ข้าครั้งเมื่อนางยังเป็นเด็ก และท่านก็สรุปออกมาเช่นนี้ ถูกต้องหรือไม่?” นางกล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มจางๆ


“เหอะเหอะ ถูกต้อง ข้าเคยได้ดูการแข่งขันของเหล่าศิษย์ชั้นในมาก่อนและจดจำวิธีการของนางเป็นพิเศษ และพบว่าแม้นางจะแข็งแกร่ง แต่ก็ไม่ได้แข็งแกร่งไปมากกว่าเจ้า อย่างน้อยถ้าหากนางต้องการเอาชนะบุคคลที่อยู่ในระดับเท่ากัน แน่นอนว่าต้องเสียสละแขนและขาของตนเอง แน่นอนว่านางทำมันได้อย่างเป็นธรรมชาติและไร้ขีดจำกัด”


เจ้าอ้วนยิ้มออกมา “นั่นทำให้ข้าเดาทางได้ เหตุผลที่นางไม่สามารถเทียบกับเจ้าได้เพราะความแข็งแกร่งของนางยังไม่เพียงพอ แต่นางกลับมีสมบัติวิญญาณสองชิ้นไว้คอยช่วยเหลือ ข้ากล่าวถูกไหม?”


“ข้าจะเชื่อคำพูดท่านถ้าหากข้าถูกปิดตาอยู่!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวออกมา “ข้ายอมรับว่าด้วยความช่วยเหลือของสมบัติทั้งสองข้าจะสามารถทำนายได้อย่างรวดเร็ว และแม้ว่าข้าจะไม่มีไพ่ตายหรือสมบัติอื่น แต่ท่านก็ไม่สามารถดูถูกฉุ่ยจิ้งผู้นี้ได้! อย่างน้อยข้าก็สามารถทำนายชะตาของท่านก่อนที่จะเข้าร่วมการต่อสู้!”


“ลืมมันไปเถิด!” เจ้าอ้วนเหยียดมือของตนเองออกไปจับไหล่ของนางและกล่าวว่า “ศิษย์น้องฉุ่ยจิ้ง ข้าไม่ได้ดูถูกเจ้า แต่ข้าไม่อาจทนให้เจ้าอยู่ในอันตรายได้! ปัญหานี้ข้าเป็นคนสร้างขึ้นมาเองและแน่นอน ข้าจะต้องรับผิดชอบโดยผู้เดียวเท่านั้น ถ้าหากต้องทนเห็นเจ้าเข้ามาอยู่ในปัญหาที่ข้าก่อ แล้วซ่งจงผู้นี้จะเรียกตนเองว่าบุรุษที่อยู่ในสำนักชอบธรรมได้อย่างไรกัน?”


“ศิษย์พี่ซ่ง!” เมื่อได้ยินเช่นนั้น น้ำตาไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองของนางอย่างรวดเร็ว


ทั้งคู่นั่งหันหน้ามองกันอย่างเงียบงัน ใบหน้าของพวกเขาค่อยขยับเข้ามาใกล้กัน ริมฝีปากของทั้งสองสัมผัสกันอย่างอ่อนโยน ทั้งสองคนแทบจะกลืนกินกันเข้าไป ภายในหัวของทั้งสองราวกับว่ามีระเบิดลูกใหญ่กำลังปะทุอยู่ในนั้น หลังจากนั้นทั้งสองได้เข้าสู่สภาวะลึกลับของจิตใจอย่างรวดเร็ว บางครั้งเกิดความโกลาหลขึ้นภายในและสลับไปที่ทะเลสาบพระจันทร์บ้าง ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากความลึกซึ้งที่มีเพียงทั้งสองเข้าใจ จากนั้นทั้งสองคนได้เข้าสู่สถานที่ใหม่ของการฝึกฝนแบบคู่อย่างรวดเร็วภายใต้สภาวะศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดขึ้นในหัวใจของทั้งสองคน


บทที่ 204: ความน่ากลัวของหญิงสาว


อย่างไรก็ตามเจ้าอ้วนและฉุ่ยจิ้งถูกแช่อยู่ในความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมเช่นนี้ ในขณะที่พวกเขากำลังดื่มด่ำอยู่นั้น ประตูการฝึกฝนของทั้งคู่ถูกเปิดออกโดยใครบางคนเป็นเงาสีเขียวประหลาดพุ่งเข้ามา


เจ้าอ้วนและฉุ่ยจิ้งแยกออกจากกันทันทีราวกับกระต่ายตื่นตูม จากนั้นทั้งคู่ได้มองเห็นว่าเป็นมู่ซื่อหรงที่เข้ามา และดูเหมือนว่านางจะเห็นว่าทั้งคู่จูบกันเพราะตัดสินจากดวงตาของฉุ่ยจิ้งที่เต็มไปด้วยความตกใจ


ฉุ่ยจิ้งนั้นไม่ได้มีผิวหนังที่หนาเตอะอย่างเช่นเจ้าอ้วน ภายใต้สถานการณ์ที่น่าอับอายเช่นนี้นางจะสามารถสงบนิ่งอยู่ได้อย่างไร? นางหันหลังและรีบออกไปอย่างรวดเร็วกระทั่งที่นางลืมบอกลาเจ้าอ้วน


เมื่อเห็นฉุ่ยจิ้งออกไปโดยไร้คำกล่าวลา เจ้าอ้วนรู้สึกหดหู่และเริ่มบ่นมู่ซื่อหรงอย่างช่วยไม่ได้ “ทำไมเจ้าไม่เคาะประตูก่อนที่จะเข้ามา?”


“ถ้าหากว่าข้าเคาะ ข้าก็คงพลาดฉากสำคัญน่ะสิ!” มู่ซื่อหรงตอบอย่างไม่แยแส


เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าอ้วนหมดคำพูดทันที


มู่ซื่อหรงไม่ได้สนใจแต่อย่างใด นางเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเจ้าอ้วนพร้อมกล่าวว่า “ที่รัก ท่านรู้หรือไม่ว่าที่ข้ามาที่นี่ในวันนี้เพราะข้ามีบางอย่างที่จะบอกท่าน!”


“เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดอะไร!” เจ้าอ้วนตัดบทพร้อมกับโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ “ข้าจะไม่ให้เจ้าไปกับข้า ทะเลตะวันออกนั้นอันตรายเกินไป มันจะดีที่สุดถ้าหากเจ้าอยู่ที่นี่!”


มู่ซื่อหรงได้ยินเช่นนั้น นางตกใจไปชั่วขณะพร้อมกับหัวเราะออกมา “ฮ่าฮ่า ท่านคิดว่าข้าจะโง่ติดตามท่านไปยังทะเลตะวันออกงั้นหรือ? ช่างน่าขำ! เจ้าอ้วน นี่เจ้าคิดเช่นนั้นจริงหรือ!”


ในขณะที่เจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาเปลี่ยนอารมณ์ทันที เขาไม่เคยคาดหวังว่ามู่ซื่อหรงที่อยู่ร่วมเตียงกับเขาเมื่อคืนนี้จะกล่าวเช่นนี้ ดังนั้นเขาถึงกับไม่เชื่อหูของตนเองพร้อมกล่าวออกไปอย่างตกใจ “เจ้าพูดอะไร? จงพูดมันอีกครั้งสิ!”


“เหอะ!” มู่ซื่อหรงถอนหายใจ “อยากให้ข้ากล่าวอีกรอบใช่หรือไม่? ข้ากล่าวว่า หยุดฝันเสียทีเจ้าบัดซบ ข้าไม่มีวันติดตามเจ้าไปที่ทะเลตะวันออก!”


“เยี่ยมมาก ยอดเยี่ยม! เป็นเพียงข้าที่ฝันไป!” เจ้าอ้วนเริ่มโกรธ “แล้วเจ้ามีอะไร? การหลับนอนกับข้าร่วมหลายปีที่ผ่านมาคืออะไร?”


“ฮี่ฮี่ ข้าต้องการจะดูดพลังเจ้าให้แห้งเหือดเท่านั้น!” มู่ซื่อหรงกล่าวออกมาอย่างชั่วร้าย “แต่น่าเสียดายที่การฝึกฝนของข้ามันไม่มากพอ และข้าอยู่บนเตียงกับเจ้าน้อยเกินไป ด้วยเหตุนี้เจ้าจึงสามารถหลบหนีภัยพิบัติในครั้งนี้ไปได้!”


“อะไรนะ?” เจ้าอ้วนตอบกลับด้วยความตกใจ “เจ้าฝึกฝนเคล็ดวิชาของสำนักปีศาจงั้นหรือ? ด้วยเหตุผลเพียงเพราะว่าต้องการดูดพลังข้าให้แห้งตายด้วยการหลับนอนกับข้า?”


“แน่นอน ถ้าไม่เช่นนั้นเจ้าคิดว่าคนอย่างข้าจะยอมให้เจ้าย่ำยีอยู่ได้ตั้งนานงั้นหรือ?” มู่ซื่อหรงกล่าวพร้อมกับหัวเราะอย่างเย็นชา “แม้ว่าข้าจะรู้สึกดี แต่แน่นอนว่าคู่ชีวิตของข้าจะต้องดูดีกว่าเจ้า! ทำไมข้าต้องมาลงเอยกับสุกรเช่นนี้ด้วย เนื้อตัวของเจ้านั้นราวกับสุกรอย่างแท้จริง ไม่มีสิ่งอื่นจะเหมือนได้มากกว่านี้แล้ว!”


เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาโกรธจัดจนแทบจะกระอักเลือดออกมาทันที เขาชี้นิ้วไปที่มู่ซื่อหรงพร้อมสบถว่า “นังเพศยา!”


“เหอะ เจ้าเพิ่งรู้งั้นหรือว่าข้าเป็นเช่นนี้? เสียใจด้วยที่มันสายเกินไปเสียแล้ว ภายใต้การจัดการของปู่ข้า แน่นอนว่าเราเป็นสามีภรรยาเรียบร้อย อีกทั้งข้ายังร่วมชายคากับเจ้าที่ลานม่านหมอกมานานนับปี ทุกคนรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเรา ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นังเพศยาคนนี้ก็จะเป็นภรรยาของเจ้า!” มู่ซื่อหรงกล่าวออกมาอย่างเริงร่า


เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินดังนั้น เขารับรู้ได้ทันทีถึงลางร้ายบางอย่าง ดังนั้นเขารีบถามออกไปทันที “มู่ซื่อหรง เจ้าต้องการอะไร?”


“ฮ่าฮ่าฮ่า เรื่องนั้นง่ายมาก!” มู่ซื่อหรงหยอกล้อ “เดิมทีข้าต้องการจะดูดพลังของเจ้าให้แห้งเหือดไป แต่ในตอนนี้เจ้ากำลังจะไปทะเลตะวันออกและไม่สามารถกลับมาได้อีกแล้ว ดังนั้นแผนนี้ของข้าจึงไม่สามารถดำเนินการได้อีกต่อไป ดังนั้นข้าจึงมีอีกแผนเพื่อให้เจ้ารู้สึกทุกข์ทรมานใจไม่แพ้กัน!”


“แผนอะไร?” เจ้าอ้วนถามออกมาอย่างหวาดกลัว


“ฮ่าฮ่า นั่นง่ายมาก ข้าจะนอกใจเจ้า!” มู่ซื่อหรงเผยรอยยิ้มปีศาจ “รู้หรือไม่ว่าข้าไปพบกับพี่ใหญ่จินมาในวันนี้ ข้าจะรับใช้เขาเหมือนที่รับใช้เจ้า ปล่อยให้เขากดขี่ข้าดังเช่นที่เจ้าทำ จากนั้นข้าก็จะสวมเขาให้เจ้าอย่างมีความสุข!”


“บ้า เจ้ามันบ้า!” เจ้าอ้วนตะโกนออกมาอย่างเหลืออด


“ฮ่าฮ่า เจ้าเรียกข้าว่าคนบ้า? ความอดทนของเจ้าช่างน้อยนิดเหลือเกิน!” มู่ซื่อหรงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ให้ข้าบอกอะไรเจ้าหนึ่งอย่าง นี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นนะ ข้าจะไม่สวมเขาให้เจ้าเพียงรอบเดียว หลังจากเจ้าไป เจ้าจะมีเขาอยู่บนหัวสองอัน สามอันและมันจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ข้าจะทำให้เจ้ากลายเป็นเจ้าโง่ที่มีเขาเต็มหัวไปหมด!”


เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของเขากลายเป็นสีเขียวทันทีด้วยความโกรธ


แต่มู่ซื่อหรงไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้น เมื่อเห็นว่าเจ้าอ้วนโกรธจัด นางดำเนินการต่อทันที “และอย่าได้คิดว่าจะไม่มีใครรู้จักเจ้าหลังจากที่เจ้าไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่ทะเลตะวันออก ข้ามีวิธีที่จะทำให้เจ้ามีชื่อเสียงอย่างแน่นอน! เพราะข้าจะสักบนหน้าอกว่า ‘ภรรยาของซ่งจง’ ในทุกครั้งที่ข้าร่วมรักกับผู้อื่น เขาจะได้รู้ว่าข้าคือภรรยาของเจ้า! ตราบใดที่ข้าหลับนอนร่วมกับสำนักชอบธรรมหรือจากสำนักปีศาจ แน่นอนว่าทุกคนจะต้องรู้จักชื่อของเจ้าแน่นอน และมันจะโด่งดังไปทั่วภูเขาแห่งนี้จนถึงทะเลตะวันออก! ในขณะนั้นเจ้าจะกลายเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียง! ฮ่าฮ่าฮ่า!” ในขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น นางระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น


เจ้าอ้วนตัวสั่นด้วยความโกรธพร้อมกล่าวออกมาอย่างเย็นชา “สารเลว เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะกลับมาชำระแค้นบ้างหรือ?”


“อ่า เรื่องนั้นจะต้องเป็นปัญหาอย่างแน่นอน!” มู่ซื่อหรงกล่าว “ถ้าหากเจ้ามีชีวิตกลับมา ก็คงจะลำบากจริงๆ ข้าคงจะต้องมีปัญหาใหญ่ตามมาถ้าหากเจ้าไม่ตาย เกี่ยวกับเรื่องนี้ข้าจะเขียนจดหมายไปหาเจ้าทุกวันว่าข้านั้นได้สนุกกับผู้ใดบ้าง แน่นอนว่าจิตใจของเจ้าก็คงจะว้าวุ่นถ้าหากได้รับข่าวภรรยาของตนเองที่กำลังนอกใจ จากนั้นเจ้าก็จะไม่มีสมาธิต่อสู้กับเหล่าอสูรกายถึงจุดที่เจ้าพลาดท่า จากนั้นเจ้าก็จะไม่ได้กลับมาที่นี่อีก!”


“นังสารเลว!” เจ้าอ้วนโกรธจัดจนแทบจะกัดลิ้นตาย


“ฮ่าฮ่า!” มู่ซื่อหรงกล่าวต่ออย่างอารมณ์ดี “ข้าอารมณ์ดีเกินกว่าจะโกรธเจ้าแล้ว เพียงแค่นึกภาพเจ้ามีเขาอยู่บนหัว ข้าก็รู้สึกดียิ่งกว่าอะไรทั้งหมด! เอาล่ะ ข้าจะไม่คุยกับเจ้าอีกแล้ว ข้าต้องไปพบพี่ใหญ่จิน เขาไม่สามารถอดทนรอให้ข้าไปเป็นภรรยาของเขาได้อีกแล้ว! ข้าก็รอไม่ไหวแล้วเช่นกันที่จะสร้างความอัปยศให้กับเจ้า! ลาก่อนเจ้าอ้วนบัดซบ! เจ้ากำลังจะกลายเป็นสามีที่ถูกภรรยานอกใจได้แล้วนับจากนี้ไป ฮ่าฮ่าฮ่า!” ในขณะที่นางกล่าวเช่นนั้นนางโบกมือให้กับเจ้าอ้วนพร้อมกับจากไป


แต่เจ้าอ้วนจะปล่อยนางออกไปเฉยๆได้อย่างไร? เขาปิดเส้นทางที่นางจะกลับออกไปทันทีพร้อมกล่าวอย่างเยือกเย็น “ข้าขอโทษด้วยที่ข้าไม่อาจอดทนให้ตนเองเขางอกขึ้นมาได้ ดังนั้นข้าจึงคิดว่าจะพาเจ้าไปทะเลตะวันออกร่วมกับข้า! แน่นอนว่าข้าจะดูแลเจ้าอย่างดี!”


“ฮ่าฮ่า หยุดกล่าวเรื่องตลก ข้าไม่มีวันไปทะเลตะวันออก!” มู่ซื่อหรงกล่าวอย่างรังเกียจ “เจ้าไขมันบัดซบอย่าได้คิดว่าเจ้าจะควบคุมทุกสิ่งได้ ให้ข้าบอกเจ้าให้นะ ปู่ข้าเป็นถึงจ้าวสำนักและเจ้าไม่มีสิทธิ์จะทำเช่นนี้!”


“เหอะ!” เจ้าอ้วนถอนหายใจ “สารเลว เจ้าประเมินข้าต่ำเกินไปแล้ว!”


“เจ้าหมายความว่าอะไร?” มู่ซื่อหรงถามกลับอย่างสับสน


เจ้าอ้วนไม่สนใจนางและกล่าวว่า “ในอดีต ข้าคิดว่าเจ้าชอบข้าจริงๆ ข้าเลยกังวลเกี่ยวกับเรื่องเจ้ามาตลอด แต่ในวันนี้ข้ารู้ความจริงแล้ว ความปรารถนาดีสุดท้ายของข้าได้หมดลงอย่างสมบูรณ์ ถ้าหากเป็นเช่นนี้อย่าได้ตำหนิข้าถ้าหากมีสิ่งใดเกิดขึ้น!”


“เจ้าจะทำอะไร?” มู่ซื่อหรงถามกลับอย่างหวั่นใจ


“ทำอะไรงั้นหรือ?” เจ้าอ้วนเผยรอยยิ้มออกมา “เจ้าอยากเป็นคนโง่ไม่ใช่หรือ? ข้าจะเติมเต็มความต้องการของเจ้าให้เอง! จากวันนี้ไปเจ้าคือคนโง่ของข้า! ข้าจะจับเจ้า ย่ำยีเจ้าและมีความสุขกับเจ้าทุกวัน!”


“เจ้ากล้า?!” มู่ซื่อหรงกล่าวออกมาอย่างรังเกียจ “ให้ข้าเตือนเจ้าอย่าง ภายในลานชั้นในของสำนักเสวียนเทียน เจ้าไม่สามารถปราบปรามข้าได้แบบเงียบๆ ถ้าหากเจ้าคิดจะต่อสู้กับข้าแน่นอนว่ามันจะเป็นการเรียกให้ผู้ฝึกตนระดับจินตันมาที่นี่ และในเวลานั้นเจ้าจะไม่สามารถหาทางออกของปัญหาที่ตัวเองสร้างได้!”


“เหอะ! มู่ซื่อหรง เจ้าช่างประเมินตนเองสูงนัก! เจ้าเป็นเพียงวัวน้อยในสายตาของข้าเท่านั้น! การดูแลเจ้านั้นง่ายราวกับตักเค้กสักชิ้น!” เจ้าอ้วนกล่าวพร้อมหัวเราะอย่างเยือกเย็น “จงดูสิว่าข้าเป็นใคร?”


ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาโบกมือขวาพร้อมกับเรียกสาวงามออกมาตรงหน้า


ด้วยการมองเพียงรวดเดียว รู้ได้ทันทีว่าหญิงงามทั้งเก้านั้นแข็งแกร่ง หลังจากที่พวกนางปรากฏตัว พวกนางเผยรอยยิ้มพร้อมกับเดินมาหาเจ้าอ้วนและกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “นายท่าน ข้ารับใช้เช่นพวกข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน!”


“ฮี่ฮี่ ข้าก็คิดถึงพวกเจ้าเช่นกัน!” เจ้าอ้วนตอบกลับอย่างอ่อนโยนพร้อมกับเริ่มกอดพวกนาง


ไม่เพียงแต่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงพวกนางได้ แต่พวกนางกลับปล่อยเสียงครวญครางออกมา จากนั้นพวกนางยกหน้าอกของตนเองพร้อมกับกระซิบกับเจ้าอ้วน “นายท่าน ข้าต้องการเหลือเกิน!”


“สามารถทำได้ แต่เจ้าจะต้องใช้ร่างกายของนาง!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาพร้อมกับมองไปที่หานหลิงเฟิง


“ใช้ร่างกายของนางเพื่อเล่นกับนายท่านงั้นหรือ?” ผู้ฝึกตนหญิงสาวได้ยินเช่นนั้น นางกล่าวออกมาดั่งเช่นปีศาจร้ายทันที “แน่นอน ข้าคิดว่านายท่านจะต้องสนุกถ้าหากทำเช่นนั้น!” ในขณะที่นางกล่าว นางเดินไปหาหานหลิงเฟิงทันที


เมื่อเห็นเช่นนั้น หานหลิงเฟิงรู้ทันทีว่าภัยกำลังมาถึงตัว นางไม่รู้ว่าหญิงสาวเหล่านี้คือใครเพราะไม่เคยพบเจอมาก่อน นางได้ยินว่าคนเหล่านี้จะใช้ร่างกายของนางเพื่อเล่นสนุก นางรีบถามทันที “พวกเจ้าเป็นใคร? ต้องการทำอะไร?”


“อ่า ข้ารับใช้ผู้นี้เป็นธาตุไม้ ดังนั้นข้าถูกเรียกว่ามู่เอ๋อโดยนายท่าน!” มู่เอ๋อยิ้มพร้อมกล่าวว่า “แต่มันไม่ใช่ชื่อที่แท้จริงของข้า เพราะข้าคือแม่มดเทวะ!” ในขณะที่นางกล่าวจบนางพุ่งเข้าร่างของมู่ซื่อหรงอย่างรวดเร็ว


“เอะ? แม่มดเทวะ? ภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า!” มู่ซื่อหรงนั้นไม่โง่ที่จะไม่รู้จักภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า นางรู้จักคำว่าแม่มดเทวะเป็นอย่างดี แต่นางก็ไม่ทันได้อธิบายอะไรต่อทำได้เพียงพูดว่า “เจ้าไขมันสารเลว เจ้ายอดเยี่ยมมาก! เจ้าครอบครองภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า!”


บทที่ 205: ย่ำยีสตรีผู้โง่เขลา


มู่ซื่อหรงกล่าวได้เพียงแค่นั้น ร่างกายของนางก็ถูกควบคุมโดนมู่เอ๋อทันที ในตอนนี้มีเพียงปากของนางเท่านั้นที่สามารถขยับได้ แน่นอนว่านี่เป็นสิ่งที่มู่เอ๋อมอบมันให้กับนางเพื่อให้กล่าวต่อให้จบเท่านั้น


หลังจากที่ได้ยินนางกล่าวเช่นนั้น เจ้าอ้วนอดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมาพร้อมกล่าวว่า “เจ้าเพิ่งรู้งั้นหรือ? เกรงว่ามันคงจะสายเกินไปเสียแล้ว! มู่เอ๋อจะควบคุมร่างกายของเจ้าและเข้าพบปู่เจ้าพร้อมข้าในวันพรุ่งนี้เพื่อขอร้องให้เขาอนุญาตเจ้าติดตามข้าไปยังทะเลตะวันออก! ทำไมเจ้าไม่ลองคิดดูล่ะว่านักบวชฮัวอวิ๋นจะว่าอย่างไรเมื่อเจ้าไปขอร้องเขาด้วยตนเอง?”


ในขณะนั้นมู่ซื่อหรงรู้สึกถึงความเย็นชาที่อยู่ภายในจิตใจของตน นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าคำตอบคืออะไร? แม้ว่าจะโง่เง่าสักเพียงไหนก็ต้องรู้คำตอบอยู่แล้ว แน่นอนว่านักบวชฮัวอวิ๋นจะไม่ห้ามนาง หนึ่งคือมู่ซื่อหรงเป็นคนโปรดของเขาและส่วนใหญ่เขาไม่เคยปฏิเสธคำขอของนาง อีกทั้งเขายังชอบเจ้าอ้วนมากและเชื่อในฝีมือที่ล้นเหลือของเจ้าอ้วนอีกต่างหาก ดังนั้นผลลัพธ์ของมันง่ายมากคือเขาจะยินยอมให้นางไปและไม่เข้าไปยุ่งกับชีวิตคู่ของทั้งสอง อีกทั้งคงหวังว่าทั้งสองคนนี้จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้วยการผ่านพ้นอันตรายไปด้วยกัน!


แต่อย่างไรแล้วเมื่อพวกเขาไปถึงทะเลตะวันออก และห่างไกลจากการมองเห็นของนักบวชฮัวอวิ๋น แน่นอนว่าเจ้าอ้วนต้องกล่าวบางอย่างปิดท้ายสักหน่อย แม้ว่าเขาจะต้องการเล่นกับนางจนตายตกไป แต่ไม่ว่าจะฉลาดสักเพียงใดก็จะคิดว่านางตกอยู่ในอันตราย แน่นอนว่าทุกคนนั้นสามารถตายตกได้เมื่อเข้าสู่สถานที่แห่งนี้


เมื่อคิดเช่นนี้มู่ซื่อหรงนั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัวพร้อมรีบขอร้องเจ้าอ้วนทันที “ศิษย์พี่ซ่ง ไม่นะ ศิษย์พี่ซ่ง ข้าผิดไปแล้ว ข้าเพียงแต่เหย้าแหย่ท่านเล่นเท่านั้น! เหตุใดต้องจริงจังด้วยล่ะ?”


“อย่างนั้นหรือ?” เจ้าอ้วนถอนหายใจพร้อมกล่าวออกมาอย่างรังเกียจ “จากนี้ข้าจะเล่นตลกกับเจ้า อย่างเช่นที่เจ้าทำกับข้าแล้วกัน!” เมื่อเขากล่าวจบ


จากนั้นตามด้วยเสียงเสื้อผ้าถูกฉีกขาด ชุดคลุมทั้งหมดกองอยู่บนพื้นพร้อมกับเผยผิวขาวด้านในออกมาสู่สายตาของทุกคน


“อ๊ะ!” มู่ซื่อหรงร้องออกมาอย่างตกใจ แต่เจ้าอ้วนไม่รอให้นางได้ทันตั้งตัวแต่อย่างใด เขาจับนางนอนลงบนตักพร้อมกับใช้มือขวาขย้ำเข้าที่หน้าอกของนางอย่างรุนแรงพร้อมด้วยมือซ้ายตบบั้นท้ายของนางไปด้วย


ด้วยการตบที่รุนแรงทำให้ผิวขาวของมู่ซื่อหรงนั้นเกิดรอยแดงขึ้นมา แล้วร่างกายของนางจะอดทนต่อความแข็งแกร่งของเจ้าอ้วนได้อย่างไร? ความแข็งแกร่งของมือเขานั้นสามารถบดขยี้เหล็กได้ด้วยการกำมือ! แม้ว่าเขาจะแสดงความเมตตาอยู่บ้างแต่มู่ซื่อหรงก็ยังไม่อาจอดทนความเจ็บปวดได้และร่ำไห้ออกมา


แต่เสียงร้องของนางไม่ได้ทำให้เจ้าอ้วนรู้สึกสงสารแต่อย่างใด และในตอนนี้สิ่งที่นางได้กล่าวออกมาก่อนหน้านี้ได้ทำลายหัวใจของเขาอย่างสมบูรณ์ ในขณะที่เขากำลังเอาชนะนาง เขายังคงสบถออกมาอย่างต่อเนื่อง “นังสารเลว เจ้าต้องการสวมเขาให้ข้าอย่างนั้นหรือ? ได้เลย งั้นข้าจะให้เจ้าสวมได้มากเท่าที่เจ้าต้องการ!”


ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาโบกมือและตบนางอย่างต่อเนื่อง


“อ๊ะ! อา! ข้าเจ็บ! หยุดเสียที!” มู่ซื่อหรงอ้อนวอนอย่างสมเพช “ศิษย์พี่ซ่งข้าผิดไปแล้ว ปล่อยข้าไปเถอะ!”


“พี่ซ่งงั้นหรือ? นังเพศยาเช่นเจ้าไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกข้าว่าพี่!” เจ้าอ้วนตอบกลับพร้อมตบนางอย่างรุนแรง


“อา! หยุดสักที!” มู่ซื่อหรงรีบเปลี่ยนคำพูดทันที “หรือจะให้ข้าเรียกท่านว่าศิษย์พี่ ได้หรือไม่?”


“ไม่ได้เช่นกัน!” ในขณะที่เขาตอบเช่นนั้น เขายังคงตบนางต่อไป


“อา! หยุดตีข้าเสียที!” มู่ซื่อหรงอ้อนวอน “แล้วท่านต้องการให้ข้าเรียกท่านว่าอะไร? เพียงแค่ท่านบอกมา ข้าจะทำตามทุกอย่าง!”


“สตรีชั่วช้าเช่นเจ้า เป็นเพียงสุนัขตนนึงของข้าเท่านั้น เจ้าต้องเรียกข้าว่านายท่าน!” เจ้าอ้วนตะคอก


“ตกลง ตกลงนายท่าน” เมื่อมู่ซื่อหรงได้ยินเช่นนั้น นางร้องไห้ออกมา “ข้าจะเป็นสุนัขรับใช้นายท่านตลอดไป ได้โปรดปล่อยข้าไป!”


ในขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น ใบหน้าของมู่ซื่อหรงแดงจัดและร่างกายของนางเริ่มร้อนขึ้นเพราะที่สิ่งแล้วนางรู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งเหล่านี้


เจ้าอ้วนยังรู้สึกได้กับความเปลี่ยนแปลงของนางเช่นนี้เพราะมีของเหลวไหลออกมาจากจุดเร้นลับของนาง เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่ามู่ซื่อหรงจะชอบใจกับการกระทำเช่นนี้จึงอดไม่ได้ที่จะถามนางออกไป “เจ้า! อย่าบอกข้านะว่าในตอนนี้เจ้ากลายเป็นหญิงเพศยาจริงแล้ว? เหตุใดเจ้าจึงดูมีความต้องการหลังจากถูกทุบตี?”


“ข้า… ข้าไม่รู้!” มู่ซื่อหรงตอบอย่างหมดหวัง


“นายท่าน แต่ข้ารู้!” ในขณะนั้นมู่เอ๋อที่ควบคุมมู่ซื่อหรงอยู่เอ่ยปากออกมา “นางฝึกเคล็ดวิชาเบญจสตรีศักดิ์สิทธิ์สังหาร! มันเป็นการฝึกฝนแบบคู่ที่ลึกซึ้งอย่างมาก ยิ่งผู้ที่ฝึกถูกย่ำยีและกดขี่มากเท่าไหร่ นางก็จะยิ่งตื่นเต้นมากเท่านั้น!”


“สวรรค์ ยังมีใครที่คิดจะฝึกวิชาที่บัดซบเช่นนี้ด้วยงั้นหรือ?” เจ้าอ้วนถามออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “อย่าบอกข้านะว่านางเกิดมาเพื่อเป็นอีตัว?”


“นายท่าน มู่ซื่อหรงเพียงแต่ยอมเป็นนักโทษของท่านเพียงชั่วคราว แต่เหตุผลที่แท้จริงก็คือนางต้องการจะดูดความแข็งแกร่งทั้งหมดของท่านไป!” มู่เอ๋ออธิบาย


“อย่างไร?” เจ้าอ้วนถามอย่างสับสน “มันเป็นการฝึกที่แข็งแกร่งมากงั้นหรือ?”


“ใช่แล้ว มันแข็งแกร่งมาก!” มู่เอ๋อกล่าวอย่างเคร่งเครียด “มันสามารถดูดซับพลังปราณจิตวิญญาณหรือจิตวิญญาณของบุรุษเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับตนเอง! เป็นเคล็ดวิชาคุณภาพสูง น่าเสียดายที่มันจะต้องใช้เวลาสักหน่อยก่อนที่จะใช้มันได้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ยังทำให้เกิดความทุกข์ทรมาน ดังนั้นจึงไม่อาจเปรียบเทียบกับพวกเราทั้งเก้าได้เลย!”


ในขณะที่เจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาพ่นลมหายใจเย็นเยือกออกมาและกล่าวว่า “นังสารเลว เจ้ามันเลวทราม! เจ้าต้องการดูดข้าจนแห้งเหือดงั้นหรือ! ยอดเยี่ยม!”


เจ้าอ้วนอุทานออกมา “ข้านั้นเล่นสนุกกับสุนัขตนนี้หลายครั้งแล้ว แต่ข้ายังไม่เคยพ่ายแพ้ให้นางเลยสักครั้ง ด้วยเหตุใดกัน?”


“นายท่านไม่ต้องกังวล!” มู่เอ๋อกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “วิชาเบญจสตรีศักดิ์สิทธิ์สังหารที่นางฝึกนั้นแข็งแกร่งจริง แท้จริงแล้วมันแข็งแกร่งเสียยิ่งกว่าภาพวาดแห่งหญิงงามทั้งเก้า แต่มู่ซื่อหรงไม่สามารถดูดอะไรจากท่านได้ ความจริงคือท่านดูดบางสิ่งบางอย่างจากนางไปต่างหาก!”


“อะไรนะ?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาถามต่อด้วยความงุนงง “เรื่องจริงงั้นหรือ นี่ไม่ใช่เรื่องจะมาล้อข้าเล่นนะ”


“นายท่าน ทาสผู้นี้มีชีวิตมากว่าหมื่นปีและคุ้นเคยกับเรื่องเหล่านี้อย่างมาก ตอนนี้ข้าอยู่ในร่างกายของมู่ซื่อหรง หลังจากที่ตรวจสอบนางเพียงไม่นานและไม่พบว่านางมีปราณจิตวิญญาณที่เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด ความจริงแล้วปราณจิตวิญญาณของนางกำลังลดลงแต่กลับบริสุทธิ์มากขึ้น แน่นอนว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ดีต่อนาง สำหรับสตรีอื่นๆของท่านแน่นอนว่ามันจะเกิดขึ้นกับพวกนางด้วยเช่นกัน!” มู่เอ๋ออธิบาย


“ยอดเยี่ยม!” เพียงเท่านั้นเจ้าอ้วนผ่อนคลายทันทีพร้อมถามออกไปอีกครั้ง “มู่ซื่อหรงอยู่ในระดับปฐมภูมิขั้นต้นเท่านั้น เหตุใดนางจึงครอบครองวิชาเบญจสตรีศักดิ์สิทธิ์สังหาร? เจ้ารู้หรือไม่ว่าใครมอบมันให้กับนาง?”


“แน่นอน ข้ารู้!” มู่เอ๋อรีบตอบกลับ “ในความทรงจำของนาง ทาสผู้นี้ได้ยินนางเรียกผู้นั้นว่าฮัวเฉียนหวู่ เป็นคนมอบเคล็ดวิชานี้ให้กับนาง เป็นหญิงสาวที่มู่ซื่อหรงเรียกว่าท่านป้า!”


“ป้าของมู่ซื่อหรง? ฮัวเฉียนหวู่?” เจ้าอ้วนตกใจไปชั่วขณะพร้อมกล่าวออกมาอย่างตกใจ “ข้าจำได้แล้ว รู้สึกว่านางจะเป็นผู้ฝึกตนระดับจินตันอาศัยอยู่ในสำนักเสวียนเทียน! ข้าคิดมาตลอดว่านางเป็นลูกสาวคนเล็กของนักบวชฮัวอวิ๋น นาง… นาง…”


“นางอะไร?” มู่เอ๋อถาม


“ว่ากันว่านางเคยเจ็บช้ำจากพ่อของข้าเมื่อยังเยาว์และขอร้องให้นักบวชฮัวอวิ๋นจัดงานแต่งงานให้ แต่ในตอนสุดท้ายนางถูกปฏิเสธโดยพ่อของข้า!” เจ้าอ้วนกล่าว “ข้าคิดว่าฮัวเฉียนหวู่คงเจ็บแค้นจากเรื่องนั้นและคิดว่ามันคือความอัปยศของนาง นางเข้าสู่การฝึกฝนแบบปิดและไม่ยอมพบหน้าใคร! เหตุใดนางจึงออกมาปรากฏตัวและมอบสิ่งนี้ให้กับมู่ซื่อหรง?”


“นายท่าน ข้าค้นพบบางอย่างในความทรงจำของมู่ซื่อหรง!” มู่เอ๋อรีบกล่าว “คิดว่ามันน่าจะสำคัญกับท่าน!”


“มันคืออะไร?” เจ้าอ้วนรีบถาม


“มู่ซื่อหรงเดาว่าวิชาเบญจสตรีศักดิ์สิทธิ์สังหารที่ฮัวเฉียนหวู่ให้นางนั้นมาจากสำนักพันปีศาจ จากนั้นนางก็คิดถึงเรื่องที่นายท่านถูกซุ่มโจมตีจากตาเฒ่าเฟิงหลังจากออกไปค้นหาครอบครัว ดังนั้นนางจึงเดาออกไปว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับฮัวเฉียนหวู่!” มู่เอ๋อหยุดนิ่งไปชั่วครู่พร้อมกล่าวต่อ “มู่ซื่อหรงเดาต่อไปว่าเรื่องของครอบครัวท่านก็อาจจะเกี่ยวกับฮัวเฉียนหวู่นี้ด้วย!”


ในขณะที่เจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น ร่างกายของเขาราวกับถูกฟ้าผ่าและกลายเป็นใบ้ทันที เขาเรียกสติคืนกลับมาอย่างรวดเร็วพร้อมกับตะโกนออกมาสุดเสียง “เอามู่ซื่อหรงออกมาคุยกับข้า!”


“ตกลงนายท่าน!” เมื่อเห็นว่าเจ้าอ้วนโกรธจัด มู่เอ๋อรีบตอบรับพร้อมกับให้หยุดควบคุมปากของมู่ซื่อหรงทันที


เจ้าอ้วนตบนางพร้อมกับคำรามออกมา “มู่ซื่อหรง!!!!”


“อา นายท่าน นายท่าน! ข้าอยู่นี่ หยุดทุบตีข้า!” มู่ซื่อหรงอ้อนวอน


“ข้าต้องการจะถามเจ้า ฮัวเฉียนหวู่เป็นคนมอบเคล็ดวิชาเบญจสตรีศักดิ์สิทธิ์สังหารจากสำนักพันปีศาจให้กับเจ้าใช่หรือไม่?” เจ้าอ้วนถามออกมาอย่างโกรธจัด


“นายท่าน ข้าเพียงคาดเดาว่าเคล็ดวิชานี้มาจากสำนักพันปีศาจ ท่านป้าไม่ยอมรับว่านางได้รับมันมาจากที่นั่น ข้าจึงไม่กล้าพูดได้เต็มปากว่านางคือคนนั้น!” มู่ซื่อหรงตอบอย่างรวดเร็ว


“แล้วอะไรที่ทำให้เจ้าคิดว่านางอาจจะเป็นคนนั้น?” เจ้าอ้วนถามต่อ


“เรื่องนั้น…” มู่ซื่อหรงลังเล


เมื่อเห็นเช่นนั้น เจ้าอ้วนโกรธจัดพร้อมกับตบนางอีกครั้งโดยไม่สนใจสิ่งใด


หลังจากที่ก้นของมู่ซื่อหรงฟกช้ำจนไม่เหลือเนื้อที่สีขาว เขาหยุดมือลงและคำรามออกมา “รีบพูดออกมา! หรือเจ้าต้องการให้ข้าทุบตีเจ้าจนตาย?”


“ข้าพูดแล้ว ข้าจะพูด!” มู่ซื่อหรงไม่กล้าที่จะต่อกรอีกต่อไป นางร้องไห้และกล่าวว่า “ข้าเดาว่ามันเป็นนาง!”


“อะไรทำให้เจ้าคิดเช่นนั้น?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาขมวดคิ้วทันที


“มีสองเหตุผล ประการแรกคือวิชาเบญจสตรีศักดิ์สิทธิ์สังหารมีความลึกซึ้งอย่างยิ่ง แน่นอนว่าสำนักพันปีศาจไม่อาจมอบมันให้ผู้ใดโดยไม่ไตร่ตรองได้ ฮัวเฉียนหวู่จะต้องสร้างความประทับใจอย่างมากให้กับพวกเขา เช่นกำจัดศิษย์คนสำคัญของจ้าวสำนัก!” มู่ซื่อหรงอธิบายอย่างระมัดระวัง


“แล้วอีกอย่างล่ะ?” เจ้าอ้วนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก


“เหตุผลที่สองนั้นง่ายมาก ครอบครัวของท่านมีชื่อเสียงในสำนักเสวียนเทียนและไม่เคยมีศัตรูที่ไหน อีกทั้งพ่อของท่านเป็นศิษย์ของจ้าวสำนักและอยู่ในชนชั้นสูง ไม่มีคนธรรมดาที่ไหนจะกล้ามีปัญหากับพวกเขา ดังนั้นจึงมีเพียงคนเดียวที่สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้ก็คือฮัวเฉียนหวู่!” มู่ซื่อหรงตอบกลับอย่างหวาดกลัว


“บัดซบ!” เจ้าอ้วนคำรามและยกมู่ซื่อหรงขึ้นมา เขาจับสะโพกของนางไว้พร้อมกับทะลวงเข้าไปอย่างดุเดือด! ในขณะนั้นเขาคำรามออกมาเพื่อระบายความโกรธ “นังสารเลว!”


“อา!” มู่ซื่อหรงกรีดร้องออกมา ยิ่งนางส่งเสียงดังมากเท่าไหร่ ความโกรธแค้นของเจ้าอ้วนยิ่งเพิ่มทวีคูณขึ้น หลังจากที่ทุกอย่างได้ถูกปลดปล่อยออกไป มู่ซื่อหรงอยู่ในอาการตาค้างและอ้าปากค้างอย่างน่าเวทนา!


บทที่ 206: ทะเลตะวันออกที่แสนโหดร้าย


วันถัดมาเจ้าอ้วนพามู่ซื่อหรงเข้าพบนักบวชฮัวอวิ๋น แน่นอนว่ามู่ซื่อหรงถูกควบคุมโดยมู่เอ๋อ เหตุผลที่เขาเรียกใช้นางเพราะว่าเป็นธาตุไม้เหมือนกันและง่ายที่จะควบคุมมู่ซื่อหรงไม่ให้ผิดแปลกเกินกว่าใครจะสังเกตเห็นได้


เมื่อทั้งสองเดินเข้ามาถึงอาคารของสำนักชั้นใน เขาเห็นคุณชายใหญ่และคุณชายรองอยู่ที่นั่น พร้อมด้วยพี่ใหญ่จินยืนอยู่ด้านหลังของคนทั้งสอง ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยผ้าพันแผล เมื่อทั้งสามคนเห็นเจ้าอ้วนเดินเข้ามาใบหน้าของพวกเขาแสดงออกถึงความเกลียดชังและต้องการจะกลืนกินเจ้าอ้วนให้ตายตกไปในตอนนี้เสียเลย


เมื่อเห็นเช่นนั้น นักบวชฮัวอวิ๋นรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย จากนั้นเขากล่าวต้อนรับเจ้าอ้วนด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ฮ่าฮ่า วีรบุรุษของเรามาถึงแล้ว นั่งก่อน นั่งลงก่อนไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรหรอก!”


“วีรบุรุษงั้นหรือ?” เมื่อพี่ใหญ่จินได้ยินเช่นนั้น เขาโกรธจัดจนแทบจะตายในทันที จากนั้นเขาไม่สามารถเก็บงำความในใจไว้ได้จึงตะโกนออกไปว่า “ท่านจ้าวสำนัก ไอ้บัดซบผู้นี้สังหารศิษย์น้องของข้าถึงสามคนและมันคือกบฏ เหตุใดจึงกลายเป็นวีรบุรุษไปได้?”


“เหอะ!” เมื่อนักบวชฮัวอวิ๋นได้ยินเช่นนั้น เขาหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “คนที่สังหารโจรตัวเล็กจ้อยที่เจตนาบุกบ้านของตนเองนั้นไม่ได้ทำผิดอะไร แน่นอนว่าเขาคือวีรบุรุษ!”


“เจ้า!” พี่ใหญ่จินโกรธจัด แต่เขาไม่กล้าที่จะต่อกรกับจ้าวสำนัก เขาระงับความโกรธของตนพร้อมกล่าวว่า “ท่านจ้าวสำนัก โปรดอย่าลืมว่าเหตุที่ซ่งจงต้องถูกส่งไปยังทะเลตะวันออกเนื่องจากเขาสังหารผู้อื่น! ซึ่งเป็นที่แน่ชัดว่าเขามีความผิด!”


“ฮ่าฮ่า เรื่องตลกยิ่งนัก!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาอย่างรังเกียจ “ใครบอกกันว่าซ่งจงถูกส่งไปทะเลตะวันออกเพื่อเป็นการลงโทษ? นั่นเป็นเพียงความปรารถนาของเขาเท่านั้น! ข้าไม่เคยคิดเช่นนั้น! เห็นได้ชัดว่าเขาไปอยู่ในสถานที่แห่งนั้นเพื่อป้องกันมนุษย์จากอสูรกาย และผู้ที่คิดจะเสียสละเช่นนี้เรียกว่าวีรบุรุษไม่ถูกงั้นหรือ?”


เจ้าอ้วนตกใจไปชั่วขณะหลังจากที่ฟังพวกเขาทั้งสองโต้เถียงกัน จากนั้นเขาเข้าใจอย่างรวดเร็วถึงเหตุผลที่เขาต้องไปทะเลตะวันออก! คุณชายใหญ่และคุณชายรองต้องการส่งเขาไปที่นั่นเพื่อลงโทษ แต่นักบวชฮัวอวิ๋นต้องการบอกว่าเขาเต็มใจที่จะไปสถานที่แห่งนั้นเอง ซึ่งทั้งสองเหตุผลนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง


ตามความตั้งใจของคุณชายใหญ่และคุณชายรอง คือเจ้าอ้วนถูกเนรเทศไปยังสถานที่แห่งนั้นเพื่อลงโทษ แม้ว่าในอนาคตเขาจะกลับมา แน่นอนว่าความผิดนี้จะติดอยู่ในประวัติของเขา มันหมายความว่าเจ้าอ้วนมีความผิดที่สังหารผู้ฝึกตนไปสามคน แน่นอนว่าสิ่งนี้จะส่งผลเสียต่ออนาคตของเขาอย่างแน่นอน


ส่วนนักบวชฮัวอวิ๋นนั้นลงบันทึกไว้ว่าเจ้าอ้วนเต็มใจที่จะไปยังทะเลตะวันออกด้วยตนเอง ดังนั้นเมื่อเขากลับมา เขาจะกลายเป็นวีรบุรุษและจะได้รับตำแหน่งสำคัญภายในสำนัก


เทพธิดาเหมยฮวานั้นตอบกลับจดหมายมาเพียงสองคำเท่านั้นและไม่ได้ระบุเหตุผลที่ส่งเขาไป ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงมีเหตุผลที่แตกต่างกันอย่างช่วยไม่ได้


เมื่อเห็นว่าไม่อาจเอาชนะนักบวชฮัวอวิ๋นได้ พี่ใหญ่จินหันมาคำรามใส่เจ้าอ้วนแทน “เจ้าตัวบัดซบ เจ้าสังหารพี่น้องของข้าและข้าจะไม่มีวันให้อภัยเจ้า! เจ้ายอมรับความผิดในครั้งนี้หรือไม่?”


“ยอมรับบ้าอะไรกัน!” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาตะโกนออกมาบ้าง “เจ้าพวกหัวล้านทั้งสี่บุกเข้าบ้านของข้าและทำลายทรัพย์สินในบ้านข้า ยังให้ข้ายอมรับอะไรอีก? เจ้าไม่รู้งั้นหรือว่าอะไรที่ถูกเรียกว่าความอัปยศ?”


พี่ใหญ่จินหงุดหงิดทันทีพร้อมกับต้องการที่จะต่อสู้กับเจ้าอ้วน แต่คุณชายใหญ่ดึงเขาไว้พร้อมกล่าวออกมาอย่างเรียบง่าย “อย่าไปโกรธคนตายเลย! มันไม่คุ้มค่า!”


“ขอรับ!” พี่ใหญ่จินตอบกลับพร้อมกับอยู่ในความสงบอย่างรวดเร็ว


จากนั้นคุณชายใหญ่กล่าวออกมาอย่างสุขุม “ศิษย์พี่จ้าวสำนัก ไม่ว่าจะยังไงข้าก็ไม่อาจเชื่อได้ว่าซ่งจงต้องการไปที่นั่นด้วยความเต็มใจ ในความจริงแล้วเขากำลังถูกลงโทษ ท่านต้องยอมรับ!”


“ข้าเพียงแค่ไม่ยอมรับเท่านั้น!” นักบวชฮัวอวิ๋นตอบกลับ “เขาสังหารโจรที่บุกบ้านของตนเองเท่านั้น เขาทำผิดอะไรกัน?”


“ศิษย์ของข้าไม่ใช่โจร!” คุณชายรองได้ยินเช่นนั้น เขาโกรธทันที


“ฮ่าฮ่า เนื่องจากพวกเขาไม่ใช่โจร แล้วเหตุใดจึงบุกเข้าไปในบ้านของผู้อื่นโดยไร้เหตุผลล่ะ?” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาอย่างรังเกียจ “อย่าบอกนะว่าสำนักเสวียนเทียนไม่ได้สอนให้พวกเขาปฏิบัติตามกฏ?” เห็นได้ชัดว่านักบวชฮัวอวิ๋นกำลังถามคุณชายทั้งสองว่าได้สั่งสอนศิษย์ของตนหรือไม่


คุณชายทั้งสองหรี่ตาลงอย่างไม่ยอมแพ้ แต่ก็ไม่อาจกล่าวอะไรได้เนื่องจากเรื่องนี้คนของพวกเขาทำผิดอย่างแท้จริง


แต่อย่างน้อยนักบวชฮัวอวิ๋นก็ไม่ต้องการกระตุ้นพวกเขาทั้งสองมากเกินไป ดังนั้นเขาจึงหันไปคุยกับเจ้าอ้วน “อ้วนน้อยแม้ว่าทะเลตะวันออกจะเป็นสถานที่ที่แย่ แต่มันเต็มไปด้วยทิวทัศน์ที่สวยงามอีกทั้งยังมีผู้เชี่ยวชาญอาศัยอยู่มากมาย มันเหมาะสำหรับการฝึกตนอย่างยิ่ง นอกจากนี้ ฮี่ฮี่…” เมื่อเขากล่าวมาถึงตอนนี้ นักบวชฮัวอวิ๋นยิ้มกว้างทันที


เจ้าอ้วนรีบถามออกมาด้วยความอยากรู้ “นอกจากนี้อะไรหรือ?”


“นอกจากนี้ ทะเลตะวันออกยังไม่มีกฏ เนื่องจากเกิดความโหดร้ายทุกย่อมหญ้า กล่าวได้ว่าเจ้าสามารถจะทำอะไรก็ได้เท่าที่เจ้าต้องการ เหตุผลนี้จึงทำให้หลายคนต้องการจะไปยังที่แห่งนั้น!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย


“ข้ายังไม่เข้าใจ!” เจ้าอ้วนขมวดคิ้ว


“อา เจ้าจะเข้าใจเมื่อไปถึงที่นั่น ถ้าอย่างนั้นถ้าจะขอกล่าวอะไรสักอย่างในฐานะจ้าวสำนัก เจ้าไปจากสำนักเสวียนเทียนแล้วเจ้าสามารถลืมกฏทุกอย่างของสำนักได้ ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร เราจะไม่ไล่ตามเจ้า!” นักบวชฮัวอวิ๋นยิ้มกว้าง “และเจ้าต้องทำตามกฏของสำนักเมื่อเจ้ากลับมาแล้ว!”


“ว่าอะไร?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขางุนงงอย่างมากและไม่เข้าใจในสิ่งที่นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าว เขาขมวดคิ้วแน่นพร้อมกับถามว่า “ท่านจ้าวสำนัก ท่านหมายถึงอะไร?”


“ข้าพูดไปแล้ว และเจ้าจะรู้ได้เองเมื่อไปถึงที่นั่น!” นักบวชฮัวอวิ๋นหยิบจดหมายออกมาพร้อมกับยื่นให้เจ้าอ้วน “เมื่อเจ้าเข้าสู่ทะเลตะวันออก ค้นหาผู้ฝึกตนระดับจินตันนามว่าฮัว เขาเป็นลูกชายคนโตของข้าและรับผิดชอบเรื่องต่าง ๆ ของสำนักเสวียนเทียนที่ทะเลตะวันออก ข้าได้เขียนจดหมายนี้ถึงเขาแล้วและเจ้าอย่าลืมเอาให้เขาดู!”


“ขอรับ!” เจ้าอ้วนตอบกลับพร้อมรับจดหมาย


ในขณะนั้น มู่ซื่อหรงกล่าวออกมาทันที “ท่านปู่ข้าต้องการที่จะไปด้วย!”


“อย่าสร้างปัญหา!” นักบวชฮัวอวิ๋นร้องออกมา “ทะเลตะวันออกนั้นอันตรายมาก เจ้าต้องการจะไปที่นั่นทำไมกัน?”


“ข้าต้องการจะไป!” มู่ซื่อหรงอ้อนวอนนักบวชฮัวอวิ๋นพร้อมกับดึงแขนของเขาไว้ “ถ้าหากท่านไม่อนุญาตให้ข้าไป ข้าจะตายอยู่ตรงนี้!”


เมื่อนักบวชฮัวอวิ๋นเห็นเช่นนั้น เขาไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขามองไปที่เจ้าอ้วนพร้อมกับมองไปที่มู่ซื่อหรงสลับกัน พร้อมกับถอนหายใจออกมาและตอบกลับ “เอาล่ะ ถ้าหากเจ้ายืนยันเช่นนั้นก็จงตามเขาไป! แต่เจ้าอ้วน เจ้าต้องดูแลปกป้องหลานรักของข้าให้ดีที่สุด! ถ้าหากนางเป็นอันตรายแม้แต่ปลายผม ข้าจะถลกหนังเจ้า!”


“ท่านจ้าวสำนักโปรดวางใจ ศิษย์ผู้นี้จะปกป้องนางด้วยชีวิตและจะไม่ให้สิ่งใดมาทำอันตรายนางได้แม้แต่เส้นผม!” เจ้าอ้วนคำนับและตอบกลับอย่างเคร่งขรึม


“ยอดเยี่ยม!” นักบวชฮัวอวิ๋นพยักหน้าด้วยความพอใจ


ในขณะนั้นเจ้าอ้วนสังเกตได้ทันทีว่าสีหน้าของพี่ใหญ่จินนั้นผิดแปลกไป ราวกับเขารู้ว่าการกระทำของมู่ซื่อหรงนั้นแปลกประหลาด ทันในนั้นเจ้าอ้วนเข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อวานนี้มู่ซื่อหรงบอกเขาว่าต้องการสวมเขาให้กับเขา! นางเกลียดเจ้าอ้วนถึงจุดที่ยอมหลับนอนกับพี่ใหญ่จินเพื่อสร้างความอัปยศให้กับเจ้าอ้วน นั่นทำให้เขารู้สึกว่ามู่ซื่อหรงนั้นแปลกไปมากในวันนี้


หลังจากเข้าใจทุกอย่างแล้ว เขาสาปแช่งอยู่ภายในใจอย่างเงียบเชียบ ‘เจ้าหัวล้าน แกต้องการหลับนอนกับผู้หญิงของข้างั้นหรือ จงรอก่อนเถิด เมื่อข้ากลับมาแน่นอนว่าหัวใสเลี่ยนของเจ้าจะถูกข้าทุบตีจนเละเป็นแตงโมบด!’


แน่นอนว่าเจ้าอ้วนไม่กล้ากล่าวสิ่งที่อยู่ในใจออกไป นอกเหนือจากเรื่องของพี่ใหญ่จิน เจ้าอ้วนไม่กล้าพูดชื่อของฮัวเฉียนหวู่ออกไป แม้จะรู้ว่านางเป็นผู้อยู่เบื้องหลังทำให้ครอบครัวของเขาต้องจากไป ในตอนนี้เขาทำได้เพียงเก็บกดความโกรธไว้และรอโอกาสแก้แค้นเท่านั้น


ก่อนอื่นที่ทุกคนรู้ดีคือ ฮัวเฉียนหวู่นั้นเป็นลูกสาวคนเล็กของนักบวชฮัวอวิ๋นและอยู่ในระดับจินตัน ตอนนี้เจ้าอ้วนไม่สามารถที่จะเข้าใกล้นางได้ อีกทั้งถ้าหากต้องต่อสู้กันจริงๆ แน่นอนว่าฮัวอวิ๋นจะต้องเข้าข้างฮัวเฉียนหวู่อย่างแน่นอน ความจริงแล้วฮัวอวิ๋นอาจจะไม่ได้มีส่วนรู้เห็นเรื่องครอบครัวของเขาก็ได้ ดังนั้นเจ้าอ้วนต้องอดทนเงียบไว้และรอโอกาสเท่านั้น วันใดถ้าหากเขาสามารถต่อกรกับนักบวชฮัวอวิ๋นได้ แน่นอนว่าวันนั้นเขาจะได้ล้างแค้นให้กับครอบครัว


เมื่อเห็นทุกคนเริ่มมารวมตัวกันเพื่อส่งเจ้าอ้วนออกไป คุณชายใหญ่และคุณชายรองเดินออกไปทันที นักบวชฮัวอวิ๋นได้มอบของขวัญให้กับเจ้าอ้วนและมู่ซื่อหรงจากนั้นทั้งสองค่อยกลับออกมา


เจ้าอ้วนและมู่ซื่อหรงเดินทางมาถึงหอคอยลอยฟ้าและเริ่มเคลื่อนย้ายทันที ร่างกายของพวกเขาถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีขาวซึ่งมันจะส่งทั้งคู่ไปยังทะเลตะวันออก


เมื่อเจ้าอ้วนและมู่ซื่อหรงออกจากแสงสีขาวมาได้ พวกเขาอยู่ในห้องหนึ่ง มันเป็นห้องทึบมีหลังคาหนาแน่น ราวกับเป็นคุกจองจำพวกเขาไว้ และมีผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมินับสิบคนกำลังจ้องมองเขาอยู่พร้อมด้วยผู้ฝึกตนระดับจินตันในฐานะผู้นำกลุ่ม


ก่อนที่เจ้าอ้วนและมู่ซื่อหรงจะได้สติ หนึ่งในผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิกล่าวออกมา “บอกชื่อของเจ้ามาซะ ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าพวกข้าไร้ความเมตตา!”


“ซ่งจง!”


“มู่ซื่อหรง!” เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกองทัพขนาดใหญ่เช่นนี้ ทั้งสองไม่กล้าที่จะกล่าวสิ่งใดไปมากกว่าชื่อของตนเอง


ทุกคนผ่อนคลายเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อ แต่พวกเขาไม่ได้ปล่อยตัวออกไปและเริ่มสอบสวนต่อ “พวกเจ้ามาจากที่ใด?”


“สำนักเสวียนเทียน!” เจ้าอ้วนตอบกลับอย่างรวดเร็ว “พวกเรามีเครื่องราง!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น ทั้งคู่หยิบยันต์หยกของตนเองที่นักบวชฮัวอวิ๋นมอบให้เมื่อครู่ให้ทั้งหมดดู


“โยนมันทิ้ง!” ผู้ฝึกตนตะโกนออกมา “ระวัง!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น มันเกิดรอยแตกขึ้นเล็กน้อยและทุกคนก็ผ่อนคลายลง


เจ้าอ้วนและมู่ซื่อหรงไม่กล้าที่จะต่อกรกับพวกเขา จึงโยนแผ่นหยกนั้นผ่านรอยแตกอย่างรวดเร็ว หลังจากที่กองทัพนั้นเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติ พวกเขาใช้สัมผัสวิญญาณเพื่อตรวจสอบร่างกายของทั้งสองทันที ในที่สุดทั้งหมดก็รู้ได้ว่าทั้งคู่ไม่ใช่อสูรกายอำพรางตัวมา พวกเขาจึงมอบแผ่นหยกคืนให้กับมู่ซื่อหรงและเจ้าอ้วนพร้อมกับนำพาทั้งคู่ออกไปจากห้องมืด


ตลอดทาง เจ้าอ้วนรู้สึกว่าเขาอยู่ภายในถ้ำที่ลึกมาก เห็นได้ชัดว่าสถานที่แห่งนี้มีการป้องกันที่แน่นหนามาก ดังนั้นเขาจึงถามออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ศิษย์พี่ ทำไมการป้องกันของที่แห่งนี้มันแปลกประหลาดเช่นนี้? ทำไมพวกท่านจึงทำตัวเหมือนเพิ่งถูกโจมตีมา?”


เมื่อพวกเขาได้ยิน จึงทำการตอบกลับทันทีด้วยรอยยิ้ม “เจ้ามาที่นี่ครั้งแรกใช่หรือไม่?”


“ใช่แล้ว!” เจ้าอ้วนพยักหน้า


“ฮ่าฮ่า งั้นก็ไม่แปลกถ้าหากเจ้าไม่รู้! สถานที่แห่งนี้ไม่ปลอดภัย ไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมามีอสูรกายปลอมตัวเป็นมนุษย์ ลักลอบเข้ามาที่นี่โดยใช้ประตูเคลื่อนย้าย ศิษย์ของเราไม่ได้ตรวจสอบและปล่อยให้พวกมันเข้ามา ในตอนจบเกิดความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่จากการต่อสู้ในคราวนั้น นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ประตูเคลื่อนย้ายจึงต้องวางการคุ้มกันไว้อย่างหนาแน่น แม้แต่แมลงวันก็ไม่สามารถเข้ามาได้ถ้าหากไม่ผ่านการตรวจสอบ!” หนึ่งในนั้นอธิบาย


หลังจากที่เจ้าอ้วนได้ยิน เขาตอบกลับด้วยความตกใจ “งั้นที่นี่ก็ไม่ใช่ที่ตั้งของสำนักงานใหญ่แห่งทะเลตะวันออกงั้นหรือ? แล้วก่อนหน้านี้เราถูกซุ่มโจมตีด้วย?”


“แน่นอนว่าที่นี่อยู่ในทะเลตะวันออก และมันไม่มีที่ไหนปลอดภัย เจ้าจะเข้าใจเองในอนาคต!” หนึ่งในนั้นตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ ทางออกอยู่ตรงนั้น พวกเจ้าไปได้แล้ว!”


เจ้าอ้วนเดินมาถึงทางออกโดยไม่รู้ตัว มันเป็นประตูเหล็กดำขนาดใหญ่ อีกทั้งมีผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมินับสิบคอยป้องกันอยู่ หลังจากได้เห็นพวกเขาแล้ว ทั้งสองถูกตรวจสอบอีกครั้งพร้อมกับถูกปล่อยตัวออกมา


หลังจากเดินออกจากถ้ำมืด ทั้งสองได้พบกับแสงแดดอันอบอุ่น เจ้าอ้วนและมู่ซื่อหรงรู้สึกสดชื่นอย่างมาก มีเสียงคลื่นทะเลเบา ๆ อยู่ใกล้ ๆ ด้วย เมื่อมองไปรอบ ๆ พวกเขาตระหนักได้ทันทีว่าตนเองยืนอยู่บนจุดสูงสุดของภูเขาขนาดใหญ่ ซึ่งเมื่อมองตรงไปไกลสุดตาจะพบกับเทือกเขาที่พวกเขาจากมา ซึ่งเป็นทิวทัศน์ที่สวยงามอย่างยิ่ง


ด้านบนของภูเขาลูกนี้มีผู้ฝึกตนกำลังเดินทางไปมาด้วยดาบบินมากมายจนนับไม่ถ้วน สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยผู้คน บางคนกำลังพูดคุย บางคนกำลังซื้อยาหรือซื้อผิวหนังของอสูรกาย นอกจากนี้ยังมีคนที่เดินไปรอบ เพื่อสำรวจตลาด


เจ้าอ้วนมองไปรอบด้านอย่างตื่นเต้น และรู้ได้ว่าผู้คนที่มาทำการขายของอยู่ในสถานที่แห่งนี้นั้นอยู่ในระดับเซียนเทียนเท่านั้น มีผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิเพียงไม่กี่ร้อยคนและผู้ฝึกตนระดับจินตันเพียงสามคน ทุกคนอยู่รวมกันทั้งผู้ฝึกตนชอบธรรมและผู้ฝึกตนปีศาจ ทั้งหมดดูเป็นคนหยาบกร้านและโหดร้าย แม้แต่ผู้ฝึกตนชอบธรรมก็ยังทำตัวโหดร้าย


บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยความชั่วร้าย ผู้คนหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ในสายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยจิตสังหาร ผู้ฝึกตนที่เป็นบุรุษกำลังกอดรัดหญิงสาวอย่างทารุน ไม่ว่าจะมาจากฝ่ายใด ทุกคนล้วนแต่แสดงอารมณ์เบื้องลึกของตนเองออกมาอย่างชัดเจน ในตอนนี้เจ้าอ้วนมองเห็นสตรีที่มาจากหอเฉวียนจี้กำลังถูกบุรุษจากสำนักพันปีศาจย่ำยี ปล่อยให้พวกเขาสัมผัสนางได้อย่างเต็มที่ ไม่เพียงแต่นางไม่อาย แต่กลับหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข แน่นอนว่าภาพเหล่านี้ประหลาดมากสำหรับเจ้าอ้วน จึงไม่แปลกที่เขาจะตกอยู่ในภวังค์


จากนั้นมีบางสิ่งทำให้เจ้าอ้วนตะลึงมากยิ่งขึ้น ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิขั้นสุดท้ายเหมือนจะถูกใจกับร่างกายของมู่ซื่อหรง จากนั้นเขาเดินมาหานางอย่างเปิดเผยพร้อมกับมีสตรีจากหอเฉวียนจี้อยู่ในอ้อมแขนอีกด้วย พร้อมกันนั้นเขากล่าวขึ้นมาและเผยรอยยิ้มปีศาจ “น้องชายตัวอ้วน สตรีของเจ้านั้นงดงามมาก ทำไมเราไม่ลองแลกเปลี่ยนกันสักสองสามวันล่ะ?”

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม