Chaotic Lightning Cultivation โกลาหลแห่งอัสนีบาต 196-200.2

 บทที่ 196: สายฟ้าที่น่าเกรงขาม


แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะเพิ่งผ่านพ้นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่มาเมื่อคืน แต่เจ้าอ้วนกลับทนไม่ไหวที่จะต้องอยู่ในบรรยากาศพาตื่นตัวเช่นนี้ เขาจึงเริ่มทำการต่อสู้อีกครั้งยาวนานกว่าสองชั่วโมง ทั้งสามคนหยุดกิจกรรมทั้งหมดลงในเวลาใกล้รุ่งสาง


แม้จะมีการต่อสู้ที่ดุเดือดในช่วงกลางคืน แต่เจ้าอ้วนยังเต็มไปด้วยพลัง เขาไม่มีอาการเหนื่อยล้าใดทั้งสิ้น แต่หานหลิงเฟิงยังคงกังวลอยากให้เขาพักผ่อนก่อนสักหนึ่งวัน เลื่อนการต่อสู้ออกไปในวันพรุ่งนี้แทน อย่างไรก็ตามเจ้าอ้วนปฏิเสธความคิดนี้โดยไม่กล่าวอะไรต่อและไม่แยแสต่อคำพูดของนางอย่างสิ้นเชิง


หลังจากที่อาบน้ำเสร็จแล้ว เจ้าอ้วนรับประทานอาหารเช้าและไปยังลานฝึกฝนกับหานหลิงเฟิงและมู่ซื่อหรง


เมื่อทั้งสามคนมาถึง สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยผู้คนเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็นสองฝ่าย แน่นอนว่าฝ่ายหนึ่งเป็นคนของนักบวชฮัวอวิ๋นและอีกฝ่ายหนึ่งเป็นของคุณชายใหญ่และคุณชายรอง


เมื่อมองเห็นว่าเจ้าอ้วนมาแล้ว ใบหน้าของทุกคนซีดขาวและตกใจกับภาพตรงหน้าอย่างมาก


ในอดีตเจ้าอ้วนเป็นเพียงหมาป่าเดียวดาย แต่ในวันนี้เขามีหญิงสาวที่งดงามอยู่ข้างกายถึงสองคน สิ่งที่น่าประหลาดใจที่สุดก็คือมู่ซื่อหรงผู้เย่อหยิ่งยืนอยู่ด้านหลังอย่างเชื่อฟัง ด้วยท่าทางที่สงบเสงี่ยม นางดูราวกับเป็นลูกแกะที่อยู่ในเงื้อมมือของหมาป่า


แม้ว่าเรื่องที่หานหลิงเฟิงติดตามเจ้าอ้วนจะเป็นเรื่องที่น่าตกใจ แต่ก็ไม่ได้น่าประหลาดใจมากนัก แต่มู่ซื่อหรงนั้นแตกต่างออกไป นางเป็นหญิงสาวที่ดุร้ายราวกับพยัคฆ์อีกทั้งยังคอยสาปแช่งเจ้าอ้วนอยู่เสมอ เหตุใดนางจึงสงบลงอย่างง่ายดายเช่นนี้? มันเกิดอะไรขึ้น?


ทุกคนที่มองเห็นภาพเหล่านี้ ต่างซุบซิบกันอย่างไม่อาจอดกลั้น มีเพียงนักบวชฮัวอวิ๋นเท่านั้นที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และคิดว่าในที่สุดมู่ซื่อหรงก็เข้าใจว่าจะต้องทำตัวอย่างไร ไม่แปลกที่นางจะเชื่อฟังเจ้าอ้วน เขาอดไม่ได้ที่จะลูบเคราอย่างมีความสุข


เมื่อทั้งสามคนแสดงความเคารพ นักบวชฮัวอวิ๋นที่สนับสนุนเจ้าอ้วนพูดจาออกมาอย่างอารมณ์ดี “ฮ่าฮ่า ยอดเยี่ยมมากเด็กน้อย เจ้าสามารถเกลี้ยกล่อมหลานสาวของข้าที่ดุร้ายราวกับพยัคฆ์ให้สงบลงได้ ยอดเยี่ยมยิ่งนัก!”


“เหอะ เหอะ” นอกจากเสียงหัวเราะอันขื่นขมแล้วเจ้าอ้วนจะสามารถกล่าววาจาอะไรออกไปได้อีก?


ในขณะนั้น ฉุ่ยจิ้งเดินออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ศิษย์พี่ ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าท่านจะเป็นบุรุษมากรักเช่นนี้ ท่านช่างมีโชคในเรื่องของสตรีจริง ๆ!”


แม้ว่านางจะเผยรอยยิ้มที่สดใสมากเพียงใด เจ้าอ้วนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความเย็นชาที่ส่งมาถึงหัวใจของเขา ในขณะนั้นเขารีบคิดอธิบายทันที “ไม่ใช่เช่นนั้น ศิษย์น้องเข้าใจข้าผิด ที่จริงแล้วข้า…”


“มันไม่สำคัญว่าท่านจะเป็นคนเช่นไร!” ฉุ่ยจิ้งไม่เปิดโอกาสให้เขาอธิบายสิ่งใดพร้อมกับเดินออกไปทันที


“รอก่อน!” ไม่ว่าเขาจะโง่แค่ไหน แต่เขารับรู้ได้ทันทีว่าฉุ่ยจิ้งกำลังโกรธหรืออาจจะกำลังหึงหวง แต่เขาไม่ต้องการให้นางเข้าใจผิดเช่นนี้ เขาพุ่งไปด้านหน้าเพื่อจะอธิบายให้นางฟังถึงสถานการณ์ที่กำลังเป็นไป


ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ มู่ซื่อหรงพุ่งเข้ามาด้านข้างพร้อมจับแขนเจ้าอ้วนไว้พร้อมกล่าวออกมาด้วยใบหน้าที่เศร้าโศก “พี่ชายอ้วนอย่าทิ้งข้าไปได้หรือไม่?”


ในขณะนั้นมู่ซื่อหรงแสดงสายตาที่เสียใจราวกับสามีของนางจะทิ้งนางไปจริง ๆ ในขณะนั้นสายตาทุกคนที่จับจ้องมายังเจ้าอ้วนได้แสดงใบหน้าของความโกรธราวกับสิ่งที่เขากำลังจะทำมันเป็นความผิดใหญ่หลวง


โดยเฉพาะนักบวชฮวิ๋นที่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่หยั่งลึกในอารมณ์ “เจ้าอ้วนอย่าได้คิดรังแกหลานสาวของข้า!”


แม้ว่าเจ้าอ้วนจะมีสามารถจัดการกับมู่ซื่อหรงได้ แต่เขาก็ยังเกรงกลัวต่อความเกรี้ยวกราดของนักบวชฮัวอวิ๋นอยู่ดี แล้วใครกันที่ขอร้องให้เขาปราบปรามนางจนอยู่หมัดในช่วงคืนวานที่ผ่านมา? เช้าวันนี้มู่ซื่อหรงแทบจะไม่สามารถลงจากเตียงได้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ มันไม่ดีนักที่จะกดดันเจ้าอ้วนด้วยการกระทำนี้ เจ้าอ้วนรู้สึกหมดสิ้นหนทางเขาจึงได้แต่หัวเราะออกมาอย่างขื่นขม “ข้าข่มเหงอันใดนางงั้นหรือ? เห็นกันอยู่ชัดเจนว่านางต่างหากที่ข่มเหงข้า!”


“เหอะ เจ้ายังคงทำตัวประหนึ่งเทวดาทั้งที่รับผลประโยชน์ทุกอย่างไว้แต่เพียงผู้เดียวงั้นหรือ?” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาอย่างโกรธจัด


แม้ว่าเขาจะรู้สึกคับข้องใจ เจ้าอ้วนไม่ได้อธิบายสิ่งใดต่อ ทำได้เพียงแต่พ่นลมหายใจออกมาเท่านั้น


มู่ซื่อหรงเริ่มกล่าวขอร้องแทนเจ้าอ้วนทันที “ท่านปู่ไม่ต้องกล่าวสิ่งใดแล้ว ทั้งหมดเป็นความผิดข้าเอง! มันเป็นเพราะข้าไม่เชื่อฟังและคิดแค้นในอดีต แต่จงมั่นใจได้ว่าข้าจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างแน่นอน ข้าสัญญา!”


“ดู จงดู! ดูเสียว่าหลานสาวของข้าเป็นเช่นไร!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาอย่างร่าเริง “ข้าจะบอกอะไรเจ้าอย่างหนึ่ง การอบรมเลี้ยงดูของตระกูลฮัวนั้นทำได้อย่างดีเยี่ยมเสมอมา!”


“ขอรับ!” เจ้าอ้วนตอบกลับพร้อมกับความขื่นขมภายในจิตใจ ‘ดีกับผีน่ะสิ ข้าสงสัยว่าจะมีใครเหมาะสมที่จะอยู่ในตำแหน่งแม่มดที่ชั่วร้ายมากกว่ามู่ซื่อหรง? ถ้าหากไม่ใช่เจ้าที่ตามใจนางเช่นนี้ นางคงไม่ทำตัวแบบนั้น! แล้วในตอนนี้นางกำลังทำตัวน่ารำคาญเสียด้วย!’


แน่นอนว่าเจ้าอ้วนได้แค่คิดในใจไม่กล้าแม้แต่จะกล่าวสิ่งใดออกไป เมื่อเห็นเจ้าอ้วนเลิกต่อปากต่อคำ นักบวชฮัวอวิ๋นพยักหน้าอย่างพอใจพร้อมกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “เอาล่ะ เรื่องภายในครอบครัวเราค่อยคุยกันในวันหลัง คุณชายใหญ่และคุณชายรองพร้อมแล้วที่นี่ การต่อสู้นี้ควรจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการเสียที เจ้าจงจำไว้ว่าข้าต้องการให้พี่ใหญ่จินตาย!” นักบวชฮัวอวิ๋นกระซิบกับเจ้าอ้วนผ่านสัมผัสวิญญาณด้วยใบหน้าที่เหี้ยมโหด


แท้จริงแล้วเรื่องนี้ไม่ประหลาดเลยที่เขาจะเกลียดพี่ใหญ่จินเข้าไส้ ก่อนที่เจ้าอ้วนจะปรากฏตัวออกมา เหล่าสี่พี่น้องสร้างปัญหามากมายให้กับคนของฝ่ายนักบวชฮัวอวิ๋น ศิษย์นับสิบคนที่มีความสามารถต่างได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการกระทำของพวกเขา และการฝึกฝนของพวกเขาจะล่าช้าไปเพราะการถูกทำร้ายในครั้งนี้ แม้ว่าจะเป็นการต่อสู้อย่างยุติธรรม แต่สถานการณ์ดังกล่าวก็ไม่อาจถูกยับยั้งได้ ไม่เพียงแต่นักบวชฮัวอวิ๋นที่กังวลใจเพราะนั่นหมายถึงชื่อเสียงของเขาถูกทำลายไปด้วย แต่ด้วยสถานะของเขาเป็นถึงอาวุโสจึงทำได้เพียงยืนมองและไม่สามารถเข้าไปข้องเกี่ยวได้ ในตอนนี้เขามีไพ่ตายนั่นก็คือเจ้าอ้วน แน่นอนว่าเขาจะใช้ประโยชน์จากมันอย่างเต็มที่


เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าอ้วนพยักหน้าพร้อมกับเดินเข้าสู่กลางลานฝึก


สนามนี้ถูกสร้างขึ้นอย่างพิเศษเพื่อให้เหมาะกับการต่อสู้ ที่จริงแล้วมันไม่จำเป็นมากนักเพราะสุดท้ายผู้ฝึกตนมักจะขึ้นไปต่อสู้กันบนท้องฟ้าเสียมากกว่า ดังนั้นสนามแห่งนี้จึงกว้างใหญ่เพียงพันฟุตเท่านั้น


ในขณะนี้พี่ใหญ่จินได้ยืนรอเจ้าอ้วนอยู่กลางสนามฝึกแล้ว


เจ้าอ้วนไม่คิดจะกล่าวอะไรที่ไม่จำเป็นและหยุดอยู่ในอากาศห่างจากพี่ใหญ่จินเพียงไม่กี่ฟุต เขามองลงมาที่พี่ใหญ่จินพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มกว้าง “ฮ่าฮ่า ข้ารอคอยวันที่จะได้เก็บกวาดพี่ใหญ่จินมานานแสนนาน!”


“ข้าก็เฝ้ารอให้ใครบางคนตายตกไปมาอย่างยาวนานแล้วเช่นกัน!” จินกล่าวออกมาพร้อมกับหัวเราะอย่างเย็นชา


“ฮ่าฮ่า นับว่ามีความกล้าหาญ!” เจ้าอ้วนหัวเราะพร้อมกล่าวว่า “ข้าหวังว่าท่านจะมีความสามารถที่จะลุกมาโอ้อวดได้ในภายหลัง!”


ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาหันไปมองคุณชายใหญ่และคุณชายรองพร้อมถามว่า “การต่อสู้นี้เริ่มได้หรือยัง?”


“แน่นอน!” คุณชายรองตอบกลับอย่างสงบ “ข้าขอประกาศเริ่มการต่อสู้ได้!”


หลังจากที่คุณชายรองกล่าวจบ จินคำรามออกมาและเริ่มทุบตีร่างกายของตนเองเพื่อเปลี่ยนแปลงมันให้กลายเป็นทองคำ “จ้าวสวรรค์นิรันดร์! จงออกมา!”


ในขณะที่ทุกคนได้เห็นภาพนั้น ทั้งหมดแปลกใจทันทีเพราะไม่มีใครรู้ถึงต้นกำเนิดของมัน มีเพียงนักบวชฮัวอวิ๋นเท่านั้นที่ตะโกนออกมาเมื่อเขาเห็นมัน “หุ่นศักดิ์สิทธิ์? คุณชายใหญ่เจ้าคิดจะใช้สิ่งนี้ในการต่อสู้ที่ยุติธรรมงั้นหรือ?”


เมื่อทุกคนโดยรอบได้ยิน แน่นอนว่าทั้งหมดอยู่ในอาการตกใจทันที หุ่นศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นอุปกรณ์ที่สามารถใช้ได้ครั้งเดียวและมันมีมูลค่ามหาศาล หลังจากที่ใช้มันจะเพิ่มพลังให้ผู้ที่ใช้มันอย่างมาก ซึ่งทำให้ผู้ใช้งานแตกต่างไปจากเดิมอย่างมากไม่ว่าจะเป็นด้านกายภาพหรือปราณจิตวิญญาณ


หุ่นศักดิ์สิทธิ์ที่พี่ใหญ่จินใช้งานในขณะนี้ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ผู้ฝึกตนเพาะกายใฝ่ฝันถึง มันอาจได้รับการปรับแต่งขึ้นมาโดยคุณชายใหญ่ ดังนั้นความแข็งแกร่งของเขาจะเพิ่มขึ้นสองถึงสามเท่า กล่าวได้ว่าเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับจินตันเลยก็ว่าได้ นอกจากนี้เขายังได้รับการฝึกฝนทักษะการต่อสู้มาจากคุณชายใหญ่ แน่นอนว่าการต่อสู้ของเขาจะคล้ายคลึงกับคุณชายใหญ่ เรียกได้ว่าเป็นการเพิ่มความแข็งแกร่งที่สมบูรณ์แบบ ในตอนนี้พี่ใหญ่จินสามารถต่อสู้กับผู้ฝึกตนระดับจินตันได้อย่างไม่เคอะเขิน


แต่ภายใต้สถานการณ์ปกติ การฝึกซ้อมภายในสำนักเรียกได้ว่าเป็นการต่อสู้ที่ยุติธรรม การใช้สิ่งของเช่นนี้ทำให้ดูเกินเหตุไป ดังนั้นนักบวชฮัวอวิ๋นจึงกล่าวทักท้วงอย่างไม่อาจอดกลั้น


แต่คุณชายใหญ่ตอบกลับมาอย่างสงบนิ่ง “หืม ทำไมเขาจะใช้มันไม่ได้? มันก็แค่สมบัติไม่ใช่หรือ? คนของเจ้าก็สามารถใช้สมบัติได้เช่นกัน แล้วทำไมเราจะทำไม่ได้?”


“มันเหมือนกันงั้นหรือ?” นักบวชฮัวอวิ๋นตะโกนออกมาอย่างหมดความอดทน “เจ้ากำลังโกง เจ้าคนไร้ยางอาย!”


“หืม ข้าไม่คิดเช่นนั้น!” คุณชายใหญ่ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่ ท่านกำลังคิดมากเกินไป! ดูเสีย ซ่งจงยังไม่คัดค้านสิ่งใดเลย!”


จริงอย่างที่เขาว่า เมื่อนักบวชฮัวอวิ๋นมองออกไป เขาพบว่าเจ้าอ้วนไม่ได้สนใจมันเลยสักนิด ใบหน้าของเขาสงบนิ่งและกำลังรอให้พี่ใหญ่จินใช้งานหุ่นศักดิ์สิทธิ์อย่างเต็มที่


สำหรับนักบวชฮัวอวิ๋นที่เห็นเช่นนั้น เขาได้แต่พึมพำกับตนเองอย่างช่วยไม่ได้ “อาจจะเป็นไปได้ว่าเจ้าเด็กนั่นอาจจะกลัวจนไร้สติไปแล้วก็ได้ ในกรณีนี้มันมากเกินไปที่พวกเจ้าทั้งหมดจะทำเช่นนี้ ด้วยอำนาจทั้งหมดของข้า ข้าขอประกาศให้การต่อสู้ทั้งหมดจบลงเพียงเท่านี้!”


“อา ถ้าหากซ่งจงยอมรับที่จะไม่ต่อสู้กับพี่ใหญ่จินและยินยอมรับความพ่ายแพ้ เราจะหยุดการต่อสู้นี้ทันที!” คุณชายใหญ่กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม


นักบวชฮัวอวิ๋นไตร่ตรองอยู่ชั่วครู่และสุดท้ายเขาได้รับคำตอบว่าไม่ควรจะเสียซ่งจงไปเพียงเพราะเหตุผลเล็กน้อยเช่นนี้ เนื่องจากเขาได้สูญเสียศิษย์มือดีไปจนหมดสิ้นแล้ว และในตอนนี้เขาก็ได้รับกำไร จึงไม่จำเป็นที่จะต้องต่อสู้อีก ดังนั้นเขาจึงตะโกนออกไป “ซ่งจง!!!”


ในขณะที่เขาตะโกนเช่นนั้นออกไป เขาส่ายหัวทันทีพร้อมคิดในใจ ‘ทำไมเป็นชื่อที่น่าเกลียดเช่นนี้’ จากนั้นเขาดำเนินการต่อ “อ้วนน้อย พวกเขาไร้ยางอาย หยุดเล่นกับพวกเขาเถิด เพียงแค่เจ้ายอมรับความพ่ายแพ้ ข้าจะไม่ถือโทษเจ้าแต่อย่างใด!”


แท้จริงแล้วเจ้าอ้วนได้เตรียมพร้อมที่จะโจมตีแล้ว แต่เขายังรั้งตนเองไว้ ดังนั้นเขาจึงได้ยินบทสทนาของคุณชายใหญ่และนักบวชฮัวอวิ๋น เมื่อเห็นว่านักบวชฮัวอวิ๋นยอมที่จะใช้ใบหน้าของตนเองเพื่อปกป้องเขาไว้อย่างไร ภายในใจของเจ้าอ้วนเต็มไปด้วยความประทับใจ และเชื่อเต็มหัวใจว่าอาวุโสผู้นี้พร้อมจะยืนเคียงข้างเขาอย่างจริงจัง เขาไม่ได้กล่าวอะไรให้มากความเพียงแต่หัวเราะและพูดสั้น ๆ “ท่านอาจารย์ลุง แม้ว่าซ่งจงผู้นี้จะไม่มีพรสวรรค์ แต่ข้าไม่ใช่คนที่มีนิสัยขี้ขลาด! ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเข้าร่วมการต่อสู้นี้!”


“เจ้าอย่าเพิ่งใจร้อน!” เมื่อนักบวชฮัวอวิ๋นได้ยินเช่นนั้น เขารีบกล่าวทันที “หุ่นศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่สิ่งที่ควรจะไปแลกเปลี่ยนด้วย แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับจินตันยังไม่สามารถเอาชนะได้!”


“ฮ่าฮ่าฮ่า!” เจ้าอ้วนระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง “ผู้ฝึกตนระดับจินตันไม่เพียงพอให้ข้ารู้สึกเกรงกลัว!”


เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้น ทั้งหมดตกใจทันที ในตอนนี้พวกเขาคิดว่าเจ้าอ้วนกำลังโอ้อวดอยู่เท่านั้น แม้แต่นักบวชฮัวอวิ๋นยังไม่เชื่อว่าเขาจะมีความสามารถที่จะต่อสู้กับผู้ฝึกตนระดับจินตันได้


แต่ในตอนนี้เจ้าอ้วนไม่สนใจกับสิ่งรอบข้างอีกต่อไป เขาเพียงแต่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คนผู้โง่เขลา เจ้าพร้อมที่จะรับความตายหรือยัง?”


เมื่อพี่ใหญ่จินได้ยินเช่นนั้น เขาโกรธจัดพร้อมคำรามออกมาทันที “ไขมันบัดซบ เข้ามาเลยถ้าหากเจ้ายังคงเป็นบุรุษ! ดูกันว่าเจ้าจะสามารถทำให้บิดาผู้นี้ร่ำไห้ได้หรือไม่!”


“ฮ่าฮ่า ยอดเยี่ยม!” เจ้าอ้วนตอบกลับอย่างร่าเริง “ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ก็ขอให้เจ้ามีความสุขกับสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของข้า!”


เมื่อเขากล่าวจบ เจ้าอ้วนยกมือขึ้นทันที สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ทั้งห้าสีสันแตกต่างกันออกไปปรากฏขึ้นบนมือขวาของเขา ส่วนมือซ้ายนั้นเป็นสีเข้มกว่า ซึ่งแทบจะมองไม่เห็นเมื่ออยู่ในเวลากลางวัน แต่ส่วนที่อยู่ในมือขวานั้นผู้คนสามารถมองเห็นได้ชัดเพราะมันส่องสะท้อนกับแสงอาทิตย์


ช่วงเวลาที่สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้น มันหมุนไปรอบมือของเขาพร้อมกับค่อย ๆ หลอมรวมเข้าด้วยกัน เกิดเป็นบอลสายฟ้าสองลูกที่มีส่วนผสมของธาตุทั้งห้ารวมกัน จากนั้นเจ้าอ้วนกดทั้งสองฝ่ามือเข้าหากัน เขาผสมบอลทั้งสองให้รวมเป็นหนึ่งเดียว สร้างลูกบอลสายฟ้าขนาดใหญ่และมีสีสันที่หลากหลายอยู่ภายใน


ขณะที่ลูกบอลสายฟ้าถูกสร้างขึ้น เจ้าอ้วนคำรามออกมาพร้อมกับขว้างมันไปที่พี่ใหญ่จิน ลักษณะที่มันพุ่งไปราวกับดาวตก


ในเวลานั้นเจ้าอ้วนไม่ลืมที่จะตะโกนออกไป “อย่าลืมดูแลสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์หยินหยางแห่งธาตุทั้งห้าของข้าด้วย!”


เมื่อเห็นสายฟ้านับสิบกำลังพุ่งไปที่พี่ใหญ่จิน นักบวชฮัวอวิ๋น คุณชายใหญ่ และคุณชายรองไม่สามารถเก็บความประหลาดใจนี้เอาไว้ได้


นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาด้วยใบหน้าที่ตกใจสุดขีด “สวรรค์ นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?”


“บัดซบ!” คุณชายใหญ่และคุณชายรองไม่สามารถกล่าวสิ่งใดออกมาได้อีก พวกเขาได้แต่สาปแช่งในใจพร้อมพุ่งทะยานไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว


ซึ่งต่อจากนี้ทุกคนที่อยู่โดยรอบมองเห็นว่าสายฟ้าพุ่งเข้าชนร่างกายของพี่ใหญ่จิน มันสร้างการระเบิดขนาดใหญ่ พื้นดินทั้งหมดสั่นไหวราวกับโลกใบนี้จะพังทลายลง พืชทั้งหมดล้มตายทันทีในรัศมีพันฟุต ผู้ฝึกตนที่อยู่โดยรอบไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือเขาได้ ทั้งหมดทำได้เพียงใช้แสงศักดิ์สิทธิ์เพื่อปกป้องตนเอง


เมื่อการระเบิดจบลง ทุกคนมองไปที่ศูนย์กลางของสนามฝึกฝนพร้อมกับค่อยสูดลมหายใจเข้าอย่างช้า ๆ สนามทั้งหมดได้หายไปแล้ว สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือปล่องขนาดใหญ่ลึกราวร้อยฟุต มีควันพวยพุ่งออกมาราวกับมีอุปกรณ์พ่นควันอยู่ภายในนั้น เมื่อเห็นฉากตรงหน้าทุกคนต่างอดไม่ได้ที่จะคิดกับตนเองว่า ‘นี่เจ้าอ้วนมันเป็นผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิหรือจินตันกันแน่? มันไม่ร้ายกาจเกินไปหน่อยหรือไร?’


บทที่ 197: เอาแต่ใจ


นอกจากพวกเขาจะแปลกใจแล้ว ก็ยังไม่อาจกล่าวคำใดออกมาได้อีก ความแข็งแกร่งของเจ้าอ้วนนั้นมากเกินกว่าที่จะเข้าใจได้ การสร้างหลุมใหญ่ขนาดนี้เทียบเท่ากับการโจมตีสุดกำลังของผู้ฝึกตนระดับจินตันขั้นกลางหรือขั้นสุดท้าย แน่นอนว่าผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมินั้นไม่อาจรอดชีวิตได้ แม้ว่าพี่ใหญ่จินจะใช้งานหุ่นศักดิ์สิทธิ์และมีพลังเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับจินตัน โอกาสรอดของเขาก็มีไม่มากนัก


ในขณะนี้เจ้าอ้วนอยู่ในระดับปฐมภูมิขั้นต้นเท่านั้น สำหรับผู้ที่อยู่ในระดับต่ำสุดแต่กลับสร้างการโจมตีที่รุนแรงเช่นนี้ได้ แล้วจะไม่ให้ผู้คนรอบข้างรู้สึกตื่นกลัวได้อย่างไร?


แต่เมื่อเทียบกับคนอื่นแล้ว เจ้าอ้วนเองก็กลุ้มใจเช่นกัน เหตุผลนั้นง่ายมาก แม้ว่าพี่ใหญ่จินจะถูกโจมตีด้วยพลังที่รุนแรงแต่เขากลับไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสแต่อย่างใด เขามีเพียงแผลฟกช้ำและสามารถรอดพ้นจากการโจมตีเหล่านี้มาได้ ในความจริงเขาควรจะบาดเจ็บมากกว่านี้


แน่นอนว่าไม่ใช่เพียงพลังของพี่ใหญ่จินที่สามารถรอดพ้นจากการโจมตีนี้ได้ ในความจริงเขาไม่สามารถที่จะหลบหนีได้ด้วยตนเอง แต่เป็นเพราะคุณชายใหญ่และคุณชายรองสามารถช่วยเขาไว้ได้ในช่วงเวลาสุดท้าย ในขณะที่สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์หยินหยางแห่งธาตุทั้งห้ากำลังเริ่มระเบิด มันสามารถระเบิดหุ่นศักดิ์สิทธิ์ของพี่ใหญ่จินให้แหลกสลายได้ในพริบตา คุณชายใหญ่และคุณชายรองเข้าช่วยชีวิตเขาได้อย่างทันท่วงทีและได้ป้องกันเขาจากการถูกระเบิด


ด้วยสถานะของผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน แน่นอนว่าคุณชายใหญ่และคุณชายรองนั้นแข็งแกร่งเทียบเท่ากับนักบวชฮัวอวิ๋น การป้องกันเหล่านี้เกิดขึ้นได้ในชั่วพริบตา แต่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นว่าพวกเขาทั้งสองดำเนินการอย่างไร หลังจากที่ทั้งหมดเห็นทั้งสองปรากฏตัวขึ้นข้างพี่ใหญ่จิน ทุกคนจึงเข้าใจความจริงทั้งหมด


เมื่อเห็นหลุมขนาดใหญ่ จินคิดกับตนเองด้วยเหงื่อที่แตกซึมออกมาทั่วร่างกาย ‘ขอบคุณอาจารย์ที่เข้ามาช่วยข้าได้ทันเวลา ถ้าไม่เช่นนั้น วันนี้ข้าจะต้องตายตกไปในเงื้อมมือของไขมันบัดซบอย่างแน่นอน!’


ทั้งคุณชายใหญ่และคุณชายรองต่างถูกเติมเต็มไปด้วยความโกรธ คุณชายรองตะโกนออกมา “ไขมันบัดซบ เจ้าจะต้องชดใช้ที่ทำเช่นนี้ในการต่อสู้ที่ยุติธรรมของสำนัก!”


“แค่ก ๆ” เจ้าอ้วนไอออกมาสองครั้งและเริ่มอธิบาย “รายงานอาวุโส ไม่ใช่ว่าข้าจะทำตนเลวทราม มันเป็นเพียงการป้องกันตน ในเมื่อพี่ใหญ่จินนั้นแสดงสิ่งที่น่าเกรงกลัวออกมาก่อน ช่วงเวลาที่เขาใช้งานหุ่นศักดิ์สิทธิ์ ร่างกายของเขาส่องสว่างเรืองรอง ดูราวกับว่าเขาพร้อมจะทำลายทุกสิ่งอย่างที่ขวางทาง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งเช่นนั้น เป็นธรรมดาที่ศิษย์จะต้องปกป้องตนเอง ถูกต้องหรือไม่?”


“ถูกต้องบ้าอะไรกัน!” คุณชายรองตะโกนออกมา “เจ้าต้องการที่จะสังหารเขา!”


“ข้าไม่คิดเช่นนั้น ไม่คิดเลยจริง ๆ!” เจ้าอ้วนรีบปฏิเสธทันที “ข้าเพียงแต่ประเมินความแข็งแกร่งของพี่ใหญ่จินผิดไปเท่านั้น!”


กับคุณชายใหญ่และคุณชายรองเมื่อได้ยินเช่นนั้น ทั้งสองถูกความโกรธครอบงำทันที ในช่วงเวลาเช่นนี้เจ้าอ้วนยังมีอารมณ์ที่จะหยอกล้อศิษย์ของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้สำนึกผิดอันใดทั้งสิ้น


ดวงตาของคุณชายรองเต็มไปด้วยความโกรธ ในตอนนี้เขาต้องการที่จะสอนบทเรียนให้กับเจ้าอ้วนสักหน่อย ในขณะที่เขาเผยจิตสังหารออกมา นักบวชฮัวอวิ๋นพุ่งลงมายืนหยุดอยู่ตรงหน้าเจ้าอ้วนพร้อมหัวเราะเสียงดัง “ฮ่าฮ่า ศิษย์น้องต้องการจะทำอะไรงั้นหรือ?”


“ข้าต้องการจะสั่งสอนบทเรียนแห่งสวรรค์ให้กับเจ้าเด็กเหลือขอคนนี้!” คุณชายรองคำรามออกมา


“อะไรกัน?” เมื่อนักบวชฮัวอวิ๋นได้ยินเช่นนั้น เขาหัวเราะด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เจ้ากำลังจะบอกว่าต้องการรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่างั้นหรือ?”


“อะไรคือการข่มเหงศิษย์?” คุณชายรองโต้กลับ “เด็กเหลือขอนี้กำลังล่วงเกินข้า อย่าบอกนะว่าข้าไม่สามารถสั่งสอนบทเรียนให้กับมันได้?”


“ไร้สาระ!” นักบวชฮัวอวิ๋นตอบกลับด้วยท่าทางไม่แยแส “ข้าอยู่ที่นี่ตลอดเวลาและเด็กคนนี้ก็ไม่ได้ล่วงเกินอันใดเจ้าแม้แต่น้อย เขาทำให้เจ้าขุ่นเคืองตั้งแต่เมื่อใดกัน? เห็นได้ชัดเจนว่าเจ้าอับอายที่ศิษย์ของเจ้าเป็นเพียงขยะ และต้องการระบายความโกรธกับเด็กของข้า! นี่เจ้าแก่เกินกว่าที่จะรู้ได้หรือว่าความอัปยศคืออะไร?”


“เจ้า!” คุณชายรองได้ยินเช่นนั้น เขาโกรธจัดจนแทบจะตายตกอยู่ตรงนั้น ในตอนนี้เขาต้องการที่จะต่อสู้กับนักบวชฮัวอวิ๋นอีกด้วย


แต่คุณชายใหญ่ดึงเขากลับมายืนอยู่ด้านข้างพร้อมกล่าวออกมาอย่างเย็นชา “ศิษย์พี่จ้าวสำนัก เด็กเหลือขอที่ยืนอยู่ด้านหลังท่านต้องการที่จะสังหารเพื่อนร่วมสำนัก หลุมขนาดใหญ่ตรงนี้เป็นหลักฐานชั้นดี!”


“ฮ่าฮ่า สังหารเพื่อนร่วมสำนักงั้นหรือ? ช่างเป็นการใส่ร้ายที่ยิ่งใหญ่เกินไปสำหรับเขา!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาอย่างรังเกียจ “แต่ข้าคิดว่ามันเป็นเพียงการปกป้องตนเอง! ศิษย์ของเจ้าใช้หุ่นศักดิ์สิทธิ์ แล้วเขาจะต้องเผชิญกับความยุติธรรมนี้อย่างโศกเศร้างั้นหรือ? เหตุใดเราจึงไม่หาคนมาตัดสินกันล่ะ ผู้ฝึกตนประเภทเพาะกายใช้วิชาหุ่นศักดิ์สิทธิ์กับผู้ฝึกตนสายฟ้าที่ใช้เพียงสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น ฝ่ายใดกันที่ควรถูกกล่าวโทษ?”


“เรื่องนั้น…” เมื่อคุณชายใหญ่ได้ยินเช่นนั้น เขาหมดคำที่จะกล่าวทันที ในความจริงด้วยสถานะของผู้ฝึกตนสายฟ้ามันไม่ผิดที่เขาจะใช้สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ในการต่อสู้ แต่จินเป็นผู้ฝึกตนเพาะกายและใช้สิ่งที่ใช้ได้ครั้งเดียวคือหุ่นศักดิ์สิทธิ์ มันเป็นการเล่นผิดกติกาเล็กน้อย อาจกล่าวได้ว่าเป็นการรังแกคนที่อ่อนแอกว่า! ถ้าหากพวกเขาไปหาคนมาตัดสิน แน่นอนว่าจินจะต้องกลายเป็นฝ่ายผิด!


เมื่อเห็นว่าไม่อาจสู้ได้ในเรื่องนี้ คุณชายใหญ่รีบกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “ฮ่าฮ่า ศิษย์พี่จ้าวสำนักช่างมีวาจาที่เฉียบแหลมและทำให้ศิษย์น้องผู้นี้พ่ายแพ้เสียแล้ว แต่มีข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งที่ท่านต้องยอมรับ เจ้าไขมันสารเลวนั้นรู้ตัวอย่างแน่นอนว่าการโจมตีครั้งนี้สามารถเอาชีวิตของจินได้ แต่เขายังคงต้องการจะใช้มันในการต่อสู้ เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจฆ่า ข้ากล่าวถูกต้องหรือไม่?”


“เรื่องนั้น…” นักบวชฮัวอวิ๋นไม่รู้จะตอบกลับเช่นไร


เมื่อเห็นเช่นนั้น เจ้าอ้วนเข้าแทรกทันที “อาวุโส ท่านตัดสินสถานการณ์ผิดไป!”


“โอ้?” คุณชายใหญ่กล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น “เด็กเหลือขอ เจ้าต้องการจะกล่าวอะไร!”


“อาวุโส ศิษย์คิดว่าพี่ใหญ่จินผู้นี้แข็งแกร่งอยู่เหนือพวกพ้องของข้าทั้งหมด รวมกับที่เขาใช้งานหุ่นศักดิ์สิทธิ์ เขาจะต้องแข็งแกร่งอย่างมาก สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์คงไม่อาจทำอันตรายให้กับเขาได้ ดังนั้นข้าจึงโยนมันออกไป!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างงุ่มง่าม “แค่ก ๆ จากสิ่งที่ข้าเห็นแน่นอนว่าศิษย์ของท่านผิด ด้วยความที่พี่ใหญ่จินเป็นศิษย์ของท่าน และด้วยสถานะของท่าน มันก็ไม่ผิดที่ข้าจะประเมินเขาสูงกว่าปกติ ถูกต้องหรือไม่?”


“ถูกต้องแล้ว!” เมื่อนักบวชฮัวอวิ๋นได้ยินเช่นนั้น เขาตอบกลับพร้อมระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “เด็กคนนี้กล่าวถูกต้องแล้ว เพราะเขาเป็นศิษย์ของเจ้า แน่นอนว่าเขาจะต้องประเมินจินไว้สูงกว่าปกติอย่างแน่นอน! เจ้าก็คงไม่สามารถดูถูกศิษย์ตนเองได้ ถูกต้องหรือไม่? ถ้าหากเป็นเช่นนี้ เจ้าจะมีข้อกังขาอะไรอีก?”


“เจ้า!” คุณชายใหญ่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะติดกับดักของเจ้าอ้วน ในตอนนี้เขาไม่สามารถกล่าวอะไรได้อีก เพราะยิ่งพูดไปก็จะยิ่งเป็นการดูถูกศิษย์ตนเอง ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากเก็บกดความโกรธไว้ในใจ


เมื่อเห็นเช่นนี้ เจ้าอ้วนรู้ได้ทันทีว่าเขาเข้าใจแล้ว ดังนั้นเขาจึงแสร้งทำเป็นจริงจังเล็กน้อยพร้อมกล่าวว่า “อา ไม่ว่าจะอย่างไร ศิษย์ได้ทำผิดพลาดไปในครั้งนี้ ข้ายินดีที่จะขอโทษพี่ใหญ่จินและอาวุโสทั้งสอง! หวังว่าพวกท่านจะยกโทษให้กับข้า!”


ในขณะที่เจ้าอ้วนกล่าวออกไปเช่นนั้นแล้ว มันคงไม่ดีนักในสถานะของอาวุโส ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงขุ่นเคืองใจเท่านั้น


แต่ในขณะนั้นพวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเจ้าอ้วนที่แสร้งทำเป็นสุภาพเช่นนั้น และเห็นว่าอาวุโสทั้งสองไม่คิดเอาเรื่องอะไรต่อ เขารีบกล่าวออกมาทันที “อาวุโส วันนี้การต่อสู้ได้ถูกทำลายลงไปแล้วและข้ากับพี่ใหญ่จินยังไม่ได้ต่อสู้กันเลยในวันนี้! เกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าคิดว่าเราควรไปหาสถานที่อื่นเพื่อต่อสู้กันใหม่ในวันพรุ่งนี้ดีหรือไม่?”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น คุณชายใหญ่และคุณชายรองโกรธจัดพร้อมกับตะโกนอยู่ภายในใจ ‘บัดซบ เจ้ายังไม่ได้ต่อสู้งั้นหรือ? เจ้าคิดว่าหุ่นศักดิ์สิทธิ์มันงอกออกมาจากต้นไม้หรืออย่างไร?’


ในตอนนี้พวกเขาทั้งหมดเข้าใจได้ทันทีว่าเจ้าอ้วนจะไม่มีทางปล่อยให้จินไปโดยง่าย เพราะว่าเขาต้องการแก้แค้นให้กับฉิงเฟิงซี ถ้าหากเขาไม่ได้จัดการจิน แน่นอนว่าเขาคงไม่มีคืนวันที่ได้หลับอย่างสบายใจ


ถ้าหากเป็นคนอื่น คุณชายใหญ่และคุณชายรองจะไม่เข้าไปแทรกแซงเรื่องของศิษย์มากจนเกินไป แต่หลังจากเห็นการกระทำของเจ้าอ้วนในวันนี้ พวกเขาจะกล้ายินยอมให้ศิษย์ของตนเข้าไปทะเลาะกับคนเช่นนี้ได้อย่างไร? มันจะไม่ใช่การต่อสู้ที่ยุติธรรมอีกต่อไป เห็นได้ชัดว่าเจ้าอ้วนต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อสังหาร!


แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนหมู่มาก มันไม่ดีที่คุณชายใหญ่และคุณชายรองจะปฏิเสธเจ้าอ้วน ถ้าหากเป็นเช่นนั้นชื่อเสียงของทั้งสองจะต้องเสื่อมเสียอย่างแน่นอน ทั้งสองตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากอย่างสมบูรณ์ในตอนนี้


แต่โชคดีที่คุณชายใหญ่นั้นเฉียบแหลมและมีไหวพริบ เขาตอบกลับอย่างสงบ “ในตอนนี้พี่ใหญ่จินมาถึงสภาวะตีบตันแล้ว เขาจะต้องเข้าสู่การเก็บตัวฝึกฝนเพื่อเข้าสู่ระดับจินตัน ในวันนี้ข้าได้ยกเว้นให้เจ้าแล้วและจะไม่มีการละเว้นให้อีกครั้ง!”


“เป็นเช่นนั้น!” คุณชายรองรีบตอบกลับ “การเข้าสู่ระดับจินตันเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่สามารถรอได้อีก จิน! แล้วเจ้ารออะไรอยู่ เหตุใดจึงยังไม่รีบเข้าสู่การเก็บตัวฝึกฝนอีก?”


“ขอรับ!” ในขณะนั้นพี่ใหญ่จินไม่เหลือจิตใจที่จะต่อสู้กับเจ้าอ้วนอีกต่อไป เมื่อเขาได้ยินอาจารย์กล่าวเช่นนั้น เขารีบตอบรับพร้อมออกไปอย่างรวดเร็ว


ความจริงแล้วแม้วิธีการของคุณชายใหญ่และคุณชายรองจะฟังดูดี แต่ทุกคนอย่างรู้ได้ทันทีว่าพวกเขาเกรงกลัวเจ้าอ้วน


เจ้าอ้วนชัดเจนในจุดยืนของตนเอง แต่น่าเสียดายที่เขาไม่กล้าที่จะเถียงกับทั้งสองด้วยเพราะติดเรื่องสถานะของทั้งคู่ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงยืนมองจินเดินออกไป


แต่ถ้าหากเจ้าอ้วนไม่ได้แก้แค้น เขาจะไม่ปล่อยให้เรื่องนี้จบลงง่าย ๆ แม้ว่าพี่ใหญ่จินจะออกไปแล้ว แต่ยังเหลือพี่น้องทั้งสามอยู่ตรงนี้ สำหรับพี่น้องลำดับที่สองยินนั้นถูกทำให้กลายเป็นขันทีด้วยลูกเตะจากเจ้าอ้วนเรียบร้อยอยู่ก่อนแล้ว


ดังนั้นเขาจึงคิดจะหาทางออกให้กับเรื่องนี้ เขาออกมายืนด้านหน้าพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่ ข้าไม่สามารถต่อสู้กับพี่ชายของพวกท่านได้และรู้สึกเสียใจอย่างมาก วันนี้อากาศค่อนข้างดีและเป็นวันที่เหมาะสมกับการต่อสู้ เหตุใดเราจึงไม่ลองมาต่อสู้กันดูล่ะ?”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น เหล่าพี่น้องที่เหลืออยู่ตรงนั้นเหงื่อแตกทั่วร่างกายทันที พวกเขาไม่มีหุ่นศักดิ์สิทธิ์หรือแม้ว่าพวกเขาจะมี ก็ไม่อาจทำให้พวกเขากล้าที่จะยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าอ้วนที่ใช้สายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่พวกเขาไม่ต้องการที่จะปฏิเสธเจ้าอ้วนในสถานที่มีคนมากมายเช่นนี้ ทั้งหมดทำได้เพียงมองไปที่คุณชายใหญ่และคุณชายรองอย่างสิ้นหวัง


ทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นได้ยินเช่นนั้น ต่างส่งเสียงเชียร์ออกมาทันที “พี่เที่ย พี่เที่ย! สู้เลย!”


“อย่าขี้ขลาด! เจ้าไม่ได้แข็งแกร่งงั้นหรือ?”


“เจ้ากำลังอ้อนวอนสิ่งใดกับอาจารย์ของตนเอง? อย่าบอกนะว่าเจ้ายังต้องการดื่มนมจากเต้าในขณะที่เจ้าแก่งั่กเช่นนี้?”


บทที่ 198: คืนและวันแสนเร้าใจ


หลังจากที่ได้ยินเสียงตะโกนของทุกคน ใบหน้าของคุณชายรองเผยความโกรธจนเขียวคล้ำ แต่เขาไม่อาจต่อว่าศิษย์ทั้งหมดนี้ได้ ดังนั้นเขาจึงตะโกนออกไปว่า “พวกเจ้าจะเสียงดังกันทำไม? เงียบซะ!”


เหล่าคนที่ส่งเสียงเชียร์ทั้งหมดไม่กล้าที่จะต่อต้านผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินและรีบกลับสู่ความสงบทันที


คุณชายใหญ่กล่าวกับเจ้าอ้วนด้วยน้ำเสียงเย็นเฉียบ “ยอดเยี่ยมมาก ซ่งจง วันนี้เจ้าช่างดูน่าเกรงขามเสียจริง!”


“หามิได้ ข้าไม่สามารถนำตนเองไปเปรียบเทียบกับเหล่าสี่พี่น้องได้! พวกเขาสามารถกวาดทุกคนที่อยู่ในสำนักเสวียนเทียนได้ด้วยพลังของเขาเอง! แม้แต่อาจารย์ลุงของข้ายังบาดเจ็บสาหัสเพราะพวกเขา!” เจ้าอ้วนกล่าวเสริมอย่างดุเดือด “ศิษย์เพียงแค่ใช้วิธีการเดียวกับพวกเขาเท่านั้น!”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น คุณชายใหญ่และคุณชายรองหมดคำที่จะกล่าวทันที เหตุที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้เป็นเพราะซ่งจงต้องการแก้แค้นให้กับอาวุโสของตนและเขาไม่ได้ทำผิดกฏ ในตอนนี้ฝ่ายของคุณชายใหญ่เป็นผู้เริ่มต้นการเป็นปฏิปักษ์ก่อน เจ้าอ้วนนั้นมาจากตระกูลหงและไม่เกี่ยวข้องกับนักบวชฮัวอวิ๋นแม้แต่น้อย แต่ในความจริงอาจกล่าวได้ว่าพวกเขามีความขัดแย้งบางอย่าง แต่เนื่องจากการกระทำที่มากไป เหล่าสี่พี่น้องทุบตีทุกคนที่พบเจอ จึงทำให้เหล่าศิษย์ฝ่ายนักบวชฮัวอวิ๋นรวมตัวกันเพื่อสร้างปัญหาให้กับฝ่ายคุณชายใหญ่ กล่าวได้ว่าการที่ชื่อเสียงของทั้งสองต้องเสื่อมเสียไปในวันนี้เป็นเพียงของหวานเท่านั้น


เมื่อคิดเช่นนี้ ทั้งสองเริ่มรู้สึกเสียใจเพียงแต่ไม่ได้แสดงออกมาบนใบหน้า คุณชายใหญ่กล่าวกับเจ้าอ้วนด้วยน้ำเสียงที่ลึกล้ำ “แม้ว่าสิ่งที่เจ้ากล่าวออกมาจะถูกต้อง แต่เจ้าควรรู้ว่าเมื่อไหร่ควรที่จะต้องหยุด! ข้าจะให้โอกาสเจ้าหยุดในวันนี้ แต่ถ้าหากเจ้าต้องการที่จะมีปัญหากับข้าในอนาคต แน่นอนว่าเจ้าจะต้องดูแลตัวเองให้ดี!”


ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น คุณชายใหญ่และคุณชายรองไม่ให้โอกาสเจ้าอ้วนตอบสิ่งใดพร้อมกับพาศิษย์ของตนเองเดินออกไป


หลังจากที่คุณชายใหญ่และคุณชายรองจากไปแล้ว ฝูงชนเริ่มโห่ร้องให้กับชัยชนะของเจ้าอ้วนทันที หลังจากเหตุการณ์นี้จบลง เจ้าอ้วนกลายเป็นบุคคลที่ร้อนแรงที่สุดในสำนักเสวียนเทียนเสียแล้ว ความนิยมของเขาในตอนนี้มากเสียยิ่งกว่าครั้งที่ฉุ่ยจิ้งสั่งสอนบทเรียนให้กับพี่ใหญ่จินเสียอีก ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิต่างก็ยกย่องและให้เกียรติเขาอย่างมาก แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับจินตันยังยอมรับในความแข็งแกร่งของเขา เจ้าอ้วนไม่ใช่ศิษย์ระดับธรรมดาอีกต่อไปในเมื่อผู้ฝึกตนระดับจินตันปฏิบัติกับเขาราวกับเป็นบุคคลที่ระดับเทียบเท่ากัน


ในวันนี้นักบวชฮัวอวิ๋นได้จัดงานเลี้ยงอย่างยิ่งใหญ่เพื่อฉลองให้กับเหตุการณ์ทั้งหมด นอกจากนี้เขายังประกาศว่าจะให้เจ้าอ้วนหมั้นกับมู่ซื่อหรง ซึ่งกล่าวไว้ว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ได้วางแผนมาเนิ่นนานแล้ว แม้แต่สินสอดทองหมั้นก็ได้มอบให้เจ้าอ้วนทั้งหมดแล้วเรียบร้อย


ในขณะนั้น เจ้าอ้วนงุนงงอย่างถึงที่สุด เขาไม่รู้เรื่องสินสอดมาก่อนเลย ในตอนสุดท้ายนักบวชฮัวอวิ๋นเริ่มพูดกับเขา “ดาบแห่งธาตุทั้งห้าคือสินสอด อย่าบอกนะว่าเจ้าคิดว่าข้าจะแลกเปลี่ยนสิ่งของเช่นนั้นกับระฆังผุพังของเจ้า!”


ในขณะที่ทุกคนได้ยินเช่นนั้น พวกเขาเข้าใจทันทีพร้อมกับยกย่องนักบวชฮัวอวิ๋นที่มีปัญญาเฉียบแหลม แม้แต่เจ้าอ้วนยังอดไม่ได้ที่จะชื่นชมเขา เห็นได้ชัดว่าในเวลานั้นนักบวชฮัวอวิ๋นไม่มีแผนจะให้เจ้าอ้วนแต่งงานกับมู่ซื่อหรงแม้สักนิด และดาบแห่งธาตุทั้งห้าที่เขาสูญเสียมันไปเป็นเพราะความโลภของตัวนักบวชฮัวอวิ๋นเอง แต่นักบวชฮัวอวิ๋นสามารถพลิกสถานการณ์ที่จะทำให้ตนเองเสื่อมเสียชื่อเสียงมาเป็นเช่นนี้ได้ ดังนั้นเขาจึงใช้โอกาสอันดีในตอนนี้บอกว่ามันคือสินสอดอย่างรวดเร็ว ประการแรกนั้นเพื่อแสดงให้ผู้อื่นเห็นว่าเขามองเห็นว่าเจ้าอ้วนสำคัญอย่างมาก ประการที่สองคือจะแสดงให้รู้ว่าเขาไม่ได้ถูกหลอก


เจ้าอ้วนไม่กล้ากล่าวสิ่งใดนอกเหนือจากนี้และทำได้เพียงกัดฟันยอมรับมันไปแบบนั้น เมื่อเห็นว่าเจ้าอ้วนยอมรับแล้ว นักบวชฮัวอวิ๋นดึงเขาเข้ามาเพื่อดื่มด้วยกัน อาจกล่าวได้ว่างานเลี้ยงในคืนนี้เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยม ระยะเวลาล่วงเลยไปถึงเกือบรุ่งสางกว่าที่ทุกคนจะแยกย้ายกันไป


เจ้าอ้วนกลับมายังลานม่านหมอกพร้อมกับมู่ซื่อหรงและหานหลิงเฟิง แม้ว่าการแต่งงานของทั้งคู่ยังไม่ถูกจัดขึ้น แม้กระทั่งวันที่ยังไม่ถูกตัดสินใจ แต่เรื่องราวทั้งหมดก็เป็นไปอย่างเปิดเผย ด้านอาวุโสก็ได้ตกลงกันเสร็จสิ้นแล้ว ไม่มีใครพูดถึงการกระทำของมู่ซื่อหรงได้ในตอนนี้


แม้ว่าเจ้าอ้วนจะอึดอัดกับสถานะเหล่านี้ แต่เขาก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธหญิงงามที่พร้อมจะปรนนิบัติเขา


โดยเฉพาะลักษณะนิสัยของมู่ซื่อหรงเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง นับตั้งแต่ที่นางฝึกฝนวิชาเบญจสตรีศักดิ์สิทธิ์สังหาร นางรู้สึกว่านางตื่นตัวมากขึ้นเมื่อถูกกระตุ้นโดยเจ้าอ้วน ถ้าหากเขาอ่อนโยน นางจะไม่มีความสุข แต่กลับพึงพอใจเมื่อเจ้าอ้วนรุนแรงกับนาง


เจ้าอ้วนคิดอย่างรวดเร็วว่ามู่ซื่อหรงอยู่ในประเภทชื่นชอบความเจ็บปวด เนื่องจากเป็นเช่นนั้นเขาก็ไม่สามารถทำตนเป็นนักบุญได้เช่นกัน หลังจากที่กลับบ้านมาพร้อมกับความเมา เขาอดไม่ได้ที่จะมีอารมณ์หลังจากเห็นแผ่นหลังของมู่ซื่อหรงที่อยู่ตรงหน้า เขาไม่พูดอะไรสักคำ กระชากนางและกดร่างกายให้อยู่ภายใต้เอวของเขา


ตอนแรกมู่ซื่อหรงกรีดร้องออกมาเพราะตกใจ จากนั้นนางก็แสดงสีหน้าที่มีความสุขออกมา นางช่วยเจ้าอ้วนจัดการกับสายรัดเอวของเขาพร้อมกับเผยยิ้มยั่วยวนออกมา หลังจากนั้นมังกรของเจ้าอ้วนก็ถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอของนาง


เมื่อหานหลิงเฟิงเห็นฉากเช่นนั้นตรงหน้า นางเขินอายและไม่รู้จะทำอย่างไร ในช่วงเวลาที่นางกำลังมึนงงอยู่นั้น เจ้าอ้วนคว้าตัวของนางมาพร้อมกับฉีกท่อนบนของนางออกเผยให้เห็นผิวขาวที่ถูกปกปิดอยู่ด้านใน ขณะที่ใบหน้าเคลื่อนเข้าใกล้เนินเขาลูกนั้น พอสัมผัสที่ส่วนปลายยอด ปากนั้นก็ทำการดูดอย่างหิวกระหายและรุนแรง


หลังจากนั้น หานหลิงเฟิงสูญเสียการควบคุมร่างกายโดยสมบูรณ์ นางปล่อยให้เจ้าอ้วนจัดการกับร่างกายนางอย่างที่ใจเขาต้องการ ทั้งสามคนม้วนขึ้นไปอยู่บนเตียงและเข้าสู่โลกแห่งความบ้าคลั่งของพวกเขาอย่างรวดเร็ว


การต่อสู้ที่ดุเดือดนี้ยาวนานจนถึงเวลาเที่ยงวัน หลังจากที่พักผ่อนกันสักครู่หนึ่ง ความปรารถนาของเจ้าอ้วนถูกปลุกขึ้นอีกครั้งโดยมู่ซื่อหรงและดำเนินการไปจนถึงเวลาค่ำ


ในเช้าวันถัดมา เจ้าอ้วนนอนเปลือยกายอยู่บนเตียงของตนเอง โดยมีมู่ซื่อหรงที่ก้มอยู่ระหว่างขาของเขาเพื่อใช้ปากนวดเฟ้น สำหรับหานหลิงเฟิงนางเสิร์ฟอาหารเช้าพร้อมกับเปลือยกายให้เขาได้สัมผัสกับยอดอกของนาง


หานหลิงเฟิงไม่อาจอดทนต่อการหยอกล้อของเจ้าอ้วนได้และดุเขาเสียงเบาในขณะที่หายใจหอบ แต่เจ้าอ้วนกลับตอบนางด้วยอารมณ์หยอกล้อ “นี่เรียกว่านมรับอรุณ!”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น หานหลิงเฟิงกรอกตาไปมาด้วยความโกรธจนแทบจะตายอยู่ตรงนั้น


หลังจากที่เขาไปถึงสวรรค์ เขาถอนตัวเองออกมาจากมู่ซื่อหรงเพื่อไปชำระกาย จากนั้นเขากล่าวกับทั้งสองว่า “ข้าจะไปพบศิษย์น้องฉุ่ยจิ้ง พวกเจ้าจะไปทำอะไรก็ไปทำก่อนเถิด!”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น หานหลิงเฟิงที่อยู่ในสภาวะปกติจึงไม่ได้กล่าวอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่มู่ซื่อหรงกรอกตาไปมาพร้อมกับคว้าต้นขาของเขาไว้ จากนั้นนางคร่ำครวญออกมา “พี่ชายซ่ง อย่าบอกข้านะว่าท่านชอบยัยฉุ่ยจิ้ง?”


“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่?” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาด้วยความหงุดหงิด “อย่าบอกนะว่าข้าไม่ควรชอบนาง?”


“ย่อมไม่!” มู่ซื่อหรงรีบตอบกลับ “พี่ชายซ่งสามารถชอบนางได้ แต่…”


“แต่อะไรกัน?” เจ้าอ้วนขมวดคิ้วแน่น


“เพียงแต่เรื่องของเรื่องคือ ฉุ่ยจิ้งไม่อาจแต่งงานได้!” มู่ซื่อหรงรีบตอบอย่างรวดเร็ว


“แต่งงานไม่ได้? ทำไม?” เจ้าอ้วนยังคงมึนงง


“เพราะว่าวิชาเทวะจันทราวารีจะต้องฝึกฝนโดยหญิงสาวพรหมจรรย์เท่านั้น ถ้าหากถูกทำลายไป สิ่งที่ฝึกฝนมาจะสูญหายไปทั้งหมดและไม่สามารถฝึกฝนมันได้อีกต่อไป นางจะกลายเป็นผู้ฝึกตนประเภทวารีธรรมดาเท่านั้น!” มู่ซื่อหรงกล่าวพร้อมยักไหล่อย่างไม่สนใจ “ท่านน่าจะรู้ดีว่าหากนางไม่มีวิชาเทวะจันทราวารี ความแข็งแกร่งของนางก็ไม่อาจเทียบกับข้าได้!”


“มันเป็นปัญหางั้นหรือ?” เจ้าอ้วนขมวดคิ้ว จากนั้นเขากล่าวออกมาพร้อมกับหัวเราะ “แต่ก็ไม่เป็นไร ข้าเพียงต้องการคุยกับนางเท่านั้นและให้พวกเจ้าแก้ปัญหาทางด้านร่างกายให้กับข้าเมื่อข้าต้องการ อย่างนี้เป็นเช่นไร?” เมื่อเจ้าอ้วนกล่าวออกมาเช่นนั้น เขาจับหน้าอกของนางอีกครั้งพร้อมกับเริ่มจู่โจม


“อ๊ะ!” มู่ซื่อหรงส่งเสียงออกมาทันทีพร้อมกับกล่าวกับเขาด้วยลมหายใจติดขัด “สามารถทำเช่นนั้นได้ ข้าจะอยู่ที่นี่เสมอเมื่อท่านต้องการ!”


“เจ้าช่างโง่เขลาเสียจริง!” เจ้าอ้วนผลักนางออกอย่างช้า ๆ พร้อมกับสวมเสื้อคลุมและกล่าวว่า “รอข้าที่นี่ ข้าจะกลับมาดูแลเจ้าอีกครั้งในคืนนี้!”


“ตกลง!” มู่ซื่อหรงตอบกลับ “ข้าจะชำระล้างให้สะอาดแล้วรอให้ท่านมาย่ำยีข้าในคืนนี้!”


“ฮ่าฮ่า!” เจ้าอ้วนจูบนางเพื่อบอกลาและเดินออกไป


เมื่อเห็นว่าเจ้าอ้วนออกไปแล้ว มู่ซื่อหรงกล่าวกับหานหลิงเฟิงด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะไปชำระล้างร่างกายก่อนเพื่อที่จะมีค่ำคืนที่งดงามกับเขาอีกครั้ง เจ้าจะมาด้วยหรือไม่?”


“แน่นอน!” หานหลิงเฟิงตอบรับพร้อมถามกลับอย่างมึนงง “ศิษย์พี่มู่ เหตุใดท่านจึงทำตัวแปลกไป?”


“แปลก?” เมื่อมู่ซื่อหรงได้ยินเช่นนั้น นางตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม “ฮ่าฮ่า เจ้าช่างพูดเหลือเกิน เจ้ากำลังจะกล่าวว่าข้าทำตัวเป็นหญิงสาวชั่วช้าที่ยินยอมให้เจ้าไขมันบัดซบเหยียบย่ำอย่างเสียสติงั้นหรือ?


หานหลิงเฟิงตกใจและรีบอธิบายทันที “ศิษย์พี่มู่ ข้าไม่ได้กล่าวเช่นนั้น!”


“ข้ารู้แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้พูดออกมา!” มู่ซื่อหรงหัวเราะ “มันเป็นเพียงข้าที่มักมากในกามเท่านั้น! ข้าชอบความรู้สึกที่โดนพี่ชายซ่งย่ำยีและข้ายินยอมเพียงแค่เขาเท่านั้น ทุกครั้งที่เขากดขี่ร่างกายข้าอย่างรุนแรง ข้ารู้สึกตื่นเต้นอย่างมากและไม่สามารถควบคุมตนเองได้!”


ในขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น มือข้างหนึ่งของนางจับอกอูมของตนเอง ส่วนอีกข้างนั้นเอื้อมลงไปทักทายน้องสาวของตนเอง ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความสุข หานหลิงเฟิงที่ยืนอยู่ข้างนางรู้สึกสูญเสียการควบคุมและสรุปได้ว่ามู่ซื่อหรงได้เปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ จากนั้นนางจึงไม่กล่าวสิ่งใดต่อแต่เปลี่ยนหัวข้อสนทนาแทน “ก็ได้ ข้าเข้าใจแล้ว ไปชำระกายกันเถอะ!” ในขณะที่กล่าวเช่นนั้น นางรีบเดินออกไปทันที


เมื่อเห็นหานหลิงเฟิงเดินออกไปแล้ว มู่ซื่อหรงเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมาพร้อมกับคิดในใจ ‘แน่นอนว่าข้ายินดีที่จะถูกเหยียบย่ำโดยเจ้าไขมันบัดซบนั่น ถ้าไม่เช่นนั้นข้าจะดูดเขาให้แห้งได้อย่างไร? เพียงแค่รอก่อนเถิดเจ้าไขมันบัดซบ สักวันข้านี่แหละจะทำให้เจ้าต้องไปเกิดใหม่!’


บทที่ 199: ฉุ่ยจิ้งผู้เงียบงันและเศร้าโศก


ภายในสำนักเสวียนเทียนนั้นมีลานอยู่หลายแห่ง หนึ่งในนั้นมีสถานที่ซึ่งมีน้ำตกเล็ก ๆ อยู่และเต็มไปด้วยฝูงมัจฉาแหวกว่าย ลานแห่งนี้เป็นสถานที่ของฉุ่ยจิ้ง เรียกมันว่าจันทราคติ


เจ้าอ้วนเดินทางมาถึงลานจันทราคติ ฉุ่ยจิ้งนั่งอยู่บนก้อนหินใกล้กับสระน้ำ นางจ้องมองเหล่ามัจฉาที่แหวกว่ายอยู่ภายในน้ำอย่างเงียบเชียบ นางรู้สึกถึงการมาถึงของเจ้าอ้วนจากนั้นจึงหันศีรษะอย่างช้า ๆ และจ้องมองเขา


แม้ว่านางจะไม่ได้กล่าวสิ่งใดออกมาแต่แววตาของนางนั้นได้อธิบายความรู้สึกโศกเศร้าภายในจิตใจออกมาแล้วหมดสิ้น เจ้าอ้วนรู้สึกถึงความรู้สึกนั้นอย่างรวดเร็วราวกับถูกมีดกรีดที่กลางใจของตน มันเป็นความเจ็บปวดที่ไม่สามารถอธิบายได้ คำพูดมากมายที่เขาเตรียมมามากมายในก่อนหน้านี้ได้ถูกกลืนลงไปจนหมด


ทั้งสองยืนจ้องมองกันอยู่เช่นนั้นจนกระทั่งพระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าไป ในตอนนี้ทั้งสองคนได้ถูกปลุกขึ้นจากภวังค์ด้วยระฆังแห่งราตรี พวกเขาจ้องมองกันตลอดทั้งวันที่ผ่านมา แต่ไม่มีการฝึกฝนแบบคู่เกิดขึ้น แต่มันกลับเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวายภายในใจของทั้งสอง


เมื่อฉุ่ยจิ้งหลุดออกจากสถานการณ์เช่นนั้น นางยิ้มออกมาอย่างขมขื่นพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์พี่ไม่ได้มาพร้อมกับสาวงามงั้นหรือ? เหตุใดท่านจึงมาพบคนที่โดดเดี่ยวเช่นข้าด้วยล่ะ?”


“ศิษย์น้องช่างเข้าใจหยอกล้อ ข้าน่ะหรือจะมีสาวงามข้างกาย มันเป็นเพียงฉากบังหน้าเท่านั้น!” เจ้าอ้วนรีบอธิบายออกไป “เจ้ารู้ดีว่าภายในใจข้าคิดเช่นไร!”


“เหอะ เจ้าน่ะหรือ!” ฉุ่ยจิ้งคร่ำครวญพร้อมกับลุกขึ้นยืน


“แม้ว่าที่นี่จะไม่มีชาวิถีเต๋าเพื่อต้อนรับท่าน แต่จงตามมาเถิด ข้ามีไวน์ที่หมักเองอยู่ ท่านจะต้องชอบมัน!” จากนั้นนางจึงเดินไปที่จันทราของตนเอง


“แน่นอนว่าจะต้องเป็นเช่นนั้น!” เจ้าอ้วนตอบกลับพร้อมรีบเดินตามไปทันที


ถัดมาชั่วครู่ทั้งสองคนเดินมาถึงห้องนั่งเล่นที่อยู่ภายใน ฉุ่ยจิ้งหยิบขวดไวน์ออกมาหนึ่งขวดพร้อมกับเทให้เจ้าอ้วนและกล่าวว่า “ท่านลองลิ้มรสมันก่อน!”


“ย่อมได้!” เจ้าอ้วนตอบรับเสียงเบาพร้อมดื่มมันอย่างรวดเร็ว หลังจากที่เขาดื่มมันลงไป เขารู้สึกราวกับว่าความขมได้ถาโถมลำคอของเขาอย่างรุนแรง มันไม่ใช่ไวน์ที่เขาเคยดื่ม รสชาติของมันคล้ายกับถุงน้ำดีอย่างไรอย่างนั้น! เหตุการณ์นี้ทำให้ใบหน้าของเจ้าอ้วนกลายเป็นสีเขียว เขาหวังในใจว่าจะได้บ้วนน้ำลายทิ้งสักหน่อยในตอนนี้


แต่มันเป็นไวน์ที่ฉุ่ยจิ้งตั้งใจที่จะรินมันให้กับเขา เจ้าอ้วนไม่กล้าที่จะหักหาญน้ำใจของนาง ดังนั้นเขาจึงกลั้นหายใจเพื่อดื่มมันลงไปให้หมดในครั้งเดียว รสขมที่รุนแรงนั้นระเบิดอยู่ภายในท้องของเขาเอง สิ่งนี้ทำให้เขาไม่สบายตัวอย่างมาก


แต่เพื่อความสบายใจของฉุ่ยจิ้ง เจ้าอ้วนทำได้เพียงยิ้มและกล่าวออกมาว่า “ยอดเยี่ยมมาก รสชาติของมันยอดเยี่ยมมาก!” แม้ว่าเขาจะยิ้มอยู่ แต่ด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ไม่อาจกลบเกลื่อนนั้นราวกับว่าเขากำลังร่ำไห้อยู่ภายในใจ


เมื่อฉุ่ยจิ้งเห็นเช่นนั้น นางยิ้มรับพร้อมกล่าวว่า “ถ้าหากว่ามันยอดเยี่ยม ท่านต้องดื่มมันให้มากขึ้นอีก!” ขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น นางเริ่มรินไวน์อีกครั้ง


เจ้าอ้วนจะไปเอาความกล้าหาญจากไหนให้นางรินอีกแก้ว? เขารีบซ่อนแก้วไวน์พร้อมกล่าวอย่างรวดเร็ว “ศิษย์น้อง หยุดก่อน ความรุนแรงของมันมากเกินกว่าข้าจะรับได้!”


หลังจากที่ฉุ่ยจิ้งได้ยินเช่นนั้น ความโศกเศร้าแสดงขึ้นบนใบหน้าของนางทันที “ศิษย์พี่ บอกข้ามาเถิดว่าไม่อาจทนเห็นข้าในสายตาได้ จึงไม่ยอมดื่มไวน์ร่วมกับข้า?”


“ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ใช่เลย!” เจ้าอ้วนเห็นเช่นนั้นเขารู้สึกกลัวทันที พร้อมกับรีบอธิบาย “คือว่า…”


“ท่านไม่จำเป็นต้องอธิบาย ศิษย์น้องเข้าใจดี!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวต่อและไม่ยินยอมให้เขาอธิบายอะไรต่อ “ความจริงแล้วท่านก็ไม่เคยเห็นข้าอยู่ในสายตาอยู่แล้ว ท่านดูถูกข้าและรังเกียจที่จะร่วมดื่มกับข้า!”


“อา ข้า… ข้าจะดื่มมัน เช่นนี้ดีหรือไม่?” เจ้าอ้วนถูกฉุ่ยจิ้งต้อนเข้าจนมุมโดยอย่างสมบูรณ์ เขาจึงต้องยื่นแก้วไวน์ของตนออกไปอีกครั้ง


“เป็นเช่นนั้น!” เมื่อฉุ่ยจิ้งได้ยินดังนั้น นางแสดงรอยยิ้มจางออกมาทันทีพร้อมกับรีบรินไวน์ให้กับเขา


เจ้าอ้วนไม่สามารถต้านทานรสชาติที่รุนแรงของมันจนถึงขั้นที่เขาไม่สามารถบังคับเปลือกตาของตนเองไม่ให้ปิดลงไม่ได้ ความขมของมันกำลังโจมตีลำไส้เขาอย่างรุนแรง


เจ้าอ้วนรีบกล่าวออกมาทั้งที่ภายในใจของเขาแทบจะระเบิดออกจากความอึดอัดนี้ “เท่านี้… เจ้าพอใจหรือยัง?”


“ยัง ผู้ใดที่เข้ามาภายในจันทราคติของข้าจะต้องดื่มมันสามแก้ว!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวพร้อมกับยกขวดไวน์ขึ้น “ศิษย์พี่ ท่านเหลืออีกหนึ่งแก้ว!”


“งั้นหรือ?” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงท้อแท้ “ศิษย์น้อง เจ้าละเว้นข้าไว้สักคนได้หรือไม่?”


“โดยปกติแล้วไม่ได้ มันเป็นธรรมเนียมของจันทราคติ ศิษย์น้องผู้นี้ไม่อาจเปลี่ยนแปลงมันได้!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวพร้อมกับยิ้มออกมา


“ธรรมเนียม? เจ้าพักอยู่ที่นี่มานานหนึ่งถึงสองปีแล้ว เมื่อไหร่กันที่มันมีกฏเช่นนี้ขึ้นมา?”  เจ้าอ้วนถามออกมาอย่างระมัดระวัง


“มันถูกนำมาใช้เมื่อศิษย์พี่เดินเข้ามา!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวอย่างเขร่งขรึม “ถ้าหากศิษย์พี่ต้องการที่จะมาเยี่ยมเยือนข้าในอนาคต ก็จะต้องดื่มมันอย่างน้อยสามแก้วอย่างต่อเนื่อง!”


“ว่าอะไร?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาไม่เข้าใจพร้อมกับถามออกไปทันที “เจ้ารู้มานานแล้วงั้นหรือว่าไวน์นี้มีรสขม? เจ้ากำลังเล่นตลกกับข้า ถูกต้องหรือไม่?”


“เป็นเช่นนั้น!” ฉุ่ยจิ้งตอบกลับอย่างซื่อตรง “ไวน์นี้ทำมาจากถุงน้ำดีของอสรพิษ มันจะลดความต้องการของท่าน ทำให้ท่านเป็นคนที่ใจเย็นมากกว่านี้ ทุกครั้งที่ท่านมาเยี่ยมเยียน ข้าจะนำสิ่งนี้ออกมาเพื่อบริการให้ท่านดื่ม!”


“สิ่งนี้มีไว้เพื่ออะไรกันแน่?” หลังจากที่เจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขากล่าวออกมาอย่างไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “มันมีไว้เพื่อทรมานข้างั้นหรือ?”


“เนื่องจากข้าไม่สามารถขัดขวางความต้องการที่ร้อนแรงของศิษย์พี่ได้ จึงมีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้ศิษย์พี่จดจำลานจันทราคติและจดจำศิษย์น้องผู้นี้ได้!” ขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น ใบหน้าของนางโศกเศร้าอย่างยิ่ง “ศิษย์พี่รู้หรือไม่ว่าท่านทำให้หัวใจของข้านั้นรู้สึกขื่นขมเสียยิ่งกว่าไวน์ขวดนี้เสียอีก!”


เหตุผลดังกล่าวทำให้เจ้าอ้วนกลายเป็นหินไปทันที ในขณะนั้นราวกับว่าเขาได้รับรู้ถึงความทุกข์ภายในหัวใจของนาง จากนั้นความรู้สึกเกลียดตนเองได้ถาโถมเข้ามาภายในหัวใจเขาอย่างไม่หยุดหย่อน ความรู้สึกผิดต่าง ๆ ทำให้เจ้าอ้วนขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น เขาโยนแก้วไวน์ของตนเองทิ้งไปพร้อมกับคว้าขวดไวน์ที่อยู่ในมือของฉุ่ยจิ้งและดื่มมันลงไปทั้งหมดราวกับมันคือน้ำเปล่า


หลังจากที่ดื่มมันแล้ว เขาไม่ได้คิดถึงความรุนแรงของมันที่กำลังระเบิดอยู่ภายในท้องอีกต่อไป พร้อมกับกล่าวออกมาเสียงดัง “ศิษย์น้องฉุ่ยจิ้ง เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าเพียงไวน์สามแก้วจะทำให้ข้ารู้สึกถึงความทุกข์ในใจของเจ้า? แน่นอนว่าข้าจะรู้สึกถึงมันได้ ข้าจะต้องดื่มมันทั้งขวด! เมื่อใดที่ข้ามาที่นี่ ข้าจะทำเช่นนี้ทุกครั้ง!”


เจ้าอ้วนรู้สึกเสียใจทันทีพร้อมกับคิดภายในใจ ‘เหตุใดข้าจึงต้องกล่าวเกินกว่าเหตุ? ไวน์นี้เพียงแค่สามแก้วก็สามารถสังหารข้าได้แล้ว แต่ข้ากลับกล่าวออกไปว่าจะดื่มหนึ่งขวด? นี่ไม่ใช่การฆ่าตัวตายงั้นหรือ?’


แต่หลังจากที่ฉุ่ยจิ้งได้ยินเช่นนั้น น้ำตาทั้งหมดไหลอาบท่วมสองแก้มของนางทันที พร้อมกล่าวว่า “ตัวเลวร้าย… ท่านมักจะนำโชคร้ายมาให้ข้าเสมอ!”


เดิมทีฉุ่ยจิ้งไม่ค่อยพอใจเมื่อต้องพบเจอกับเจ้าอ้วนด้านนอก แต่เขาไม่เคยที่จะยอมแพ้ ดังนั้นนางจึงคิดที่จะหยุดเขาโดยใช้ไวน์ที่ทำจากถุงน้ำดีของอสรพิษเพื่อให้เจ้าอ้วนต้องพบเจอกับความยากลำบาก แต่ในตอนนี้ฉุ่ยจิ้งก็พ่ายแพ้ให้กับเจ้าอ้วนอีกครั้ง นางไม่เคยคาดหวังว่าเจ้าอ้วนจะเป็นบุรุษที่ดื้อด้านเช่นนี้ เขาไม่ได้คิดอะไรกับความเจ็บปวดที่ได้รับ เขาดื่มมันลงไปจนหมดขวดและลั่นวาจาว่าจะทำเช่นนี้ทุกครั้งที่มาพบนาง


เหตุการณ์เช่นนี้ทำให้หัวใจของฉุ่ยจิ้งหวั่นไหว นับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปนางรู้ดีว่าไม่อาจหลีกหนีโชคชะตาของตนเองได้ นางจะต้องมีชะตากรรมร่วมกับเจ้าอ้วนมากขึ้นเรื่อย ๆ นางไม่มีวันที่จะแยกออกจากเขาได้อีกต่อไป


เจ้าอ้วนไม่รู้เลยว่านางกำลังกล่าวถึงสิ่งใด การได้เห็นฉุ่ยจิ้งที่กำลังนิ่งเงียบเช่นนี้ เขาทำได้เพียงปล่อยเสียงหัวเราะที่โง่เขลาออกมา


เมื่อฉุ่ยจิ้งเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความจริงใจของเจ้าอ้วน ความโกรธทั้งหมดได้เลือนหายไปทันที พร้อมกับยิ้มอย่างขื่นขมและกล่าวว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่าสิ่งที่ท่านทำอยู่นั้นได้ข่มเหงเส้นทางของข้า!”


“สวรรค์ โลก และจิตใต้สำนึกของข้า มีสิ่งใดกันที่ไปข่มเหงเจ้า? ไม่ใช่เจ้าหรอกหรือที่รังแกข้าตลอดมา?” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างคนเมาและไม่สามารถควบคุมตนเองได้


“เหอะ ท่านเป็นบุรุษมากรัก ตนเองมีความสุขอยู่เพียงผู้เดียว ทำให้ข้าต้องสับสน รู้สึกโดดเดี่ยว มันไม่ใช่การข่มเหงข้างั้นหรือ?” ฉุ่ยจิ้งกล่าวออกมาอย่างโศกเศร้า


“เรื่องนั้น…” เจ้าอ้วนพ่ายแพ้ต่อคำพูดเหล่านั้นทันที พร้อมกับกล่าวออกมาอย่างขื่นขม “ก็ได้ ก็ได้ เป็นข้าผิดเอง เป็นข้ารังแกเจ้า ศิษย์น้องฉุ่ยจิ้งพอจะเห็นแก่ไวน์ขวดนี้แล้วละเว้นข้าได้หรือไม่?”


“เหอะ จากสิ่งที่ท่านกล่าวออกมาราวกับว่าท่านได้สูญเสียทุกอย่างไป!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวอย่างขื่นขม


“ไวน์ที่ทำจากถุงน้ำดีของอสรพิษซึ่งข้าครอบครองไม่ใช่ธรรมดา มันมาจากอสรพิษขั้นสามและผ่านการปรุงแต่งมาอย่างดี หลังจากที่ดื่มมันแล้ว ท่านจะสามารถฝึกฝนได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีผู้คนมากมายที่ต้องการดื่มมันแต่ไม่อาจทำได้! ในครั้งนี้นับว่าท่านก็ได้รับประโยชน์อีกครั้ง แต่ท่านกลับแสดงใบหน้าราวกับว่าสูญเสียเช่นนั้นงั้นหรือ!”


“คือว่า…” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขายิ้มออกมาอย่างขื่นขม “เป็นความผิดของข้าเอง!”


“เข้าใจก็ดีแล้ว!” ฉุ่ยจิ้งยิ้มออกมาอย่างพอใจพร้อมกล่าวต่อว่า “โอ ข้ามีบางอย่างต้องบอกท่าน!”


เจ้าอ้วนมองเห็นท่าทีที่จริงจังของฉุ่ยจิ้ง เขารู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างที่ไม่ดีแน่นอนพร้อมกับรีบถามออกไปอย่างรวดเร็ว “อะไรงั้นหรือ?”


“แท้จริงแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก การระบายความร้อนของไวน์นี้ค่อนข้างจะมากโข ข้าคิดว่าท่านคงจะไม่มีอารมณ์จะไปต่อสู้กับมู่ซื่อหรงสักสองสามเดือน!” นางกล่าวออกมาอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับปิดปากหัวเราะอย่างสบายใจ


เจ้าอ้วนไม่ใช่คนโง่ เขาเข้าใจทันที มันหมายความว่าอารมณ์ทางเพศของเขาจะหายไปสักสองสามเดือน จากนั้นเขาบ่นอุบออกมาทันที “ศิษย์น้อง ข้านั้นให้เกียรติเจ้าเสมอ แต่เหตุใดเจ้าจึงทำให้ข้ากลายเป็นคนไร้สมรรถภาพนานเช่นนี้?”


“เหอะเหอะ!” ฉุ่ยจิ้งหัวเราะออกมาพร้อมกล่าวว่า “ข้าเพียงบอกให้ท่านดื่มมันเพียงสามแก้วเท่านั้น เพื่อให้ท่านหมดอารมณ์ไปสักสองสามวัน ใครจะไปคาดคิดมาก่อนว่าท่านจะดื่มมันลงไปทั้งหมด แน่นอนว่าผลข้างเคียงของมันยาวนานหลายเดือน! ท่านจะสามารถตำหนิผู้ใดได้ในเมื่อท่านเป็นคนดื่มมันเอง?”


“เรื่องนั้น…” เจ้าอ้วนไม่มีอะไรจะกล่าวต่อพร้อมกับยิ้มอย่างขื่นขม “ก็ข้าไม่ได้รู้ล่วงหน้ามาก่อนไม่ใช่หรือไร?”


“รู้ตอนนี้ก็ยังไม่สายไป!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ถ้าอย่างนั้น…” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างเขินอาย “ในภายหลังข้าดื่มเพียงสามแก้วก็เพียงพอใช่หรือไม่?”


“คงไม่ได้ เพราะศิษย์พี่กล่าวกับข้าว่าจะดื่มมันหนึ่งขวด อย่าบอกนะว่าท่านกำลังจะผิดคำสาบาน?” ฉุ่ยจิ้งยิ้มออกมา “ศิษย์พี่ซ่ง ท่านเป็นอัศวินผู้ยิ่งใหญ่ในหัวใจของข้า ท่านไม่สามารถทำให้ข้าผิดหวังได้!”


หลังจากที่เจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น จากความมึนเมาแปรเปลี่ยนเป็นความเจ็บปวดทันที การติดสินบนจะเป็นอันตรายกับตัวเขาเกินไป ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถจัดการปัญหาเช่นนี้ได้


ในทางกลับกัน ฉุ่ยจิ้งกลับมีอารมณ์ที่ดีขึ้นมากพร้อมกับถามเขาว่า “แล้วก็… ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่ศิษย์พี่ซ่งจะมาพบข้า ท่านมีสิ่งใดอยากจะกล่าวก็กล่าวออกมาเถิด ข้ารับปากว่าจะปฏิบัติตาม!”


เจ้าอ้วนที่ได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของเขาเปล่งประกายทันทีพร้อมกับรีบพูดออกไป “ในการพบกันครั้งหน้าสามารถลดการดื่มลงได้หรือไม่?”


“ไม่ได้ เรื่องนี้ท่านควรเลิกคิดเสีย!” ฉุ่ยจิ้งปฏิเสธทันที “มันจะดีกว่าถ้าหากท่านพูดเรื่องอื่นบ้าง ถ้าไม่เช่นนั้น ข้าจะขอตัวไปพักผ่อนก่อน ถ้าหากท่านต้องการพบข้าอีกขอให้มาใหม่ในวันพรุ่งนี้ และในเวลานั้น ฮี่ฮี่ ข้าจะบริการท่านด้วยถุงน้ำดีของอสรพิษอีกครั้ง!”


“ลืมมันไปเสีย เรามากล่าวถึงเรื่องที่มันมีสาระดีกว่า!” เจ้าอ้วนกล่าวออกไปพร้อมกับเปลี่ยนสีหน้าทันที “ข้าอยากจะถามเจ้าว่าดอกบัวแห่งองค์ประกอบธาตุทั้งห้าสามารถนำไปทำอะไรได้บ้างจึงจะดี!”


“ดอกบัวแห่งองค์ประกอบธาตุทั้งห้า?” หลังจากฉุ่ยจิ้งได้ยินเช่นนั้น นางกล่าวออกมาอย่างมีความสุข “สิ่งนั้นอยู่ในมือของท่าน!”


เจ้าอ้วนตกใจทันทีเมื่อพบว่าฉุ่ยจิ้งนั้นแสร้งทำเป็นไม่เคยรู้มาก่อน ทั้งที่นางนั้นรู้ว่าเขาซุกซ่อนสิ่งใดไว้บ้าง เขาจึงไม่ได้กล่าวอะไรต่อ


เมื่อฉุ่ยจิ้งเห็นใบหน้าที่เจ็บปวดเช่นนั้น นางกล่าวออกมา “ท่านไม่ต้องตกใจ เรื่องนี้ไม่ได้เกิดจากการทำนายหรอก ท่านอาจารย์เป็นคนบอกข้า!”


“อาจารย์ของเจ้า?” เจ้าอ้วนมึนงงทันที “นางรู้ได้อย่างไร?”


“จำได้หรือไม่ว่าเมื่อหลายปีก่อนบังเอิญค้นพบเหมืองหินจิตวิญญาณและมอบมันให้กับสำนักใช่หรือไม่?” หลังจากนั้นฉุ่ยจิ้งกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “ท่านอาจารย์ได้รับข่าวนี้เช่นกัน หลังจากการสอบสวน นางพบว่าสิ่งที่ควรค้นหาคือดอกบัวแห่งองค์ประกอบธาตุทั้งห้า ซึ่งอยู่ในเหมืองหินจิตวิญญาณแห่งนั้น มันจะต้องใช้ปราณจิตวิญญาณแห่งธาตุทั้งห้าเพื่อหล่อเลี้ยงมัน และผลตอบแทนก็คือน้ำแห่งองค์ประกอบธาตุทั้งห้า แต่ในบ่อน้ำแห่งนั้นกลับไม่มีดอกบัวแห่งองค์ประกอบธาตุทั้งห้าอยู่”


ฉุ่ยจิ้งเผยยิ้มอ่อนออกมาพร้อมกล่าวต่อ “ในตอนนั้นท่านอาจารย์จึงได้ทำนายทิศทางของดอกบัวแห่งองค์ประกอบธาตุทั้งห้าว่ามันไปอยู่ที่ใด อย่างไรก็ตามมีบางสิ่งบางอย่างทำให้นางแปลกใจ เพราะไม่สามารถรับรู้ถึงที่อยู่ของดอกบัวได้เลย อย่างไรก็ตามแม้ว่าดอกบัวแห่งองค์ประกอบธาตุทั้งห้าจะไม่อยู่แล้ว แต่ทุกอย่างย่อมมีเบาะแสทิ้งไว้เบื้องหลังเสมอ แน่นอนว่าเรื่องนี้แปดในสิบเกี่ยวข้องกับพวกศิษย์พี่ทั้งสามคน แต่นางไม่สามารถค้นหาดอกบัวแห่งองค์ประกอบธาตุทั้งห้าได้ว่าอยู่ที่ใด มันคงดูไม่ดีนักถ้าหากจะเดินเข้าไปถามศิษย์ตรง ๆ โดยไม่มีหลักฐานใด ดังนั้นเรื่องนี้จึงถูกพักไว้ชั่วคราว ก่อนที่นางจะเข้าสู่การเก็บตัวฝึกฝน นางให้ข้าเฝ้ามองท่านไว้เพราะว่าดอกบัวแห่งองค์ประกอบธาตุทั้งห้านั้นอยู่ในมือท่าน ใช่ไหม?”


“เรื่องนั้น…” หลังจากที่เจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาทำได้เพียงยิ้มและกล่าวว่า “อาการของเจ้านั้นรุนแรงแล้ว แต่ทว่าอาจารย์ของเจ้ากลับรุนแรงเสียยิ่งกว่า ข้าคิดว่ามันเป็นความลับมาตลอดแต่ที่ไหนได้กลับถูกค้นพบแล้วโดยนาง! ก็ได้ นี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก อาจารย์ของเจ้าได้บอกกล่าวกับผู้อื่นหรือไม่?”


“แน่นอนว่านางไม่ได้ทำเช่นนั้น!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เดาว่าท่านนั้นโชคดี ความจริงแล้วเรื่องนี้ควรรายงานต่อสำนัก แต่ท่านอาจารย์กล่าวว่าดอกบัวแห่งองค์ประกอบธาตุทั้งห้านั้นมีโชคชะตาของมันเอง และมันสามารถกินได้อีกด้วยเมื่อบานสะพรั่ง ดังนั้นนางจึงทำเป็นตาบอดไม่รู้เรื่องราว! ศิษย์พี่ซ่ง ท่านเก็บรักษามันได้อย่างไรกัน?”


“ประเสริฐ! อืม มันควรเป็นเช่นนั้น” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม


ความจริงแล้ว แม้ว่าดอกบัวจะต้องใช้เวลายาวนานมากกว่าร้อยปีเพื่อดูแลมันก่อนที่มันจะบานสะพรั่งได้ ภายในมิติลึกลับของเจ้าอ้วนนั้นเต็มไปด้วยปราณจิตวิญญาณแห่งองค์ประกอบธาตุทั้งห้าอย่างหนาแน่นเพื่อเลี้ยงดูมัน มันจะตอบแทนเจ้าอ้วนด้วยการมอบน้ำแห่งองค์ประกอบธาตุทั้งห้าออกมาอย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นจึงทำให้การเจริญเติบโตของดอกบัวนี้รวดเร็วเพิ่มขึ้นอย่างมากจากที่ใช้เวลาหลักร้อยปีเหลือเพียงหลักสิบปีเท่านั้น


บทที่ 200-1: เริงร่า


เมื่อได้ยินว่าเจ้าอ้วนครอบครองดอกบัวแห่งองค์ประกอบธาตุทั้งห้าอย่างแท้จริง ฉุ่ยจิ้งมีความสุขมาก “ศิษย์พี่นั้นได้รับพรจากสวรรค์อย่างแท้จริง มันเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งแต่กลับถูกค้นพบโดยท่าน!”


“ฮาฮา!” เจ้าอ้วนยิ้มออกมาพร้อมกล่าวว่า “ศิษย์น้องผ่อนคลายเถิด แน่นอนว่าสิ่งที่เป็นส่วนของข้าก็จะเป็นส่วนของเจ้าด้วยเช่นกัน!”


“ขอบคุณศิษย์พี่อย่างมาก!” ฉุ่ยจิ้งคำนับให้กับเจ้าอ้วนพร้อมกล่าวว่า “ทำไมไม่ให้ศิษย์น้องผู้นี้รินไวน์ให้กับท่านอีกสักแก้วเพื่อตอบแทนน้ำใจล่ะ?”


“ไม่จำเป็น ไม่ต้องลำบาก!” เจ้าอ้วนส่ายหัวจนแทบจะเป็นลมพร้อมกล่าวว่า “ข้าจะต้องตายอย่างแน่นอนถ้าหากดื่มมันมากกว่านี้ ศิษย์น้องเรามาคุยเรื่องสำคัญกันเถิด! แม้ว่าดอกบัวแห่งองค์ประกอบธาตุทั้งห้าจะยอดเยี่ยม แต่มันจะต้องมีวิธีในการกินมัน! ดอกบัวแห่งองค์ประกอบธาตุทั้งห้านั้นหาได้ยากมากในโลกนี้ ข้อมูลของมันมีบันทึกไว้เล็กน้อยมาก เนื่องจากเป็นเช่นนี้ข้าจึงต้องพึ่งพาเจ้าเรื่องการเข้าใจมัน!”


“สิ่งนั้นง่ายมาก ท่านอาจารย์ได้บอกกล่าวกับข้าไว้แล้วก่อนที่นางจะเข้าสู่การเก็บตัวฝึกฝน!” ฉุ่ยจิ้งเริ่มอธิบาย “มันเป็นสิ่งที่มีปราณจิตวิญญาณหนาแน่นมากและมีเพียงผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิเท่านั้นที่จะกินมันได้ ถ้าหากเป็นผู้ฝึกตนระดับต่ำกินมันเข้าไป พวกเขาจะระเบิดออกเนื่องจากไม่อาจต้านทานปราณจิตวิญญาณที่หนาแน่นกว่าได้ นอกจากนั้นเมื่อกินมันเข้าไปแล้วยังมีอีกหลายข้อห้ามที่ต้องระมัดระวัง ซึ่งมันสำคัญมากและผู้ที่จะกินมันต้องเลือก!”


“อะไรนะ? หมายความว่าอะไร?” เจ้าอ้วนถามออกมาด้วยความสับสน


“หมายความว่าดอกบัวแห่งองค์ประกอบธาตุทั้งห้านั้นเต็มไปด้วยปราณจิตวิญญาณแห่งธาตุทั้งห้าอย่างหนาแน่น สำหรับผู้ฝึกตนประเภทวารี ถ้าหากข้ากินมันเข้าไป แน่นอนว่าข้าจะดูดซับได้เพียงวารีและธาตุอื่นจะหายไป พอเข้าใจหรือไม่?”


“ข้าเข้าใจ แล้วเราควรทำเช่นไร?” เจ้าอ้วนถามกลับ


“ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้แม้แต่น้อยเพราะว่าในร่างกายของท่านมีธาตุทั้งห้าครบแล้ว ท่านไม่จำเป็นต้องเลือกสิ่งใดและสามารถดูดซับทั้งหมดได้ แต่ข้าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ แต่ข้านั้นจะต้องค่อย ๆ ดูดซับธาตุวารีเข้าไป สำหรับธาตุอื่นก็เพียงต้องทำการเผาผลาญให้มันออกไปจากร่างกายของข้าให้เร็วที่สุด กล่าวก็คือการกระทำเช่นนี้จะต้องใช้พลังงานอย่างมาก!” ฉุ่ยจิ้งอธิบาย


“ข้าเข้าใจ ที่เจ้ากำลังจะบอกก็คือข้าจะต้องเข้าสู่สมาธิทันทีหลังจากกินมันเข้าไป ถูกไหม?” เจ้าอ้วนกล่าว


“ประมาณนั้น เคล็ดวิชาการฝึกฝนของท่านมันเป็นสิ่งที่พิเศษมาก ไม่มีผู้ใดที่สามารถเพลิดเพลินได้กับพรสวรรค์เช่นนี้ แต่…” ในขณะที่ฉุ่ยจิ้งกล่าวเช่นนั้น ใบหน้านางเปลี่ยนเป็นจริงจังพร้อมกล่าวเสริม “ศิษย์พี่ซ่ง ถ้าหากท่านเพิ่งกินมันเข้าไป เส้นลมปราณของท่านจะถูกพัฒนาให้ดีขึ้นและปราณจิตวิญญาณจะเพิ่มมากขึ้น แต่ถ้าหากท่านเข้าอยู่ในสภาวะตีบตัน ทั้งหมดนี้จะกลายเป็นเรื่องยากมากที่จะดูดซับมัน และถ้าหากเป็นเช่นนั้นมันจะดูดซับปราณจิตวิญญาณของท่านเข้าไปแทนและกรณีนั้นจะอันตรายอย่างยิ่ง กว่าจะดูดซับได้สำเร็จก็คงจะต้องสูญเสียมันไปเป็นจำนวนมาก ดังนั้นศิษย์น้องจึงมีวิธีที่อยากจะแนะนำท่าน!”


“กล่าวมา!” เจ้าอ้วนตอบ


ฉุ่ยจิ้งกล่าวเสริม “ข้าขอแนะนำให้เราเข้าสู่การฝึกฝนแบบคู่ ให้การดูดซับเป็นไปอย่างช้า ๆ และใช้กฎแห่งสวรรค์ช่วยให้การเดินทางของปราณจิตวิญญาณดีขึ้น สิ่งที่ดีที่สุดคือเราจะสามารถผ่านพ้นสถาวะตีบตันได้ในจังหวะเดียว และไม่สูญเสียดอกบัวแห่งองค์ประกอบธาตุทั้งห้า แน่นอนว่าถ้าหากเราดื่มชาวิถีเต๋าด้วย ผลของมันจะยอดเยี่ยมอย่างมาก!”


“ฮ่าฮ่า!” ในขณะที่เจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาระเบิดเสียงหัวเราออกมาดังลั่น “ข้ายังคงมีชาวิถีเต๋าอยู่เพียงพอสำหรับเราสองคนที่จะดื่มมัน แน่นอนว่าเรื่องนี้มีเพียงข้าที่ติดปัญหา!”


“ปัญหาอะไรกัน?” ฉุ่ยจิ้งถามอย่างอยากรู้


“เป็นเพราะไวน์องุ่นดีอสรพิษ ถ้าหากเราเข้าสู่การฝึกฝนแบบคู่ เจ้าจะต้องสัญญากับข้าว่าเจ้าจะไม่เลี้ยงไวน์ข้าเช่นนี้ทุกวัน ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ข้าคิดว่าเจ้าควรจะสังหารข้าโดยตรงเสียดีกว่า!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างอ้อนวอน


“โอ้!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ย่อมได้ ตกลง อย่างไรแล้วเราไม่สามารถแยกจากกันได้ในขณะที่ฝึกฝนแบบคู่ มันไม่สามารถถือได้ว่าเป็นการพบปะแต่อย่างใด ดังนั้นข้าจะละเว้นให้ แต่ถ้าหากท่านต้องการพบข้าหลังจากที่การฝึกฝนแบบคู่จบลง ท่านจะต้องดื่มไวน์อีกครั้ง!”


“ตกลง ไม่มีปัญหา!” เจ้าอ้วนตอบกลับด้วยน้ำเสียงสดใส


“อืม ถ้าเป็นเช่นนั้น เราเข้าสู่การฝึกฝนแบบคู่กันตอนนี้เลย!” ฉุ่ยจิ้งรีบดึงเจ้าอ้วนเข้าไปในห้องนอนของนาง


เจ้าอ้วนรีบหยุดนางไว้อย่างรวดเร็ว “เจ้าจะรีบร้อนไปด้วยเหตุใดกัน? ดอกบัวแห่งองค์ประกอบธาตุทั้งห้านั้นไม่สามารถวิ่งหนีไปไหนได้ ข้าจะต้องแจ้งให้กับบุคคลที่บ้านทราบก่อนว่าจะเข้าสู่การเก็บตัวฝึกฝนครั้งใหญ่ ถูกต้องหรือไม่? เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่กังวลถึงข้า!”


“เหอะ ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าท่านจะเป็นคนที่ห่วงใยผู้อื่น!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวอย่างหึงหวง “ถ้าหากเป็นเช่นนั้น ข้าจะให้เวลากลับไปแจ้งพวกนางก่อน!”


“ฮ่าฮ่า ข้าขอขอบคุณเจ้ามาก!” เจ้าอ้วนรีบตอบ


“เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งมีความสุขเร็วเกินไป ข้าต้องการที่จะแจ้งให้ท่านทราบถ้าหากว่าท่านเดินออกไปจากจันทราคติแล้ว นั่นหมายความว่าท่านกล่าวลากับข้า นั่นแปลว่าเมื่อท่านมาพบข้าอีกครั้ง จะนับเป็นการพบปะครั้งใหม่ทันที เหอะเหอะ!” ฉุ่ยจิ้งกล่าวพร้อมกับหัวเราะคิกคัก “และธรรมเนียมในการพบข้า หวังว่าท่านคงยังไม่ลืม ใช่ไหม?”


“ไวน์น้ำดีอสรพิษหนึ่งขวด?” เจ้าอ้วนรู้สึกท้อแท้ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น “ข้าเพียงจะกลับไปบอกลาคนที่บ้านเท่านั้น ข้าไม่สามารถทำได้งั้นหรือ?”


“กฎก็คือกฎ!” ฉุ่ยจิ้งตอบกลับ


“ลืมมันไปเสีย เจ้าน่ากลัวเกินไปแล้ว!” เจ้าอ้วนได้แต่บ่นออกมาอย่างทำอะไรไม่ได้ “ข้าจะไม่กลับไป แต่ข้าจะส่งจดหมายไปพร้อมกับดาบบิน ตกลงไหม?”


“เหอะ นับว่าเป็นวิธีการที่ฉลาด!” ฉุ่ยจิ้งพยักหนักพร้อมกับยิ้มออกมาราวกับนางได้เอาชนะชายหนุ่มของตนเองได้สำเร็จ ซึ่งนั่นทำให้เจ้าอ้วนหวั่นไหวอย่างรุนแรง


ก่อนที่หัวใจของเจ้าอ้วนจะกลับสู่ความขื่นขม เขาใช้ดาบบินเพื่อส่งข่าวว่าเขาจะไม่กลับบ้าน หลังจากนั้นเขาเดินเข้าไปในห้องนอนของนางเพื่อที่จะฝึกฝนแบบคู่กับฉุ่ยจิ้ง


สามปีผ่านไป ฉุ่ยจิ้งและเจ้าอ้วนกลับออกมาจากห้องลับ


ในขณะนั้น เจ้าอ้วนและฉุ่ยจิ้งเดินจับมือกันออกมาจากห้องและทั้งสองคนใกล้ชิดกันมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้วทั้งสองไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์ดังเช่นชายหญิง แต่มันเป็นสายสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์


ในช่วงเวลาที่ทั้งสองคนได้ฝึกฝนแบบคู่นั้น สายสัมพันธ์ของจิตวิญญาณทั้งคู่ได้ใกล้ชิดกัน กล่าวได้ว่าทั้งคู่อาจเป็นทั้งคู่ชีวิตและเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายก็ได้


นอกจากนี้ ด้วยพลังของชาวิถีเต๋าทำให้ทั้งสองเข้าใจกฎแห่งสวรรค์อย่างลึกซึ้ง ดังนั้นหลังจากที่พวกเขาได้ดูดซับพลังของดอกบัวแห่งองค์ประกอบธาตุทั้งห้า ทั้งสองคนประสบความสำเร็จและเข้าสู่ระดับปฐมภูมิขั้นกลางทันที


ก่อนอื่นต้องรู้ว่า มันผ่านมาเพียงไม่กี่ปีเท่านั้นที่พวกเขาเข้าสู่ระดับปฐมภูมิ ด้วยผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้มันกลายเป็นเรื่องที่น่าตกใจอย่างยิ่งที่สามารถผ่านพ้นไปได้โดยช่วงเวลาอันสั้น นอกจากนั้นการที่ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิขั้นต้นจะก้าวเข้าสู่ขั้นกลาง โดยปกติแล้วจะใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งทศวรรษ แม้แต่เหล่าอัจฉริยะยังใช้เวลาถึงสิบปี การที่จะสามารถก้าวกระโดดได้ภายในเวลาเพียงแค่ห้าปี มันสามารถเกิดขึ้นได้ครั้งเดียวภายในรอบสามร้อยปีเท่านั้น!


แม้ว่าจะก้าวขึ้นมาเพียงระดับเดียว แต่ทั้งหมดนั้นหมายถึงความแข็งแกร่งของพวกเขา เนื่องจากความแข็งแกร่งของปราณสายฟ้าที่เจ้าอ้วนมีนั้นจะถูกกำหนดโดยความแข็งแกร่งของผู้ใช้มัน แน่นอนว่าสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ของเขาจะแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก ทั้งความบริสุทธิ์ของสายฟ้าที่ถูกปรับแต่งออกมา กล่าวก็คือเจ้าอ้วนสามารถต่อสู้กับผู้ฝึกตนระดับจินตันได้อย่างไม่เคอะเขิน แน่นอนว่าแม้แต่ระดับจินตันขั้นกลางก็ไม่สามารถหลบหนีเขาได้


สำหรับฉุ่ยจิ้ง แม้สีหน้าของนางยังคงปกติอยู่ แต่แววตาของนางเต็มไปด้วยความลึกซึ้ง พลังของเทวะจันทราวารีของนางนั้นเต็มไปด้วยความแข็งแกร่งอย่างมากจนกระทั่งความคนรอบข้างของนางสามารถรับรู้ถึงพลังนั้นได้โดยที่นางไม่รู้ตัว


ฉุ่ยจิ้งเดินออกไปส่งเจ้าอ้วนอย่างเงียบงันพร้อมกล่าวอย่างไม่เต็มใจ “ถึงเวลาที่ต้องกล่าวลาแล้ว”


“เจ้าอย่าได้กล่าวน้ำเสียงเศร้าโศกเช่นนั้นเลย” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างขื่นขม “เราอยู่ใกล้กันเพียงเท่านี้ เจ้าสามารถเดินไปหาข้าได้เสมอ ทำไมเจ้าจึงไม่ไปพบข้าบ้างล่ะ?”


“ไปเพื่อมองดูท่านกำลังต่อสู้กับสตรีทั้งสองนางหรือ?” ฉุ่ยจิ้งกล่าวเช่นนั้น ก่อนที่จะผลักเขาออกไป นางปิดประตูอย่างรุนแรงพร้อมตะโกนว่า “จำไว้ด้วย ในวันข้างหน้าถ้าหากว่าท่านมาพบข้า ท่านจะต้องดื่มไวน์น้ำดีอสรพิษหนึ่งขวด!”


“แล้วทำไมเจ้าจึงไม่ไปหาข้าแทนล่ะ!” เจ้าอ้วนตะโกน “ข้าจะให้เจ้าดื่มน้ำส้มสายชูสักเหยือก!”


ฉุ่ยจิ้งไม่ได้ตอบกลับ แต่น้ำที่อยู่ในทะเลสาบกลับถูกเปิดใช้งานและเกิดเป็นมังกรนับร้อยตัวพุ่งเข้าหาเจ้าอ้วน


เมื่อเจ้าอ้วนเห็นเช่นนั้น เขารู้ได้ทันทีว่าฉุ่ยจิ้งต้องการที่จะเล่นงานเขา แล้วเขาจะอยู่ที่นี่ต่อไปได้อย่างไร? ดังนั้นเขาจึงรีบวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ทว่ามังกรวารีที่ฉุ่ยจิ้งส่งออกมานั้นมีมากเกินไป เจ้าอ้วนไม่สามารถหลบเลี่ยงพวกมันทั้งหมดได้ พวกมันตามติดเจ้าอ้วนอย่างไม่ลดละ นั่นทำให้เจ้าอ้วนเปียกโชกไปทั้งตัว เจ้าอ้วนกำลังวิ่งหนีอย่างน่าสมเพชเหมือนครั้งที่เขาถูกกลั่นแกล้งในวัยเด็ก


“ฮิฮิ!” ฉุ่ยจิ้งที่อยู่ในบ้านไม่อาจอดกลั้นเสียงหัวเราะไว้ได้ นางตะโกนออกมา “เจ้าอ้วน เจ้าสามารถป้องกันการโจมตีเหล่านี้ได้ แต่เจ้ากลับยอมที่จะกลายเป็นคนโง่เพียงเพราะไม่อยากให้ข้าโกรธ แม้ว่าเจ้าจะมีข้าอยู่ภายในหัวใจ แต่เจ้าก็ยังมีหัวใจให้กับหญิงอื่นเสมอ สิ่งที่เจ้ากระทำนั้นน่ารังเกียจเกินไป ดูเหมือนว่าสิ่งที่ท่านอาจารย์กล่าวนั้นไม่ผิดแม้แต่น้อย แน่นอนว่าเจ้าเป็นโชคชะตาของข้า ในชีวิตก่อนหน้านี้ข้าติดหนี้เจ้าไว้มากเกินไป ดังนั้นข้าจึงต้องมาชดใช้ทุกสิ่งภายในชีวิตนี้!” ในขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น น้ำตาของนางไหลอาบแก้มทั้งสองข้างอย่างไม่อาจห้ามได้


หลังจากนั้นก็ไม่มีกล่าวสนทนากันแต่อย่างใด เจ้าอ้วนออกจากลานจันทราคติ เขาเร่งกลับไปที่ลานม่านหมอกของตน เมื่อกลับมาถึง สิ่งแรกที่พบเห็นในสายตาคือหานหลิงเฟิงและมู่ซื่อหรง ตลอดระยะเวลาสามปีที่ผ่านมา ทั้งสองยังคงรอคอยอยู่ที่นี่ไม่ได้ออกไปที่ใดแม้สักวัน


บทที่ 200-2: เริงร่า


 


เมื่อพบว่าผู้มาเยือนเป็นเจ้าอ้วน ทั้งมู่ซื่อหรงและหานหลิงเฟิงต่างน้ำตาไหลขณะวิ่งเข้ามากอดอย่างไม่คิดรีรอ


“เจ้ากลับมาแล้ว!” หานหลิงเฟิงกล่าวออกมาด้วยความรักใคร่


“ฮ่าฮ่า!” เจ้าอ้วนยิ้มพร้อมกับจูบนาง “เด็กน้อย ข้ากลับมาแล้ว!” ในขณะนั้นเขายืดมือของตนเองเพื่อสัมผัสกับหน้าอกของนาง


ใบหน้าของหานหลิงเฟิงแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที แต่นางไม่ได้ขัดขืนเขาแต่อย่างใดพร้อมกับปล่อยให้เขาทำตามใจตนเอง


มู่ซื่อหรงที่อยู่ด้านข้างกระซิบกับเจ้าอ้วนว่า “พี่ชายซ่ง ข้าคิดถึงท่าน!”


“โอ้ งั้นหรือ?” เจ้าอ้วนตอบกลับอย่างยียวน “เจ้าคิดถึงส่วนใดของข้า?”


“ฮี่ฮี่” เมื่อมู่ซื่อหรงได้ยินเช่นนั้น นางคว้ามือของเจ้าอ้วนเพื่อไปจับหน้าอกของนางพร้อมกลาวว่า “จับและดูว่ามันคิดถึงท่านมากเท่าใด!”


“ฮี่ฮี่” เป็นธรรมดาที่เจ้าอ้วนจะกล่าวออกมาอย่างไม่ได้คิดอะไรนักพร้อมกับรอยยิ้มชั่วร้าย “ตรงไหนนะที่คิดถึงข้า?”


เมื่อเห็นว่าเจ้าอ้วนยียวน ไม่เพียงแต่นางไม่โกรธ นางกลับเปิดเผยความต้องการของตนเองอย่างบ้าคลั่ง พร้อมกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย้ายวน “ที่ตรงนี้! ตรงนี้คิดถึงท่านมากที่สุด!” ในขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น นางปลดสายที่รัดชุดเอาไว้ นางพลันดึงมือของเจ้าอ้วนสู่จุดที่เร้นลับที่สุดของร่างกาย


เมื่อต้องเผชิญหน้ากับมู่ซื่อหรงที่กระทำเช่นนี้ ความปรารถนาที่เจ้าอ้วนเก็บกดไว้ยาวนานถึงสามปีได้พังทลายลงอย่างสมบูรณ์ มังกรของเขาเริ่มที่จะแผ่อำนาจออกมาใต้กางเกงอันเปียกชุ่ม


เมื่อเห็นเช่นนั้น มู่ซื่อหรงหัวเราะออกมาอย่างไม่อาจช่วยได้ นางถอดเสื้อผ้าที่เปียกของเจ้าอ้วนออก พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้าคิดถึงมันอย่างถึงที่สุด!” ในขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น นางได้กลืนมันลงคอไปทั้งหมด


เจ้าอ้วนไม่สามารถอดทนต่อการกระตุ้นเช่นนี้ได้ เขาอุ้มหญิงสาวทั้งสองคนไปที่เตียง จากนั้นการต่อสู้ที่หอมหวานได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง


หานหลิงเฟิงไม่อาจควบคุมตนเองได้และปล่อยให้เจ้าอ้วนทำตามใจ ทั่วทั้งห้องจึงเต็มไปด้วยเสียงแห่งความรัญจวนอย่างไม่อาจควบคุมได้


แต่มู่ซื่อหรงนั้นแตกต่างออกไป! หลังจากที่นางฝึกฝนเคล็ดวิชาเบญจสตรีศักดิ์สิทธิ์สังหาร นางมีการเปลี่ยนแปลง นางชื่นชอบความรุนแรงและกลายเป็นหญิงสาวที่เต็มไปด้วยความปรารถนา นางโยกสะโพกของตนเองอย่างดุเดือดพร้อมกับจู่โจมเจ้าอ้วนอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย “อา พี่ชายซ่ง สิ่งนี้ ข้าชื่นชอบช่วงเวลาที่ถูกท่านย่ำยีอย่างยิ่ง ได้โปรดทำกับข้าอย่างใจท่านต้องการ ใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดที่ท่านมีกับข้าได้เลย!”


ในขณะที่เจ้าอ้วนได้ยินเสียงมู่ซื่อหรงครวญคราง เจ้าอ้วนรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก ราวกับคลื่นยักษ์กำลังถาโถมเขาอย่างรุนแรง เขาใช้พลังทั้งหมดที่เขามีและหยุดลงหลังจากผ่านไปยาวนานถึงหกชั่วโมง ในเวลานั้นหานหลิงเฟิงยอมแพ้ไปนานแล้ว แต่สำหรับมู่ซื่อหรงนั้นนางคล้ายเป็นเปลี่ยนสถานะเป็นโคลน ไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะขยับนิ้วของตนเอง


แต่ถึงอย่างไรนางก็ยังไม่ลืมที่จะใช้ลิ้นของตนเองทำความสะอาดน้องชายของซ่งจงอย่างเอาใจ เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้เจ้าอ้วนรู้สึกพึงพอใจอย่างมาก ถึงขั้นที่เขาเริ่มรู้สึกอยากจะพัฒนาความสัมพันธ์ของเขากับนางให้มากขึ้นไปอีกขั้น


หลังจากที่ได้ถ่ายทอดความปรารถนาทั้งหมดที่ถูกเก็บไว้มายาวนานสามปีออกไปจนหมด เจ้าอ้วนนอนเปลือยกายอยู่บนเตียงอย่างมีความสุขกับหญิงสาวทั้งสอง ในขณะนั้นเขาไม่ลืมที่จะถามหานหลิงเฟิงว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในช่วงสามปีที่ผ่านมา


หานหลิงเฟิงพยายามใช้น้ำเสียงปกติตอบกลับเมื่อเจ้าอ้วนกำลังลูบไล้หน้าอกของนางอยู่ “สามปีที่ผ่านมานับได้ว่าสถานการณ์ยังคงสงบ เหล่าสี่พี่น้องถูกจัดการอย่างอยู่หมัดโดยเจ้า ทั้งหมดเข้าสู่การเก็บตัวฝึกฝนและไม่ออกมาก่อกวนผู้ใด ดังนั้นเหล่าผู้คนภายในสำนักเสวียนเทียนจึงรู้สึกขอบคุณเจ้าเป็นอย่างมากกับสถานการณ์ทั้งหมดในสามปีที่ผ่านมา!”


“เหอะ!” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขากล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พยัคฆ์อย่างไรก็คือพยัคฆ์ไม่มีวันเปลี่ยน แน่นอนว่าทั้งสี่พี่น้องจะไม่อยู่ในความเงียบนานนัก ข้าขอเดิมพันว่าพวกมันจะออกมาก่อกวนอีกแน่นอนหลังพ้นสภาพการเก็บตัวฝึกฝน พวกเขาก้าวเข้าสู่ระดับจินตันหรือยัง?”


“กล่าวกันว่าหลังจากที่พี่ใหญ่จินได้รับความอัปยศในครั้งนั้นในตอนนี้เขาได้ก้าวเข้าสู่ระดับจินตันแล้ว อีกไม่นานเขาจะออกมาพร้อมกับความแข็งแกร่ง!” หานหลิงเฟิงกล่าว “แต่ที่เหลือยังคงไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ และไม่มีแนวโน้มว่าจะประสบความสำเร็จในเร็ววันนี้อีกด้วย!”


“แล้วยินเป็นอย่างไรบ้าง?” เจ้าอ้วนถามอย่างสนใจเป็นพิเศษ “เขายังเป็นขันทีอยู่ไหม?”


“แน่นอนว่าไม่ อาจารย์ทั้งสองของเขานั้นยิ่งใหญ่มาก เวลาเพียงปีเดียวสามารถทำให้เขาฟื้นฟูตนเองและกลับมามีสภาพสมบูรณ์ได้ สิ่งที่สามารถบอกความจริงได้ก็คือหลังจากนั้นเขาได้ออกเดินทางเพื่อไปทดสอบความสามารถนี้กับหญิงสาวที่เป็นมนุษย์ธรรมดา สิ่งนี้ทำให้ข่าวของเขากระจายไปทั่วทั้งภูเขา คุณชายใหญ่และคุณชายรองโกรธจัดจนแทบจะสังหารเขาให้ตายตกไปเสีย!” หานหลิงเฟิงกล่าว


“ฮ่าฮ่า อย่าบอกนะว่าไอ้งี่เง่าผู้นี้มันหลุดจากภูเขาออกสู่โลกภายนอก? เหตุใดเขาจึงไม่มีความรู้พื้นฐานเลย? ในฐานะที่เป็นผู้ฝึกตนชอบธรรมข้อห้ามนั้นยิ่งใหญ่มากสำหรับการมีเพศสัมพันธ์กับมนุษย์ธรรมดา มันไม่สำคัญหรอกถ้าหากเขาทำมันลงไปแต่ทำไมเขาต้องอวดโอ่เรื่องนี้? การทำเช่นนี้แปลว่าเขาแสวงหาความตายงั้นหรือ?” เจ้าอ้วนได้แต่ถามออกมาด้วยความสับสน


สำหรับหานหลิงเฟิงนางตอบกลับด้วยความงุงงง “เรื่องนี้มันแย่เกินกว่าจะรับไหวเสียจริง สิ่งที่ยินได้ไปกระทำกับชาวบ้านเช่นนั้น นอกจากนี้เรื่องมันกระจายไปทั่วทั้งภูเขา แต่เขากลับปฏิเสธว่าเขาไม่ได้ทำเช่นนั้น! แต่กลับไม่มีใครเชื่อเขาสักคน!”


“เหอะ จะมีใครบ้างเวทนามัน คิดหรือจะมีผู้ใดเชื่อ” เจ้าอ้วนกล่าวต่อ “บางทีสถานการณ์ของเขาอาจจะน่าเวทนาเกินกว่าที่พวกเจ้าจะกล่าวออกมาหรือเปล่า?” เจ้าอ้วนถามต่อ “ทางด้านอาวุโสฉิงเฟิงซีกับฟู่หงจางล่ะ ไม่ได้ผลเลยงั้นหรือ?”


แม้ว่าสำนักเสวียนเทียนจะประสบความสำเร็จกับฟู่จงหาง แต่สิ่งนั้นไม่มีผลกับไป๋ซื่อหลงและมู่ซื่อหรง เพราะนางสามารถใช้พลังของดาบได้อย่างเต็มที่แล้ว ในฐานะที่เป็นยาของฟู่หงจาง ส่วนหนึ่งถูกเก็บไว้ในสำนัก อีกครึ่งถูกส่งเก็บไว้ให้กับผู้มีพระคุณ ในฐานะที่เขาเป็นกุญแจสำคัญในการหลอกล่อตาเฒ่าเฟิง เจ้าอ้วนนั้นได้รับรางวัลนี้ด้วย เขาได้รับฟู่หงจางสามชิ้นจากภารกิจนี้


สามปีก่อนเขาได้รับรู้ว่าฉิงเฟิงซีบาดเจ็บสาหัส เขาได้ทำการท้าทายพี่ใหญ่จินด้วยความโกรธ แม้ว่าจะทำการแก้แค้นไม่สำเร็จ แต่เขาก็จะไม่ล้มเลิกการแก้แค้นนี้อย่างแน่นอน นอกจากนั้นเขายังมอบฟู่หงจางให้กับฉิงเฟิงซีเพื่อตอบแทนที่เขาดูแลเจ้าอ้วนมานานหลายปี


ในตอนแรกฉิงเฟิงซีไม่ต้องการของล้ำค่าเช่นนี้จากเจ้าอ้วน แต่สุดท้ายแล้วเขาได้พ่ายแพ้ความพยายามของเจ้าอ้วนพร้อมกับรับมันไว้อย่างไม่มีทางเลือก หลังจากผ่านไปสามปีเจ้าอ้วนคิดว่าอาการบาดเจ็บของฉิงเฟิงซีคงจะดีขึ้นไม่มากก็น้อย


หลังจากหานหลิงเฟิงได้ยินเช่นนั้น นางตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “อาวุโสฉิงเฟิงซีตอนนี้แข็งแรงมากเพราะว่ายาฟู่หงจางของเจ้า เขาสามารถเข้าสู่ระดับจินตันได้อย่างง่ายดาย ในตอนนี้เขากำลังปรับเสถียรภาพของพลังอยู่ คงอีกไม่นานที่เขาจะกลับออกมา! ว่ากันว่านักบวชฮัวอวิ๋นให้ความสำคัญกับเขาเป็นอย่างมาก!”


เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาอดคิดกับตนเองไม่ได้ ‘นักบวชฮัวอวิ๋นไม่ได้สนใจเขาเท่าไหร่นัก เขาสนใจข้า เพียงแต่เขาต้องการใช้ฉิงเฟิงซีเพื่อที่จะแสดงความปรารถนาดีต่อข้าเท่านั้น! ตอนนี้เขากำลังทำให้ข้าติดหนี้บุญคุณเขาอย่างไม่สิ้นสุด จิ้งจอกเฒ่าตนนี้ช่างร้ายกาจยิ่งนัก!’


เมื่อคิดเช่นนี้ เจ้าอ้วนไม่มีอารมณ์จะกล่าวอะไรอีกต่อไป ตอนนี้เขาถูกกระตุ้นขึ้นมาอีกครั้งโดยลิ้นของมู่ซื่อหรง เจ้าอ้วนอุ้มหานหลิงเฟิงขึ้นมาจากนั้นการต่อสู้จึงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง


แต่ในขณะนั้นทั้งสามคนได้ยินเสียงถีบประตูดังลั่น


“ไขมันบัดซบ บิดาของเจ้ามาแล้ว!” สำหรับเสียงนั้นเป็นใครอื่นไม่ได้นอกจากเหล่าพี่น้องทั้งสี่


แน่นอนว่าทั้งสี่คนตกอยู่ในอาการมึนงงอย่างสมบูรณ์ สถานการณ์ภายในห้องนั้นช่างรุนแรงเกินจะกล่าว และไม่ควรอย่างยิ่งที่พวกเขาจะเข้ามาเห็นเช่นนี้


ชายหญิงสามคนเปลือยกายอยู่ เจ้าอ้วนนอนอย่างสบายอารมณ์อยู่บนเตียง มู่ซื่อหรงอยู่ระหว่างขาของเขาและใช้ปากดูแลมังกรของเจ้าอ้วนอย่างดุเดือด สำหรับหานหลิงเฟิงนั้นนั่งอยู่บนอกของเจ้าอ้วน และเขากำลังขยี้หน้าอกของนางอยู่ ในตอนนี้เป็นเวลากลางวันแสก ๆ ใครจะคิดกันว่าพวกเขาทั้งหมดจะได้เห็นภาพเช่นนี้?


ไม่ช้า เมื่อทั้งสามคนเรียกสติของตนเองกลับมา หานหลิงเฟิงกรีดร้องออกพร้อมกับที่เจ้าอ้วนคำรามลั่นพร้อมกับนำผ้าห่มคลุมหญิงสาวทั้งสองไว้ แต่มู่ซื่อหรงยังคงใช้ปากกับมังกรของเจ้าอ้วนอย่างต่อเนื่อง ทำให้เหล่าสี่พี่น้องนั้นทำตัวไม่ถูก รอยยิ้มที่ยั่วยวนของนางทำให้น้องชายของสี่พี่น้องลุกยืนทันที


ตอนนี้เจ้าอ้วนไม่ได้ห้ามปรามมู่ซื่อหรง หลังจากเสร็จสิ้นแล้ว เขาลุกขึ้นพร้อมกับสวมชุดคลุมอย่างรวดเร็วและยืนอยู่เบื้องหน้าทั้งสี่คน


“คนหัวล้านทั้งสี่อยากตายงั้นหรือ?” เจ้าอ้วนตะโกน แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดคนไหนสามารถอดทนได้เมื่อหญิงสาวของเขาถูกจ้องมองโดยผู้อื่น


ดังนั้นในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาปล่อยหมัดออกไปทันทีโดยไม่รอฟังคำอธิบายใด


แต่ทั้งสี่คนก็ไม่ได้คิดจะอธิบายสิ่งใดอยู่แล้ว พี่ใหญ่จินเข้าสู่ระดับจินตันแล้ว ในตอนนี้กำลังเผชิญหน้ากับหมัดของเจ้าอ้วน แม้ความแข็งแกร่งของเจ้าอ้วนจะสามารถอดทนต่อทัณฑ์สวรรค์ได้ แต่เขาสามารถต่อสู้กับผู้ฝึกตนเพาะกายที่เหนือกว่าเขาได้เพียงนิดหน่อยเท่านั้น หลังจากทั้งคู่ปะทะกันทั้งสองถอยออกมาสองถึงสามก้าวทำให้เกิดหลุมขนาดใหญ่ขึ้นบนพื้น


พลังของหมัดที่เจ้าอ้วนส่งออกไปทำให้เกิดพายุขึ้นภายในห้องทำลายข้าวของทุกอย่าง มู่ซื่อหรงและหานหลิงเฟิงอยู่ในสภาพที่น่าเวทนายิ่งนัก


แต่เหล่าสี่พี่น้องไม่ได้รับอันตรายใดๆ อีกทั้งพวกเขายังหัวเราะอย่างสบายใจ


“เด็กน้อยเอ๋ย เจ้าช่างโชคดีอะไรเช่นนี้!” พี่รองยินกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “แม้แต่ศิษย์น้องผู้มีชื่อเสียงอย่างมู่ซื่อหรงยังใช้ปากบริการเจ้าเลย! เจ้ามันช่างมันน่ากลัวจริงๆ!”


“แต่หานหลิงเฟิงนั้นก็ถือว่าไม่เลว ร่างกายของนางช่างงดงามยิ่งนัก!” น้องเล็กเที่ยกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย


“ไม่ว่านางจะงดงามถึงเพียงใด นางก็เป็นเพียงหญิงสาวสำส่อนที่ถูกทำลายโดยเจ้าไขมันบัดซบนี้!” ถงกล่าวออกมาพร้อมกับหัวเราะอย่างเย็นชา “ใครจะไปคิดว่าหลังกำแพงนี้ นางจะกล้าทำเรื่องเช่นนี้ในเวลากลางวัน!”


เมื่อหานหลิงเฟิงได้ยินเช่นนั้น นางโกรธจัดทันที เจ้าอ้วนเช่นกัน เขาตะโกนออกมาดังลั่น “เจ้าพวกหัวล้านสารเลว พวกเจ้าทั้งหมดจะต้องตายตกไปในวันนี้!”


ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาโบกมือพร้อมกับเรียกดาบแห่งธาตุทั้งห้าออกมา ดาบทั้งห้าเล่มพุ่งเข้าใส่เหล่าสี่พี่น้องราวกับคลื่นยักษ์โหมซัด!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม