Chaotic Lightning Cultivation โกลาหลแห่งอัสนีบาต 189-195

 บทที่ 189: สงครามน้ำลาย


“ประเสริญนักเด็กน้อย ในที่สุดเจ้าก็ออกจากการเก็บตัวฝึกฝนเสียที!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาพร้อมกับหัวเราะอย่างชื่นใจ


คุณชายใหญ่กับคุณชายรองพยักหน้า จากนั้นคุณชายใหญ่กล่าวออกมา “ข้าได้ยินมาว่ามีอัจฉริยะแห่งสำนักเสวียนเทียนนามว่าซ่งจง ชายหนุ่มอายุน้อยที่สามารถฝึกฝนสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ได้ อีกทั้งพรสวรรค์ยังโดดเด่นมากเมื่อครั้งที่เข้าไปล่าผลไม้วิญญาณ ในวันนี้ข้าได้พบกับเจ้าแล้ว ชื่อเสียงเหล่านี้เป็นของเจ้าอย่างแท้จริง!”


“ท่านกล่าวเกินไปแล้ว มันเป็นเพียงเรื่องธรรมดาทั่วไปเท่านั้น!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้มที่เจียมตัว


“ทั่วไปงั้นหรือ?” เมื่อคุณชายรองได้ยินเช่นนั้น เขาตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าทำให้ศิษย์ของข้าพิการเพียงแค่การปล่อยหมัดธรรมดาน่ะหรือ? นี่เจ้ากำลังแสร้งทำเป็นต่ำต้อยหรือจงใจให้ศิษย์ของข้าเป็นขยะกันแน่?”


ในขณะที่เขากล่าวออกมาเช่นนั้น การแสดงออกของจินยินถงเที่ยเปลี่ยนไปทันที


อย่างไรก็ตาม เจ้าอ้วนทำได้เพียงตอบกลับอย่างสงบ “ข้าจะกล้ากล่าวหาว่าศิษย์ของท่านเป็นขยะได้อย่างไร! อันที่จริงแล้วศิษย์ของท่านสูงใหญ่และหน้าตาเฉลียวฉลาด แม้ว่าจะมองข้ามในส่วนของด้านบนไปแล้ว ไม่ว่าข้าจะมองยังไงพวกเขาก็ดูเหมือนเหล่าอัจฉริยะ!”


ในขณะที่เจ้าอ้วนพูดออกมาเช่นนั้น ใบหน้าของทุกคนแตกหักออกเป็นเสี่ยงๆ แต่การใช้คำว่า ‘จะดูฉลาดมากถ้าไม่สนใจด้านบน’ ทำให้ใบหน้าของทั้งสี่บิดเบี้ยวอย่างรวดเร็ว


ทั้งสี่คนไม่ใช่คนโง่เขลา พวกเขาเข้าใจการเหยียดหยามของเจ้าอ้วนได้อย่างรวดเร็ว ใบหน้าของพวกเขาทั้งหมดแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงพร้อมทั้งเส้นเลือดปูดขึ้นทั่วทั้งร่างกาย ถ้าหากไม่เห็นแก่ใบหน้าของอาวุโสของเขา ในขณะนี้ทั้งหมดแทบจะพุ่งเข้าโจมตีเจ้าอ้วนแล้ว


เมื่อเห็นว่าเจ้าอ้วนกล้าหาญที่จะดูหมิ่นศิษย์ต่อหน้าตนเอง คุณชายรองโกรธจัดทันที มือของเขาเริ่มเคลื่อนไหวราวกับว่าต้องการจะสั่งสอนบทเรียนให้กับเจ้าอ้วน


แต่คุณชายใหญ่ได้หยุดมือของเขาไว้พร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “คำพูดของเจ้าช่างคมคายยิ่งนัก แต่พลังที่เจ้าใช้เตะยินนั้นน้ำหนักของมันคงอยู่ราวหนึ่งพันจิน ร่างกายของเจ้าช่างเหมาะสมแก่การเพาะกาย เสียดายที่เจ้ากลายเป็นผู้ฝึกตนสายฟ้าไปเสียแล้ว”


ช่วงเวลาที่ทุกคนได้ยินว่าเจ้าอ้วนใช้พลังเท่าใดในการเตะครั้งนั้น ใบหน้าของทุกคนซีดลงทันทีพร้อมกับรู้สึกหนาวเย็นขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่


ท่าทีของเจ้าอ้วนเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่เขากลับคืนสติอย่างรวดเร็วพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านชมข้าเกินไปแล้ว อันที่จริงข้าไม่ได้แข็งแกร่งอะไร ข้าเพียงเตะออกไปมั่ว ๆ เท่านั้น แต่ไม่เคยคาดคิดว่าน้องชายผู้นี้จะอ่อนแอขนาดนี้…”


เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้น เขาโกรธจัดแทบจะกระอักเลือดตายอยู่ตรงนั้น ร่างกายของผู้ฝึกตนประเภทเพาะกายที่อยู่ในระดับปฐมภูมิขั้นสุดท้ายนั้นแข็งแกร่งเกินกว่าที่อาวุธธรรมดาจะโจมตีได้ อย่างไรก็ตามเจ้าอ้วนกลับกล่าวเช่นนี้นั่นแปลว่ากำลังกล่าวล้อเลียนพวกเขาอยู่หรือไม่?


คุณชายใหญ่และคุณชายรองโกรธเจ้าอ้วนโดยสมบูรณ์ อย่างไรก็ตามนักบวชฮัวอวิ๋นเป็นผู้เดียวที่กำลังร่าเริงอยู่ในขณะนี้ ซึ่งเหตุการณ์นี้ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะหัวเราะเช่นเขาอีกแล้ว เลยกลายเป็นเขาที่หัวเราะอย่างมีความสุขอยู่เพียงผู้เดียว


แม้ว่าจะสถานการณ์จะเป็นเช่นนี้ เจ้าอ้วนก็ยังรู้สึกไม่หนำใจ เขายังคงกล่าวต่อไป “มันคงเป็นความผิดพลาดของข้าเอง ข้าขออภัยจริง ๆ มันเป็นความผิดของข้าเอง แต่ไม่ต้องกังวลไป ถ้าหากในอนาคตข้าได้ต่อสู้กับศิษย์ของท่าน ข้าจะระมัดระวังความแข็งแกร่งของตนเองให้มากกว่านี้เพื่อไม่ให้กระดูกของพวกเขาแตกหัก ความสัมพันธ์ของเราจะได้ไม่เลวร้ายไปมากกว่านี้!”


ในขณะที่เจ้าอ้วนกล่าวเช่นนั้น ทุกคนที่อยู่ภายในบริเวณไม่อาจอดกลั้นต่อไปได้ พวกเขาทั้งหมดระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง โดยเฉพาะเหล่าศิษย์ของนักบวชฮัวอวิ๋น พวกเขาหัวเราะอย่างไม่ลืมหูลืมตา แน่นอนเพราะพวกเขานั้นทุกข์ทรมานจากบุคคลทั้งสี่มานานหลายวัน ไม่มีผู้ใดที่อยู่ในระดับปฐมภูมิสามารถต่อกรกับพวกเขาได้ ทั้งสี่คนทำร้ายศิษย์ภายในสำนักมากมายเพียงแค่เขามีบุคคลใหญ่โตหนุนหลังอยู่ อีกทั้งฉิงเฟิงซียังไม่สามารถต่อกรกับพวกเขาได้อีกต่อไปเนื่องจากเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้


ในตอนนี้เจ้าอ้วนเรียกร้องที่จะแก้แค้น แน่นอนว่าบุคคลเหล่านี้จะต้องมีความสุขอย่างมากและกำลังหัวเราะอย่างตื้นตันใจ


ตรงข้ามกัน คุณชายใหญ่และคุณชายรองโกรธจัด เหล่าพี่น้องทั้งสี่ก็ไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป พวกเขาคำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด “เจ้าก้อนไขมัน เจ้ากล้าที่จะดูถูกพวกเรางั้นหรือ?”


เจ้าอ้วนกล่าวออกมาด้วยใบหน้าที่ไม่ใส่ใจพร้อมแสดงท่าทีรังเกียจ “ข้ากำลังกล่าวกับอาวุโสอยู่ ทำไมเจ้าจะต้องแทรกเข้ามาด้วย? เหตุใดเจ้าจึงไม่มีมารยาทขั้นพื้นฐานตามที่ศิษย์แห่งความชอบธรรมควรจะมี?”


เมื่อพี่น้องทั้งสี่ได้ยินเช่นนั้น พวกเขาแทบจะตายตกไปเพราะความโกรธและต้องการที่จะโจมตีเจ้าอ้วน แต่ว่าพี่ชายคนโตคือจินได้หยุดเอาไว้ก่อน ก่อนอื่นที่ต้องรู้คือสถานที่แห่งนี้คือห้องโถง ถ้าหากเปิดฉากการโจมตีตรงนี้ พวกเขาทั้งหมดจะถูกตั้งข้อหาโดยอาวุโสทันที อาชญากรรมเช่นนี้สามารถส่งพวกเขาทั้งหมดให้เข้าสู่โลกที่มืดมิดได้ยาวนานนับสิบปี!


เมื่อยินหยุดมือลงแล้ว คุณชายรองไม่สามารถอดทนเก็บความโกรธนี้ได้อีกต่อไป เขาชี้ไปที่เจ้าอ้วนและกล่าวว่า “ไขมันบัดซบจงไป…”


ก่อนที่เขาจะกล่าวจบประโยค คุณชายใหญ่เปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็วและยกมือขึ้นตบที่มือของเขาพร้อมทั้งตะโกนออกมาอย่างโกรธจัด “เจ้าคิดที่จะโจมตีเด็กที่อ่อนแอกว่างั้นหรือ!”


คุณชายรองตกใจจนตัวสั่นแต่กลับสู่ความสงบอย่างรวดเร็ว ถ้าหากเขาโจมตีศิษย์แน่นอนว่ามันจะเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ ในขณะนั้นแน่นอนว่านักบวชฮัวอวิ๋นจะใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์นี้เพื่อขับไล่ทั้งสองออกไป


ต้องเข้าใจก่อนว่ากฎต่าง ๆ ที่ถูกตั้งขึ้นในสำนักเสวียนเทียนนั้นไม่อาจขัดขืนได้ ตัวอย่างเช่น การข่มขู่บุคคลที่อ่อนแอกว่า ถ้าหากศิษย์พี่โจมตีศิษย์น้องในขณะที่ศิษย์น้องไม่ได้ดูหมิ่นอันใด นั่นเป็นการทำผิดกฎอย่างใหญ่หลวง นักบวชฮัวอวิ๋นคิดจะใช้กฏเหล่านี้เพื่อจัดการกับพวกเขา ถ้าหากเรื่องราวใหญ่โตจนสามารถขึ้นไปถึงเบื้องบนได้ แน่นอนว่าบุคคลที่จะต้องถูกตำหนิคือคุณชายใหญ่และคุณชายรอง เมื่อสิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้น แน่นอนว่ามันจะสร้างปัญหาให้กับพวกเขาอย่างไม่รู้จบ


ด้วยเหตุนี้เองจึงเป็นเหตุผลที่ไม่มีผู้ฝึกตนระดับจินตันคนไหนกล้าที่จะลงไปยุ่งกับเหล่าสี่พี่น้องนี้หลังจากที่พวกเขาทำให้ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิฉิงเฟิงซีบาดเจ็บสาหัส แม้ว่าฉิงเฟิงซีนั้นอยู่ในระดับที่ใกล้จะก้าวเข้าสู่ระดับจินตันแล้ว แต่กฏของสำนักก็ไม่สามารถเอื้อให้ข้ามระดับขั้นกันได้ แม้ว่าเหล่าอาวุโสจะสามารถจัดการอย่างเป็นการลับได้ แต่อย่างไรแล้วการโจมตีผู้ที่อ่อนแอกว่าย่อมไม่ใช่สิ่งที่อาวุโสควรทำ


ดังนั้นเหล่าพี่น้องทั้งสี่ที่พลังอยู่ระดับปฐมภูมิ จึงสามารถจัดการกับผู้ใดก็ตามที่เขาไม่ชอบหน้าที่อยู่ในระดับเดียวกัน ในตอนนี้เจ้าอ้วนกลับใช้จุดนี้เพื่อเยาะเย้ยพวกเขาทั้งสี่คน! ถ้าหากเขาเดินตามเกมส์ที่เจ้าอ้วนวางไว้ แน่นอนว่าพวกเขาจะติดกับทันที! เจ้าอ้วนต้องการที่จะแก้แค้นให้กับฉิงเฟิงซีจนแทบไม่สามารถที่จะอดทนรอการต่อสู้ที่จะเกิดได้แล้ว!


เห็นได้ชัดว่าคุณชายใหญ่นั้นฉลาดมากและเข้าใจเจตนาของเจ้าอ้วนที่ต้องการจะต่อสู้ นอกจากนี้เขายังมองเห็นศักยภาพที่น่ากลัวของเจ้าอ้วน ในระดับผู้ฝึกตนขั้นเดียวกัน ระดับขั้นไม่ใช่ทั้งหมดของการต่อสู้ มันรวมไปถึงอุปกรณ์วิเศษและเคล็ดวิชาการฝึกฝนอีกด้วยที่เป็นตัวแปรสำคัญ


เหล่าพี่น้องทั้งสี่นั้นมีชื่อเสียงในหมู่ผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิเพราะพวกเขานั้นแข็งแกร่งกว่าใคร อีกทั้งยังได้รับการเลี้ยงดูจากคุณชายทั้งสองตั้งแต่ยังเล็ก พวกเขาได้แช่ตัวในสมุนไพรที่เป็นเลิศทุกวัน หลังจากที่ดื่มน้ำสมุนไพรและทำเช่นนี้มานานนับสองสามทศวรรษพวกเขาจึงประสบความสำเร็จ


อย่างไรแล้ว ตอนนี้พี่น้องลำดับที่สอง หรือก็คือยินนั้นกลายเป็นบุคคลพิการโดยการเตะเพียงครั้งเดียวจากเจ้าอ้วน กล่าวก็คือเจ้าอ้วนไม่ได้พ่ายแพ้ต่อเหล่าพี่น้องทั้งสี่เลยในเรื่องของความแข็งแกร่งทางกายภาพและอาจจะได้เปรียบเสียด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตามสิ่งที่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีกนั่นคือเจ้าอ้วนเป็นผู้ฝึกตนประเภทสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์ แน่นอนว่าเขาจะต้องมีสายฟ้าและสมบัติวิเศษอย่างดีเพื่อใช้งาน เมื่อพิจารณาปัจจัยเหล่านี้ทั้งหมด เหล่าพี่น้องทั้งสี่มีโอกาสที่จะชนะเขาสักเท่าไหร่กัน?


ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ แน่นอนว่าคุณชายใหญ่จะไม่ยอมให้ศิษย์ของตนต่อสู้แน่นอน ถ้าไม่เช่นนั้นลูกศิษย์ของเขาจะต้องถูกเจ้าอ้วนทุบตีจนตายเป็นแน่ มันไม่ง่ายเลยที่จะสร้างทั้งสี่คนมาได้ถึงจุดนี้ เขาคงจะต้องแบกรับความปวดหัวอย่างมากถ้าหากมีคนใดคนหนึ่งพิการและอีกหนึ่งคนจะต้องตายตกไป เขาจะสามารถปล่อยให้สมบัติของตนตายตกไปได้อย่างไร?


จากนั้นหลังจากที่คุณชายใหญ่ได้หยุดมือของคุณชายรองแล้ว เขากล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “แม้ว่าศิษย์ของเราจะอ่อนแอ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องสอนบทเรียนให้กับเขา ข้าขอถามเจ้าเพียงคำเดียว ทำไมเจ้าต้องทำให้ยินพิการด้วย? ถ้าหากเจ้าไม่สามารถอธิบายมันได้ ก็จงยินยอมที่จะรับโทษตามกฎของสำนักเถิด!”


เห็นได้ชัดเจนว่าคุณชายใหญ่นั้นฉลาดกว่าคุณชายรอง แม้ว่าเขาต้องการที่จะจัดการเจ้าอ้วนด้วยตนเอง แต่ในตอนนี้เขาต้องหาช่องโหว่เพื่อที่จะป้องกันไม่ให้นักบวชฮัวอวิ๋นเขามาแทรกแซงได้


คุณชายใหญ่มองสถานการณ์ทุกอย่างได้ชัดเจน เขาไม่เคยคิดว่าศิษย์ของเขาจะเป็นผู้ที่กระทำผิดก่อน


เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาเปลี่ยนท่าทีทันทีพร้อมกับอธิบาย “มันเป็นเพียงความเข้าใจผิด!”


“มันเป็นความเข้าใจผิดแบบไหนกัน?” คุณชายใหญ่กล่าวออกมาอย่างใจเย็น


“เรื่องนั้น…” เจ้าอ้วนแสร้งทำเป็นพูดไม่ออกพร้อมขมวดคิ้ว “มันเป็นเช่นนี้ ข้ากำลังฝึกตนอยู่ที่บ้านของตนเองแต่ถูกรบกวนโดยเสียงกรีดร้องของสตรี เมื่อข้ามองออกมาด้านนอก ข้ามองเห็นคนหัวล้านกำลังข่มขืนน้องสาวของข้า ในสถานการณ์เช่นนั้นข้าคิดว่าเหล่าศิษย์จากสำนักปีศาจได้ลักลอบเข้ามาสร้างปัญหาในสำนักเสวียนเทียน ดังนั้นข้าจึงเตะเขาออกไป ข้าไม่เคยคิดว่าเขาจะเป็นศิษย์ของท่าน ถ้าหากข้ารู้แน่นอนว่าข้าคงไม่ทำร้ายเขาเช่นนี้!”


เมื่อคุณชายใหญ่ได้ยินเช่นนั้น เขารู้สึกว่าใบหน้าของเขามืดดำทันทีพร้อมกับโกรธจัด หลังจากนั้นเขาคำรามอย่างเกรี้ยวกราดไปที่ยินซึ่งเป็นผู้ต้องหาในครั้งนี้ “พูดมา! เกิดอะไรขึ้น?”


“อาจารย์ ข้าบริสุทธิ์!” ยินอธิบาย “หานหลิงเฟิงต่างหากที่มาหลงรักข้าและล่อลวงให้ข้าทำเช่นนั้น!”


“โกหก!” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาโกรธจัดทันที “หานหลิงเฟิงเป็นผู้หญิงของข้า แม้ว่านางจะไปล่อลวงผู้ใดสักคนแน่นอนว่านางจะต้องทำมันในที่ลับ เหตุผลใดกันที่นางจะต้องนำบุคคลอื่นมาที่บ้านของข้า? เจ้านั้นเหมือนจะฉลาด แต่เหตุใดจึงกลับสร้างคำโป้ปดที่แสนเขลาเช่นนั้นออกมา?”


ในขณะที่เจ้าอ้วนยอมรับความสัมพันธ์ของตนเองกับหานหลิงเฟิง ทุกอย่างวุ่นวายทันที อย่างไรก็ตามทุกคนเห็นด้วยกับเจ้าอ้วนที่นางไม่มีเหตุผลใดที่จะพาชายอื่นไปกระทำเรื่องราวที่บ้านของเขา ดังนั้นเห็นได้ชัดว่ายินกำลังโกหก ชัดเจนว่าเขาต้องการจะข่มขืนนางและบังคับให้นางเข้าไปในสถานที่แห่งนั้น


เมื่อทั้งหมดเข้าใจสถานการณ์แล้ว พวกเขาโกรธจัดทันที คุณชายใหญ่และคุณชายรองกระวนกระวายใจทันทีกับสถานการณ์เช่นนี้


ทุกคนรู้ดีว่าเหล่าสำนักแห่งความชอบธรรมจะไม่ยอมให้เกิดการขืนใจทางเพศเด็ดขาด ในตอนนี้ยินพยายามที่จะข่มขืนสตรีผู้นั้นจริง ๆ อีกทั้งยังพยายามที่จะโกหกว่าเขาถูกล่อลวง ซึ่งนี่ทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลงไปอีกขั้น! ตามกฎของสำนักแล้วแน่นอนว่าในตอนนี้เขาได้ตายไปแล้ว! หลังจากที่ได้รับการสนับสนุนด้วยสมุนไพรชั้นดีมาเนิ่นนานหลายทศวรรษจากคุณชายใหญ่และคุณชายรองเพื่อสร้างพวกเขาทั้งสี่ขึ้นมา ในตอนนี้พวกเขากำลังจะสูญเสียกำลังไปหนึ่งคน แน่นอนว่าความเจ็บปวดเกิดขึ้นในหัวใจทั้งหมดอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง สิ่งที่ทำให้พวกเขาทั้งหมดรู้สึกแย่มากนั่นก็คือชื่อเสียงที่พวกเขาสั่งสมมา! ทั้งหมดพังทลายลงจากความหน้ามืดของยิน ไม่เพียงแต่เขาไม่สามารถรักษาชีวิตของตนเองไว้ได้ แม้แต่เหล่าอาจารย์ก็ยังไม่สามารถรักษาชื่อเสียงของตนไว้ได้เพียงเพราะไม่มีความเข้มงวดกับศิษย์ของตน! ถ้าหากเรื่องเหล่านี้แพร่กระจายออกไป แน่นอนว่าชื่อเสียงของพวกเขาจะป่นปี้และเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะจากผู้คนทั้งโลก ในตอนนี้สิ่งที่พวกเขาจะทำได้ก็คือการยอมรับความพ่ายแพ้!


บทที่ 190: ท้าทายคนหัวล้าน


แม้ว่าทั้งหมดจะตกใจ แต่นักบวชฮัวอวิ๋นไม่รู้สึกเช่นนั้น หลังจากที่เขาถูกปราบปรามโดยคุณชายใหญ่และคุณชายรองมายาวนานนับหนึ่งปี เขาจะปล่อยโอกาสเช่นนี้ไปได้อย่างไร? จากนั้นเขาจึงตะโกนออกมาอย่างรวดเร็ว “ข้าไม่เคยคิดเลยว่าสำนักแห่งความชอบธรรมจะมีศิษย์ที่น่ารังเกียจเช่นนี้ เด็กน้อยเอ๋ยเจ้าได้ทำลายชื่อเสียงของสำนักเราเสียย่อยยับและไม่สามารถปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่ต่อไปได้!”


“เรื่องนั้น…” คุณชายรองรู้สึกกังวลจนไม่อาจกล่าวสิ่งใดออกมาได้


แต่คุณชายใหญ่ยังคงมีไหวพริบและกล่าวออกมาพร้อมกับหัวเราะ “ฮ่าฮ่า แม้ว่ายินจะมีอารมณ์ที่แปรปรวนไปบ้าง แต่ว่าบุคลิคของเขายังคงเป็นเลิศ ข้าคิดว่าเรื่องนี้เป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น”


“เข้าใจผิดงั้นหรือ?” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาพร้อมกับหัวเราะอย่างเยือกเย็น “เขาเข้ามาในบ้านของข้าอย่างไร้เหตุผลและทำร้ายสตรีของข้า มันเป็นความเข้าใจผิดแบบใดกัน? อย่าบอกนะว่าข้าเป็นคนลากเขาเข้ามาที่บ้านของข้าเอง?”


คุณชายใหญ่รู้ดีว่าเขาจะต้องพ่ายแพ้และสูญเสียทุกอย่างถ้าหากเขาทะเลาะกับเจ้าอ้วนในตอนนี้ ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจเจ้าอ้วนและทำการพูดคุยแบบลับ ๆ กับนักบวชฮัวอวิ๋น “ศิษย์พี่เรื่องนี้สามารถพิจารณาในภายหลังได้หรือไม่? ให้ข้าสอบสวนศิษย์ของข้าก่อน ในขณะที่เรากำลังสอบสวนเรื่องนี้ท่านสามารถให้ศิษย์ของท่านเข้าใช้งานโถงอัคคีเทวะได้ วิธีเช่นนี้เป็นอย่างไร?”


เมื่อนักบวชฮัวอวิ๋นได้ยินเช่นนั้น เขาเปลี่ยนท่าทางทันที ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่าเขานั้นเสียเปรียบมานานนับปี เขาต้องสูญเสียสถานที่ต่าง ๆ ที่เป็นผลกำไรของตนเอง และโถงอัคคีเทวะก็เป็นหนึ่งในนั้น ถ้าเขาสามารถเอามันกลับมาได้โดยไม่เสียเลือดหรือแขนขาแน่นอนว่ามันก็จะเป็นผลกำไรของเขาเอง


นอกจากนี้เมื่อมองดูความรู้สึกของเจ้าอ้วนแล้ว เขาเห็นว่าเจ้าอ้วนไม่ได้สูญเสียสิ่งใดในเหตุการณ์นี้ อีกทั้งยินยังกลายเป็นคนพิการโดยเจ้าอ้วนก่อนที่เขาจะได้กระทำอะไรลงไป ความจริงอาจกล่าวได้ว่าเจ้าอ้วนนั้นทำเกินไป แต่อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะตัดสินอย่างไร เจ้าอ้วนไม่ควรที่จะรู้สึกกับเหตุการณ์นี้มากเกินไป


หลังจากที่เข้าใจสถานการณ์แล้ว นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม “ฮ่าฮ่า แน่นอน สำนักเสวียนเทียนเป็นสำนักแห่งความชอบธรรมและไม่ควรที่จะมีศิษย์ที่ทำตัวน่ารังเกียจเช่นนี้มาเดินอยู่รอบ ๆ ดังนั้นเราควรจะตรวจสอบเรื่องนี้อย่างถี่ถ้วน!”


เมื่อเห็นว่านักบวชฮัวอวิ๋นตอบรับข้อเสนอ คุณชายใหญ่ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แม้ว่าเขาจะสูญเสียสิ่งสำคัญไปในเวลานี้ แต่มันเป็นการปกป้องชื่อเสียงของตนเอง อีกอย่างคือสถานที่แห่งนั้นเขาสามารถเรียกกลับคืนได้เสมอเมื่อเขาต้องการ แต่ถ้าหากชื่อเสียงของเขาเมื่อป่นปี้ไปแล้ว มันจะคงอยู่เช่นนั้นไปตราบชั่วชีวิตของเขา แน่นอนว่าในตอนนี้เขาจะต้องลดระดับความสูญเสียให้มากที่สุด


ดังนั้นคุณชายใหญ่ยิ้มออกมาอย่างสุภาพ “ถ้าหากเป็นเช่นนี้ ข้าขอขอบคุณศิษย์พี่เป็นอย่างยิ่ง!”


“ไม่เป็นไร!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาอย่างมีความสุข จากนั้นทั้งสองคนหัวเราะออกมาอย่างร่าเริง


แม้ว่าตอนนี้ทั้งสองคนจะพอใจ แต่เจ้าอ้วนไม่! อย่างไรก็ตามมันก็ไม่เหมาะถ้าหากเขาจะไม่ยอมรับการตัดสินใจของนักบวชฮัวอวิ๋น ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาพร้อมกล่าวว่า “เป็นเช่นนั้น ลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ไปก่อน นับจากนี้ข้าจะทำเป็นไม่สนใจเรื่องพวกนี้ก็แล้วกัน แต่ข้ามีเรื่องอื่นที่ต้องการจะถามเหล่าสี่พี่น้องในตอนนี้!”


เมื่อจินพี่ชายคนโตได้ยินเช่นนั้น เขาขมวดคิ้วแน่นพร้อมกล่าวว่า “เรื่องอะไร?”


“มันเกี่ยวกับอาจารย์ลุงฉิงเฟิงซีของข้า!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างไม่สบอารมณ์ “อาจารย์ลุงของข้าอาศัยอยู่ในป่ามายาวนานนับยี่สิบปีและดูแลกิจการต่าง ๆ ของวัดเสวียนเทียนซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากของสำนัก! แต่บุคคลที่เต็มไปด้วยความสามารถและมีประโยชน์เช่นเขากลับถูกทำร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัสจากเหล่าคนหัวล้านที่แสนโง่เขลา อย่าบอกข้านะว่าพวกเจ้าไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนทำเรื่องเช่นนี้?”


ในขณะที่ศิษย์ของนักบวชฮัวอวิ๋นได้ยินเช่นนั้น พวกเขารู้ได้ทันทีว่าการแสดงฉากใหม่ได้เริ่มขึ้นแล้วและเฝ้ารอกันอย่างตื่นเต้น


แต่เหล่าคนที่เป็นศิษย์ของคุณชายใหญ่ต่างขุ่นเคือง โดยเฉพาะคุณชายใหญ่เอง เขารู้สึกหดหู่และคิดในใจ ‘เรื่องราวที่บัดซบ เจ้าไขมันก้อนนี้เป็นอันตรายต่อเรา ฉิงเฟิงซีคือลุงอาวุโสของเขา ให้ตายเถอะ นี่เป็นปัญหาเสียแล้ว! คอยดูเถอะเด็กน้อยเรื่องนี้จบไม่สวยแน่นอน!’


เจ้าอ้วนไม่ใช่คนเดียวที่รู้สึกไม่พอใจในตอนนี้ พี่คนโตจินก็รู้สึกต้องการสะสางกับเจ้าอ้วนเช่นกัน ในขณะที่เขาได้ยินเจ้าอ้วนเรียกว่าหัวล้าน เขาไม่สามารถสะกดอารมณ์ไว้ได้พร้อมกับตะโกนออกมาทันที “ไขมันบัดซบ เจ้าเรียกใครว่าหัวล้านผู้โง่เขลา?”


“เจ้า! ข้าเรียกเจ้า! หัวล้านผู้โง่เขลา!” เจ้าอ้วนไม่ถอยแต่อย่างใดพร้อมกับชี้นิ้วไปที่จินอย่างดุเดือด


“สารเลว!” เมื่อเป็นเช่นนี้ จินจะเก็บความโกรธได้อย่างไร? เขาคำรามออกมาพร้อมกับต้องการที่จะต่อสู้กับเจ้าอ้วน แต่เขาถูกปราณจิตวิญญาณของคุณชายใหญ่หยุดไว้


คุณชายใหญ่กล่าวกับเจ้าอ้วนอย่างใจเย็น “ซ่งจง ข้าเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับอาจารย์ลุงของเจ้า แต่มันเป็นเพียงอุบัติเหตุเท่านั้น เจ้าควรเก็บความไม่พอใจนี้ไว้ในใจเท่านั้น!”


“ข้ารู้สึกไม่พอใจงั้นหรือ?” เจ้าอ้วนทวนคำซ้ำพร้อมกล่าวต่อ “อาวุโส ข้าขอสาบานว่าข้าไม่ได้รู้สึกไม่พอใจแม้แต่นิดเดียว ข้าเพียงต้องการต่อสู้อย่างยุติธรรมกับศิษย์พี่ที่นี่! ได้มีข่าวลือออกมามากมายว่าไม่มีผู้ใดในสำนักเสวียนเทียนสามารถเอาชนะเขาได้! ข้าหวังว่าท่านจะไม่ปฏิเสธคำขอเล็กน้อยเช่นนี้”


สำหรับคุณชายใหญ่เมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาหัวเราะออกมาอย่างขื่นขม “เจ้าคิดผิดแล้วเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้ว่าจินจะสามารถรอดพ้นจากบางคน แต่เขาไม่ใช่บุคคลที่เป็นอมตะ อย่างน้อยเขาก็ไม่อาจเอาชนะแม่นางฉุ่ยจิ้งได้”


ความจริงในขณะที่คุณชายใหญ่กำลังกล่าวเช่นนั้นเพียงเพื่อที่ต้องการจะเดินหน้าต่อไป และให้เจ้าอ้วนละทิ้งเรื่องราวไปซะ เขาไม่ต้องการให้เจ้าอ้วนทำให้ศิษย์ของเขาพิการอีกครั้ง


อย่างไรก็ตาม คุณชายใหญ่ได้ประเมิณความแค้นของเจ้าอ้วนน้อยเกินไป ในขณะที่เขาได้ยินสิ่งที่คุณชายใหญ่พยายามอธิบาย เขาแกล้งทำเป็นประหลาดใจและกล่าวออกมา “เขากล้าที่จะต่อสู้กับศิษย์น้องฉุ่ยจิ้งงั้นหรือ? ช่างเป็นความกล้าหาญที่ไม่อาจมองข้าม!”


เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น ทุกคนโดยรอบระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง ก่อนหน้านั้นดูเหมือนว่าพี่ใหญ่จินจะได้รับยาผิดขนานและได้รับการยืนยันว่าเขาได้ต่อสู้กับศิษย์ระดับปฐมภูมิคนสำคัญ เขาเปรียบเสมือนยืนอยู่เป็นตัวแทนบุรุษทุกคนและเขาอยู่ในจุดที่ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะไปยืนอยู่ตรงหน้าสตรีผู้นั้น


แม้ว่าท่าทีของฉุ่ยจิ้งจะดูสงบมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางเป็นคนขี้ขลาด ในความจริงแล้วนางมีจิตวิญญาณนักสู้ล้นเหลืออยู่ภายในใจ เมื่อใดที่พวกเขาต้องการเผชิญหน้ากับนาง เป็นธรรมดาที่ฉุ่ยจิ้งจะไม่ละเลย แน่นอนว่านางเลือกที่จะต่อสู้โดยไม่ลังเล


ฉุ่ยจิ้งไม่ได้รังแกพวกเขาอีกทั้งยังไม่ได้ใช้สมบัติวิเศษของตนเอง นางใช้เพียงเวทมนตร์วารีธรรมดาเท่านั้น ยังสามารถเอาชนะพี่ใหญ่จินโดยที่เขาเปรียบเสมือนตายตกไปครึ่งหนึ่งแล้ว ความจริงแล้วนี่ไม่ใช่การสั่งสอนเขาแต่อย่างใด พี่ใหญ่จินไม่สามารถแตะต้องเสื้อคลุมของนางได้แม้แต่ปลายเล็บอีกทั้งยังพ่ายแพ้ให้นางในเวลาไม่ถึงชั่วโมง ถ้าหากไม่ใช่ว่าคุณชายใหญ่ออกมาเพื่อหยุดการต่อสู้ แน่นอนว่าพี่ใหญ่จินจะต้องตายตกไปภายใต้มือของฉุ่ยจิ้ง


ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาทั้งสี่พี่น้องรู้ความหมายของคำว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้ามากขึ้นและไม่กล้าที่จะยั่วยุฉุ่ยจิ้งอีกต่อไป แต่หลังจากการต่อสู้มันยังคงทิ้งบาดแผลไว้ในใจของเขาเสมอ วันนี้เจ้าอ้วนกลับล้อเลียนเขาในที่สาธารณะ มันทำให้แผลที่อยู่ภายในจิตใจปริออกอีกครั้งทันที เช่นนี้เขาจะสามารถอดทนได้อย่างไร?


ในขณะที่ทุกคนกำลังหัวเราะ พี่ใหญ่จินร้องออกมาพร้อมกล่าวกับคุณชายใหญ่อย่างน้อยใจ “ท่านอาจารย์ ข้าไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไปแล้ว ขอให้ท่านอาจารย์ได้โปรดเมตตาและยอมให้ข้าไปแสวงหาความยุติธรรมให้กับตนเองเถิด!”


“แสวงหาความยุติธรรมงั้นหรือ?” โดยไม่ต้องรอให้คุณชายใหญ่ตอบกลับ เจ้าอ้วนกล่าวออกมาพร้อมกับหัวเราะเยือกเย็น “เจ้าไม่ใช่คนที่หัวล้านที่โง่เขลางั้นหรือ? เจ้าคิดจะแสวงหาความยุติธรรมจากข้า? นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน! ข้าจะบอกความจริงให้นะ ในสายตาของข้า เจ้าไม่มีอะไรมากไปกว่าหมาตัวหนึ่ง ก็แค่นักเลงคนหนึ่งเท่านั้น!”


“สารเลว เจ้ากล้าที่จะเปรียบเทียบข้ากับสิ่งเหล่านั้นงั้นหรือ?” พี่ใหญ่จินโกรธจัดถึงจุดที่น้ำตาของเขาแทบไหลท่วมทั้งสองแก้ม! ความโกรธทำให้ดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงจ้องไปที่เจ้าอ้วนราวกับพร้อมแล้วที่จะกินเขาเข้าไปทั้งเป็น


เจ้าอ้วนไม่แยแสต่อการกระทำที่เขาแสดงออกมาพร้อมทั้งยังกล่าวต่อ “ข้าสร้างความอัปยศให้กับเจ้างั้นหรือ? ถ้าหากเจ้ายังคิดว่าตนเองเกิดมาเป็นบุรุษ จงออกมาสู้กับข้า ไม่ว่าจะเป็นการต่อสู้ที่จบอย่างมีชีวิตหรือจบที่ความตาย ข้าก็ยินดี!”


“เจ้าแน่ใจ?” พี่ใหญ่จินร้องออกมา


“ข้าย่อมต้องแน่ใจอยู่แล้ว!” เจ้าอ้วนกล่าวพร้อมหัวเราะเย็นเยือก “อีกทั้งข้ายังต้องบอกเจ้าว่า หากข้าต่อสู้กับเจ้าอย่างยุติธรรม ข้าอาจเพียงแค่ทำให้เจ้าพิการ แต่หากเป็นการตัดสินโดยชีวิตเป็นเดิมพัน บิดาของเจ้าผู้นี้จะส่งเจ้าไปเกิดใหม่เสีย! ว่าไป เจ้ารู้หรือไม่ว่าบิดาของเจ้าผู้นี้นามว่าอะไร? จงจดจำไว้ให้ดี ข้าชื่อซ่งจง!”


“ฮ่าฮ่าฮ่า!” เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้น พวกเขาหัวเราะออกมาอย่างไม่อาจกลั้นไว้ แม้แต่ฉุ่ยจิ้งที่ดูสง่างามยังไม่อาจเก็บอารมณ์ไว้ได้ นักบวชฮัวอวิ๋นหัวเราะจนร่างกายของเขาโยกไปมาอย่างไร้การควบคุม ในตอนนี้เขาไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากเฝ้ารอดูการต่อสู้ของเจ้าอ้วนและพี่ใหญ่จินที่กำลังจะเกิดขึ้น แน่นอนว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะเป็นประโยชน์กับเขาอย่างมาก


สำหรับคุณชายใหญ่และคุณชายรองเมื่อได้เห็นเช่นนั้น คิ้วของพวกเขาขมวดเข้าหากันแน่น ทั้งสองรู้ทันทีว่าคำพูดที่อหังการของเจ้าอ้วนทำให้ทั้งสองจนมุมแล้ว การต่อสู้ครั้งนี้ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป! ถ้าหากพวกเขาไม่ยินยอมให้ต่อสู้ แน่นอนว่าพี่ใหญ่จินจะไม่สามารถแบกศีรษะสู้หน้ากับผู้คนได้อีกเป็นแน่ แม้กระทั่งกลุ่มศิษย์ของเขาจะเป็นเรื่องตลกขบขันภายในสำนัก ในตอนนี้เป็นเรื่องของศักดิ์ศรีเข้ามาเกี่ยว ซึ่งไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนี้


ในตอนนี้พี่ใหญ่จินโกรธจัดจนมีจิตสังหารแผ่ออกมาจากร่างกาย เขาก้มลงคำนับตรงหน้าของคุณชายใหญ่พร้อมกับร้องไห้ออกมา “ท่านอาจารย์ ถ้าหากท่านไม่ยอมให้ข้าต่อสู้ ท่านก็ควรสังหารข้าซะ เพราะข้าคงไม่มีใบหน้าไปพบกับผู้อื่นได้อีกแล้วในอนาคต!”


“เฮ้อ!” คุณชายใหญ่ถอนหายใจออกมาอย่างหมดหนทางพร้อมกล่าวว่า “ลืมมันไปเถอะ ถ้าหากเป็นเช่นนี้ ข้าอนุญาตให้พวกเจ้าทั้งสองใช้ลานฝึกซ้อมของสำนักชั้นในเพื่อต่อสู้ในวันพรุ่งนี้!”


ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาจ้องมองไปที่ซ่งจงอย่างไม่พอใจ “เจ้าชื่อซ่งจงใช่หรือไม่? เจ้าเป็นคนฉลาดแต่บนโลกนี้ไม่มีอะไรที่แน่นอน จงอย่ามั่นใจว่าชัยชนะจะเป็นของเจ้า!”


เจ้าอ้วนนั้นไม่กล้าที่จะแสดงความไม่สุภาพ จึงคำนับพร้อมกล่าวว่า “ขอรับ ขอขอบคุณสำหรับคำสั่งสอน!”


“เหอะ!” คุณชายใหญ่ยกกำปั้นและคำนับต่อนักบวชฮัวอวิ๋น “ศิษย์พี่ ศิษย์น้องผู้นี้มีบางอย่างต้องทำและจะขอตัวออกไปก่อน ขอให้เราพบกันในวันพรุ่งนี้อีกครั้งที่ลานฝึกซ้อม!”


“ไม่มีปัญหา พี่ชายผู้นี้ต้องขออภัยที่ไม่ได้ออกไปส่งด้วยตนเอง!” นักบวชฮัวอวิ๋นตอบกลับอย่างสุภาพ


“ท่านสุภาพเกินไปแล้ว!” คุณชายใหญ่และคุณชายรองกล่าวต่ออีกนิดหน่อยพร้อมกับเดินออกไปกับเหล่าศิษย์ของตนเอง


หลังจากพวกเขาออกไปแล้ว ผู้คนที่อยู่ในการดูแลของนักบวชฮัวอวิ๋นทั้งหมดร่ำร้องออกมาอย่างมีความสุข ความแค้นที่ถูกเก็บสะสมมานานกว่าหนึ่งปีกำลังจะถูกยกออกไป นักบวชฮัวอวิ๋นตื่นเต้นกับเหตุการณ์นี้อย่างมากจนเก็บอาการไว้ไม่ไหว เขายืนขึ้นและยกนิ้วให้กับเจ้าอ้วน “เก่งมากเด็กน้อย เจ้าเป็นเหมือนแสงสุดท้ายที่ส่องลงมา พวกเราทั้งหมดซาบซึ้งในบุญคุณของเจ้าอย่างยิ่งในวันนี้!”


“เหอะเหอะ หาไม่ได้ มันเป็นเพียงการหยอกล้อของเหล่าวัยรุ่นเท่านั้น!” เจ้าอ้วนยิ้ม


“ฮ่าฮ่า เลิกถ่อมตัวได้แล้ว!” จากนั้นนักบวชฮัวอวิ๋นกระซิบกับเจ้าอ้วน “ห้องโถงอัคคีเทวะถูกนำกลับมาเป็นของเราโดยเจ้าในวันนี้ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปตราบใดที่มันยังอยู่ในมือของข้า เจ้าสามารถใช้งานมันได้อย่างไม่จำกัดสองที่!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาแอบส่งป้ายหยกสองอันให้กับเจ้าอ้วน


ในขณะที่เจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขารู้ได้ทันทีว่านี่คือรางวัล แม้ว่ามันจะไม่มีประโยชน์กับเขา แต่มันก็เป็นรางวัลที่ดีและสามารถนำไปขายได้ นอกจากนั้นสถานที่อย่างห้องโถงอัคคีเทวะ การเปิดใช้งานมันในห้องที่เป็นขั้นที่ต่ำที่สุดจะต้องใช้หินจิตวิญญาณอย่างน้อยกว่าหนึ่งร้อยก้อนสำหรับหนึ่งวัน และมากที่สุดเป็นจำนวนถึงหนึ่งพันก้อนต่อวัน แต่ในตอนนี้เขามียันต์หยกแล้ว เขาสามารถใช้มันได้อย่างไม่มีข้อจำกัดซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่ดีอย่างยิ่ง!


จากนั้น เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างสบาย ๆ พร้อมรอยยิ้ม “ข้าขอขอบคุณท่านอาจารย์ลุงมาก!”


“ฮ่าฮ่า ไม่ต้องสุภาพกับข้ามากนัก มันเป็นสิ่งที่เจ้าสมควรจะได้รับ!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม หลังจากนั้น เขาโบกมือให้ทุกคนภายในห้องโถงออกไป เหลือไว้เพียงเขากับเจ้าอ้วนสองคนเท่านั้นและถามเขาด้วยรอยยิ้ม “เด็กน้อย เจ้ารู้หรือยังว่าพรุ่งนี้เจ้าจะทำเช่นไร?”


“ข้าจะต้องคิดอะไรงั้นหรือ?” ในขณะที่เจ้าอ้วนกล่าวออกมาเช่นนั้น เขารู้สึกโกรธอย่างช่วยไม่ได้ “มันทำให้ลุงอาวุโสของข้าต้องบาดเจ็บหนัก ข้าจะทำให้มันพิการ!”


“ฮ่าฮ่า แน่นอนว่านี่เป็นการกระทำที่รุนแรงมากสำหรับผู้ฝึกตน! แต่เจ้ายังไม่รู้บางอย่างว่าคุณชายใหญ่และคุณชายรองมีความสามารถในการใช้ยาเป็นอย่างดี นอกจากนี้พี่ใหญ่จินยังเป็นผู้ฝึกตนเพาะกาย ร่างกายของเขานั้นสมบูรณ์แบบ แม้ว่าเขาจะกลายเป็นง่อย แต่สุดท้ายแล้วเขาจะถูกรักษาจนหายดีอย่างง่ายกาย” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มที่ไม่เต็มใจนัก “ในเวลานี้ด้วยความโกรธของเหล่าสี่พี่น้องแน่นอนว่ามันจะสร้างปัญหาให้กับเจ้าอย่างมาก!”


“หืม?” เมื่อได้ยินเช่นนั้น เจ้าอ้วนขมวดคิ้วพร้อมตั้งคำถามทันที “ท่านคิดว่าข้าควรทำเช่นไร?”


“เจ้าต้องจัดการกับตันเถียนของเขาโดยตรง!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวพร้อมกับหัวเราะอย่างเยือกเย็น “เจ้าต้องรู้ว่าผู้ฝึกตนนั้นสามารถเสียการควบคุมได้โดยง่ายและสามารถสร้างความบาดเจ็บได้อย่างดี ตัวอย่างเช่นลุงอาวุโสของเจ้าที่ได้รับบาดเจ็บโดยอุบัติเหตุ แต่ก็ยังมีโอกาสที่ฟื้นคืนในเวลาหลายปี แต่ก็ต้องชะลอการเข้าสู่ระดับจินตัน เขาอาจจะพิการโดยสมบูรณ์แบบเนื่องจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ถ้าหากพี่ใหญ่จินได้รับอุบัติเหตุเช่นเดียวกันในการต่อสู้ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่แปลกประหลาดอะไร! ข้าเชื่อว่าคุณชายใหญ่และคุณชายรองจะต้องเข้าใจอย่างแน่นอน!”


“แล้วถ้าพวกเขาไม่เข้าใจล่ะ?” เจ้าอ้วนกล่าวอย่างอ่อนแรง การทำให้บาดเจ็บสาหัสกับสังหารแตกต่างกันอย่างมหาศาล ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินทั้งสองคนนั้นฝึกฝนมาเนิ่นนานหลายทศวรรษ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับการดำรงตำแหน่งในอนาคตอย่างมาก ถ้าหากเจ้าอ้วนสังหารเขา แน่นอนว่าอาวุโสทั้งสองคนจะต้องตามล่าที่จะสังหารเขาอย่างพลิกแผ่นดิน!


หลังจากที่นักบวชฮัวอวิ๋นได้ยินเช่นนั้น เขากล่าวออกมาอย่างสงบ “ครอบครัวของหงหยิงนั้นไว้วางใจเจ้าอย่างมาก และทุกคนพร้อมที่จะปกป้องเจ้า ถ้าหากคุณชายใหญ่และคุณชายรองข่มขู่เจ้า เหอะเหอะ แน่นอนว่าข้าคงจะต้องส่งข่าวให้พวกเขาสักหน่อย!”


“เรื่องนั้น…” เจ้าอ้วนรู้สึกลังเลใจ


นักบวชฮัวอวิ๋นรู้สึกกระวนกระวายอยู่ภายในใจแต่ก็ไม่ได้แสดงออกมา เขาเพียงแต่กล่าวอย่างสงบ “ลองคิดถึงอาวุโสลุงฉิงเฟิงซี นับตั้งแต่ที่เขาบาดเจ็บหนัก ความแค้นระหว่างเจ้ากับเหล่าสี่พี่น้องได้เกิดขึ้นแล้ว อีกทั้งในตอนนี้เจ้าทำให้ยินพิการ พวกเจ้าทั้งสองฝ่ายเป็นดังเช่นน้ำกับไฟ ถ้าหากเจ้าไม่ใช้โอกาสนี้เพื่อกำจัดหนึ่งในพวกเขา ในอนาคตเจ้าจะต้องเสียใจอย่างแน่นอนถ้าหากเขากลับมาเพื่อสร้างปัญหา!”


บทที่ 191: การแก้แค้น


“อืม!” เจ้าอ้วนเป็นคนเกลียดการมีปัญหา หลังจากที่ได้ยินเช่นนี้ เขาเข้าใจทุกอย่างทันที ในตอนนี้เขารุกรานอีกฝ่ายหนึ่งแล้ว เขาไม่สามารถปล่อยให้นักบวชฮัวอวิ๋นถูกกดดันได้มากกว่านี้ เขาจึงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “พรุ่งนี้ข้าจะนำเสนอสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งธาตุทั้งห้า แน่นอนว่าเขาจะต้องไปเกิดใหม่!”


“ยอดเยี่ยม ข้าจะรอฟังข่าวดีจากเจ้า!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวอย่างตื่นเต้น จากนั้นเขาตบบ่าของเจ้าอ้วนพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไปพักผ่อนเถิด ข้าจะเฝ้ารอดูเจ้าในวันพรุ่งนี้!”


“ขอรับ ศิษย์ขอตัวก่อน!” เจ้าอ้วนคำนับให้เขาพร้อมกับเดินออกมา


หลังจากที่เขากลับมายังลานม่านหมอก เขามองเห็นหานหลิงเฟิงที่หลบซ่อนอยู่ภายใน แม้ว่านางจะทำการชำระล้างร่างกายแล้ว แต่แววตาของนางยังคงแดงก่ำ ทำให้เจ้าอ้วนรู้สึกเห็นอกเห็นใจนางอย่างมาก


เมื่อเห็นว่าเจ้าอ้วนกลับมาแล้ว หานหลิงเฟิงพุ่งเข้าไปกอดเขาพร้อมร้องไห้ออกมาทันที “เจ้ากลับมาสักที ข้ากลัวไปหมด!”


“มีสิ่งใดที่เจ้าต้องกลัวงั้นหรือ?” เจ้าอ้วนปลอบใจด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ข้าจัดการทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัวอีกต่อไป!”


“พี่น้องทั้งสี่ยอมรามือไปอย่างง่ายดายงั้นหรือ?” หานหลิงเฟิงถามออกมาอย่างสับสน


“ในสายตาของข้าเจ้าพวกนั้นเป็นเพียงไก่น้อยสี่ตัวท่านั้น!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างรังเกียจ “วันนี้เจ้ายินได้ถูกทำลายโดยข้า แม้ว่าอาจารย์ของมันจะเป็นหมอเทวดา มันก็ต้องใช้เวลาสักสองถึงสามปีจึงจะกลับมาเป็นบุรุษเต็มตัวอีกครั้ง พรุ่งนี้ข้าจะต่อสู้กับพี่ใหญ่จิน ข้าตั้งใจไว้ว่าจะชำระทุกสิ่งในวันพรุ่งนี้!”


“ชำระทุกสิ่งในครั้งเดียว?” เมื่อหานหลิงเฟิงได้ยินเช่นนั้น นางตกใจทันที “เจ้าจะสังหารเขางั้นหรือ?”


“ถูกต้อง!” เจ้าอ้วนกล่าวพร้อมกับหัวเราะอย่างเยือกเย็น “นับตั้งแต่ที่มันทำให้อาจารย์ลุงฉิงเฟิงซีต้องบาดเจ็บสาหัส ข้าจะต้องให้มันจ่ายค่าเสียหายทั้งหมดด้วยชีวิตของตัวมันเอง!”


“เจ้าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้! พวกมันเป็นศิษย์ของคุณชายใหญ่และคุณชายรอง ถ้าหากเจ้าสังหารเขา แน่นอนว่าผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินทั้งสองจะต้องกลับมาคิดบัญชีกับเจ้า!” หานหลิงเฟิงกล่าวออกมาอย่างกังวลใจ “ข้าคิดว่าเพียงแค่สั่งสอนบทเรียนให้กับเขาก็น่าจะเพียงพอแล้ว!”


“ข้าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้” เจ้าอ้วนส่ายหัวพร้อมกล่าวว่า “มีอีกหลายสิ่งที่เจ้าไม่อาจคาดเดาได้ ตอนนี้ภายในสำนักเสวียนเทียนถูกยึดครองโดยพวกมัน และตอนนี้ข้ากับคุณชายใหญ่ได้เป็นศัตรูกันแล้ว ข้าต้องรักษาสัมพันธ์อันดีกับนักบวชฮัวอวิ๋นไว้ และพี่ใหญ่จินคือด่านแรกที่ข้าต้องจัดการ! ถ้าหากข้าไม่ส่งมันไปเกิดใหม่ ข้าจะไม่สามารถช่วยเหลือนักบวชฮัวอวิ๋นได้อีกต่อไปและเขาอาจคิดว่าข้าไม่ได้อยู่ฝ่ายเดียวกับเขา ในเวลานี้ข้าอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากและอาจจะไม่มีความสุขในอนาคต!”


“แต่…” สำหรับหานหลิงเฟิงที่ได้ยินเช่นนั้น นางต้องการจะกล่าวบางอย่างออกมาแต่เจ้าอ้วนแทรกขึ้นมา “ไม่มีแต่ใด ๆ ทั้งสิ้น นี่คือการทดสอบของนักบวชฮัวอวิ๋น ข้าไม่มีทางเลือกอื่น เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องคุณชายใหญ่ เขายังมีศิษย์เพียงยี่สิบคนเท่านั้นภายในสำนักเสวียนเทียน ซึ่งหมายความว่าเขาจะไม่สามารถครอบครองสำนักได้ดั่งเดิม อย่างน้อยตอนนี้สำนักเสวียนเทียนก็ยังถูกปกครองโดยนักบวชฮัวอวิ๋น”


“แต่ความแข็งแกร่งของนักบวชฮัวอวิ๋นยังขาดสมดุล ข้าเกรงว่าเขาจะไม่อาจต้านทานได้ถ้าหากคุณชายใหญ่และคุณชายรองร่วมมือกัน!” หานหลิงเฟิงกล่าวออกมาอย่างกังวลใจ


“เหอะ เจ้าประมาทนักบวชฮัวอวิ๋นมากเกินไป เขาไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว เจ้าอย่าลืมว่าข้างกายของเขายังมีศิษย์พี่หญิงอาวุโสอยู่ โดยปกติแล้วนางมักจะไม่แสดงท่าทีใดมากนัก แต่ถ้าเหตุการณ์มันเกินการควบคุมของนักบวชฮัวอวิ๋น นางจะสามารถยืนมองอยู่เฉยได้อย่างไร? ข้าคิดว่าตราบใดที่คุณชายใหญ่ไม่ใช่คนโง่เขลา เขาจะไม่บีบบังคับจนนักบวชฮัวอวิ๋นไร้หนทาง ถ้าไม่เช่นนั้นเท่ากับว่าเขากำลังท้าทายเทพธิดาเหมยฮวา! ดังนั้นตำแหน่งในสำนักของนักบวชฮัวอวิ๋นนับได้ว่าแข็งแกร่งมาก ตราบใดที่ท่านอาจารย์ของฉุ่ยจิ้งยังไม่ตายตกไป แน่นอนว่าเขาจะยังคงแข็งแกร่งและไม่มีอะไรต้องกังวล!”


เมื่อเห็นว่าเจ้าอ้วนคิดอย่างไร หานหลิงเฟิงหยักหน้าและกล่าวออกมาอย่างเข้าใจ “อืม เจ้ามีแผนอย่างไรบ้าง ข้าต้องการฟัง!”


“เรื่องมันเป็นเช่นนี้!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น มือของเขาเริ่มคุกคามไปทั่วร่างกายของนาง


หานหลิงเฟิงหน้าแดงเรื่อขึ้นมาทันทีพร้อมกับกล่าวออกมาอย่างไม่อาจช่วยได้ “นี่เจ้า ตอนนี้ยังเป็นกลางวันอยู่ เจ้าช่วยควบคุมตนเองสักนิดได้หรือไม่?”


“ทำไมจะทำไม่ได้เพียงเพราะมันเป็นเวลากลางวัน? ใครจะกล้าเข้ามาภายในบ้านของข้า?” เจ้าอ้วนกล่าวอย่างภูมิใจ


ในขณะที่เจ้าอ้วนกล่าวเช่นนั้น หานหลิงเฟิงมองหน้าเขาด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก จากนั้นเจ้าอ้วนก็เข้าใจและหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “อ่า ขอยกเว้นเจ้ายินไว้หนึ่งคน!”


เจ้าอ้วนถามออกไป “เหตุใดมันจึงกล้าที่จะข่มเหงเจ้าจนถึงจุดที่เจ้าหมดหนทางจะหลบหนี? แล้วอะไรทำให้มันกล้าทำเรื่องแบบนี้?”


“ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพราะเจ้างั้นหรือ?” หานหลิงเฟิงกล่าวออกมาอย่างไม่พอใจพร้อมกับมองที่เจ้าอ้วนอย่างขุ่นเคือง นางตำหนิเจ้าอ้วนอย่างโกรธเคือง “ข้าไม่รู้ว่าไอ้สารเลวนั่นมันรู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่ใช่หญิงสาวพรหมจรรย์ พอมันรู้มันจึงเริ่มข่มเหงข้า ในขณะที่ข้าเกรงกลัวต่อพี่น้องของมัน ข้าจึงต้องหลีกเลี่ยงแบบสุภาพมาตลอด ในท้ายที่สุด มันคิดว่าข้าอวดดีและเริ่มข่มเหงข้าทุกวัน ข้ารู้สึกหงุดหงิดจนถึงขั้นที่ต้องมาหลบซ่อนอยู่ที่นี่ ข้าคิดว่าด้วยขนาดของสำนักชั้นใน ข้าไม่ควรจะค้นหาข้าพบ แต่ข้าไม่เคยคาดหวังว่ามันจะมาปรากฏตัวขึ้นทันทีหลังจากที่ข้าหลบหนีมา ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าออกจากการฝึกฝนในเวลานั้นพอดี ข้าคงจะถูกทำลายโดยอสูรกายตนนั้นแล้ว! เฮ้อ…”


 


เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หานหลิงเฟิงเริ่มร้องไห้ออกมาอีกครั้ง


เจ้าอ้วนกอดนางไว้และเริ่มปลอบใจนางด้วยความอ่อนโยน “เรื่องราวระหว่างเราเป็นความลับ แล้วเจ้ายินจะรู้ได้อย่างไร? ใครกันที่พูดบอกต่อมัน?”


“ข้า…” หานหลิงเฟินต้องการกล่าวอะไรบางอย่าง แต่นางยังคงลังเล


เมื่อเห็นเช่นนั้น เจ้าอ้วนรู้ได้ทันทีว่านางกังวล เขาจึงหัวเราะออกมาอย่างขมขื่นพร้อมกล่าวว่า “เป็นเช่นนี้ ไม่ต้องกังวล ข้าได้ประกาศเรื่องของเราต่อหน้าสาธารณะชนไปแล้ว ทุกคนรับรู้แล้วว่าเจ้าคือผู้หญิงของข้า!”


“จริงหรือ?” เมื่อหานหลิงเฟิงได้ยินเช่นนั้น นางยิ้มออกมาอย่างร่าเริงทันที “เจ้าไม่ได้โกหกข้าใช่ไหม?” ความจริงก็คือนางเหนื่อยกับชีวิตที่ต้องหลบซ่อนอยู่อย่างนี้ มันเป็นเพียงก่อนหน้านี้ที่เจ้าอ้วนอ่อนแอเกินไป ดังนั้นจึงไม่มีทางเลือกอื่นที่จะต้องหลบซ่อนไว้เพื่อไม่ให้เจ้าอ้วนต้องพบเจอปัญหากับเหล่าคนที่ต้องการครอบครองนาง แต่ในตอนนี้เจ้าอ้วนแข็งแกร่งและอยู่ในระดับปฐมภูมิ ภายในสำนักเสวียนเทียนเขาไม่ต้องเกรงกลัวใครอีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงไม่มีเหตุผลที่จะปกปิดมันไว้อีก


“แน่นอน มันคือเรื่องจริง!” เจ้าอ้วนกล่าวเสริม “ตอนนี้เจ้าสามารถบอกได้หรือไม่ว่าใครเผยแพร่เรื่องนี้?”


“คือ… มันคือศิษย์น้องมู่ซื่อหรง!” หานหลิงเฟิงกล่าว “นางเป็นคนเดียวที่ข้าบอกกล่าว!”


“มู่ซื่อหรง?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาหงุดหงิดทันที “บัดซบ! นังสารเลว เหตุใดเจ้าต้องบอกนาง? อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่รู้ว่าข้ากับนางเป็นศัตรูกัน?”


“ข้ารู้ดี แต่นางเป็นหนึ่งในสี่ของเหล่าอัจฉริยะของสำนักและมีเลือดของชนชั้นสูง สถานะของนางก็สำคัญ นางหยิบยื่นความเป็นสหายให้กับข้าและข้าไม่สามารถปฏิเสธนางได้ ใช่หรือไม่?” หานหลิงเฟิงตอบกลับด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด


“ช่างเป็นการสร้างมิตรที่ดียิ่งนัก แต่เจ้าก็ไม่จำเป็นที่จะต้องบอกนางเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเราจริงไหม? สิ่งนี้ไม่ใช่เพียงการสร้างปัญหาให้กับตัวเจ้าเอง แต่ข้าก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน!” เจ้าอ้วนตำหนินางอย่างช่วยไม่ได้


“ข้าไม่ได้บอกนาง แต่ว่านางสามารถคาดเดาได้เอง!” หานหลิงเฟิงกล่าวออกมาอย่างหมดหนทาง “แม้ว่ามู่ซื่อหรงจะดูคล้ายกับคนแข็งทื่อ แต่ความจริงแล้วนางฉลาดมาก นางมีเบาะแสหลายอย่างและเริ่มพยายามคาดเดาความสัมพันธ์ของเรา จากนั้นนางจึงมาคาดคั้นจากข้าตรง ๆ แล้วข้าจะทำอะไรได้อีก? จึงทำได้เพียงยอมรับเท่านั้น!” หานหลิงเฟิงกล่าวอย่างหมดปัญญา


“หลักฐานอะไรกัน?” เจ้าอ้วนถามอย่างมึนงง


“อย่างแรกก็คือเราค้นพบเหมืองหินจิตวิญญาณด้วยกัน นางจึงเดาว่าเรามีความสัมพันธ์กัน ถ้าไม่เช่นนั้นข้าคงจะสังหารเจ้าและเก็บรางวัลทุกอย่างไว้เพื่อตนเอง จากนั้นการฝึกฝนของข้าดีขึ้นอย่างมากในสองสามปีที่ผ่านมา ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่สามารถกระทำได้ด้วยพรสวรรค์ของข้าเอง ยิ่งไปกว่านั้นข้าประสบความสำเร็จหลังจากกินผลไม้วิญญาณ จากนั้นนางค้นพบหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าไม่รู้ว่านางใช้หลักการใดเพื่อค้นพบมัน แต่นางกลับพิสูจน์ได้ว่าข้ากินผลไม้วิญญาณไปสามผล! นอกเหนือจากเจ้าไม่มีผู้ใดในสำนักเสวียนเทียนที่จะใจกว้างกับข้าเช่นนี้ เพียงแค่นี้ความสัมพันธ์ของเราก็ชัดเจนแล้ว!” หานหลิงเฟิงอธิบาย


“เหอะ!” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขารู้ได้ทันทีว่าตนเองไม่สามารถตำหนิหานหลิงเฟิงในเรื่องนี้ได้ นี่ไม่ใช่ความผิดของนางที่ไม่ระวังตนแต่เป็นเพราะมู่ซื่อหรงฉลาดเกินไป เขาคิดได้เพียงแค่เขาโชคร้ายและกล่าวออกมาว่า “ในเวลานี้เราพ่ายแพ้จริง ๆ นังมู่ซื่อหรงต้องการจะแก้แค้นข้าแต่ไม่มีความกล้าหาญมากพอ ดังนั้นนางจึงคิดจะยืมมือของยิน นอกจากนี้นางยังใช้นักบวชฮัวอวิ๋นมาทดสอบข้าอีก นับได้ว่าเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวอย่างแท้จริง! ทำไมก่อนหน้านี้ข้าจึงไม่เฉลียวใจเกี่ยวกับเรื่องนางสักนิดนะ?”


“อาจเป็นเพราะเจ้าคงมองแต่ความงามของนางล่ะมั้ง?” หานหลิงเฟิงเย้าแหย่เจ้าอ้วนพร้อมหัวเราะออกมา


“ความงาม? นางน่ะหรือ?” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างรังเกียจ แต่เขาก็กล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว “เอาล่ะ ข้ายอมรับว่านางงดงาม แต่น่าเสียดายที่นางเปรียบเสมือนกับงูพิษและมันเกือบทำให้เจ้าต้องตาย!”


เมื่อหานหลิงเฟิงได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของนางเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วพร้อมกล่าวว่า “ไม่ใช่เพียงข้าเท่านั้น ข้าได้ยินว่าฉิงเฟิงซีพยายามอย่างหนักเพื่อเข้าสู่ระดับจินตันและไม่ต้องการให้ผู้ใดรบกวนเขา แต่มู่ซื่อหรงบอกเขาว่านางถูกคุกคามโดยเหล่าสี่พี่น้องและขอร้องให้ฉิงเฟิงซีออกมาจัดการ ในตอนจบฉิงเฟิงซีโกรธจัดและลุกขึ้นมาต่อต้านจึงเป็นสาเหตุของอาการบาดเจ็บสาหัสในตอนนี้!”


“อะไรนะ?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาโกรธจัดทันที “นังสารเลวคนนี้มุ่งมั่นจะทำเช่นนี้เพื่อสิ่งใด สถานะของนางเป็นถึงหลานสาวของนักบวชฮัวอวิ๋น นางสามารถขอร้องผู้อื่นได้ตั้งมากมายแต่กลับเลือกที่จะขอร้องลุงอาวุโสของข้า!”


“ข้าเพิ่งรู้เรื่องนี้ ข้าเกรงว่าการกระทำทั้งหมดนี้จะทำเพื่อแก้แค้นเจ้า!” หานหลิงเฟิงกล่าวออกมา


“ข้ารู้!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น “บิดาผู้นี้จะไปคิดหนี้แค้นกับนางตอนนี้เลย!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาหันหลังและเดินออกไปทันที


หานหลิงเฟิงรีบดึงตัวเขากลับมาพร้อมกล่าวว่า “เจ้าไม่สามารถทำได้ นางเป็นหลานสาวของนักบวชฮัวอวิ๋น เจ้าไม่มีสิทธิ์แตะต้องนาง!”


“เหอะ นักบวชฮัวอวิ๋นมีลูกหลานนับสิบคน แน่นอนว่าเขาจะไม่สนใจนาง! ตราบใดที่ข้าไม่ได้สังหารนางและสั่งสอนบทเรียนเล็กน้อยเท่านั้น ไม่มีอะไรต้องกังวล!” เจ้าอ้วนกล่าวพร้อมหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “อย่าลืมสิ นักบวชฮัวอวิ๋นต้องการให้ข้าดูแลเหล่าสี่พี่น้องนั้นอย่างดี!”


ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาคว้าไหล่ของหานหลิงเฟิงพร้อมกล่าวว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องอื่น เจ้าเพียงแค่บอกข้ามาว่าข้าจะไปพบนังสารเลวนั่นได้ที่ไหน”


“เรื่องนั้น…” หานหลิงเฟิงลังเลชั่วขณะก่อนจะตัดสินใจกล่าวออกมาว่า “ในเวลานี้นางน่าจะอยู่ในภูเขาเพื่อฝึกดาบ ด้วยความเย่อหยิ่งของนางจึงทำให้ไม่มีผู้ใดเข้าใกล้พื้นที่แห่งนั้นในขณะที่นางกำลังฝึก!”


บทที่ 192: ทำก่อนค่อยคุยทีหลัง


“ประเสริฐ!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาพร้อมกับรอยยิ้ม “เจ้าจงรอข้าอยู่ที่นี่ ไม่นานข้าจะกลับมา!” ในขณะที่เขากล่าวออกมาเช่นนั้น เขาบินออกไปทันทีโดยที่ไม่รอให้หานหลิงเฟิงกล่าวอะไรต่อ


แม้ว่าหานหลิงเฟิงจะกังวล แต่นางจะไม่เข้าไปยุ่งความขัดแย้งระหว่างผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิ นางทำได้เพียงรอเจ้าอ้วนกลับมาเท่านั้น


หลังจากผ่านไปสองถึงสามนาที เจ้าอ้วนมาถึงหลังภูเขาด้วยดาบบินของเขา ที่แห่งนี้เป็นป่าไผ่มีความกว้างใหญ่หลายร้อยลี้ ป่าไผ่หนาแน่นและอุดมสมบูรณ์อย่างมาก อีกทั้งบรรยากาศยังดูดียิ่งนักเมื่อรวมกับทะเลสาปขนาดเล็กที่อยู่ใกล้เคียง


ในขณะนั้นมู่ซื่อหรงยืนอยู่ที่ศาลาและปล่อยปราณจิตวิญญาณของดาบลงไปในทะเลสาป ปรากฏภาพพลังของดาบเริงระบำอยู่เหนือทะเลสาปเป็นภาพที่น่าหวั่นเกรง


หลังจากที่เจ้าอ้วนปรากฏตัว มู่ซื่อหรงเก็บดาบของนางพร้อมกับมองมาที่เจ้าอ้วนด้วยความหงุดหงิด จากนั้นนางถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “เจ้ามาทำอะไรที่นี่? หรือว่าเจ้ามาเพื่อสอดแนมการฝึกดาบของข้า?”


“การฝึกดาบงั้นหรือ?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขากล่าวออกมาอย่างรังเกียจ “แม่นางมู่ซื่อหรง ไม่ใช่ว่าข้าต้องการจะสรรเสริญเจ้า แต่ทว่าเจ้าเป็นบุคคลที่น่ารังเกียจเกินไป อาจกล่าวได้ว่าเป็นบุคคลที่น่ารังเกียจมากที่สุดบนโลกใบนี้ก็ได้!”


ด้วยปัญญาที่หลักแหลมของนางจึงสามารถเข้าใจคำพูดของเจ้าอ้วนได้อย่างรวดเร็ว นางโกรธจัดพร้อมกับโต้กลับทันที “ไขมันบัดซบ เจ้ากล้าดูถูกข้างั้นหรือ?”


“ดูถูกเจ้า?” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น “แค่ดูถูกเจ้ามันง่ายเกินไป วันนี้ข้ามาเพื่อเอาชนะเจ้า!”


“เจ้ากล้างั้นหรือ?” มู่ซื่อหรงที่ได้ยินเช่นนั้น นางรีบกล่าวโต้ตอบทันที “ไขมันบัดซบ ข้ากับเจ้าไม่มีความแค้นต่อกัน แล้ววันนี้เจ้าเกิดเป็นบ้าอะไรขึ้นมา? ทำไมเจ้าจึงเดินออกมาเพื่อสร้างปัญหาให้กับข้า?”


“ไม่มีความแค้นต่อกันงั้นหรือ?” เจ้าอ้วนกล่าวอย่างเหยียดหยาม “งั้นข้าขอถามเจ้า ทำไมยินถึงรู้เรื่องราวเกี่ยวกับหานหลิงเฟิง? ทำไมเขารู้ว่าหานหลิงเฟิงหลบซ่อนอยู่ที่ใด? เจ้าเป็นคนบอกเขาใช่หรือไม่?”


“ไม่!” มู่ซื่อหรงปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาอย่างรวดเร็ว “ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร”


“เหอะ แน่นอนว่าเจ้าสามารถปฏิเสธมันอย่างง่ายดาย!” เจ้าอ้วนถามออกไปอีกครั้ง “ข้าอยากรู้ว่าเจ้าจะอธิบายเรื่องของอาวุโสฉิงเฟิงซีที่บาดเจ็บสาหัสเพราะเจ้าได้อย่างไร?”


“ข้ายอมรับว่าที่เขาบาดเจ็บเพราะออกไปช่วยเหลือข้า เกี่ยวกับเรื่องนี้ข้าก็รู้สึกเสียใจอย่างมากเช่นกัน แต่ข้าก็ไม่คิดว่าเรื่องนี้จะเป็นเหตุผลที่เจ้าเดินเข้ามาเพื่อสร้างปัญหาให้กับข้า!” มู่ซื่อหรงกล่าวตอบอย่างสงบ


“ข้าคิดว่าสามารถทำได้!” เจ้าอ้วนกล่าวออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะชั่วร้าย “เจ้าทำผิดต่ออาจารย์ลุงฉิงเฟิงซีของข้าและสร้างปัญหาให้กับหานหลิงเฟิง เพียงเท่านี้ข้าก็มีเหตุผลมากพอที่จะแก้แค้น ถูกต้องหรือไม่?”


“เหอะ!” มู่ซื่อหรงสบถออกมาด้วยน้ำเสียงรำคาญและไม่กล่าวสิ่งใดต่อ


เมื่อเจ้าอ้วนเห็นสถานการณ์เช่นนี้ เขาตะโกนออกมาทันที “มู่ซื่อหรงถ้าหากเจ้ากล้าทำเช่นนั้น จงยอมรับมันเสียเถิด อย่าให้ข้าต้องรังเกียจเจ้าไปมากกว่านี้!”


เมื่อนางได้ยินเจ้าอ้วนกล่าวเช่นนั้น มู่ซื่อหรงที่เย่อหยิ่งในตนเองไม่อาจอดทนได้อีกต่อไป นางตะโกนโต้กลับทันที “แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากข้ายอมรับ? ข้าเป็นเพียงสตรีที่ต้องการแก้แค้นเจ้า ข้าเป็นอันตรายต่อทุกความสัมพันธ์ที่เจ้ามี แล้วอย่างไรกัน? เจ้าจะสามารถทำอะไรข้าได้?”


เมื่อได้ยินว่ามู่ซื่อหรงยอมรับทุกอย่างแล้ว เขาโกรธจัดพร้อมกับหยิบดาบแห่งธาตุทั้งห้าออกมาทันทีพร้อมชี้ไปยังมู่ซื่อหรง “นังสารเลว วันนี้บิดาของเจ้าจะสั่งสอนบทเรียนเล็กน้อยให้เจ้าได้เรียนรู้!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาปลดปล่อยดาบแห่งธาตุทั้งห้าไปยังมู่ซื่อหรงทันที


เมื่อเห็นเช่นนั้น มู่ซื่อหรงปลดปล่อยพลังของดาบตนเองทันทีพร้อมเกิดออร่ามากมาย ทั้งสองคนต่อสู้กันอย่างดุเดือดอยู่ข้างทะเลสาป


ทั้งสองคนยืนอยู่ห่างกันราวหนึ่งพันฟุต การโจมตีทั้งหมดคือการสั่งงานจากดาบบินให้โจมตีกันอย่างดุเดือด ปราณของดาบเจ้าอ้วนนั้นแข็งแกร่งอย่างมากมันผ่านการปรับแต่งมาแล้วโดยทาสของเขา การโจมตีของเขาจึงดุเดือดและต่อเนื่อง


แม้ว่ามู่ซื่อหรงจะอ่อนแอกว่าเจ้าอ้วน และสมบัติวิเศษของนางก็อ่อนแอกว่ามาก แต่นางเป็นผู้ฝึกตนประเภทดาบโดยสมบูรณ์ การควบคุมดาบของนางนั้นดีกว่าเจ้าอ้วนอยู่มาก นางสามารถควบคุมพลังของมันได้ราวกับมันเป็นแขนขาของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันหรือการโจมตี ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างพลิ้วไหวและสวยงาม เช่นนี้นางจึงต่อสู้กับเจ้าอ้วนได้อย่างสูสีและไม่เกรงกลัวต่อสมบัติวิเศษที่แข็งแกร่งกว่า


แต่ทว่าเรื่องราวดี ๆ นั้นคงอยู่ได้ไม่นานนัก เมื่อมู่ซื่อหรงเริ่มที่จะเพิ่มพลังของการโจมตี เจ้าอ้วนเริ่มต้นการขัดขวางการโจมตีของนาง จากนั้นเขาเผยพลังที่แท้จริงของสมบัติวิเศษของตนเอง มันทุบตีดาบของมู่ซื่อหรงได้อย่างแข็งแกร่ง และในตอนสุดท้ายมันต้อนมู่ซื่อหรงจนไร้หนทางหนีราวกับหมาตัวหนึ่งเท่านั้น


ในตอนนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนไป มู่ซื่อหรงรู้ตัวแล้วว่านางไม่สามารถเอาชนะได้ นางเริ่มล่าถอยและตะโกนออกมา “เจ้ากล้าที่จะข่มเหงข้าด้วยสมบัติของปู่ข้างั้นหรือ? นี่เจ้ายังเป็นบุรุษอยู่หรือไม่?”


“ฮ่าฮ่า ข้าเป็นบุรุษหรือไม่ เจ้าจะสามารถรู้ได้หลังจากที่ใช้ร่างกายของเจ้าพิสูจน์มัน!” เจ้าอ้วนเย้าแหย่อย่างเจ้าเล่ห์ “สำหรับสมบัตินี้ มันไม่ใช่ของปู่เจ้าอีกแล้วแต่มันเป็นของข้า อีกอย่างข้าก็ต้องการจะใช้มัน เจ้ามีปัญหากับเรื่องนี้งั้นหรือ?”


เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น เจ้าอ้วนเพิ่มปริมาณของปราณจิตวิญญาณเข้าไปในดาบของเขา ในการโจมตีเพียงครั้งเดียวสามารถทำลายการป้องกันของดาบเทวะเงาครามได้อย่างราบคาบ มู่ซื่อหรงตกใจอย่างมาก เสื้อผ้าของนางเริ่มฉีกขาดจากพลังของปราณดาบที่เจ้าอ้วนโจมตี ในตอนนี้ต้นขาและแผ่นหลังของนางถูกเปิดเผยต่อสายตาเจ้าอ้วนแล้ว


อย่างไรก็ตาม เจ้าอ้วนไม่กล้าที่จะสังหารนาง เพียงแต่ใช้วิธีนี้เพื่อให้นางรู้สึกถึงความอัปยศเท่านั้น


มู่ซื่อหรงเกือบจะกรีดร้องออกมาเมื่อเสื้อผ้าของนางหายไปเกือบทั้งหมด แต่ทว่านางไม่อาจทำเช่นนั้นต่อหน้าเจ้าอ้วนได้ มันจะเป็นการกระตุ้นเขามากขึ้น เจ้าอ้วนบินไปที่ศาลาและกล่าวชื่นชมภาพลักษณ์ของนางในตอนนี้ด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่ “ฮ่าฮ่า ศิษย์พี่มู่ ผิวของท่านขาวยิ่งนัก!”


“สารเลว!” มู่ซื่อหรงตะโกนออกมา


“ฮ่าฮ่า อย่าได้กล่าวเช่นนั้น!” เจ้าอ้วนไม่ได้โกรธนางแต่กลับหัวเราะอย่างร่าเริง “ข้ากล้าที่จะดูมัน แต่แน่นอนว่าข้าไม่ต้องการจะจัดการกับเจ้า แน่นอนว่าข้าไม่อาจทนให้ตนเองทำเรื่องเช่นนั้นได้! ข้าไม่สามารถกระทำตนเช่นเจ้าที่วางแผนให้ยินทำการข่มขืนสตรีของข้า นี่เจ้ายังเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่?”


“เจ้าสมควรที่จะได้รับมัน!” มู่ซื่อหรงร้องไห้ออกมาเนื่องจากความโกรธ “ใครกันที่ให้เจ้าทำร้ายข้ามากขนาดนั้น? แล้วข้าผิดอะไรที่ต้องการจะแก้แค้น?”


“บัดซบ!” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาตะโกนออกมา “เห็นได้ชัดเจนว่าทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะตัวเจ้าเอง! ข้าไม่ได้โจมตีเจ้าสักครั้งเดียวเพียงแค่ปกป้องตนเองเท่านั้น เจ้าบาดเจ็บสาหัสเพราะว่าเจ้ามันไร้ความสามารถ แล้วเจ้ามีสิทธิ์อะไรที่จะโกรธแค้นข้า?”


“ข้าต้องการที่จะไม่พอใจเจ้า! ไม่พอใจ! เจ้าทำให้ข้ากลายเป็นเรื่องตลกขบขันภายในสำนัก แน่นอนว่าตลอดชั่วชีวิตนี้ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไป!” มู่ซื่อหรงกล่าวออกมาอย่างโหดเหี้ยม “อย่าคิดว่าเจ้าจะสามารถสุขสบายเพียงแค่ข้าไม่อาจเอาชนะเจ้าได้ แม้ว่าข้าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เหมาะสมของเจ้า ข้าก็สามารถจะดูแลหานหลิงเฟิง ฉิงเฟิงซี และเจ้าลิงน่าขยะแขยง! ข้าจะแก้แค้นทุกคนที่ใกล้ชิดกับเจ้า!”


เจ้าอ้วนโกรธจัดทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาไม่เคยคาดคิดว่าผู้หญิงคนนี้จะไร้เหตุผลมากขนาดนี้ ถ้าหากเขาปล่อยนางไปแน่นอนว่านางจะดำเนินการเหล่านี้ต่อไป แล้วทุกคนที่อยู่รอบตัวเขาจะไม่ตายตกไปหมดงั้นหรือ?


ในขณะที่เขาคิดเช่นนั้น เขาไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไปจึงเงื้อมือตบหน้านางไปหนึ่งครั้ง นางกระเด็นออกไปอยู่ด้านนอกทันที จากนั้นเขาชี้หน้านางพร้อมทั้งตะโกนทันที “นังสารเลว อย่าบังคับให้ข้าส่งเจ้าไปโลกหน้า!”


มู่ซื่อหรงไม่ได้อ้อนวอนอีกทั้งยังหัวเราะเยาะอีกด้วย “สังหารข้าซะถ้าหากเจ้าเป็นบุรุษ!”


“เจ้า!” ตอนนี้เจ้าอ้วนไร้หนทาง เขาไร้คนคุ้มครอง แต่ทว่ามู่ซื่อหรงยังมีนักบวชฮัวอวิ๋นอยู่เบื้องหลัง และเป็นคนที่เขาไม่ควรไปสร้างปัญหาด้วยอย่างยิ่ง อย่างไรก็ตามเจ้าอ้วนไม่สามารถสังหารนางได้ แต่ถ้าหากเขาปล่อยนางไป เขาก็กลัวว่านางจะสร้างปัญหากับคนใกล้ตัวเขา ในตอนนี้เขาตกอยู่ในสภานการณ์ที่ยากลำบากและไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร


เมื่อเห็นว่าเจ้าอ้วนลังเลใจ นางรู้ได้ทันทีว่าเขากำลังสับสน นางจึงเริ่มเยาะเย้ยเขาทันที “เหอะ พวงสวรรค์ของเจ้าคงยังเล็กเกินกว่าจะเรียกตัวเองว่าบุรุษสินะ หรือว่าเจ้าเป็นขันที?”


บุรุษที่ยืนอยู่บนโลกใบนี้จะสามารถอดทนต่อคำดูถูกเช่นนี้ได้อย่างไร? เจ้าอ้วนก็ไม่ต่างกัน ความโกรธปะทุขึ้นภายในใจของเขาทันที โดยไม่ต้องกล่าวสิ่งใดต่อ เขาฉีกชุดของมู่ซื่อหรงออกพร้อมกับขู่นางทันที “นังสารเลว ถ้าหากเจ้าเรียกข้าว่าขันที ข้าจะข่มขืนเจ้าที่นี่ตรงนี้!”


ในตอนแรกมู่ซื่อหรงรู้สึกตื่นกลัวเจ้าอ้วน แต่ฉับพลันนางเปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็วพร้อมกับเริ่มตะโกนออกไปอย่างต่อเรื่อง “เจ้าเป็นขันที ขันที เจ้าคนบัดซบที่เป็นเพียงขันที! ถ้าหากเจ้ายังมีพวงอยู่ก็ข่มขืนข้าเสียวันนี้เลย! ข้าจะถือว่าข้าเพียงถูกหมากัดเท่านั้น!”


“สารเลว!” เจ้าอ้วนโกรธจัดจนไม่สามารถคิดสิ่งอื่นใดได้อีก เขาไม่ใส่ใจเหตุผลอันใดอีกต่อไปพร้อมกับเริ่มฉีกเสื้อผ้าของมู่ซื่อหรงทันที ในขณะนั้นนางกลายเป็นแกะน้อยที่เปลือยกายอยู่ต่อหน้าของเขา


แม้ว่าจะถูกบุรุษจับเปลือยกายในตอนกลางวันแสก ๆ แต่มู่ซื่อหรงผู้เย่อหยิ่งก็ยังเก็บกดความกลัวไว้ นางสัมผัสร่างกายของตนเองอย่างยั่วยวนพร้อมกล่าวเชิญชวนเขา “เจ้าไขมันบัดซบ เข้ามาสิถ้าหากเจ้ากล้าพอ! ไม่ต้องกล่าวอะไรอีกแล้ว!”


“เจ้า! เจ้าอย่าบังคับให้ข้าทำ!” นี่เป็นครั้งแรกในชั่วชีวิตของเขาที่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขารู้สึกไม่อาจทนรับสภาพเช่นนี้จึงได้แต่เบือนหน้าหนีไป


“เหอะ!” เมื่อเห็นเช่นนั้น มู่ซื่อหรงกระตุ้นเขาต่อไป “อะไรกัน? เจ้ากล้าถอดเสื้อผ้าของข้า แต่กลับไม่กล้าที่จะมองมัน? เหอะ เจ้ามันเป็นเพียงคนขี้ขลาด!”


“บัดซบ! ข้าไม่ใช่ขันที!” เจ้าอ้วนโกรธจัดโดยสมบูรณ์ เขาสูญเสียการทรงตัวและถูกความปรารถนาควบคุมทันที พร้อมกับคิดในใจ ‘ใครจะสนกันล่ะว่าสถานะของนางคืออะไร ในตอนนี้ข้าเพียงต้องทำมันก่อนแล้วค่อยว่ากันในภายหลัง!’


หลังจากนั้นเจ้าอ้วนฉีกเสื้อคลุมของตนเองออกพร้อมกับพุ่งเข้าหานางราวกับพยัคฆ์เข้าหากวางน้อย หลังจากนั้นมังกรขนาดใหญ่ได้เข้าสู่ร่างกายของมู่ซื่อหรงนางรู้สึกตื่นกลัวราวกับสวรรค์กำลังจะพังทลายลงมา หลังจากนั้นน้ำตาเริ่มไหลอาบทั่วแก้มทั้งสองของนาง


บทที่ 193: สถานการณ์ที่น่าประหลาดใจ


จากนั้นไม่นานเกิดเป็นเสียงแหบพร่าของหญิงสาวคนหนึ่งทำลายความเงียบงันของศาลา ภายใต้ความโกรธเจ้าอ้วนต่อสู้กับนางอยู่หนึ่งชั่วโมงเขาจึงพอใจ ในตอนนี้มู่ซื่อหรงทำได้เพียงหายใจเท่านั้น นางไม่สามารถแม้แต่จะยกมือขึ้นมาเพื่อหยุดเจ้าอ้วนที่กำลังล่วงเกินร่างกายของนาง


ถึงแม้ว่าสภาพของนางในตอนนี้จะน่าสงสาร มีความกลัวที่นางไม่เคยแสดงออกมาปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง ตอนนี้นางเผยใบหน้าของคนที่ประสบความสำเร็จออกมา


เจ้าอ้วนดึงน้ำจากทะเลสาปเพื่อชำระล้างร่างกายของตนเอง จากนั้นเขาสวมเสื้อผ้าพร้อมกับกล่าวออกมาอย่างเย็นชา “ตอนนี้เจ้ารับรู้ความกล้าหาญของบิดาผู้นี้หรือยัง?”


“ฮ่าฮ่า!” สำหรับมู่ซื่อหรงที่ได้ยินเช่นนั้น นางหัวเราะออกมาโดยไร้ความเกรงกลัว “เจ้าไขมันบัดซบ เจ้าคิดว่าจะเล่นกับข้าง่าย ๆ เช่นนี้หรือ? วันนี้เจ้าขโมยความบริสุทธิ์ของข้าไป พรุ่งนี้ข้าจะให้เจ้าชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดด้วยชีวิตของเจ้า!”


ในขณะที่เจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาใช้เวลาชั่วครู่เพื่อไตร่ตรองคำพูดของนาง “บัดซบ เจ้าตั้งใจให้ข้าข่มขืนเจ้า แล้วจากนั้นเจ้าก็จะไปร้องเรียนข้า ถูกต้องหรือไม่?”


“ฮ่าฮ่า กว่าเจ้าจะฉลาดก็สายไปเสียแล้ว!” มู่ซื่อหรงกล่าวอย่างสดใส “เจ้าได้รับความบริสุทธิ์ของข้าไปแล้วและไม่มีทางปฏิเสธมันได้ ฮ่าฮ่า สำนักเสวียนเทียนคงจะกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง! เพราะว่าไม่มีบุคคลน่ารังเกียจเช่นนี้มาเนิ่นนานนับร้อยปีแล้ว ใครจะคิดว่าคนถัดไปจะเป็นเจ้าก้อนไขมันเดินได้เช่นนี้? เจ้าคิดว่าปู่ของข้าจะดูแลเจ้าอย่างไรกันหรือ? ข้าขอเดาว่าเขาคงจะหั่นเนื้อของเจ้าบาง ๆ ดังเช่นเนื้อปลา! แต่ข้าจะไม่ปล่อยให้เขาทำเช่นนั้น เพราะมันง่ายเกินไปสำหรับเจ้า! ข้าจะอ้อนวอนให้เขาให้ข้าทรมานให้เจ้าค่อยตายอย่างช้า ๆ ข้าจะไม่ปล่อยวางเพียงเท่านั้น ข้าจะทำให้ชีวิตของเจ้าเลวร้ายเสียยิ่งกว่าความตาย ฮ่าฮ่า!”


มู่ซื่อหรงกล่าววาจาได้เลวร้ายจนเจ้าอ้วนแอบสั่นไหว หลังจากคิดถึงผลที่จะตามมา เขาไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากแผ่จิตสังหารออกมา!


แม้ว่ามู่ซื่อหรงจะเห็นเจตนาฆ่าของเจ้าอ้วน แต่นางก็ยังอยู่ในความสงบ “ทำไมหรือ? เจ้าต้องการจะปิดปากข้า? ฮ่าฮ่า เจ้าจงทำมันให้สะอาดหมดจด ปู่ของข้าฝากรอยประทับไว้บนร่างกายของข้า หากเกิดสิ่งใดขึ้น เขาจะมาถึงที่นี่ทันที ในตอนนั้นเจ้าก็คงจะต้องละทิ้งชีวิตของตนเอง!”


“แต่อย่างน้อยเจ้าก็ตายก่อนข้า!” เจ้าอ้วนโต้กลับ


“เหอะ แล้วยังไง? ข้าผู้นี้เหนื่อยกับการมีชีวิตเช่นนี้แล้ว ก็ถือว่าคุ้มค่าถ้าหากมันลากเจ้าไปพร้อมกับข้าด้วย!” มู่ซื่อหรงกล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น “มา มากับข้าถ้าหากเจ้ายังเป็นบุรุษ!” ในขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น นางอ้าแขนออกเพื่อเย้าแหย่เจ้าอ้วนราวกับว่านางอนุญาตให้เขาทำอะไรกับนางก็ได้


ในขณะนั้นจุดซ่อนเร้นของนางยังคงมีเลือดไหลออกมา หน้าอกของนางเต็มไปด้วยรอยช้ำประทับไว้ ดวงตาของนางแดงก่ำและบวม อีกทั้งยังมีน้ำตาหลงเหลืออยู่ ซึ่งมันเป็นภาพที่น่าสงสารอย่างยิ่ง แม้ว่าเจ้าอ้วนจะเกลียดนางมากเท่าไหร่ เขารู้สึกสงสารนางจับใจอย่างไม่อาจเก็บไว้ได้ ในตอนนี้เขาทำได้เพียงหัวเราะออกมาอย่างขมขื่น “ลืมมันไป ข้าเป็นเพียงแค่คนงี่เง่าเท่านั้น และเจ้าก็เป็นเพียงคนบ้า ข้าคงไม่ถือโทษโกรธคนบ้าหรอก จริงไหม?” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาหยิบเสื้อคลุมของตนเองและบินตรงออกไปด้วยดาบบิน


เมื่อเห็นเช่นนั้น มู่ซื่อหรงตะโกนออกมา “วันนี้ไม่ว่าเจ้าหรือข้าก็ต้องตาย! ข้าจะบอกเจ้าให้ว่าอย่าคิดว่าข้าจะปล่อยเจ้าไปเพียงแค่เจ้าปล่อยข้าในวันนี้ แน่นอนว่าวันนี้ข้าจะบอกกล่าวเรื่องนี้กับปู่ให้จัดการความแค้นนี้!”


“เหอะ!” เจ้าอ้วนถอนหายใจอย่างรำคาญพร้อมกับหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ “แล้วแต่เลย ข้าจะเฝ้ารอการแก้แค้นของเจ้า!”


“อะไรนะ?” เมื่อเห็นว่าเจ้าอ้วนไม่ได้แยแสมากนัก ทำให้มู่ซื่อหรงตกใจอย่างเหลืออด “ไขมันบัดซบ เจ้าไม่กลัวงั้นหรือ?”


“แล้วข้าต้องกลัวอะไร? อย่างไรเจ้าก็คิดที่จะร้องเรียนข้าอยู่แล้วไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่…” เจ้าอ้วนกล่าวพร้อมกับหัวเราะเบา ๆ “แต่ปู่ของเจ้ายังต้องใช้ข้าเพื่อรับมือกับเหล่าพี่น้องทั้งสี่ ดังนั้นแม้ว่าเจ้าจะร้องเรียนข้าอย่างไร ข้าจะเพียงแค่ถูกกักขังและไม่ตาย ในเวลานั้นข้าเพียงแค่เข้าสู่การเก็บตัวฝึกตนสักสองสามทศวรรษ คิดเสียว่าไปใช้ชีวิตที่เงียบสงบสักหน่อยก็ดี ต้องขอบคุณเจ้าที่ทำให้ข้ามีโอกาสดีเช่นนี้! ฮ่าฮ่า! ขอบคุณ!” ในขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาคำนับต่อมู่ซื่อหรงและบินออกไปอย่างไม่แยแสต่อสิ่งใดทั้งสิ้น


เมื่อเห็นเช่นนี้ มู่ซื่อหรงโกรธจัดจนใบหน้าของนางบิดเบี้ยว “เจ้าต้องการความสงบงั้นหรือ? เหอะ ไม่มีวัน! ข้าหรือจะถูกข่มเหงอย่างง่ายดายเช่นนี้? เจ้าบัดซบ รอก่อนเถอะข้าจะเล่นกับเจ้าจนกว่าเจ้าจะตาย!”


เมื่อคิดเช่นนั้น มู่ซื่อหรงพยายามยืนขึ้นเพื่อชำระล้างตนเองและเปลี่ยนใส่เสื้อผ้าชุดใหม่ จากนั้นนางหยิบเสื้อผ้าที่ถูกเจ้าอ้วนฉีกขาดและบินออกไปจากสถานที่แห่งนี้ทันที


หลังจากนั้นไม่นาน มู่ซื่อหรงมาพบนักบวชฮัวอวิ๋นที่กำลังอยู่ในสมาธิ นางคุกเข่าลงตรงหน้าเขาและร้องไห้ออกมาอย่างน่าเวทนา “ท่านปู่ ท่านปู่ หลานสาวของท่านถูกรังแก ท่านต้องมอบความยุติธรรมให้กับข้า!”


ในขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น นางหยิบเสื้อผ้าที่ถูกฉีกขาดให้นักบวชฮัวอวิ๋นดู


ในขณะที่นักบวชฮัวอวิ๋นเห็นคราบเลือด เขารู้ได้ทันทีว่าหลานสาวของตนถูกข่มขืน เขาคำรามออกมาด้วยความโกรธ “บัดซบ! เจ้าสารเลวคนไหนมันทำเรื่องเช่นนี้? ข้าจะลอกหนังของมันในขณะที่มันยังมีชีวิตอยู่!”


“ท่านปู่ มันคือซ่งจง เจ้าไขมันบัดซบคนนั้น!” มู่ซื่อหรงตอบกลับอย่างรวดเร็ว


“ซ่งจงงั้นหรือ?” เมื่อได้ยินชื่อนี้ นักบวชฮัวอวิ๋นตกใจไปชั่วขณะ หลังจากนั้นดวงตาของเขาก็ส่องประกายออกมาพร้อมกับถามว่า “หลานรักของข้า เจ้าแน่ใจหรือว่าเป็นเขา?”


“แน่นอนว่าไม่ผิด แม้เขาจะกลายเป็นขี้เถ้าข้าก็จดจำได้!” มู่ซื่อหรงตอบกลับทั้งยังร้องไห้


แต่มู่ซื่อหรงไม่คาดคิดมาก่อนว่านักบวชฮัวอวิ๋นจะหัวเราะออกมาในขณะที่นางกล่าว “ประเสริฐ เรื่องนี้มันยอดเยี่ยมมาก!”


มู่ซื่อหรงตกใจอย่างมาก นางคิดว่านักบวชฮัวอวิ๋นไม่เข้าใจและรีบอธิบายทันที “ท่านปู่ เจ้าสารเลวซ่งจงมันข่มขืนข้า!”


“เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร?” แทนที่นักบวชฮัวอวิ๋นจะตอบอย่างจริงจัง เขากลับกล่าวอย่างสบายใจ “ข่มขืนอะไรกัน? เสียงของพวกเจ้าทั้งสองดังสนั่นราวกับคู่รักกำลังแสดงความรักต่อกันและไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ ถูกต้องหรือไม่? แม้ว่าเจ้าอ้วนจะหื่นกามไปสักเล็กน้อย แต่เจ้าก็ไม่ควรจะคิดมากจนเกินไป! นี่เป็นเรื่องปกติของวัยรุ่นหนุ่มสาว ถ้าได้กล่าวเรื่องนี้ออกไปล่ะมันคงจะดูไม่ดีนัก!”


“ว่าอะไร?” หลังจากที่นางตกใจอยู่ชั่วขณะ นางรีบถามออกไปอย่างประหลาดใจ “ท่านปู่ เจ้าไขมันนี้ใช้ประโยชน์จากข้า ท่านไม่เพียงไม่แก้แค้นให้กับข้าอีกทั้งยังละเลยงั้นหรือ?”


“ไม่จำเป็นต้องแก้แค้น แต่ไม่ต้องห่วง ข้าจะแสวงหาความยุติธรรมให้กับเจ้าอย่างแน่นอน บุรุษผู้ยอดเยี่ยมคนนี้จะต้องกลายเป็นสามีเจ้า!” นักบวชฮัวอวิ๋นตอบกลับพร้อมกับหัวเราะออกมา “หลานรักของปู่ แน่นอนว่าเจ้าจะต้องเต็มไปด้วยอำนาจ! ข้าคิดว่าเจ้าอ้วนจะต้องตกเป็นสามีของหงหยิงเสียแล้ว แต่ข้าไม่เคยคาดคิดว่าเจ้าจะเป็นเสือปืนไวเช่นนี้! ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมมาก ๆ!”


เป็นมู่ซื่อหรงที่รู้สึกผิดแผนโดยสมบูรณ์ นางรีบอธิบายอย่างรวดเร็ว “ท่านปู่ ฟังข้าก่อน ข้าไม่เคยรักกับเจ้าไขมันนั่น มันข่มขืนข้า!”


“เขาข่มขืนเจ้าเพราะชอบเจ้า ถ้าหากเขาไม่ชอบเจ้าแล้วเหตุใดจึงต้องทำเช่นนั้น? ถ้าไม่เช่นนั้นมันก็คงไม่เข้ากันได้อย่างง่ายดายอย่างนั้นหรอก ว่าไหม?” หลังจากนั้นนักบวชฮัวอวิ๋นพยายามเกลี้ยกล่อมนาง “นับตั้งแต่ที่เขาชอบเจ้า แล้วมันจะไม่ดีอย่างไรที่เจ้าจะแต่งงานกับเขา?”


“แต่งงานงั้นหรือ? ข้าไม่ได้รักเจ้าไขมันนั่น!” มู่ซื่อหรงตะโกนลั่น


“ถ้าเป็นเช่นนั้นเจ้าก็จงไปรักเขาซะ!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวอย่างไม่สนใจ “ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนอะไร อย่างน้อยเราก็สามารถเลื่อนงานแต่งงานออกไปได้สักสองสามปี ไม่สายเกินไปถ้าหากเจ้าจะแต่งงานกับเขาในเวลาที่เจ้ารักเขาแล้ว!”


“สวรรค์!” มู่ซื่อหรงรู้สึกจะเป็นบ้าทันที นางร้องไห้ออกมา “ท่านปู่ เจ้าไขมันนั่นข่มขืนข้า แล้วข้าจะไปรักกับมันได้อย่างไร? อีกทั้งข้ายังต้องแต่งงานกับมันอีกงั้นหรือ? นี่มันตรรกะอะไรกัน?”


“ทำไมจะไม่ได้?” นักบวชฮัวอวิ๋นตอบกลับ “ดูอย่างข้าที่มีภรรยาถึงเจ็ดคน ข้าไปนอนกับทั้งหกคนก่อนที่จะแต่งงานกับนาง พวกนางทั้งหมดล้วนแต่ไม่เต็มใจในตอนแรก แต่สุดท้ายแล้วทั้งหมดก็ล้วนแต่รักข้า!”


เมื่อได้ยินนักบวชฮัวอวิ๋นชักชวนนางเช่นนี้ มู่ซื่อหรงแทบจะเป็นลมในทันที นางแทบไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่กำลังได้ยิน ราวกับว่านางเหมาะที่จะเป็นของเจ้าอ้วนอย่างไรอย่างนั้น


เขามองเห็นความขุ่นมัวและความสับสนในอาการของมู่ซื่อหรง นักบวชฮัวอวิ๋นจึงอธิบายต่อ “หลานรักของปู่ เจ้าไม่ควรอคติและคิดไปไกลนัก! เจ้าคือหลานรักของข้าและข้าใช้เวลามากมายเพื่อทุ่มเททุกอย่างให้กับเจ้า และข้าย่อมต้องทุ่มเทกับการแต่งงาน ดังนั้นสามีของเจ้าจะต้องเป็นชนชั้นสูงภายในสำนักเสวียนเทียน มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเทียบเคียงกับเจ้าได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ อันดับแรกคือเสี่ยวไป่หลง แต่น่าเสียดายที่เขาตายตกไปในการล่าผลไม้วิญญาณ นอกเหนือจากเขาก็เป็นดาบเทวะไร้ผู้ต้านและศิษย์พี่ซ่ง แน่นอนว่าเหล่าพี่น้องทั้งสี่นั้นไม่ผ่านการคัดเลือกของข้า เพราะอาจารย์ของมันคือศัตรูของข้าและเจ้าจะต้องทุกข์ทรมานถ้าหากต้องแต่งงานกับพวกเขา อีกอย่างข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะชื่นชอบคนหัวล้านด้วย ถูกไหม?”


“จริง!” มู่ซื่อหรงพยักหน้าอย่างไตร่ตรอง


“ถูกต้อง เมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าสามารถเลือกได้ระหว่างดาบเทวะไร้ผู้ต้านหรือว่าเจ้าอ้วนน้อย แต่ข้าคิดว่าคนที่เหมาะสมที่สุดคือซ่งจง!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม “แม้ว่าชื่อของเขาจะดูโชคร้ายสักเล็กน้อยแต่ว่าเขาเต็มไปด้วยอำนาจและมีฝีมือ นอกจากนี้เขาสามารถต่อกรกับข้าได้! ดังนั้นเขาเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเจ้า!”


เมื่อมู่ซื่อหรงได้ยินเช่นนั้น นางแทบจะหมดสติไป เป็นไปได้อย่างไรที่บุคคลผู้นั้นจะสามารถทำให้นักบวชฮัวอวิ๋นยอมรับได้เช่นนี้ ราวกับเขามีความสุขอย่างมากที่จะมีลูกเขยเป็นคนพาล!


มู่ซื่อหรงรู้สึกผิดหวังแต่ไม่สามารถโต้กลับ “แต่ข้าคิดว่าดาบเทวะไร้ผู้ต้านก็ไม่ได้แย่นัก อย่างน้อยข้าก็ชื่นชอบเขามากกว่าเจ้าไขมันเดินได้!”


“อย่าได้คิดถึงดาบเทวะไร้ผู้ต้าน!” เมื่อนักบวชฮัวอวิ๋นได้ยินเช่นนั้น เขารีบกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว “ข้าคิดว่าเขาเคยได้รับการพิจารณาในอดีต แต่ในตอนนี้การพัฒนาของเขาเป็นไปได้ช้ายิ่งกว่าเต่าเสียด้วยซ้ำ แต่กลับมีหน้าเรียกตัวเองว่าดาบเทวะไร้ผู้ต้าน! ให้ตายเถอะ ถ้าหากเขาคือดาบเทวะไร้ผู้ต้านแล้วข้าล่ะจะมีฉายาว่าอะไร?”


ในขณะที่มู่ซื่อหรงได้ยินเช่นนั้น นางหมดหนทางที่จะคุยกับปู่ของตนเองทันที


อย่างไรก็ตาม นักบวชฮัวอวิ๋นยังคงระบายความผิดหวังของตนเองต่อไปโดยไม่แยแสต่อมู่ซื่อหรง “ภายในการต่อสู้เมื่อครั้งล่าผลไม้วิญญาณ ศิษย์พี่ซ่งของเจ้าเปรียบเสมือนไฟที่ส่องสว่าง ประการแรกเขาต่อสู้กับหานปิงเอ๋อ แม้ว่าจะพ่ายแพ้ แต่เขาก็ยังเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยนางไว้ในภายหลัง เขาต่อสู้กับผู้ฝึกตนปีศาจนับสิบคนทั้งคืนกว่าที่กำลังเสริมจะมาถึง เขาสังหารผู้ฝึกตนปีศาจไปหลายคน นี่เป็นการประสบความสำเร็จทั้งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาตลอดนับร้อยปี! อีกทั้งเขายังสังหารผู้ฝึกตนระดับจินตันและสร้างความบาดเจ็บสาหัสให้กับผู้ฝึกตนระดับหยวนหยิน เหตุการณ์นี้ทำให้โลกการฝึกตนต้องสั่นสะเทือน! แต่ดาบเทวะไร้ผู้ต้านของเจ้าน่ะหรือ หึ! ความจริงก็คือเขาไม่ได้รับผลไม้วิญญาณสักผล! เขาโดนคำสาปและต้องนอนทุกข์ทรมานอยู่บนเตียงนานนับปี! ถ้าหากไม่ใช่ศิษย์พี่ซ่งของเจ้าที่สามารถจับตัวตาเฒ่าเฟิงมาได้ แน่นอนว่าเขาจะต้องนอนอยู่บนเตียงเช่นนั้นไปจนตาย!”


“เรื่องนั้น….” ในขณะที่มู่ซื่อหรงได้ยินเช่นนั้น ในหัวใจของนางสั่นไหว นางไม่เคยเปรียบเทียบความสำเร็จของผู้ใดจนถึงตอนนี้ นางได้เห็นแล้วว่าพวกเขาทั้งสองไม่อาจเปรียบเทียบกันได้เลย!


นักบวชฮัวอวิ๋นยังไม่ยอมแพ้และกล่าวต่อ “ไม่ต้องกล่าวถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ เพียงแค่เหตุการณ์ล่าสุดในตอนนี้ นับตั้งแต่ที่คุณชายใหญ่และคุณชายรองเข้ามา เหล่าสี่พี่น้องได้รับการแต่งตั้งให้แข็งแกร่งมากกว่าผู้ใดนอกเหนือจากฉุ่ยจิ้งในระดับปฐมภูมิ ดาบเทวะไร้ผู้ต้านเป็นผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิและมีสมบัติวิเศษอยูในมือ แต่เขาอยู่แห่งหนใดในช่วงเวลาที่สำคัญเช่นนี้? เขาวิ่งเข้าประตูแห่งการเก็บตัวฝึกฝน! แต่เจ้าจงดูอ้วนน้อย เขาจัดการให้พี่น้องลำดับที่สองนามยินนั้นพิการทันทีที่ก้าวเท้าออกมา พรุ่งนี้เขาจะจัดการกับพี่ใหญ่จิน แน่ใจหรือว่าเจ้าไม่ต้องการคนที่มีพลังเช่นนี้? แล้วใครกันที่เจ้าต้องการ?”


เมื่อได้ยินคำเยินยอเจ้าอ้วนเช่นนี้ มู่ซื่อหรงปิดปากแข็งพร้อมทั้งกล่าวต่อว่า “ข้าสามารถแต่งงานกับทุกคนยกเว้นเจ้าไขมันนั่น!”


เมื่อได้ยินนางกล่าวเช่นนั้น นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวออกมาอย่างไร้อารมณ์ “ให้ข้ากล่าวกับเจ้านะ ตราบใดที่ข้ายังเป็นหัวหน้าครอบครัว ข้ายังมีสิทธิ์ตัดสินใจในเรื่องนี้ เจ้าจะต้องแต่งงานกับเขา!”


“ท่านปู่ เจ้าไขมันนั่นมันข่มขืนข้า ไม่เพียงแต่ท่านไม่มอบความยุติธรรมให้กับข้า แต่ท่านกำลังบังคับให้ข้าแต่งงานกับเขาอีกงั้นหรือ? นี่ข้าเป็นสายเลือดของท่านจริงงั้นหรือ?” มู่ซื่อหรงกล่าวออกมาอย่างเหลืออด นางได้แต่คร่ำครวญกับปู่ของตนเอง


“เพราะว่าเจ้าเป็นหลานสาวของข้า ข้าจึงต้องทำเช่นนี้!” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าว “นี่เป็นผลประโยชน์ของเจ้าเองไม่ใช่หรือ? แน่นอนว่าในอนาคตเจ้าอ้วนจะประสบความสำเร็จ เจ้าเพียงแค่เดินตามเขาไปและเสพสุขด้วยกันกับเขา!”


“แต่…” ในขณะที่มู่ซื่อหรงต้องการจะกล่าวอะไรออกมาสักอย่าง นักบวชฮัวอวิ๋นขัดจังหวะนางและกล่าวว่า “พอแล้ว เจ้าควรจะพอใจในเรื่องนี้ได้แล้ว! ความจริงแล้วข้าต้องการจะชักชวนเจ้าเพื่อไปหาเขา แต่ทว่าศิษย์พี่ของข้าต้องการให้เขาแต่งงานกับหงหยิง ข้าจึงคิดว่าคงไม่มีโอกาสอีกต่อไป ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์และเจ้าจะสามารถพิชิตเขาได้! ฮ่าฮ่า นับว่าสวรรค์ยังมีตาจริงๆ! ตอนนี้เขาจะต้องแต่งงานกับเจ้าอย่างแน่นอน! ในที่สุดทุกอย่างก็จบลงอย่างสวยงาม!”


“ว่าอะไร?” เมื่อมู่ซื่อหรงได้ยินเช่นนั้น นางแทบจะเป็นลมล้มไปตรงหน้าเขา “ประเสริฐยิ่งนัก ข้าถูกข่มเหงโดยเจ้าอ้วน ท่านคิดว่าข้าจะมีความสุขกับเรื่องราวลับ ๆ เช่นนี้? ท่านปู่ ท่านเป็นคนหยาบช้าเช่นนี้ได้อย่างไร!”


“นี่เป็นเรื่องหยาบช้างั้นหรือ?” นักบวชฮัวอวิ๋นกล่าวอย่างจริงจัง “กลับไปพักผ่อนซะ เรื่องนี้ถูกตัดสินแล้ว หลังจากที่เขาจัดการพี่ใหญ่จินในวันพรุ่งนี้ เกี่ยวกับเรื่องของวันนี้ข้าจะหมั้นหมายเขาให้เจ้า แน่นอนว่าเขาจะไม่ปฏิเสธ!”


หลังจากที่ตัดสินทุกอย่างแล้ว นักบวชฮัวอวิ๋นส่งให้มู่ซื่อหรงออกไปและทำการฝึกฝนต่อ เมื่อเห็นเช่นนั้นมู่ซื่อหรงเข้าใจทันทีว่านักบวชฮัวอวิ๋นต้องการให้นางแต่งงานกับเจ้าอ้วน แม้ว่านางจะไม่ยินยอม แต่นางก็ไม่อาจฝืนคำสั่งของเขาได้ สวรรค์! นางจะเดินออกจากความโกรธเหล่านี้ได้อย่างไรกัน!


บทที่ 194: พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส


หลังจากที่ออกมาจากห้องของนักบวชฮัวอวิ๋น มู่ซื่อหรงค้นพบมุมหนึ่งที่เงียบสงบให้กับตนเองพร้อมกับร้องไห้ออกมา นางได้แต่พึมพำความโกรธแค้นทั้งหมดกับตนเอง “ไขมันสารเลว เจ้ากล้ามาที่ข่มขืนข้า ในตอนนี้ข้าไม่มีใครสักคนให้ร้องเรียนถึงเรื่องนี้ นี่มันไม่ยุติธรรมกับข้าเลย! ความภาคภูมิใจในตนเองของข้าพังทลายไปหมดแล้ว! แน่นอนว่าข้าจะให้เจ้าชดใช้มันอย่างสาสม!”


หลังจากที่มู่ซื่อหรงก่นด่าสาปแช่งจนพอใจ มีเสียงหนึ่งลอยเข้าหูนาง “เจ้าไม่ควรทำลายตนเองเช่นนั้นเลย! เจ้ากำลังสร้างความสุขให้กับผู้อื่นไม่ใช่กับตนเอง!”


มู่ซื่อหรงตกตะลึงไปชั่วขณะและมองหญิงสาวที่อยู่ในชุดกระโปรงสีเขียว เมื่อเห็นนางมู่ซื่อหรงรู้ทันทีว่านางคือใครพร้อมตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ท่านป้า ท่านมาทำอะไรที่นี่งั้นหรือ?” นางเป็นลูกสาวคนเล็กของนักบวชฮัวอวิ๋นอยู่ในระดับจินตันนามว่า ฮัวเฉียนหวู่


ในขณะที่นางได้ยินเช่นนั้น นางกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “ตอนแรกข้าคิดว่าจะเข้าไปพบท่านพ่อก่อน แต่บังเอิญมาเห็นเจ้าร้องไห้อยู่ตรงนี้ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ข้าจึงเดินมาตรวจสอบและได้ยินบางอย่างเข้า! ข้าขอถามเจ้าตรงๆว่าเจ้าบัดซบซ่งจงมันข่มขืนเจ้าจริงหรือไม่?”


“แน่นอนว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริง!” มู่ซื่อหรงกระโดดออกมายืนตรงหน้าของฮัวเฉียนหวู่พร้อมกับคร่ำครวญ “วันนี้ในขณะที่ข้ากำลังฝึกฝนดาบอยู่ที่ริมทะเลสาบ ไขมันบัดซบนั่นได้เข้ามารบกวนข้าโดยที่ข้าไม่เคยไปรบกวนเขาเลย แต่เขากระทำกับข้าเยี่ยงอสูรกาย!”


“แน่นอนว่าผู้ที่ทำเรื่องเช่นนี้ได้จะต้องเป็นอสูรกายเท่านั้น!” ฮัวเฉียนหวู่คำรามออกมา


“ใช่ เขาคืออสูรกาย! แต่ท่านปู่กลับไม่คิดเช่นนั้น ข้าร้องเรียนเขาแต่เขากลับบอกว่ามันเป็นเรื่องดีแล้วที่ข้าถูกมันข่มขืน ในตอนนี้ไม่เพียงแต่เขาจะไม่เรียกร้องความยุติธรรมให้กับข้า แต่เขากลับต้องการให้ข้าแต่งงานกับไขมันบัดซบนั่น!” มู่ซื่อหรงกล่าวออกมาอย่างเศร้าโศก “ท่านป้า ไขมันบัดซบนั่นมันข่มขืนข้าแต่กลับเป็นการกระทำที่ดี นี่มันตรรกะอันใดกัน?”


“เฮ้อ!” ฮัวเฉียนหวู่ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “ในสายตาของปู่เจ้านั้น นี่เป็นเพียงสิ่งที่เขาต้องการ มันไม่มีตรรกะใดทั้งนั้น!”


“ข้าไม่สนใจ!” มู่ซื่อหรงร้องไห้ออกมา “แม้ว่าท่านปู่จะโง่เง่าแต่ถ้าหากท่านป้าเข้าใจข้า ท่านสามารถช่วยข้าได้!”


“ข้าจะช่วยเจ้าได้อย่างไรกัน?” ฮัวเฉียนหวู่กล่าวออกมาอย่างขื่นขม “ในตอนนี้ซ่งจงเป็นคนโปรดของท่านพ่อ พรุ่งนี้เขาจะช่วยท่านพ่อจัดการพี่ใหญ่จินแห่งสี่พี่น้อง ถ้าหากสั่งสอนบทเรียนให้กับเขาในตอนนี้ ท่านพ่อจะไม่คิดว่าข้าท้าทายเขางั้นหรือ? แน่นอนว่าเขาจะต้องสังหารข้าทิ้งอย่างแน่นอน!”


“บัดซบ!” มู่ซื่อหรงกัดฟัน “พวกท่านทุกคนล้วนแต่ใจร้าย! ก็ได้ เพราะทุกคนไม่คิดจะช่วยเหลือ ข้าก็คงจะต้องช่วยตัวเอง! หลังจากที่เจ้าอ้วนแต่งงานกับข้า ข้าจะหาทางนอกใจมันทุกวัน!”


“เจ้าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้!” เมื่อฮัวเฉียนหวู่ได้ยินเช่นนั้น นางรีบเตือนมู่ซื่อหรงทันที “เด็กน้อย นอกจากเจ้าอ้วนจะไม่สนใจเรื่องนี้แล้ว แต่มันกลับส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของครอบครัวเราอย่างมาก! ถ้าหากในอนาคตเจ้าทำลายชื่อเสียงของตระกูล แน่นอนว่าพวกเราจะไม่ยอมให้เจ้าได้เงยหน้ามองฟ้าอีกต่อไป ท่านพ่อจะต้องจัดการเจ้าอย่างถึงที่สุด! จะเป็นการดีที่สุดถ้าหากเจ้าไม่ทำเรื่องไร้สาระเหล่านั้น!”


“ให้ตายเถอะ!” เมื่อมู่ซื่อหรงได้ยินคำเตือน นางกล่าวออกมาอย่างหมดหวัง “อย่าบอกนะว่าข้าจะต้องอดทนอยู่กับความอัปยศที่เจ้าอ้วนมอบให้อย่างนี้ตลอดไป!”


“ไม่จำเป็น!” ฮัวเฉียนหวู่กล่าวออกมาอย่างสงบ “ป้าของเจ้าจะแนะนำวิธีแก้แค้นให้ มันสามารถสร้างประโยชน์ให้กับเจ้าได้ แต่ว่า…”


“แต่อะไร?” มู่ซื่อหรงรีบถามออกไป


“เรื่องนี้ค่อนข้างจะอันตรายและเจ้าจะต้องทุกข์ทรมานสักหน่อย!” ฮัวเฉียนหวู่กล่าวออกมาอย่างห้วน ๆ


“เหอะ ข้าไม่เกรงกลัวแม้แต่ความตาย ในตอนนี้ข้าจะต้องกลัวสิ่งใดอีก?” มู่ซื่อหรงกล่าวออกมาพร้อมกับหัวเราะอย่างเย็นชา “ท่านป้า จงพูดสิ่งที่ท่านคิดออกมาเถิด แม้ว่าข้าจะต้องข้ามน้ำข้ามทะเลหรือภูเขาที่ใด ข้าก็ยังต้องการที่จะแก้แค้น!”


“ประเสริฐ เจ้ามีความตั้งใจที่ดี สมแล้วที่เป็นลูกหลานตระกูลฮัว!” ฮัวเฉียนหวู่พยักหน้าอย่างพอใจพร้อมกล่าวว่า “ข้ามีเคล็ดวิชาการฝึกฝนของสำนักปีศาจ ไม่เพียงแต่เจ้าจะสามารถสังหารเจ้าอ้วนได้อย่างเงียบงันโดยที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น และมันยังจะช่วยให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน แม้แต่ท่านพ่อก็ไม่อาจเมินเฉยต่อเจ้าได้ในอนาคต!”


“โอ้?” มู่ซื่อหรงที่ได้ยินเช่นนั้น ดวงตาของนางเป็นประกายแล้วรีบถามออกไปทันที “ท่านป้ามันคือเคล็ดการฝึกฝนอะไรกัน?”


“มันเรียกว่าวิชาเบญจสตรีศักดิ์สิทธิ์สังหาร!” ในขณะที่นางกล่าวออกมาเช่นนั้น นางยื่นแถบหยกให้กับมู่ซื่อหรง


มู่ซื่อหรงรีบใช้สัมผัสวิญญาณตรวจสอบมันทันที หลังจากที่ดูอยู่สักครู่หนึ่ง นางอุทานออกมา “นี่เป็นเคล็ดวิชาที่ชั่วร้ายซึ่งมันจะเติมเต็มพลังงานหยินของข้าโดยการดูดพลังงานหยาง!”


“ถูกแล้ว มันเป็นการฝึกฝนแบบคู่เหมาะกับหญิงสาวที่อยู่ในสำนักปีศาจ บุคคลที่สามารถฝึกฝนมันได้จะต้องเป็นคนที่สามารถยืดหยุ่นได้และมีความแข็งแกร่งทางจิตใจอย่างมาก ถ้าหากเจ้าตัดสินใจแล้วที่จะฝึกฝนมัน แน่นอนว่าเจ้าจะไม่มีวันหันหลังกลับได้!” ฮัวเฉียนหวู่กล่าวออกมาอย่างจริงจัง


“เคล็ดวิชาการฝึกตนของเจ้าอ้วนนั้นแข็งแกร่งอย่างมาก ร่างกายของมันแข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล่าพี่น้องทั้งสี่ เคล็ดการฝึกตนแบบดูดพลังเช่นนี้สามารถสังหารเขาได้จริงงั้นหรือ?” มู่ซื่อหรงกล่าวออกมาอย่างโง่งม


“เหอะ เจ้าไม่รู้อะไรเสียแล้ว!” ฮัวเฉียนหวู่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เบญจสตรีศักดิ์สิทธิ์สังหารไม่ใช่เคล็ดวิชาธรรมดา ก่อนอื่นเจ้าจะต้องพุ่งความสนใจที่บุรุษสักหนึ่งคน และทำให้เขาเป็นของเจ้าซะ ในเวลาอันสั้นเจ้าจะกลายเป็นทาสรักของเขาและเรียกร้องหาเขาอยู่เสมอ เจ้าต้องยินยอมให้เขาย่ำยีและทำกับเจ้าดั่งใจเขาปรารถนา ในขณะนั้นแรงดึงดูดของเจ้าจะเพิ่มขึ้นมากเรื่อย ๆ จนเขาไม่สามารถอยู่ได้ถ้าหากไม่มีเจ้า นี่เป็นความลำบากที่ข้ากำลังหมายถึง แน่นอนว่าเขาจะตายทั้งเป็นหลังจากพบเจอเรื่องเหล่านี้!”


“สวรรค์ ข้าต้องกลายเป็นสตรีชั่วช้างั้นหรือ?” ขณะที่มู่ซื่อหรงได้ยินเช่นนั้น นางอดไม่ได้ที่จะถามออกมา “ทำไมข้าจึงต้องทำเรื่องเช่นนั้นด้วยล่ะ?”


“นั่นเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เขาลดการป้องกันลงเมื่ออยู่กับเจ้า วิธีนี้จะทำให้เจ้าสามารถดูดกลืนปราณจิตวิญญาณของเขาได้โดยที่เขาไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ำ!” ฮัวเฉียนหวู่กล่าวออกมาอย่างเลือดเย็น “เบญจสตรีศักดิ์สิทธิ์สังหารไม่เพียงแต่สามารถดูดกลืนปราณจิตวิญญาณได้ แต่มันสามารถดูดกลืนสัมผัสวิญญาณได้อีกด้วย หลังจากที่ทั้งหมดถูกดูดเข้ามาสู่ร่างกายของเจ้า แน่นอนว่ามันจะกลายเป็นของเจ้าทั้งหมด! ในขณะนั้นเจ้าจะสามารถมีทุกอย่างที่เขามี ทั้งปราณจิตวิญญาณ สัมผัสวิญญาณ และความแข็งแกร่งของร่างกาย!”


“ว่าอะไร?” มู่ซื่อหรงที่ได้ยินเช่นนั้นจึงรู้สึกตื่นเต้นอย่างมาก “สวรรค์ ถ้าหากเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะสามารถแข็งแกร่งเทียบเท่ากับเขางั้นหรือ?”


“ไม่ เจ้าจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าเขา! เพราะว่าไม่เพียงแต่เจ้ามีทุกอย่างของเขา แต่ทุกอย่างของเจ้ายังคงอยู่ เมื่อทั้งสองอย่างรวมกัน เจ้าจะกลายเป็นผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักเสวียนเทียน ไม่พ่ายแพ้แม้ว่าคู่ต่อสู้จะเป็นฉุ่ยจิ้ง!” ฮัวเฉียนหวู่กล่าวหว่านล้อมอย่างอ่อนโยน “เจ้าคิดว่าอย่างไร มันดีพอหรือไม่?”


“มันเป็นสิ่งที่ประเสริฐมาก!” หลังจากที่มู่ซื่อหรงชื่นชมมันเสร็จสิ้นแล้ว นางถามออกมาอย่างสงสัย “แล้วท่านป้าได้รับเคล็ดวิชาที่ทรงพลังเช่นนี้มาจากที่ใดกัน?”


“อา ป้าของเจ้าเพียงโชคดีเท่านั้น หลังจากที่ข้าได้สังหารศัตรูจึงค้นพบมันในร่างกายของเขา!” ฮัวเฉียนหวู่อธิบาย


“อ่า ท่านป้าช่างมีอารมณ์ขัน!” เมื่อได้ยินเช่นนั้น มู่ซื่อหรงตอบกลับด้วยรอยยิ้มเย็นชา “แม้ว่าข้าจะไม่คุ้นเคยกับการฝึกฝนแบบคู่ ข้ารู้เพียงแต่ว่าการฝึกฝนแบบคู่สามารถดูดปราณจิตวิญญาณแบบธรรมดาได้เท่านั้น มีเพียงการฝึกฝนระดับสูงเท่านั้นที่จะสามารถดูดสัมผัสวิญญาณได้! เบญจสตรีศักดิ์สิทธิ์สังหารเป็นเคล็ดวิชาที่แข็งแกร่งของสำนักปีศาจ มันคงเป็นเคล็ดวิชาระดับสูงของสำนักพันปีศาจ ให้ข้าถามท่านสักอย่าง ท่านคิดว่ามันจะผิดหรือไม่ที่นำเคล็ดวิชาระดับสูงของสำนักปีศาจมาฝึกฝน?”


“เป็นเรื่องที่ข้าสงสัยอยู่!” ฮัวเฉียนหวู่พยักหน้าเห็นด้วยพร้อมถามกลับว่า “เจ้ากำลังจะกล่าวอะไรกันแน่?”


“ข้ากำลังจะบอกว่าเจ้าอ้วนนั้นออกไปค้นหาครอบครัวของตนเองและถูกซุ่มโจมตีโดยสำนักพันปีศาจ และหลายคนได้สันนิฐานว่าในสำนักมีคนทรยศเปิดเผยที่อยู่ของเจ้าอ้วนให้แก่สำนักปีศาจ!” มู่ซื่อหรงแสร้งพูดช้าลง “ข้าอยากรู้ว่าท่านป้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้?”


“เจ้าฉลาดมาก!” ฮัวเฉียนหวู่ตกใจไปชั่วขณะก่อนที่จะกล่าวออกมาอย่างซื่อตรง “แม้ว่าเจ้าจะกล่าวถูก แต่เจ้าจะทำสิ่งใดได้เกี่ยวกับเรื่องนี้? บอกข้ามา”


“อา ข้าไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น ความจริง ข้าต้องขอบคุณท่าน ถ้าหากไม่ใช่เพราะท่าน ข้าคงต้องนอนอยู่บนเตียงอย่างจำยอม!” มู่ซื่อหรงกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม


“ถ้าหากเป็นเช่นนี้ เจ้าต้องการเคล็ดวิชาเบญจสตรีศักดิ์สิทธิ์สังหารหรือไม่?” ฮัวเฉียนหวู่ถามด้วยรอยยิ้ม


“แน่นอน ทำไมข้าจะไม่ต้องการมันล่ะ? มันเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมาก เพื่อที่จะสังหารเจ้าอ้วนและเสริมความแข็งแกร่งของข้า มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ไม่ยอมฝึกฝนมัน!” มู่ซื่อหรงกล่าวออกมาพร้อมกับเก็บแถบหยกทันที


“ประเสริฐนัก ข้าหวังว่าเจ้าจะประสบความสำเร็จ!” ฮัวเฉียนหวู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม


“เหอะเหอะ ท่านป้า ท่านกล่าวผิดแล้ว ท่านควรจะพูดว่าเราจะประสบความสำเร็จ!” มู่ซื่อหรงหัวเราะออกมา “เจ้าสารเลวนั้นอ้วนเกินไป ข้ากลัวว่าจะกินมันคนเดียวไม่ไหว เหตุใดเราจึงไม่ร่วมมือกันล่ะ?”


“อะไรนะ เจ้าต้องการให้ข้าฝึกฝนเคล็ดวิชาเบญจสตรีศักดิ์สิทธิ์สังหารร่วมกับเจ้าเพื่อสังหารเจ้าอ้วนงั้นหรือ?” ฮัวเฉียนหวู่กล่าวออกมาด้วยความตกใจ


“แน่นอน นี่เป็นสิ่งดี ๆ ที่ควรจะแบ่งปันไม่ใช่หรือ?” มู่ซื่อหรงกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้มชั่วร้าย


“ไม่ มันเป็นไปไม่ได้ อายุของเราแตกต่างกัน!” ฮัวเฉียนหวู่กล่าวอย่างจริงจัง


“ฮ่า ท่านป้า อย่าได้ถ่อมตนไป อะไรคืออายุห่างกัน ท่านคิดว่าการฝึกฝนแบบคู่นั้นสนใจเรื่องแบบนี้ด้วยงั้นหรือ?” มู่ซื่อหรงกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ภรรยารองของท่านปู่บางคนมีอายุมากกว่าข้าเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น เขาไม่ได้แต่งงานกับนางงั้นหรือ?”


“ปู่ของเจ้าเป็นพวกขี้โกง เจ้าไม่สามารถเปรียบเทียบข้ากับเขาได้!” ฮัวเฉียนหวู่กล่าวอย่างรวดเร็ว


“ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ใช่เพียงคนเดียวที่สามารถข้ามรุ่นไปมาได้! เจ้าไขมันก็กำลังมีความสัมพันธ์กับหงหยิงซึ่งบิดาของนางเป็นถึงอดีตจ้าวสำนัก เจ้าอ้วนตัวติดกันอยู่กับนางตลอดเวลา อีกทั้งอดีตจ้าวสำนักยังไม่ปฏิเสธอีกด้วย ทั้งยังสนับสนุนเขา เห็นได้ว่าช่องว่างของอายุไม่ได้ส่งผลอะไรต่อการฝึกฝนเลย!” มู่ซื่อหรงกล่าวเสริม “ท่านป้าไม่ควรคิดให้มากความ จากสิ่งที่ท่านทำให้เขาพบเจอกับสำนักพันปีศาจ เห็นได้ชัดว่าท่านก็เกลียดเขาเช่นกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมเราไม่ร่วมมือกันเพื่อแก้แค้นล่ะ?”


“เหตุใดเจ้าจึงต้องบังคับข้าด้วย?” ฮัวเฉียนหวู่กล่าวออกมาอย่างไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี


“เพราะว่าไม่ว่าผู้ใดก็ไม่ควรหย่อนการระวังตัว!” มู่ซื่อหรงกล่าวออกมาพร้อมกับหัวเราะอย่างเย็นชา “ในอดีตท่านป้าไม่เคยสนใจข้าเลย แต่วันนี้ท่านกลับมอบเคล็ดวิชาระดับสูงให้กับข้า มันเป็นเรื่องที่ประหลาด ผู้ใดจะเชื่อถือถ้าหากท่านกล่าวว่าไม่มีสิ่งใดซ่อนอยู่? ถ้าหากข้าไม่ดึงให้ท่านร่วมฝึกฝนกับข้าก็คงไม่รู้ว่ามีสิ่งใดซ่อนอยู่ภายในความหวังดีครั้งนี้จริงหรือไม่?”


บทที่ 195: กลืนมันลงไป


“แต่ข้าไม่รู้จักซ่งจงเลย ข้าคงไม่สามารถเดินแล้วไปเคาะประตูบ้านเขาได้ ถูกไหม?” ฮัวเฉียนหวู่กล่าวออกมา


“ท่านป้าไม่ต้องกังวลถึงเรื่องนั้น หลังจากที่ข้าทำให้มันกลายเป็นทาสได้แล้ว ข้าจะมอบมันให้กับท่าน!” มู่ซื่อหรงกล่าวออกมาอย่างเย็ดเย็น “ไม่ว่าอย่างไรข้าจะดูแลทุกอย่างเอง ท่านเพียงแค่รับมันไป!”


“แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าข้าบอกว่าไม่?” ฮัวเฉียนหวู่ถามกลับอย่างเย็นชา


“ท่านป้าไม่สามารถทำเช่นนั้นได้!” มู่ซื่อหรงหัวเราะออกมาอย่างมีเล่ห์นัย “ถ้าหากท่านไม่รับข้อเสนอนี้ ข้าจะเผยแพร่เรื่องที่ท่านครอบครองเคล็ดวิชาระดับสูงของสำนักพันปีศาจ แม้ว่าสถานะของท่านจะแตกต่างจากข้า แต่มันคงจะเกิดเรื่องใหญ่แน่นอนถ้าหากท่านปู่รู้ว่าท่านสมรู้ร่วมคิดกับสำนักพันปีศาจ! ข้าพูดถูกไหม?”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฮัวเฉียนหวู่ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากสบถออกมา “เด็กสารเลว ข้าช่วยให้เจ้าพ้นจากความทุกข์ทรมาน แต่เจ้ากลับขู่เข็ญข้างั้นหรือ?”


“ฮ่าฮ่า ช่วยข้างั้นหรือ?” มู่ซื่อหรงหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “ช่วยข้าโดยการให้เคล็ดวิชาการฝึกฝนแบบคู่ที่ชั่วร้ายและทำให้ข้ากลายเป็นสตรีที่ต่ำตมงั้นหรือ? ข้าขอขอบคุณท่านจริง ๆ! ดังนั้นข้าขอตอบแทนการช่วยเหลือในครั้งนี้ด้วย! ถ้าหากข้าต้องตกนรก แน่นอนว่าท่านจะต้องไปกับข้าด้วย!”


“บ้า เจ้ามันบ้าจริง ๆ!” ฮัวเฉียนหวู่เหยียดมือออกมาพร้อมกล่าวว่า “ส่งวิชาเบญจสตรีศักดิ์สิทธิ์สังหารคืนกลับมาให้ข้าและข้าจะคิดเสียว่าไม่เคยกล่าวสิ่งใดออกไปในวันนี้!”


“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่มีทาง! ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะฝึกฝนมัน!” มู่ซื่อหรงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง “และท่านลงเรือลำเดียวกับข้าแล้ว! ยินดีต้อนรับสู่นรกท่านป้า! ฮ่าฮ่าฮ่า!”


หลังจากที่นางกล่าวเช่นนั้น นางเดินจากไปพร้อมกับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ฮัวเฉียนหวู่โกรธจัดจนใบหน้ากลายเป็นเขียวคล้ำ นางลุกขึ้นและต้องการที่จะปิดปากมู่ซื่อหรง แต่นางพบว่ามีผู้ฝึกตนระดับจินตันสองถึงสามคนเดินอยู่ในบริเวณนี้ นางตระหนักได้ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นของนักบวชฮัวอวิ๋นซึ่งมีการเฝ้าระวังอย่างหนาแน่นโดยทั่วบริเวณ ดังนั้นการหัวเราะของมู่ซื่อหรงจึงสามารถดึงความสนใจจากบุคคลแถวนั้นได้อย่างดีเยี่ยม ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นางจึงไม่สามารถที่จะปิดปากมู่ซื่อหรงได้ จึงทำได้เพียงยืนมองนางเดินลับหายไปอย่างหมดหนทาง


แม้ว่าเจ้าอ้วนจะไม่แยแสมู่ซื่อหรง แต่ภายในหัวใจของเขากลับมีผีเสื้อโบยบิน เนื่องจากมู่ซื่อหรงไม่ใช่ผู้ฝึกตนทั่วไป นางมีสถานะเป็นถึงหลานสาวของนักบวชฮัวอวิ๋น! เขาต้องใช้ความกล้าหาญมากเพียงใดในการข่มขืนนาง? ดังนั้นถ้าหากเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป แน่นอนว่าเจ้าอ้วนจะไม่มีทางหลบหนีการลงโทษได้อย่างแน่นอน!


แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะไม่ถูกจ้าวสำนักสังหาร แต่แน่นอนว่าเขาจะต้องจ่ายบางอย่างสำหรับเรื่องนี้ อย่างน้อยเขาจะต้องถูกขังอยู่ในความมืดหลายปี แม้ว่าเขาจะสามารถฝึกฝนได้ในมิติลึกลับ แต่มันจะต้องยากลำบากถ้าหากต้องการพบเจอกับเหล่าสตรีของเขา หงหยิงไม่ได้อยู่ที่นี่แล้ว ฉุ่ยจิ้งก็อยู่ในที่ของนาง แต่ถ้าหากหานหลิงเฟิงไร้การคุ้มครอง ในอนาคตนางจะต้องจมอยู่ในความทุกข์ทรมานอย่างแน่นอน


เมื่อคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เจ้าอ้วนเริ่มรู้สึกเสียใจอย่างช่วยไม่ได้ แต่เขาไม่สามารถทำสิ่งใดได้เนื่องจากได้ทำสิ่งที่เลวร้ายลงไปแล้ว ดังนั้นเขาควรจะไปหาหานหลิงเฟิงเพื่อหารือกับนาง


จากนั้นเจ้าอ้วนรีบกลับไปที่บ้านและจัดอาหารเลี้ยง เขาจะพูดคุยกับนางหลังจากที่รับประทานอาหารเสร็จ ในบทสนทนามันเต็มไปด้วยการบอกลาและพยายามบอกนางว่าเขาเป็นห่วงนางมาก


หานหลิงเฟิงไม่ใช่คนโง่และรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ นางจึงถามเจ้าอ้วนว่าเกิดอะไรขึ้น ในขณะนั้นเจ้าอ้วนรู้ดีว่าเขาไม่สามารถปิดบังนางได้อีกต่อไป เนื่องจากข่าวนี้มันจะแพร่กระจายออกไปในอีกไม่ช้า เขาจึงอธิบายกับนางเรื่องที่ข่มขืนมู่ซื่อหรง


สำหรับหานหลิงเฟิงที่ได้ยินเช่นนั้น นางแทบจะสิ้นสติไปตรงนั้นเมื่อรู้ว่าเจ้าอ้วนทำพลาดอย่างใหญ่หลวง นางรีบชวนให้เจ้าอ้วนหนีไปในคืนนี้


แต่เจ้าอ้วนกล่าวออกมาอย่างสงบ “ถ้าหากข้าหนี เท่ากับว่าเป็นอาชญากรรม ในเวลานั้นข้าจะกลายเป็นชื่อเสียต่อพวกเขา แน่นอนว่าจะต้องเกิดการพลิกแผ่นดินเพื่อค้นหาข้าอย่างแน่นอน ถ้าหากข้ายังอยู่ แย่ที่สุดก็คือขังข้าไว้ในความมืด และข้าจะไม่ถูกประหาร นอกจากนี้อดีตจ้าวสำนักหงยังขอให้นักบวชฮัวอวิ๋นดูแลข้า ถ้าหากนักบวชฮัวอวิ๋นสังหารข้า แน่นอนว่าเขาจะต้องพบเจอปัญหากับอดีตจ้าวสำนักหงอย่างแน่นอน นักบวชฮัวอวิ๋นไม่โง่ที่จะสร้างปัญหาให้กับตนเองอย่างแน่นอน!”


เมื่อได้ยินเช่นนั้น หานหลิงเฟิงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมานิดหน่อย แต่ดวงตาของนางยังเต็มไปด้วยความกังวลและเศร้าโศก เมื่อเห็นเช่นนั้น เจ้าอ้วนรีบเข้าไปปลอบโยนนาง ทั้งสองกอดกันไว้แน่น จากนั้นไฟราคะก็ถาโถมพวกเขาทั้งสองอีกครั้งอย่างไม่อาจห้ามไว้ได้


หานหลิงเฟิงคิดว่าเจ้าอ้วนจะต้องถูกจับกุมและอีกนานกว่าจะได้พบกันอีกครั้ง ดังนั้นในคืนสุดท้ายนี้นางมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้เขา ความพอใจของเจ้าอ้วนเรียกได้ว่าแทบจะอยู่บนสวรรค์ชั้นสูงสุด!


ทั้งคู่หยุดการสั่งลาในกลางดึกหลังจากที่หานหลิงเฟิงใช้พลังไปจนหมดแล้ว แต่เจ้าอ้วนยังคงไม่พอใจ เนื่องจากร่างกายของเขาถูกสร้างมาให้เหนือมนุษย์ทั่วไป เรียกได้ว่าอาจถึงขั้นอสูรกายก็ว่าได้! แม้ว่านางจะเป็นผู้ฝึกตน แต่นางก็ยังคงเป็นสตรีจึงไม่อาจตอบสนองความต้องการของเจ้าอ้วนไหว


ในตอนนี้ประตูห้องของเจ้าอ้วนถูกระเบิดออก เขากระโดดออกจากเตียงทันทีพร้อมกับเตรียมพร้อมเข้าสู่การต่อสู้ จากนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าบุคคลที่มาเยือนคือมู่ซื่อหรง


เมื่อเห็นนาง เจ้าอ้วนรู้สึกกระวนกระวายทันทีพร้อมกับรีบปกปิดน้องชายของตนเองไว้ เขารีบมองทันทีว่านักบวชฮัวอวิ๋นได้ตามนางมาด้วยหรือไม่


มู่ซื่อหรงฉลาดถึงเพียงไหนกัน? แน่นอนว่านางรู้ได้ทันทีว่าเจ้าอ้วนกำลังกังวลเรื่องอะไร ดังนั้นนางจึงกล่าวออกมาอย่างเย็นชา “เจ้าไขมันบัดซบ ไม่ต้องกลัวสิ่งใด ท่านปู่ของข้าไม่ได้มาที่นี่!” ในขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น นางเดินเข้ามาพร้อมกับปิดประตูลง นางยิ้มให้กับเจ้าอ้วนและตกใจเมื่อเห็นร่างกายที่เปลือยเปล่าของหานหลิงเฟิง


ขณะที่ได้ยินว่านักบวชฮัวอวิ๋นไม่ได้มาด้วย เจ้าอ้วนถอนหายใจออกด้วยความโล่งออก จากนั้นเขาจึงถามออกไป “ถ้าหากเขาไม่ได้มาที่นี่ แล้วเจ้ามาที่นี่เพื่ออะไร?”


“แล้วเจ้าคิดว่าเพราะอะไรล่ะ?” มู่ซื่อหรงยียวน


“แล้วข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าคิดอะไรอยู่?” เจ้าอ้วนโต้กลับ “หรือว่าเจ้าบ้าคลั่งขึ้นมาอยากจะให้ข้าดูแลเจ้าอีกครั้ง?”


“อา เจ้ากล่าวถูกแล้ว!” มู่ซื่อหรงกล่าวพร้อมยิ้มหวาน


คำตอบที่เจ้าอ้วนได้รับแน่นอนว่าเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อน ถ้าหากนางต้องการให้สังหารนางซะแน่นอนว่าเขาจะไม่แปลกใจเท่านี้ แต่ในตอนนี้นางต้องการให้เขาดูแลนางอีกครั้ง นี่มันเกิดอะไรขึ้น? เขาคิดว่าตัวเองหูฟาดและถามกลับอีกครั้ง “เจ้ากล่าวอะไรกัน? หรือว่าข้าฟังผิดไป?”


“ข้ากล่าวว่า ข้ามาที่นี่เพื่อให้เจ้าดูแลข้า!” มู่ซื่อหรงกล่าวออกมาอย่างชัดเจน


“ดูแลอะไร?” เจ้าอ้วนถามออกไปอย่างโง่งม “นี่เจ้าหมดหวังถึงขนาดนี้เชียวหรือ?”


“ใช่ ข้ารู้สึกหมดอาลัยตายอยาก!” มู่ซื่อหรงกล่าวอย่างช้าๆและชัดเจน “ในตอนนี้ข้าเพียงต้องการให้เจ้าดูแลข้า! ย่ำยีข้าเสียสิ! สอดใส่ในตัวข้า!”


เจ้าอ้วนไร้ถ้อยคำจะกล่าวพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ “เอ่อ เจ้าบ้าไปแล้วงั้นหรือ?”


“ข้าไม่ได้บ้า ข้าแค่โง่!” มู่ซื่อหรงกล่าวออกมาพร้อมกับปลดเข็มขัดของตนเองออก ด้วยการออกแรงเพียงนิดเดียวทำให้เสื้อผ้าของนางหลุดออกทั้งหมด เผยให้เห็นผิวที่ขาวเนียนด้านใน รอยช้ำที่เจ้าอ้วนประทับไว้ยังชัดเจนอยู่บนร่างกายของนาง ยิ่งทำให้นางดูมีเสน่ห์มากขึ้น


เมื่อเห็นเช่นนั้น เจ้าอ้วนสูญเสียการควบคุมอย่างสมบูรณ์


มู่ซื่อหรงเดินช้า ๆ เข้ามาหาเจ้าอ้วน จากนั้นนางคุกเข่าลงพร้อมกับทักทายน้องชายของเขา นางขยับตัวเข้าไปใกล้และเริ่มใช้ปากกับมัน จากนั้นนางพยายามที่จะกลืนกินมันเข้าไปจนเต็มลำคอของตัวเอง


“โอ้!” เจ้าอ้วนร้องออกมาอย่างผ่อนคลาย หานหลิงเฟิงที่อยู่ด้านข้างรู้สึกตกใจและไม่เข้าใจเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้น


แต่ดูเหมือนว่ามู่ซื่อหรงจะไม่สนใจว่าเจ้าอ้วนเพิ่งเล่นสนุกกับหานหลิงเฟิงในก่อนหน้านี้ ในตอนนี้นางสนใจที่จะดูดน้องชายของเขาเท่านั้น ในระยะเวลาสั้น ๆ ตัณหาของเจ้าอ้วนถูกเปิดใช้งานอย่างสมบูรณ์ เมื่อเห็นว่ามู่ซื่อหรงกระทำเช่นนี้ แม้ว่าเขาจะสับสน แต่เขาก็ไม่สามารถต้านทานได้ไหว เขาคว้ามู่ซื่อหรงโยนขึ้นเตียงจากนั้นเริ่มทะลุทะลวงเข้าไปในร่างกายของนาง


ในขณะที่เจ้าอ้วนกำลังจู่โจมมู่ซื่อหรง นางเริ่มครวญครางออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน ความดุเดือดเช่นนี้ทำให้หานหลิงเฟิงมีความต้องการอีกครั้ง เจ้าอ้วนสังเกตเห็นใบหน้าหานหลิงเฟิงเปลี่ยนเป็นสีแดงและรู้ว่านางกำลังทำตัวไม่ถูก ดังนั้นเขาจึงดึงนางมาอยู่ด้านล่าง เจ้าอ้วนสลับซ้ายขวาอย่างคล่องแคล่ว ทำให้หญิงสาวทั้งสองหายใจอย่างยากลำบาก


การต่อสู้ในครั้งนี้ยาวนานกว่าสองชั่วโมงกว่าจะสิ้นสุดลง สตรีทั้งสองนางหมดแรงอย่างสมบูรณ์ แต่เจ้าอ้วนยังคงเต็มไปด้วยพลังงาน


เจ้าอ้วนนอนแผ่อยู่บนเตียงอย่างผ่อนคลายพร้อมกับกอดทั้งสองไว้ มือของเขาลูบไล้ร่างกายหญิงสาวพร้อมถามออกมาว่า “ศิษย์น้องมู่วันนี้เจ้าทำตัวแปลกประหลาดมาก อย่าบอกนะว่าเจ้าไม่ได้ร้องเรียนเรื่องของข้า? แล้วยังมานอนอยู่บนเตียงของข้าเสียอีก?”


“ข้าทำไปแล้ว! ข้าไปหาท่านปู่และบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องที่เจ้าข่มขืนข้า!” มู่ซื่อหรงกล่าวออกมาอย่างเย็นชา “แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าท่านปู่กล่าวอะไรออกมา?”


“เขากล่าวอะไร?” เจ้าอ้วนรีบถามอย่างร้อนใจ


“เขาบอกว่าข้าทำเรื่องที่ยอดเยี่ยมอย่างมาก!” มู่ซื่อหรงตะโกนออกมา


“อะไรนะ?” เมื่อเจ้าอ้วนได้ยินเช่นนั้น เขาโง่งมทันทีพร้อมถามว่า “เขากล่าวเช่นนั้นจริงงั้นหรือ?”


“แน่นอน เจ้าคิดว่าข้าหูหนวกรึไง?” มู่ซื่อหรงโกรธจัด


“แต่ทำไมเขาจึงกล่าวเช่นนั้น?” เจ้าอ้วนถามกลับ


“ใช่ มันแปลกเกินไป!” หานหลิงเฟิงกล่าวออกมา


“เพราะว่าเขาต้องการให้เจ้าเป็นสามีข้า มันเป็นเพราะเจ้ามีหงหยิงอยู่แล้วเขาจึงไม่ได้ทำการใด แต่ตอนนี้เจ้าได้ทำสิ่งนี้ลงไปแล้ว เขาต้องการที่จะให้ข้าแต่งงานกับเจ้า!” มู่ซื่อหรงตะโกนออกมา “ดังนั้นเขาจึงกล่าวออกมาอย่างมีความสุขเช่นนั้น!”


ในขณะนั้นแม้แต่ผู้หญิงที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างมู่ซื่อหรงยังอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา


เจ้าอ้วนทำได้เพียงอยู่เงียบ ๆ เพราะไม่รู้ว่าจะปลอบใจนางอย่างไร เขาทำให้เพียงกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นเท่านั้น แต่สถานที่ที่เขากอดรัดมากขึ้นนั้นคือหน้าอกของนาง ทำให้การปลอบใจนี้ช่างดูไม่ซื่อตรงนัก


มู่ซื่อหรงเริ่มคุ้นเคยกับร่างกายของเจ้าอ้วนและเริ่มกอดแขนของเขา นั่นทำให้เขารู้สึกดีอย่างมาก ในขณะนั้นนางกล่าวออกมาอย่างเย็นชา “เนื่องจากเขาบอกว่าเจ้าทำเรื่องที่ดี ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจที่จะมาพบเจ้าและให้เจ้าทำในสิ่งที่เจ้าต้องการ! ศิษย์น้องซ่งเจ้าสามารถย่ำยีข้าได้ตามใจปรารถนา! ไม่ว่าเจ้าต้องการสิ่งใด ข้าจะรับคำขอของเจ้าเสมอ!” ในขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น นางก้มลงไปพร้อมกับเริ่มกลืนกินมังกรของเจ้าอ้วนอีกครั้ง!

ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม